หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 5 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ
puy - 7/9/10 at 16:07
หนังสืออ่านเล่น
เล่มที่ ๕
โดย ส. สังข์สุวรรณ
(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..พระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน)
เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๕
1. คำปรารภ
2. เหตุแผ่นดินไหว
3. โพรงดินในเมืองไทย
4. ชมทองคำที่วัดท่าซุง(ตอนที่ ๑)
5. ชมทองคำที่วัดท่าซุง(ตอนที่ ๒)
6. เทวดาและผีเมืองชัยนาท
7. ท้าวมหานาคา
8. อาจารย์ชื้น
9. พลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
10 กรมหลวงชุมพรฯ ตามตำรวจ
11. กรมหลวงชุมพรฯ ตามสาว
12. กรมหลวงชุมพรฯ ช่วยตำรวจ
13. กรมหลวงชุมพรฯ ถูกโกง
1
คำปรารภ
หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๕ ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ขอให้ทุกท่านอ่านแบบหนังสืออ่านเล่น
อย่าเข้าใจว่าเป็นตำราที่ต้องเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงจังไปทั้งหมด บางเรื่องได้มาจากพบเห็น ไม่ใช่เข้าฌานสมาบัติ บางเรื่องได้จากการเล่าให้ฟังกันต่อ ๆ มา
แต่ละเรื่องขอให้เข้าใจว่าเป็นนิทาน เช่น เรื่องที่ ๑ ถึงเรื่องที่ ๔ เป็นเรื่องนิทาน จากเรื่องที่ ๕ ถึงเรื่องที่ ๑๑ เป็นเรื่องที่ประสบมา
ไม่ใช่นั่งฌานเห็น
เมื่อพูดถึงอานุภาพสมเด็จกรมหลวงชุมพร คิดว่าหลายท่านที่อ่าน ที่ท่านชอบบน ท่านอาจจะอยากบนให้ท่านช่วยบ้างก็ได้
ผู้เขียนขอบอกว่า การที่จะบนให้ท่านช่วยนั้น ผู้เขียนไม่ห้าม แต่จะมีผลเพียงใดนั้นไม่รับรอง เพราะผู้เขียนไม่มีอำนาจบังคับให้ท่าน
ทำตามที่ทุกคนบนท่านได้ ท่านจะช่วยหรือไม่ช่วย เป็นเหตุผลที่ท่านผู้ถูกบนจะพิจารณาเอง แต่ผู้เขียนคิดว่า
ถ้าท่านที่บนมีกำลังใจเหมือนคนที่เขาบนมาแล้วคงมีผลตามนั้น แต่ถ้าทำเพื่อทดลอง ก็ขอแนะนำว่า อย่าลองเลย เสียเวลาเปล่า
เป็นอันว่าคำนำหยุดกันเพียงนี้ พูดมากไปสร้างความรำคาญเปล่า ๆ เพราะหนังสือนี้ไม่ใช่ตำรา เป็นหนังอ่านเล่น
ส. สังข์สุวรรณ
๔ พฤษภาคม ๒๕๓๒
2
เหตุแผ่นดินไหว
ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ ตรงกับ วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๓๑ อันเป็นวันเริ่มแรกหนังสือเล่มที่ ๕ เพราะว่า
หนังสือเล่มที่ ๕ ต้องรีบทำตั้งแต่เวลานี้ บันทึกเสียงไว้ แล้วก็ให้เจ้าหน้าที่คัดเลือก
ความจริงการบันทึกวันนี้ก็ป่วย วานนี้ป่วยมาก ตอนปลายของเล่มที่ ๔ ป่วยมากไปหน่อย ฉะนั้นตอนที่แล้วการบันทึกจึงพลาดเพราะไม่มีหนังสือมา
เอาแต่ความจำ ลิ้นกับริมฝีปากไม่ประสานกันใจก็พลาด พลาดไปจุดหนึ่ง นั่นคือ
โฆษกเทพบุตร ลงมาเกิดในท้องหญิงแพศยาแล้ว เขาก็นำไปทิ้ง แร้งกาก็ชุมนุมกันหวังจะกิน
แต่ว่าเพราะอาศัยบุญที่ต้องเป็นมหาเศรษฐี เทวดาจึงคุ้มครองไว้ ก็พอดีตอนเช้าท่านมหาเศรษฐีไปเฝ้าพระราชา ไปพบปุโรหิตเข้า ก็ถามว่า อาจารย์
วันนี้จะมีอะไรไหม ท่านปุโรหิตก็บอกว่า เด็กที่เกิดวันนี้ จะเป็นมหาเศรษฐีต่อไปในวันหน้า
พอดีเวลานั้นท่านมหาเศรษฐี ภรรยาของท่านตั้งครรภ์อยู่ จึงให้คนใช้ไปดูว่าคลอดบุตรหรือยัง เมื่อเห็นว่ายังก็สั่งไปค้นคว้าถามว่า
ลูกใครเกิดวันนี้บ้าง ให้ไปซื้อมา แต่ก็เป็นการบังเอิญไปเจอะเด็กเกิดในวันนั้นที่เขาไปทิ้ง ก็เลยไม่ต้องซื้อ ก็รวมความว่า เรื่อง โฆษกเทพบุตร การเกิดของเขาเป็นอย่างนี้ ในตอนที่แล้วพลาดไปต้องขออภัยบรรดาท่านพุทธบริษัท
ความจริงการพูดเรื่องพระสูตรก็รู้สึกว่าจะเป็นของง่ายในการฟัง แต่รู้สึกว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทสนใจน้อยไปนิดหนึ่ง เพราะว่าไม่ฮิต
บางทีจะเห็นว่าพระสูตรเก่าก็ได้ เพราะฟังกันมาบ่อย ๆ ต่อนี้ไปก็จะละสูตรเดิม มาตั้งสูตรใหม่
แต่ไม่ได้ตั้งแข่งขันกับพระพุทธเจ้า สูตร แปลว่า เรื่อง ก็มาตั้งเรื่องใหม่ คือ เรื่องของความฝัน หรือนิทาน
เอาเป็นนิทานดีกว่า ความฝันยังไม่แน่ คำว่า นิมิต ก็หมายถึง ความฝัน ทีนี้คนฟังบางท่านอาจจะคิด คิดมากไปหน่อย
ต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องของนิทาน นิทานตลอดเล่มที่ ๕ ดีไม่ดีอีกกี่เล่ม ๆ ก็เป็นนิทาน
ว่ากันเป็นนิทานเสียเลยก็หมดเรื่อง และเรื่องของนิทาน บรรดานักปราชญ์ทั้งหลาย หรือบุคคลช่างคิด ก็จงอย่าคิดว่าเป็นเรื่องจริง
เว้นไว้แต่ส่วนใดที่บอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ให้ถือว่าเป็นเรื่องจริงได้ เรื่องใดที่ไม่ยืนยันว่าเป็น
เรื่องจริงให้ถือว่าเป็นเรื่องนิทาน และนิทานนี้ได้โปรดอย่าจับผิดจับถูกกัน ถ้าจับเมื่อไรมันผิดเมื่อนั้น
คำว่า ผิด หมายถึง ไม่ถูก นิทานเขา ไม่ได้พูดให้จำ เขาพูดให้ฟัง ฟังเพื่อเป็นการแก้กลุ้มบ้าง ฟังชวนกลุ้มบ้าง เรื่องไหนไม่ชอบใจฟัง
เรื่องนั้นก็ชวนกลุ้ม เรื่องไหนชอบใจฟัง เรื่องนั้นก็แก้กลุ้ม ในตอนนี้ให้ชื่อว่า เหตุที่เกิดแผ่นดินไหว
และผู้ที่คัดลอกก็คัดลอกสั้น ๆ ตามนี้นะ เขียนพาดหัวเรื่องว่า เหตุที่เกิดแผ่นดินไหว
เวลานี้ปรากฏว่าเกิดแผ่นดินไหวหลายแห่ง ในรัสเซียไหวแผ่นดินยุบ ก็เป็นเหตุให้คนตายเป็นหมื่น เมืองจมไปทั้งเมือง
ประเทศจีนก็แผ่นดินไหว แผ่นดินยุบ ก็เสียหายมาก คนก็ตายมาก และในกาลก่อน ๆ จากนี้ ประเทศต่าง ๆ เขาน้ำท่วม ฟิลิปปินส์น้ำท่วมบ้าง บังคลาเทศน้ำท่วมบ้าง
อินเดียน้ำท่วมบ้าง อเมริกาน้ำท่วมบ้าง เสียหายมากมาย แต่คนไทยก็ยิ้ม ท่วมเล็กน้อย ไม่เป็นไรจ๊ะ
แต่ตอนนี้น้ำก็สงสารคนไทย คือน้ำท่านเป็นแม่ เขาเรียกว่า แม่คงคา แม่ก็มีความเมตตาปรานีในลูก แม่ต้องมีพรหมวิหาร ๔ ไม่อคติ ฉะนั้น
เมื่อแม่ให้บังคลาเทศได้ แม่ก็ให้ประเทศไทยได้ แม่ให้อินเดียได้ แม่ก็ต้องให้ประเทศไทยได้ แม่ให้ฟิลิปปินส์ได้ แม่ก็ต้องให้ประเทศไทยได้
ก็รวมความว่าในฐานะที่อยู่เอเชียด้วยกัน ก็ควรจะแบ่งกัน
ฉะนั้น ปีนี้ ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ แม่จึงปรากฏขึ้นที่ภาคกลางด้วย ภาคใต้ด้วย ภาคกลางก็มีความรุนแรงตามสมควร อย่างวัดท่าซุงถูกน้ำ ๒ ระลอก
ต้องสิ้นค่าใช้จ่ายสงเคราะห์เด็กที่เรียนหนังสือทั้งหมด เทอมละล้านบาทเศษ ๓ เทอม ๓ ล้านบาทเศษ ไม่ช่วยเธอก็ไม่ได้
ทั้งนี้ก็เพราะว่าพ่อแม่ของเธอถูกน้ำท่วม เอาตัวเกือบจะไม่รอด อะไรบ้างที่มีติดตัวอยู่ บางทีก็ไม่ได้ไป ส่วนที่ได้จริง ๆ ก็ผ้านุ่งกับผ้าห่ม
แต่มีบางบ้านแค่เสียหายแต่ของ บางบ้านก็มาก บางบ้านก็น้อย ก็รวมความว่า นาที่ทำไว้ หรือพืชไร่ที่ทำไว้ไร้ผล ก็ทำให้คนจนไปพักหนึ่ง
ในเมื่อเด็กตาดำ ๆ เราก็เลี้ยงอยู่แล้ว ก็เลยต้องเลี้ยงต่อ เลี้ยงพิเศษกัน ๓ เทอม เทอมละล้านบาทเศษ ตามงบที่ตั้งไว้ ตามความเป็นจริง ทั้งนี้
ไม่ใช่ค่าอาหารอย่างเดียวนะ ค่าครูผู้สอน เพราะจ้างครูมาสอนยังไม่ได้คิด คิดค่าเสื้อผ้า ค่าหนังสือเรียน อุปกรณ์การศึกษา ค่าอาหารการบริโภค
เลี้ยงกันทั้งหมด เลี้ยงกันจริง ๆ อย่างนี้เทอมละล้านบาทเศษ
๓ เทอม ๓ ล้านบาทเศษ เป็นอันว่า วัดท่าซุงก็น้ำท่วม ในเมื่อที่อื่นเขาท่วม ก็เลยคนน้ำท่วมไม่สามารถจะไปช่วยคนน้ำท่วมได้
เพราะตัวเองก็ช่วยตัวเองไม่ไหว และเงิน ๓ ล้านบาทเศษ ก็ไม่มีเงินคงคลัง เป็นเงินที่ขอร้องให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและลูกหลานสงเคราะห์
ท่านก็ตั้งใจสงเคราะห์กันมาดี ขอขอบคุณท่าน และโมทนาด้วย
ขอทุกท่านจงปราศจากความทุกข์ มีแต่ความสุข มีแต่ความร่ำรวย
ต่อไปก็ไปคุยกันเรื่องแผ่นดินไหว
เมื่อน้ำท่วมมาถึงประเทศไทยได้ เมื่อก่อนน้ำท่วมเขา เรายิ้ม พอน้ำท่วมเรา นักตุนยิ้ม นักตุนไม่ใช่พ่อค้านะ นักตุนประเภทไม่ใช่พ่อค้านี่ยิ้ม
แต่พ่อค้าที่ถูกน้ำท่วมก็ไม่ยิ้ม พ่อค้าที่ไม่ถูกน้ำท่วมก็ยิ้ม แต่ว่าต่อไปก็ปรากฏชัดไปอีก คือ แผ่นดินไหว
ในเมื่อน้ำท่วมต่างประเทศได้ ประเทศเราเขาก็ท่วมได้มาแล้ว
ต่อไปแผ่นดินไหวต่างประเทศ แผ่นดินไหวเราจะมีไหมล่ะ แผ่นดินไหวเล็กน้อยไม่ต้องพูดกัน เอากันแผ่นดินไหวใหญ่ ไหวแล้วมันพังเป็นเมือง ๆ มีคนตาย
จงอย่าลืมว่าเราก็อยู่ในโลก เขาก็อยู่ในโลก รัสเซียกับไทยไม่ห่างไกลกันนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาติจีนชาติไทย เป็นพี่น้องกัน ในเมื่อพี่ดินถล่ม
แล้วน้องล่ะจะถล่มไหม
อาศัยเหตุ ๒ ประการนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต่อไปจงอย่าประมาท จงอย่าคิดว่า เหตุร้ายอย่างนี้จะไม่มีกับเรา และก็จงอย่าตื่นตูมว่า
มันจะมีเสียเลยทีเดียว เราต้องพร้อมไว้ ถ้ายังไม่มี จะทำตนแบบไหน ถ้าบังเอิญเหตุร้ายอย่างนี้เกิดขึ้น เราจะทำแบบไหน พร้อมไว้เสียก่อน จะได้สะดวก
ทีนี้มาว่ากันว่า เหตุที่แผ่นดินไหวมันมาอย่างไร นี่ก็ต้องขอย้อนเรื่องไปนิดหนึ่ง ตามพระสูตรพระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามีเหตุ ๘ ประการ
เกิดจากธรรมชาติอย่างหนึ่ง อาตมาขอเอาเฉพาะธรรมชาติอย่างเดียว อีก ๗ ประการ ยังไม่พูดกัน และจะไม่พูดต่อไป เพราะเป็นเรื่องของพระสูตร
จะเข้ากับนิทานมันก็ไม่สะดวกนัก
เรื่องของธรรมชาติอาตมาก็จำ พ.ศ. ไม่ได้ จำเดือนไม่ได้ ผู้คัดลอกจากเสียงเป็นตัวหนังสือ ถ้าจำได้ลงไว้ด้วยว่าปีอะไร
เดือนอะไรที่ไปอเมริกาครั้งแรก (๔ พฤษภาคม ๒๕๒๖) ทัวร์นำไป เขาพาไปแวะที่ฮาวาย เวลานั้น ดร.ปริญญา นุตาลัย ไปด้วย กับเหมี่ยว (โศภิษฐ์)
ดร.ปริญญา นุตาลัย เป็นผู้ชำนาญการด้านธรณีวิทยาเรียนมาโดยตรง
พอถึงตอนเย็นเธอก็เช่ารถเก๋งเขามาคันหนึ่ง พาไปเที่ยว จึงถามว่า ดอกเตอร์ ที่มานี่มีธุระอะไรหรือเปล่า
เธอก็บอกว่า มีธุระ ฝรั่งจ้างให้หาเหตุหาผลแผ่นดินไหวว่า แผ่นดินไหวเหตุผลมาจากอะไรบ้าง
ก็ถามเธอ เธอก็ตอบว่า มาจากลมพัด ลมกระแทกใต้ดิน ทำให้แผ่นดินไหว
แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป คุยอะไรบ้างก็หลายปีแล้วไม่ได้คิดจะพูดเรื่องนี้ เวลามาพูดเข้าก็มานึกได้ ก็พูดไม่รอบคอบแน่
เข้าใจว่าเขียนลงธัมมวิโมกข์ไว้แล้ว แต่ว่าธัมมวิโมกข์ก็หายากหน่อย เพราะมันหลายเล่ม เล่มละนิดเล่มละหน่อย จึงมารวมไว้ที่นี่ (ธัมมวิโมกข์เล่มที่
๓๓-๓๘)
ก็รวมความว่าพอตกกลางคืน เวลาจะนอนก็ปรากฏว่าเห็นพระท่าน พระท่านก็มาอธิบายเรื่องเหตุของแผ่นดินไหว
ท่านก็กล่าวว่า แผ่นดินมันเป็นร่อง แล้วลมมากระแทกร่องภายใต้แผ่นดิน ทำให้แผ่นดินไหว
ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อพระท่านบอกแบบนั้นก็เชื่อท่าน เพราะพระท่านไม่เคยตรัสอะไรผิด
ต่อมาวันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปอเมริกา ไปลงที่ ลอสแองเจลีส คาลิฟอร์เนีย พอตกเช้า ฉันข้าวเสร็จ
ประมาณโมงเช้าเข้าห้อง พอเข้าห้องก็เห็นพระท่าน
ท่านถามว่า ยังสงสัยเรื่องแผ่นดินไหวที่ลมกระแทกดินใช่ไหมเล่า
ก็ตอบท่านว่าใช่
และกราบเรียนท่านอีกว่า ที่สงสัยก็สงสัยมาก เพราะถ้าเป็นโพรงใต้ดิน ไม่มีทางที่ลมจะเข้าไปได้
แล้วทำไมจึงเกิดมีลมกระแทกดินทำให้แผ่นดินไหว ลมขนาดนี้แสดงว่าแรงมาก
ท่านก็ตอบว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เธอใส่กลอนเสีย เวลานี้เวลาประมาณ ๗ โมงเช้า ๑๕ นาที ตั้งใจไปกับฉัน ฉันจะพาไปชม
จะกลับกันจริง ๆ ใกล้ ๑๑ โมง เหลือเวลาอีก ๕ นาที ๑๑ โมง จะกลับมาถึง
เมื่อท่านชวน ก็ลุกเดินไปใส่กลอนที่ใส่กลอนประตูก็เพราะว่าไม่ต้องการให้ใครเข้ามากวนเวลานั้น ถ้าใครมากวนเวลาเที่ยวจะเกิดการสงสัยขึ้น
เขาจะสงสัยว่าอย่างไร เป็นเรื่องของคนสงสัย และเวลานี้ไม่มีใครเขาสงสัย ก็เลยไม่พูดเรื่องคนสงสัย
พอกลับมาถึงที่นอนก็เริ่มจับอานาปาฯ พอจับปั๊บ อารมณ์ทรงตัวปุ๊บ ก็ไปกับท่าน ท่านก็พาไป พาไปดูร่องภายใต้แผ่นดินต้องพูดกันให้ถูกว่า
ร่องในแผ่นดิน ไม่ใช่ใต้แผ่นดิน เพราะโลกนี้ฝรั่งเขาบอกว่ากลม ไทยก็บอกว่ากลม ในเมื่อฆราวาสบอกว่ากลม พระก็บอกว่ากลม จะได้ไม่ขัดคอกัน
แผ่นดินนี้มีความหนาเท่าไรก็ไม่ทราบ สุดแล้วแต่ตำราของโลก เขาวัดกันจริง ๆ เขารู้จริง นักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยา ก็ยอมรับว่าเขามีความรู้จริง
หลังจากนั้นแล้วก็ไปชมสถานที่โพรงดิน
ทีแรกคิดว่ามันจะเป็นโพรงเล็กน้อย ความจริงแล้วไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไรดี จะบอกว่าเป็นถ้ำ ถ้ำมันก็มีจุดจบ จะบอกว่าเป็นคลอง คลองก็ไม่มีแม่น้ำ
ถือว่าเป็นโพรงดีกว่า โพรงของดินนี้มันจะยาวเหยียดไปทั่วโลก แล้วก็แยกซ้ายแยกขวา แยกขวาแยกซ้าย ไม่ใช่เล็ก บางแห่งกว้างถึง ๑ โยชน์ บางแห่งกว้างถึง ๗ โยชน์
นี่มันก็เป็นทะเลน่ะซี
บางแห่งก็แคบ บางแห่งก็กว้าง มันก็ไปของมันอย่างนี้ ก็แยกไปแยกมา แยกมาแยกไป ดูตามเส้นใหญ่ มันก็ทั่วโลก ชนกัน
และก็มันก็ยาวไปทั่วโลกแล้วก็มีเส้นย่อย ๆ เส้นย่อยก็ไม่น้อยที่เป็นขนาดแม่น้ำใหญ่ ๆ กว้างประมาณ ๑ กิโลเมตรบ้าง เกินบ้าง แคบกว่านิดหน่อยบาง ที่แคบกว่า ๑
กิโลเมตรหายาก และก็เป็นซอยอีกจิปาถะไปเลย
รวมความว่าร่องใต้ดินนี้ มองแล้วไม่มีน้ำเจิ่ง จะหาน้ำเจิ่งอย่างแม่น้ำไม่มี ก็เลยสงสัยว่าน้ำไปไหนหมด แต่ไม่ได้ถามพระ สิ่งที่ไม่ควรถามก็ไม่ถาม
ไปถามเข้ามันจะเกินพอดี แต่ว่ามองไปพื้นข้างล่าง หมายความว่าส่วนต่ำที่เป็นพื้นดิน พื้นดินส่วนต่ำไม่ใช่ดินแข็ง มันเป็นดินเหลว เป็นเลน
แต่เลนนี้เป็นน้ำเดือด มันเดือดหนัก จริง ๆ อย่างใครเคยไป นิวซีแลนด์บ้าง
ถ้าไปที่นิวซีแลนด์จะเห็นโคลนเดือด โคลนเดือดที่นิวซีแลนด์ก็เหมือนกับที่เดือดภายใต้พื้นพิภพที่เป็นร่องใหญ่ของโลก แต่ว่าภายใต้พื้นพิภพนั้น
มันเดือดหนักกว่ากำลังสูงกว่า โตกว่า และบางส่วนก็เป็นน้ำพุ่งโชติช่วง คล้าย ๆ กับนิวซีแลนด์ พุ่งฟูดฟาดฟืดฟาด ไอ้น้ำพุ่งนี่ไม่มีเวลา มองไปทางไหน
ก็พุ่งกันไสว เป็นน้ำพุสูง และก็ส่วนเดือดต่ำ ๆ ก็มี
พระท่านก็เลยอธิบายว่า ไอน้ำที่เดือดนี้ ในเมื่อเดือดขึ้นมาแล้วมันก็ลอยตัว ตัวนี้มันก็จับเป็นกำลังของลม
กำลังของลมส่วนนี้เมื่อมาก ๆ เข้า ก็มีการก่อตัว เมื่อมีการก่อตัวก็มีการเคลื่อนไหวแรง มีการเคลื่อนไหวแรง กระทบส่วนใดส่วนหนึ่งของโพรง
ตอนนั้นจะเกิดแผ่นดินไหวแรง ส่วนใดที่เป็นส่วนปลาย ก็จะมีความรู้สึกน้อย เอาอย่างประเทศไทยนี่ก็แล้วกัน ความแรงอย่างนี้ยังไม่เข้ามาถึงในประเทศไทย
แต่ทว่าย่องเข้ามาเยี่ยมประเทศจีนแล้ว ลองนั่งลืมตา หลับตา หรี่ตา เหล่ตา คิดดูทีซิว่า ประเทศไทยกับประเทศจีน ไกลกันหรือใกล้กัน
แล้วกระแสลมที่จะพัดมารวมตัวกันในประเทศไทย มันยากนักรึ นี่ไม่ได้พูดให้กลัว พูดให้ฟังปมาโท มัจจุโน ปทัง
ความประมาทเป็นทางของความตาย
อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ถ้าเราไม่ประมาท พร้อมโดด แต่ว่าแผ่นดินถล่ม จะโดดไปไหน
โดดจากบ้านก็ลงหลุม อยู่บนบ้านก็ลงหลุม
ทีนี้ทางที่ดีก็ถามนักธรณีวิทยาเขา นักธรณีวิทยาอาตมาก็ไม่รู้จักใคร รู้จัก ดร.ปริญญา กับ เหมี่ยว ถาม ๒ คนนี่ก็ได้ว่า ส่วนไหนของประเทศไทยที่มีดินเป็นโพรงบ้าง และก็ดูว่าโพรงมันจะหนักไหม
อาตมาก็ขอยืนยันว่า ประเทศไทยที่มีดินเป็นโพรงอยู่เยอะ ไม่ใช่น้อย และก็เป็นโพรงที่น่ากลัวอยู่ก็หลายจุดหลายแนว
ก็รวมความว่า บรรดาท่านผู้ฟัง ฟังแล้วอย่าเพิ่งสะเทือน ดินที่เป็นโพรงนี้อยู่ลึกมาก ทุกประเทศก็อยู่ลึก
ประเทศไทยส่วนที่ตื้นก็มีอยู่นิดหน่อย อย่างชายเชียงใหม่ต่อชายแม่ฮ่องสอน แล้วก็เรื่อยมาถึงอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก แล้วก็จังหวัดแพร่ ชาย ๆ ป่า
อันนี้มีจุดตื้น บอกเฉพาะจุด มันมีเยอะแยะ เอาเฉพาะจุดเป็นตัวอย่าง
แต่คำว่าบาง ก็ไม่ใช่บางมาก ยังมีความหนาเป็นกิโล ๆ สามารถต้านทานภูเขาอยู่ ยังสามารถต้านทานน้ำหนักทั้งหลายอยู่ แล้วแถวกาญจนบุรีจะมีไหม
รอยโพรงชั้นล่าง กาญจนบุรีก็มี ผ่านไปแล้วก็เรื่อยไปออกโน่น มะริด ทวายโน่น อันใหญ่นะ นี่ว่าถึงอันใหญ่ เอ๊ะ นี่พูดเรื่องอะไร จะลืมเสียแล้วมั้งนี่
อันใหญ่ออก มะริด ทวาย แล้วก็มุดทะเลไป ไปขึ้นที่ไหน ๆ ต่างประเทศ ช่างมัน ไม่เกี่ยวกับเรา
ก็รวมความว่า พระท่านก็บอกว่า ลมที่เป็นไอน้ำ มันมารวมตัวกัน รวมมาก ๆ ก็มีกำลังพัดสูง มันก็ไหลไปไหลมา
ไหลมาไหลไปไหลจากทางโน้นมาชนทางนี้ ไหลจากทางนี้ไปชนทางโน้น ในเมื่อกำลังอัดตัวมันมากขึ้น มันก็มีกำลังแรง มันก็พุ่งไปชนกำแพงด้านข้าง
ด้านใดด้านหนึ่งของโพรง แผ่นดินก็ไหว
แล้วก็ถามท่านว่า (ถามด้วยความโง่) ในเมื่อร่องมันยาวตลอดโลก และก็มีที่แยกมาก ทำไมมันไม่ไหลแยกเข้าไป กระจายตัวกัน
ทำไมต้องมาชนให้แผ่นดินไหว
ท่านก็บอกว่า มันกระจายไปไหน ในเมื่อต่างที่ต่างก็มีไอน้ำ มันมีความร้อนตลอดกัน มีไอน้ำเหมือนกัน
แล้วท่านก็เปรียบเทียบ ท่านถามว่า ในมหาสมุทรที่มีกำลังลมตั้งขึ้นในมหาสมุทร เมื่อลมผุดขึ้นมามีกำลังสูง
แล้วกระแทกบ้านเรือนเขาพัง ทำไมลมไม่ลอยตัวไปในอากาศที่มีสถานที่กว้างกว่า มันไม่น่าจะชนบ้าน ชนเรือน ชนเรือเขาพัง ทรัพย์สินเสียหาย มันน่าจะลอยบนอากาศ
พอท่านพูดเท่านี้ก็มีความเข้าใจว่า กำลังของมัน ถ้ามันจะพุ่งไปทางไหนมันก็หลีกไม่ได้ มันหลีกไม่เป็น
ก็เป็นอันว่า มีความเข้าใจ เรื่องของเหตุแห่งแผ่นดินไหวก็มาจากไอน้ำ ไอน้ำนี้ก็มาจากความร้อนของใต้ดิน เมื่อความร้อนมาก น้ำชุ่มชื้นมีอยู่บ้าง
แต่น้ำก็ไม่มาก ก็ทำดินให้ละลายเป็นโคลน โคลนก็เดือดเป็นไอขึ้นมา และบางจังหวะที่มีน้ำเข้ามาหล่อเลี้ยงมาก ๆ ความร้อนสูง ก็พุ่งขึ้นมาเป็นน้ำพุ
และกระแสน้ำพุนี้มีกำลังไอสูงมาก รวมความว่า เหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวคือ ไอน้ำ ไอน้ำ เมื่อระเหยมาแล้วก็กลายเป็นลม ลมเมื่อรวมตัวกันมาก ๆ
เข้าแล้วก็เป็นกลุ่มเป็นก้อน มีกำลังแรง แล้วก็พุ่งตัวเข้าชนกำแพงของโพรงในดิน แผ่นดินก็สะเทือน จะพูดต่อไปถึงเรื่อง แผ่นดินถล่ม ก็เหลือเวลาอีก ๑
นาทีเศษ ๆ
ก็ขอสรุปเป็นธรรมะคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักนิดหนึ่งว่า โลกเป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง
เราอยู่ในโลกที่ไม่เที่ยง เราก็เป็นคนไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการตายไปในที่สุด ทรัพย์สินต่าง ๆ
ที่มีอยู่ อย่าคิดว่ามันเที่ยง หามาได้แล้วมันก็หมดไป นี่มันไม่เที่ยง คนรัก สัตว์ที่รัก ของที่รัก อย่าคิดว่าจะอยู่กับเราตลอดไป
รวมความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่อยู่กับเราตลอดกาล เราต้องจากกัน ๒ ประการ คือของจากเรา หรือเราจากของ นั่นหมายถึงของหมดไปก่อนเราตาย
หรือเราตายก่อนของหมด รวมความว่าถ้ายังหวังการเกิดในโลกก็ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ จะพบแต่ความไม่แน่นอน ความสุขจะเกิดได้จากความแน่นอนเท่านั้น
ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน หวังนิพพานเป็นที่ไป
คนหวังนิพพาน คือ
๑. รู้จักการให้ทาน เป็นการตัด โลภะ ความโลภ ทีละน้อย
๒. รู้จักการรักษาศีล ศีลมีเมตตากรุณาคุ้มครอง เป็นเหตุตัดโทสะ ความโกรธ ทีละน้อย
๓. การเจริญภาวนา เพื่อตัดโมหะ ความหลง
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อทุกท่านปลงใจได้อย่างนี้ ก็ชื่อว่าเป็นคนเข้าถึงคำสอนขององค์สมเด็จพระมหามุนี คือ พระพุทธเจ้า
ในที่สุดทุกท่านก็จะมีความสุข จะมีเหตุมีผล
เอาละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน เวลาเหลือไม่ถึง ครึ่งนาที ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านและผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี
◄ll กลับสู่สารบัญ
puy - 15/9/10 at 14:31
3
(Update 15-09-53 )
โพรงดินในเมืองไทย
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ก็ยังเป็นวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๓๑ เป็นการบันทึกเพื่อหนังสือเล่มที่ ๕
ตอนที่ ๒ วันนี้ก็มาคุยกันถึง โพรงแผ่นดินไหวในประเทศไทย
ว่าประเทศไทยเรามีโพรงแผ่นดินไหม เจ๊กเขามีแล้ว ใกล้ไทยเหลือเกิน ในเมื่อเจ๊กมีใกล้ไทย ไทยก็ควรจะมีด้วย ก็รวมความว่าเป็นเรื่องที่ต้องคิด
เราก็มานั่งดูร่องแผ่นดินในประเทศไทยว่ามีตรงไหนบ้าง
แต่ว่าบังเอิญบรรดาท่านพุทธบริษัท ในตอนที่แล้วไปพูดยืนยันว่าที่จังหวัดกาญจนบุรี มีพระท่านมาท้วงว่าไม่ควรจะยืนยัน
เพราะการยืนยันว่ามีที่ไหน ใหญ่หรือเล็กเท่าไร เป็นหน้าที่ของนักธรณีวิทยา ไม่ใช่หน้าที่ของนิทานจะพึงรับรอง ก็เป็นอันว่าในที่นี้ก็ไม่ยืนยัน
เป็นแต่เพียงบอกว่า สายแผ่นดินที่เป็นร่องใหญ่ที่จะมีอันตรายกับคนไทยระยะสั้น ๆ มีไหม
ครั้นเมื่อดูไปก็ปรากฏว่ามันไม่มี แต่ว่าทั้งนี้เว้นไว้แต่ว่าไปทำอะไรเป็นพิเศษเข้า อย่างนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
เอาแต่เพียงว่าพื้นพิภพจริง ๆ ที่มันจะพังลงมาทำให้คนตาย ถ้ามันอยู่ตามธรรมดาของมันก็ดี หรือไปปลูกบ้านเรือนโรง หรือตึกที่อยู่ อาคารใหญ่ ๆ ก็ดี
อย่างนี้แผ่นดินผืนนั้นตอนนั้นก็ยังสามารถต้านทานน้ำหนักได้นานมาก
ถามพระท่านบอกว่าแผ่นดินส่วนนั้น ที่เป็นโพรงใหญ่ ที่กำลังต้านทานน้ำหนักในการสร้างเมืองใหญ่ ๆ เหนือโพรงขึ้นมา
อีกสักกี่ปีจึงจะสลายตัว
พระท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า ไม่ควรบอก ถึงแม้จะบอกไปก็ไม่มีผล เพราะว่าการถล่มของแผ่นดิน เนื่องจากน้ำหนักของตึกหรืออาคารใหญ่
ๆ อีกกี่ล้านปีก็ยังไม่ถล่ม ในเมื่ออีกตั้งหลายล้านปีไม่ถล่มก็ไม่ควรพูด
ทีนี้มาว่ากันถึงสายทางที่มันเดิน มันเข้าทางไหนบ้าง พอบอกเข้าทางไหนบ้าง ท่านก็ค้านอีกบอกว่า ไม่ควรจะบอกจุดที่แน่นอนให้เป็นเรื่องของนักธรณีวิทยาก็แล้วกัน
ท่านเพียงแต่บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สายใหญ่ที่ผ่านประเทศไทย ใหญ่ ๆ เป็นสายที่น่ากลัวจริง ๆ มีอยู่ ๓ สาย
แต่ความกว้างของแต่ละสายที่กว้างสูงสุดไม่โตนัก ความกว้างไม่เกิน ๓ กิโลเมตร แต่ละสาย ๆ ที่ใหญ่ที่สุดความกว้างไม่เกิน ๓ กิโลเมตร
แต่ทว่าบางตอนก็แคบกว่านั้น บางตอนก็ถึง ๓ กิโลเมตร ลดหลั่นกันตามลำดับ แล้วก็สายแยก สายแยกมีมาก
ท่านบอกว่า อย่าบอกจำนวนเลย มันเป็นสายเล็ก ๆ
จุดที่ตั้งของบ้านเมือง ที่คร่อมสายใหญ่มีไหม
ท่านบอกว่า เป็นเมืองใหญ่ ๆ จริง ๆ ไม่ใช่กรุงเทพฯ มีอยู่ ๓ เมือง
ทั้งนี้ก็หมายความว่า ยังไม่ต้องกลัวชีวิตของคนไทยที่ยังเป็นไทย หรือยังมีประเทศเป็นไทย
ยังไม่ต้องกลัวว่าแผ่นดินจะถล่มเพราะความรับน้ำหนักไม่ไหวของตึก บ้าน เรือนโรง แต่ว่าเวลานี้เขาทะเลาะกันเรื่องน้ำ แต่เรื่องน้ำนี่ไม่ขอยืนยัน
เพราะว่าหนักมาก
พระท่านก็บอกว่า อย่าไปพูดเลย จะเป็นเหตุให้เขาทะเลาะกัน ให้เป็นหน้าที่ของนักธรณีวิทยา ไม่ใช่หน้าที่ของเรา
ก็รวมความว่า หน้าที่จริง ๆ ในการพูดก็คือ ขอพูดว่า ในประเทศไทยเรามีโพรงแผ่นดินใหญ่ ๆ อยู่ ๓ สาย และก็ไม่ใช่เป็นสายที่น่ากลัวนัก
ยังมีความลึกสูง แต่บางส่วนก็ลึกต่ำนิดหน่อย คำว่า บางหน่อย ๆ ก็ยังหนามาก ที่ว่าบางหน่อย ๆ ก็สามารถจะเจาะเอาความร้อนขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้
ความจริงก็มีเท่านี้นะ ไม่เห็นมีอะไรมาก ถ้าพูดไปจะมีแต่การเลอะเทอะ
ก็รวมความว่า พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย จงมีความมั่นใจในความดีของตัวเอง ที่เราถูกน้ำท่วม น้ำท่วมคราวนี้หนักหนามาก ท่วมทั้งภาคกลาง ทั้งภาคใต้
ภาคกลางที่ถูกก็เสียหายไม่น้อย แต่ว่าที่เขตอุทัยธานี ดูเหมือนเขาประกาศว่ามีคนตาย ๒ คน คนตายเพราะกระแสน้ำไหล เอาลูกไปส่ง เอาเมียไปส่ง
ตัวเองถูกน้ำไหลหายไปกับน้ำ มันก็มีความรุนแรงไม่น้อย
แต่บังเอิญมีที่ขยายไปมาก และบ้านเมืองต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็อยู่ไกลจากต้นสายน้ำ มีอันตรายก็แค่ต้นสายน้ำ ปลายสายน้ำไม่มีอันตราย
ก็จะมีบ้างแต่ความเสียหายไม่มากนัก
สำหรับพี่น้องภาคใต้ หรือบรรดาท่านพุทธบริษัทญาติโยมคนไทยด้วยกันภาคใต้หนักหน่อย ก็ต้องถือว่าเป็นบทเรียน ต่อไปก็ต้องมีการเตรียมพร้อม
พร้อมเพื่อรับสถานการณ์ แต่ความจริงอย่างท่านนายกรัฐมนตรีท่านพูด ทางวิทยุเขาพูดกันนะ
เขาว่านายกฯท่านพูดท่านบอกว่า เรือยางหรือเรือท้องแบน ควรจะหาประจำจังหวัดไว้ จังหวัดละหลาย ๆ ลำ จำจำนวนไม่ได้
เวลาเกิดเรื่องขึ้นจะได้ไม่ต้องไปขอยืมที่โน่นขอยืมที่นี่ มันไกล กว่าจะได้มาก็ไม่ทันเหตุการณ์ฉุกเฉิน ความคิดอย่างนี้ของท่านดี
แต่ว่าจะมีใครบ้างไหมที่จะเตรียมจะรับสถานการณ์เวลาแผ่นดินถล่ม
แต่ขอบอกไว้นิดหนึ่ง คุยไว้หน่อยหนึ่ง พระท่านไม่ว่า นี่นิทานนะพระองค์ไหน ใครอย่าไปทูลถามนะ นิทาน บอกไว้นิดหนึ่ง
บอกเสียหน่อยหนึ่งว่าระวังแผ่นดินถล่มพร้อมกับน้ำมา ตอนนี้ให้ระมัดระวังให้มาก อย่าทำอะไรให้มันเกิดเป็นความประมาท ถ้าน้ำมาด้วยแผ่นดินถล่มด้วย
จะอันตรายหนัก แผ่นดินถล่มก็จมตัว น้ำก็ท่วมอย่างนี้ต้องระมัดระวัง
แต่ก็ขอบอกว่า แผ่นดินถล่มของไทยจะไม่เท่าประเทศจีน ถ้าปล่อยไปตามสภาพปกติ ไม่ทำอะไรผิดปกติ แผ่นดินส่วนนี้นับล้านปี ยังไม่ถล่ม
เว้นไว้แต่ว่า ทำอะไรให้หนักเกินปกติ อย่างสร้างบ้านสร้างเมืองนี่ไม่เป็นไร เอาลูกระเบิดไปทิ้งบ่อย ๆ ก็ไม่แน่นักเหมือนกัน
รวมความว่า แผ่นดินถล่มในประเทศไทย ยังไม่ต้องคิด คิดแต่เพียงว่าให้ทรงตัวความไม่ประมาทไว้ว่า อาจจะพึงมี เพราะคนสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น
และสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่มีน้ำหนักสูงเกินไป
จุดไหนที่พึงห้าม พระท่านบอกว่าไม่ควรบอก นักธรณีวิทยาเขามี
ในเมื่อหมดเรื่องแผ่นดินถล่ม ก็กลับกันดีกว่า กลับมาจังหวัดอุทัยธานี ตอนนี้ก็เข้าวัดท่าซุงดีกว่า มาเล่านิทาน คือแผ่นดินไทย มันไม่มีเรื่องจะพูด
ก็พูดกันส่ง นิทานเสียอย่าง
กลับมาที่วัดท่าซุง นิทานนะ ใครอย่าเชื่อนะ พอเข้ามาถึงก็ขอพบ ภูมิเทวดา คือพระภูมิเจ้าที่
ถ้าถามว่าเทวดามีจริงรึ ให้ไปถามพระพุทธเจ้า ถ้าสงสัย พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ ถ้าใครสงสัยไปถามตรงพระพุทธเจ้าโน่น
หมดเรื่องหมดราวกัน แต่อาตมาเชื่อพระพุทธเจ้า เพราะเป็นสาวก สาวก แปลว่า ผู้รับฟัง ต้องเชื่อ เขาถามว่าเชื่อแบบ อธิโมกขศรัทธา
หรือมีเหตุมีผล
ก็ตอบว่า ฝึกทางด้านจิตใจมาแล้ว สามารถสัมผัสนรกได้ สวรรค์ได้ พรหมโลกได้ อื่นจากนั้นก็ยังได้
แล้วเรื่องอะไรจะต้องมาถามกันว่าเห็นรึ
ก็ต้องตอบว่า ความเป็นอยู่คนพูดเวลานี้ อาศัยคนด้วย อาศัยเทวดาด้วย อาศัยพระด้วย เทวดารวมทั้งพรหมด้วยนะ
อาศัยหมดทุกอย่างและต่อไปไม่ช้าไม่นานก็จะตาย ตายแล้วจะไปไหน
ถ้าเทวดาช่วยทันก็ไม่ลงนรก ถ้าพระช่วยทัน ก็ไม่ลงนรก ถ้าพระหรือเทวดาท่านช่วยไม่ทัน ก็ลงนรก ก็หมดเรื่องกันไป นรกมันมีให้ลง เราเผลอเราก็ลง
เราไม่เผลอเราก็ไม่ลง แต่ขึ้นอยู่กับกฎของกรรม
ทีนี้มาเจอะภูมิเทวดา แต่ภูมิเทวดาที่วัดท่าซุงมีงานไม่หนัก มีหน้าที่รับคำสั่งของ กุมภัณฑ์
เพราะว่าเดินเข้าไปทางด้านเหนือเข้าไปที่ พระเจ้าพรหมมหาราช
ก็เห็นพี่กุมภัณฑ์คนหนึ่ง อ้วนตั๊ก ใหญ่ตึ๊ก เหมือนกับพ้อม โตจริง ๆ นุ่งผ้าหยักรั้ง หน้าตาไม่จู้จี้ แต่หน้าตาไม่ยิ้ม
นั่งอยู่บนแท่นที่เขาตั้งแท่นหินพระเจ้าพรหมฯ นั่งเหยียดขา ชูเข่าหน่อย ๆ มีกระบองข้างขวามือ
ก็หันเข้าไปถามว่า พี่ชาย เป็นยามรึ
ท่านก็บอกว่า ที่วัดนี้เขาให้ผมเป็นยามครับ ผมอยู่ยามอยู่คนเดียว นอกนั้นเขาไม่อยู่ยาม เขาอยู่กันตามสบาย
ก็ถามว่า ทำไมไม่ให้เขามาอยู่ยามบ้างล่ะ
ท่านก็ตอบว่า มันเป็นหน้าที่ของผม
ถามท่านว่า เทวดาชั้นจาตุมหาราช ทั้งหมด ที่อยู่เขตนี้มีเท่าไร
ท่านบอกว่า เป็นพัน ๆ คน
ก็ถามว่า อยู่กันได้อย่างไรเป็นพัน ๆ
ท่านก็เลยตอบยิ้ม ๆ บอก ก็อยู่อย่างเทวดา ก็หมดเรื่องไป
ถามท่านว่า มีหน้าที่อะไร
ท่านตอบว่า มีหน้าที่รักษาเขต
เขตที่ว่านี่ไม่ใช่เขตเฉพาะวัดอย่างเดียวนะ มันยาวออกไปเป็นรัศมีหลายสิบกิโล
ถามท่านว่า เขตนี้มีความสำคัญอย่างไรนะ จึงต้องใช้เทวดาเป็นพัน รักษาเขตไกลเป็นสิบกิโล
ท่านก็ชี้มือลงไปเบื้องล่าง ก็มองตามนิ้วของท่านก็ไม่เห็นอะไร เห็นเป็นดิน
จึงถามว่า พี่อ้วน ชี้ให้ดูแผ่นดินทำไม แผ่นดินตรงนี้ฉันเดินทุกวัน แล้วพี่อ้วนให้ดูอะไร
พี่อ้วนก็บอกว่า ดูเลยดินไปหน่อยซิ
ด้วยอำนาจเทวานุภาพ บรรดาท่านผู้ฟัง สามารถบันดาลให้เห็นสิ่งสีเหลือง พรึ่บไปหมด มันเหลืองอร่าม
คล้ายทองร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มบริเวณไม่มีว่างเลย และก็มันมีส่วนซ้อนกันสูงมาก เหมือนกับตั้งกองอิฐ อิฐกองเมื่อสูงแล้วก็กองต่อ ๆ ๆ ไป เป็นผืนใหญ่
แต่ว่าเป็นส่วนลึกมาก ถ้าจะขุดกันจริง ๆ ถ้าเทวดาไม่พาหนี ก็ต้องขุดกันเป็นกิโล ลึกเป็นกิโล กิโลเมตรนะ
และถ้าจะถามว่า เป็นทองคำธรรมชาติ เป็นทราย หรืออะไร
ก็ต้อง ตอบว่า ไม่ใช่ เป็นทองแท่งและก็เป็นทองแท่งใหญ่ ๆ
หันไปถาม พี่อ้วนว่า ทองแท่งใหญ่ ๆ นี้เดิมทีเดียวมันเป็นทองแท่ง หรือว่าเป็นทองชิ้นเล็ก ๆ
ท่านบอกว่ามีสองส่วน เป็นทองแท่งใหญ่ ๆ มาจากเดิมก็มี บางส่วนก็เป็นทองส่วนย่อยที่เขาทำให้มันเป็นแท่งใหญ่
ก็ถามว่า ใครทำ
ท่านก็บอกว่า เป็นหน้าที่ของเทวดาที่เป็นช่าง จะต้องจัดทำทองให้เป็นแท่งใหญ่ ๆ เพื่อจะรักษาสบาย ๆ
ก็ถามท่านว่า ทองแท่งใหญ่ ๆ ทั้งหมดนี้มันเต็มไปหมด มันกี่แสนตันก็ไม่รู้
ท่านก็ส่ายหน้าบอกว่า พูดถึงแสนตันก็ยังไม่พอเลย ยังไม่พอกับจำนวนของทอง
ถามว่า สมบัติส่วนนี้เมื่อไรจะใช้ได้
ท่านบอก ต้องรอไปซี เมื่อพ้นจากพระพุทธศาสนานี้หมดไปแล้ว ศาสนาพระสมณโคดม ตอนช่วงกลางจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้า
ก่อนพระศรีอาริย์ตรัส ช่วงนั้นก็จะมีพระเจ้าจักรพรรดิอุบัติขึ้นมาในโลก แล้วทองทั้งหมดนี้เป็นทองที่เขาเก็บไว้เพื่อพระเจ้าจักรพรรดิ
ถามท่านว่า ถ้าเวลานี้จะขอแบ่งมาใช้บ้างได้ไหม
ท่านก็บอกว่า ผมมีหน้าที่เพียงแค่เฝ้า มีหน้าที่อย่างเดียว อยู่ยามอย่างอื่นก็ไม่มีหน้าที่ทำ ยามก็มีหน้าที่สังเกตการณ์ว่า
ใครจะย่องมาเอาทองบ้าง และใครจะทำอะไรในเขตนี้ ผมรู้หมด ใครทำดี ใครทำชั่ว พระองค์ไหนประพฤติดี พระองค์ไหนประพฤติชั่ว คนที่มา ใครประพฤติดี ใครประพฤติชั่ว
นั่งอยู่นอนอยู่ คิดเรื่องอะไร ทำเรื่องอะไร ผมรู้หมด
เลยถามว่า พี่อ้วนคนมันหลายคนนะ พี่อ้วนรู้ได้อย่างไร
ท่านก็บอกว่า อย่าลืมว่า ผมเป็นเทวดานะ ผมไม่ใช่คน เทวดาย่อมมีอารมณ์เป็นทิพย์
ก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น อยากจะทราบความเป็นมาของคน ภายใน และความเป็นมาของคนภายนอก คนที่กำลังไปและคนที่กำลังจะมา พี่อ้วนทราบไหม
ท่านบอกว่า เรื่องเล็ก ทราบทุกอย่าง ถามอะไรถามได้เลย ใครโกหกท่านบ้าง ใครพูดจริงบ้าง ผมบอกได้เลย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน
ต่อไปนี้ผมรับอาสา มีอะไรถามผมก็ได้ แต่ตัวท่านเอง ไม่ต้องถามผมละมั้ง เพราะว่า ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ อยู่ใกล้ท่านอยู่แล้ว และท้าวมหาราชก็เป็นนายผม
ท่านถามอะไรท่านบอกอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเทวดาถ้าไม่ถามก็ไม่บอก
อย่างพิเภก ในเรื่องรามเกียรติ์ จริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ ที่ไปอยู่กับ พระราม เป็นหมอดู พระรามให้ช่วยดู พิเภกก็กราบทูลขอพรว่า
ถ้าไม่ถาม ก็ไม่ทูล ถ้าเรื่องอะไร ถามก็บอก เรื่องอะไรไม่ถามก็ไม่บอก เพราะการรบของพระราม รบกับญาติของพิเภก
นี่ก็เหมือนกัน ท่านพี่ชายยามท่านบอกว่า เทวดานี่ต้องถาม ถ้าไม่ถาม ถึงแม้ว่าท่านจะรู้เพียงใดก็ไม่บอก แต่บางกรณีที่มีความสำคัญ
ท่านบอกก่อนเหมือนกัน ถ้ามีความจำเป็น แต่เรื่องธรรมดา ๆ ท่านไม่บอก
ก็ถามท่านต่อไปว่า ก็เป็นอันว่า ทองทั้งหมดนี้เขาเก็บเพื่อพระเจ้าจักรพรรดิ ใช่ไหม
ท่านก็บอกว่า ใช่
แล้วก็เหตุที่อารักขา ท่านบอกว่า ที่อารักขาไปไกลเพราะป้องกันคนที่คิดจะมานำทองไป
ก็ถามว่า ถ้ามีคนมาขุดทอง หรือทำพิธีต่าง ๆ
ท่านยิ้ม ท่านบอกว่าสบายมาก ทำพิธีเมื่อไร ผมก็ทำพิธีเมื่อนั้น
ถามว่า พิธีของพี่อ้วนน่ะมีอะไร
ท่านก็เลยบอกว่า กระบองนี่ไง ผมจะตีหน้าให้หน้ามืด เทวดาฆ่าคนตายไม่ได้ ตีทีไรทุพพลภาพทุกที
ก็หมดเรื่อง ถามท่านว่า ตีแรงหรือตีเบา
ท่านบอกว่า แค่กระทบก็พอแล้ว มันสุดแล้ว แต่ใจผมจะนึกให้เป็นขนาดไหน ผมไม่ได้แกล้งเขา แต่เขาแกล้งผม ผมมีหน้าที่เฝ้า
ผมก็ทำตามหน้าที่ ตามธรรมดาเทวดาไม่โกรธใคร
ก็รวมความว่าแค่หน้าประตู บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เจอะพี่อ้วนเข้า พี่อ้วนนี่ใจดี ความจริงเห็นมานานแล้วนะ
เดินผ่านไปผ่านมาก็เห็นพี่อ้วนแกนั่งตรงนี้ แกยืนยามอยู่ที่เดียว
เคยถามว่าพี่อ้วน ยืนยามตรงนี้ คนมาหลังวัดเห็นรึ
ท่านบอกว่า ที่ไหนผมก็เห็น
เอาละ เป็นอันว่าผ่านไป พูดมากเสียเวลา ต่อไปก็กลับเข้าที่กลับเข้าที่ก็พบ ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์
ท้าวธตรฐ และท้าวเวสสุวัณ เห็นท่านยืนยิ้ม และปู่ย่า ตาทวด บิดามารดาก็มากันเต็ม และพระท่านก็มา
ท่านถามขึ้นว่า จะต้องการรู้อะไรอีก
ก็บอกว่า ต้องการคุยกันเป็นนิทาน ต่อนี้ไปก็จะเที่ยวแผ่นดินทีละจังหวัด จังหวัดไหนมีทรัพย์สินอะไรบ้าง พอที่จะคุยกันได้
แต่ส่วนใดที่คุยไม่ได้ก็ไม่พูด ส่วนใดที่เขาจะเอาได้ก็ไม่พูด
แต่ส่วนใดที่เอาไม่ได้ จะพูด คำว่า เอา หมายถึง ทำลายทรัพย์สินเขา แย่งทรัพย์สินเขา ถ้าเป็นแร่ธาตุก็อาจจะพูดได้ หรือไม่พูดก็ได้
สุดแล้วแต่ท่านจะอนุญาต
ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่อนี้ไปก็พึงรู้เสียด้วยว่า ใต้วัดท่าซุง นอกจากจะมีทองคำแล้ว ทองคำนี่ไม่ใช่ทองคำธรรมชาติ
เป็นทองคำที่เขาฝากท่านไว้ เอามาอารักขา
และก็ไม่ใช่ทองคำจุดเดียวที่เป็นของพระเจ้าจักรพรรดิ มีทั่วไป และก็มีอยู่หลายประเทศ แต่ละกลุ่ม ๆ มีอยู่หลายประเทศ เพราะพระเจ้าจักรพรรดิเกิดขึ้นแล้ว
เป็นผู้ครองโลก ชาวโลกทั้งหมดมีพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวที่เป็นใหญ่ คือ พระเจ้าจักรพรรดิ และพระเจ้าจักรพรรดิก็ปกครองโลกโดยธรรม
เวลาที่ใครเขาไม่มีจะกินไม่มีจะใช้ พระเจ้าจักรพรรดิก็สั่งขุนคลัง จงไปหาเงินมา จงไปหาทองมา ช่วยเลี้ยงเขา
ขุนคลังนี้ก็มีทิพจักขุญาณแจ่มใสมากสามารถเห็นอะไรต่ออะไรได้ ตามความต้องการ จึงเดินนำคนไปชี้ตรงนี้ บอกว่า ตรงนี้ทองคำจงขุดขึ้นมา
ทีนี้ก็เป็นเรื่องของเทวดา
ถ้าทองคำมากอย่างนี้ จะขุดขึ้นมามาก ๆ มันไม่ได้ เทวดาเขาก็จะให้เห็นเฉพาะจุด แต่พอสมควรว่าควรนำไปเท่าไร เห็นเท่านั้น นอกจากนั้นเห็นเป็นดินหมด
และแต่ละคราวถ้ามีความต้องการมีความจำเป็น เขาจะให้ตามสมควร ที่นี่เป็นจุดหนึ่ง จุดเล็ก ๆ
ก็ถามท่านว่า นอกจากนั้น ใต้วัดมีแร่อะไรบ้าง
ท่านบอกว่า วัดนี้ตั้งอยู่บนยอดภูเขาเหล็ก มีแร่เหล็กมาก และก็อยู่ไม่ลึก แต่เป็นวัดเสียแล้วนี่ ขุดก็ไม่ได้
และค่าก็ไม่สูงไม่คู่ควรกัน
และถามท่านว่า ถ้าอย่างนั้น จังหวัดอุทัยธานี มีอะไรที่มีความสำคัญบ้าง
ท่านก็ตอบว่า แร่ธาตุในจังหวัดอุทัยธานีมีเยอะ แต่ดินแดนที่จะพึงบอก
ท่านบอกว่าบอกไม่ได้
ก็อยากจะบอกสถานที่ แต่ทั้งนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เขารู้กันเอง อย่างแร่ที่มีความสำคัญ แต่ยังไม่นิยมใช้ อย่าง ยูเรเนียม
อย่างนี้ไปหลังอุทัยธานีก็มี
ถ้าแร่ดีบุกหรือแร่ต่าง ๆ ที่พึงใช้ มี แต่ว่าไม่มากนัก แต่ว่าแร่ยูเรเนียมมีเป็นหลายชั้น มีหลายชั้นด้วยกัน ชั้นบน ชั้นล่าง ชั้นต่อ ๆ ไป มีเยอะแฮะ
ดูแล้วมีเยอะเป็นกลุ่ม ๆ มีกี่กลุ่มน้อ
ท่านบอกว่า เอากลุ่มใหญ่ ๆ จริง ๆ มีอยู่ ๓ กลุ่ม ในเขตปลายทาง ในป่าของ ๓ อำเภอ ท่านก็ไม่บอก ท่านห้ามบอกอำเภอ
ทีแรกคิดจะบอกว่า ปลาย ๆ มันจะเป็นอะไร ท่านบอก เป็นหน้าที่ของเขา ของเราเป็นเรื่องของนิทาน จริงหรือไม่จริงใครก็ตำหนิกันไม่ได้
รวมความว่า แร่สำคัญนอกจากยูเรเนียม อ้าว! มองไปมองมา จังหวัดอุทัยธานีนี่มีแร่ทอง มีแฮะ คิดว่าจะไม่มี มีที่ไหน อีกอำเภอหนึ่ง
ซึ่งก็ไม่ไกลจากยูเรเนียมนัก มีกลุ่มทองคำ แต่ไม่มาก ถ้าทำแบบอุตสาหกรรม เป็นอะไรน้อ เป็นโรงงานที่เขาขุดน่ะ เป็นเหมืองแบบนั้นก็พอได้
แต่ทว่าต้องอดทน
แต่ท่านบอกว่า ต้องใช้เวลานาน อย่าเพิ่งทำเลย
ถ้าทำทองคำเวลานี้ ที่จังหวัดอุทัยธานี จะขาดทุน ต้องรอเมื่อถึงเวลาอันสมควร คำว่า เวลาอันสมควร บรรดาท่านพุทธบริษัท
ดูเรื่องของน้ำมัน เรื่องของน้ำมันนี้รู้เรื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ แต่ทว่าเทวดาท่านยืนยันว่า ต้อง พ.ศ. ๒๕๒๔ ไป ขอร้องท่านอย่างไร ท่านก็ยอมรับไม่ได้
ก็เป็นอันว่า ต้องถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ แต่เรื่องของทองคำนี้พระท่านไม่บอกเวลา
เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า มองดูเวลา เหลืออีกแค่ ๒๕ วินาที ก็หมดเวลา ขอลาก่อนขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล
จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี
((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))
◄ll กลับสู่สารบัญ
puy - 2/10/10 at 14:13
4
(Update 1-10-53 )
ชมทองคำที่วัดท่าซุง
ตอนที่ ๑
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่๒๔ธันวาคม๒๕๓๑ ก็มาเริ่มบันทึกตอนที่ ๓ ของหนังสือเล่มที่ ๕
สำหรับก่อนที่จะบันทึกเรื่องอื่น ๆ ก็ขอแจ้งข่าวกุศลก่อน ตามที่ท่านพุทธบริษัทให้เสื้อผ้ามาก็ดี ให้ผ้าห่มมาก็ดี
สำหรับเสื้อผ้าของบรรดาท่านพุทธบริษัทที่ให้มาแล้วทั้งหมด แจกไปแล้วจริง ๆ เกือบ ๑,๐๐๐ ชุด
เพราะแจกทยอย ๆ เรื่อย ๆ กันมา จนกระทั่งครั้งหลังสุดในเดือนธันวาคมนี้ และก็วันพรุ่งนี้ คือ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๑ จะแจกผ้าห่มเป็นงวดที่ ๒
ผ้าห่มนี้ นุสมล สุขเสริม ท่าน พอ.อ.ท. สวน สุขเสริม คือบิดาของเธอ นุสมล บริจาคมาแล้ว ๓๐๐ ผืน และกำลังบริจาคอีก ๓๐๐ ผืน
อาจจะหุ้นกับคุณเดือนฉาย คอมันตร์ (ต้อย) หรือไม่ก็ไม่ทราบ
รวมความว่าผ้าห่มทั้งหมด ๖๐๐ ผืน จะแจก วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๑ เป็นงวดที่ ๒ ก็ขออนุโมทนากับบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหมด ที่เสียสละนำผ้าห่มมาให้
และบรรดาท่านทั้งหลายได้สงเคราะห์ให้เสื้อผ้าเป็นพิเศษก็มีหรือผ้าห่มก็ตาม อย่าง นุสมล และต้อยเป็นต้น สำหรับเสื้อผ้านี้
บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนมากท่านด้วยกัน ขอทุกท่านจงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล ปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา
ต่อนี้ไป ก็มาคุยถึง การชมทองคำ สำหรับ ในเรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นเรื่องของนิทานก็แล้วกัน อย่าเป็นความฝันเลย
ฝันก็เป็นเฝือ ฝันมานานแล้ว เอาเป็นนิทานก็แล้วกัน นิทูเร แปลว่า มาจากที่ไกล เรื่องมันไกลแสนไกล
ซึ่งเราไม่สามารถจะไปทบทวนมันได้ ก็ถือว่าเป็นนิทาน
นิทานตอนนี้คือว่าตอนก่อนได้พูดมาจบถึงตอนที่ จังหวัดอุทัยธานีมีทองคำ แต่การพูดแบบนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท รู้สึกอึดอัดมากเหมือนกัน
เพราะบอกสถานที่ไม่ได้ บอกได้แต่เพียงจังหวัด บอกอำเภอ ท่านก็บอกว่ายังไม่ควรบอก ประการที่มีความสำคัญคือว่ายังไม่ถึงวาระที่จะนำทองคำขึ้นมา
ข้อนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทพึงเข้าใจว่า วาระนี้เป็นเรื่องใหญ่ เช่น น้ำมันก็เหมือนกัน รู้เรื่องน้ำมันมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๘
แต่ว่าเทวดาท่านบอกว่า ต้อง พ.ศ. ๒๕๒๔ ขอร้องท่านเท่าไรก็ตามที ท่านบอกว่า วาระไม่ถึง
สำหรับเรื่องทองคำนี้ก็เหมือนกัน ต้องอาศัยวาระถึง
ครั้นจะถามท่านว่า เมื่อไรจะถึงวาระนั้น
ท่านก็ตอบว่า วาระที่ถึงนั้นก็คือว่า กำลังใจของคนเป็นสาธารณประโยชน์
ท่านตอบกว้าง ๆ นะ
บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจของคนที่มีอำนาจเป็น สาธารณประโยชน์ เวลานั้นทองคำในประเทศไทยก็ดี แร่ธาตุที่มีคุณค่าต่าง ๆ
ก็ดี ทุกอย่างจะขึ้นมาอยู่ผิวดินหมด จะนำมาใช้ได้โดยง่าย
แต่ว่าหากว่ากำลังใจของคนที่มีอำนาจยังเป็น อัตตประโยชน์ อย่างนี้ก็รู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลานั้น
ก็เป็นอันว่าเข้าใจตามนี้ก็แล้วกัน สาธารณประโยชน์ อัตตประโยชน์ แปลว่าอย่างไร อาตมาก็ไม่ทราบ ช่วยหาคนอื่นแปลให้ทราบด้วย ถ้ายังไม่เข้าใจนะ
ถ้าอย่างนั้นก็ขออนุญาตท่าน ขอดูทั้งเมืองอุทัยฯ เฉพาะในเขตของเมืองอุทัยฯ ไม่ใช่เฉพาะอำเภอเมืองนะ ทุกอำเภอที่มีอยู่
ว่ามีทองคำอยู่จริง ๆ กี่แห่ง
ท่านก็ตอบมาทันทีว่า ทองคำพอที่จะมาใช้ได้เป็นประโยชน์ส่วนใหญ่จริง ๆ ๓ แห่ง แต่ละแห่ง
ทองคำทั้งหมดมีน้ำหนักหลายตัน แต่เท่าที่ว่านี้ไม่ใช่ทองคำแท่ง ทองคำแท่งก็ดี ทองคำรูปพรรณก็ดี เป็นของมีเจ้าของ
อย่างนี้ไม่ใช่ทองคำธรรมชาติ เป็นของมีเจ้าของ หรือเป็นธรรมชาติมาก่อน แต่ว่ามีเจ้าของปกครอง ไม่ได้ไม่เกี่ยวกับทองคำที่ว่านี้
ทองคำที่พูดเมื่อกี้นี้ เป็นทองคำเม็ดเล็ก ๆ เป็นทองคำธรรมชาติ สวยงามมาก
ท่านบอกว่า มีอยู่ ๓ จุดใหญ่ เอาจุดใหญ่นะ จุดย่อย ๆ แค่คนเอามือไปเขี่ยแล้วก็ได้มา ได้วันละสลึง ๒ สลึงบ้าง
วันละเฟื้องบ้าง บางทีคนโชคดีก็ถึงบาทบ้าง เอามาร่อนกัน อย่างนี้ไม่คิด เพราะเป็นส่วนน้อย
เอาแต่แหล่งใหญ่ ๆ จริง ๆ มีอยู่ ๓ แหล่ง แต่ละแหล่ง ถ้าได้รวบรวมกันทั้งหมด มีน้ำหนักแหล่งละหลายตัน เสียงท่านบอกมาว่า
ไม่ควรจะคิดนับเป็นตันนะ หลายสิบตันมาก
แต่เวลานี้ยังอยู่ลึกจากผิวดินมาก มองไปว่าลึกสักประมาณ ๑๐ เมตรนี่มันยังเลย ๑ กิโลเมตร ก็รวมความว่า ในเมื่อยังไม่ถึงวาระ
ก็ยังไม่ถึงวาระก็แล้วกัน อยู่ตรงไหน ท่านไม่บอกมาเราก็ไม่บอกไป
รวมความว่า จะเที่ยวดินแดนต่าง ๆ แต่ละจังหวัดว่า มีทรัพย์สินอะไรบ้าง ก็ชัดอึดอัด เมื่อพบแล้วก็พูดไม่ได้ถนัด
และอีกประการหนึ่งถ้าพบแล้วถ้าคนอื่นเขาอยากไปพบบ้าง เขาลืมไปว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องนิทาน มันก็ลำบากเหมือนกัน อาจจะโมเมโปเปตานังว่า นิทานเป็นเรื่องจริง
แต่บังเอิญนิทานไปตรงกับของจริง ก็เป็นเรื่องความจริงของนิทาน
ถ้านิทานไม่ตรงกับความจริง ก็เป็นเรื่องความจริงของนิทานเหมือนกัน จะเอาอะไรกับนิทาน ในเมื่อมองไปดูทองคำเป็นที่ชอบใจ ก็กลับวัดดีกว่า
ในเมื่อเอาอะไรกันไม่ถนัด ก็กลับวัดดีกว่า ไหว้พระตามปกติ สำหรับพี่ชายใหญ่ ท่านก็ยืนยามพุงพลุ้ยของท่านอยู่นั่น เมื่อกลับมาแล้วก็คิดว่า
เราจะทำอะไรต่อไป เดินรอบ ๆ วัดท่าซุง
ที่วัดท่าซุงนี้ ทองคำส่วนย่อยเขามีอยู่ ที่รวมน้ำหนักแล้วประมาณตัน ๒ ตัน เขามีอยู่
เพราะเป็นของมีเจ้าของ แต่ว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เขาก็เลื่อนเข้ามาอยู่ใต้ตึกหมดแล้ว หลบเข้ามา ส่วนใหญ่
นอกจากนั้นก็ยังมีส่วนเหลืออีก เป็นของมีเจ้าของ ก็บริเวณตึกรับแขกใหม่ ลานนั้นทั้งลานเต็มไปด้วยทองคำ
และก็ปรากฏว่า เป็นทองคำหลายเจ้าของ ถามท่านว่า ใครเป็นเจ้าของบ้าง
ท่านบอกว่า จุดนี้ แถบนี้มีทองคำมาก มีเงินเป็นส่วนน้อย ทองแท่ง ทองรูปพรรณ มีเพชรพลอยบ้าง
ท่านบอกว่า ส่วนนี้เป็นของของ ขุนแผน และส่วนกึ่งกลางมาตรงนี้ ตรงนี้มากอยู่เป็นของ พระยากาญจนบุรี และเรื่อย ๆ
เข้ามาอีก ตอนนี้เป็นของของ ลาวทอง กับ วันทอง
ท่านว่ามาอย่างนี้ ก็ว่าไปอย่างนั้น ไปตามเรื่องตามราวของนิทาน ไปเอาจริงเอาจังอะไรก็ไม่ได้
รวมความว่าจะว่ากันไปจริง ๆ บริเวณนั้นทั้งบริเวณก็เป็นทองส่วนบุคคล ทองเต็มมีเป็นเรือชะล่าบ้าง เป็นตุ้มบ้าง แถมในน้ำก็ยังมีอีก แต่ในน้ำ
ไม่ใช่อยู่เฉพาะในน้ำ อยู่ใต้ดินในน้ำ เพราะว่าดินในน้ำเวลานั้นมันเป็นดินบก น้ำไม่ได้ท่วม แม่น้ำเล็กกว่านี้
เวลานี้แม่น้ำมันใหญ่ขึ้นมา ก็ซัดเอาดินข้างบนหายไป เหลือแต่ดินข้างล่างทับตุ่มอยู่ เป็นตุ่ม ๆ วางเรียงรายเป็นตุ่มใหญ่ แถวละ ๗
ตุ่ม มี ๓ แถว แต่ว่าล้ำกันบ้าง อะไรบ้าง ไม่ค่อยเสมอกัน ก็มาดูรอบ ๆ บริเวณ เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของบริเวณที่สร้างตึกรับแขกใหม่ จะพูดให้ฟัง
สมัยที่อยู่ใหม่ ๆ เห็นจะเป็น พ.ศ. ๒๕๑๓ เป็นอันว่า พ.ศ. ๒๕๑๒ ดีกว่า
มีคน ๆ หนึ่ง เขาเอารถไถมาเจิม เขาบอกว่ารถไถของเขา เขาซื้อทอดกันมา
ก็รู้สึกว่าถ้าไถไปประมาณ ๑ ชั่วโมง หรือชั่วโมงเศษ ๆ ความร้อนจะขึ้นสูง และก็ต้องพักประมาณครึ่งชั่วโมงหรือ ๑ ชั่วโมง
และก็ไถต่อไป ทำงานไม่ได้สะดวก
เขาขอให้เจิมแก้
ก็บอกเขาว่า เจิมเป็นพิธีกรรม จะแก้ความร้อนได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทราบ เพราะนั่นมันเกี่ยวกับเครื่องยนต์
แต่การเจิมจะมีผลเป็นประการใดก็ไม่ยอมรับเหมือนกัน เมื่อมาเจิมก็เจิมให้ตามพิธีกรรมที่คนชอบ ก็ว่ากันตามเรื่องตามราวไป ก็ทำตามนั้น
เวลาเจิมก็เชิญ ท่านท้าวจาตุมหาราช พอเจิมเสร็จ ในบริเวณที่ตั้งตึกรับแขกใหม่ เวลานั้นเป็นกอไผ่ กอไผ่ที่ใช้ลำไม่ได้
กอไผ่เล็ก เล็กมาก เป็นเรียว ๆ เสียมาก แล้วก็มีต้นมะม่วง ต้นมะม่วงที่อดีตเจ้าอาวาสหวงแหนนัก
จะทำอะไรสงสาร จะสร้างโบสถ์ตรงนั้น ท่านก็บอกมาว่า สงสารต้นไม้ อย่าไปตัดต้นไม้ สงสารมัน ก็เห็นใจท่าน
ท่านมีการสงสารจริง ๆ แต่ต่อมาไม่ช้า เพราะอาศัยสงสารต้นไม้ เอาไว้ที่ตรงนี้จะมีอันตราย ก็เลยตัดต้นไม้ขายเจ๊กไป
ให้เจ๊กเก็บ
ทีนี้มาว่าถึงรถไถคันนั้น พอเจิมเสร็จ ก็ปรารภกับเขาว่า ที่ตรงนี้เป็นที่ขโมยเก็บของ ขโมยมันขโมยของในวัด
เวลานั้นอาตมาก็ไม่มีอำนาจในการควบคุม เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส ในเมื่อมันขโมยของในวัด มันก็ไปเก็บในป่า ขโมยของจากในโบสถ์ไปเก็บในป่าตรงนั้น
บรรดาฝากระดานทั้งหลาย ฝาบ้านสวย ๆ ฝากุฏิ มันก็ย้ายไปฝากไว้ตรงนั้นแล้วเอาลงเรือเวลากลางคืน ขโมยพวกนี้มันอาจหาญมาก
ไม่ได้เกรงใจเจ้าอาวาสเลย ไม่เกรงใจทายก เจ้าอาวาสหรือทายกก็ยิ้มแย้มแจ่มใสกับมัน เหมือนกับคนมีหุ้นส่วน แต่ความจริงไม่ได้มีหุ้นส่วน
ก็เห็นว่ากอไผ่มีไว้มีอันตราย ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ ขายลำก็ไม่ได้ กินหน่อก็ไม่ได้ ก็เลยบอกเจ้าของรถว่า คุณเจิมแล้วคุณลองใสป่านี่ดูซิ ถ้าไสให้เตียนได้ ฉันจะออกค่าน้ำมัน ออกค่าแรงงาน ออกค่าป่วยการเสร็จ
แล้วเขาเคยทำชั่วโมงละเท่าไร เราก็จะให้ตามนั้น เขาก็บอกว่า ผมขอทำถวายครับ
ก็เลยบอกว่า คุณ มันจะขาดทุนเกินไป
เขาบอกว่า ไม่เป็นไร ผมขอทำถวายจนกว่าจะเตียนหมด
เขาก็ลงมือทำ เวลาเขาลงมือทำก็จุดธูปบอกท้าวมหาราชบอกว่า ให้ท่านตั้งเจ้าหน้าที่เทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง คุมไม่ให้ความร้อนขึ้นสูง
และคุมรถคันนี้ไปจนกว่ารถคันนี้จะถูกขายไป หรือว่าพัง ให้รักษาระดับความร้อนไว้ ถ้าไม่เกินความสามารถของเทวดาจะพึงทำได้ ขอให้ทำด้วย
ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ เขาไถวันทั้งวัน คืนทั้งคืน ความร้อนไม่ขึ้นตามที่เคยปรากฏเป็นความร้อนปกติ ทำจนเตียนเสร็จ เมื่อเตียนเสร็จ
อาตมาก็จัดเงินให้เขา เพราะเกรงใจเขา เขาทำกี่ชั่วโมง เราก็คิดไว้ก็บอกบุญบรรดาญาติโยมทั้งหลายที่มาจากกรุงเทพฯ เวลานั้นก็อาศัยเฉพาะเงินจากกรุงเทพฯ
จริง ๆ
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๑ นี้ เงิน ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ เป็นเงินจากสายกรุงเทพฯ สายบ้านนอกจะมีมาให้บ้างก็นิดหน่อยเท่านั้น
เมื่อญาติโยมจากสายกรุงเทพฯ มา บอกท่าน
ท่านก็บริจาคไว้ตามกำลัง และก็ปรากฏว่า เงินพอตามชั่วโมงที่เขาทำ ครั้นมอบเงินให้เขา เขาก็แน่เหมือนกัน เขารับเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
เมื่อรับเสร็จ เขาขอทำบุญกับวัดเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เหมือนกัน เขาฉลาดมาก
ถือว่าให้ก็รับ เป็นพิธีกรรมของการค้า คือว่า การค้า ถ้าได้ ต้องได้จริง ๆ ได้เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ถือเป็นฤกษ์
แล้วเขาก็ถวายทำบุญเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ทั้งหมด
จากนั้นเขาก็จากไป เขาก็ไปรับจ้างไถนา ก็ปรากฏว่า มีรถคู่แข่งกัน ไถข้าง ๆ กัน เจ้าของคนนั้นซื้อรถมาใหม่ รถไถใหม่เอี่ยม
รายนี้ก็ซื้อมาใหม่เอี่ยม แต่ว่าใช้แล้ว ซื้อใหม่เอี่ยมแต่ว่าเป็นรถที่เขาใช้แล้ว ไถคู่แข่งขันกัน แต่ความจริงไถคนละที่ แต่ทว่าต้องคิดเหมือนกัน
การแย่งพื้นที่เพื่อรับจ้างไถอาจจะต้องมี ปรากฏว่าคู่แข่งขัน รถใหม่รถเสียตลอดเวลา ทำไปได้ครึ่งวัน รถเสียไปวันบ้าง ๒ วันบ้าง
รายการนี้ที่ความร้อนเคยขึ้นสูง ก็ไม่ยอมขึ้นสูง ปกติตลอดเวลา เธอก็มารายงานบอกว่า เป็นของอัศจรรย์ที่ผมให้หลวงพ่อเจิม
ฉะนั้น เรื่องการเจิมนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เป็นพิธีกรรมธรรมดาแต่ทว่าอานุภาพอย่างหนึ่งของท้าวมหาราช เมื่อถามท่านท้าวมหาราช
ท้าวมหาราชท่านบอกว่า ผมให้ ท่านวาหน เป็นผู้ควบคุม ท้าววาหนนี้ เป็นเทวดาองค์หนึ่งในชั้นจาตุมหาราช
ถ้าว่ากันตามเรื่องของหนังสือสุนทรภู่ ท่านวาหน ก็คือ ขุนไกร พ่อขุนแผน ก็รวมความว่า เมื่อทราบข่าวเสร็จ ก็ปั้นรูปท่านไว้
แต่รูปจะปั้นให้เหมือนก็ปั้นไม่ได้ ช่างก็ไม่เป็น ช่างประเสริฐ
เริ่มปั้นใหม่ ๆ แกไม่ได้หัดจากใคร แกนึกจะปั้นแกก็ปั้น ก็บอกว่า ปั้นตามใจชอบ แกก็ปั้นรูปหน้าคล้ายพี่วงษ์ พี่ชายที่ตาย เพราะแกเห็นรูปพี่วงษ์
ก็เลยเอากระดูกพี่วงษ์เข้า บรรจุไว้ให้ชื่อว่า นายวงษ์ สังข์สุวรรณ ที่รูปนั้น ตามความจริงเป็นรูปของ ขุนไกร
ทีนี้ที่ว่ารูปของขุนไกรจริง ๆ ก็เพราะว่า มีครั้งหนึ่งอาตมาไม่อยู่ไปกรุงเทพฯ ก็มีคนจะมาถ่ายรูปขุนไกร คนที่อยู่ที่วัดนี้
พระก็ดี ไม่มีใครรู้จักขุนไกร เขาก็บอกว่าเวลานี้ขุนไกรไปเข้าทรงที่แม่สอด การเข้าทรงของท่าน มีผลดีมาก พูดอะไรก็ตาม ตรงไปตรงมา จริงจังทุกอย่าง
แต่ทว่าพอช่างจะถ่ายรูป ท่านก็บอก มึงจะถ่ายอะไรวะ ถ่ายรูปเวลานี้ มึงก็ถ่ายรูปอีคนทรง มันจะติดกูได้อย่างไร
รูปกูเขาปั้นไว้ที่โน้น ที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ในเขตอำเภอเมือง ห่างจากอำเภอเมืองไปประมาณ ๖ กิโล เขาปั้นไว้ มึงไปขอถ่ายที่นั่น เหมือนเปี๊ยบเชียว
พระก็เลยบอกว่า รูปอื่นไม่เห็นมี เห็นมีแต่รูปพี่วงษ์ เวลานั้นรูปปั้นใหญ่มีรูปเดียว ไม่มีรูปใคร เขาก็เลยถ่ายภาพไป จึงได้ทราบว่า
ท่านท้าววาหนนี้ก็คือ ขุนไกร บิดาของขุนแผน คือ พระยากาญจนบุรี
ก็รวมความว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ เป็นเรื่องทอง ๆ ต่อมาก็อีกจุดหนึ่งจะจบหรือไม่จบก็ไม่ทราบ บุคคลที่มีความสำคัญอีกคนหนึ่งก็คือ ท้าวนาคา ท้าวนาคานี้ คนทั้งหลายคิดว่า พญานาค
บางคนมาถามว่า หลวงพ่อ ที่ต้นโพธิ์นี้มีถ้ำพญานาคหรือ
แต่ความจริงท่านท้าวนาคานี้ ท่านอยู่ที่ต้นโพธิ์ แต่ไม่ได้อยู่บนกิ่งโพธิ์นะ เป็นเขตที่ท่านพัก
อารักขาวัดบริเวณที่นี่ ท้าวนาคานี้เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช เขาตั้งศาลไว้ให้ข้างต้นโพธิ์
เพราะท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ตามสมควรตามอานุภาพของท่าน รู้สึกว่าท่านเป็นผู้มีคุณ เป็นเทวดาด้านทิศตะวันตก เป็นลูกศิษย์ของท้าววิรูปักษ์
จะพูดถึงอานุภาพของท้าวนาคา ก็มีอยู่ว่า เมื่อสมัยที่อาตมาอยู่ใหม่ ๆ กำลังอยู่กระต๊อบโคนต้นโพธิ์ เจ้าสิงโต อ่อนคำ
พี่ชาย เอี่ยม อ่อนคำ ลูกของ โยมอาจ ก็มานอนเป็นเพื่อนอยู่ที่ใต้ถุนกุฏิ ไม่มีฝา
ตอนตี ๒ เธอตื่นขึ้นมาเห็นคน ๆ หนึ่ง ผอม ๆ สูง ๆ เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป
เธอก็ถามว่า เป็นใคร มาทำไม
ท่านผู้นั้นพอถามว่าเป็นใคร ท่านตอบว่า กู
ถามว่า มาทำไม
ท่านบอกว่า กูมายืนยาม เดินยามตรวจ ป้องกันอันตราย
เจ้าสิงโตคิด เห็นว่าเป็นคน กลางคืนตี ๒ ก็ไม่ไว้วางใจ จึงหยิบปืน ยกปืนไม่ขึ้น เป็นปืนพก จับไฟฉาย ยกไฟฉายไม่ขึ้น
ท่านก็ร้องบอกว่า มึงจะยิงกูเรอะ มึงยกปืนไม่ขึ้น มึงจะยิงอย่างไร มึงจะฉายดูหน้ากูอย่างนั้นรึ กูให้ยกไฟฉายไม่ขึ้น
มึงจะฉายได้อย่างไร นี่เป็นจุดหนึ่ง จุดเล็ก ๆ
และก็มาในกาลครั้งหนึ่ง อาตมาออกเดินจงกรม ที่โคนต้นโพธิ์ที่ครัว เมื่อก่อนนี้ สร้างใหม่ ๆ เป็นเพิงหมาแหงน สำหรับทำครัวเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะอยู่น้อยคน
มุงสังกะสี ตอน ตี ๒ ออกมาเดินจงกรม อาตมาเดินข้างล่าง ท่านก็เดินบนสังกะสี เดินไป เดินไป ท่านก็เดินตามไป เดินมา ท่านก็เดินตามมา เสียงปัง ๆ บนสังกะสี
ในเมื่อหลายเที่ยว พออาตมาหยุด ท่านก็หยุดเหมือนกัน ในที่สุดก็บอกว่า ทำไมไม่เดินไปล่ะ
ก็เสียงตอบลงมาว่า ก็ท่านไม่เดิน ผมก็ไม่เดิน ผมอยู่ยาม ผมตามอารักขานี่ ท่านไปทางไหนผมก็ไปทางนั้น
ก็รวมความว่าท่านเทวดาชั้นจาตุมหาราชองค์นี้ก็มีคุณใหญ่
ต่อมา เมื่อมาถึงใหม่ ๆ ไม่กี่วันนัก วันหนึ่งนอนหลับตั้งแต่ตอนเย็นตั้งแต่ ๖ โมงเย็น ถึงประมาณ ๑ ทุ่ม ก็เหมือนกับมีคนมากระตุกนิ้วเท้า
ที่หัวแม่เท้า
พอลืมตาขึ้นมาท่านก็บอกว่า ท่านให้นาคที่จะบวชพระไปบอกเจ้าอาวาส บอกว่าคืนนี้ขโมยจะเข้าโบสถ์ จะลักพระพุทธรูปในโบสถ์
อาตมาอยู่ใหม่ ๆ อำนาจอะไรของเราก็ไม่มี จึงบอกให้นาคไปบอกเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสก็นอนเฉย ฟังแล้วได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ไม่ทราบ เธอนอนเฉย
ไม่สนใจกับคำบอกเล่า ในที่สุด คืนนั้นปรากฏว่าขโมยเข้าโบสถ์ เอาพระพุทธรูปหน้าตักประมาณ ๒๔ นิ้ว เป็นพระเก่ามาก หลายร้อยปี ไปเสีย ๑
องค์ ก็รวมความว่าท่านท้าวนาคา ท่านก็ศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้มีคุณ
เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เหลือเวลาอีก ๒ นาที รายการนี้เป็นรายการธรรมะ มาพูดกันวันนี้ก็พูดกันเฉพาะเทวดาชั้นจาตุมหาราช
หรือบรรดาเจ้าของทองทั้งหลาย จะเป็นขุนแผนก็ดี จะเป็นพระยากาญจนบุรีก็ดี จะเป็นขุนไกรก็ตาม จะเป็นสร้อยฟ้า ลาวทอง หรือใครก็ไม่รู้ เมื่อกี้มีใครบ้าง
ลาวทองกับวันทองก็ดี ท่านวาหนก็ดี หรือว่าท่านนาคาก็ตาม
ทั้งหมดนี้ จริง ๆ แล้ว ท่านเคยเป็นคน สำหรับท่านวาหนก็ดี ท่านนาคาก็ดี เป็นคนที่มีความดี มีบุญ
จึงเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชได้ ในเมื่อท่านจะเป็นเทวดาเป็นเพราะอะไร
คุณธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา มี ๒ อย่าง ที่พระพุทธเจ้าตรัส คือ หิริ และโอตตัปปะ ก่อนที่เราจะตาย เรามี หิริ
และโอตตัปปะ ๒ ประการ ในตอนก่อน ๆ มันอาจจะไม่มี อารมณ์ใจอาจจะด้านต่อบาปอกุศล
ทำบาปนั่น ทำบาปนี่ ทำบาปโน่น ฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์บ้าง ประพฤติผิดในกามบ้าง พูดมุสาวาทบ้าง ดื่มสุราเมรัยบ้าง ก็เป็นธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลก
มันเอาแน่นอนไม่ได้ แต่ว่าเป็นการบังเอิญจริง ๆ พอจะตาย เกิดมี หิริ และ โอตตัปปะ หิริ อายความชั่ว โอตตัปปะ เกรงผลของความชั่วจะให้เกิดความทุกข์
ในเมื่อกำลังใจมีความอาย มีความกลัวอย่างนี้ ก็มุ่งจับความดี อันดับแรก ก็มุ่งจับพระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ นึกถึง
พระพุทธรูป หรือพระสงฆ์ องค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะก็ได้ นึกถึงทานการบริจาค ที่เราเคยทำก็ได้ อย่างนี้จิตเป็นกุศลทันที
หรือว่าเวลานั้นจิตยอมรับนับถือในศีล เคารพในศีล จิตก็บริสุทธิ์ทันที เพียงเท่านี้ ท่านเรียกว่า เป็นคนมีหิริและโอตตัปปะ
ตายจากความเป็นคนเมื่อใด เป็นเทวดาเมื่อนั้น
นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ท่านฟังแล้ว รายการนี้เป็นรายการธรรมะ เราก็ใช้ ธรรมะกันเพียง ๑ นาที นอกจากนั้นเราก็เล่านิทานสู่กันฟัง
หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านคงไม่รำคาญเกินไป