หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 6 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ
webmaster - 3/1/11 at 15:40
หนังสืออ่านเล่น
เล่มที่ ๖
โดย ส. สังข์สุวรรณ
(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..พระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน)
เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๖
1. คำปรารภ
2. กรรมไก่ของฉัน
3. ขันติของพระอัสสชิ
4. หญิงแก่ขวางทาง
5. ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี
6. ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี (ต่อ)
7. พระอรหันต์มาโปรด
8. วิมานคอยอยู่แล้ว
9. พระมหาทองปอนด์ตาย
10 ตายก่อนบวช , เด็กหญิงตาย
1
คำปรารภ
คำปรารภหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๖ ในหนังสือเล่มนี้มีหัวข้อที่น่าอ่านดังนี้
๑. กรรมไก่ของฉัน
๒. ขันติของพระอัสสชิ
๓. หญิงแก่ขวางทาง
๔. ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี
๕. ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี (ต่อ)
๖. พระอรหันต์มาโปรด
๗.วิมานคอยอยู่แล้ว
เรื่องที่เขียนมาทั้งหมด เว้นเรื่องกรรมไก่ของฉัน นอกนั้นเป็นเรื่องนิทานที่แต่งขึ้นเพื่ออ่านคลายความเครียด สำหรับกรรมไก่ของฉัน เป็นนิมิต
ที่เรียกกันว่า (ฝัน) เป็นอาการที่นอนตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ความรู้สึกไม่เต็มอัตรา จะถือว่าเป็นเรื่องจริง หรือรู้ด้วยฌานหรือญาณไม่ได้
ให้ถือว่าเป็นเรื่องที่ฝันมาก็แล้วกัน
ผลที่รับจากความฝัน
แต่เมื่อทำตามนิมิตนี้แล้ว ผลที่ได้รับคือ พอเข้าวันที่สองที่ผ่านมา โรคที่เคยแก้ไม่ตกหายาที่แก้ให้ดีขึ้นไม่ได้ การรักษามีแต่ทรงกับทรุด
พอแก้ตามฝันแล้ว พอถึงวันที่ ๒ พ.ต.นายแพทย์ นพพร เอายามาให้ เกิดถูกยาขนานนั้น ต่อมา บุปผาชาติ (โอ๋) หมอจรูญ หมอวัฒนะ และพ.ต.นายแพทย์ นพพร
ก็เอายาขนานนี้ซึ่งมีราคาแพงมาก ต่างคนต่างนำมาให้
เมื่อกลับจากอเมริกา ๓๐ เมษายน ๒๕๓๒ พระภิกษุวิรัช พระวัดท่าซุง เอายาที่แกทำมาถวาย ยาขนานนี้ตรงกับโรคอีก ทำให้อาการของโรคดีขึ้นตามลำดับ
จะเห็นว่าตอนหลังนี้ไม่เขียนเรื่องป่วยลงในหนังสือมากนัก แต่อาจมีติดนิดหน่อย ความจริงยังป่วย แต่อาการดีขึ้นมาก จะคิดว่านอนมากฝันมาก
แต่ถ้าฝันมีประโยชน์ก็ควรเชื่อความฝัน
แต่ขอให้ท่านผู้อ่าน จงอย่าถือเอาเรื่องในหนังสือนี้เป็นเรื่องจริง ขอให้อ่านแบบอ่านนิทานแก้รำคาญก็แล้วกัน
ส. สังข์สุวรรณ
◄ll กลับสู่สารบัญ
2
กรรมไก่ของฉัน
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๓๒ การเว้นการบันทึกมาเสียหลายวันเพราะว่าป่วยมาก
แต่ก็ไม่เป็นไร ร่างกายดีขึ้นเยอะ ประสาทต่างๆ รอบ ๆ ร่างกายรู้สึกว่าดีขึ้นมาก
แต่ว่าส่วนสำคัญมีอยู่ที่ท้อง ท้องยังแย่มาก คือ ปวดมาก วันนี้ปรากฏว่าร่างกายมันปวดท้อง และก็มีเสมหะมาก ความจริงท่านพุทธบริษัท
รายการนี้เป็นรายการธรรมะ แต่ทว่าที่มาบอกวันนี้ ก็เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟังก็ดี หรือผู้อ่านก็ดี จะได้ทราบว่าธรรมะจริง ๆ
ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนก็คือ
ให้เข้าใจในขันธ์ ๕ จงอย่าหลงว่า ขันธ์ ๕ เที่ยง ขันธ์ ๕ ไม่มีทุกข์ ขันธ์ ๕ ไม่สลายตัว อย่างอาตมานี่บรรดาท่านพุทธบริษัท
มีทุกคนที่เข้ามาในวัด และที่มาหาด้วยศรัทธา ต่างก็ปรารภว่า ขอหลวงพ่ออยู่นาน ๆ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของบรรดาลูกหลานต่อไป
แต่ความจริงท่านทั้งหลาย ต้นโพธิ์หรือต้นไทรที่ท่านต้องการอาศัย จริง ๆ แล้ว มีสาขามาก แต่ทว่าภายในต้นถูกปลวกกัด คือไส้ของต้นโพธิ์ถูกปลวกกัด
ตั้งแต่ แก่ กระเพาะ และ ลำไส้ไม่ดี ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าร่างกายนี้จะทรงได้ตลอดกาลตลอดสมัยหรือไม่
ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ก็มาคุยกันต่อไปถึงตามความเป็นจริง
เมื่อกลับจากซอยสายลม บรรดาท่านพุทธบริษัท ขณะที่ไปซอยสายลมป่วยมาก และก็อาการป่วยจะไม่ขอเล่าให้ฟัง
ขึ้นมาจากการรับแขกหรือการแนะนำธรรมะก็พบกับหมอ หมอต้องมาคอยอยู่ตลอดเวลา
นั่นคือ นายแพทย์จรูญ กับคณะของท่าน แต่ว่าพอกลับมาถึงวัดวันที่ ๗ มกราคม คือวานนี้ ขณะที่ตอนเช้ามึนงงมาก
ก็นอนภาวนาคิดว่าร่างกายอาจจะตายก็ได้ ท้องก็ปวดจัด เสมหะก็มาก แต่ทว่าสิ่งที่ปรากฏการณ์ขึ้นเป็นพิเศษ
ขณะที่ภาวนาไปใกล้เวลา ๔ โมงเช้า หรือใกล้เวลา ๑๐ นาฬิกา ก็ปรากฏว่าจิตตกวูบลงจากนิวรณ์ มีอารมณ์สว่างไสว เห็นร่างกายของตัวเองนอนอยู่
แต่ร่างกายนั้นตัวใหญ่มาก ร่างกายสมบูรณ์ทุกอย่าง ผิวพรรณสวยสดงดงาม ผิวขาวเหลือง แต่สองมือกุมขมับ
แสดงว่ามีอาการปวดศีรษะมาก นอนลุกไม่ขึ้น พร้อม ๆ กันนั้นก็มีภาพ ไก่ตัวเมียเป็นภาพไก่ประเภทไก่ชน สีน้ำเงินแก่ค่อนข้างดำ
มีลายเป็นจุด ๆ ลายขาวเป็นจุด ๆ ขาวทั้งตัว ยืนอยู่เหนือศีรษะ ตอนนั้นก็มีเสียงกังวาลดังมาจากข้างบน เป็นเสียงค่อนข้างใหญ่ แต่กังวาลมากเพราะมาก
บอกว่า จงบวชเณร ๆ ๆ ๆ
เมื่อฟังเสียงแล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็คิดในใจว่าเพราะอะไร ก็คิดว่าการที่ป่วยคราวนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นมาเดือนเศษ
อาการป่วยพิเศษคือมันหนักที่ศีรษะมาก และก็ปวดขมับ ถึงเวลาใกล้จะ ๓ โมงเย็น ก็ปวดขมับทนไม่ไหว และก็มึนบนศีรษะมาก ศีรษะหนัก
ลุกขึ้นก็มึนงง ขาไม่มีแรง เดินซวนจะล้ม อาการอย่างนี้เป็นมาเดือนเศษ
และเวลารับแขกบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง จะแสดงอาการเจ็บป่วยก็เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์แก่ผู้เห็น จึงใช้กำลังของขันติช่วยอดทน
มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติ จนกระทั่งมีบุคคลบางคนเขาพูดมาให้ได้ยินว่า อาตมาเป็นคนมีมายามาก
ความจริงร่างกายไม่เป็นไรแข็งแรงดี ยิ้มแย้มแจ่มใส
แต่บอกว่าป่วย นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลกบรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมากับท่านก็เหมือนกัน นัตถิ โลเก อนินทิโต
ที่พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก คนเรามีสภาพอยู่อย่างหนึ่ง
นั่นคือว่า ถ้าเขาเป็นขโมย เขาจะไม่ไว้วางใจคิดว่า ทุกคนเป็นขโมยไปด้วย ถ้าเขาเป็นคนมีมายาเขาก็จะคิดว่า คนอื่นก็มีมายาไปด้วย
อาตมาเองก็มีความรู้สึกว่า มีหน้าที่โดยตรงกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็คือ แนะนำธรรมะ
เพราะเวลานี้ก็แก่แล้วบรรดาท่านทั้งหลาย จะต้องการทรัพย์สินเงินทองเป็นส่วนตัว ก็ไม่มีความหมาย ทั้งนี้ก็เพราะว่า แก่แล้ว ตายก็เอาไปไม่ได้ มีเท่าไร ก็ก่อสร้างหมด และก็สร้างเกินหมด และใช้จ่ายภายใน เพื่อบำรุงพระสงฆ์สามเณรในวัด
ก็เมื่อเห็นภาพไก่อย่างนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ใช้กำลังใจควบคุมกำลังใจอดทนต่ออาการปวดศีรษะ ทนต่ออาการมึนงง ทนต่ออาการปวดท้อง
ใช้กำลังขันติเข้าคุมแล้วก็รวบรวมกำลังใจด้วย สังขารุเปกขาญาณ
ก็ใช้กำลังใจส่วนหนึ่งที่เรียกกันว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ และก็ ยถากัมมุตาญาณ นี่เป็นของจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท
เราพูดกันแบบเปิดเผยก็แล้วกัน ฉะนั้นเราขอพูดกันแบบเปิดเผย เรื่องจริงก็เป็นเรื่องจริง ใครจะหาว่าอวดอุตตริมนุสสธรรมก็ว่ามา
ถ้าใครเขาหาก็ถือว่าเขากับเราคบกันไม่ได้ ก็แยกพวกกันอยู่ ก็หมดเรื่องกันไป เพราะวิชาทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้มีแต่ตัวเอง สอนคนให้ได้มาเป็นแสนแล้ว
เด็ก ๆ เล็ก ๆ ก็สามารถทำได้ แต่ท่านที่จะมาโจทก์ แสดงว่าท่านไม่เอาไหน ไม่มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา และก็ไม่ใช่สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าเราไม่ใช่สาวกศาสดาเดียวกัน จะยอมรับนับถือซึ่งกันและกันเพื่อประโยชน์อะไร อาตมาเกิดมาก็เลี้ยงตัวเองอาศัยบรรดาท่านพุทธบริษัทเลี้ยงตัว
ก็เพราะอาศัยการสร้างศรัทธา รวมความว่า เรื่องอย่างนี้ปล่อยไป เรื่องเกิดเมื่อไรก็รู้เมื่อนั้น ถ้าเรายอม กลัวมีเรื่อง
บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไม่ต้องรู้จริงกันละ
รวมความว่า เมื่อเหตุอย่างนั้นเกิดขึ้นก็ต้องทบทวน ใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณก่อน และควบกันด้วยยถากัมมุตาญาณ
คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นอย่างนี้ มันมาจากไหน ชาตินี้ทั้งชาติ ไก่ตัวเมียไม่เคยฆ่า แต่ที่ฆ่าจริง ๆ คือ ไก่ตัวผู้
แต่ก็ไม่ใช่ลงมือเอง ๒ ตัว ในชีวิตนี้มี ๒ ตัวเท่านั้น
คนอื่นเขาฆ่า แต่พลอยกินกับเขา ถ้าถามว่า ยินดีกับเขาไหม
เวลานั้นเป็นเด็กบรรดาท่านพุทธบริษัทในเมื่อผู้ใหญ่เขาจะฆ่ามันก็ต้องยินดี แต่ก็ไม่ใช่ยินดีในการฆ่า ยินดีในการกิน ถ้าจะถามว่า
บาปไหม ก็ต้องขอตอบว่า บาป ร่วมบาปกับเขา เพราะโมทนาความชั่ว การโมทนาความดีได้ไปสวรรค์ เป็นต้น การโมทนาความบาปมันก็ไปนรกเหมือนกัน
ทีนี้สำหรับไก่ตัวเมียไม่มีในชาตินี้ ก็ทบทวนกำลังใจหาเหตุหาผลว่า ชาตินี้ไปทำอะไรบ้าง ใช้กำลังใจทบทวน ตั้งแต่เวลานี้ไปจนถึงความเป็นเด็ก
ก็ไม่เคยเห็นไก่ตัวเมียแบบนี้ สรุปความว่าต่อไปก็ทบทวนใหม่ ถาม ถามต่อ
ตอนนี้ถามแล้ว การรู้เองนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ค่อยจะแม่นยำนัก บางทีก็พลาด ถึงแม้ว่าการสอบ ถามก็เหมือนกัน ถ้ากำลังใจของเรามีอุปาทาน ควบคุมอยู่ก็พลาดเหมือนกัน ต้องทำกำลังใจให้เป็นปกติ
เมื่อกำลังใจเป็นปกติก็ถาม ถามว่า ไก่ตัวนี้ฆ่าตายมาตั้งแต่เมื่อไร
เสียงกังวาลนั้นท่านตอบลงมาว่า ไก่ตัวนี้เจ้าฆ่าตายเมื่อสมัย ๓ ชาติที่ผ่านมา คือชาตินี้ไม่นับ ทิ้งชาตินี้เสีย
กลับไป ๑, ๒ และ ๓
ก็ถามว่า ในสมัยนั้นเกิดที่ไหน
เสียงก็ตอบออกมาว่า เกิดที่จังหวัดอยุธยา
และเหตุที่ฆ่าเป็นเพราะอะไรจึงฆ่า อยากกินหรือว่าฆ่าด้วยความโกรธ
เสียงนั้นก็ตอบมาพร้อมกับ ทำภาพ ภาพนั้นปรากฏชัดว่า เวลานั้นเป็นเด็กอายุประมาณ ๑๐ ปี เวลานั้นเป็นเด็กวัด ท่านบอกว่า
วัดอยู่ที่หันตรา จังหวัดอยุธยา
อาจจะเป็นวัดหันตรา ก็ได้ เป็นแต่เพียงท่านบอกว่าวัดอยู่ที่หันตรา เป็นเด็กวัดที่นั่น ขณะนั้นเดินไปปรากฏว่า เจ้าสุนัขของชาวบ้านมันเข้ามาในวัด
เป็นสุนัขดุ สุนัขในวัดน่ะ เลี้ยงกันอยู่เสมอ ไม่ทำ เป็นคนรักสัตว์ รักสุนัข รักเป็ด รักไก่ รักหมู เอาอาหารเลี้ยงทุกวัน
เวลานั้นไก่ฝูงหนึ่ง กำลังกินอาหารอยู่ เจ้าสุนัขมันเข้ามา พอเดินผ่านเข้าไปมันก็ไล่กวดจะกัด ขณะนั้นมีไม้ท่อนสั้น ๆ
อยู่ที่มือ ก็ขว้างเจ้าสุนัข เจ้าสุนัขมันหลบ เผอิญไปโดนไก่ตัวนี้ตายพอดี เป็นไก่ลักษณะเดียวกัน เป็นไก่ตัวเมีย เป็นไก่ชน สีน้ำเงินแก่
และก็เป็นจุดสีขาวตามตัวเหมือนกัน ไก่สวยมาก
เห็นเข้าแล้วก็รู้สึกเสียใจว่า ไก่เรารัก ไม่น่าจะมาตายเพราะเจ้าสุนัขตัวนี้ ก็เข้าไปประคับประคอง นำไปหาพระท่าน พระก็พยายามทำการปฐมพยาบาลทุกอย่าง
ไก่ก็ไม่ฟื้น
ในที่สุดเมื่อไก่ตายแล้ว คนอื่นเขาจะนำไก่ไปกินก็ไม่ยอม เพราะไก่ฉันรักมาก ก็ขอนำไก่ไปฝัง เวลานั้นมีสตางค์อยู่ ๑ ไพ พ่อให้ไปเพื่ออยู่ที่วัด
มีสตางค์เหลืออยู่ ๑ ไพ ก็นิมนต์พระท่านบังสุกุล เมื่อพระบังสุกุลเสร็จ ก็ลงมือทำการฝัง
ตามเรื่องราวท่านเล่าให้ฟังอย่างนี้ ก็ติดตามเรื่องต่อไปว่าไก่ตัวนี้เราก็รัก แล้วพระก็รัก พระในวัดท่านก็ดี มีความรักในสัตว์
ท่านจัดอาหารมาก็ให้อาตมาเป็นคนเลี้ยง เมื่อเลี้ยงแล้วปรากฏว่าพระก็รัก ไก่ตัวนี้ตายแล้วไปไหน
ก็ติดตามเรื่องต่อไป อยากทราบภาพนั้นก็ถามท่านว่า เวลานี้ไก่ตัวนี้ไปอยู่ที่ไหน ไปเกิดเป็นไก่ หรือว่าเกิดเป็นคน
หรือเกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นนางฟ้า เกิดที่ไหนไม่ทราบ
เสียงท่านก็ตอบมาว่า เจ้าจงไปดาวดึงส์ ไปที่ปัญจสิกขเทพบุตร เจ้าจะพบไก่ที่เจ้าขว้างให้ตาย และเป็นไก่ที่เจ้ารัก
ก็ตามเสียงนั้นขึ้นไปที่ดาวดึงส์ ไปหาท่านปัญจสิกขเทพบุตร เมื่อไปถึงแล้วก็ปรากฏว่าท่านปัญจสิกขเทพบุตรท่านคอยต้อนรับอยู่
ไปถึงท่านก็ให้นั่งอาสนะที่สมควร
แล้วคุยกับท่าน ถามท่านบอกว่า ไก่ที่ฉันขว้างให้ถึงแก่ความตายเวลานี้อยู่ที่ไหน
ท่านปัญจสิกขะ ท่านบอกว่า ถามผิด ให้ถามใหม่ คือว่า ไก่ที่เธอขว้างถึงความตายนั้นไม่มี (ตั้งใจขว้างไก่)
มีแต่ไก่ตัวที่เธอตั้งใจขว้างสุนัข แต่เผอิญไปถูกไก่นี้มีอยู่
ก็เลยบอกท่านว่า ตามนั้นแหละ คือขว้างสุนัขตัวนั้น บังเอิญสุนัขหลบไม้ไปถูกไก่ ท่านก็ชี้ให้ไปดูนางฟ้าที่นั่งใกล้ ๆ เป็นคนโปร่งบาง ผิวขาว สวยมาก ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่งตัวสวย เธอยิ้มแย้ม
พอหันหน้าไปหาเธอ เธอก็ยกมือไหว้ เธอถามว่า จำดิฉันได้ไหมเจ้าคะ
ก็เลยบอกว่า ถ้าเป็นไก่อาจจะจำได้ ภาพไก่ก็ปรากฏข้างเธอ
เธอก็บอกว่า ฉันคือไก่ตัวนี้เจ้าค่ะ
แล้วก็ถามเธอว่า เธอตายจากการถูกขว้าง กำลังกินอยู่ แล้วเธอมาเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้อย่างไร
เธอก็ตอบว่า เวลานั้น เธอมีจิตรักพระมาก พระทุกองค์ในวัด มีจิตเมตตาปรานีในสัตว์ เวลาพระมาเลี้ยงก็ไม่ต้องเรียกไม่ต้องต้อน
ทุกตัวเห็นพระก็วิ่งเข้ามาหา และก็ท่านเองก็เป็นคนลงมือเลี้ยง ฉันก็มีความรัก อาศัยที่มีความรักในพระ อาศัยที่มีความรักในท่าน ที่มีจิตเมตตา
ขณะที่ถูกขว้างก็ยังไม่ทันตายทีเดียว ความจริงอาการแน่วแน่เกิดขึ้นนั้นยังไม่ตาย
แต่ก็ไม่ใช่สลบ ความรู้สึกยังมีอยู่ ขณะที่ท่านเข้าไปอุ้ม ก็ยังมีความรู้สึกเวลานั้นก็รักท่าน เวลาที่พระทำปฐมพยาบาล
ก็มีความรู้สึกรักในพระว่ามีจิตเมตตา พระลูบตัวไปลูบตัวมา ก็มีความรู้สึกคลายจากความเจ็บปวด
เมื่อความเจ็บปวดหายไปประเดี๋ยวหนึ่งจิตใจก็ชุ่มชื่น เวลานั้นจิตออกจากร่างทันที แต่ก่อนที่จิตจะออกจากร่าง ก็เห็นนางฟ้าลอยอยู่ในอากาศเยอะมาก
มีมากมายด้วยกัน จิตใจก็รักนางฟ้า เมื่อออกจากร่างกาย ก็กลายเป็นนางฟ้า ติดตามนางฟ้าพวกนั้นมา
ก็จึงได้ถามว่า ในเมื่อเธอเป็นนางฟ้าแล้วยังจองเวรจองกรรมฉันอยู่รึ
เธอก็ตอบว่า การจองเวรจองกรรมของเธอไม่มีในฉัน คือว่า ฉันไม่มีเวรมีกรรมที่จะจอง อาการที่ป่วยไข้ไม่สบายเป็นกฎของกรรม
กฎของกรรมไม่ใช่ตัวถูกกระทำ ผู้ถูกกระทำมีความสุข มีความรู้สึกขอบคุณผู้ช่วยเหลือ ขอบคุณในพระ ขอบคุณในท่าน ทำไมฉันจะจองเวรจองกรรม
แต่นั่นเป็นกฎของกรรมที่ฉันไม่เกี่ยวข้อง
นี่แหละบรรดาท่านผู้ฟัง อย่างนี้ทุกคนก็จำไว้ด้วย รายการนี้ธรรมะ ว่าการกระทำ เราฆ่าปลาก็ดี ฆ่าเป็ดก็ดี ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควายก็ตาม จงอย่านึกว่าเขาเป็นผู้จองเวรจองกรรม แต่ทว่าสิ่งที่กระทำกับเราคือ กฎของกรรม
คือความชั่วที่เราฆ่าเขามันมาสนองตัวเรา รวมความว่าทราบว่าเธอไม่ได้จอง
ถามเธอว่า อโหสิกรรมไหม
เธอก็ตอบว่า ไม่มีกรรมอันใดที่จะต้องอโหสิ เพราะฉันไม่ถืออยู่แล้วว่าฆ่าฉัน ฉันไม่ได้โกรธ
เป็นแต่เพียงว่าขอให้ท่านปฏิบัติแก้กฎของกรรมให้พ้นไปก็แล้วกัน ฉันตามช่วย
ก็ถามเธอว่า เสียงให้บวชเณร เธอจะว่ายังไง
เธอก็บอกว่า ต้องบวช เป็นการแก้กฎของกรรม
ก็ตกลงใจว่า จะบวชเณร วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๓๒ เป็นวันอาทิตย์ วันนี้ก็ยังไม่ได้ปรึกษากับเด็กนักเรียน แต่การบวชเณรนี่
บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องบวชมากด้วยกัน เพราะว่ามีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำกฎของกรรมประเภทนี้ ต้องการให้บวชเณรให้สตางค์มาแล้วก็หลายท่าน
อาตมาเองก็คิดถึงไก่ ๒ ตัวที่ร่วมกินกับเขาในชาตินี้ด้วย
ตั้งใจคิดว่า จะบวชเณรสัก ๑๐ องค์ หรือ ๒๐ องค์ แต่เณรที่จะบวชบรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่รับคนภายนอก
จะเอาเฉพาะนักเรียนในโรงเรียน ที่ฝึกฝนได้มโนมยิทธิดีแล้วพวกได้ฌานโลกีย์ เพราะการบวชพวกฌานโลกีย์นี่มีอานิสงส์มาก จะเป็นการสนองคุณกับบาปได้
ฉะนั้นการบวชกี่องค์ยังตอบไม่ได้อย่างน้อย ๑๐ องค์ อย่างมากคงไม่เกิน ๒๐ องค์ หรือถ้ามากถึง ๒๕ องค์ หรือ ๓๐ องค์ ก็บวช เอาเฉพาะเด็กนักเรียน
ฉะนั้นบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทท่านผู้ใด จะร่วมในการบวชเณรด้วยก็ได้ อันนี้ก็ไม่ประกาศเรี่ยไร
แต่เป็นการแต่เพียงบอกไว้ว่าบรรดาญาติโยม ทั้งหลายที่ทำบุญมาแล้ว เนื่องในการบวชเณรแก้บนก็ดี หรือในการบวชเณรใช้กรรมไก่ก็ดี ให้ทราบว่า วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๓๒ เวลาหลังเที่ยง ทำการบวช เพราะว่า วันที่ ๒๐ ตอนเช้า อาตมาต้องรีบเข้าไปกรุงเทพฯ ไปวัดสามพระยาทำบุญอายุ
๘๐ เศษของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ก็เป็นอันว่าเวลาเหลืออีก ๕ นาทีก็คุยกันต่อไป จะนำเรื่องอื่นเข้ามาแทรกมันก็ไม่พอ กลับมาดูถึงสมัยเป็นเด็กที่อยู่หันตราไปอยู่วัดที่หันตรา
ไปเรียนวิชาความรู้ เรียนหนังสืออักขรวิธี อักขระคือตัวอักษร กับพระอาจารย์ชื่อ อาจารย์ชอบ
เวลานั้นปรากฏว่า ในวัดเขามีการฝึกเพลงอาวุธ เด็กรุ่นโตเขาเรียนวิชาการปกครองบ้าง วิชาการเกษตรบ้าง วิชามหาพิชัยสงครามบ้าง
พระเวลานั้นมีความรู้ทุกอย่าง และก็สอนทุกอย่าง อาตมาผู้พูดเป็นเด็ก ก็ชอบเรียนวิชาป้องกันตัว คือวิชากระบี่กระบองฟันดาบ
วิชาที่ชอบที่สุดคือการฟันดาบสองมือ วิชาอื่นที่ชอบ แต่ว่าไม่ชอบเท่าคณะนี้
แต่ว่าขณะที่เรียนอยู่อายุ ๑๐ ปี ปรากฏว่ามีวันหนึ่ง นักเรียนรุ่นโตซึ่งเขาเรียนวิชาเพลงอาวุธ แต่ว่าเวลายามว่าง คนหนึ่งแกเป็นคนเกเร
ชอบชวนคนทุกคนเล่นการพนัน หยอดหลุมบ้าง เล่นบ้อหุ้นบ้าง และแกเป็นคนเก่ง ก็กินได้สตางค์เขาไปเยอะแยะ ทุกคนก็หมดตัว อาตมาเองเป็นเด็กเล็ก ถือไม้กระบองเล็ก ๆ
หนึ่งอัน ขีดไปขีดมากับดินมีสตางค์อยู่ ๒ ไพ นาน ๆ พ่อก็ไปให้เสียทีหนึ่ง
เธอก็มาชวนเล่นบ้อหุ้น ก็เลยบอกว่า ไม่เล่น
เธอบอกว่า ถ้าไม่เล่นเธอจะเตะ
ก็เลยบอกว่า ถ้าเตะผมก็ตี
เธอบอกว่าเธอโตกว่า
ก็ตอบเธอว่า โตกว่าก็ไม่แปลก ในเมื่อเราเกิดมาเป็นคนเหมือนกัน
ผลที่สุดยั่วกันไปยั่วกันมา เธอก็เตะเอาจริง ๆ แกง้างขาจะเตะอย่างแรง ก็พอดีตีด้วยไม้สวนหน้าแข็ง ล้มลงทันที ถึงกับเดินไม่ไหว
ต่อมาท่านอาจารย์ชอบก็มาบอกว่า เธอทำไมไปทำเขาอย่างนั้น
ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ในเมื่อเขาเตะผมนี่ครับ ผมก็ต้องตี เวลาเขาจะเตะผม ไม่มีใครห้าม แต่เวลาผมตีเขาแล้วจะมาว่าผมนั้น
มันไม่ถูก
อาจารย์ชอบท่านก็บอกว่า ถูก
ก็รวมความว่าวันหลังท่านพ่อไปที่วัด ไปถามความเป็นมาก็เลยบอกว่า โกงผมก่อน ผมก็ต้องเอา โตขนาดไหนผมก็ต้องสู้
ท่านอาจารย์ชอบท่านก็บอกว่า ไอ้หนู รักษาตัวให้ดีนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจงเป็นคนมีมรรยาทดี มีพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา ความรัก กรุณา
ความสงสาร มุทิตา มีจิตอ่อนโยน และ อุเบกขา วางเฉยไว้
ก็กราบเรียนท่านว่า ถ้าโกงผม ผมไม่เฉย ถ้าใครเขาไม่โกงผม ผมก็เฉย
ท่านก็บอกกับท่านพ่อว่า ไอ้หนูนี่มันเอาแน่ ท่านก็เลยถามวันเดือนปี ถามวันเดือนปี ท่านลงเลขกุกกัก ๆ ๆ ก็ไม่รู้
ว่าท่านทำอะไรของท่าน
ท่านก็หันมาบอกท่านพ่อบอกว่า นี่พี่เลี้ยงให้ดีนะ เด็กคนนี้นะถ้าพลาดท่า ถ้าเป๋ก็เป๋ฉูดไปเลย ถ้าเป็นโจรก็ไม่ต้องจับกัน
ประการหนึ่ง ถ้าดีก็ต้องดีมาก แต่เด็กคนนี้ไปในด้านดีมาก ต่อไปจะเป็นคนที่มีอำนาจวาสนา และขั้นที่สุดจะเป็นเจ้าใหญ่นายโตได้ แต่ว่าขอให้รักษาตัวให้ดี
วันหลังต่อมาท่านพ่อก็บอกว่า อาจารย์ชอบ เดิมทีเดียวท่านเป็นทหาร เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน เป็นคนที่รบเก่งมาก
ไม่เคยมีแผลจากอาวุธของข้าศึก ถ้าทะลวงฟันเข้าไปหมู่ไหน หมู่นั้นก็ต้องแตกกระเจิง ถ้าหากผู้บังคับบัญชาต้องการจะบุก
ก็จะสั่งหัวหมู่ทะลวงฟันคนนี้นำทหารเข้าตีจุดนั้นทันที เข้าตีจุดไหนแตกจุดนั้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิชามหาพิชัยสงครามก็เก่งมาก การวางแผนเก่งมาก
ท่านพ่อบอกให้ไปขอเรียนจากท่าน
ในที่สุดก็เรียนจากท่านทุกอย่าง การเพลงอาวุธท่านก็แนะนำให้หมด ท่านอาจารย์ชอบนี่เดิมเป็นทหาร และต่อมาก็เป็นโรคเหน็บชา เป็นทหารไม่ไหว
ก็มาอยู่กองเสมียนตรา ต่อมาก็ลาบวช เมื่อบวชแล้วก็เห็นว่าบวชดี ได้ฌานสมาบัติ ก็เลยไม่สึกจากพระ ก็รวมความว่าวิชาขั้นต้นก็ได้จากอาจารย์ชอบ เมืองหันตรา
ที่ศึกษามาในกาลนั้น
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เวลาเหลือไม่ถึง ๑ นาที ก็ต้องขอลากันตอนนี้ เป็นอันว่าขอบรรดาท่านพุทธบริษัท พึงทราบชีวิตความเป็นมาของคนทุกคนว่า
คนทุกคนไม่มีอะไรเที่ยง มันเต็มไปด้วยความทุกข์ โรคภัยไข้เจ็บเป็นของธรรมดาที่จะต้องมีกัน
ความทุกข์ใดใดเกิดขึ้น ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านจงใช้ขันติ คือความอดทน อดใจ รักษากำลังใจเข้าไว้เราถือว่า
เรามีความตายในที่สุด แต่ว่า ถ้าอยู่เป็นคนก็อยู่อย่างคนดี เมื่อตายเป็นผีจึงจะเป็นผีดี
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาเหลือไม่ถึงครึ่งนาที ก็ขอลา
ก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี
((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 12/1/11 at 15:55
3
(Update 12-1-54 )
ขันติของพระอัสสชิ
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ยังเป็นวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๓๒ แต่ว่าวันนี้ขอทบทวนถอยหลังไป เป็นเรื่องราวของวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๒
เมื่อวันที่ ๔ มกราคม เดินทางกลับมาถึงวัดจากกรุงเทพฯ จากซอยสายลมมา มาถึงวัดเย็นวันที่ ๓ พอตกกลางคืนก็รู้สึกปวดท้องมาก
เวลานั้นเป็นอะไรบ้างจะไม่ขอกล่าว
มาถึงคืนวันที่ ๔ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาการปวดท้องยังมีมากตามปกติ เวลานั้นเป็นเวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกา อากาศเริ่มร้อน อาการปวดท้องก็หนัก
มีอาการคล้ายเป็นบิด รู้สึกอุจจาระแข็งมาก เพราะไปซอยสายลมมาทุกคราว บรรดาท่านพุทธบริษัทโรคที่มีอยู่ก็ทวีขึ้น ๓-๔ เท่า เพราะต้องนั่งเครียดทั้งวัน
และมีการพูด
แต่ว่าบรรดาท่านผู้รับฟังและผู้มาเห็นคงจะไม่ทราบว่าป่วย ทั้งนี้เพราะว่าต้องใช้ขันติอย่างหนัก ถ้าถามว่าใช้ได้อย่างไร
ก็ขอตอบว่า ใช้แค่จะพึงใช้ได้ ถ้ามันเกินวิสัยจริง ๆ ก็ร้องเหมือนกัน ก็ลุกไม่ขึ้นเหมือนกัน
ก็ดูแต่ พระอัสสชิ ซึ่งเป็นสาวกรุ่นแรกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะนิพพาน ท่านก็เป็นโรคกระเพาะอย่างหนัก
เมื่อโรคกระเพาะเกิดขึ้นแล้ว ทั้งปวด ทั้งเสียด อึดอัด ทนไม่ไหว ท่านจึงคิดในใจว่า เวลานี้เราเสื่อมจากความดีเสียแล้วหรือ
จึงให้พระไปตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จมาท่านจะลุกจากที่นอน องค์สมเด็จพระชินวรตรัสว่า
อัสสชิ นอนตามนั้นเถิด ตถาคตจะนั่งในที่ที่เขาจัดให้นั่งตามสมควร
เวลานั้นท่านกราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเวลานี้ทุกขเวทนาหนัก พระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทนไม่ไหว
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อัสสชิ เธอระงับกายสังขารไม่อยู่หรือ นั่นก็หมายความว่า ใช้อานาปานุสสติ
กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก ถ้ากำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก ถ้าจิตเป็นสมาธิตามสมควร ทุกขเวทนาจะคลายตัว
ท่านก็กราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทนไม่ไหว พระเจ้าข้า ระงับไม่อยู่
ท่านจึงกราบเรียนองค์สมเด็จพระบรมครูว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า
ความดีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้มาแล้ว คงจะสลายตัวไปแล้ว
องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงถามว่า อัสสชิ เธอถือว่าร่างกายเป็นของเธอหรือ
พระอัสสชิก็ตอบว่า ไม่ใช่พระเจ้าข้า
ท่านถามว่า หรือว่าเธอเห็นว่าเธอมีในร่างกาย
พระอัสสชิก็ตอบว่า ไม่ใช่
ก็รวมความว่าท่านอัสสชิยังถือว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
เมื่อพระอัสสชิตอบอย่างนี้แล้ว องค์สมเด็จพระทีปแก้วก็มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า อัสสชิ ความดีของเธอไม่เสื่อม ความดียังทรงตนอยู่
หลังจากนั้นไม่นานเมื่อพระอัสสชิพบองค์สมเด็จพระบรมครูแล้วไม่นาน ก็นิพพาน
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ขึ้นชื่อว่า ขันติ มันก็จะทนได้อยู่แค่พอจะทนไหว ถ้าเกินกำลังมาเมื่อไร อาตมาก็เช่นเดียวกับพระอัสสชิ แต่ทว่าพระอัสสชิท่านเป็นพระอรหันต์ในสมัยตอนต้นพุทธกาล เป็นพระอรหันต์ที่มีกำลังยิ่งยวดมาก เพราะยังไม่มีใครเป็นตัวอย่าง
ไม่มีใครเป็นแบบฉบับของอรหันต์ ฉะนั้นการเป็นอรหันต์เวลานั้นต้องใช้กำลังใจสูงมาก มีความฉลาดมาก มีความอดทนมาก มีความเข้มแข็งมาก
อาตมาเองไม่ใช่พระอรหันต์อย่างพระอัสสชิ อาตมาเองก็ยังเป็นพระปกติธรรมดา ดังนั้นขันติถ้าจะทน ก็เอาแค่ทนได้ ถ้ามันเกินกำลังก็ทนไม่ไหว
ถ้ายังทนได้อยู่เพียงใดบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ก็ยังคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้ ถ้าทนไม่ได้เมื่อไร ก็นอนคนเดียวเมื่อนั้น
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท รายการนี้เป็นรายการธรรมะ ธรรมะของบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ให้มีความเข้าใจในร่างกายเป็นสำคัญวิปัสสนาญาณทุกข้อก็คือร่างกาย ให้พิจารณาร่างกายตามความเป็นจริงว่า ร่างกายเป็นโทษ ร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายน่าเบื่อหน่าย
ร่างกายนี้เราควรจะวางเฉย
เพราะว่าขืนเอาจิตใจติดตามร่างกาย คิดว่าร่างกายจะไม่แก่ มันก็ต้องแก่ คิดว่าร่างกายจะไม่ป่วยไข้ไม่สบาย มันก็ต้องป่วย
คิดว่าร่างกายจะไม่มีทุกขเวทนา มันก็ต้องมีทุกข์ ถ้ากำลังใจเราฝืน เราก็มีทุกข์ กำลังใจไม่ฝืนก็ไม่มีทุกข์ ยอมรับมัน ถ้าความแก่มันเข้ามาถึง
ก็ยอมรับ
ความแก่
เมื่อความป่วยเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าธรรมดาของร่างกายมันจะป่วย ความตายจะเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าธรรมดาของร่างกายมันต้องตาย
และก็พยายามหนีร่างกายด้วยการคิดว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดอย่างนี้ มีกับเราชาติเดียวเป็นชาติสุดท้าย
ต่อไปการเกิดมีร่างกายให้ประกอบไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราจะไม่มีอีก เรื่องนี้ก็หยุดกันแค่นี้บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าจะเบื่อเกินไป
ต่อไปก็มาคุยกัน เมื่อมันปวดท้องหนัก ๆ ก็คิดในใจว่า ทุกขเวทนาหนักมากเกือบจะทนไม่ไหว เวลานั้นก็นอนอยู่คนเดียว ตามปกติก็อยู่คนเดียว ไม่มีใครอยู่ใกล้
การอยู่ใกล้ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ จะทำให้คนใกล้มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน นอนก็ไม่ลง เพราะทุกขเวทนามันมีทุกวันทุกคืน
จึงรวบรวมกำลังใจเท่าที่จะพึงทำได้คิดว่าเราไปหาลุงกันดีกว่า ไปถามท่านลุงดูทีซิว่า มันจะตายแล้วหรือยัง ถ้ามันจะตายจะได้เตรียมตัวตาย ตั้งป้อมไว้
แต่ก่อนที่จะไปหาลุงก็ต้องใช้ สังขารุเปกขาญาณ กำลังใจถึงที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ สังขารุเปกขาญาณ
นี่มีหลายระดับบรรดาท่านพุทธบริษัท ขั้นฌานโลกีย์ก็มีสังขารุเปกขาญาณ พระโสดาฯ สกิทาคาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ก็มีสังขารุเปกขาญาณ คือว่า
การวางเฉยในสังขารเป็นไปตามขั้นของกำลังใจ ไม่ใช่ว่าจะมีเฉพาะพระอรหันต์อย่างเดียว
เมื่อมีกำลังใจดีพอสมควร จิตว่างจากอารมณ์อื่น ไม่มีนิวรณ์เข้ามาแทรก
อารมณ์เป็นสุขเพราะอาศัยอานาปานุสสติเป็นพื้นฐานก็รวบรวมกำลังใจไปแดนที่สุดเท่าที่จะพึงไปได้ก่อน เข้าไปนั่งอยู่ที่บ้าน หรือที่วิมานหลังนั้น
ว่ากันตรงไปตรงมาดีกว่า ยังไง ๆ ใครเขาก็รู้ว่าสอนคนมามากแล้ว
ก็แปลกใจที่เห็นวิมานมันสวยสดงดงามกว่าเดิม เครื่องประดับประดาก็มีมาก ที่นั่ง ที่นอนก็ดีกว่าเยอะแพรวพราวเป็นระยับ
ก่อนก็แพรวพราวอยู่แล้ว คราวนี้มันสวยกว่ามาก ทุกสิ่งทุกอย่างเพิ่มขึ้นมามาก พอไปถึงดินแดนนั้น ก็มีจิตใจชุ่มชื่น
พอนั่งเรียบร้อยก็ปรากฏว่าท่านพ่อท่านแม่ชาติในอดีต ที่ท่านไปนิพพานแล้วบ้าง ยังไม่ไปนิพพานบ้าง ท่านไปเยี่ยมกันมากมายนับกันไม่ได้
ท่านมาถึงท่านประกาศตัวว่าท่านเป็นพ่อชาตินั้น แม่ชาตินี้ แต่ละคนก็ประกาศให้ทราบ อารมณ์ใจก็สดชื่น และต่อมาพ่อแม่ของเด็ก บรรดาแม่ของเด็กก็มาเยี่ยมกัน
หลังจากนั้นก็ปรากฏว่า องค์สมเด็จพระภควันต์ที่นิพพานไปแล้ว ๘๔ องค์ ท่านก็มาเยี่ยม
ท่านบอกว่า คุณ ร่างกายมันยังไม่ถึงเวลาจะตาย ควรยับยั้งกำลังใจไว้ก่อน สถานที่นี้นะมาได้แน่นอน แต่เวลาจะมายังไม่ควรจะมา
อยู่ช่วยกันก่อน
ก็กราบทูลท่านบอกว่า ขันธ์ ๕ มันจะทนไม่ไหว พระเจ้าข้า
ท่านก็ตอบว่า ทุกขเวทนา ยังไม่ถึงขั้น ท่านอัสสชิ ท่านอัสสชิท่านเป็นมากกว่านี้ เธอยังมีกำลังน้อยกว่า พยายามรักษา
ใช้ยาปกติที่มีอยู่ ที่หมอให้ ต่อไปร่างกายจะเปลี่ยน จะโปร่งขึ้น ในวันพรุ่งนี้จะคลายตัวมากกว่านี้ ในวันมะรืนนี้จะดีขึ้นมากอีกหน่อย ต่อไปร่างกายจะโปร่ง
เมื่ออยู่ที่นั่นพอเป็นที่สบายใจ ท่านก็บอกว่า เธอกลับได้ ยังไม่ควรจะคิดว่าจะอยู่เลย
ก็กลับ ลาท่านกลับ ลาพ่อ ลาแม่กลับหมด
◄ll กลับสู่สารบัญ
4
หญิงแก่ขวางทาง
เมื่อกลับมาถึงที่แล้วก็คิดในใจ พอทรงอารมณ์ได้ ก็ตั้งใจคิดว่าประเดี๋ยวเราจะไปหาลุง ก็ลุกจากที่นอน ออกจากสถานที่ จะไปหาท่านลุง
แต่ว่าบรรดาท่านผู้ฟังอุปสรรคย่อมเป็นอุปสรรค เป็นของธรรมดา ๆ คำว่า อุปสรรค นี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนว่า
การจะไปไหนก็ดี การจะทำงานทุกอย่างก็ดี ต้องคิดถึงอุปสรรคก่อน แม้แต่การประกอบอาชีพต่าง ๆ ก็ต้องคิดถึงอุปสรรคก่อน อุปสรรคมันต้องมีกับคนทุกคน
พอเคลื่อนจากที่ก็ปรากฏว่า มีหญิงแก่คนหนึ่ง ผิวขาว รูปร่างเพรียว อายุประมาณ ๗๐ ปี อายุนี่ขอประมาณ
เธอนั่งขวางทางหลีกทางซ้ายเธอก็ขวาง หลีกทางขวาเธอก็ขวาง เดินตรงเธอก็ขวาง
ก็ถามเธอว่า เธอจองเวรจองกรรมอะไรกับฉัน ทำไมจึงขวางทางเดินของฉัน นี่ฉันจะไปหาลุง แล้วเธอมาขวางทำไม
เธอก็ยิ้ม บอกว่า ที่ฉันมาขวางนี่ฉันยังไม่ต้องการให้ไปหาลุง
เอาสิ ไหมล่ะ อย่านึกว่าพระนี่เก่งกว่าผี ผีเก่งกว่าพระ
ก็ถามเธอว่า เธอต้องการอะไร
เธอตอบว่า ตามฉันมา
ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เธอก็นำหน้า ฉันจะตามไป
ก็ไม่ทราบว่า เธอจะพาไปไหน เธอก็พาเดินเรื่อยขึ้นไปทางด้านทิศเหนือ ชันขึ้นไป ๆ ปรากฏว่าดินแดนนั้นเป็นดินแดนของ เขาพระสุเมรุ เป็นทางที่ราบรื่น
สวยสดงดงามมาก ขึ้นไม่เหนื่อย
พอไปถึงยอดเขาพระสุเมรุ ก็ปรากฏว่าไปถึงที่ ปัญจสิกขเทพบุตร เป็นที่รวมใกล้กับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปถึงเธอก็นั่ง
อาตมาผู้พูดก็นั่งก็อยากจะทราบว่าเธอฟ้องอะไรหรือเปล่า คือคิดว่าไปหา ผู้พิพากษาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เธออาจจะฟ้อง
นั่งอยู่แล้วก็ถามท่านปัญจสิกขเทพบุตรว่า หญิงคนนี้คือใคร
ท่านก็ตอบว่า เป็นหญิงคนหนึ่งที่มีคนเขาถามคุณ ที่ซอยสามลมว่า เธอตายไปแล้วไปไหน และท่านเองท่านก็ตอบสั้น ๆ ว่า
คิดว่าเธอมีความสุข เพราะว่าคนคนนี้ทำบุญไว้มาก เวลาใกล้จะตาย เวลานั้นภาพเวลาเขาถาม ภาพเกิดกับคุณว่าหญิงคนนี้ถวายผ้าไตร
หญิงคนนี้เคยสร้างพระพุทธรูปถวายในพระพุทธศาสนา
แต่ความจริงบุญของเธอไม่ได้ทำแค่นั้น เธอทำไว้มากกว่านั้น เป็นคนใจบุญ เรื่องบาป เป็นของธรรมดาของคนที่เกิดมาต้องมีบาป แต่เธอก็เป็นคนใจบุญหนัก
เธอเคยถวายสังฆทานที่เป็นอาหารกับพระ เคยถวายสังฆทานเป็นของแห้ง เคยทำบุญบวชพระ เคยทำบุญทอดกฐิน จิตใจของเธอจริง ๆ จับอยู่ที่ผ้าไตร กับพระพุทธรูป
จึงหันมาถามเธอว่า ความจริงเป็นอย่างนั้นไหม
เธอก็ตอบว่า เป็นความจริง
ถามเธอว่า บ้านอยู่ที่ไหน
เธอก็ยิ้ม ๆ เธอก็บอกว่า เวลาที่คนเขาถามปัญหา เขาบอกบ้านแล้วนี่เจ้าคะ เขาบอกจังหวัดอยู่แล้ว
ก็เลยถามเธอว่า บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ผู้หญิงแก่ ๆ แบบนี้มีกับเขาด้วยรึ นางฟ้าก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี
ที่มีรูปร่างแก่น่ะไม่มี
เธอก็ตอบว่า เท่าที่เห็นแก่ จะได้ทราบว่าเมื่อตายอายุเท่าไร
ก็ถามถึงอาการตายของเธอ
เธอบอกว่ามีอาการร้อนในท้อง และก็แน่นในหน้าอก ไม่มากนัก ต่อมาศีรษะก็มึน ความร้อนถึงศีรษะตาก็พร่า
เวลานั้นจิตใจของเธอไม่ได้นึกอะไรมาก นึกอย่างเดียวว่าเวลานี้เรานับถือพระพุทธเจ้า เราเคยสร้างพระพุทธรูปไว้ในพระพุทธศาสนา
เป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว ที่ใหญ่ที่สุด นอกจากนั้น ก็ถวายสังฆทานเป็นพระพุทธรูปหน้าตักขนาด ๕ นิ้วบ้าง ๔ นิ้วบ้าง
เคยถวายสังฆทานที่เป็นวัตถุแห้งเยอะ มีผ้าไตร เคยถวายสังฆทานที่เป็นอาหารก็เยอะ ภาพทั้งหมดก็ปรากฏกับเธอ
และเวลานั้นก็ปรากฏมีภาพแมว กับภาพสุนัขเกิดขึ้น เจ้าแมวกับเจ้าสุนัขนี่เป็นภาพที่เธอเลี้ยงไว้ให้ความเมตตาปรานี
เจ้าแมวกับเจ้าสุนัขก็มาหมอบอยู่ข้าง ๆ จิตเธอก็มีความรัก อาศัยภาพทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏ เธอบอกว่า ทุกขเวทนาที่ปรากฏในร่างกายมันก็สลายตัวไป
เพราะจิตไม่เกาะ จิตไปเกาะภาพพระพุทธรูปบ้าง จิตไปเกาะผ้าไตร การถวายทานบ้าง เกาะหมาเกาะแมวบ้าง ก็เลยไม่รู้ทุกขเวทนา
เวลานั้นปรากฏว่าอารมณ์เป็นสุข
และต่อมาก็เห็นภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเสด็จมา ใสสะอาดมาก แสงสว่าง ยิ้มแย้มแจ่มใส ทรงแย้มพระโอษฐ์ น่ารักกำลังสวย ริมฝีปากแดง
ผิวขาวค่อนข้างเหลือง รูปร่างลักษณะโปร่ง สวยมาก จิตใจเธอก็จับพระพุทธเจ้า
และปรากฏว่าภายหลังต่อมาอีกนิดหน่อย ปรากฏเห็นเทวดากับนางฟ้ามาก เทวดากับนางฟ้ามีความสวยสดงดงาม มีเทวดากับนางฟ้าร้องชวนเธอว่า
ขอให้ไปสวรรค์ด้วยกันเถิด ฉันอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่เท่าที่ปรากฏเวลานั้น เฉพาะเทวดากับนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่านั้น เธอก็ติดใจในนางฟ้า
ในที่สุดจิตออกจากร่าง รูปร่างหน้าตาก็เป็นนางฟ้า สวยสดงดงาม เมื่อเธอพูดจบ ก็ปรากฏว่าร่างกายแก่หายไป มีร่างกายสดใส เป็นนางฟ้า
สวยสดงดงามแพรวพราวระยับ สวยมาก
ก็ถามว่า เท่าที่บอกให้ตามนี้ ต้องการจะรู้อะไร
เธอก็ตอบว่า อยากจะเล่าให้ฟังว่า เรื่องราวจริง ๆ ที่ท่านตอบเขาวันนั้น ยังตอบน้อยไป
ก็เลยบอกว่า ฉันกำลังป่วยมาก แล้วก็เหนื่อยมาก คอก็แห้ง เสียงไม่ออก มันคิดอะไรไม่ออก เห็นภาพชัด ๆ แค่พระพุทธรูปกับผ้าไตร
ลอยอยู่ข้างหน้าเธอ
เธอก็บอกว่า ต้องการให้ทราบตามนี้
จึงถามเธอต่อไปว่า ต้องการอะไรอีก
เธอก็อวด เธอถามว่า อยากจะดูวิมานฉันไหม
ก็ตอบเธอว่า อยากจะดู
ก็ถามว่า วิมานเธอได้มาจากอะไร
เธอก็ตอบว่า สังฆทานถังที่ถวายท่าน ท่านแบ่งไว้เป็น ๒ อย่าง คือโดยเฉพาะอย่างยิ่งสตางค์ที่ถวายร่วม
สตางค์ที่ถวายร่วมนั่นท่านไปใช้เป็นสังฆทานบ้าง สร้างวิหารทานบ้าง สร้างพระพุทธรูปบ้าง ฉะนั้นอาศัยที่เงินของฉันมีส่วนวิหารทาน ฉันจึงมีวิมาน
ถามว่า วิมานของเธออยู่ที่ไหน
เวลานั้นก็ปรากฏมีวิมานลอยมา เป็นวิมานทองคำ แต่ว่าบนยอดเป็นแก้ว พื้นของวิมานเป็นทองคำ สวยสดงดงามมาก มีนางฟ้าประจำอยู่ ๓,๐๐๐ คน นางฟ้าก็สวยสดงดงาม
บรรดานางฟ้าทั้งหลายเห็นเธอเข้า เธอก็ลงมาไหว้
ก็ถามเธอบอกว่า วิมานของเธอเป็นทองคำเพราะอาศัยบุญอะไร
เธอก็ตอบว่า อาศัยบุญวิหารทานบ้าง สังฆทานบ้าง เลี้ยงสัตว์บ้าง ก็มีวิหารทานเป็นปัจจัย แต่กำลังใจต่ำไปนิด ได้วิมานทองคำ
ถามว่า ยอดวิมานของเธอมันแปลกแทนที่จะเป็นทองคำอย่างวิมานอื่น ก็กลับกลายเป็นแก้วแพรวพราวเป็นระยับ
เธอก็ตอบว่า ที่เป็นแก้วน่ะ ฉันชอบใจมณฑปแก้วไปทีไร ฉันชอบใจเฉพาะยอดมณฑป เบื้องบนของมณฑปตั้งแต่หลังคาขึ้นไปนี่ชอบ
แต่ว่าความสนใจในตัวอาคารของมณฑปสนใจน้อยไป ถ้าเข้าไปที่นั่นไปเห็นพระที่นั่นก็มีจิตชุ่มชื่น เห็นพระองค์ที่ ๑๐ บ้าง ๑๑ บ้าง อย่างนี้เป็นต้น
ฉันก็พอใจพระทุกองค์ จิตติดใจในพระ ตายมาแล้วก็ได้วิมานอย่างนี้
ก็ถามเธอบอกว่า นอกจากนี้เธอมีอะไรอีกไหม
เธอก็ตอบว่า ท่านจะไปเขียนหนังสือ เล่มนี้เป็นเล่มที่ ๖ อยากจะฝากไปถึงลูกถึงหลานว่า ถ้าหากท่านเขียนหนังสือ ลูกหลานเขาจะทราบ
บอกว่า ฉันเป็นหญิงเชื้อชาติจีน นั่นก็หมายความว่า พ่อก็เจ๊ก แม่ก็จีน เป็นเจ๊กทั้งพ่อทั้งแม่ การเกิดมาในตระกูลของจีน
แต่ว่าอยู่ในเขตพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก ชอบการให้ทาน เรื่องความโกรธ ความไม่ชอบใจก็มีบ้าง เป็นของธรรมดา
และประการที่สอง ศีลก็รักษาบ้าง ตอนเด็ก ๆ ก็ไปวัดกับแม่ รักษาศีลบ้าง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ก็เป็นบุญ
แม่ให้ใส่บาตรก็ใส่บาตรบ้าง ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เรื่องว่าใส่บาตรมีอานิสงส์อะไร ก็ได้บุญ เวลาพระเทศน์ก็ตั้งใจฟังพระเทศน์บ้าง ไม่ตั้งใจฟังบ้าง
คิดเรื่องอื่นบ้าง ถึงแม้ไม่สมบูรณ์แบบ ก็ได้บุญ
และต่อมาก็ชอบในการถวายสังฆทาน สังฆทานนี่ชอบมาก การเลี้ยงพระก็ชอบ เลี้ยงพระก็เป็นสังฆทาน สังฆทานแห้งก็ชอบ
ที่ชอบมากที่สุดคือสังฆทานที่มีพระพุทธรูป มีผ้าไตร และมีอาหารแห้ง โดยเฉพาะยิ่ง ผ้าไตร ติดตาติดใจมาก กับพระพุทธรูป
ต่อมาขณะตอนต้นถวายพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ จิตใจก็ไม่ชุ่มชื่น อยากได้องค์ใหญ่ ๆ ก็เลยทำบุญด้วย พระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว
เพราะในโลกเขาถือเลข ๙ กัน อะไร ๆ ก็เลข ๙ อะไร ๆ ก็เลข ๙ แต่ความจริง เลข ๙ ไม่ได้มีความหมายเด่นไปกว่านั้น ถ้าหากว่าฉันฉลาดพอ ฉันจะใช้พระ ๑๒ นิ้ว ถ้า
๑๒ นิ้ว เป็นชินราชจะดีมากเพราะสวยสดงดงามมาก
แต่ทีนี้บังเอิญ คนข้าง ๆ บ้านบ้าง เพื่อนกันบ้าง ลูกหลานบ้าง เขาบอกว่า ๙ ดี ๙ ดี ๙ หน้า ๙ หลัง แต่ความจริง ๙ หน้า ๙ หลังนี่
มันไปไม่ไกล ก้าวหน้าไป ๑ ก้าว ถอยหลังไป ๑ ก้าว ก้าวเท่าไรก็อยู่แค่นั้น ก็รวมความว่า ก็น่าจะไปสูงกว่านี้ แต่กำลังใจก็ดีไม่สมบูรณ์แบบ
ก็อยากจะแนะนำให้ลูกให้หลาน ขึ้นชื่อว่าบาป ทำกันแล้วก็พอกันเสียที ให้พยายามทรงตัวความดี
อย่างน้อยจิตใจตั้งในทาน คิดว่าทาน การให้ จะมีในเรา อย่างนี้อย่างหนึ่ง ประการที่สอง ศีล รักษาทุกวันไม่ได้ ก็รักษาบ้าง
เป็นประจำวัน ประการที่สาม กิจที่ฉันทำคือฉันบูชาพระของฉันทุกวัน ตอนหัวค่ำก็บูชาพระ ตอนเช้าตรู่ฉันก็บูชาพระ ฉันไม่มีเวลาภาวนามากอย่างเขา
แต่อาศัยการบูชาพระเป็นกำลังใจ
ฉันติดใจในภาพพระพุทธรูปมาก ถึงเวลาจะตายภาพพระพุทธรูปจึงปรากฏ และในที่สุดมีพระพุทธเจ้ามา นี่เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข
ถ้าหากว่าท่านไปพบลูกพบหลานฉัน บอกด้วยว่า ฉันมีความสุข
ถามเธอว่า ชื่ออะไร
เธอก็ยิ้ม เธอตอบว่า ฉันไม่บอก เพราะเขาบอกชื่อท่านแล้วที่ซอยสายลม
ก็รวมความว่า เมื่อเธอไม่บอกก็ไม่รู้ รู้ก็ไม่พูด ถ้าเธอไม่บอก เวลานี้แสดงว่าเธอปกปิดชื่อของเธอ
เธอก็บอกว่า ใช่ ฉันปกปิดชื่อของฉัน เพราะชื่อของฉันนี่ คนรักก็มี คนเกลียดก็มี ถ้าท่านไปพูดว่า ฉันมีความสุข
คนที่เกลียดฉันเขาก็จะด่า เขาจะหาว่ามีความสุขไม่จริง แต่ในเมื่อเขาด่าฉัน คำด่า คำสาปแช่ง มันไม่ถึงฉัน มันจะถึงเขา จิตใจเขาจะเศร้าหมอง
จะเพิ่มบาปขึ้นมาอีก ก็จงอย่าบอกชื่อเสียก็แล้วกัน
ก็รวมความว่า วันนี้เลยไม่ได้ชื่อ เลยไม่ได้ไปหาลุงกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท
ต่อมาก็หันมาคุยกับท่านปัญจสิกขเทพบุตร
ถามว่า หญิงคนนี้ตามบัญชีของท่านมีบุญวาสนาบารมีถึงไหน
ท่านปัญจสิกขะถามว่า ท่านถามมาหมายถึงนิพพานใช่ไหม
ก็ตอบว่า ใช่
ท่านก็ตอบว่า ยัง กำลังบารมียังอ่อนอยู่ ยังจะไปนิพพานไม่ได้ ทั้งนี้เว้นไว้แต่ว่า ถ้าเธอมาอยู่บนสวรรค์แล้ว
ตั้งใจบำเพ็ญความดีเพื่อนิพพานต่อไป อาจจะไปได้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง เทวดาหรือพรหมจะพยากรณ์ เป็นหน้าที่ขององค์สมเด็จพระชินวร
จะพยากรณ์แต่พระองค์เดียว แต่ถึงกระไรก็ดี ถ้าเธอทำความดี ความดีก็จะช่วยเธอ
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เหลือเวลาไม่ถึงครึ่งนาทีดี ก็ขอเตือนบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า รายการนี้ เป็นรายการธรรมะ เอาเรื่องราวต่าง ๆ
มาคุยสู่กันฟังเพื่อสร้างความเพลิน
ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จงรักษาความดี ๔ ประการ ไว้ คือ
๑. รู้จักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
๒. พูดไพเราะ ใช้วาจาดี ๆ
๓. ช่วยเหลือการงานซึ่งกัน และกัน
๔. ไม่ถือตัว
คุณธรรม ๔ ประการนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทจะเป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายมีความสุข เพราะความรักกัน
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เวลาหมดแล้วขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 22/1/11 at 14:16
5
(Update 22-1-54 )
ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้เป็น วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๓๒ ก็ขอทบทวนเรื่องราวของ วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๓๒ เพราะว่าเมื่อวันที่ ๙
เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา ๓๐ นาที เวลานั้นก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ดีตามปกติ แต่ความจริงเรื่องป่วยนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่อยากจะเล่าสู่กันฟัง
แต่ก็จำเป็นต้องพูด
เพราะมีบรรดาญาติโยมลูกหลานมาเยี่ยมทุกวัน การมาเยี่ยม คนมาเยี่ยมที่ประจำจริง ๆ ก็คือชาวนครสวรรค์กับชาวกรุงเทพฯ ไม่ขาดแต่ละวัน มากันสายละหลาย ๆ คน
นอกจากนั้นก็มีภาคอีสาน มีจังหวัดนครราชสีมา สระบุรี ขอนแก่น อุบลราชธานี สกลนคร ภาคใต้ก็มีจังหวัดตรัง ตรังนี่มาเป็นประจำทุกวัน หลายวันแล้ว นครศรีธรรมราช
แล้วก็นราธิวาส และจังหวัดอื่น ๆ เช่น ลพบุรี เป็นต้น
รวมความว่ามากันวันละมาก ๆ ทุกคนมาเยี่ยมอาการไข้ แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาที่มาเยี่ยมจริง ๆ อาจจะไม่พบไข้
เพราะทั้งนี้อาการไข้จริง ๆ ที่ทรมานมากที่สุด ก็ตั้งแต่หลัง ๓ โมงเย็นเป็นต้นไปถึง ๔ ทุ่ม ในช่วงนี้มันทรมานมาก เวลาที่รับแขก บรรดาท่านพุทธบริษัท
ก็มีอาการมึนงง แต่ว่าอาศัย ขันติ เป็นเครื่องช่วย
เพราะว่าการแสดงออกถึงอาการป่วยไข้ไม่สบายต่อหน้าผู้มาจะไม่ค่อยดีนัก จะทำให้กำลังใจของบรรดาลูกหลานและบรรดาท่านพุทธบริษัทเสียกำลังใจมาก
แต่ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนและทุกท่านทุกจังหวัดที่มา สลับกันไปสลับกันมา ที่พูดนี่จะไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ อีกสายหนึ่งก็ พิจิตร เพชรบูรณ์ มาเป็นประจำเหมือนกัน
ก็รวมความว่า เกือบจะทุกจังหวัดที่สลับกันไปสลับกันมา
เมื่ออาการร่างกายเป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ต้องตกอยู่ในความไม่ประมาทของชีวิต ต้องคิดว่า
ความตายอาจจะเข้ามาถึงวันนี้ได้เสมอ นี่เป็นกฎธรรมดา เมื่อคิดอย่างนี้แล้วก็มีการเตรียมตัวตายทุกวัน การเตรียมตัวตายก็คือเอาจิตเกาะพระ คือพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นต้น เกาะเทวดาหรือพรหม เกาะสิ่งที่เป็นสุข
ในวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๓๒ กำลังเกาะเหตุนี้อยู่เหมือนกัน แต่สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น นั่นคือมีรูปร่างของคน เป็นคนเนื้อเต็ม จะถือว่าอ้วนตุ๊ก็ไม่ใช่ตุ๊
คือไม่ใช่ท้องพลุ้ย เป็นคนอ้วน อันดับแรกอาตมานอนตะแคงขวา ท่านนั่งอยู่ข้างหลัง เห็นมือทั้งสองพนม ท่อนแขนตั้งแต่ศอกออกไปเห็นมือพนม
การเห็นบรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่ทิพจักขุญาณ ไม่ใช่ฌานสมาบัติ เวลานั้นสมาทานภาวนาเล็กน้อย พอจิตเป็นสุข เป็นการเห็นจากท่านแสดงให้เห็น
การเห็นท่านก็เหมือนเห็นคนธรรมดา มีสภาพปกติ ไม่ใช่เงา
เมื่อเห็นแขนสองแขน มือสองข้างพนมพร้อมกันก็สงสัย พลิกกายออกมานอนหงาย ก็เจอะหน้าท่านพอดี
ก็ถามท่านผู้นั้นว่า ท่านเป็นใคร
ท่านบอกว่า ผมคืออดีตพระยากาญจนพลินทร์ แต่ว่าเวลานี้เป็นพรหม
ก็ลืมถามไปว่า ท่านเป็นพรหมชั้นไหน ความจริงเมื่อเป็นพรหมหรือเทวดาก็มีสภาพเหมือนกัน เพราะว่าดินแดนแห่งนั้นเป็นดินแดนแห่งความสุข
จึงเรียนถามท่านว่า ท่านเจ้าคุณ (คำว่าท่านเจ้าคุณเขานิยมเรียกพระยาต่าง ๆ ว่า ท่านเจ้าคุณ) ถามว่า ท่านเจ้าคุณ
เป็นพระยาตั้งแต่สมัยไหน
ท่านบอกว่า ผมเป็นพระยาตั้งแต่สมัย พระเจ้าสามพระยา
ท่านก็รายงานต่อไปว่า ผมเป็นลูกชายของพระยากาญจนบุรี
ก็เลยถามท่านว่า พระยากาญจนบุรีเป็นพระยาสมัยไหน
ท่านบอกว่า พระยากาญจนบุรีเป็นนักรบ หลายนัก นักรบ นักรัก นักแสวงหาโชคลาภ ก็รวมความว่าพระยากาญจนบุรีก็เป็นทหารสมัย
พระเจ้าอินทราชา พ่อพระเจ้าสามพระยา รับราชการตั้งแต่ตอนนั้นมา ในที่สุดบรรดาศักดิ์ชั้นสุดท้าย หลังจากเป็นพระยาอื่นในนามของนักรบมาแล้ว
ก็เป็นพระยากาญจนบุรี ปกครองเมืองกาญจนบุรี
การที่ท่านพระยากาญจนบุรีปกครองกาญจนบุรีนั้น หนึ่งกาญจนบุรีเป็นชายแดนและประการที่สอง
ทางราชการสมัยนั้นถือว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นแหล่งสำคัญในการหาโชคลาภหรือทรัพย์สิน เมื่อมาเป็นเจ้าเมืองกาญจนบุรีแล้ว ไม่ช้าก็ได้เป็นพระยากาญจนบุรี
ท่านพระยากาญจนบุรีนี้ท่านแสวงหาโชคลาภ คือหาทอง
ท่านเจ้าคุณกาญจนบุรีเล่าให้ฟังว่า คุณพ่อชอบหาทอง หาทรัพย์สินส่งราชการ
เพราะเวลานั้นประเทศชาติจะเก็บภาษีอากรกับคนชาวบ้านนี่มันไม่ไหว คนก็น้อย การรบติดพันกันอยู่เสมอ ชาวบ้านที่เขาออกทำการรบเป็นทหารจะเก็บภาษีอากรก็ไม่ได้
ทางราชการก็ใช้ทรัพย์สินมาก ก็จำต้องหาทรัพย์สินใต้ดินกัน
ลืมบอกไปบรรดาท่านพุทธบริษัทว่าเรื่องนี้ให้เรื่องว่า ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี ลืมบอกเรื่องไป อย่าลืมนะว่าทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี
ก็เลยถามเจ้าคุณกาญจนพลินทร์ว่า การหาทรัพย์สินเวลานั้น ท่านหาที่ไหนบ้าง
ท่านก็บอกว่า ในฐานะผมเป็นลูกชายคนที่สองของพระยากาญจนบุรี ร่วมทำการหากับพ่อ ทางราชการมอบหมายให้หาทองกับเงิน แร่ทองกับแร่เงิน
ส่งทางราชการ
ถามท่านว่า ทางราชการมีกำหนดไหมว่า เดือนหนึ่งต้องส่งเท่าไร
ท่านก็ตอบว่า เมืองกาญจนบุรีไม่ใช่เมืองเสียส่วย ทางราชการไม่กำหนด กำหนดแต่เพียงว่าได้เท่าไรซื้อหมด
จึงถามท่านว่า การแสวงหาทอง การซื้อทอง ทางราชการเวลานั้นซื้อราคาเท่าไหร่
ท่านบอกว่า ถ้าเป็นทองบริสุทธิ์จริง ๆ ไม่มีสิ่งเจือปนให้ราคา ทองหนัก ๑ บาท ต่อ ๙ บาท เรียกว่าทองเนื้อเก้า
ถ้ามีสิ่งเจือปนเล็กน้อยก็เรียกว่า ทองเนื้อแปดคือให้บาทละ ๘ บาท ถ้าสิ่งเจือปนมากนิดหน่อยก็ให้ บาทละ ๖ บาท เรียกว่าทองเนื้อหก คำว่า สิ่งเจือปน
หมายถึงว่า เขาร่อนไม่ดีพอ มีสิ่งเจือปนอยู่บ้าง ก็ต้องดูกันว่าเจือปนมากน้อยเท่าไร
จึงถามถึงวิธีหาทอง หาทอง หาเงิน หาแร่ต่าง ๆ
ถามท่านว่า การรู้เรื่องทองหรือเงินในพื้นที่ และการรู้เรื่องแร่ วิชารู้เรื่องแร่มีไหม
ท่านบอกว่า มีทุกอย่าง แต่ว่าของบางอย่างในสมัยนั้นไม่เหมาะกับคนไทย เพราะว่าคนไทยยังไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือ
ยังไม่มีความรู้ถลุงแร่ประเภทนั้น ท่านบอก วิชาความรู้ที่ท่านเรียนร่วมมากับพ่อคือเรียนจากพ่อ
ถามว่า พ่อของท่านเรียนมาจากใคร
ท่านก็ตอบว่า พ่อของท่านเรียนมาจาก อาจารย์คง
ถามว่า อาจารย์คงอยู่วัดไหน
ท่านบอกว่า อาจารย์คงเป็นพระลูกวัดวัดป่าเลไลยก์ เมืองสุพรรณบุรี ที่วัดป่าเลไลยก์นี้มีอาจารย์เก่ง ๆ อยู่ ๓ ท่าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์คงเก่งทางด้านนี้มาก
ถามท่านว่า วิธีดูพื้นดินทำอย่างไร การหาทองใช้วิธีอะไรบ้าง
ท่านบอกว่า หนึ่ง ดูดิน ดูลักษณะของดินว่าจะมีแร่ประเภทใดอยู่ ไม่ใช่เฉพาะทอง คือว่าดินอย่างนี้ต้องมีแร่อย่างนั้น
เวลาที่จะดูดินก็ต้องขุดลงไปสักประมาณ ๑ คืบก่อน พอถึงดินเนื้อแท้ของพื้นที่จริง ๆ เมื่อถึงดินแข็งไม่ซุยก็ฟันดินขึ้นมาดู
ได้พิสูจน์กันว่าถ้าดินลักษณะอย่างนี้จะมีทอง ลักษณะอย่างนี้จะมีแร่เงิน แร่เงินธรรมชาติแร่ทองธรรมชาติ ลักษณะอย่างนี้จะมีแร่ต่าง ๆ
สำหรับปริมาณก็เป็นการคาดคะเน ตามหลักวิชาการแต่ไม่ค่อยผิด
ถ้าถามความลึกของเงินและทองและแร่ต่าง ๆ ท่านก็บอกว่า อันนี้ไม่ใช่ของยาก ถ้ารู้ปริมาณ รู้กำลังดิน ก็จะทราบว่าความลึกของแร่เงินหรือแร่ทองหรือแร่ต่าง
ๆ จะอยู่ขนาดไหน นี่เป็นวิชาการของโบราณซึ่งยังไม่ได้เรียนจากฝรั่ง[/color]
ต่อมาก็อีกวิธีหนึ่งอาจารย์คงก็สอนเหมือนกัน ใช้วิธีหลับตาดู เรื่องนี้เรื่องใหญ่ คือใช้วิธีหลับตาดู แทนที่จะลืมตาดู
หลับตาดู นี่ก็แปลก ถ้าหลับตาดู ใช้กำลังใจถาม อย่างนี้จะเห็นแร่ทอง แร่เงิน แร่ต่าง ๆ ภายใต้พื้นดิน ใต้พื้นดิน ใต้ภูเขาทั้งหมด
จะรู้กำหนดว่ามีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร มีตื้นลึกหนาบางอย่างไร จะใช้อะไรได้บ้าง รู้หมด
แต่ว่าวิธีที่ ๑ กับวิธีที่ ๒ นี่ก็ใช้กันตามปกติ แต่ยังไม่แน่ใจ เขาไม่ค่อยนิยมกันนัก ใช้แล้วก็ต้องใช้วิธีที่ ๓
ถามว่า วิธีที่ ๓ คือวิธีแบบไหน
ท่านตอบว่า ต้องถามผีพรายประจำท้องถิ่น คือผีพรายประจำท้องถิ่น ถ้าติดต่อได้ จะบอกตรงไปตรงมาทั้งหมด ฉะนั้นในเรื่องโบราณต่าง ๆ
จึงว่ามีการพบผีพราย คุยกับผีพราย
จึงถามท่านว่า เวลานี้คำว่า ผีพรายนั้นหมดไปแล้ว ไม่มีใครนิยมเรียกกัน อยากจะถามว่าในสมัยปัจจุบัน คำว่าผีพรายหมายถึงอะไร
ท่านก็ตอบว่า คำว่า ผีพรายประจำถิ่น นั่นก็คือภูมิเทวดา จะว่ากันไปก็คือพระภูมิเจ้าที่นั่นเอง พระภูมิเจ้าที่ย่อมรักษาเขตจำกัด
จากที่นี้ถึงที่โน้น จากที่นั้นถึงที่โน้น
ก็รวมความว่าภายในเขตของท่านจะมีทรัพย์สินอะไรบ้าง อยู่ที่ไหน มีปริมาณเท่าไร ขุดลึกเท่าไร ไปถึงดินชั้นไหนจึงจะมีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร
จึงพบทองและเงิน ผีพรายประจำถิ่นหรือภูมิเทวดาก็บอกชัด เวลาท่านบอกจริง ๆ ก็มีสภาพเห็นด้วยอำนาจเทวานุภาพ เห็นชัดเหมือนแผ่นดินไม่มีบัง วิธีการที่ ๓
นี้เป็นวิธีการที่นิยมกันมาก
และก็ต้องถามต่อไปว่า ถ้าจะขุดจะอนุญาตไหม บางจุดท่านก็อนุญาต บางจุดก็ไม่อนุญาต เพราะว่ายังไม่ถึงวาระ ต้องถึงกาลเวลาอันสมควร
แต่ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับนับถือเทวดา เพราะได้ทดลองมาแล้วว่าจุดใดมองเห็นชัดตามหลักวิธีการ ๓ ประการนี้ เห็นหมด
แต่ทว่าปรากฏว่าขุดแล้วไม่ได้ ขุดลึกเท่าไรก็ไม่ได้ ด้วยอำนาจเทวานุภาพ ท่านก็กล่าวว่า ถ้าที่ใดที่ท่านอนุญาตให้ ขุดได้ง่าย ๆ แล้วก็ขุดไม่ลึก
การหาแร่ทองแร่เงินสมัยนั้นหากันแค่ผิวดิน แต่ยิ่งขุดลึกลงไปเท่าไร ก็ตามทีก็ได้มากขึ้น ปริมาณทองก็สูง ปริมาณเงินก็สูง
ถามท่านว่า แร่ทองกับแร่เงินนั้นอยู่รวมกันไหม
ท่านบอก ไม่ได้รวมกัน มันต้องคนละแท่ง ที่ของใครก็ที่ของใคร ภูมิเทวดาจะชี้ที่ให้
ก็เลยคิดว่าเวลานี้การหาทองหาเงินก็เป็นของดี
อยากจะถามท่านว่า วิธีติดต่อกับภูมิเทวดาหรือผีพรายประจำท้องถิ่นประจำพื้นที่ ต้องมีเครื่องสังเวยไหม
ท่านบอกว่าเป็นของธรรมดาต้องมีเครื่องสังเวย
ถามว่าเครื่องสังเวยที่ท่านใช้เป็นอะไร
ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า หลักวิชานี้ไม่มีใครเขาบอกกัน
ก็เลยถามว่า เวลานี้ท่านเป็นพรหมท่านก็น่าจะบอกได้
ท่านบอกว่า ยิ่งเป็นเทวดา ยิ่งเป็นพรหม ยิ่งหนัก ต้องรักษาระเบียบ ขึ้นชื่อว่าระเบียบปฏิบัตินี้
พรหมกับเทวดาต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่อยากจะบอกกับใครก็บอกได้เสมอ
ถามท่านว่า กาลเวลาอันสมควรเวลานี้ประเทศชาติต้องการทรัพย์สินมาก ถ้าต้องการแร่ทองแร่เงินแร่อย่างอื่นจะพอหาได้ไหมในเขตกาญจนบุรี
ท่านก็ยิ้มแล้วก็ตอบว่า ในเขตกาญจนบุรีนี้ว่ากันจริง ๆ นะ เนื้อที่ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของจังหวัดเป็นทองและเงินและแร่ต่าง ๆ
ที่มีค่าสูงมาก
ท่านก็พูดต่อมานิดหนึ่งว่า ในฐานะที่ผมก็เคยเป็นทหาร เคยรักษาเขตประเทศชาติมาแล้ว เอาชีวิตและเลือดเนื้อเข้าแลก
เพื่อความเป็นอยู่ของชาติ ก็อยากจะเตือนพี่น้องชาวไทยทั้งหมดว่า จังหวัดกาญจนบุรีนี้อย่าให้ตกไปอยู่ในมือของใคร เพราะจะเป็นแหล่งทรัพย์สินทั้งหลายต่าง ๆ
อย่างมากมาย โดยเฉพาะยิ่งแห่งเดียวในเมืองไทย คือกาญจนบุรี ถ้ากาลเวลาถึง คำว่า กาลเวลาถึงหมายถึงว่า
บุคคลผู้มีปฏิปทาอันสมควรที่จะพึงได้ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านั้นขึ้นมา
[color=navy]เป็นอันว่าทรัพย์สินทั้งหลายในเมืองกาญจนบุรี ถ้านำขึ้นมาจริง ๆ เฉพาะในเขตจังหวัดเดียว ประเทศไทยจะเป็นมหาเศรษฐีของโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเขาลูกหนึ่งท่านไม่บอกชื่อน่ะซี ไม่บอกสถานที่ก็เมืองกาญจนบุรีก็แล้วกัน มีเขาลูกหนึ่งสูงตระหง่านกว่าเขาอื่นทั้งหมด โดดเดี่ยวขึ้นไป
และก็มีเทือกเขาทั้งซ้ายและขวา ถ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออกจากเขาลูกนั้นมาเป็นเทือกเขาข้างซ้าย ยาวเหยียดที่จะเป็นคันกั้นน้ำ
เขาลูกนี้มีแร่ธาตุพิเศษจริง ๆ ทางด้านซ้ายมือคือไหลขึ้นไปทางเหนือ ไม่ใช่แร่เงิน ไม่ใช่แร่ทอง แต่เป็นแร่หลายอย่างในพื้นที่นั้น
แล้วแร่ประเภทนี้สามารถจะนำมาผสมกันเป็นเงินคงคลังของชาติได้เป็นอย่างดี แล้วก็มีปริมาณมหาศาล ถ้าขุดเจาะจริง ๆ ถ้าได้แร่นี้ขึ้นมา
ความจริงแร่หลายอย่างใช้ประโยชน์เยอะ ไม่ขออธิบาย
ต่อไปนักวิทยาศาสตร์ของไทยจะเก่งกล้าขึ้น สามารถจะทำได้หลาย ๆ อย่างที่เราไม่คาดคิดจะถึง แม้แต่การใช้รังสีต่าง ๆ ก็สามารถทำได้เยอะ
แต่เรื่องเหล่านั้นคนถามไม่ได้สนใจเสียนี่ สนใจอย่างเดียวว่าสามารถจะนำเป็นเงินแท่งคงคลังได้เป็นอย่างดี
ถามท่านว่า เงินแท่งคงคลังนี้มันหมายถึงอะไร
ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า ทองคำเอาขึ้นมาผสมกัน แร่ในนั้นมีครบถ้วนบริบูรณ์ ให้ผสมตามสูตรต่อไปนักวิทยาศาสตร์จะทำได้
แต่ว่าเวลานี้เห็นว่ายังทำไม่ค่อยจะได้ กาลเวลายังไม่สมควร นักวิทยาศาสตร์ทำได้แล้ว ในถ้ำนั้นแหละ ถ้ำที่แร่มีอยู่แล้วก็ไหลขึ้นไป
มันจะมีจุดหนึ่งเป็นธารน้ำใส คือกระแสน้ำนี้ยังไม่ปรากฏในสายตาภายนอก จะไหลอยู่ภายในเขา เป็นคล้าย ๆ น้ำซับ ซึม ๆ ออกมา แต่ซึมแรง ตักเท่าไรจะไม่หมด
ขออย่างเดียวอย่าทำลายต้นน้ำลำธาร ต้นน้ำลำธารอยู่ทางสายของพม่า แต่ไม่ถึงพม่า เป็นจุดนั้น จงอย่าทำลาย
เมื่อได้แร่ทั้ง ๓ อย่างขึ้นมาผสมกันแล้ว ท่านใช้คำว่า ผสมกันแล้ว และก็ใช้น้ำอันนี้ช่วย เพียงเท่านี้ ทั้ง ๓
อย่างนั้นก็จะกลายเป็นทองคำ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เนื้อจะอ่อนไม่ผิดกับทองคำทั้งหลายทั้งหมด
ถามท่านบอกว่า บอกจุดได้ไหม
ท่านบอกว่า ผมบอกเท่านี้มันก็ผิดระเบียบเข้าแล้วครับ จริง ๆ แล้วเขาไม่บอก
ถามท่านว่า ปริมาณแร่ทั้งหลายทั้งหมดนี้ ถ้าจะนำมาใช้กันจริง ๆ สักกี่สิบปีจะหมด
ท่านบอกว่า ถ้านำขึ้นมาใช้จริง ๆ ๑,๐๐๐ ปี ยังไม่ได้ ๑ ใน ๔ ของปริมาณแร่ทั้งหมด แร่ทั้งหมดนี้นอกจากมีเป็นธรรมชาติแล้ว
มันยังเกิดเรื่อย ๆ การเกิดของมันก็ปรากฏเวลานี้มีหลายชั้น นอกจากอยู่ในเขาแล้ว มันยาวลงไปถึงใต้ดินเยอะแยะมาก
ก็ถามท่านว่า มันไหลออกมานอกเขาไหม
ท่านก็ตอบว่า มี ตามเชิงเขา ถ้าไกลออกมาไม่เกิน ๓ กิโลเมตร ปริมาณแร่นี้ยังมีจำนวนหนามาก ถ้าเกินมาถึง ๑๕ กิโลเมตร
อาจจะบางไปหน่อย กระจัดกระจายอยู่ แต่ว่าต้องมีคนฉลาด มีความรู้ตามปริมาตรของแร่นี้จริง
ท่านย้ำว่า จงอย่าลืมว่า นอกจากจะนำแร่นี้มาทำเป็นทองคำแล้ว ประโยชน์อย่างอื่นจากแร่อื่นในบริเวณนี้มีมากมายเหลือเกิน
ท่านก็พูดยิ้ม ๆ ท่านบอกว่า ผมไม่รู้ภาษาฝรั่ง เวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างเขาเรียกเป็นภาษาฝรั่งทั้งหมด ผมไม่รู้ไม่เคยเรียน
ก็เลยไม่กล้าจะบอกว่ามันทำอะไรได้บ้าง ก็ขอพูดอย่างคร่าว ๆ ปริมาณส่วนหนึ่งของแร่ จะทำเหล็กเหนียวและเหล็กแข็งได้ดี
อีกส่วนหนึ่งของแร่จะใช้รังสีได้อย่างวิเศษ อีกส่วนหนึ่งของแร่จะทำอะไรก็ได้ ผมพรรณนาไม่ไหว เป็นเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ แต่ว่าผมเองในฐานะมีนามว่า
พระยากาญจนพลินทร์ เป็นผู้ค้นคว้าแหล่งการมาของทองคำ จึงสนใจเฉพาะทองคำ
จึงได้เรียนถามท่านว่า สมัยของท่านเคยนำแร่นี้ขึ้นมาใช้ไหม
ท่านบอกว่า