หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 4 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ
puy - 7/8/10 at 14:34
หนังสืออ่านเล่น
เล่มที่ ๔
โดย ส. สังข์สุวรรณ
ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..พระวัดท่าซุง
(ลิขสิทธิ์เป็นของ "สำนักพิมพ์เวฬุวัน" วัดท่าซุง)
เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๔
1. คำปรารภ
2. แจกของคนน้ำท่วม
3. อานิสงส์การให้ทาน
4. พระตายไปดาวดึงส์
5. นางเทพธิดาปูทะเล
6. นางฟ้าปลาทู
7. ลาชเทวธิดา นางเทพธิดาข้าวตอก
8. นางฟ้าหมอดู
9. สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
10. หมาไปเกิดเป็นเทวดา
1
คำปรารภ
หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๔ ที่ท่านถืออยู่นี้ มีทั้งนิทานและเรื่องจริงนิทานคือเรื่อง นางฟ้าปลาทู และนางเทพธิดาปูทะเล ท้องเรื่องเป็นนิทานแต่ธรรมะนั้นเอาเป็นแนวปฏิบัติได้
เพราะเขียนตามความเป็นจริงของธรรมะ
เรื่องจริง
เรื่องจริงทั้งเรื่อง และความเป็นมาของเรื่องก็คือ เรื่องของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พบมาเองทั้งหมด (ท่านจะได้อ่านหนังสืออ่านเล่น เล่มที่๕ )
ท่านผู้อ่าน ขอให้ท่านอ่านแบบอ่านนิทาน แต่ถ้ามีธรรมหมวดใดที่เขียนไว้เป็นที่พอใจของท่าน ท่านเอาไปปฏิบัติได้และจะมีผลตามนั้น
ส. สังข์สุวรรณ
๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒
◄ll กลับสู่สารบัญ
2
แจกของคนน้ำท่วม
ท่านผู้ฟังทั้งหลาย สำหรับเสียงที่บรรดาท่านพุทธบริษัทได้ฟังอยู่นี้ เป็นเสียงต้นเทปของ หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๔
สำหรับในตอนนี้ที่ต้องใช้เสียงเป็นต้นฉบับ ก็เพราะเขียนไม่ไหว เขียนไปเขียนมาเพียงครึ่งหน้ากระดาษ ก็ปรากฏว่าตาไม่เห็นเส้นหมึก ต้องเลิกเขียน
ไปใช้การบันทึกเสียงแทน การบันทึกเสียงนี่ก็เหมือนกันบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้ร่างกายก็ยังป่วย เสียงไม่มีการทรงตัว เสียงแห้งเสียงแหบ
แต่ก็เพื่อประโยชน์ในการเขียนก็ใช้ได้
วันนี้ก็จะขอพูดเรื่อง การแจกของคนน้ำท่วม แต่ความจริงเรื่องน้ำท่วมปีนี้ วัดท่าซุงก็ท่วม ท่วม ๒ ระลอกติดกัน น้ำเก่าไปไม่ทันหมด
น้ำใหม่ก็มาต่ออีก งานก่อสร้างต้องหยุดชะงักไป ๔ เดือน ก็เป็นอันว่าคนน้ำท่วม จะไปแจกของคนน้ำท่วมก็ไปไม่ไหว และประการที่สอง
คนพูดเองก็ป่วยไข้ไม่สบายอย่างหนัก
ก็เป็นอันว่าจะไปแจกคนอื่นไม่ได้ ก็ต้องแจกกันในบ้านนั่นคือว่าเด็กลูกของชาวน้ำท่วม มาเรียนหนังสืออยู่ที่วัดท่าซุง โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระ ประมาณเกือบ ๓๐๐ คน จริง ๆ แล้วก็ถึง ๓๐๐ คน แต่ว่าเธอลาออกไปเสียบ้าง ให้ออกไปบ้าง
เพราะความประพฤติบกพร่อง ที่ดีก็เหลืออยู่ประมาณ ๒๘๐ คนเศษ ทั้งหมดนี้ทางวัดรับเลี้ยง เลี้ยงอาหาร ให้เสื้อผ้า ให้ยารักษาโรค ให้อุปกรณ์การศึกษา
เสียค่าเล่าเรียนให้เสร็จ จ้างครูสอนให้ด้วย
เมื่อน้ำท่วมมาแล้ว ท่านย่ามีคำสั่งว่า ๓ เทอมนี้ ไม่เก็บทุกอย่างจากนักเรียน ให้เลี้ยงทุกอย่างหมด
แม้แต่ค่าอาหารที่เคยผ่อนคลายมาบ้าง คือปกตินักเรียนหอพักให้ผู้ปกครองจ่ายค่าอาหารมาบ้าง แต่ก็ไม่พอ ส่วนนั้นก็ยกไป วัดจ่ายหมด
เป็นอันว่านักเรียนทั้งหมดที่มีอยู่ วัดต้องสงเคราะห์เทอมละล้านเศษ แต่เงินทองที่จะได้มาทั้งหมดก็อาศัยบรรดาลูกหลานและบรรดาท่านพุทธบริษัทช่วยกัน
เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๑ ก็แจกเสื้อ แจกผ้า แจกผ้าห่ม ผ้าห่มนี่แจกเป็น ๒ ระลอก ระลอกที่ ๑ แจกแก่นักเรียน ๓๐๐ ผืน ระลอกที่ ๒
แจกแก่ผู้ปกครองของนักเรียนอีก ๓๐๐ ผืน รวมเป็นผ้าห่ม ๖๐๐ ผืน เครื่องแต่งตัวที่บรรดาท่านพุทธบริษัทสงเคราะห์มา แจกไปคราวนี้ โดยประมาณ ๒,๐๐๐
ชุดเศษ คือว่าให้แก่นักเรียนด้วยให้ไปส่งให้แก่ผู้ปกครองด้วย ก็รวมความว่า ของที่ท่านทั้งหลายให้มาได้จัดจ่ายไปแล้ว
สำหรับผ้าห่มนั้น เมื่อไปซอยสายลมต้นเดือนธันวาคม นุสมล เธอถวายมา ๑๐๐ ผืน เมื่อพิจารณาแล้วก็เห็นว่าไม่พอจึงสั่งให้ เดือนฉาย คอมันตร์
หรือ เดือนฉาย บุนนาค คนเดียวกัน จัดซื้ออีก ๒๐๐ ผืน คิดว่าจะออกสตางค์เองก็พอดีเดือนฉายกับพวก ใครบ้างก็ไม่ทราบ ช่วยกันออกครบอีก ๒๐๐ ผืน
เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า ทีแรกคิดจะแจกบรรดาผู้ปกครอง ก็ปรากฏว่าบรรดาเด็กนักเรียนส่วนใหญ่ไม่มีผ้าจะห่ม เพราะว่าทุนเดิมของเธอน้อยอยู่แล้ว
ก็เลยแจกนักเรียนเสียเกือบ ๓๐๐ ผืน ขาดนิดหน่อย และก็สั่งจ่ายให้แก่บิดามารดาอีก ๓๐๐ ผืน เป็น ๖๐๐ ผืนด้วยกัน
สำหรับการแจกเสื้อแจกผ้าให้แก่นักเรียนด้วย และบิดามารดาของเธอด้วย ผู้ปกครองด้วย
◄ll กลับสู่สารบัญ
3
อานิสงส์การให้ทาน
บรรดาท่านทั้งหลายอาจจะคิดว่ามีอานิสงส์เป็นประการใด ทั้งนี้ก็ขอให้ดูเรื่องราวของ อังกุรเทพบุตร
ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชมน์อยู่ ในขณะนั้นที่องค์สมเด็จพระบรมครู ขึ้นไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดา
เมื่อไปถึงดาวดึงส์ครั้งแรก แรกไปถึงก็ปรากฏว่ามีเทวดา๒ องค์ คือ อินทกเทพบุตร กับ อังกุรเทพบุตร ทั้ง ๒ ท่านมาก่อนเทวดาอื่น ทั้งนี้พระอินทร์ท่านรับอยู่ก่อนนะ เมื่อพระอินทร์ท่านรับอยู่ก่อน แต่ว่า ๒
องค์นี่อยู่ใกล้ เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นไป ก็มาก่อนเทวดาอื่น ท่านอังกุรเทพบุตร
นั่งข้างพระบาทข้างซ้าย อินทกเทพบุตร นั่งข้างพระบาทข้างขวา
ต่อมาเมื่อเทวดาองค์อื่นมา อังกุรเทพบุตรก็ถอย อินทกเทพบุตรนั่งที่เดิม เมื่อเทวดามาหมดดาวดึงส์ ปรากฏว่า อังกุรเทพบุตรอยู่ท้ายสุด เป็นเทวดาหางแถว อินทกเทพบุตรเป็นเทวดาหัวแถวตามเดิม
พระพุทธเจ้าหวังจะประกาศผลของการบำเพ็ญกุศลนอกพระพุทธศาสนากับในพระพุทธศาสนาให้บรรดาประชาชนทราบ
จึงทรงบันดาลเสียงของพระองค์ด้วย เสียงของเทวดาด้วยที่สนทนากัน ให้ดังถึงเมืองมนุษย์ ให้คนที่อยู่ที่เมืองพาราณสีทั้งหมด
คอยพระองค์อยู่หลายโกฏิได้ยินได้ฟังทั้งหมดสมเด็จพระบรมสุคตจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
อังกุระ เมื่อตถาคตมาถึงตอนแรก เธอนั่งข้างพระบาทข้างซ้ายของตถาคต ครั้นเทวดาองค์อื่นมาหมดดาวดึงส์ เธอเป็นเทวดาท้ายแถว
นั่งไกลที่สุด อยากจะถามว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์เธอทำบุญอะไรไว้
อังกุรเทพบุตรจึงกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า
ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมหาเศรษฐี เวลานั้นคนมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี อีก ๒๐,๐๐๐ ปีท้าย ใกล้จะตาย ให้ตั้งโรงทาน ๘๐ แห่ง ๑ โยชน์ ตั้ง ๑ แห่ง ๑
โยชน์ ตั้ง ๑ แห่ง
ให้ทานคนยากจน คนกำพร้า คนเดินทาง ทั้งกลางวันและกลางคืน สิ้นเวลา ๒๐,๐๐๐ ปี แต่อาศัยว่าเวลานั้นไม่มีพระพุทธศาสนา
คนทั้งหมดไม่มีศีล ไม่มีธรรม จึงได้อานิสงส์น้อย ตายจากความเป็นมนุษย์ มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุด แต่ว่าก็มี
วิมานทองคำเกลี้ยง มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร
นี่แหละบรรดาท่านผู้รับฟัง แม้แต่การบำเพ็ญกุศลแจกแก่คนที่ไร้ศีล ไร้ธรรม ยังเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ มีวิมานทองคำเกลี้ยง
มีนางฟ้า๑,๐๐๐ เป็นบริวาร
แต่ทว่า สำหรับเด็กที่ท่านแจก เด็กนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา วัดท่าซุง เด็กทั้งหมดที่จะเข้าโรงเรียน
จะต้องสอบการฝึกกรรมฐานให้ได้ก่อน ถ้าได้กำลังมโนมยิทธิได้พอสมควรจึงจะเข้าได้ และก็ต้องมีการซักซ้อมกันทุกกึ่งเดือน
ครึ่งเดือนจะมีการซ้อมกรรมฐานกันครั้งหนึ่ง และกฎระเบียบของโรงเรียนนี้
อันดับแรก นักเรียนทุกคนต้องปฏิบัติอยู่ใน สังคหวัตถุ ๔ ได้ คือ
๑. รู้จักการสงเคราะห์
๒. พูดดี
๓. ช่วยเหลือการงาน
๔. ไม่ถือตัว
และก็ต้องพยายามทรงใน พรหมวิหาร ๔ คือ
๑. เมตตา ความรัก
๒. กรุณา ความสงสาร
๓. มุทิตา ไม่อิจฉาริษยาใคร เห็นใครได้ดีพลอยยินดีด้วย
๔. อุเบกขา วางเฉยเมื่อเคราะห์กรรมเข้ามาถึง
และก็ต้องมี กรรมบถ ๑๐ ปฏิบัติ คือ
ทางกาย
ไม่ฆ่าสัตว์
ไม่ลักทรัพย์
ไม่ประพฤติผิดในกาม
และไม่ดื่มสุราเมรัย
ทางวาจา
ไม่พูดปด
ไม่พูดคำหยาบ
ไม่ยุให้เขาแตกกัน
ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล
ทางใจ
ไม่อยากได้ทรัพย์สินของใครโดยไม่ชอบธรรม
ไม่พยาบาทจองล้างจองผลาญใคร
และมีความเห็นตรงตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นี่เป็น คุณธรรมของนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา วัดท่าซุง ก็รวมความว่าเด็กทั้งหมดมีศีล มีธรรม มีสมาธิ
พอสมควร การพลั้งพลาดไปบ้าง เป็นของธรรมดาของปุถุชน ฉะนั้นการบำเพ็ญกุศลของบรรดาท่านพุทธบริษัท
ถึงแม้ว่าบิดามารดาของเธอจะบกพร่องบ้าง แต่ว่าเด็กก็ตั้งอยู่ในเกณฑ์มีความประพฤติดี มีศีล มีธรรมพอสมควร ฉะนั้นอานิสงส์ที่จะพึงได้รับจากการแจกเด็ก
ก็เห็นจะเป็นอย่างน้อยที่สุดท่านต้องได้สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แน่นอน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงหรือลูกหลานทุกคนที่บำเพ็ญกุศลมา สงเคราะห์มา ก็เป็นคนมีศีลธรรมอยู่แล้ว มีศีลเป็นปกติ
มีสมาธิเป็นปกติ มีการให้ทานเป็นปกติ เจริญภาวนาเป็นปกติ ตนเองมีอานิสงส์ใหญ่อยู่แล้ว ครั้นมาเสริมด้วยการให้ทานอย่างนี้ ผลแห่งความดีก็จะยิ่ง ๆ ขึ้น ไป
ก็รวมความว่า การให้ทานกับเด็กที่ทรงศีล ทรงธรรม ทรงสมาธิ ตามสมควร ย่อมมีอานิสงส์สูงกว่าผลของ อังกุรเทพบุตร
ทีนี้เมื่อพูดถึง อังกุรเทพบุตร ก็ขอพูดถึง อินทกเทพบุตร ด้วย
เป็นเทวดาที่สมัยพระพุทธเจ้าพบ ท่านอินทกเทพบุตรนั่นเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ เข้าไปถึงใหม่ ๆ เธอนั่งข้างขวามือ ใกล้พระบาทของพระพุทธเจ้า
ในเมื่อเทวดามาทั้งหมดดาวดึงส์ ท่านอินทกเทพบุตรก็ไม่ถอยให้ใคร ก็ถือว่าเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ศรีใหญ่ในดาวดึงส์ ถ้ายกพระอินทร์เสียแล้วไม่มีใครใหญ่กว่า
ไม่มีใครมีบุญมากกว่า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใคร่จะประกาศอานิสงส์แห่งการทำบุญในพระพุทธศาสนาให้ทราบ
จึงถามอินทกเทพบุตรว่า อินทกะ เมื่อตถาคตมาใหม่ ๆ เธอก็นั่งตรงนี้ แต่ว่าเมื่อตถาคตนั่งอยู่นานเข้า เทวดามาหมดดาวดึงส์
เธอก็นั่งตรงนี้ เธอเป็นเทวดาที่มีมเหสักขา (คือ มีฤทธิ์มาก มีบุญมาก) มากกว่าเทวดาองค์อื่น นอกจากพระอินทร์แล้วไม่มีใครยิ่งไปกว่าเธอ อยากจะถามว่า
ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอทำบุญอะไรไว้ จึงเป็นเทวดาที่มีอานุภาพมากอย่างนี้
อินทกะได้กราบทูลองค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า
ในสมัยที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นลูกคนจน ต่อมาบิดาตายก็ต้องเลี้ยงแม่
คำว่า เลี้ยงแม่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการกตัญญูรู้คุณ สนองความดีของแม่ที่ท่านเลี้ยงมา อันนี้มีอานิสงส์สำคัญมาก
สูงมาก
ต่อมา พระสงฆ์ในสำนักขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เดินเฉียดบ้านเข้าไปก่อนเพล ได้นิมนต์พระสงฆ์ทั้งหมดประมาณ ๔ รูป มาถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน
ในชีวิตของท่าน ท่านบอกว่าท่านจนมาก โอกาสที่จะบำเพ็ญกุศลไม่มี มีโอกาสคราวเดียว การบำเพ็ญสังฆทานคราวนี้คราวเดียวและก็เลี้ยงแม่ให้มีความสุขตามฐานะ
เพียงเท่านี้ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าตายจากความเป็นมนุษย์ มาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานแก้ว ๗
ประการเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑ แสน เป็นบริวาร และก็มีวิมานสวยสดงดงามมีความสุขมาก
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การบำเพ็ญกุศลในศาสนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมมีอานิสงส์สูงกว่าการบำเพ็ญกุศลแก่คนนอกศาสนามาก
อย่างอินทกเทพบุตร การที่กล่าวมาอย่างนี้ก็เพราะว่า ในกาลต่อไปก็จะได้พูดถึงบุคคลที่บำเพ็ญกุศลในพุทธศาสนา ที่กล่าวมานี้
แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงรับรองว่าเทวดามีจริง นางฟ้ามีจริง สวรรค์มีจริง นรกมีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง
ตายแล้วมีสภาพไม่สูญจริง อันนี้เป็นหนังสืออ่านเล่น
◄ll กลับสู่สารบัญ
puy - 14/8/10 at 09:59
4
(Update 14-08-53 )
พระตายไปดาวดึงส์
ต่อไปก็ของดเรื่องเทวดาประจำชั้นดาวดึงส์ชั่วคราวเอาเป็นเทวดาจร นั่นคือ เทวดาที่ไปเกิดใหม่
เพราะว่าอาตมาเองก็มีท่านผู้มีคุณ มีพระที่มีคุณอยู่ท่านหนึ่ง ความจริง พระที่มีคุณกับอาตมาก็ดี กับวัดท่าซุงก็ดี นี่มีมาก เพราะว่าการมาอยู่วัดท่าซุงใหม่
ๆ อยู่ทีแรกก็ดี ยังไม่มีคนทำบุญทำกุศลมาก ไม่เป็นไร
พอมีคนทำบุญทำกุศลมากเข้า เกิดกับพุทธศาสนา อาตมาก็เป็นคนไม่ดี ไม่รู้จักตามใจคนในทางที่ผิด ที่นี้มีบุคคลคณะหนึ่งเป็นเจ้าของถิ่น
เขาอยากจะได้ทรัพย์สินประเภทนั้นมาเป็นสมบัติของตน
ตัวอย่างของวัดท่าซุงมีอยู่ว่า วัดโทรมเพราะการขายวัดกิน พระพุทธรูปมากก็ขายพระพุทธรูปกิน และต่อมาวัดโทรม มีการเรี่ยไรทุกปีแต่ไม่ทำ
แบ่งกันใช้แบ่งกันกิน คนประเภทนี้จะเป็นใครบ้าง อาตมาก็ไม่ทราบ ไม่รู้จักหน้า เพียงแต่ว่าก่อนที่จะมาทราบข่าวการเรี่ยไร พอมาเข้าจริง ๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างโทรมเป็นปกติ ไม่มีการทำอะไรขึ้น
ต่อมาคนประเภทนี้ก็เกิดขัดใจ หาทางกลั่นแกล้งทุกอย่าง เพื่อให้อาตมาไปจากวัดนี้ อาตมาสร้างแล้วหลายชิ้นหลายอย่างลงทุนไปล้านบาทเศษ เพื่อพระพุทธศาสนา
ก็เป็นเงินของบรรดาท่านพุทธบริษัทถ้วนหน้าให้มา ก็คิดว่า เราทำเพื่อพระพุทธศาสนา วัดนี้เป็นวัดของพุทธศาสนา ไม่ใช่วัดของโจร
แต่เมื่อโจรมาใช้อำนาจอย่างนี้
เราก็ยอมไม่ได้ มีความจำเป็นต้องอยู่ ความจริงไม่อยากอยู่ เขาก็หาทางกลั่นแกล้งต่าง ๆ ฟ้องร้องบ้าง หาทางโจษจันบ้าง เปิดขยายเสียงด่าบ้าง
ขยายเสียงเขาเปิดที่ศาลาการเปรียญเก่า พวกเขามาก
ก็มีพระกลุ่มหนึ่ง คณะหนึ่ง มี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธาน แล้วก็มี ท่านเจ้าคุณราชรัตนโมลี วัดแก้วแจ่มฟ้า เจ้าคุณราชรัตนกวี วัดอนงคาราม (เป็นเจ้าคุณเทพฯเวลานี้) และก็ เจ้าคุณวิสุทธาธิบดี (ไสว) วัดไตรมิตร และ สมเด็จพุฒาจารย์ วัดสุทัศน์ และก็มี
เจ้าคณะตรวจการภาค (เจ้าคุณธรรมเจดีย์เวลาปัจจุบัน) และก็ ท่านเจ้าคุณราชรัตนโสภณ
รองเจ้าคณะตรวจการภาค อีกองค์หนึ่ง ทั้งหมดนี้รู้สึกว่ามีคุณหนัก ท่านช่วยเต็มกำลัง
นอกจากนั้นก็ช่วยเหมือนกัน แต่ไม่ประจัญหน้านัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเจ้าคุณวัดไตรมิตร คือว่าเจ้าคุณ....
นึกชื่อไม่ออกเสียอีกแล้ว เจ้าคุณไสว วัดไตรมิตรน่ะนะที่มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม กับ สมเด็จพุฒาจารย์ วัดสุทัศน์
เป็นตัวตั้งตัวตี เจรจากับพระในจังหวัดอุทัยธานี ตรง เรียกว่าเป็นนักชนตรงในอันดับแรก
ต่อมาก็เจ้าคุณราชรัตนกวี วัดอนงคาราม (เจ้าคุณเทพฯ ปัจจุบัน) และเจ้าคุณราชรัตนโมลี วัดแก้วแจ่มฟ้า
ก็เข้ามาเป็นตัวแทนของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ในที่สุดงานทุกอย่างก็เป็นไปเรียบร้อยปกติ ทุกอย่างเรียบ
และก็อันธพาลก็เรียบที่สุด
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๑ อาตมากำลังป่วยมาก ทราบข่าวทางโทรศัพท์ว่า เจ้าคุณวัดไตรมิตร พูดไปก็นึกชื่อไม่ออก พระวิสุทธาธิบดี ท่านมรณภาพ ก็คิดว่า พระองค์นี้มีคุณมาก วัดท่าซุงจะตั้งขึ้นมาได้และเจริญรุ่งเรืองเวลานี้
ก็มีท่านส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังสำคัญมาก ช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง
ชื่อว่าเป็นลูกมือของสมเด็จวัดสามพระยา ก็คิดในใจว่า อยากจะไปรดน้ำศพ แต่ก็นอนลุกไม่ขึ้น จะไปจัดงานสวดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ยังไปไม่ไหว ถึงวันที่ ๑๘
ธันวาคม แล้ว ยังลุกจากที่นอนไม่ไหว
วันที่ ๑๘ มีอาการคลายนิดหนึ่ง เวลา ๔ โมงเช้า นอนภาวนาอยู่ ก็คิดถึงท่านว่า ท่านผู้มีคุณของเรา เวลานี้ท่านตายแล้วท่านไปอยู่ที่ไหน
อันดับแรกเราก็ต้องไปดูที่สำนักพระยายมก่อน เพราะยังไม่กี่วันนัก อย่างน้อยที่สุดถ้าบังเอิญผ่านสำนักนั้น ก็ยังไม่มีการสอบสวน
เพราะว่าสำนักพระยายมนี้ก็ไม่ได้ไปนาน ตอนป่วย ๑๐ วันกว่าไม่ได้ไป
พอไปถึงท่านลุงผู้ใหญ่ นายบัญชี ท่านก็ถามว่า คุณมาถามถึงเจ้าคุณไสวใช่ไหม
ท่านไม่เรียกราชทินนาม ท่านเรียกชื่อเดิม ก็บอกว่า ใช่
ท่านบอกว่า คนชื่อ ไสว ที่เป็นพระ เวลานี้ไม่มีบัญชีในเมืองนรก พอฟังเท่านั้นดีใจมาก ขนลุกซู่ ชื่นบาน
ก็นึกว่าพระคุณใหญ่ของท่านผู้มีคุณของเรา เวลานี้ท่านไม่ต้องตกนรก ไม่ต้องทรมาน
แต่ความดีของท่าน จะมีเป็นประการใดบ้างกับคนอื่น อาตมาไม่ทราบ ความไม่ดีของท่านจะมีที่ไหนบ้าง อาตมาไม่ทราบ ทราบแต่ความดีที่ท่านลงทุนลงแรงทุ่มเทมาก
ช่วยอาตมาให้ทรงตัวอยู่ได้ และก็ช่วยให้วัดท่าซุงให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ไม่ได้คณะท่านทั้งหลายเหล่านี้ วัดท่าซุงไม่ปรากฏภาพ
สิ่งที่ปรากฏไปแล้วก็ปรากฏว่าจะต้องถูกขาย เพราะพวกนั้นเขามีอาชีพขาย เขามุ่งเลย อย่างนั้นจะขายเท่านั้น อย่างนี้จะขายเท่านี้ แต่คนพวกนี้ตายไปหมดแล้ว
ไม่เหลืออยู่ เวลานี้ไม่เห็นหน้า ตายไปแล้ว เมื่อทราบว่าท่านไม่มีชื่อในบัญชีก็ดีใจ
ก็ถามท่านนายบัญชีใหญ่ว่า ท่านอยู่ที่ไหน
ท่านนายบัญชีใหญ่ก็บอกว่า ผมบอกก็ได้ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของผม ท่านต้องไปถาม ปัญจสิกขเทพบุตร
เป็นเลขานุการบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ก็ลาท่านไป
ไปหาท่านปัญจสิกขเทพบุตร ถามท่านว่า พระองค์หนึ่งที่ชื่อว่า ไสว อยู่วัดไตรมิตร เวลานี้ท่านอยู่ที่ไหน
ท่านก็ยิ้ม ท่านบอก นี่ยังไง นั่งอยู่ข้าง ๆ คุณ นี่ยังไงล่ะ คนนุ่งผ้าเขียวเป็นมันระยับ แพรวพราว
แล้วก็ใส่เสื้อสีขาวแพรวพราวเป็นระยับ หน้าตาสวยสดงดงามผ่องใสมาก คนนี้น่ะคือ ไสว วัดไตรมิตร
ก็หันไปถามท่าน ท่านยิ้ม และต่างคนต่างก็ยกมือไหว้กัน แต่เวลานี้ท่านไม่ใช่พระเสียแล้ว เป็นเทวดาไปแล้ว
ถามท่านว่า ท่านมาอยู่ชั้นดาวดึงส์รึ
ท่านตอบว่า ใช่
ท่านบอกว่า ขอบใจนะที่ช่วยผมอยู่มาก
ถามว่า ช่วยอะไรท่าน
ท่านบอกว่า การที่นิมนต์ไปที่วัดน่ะผมไม่ได้หมายความว่าถวายเงิน ถวายผ้าไตร แต่ช่วยกำลังใจผมให้มีความชื่นบานในบุญกุศลของท่าน
กำลังใจของผมก็มีปีติ ที่พระที่ผมช่วยไว้เป็นผู้ชนะความชั่ว คือ ชนะความทรุดโทรม มีแต่ความรุ่งโรจน์ทำให้วัดวาอารามรุ่งโรจน์ ทำให้พระพุทธศาสนาเด่นขึ้น
ก็ถามท่านว่า ท่านตายในขณะที่ไปดูงาน ท่านมีกำลังใจเป็นกุศลส่วนไหน จึงมาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้
ท่านก็ตอบว่า จงอย่าลืมว่า ผมไปในงานของพระศาสนา เขาจะตรวจสอบวิชาความรู้ของนักธรรม ผมไปนั้นจิตเป็นธรรมจริง ๆ
ไม่มีกังวลอื่นช่วย ไม่ใช่ไปคิดอยากได้เงินอยากได้ทอง มันอยากได้ที่ไหนมันก็ไม่ได้ เพราะงานนั้นไม่มีค่าแป๊ะเจี๊ยะ ไม่มีเงินไม่มีทอง มีอย่างเดียวคือจ่าย
ผมไป ค่าพาหนะผมก็จ่ายจากทุนของผมเอง ผมไปเพื่อพระศาสนาจริง ๆ กำลังใจของผมไปเพื่อบุญเพื่อกุศล เพื่อให้ความเป็นธรรม
เวลาที่ป่วยลงมาปั๊บ รู้สึกว่ามีอาการวูบลง หน้ามืด พอหน้ามืด ไม่เห็นสิ่งภายนอก ก็ปรากฏสิ่งภายในปรากฏขึ้น
นั่นคือพระพุทธรูปในพระอุโบสถ
พระทองคำ ภาพท่านปรากฏชัด เห็นแสงสว่างมาก ยิ่งดูยิ่งชัด ๆ หนักเข้าใกล้จะถึงวาระจริง ๆ
เห็นท่านยิ้ม พอท่านยิ้ม ผมก็หมดความรู้สึกอีกที ตอนนี้ปรากฏมีร่างกายมาอยู่
สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานแก้ว ๓ ประการเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๕,๐๐๐ คน เป็นบริวาร
ก็เลยบอกว่า ท่านเจ้าคุณ ได้เปรียบนะ เป็นพระไม่มีเมีย แต่เป็นเทวดามีเมียตั้ง ๕,๐๐๐ คน
เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน เวลาเหลือ ๒๐ วินาที จะหมดเวลา ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี
◄ll กลับสู่สารบัญ
5
นางเทพธิดาปูทะเล
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายและท่านผู้รับฟังทั้งหมด วันนี้ก็เป็นรายการของ วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๑ เหมือนกัน แต่รายการนี้ขอให้ชื่อเรื่องว่า นางเทพธิดาปูทะเล สำหรับเรื่องเทวดาก็ดี สวรรค์ก็ดี มนุษยโลก พรหมโลกก็ตาม นรกก็ตาม พระพุทธเจ้ายอมรับรอง
อาตมาก็บวชเข้ามาจากพระไตรปิฎก ก็ยอมรับนับถือว่าพระไตรปิฎกพูดถึงภพต่าง ๆ ไว้ถูกต้องจึงบวชเข้ามา
ฉะนั้นวันนี้หรือต่อไปนี้ขอพูดตามความจริง ในวิชาความรู้ของพระพุทธศาสนา ถ้าใครจะกล่าวโทษโจทย์ความผิดก็ตามใจ
ในเมื่อไม่ผิดจะหาว่าผิดก็ต้องแยกพรรคแยกพวกกัน อยู่เป็นอิสระ อาการนี้ตั้งใจมานานแล้วว่าถูกรบกวนหนักเมื่อไรจะแยกพรรคทันที
เพราะว่าเวลานี้หรือเวลาไหนก็ตาม ไม่ค่อยยอมรับความจริงกัน
ความจริงมีอยู่ในศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมครู แต่ว่าถ้าใครพูดความจริงหาว่ามีความผิด แล้วก็คนที่เป็น มิจฉาทิฏฐิ ล่ะ ถูกอยู่เสมอรึ
สวรรค์มีจริงบอกว่าสวรรค์ไม่มี นรกมีจริง บอกว่านรกไม่มี ตายแล้วมีสภาพสูญ อันนี้มันเป็นศาสนาของเดียรถีย์
แต่พราหมณ์บางพวกเขาก็ยอมรับว่าสวรรค์นรกมีจริง เรื่องนี้ปรารภให้ทราบ ไม่ได้ว่าใคร พูดไว้ก่อน พูดแล้วถ้าเรื่องเกิดจริงก็ทำจริงตามนั้น
เพราะว่าเวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มีมากด้วยกัน สามารถเจริญกรรมฐานในส่วนของวิชชาสามบวกอภิญญาหก อันนี้เป็นความรู้ในพุทธศาสนา
พระน่ะควรจะรู้ทุกองค์ ไม่ใช่ว่าพระจะมานั่งคัดค้าน วิชานี้
วิชาของพระพุทธศาสนา สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
พระมีความจำเป็นต้องรู้ในเมื่อพระมีความจำเป็นต้องรู้ ก็ไม่น่าจะสงสัย ถ้าไม่รู้ก็แสดงว่าท่านไม่ได้สนใจในพุทธศาสนาจริง มันเป็นวิชาความรู้ที่ไม่หนักนัก
แม้แต่เด็กนักเรียนก็ทำได้
เป็นอันว่าที่พูดอย่างนี้เพราะอะไร เพราะว่าต่อนี้ไปก็จะพูดถึงเทวดาหรือนางฟ้าปัจจุบัน ประเดี๋ยวจะหาว่าอวดอุตตริมนุสสธรรมกันอีก
อันนี้ไม่เป็นไร อย่าลืมนะ โจทย์กันเมื่อไร แยกพวกกันเมื่อนั้น หมดเรื่องหมดราวกันไป บอกกันไว้ก่อน ถ้าสงสัยควรจะไปฝึกฝนเสียให้ดี ทำให้มันได้
เขาทำกันได้เยอะแยะไป อย่ามัวติดกระดาษกันอยู่เพลินไปซิ ติดอารมณ์ของใจไว้บ้างจะมีประโยชน์
ขอกล่าวถึงเรื่อง นางเทพธิดาปูทะเล ขณะที่นั่งอยู่กับ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร
ก็ปรากฏว่ามีผู้หญิงประมาณ ๘ คน นับจริง ๆ แล้วได้ ๘ คนจริง ๆ รูปร่างหน้าตาสะสวยงดงามมาก ผิวพรรณผ่องใส เครื่องประดับก็สวย เธอมองหน้าแล้วก็ยิ้ม ๆ
แต่มีคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้อาตมาที่สุด เธอมองหน้าไม่ละ ก็สงสัยว่า เราจะเกิดมีแฟนบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกหรืออย่างไร
คำว่า แฟน เขาแปลว่า คลั่ง เราจะเกิดไปคลั่งกับนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็เป็นไปไม่ได้
เพราะสภาพของคนพูดอยู่ในสภาพ เหลาเหย่ แต่ว่าเวลาที่ออกไปจากกายมันไม่เหลานะ แต่นี่บรรดานางฟ้ากับคนมันรักกันไม่ได้ มันแต่งงานกันไม่ได้
เวลาไปนั้นก็ไปโดยธรรม ถ้ามีนิวรณ์นิดหนึ่งก็ไปไม่ได้ ต้องละนิวรณ์ให้ได้แน่นอน
เฉพาะเวลานั้นทำจิตให้สะอาด ไม่เกาะในอารมณ์ต่าง ๆ ในเมื่อมีอารมณ์ผ่องใสดีแล้ว มันก็หลุดไปเอง ไม่ต้องบังคับให้ไป มันไปของมันเอง
ในเมื่อไปในสภาพจิตผ่องใส อารมณ์กามารมณ์มันก็ไม่มี
แต่ว่าเบื้องหลังของหญิง ๘ คน มีภาพแปลก ความจริงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี่ก็มามาก มาบ่อย แต่ก็ไม่เคยเห็นภาพอัศจรรย์แบบนี้ มันเป็นภาพหญิงคนหนึ่ง
อยู่ไกลออกไปประมาณสัก ๒ เส้น เป็นภาพใหญ่มาก สีเนื้อดำแดง ค่อนข้างดำ อ้วนใหญ่ หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ในความรู้สึกว่าภาพนั้นเป็นภาพของ นางยักษิณี
จึงหันมาถามท่านปัญจสิกขเทพบุตร
ถามว่า บนเมืองสวรรค์นี่มีภาพประเภทไม่สวยอย่างนี้เหมือนกันรึ
ท่านปัญจสิกขะท่านบอกว่า ไม่มี ปกติไม่มี
ก็ถามว่า ฉันขึ้นมาทุกครั้งก็ปรากฏว่าไม่มี แต่วันนี้มันมี มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ท่านปัญจสิกขะก็บอกว่า หญิง ๘ คนนี้ ที่เป็นนางฟ้าอยู่เวลานี้ ที่ท่านเห็น เป็นคนที่มีบาปอยู่เบื้องหลัง
นั่นก็หมายความว่า ในระยะต้นสร้างบาปไว้มาก แต่ว่าไม่ถึง อนันตริยกรรม คือกรรมไม่หนักเกินไป มาตอนใกล้จะตาย หรือช่วงหลังของชีวิต ทำกำลังใจเป็น
สัมมาทิฏฐิ รู้จักการให้ทาน รู้จักการรักษาศีล รู้จักการเจริญภาวนา เรียกว่าเอากำลังความดีลบความชั่วไว้ชั่วขณะหนึ่ง เวลาที่จะตายจิตใจก็เกาะความดี
ในที่สุดก็มาเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกก่อน แต่ทว่าบาปยังติดตามอยู่ ถ้าเธอต้องจุติไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เมื่อไร
และก็ไม่สร้างความดีไว้เพื่อการป้องกัน นั่นหมายความว่าบาปต้องดึงเธอทั้งหมดลงอบายภูมิทันที
นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท หรือท่านผู้อ่าน ฟังแล้ว อ่านแล้วก็จงคิดตามว่า ตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา เวลาจะตาย จิตใจเป็นอกุศล หรือเศร้าหมองนิดหน่อย ไปอบายภูมิทันที
จิตเต ปาริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา ก่อนจะตาย แม้แต่จิตใจผ่องใสในด้านของบุญกุศลนิดหน่อย ก็ไปสวรรค์ทันที
ก็รวมความว่าหญิงทั้ง ๘ คนนี้ มีบาปหนัก แต่ว่าไม่หนักถึง อนันตริยกรรม แต่ทว่าเธอจับกำลังบุญไว้ภายหลัง ก่อนจะตาย
ต่อจากนั้นก็หันไปถาม นางเทพธิดาปูทะเล
ถามว่าน้องหญิง อยากจะทราบว่าสมัยที่เป็นมนุษย์เธออยู่ที่ไหน
เธอก็ตอบทันทีว่า จำฉันไม่ได้รึ
ก็เลยบอก ถ้าอย่างนั้นขอดูภาพเดิม ภาพเดิมของเธอบรรดาท่านผู้ฟัง เป็นคนรูปหล่อจริง ๆ แต่หล่อประเภทที่ยังไม่ได้ขัด
นั่นก็หมายความว่าให้ดูของที่เขาหล่อใหม่ ๆ ยังไม่ตบไม่แต่ง ไม่ขัด มันเป็นอย่างไร เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เป็นคนแก่ อายุจริง ๆ ก็ประมาณสัก ๕๐ ปีเศษ ใกล้
๖๐ ปี ผิวเนื้อดำแดง ค่อนข้างดำ ร่างใหญ่เทอะทะ
เลยถามเธอว่า รูปหุ่นของเธอเป็นอย่างนี้รึ เธอมีสามีหรือเปล่า
เธอก็ตอบว่ามี ก็เป็นอันว่าคนที่มีสามี แสดงว่าเคยเป็นคนสวย เพราะถ้าไม่มีชายใดเห็นว่าสวย เขาก็ไม่ดึงเธอ
ไม่รับเธอมาเป็นภรรยา
ขอดูภาพต้น เธอก็ให้เห็นตั้งแต่สมัยเธอเป็นเด็ก แล้วก็เป็นสาววัยรุ่น เป็นสาวโต สาวใหญ่ แต่งงาน รวมความว่าร่างกายของเธอมาเปลี่ยนแปลงตอนอายุใกล้ ๔๐
ตอนเป็นเด็กกับเป็นสาวรุ่น เป็นสาวโตก็ตาม รูปร่างหน้าตาดี ทรวดทรงดี ผิวพรรณก็รู้สึกว่าจะไม่ดำ ผิวเนื้อดำแดง เกลี้ยง
แต่ว่าอาชีพของเธอ เธอเป็นคนจน เวลานั้นอาชีพจริง ๆ ก็คือ หาปูทะเล จับปูทะเลมาขาย ปูทะเลจับมาได้ก็ต้องมัด แล้วเขาทำอะไรบ้างก็ไม่ทราบ
มัดน่ะมัดแน่ เก่งเสียด้วย จับปั๊บมาเดี๋ยวมัดปุ๊บ จับปั๊บมัดปุ๊บ แม้แต่เป็นเด็กก็คล่อง อย่างคนพูดจะไปจับบ้างมีความหวังว่าปูทะเลงับ เอาก้ามหนีบตายแน่
เธอคล่องแคล่วได้แล้วก็เอามาขาย เป็นสาวก็ทำอย่างนั้น แต่งงานแล้วก็ทำอย่างนั้น
มาเปลี่ยนแปลงเอาจริง ๆ เมื่ออายุ ๓๐ ปีเศษ ตอน ๓๐ ปีเศษนี่ มีทุนอยู่บ้าง ไม่จับปูแล้ว ขายปูได้กำไรพอสมควร เป็นคนซื้อปูมาขาย
เป็นอันว่าการซื้อปูมาขายก็ปูที่เขาจับมา และถูกมัดแต้ เธอก็คุมเพื่อการขาย บรรดาท่านทั้งหลายก็ลองนึกดูว่า
สภาพถูกมัดกระดิกกระเดี้ยไม่ได้แบบนั้นมันจะมีการทรมาน มีการเจ็บการปวดการเมื่อยขนาดไหน ทรมานขนาดไหน สภาพของปูทะเลก็มีสภาพแบบนั้นเหมือนกัน
ก็สรุปแล้วว่า เธอทำบาปอย่างหนัก นี่บาปที่ติดตามมาที่เห็นเป็นภาพนางยักษิณีโผล่ขึ้นมาน่ะ เป็นแบบนั้น
ทีนี้ก็มาตอนหลังเมื่ออายุเข้า ๔๐ ปี แต่ความจริง ในตอนระยะต้น ๆ ตั้งแต่เด็กมา เป็นสาวมา สาวเล็ก สาวใหญ่ แต่งงานแล้วก็ตาม บุญเธอก็ทำบ้าง
แต่บุญทำแบบผิวเผินจริง ๆ นั่นก็หมายความว่าใส่บาตรบ้าง นาน ๆ ก็ใส่ครั้งนาน ๆ เขามีเทศน์ก็ไปฟังบ้าง แต่ก็ไม่ตั้งใจนัก เขาทำบุญเรี่ยไรก็ทำบ้าง
แต่ไม่ได้ตั้งใจมาก ทำประเภทปัดสวะให้ผ่านพ้นไป
ฉะนั้น ท่านทั้งหลายที่แจกฎีกาพึงทราบว่า คนที่เขาทำบุญตามฎีกามา มันจำใจทำกันมา แต่ก็ได้บุญ ถึงแม้จะได้บุญไม่เต็มเม็ดไม่เต็มหน่วย
อย่างชาวบ้านเขามีข้าว ๑ กาละมัง ได้บุญเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราได้บุญไม่เต็มเม็ดไม่เต็มหน่วย มีข้าว ๑ จาน ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย รวมความว่าเธอทำมา
ต่อมาเมื่ออายุ ๔๐ ปีเศษ ๆ ก็มีความรู้สึกว่า อาชีพเดิมทั้งหมด มันบาปทั้งหมด บังเอิญมีพระที่น่าเคารพท่านหนึ่ง ท่านไปอธิบายให้ฟัง พระใกล้บ้าน
เป็นพระหลวงตา ท่านอธิบายให้ฟังว่า ไอ้การทำแบบนี้มันบาป และพระหลวงตานั้นก็เป็นพระที่ไปรับบาตรประจำ ผ่านอยู่เสมอ ในที่สุดก็ละจากอาชีพนั้น
มาเป็นอาชีพรับจ้างอย่างอื่น ที่ไม่เป็นบาป
ตอนหลังนี่ตั้งหน้าตั้งตาทำบุญ แต่ความจริงน่าขอบคุณหลวงตาองค์นั้นท่าน และมาระยะใกล้จะตาย ๔ เดือน เธอก็มีโอกาสมาที่ วัดท่าซุง
เธอเล่าให้ฟังนะ บุญใหญ่เธอทำมาเป็นปกติ ใส่บาตรก็ทำมา ฟังเทศน์ก็ทำมา ใครเขาไปเรี่ยไรก็ให้ ทำมาเรื่อย ๆ จิตใจเป็นบุญกุศลที่มาวัดท่าซุงนี่ก็มา
เป่ายันต์เกราะเพชร
เห็นวัดเข้าก็ชอบใจ ก็คิดในใจว่า วัดสวย ๆ แบบนี้หายาก เธอก็ไปสนใจมณฑปแก้วที่ปิดกระจกทั้งข้างนอกข้างใน สนใจมาก
เข้าไปนั่งไหว้พระ ดูภาพพระก็ชอบใจ เห็นมณฑปก็ชอบใจ มีจิตใจสดชื่น ไปนั่งนานจนกว่าจะได้ถึงเวลาเป่ายันต์เกราะเพชร ก็ไปรับยันต์ฯ เมื่อไปรับยันต์ฯ ตอนเช้า ๔
โมงเช้าแล้ว ปรากฏว่ารถเขาประกาศว่าเขาจะออก ๔ โมงเย็น ก็ไปนั่งป๋ออยู่ที่มณฑปแก้วตามปกติ สดชื่นมาก จิตใจจับที่นั่น
ต่อมาได้ทราบข่าวว่าที่ซอยสายลม มีพระวัดท่าซุงไปสอนกรรมฐานที่นั่น เธอก็ไป ไปกับเขาด้วย ไปเจริญกรรมฐานวันแรก เธอบอกว่า ภาพพระที่มองเห็น
เวลาลืมตาเวลาหลับตาแล้ว เปลี่ยนพระใหม่ พระองค์นั้นไม่เห็น เป็นพระปูไป บรรดาปูที่คลานยั้วเยี้ยที่เธอจับมาก็ดี กำลังภาพมัดปูก็ตาม ขายปูก็ตาม
นั่งขายปูก็ตาม
ก็รวมความว่า ภาพนั้นปรากฏเต็มไปหมด จะมองเท่าไรก็ไม่เห็นพระ เห็นแต่ปูแทน ในที่สุดลืมตา ทิ้งภาพปู ลืมตาดูพระใหม่ พอเห็นภาพพระแจ่มใสดีสดชื่น
เมื่อลืมตาแบบนั้น นาน ๆ หน่อยก็หลับตาปุ๊บ เมื่อหลับตาไปทีแรกก็ปรากฏว่าเห็นปูอีก เป็นอันว่าวันแรกของการเจริญกรรมฐาน คือ เป็นวันเสาร์ ไม่มีผลเป็นพระ
มีผลเป็นปูทะเล เธอก็เศร้าสลดใจ
ต่อมาถึงการอุทิศส่วนกุศล พระท่านแนะนำบอกว่า ให้พระยายมและเทพเจ้าเป็นพยานในการบำเพ็ญกุศล และท่านอธิบายว่า
เผอิญพระยายมท่านบอกว่า ถ้าใครทำบุญไว้ เวลาอุทิศส่วนกุศลให้ฉันเป็นพยาน ถ้าบังเอิญที่จะต้องผ่านสำนักฉัน การสอบสวนเรื่องบาปก็ไม่มี
ฉันจะเป็นพยานให้ เพราะบุญมีอยู่ จะส่งไปสวรรค์ก่อน
เธอก็บอกว่า ดีใจถ้อยคำนี้ เวลาท่านนำอุทิศส่วนกุศลก็สดชื่นมาก ตั้งใจจริง ๆ เพราะว่าเจ้าปูเป็นเหตุ อย่างไร ๆ ไม่ขอลงนรกแน่
เธอคิดในใจว่าถ้าขืนลงนรกเสียท่าปู ปูมันตามหนีบกันแน่ ปูมันเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เจ็บตาย เธอไม่ได้คิดถึงไฟ คิดถึงปูอย่างเดียว แล้วก็กลับบ้าน
ก่อนที่จะกลับบ้าน ตอนนั้นก็ถวายสังฆทานก่อน พอเสร็จจากการอุทิศส่วนกุศลแล้วก็วิ่งแร่เข้าไปหาจุดสังฆทาน จะเอาชุดใหญ่ ๕๐๐ ๘๐๐
๑,๐๐๐ ๒,๐๐๐ สตางค์ก็ไม่มี มีสตางค์ผสมผเสได้ ๑๐๐ บาท เอาชุด ๑๐๐ เถิด ก็เอาชุด ๑๐๐ มา
วันรุ่งขึ้นไปใหม่ ตั้งใจว่าไปทีแรก จะถวายสังฆทานทันที ชุด ๑๐๐ บาท ก็ทำสังฆทานชุด ๑๐๐ บาท ชุดเล็ก และก็ฟังการคุยไป นั่งดูพระพุทธรูปไป
ตัดสินใจ วันนี้จะไม่ยอมให้ปูเข้ามากวนใจ จะขออยู่กับพระพุทธรูป หลับตาบ้าง ลืมตาบ้าง ใครจะคุยอย่างไรก็ช่าง สนใจพระพุทธรูปอย่างเดียว
พอตอนกลางคืน เจริญกรรมฐานเสร็จ ก็ถวายสังฆทานอีกครั้ง แต่ว่าตอนคืนที่ ๒ ปรากฏว่าเวลาหลับตา ปูกับพระแย่งกัน
ประเดี๋ยวภาพพระเกิดขึ้นบ้าง เห็นภาพปูบ้าง ภาพพระบ้าง ภาพปูบ้าง สลับกัน เธอก็ดีใจว่าวันนี้พระสู้กับปูแล้ว ปูกับพระสู้กัน ปูแพ้ ปูเกิดขึ้นมาน้อยภาพ
เห็นภาพพระมาก เห็นภาพปูน้อย
ต่อมาวันที่ ๓ ทำอย่างนั้นอีก วันนี้ชนะเด็ดขาด ปูไม่ปรากฏ เห็นแต่พระอย่างเดียว ไปถึงแล้วปั๊บ ไม่ต้องการอะไรทั้งหมด
ตั้งหน้าตั้งตา ตาจ้องภาพพระพุทธรูป กับพระสงฆ์ที่พูด เอา ๒ พระ พระนี่ขับปู ก็รวมความว่าได้ผล วันนี้ปูไม่ปรากฏ เอาพระพุทธรูปด้วย เอาพระสงฆ์ด้วย
ช่วยกันขับปู
มองลีลาของพระสงฆ์ที่นั่ง มองลีลาของพระสงฆ์ที่พูดบ้าง จำลีลาและจำภาพพระพุทธรูปบ้าง ดู ๒ อย่าง อย่างไหนเลือน จับอีกอย่างหนึ่งเข้ามาแทน วันนี้ชัด เห็นทั้งภาพพระพุทธรูป เห็นทั้งภาพพระสงฆ์ ปูไม่เกิด เธอก็ดีใจมาก
ก็รวมความว่าทำอย่างนี้มาได้ ๓ ครั้ง วาระที่สุดของชีวิตของเธอก็มาถึงเวลาที่มันจะตายจริง ๆ อาการป่วย ป่วยกระเสาะกระแสะมาหลายวัน มันปวดศีรษะบ้าง
แน่นหน้าอกบ้าง เสียดท้องบ้าง เป็นปกติ แต่ในเวลานั้นก็ตั้งใจภาวนาว่า พุทโธ
นึกถึงภาพพระกับพระสงฆ์ที่เคยเห็น ภาพก็ชัดเจน แจ่มใสเป็นบางกำลัง บางทีมันปวดมาก ภาพก็หายไป มันคลายหน่อยก็ปรากฏว่าจิตเห็นภาพ แต่ใจไม่ยอมปลด
มันจะปวดอย่างไรก็ตาม ตั้งใจ นะมะพะธะ บ้าง พุทโธ บ้าง จับภาพพระสงฆ์บ้าง จับภาพพระพุทธบ้าง สลับกัน ในที่สุดเธอก็ตาย
เวลาจะตายเธอบอกว่า ไม่มีความรู้สึกว่ามันจะตาย มันเป็นแต่มีความรู้สึกวูบหนึ่ง อาการปรากฏทีแรกมันอืดเสียดมาก อาการอืดเสียดหายไป มึนงงหายไป
จิตเป็นสุข อารมณ์เป็นสุขมาก มีความเยือกเย็น มีความสบาย ใจจับภาพพระพุทธรูป ภาวนาว่า พุทโธ เดี๋ยวก็
พุทโธ บ้าง เดี๋ยวก็ นะมะพะธะ บ้าง ก็ตีกัน ๒ อย่าง
แต่ไม่เป็นไร ก็เป็นคุณทั้งหมด ภาพพระก็เกิด มีสภาพแจ่มใส สดใสขึ้น สวยขึ้น ๆ ตามลำดับ เป็นทองอร่ามขึ้น ในที่สุด พระยิ้ม
เมื่อเห็นภาพพระพุทธรูปยิ้ม เธอก็มีอาการสดชื่น
ตอนนั้นเองบรรดาท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่าน มาตอนนี้ เธอคุยบอกว่า มีความรู้สึกว่าวูบเหมือนกับตกจากที่สูง
และมีความรู้สึกอีกทีหนึ่งมาอยู่บนวิมานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก วิมานของเธอแจ่มใสมาก สดสวยมาก แพรวพราวเป็นระยับ เป็นสีน้ำมันก๊าด เป็นเพชรสีน้ำมันก๊าด
ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร จะว่าขาวก็ไม่ใช่ มันใสนะ
ถามเธอว่าที่ได้วิมานอย่างนี้เพราะอะไร
เธอตอบทันทีว่า เพราะสนใจในมณฑปแก้ว และพระพุทธรูปในมณฑปแก้ว
ถามว่า ไปในมณฑปนั่นกี่ครั้ง
เธอบอกว่า ไป ๓ ครั้ง ติดใจ เวลามีงานก็ไป ยามปกติก็ไป เวลาไปก็ต้องขึ้นมณฑปก่อน ไปนั่งหน้าพระภาวนาให้สบาย ตัดภาพปูทิ้งไป
เห็นพระแทน ดูภาพมณฑปก็ชอบใจ อันนี้เป็นปัจจัยให้ได้วิมานแก้ว ใสมาก สว่างมาก
ถามว่าเธอมีนางฟ้าเป็นบริวารเท่าไร เธอมีนางฟ้าเป็นบริวารหรือมีเทพบุตรเป็นบริวาร
เธอก็ยิ้ม เธอบอกว่า ไม่มีเทวดาเป็นบริวารเจ้าค่ะ มีแต่นางฟ้าเป็นบริวาร นางฟ้าที่เป็นบริวารนั้นก็มี ๔,๐๐๐ คน
เครื่องประดับประดาก็มาก
ก็บอกเธอว่า อยากจะเห็นวิมาน ก็ปรากฏว่าเวลานั้นวิมานลอยมา
ในเมืองสวรรค์นี่แปลกบรรดาท่านผู้ฟัง บ้านเรามีบ้าน ยกบ้านไปไหนไม่ได้ แต่ประเทศอเมริกาเขามีบ้านใส่รถยนต์ไปได้ เขาลากไปได้ นั่นต้องใช้รถลาก
แต่ว่าวิมานบนสวรรค์ บ้านบนสวรรค์นี่ไม่ต้องลาก พอต้องการอยากจะเห็นวิมาน วิมานก็ลอยมาทันที นางฟ้าทั้งหมดหน้าตาแจ่มใสมาก วิมานของเธอโตมาก
และมีความสว่างไสวมาก
ก็ถามเธอว่า เธอมีความรู้สึกอย่างไร เรื่องบาปเก่า เวลานี้ภาพนางยักษิณียังปรากฏอยู่ เธอก็บอกว่าทราบ
ภาพนางยักษิณีนี่ความจริงไม่ใช่นางยักษิณีจริง เป็นภาพที่แสดงออก เมื่อท่านปรากฏนี่เอง ตามปกติฉันไม่เห็น แต่ว่าภาพนั้นคงเป็นพยานให้ท่านทราบ
ฉันยังเป็นคนมีบาป
ถามเธอว่า เธอทราบไหม ถ้าหมดบุญจากสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกเธอจะไปไหน
เธอก็ตอบว่าทราบ เขาจะนำฉันไปไว้นรกชั้นที่ ๕
ก็ถามเธอว่า จะไปไหม
เธอก็ตอบว่า ที่ไปซอยสายลม พระสอนบอกว่า ให้หนีไปนิพพาน เวลานี้ฉันก็ตั้งใจไปนิพพาน
ฉันไปฟังเทศน์ที่พระจุฬามณีเจดียสถานเสมอ และก็ที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ และที่ ประชุมเทวสภา
ก็มีหลายวาระที่บรรดาพระโพธิสัตว์ท่านมาเทศน์ วันไหนพระโพธิสัตว์ไม่มา ไม่ว่าง ก็พระอินทร์ท่านก็เทศน์แทน ท่านเทศน์สงเคราะห์ ให้เทวดาทุกคนบำเพ็ญกุศลต่อ
ให้ทุกคนมองดูกรรมของตัวเอง ว่ากรรมที่เป็นอกุศล ที่ดั้งเดิม ก่อนที่จะตาย มีกรรมที่เป็นอกุศลมีไหม
และกรรมที่เป็นอกุศลนั้นทิ้งเราหรือยัง เทวดาหรือนางฟ้าทุกคนก็ปฏิบัติตามท่าน รวมความว่า ไม่มีเทวดา
ไม่มีนางฟ้าองค์ไหนที่ไม่มีบาปกรรมต่อท้ายอยู่เบื้องหลังควบคุมอยู่เบื้องล่าง ฉะนั้น เทวดาหรือนางฟ้าทุกองค์ ก็ตั้งใจบำเพ็ญกุศลหวังไปนิพพาน
เมื่อคุยกับเธอจบ ก็ถามเธอว่า เธอมีอะไรจะสั่งไปถึงพวกบ้านไหม
เธอก็ตอบว่า ฉันก็ขอสั่ง สั่งตามท่าน ท่านเขียนหนังสือแล้วก็บอกเขาด้วยนะว่า ฉันคนชื่อ ป. อยู่หน้า ตายเมื่ออายุ ๕๗ ปี
อาชีพเดิมจับปูและก็ขายปู ต่อมาเมื่ออายุ ๔๐ ปีเศษ ก็ปรากฏว่าเป็นนักบุญ เวลานี้ มีความสุขมาก
แต่ว่าไอ้กรรมเก่า ขอบรรดาลูกหลานทุกคนที่อยู่ในเมืองมนุษย์คิดว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นปัจจัยให้เกิดความสุขแก่ตัวเองนั้น
ความจริงไม่จริง มันจะลากไปอบายภูมิ จะมีความทุกข์หนัก ความสุขนิดหนึ่ง ที่ทำให้ร่างกายอิ่ม ไม่มีความสำคัญ ไม่คุ้มกัน
ฉะนั้นขอบรรดาลูกหลานและพี่น้องทุกคน จงละบาปอกุศล ทำงานรับจ้างเขาที่ไม่เป็นบาปดีกว่า
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า มองดูเวลาแล้วก็เหลือนาทีเศษ ๆ จะหมดเทปที่ตั้งไว้ ก็ต้องขอลาก่อนขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี
◄ll กลับสู่สารบัญ
puy - 21/8/10 at 10:39
6
(Update 21-08-53 )
นางฟ้าปลาทู
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มาคุยกันถึงเขตของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ความจริงการบันทึกวันนี้ เป็นการบันทึก วันที่ ๒๐
ธันวาคม ๒๕๓๑ แต่ว่ารายการที่พูดเป็นรายการของ วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๑ เพราะภาพนิมิตที่เห็น เห็นเมื่อวันที่ ๑๘
ธันวาคม
ขอทบทวนนิดหนึ่งว่า มีนางฟ้ากลุ่มหนึ่งที่นิมิต อาตมานิมิตไปว่าไปสำนักของ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร
ไปตามคำแนะนำของท่านนายบัญชีใหญ่ เมืองนรก ซึ่งท่านบอกว่า พระชื่อไสวที่ตายมาแล้วไม่มีในบัญชีนรก ถ้าต้องการอยากจะทราบจริง ๆ ว่าอยู่ที่ไหนให้ไปถาม
ปัญจสิกขเทพบุตร ซึ่งเป็นเลขานุการหรือนายบัญชีชองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตามนิมิตนั้น
พอพูดจบภาพก็ลอยปุ๊บเดียวมันก็ถึง ในเมื่อถึงแล้ว ก็ถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า เวลานี้คนชื่อไสวที่เป็นพระตายมาเมื่อวันที่ ๑๒
ธันวาคม ๒๕๓๑ มีในบัญชีสวรรค์ไหม ท่านก็ชี้ให้ดูเทพบุตรองค์หนึ่งว่า คนชื่อไสว คือ เทพบุตรองค์นี้
ตามนิมิตเป็นอย่างนี้นะบรรดาท่านพุทธบริษัท
คำว่า นิมิต เป็นภาพที่ปรากฏในขณะที่จิตเป็นสมาธิ เป็นภาพที่ไม่สามารถจะบังคับได้ ในเมื่อบังคับไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไปตามสภาพนิมิต
จะเป็นอย่างไรก็ว่ากันตามนิมิต จะผิดหรือจะถูกก็เป็นเรื่องของนิมิต
ต่อมาก็มาพบนางฟ้าชุดหนึ่ง ๘ คนด้วยกัน เธอมีรูปร่างหน้าตาสะสวย แต่ทว่านางฟ้า ๘ คนนี้มีลักษณะแปลกจุดหนึ่ง นั่นคือเบื้องหลังออกไป
มีภาพนางยักษิณี ตัวใหญ่มาก ลอยอยู่เบื้องหลัง จึงได้ถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า
บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตามที่เคยมาแล้วไม่ปรากฏอย่างนี้ อยากจะถามว่า ภาพประเภทนี้มีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นประจำหรือ
ท่านปัญจสิกขเทพบุตรก็บอกว่า ไม่มีเป็นประจำ และไม่เคยมีมาก่อน ภาพอย่างนี้ที่ปรากฏ
ก็ปรากฏเฉพาะเมื่อท่านขึ้นมาแล้วหญิงพวกนี้มานั่ง ภาพเกิดข้างหลังนี้แสดงว่า หญิง ๘ คนนี้ เวลานี้เป็นนางฟ้า คือเป็นนางฟ้าของชั้นดาวดึงส์บ้าง
เป็นนางฟ้าของชั้นยามาบ้าง แต่ว่าทุกคนมีบาปอยู่เบื้องหลัง นั่นก็หมายความว่าในระยะต้นทำบุญบ้าง ทำบาปบ้าง บาปก็มีกำลังดีพอสมควร
แต่ทว่าเวลาใกล้จะตาย ทำบุญ จิตยอมรับนับถือสิ่งที่เป็นกุศลในขณะจะตาย บุญก็พามาสวรรค์ก่อน ฉะนั้นภาพที่ปรากฏขึ้นนี้จึงแสดงออกว่า เขาบอกว่า หญิงทั้ง ๘ คนนี้ยังมีบาปคอยอยู่เบื้องหลัง ถ้าจุติจากนางฟ้าเมื่อไร ไม่บำเพ็ญกุศลต่อ บาปก็ดึงลงอบายภูมิทันที
นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท ฟังแล้วก็คิดไว้ด้วย รวบรวมกำลังใจไว้เพื่อความดี วันนี้ก็จะขอคุยรายการของวันที่ ๑๘ ธันวาคมต่อไป ยังเหลืออยู่
ขณะที่คุยกับนางฟ้าปูทะเลเสร็จ ก็มีนางฟ้าคนที่ ๒ เลื่อนเข้ามา นางฟ้าปูทะเลถอยออกไป เธอมองหน้าแล้วก็ยิ้ม คนนี้มองหน้าแล้วก็ยิ้มเหมือนกัน
ถามเธอว่า เธอเคยรู้จักฉันหรือ
เธอก็ตอบง่าย ๆ ว่า ตัวต่อตัวไม่เคยรู้จักกัน นั่นก็หมายความว่าในสมัยที่มีชีวิตอยู่ไม่เคยรู้จักกัน
แต่ทว่าเคยเห็นภาพถ่ายตามหนังสือพิมพ์บ้าง เคยดูโทรทัศน์พบ ที่เทศน์โทรทัศน์บ้าง จำได้ แล้วก็ได้ยินชื่อเสียงอยู่เสมอ คนเขาพูดให้ฟัง
แต่เวลาที่จะไปหาจะไปคุยด้วยไม่มี เพราะมีธุระมาก
ถามเธอว่า เวลานี้เธอเป็นนางฟ้าของสวรรค์ชั้นไหน
เธอก็ตอบว่า เป็นนางฟ้าของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ก็ถามเธอว่า วิมานของเธอสวยไหม
เธอก็ตอบว่า วิมานสวย สวยกว่าบ้านที่เมืองมนุษย์มาก
ถามว่า บ้านที่เมืองมนุษย์ของเธอเป็นบ้านไม้หรือบ้านตึก
เธอก็ตอบว่า ตอนแรก ๆ เดิมทีเดียวเป็นบ้านไม้ ภายหลังเป็นบ้านตึก ตึกสร้างเองไม่ได้เช่าเขา แต่ว่าเป็นตึกย่อม ๆ ๓ ห้องนอน
พออยู่ระหว่างพ่อแม่และลูก
ก็ถามว่า เธอมีอาชีพอะไร
เธอก็ตอบว่า เดิมทีเดียวเป็นคนทำปลา ขนปลาจากเรือตังเก
ลืมบอกบรรดาท่านพุทธบริษัทไปว่า เรื่องนี้ให้ชื่อว่า นางฟ้าปลาทู จำให้ดีนะ ม้วนที่แล้วเป็น นางฟ้าปูทะเล คนนี้ เป็น นางฟ้าปลาทู
เธอก็บอกว่า ตามปกติเธอเป็นลูกจ้างเขา ขนปลาจากเรือตังเก แล้วก็แยกส่วนของปลา ปลาที่เธอสนใจมากที่สุดก็คือ ปลาทู เพราะเรือตังเกจะได้ปลาทูมามาก
ถ้าวันไหนได้ปลาทูมามาก เจ้าของทำการค้าเขาก็แบ่งให้มาก วันไหนได้น้อยเขาก็แบ่งให้น้อย แต่ค่าจ้างแรงงานนั้นมีอยู่ สำหรับปลานี้เขาแจกให้คนงาน
เพื่อให้ไปกินที่บ้านตามสมควร เธอก็บอกว่า ชีวิตของเธอ นอกจากค่าแรงงาน ก็ได้อาศัยปลาทูและปลาทะเลบางส่วน ช่วยให้ทรงชีวิตได้ นอกจากจะรับจ้างเขาแล้ว
ต่อมาก็มาดำริว่า บรรดาลูกจ้างทั้งหลายมีเงินน้อย แต่ละวันนายจ้างก็เลี้ยง แต่ว่าอาหารบางส่วนอาจจะไม่เป็นที่พอใจของลูกจ้าง เพราะกินซ้ำ ๆ ซาก ๆ
ก็มีการซื้อพิเศษกินกันในตอนบ่าย นอกเวลาที่เขาเลี้ยง เธอก็พยายามทำข้าวแกง และอาหารบางส่วน สิ่งใดที่คนงานชอบก็ทำสิ่งนั้นทำแล้วก็ให้ลูกสาวหาบไปขาย
เธอทำงานรับจ้าง ลูกสาวอยู่บ้าน หาบเอาไปขาย ก็รวมความว่าการขายอาหารหาบนี้เป็นปัจจัยให้เกิดความสุขมาก เป็นปัจจัยให้ก่อฐานะได้ดี วิธีขายของเธอก็
๑. ตักข้าวให้มาก
๒. แกงหรือกับให้สมควรแก่ข้าว
และก็ประการที่ ๓. ๑ จาน ราคาถูกกว่าที่อื่น ๑ บาท
ข้าวของเธอก็ร้อนเสมอ หุงข้าวใส่หม้อไป แต่ว่าทำซึ้งไว้นึ่ง นึ่งข้าวให้ร้อน แกงก็ทำเตานึ่ง นึ่งให้ร้อน ทำอย่างนี้ เป็นที่ถูกใจของคนกินมาก
ต่อมาเมื่อฝีมือเป็นที่ชอบใจของคนงาน ก็ขยายงานออกไปตอนเช้าตรู่ ก็จ้างคน ๒-๓ คน มาช่วยหาบและช่วยตัก เอาไปขายที่ท่าเรือ เรือเขามาจอด เรือเมล์มาจอด
คนขึ้นลงมาก ตอนเช้าตรู่คนหิว เธอไปขายที่นั่นก็ทำแบบนั้น ขายราคาถูก ๑ บาท แล้วข้าวก็มาก แกงก็มาก คนก็ชอบใจ
เป็นอันว่าเป็นเหตุให้เธอได้สตางค์มาก กำไรน้อยก็จริงแต่คนจองมาก ถ้าเธอยังไม่ไป ส่วนใหญ่เขาจะไม่ซื้อคนอื่นกิน จนกว่าว่าถ้าวันไหนสายแล้วเธอไม่ไปจริง
ๆ เขาจึงจะซื้อคนอื่นกิน การค้าแบบนี้เป็นเหตุให้เธอเกิดความร่ำรวย
แล้วก็ถามเธอว่า การขายแบบนั้นมันได้กำไรหรือไม่ขาดทุนหรือ
เธอก็บอกว่า กำไรจริง ๆ เกือบ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ จะเห็นได้ว่าการขายข้าวแกงกำไรมาก แต่เธอก็บอกว่า เธอไม่ได้เสียค่าเช่าที่
ไม่ได้เสียค่าเช่าห้อง เป็นบ้านของตัวเองก็มีกำไรตอนนี้ด้วย คนงานส่วนใหญ่ก็เป็นลูก จ้างคนงานเขามาเพิ่ม ๓ คน ตอนเช้าขายที่ท่าเรือ ตอนบ่าย ๆ
หลังจากเที่ยงไปแล้วก็ขายตามโรงงาน แยกกันขาย เป็นเหตุให้ได้สตางค์มาก
ถามเธอว่า เธอมาในกลุ่มของภาพนางยักษิณีติดตามมา เธอมีบาปอะไรหรือ
เธอก็ตอบว่า ถ้าถามถึงบาปจริง ๆ ก็มีหลายอย่าง อย่างการฆ่าสัตว์ก็เคยฆ่า ปลาก็เคยฆ่า มดก็เคยฆ่า ยุงก็เคยฆ่า ฆ่าหลายอย่าง
แต่ฆ่าไม่หนักนัก ถึงอย่างนั้นก็บาป สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดที่ติดตามมาก็คือว่า จิตใจพอใจในปลา พอใจในปลาที่เจ้านายเขาได้มาจากเรือตังเก
วันไหนถ้าเรือตังเกนำปลามามาก วันนั้นก็ดีใจ วันไหนได้ปลามาน้อยก็ดีใจน้อยไปหน่อย ก็ใจเสียไปนิดหนึ่ง ที่ดีใจมากเสียใจ ก็เพราะว่า
ถ้าวันไหนเขาได้ปลามากได้แบ่งมาก วันไหนได้ปลาน้อยเขาแจกให้น้อย การที่เขาแจกปลาให้ ไม่ต้องมีการลงทุนในการซื้อปลา
ก็ถามเธอว่า การดีใจกับการไม่ดีใจ ในเมื่อเขาได้ปลามากปลาน้อยก็ไม่น่าจะเป็นบาป
เธอก็ตอบว่า มันต้องบาป เพราะยินดีในการหามาได้ของเขา นั่นคือหาล่าชีวิตของปลามา ก็ถามว่า ยินดีเฉย ๆ มันจะบาปได้อย่างไร
เธอก็แสนฉลาด พอถามเธอแล้ว
เธอก็ยิ้ม เธอก็ตอบว่า พระคุณเจ้าคงลืมไปว่า คนใดที่เขาทำบุญ คนที่ไม่มีทรัพย์จะทำบุญ โมทนาย่อมได้อานิสงส์พิเศษ
คือพลอยได้บุญกับเขาด้วย ถ้าเจ้าของบุญเป็นเทวดาได้ คนนั้นก็เป็นเทวดาได้ เจ้าของบุญเป็นนางฟ้าได้ คนนั้นก็เป็นนางฟ้าได้
ถ้าเจ้าของบุญหัวหน้าบุญเป็นพระอรหันต์ได้ คนนั้นก็เป็นพระอรหันต์ได้
ตัวอย่างท่านคหบดี เจ้านายของพระอนุรุทธ คือในที่สุด ลูกจ้างซึ่งถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้า และเจ้านายโมทนา ในชาติสุดท้ายพระอนุรุทธได้เป็นพระอรหันต์
เจ้านายซึ่งเกิดมาเป็นลูกของเพื่อน ก็เป็นพระอรหันต์ด้วย อย่างนี้เพราะอาศัย ปัตตานุโมทนามัย
ก็สำหรับฉันนี่โมทนากับเจ้านายเขาทุกวัน ยินดีทุกวันยินร้ายทุกวัน ยินร้ายก็ไม่ร้ายมาก ยินร้ายแต่เพียงว่าได้น้อยไปหน่อย วันนี้ได้ปลาไม่ถึงถัง
วันนี้ได้ปลา ๑ ถัง ที่เขาแบ่งให้ ถ้าได้มาก มากจริง ๆ เขาให้ถึง ๑ ถัง ความจริงเงินเดือนก็ได้ อาหารเขาก็เลี้ยง แถมก็ได้ปลาเป็นพิเศษ ก็ดีใจ ตัวดีใจในการทำบาปของเขา ก็พลอยมีบาปไปด้วย มันดีใจทุกวันรวมความว่า โมทนากับเขาทุกวัน บาปมันก็สั่งสมตัวเอง และบาปอย่างอื่นก็มี
ฉะนั้นบาปจึงติดตามมา
ก็ถามเธอว่า นอกจากบาปมีอย่างนี้แล้ว อยากจะทราบว่าในสมัยที่มีชีวิตเป็นคนอยู่ เธอทำบุญอะไรไว้
เธอก็ตอบว่า เรื่องบุญนี้หาเวลาทำยาก ก็มีโอกาสบ้าง บางทีพระมาบิณฑบาตในตลาด บางครั้งก็ได้ใส่บาตร
บางครั้งก็ไม่ได้ใส่บาตร การใส่บาตร ก็ใส่บาตรเป็นธรรมเนียมมากกว่า เห็นเพื่อนเขาใส่ก็ใส่ ที่จะมีความเลื่อมใสจริง ๆ ก็ยาก เรียกว่า ใส่ตามประเพณี
ตามเพื่อนเขา เมื่อเพื่อนเขาใส่ เราไม่ใส่บาตร เพื่อนเขาก็ว่า ก็ใส่มาอย่างนั้น แต่ไม่ได้ใส่ทุกวัน
ถามเธอว่า มีเวลาฟังเทศน์ไหม
เธอก็ตอบว่า ไม่มีเวลาฟังเทศน์ เวลาไม่ว่าง
ขอดูภาพเดิม ภาพที่เป็นมนุษย์ คุยกันในฐานะที่เป็นนางฟ้า เธอมันสวยมากไป ตัวภาพเดิมของเธอ ก็เป็นหญิงที่มีอายุมาก ตายเวลาอายุประมาณสัก ๖๐ ปีเศษ ๆ
นิดหน่อย แต่ผิวขาว ร่างใหญ่ ลักษณะแบน ดูลีลาแล้วก็เป็นลูกจีน ลูกจีนชัด ๆ
ถามเธอว่าเธอเป็นฮวนนั่งหรือตึงนั้งเกี๊ยะ (เขาแปลว่า อะไรก็ไม่รู้) ถามว่า เธอเป็นลูกครึ่ง พ่อแม่เป็นไทย พ่อเป็นเจ๊ก แม่เป็นไทย
หรือพ่อเป็นเจ๊ก แม่เป็นเจ๊ก
เธอก็ตอบว่า ทั้งสองเจ๊ก คือพ่อเป็นเจ๊ก แล้วก็แม่เป็นจีน นั่นก็หมายความว่า พ่อเป็นเจ๊ก คือผู้ชายเขาเรียกว่าเจ๊ก
ถ้าผู้หญิงเขาเรียกว่าจีน เธอก็พูดมีตลก ๆ รู้สึกว่านางฟ้าองค์นี้ใจดี พูดแล้วยิ้มตลอดเวลา นี่ดูถึงภาพเดิมของเธอนะ
ก็ถามว่า การที่เธอมาเกิดเป็นนางฟ้า เพราะอาศัยบุญอะไรสำคัญมาก การจะเป็นนางฟ้าหรือเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้มันยาก
เธอก็ตอบว่า บุญสำคัญมีอยู่ ๒ อย่าง นั่นคือถวายสังฆทานเป็นปกติ แต่คำว่าปกติไม่ได้ทำทุกวัน และประการที่ ๒ มีพระองค์หนึ่งท่านแนะนำให้นึกถึงท่าน ก็เลยสงสัยว่าท่านแนะนำให้นึกถึงท่านในลักษณะไหน
ถามต่อไปว่า ขณะที่ไปหาพระนี่ ในระยะที่พระให้นึกถึงท่าน เป็นระยะความเป็นสาว หรือวัยกลางคน หรือค่อนข้างแก่
เธอก็ตอบว่า ในขณะที่ไปหาพระนี่อายุค่อนข้างแก่ ตอนนี้ขายไม่ออกแล้ว ไม่มีใครต้องการ ถ้าจะขาย แถมเงินให้เขาด้วย
ก็ไม่มีใครเขาเอา เพราะแก่
เลยถามว่า พระให้นึกถึงท่านทำไมล่ะ ในเมื่อเธอไม่ใช่คนสาว และพระท่านคงไม่อยากจะแต่งงานด้วย
เธอก็ยิ้ม เธอถามว่า พระแต่งงานได้หรือ
ก็ตอบว่า ตามปกติของพระ ไปในงานแต่งงานได้ คนเขาแต่งงานกัน เขาก็เชิญพระไปในงานแต่งงาน แต่ว่าพระไม่ได้เป็นเจ้าบ่าว
เธอก็ตอบว่า การที่ท่านให้นึกถึง มันเป็นอย่างนี้ จะเล่าประวัติให้ฟัง
ท่านบอกว่า ต่อมาระยะที่เป็นคนแก่ ก็ลาออกจากงานจัดปลา จัดให้ลูกไปทำแทน ตัวเธอก็ไปจัดการควบคุมขายข้าวแกงหาบ ไม่ยอมตั้งร้าน
เพราะตั้งร้านมันต้องเสียภาษี มันต้องยุ่งยากมาก ต้องรอคนมาซื้อ ทีนี้เธอก็จัดการเป็นพิเศษ ที่ไหนบ้าง ที่เราจะขายเป็นประจำ เวลาตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย
ตอนเย็น ที่นั่นก็หาที่ตั้งเตา ตั้งเตาสำหรับอุ่น เป็นซึ้ง ๒ ซึ้งอุ่นข้าว
เวลาอุ่นก็อุ่น ๒ ทาง ให้มันร้อน ตักซึ้งนี้เกือบจะหมด ก็เอาข้าวใส่ แล้วก็ตักซึ้งนี้ขาย ข้าวก็ร้อนเสมอ แกงก็ร้อนเสมอ แล้วก็ตั้งหม้อน้ำลูกใหญ่ ๆ ไว้
๒ เตา ให้น้ำเดือด จานที่จะใส่ข้าว ก่อนที่จะใส่อาหารให้แก่คนรับประทาน ต้มเสียก่อน อยู่ในน้ำเดือด หยิบออกมาจากน้ำเดือด แล้วก็ใส่อาหารให้เขา
เขาก็ไว้วางใจ
ถามว่า ตอนหลังนี่ ลดราคา ๑ บาทหรือเปล่า
เธอบอกว่า การลดราคา ๑ บาท ทำได้ระยะแรก และตอนกลาง ๆ ตอนหลังนี่เกิดอารมณ์ริษยาจากคนอื่น เขาหาว่าหักหน้าเขา
เกือบจะมีเรื่องหลายครั้ง เลยไม่ลด ๑ บาท ขายราคาเท่าเก่า แต่ว่าข้าวมากกว่าเขาอีกประมาณ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ แกงก็ท่วมข้าว เรียกว่าโชก ต้องทดลองก่อน
ข้าวขนาดนี้ใช้แกงขนาดนี้พอไหม ใส่จานลงไป เห็นพอดี ลองกินดูก่อน ถ้าเท่านี้พอ ก็จัดเอาสูตรนั้น ระดับนั้น การทำแบบนี้เป็นเหตุให้เธอฐานะดีขึ้น
มีคนกินประจำมาก
แล้วระยะนั้น ในขณะที่มีเรื่องวุ่นวายมาก ๆ มีคนเขากลั่นแกล้ง เขาหาว่าหักหน้าเขา ก็พยายามหาหมอดู หมอดูมีที่ไหนไปที่นั่น ถ้าหมอดูเป็นพระ
โดยมากนิยมหมอดูที่เป็นพระ เพราะราคาไม่แพง จะให้เท่าไรท่านก็ไม่ว่า จะไม่ถวายเลยท่านก็ไม่ว่า ก็เลยนิยมไปหาหมอดูทุกอาทิตย์
อาทิตย์หนึ่งไปหาหมอดูครั้งหนึ่ง
การไปหาหมอดูครั้งหนึ่ง ก็มีปิ่นโตไปเถาหนึ่ง ก็มีข้าวไปหม้อย่อม ๆ เฉพาะ ๑ หม้อ เอาแกงกับและขนมใส่ปิ่นโต แล้วก็มีหม้อเขียวใส่ข้าวไป ไปถวายพระเวลาเพล
พระท่านฉันหลายองค์ เวลานั้นก็ไม่ทราบว่าเป็นสังฆทาน แต่จริง ๆ แล้ว เวลาตายได้อานิสงส์ เขาบอกว่า นี่เป็นอานิสงส์สังฆทาน
ก็ถามเธอว่า อานิสงส์ใหญ่จริง ๆ ที่เธอได้ คืออานิสงส์สังฆทานอย่างเดียวหรือ ภาพที่เป็นนางฟ้าเธอผ่องใสมาก
เธอก็บอกว่าไม่ใช่ มีภาพกรรมฐานด้วย คือ ทำสมาธินึกถึงพระ
ก็เลยถามว่า เธอปฏิบัติตามคณาจารย์ไหน
เธอก็บอกว่า ไม่มีคณาจารย์เป็นแต่เพียงว่า มีพระองค์หนึ่ง ท่านดูแม่นมาก ท่านดูทางใน คำว่าดูทางใน ใช้สมาธิดู เวลาถามท่าน
ท่านก็หลับตานิดหนึ่ง แล้วท่านก็ตอบ ท่านตอบมาทีไร ถูกทุกที
ต่อมาท่านก็สั่งว่า โยมเอาอย่างนี้ก็แล้วกันเพื่อความสะดวก โยมมาหาอาตมาทุกอาทิตย์ แล้วก็เอาของมาถวายพระทุกอาทิตย์ อาตมาก็ขอโมทนาด้วย ดีมาก
แต่ว่าถ้ามีอะไรขัดข้องเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เพื่อเป็นการช่วยเหลือได้ง่าย อาตมาใช้วิธีดูทางใจ โยมก็รับทางใจ
ต่อนี้ไปเพื่อเวลาโยมบูชาพระให้นึกถึงภาพอาตมาสักคราวละ ๒ นาทีพอ แค่เพียงเท่านี้การดู การพยากรณ์ การช่วยเหลือ จะเป็นได้โดยง่าย เพราะใจตรงกัน
เธอก็หวังแต่การแค่ให้พยากรณ์ให้แม่น นึกถึงพระองค์นั้นเป็นปกติ ท่านสั่งว่าหลังจากบูชาพระแล้ว นึกถึงท่าน ๒ นาที มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น มันนึกทั้งวัน
ถ้าว่างอยู่มันนึกถึงหน้าพระองค์นี้ ลักษณะพระองค์นี้ แต่ว่าไม่ใช่นึกในด้านกามารมณ์ นึกนิยมในความแม่นยำในการดูของท่าน และใจก็ดี หัวเราะต่อกระซิกเสมอ
ไปก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
เธอบอกว่าอาศัยกำลังใจที่นึกถึงพระ นึกถึงแบบเบา ๆ ไม่ได้นั่งขัดสมาธิกับเขา แต่ว่านึกถึงได้ทั้งวันทุกวัน พอมีเรื่องอะไรปั๊บก็บันทึก เราจะไปถามพระ
อย่างนี้จิตก็นึกถึงพระ พอมีเรื่องอะไรขึ้นมานิด ก็เราจะไปถามพระ ท่านเป็นที่ปรึกษาได้ดี เรื่องการค้าการขาย เรื่องการติดต่อการงาน ติดต่อกับคน
ท่านบอกได้ถูกต้องหมด
ตอนนี้จิตเป็นสมาธิใน สังฆานุสสติกรรมฐาน แบบไม่รู้ตัว เธอก็บอกว่า จะถือว่าเป็นฌานนักก็ไม่ได้ กำลังใจเป็นแค่ อุปจารสมาธิ ตายจากความเป็นคน
ก็เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานแก้ว ๓ ประการ เป็นที่อาศัย มีนางฟ้า ๕,๐๐๐ คนเป็นบริวาร วิมานสวยมากสว่างมาก
ก็ถามเธอว่า อยากจะดูวิมานของเธอดูได้ไหม
เธอก็ตอบว่าได้ เธอก็ให้วิมานลอยเข้ามาใกล้ ๆ พอวิมานลอยเข้ามาใกล้ ๆ ก็เห็นว่าได้หม้อเขียวที่ใส่ข้าวกับปิ่นโตของเธอ
มันแขวนรอบวิมานหมด และหม้อเขียวไม่ใช่เขียว เป็นหม้อทองคำประดับเพชร แพรวพราวเป็นระยับ ปิ่นโตก็เป็นปิ่นโตทองคำประดับเพชร เพราะถวายสังฆทานอาทิตย์ละครั้ง
ไม่ใช่เรื่องเล็ก
ก็ถามเธอว่า เธอถวายสังฆทานกี่ครั้ง ทำไมมากขนาดนี้
เธอตอบว่า ปริมาณของที่แขวนนี่ มากกว่าเวลาถวายสังฆทาน
จึงได้ถามเธอว่า ในเมื่อเธอถวายไม่มากเท่านี้ ทำไมของแขวนมากอย่างนี้ ก็เป็นการหลอกลวงน่ะซิ
เธอก็ตอบว่า ไม่ใช่ให้ดูเรื่องราวของ ลาชเทวธิดา
ลาชเทวธิดานั่นเธอถวายข้าวแก่ พระมหากัสสป เพียงขันเดียว (ข้าวตอก) และครั้งเดียว และก็ตายทันที
ตายจากความเป็นคนมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร และรอบ ๆ วิมานของเธอ มีขันทองคำ
เต็มไปด้วยข้าวตอกทองคำรอบวิมาน ก็นั่นลาชเทวธิดา
เธอถวายครั้งเดียวในชีวิต ก็ฉันตอนแก่อายุประมาณ ๕๐ ปี อย่างนี้ ทำสังฆทานทุกอาทิตย์เดือนหนึ่งก็ ๔ อาทิตย์บ้าง ๕ อาทิตย์บ้าง
ก็รวมความว่าถ้าอย่างน้อยฉันก็ถวายสังฆทานเดือนละ ๔ ครั้ง
แต่ความจริงไม่รู้เรื่องเลยว่าสังฆทาน คิดแต่เพียงว่าพระท่านเป็นหมอดู เราไปให้ท่านดู ค่าจ้างก็ไม่มี ท่านก็ไม่เรียกไม่ร้องอะไรทั้งหมด แม้แต่กาแฟ ๑
ถ้วย ท่านก็ไม่เรียกพระองค์นี้ไม่เคยรบกวนเลย เห็นหน้าไป ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส คิดว่าท่านดี ก็เลยตั้งใจถวายอาหารแก่ท่าน และท่านก็ไม่ได้ฉันองค์เดียว
ท่านฉันรวมกัน ๕ องค์บ้าง ๗ องค์บ้าง บางทีก็ถึง ๑๐ องค์ พระที่มาให้ดู การถวายอย่างนี้เป็นสังฆทานไปในตัว จึงได้มีอานิสงส์อย่างนี้
เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาที่ตั้งไว้ไม่ถึงนาทีนัก ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี
◄ll กลับสู่สารบัญ
7
ลาชเทวธิดา
นางเทพธิดาข้าวตอก
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มาคุยถึงรายการของวันที่ ๑๘ ธันวาคมต่อไป เพราะเรื่องยังไม่จบ นิมิตนี้ดีคุ้มได้หลายวัน วันที่พูดนี่เป็นวันที่
๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๑ มาพูดถึงตอนที่แล้วมา นางฟ้าปลาทู เธอก็ทาบทามถึงเรื่อง ลาชเทวธิดา นางเทพธิดาข้าวตอก
แต่ว่าตอนนี้ให้ชื่อว่า นางฟ้าหมอดู สำหรับเรื่องราวของนางฟ้าหมอดูนี่ทิ้งไว้นิดหนึ่งก่อน เอาเรื่องราวของ ลาชเทวธิดา
มาพูดกันก่อน เพราะว่าเป็นนางฟ้าตัวอย่างในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรื่องของเธอมีอยู่ว่า เธอเป็นลูกคนจน ไปรับจ้างเฝ้าไร่อ้อยของเจ้านาย นำเอาข้าวตอกไปเพื่อจะกิน เพราะคิดว่าในตอนเช้า กว่าคนจะไปส่งอาหาร
ถ้าเขาส่งสายไปเราก็หิว นำข้าวตอกที่ไม่มีน้ำกะทิไปเพื่อจะกิน แต่ก็เป็นการบังเอิญวันนั้นเป็นเวลาพอดีที่ พระมหากัสสป
พระสาวกองค์สำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ออกจากนิโรธสมาบัติ
พระออกจากนิโรธสมาบัตินี่บรรดาท่านพุทธบริษัท เข้าสมาบัติหลายวัน ออกก็ไม่ตามเวลาที่เขาบิณฑบาตกัน อาจจะสายไป ไปบิณฑบาตไม่ทันเขา
ก็ต้องนั่งใช้ทิพจักขุญาณว่า เราจะไปรับบาตรที่ไหน ใครจะให้เราวันนี้ เวลานี้พระอื่นเขากลับจากบิณฑบาตหมดแล้ว เพราะสายแล้ว
สาวกองค์สำคัญขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทราบว่า หญิงสาวน้อย (สาวรุ่น ๆ นะ ความเป็นสาวยังน้อย) เธอเฝ้าไร่อ้อยอยู่ตรงโน้น
เธอมีข้าวตอกไม่มีน้ำกะทิอยู่ ๑ ขัน เพื่อจะมากินเวลาเช้า แต่ทว่าถ้าเราไปบิณฑบาต เธอพร้อมจะถวาย เธอเต็มใจในการทำบุญ ความจริงไม่ตั้งใจจะเบียดเบียน
ต้องดูก่อนว่าถ้าเขาให้แล้วเขาเดือดร้อนไหม
ก็ทราบว่าการให้แล้วเรื่องอาหารเขาไม่เดือดร้อน แต่ท่านจะทราบหรือเปล่าว่าให้แล้วเธอจะตาย อาจจะทราบ จึงตั้งใจมาโปรดคนนี้ มาโปรดโดยตรง
เมื่อเหาะมาในอากาศ พอใกล้จะถึงก็ลงเดิน เหาะให้ชาวบ้านเห็นไม่ได้ เป็นการแสดงปาฏิหาริย์ คนจะติดเหาะ
เมื่อเธอเห็นเข้า เธอก็มีความรู้สึกว่าเราเป็นคนจน บางโอกาสที่เราเห็นพระ เราก็ไม่มีของถวาย ไม่ได้ทำบุญกับเขา บางโอกาสที่เรามีของ เราก็ไม่เห็นพระ
เราคนจนหาพระยาก วันนี้เรามีข้าวตอกด้วย และพระท่านก็มาด้วย ขอถวายพระเถิด ตอนสายมันจะหิวสักหน่อย เขาเอาอาหารมาให้ช้าไปก็ไม่เป็นไร พอทนได้
เธอก็นำข้าวตอกออกไป นั่งกระหย่งพนมมือ กล่าววาจาว่า ขอหยุดก่อนเถิดเจ้าข้า พระมหากัสสปท่านก็หยุด หยุดแล้วเธอก็เดินเข้าไปใกล้
น้อมข้าวตอกมาถวาย ค่อย ๆ บรรจงเทข้าวตอกลงในบาตรพระมหากัสสป เมื่อเธอเทเสร็จแล้ว ก็นั่งกระหย่งพนมมือด้วยความเคารพ กล่าววาจาว่า
ธรรมใดที่พระคุณเจ้าเห็นแล้ว ขอฉันเห็นธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าข้า พระมหากัสสปก็ให้พรว่า เอวัง โหตุ
ซึ่งแปลเป็นใจความตามภาษาไทยว่า เธอปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา เพียงเท่านี้ แล้วพระมหากัสสปก็หลีกไป
เธอดีใจที่ได้ทำบุญ ขณะที่เดินออกไป ความจริงมันมีงูเห่าตัวหนึ่ง เขาไม่ได้บอก งูเห่า เขาบอก งูพิษร้าย
มีงูที่มีพิษร้ายอยู่ตัวหนึ่งมันนอนอยู่ที่ตรงนั้น พระมหากัสสป มายืนอยู่ มันฉกกัดไม่ได้ เพราะติดจีวร สาวน้อยเดินออกไป
เธอเดินด้วยความสงบ งูก็ไม่ตกใจ แต่ว่าพอใส่บาตรแล้ว พระมหากัสสปกลับ ด้วยความดีใจที่เธอได้ทำบุญ ที่เรากล่าวกันว่า มีปีติในการทำบุญ คำว่า ปีติ แปลว่า
อิ่มใจ ชื่นใจ ก็ดีใจ ก็กระโดด โลดเต้น เสียงตึ้กตั้ก ๆ ๆ เจ้างูมันตกใจ ผงกขึ้นมาเห็นเข้า มันก็ฉกกัด เธอก็ล้มลงถึงแก่ความตาย
การทำบุญของเธอในชีวิต มีครั้งเดียวในชีวิต แต่ว่าถึงแม้จะมีครั้งเดียว แต่ว่าเธอตายด้วยกำลังของบุญจริง ๆ นั่นคือจิตใจจับบุญเต็มอัตรา
คือมีปิติเต็มที่ถึงกระโดดโลดเต้นก็เลยไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร รอบ ๆ
วิมานของเธอก็มีขันทองคำ เต็มไปด้วยข้าวตอกทองคำห้อยเต็มไปหมด
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ตามที่นางฟ้าปลาทู เธอบอกว่า การที่เห็นหม้อเขียวของเธอก็ดี เห็นปิ่นโตของเธอก็ดี ที่เป็นทองคำประดับเพชร ห้อยรอบวิมาน
ก็เพราะว่าเธอถวายสังฆทานหลายครั้ง ลาชเทวธิดาถวายครั้งเดียว ก็มีรอบวิมานเหมือนกัน เป็นของอัศจรรย์ในเมืองสวรรค์
◄ll กลับสู่สารบัญ
8
นางฟ้าหมอดู
ต่อไปนี้ก็คุยถึง นางฟ้าหมอดู นางฟ้าคนที่ ๓ เธอขยับเข้ามา นางฟ้าปลาทูก็ถอยไป จบเรื่องของเธอแล้ว เข้ามาเธอก็กราบ
เธอถามคำแรกว่า จำฉันได้ไหม
เลยตอบเธอแบบสัพยอกว่า เวลานี้ฉันยังเป็นคน จำเธอไม่ได้ ถ้าฉันเป็นเทวดาอาจจะจำเธอได้ เพราะเธอสวย
เธอก็ยิ้ม เธอก็บอกว่า