หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 10 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ
webmaster - 9/8/11 at 13:12
หนังสืออ่านเล่น
เล่มที่ ๑๐
(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..พระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน)
เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๑๐
1. ประกาศให้ทราบ
2. ข่าวรับเลื่อนสมณศักดิ์
3. จุไรและป้าน้อย ชมพระชำระหนี้สงฆ์
4. จุไรไปดาวดึงส์
5. อานิสงส์ฉลองพัดยศ
6. ไปเป็นเทวดาไม่ต้องลงทุน ตอนที่ ๑
7. ไปเป็นเทวดาไม่ต้อลงทุน (ต่อ)
8. จิญจมาณวิกา และข่าว
9. ไปเป็นเทวดาไม่ต้องลงทุน ๒
1
ประกาศให้ทราบ
เวลานี้ และก่อนหน้านี้ มีคนหลายรายแอบอ้างว่า เป็นศิษย์อาตมา บางรายก็แอบอ้างว่า เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ
สามารถเข้านอกออกในได้โดยที่ไม่ต้องเคารพเวลา คือเข้าออกเมื่อไรก็ได้ ขอแจ้งให้ทราบว่า การกล่าวอ้างนั้น เป็นเท็จ เพราะอาตมาไม่เคยมีศิษย์ก้นกุฏิ
ศิษย์ทุกคนที่จะมาหา ต้องพบได้ตามเวลารับแขกเท่านั้น ไม่ให้พบเวลานอกจากนั้น ที่จะพบได้นอกจากนั้น ก็มีหมอที่อนุญาตให้รักษาโรค
แต่หมอก็ต้องพบได้ตามเวลาที่อนุญาตเป็นคราว ๆ เท่านั้น
ขอทุกคนโปรดทราบตามนี้
(พระราชพรหมยาน)
วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๒
คำปรารภ
หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๐ ที่ท่านทั้งหลายอ่านอยู่นี้ เล่มนี้มีทั้งข่าว และนิทาน สำหรับนิทานที่นำมาเขียนในเล่มนี้
เป็นนิทานจากพระสูตร ด้วยมีความคิดว่า ถ้าเอาพระสูตรมาเล่าสู่กันฟัง จะได้ทั้งความรู้ และบุญกุศล และเป็นเหตุให้เพลิดเพลิน เพราะพูดแบบนิทาน
ขอท่านทั้งหลายที่อ่าน ขอจงอ่านแบบนิทานก็แล้วกัน จะได้ไม่กังวล
ส.สังข์สุวรรณ
๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๒
ll กลับสู่สารบัญ
2
ข่าวรับเลื่อนสมณศักดิ์
ท่านผู้อ่านทั้งหลาย หนังสือนี้ตามปกติ เป็นหนังสือนิทาน แต่ทว่าสำหรับในตอนต้นเล่มที่ ๑๐ นี้ ไม่ใช่นิทาน เป็นเรื่องจริง
นั่นคือ เรื่องที่มีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายต้องการอยากจะทราบเรื่องราวความเป็นมาของการเลื่อนสมณศักดิ์ จาก พระสุธรรมยานเถระ เป็น
พระราชพรหมยาน ความเป็นมาเป็นดังนี้ คือว่า
เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๒ เห็นจะเป็นประมาณวันที่ ๑๐ หรือวันที่ ๑๒ ก็ไม่ทราบ จำไม่ได้นัก เพราะกำลังป่วย เวลานั้นปรากฏว่ามีข่าวจาก
พระวิรัช โอภาโส วัดท่าซุง แจ้งให้ทราบตอนเช้า ขณะที่ไปที่ทำงาน บอกว่า มีข่าวดีสำหรับหลวงพ่อ เพราะว่า พระมหาดำ หรือ พระมหาสันติ
เจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรี (ขี้เหล็ก) บางกอกน้อย แจ้งมาให้ทราบว่า
เวลานี้หลวงพ่อจะได้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็น ชั้นราช มีนามว่า พระราชพรหมยาน ก็ถามเธอว่า ทราบมาจากใคร เธอก็ตอบว่า พระมหาดำ หรือพระมหาสันติ
ได้แจ้งมาให้ทราบ โทรศัพท์มาเธอก็จดไว้ ต่อมาได้พบพระมหาสันติ หรือพระมหาดำ ที่ซอยสายลม ท่านก็แจ้งให้ทราบว่า
เดิมทีเดียวไม่ทราบเหตุความเป็นมาในกาลก่อน แต่ว่ามีวันหนึ่ง (จำไม่ได้ อาตมาจำวันที่ไม่ได้เองนะ จะเป็นวันที่ ๑๐ หรือวันที่ ๑๒ ไม่ทราบ พฤศจิกายน)
มี ท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ ได้ให้เลขาฯ โทรศัพท์มาถึงท่านมหาดำ หรือมหาสันติ ให้ไปพบ แต่การรับโทรศัพท์วันแรก
ท่านมหาดำบอกว่า บังเอิญติดธุระ ไปไม่ได้ วันรุ่งขึ้นจึงไป เมื่อก่อนจะไปถึงวัดสระเกศ ก็แวะไปที่ วัดชนะสงคราม ก่อน อันนี้อาตมาก็จำไม่ได้นักว่า
ท่านมหาดำไปพบ ท่านเจ้าอาวาส หรือเจ้าคุณราชฯ ก็ไม่ทราบ เจ้าอาวาสหรือเจ้าคุณราชฯ วัดชนะสงคราม นี้
ท่านมหาดำก็ถามความเป็นมาว่าทางวัดสระเกศนิมนต์ให้ไปพบเรื่องอะไร ทางวัดชนะสงครามก็ตอบว่า ไม่ทราบ ต่อมา เมื่อมหาดำไปพบท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์
เจ้าอาวาส วัดสระเกศ ท่านก็ถามว่า แจ้งไปให้หลวงพ่อทราบแล้วหรือยัง ท่านมหาดำก็ถามว่า เรื่องอะไรขอรับ ผมยังไม่รู้เรื่อง ท่านเจ้าคุณฯ ท่านก็บอกว่า
เรื่องเลื่อนสมณศักดิ์ คือว่า ปีนี้หลวงพ่อได้เลื่อนสมณศักดิ์จาก พระสุธรรมยานเถระ เป็น พระราชพรหมยาน
หลังจากนั้น พระมหาดำ หรือพระมหาสันติ ก็แจ้งมาให้พระวิรัชทราบ แล้วก็เดินทางมาด้วยตนเองภายหลัง เมื่อแจ้งให้ทราบ
อาตมาทราบแล้ว ก็ขอขอบคุณ คือว่า เป็นความเมตตาของพระมหาเถรานุเถระอย่างมาก ตามที่ทราบว่า ท่านบอกว่า ไม่มีใครทราบมาก่อน เห็นมหาดำบอกว่า
ทางวัดสระเกศท่านบอกว่า ท่านก็ไม่ทราบมาก่อนเหมือนกันว่า จะมีการเลื่อนสมณศักดิ์ให้ ทั้งนี้ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่มีความเมตตา
ที่ไม่มีใครคัดค้าน
เรื่องจากนี้ต่อไปก็ขอได้โปรดทราบถึง ความเป็นมาในกาลก่อน คือ การเลื่อนสมณศักดิ์นี้ จริง ๆ แล้วอาตมาไม่เคยนี้คิด
ไม่เคยคิดว่าจะมีการเลื่อนสมณศักดิ์ ทั้งนี้เพราะว่าฝ่ายวิปัสสนาธุระ เท่าที่เห็นแต่งตั้งกันมา การเลื่อนสมณศักดิ์มีน้อย ก็คิดไม่ถึง
ต่อมาแต่ทว่ามีข่าวพิเศษ คำว่า ข่าวพิเศษ นี้คือ นิมิต แต่เรื่องนิมิตนี้ของดไว้ก่อน ขอพูดถึงการรับสมณศักดิ์ก่อน ในเมื่อได้ทราบว่า
จะมีการเลื่อนสมณศักดิ์แล้ว
ต่อมาก็ทราบจากท่านมหาดำ บอกว่า สมเด็จฯ วัดสามพระยา คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งอาตมามีความเคารพในท่านเหมือนพ่อ
ความจริงมีความรู้สึกอย่างนั้น เพราะว่าท่านมีความเมตตาปรานีมาตั้งแต่สมัยมาอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ เวลานั้นท่านเป็นพระราชาคณะ รองสมเด็จฯ ยังไม่ใช่
สมเด็จฯ กับ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม อีกองค์หนึ่ง
องค์นี้ถ้าจำไม่ผิดเวลานั้นก็เป็นพระราชาคณะ เป็นชั้นพรหม เป็นเจ้าคุณพรหมอะไร คุณาภรณ์ละมั้ง ก็จำไม่ได้ ก็รวมความว่า ทั้ง ๒ องค์นี้
เป็นพระราชาคณะชั้น รองสมเด็จฯ เหมือนกัน ท่านมีความเมตตาปรานี ให้กำลังใจในการบริหารวัดท่าซุงตั้งแต่สมัยนั้น เวลานั้นอุปสรรคต่าง ๆ ก็มีมากจนบอกไม่ถูก
คิดไม่ถึงว่าจะมีอุปสรรคถึงขนาดนั้น มีอุปสรรคทั้งวงนอก ทั้งวงใน
อาศัยที่กำลังใจมีความเคารพในพระพุทธศาสนา คือ พระพุทธเจ้า ก็คิดว่าวัดนี้มีสภาพเหมือนวัดร้าง กุฏิที่ดีจริง ๆ
พอจะอาศัยได้ก็มีหลังเดียว กุฏิเจ้าอาวาส หลังจากนั้นก็มีอีก ๒ หลัง ก็ฝาโปร่ง หลังคาโปร่ง ถ้าอยู่ ฝนตก ก็ไม่คุ้มฝน และแดดส่อง ก็ไม่คุ้มแดด
แต่ในเมื่อมาทำ เริ่มทำเข้า มันเริ่มจะดีขึ้น มาสร้างอาคารขึ้นมา สร้างศาลาที่สำหรับบำเพ็ญกุศล สร้างอาคารสำหรับพระพัก ๓ หลัง หลังใหญ่ คือ
อาคารเสริมศรี
ตอนนี้ก็มีปฏิกิริยาภายใน ก็ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาของอุปสรรค การทำงานทุกอย่างต้องมีอุปสรรค รวมความว่า
ได้กำลังใจจากเจ้าประคุณสมเด็จฯ ทั้ง ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา กับ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม ท่านเจ้าประคุณทั้ง ๒
ท่านนี้ ให้ความเมตตาปรานีอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กำลังใจในการปฏิบัติ จนกระทั่งถึง การที่ ยกช่อฟ้าก็ดี ฝังลูกนิมิตพระอุโบสถก็ดี
ท่านก็เมตตามาในงานทุกครั้ง ให้กำลังใจทุกอย่าง
ต่อมาภายหลังนี้ วันที่จะรับสมณศักดิ์ ก็ทราบจากพระมหาสันติหรือมหาดำ ว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ วัดสามพระยา คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ท่านบอกมาว่า เวลาที่ออกจากวัง ให้เข้าวัดสามพระยาก่อน จะทำการรับที่นั่น อาตมาก็รู้สึกขอบพระคุณท่าน และรู้สึกมีความปลื้มใจเป็นพิเศษ
ที่ได้รับความเมตตาปรานีจากสมเด็จฯ และต่อมาได้ทราบอีกว่า ท่านจัดสถานที่ต้อนรับคนเป็นกรณีพิเศษ
มีวัดพลับพลาไชย เป็นกำลังใหญ่ ช่วยจัดงานสถานที่ และก็มีการให้การเลี้ยงดูปูเสื่อ หมายความว่า สั่งก๋วยเตี๋ยวผัดไทยลงทุนอันดับแรก หมื่นบาท
และจัดสถานที่เป็นพิเศษ จัดเก้าอี้มากมายพันกว่า ดูเหมือนว่า วันนั้นมีคนบอกให้ทราบว่า ประมาณ ๑,๘๐๐ ตัว ก็รวมความว่า การจัดงานคราวนี้ คาดไม่ถึง
คิดไม่ถึง ที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ จะมีความเมตตาปรานีถึงขนาดนี้ แต่ความจริงความเมตตาปรานีของท่านหนักอยู่แล้ว
แต่ทว่าการจัดสถานที่แบบนี้รู้สึกว่า ทำให้มีความปีติมาก คิดไม่ถึง คาดไม่ถึง และต่อมาก็ทราบข่าวว่า ท่านสั่งมาว่า
จะจัดของแจกให้ในงานนี้ ประมาณ ๒,๐๐๐ ก็ยังไม่ทราบว่า ๒,๐๐๐ ชิ้น หรือ ๒,๐๐๐ องค์ หรือ ๒,๐๐๐ ชุด ท่านมหาดำ ท่านบอกว่า เจ้าคุณศรีปริยัติบดี ก็บอกว่า
ไม่ทราบว่า เป็นอะไรกันแน่ แต่ก็มีการขมวดท้ายมานิดหนึ่งว่า ถ้า ๒,๐๐๐ ไม่พอ ทางวัดท่าซุงต้องทอดผ้าป่านะ
เรื่องนี้อาตมาก็ไม่รู้สึกหนักใจ เพราะการทอดผ้าป่า เป็นไปตามกำลังศรัทธา และทรัพย์สิน ถ้าเจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านลงทุนของแจก ๒,๐๐๐ ชิ้น
แต่บังเอิญ วันนั้นมีญาติโยมพุทธบริษัททำบุญมาแค่ ๑๐ บาท ก็ทอดผ้าป่า ๑๐ บาท ไม่เห็นจะเป็นอะไร ทอดผ้าป่า เป็นการถวายสังฆทานแต่ทว่าความจริง
อาตมาก็คิดว่า ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าตามข่าวที่ปรากฏขึ้น
และการแสดงออกถึง ความเมตตาปรานี ของ เจ้าประคุณสมเด็จพระโฆษาจารย์ วัดสามพระยา
เป็นเหตุให้ลูกหลานญาติโยมพุทธบริษัทดีใจมาก ต่างคนต่างดีใจกัน ในฐานะที่เลื่อนสมณศักดิ์ เพราะว่าทุกคนบอกว่า คาดไม่ถึง คิดไม่ถึง ก็เลยบอกกับเขาว่า
เวลานี้หลวงพ่อสมเด็จฯ จัดการตามนี้ จัดสถานที่เป็นกรณีพิเศษ ตั้งโต๊ะ ตั้งเก้าอี้ จะมีก๋วยเตี๋ยวผัดไทยเลี้ยง มีของแจก ๒,๐๐๐ ชิ้น
ถ้า ๒,๐๐๐ ชิ้นไม่พอ ให้วัดท่าซุงทอดผ้าป่า บรรดาลูกหลานทุกคนถ้วนหน้า ที่มาพบวันนั้น ก็ต่างคนต่างบอกว่า เรื่องการทอดผ้าป่า ไม่ต้องทอดขอรับ
อาตมาฟังแล้วก็สงสัยว่า ทำไมเป็นอย่างนั้นหลวงพ่อลงทุนขนาดนี้ ทำไมจึงไม่ทอดผ้าป่า เธอก็บอกว่าการทอดผ้าป่า มีการจำกัด บางคนก็จะทำเล็ก ๆ น้อย ๆ
ถือว่าพุ่มหนึ่งเท่าไรก็ได้ ตามใจชอบ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันครับ
พวกผมทั้งหมดจะรวบรวมกำลังใจกัน พระชยันโตมีกี่องค์ ผมจะรับกันไปคนละองค์ ๆ ต่างคนต่างหากัน หาได้เท่าไรแล้ว นำมารวมเข้า แล้วนำมาหาร
สำหรับหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ถ้าได้เกินกว่านั้นก็จะร่วมสร้างโรงเรียนกับท่าน เงินทำบุญวันนั้นทั้งหมด ทุกคนตัดสินใจว่า
ต้องถวายวัดสามพระยาทั้งหมด แล้วเขาก็หันมาถามอาตมาว่า หลวงพ่อเคยปฏิบัติอย่างนั้นใช่ไหมขอรับ
ถามว่าอย่างไร คือว่า ลาภสักการะที่หลวงพ่อได้รับ วัดไหนก็ตาม ไม่เคยรับมาวัดท่าซุง ก็ถวายวัดนั้นหมด
เห็นเป็นอย่างนี้มาทุกวัด แล้วก็วัดสามพระยา ก็เลยบอกเขาว่า วัดสามพระยานี่นะ นอกจากทรัพย์สินที่ญาติโยมจะทำบุญในวันนั้นแล้ว ถ้าฉันไม่เกรงใจพวกคุณ
ฉันจะเกณฑ์พวกคุณ ให้เพิ่มเติมทำบุญกับสมเด็จฯ วัดสามพระยา ในการสร้างโรงเรียนอีก
เงินวันนั้นทั้งหมด ทรัพย์สินทั้งหมดที่ได้มา ก็จะสร้างโรงเรียนกับท่าน
เพราะการสร้างโรงเรียนของท่านเป็นโรงเรียนสาธารณสงเคราะห์จริง ๆ ไม่เก็บเงิน ไม่เก็บทอง พระเณรเรียนได้ เด็กฆราวาสเรียนได้ ทุกอย่างจะให้เรียนฟรีหมด ฟรี
ๆ อย่างนี้ หาไม่ได้ที่ไหน ก็จะมีอยู่แห่งหนึ่ง ที่วัดท่าซุง แต่ที่อื่นอาจจะมีนะ ขออภัยนะ ญาติโยมพุทธบริษัท ที่อื่นอาจจะมี แต่อาตมาไม่ทราบ
แต่ว่านาน ๆ จะทราบสักครั้งหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่า จะพบแห่งหนึ่ง หรือ ๒ แห่ง ที่มีอยู่ ที่ทราบข่าวว่า ฟรีทุกอย่าง การสร้างโรงเรียนให้ก็ลงทุน
จ้างครูมาสอนก็ลงทุน ทุกอย่างต้องลงทุนหมด ค่ากระแสไฟฟ้า อุปกรณ์การสอน น้ำประปา หนังสือเรียน ตำรับตำราต่าง ๆ ต้องลงทุนทุกอย่าง แต่ให้ฟรี
อย่างนี้หายาก พวกเราจะร่วมทำบุญกัน ทุกคนก็พร้อมใจ เต็มใจกัน
แต่ว่าวันนั้น เขาจะถวายพระสวดชยันโต องค์ละเท่าไร อาตมาไม่ทราบ เขาจัดใส่ซองมาถวาย
และถวายสร้างโรงเรียนกับหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เท่าไร ก็ไม่ทราบเหมือนกัน เป็นอันว่า เรื่องต่าง ๆ ของถวายพระ ดอกไม้ธูปเทียน เขาจัดกันหมด
อาตมาก็ไม่รู้ เขาใส่ซองมาให้ ก็ใส่ซองต่อไป เขาเขียนมาอย่างไร ก็ว่าไปอย่างนั้น เขาเขียนว่าอันนี้ถวายใคร ก็ถวายคนนั้น
ทีนี้เงินที่ทำบุญวันนั้นญาติโยมพุทธบริษัท มาที่วัดสามพระยามากเป็นกรณีพิเศษ อาตมาคิดไม่ถึง ทีแรกคิดว่า เจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ ตั้งเก้าอี้ไว้
๑,๐๐๐ ตัว ก็คิดในใจว่า จะได้ครึ่งเก้าอี้หรือเปล่า ก็ไม่ทราบคนอาจจะมาถึง ๒๐๐ คนหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ คิดไม่ถึง ก็คิดว่าเพราะว่าอยู่ที่กรุงเทพฯ
คนบ้านนอกก็เข้าไปยาก สถานที่จอดรถก็ยาก
และวันนั้นก็เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ต่างคนอาจจะมีภารกิจ ไปไหนต่อไปไหนกัน ตามธรรมดาของคน คนไทยที่มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และต่อมา เอาเข้าจริง ๆ เก้าอี้ ๑,๐๐๐ ตัว ไม่พอนั่ง ท่านพระครูเจ้าอาวาสวัดพลับพลาไชย ท่านบอกว่า เพิ่มอีก ๘๐๐ ตัว ยังไม่พอเป็นอันว่า ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย
ที่หลวงพ่อสมเด็จฯ ลงทุนไป ๑๐,๐๐๐ บาท
พรึบเดียวไม่ทันสิ้น ๔ โมงเย็น หมดไปแล้ว แต่งานจะเข้าถึงงานจริง ๆ เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม หรือ ๒ ทุ่มเศษ จำไม่ได้ก็รวมความว่า
คนมามากเป็นกรณีพิเศษ การทำบุญวันนั้น นับเฉพาะธนบัตร ส่วนสตางค์เหรียญ ก็นับไม่ทัน มันดึกมาก ก็บอกให้เจ้าคุณศรีฯ เป็นคนนับต่อไป เฉพาะธนบัตรจริง ๆ ได้
๒๒๑,๖๐๐ บาท ก็ถวายหลวงพ่อสมเด็จฯ ไว้
แต่ท่านก็ประกาศว่า เงินทั้งหมดนี้จะทอดผ้าป่า วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๓๓ เป็น วันเกิดของท่าน ท่านจะประกาศการทอดผ้าป่า
เพื่อสร้างโรงเรียนให้แล้วเสร็จ เพราะโรงเรียนเวลานี้ สร้างขึ้นไปแล้ว เห็นจะเสร็จประมาณ ๕๐ เปอร์เซ็นต์เศษ ๆ แต่ว่าการก่อสร้าง ตอนที่จะเสร็จ
ติดประตู ติดหน้าต่าง ติดมุ้งลวด ติดอะไรต่ออะไรก็ตาม มันจะแพงมากกว่าตัวอาคารตึกมาก อาตมาทำอยู่แล้ว
ทีนี้การที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทบำเพ็ญกุศลวันนั้น ก็ขอขอบคุณท่านทุกคน ที่การทำบุญ เต็มไปด้วยความเมตตาอาตมา และมีศรัทธาในหลวงพ่อสมเด็จฯ
ก็คุยกันต่อไป เขาอยากจะทราบการเข้าไปในวัง ก็ไม่มีอะไรมากเป็นเรื่องธรรมดา เขามีกันทุกปี แต่ญาติโยมอยากจะทราบก็บอกให้ทราบว่า ในตอนแรกก็ไปพักที่
วิหารคด วัดพระแก้ว ซึ่งใกล้ ๆ กับสถานที่ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ตอนนั้น ขณะที่ไปนั่งอยู่ก็มีพระรอคอยเวลาอยู่มาก รอรับเลื่อนบ้าง
แต่งตั้งใหม่บ้าง
ก็พอดีท่านเจ้าประคุณพรหมคุณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ องค์นี้เป็นพระที่มีความใจดีมาก องค์อื่นอาจจะใจดีเหมือน ๆ กัน
พระทุกองค์พระผู้ใหญ่ ที่รู้จักหน้ากัน ทุกท่านก็ใจดีหมด แต่องค์นี้เป็นกรณีพิเศษ เจอะหน้าใครก็ทัก องค์นั้นบ้าง ทักองค์นี้บ้าง ท่านไปยืนต้นแถว หน้าแถว
แล้วก็เดินเรื่อยมา ทักมาตลอด พระทุกองค์ยกมือไหว้ด้วยความเคารพ ด้วยความเมตตาปรานีของท่าน ท่านยิ้มไม่ว่ากับใคร
พอท่านมาถึง บอก อ้าว นั่งอยู่ตรงนี้หรอกหรือ นี่ดีใจด้วยนะที่ปีนี้ได้เลื่อนเป็นชั้นราช ก็เลยคิดว่า การเลื่อนขึ้นเป็นชั้นราช เป็นความดี
เป็นความเมตตาปรานีของท่าน หลังจากนั้น ถึงเวลา ก็เข้าไปในพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ไปนั่งคอยรับพัด เมื่อถึงเวลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ
เมื่อพระสงฆ์สวดมนต์เสร็จ ก็ทรงถวายพัดกับพระ วันนั้นมีการแต่งตั้ง สมเด็จฯ ๓ องค์ และพระราชาคณะรองสมเด็จฯ อีกหลายองค์
ก็รวมความว่า หลังจากเสร็จพิธีแล้ว ก็สวดมนต์เย็น เมื่อสวดมนต์เย็นแล้ว ก็เดินทางกลับออกมาวัดสามพระยา มาวัดสามพระยา วันนั้น ก็รู้สึกว่าดีใจมาก
ทางโปร่ง แทนที่จะติดก็ไม่ติด พอเข้าถึงวัดสามพระยาก็ตกใจ เห็นบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและลูกหลานทั้งหลายอยู่นอกวัดกันขนาดหนัก เต็มแน่นมาก
อาตมาเองก็ป่วยไข้ไม่สบาย มีความหนักใจ คิดว่าจะเดินไม่ไหว
พอเข้ามาที่โบสถ์วัดสามพระยา เมื่อพระสวดชยันโตเสร็จ ขอพูดภาษาไทย ๆ การสวดชยันโต วันนั้น บังเอิญพระที่ท่านนิมนต์มา
ก็มากันไม่ครบ เพราะรถติด เห็นใจท่าน ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ต้องสวดด้วย และท่านเจ้าคุณรองสมเด็จฯ พรหมคุณาภรณ์ ท่านก็สวดด้วย สวดกันรู้สึกจะเหนื่อย ๆ
สักหน่อย เมื่อสวดเสร็จ ก็ถวายของต่าง ๆ เครื่องสักการะตามที่ลูกหลานและญาติโยมจัดให้มา เครื่องสักการะที่เป็นดอกไม้ ธูปเทียน มีคนโทต่าง ๆ ก็ตาม
อันนี้เป็นหน้าที่ของมหาดำ หรือมหาสันติ เจ้าอาวาสวัด ขี้เหล็ก บางกอกน้อย เป็นผู้จัด ช่วยจัดให้เป็นกำลังใหญ่ แล้วก็
ท่านเจ้าคุณศรีปริยัติบดี วัดสามพระยา เป็นแม่งานจัดงาน กับพระมหาสำเริง และนอกนั้นก็ช่วยกันทุกองค์ และพระวัดพลับพลาไชย เป็นอันว่า
วันนั้นทราบข่าวจากมหาดำบอกว่า สมเด็จฯ ประกาศบอกว่า พระวัดสามพระยาที่รับนิมนต์จากวัดไหนก็ตาม ขอให้คืน ช่วยจัดงานที่วัดสามพระยากันโดยเฉพาะ
ก็เป็นอันว่า งานนี้ก็สิ้นสุดลงแค่นี้ อันนี้เป็นความดีของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท และก็เป็นพระเดชพระคุณของ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ด้วย
พระราชาคณะทั้งหมดด้วย พระวัดสามพระยาทุกองค์ พระวัดพลับพลาไชยทุกองค์ และญาติโยมทั้งหมดที่มาช่วยกัน เขารวมพลมาช่วยกันมาก แต่อาตมาก็ยังติดใจเขาลือกัน
นี่ไม่ได้โฆษณานะ
เขาลือกันบอกว่า ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยที่วัดสามพระยาสั่งมา อร่อยมาก แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย มันเป็นเวลาล่วงเวลาหลังเที่ยงไปแล้ว
เป็นเวลากลางคืน อยากจะลองฉันดูบ้าง ก็ฉันไม่ได้ไปๆ มาๆ ก็คิดว่า สักวันหนึ่งข้างหน้า ถ้าไปวัดสามพระยา จะไปฉันก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ก็เกรงไปว่า
จะไปไม่ทันเพล ก็สรุปแล้ว รวมความว่า บุญบารมีที่จะฉันก๋วยเตี๋ยวผัดไทยข้างวัดสามพระยา คงจะไม่มีโอกาส
ถ้าญาติโยม หรือเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวผัดไทยทราบ ถ้าทราบข่าวว่า อาตมาจะไปที่ซอยสายลม ถ้าโอกาสดี ๆ มีความเมตตาปรานีเป็นกรณีพิเศษ ลอง ๆ
ส่งก๋วยเตี๋ยวผัดไทยไปสักห่อก็จะดีหรอก จะลองพิสูจน์ดู ถ้าดีจะขอใหม่ต่อไป แต่ไม่ซื้อนะ ขอใหม่ ถ้าหากว่าไม่ดี ก็ไม่ขอใหม่ต่อไป ถ้าดีจะขอทุกเที่ยว
ก็รวมความว่า ขอเลี้ยวเข้านิมิต เหลือเวลาประมาณสัก ๗ นาที
การเลื่อนสมณศักดิ์ ข่าวจากบุคคลไม่มี แต่ว่าข่าวจากนิมิตมีคือว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๒ อาตมากลับมาจากอเมริกาแล้ว ต่อจากนั้นไป
ก็แบกอาการป่วยมาจากอเมริกา คือ วันไปก็เริ่มป่วยอัศจรรย์ใจมาก เริ่มเดินทางก็เริ่มป่วย ไปถึงแคลิฟอร์เนียก็เริ่มดีขึ้น ที่ชิคาโกน่ะ ป่วยมาก
ที่เดนเวอร์ เกือบใช้อะไรไม่ได้ พูดเพิดไม่ออก ก็รวมความว่า กลับมาก็เริ่มป่วยใหม่ ป่วยมีอาการเครียด หนักใจ
มีอาการหายใจถี่ขึ้น รู้สึกเหนื่อยมาก ก็คิดว่า วันนี้อาจจะตาย ก็รวบรวมกำลังใจ นึกถึงศัพท์ว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปฺปาทวยธมฺมิโน เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป อุปฺปชฺชิตวา นิรุชฺฌนฺติ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เตสํ วูปสโม สุโข การเข้าไปสงบกาย
นั่นชื่อว่า มีความสุข การเข้าไปสงบกาย คือ ไม่มีร่างกาย ก็มองดูร่างกายว่า ส่วนไหนมันดีบ้าง
เห็นว่าทุกส่วนไม่ดี ถ้าไม่ดีอย่างนี้ ถ้ามันเลิกหายใจ เราจะมีความสุขมากกว่านี้ จิตก็นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ที่เรียกว่า พุทธานุสสติ
แล้วจับลมหายใจเข้าออก เวลานั้นจิตสงบดี มีความเยือกเย็น ก็มีอารมณ์วูบหนึ่งปรากฏขึ้น ปรากฏพระขึ้นองค์หนึ่ง
ท่านบอกว่า เธอคิดว่า จะตายวันนี้หรือ
ก็กราบเรียนท่าน บอกว่า จะตายวันนี้ และอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้ก็ได้ เพราะอาการอย่างนี้ไม่ดีมาก
อาการของลมหายใจมันสั้นมาก ลงไปไม่ถึงสะดือ และไม่ถึงครึ่งท้อง
ท่านก็บอกว่า เธอยังตายไม่ได้นะ ปีนี้เขาจะมีการเลื่อนสมณศักดิ์ให้
ถามว่า สมณศักดิ์อะไรขอรับ
ท่านก็บอกว่า เขาจะเลื่อนเธอขึ้นเป็นชั้นราช
เลยกราบเรียนกับพระท่านบอกว่า การเลื่อนสมณศักดิ์ กับการจะตาย มันมีความสัมพันธ์กันหรือ เวลานี้กระผมจะตาย จะเลื่อนสมณศักดิ์
สมณศักดิ์ให้เดือนธันวาคม มันจะรับกันทันหรือ
ท่านบอกว่า ต้องทัน เธอยังจะตายไม่ได้
ก็บอกว่า ถ้าร่างกายไม่ทรงตัว ก็จะต้องตาย ทั้งนี้ไม่ใช่มีการฝ่าฝืน
แล้วพระท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าอย่างนั้นเธอก็จับ อานาปานุสสติ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ไว้ พอจิตเป็นสุข
เดี๋ยวจะรู้เอง
แล้วท่านก็หายไป อาตมาก็ทำอย่างนั้น
อารมณ์ที่เป็นสุขจริง ๆ คือ อานาปานุสสติ แล้วร่างกายที่เราไม่ต้องการมัน เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์
ไม่เห็นความดีของร่างกายที่มีเนื้อ มีกระดูก มีหนัง มีน้ำ ต้องการอย่างเดียว คือ ร่างกายที่ไม่มีธาตุ เมื่อเจอะอารมณ์เป็นสุข คิดว่า
ร่างกายที่มีธาตุมันพัง เราจะมีร่างกายไม่มีธาตุ มีความสุข พอคิดเพียงเท่านี้ จิตเป็นสุขมาก
ก็มีเสียงปรากฏที่ศีรษะว่า ตั้งใจให้ดีนะ อาการทั้งหมดจะคลาย เวลานั้นก็รู้สึกมีลมเย็น ๆ จากศีรษะ แล้วเย็นไปทั่วตัว
เหมือนกับใครเป่า แต่ไม่เห็นตัว อาการทั้งหมดค่อย ๆ คลายตัวทันทีทันใด เวลาผ่านไปประมาณสัก ๒ นาที อาการดีทั้งหมด กระปรี้กระเปร่า
คล่องแคล่วทุกอย่าง ก็เป็นอันว่า การพ้นการตายมาครั้งหนึ่ง
ต่อมา เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๒ ก็เกิดอาการป่วยหนักมาก อาเจียน สลบไปหลายนาที ถึงขั้นสลบ ครั้งแรก จิตออกจากร่างไปนั่งคุยกับเทวดา ๒ องค์
อย่างมีความสุข พอกลับเข้ามาในกายรู้สึกว่า สถานที่นั่งที่นั้น มีเสมหะเต็ม อาเจียนเป็นเสมหะมาก จะเกินกว่า ๑ กระโถน หลังจากนั้นไป ก็สลบที่หน้าประตูส้วม
เป็นในส้วม พอฟื้นขึ้นมาแล้ว ตอนกลางคืน นอนภาวนา ก็ปรากฏว่า จิตใจพ้นไปจากร่าง
ขอสรุป เพราะเวลาเหลืออีก ๒ นาทีเศษ ๆ เป็นอันว่า ไปพบพระท่าน เมื่อจิตหลุดไปจากร่างกายก็คิดว่า เราจะไปเลย ร่างกายที่ไม่ดีอย่างนี้
ไม่อยู่กับมันอีกต่อไป เมื่อขึ้นไปแล้ว ก็ไปพบพระ
พระก็ถามว่า เธอจะไปไหน
ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ร่างกายมันเริ่มไม่หายใจแล้วขอรับ ขอไป
ท่านก็บอกว่า ยังไปไม่ได้นะ ปีนี้เขาจะเลื่อนสมณศักดิ์ให้ ต้องอยู่รับสมณศักดิ์ก่อน
ก็ถามท่านบอกว่า สมณศักดิ์เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้มีความสุข หรือมีความทุกข์ ถ้าสมณศักดิ์ให้มีความสุขได้ ก็จะอยู่
ถ้ารับสมณศักดิ์แล้ว ยังไม่พ้นกฎธรรมดา ก็อยากจะตาย
ท่านบอกว่า ต้องสุข จะสุข หรือไม่สุข ก็ต้องมีความสุข เพราะผลของการกระทำ นั่นคือ งานที่จะต้องทำมีอยู่ อยู่ก่อนนะ กลับไปก่อน
ก็เลยบอกท่าน บอกว่า เวลานี้ร่างกายไม่ดีแล้ว หายใจไม่ทั่วท้อง
ท่านบอก คอยที่นี่ประเดี๋ยว ประเดี๋ยวจิตจะเป็นสุข ร่างกายจะปกติ แล้วก็เป็นจริงตามนั้น
บรรดาท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่านทั้งหลาย เวลาใกล้ ๆ นั้น ปรากฏว่ามายืนอยู่ที่ศีรษะแล้วก็มี เทวดา กับพรหมยืนข้างๆ ประเดี๋ยวหนึ่งร่างกายก็ปกติ
ท่านก็บอกว่า เวลานี้ร่างกายปกติแล้ว กลับไปที่เดิม ก็กราบลาท่านเอาละบรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย
เวลานี้มองดูนาฬิกา เห็นว่าเหลือเวลาอีกประมาณสัก ๑ นาทีเศษ ๆ ก็จะหมดเวลา ว่าไป ว่ามา ก็เหลืออีกนาทีเดียว ขอลาก่อน
ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านทุกท่าน
สวัสดี
ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 9/8/11 at 13:13
3
จุไรและป้าน้อย ชมพระชำระหนี้สงฆ์
ท่านผู้อ่านทั้งหลาย สำหรับตอนที่ ๑ ผ่านมา ก็ปรากฏว่า เป็นเรื่องราวที่เป็นงานเป็นการเกินไป และเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้บรรดาท่านผู้อ่านมีความรำคาญ
ต่อนี้ไปก็ขอเชิญชวนบรรดาท่านทั้งหลาย มาอ่านเรื่องนิทานกันดีกว่า นิทานคุยง่าย ฟังง่าย ไม่ต้องคิดมาก นิทานตอนนี้ก็ขอนำท่านมาพบกับ จุไร
เป็นอันว่า วันที่ วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๒ เป็นวันที่คุยกันระหว่าง ป้ากับหลาน เมื่อป้ากับหลานคุยกันมาแล้วในวันก่อน ๆ หลังจากนั้นก็จากกันไปนาน
เป็นเวลาเกิน ๑ เดือน วันนี้มีโอกาสมาพบกัน เพราะว่า วันนี้ ท่านเถ้าแก่สุวรรณ วีระผล กับบรรดาลูกสาว ลูกชาย ลูกสะใภ้ ลูกเขย
และบรรดาญาติมิตรของท่านต่างคนต่างพากันมาบำเพ็ญกุศล นำรูปหล่อจำลองของ ท่านเจ๊จันทนา วีระผล
ภรรยาท่านสุวรรณ วีระผล และ อัฐิธาตุ คือกระดูก มาบรรจุที่มณฑป ที่ท่านสร้าง วันนี้ก็มี มังกรจากนครสวรรค์ มี
นักรำผู้หญิงเผ่าต่าง ๆ ของจีน แต่เป็นคนไทย บรรดาสาวจีนทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อถามแล้ว เสียงเป็นคนไทยชัด และผิวของเธอก็เป็นผิวไทย แต่แต่งตัวเป็นจีน
มาแสดง คนมากมาย ทางโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ก็นำ โยธวาทิต กับ ปี่พาทย์มอญเครื่องใหญ่ เอามาช่วยในงาน
เพราะว่าปี่พาทย์มอญนี้ คณะท่านสุวรรณ วีระผล กับเจ๊จันทนา เป็นหัวหน้าในการก่อสร้าง พร้อมทั้งลูกหลาน และเพื่อนพรรคพวกพี่น้อง ก็รวมความว่า
เมื่องานผ่านไป ล่อโก้วก็ผ่านไป เล่าเก๊ก็ผ่านไปแล้วก็สิงโต หรือมังกรก็ผ่านไป หลังจากนั้นก็เหลือแต่เด็ก ๆ กำลังกินข้าวผัด คือ
เด็กนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา กำลังกินข้าวผัดกันตอนเย็น จุไรมองแล้วก็รู้สึกสดชื่น
ว่า เวลานี้เห็นนักเรียนทุกคนมีความสดชื่นมาก ในตอนต้นก็บรรเลงรับงานศพ เวลาที่มังกรแสดงก็ดี ล่อโก้วแสดงก็ดี นางฟ้าจำแลงของชาวจีนแสดงก็ตาม
ต่างคนต่างก็ดูกันแบบสบาย ตอนเย็นวันนี้ปรากฏว่างานผ่านไป ก็กำลังกินข้าวผัดกัน มีความสุข เธอมองแล้วก็มองหน้าคุณป้าน้อย เธอพูดกับคุณป้าว่า
คุณป้าเจ้าขา วันนี้ดูนักเรียน และทุก ๆ คนที่มาในงาน มีความสุขมาก
เราก็หาความสุขกันต่างหาก เรามาชมบริเวณกัน คุณป้าน้อยเจ้าคะ วันนี้ออกจากวิหาร ๑๐๐ เมตร ไปก็แล้วกันนะ แล้วต่างคนต่างเดิน ป้าก็เดิน หลานก็เดิน
ออกจากวิหาร ๑๐๐ เมตร แล้วก็ปรากฏมองดูข้างล่าง ขณะที่คุยกันตอนต้น ในงานคราวก่อนที่ผ่านมา ลานของวิหาร ๑๐๐ เมตร ด้านหน้า
ยังเป็นดงหญ้าอยู่เวลานี้ทั้งหมด กลายเป็น คอนกรีต และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในที่คอนกรีตที่เขาหล่อไป เขาเทไป ปรากฏว่า มีเป็นที่แหว่ง ๆ สี่เหลี่ยมห่างกันประมาณ ๘ เมตร ๆ ห่างกันช่องละ ๘ เมตร เป็นระยะ ๆ
จุไรก็แปลกใจถามว่า คุณป้าเจ้าขา นี่หลวงปู่ท่านทำอะไร สมัยก่อนหนูมา เห็นดงหญ้าเขียวชะอุ่ม แต่เวลานี้กลายเป็น หญ้าคอนกรีตไปแล้ว
ความจริงหนูคิดว่า บริเวณหน้า ๑๐๐ เมตรนี่ น่าจะเป็นสนามหญ้า
ป้าน้อยก็ยิ้ม แล้วก็บอกว่า หลานรัก เรื่องนี้หลวงปู่ท่านเคยคิดมาก่อน ท่านบอก คิดว่าจะทำสนามหญ้าบ้าง จะทำสวนดอกไม้บ้าง
เมื่อต่อมา ผลปรากฏว่า เวลาน้ำท่วมลงมาก็ดี ฝนตกน้ำมากก็ดี น้ำขัง รถราไม่สามารถจะวิ่งในสนามนี้ได้ ในลานหญ้าได้ ท่านก็ตัดสินใจคิดว่า
ถ้าวัดทำสนามหญ้าก็ดี สวนดอกไม้ก็ดี วัดก็ต้องใช้เงินทุกวัน แต่ละวันนี่วัดต้องใช้เงิน ใช้ค่าคนงานบ้าง ค่าวัตถุต่าง ๆ บ้าง ค่าน้ำบ้าง ค่าไฟบ้าง
เป็นต้น
เป็นอันว่า วัดต้องใช้ แต่เงินที่วัดใช้ ก็เป็นเงินที่บรรดาท่านพุทธบริษัทบำเพ็ญกุศลมา ถ้าจะนำเงินบำเพ็ญกุศลมาบำรุงต้นหญ้า
ก็เห็นว่า ไม่เหมาะสม แต่ว่าสถานที่อื่นอาจจะเหมาะสมก็ได้ แต่เฉพาะอย่างยิ่ง วัดท่าซุง ท่านบอก ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ก็เพราะว่า
บริเวณมีรถจอดมากเวลามีงานจริง ๆ สถานที่ก็เต็มไปด้วยรถ ถ้าทำเป็นสนามหญ้า รถก็จอดไม่ได้ ฝนตกน้ำท่วมขัง รถก็จอดไม่ได้ เวลาน้ำหลากมา รถก็จอดไม่ได้
การบำรุงรักษาก็ต้องเสียทุกวัน
จึงคิดว่า ถ้าอย่างนั้น เทเป็นคอนกรีตดีกว่า ให้เป็นลานแข็ง น้ำท่วม รถก็จอดได้ น้ำหลากมารถก็จอดได้
ไม่ต้องมีใครบำรุงหญ้าคอนกรีต หญ้าคอนกรีตจะงอกงามตามสภาพของหญ้าเอง คือ แข็งเสมอ แล้วที่เป็นจุดแหว่ง ๆ จุดแหว่ง ๆ นั้นไม่ใช่อะไร นั่นคือว่า เป็นหลุม
เฉพาะท่านจะปลูกไม้พุ่ม ไม่ใช่ไม้ดอก หรือไม่ใช่ไม้ผล เอาไว้รักษาร่ม ๘ เมตร ปลูก ๑ ต้น ๘ เมตร
ปลูก ๑ ต้น ขนาบกับทางเดินออก แล้วต่อไป ด้านหน้าวิหารพระชำระหนี้สงฆ์ ก็จะปลูกเป็นแนวไป ๘ เมตร ๑ ต้น ๘ เมตร ๑ จุด ๆ จุดหนึ่งอาจจะเป็น ๒ ต้น ๓
ต้น ก็ได้ เป็นพุ่มเรื่อยไปตลอดแนว แล้วทางเดินเข้า วิหารพระชำระหนี้สงฆ์ หรือวิหาร ๑๐๐ เมตรก็ตาม ก็จะปลูก ๒ ข้างทาง ห่างกัน ๘ เมตร ๆ เหมือนกัน
ต่อไปเมื่อต้นไม้ขึ้นดีแล้ว จะมีความเขียวชะอุ่ม และมีความเยือกเย็น เป็นที่น่าเป็นสุขสำหรับคนที่พัก
จุไรก็ถามว่า หนูถามนิดเดียว ป้าอธิบายเสียยาว ป้าก็เลยบอกว่า ถ้าไม่อธิบายยาว หนูก็ไม่เข้าใจ ก็เลยคิดว่า แค่นี้ ถึงแม้จะยาวขนาดนี้
หนูอาจจะยังไม่เข้าใจก็ได้ จุไรก็บอกว่า หนูเข้าใจแล้ว
แล้วจุไรก็มองต่อไปว่า ใต้บริเวณอาคารที่ประดิษฐานพระชำระหนี้สงฆ์ พระชำระหนี้สงฆ์บริเวณนั้น ปรากฏว่ามี ๖๔ องค์ ใต้อาคารของท่านมีส้วม ๓๐ ห้อง
จุไรก็ถามป้าว่า ทำไมหลวงปู่สร้างส้วมมากนัก
คุณป้าก็บอกว่า การสร้างนี่ ถ้าปกติจะเห็นว่ามาก แต่ว่าเวลางานกฐินก็ดี เป่ายันต์เกราะเพชรก็ดี งานประจำปี มีนาคม ก็ดี
ส้วมทั้งหมดที่มีอยู่ไม่มาก คือว่า ส้วมทุกหลังจะมีคนคอย ๔-๕ คน ทุกห้อง แสดงว่า ส้วมไม่พอกับปริมาณคน
จุไรก็บอกว่า สบายใจนะ วัดนี้ ปวดอุจจาระปัสสาวะเมื่อไร ไปก็ได้ เธอก็หันไปมองดูอีกทีว่า
ข้างมณฑปใหม่ของท่านสุวรรณ วีระผล ที่นั่นมีโครงสร้างพระรูป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ รัชกาลที่ ๖ รัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๑ จุไรก็ถามว่า
หลวงปู่จะสร้างไว้ทำไม
คุณป้าน้อยก็บอกว่า หลานรัก หลวงปู่ท่านสร้างไว้ให้เพื่อมนัสการ ไหว้สักการะบูชา คือ
๑. วันจักรี
๒. วันปิยะมหาราช
๓. วันลูกเสือของ ร.๖ แล้วก็
๔. วันเฉลิมพระชนมพรรษาของรัชกาลที่ ๙
เด็ก ๆ นักเรียนตามปกติต้องไปรวมกัน มนัสการที่โน่น ถวายพวงมาลัยที่นี่ ก็ลำบาก จัดไว้สถานที่นี้เลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัชกาลที่ ๙ ทำเป็นป้ายถวายพระราชกุศล จุไรก็ถามว่า ป้า หลวงปู่ถวายพระราชกุศลทั้งหลังวิหาร ๑๐๐ เมตรนี่หรือ คุณป้าก็บอกว่า
หลวงปู่ทำมาหลายจุดแล้ว เฉพาะจุดนี้ ถวายเป็นกรณีพิเศษ ถวายทั้งวิหาร ๑๐๐ เมตรด้วย มณฑปด้วย แล้วก็อาคารรอบ ๆ วิหาร ๑๐๐ เมตร วิหารคด
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระชำระหนี้สงฆ์อีก ๖๔ องค์ จุไรก็ตื้นตันใจ แล้วมองไปมองมา เธอก็มองพระชำระหนี้สงฆ์ก็ถามว่า คุณป้า
พระชำระหนี้สงฆ์นี้เมื่อไรหลวงปู่จะปิดทอง คุณป้าน้อยก็บอกว่า เวลานี้กำลัง เร่งรัดช่างให้ทำความเรียบร้อยกับผิว แต่ว่า ตั้ง ๖๔ องค์นี่หลานรัก
เร่งเท่าไรมันก็ไปเร็วไม่ได้ แต่แล้วเสร็จเมื่อไร จะปิดทองเมื่อนั้น จุไรก็ถามว่า ปิดทอง หรือทาทอง
ป้าน้อยก็บอกว่า ต้องปิดทอง ลูก เพราะการทาทอง ทำมาแล้วที่ ๑๒ ไร่ ดูเหมือนว่า จะเป็นห่มผ้าสีกรักไป ความงามสง่าดีไม่พอ
ฉะนั้น สีทองที่ทาไม่ดีจริงเท่าปิดทอง ท่านก็เลยจะปิดทอง
จุไรก็ถามว่า ใช้ทององค์ละกี่แผ่น คุณป้าก็บอกว่า เป็นพัน ๆ นะลูกนะ อาจจะเป็นหมื่น ๆ แผ่น เพราะองค์ใหญ่มาก ทั้งแท่นด้วย
จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น เงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ที่เขาทำบุญมา พอไหม
คุณป้าน้อยก็บอกว่า สำหรับหลวงปู่ของหลาน พอทุกอย่าง ให้มาก็เท่าไรก็พอ ให้พอดีกับราคา ก็พอ ให้ไม่พอดีกับราคา ก็พอ
เพราะในฐานะที่ท่านคิดว่า ถ้าตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว ต้องทำ คำว่า ขาดทุน ไม่มี ถ้าให้ไม่พอ ก็เอาเงินที่บรรดาท่านพุทธบริษัททำบุญมาไม่จำกัดประเภท
เข้าร่วม
ถือว่า ทุกคนมีส่วนร่วมด้วย ก็พอ เธอก็ถามว่า อาคารสำหรับพระชำระหนี้สงฆ์ก็เป็นตึก ๒ ชั้น อยากจะถามว่า มีเจ้าของหรือยัง คุณป้าน้อยก็บอกว่า
ยังไม่มีสักนิ้วหนึ่งเลยลูก แม้แต่ ๑ ตารางนิ้วก็ยังไม่มีเจ้าของ เธอก็บอกว่า โอ้โฮ เป็นร้อย ๆ ห้องนะคุณป้านะ แล้วหลวงปู่เอาสตางค์ที่ไหนมา
ป้าน้อยก็บอกว่า ป้าบอกแล้วว่า เงินที่ทุกคนทำบุญมาวางเฉย ๆ นี่ หลวงปู่นำมาร่วมสร้างหมด ก็รวมความว่า หลวงปู่ไม่ได้เก็บสตางค์ไว้
เธอก็แหงนไปดูพระชำระหนี้สงฆ์ คือ พระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก เธอก็ถามว่า คุณป้า พระชำระหนี้สงฆ์ก็ดี หรืออีกอย่างหนึ่งเรียกว่า
พระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ตามที่ป้าเคยบอกมาแล้วว่า หลวงพ่อปานบอกว่า พระขนาดนี้ เป็นพระประธานมาตรฐาน หนูอยากจะถามว่า ถ้าไม่เกินวิสัยคุณป้านะว่า
คนที่สร้างพระชำระหนี้สงฆ์แล้วนี่ จะตกนรกไหม
คุณป้าก็ยิ้ม คุณป้าก็ตอบแบบนักปราชญ์
บอกว่า หลานรัก ถ้าคนนั้นเขาสร้างพระภายนอก คือ องค์นี้ วางตรงนี้แล้ว ก็สร้างพระภายในไว้ด้วย นั่นก็หมายความว่า
ถ้านึกถึงพระองค์นี้อยู่ในใจไว้เสมอ เป็นประจำใจ คือว่า ไม่ต้องทุกวินาที เอากันแค่ก่อนหลับ นึกสัก ๒-๓ นาที นึกถึงภาพพระ ตื่นใหม่ ๆ นึกสัก ๒-๓ นาที
แค่นี้พอแล้ว หรือว่าจะทำงาน ทำการอะไรก็ตาม นึกถึงภาพพระที่เราสร้างไว้ สัก ๒-๓ นาทีก็พอ
ทำงานหมายถึง จัดการทำบุญนะ ไม่ใช่งานถางหญ้า หรือทำงานประจำ หรือว่า ถ้าเดินทางไปไหน ถ้าบังเอิญจะคิดได้ ก็นึกสัก ๒-๓ นาทีก็พอ ด้วยความเคารพ
อย่างนี้ ทุกคนที่นึกอย่างนี้ จะตกนรกไม่ได้ คุณหลานก็แสนจะดี ถามว่า คุณป้า ที่พูดมานี้ น่าเลื่อมใส อยากจะถามเหตุผลความเป็นมา
ที่คนสร้างพระภายนอกกาย แล้วนึกถึงพระภายในใจ ที่ไม่ตกนรก มีที่ไหน มีตัวอย่างไหมป้า คุณป้าน้อยก็บอกว่า ตัวอย่างนั้นมีเยอะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
แต่ป้าก็จำไม่ค่อยได้นะ เป็นแต่เพียง หลวงปู่ท่านพูดไว้หลายเรื่อง ป้าก็จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ประเดี๋ยวก่อน ป้าชักจะเปรี้ยวปากสักนิด
ขอน้ำบ้วนปากสักหน่อย หลานสาวก็ยิ้ม เมื่อคุณป้าหันไปหยิบน้ำจะมาดื่ม คุณหลานก็มอง สายตากวาดไปดูพระพุทธรูป แล้วก็เหลือบตาลงต่ำ ปรากฏว่า เห็นคน ๒ คนอ้วน
พุงปลิ้น คล้าย ๆ กับพ้อม นุ่งผ้าเตี่ยว ถือกระบองคนละอัน รูปร่างใหญ่โตมาก ผิวก็ไม่ขาว ไม่ดำ ค่อนข้างขาว ผิวเกลี้ยง ๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เดินเข้ามา
คุณหลาน คือ จุไร ก็ถามคุณป้าน้อยว่า คุณป้าเจ้าขา นั่นใคร ๒ คน น่าจะเป็นนักเลงโตนะ ถ้าเป็นนักเลงด้วย ก็ต้องโตด้วย
เพราะตัวก็โต พุงก็โต นุ่งผ้าเตี่ยว ต เหมือนกัน ต โต กัน ต เตี่ยว เดินเข้ามา ป้าน้อยก็เหลือบหน้ามอง แล้วก็ยิ้มยกมือไหว้ท่านทั้งสอง ก็เลยบอกว่า
หลานรัก ใครเสียอีกล่ะ เมื่อคราวก่อน หลานก็พบดีแล้วนะ นั่นคือว่า ท่านองค์หน้า คือ ท่านปิยะเทวา หรืออีกนัยหนึ่งที่เรียกว่า ปิยะยาวี
แต่องค์ที่เดินตามมาข้างหลัง เหลื่อมกันนิด ๆ รูปร่างขาว ๆ นั่นคือ ท่านบุเรงนองเทวดา จุไรฟังก็นึกขึ้นมาได้ว่า
คราวก่อนเจอะครั้งหนึ่งแล้ว ก็ยกมือไหว้ ท่านทั้งสองเข้ามาใกล้ ท่านทั้งสองก็ยิ้ม แล้วถามว่า หลานรัก คุยเรื่องอะไรกัน จุไรก็เลยบอกว่า หนูกับป้า กำลังคุยเรื่อง อานิสงส์สร้างพระพุทธรูป คนสร้างพระพุทธรูป ขนาดเล็กก็ตาม ขนาดใหญ่ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เวลานี้คุยกันถึงเรื่องพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ที่เรียกว่า พระชำระหนี้สงฆ์ เป็นอันว่า พระชำระหนี้สงฆ์นี้ องค์โต แล้วบางคนมีสตางค์ไม่พอ
ถ้ามาร่วมกันทำก็ดี หรือว่าไม่ร่วมทำ แต่สร้างพระองค์เล็ก ๆ อย่างขนาดพระถวายสังฆทาน หน้าตัก ๓ นิ้วบ้าง ๔ นิ้วบ้าง ๕ นิ้วบ้าง ๑๐ นิ้วบ้าง ๑๒
นิ้วบ้าง โตกว่านี้บ้าง เอาเล็กที่สุด คือ หน้าตัก ๔ นิ้ว ถ้าทำบุญอย่างนี้ สร้างพระอย่างนี้ ถวายวัด หนูอยากจะถามลุงทั้งสองว่า
เขาทั้งหลายจะตกนรกไหม ลุงทั้งสองลุงปิยะยาวีก็หันไปหาลุงบุเรงนองว่า หน้าที่อย่างนี้นะลูกรักนะ เป็นหน้าที่ของบุเรงนองเขาจะตอบ
จุไรก็หันไปถามคุณลุงบุเรงนองถามว่า คุณลุงเจ้าคะ จะตอบได้ไหม
ลุงก็บอก เรื่องตอบเป็นของไม่ยาก หลานรัก ก็ตอบได้ทันทีว่า คนที่ทำบุญอย่างนี้ นั่นก็คือสร้างพระพุทธรูปถวายไว้ในพระพุทธศาสนา
เมื่อสร้างพระภายนอกแล้ว คือ นอกกาย ก็เอาใจ คือ กายภายใน คือ ใจของเรานี่เอง นึกถึงพระที่เราสร้างไว้ อย่างคนที่ถวายสังฆทาน
เขามีพระพุทธรูปอยู่ด้วย ก็นึกถึงพระพุทธรูปนั่นก็ดี นึกถึงผ้าเหลือง หรือผ้าไตรก็ดี
นึกถึงของใช้ ของกินก็ตาม นึกประจำใจไว้ จุไรก็ถาม นึกตลอดเวลาใช่ไหม คุณลุง คุณลุงบุเรงนองก็บอกว่า ไม่ใช่นึกตลอดเวลา
นึกเฉพาะเวลา คือเวลาก่อนจะหลับ นึกเสียหน่อย ภาพที่เราถวายสังฆทานมีอะไรบ้าง ภาพที่สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ รูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร นึกนิดหนึ่ง สัก ๒-๓
นาที หรือ ๑ นาทีก็พอ นึกด้วยความเคารพ และก็ประการที่สอง เมื่อตื่นใหม่ ๆ ตื่นปั๊บ นึกปั๊บ หรือตื่นสักหน่อย
นึกต่อไปก็ได้ว่า เราสร้างพระ เราทำบุญอะไรมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถวายสังฆทานที่มีพระพุทธรูป
หรือว่าสร้างพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งไว้กับวัดหรือว่าสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ทั้งหมดนี้ อานิสงส์จะทำให้คนนั้นไม่ลงนรก จุไรก็ถามว่า
มีตัวอย่างไหมเจ้าคะ คุณลุง ท่านบุเรงนองก็บอกว่า ตัวอย่างน่ะมี เป็นของไม่ยาก หลวงปู่ของหลานเคยเทศน์ให้ฟังบ่อย ๆ ใช่ไหมเรื่อง
ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร
จุไรก็บอกว่า เป็นความจริง หนูเคยฟัง แล้วก็จำได้บางตอน บางตอนก็จำไม่ได้ หลวงปู่บางที พูดไปพูดมา ท่านก็เอาเรื่องอื่นเข้ามาแทรกนิด ๆ หน่อย ๆ
ชวนหัว เลยลืมไปเลย ก็อยากจะทราบจากคุณลุง คุณลุงบุเรงนองก็บอกว่า ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ตระกูลนี้ทั้งตระกูล ไม่เคารพพระพุทธศาสนา เพราะว่า
เป็นพราหมณ์ พ่อเป็นครูสอนของพราหมณ์
เขาไม่เคยไหว้พระพุทธเจ้า ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ แต่ทว่าขณะที่ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร จะตายจากความเป็นคน เห็นว่า
ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ พ่อก็ช่วยไม่ได้ แม่ก็ช่วยไม่ได้ ทรัพย์สมบัติที่เป็นมหาเศรษฐีก็ช่วยไม่ได้ แต่นึกว่า ชาวบ้านเขาลือกันว่า
องค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระพุทธเจ้า พระสมณโคดม มีเมตตาสูง สงเคราะห์ไม่เลือกว่าใคร
ก็นึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ขอให้มาช่วยรักษาโรคให้หายเพียงเท่านี้ ตายจากความเป็นคน
ผลแห่งการนึกถึงพระพุทธเจ้าบันดาลให้ท่านผู้นี้ ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร
ต่อมาได้พบพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่เป็นเทวดา ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียว เป็น พระโสดาบัน
ท่านบุเรงนองพูดแล้วก็บอกว่า หลานรัก เชื่อไหม จุไรก็บอกว่า เชื่อ แต่ว่าคติโบราณมีอยู่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ
ท่านบุเรงนองก็บอกว่า เอาแล้วหลาน ยุ่งแล้ว ทำลุงยุ่งแล้วนะ คำว่า บุเรงนอง ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทโปรดทราบว่า การพูดตอนนี้ เป็นเรื่องของ นิทาน
นะ เอาชื่ออะไรมาใช้ก็ได้ หลังจากนั้น
จุไรก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณลุงเจ้าคะ หนูอยากจะพบ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เวลานี้ท่านอยู่ หรือท่านไปไหน
หรือท่านนิพพานไปแล้ว
ลุงบุเรงนองก็บอกว่า ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ยังไม่ไปนิพพาน ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าแล้ว เป็น พระโสดาบัน
พระพุทธเจ้าทรงรับรองแบบนั้น แต่ต่อมาท่านจะเป็นพระอริยเจ้าขั้นไหน ลุงไม่ทราบ ทราบแต่เพียงอยู่ว่า
เวลานี้ท่านเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
จุไรก็ถามว่า คุณลุงเคยไปชั้นดาวดึงส์หรือ
คุณลุงก็บอกว่า เทวดาชั้นจาตุมหาราชทั้งหมด เป็นทหารของพระอินทร์ เป็นเทวดาที่มีกำลังใหญ่ ก็ต้องไปดาวดึงส์เป็นปกติ
ทุกวันต้องไปเฝ้าพระอินทร์กัน ไปรับโอวาท และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันโกน ของวันพระสิ้นเดือน หรือวันพระกลางเดือน ก็ต้องไปรวมกันที่เทวสภา ไปรับโอวาทจาก
เทวราชา คือ พระอินทร์ หรือไม่อย่างนั้นก็ฟังเทศน์จากพระโพธิสัตว์
เป็นอันว่า ท่านบุเรงนองท่านยืนยันว่า เคยพบท่านมัฏฐกุณฑลี จุไรก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงเจ้าคะ เวลาพอมี มองดูเวลาแล้วเห็นว่า ตะวันรุบหรู่เต็มที
แต่ยังไม่ค่ำ ลุงพาไปหาท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรได้ไหม ท่านบุเรงนองกับท่านปิยะยาวีก็บอกว่า ได้ ที่ลุงมาวันนี้ ลุงพร้อม เพราะทราบแล้วว่า
หลานจะต้องการแบบนี้ จึงมากัน จุไรก็ถามว่า คุณลุง ถ้าไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี่ คุณลุงจะนุ่งผ้าเตี่ยวไปแบบนี้หรือ พุงของลุงก็เหมือนพ้อม และผ้าก็นิดเดียว
ทำไมเทวดาชอบนุ่งผ้าแบบนี้
คุณลุงก็บอกว่า หลาน อย่ายุ่งกับเรื่องของเทวดา การแต่งตัวจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องของเทวดา ไม่เกี่ยวกับมนุษย์
แต่ว่าถ้าหลานต้องการให้ลุงพาไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ลุงก็ต้องเปลี่ยนเครื่องแบบใหม่ คือ เครื่องแบบชุดนี้เป็นเครื่องแบบอยู่ยาม
เวลานี้ก็ไปหาเทวดาผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นพระอริยเจ้า ลุงก็ต้องล่อให้แหลมเปี๊ยบ จุไรก็ถามว่า อะไรแหลม ลุงก็เลยบอกว่า หัวแหลม จุไรก็ยิ้มแล้วก็หัวเราะหึ ๆ
คุณลุงบุเรงนองก็ถามว่า หัวเราะทำไม
จุไรก็บอกว่า หัวแหลมนี่ เขาเรียกกันว่า หัวลิง นะลุงนะ ท่านบุเรงนองก็เอามือลูบหัว บอกว่า หลานรัก ทำไมพูดกับลุงแบบนั้นล่ะ
เห็นเทวดาเป็นลิงอย่างนั้นหรือ จุไรก็บอก หนูเห็นเขาพูดกันแบบนี้นี่ว่าหัวแหลม ก็เหมือน หัวลิง ท่านลุงทั้งสองก็บอกว่า การหัวแหลมนี่ไม่ใช่ แหลมลิง
นะลูกนะ เป็นแหลมเทวดา ต่อไปในพริบตาเดียวรูปร่างหน้าตาท่านก็เปลี่ยน ทรวดทรงก็เปลี่ยน ชะโอดชะอง สวยสดงดงาม
มีเครื่องประดับแพรวพราวเป็นระยับ มีพื้นเป็นทองคำประดับประดาไปด้วยแก้วแพรวพราว สวยสดงดงามมาก คุณลุงก็บอกว่า นี่เครื่องแบบเต็มยศของลุงนะ
เวลาที่จะไปดาวดึงส์ เขาต้องแต่งตัวกันแบบนี้ ไอ้เครื่องแบบนี่ เขาแต่งกันเป็นชุด ๆ อย่างพวกข้าราชการก็ดี นายทหารก็ดี นายตำรวจก็ดี
เขามีเครื่องแบบเต็มยศกัน แต่ไม่มีใครเขานุ่งกันทุกวัน
เวลาอยู่บ้านเขาอาจจะนุ่งผ้าขาวม้าก็ได้ ผ้าเตี่ยวก็ได้ หรือว่ากางเกงในตัวเดียวก็ได้ อยู่ตามลำพัง หรือเวลาทำงาน ทำการ ดายหญ้า ฟันดิน ฟันฟืน
เขาก็นุ่งตามสบาย ไม่ใช่เครื่องแบบเต็มยศมาแต่งกัน แต่เวลาที่วันเฉลิมพระชนมพรรษาก็ดี เฝ้าพระเจ้าอยู่หัวก็ตาม ในบางโอกาสก็ต้องแต่งเครื่องแบบเต็มยศฉันใด
เทวดา นางฟ้าทั้งหลาย ก็มีสภาพแบบนั้น เวลานี้ลุงกำลังแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
เห็นไหมว่า เมื่อกี้ลุงแต่งตัว ดูทันไหม จุไรก็บอกว่า ไม่ทัน ก็ถามว่า ทำไมการแต่งตัวของลุงจึงเร็วนัก ท่านทั้งสองก็บอกว่า
ลุงน่ะไม่ได้แต่งตัวด้วยมือ ลุงแต่งตัวตามความรู้สึก พอนึกว่า จะให้เป็นอย่างไร มันเป็นอย่างนั้นทันที อย่างนี้อารมณ์เป็นทิพย์ จุไรก็ถามว่า คำว่า ทิพย์
นี่หมายความว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามต้องการเสมอ ใช่ไหม
ลุงก็บอกว่า ใช่ คำว่า ทิพย์ แปลว่า เล่น ถ้าภาษาไทยนะ ทำแบบเล่น ๆ คือ ไม่ต้องตั้งใจนัก ไม่ต้องใช้กำลังแรง ทำแบบเบา ๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ปรากฏตามความต้องการของใจ
จุไรก็บอกว่าถ้าอย่างนั้น คุณลุงทั้งสองพาหนูไปเถิด
ท่านลุงก็บอกว่า ไอ้ตัวของหลานมันหนัก ลูก เวลานี้ มีหนัง มีเนื้อ มีตับ ไต ไส้ ปอด มีขี้ มีเยี่ยว โอ้ย มันเหม็น เลอะเทอะ
เอาอย่างนี้ดีกว่า ทิ้งผิวไว้ตรงนี้นะ
ทิ้งเปลือกไว้ตรงนี้ ธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ หนังก็ดี เนื้อก็ดี กระดูกก็ดี นี่เป็น ธาตุดิน ของเหลวภายใน เป็น
ธาตุน้ำ ลมหายใจเป็น ธาตุลม ความอบอุ่นภายใน เป็น ธาตุไฟ ทิ้งไว้ตรงนี้ เอากายใน คือ กายทิพย์ ไปกับลุงดีกว่าลุงพร้อมแล้ว จุไรก็บอกว่า
ถ้าลุงต้องการแบบนั้น ลุงก็ดึงกายทิพย์หนูออกซิ ดึงไปกับลุง ผลที่สุด ท่านลุงก็บอก ตกลง ก็เป็นอันว่า นับ ๑, ๒, ๓ ถ้า ๓ ปั๊บ ต้องเคลื่อนปุ๊บทันทีนะ
จุไรก็บอก พร้อม ป้าน้อยก็บอกว่า พร้อม เป็นอันว่า ท่านทั้งสองก็นับพร้อมกันว่า ๑, ๒, ๓ ปั๊บ พอถึง ๓ ปั๊บ ทุกคนเคลื่อนจากกายทันที มีกายเป็นทิพย์
ทุกคนก็แพรวพราวเป็นระยับสวยสดงดงาม ตามกำลังของบุญ ในที่สุด ท่านทั้งสองก็พาคนทั้งสองไป สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก อันดับแรก ไปแวะที่
บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ก่อน มนัสการ คือ กราบไหว้ ท่านพระอินทร์ ซึ่งท่านเป็น ปู่
หลังจากนั้นขออนุญาตท่านปู่ ไปขอพบท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท สำหรับตอนนี้ก็ต้องขอยุติเพียงเท่านี้ เพราะเวลาหมดแล้ว
พระท่านมาไล่ ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านทุกท่าน
สวัสดี
ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 22/8/11 at 14:49
4
จุไรไปดาวดึงส์
ท่านผู้อ่านทั้งหลาย สำหรับต่อนี้ไป ท่านทั้งหลายก็จะได้พบกับ จุไร ตามเดิม เป็นอันว่า หลังจากตอนที่แล้ว จุไรก็ได้ติดตามท่านทั้งสอง คือ
ท่านปิยะยาวี และท่านบุเรงนอง เทวดาทั้งสอง พาคุณป้าน้อยและจุไรหลานรัก เดินทางขึ้นไปในทางอากาศ แพล็บเดียวก็ถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
ในเมื่อไปถึงแล้วก็เข้าไปในเขต บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์
เวลานั้นปรากฏว่า ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือ พระอินทร์กับชายา ท่านนั่งอยู่ มีเทวดา และนางฟ้าที่เป็นบริวารมากมาย ด้านทางขวาก็มี
ท่านปัญจสิกขเทพบุตร และต่อมาก็มีเทวดามาก เยอะ เรียกว่า มากมาย ก็แล้วกัน ทั้ง ๔ ท่านเข้าไปใกล้ท่านปิยะยาวีเทวดา กับท่านบุเรงนองเทวดา
ก็บอกทั้งสองคนบอกว่า ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ของเทวราชา
และตัวท่านเองทั้งสอง ก็มีหน้าที่รับบัญชาจากพระอินทร์ และท่านท้าวมหาราช ให้ไปรักษาการณ์ในเขตของวัดท่าซุง นอกจากวัดท่าซุง
ก็มีเขตไกลไปอีกหลายกิโลเมตร ก็ถือว่าเป็น หัวหน้ายาม ในเมื่อหัวหน้ายามมาที่นี่ ท่านจะหาว่าหนียาม ก็ขอให้ท่านทั้งสอง คือ ท่านน้อย กับท่านจุไร
ทั้งสองท่านเรียก ท่านที่นี่ เพราะแต่งตัวเป็นนางฟ้า เข้าไปหาท้าวสักกเทวราชเอง
ไปขออนุญาตว่า ต้องการจะไปพบเทวดา หรือนางฟ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม ทั้งสองได้รับคำแนะนำแบบนั้นแล้ว ก็เข้าไปหาท่านท้าวสักกเทวราช คือ พระอินทร์
ไปถึงก็กราบท้าวสักกเทวราช และกราบชายาของท่าน เมื่อกราบแล้ว ท้าวโกสีย์สักกเทวราชก็มีบัญชาถามว่า สองป้าหลานนี่ มาธุระอะไรหรือ
คุณหลานก็กราบเรียนท่านบอกว่า ขออภัยนะเจ้าคะ หนูขอเรียกพระคุณท่านว่า ปู่ ก็แล้วกัน
เพราะไม่ทราบจะ เรียกว่าอะไร ท่านท้าวโกสีย์สักกเทวราชท่านก็ยิ้ม ท่านก็บอก ดีแล้วเรียก ปู่ นะดีแล้ว การใช้ศัพท์ว่า ปู่ ถือว่าเป็นคนใกล้ชิดกัน
เป็นญาติสนิท คุยกันถนัด แล้วเธอก็หันไปหาชายาของท่าน กราบท่านบอกว่า หนูขออนุญาตเรียก ย่า ก็แล้วกันนะเจ้าคะ ท่านก็ทรงอนุญาตทั้งสองท่าน ท่านปู่
และท่านย่า แล้วต่อไป
จุไรก็ถามว่า ท่านปู่เจ้าคะ หนูอยากจะทราบว่า ท่านปู่ ทำไมถึงสวยงามกว่าเทวดาทั้งหมด เวลานี้เครื่องทรงของท่านปู่ก็สวยมาก
จะเปรียบเทียบกับเทวดาทั้งหลาย เทวดา และนางฟ้าทั้งหมด สู้ไม่ได้ แล้วก็แท่นที่ประทับของท่านปู่ก็แพรวพราวเป็นระยับ สวยสดงดงามเป็นกรณีพิเศษ
ซึ่งไม่เคยเห็นมาจากในสถานที่ใดเลย แล้วท่านย่าก็เหมือนกัน
ท่านย่าก็สวยสดงดงามเป็นพิเศษเหมือนกัน แพรวพราวเป็นระยับ ยิ่งกว่านางฟ้าคนใดทั้งหมด อยากจะถามว่า ท่านปู่ กับท่านย่า ทำบุญอะไรกันมา
ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านปู่ ท่านย่าฟังแล้วก็ยิ้ม ชอบใจหลานว่า หลานเป็นคนช่างพูด หลานเป็นคนช่างสงสัย ท่านย่าก็หันไปพูดกับท่านปู่ บอกว่า
อธิบายให้หลานฟังซิ วันนี้เป็นเรื่องของท่านแต่ผู้เดียว ฉันไม่พูดเพราะว่า ในฐานะที่ท่านเป็นราชาของเทวดาทั้งหมด ถ้อยคำของท่านทั้งหมด คนเชื่อ
เชื่อมากกว่าฉันพูด ขอท่านอธิบาย
ท่านปู่ก็พูดให้ฟังว่า หลานรัก เวลานี้ปู่อยู่ในฐานะของพระอินทร์ คำว่า พระอินทร์ แปลว่า เป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งหมด
ที่ตามบาลีท่านเรียกว่า เทวราชา เพราะตามสวรรค์จริง ๆ ก็มี ๖ ชั้น ตามที่เขาทราบกันแล้ว แต่ที่นี่เรียกว่า ดาวดึงส์ คุณสมบัติที่ทำให้ ปู่ เป็นพระอินทร์ได้
ก็คือ
๑. มาตาเปตติภรัญชันตุง การเคารพในบิดามารดาด้วย และพยายามปฏิบัติบิดา-มารดาให้มีความสุข ท่านต้องการอะไร เราหาให้ตามกำลังที่จะพึงหาได้ คำว่า
ความสุขนั่นหมายถึงว่า ไม่เกินวิสัยที่เราจะพึงหาได้ ถ้าเราหาไม่ได้ บังเอิญคนอื่นเขาหาได้ เขาสามารถทำได้ เราขอ ไหว้วานเขา ขอความสงเคราะห์เขา
ให้เขาช่วยอย่างนี้ก็ใช้ได้ต้องทำ
๒. เคารพในบุคคลผู้มีอายุสูงกว่า เขาจะมีอายุสูงกว่าเราสัก ๑ วัน ๒ วัน ๓ วันก็ตาม ให้ยอมรับนับถือว่าเขาเป็นพี่ เราซึ่งมีอายุน้อยกว่า
ต้องยอมรับนับถือ ถ่อมตนมาในฐานะที่เราเป็นน้อง ทั้งนี้ก็เว้นไว้แต่ว่า คนนั้น ถ้าเป็นคนไร้ความดี ไร้คุณธรรม ได้ความดี ถึงแม้เขาจะไร้คุณธรรม
ไร้ความดี ถ้าเรานั่งอยู่ใกล้ ๆ เราก็แสดงความเคารพในฐานะที่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า
แต่ว่า ความประพฤติชั่วร้ายของเขา เราจะไม่นำมาปฏิบัติตาม อย่างนี้เรียกว่า มีการเคารพในบุคคลผู้มีอายุสูงกว่า ปู่ปฏิบัติมาตามนี้ แล้วต่อไป
ก็ชอบการให้ทาน มีการให้ทานเป็นปกติ การให้ทาน ก็เป็นการให้ที่ไม่เกินวิสัยที่เราจะพึงให้ได้ การให้ทาน ไม่ใช่ว่าเราจะทุ่มเทเสียทุกอย่าง
มีเท่าไรให้หมด อย่างนี้ไม่ควร ต้องดูในการให้ว่า พอจะให้ได้ไหม
ถ้ามันเหลือเกิน เหลือใช้ตามความจำเป็นแล้ว ก็แบ่งให้ ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่เหลือกิน เหลือใช้แล้ว ก็ให้ทั้งหมด เพราะความจำเป็นนอกจากกิน
นอกจากใช้ธรรมดามันมีอยู่ เช่น การป่วยไข้ไม่สบาย เป็นต้น มันเกิดขึ้นภายหลัง เราทราบไม่ได้ เราก็ต้องเตรียมทรัพย์ของเราไว้
ถ้าบังเอิญทรัพย์สินที่มีอยู่นอกเหนือที่เรามีความจำเป็นตามนี้ เราก็ให้ ให้ตามควร
ให้มาก หรือให้น้อย อยู่ที่เหตุผลในการให้ ที่ชื่อว่า การให้ทานนี้ ปู่ก็ชอบให้ทาน แล้วต่อไป ปู่ก็มี ความเมตตาปรานี ขึ้นชื่อว่า
ความโกรธของปู่มีเหมือนกัน อารมณ์ขุ่นใจบางขณะ ก็มีเหมือนกัน แต่ปู่ยับยั้งไว้ ถึงแม้ว่าใครเขาจะพูด เขาจะทำให้เราไม่ชอบใจ เราก็ยิ้ม พยายามฝึกยิ้ม
สู้กับความไม่ดีของเขา ต่อไปจิตใจก็ชุ่มชื้น ต่อมาเมื่อเจอะคนทั้งหลาย เขาปฏิบัติไม่ถูก ไม่ต้องขึ้นมา
ก็ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เกิดมา ย่อมมีความดี และความชั่ว แต่ทุกคนมีความต้องการในด้านของความดี ที่ทำทุกอย่าง คิดว่า ดีจึงทำ
แต่อาศัยกรรมที่เป็นอกุศล คือ บาปในชาติก่อนสนับสนุนใจ ควบคุมใจ ต้องการให้เขาผู้นั้น เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องไปอบายภูมิ
มีนรกเป็นต้น ก่อนจากเป็นสัตว์นรก ก็มาเป็นเปรต จากเปรต เป็นอสุรกาย
จากอสุรกาย มาเป็นสัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เดรัจฉานมาเป็นคนที่มีความลำบากยากแค้น กรรมที่เป็นบาปในชาติก่อนควบคุมใจเขา
เขาไม่สามารถจะมีอิสระในความคิด ในความอ่าน เป็นอันว่า ความชั่ว ควบคุมใจให้ทำความชั่ว เพื่อเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เรามีความเข้าใจตามนี้ คือ
การที่ทำของเขาทุกอย่าง เขาต้องการดี แต่มันไม่ดี เราก็ให้อภัย
นั่นหมายความว่า ถ้าเขาพูดไม่ดี เขาทำไม่ดี ต่อหน้าเรา เราไม่ชอบใจ แต่เราก็ยิ้มได้ ต้องฝึกยิ้ม อย่างนี้เป็นต้น อีกประการหนึ่ง
จงทำตนเป็นคนไม่ขี้เหนียว มีเมตตาอารี พอใจในการให้ทาน ปู่ปฏิบัติมาตามนี้ จึงเป็นพระอินทร์ได้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ย่าก็เหมือนกัน
เป็นคู่บารมีของปู่มาตลอด ทุกชาติเกิดแต่ละชาตินี่ ย่าเขาจองตำแหน่งนี้ไว้เสมอ
ตำแหน่ง เมียหลวงเป็นของเขาแน่ ทุกชาติต้องเป็นเมียหลวง
จุไรก็แปลกใจ จึงถามว่า ท่านปู่เจ้าคะ แล้วท่านปู่มีเมียน้อยไหม
ท่านปู่ก็บอกว่า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ปู่ไม่เคยมีเมียน้อยลูก
จุไรก็ถามว่า ก็ในเมื่อไม่มีเมียน้อย ทำไมท่านย่าถึงต้องเป็นเมียหลวงด้วยล่ะ
ท่านปู่ก็บอกว่า ที่ปู่บอกว่าไม่เคยมีเมียน้อย ก็เพราะปู่ไม่เคยมีเมียคนเดียว แต่ละชาติ ๆ อย่างน้อยที่สุด ปู่ก็มี ๔ คน
บางชาติ เผลอ ๆ ลืมไป ลืมนับ ปู่ก็มีตั้งหลายสิบ บางชาติปู่มีเมียเกินร้อยคน จุไรก็ชำเลืองไปหาท่านย่า ท่านย่าก็ยิ้ม
แล้วจุไรก็ถามว่า แล้วท่านย่าไม่หึงหรือเจ้าคะ
ท่านปู่ก็เลยบอกว่า เขาหึงหรือไม่หึง ปู่ก็ไม่มีเวลาดู เพราะปู่มีหน้าที่ต้องควบคุมภรรยา ให้อยู่ในกรอบ
และขอบของการปฏิบัติงาน ภรรยาทุกคน ต่างคนต่างมีงานประจำ ฉะนั้น เธอก็ไม่มีเวลาจะหึงกัน ถ้าเขาจะทะเลาะกันบ้าง เขาจะด่ากันบ้าง เขาจะขัดคอกันบ้าง
ก็ไม่ถึงปู่ เพราะปู่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ ไปอยู่คนนั้นนิด ไปหาคนนี้หน่อย แต่ละวัน ๆ ต้องเฉลี่ยความรักกัน ทุกวัน ให้ทั่วถึงกัน
จุไรก็สงสัยคำว่า เฉลี่ยความรัก หมายถึงอย่างไรเจ้าคะ
ปู่ก็บอกว่า ต้องไปเยี่ยมทุกคนเป็นประจำ เวลาไหนไป เยี่ยมคนไหน วันไหนไปเยี่ยมคนไหน คณะไหนต้องไปตามนั้น ไม่ขาด
จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านปู่ไม่มีการป่วยไข้ไม่สบายหรือ
ท่านบอก ถ้าเวลาไหนป่วยไข้ไม่สบาย ก็แจ้งให้เขาทราบว่า เวลานี้ป่วย ต้องหยุดภารกิจชั่วคราว ก็เป็นอันว่า จุไรก็หมดสงสัย
ถ้าขืนสงสัยไปจะมาก ก็เลยถามท่านปู่ท่าน
บอกว่า บุญกรรมอะไร ที่ทำให้ปู่มีบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ความจริง พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี้รู้สึกว่าสวยสดงดงาม
เป็นกรณีพิเศษ ดูสภาพเหมือนว่าเป็นแท่นหิน
แต่ก็เป็นหินที่แปลกแพรวพราวเหมือนเพชร แล้วก็นุ่มนิ่มเหมือนกับที่นอน นั่งก็สบาย ใหญ่ก็ใหญ่ นั่งสบาย
ท่านปู่ท่านฟังแล้วก็ยิ้ม ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี่
ความจริงปู่ไม่ได้สร้างเองในฐานะที่ปู่เป็นพระอินทร์
ปู่ก็มาอาศัยที่นี้ เพราะเป็นตำแหน่งที่อยู่ของพระอินทร์ แต่ความจริง ท่านที่สร้างอานิสงส์ได้บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ คือ ท่านมฆมาณพ ท่านมฆมาณพนี่
ท่านเป็นพระอินทร์ก่อนปู่หลายสมัย เวลานั้นปรากฏว่า ท่านเป็นคนมีใจบุญปฏิบัติ วัตตบท ๗ ประการ มีการปฏิบัติบิดามารดาให้มีความสุข มีความกตัญญูรู้คุณ
อันนี้หลานรักจำไว้นะจ๊ะ
คนที่มีความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดานี่ท่านแนะนำอะไร ปฏิบัติตามท่านสอน ท่านห้ามอย่างไหน เว้นและปฏิบัติให้ ท่านมีความสุข
เทวดาที่มีบุญเฉพาะมีความกตัญญูอย่างเดียวมาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก และบนสวรรค์อีก ๕ ชั้น เยอะแยะ มากมายเหลือเกิน
เขามีความดีอย่างเดียว เฉพาะความกตัญญูรู้คุณ รู้จักเอาใจพ่อเอาใจแม่
เลี้ยงพ่อ เลี้ยงแม่ให้มีความสุข นี่ก็ขอหลานรักฟังแล้วปฏิบัติตามนะหลานนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นพระอินทร์
จะไม่ได้เป็นชายาของพระอินทร์แต่ก็เป็นเทวดา เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลกได้ ท่านก็บอกว่า ท่านมฆมาณพท่านสร้างถนน ท่านสร้างถนนหนทางแล้ว
ท่านก็มีความรู้สึกว่า ระหว่างกลางทาง จากต้นทาง ถึงปลายทาง ระยะทางมันไกล หลายกิโลเมตร
คนเดินแล้วก็ต้องเหนื่อย ท่านจึงคิดว่า ถ้ามีที่พักระหว่างทางจะเป็นการดี จึงได้ชวนพรรคพวกเพื่อนอีก ๓๒ คน จัดหาหินมาวาง ๆ วางเข้าให้เรียบร้อย
เรียบจนกระทั่งเป็นที่นอนเล่นได้สบาย ๆ ตั้งใจให้คนเดินทางมา ได้พักผ่อนแรงที่เหน็ดเหนื่อย
อานิสงส์ที่ทำที่พักระหว่างทางให้แก่บรรดาประชาชนที่เดินผ่านไปผ่านมา ปรากฏว่า บุญอันนี้เป็นเหตุให้เกิดบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์
เป็นอานิสงส์ เมื่อท่านตายจากความเป็นคนแล้ว ก็มีบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เป็นที่ประทับของพระอินทร์ต่อ ๆ กันมา แต่ว่าการที่ท่านสร้าง สร้างด้วยหินธรรมดา ๆ
แต่ว่าผลที่ได้มาก็คือ เป็นแก้ว เป็นเพชร แพรวพราวเป็นระยับ ตามที่หลานเห็น
จุไรก็ถามว่า การสร้างบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไม่ต้องลงทุนหรือเจ้าคะ รู้สึกว่าท่านไม่มีการลงทุนเลย
ท่านปู่ก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลานั้นท่านมฆมาณพท่านเป็นชาวป่า ทุนรอนของท่านไม่มีท่านก็ใช้กำลังกายกำลังปัญญา
ช่วยกันทำ ความจริงการบำเพ็ญกุศล ไม่จำเป็นต้องลงทุนเสมอไป ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องใช้ทองเสมอไป ถ้าเรามี เราก็ใช้ ไม่มี เราก็ไม่ใช้ ถ้าเรามีเงิน
มีทองจำกัด เราก็ยังไม่ใช้ ใช้กำลังแรงกาย แรงใจ ช่วยกัน
และอีกอย่างเพื่อน ๆ ของท่าน ๓๒ คน และก็ เอราวัณเทพบุตร และนายช่าง ต่างคนต่างก็มาเกิดเป็นเทวดาเหมือนกันหมด ก็รวมความว่า ท่านปู่ยืนยันว่า
การสร้างที่พักของคนที่ขณะเดินทาง มีอานิสงส์อย่างนี้
แล้วจุไรก็ถามต่อไปว่า ต้นไม้ข้างหลัง ต้นไม้อะไรเจ้าคะ
ท่านปู่ก็บอกว่า เขาเรียกว่า ต้นปาริชาติ หรือ ในเมืองมนุษย์เขาเรียก ไม้แคฝอย คือ เป็นต้นไม้ที่มีร่มเงามาก
จุไรก็ถามท่านปู่บอกว่า ถ้าอย่างนั้นต้นไม้ต้นนี้ ได้มาด้วยอานิสงส์อะไร ทำไมถึงแพรวพราวเป็นเพชรไปหมด ใบก็เป็นเพชร
ดอกก็เป็นเพชร ก้านก็เป็นเพชร กิ่งก็เป็นเพชร ต้นก็เป็นเพชร ทุกอย่างเป็นเพชรหมด
ท่านปู่ก็บอกว่า อานิสงส์นี่ หลานรัก คือ ในสมัยท่านมฆมาณพ ในเมื่อท่านสร้างแท่นหินแล้ว ให้คนพัก ท่านก็มีความรู้สึกว่า
ถ้าคนทั้งหลายมาพักตรงนี้ ถ้ามีร่ม มีเงาพัก มีความเย็น จะมีความสุขมากกว่านี้ จึงช่วยกันปลูกต้นแคฝอยขึ้นข้าง ๆ กับแท่นหิน ฉะนั้น
ต้นไม้ทิพย์ที่เรียกกันว่า ต้นปาริชาติ จึงเกิดขึ้นมา เพราะอานิสงส์ของการปลูกต้นไม้
จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีคนปลูกต้นไม้ หรือต้นไม้ที่มีอยู่แล้วก็เอาม้าหินก็ดี เอาม้าไม้ก็ดี ไปวางให้เขานั่ง
จะมีอานิสงส์เหมือนอย่างนี้ไหม
ท่านปู่ก็ยืนยัน บอกว่า ถ้าเจตนาเป็นอย่างนั้น ตั้งใจให้เป็นทาน ตั้งใจสงเคราะห์ให้คนมีความสุข จะเป็นระหว่างทางเดิน
หรือที่พักธรรมดา ๆ
ในเขตบ้านก็ตาม ถ้าทำแล้วคิดว่า เป็นสาธารณประโยชน์ ใครจะนั่งพักก็ได้ มีอานิสงส์อย่างนี้เหมือกัน คือ ถ้าไปเกิดเป็นเทวดา ไปเกิดเป็นนางฟ้า
หรือเกิดเป็นพรหม หรือเกิดในนิพพานก็จะมีแท่น และก็มีต้นไม้อย่างนี้
จุไรก็ยิ้ม แล้วจุไรก็บอกว่า ที่บ้านหนูมีต้นไม้ มีต้นสะดือใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง แต่ไม่ได้ปลูก เกิดเองอย่างนี้ แล้วก็เป็นร่ม
เป็นเงาดี ถ้าหนูกลับลงไป หนูจะพยายามหาม้าหินมาวางไว้ให้ใครมานั่งก็ได้ อย่างนี้จะได้อานิสงส์อย่างนี้ไหม
ท่านปู่ก็บอกว่า นั่นแหละ เป็นอานิสงส์ใหญ่ไพศาลมาก ถ้าตายจากความเป็นคน จะมาเป็นเทวดาหรือเป็นนางฟ้าก็ตาม จะได้แท่นสวย ๆ
อย่างนี้ จะมีต้นไม้สวย ๆ แบบนี้เป็นร่มเงา
จุไรก็คิดว่า อยากจะบันทึก ล้วงกระเป๋า ไม่มีสมุด
ท่านปู่ก็ถามว่า หนูล้วงอะไร เพราะบนนี้เครื่องแต่งกายของหนูทั้งหมด ไม่มีกระเป๋า
จุไรก็บอกว่า หนูเผลอไป หนูคิดว่ามีกระเป๋า หนูเอาสมุดพกมีไว้ในกระเป๋า เพื่อจดเวลาป้าน้อยบอกอะไร หนูเกรงจะจำหัวข้อไม่ได้
ท่านปู่ก็บอกว่า ไม่เป็นไร เวลานี้กายของหลานเป็นกายทิพย์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทิพย์ การจดจำจะดีมากเป็นกรณีพิเศษ
จะไม่ลืมเลือน หลังจากนั้น จุไรก็มองไปเห็นวิมานของท่านปู่ใหญ่มาก
เธอก็ถามว่า ท่านปู่เจ้าคะ วิมานของท่านปู่นี่ มีกี่ชั้น
ท่านปู่ก็ยิ้มแล้วก็บอกว่า วิมานของปู่มีพันชั้น
เธอก็ถามว่า ในวิมานของท่านปู่ มีนางฟ้ากี่คน
ท่านปู่ก็บอกว่า ในวิมานของปู่มีนางฟ้าที่เป็นบริวารจริง ๆ แสนคน
เธอก็ถามต่อไปว่า นางฟ้าที่เป็นบริวารนี่ ท่านปู่สถาปนาให้เป็นภรรยาบ้างไหม
ย่าฟังแล้วก็หัวเราะ ยิ้มชอบใจ ท่านปู่ก็ยิ้ม แล้วก็ตอบว่า หลานรัก บริวาร ก็ต้องเป็น บริวาร ชายาหรือภรรยาก็ต้องเป็นภรรยา
จุไรก็บอกว่า มนุษย์นี่เขามักจะสถาปนาคนรับใช้ให้เป็นแม่บ้าน แต่ความจริง คนรับใช้ทั้งหลาย
หรือลูกจ้างก็ตามทีก็ไม่สวยอย่างนางฟ้าทั้งหลาย นางฟ้าทั้งหลายนี่ สวยสดงดงามมาก ทำไมท่านปู่ไม่สถาปนา
ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรักเอ๊ยที่เมืองเทวดานี่เขามีระเบียบ จะไปสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนั้นไม่ได้ คนที่เป็นภรรยาก็ต้องเป็นภรรยา
เขาเกิดมาเพื่อความเป็นภรรยา เขาเกิดมาเพื่อเป็นลูก เขาเกิดมาเพื่อการเป็นบริวาร
จุไรก็ถามถึงระเบียบของเทวดา
ท่านก็บอกว่า ถ้าบุคคลใดทำบุญบารมีไว้มากพอสมควร อย่างนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อย่างนี้ ถ้าตายจากความเป็นคน
ก็เกิดมาเป็นเจ้าของวิมาน มีร่างกายเป็นทิพย์ มีบริเวณแวดล้อม แต่ถ้าบุคคลใด ถ้าต้องการจะเกิดเป็นสามีหรือภรรยา ของเจ้าของวิมาน
ก็ไปเกิดบนที่นอนของเจ้าของวิมาน อย่างท่านย่านี่ พอมาเกิดปุ๊บปั๊บ อยู่บนที่นอนเลย
ถ้าเกิดบนที่นอนนี่ก็ถือว่าเป็น ภรรยาของเจ้าของวิมานหรือเป็นสามีของเจ้าของวิมาน
จุไรฟังแล้วก็ยิ้ม จุไรก็ถามต่อไป ถ้าอย่างนั้น มีลูกไหมเจ้าคะ
ท่านปู่ก็ยิ้ม ท่านย่าก็ยิ้ม ก็บอก มี ลูกก็ต้องมี ลูก จุไรก็ถามว่า บนดาวดึงส์นี่ มีโรงพยาบาลไหม มีหมอไหม มีหมอคลอดบุตรไหม เพื่อช่วยการคลอดบุตร
ท่านปู่ ท่านย่าหัวเราะชอบใจ
ท่านก็บอกว่า ที่นี่ไม่มีหมอ ลูก จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น เวลาตั้งครรภ์ จะฝากครรภ์ที่ไหน ท่านก็บอกว่า เทวดา กับนางฟ้าเขาไม่มีครรภ์ คือ
นางฟ้าไม่มีท้องโตเหมือนมนุษย์ จุไรก็ถามต่อไปว่า ถ้าไม่มีท้องโต มีลูกได้อย่างไร แล้วลูกจะออกมาทางไหน ลูกจะอยู่ที่ไหน
ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ปู่จะเล่าให้ฟัง ถ้าบุคคลใดที่จะเกิดเป็นลูกชายก็ตาม ลูกหญิงก็ตาม ของเทวดา
หรือของนางฟ้าองค์ใด เวลาตายจากความเป็นมนุษย์ก็มาเกิดปุ๊บปั๊บ บนตักของเทวดาหรือนางฟ้าองค์นั้น ก็แสดงว่า เทวดา หรือนางฟ้าองค์นั้นมาเป็นบุตรหรือลูกสาว
ลูกชายของเทวดา หรือนางฟ้าที่เป็นเจ้าของวิมาน
จุไรก็บอกว่า โอ๋
หนูแปลกใจ ทำไมถึงไม่มีท้องเหมือนมนุษย์ ทำไมไม่ต้องท้องโต มันเกิดเอง ถ้าอย่างนั้นเด็กเกิดใหม่ ๆ จะต้องมีหมอคอยประคับประคองไหม
จะมีพี่เลี้ยงอุ้มไหม ท่านปู่ก็บอกว่า ที่เมืองเทวดานี่ลูกรัก หลานรัก เขาไม่มีคำว่า เด็ก เกิดมาปุ๊บปั๊บก็เป็นหนุ่มเป็นสาวทันที
ร่างกายก็ไม่เปลี่ยนแปลง หนูก็ดูปู่ซิ ปู่เกิดครั้งหลังนี้ความเป็นพระอินทร์ อายุประมาณ ๒,๕๐๐ ปีเศษ ปู่แก่ไหม
จุไรมองแล้วก็หาความแก่ไม่ได้ รู้สึกว่าหน้าของปู่จะแก่กว่าจุไรนิดหน่อย จะเทียบกับผู้ชายในเมืองมนุษย์ที่อยู่ในร่มเงา ก็เห็นจะเป็นอายุประมาณ ๑๕๑๖
ปี เท่านั้นเอง ท่านย่าก็เหมือนกัน ก็บอกว่าไม่แก่
ท่านปู่ก็เลยบอกว่า ปู่เกิดมาครั้งแรกก็เท่านี้ แล้วต่อไปเบื้องหลังอีกนานเท่าไรก็ตาม ปู่จะไม่มีคำว่า แก่ อายุมากน่ะ
มากได้ แต่แก่ไม่ได้ นางฟ้า เทวดาทุกองค์ก็มีสภาพเหมือนกัน
จุไรฟังแล้วก็ชอบใจ แหม
อยากจะเกิดเป็นนางฟ้า เป็นเทวดา เพราะว่าไม่ต้องกินนมสด ไม่ต้องกินนมกระป๋อง ไม่ต้องคลานต้วมเตี้ยม
ไม่ต้องร้องเมื่อเวลาหิว
ท่านปู่ก็บอกว่า อาการอย่างนั้นไม่มีแก่เทวดา และนางฟ้า จุไรเธอก็ถามต่อไปว่า แล้วนางฟ้าที่เป็นบริวารล่ะ
นางฟ้าที่เป็นบริวารของท่านปู่นี่ตั้งแสนคน เธอมาเกิดได้อย่างไร แล้วมาจากไหน คำว่า บริวาร แปลว่า พวกพ้อง หรือลูกจ้าง หรือว่าคนรับใช้
ท่านปู่ไปรับคนรับใช้มาจากไหนมากมาย
ปู่ก็บอกว่า คำว่า บริวาร มันเป็นอย่างนี้นะ ปู่จะเล่าให้ฟัง ถ้าบุคคลใดตายจากเมืองมนุษย์ไปเกิดในเขตของเทวดาหรือนางฟ้าองค์ใด
เขาผู้นั้นก็ต้องเป็นบริวารของเทวดา หรือนางฟ้าองค์นั้น ถ้าเกิดนอกเขตวิมาน แต่ใกล้วิมานของเทวดา หรือนางฟ้าองค์ไหน ก็เป็นบริวารของเทวดา
หรือนางฟ้าองค์นั้น ถ้าเกิดระหว่างกลาง คือว่า จะวัดวิมานโน้น วิมานนี้ ก็เท่ากันหมด
แต่ดูว่าถ้าหันหน้าไปทางวิมานไหน ก็ต้องเป็นบริวารของเทวดา หรือนางฟ้าวิมานนั้น ทีนี้คำว่า บริวาร นี่ไม่ได้หมายความว่า ลูกจ้างหรือขี้ข้าเสมอไป
บริวาร หมายความถึง พวกพ้องคนที่อยู่ร่วมกัน คนที่อยู่ใกล้เคียงกัน หรือเป็นพวกเพื่อนกัน แม้แต่อยู่คนละวิมาน ก็เป็นเพื่อนกันได้
จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี มีบริวารมาก ๆ อยากจะทราบว่า บริวารทุกคนน่ะ มีงานอะไรจะทำ
ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรัก งานของเทวดาไม่มีเลย งานจริง ๆ ไม่มี อย่างต้นไม้นี่ก็ไม่ต้องรดน้ำ บริเวณสถานที่ทั้งหมด
แพรวพราวเป็นระยับ ก็ไม่มีผง ไม่มีละออง
ไม่ต้องกวาด รวมความว่า งานของเทวดา งานของนางฟ้าจริง ๆ ไม่มี
จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้างานไม่มี พวกนั้นไม่รำคาญตายหรือเจ้าคะ ท่านก็บอกว่า ไม่รำคาญ เป็นภาวะของเทวดา หรือภาวะของนางฟ้า ทุกคนมีความสุข
ทุกคนไม่มีกังวล
จุไรก็ถามต่อไปว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ในเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วอย่างนี้
ถ้ามีญาติหรือมีพวก มีพ้อง ที่ยังไม่ตายจากความเป็นคน เขาจะมีความรู้สึกนึกคิดถึงบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นบ้างไหม
ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรัก ทุกคนมีสภาพเหมือนกัน ถ้าเขามีความสุข เขาก็ห่วงคนที่ยังมีความทุกข์ คือ
คนที่เกิดเป็นมนุษย์ทุกคน มีความทุกข์ทั้งหมด ไม่มีใครที่มีความสุขจริง
คือ ทุกข์จากความหนาว ทุกข์จากความร้อน ทุกข์จากหิว ทุกข์จากความกระหาย ทุกข์จากความป่วยไข้ไม่สบาย ทุกข์จากความแก่
ทุกข์จากความปรารถนาไม่สมหวัง ทุกคนมีทุกข์หมด แต่เทวดาทั้งหมดที่เกิดมาแล้ว ก็มีความเป็นห่วง อยากจะช่วยให้คนทั้งหลายมีความสุข ตามกำลังของตน
เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ปู่กับหลานคุยกันไม่ทันจะจบหมดเวลาพอดี ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล
จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน
สวัสดี
ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 31/8/11 at 15:33
5
อานิสงส์ฉลองพัดยศ
ต่อนี้ไป ขอท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน อ่าน หรือฟัง เรื่องของจุไรต่อไป ในเมื่อจุไรกำลังนั่งคุยกับท่านปู่ ท่านย่า
แต่ความจริงที่แล้วมาเป็นเรื่องของเด็กทั้งหมด กับผู้ใหญ่ทั้งหมด ใหญ่ที่สุด กับเล็กที่สุด คือ พระอินทร์ ท่านใหญ่ที่สุดบนสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น แต่
จุไรก็เล็กที่สุดในระหว่างคนที่ไป ขอคุยกันต่อไป
นั่นก็หมายความว่า หลังจากที่จุไร ถามเรื่องราวที่ผ่านมาพอสมควร เธอก็นึกถึงเรื่องอื่นขึ้นมาได้สักเรื่องหนึ่ง นั่นคือว่าเมื่อ วันที่ ๕ ธันวาคม
๒๕๓๒ มีการเลื่อนสมณศักดิ์ของ พระสุธรรมยานเถระ ขึ้นเป็น พระราชพรหมยาน หลังจากนั้น เมื่อออกจากวังแล้ว สมเด็จฯ วัดสามพระยา คือ
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ซึ่งมีความกรุณาให้เข้าไปทำพิธีรับที่วัดสามพระยา
แล้วมีพระราชาคณะผู้ใหญ่ สวดชยันโต มี พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ วัดสระเกศ เป็นต้น และก็หลังจากนั้นมา วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๒
ดร.ปริญญา นุตาลัย ได้เป็นหัวหน้าจัดการฉลอง พระราชพรหมยาน ที่วัดท่าซุง ก็เป็นอันว่า งานทั้ง ๒ งานนี้เป็น การฉลองสมณศักดิ์ คือ ถ้าพูดภาษาไทย ๆ
ก็คือว่า ฉลองเจ้าคุณ
จุไรก็มีความสงสัยว่า การตั้งเจ้าคุณก็ดี หรือตั้งพระครูก็ดี มีการฉลองกัน การฉลองจะมีอานิสงส์ไหม จุไรจึงได้ถามท่านปู่บอกว่า ท่านปู่เจ้าคะ
ระหว่างเดือนธันวาคม วันนี้ก็ปรากฏว่าเป็นวันที่ ๑๘ ที่คุยกับท่านปู่นี่ เป็น วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๒ แต่ว่า เมื่อย้อนหลังขึ้นไปเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๒
หลวงปู่ที่วัดท่าซุงได้รับเลื่อนสมณศักดิ์
จากพระราชาคณะชั้นสามัญขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชพรหมยาน ก็อยากจะทราบว่า ความดีอันนี้ที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
วัดสามพระยา ซึ่งมีความเมตตาหลวงปู่มาก หลวงปู่ก็เคยปรารภกับทุกคนว่า มีความเคารพในสมเด็จฯวัดสามพระยา คล้าย ๆ กับพ่อ คือ ท่านมีความเมตตาคล้าย
พ่อกับลูก และอย่าง พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ ก็มีความเมตตาสูงสุด
และพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จฯ อีกหลายองค์ ชั้นธรรมก็เยอะ พระราชาคณะทุกองค์ ส่วนใหญ่ มีความเมตตาปรานีในหลวงปู่มาก ถ้าจะลำดับชื่อ
ก็เกรงว่าจะเสียเวลามาก ทุกท่านมีพระคุณยิ่งใหญ่ ฉะนั้น เวลาที่ประชุม มหาเถรสมาคม เมื่อตามข่าวเขาบอกว่า สมเด็จฯ วัดสามพระยา คือ
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านปรารภถึงหลวงปู่วัดท่าซุงว่า เวลานี้มีอายุมากแล้ว
ความจริง หลวงปู่ที่วัดท่าซุงมีอายุเกือบ ๘๐ ปีแล้ว อายุใกล้ ๘๐ ปีเข้าไปเต็มที แก่มาก วัดวาอารามก็สร้างยังไม่เสร็จ สร้างใหญ่โต ท่านถามว่า
วัดท่าซุงนี่ถ้าบังเอิญตายไปเวลานี้ ตามข่าว ใครจะดูแลวัดบ้าง ทุกองค์ต่างเป็นพระผู้ใหญ่ ท่านมีที่อยู่สบายแล้ว มีสำนักงานของท่าน พระผู้ใหญ่จริง ๆ
ที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมควรจะอยู่ในกรุงเทพฯ การที่จะมาอยู่ที่วัดท่าซุง มันไกลแสนไกล
ท่านทุกองค์ก็นิ่ง เมื่อทุกองค์นิ่ง ทางวัดสระเกศก็บอกว่า ถ้าไม่มีใครไป ก็เลื่อนขึ้นไปเสียเลยก็แล้วกันครับ
เลื่อนขึ้นไปเป็นชั้นราช ในเมื่อเป็นชั้นราชแล้ว ก็จะมีอำนาจตั้งพระครูฐานานุกรมได้ ๔ องค์ จะได้จัดการกันภายในว่า ถ้าหากเวลาท่านตายไปแล้ว
ใครจะเป็นเจ้าอาวาส ใครจะเป็นรองเจ้าอาวาส ใครจะมีหน้าที่อะไร เขาจะได้วางกันไว้ในฐานะที่ พระครูฐานานุกรม
ก็เป็นอันว่า ทุกองค์เงียบ เมื่อเงียบก็ถือว่า มติไม่มีใครค้าน ก็ถือว่า เป็นการเห็นชอบ ตามข่าวเขาบอกว่า สมเด็จฯวัดสามพระยาท่านก็บอกว่า
ถ้าอย่างนั้น ก็ให้ชื่อเสียเลย ก็เป็นการให้ชื่อกันในที่สุดเมื่อรับพัดออกมาแล้ว ก็ปรากฏว่า สมเด็จฯ วัดสามพระยา ท่านรับเป็นภาระเมตตามาก
ส่งข่าวบอกว่า ออกจากวังแล้ว ให้เข้าวัดสามพระยา แล้วก็นิมนต์พระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่
มีสมเด็จฯ หนู จะเรียกว่า สมเด็จฯ วัดสระเกศนะ เผลอไป ก็เลยคิดว่าไหน ๆ ก็พลั้งไปแล้ว เวลานี้ยังไม่ได้เป็นสมเด็จฯ เป็นพระราชาคณะรองสมเด็จฯ
มีนามว่า พรหมคุณาภรณ์ แต่มีความเข้าใจคิดว่า ท่านก็มีอายุมากแล้ว ความดีของท่านก็สูง ก็อาจจะเป็นสมเด็จฯ ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ก็ได้ ธันวาคม
อันนี้หนูเดาเองนะ
ก็รวมความว่า ที่วัดสามพระยา เมื่อหลวงปู่เข้าไป ก็ปรากฏว่ามีคนมาก สมเด็จฯ วัดสามพระยาท่านก็จัดภาระทุกอย่าง เอาเก้าอี้ตั้งไว้ ๑,๐๐๐ ตัว แต่ปรากฏว่า
เสริมแล้วอีก ๘๐๐ ตัวไม่พอ แล้วก็เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวผัดไทย หมื่นบาท ไม่ทราบว่าเท่าไร กี่ถุง ปรากฏว่า ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ไม่เกิน ๔ โมงเย็น หมด
แต่คนทุกคนต้องรอกันอยู่ ๒ ทุ่มเศษ ๒๐ นาฬิกาเศษ คนแน่นขนัดมาก ล้นวัด
ทีนี้พอหลวงปู่วัดท่าซุงรับพัดแล้ว เข้าไป สมเด็จฯ ท่านเข้าไปถึงก่อน พอเข้าไปแล้วก็ไปนั่งที่ที่สมเด็จฯ ท่านจัดไว้ให้ ท่านมีความเมตตา
จัดทุกอย่าง ทำทุกอย่างไว้ให้เพียบพร้อมหมด หลวงปู่ไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วก็มีบรรดาประชาชนทั้งหลายเข้าไปแสดงมุทุตาจิต คนล้นวัด เบียดเสียดกันมาก
ต้องจัดแนวการเดิน
คนที่แสดงมุทุตาจิตไม่มีเวลาพูดอะไรเลย พูดกันไม่ได้ ต้องเดินเข้าไป และมุทุตาจิตที่ให้ ก็คือของบ้าง ส่วนมาก เป็นเงิน
คนละ ๑๐ บาทบ้าง ๒๐ บาทบ้าง ๑๐๐ บาท ๕๐๐ บ้าง บางคนก็ถึง ๑,๐๐๐ บางคนก็ถึง ๒,๐๐๐ ทำบุญกันยาวเหยียด ประมาณเกือบ ๒ ชั่วโมงจึงหมดคน
รวบรวมเฉพาะธนบัตรในวันนั้น ถ้าหนูจำไม่ผิด ก็เป็นจำนวนเงินถึง ๒๒๑,๖๐๐ บาท ถ้าจำไม่ผิด ถ้าจำผิดก็ขอประทานอภัย
เฉพาะธนบัตร แต่เงินเหรียญต่างหาก หนูอยากจะทราบว่า คนที่ทำบุญในงานฉลองสมณศักดิ์หลวงปู่ หรือทำบุญในงานฉลองสมณศักดิ์ของท่านผู้ใดก็ตาม
งานประเภทเดียวกัน การทำบุญฉลองสมณศักดิ์แบบนี้ คนที่ทำบุญจะได้บุญอะไรบ้าง จะมีโอกาสมาเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าไหม เพราะสมณศักดิ์ ก็ถือว่าเป็น ยศ
ประเภทหนึ่ง อาจเป็นเรื่องของโลกียวิสัยประกอบอยู่ด้วย แต่เป็นการส่งเสริมพระให้มีกำลังใจ
ท่านปู่ฟังแล้วก็ยิ้มว่า หลานรัก ปู่จะคุยให้ฟัง อย่าถือว่าเป็นการสอน อย่าถือว่าเป็นการเล่าบรรยาย ถือว่าเป็นการคุยกัน การคุยกันนี่มีประโยชน์
การฉลองสมณศักดิ์ที่วัดสามพระยา คนทำบุญกันจริง ๆ เกินหมื่นคน คนทำบุญมากบ้าง ทำบุญน้อยบ้าง เขาแสดงมุทุตาจิต มุทุตา คือ มีจิตอ่อนโยน ยินดีด้วย
แต่ทว่าความจริงแล้ว ไม่มีโอกาสพูดกัน
เดินยัดเยียด เบียดเสียดด้วยความยากลำบาก ถ้าจะดูภาพจะรู้สึกว่า น่าหนักใจ ปู่ก็มองเห็น แต่หลานอย่าลืมว่า เงินทั้งหมด ที่หลวงปู่วัดท่าซุงรับแล้ว
ก็ไปถวายสมเด็จฯ วัดสามพระยา คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ทั้งหมด เพราะนิสัยของหลวงปู่เป็นอย่างนั้น ทำมาตั้งแต่ต้น ดึกดำบรรพ์ หลายชาติมาแล้ว ถ้าลาภเกิดขึ้นที่ไหน ลาภอันนั้นต้องอยู่ที่นั่น
แต่ว่าท่านต้องพิจารณาก่อนว่า ควรหรือไม่ควร ถ้าสถานที่ใดไม่ควร ท่านก็ไม่ให้ เอากลับวัดท่านเหมือนกัน ถ้าสถานที่ใดสมควร
ท่านก็ให้ ทีนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ท่านเป็นพระที่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องมาก ทางด้านจิตใจ
อย่างนี้ทางเมืองเทวดา ทางเมืองพรหม เขาก็รู้กันหมด แต่ว่าความจริงแล้วท่านพยายามปกปิด
ท่านปกปิดความจริงเกือบทุกอย่างด้านจิตใจของท่าน เพราะท่านทราบดีว่า คนที่ยังไม่ยอมรับอารมณ์ทางใจ ยังมีอยู่มาก
ในเมื่อคนที่ยังไม่ยอมรับอารมณ์ทางใจยังมีมาก ถ้าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ สร้างแต่ความเดือดร้อน ท่านก็เฉย
แต่ว่าหลวงปู่ของหนูที่วัดท่าซุง ท่านรู้เรื่องกัน รู้เรื่องกันมาก เรื่องนี้ รู้เรื่องกันดี ต่างคนต่างรู้เรื่องกัน ก็เป็นอันว่า
เมื่อทำบุญกับหลวงปู่วัดท่าซุง อานิสงส์อันหนึ่งก็ได้แล้ว คือ ปาฏิบุคคลิกทาน ทานส่วนบุคคล อันนี้ได้แน่นอน ได้ไป ๑ จุด ต่อหลวงปู่ก็ถวายสมเด็จฯ
วัดสามพระยา แต่การถวายนี้ไม่ได้ถวายเป็นส่วนบุคคล ถวายเพื่อร่วมสร้างโรงเรียน
แล้วโรงเรียนที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยาท่านสร้าง เป็นโรงเรียนสาธารณประโยชน์จริง ๆ สงเคราะห์จริง ๆ พระ เณร
เรียนได้โดยไม่ต้องเสียเงิน เสียทอง และฆราวาสก็เรียนได้ ไม่ต้องเสียเงิน เสียทอง ฟรีหมดทุกอย่าง อุปกรณ์การศึกษาก็ให้ แต่ก็ปู่ไม่แน่ใจว่า
ท่านจะให้อาหารหรือเปล่า ไม่ได้ถามท่าน จุไรก็ยิ้ม ยกมือไหว้ แล้วก็กราบว่า
ถ้าอย่างนั้น ปู่ใช้อารมณ์เป็นทิพย์ได้ไหม อยากจะรู้ว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ท่านจะเลี้ยงอาหารด้วยหรือเปล่า
ท่านปู่ก็ยิ้มบอกว่า สำหรับสมเด็จฯ องค์นี้นะ ถ้ามีเท่าไรนะหมด ไม่มีเก็บเป็นส่วนตัว ปู่ก็มองดูตลอดเวลาแล้ว ปัญจสิกขเทพบุตร เขาก็จด ท่านสวดมนต์เย็น
สวดมนต์เช้า ท่านเทศน์มา ใครถวายท่านก็เก็บ ๆ ๆ เก็บเงิน เก็บทอง คิดว่าจะสะสม แต่เปล่า เอาไว้ทำการก่อสร้าง
แล้วปกติไม่ค่อยจะเอ่ยปากเรี่ยไรใคร เป็นอันว่า ใครรู้ ใครก็ช่วย ถ้าไม่รู้ ท่านก็เก็บเงินของท่านที่เขาให้ไว้ เป็นอันว่า
ทรัพย์สินส่วนตัวจริง ๆ โดยเฉพาะของท่าน ท่านไม่เก็บไว้เพื่อส่วนตัวเลย ท่านทำเพื่อสาธารณประโยชน์ทั้งหมด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เงินที่ท่านมีอำนาจจะพึงเบิกได้จากกระทรวงศึกษาธิการ ท่านก็ไม่ค่อยจะเบิก
ท่านถือว่า นั่นเป็นเงินส่วนกลาง จะเบิกเมื่อไรก็ได้ ตามสิทธิที่มีอยู่ แต่ยังไม่เบิกก่อน ถ้าไม่จำเป็น ไม่เบิก
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังใจของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นกำลังใจที่ใสสะอาดมาก ต้องคิดว่ามากถึงที่สุด แจ่มใสถึงที่สุด แต่คำว่า
ถึงที่สุดนี้ ปู่จะไม่บอกว่า ขั้นไหน แต่ว่าเป็นกำลังใจที่เทวดา ที่นางฟ้า ที่พรหม หรือพระอริยเจ้าพอใจก็แล้วกัน
ในเมื่อท่านมีกำลังใจสะอาดมากอย่างนั้น หลวงปู่เอาเงินทั้งหมดที่ลูกหลานให้ไป ไปถวายกับท่านที่มีจิตสะอาดมาก อานิสงส์ได้อีกชั้นหนึ่ง
เพราะความสะอาดของจิตของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ นอกจากนั้น เอาไปสร้างโรงเรียน โรงเรียนนี่เป็น ปัญญาบารมี และเป็นอาคารด้วย การให้อาคารโรงเรียน
เป็น วิหารทาน เป็นเหตุให้ได้วิมาน โรงเรียนเป็นปัจจัยให้คนเกิดความรู้
นั่นเป็นการเกิดปัญญา และบรรดาทุกคนบริจาคทรัพย์สมบัติของส่วนตัวบริจาคเข้าไป เป็น ทานบารมี ฉะนั้น ทั้งหมดนี้อานิสงส์ที่จะพึงได้ของทุกคน
ทุกคนต้องมาเกิดเป็นเทวดา ต้องมาเกิดเป็นนางฟ้า ถ้าเขามีบารมีไม่เกินกว่านั้น ถ้ามีบารมีเกินเทวดา เกินนางฟ้า ก็ไปเป็นพรหม ถ้ามีบารมีเกินพรหม
ก็ไปนิพพาน
จุไรก็ถามว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเจ้าคะ หนูอยากจะทราบว่า สมมุติว่าเขาจะมาเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เขาจะเป็นบริวาร
หรือเป็นเจ้าของวิมานเพราะว่า โรงเรียนหลังไม่โตนัก จะโตขนาดไหนก็ตาม คนตั้งหมื่นคนนี่ ถ้าจะมีวิมานหลังเดียวยัดเยียดกันอยู่ไม่ไหวแน่
ท่านปู่ท่านก็ยิ้ม
ท่านก็บอกว่า ท่านมฆมาณพ สร้างศาลาสาธารณะหลังเดียว เพื่อน ๓๓ คน กับนายช่าง กับช้าง ต่างคนต่างมี วิมานคนละหลัง
ภรรยาที่ร่วมบุญบารมีด้วย ก็มีวิมานคนละหลัง ฉะนั้น คนสักกี่หมื่นคนก็ตาม ที่เขาทำบุญในวันนั้น ถ้าเขาตายจากความเป็นคนขึ้นมา
เขาไม่มีสิทธิ์ไปเป็นบริวารใครเลย ทุกคนจะมีวิมานเป็นที่อยู่ของตัวเองหมด เป็นเจ้าของวิมาน แต่ทุกคนก็จะมีบริวารรับใช้
จุไรก็ถามว่า บริวารจะมาจากไหน ท่านปู่ก็บอกว่า บริวารก็มาจากคนที่ทำบุญเล็กน้อย ไม่มาก แต่ไม่เคยร่วมในการสร้างวิหารทาน
หรือว่าไม่เคย ถวายสังฆทาน ไม่เคยบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเคยเคารพพระพุทธเจ้าก็ดี เคารพพระธรรมก็ดี
เคารพพระอริยสงฆ์ก็ดี อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเคยถวายสังฆทานก็ดี
ท่านประเภทนี้ ตายจากความเป็นคน มามีทิพยสมบัติ และมีวิมานของตัวเอง แต่คนบางคนที่มีบุญบารมีเล็กน้อย ไม่เคยทำอย่างนี้ ไม่เคยเคารพอย่างนี้
ตายมาแล้วมาเป็นเทวดาบ้าง มาเป็นนางฟ้า ก็ต้องเป็นบริวารเขา แต่บริวารก็มีความสุข
เธอก็ถามต่อไปว่า ท่านปู่เจ้าคะ แล้วการที่ ดร.ปริญญา นุตาลัย ลูกศิษย์คนสำคัญของหลวงปู่วัดท่าซุง อีกคนหนึ่ง
เมื่อทางวัดสามพระยากระทำแล้ว ก็ประกาศที่บ้านซอยสายลมว่า วันที่ ๑๓ หลวงพ่อกลับไปวัดท่าซุง จะทำการต้อนรับ และฉลอง ดร.ปริญญา นุตาลัย ซื้อผ้าแจกบ้าง
ซื้อเสื้อแจกบ้าง กับ ปาน ชาลินี เนียมสกุล ช่วยกันลงทุนมาก
ปานนี่อุตส่าห์ถึงวัดท่าซุงแล้ว อุตส่าห์ถวายเงินหลวงปู่แสนบาท เป็นเช็ค แต่คงคิดว่าจะเซ็นต์ หมื่นบาท แต่เผลอ เติมไปอีกศูนย์ หลวงปู่เลยไม่คืนเลย
แต่เธอบอกว่า เธอเต็มใจ เพราะว่าบัญชีเล่มนั้นมีเงินอยู่ ๑๑๐,๐๐๐ บาท เธอเซ็นต์ให้หลวงปู่ไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท ยังเหลืออีก ๑๐,๐๐๐ บาท นี่ทำบุญอย่างหนัก
แล้วก็หลาย ๆ คนร่วมกันทำบุญบ้าง ออกแรงบ้าง เย็บผ้าตัดเสื้อกันบ้าง ล่อกันนุงหมด ทุกคนทำกันหนัก ทุกคนอย่าง ดร.ปริญญา นุตาลัย นี่
เขาเป็นหัวหน้าอาศัยบุญบารมีอย่างนี้ ถ้าตายจากความเป็นคน จะเป็นอย่างไร จะมีอานิสงส์ขนาดไหน ท่านปู่ก็บอกว่า เขาเป็นหัวหน้าในการประกอบทานครั้งนั้น
เวลามาเป็นเทวดา ก็เหมือนปู่นี่แหละ เป็นหัวหน้าเทวดาแบบนี้ เขาต้องเป็นหัวหน้าทีม
เธอก็ถามต่อไปว่า เวลาวันนั้น คนทำบุญก็เยอะเหมือนกัน ท่านปู่ก็รีบตัด คนทำบุญเยอะ ปู่ก็ขอบอกว่า อานิสงส์เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้ว
จุไรก็ถามว่า วันนั้นก็มีเด็ก ๆ นักเรียนช่วยกันมาก ท่านบอกเด็กนักเรียนทุกคนไม่มีสตางค์ทำบุญ แต่บางคนก็มี ที่ไม่มีสตางค์ทำบุญ แต่อย่าลืมว่า
เขาร่วมงาน เป็น ไวยาวัจกร ร่วมในงานบุญ งานกุศลแล้วการแห่ก็ดี
การรำก็ดี ร้องรำทำเพลงก็ตาม บรรเลงปี่พาทย์ บรรเลงมโหรี มโหรีไม่มี ก็บรรเลงแตรวงบ้าง รำถวายบ้าง ช่วยงานทุกอย่างบ้าง ผัดข้าวผัดเค็มเกินไปบ้าง
อย่างแม่เจ้าหมวยนี่ วันนั้นมันเห็นอาจารย์มันนุ่งผ้าผืนที่ ดร.ปริญญาแจก มันดูอาจารย์มัน แปลกใจจนกระทั่ง เผลอใส่น้ำปลามากเกินไป ข้าวผัดเค็ม
ท่านบอกว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนี้ อานิสงส์เขาก็มี ตามกฎ นั่นคือ ทุกคนมีสิทธิ์มาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า เป็นเจ้าของวิมานหมด
จุไรก็ถามว่า นักเรียนไม่ได้ทำบุญในด้านวิหารทาน ท่านปู่ก็บอกว่า การที่เขาโมทนาแสดงความยินดี
กับการได้รับความดีจากที่ท่านปู่วัดท่าซุงได้รับแล้วเงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่คนทำ ท่านปู่วัดท่าซุงก็นำไปสร้างหมดเหมือนกัน พวกนี้ก็ยินดีในการก่อสร้าง คือ
ยินดีในการทำบุญของเขา ในเมื่อยินดีแบบนี้ทุกอย่างได้หมด ที่เรียกว่า ไวยาวัจกร พวก ไวยาวัจกรนี้มีอานิสงส์มาก
ท่านปู่บอกว่า อานิสงส์ของไวยาวัจกรมีอย่างนี้ ปู่จะเล่าให้ฟัง ท่านที่บวชเณร และปฏิบัติตน บริสุทธิ์ผุดผ่อง
และก็ตายจากความเป็นคน ตายจากความเป็นเณร มาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก จะมีวิมานเป็นที่อยู่ มีนางฟ้าเป็นบริวาร ๑๐,๐๐๐ คน ที่มีอานิสงส์รองจากนั้น
ก็คือ พวกไวยาวัจกร ช่วยเหลือการงาน งานทุกอย่างที่เป็นบุญ เป็นกุศลอะไรก็ตาม
ถ้าไม่เกินวิสัยของตัวจะพึงทำได้ ก็ทำทุกอย่าง ช่วยเหลือทุกอย่างตามกำลังด้วยศรัทธา ท่านผู้นี้ตายจากความเป็นคนแล้ว มาเกิดเป็นเทวดาก็ดี
เกิดเป็นนางฟ้าก็ดี จะมีบริวาร ๘,๐๐๐ คน รองจากสามเณร ฉะนั้น คนทุกคนที่มาในงาน และช่วยงานมาในงานด้วย แต่บังเอิญ สมมติว่า ไม่มีสตางค์จะทำบุญ
ไม่มีของจะมาให้ในงาน แต่ว่าช่วยงานด้วยกำลังแรงงาน
ไม่เฉพาะนักเรียนคนอื่นก็หลายคน อย่างนี้เรียกว่า ไวยาวัจกร ขวนขวายในความดี คือ ในบุญกุศล ถึงแม้ว่าการฉลองสมณศักดิ์
จะเป็นเรื่องประกอบด้วยโลกธรรมร่วมกัน คำว่า โลก หมายความว่า การแต่งตั้ง เป็น โลก แต่การส่งเสริมพระที่ทำความดี เป็นธรรม
และสร้างกำลังใจของบรรดาลูกหลานลูกศิษย์ลูกหา ให้มีความสุข มีกำลังใจเกิดขึ้น เต็มใจในการบำเพ็ญความดีมากขึ้น
อย่างนี้เป็น ธรรมะ ในเมื่อของทั้ง ๒ อย่างนี้ เป็นโลกธรรม คือ โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย โลกไม่ช้ำ หมายความว่า ความดีทำขึ้นมาโลกสนับสนุน
แต่งตั้งเป็นอย่างนั้น แต่งตั้งเป็นอย่างนี้ ธรรมไม่เสีย หมายความว่า ท่านผู้นั้นรับการแต่งตั้งแล้ว ก็ไม่เมาในยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่เมาในสมณศักดิ์ที่ตนได้
เคยปฏิบัติตนแบบไหน ก็ทำแบบนั้น หรือว่าทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น
อย่างนี้เรียกว่า โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย ในเมื่อโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย ก็เป็นบุญ บุญทั้งหมดที่ทุกคนทำแล้ว ก็ได้เหมือนตามที่กล่าวมาแล้ว คือ
ประการที่ ๑ ตายจากความเป็นคน จะเกิดเป็นเทวดา จะเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้เลย
ประการที่ ๒. ทุกคนจะต้องมีวิมานเป็นที่อยู่ แล้วก็
ประการที่ ๓. ทุกคนจะมีบริวาร ตามกำลังที่กล่าวมาแล้ว
จุไรก็ถามว่า วิมานที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็ดี สวรรค์ทุกชั้นก็ดี วิมานอันดับไหน ชื่อว่าเป็นวิมานอันดับต่ำที่สุด
แล้ววิมานอันดับไหนเป็นวิมานที่สูงที่สุด
ท่านปู่ก็บอกว่า ถ้าดาวดึงส์ขึ้นไปนะ จากดาวดึงส์ขึ้นไป วิมานที่ต่ำที่สุด คือ วิมานทองคำ วิมานที่สูงที่สุด คือ วิมานแก้ว ๙
ประการ
จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ทุกคนที่เขาทำบุญในงานฉลองหลวงปู่ เขาจะได้วิมานแบบไหน จะได้วิมานทองคำไหม
ปู่ฟังแล้วก็ยิ้ม ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรัก บุญของเขาเกินกำลังอย่างนั้นนะ เพราะเงินของเขาทุกบาท ทุกสตางค์ เป็นสังฆทานด้วย
เป็นวิหารทานด้วย เป็นธรรมทานด้วย เป็นหลายทาน ที่เรียกว่า เป็นสังฆทาน เพราะว่าหลวงปู่เอาไปเลี้ยงพระ เป็นอาหารเลี้ยงพระบ้าง
ช่วยกระแสไฟฟ้าแสงสว่างบ้าง เสียค่าแสงสว่าง ค่าน้ำมัน อย่างนี้เป็นสังฆทาน
แล้วก็น้อมไปในการก่อสร้าง ก็เป็น วิหารทานส่วนใดของธรรมะที่บกพร่อง อย่าง เทปที่ทางวัดท่าซุงจัดขาย เมื่อคิดสรุปจริง ๆ แล้วมันขาดทุน
ในเมื่อมันขาดทุน หรือว่าพอดีกับทุน จะต้องซ่อมแซม แล้วเอาเงินจำนวนนี้เข้าไปซ่อม เป็น ธรรมทาน คือว่า ทานทั้ง ๓ อย่างนี้ทั้งหมด จะมีวิมานทองคำไม่ได้
ต้องวิมานอย่างต่ำที่สุดแก้ว ๓ ประการ แก้ว ๗ ประการ หรือแก้ว ๙ ประการ
แต่ส่วนใหญ่ของคณะที่ช่วยในงาน เป็นนักปฏิบัติมีมาก ที่มีจิตประกอบไปด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเจริญสมาธิวิปัสสนาญาณ มีความรู้จริง
ตามความเป็นจริง แต่ยังละกิเลสไม่หมด ก็ไม่เป็นไร บางขณะรู้จริง บางขณะก็รู้ไม่ค่อยจริง ก็ไม่เป็นไร เวลารู้จริงมัน มีอยู่
เขาถืออานิสงส์ในการรู้จริง ในเมื่อความรู้จริงมีอยู่อย่างนั้น จิตก็ผ่องใส ตายแล้วย่อมมีอานิสงส์
ท่านประเภทนี้ ถ้าเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก อย่างต่ำต้องมีวิมานแก้ว ๗ ประการ หรือแก้ว ๙ ประการ เป็นอย่างสูงสุด แต่จริง ๆ แล้ว
คนคณะที่เขาไปร่วมในการฉลอง คนที่เกิดสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีเยอะ แต่ก็ไม่ใช่มากที่สุด คนที่เกิดในพรหมก็มีเยอะ แต่ไม่ใช่มากที่สุด
ส่วนใหญ่เขาจะแบ่งไปนิพพานกัน เพราะคนทั้งหลายเหล่านี้มีความเข้าใจ เรื่องนิพพาน
จุไรก็ถามว่า คนเข้าใจเรื่องนิพพานนี่ท่านปู่ ท่านปู่เคยไปเที่ยวนิพพานบ่อยไหม ท่านปู่ก็บอกว่า ปู่ไปเที่ยวเสมอที่นิพพาน เพราะอยู่ไม่ไกล
จุไรก็บอกว่า ตามหนังสือเขาเขียนว่า นิพพานสูญ ท่านปู่ก็ย้อนถามว่า หนูเคยไปแล้วใช่ไหม จุไรก็บอกว่า หนูไปทุกวัน ท่านปู่ก็ถามว่า ถ้ามันสูญ
แล้วหนูเห็นไหมว่า นิพพานมีอยู่ จุไรก็ตอบท่านปู่ว่า เห็นเจ้าค่ะ หนูก็เห็น เห็นที่อยู่ของหนูด้วย
ท่านปู่ก็บอกว่า คนที่จะไปนิพพาน ตามที่ปู่เคยเห็นพระพุทธเจ้าท่านสอนหรือว่าท่านที่เคยตายจากความเป็นคนแล้วไปนิพพาน
มันก็ไม่หนัก บางคนขณะที่มีชีวิตอยู่ ก็ปฏิบัติเหลวแหลกต่าง ๆ เยอะแยะ แต่ว่าพอใกล้จะตายเข้าจริง ๆ มีความรู้สึกตามความเป็นจริง เห็นทุกข์ในร่างกาย
มีความรู้สึกว่า ร่างกายเป็นของไม่ดี มีทุกข์ มีอาการป่วยไข้ไม่สบาย เลยมีความเบื่อหน่ายในร่างกาย ก็เลยไปนิพพาน
อย่างกับพระที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ ๖๐ องค์ ท่านพวกนี้เคยเป็นพราน ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาหลายชาติ ชาติปัจจุบันก็เป็น พราน ต่อมาวันหนึ่ง
พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ กายคตา นุสสติ กับ อสุภกรรมฐาน ให้เห็นว่า ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ไม่มีการทรงตัว ในที่สุดก็ตาย
เมื่อพระพุทธเจ้าท่านเทศน์จบท่านก็เข้าไปพักในถ้ำ
ท่านก็บอก ต่อนี้ไป ห้ามคนไปพบ ห้ามพระไปพบ นอกจากพระนำอาหารไปถวาย ท่านพักอยู่ ๑๕ วัน ในช่วงเวลา ๑๕ วันนี้ พระพวกนั้นเจริญกรรมฐาน
กองนี้ได้รวดเร็วมาก เกิด นิพพิทาญาณ มีความเบื่อหน่ายในร่างกาย เป็นที่สุด เกลียดร่างกาย รังเกียจมาก ในที่สุดก็ ฆ่าตัวตายบ้าง หนีความสกปรก
จ้างคนอื่นฆ่าบ้าง แต่ว่า ในเมื่อทุกองค์มีความเบื่อหน่ายแบบนั้น ฆ่าตัวตายบ้าง
จ้างคนอื่นฆ่าบ้าง ท่านตายแล้วก็ปรากฏว่า ไปนิพพานหมดทุกท่าน เพราะความเบื่อหน่ายในร่างกาย นี่รวมความว่า คนที่มีความประพฤติเหลวแหลกอย่างไรก็ตาม
ในด้านของอกุศล แต่ว่าบุคคลคนนั้นเวลาจะตาย เกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายขึ้นมา ก็ไปนิพพานได้ เรื่องไปนิพพานเป็นของไม่ยากลูก
ท่านปู่ก็บอกกับหลานว่า เรื่องการไปนิพพานเป็นของไม่ยาก ถ้ามีความเข้าใจนี่ไม่ยาก แล้วจุไรก็ถามว่า แล้วท่านปู่ละเจ้าคะ ท่านปู่
ถ้าตายจากความเป็นเทวดา จะไปนิพพานไหม ท่านย่าหัวเราะชอบใจ ย่าบอกว่า หลานรักเอ๊ย เขาไม่เรียก ตาย เทวดาเขาเรียก จุติ แล้วมนุษย์ก็เหมือนกัน
เขาไม่เรียก ตาย เขาเรียก กาลํ ภตวา ถึงกาลเวลาที่ต้องไป
ก็รวมความว่า หลานถามปู่ ย่าตอบแทนก็ได้ ย่าคันปากมานานแล้ว ปู่น่ะพูดไม่ค่อยทันหลาน เป็นอันว่า ปู่ท่านพูดผู้ใหญ่เกินไปเอาย่าดีกว่า
เวลามันจะหมด ก็เป็นอันว่า เวลานี้ ถ้าปู่ก็ดี ย่าก็ดี จุติ หรือเคลื่อนไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ปู่กับย่าก็ไม่ไปเมืองมนุษย์ ไม่เกิดเป็นเทวดา
ไม่เกิดเป็นนางฟ้า ไม่เกิดเป็นพรหม
ปู่กับย่านิยมนิพพาน ลูก เพราะปู่กับย่าเห็นแล้วว่า พรหมก็ดี สวรรค์ก็ดี มีความสุขไม่เท่านิพพาน
ยิ่งเมืองมนุษย์มันเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก คนทุกคนเหล่านี้ ปู่กับย่าก็ดี เทวดาทั้งหลายก็ดี มีความเหน็ดเหนื่อยจากคนที่มีความดี แต่อกุศลเข้าแทรก
กรรมที่เป็นอกุศลเข้าแทรกเขามีความทุกข์ ปู่กับย่าก็ต้องสั่งเทวดาบ้าง ทำอะไรบ้าง ไปช่วยเขาทุกอย่าง ตามกำลังที่จะทำได้
ถ้าไม่เกินวิสัยที่จะช่วย
เอาละหลานรัก เวลาจะหมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน
สวัสดี
ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 6/9/11 at 13:41
6
ไปเป็นเทวดาไม่ต้องลงทุน ตอนที่ ๑
ท่านผู้ฟังทั้งหลาย และท่านผู้อ่านด้วย ตอนนี้ก็ขอพบกับ จุไร เป็นอันว่า จุไรคุยกับท่านปู่ถึง ระเบียบความเป็นมาของเทวดา หรือนางฟ้า หลังจากนั้น
จุไรก็คิดขึ้นมาได้ว่า เวลาการมาของมนุษย์อยู่บนสวรรค์ ใช้เวลาได้ไม่มาก เพราะเวลาบนสวรรค์ มากกว่าเวลาของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
๑ วันของดาวดึงส์ ก็ต้องใช้เวลาในเมืองมนุษย์ถึง ๑๐๐ ปี
ก็จึงคิดว่า เวลานี้เป็นเวลาสมควรที่จะไปหาเทวดาที่มีศักดิ์ศรีใหญ่ นั่นก็คือ เทวดาที่ตายจากความเป็นคนโดยไม่ต้องลงทุน
จึงกราบเรียนถามท่านปู่ว่า ท่านปู่เจ้าคะ หนูอยากจะทราบว่า มีเทวดาองค์ไหนบ้าง ที่มาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์การทำบุญของท่าน
ไม่ต้องลงทุนทุกอย่างตามที่ท่านปู่บอกมาแล้วเมื่อกี้นี้ เป็นการลงทุนทั้งหมด คนบางคนที่ไม่มีโอกาสจะลงทุนทำบุญก็มี
ฉะนั้นหากว่า สมมุติว่ามีคนบางคนไม่สามารถจะบำเพ็ญกุศลด้วยทรัพย์สิน แม้แต่อะไรสักนิดหนึ่งก็ไม่มี ฉะนั้น อยากจะทำบุญ อยากจะเป็นเทวดา
อยากจะเป็นนางฟ้ากับเขาบ้าง จะมีโอกาสไหมเจ้าคะ ท่านปู่ฟังแล้วก็ยิ้ม ก็คิดในใจว่า หลานคนนี้ฉลาดจริง ๆ
สมศักดิ์ศรีของที่เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกลงไปเกิด และการไปเกิดของเธอคราวนี้ ก็มีความประสงค์ว่า
จะต่อบุญบารมีไปนิพพานเลยไม่กลับมาดาวดึงส์ใหม่
แต่ท่านสักกเทวราชนึกในใจ ไม่ได้พูด แต่ตอนจะพูด ก็พูดว่า หลานรัก จุไร หลานของปู่ ถ้าหลานต้องการอย่างนั้นก็ เทวดาก็มีมาก เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี
ที่มาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย อย่าง มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ดี สุปปติฏฐิตเทพบุตรก็ดี สาตกีเทพธิดา ก็ดี แต่ว่าสำหรับ ลาชเทวธิดา
คนนี้ลงทุนนิดหน่อย การลงทุนเหมือนไม่ได้ลงทุน เพราะว่านำของไปกิน แล้วก็ใส่บาตร ก็เป็นอันว่า
ต่อแต่นี้ไป ปู่ก็ต้องการอยากจะให้หลานได้พบกับเทวดาทั้งหลาย ตามที่กล่าวมาแล้ว และก็ยังมีอีกมาก จุไรก็กราบเรียน กราบท่าน แล้วก็บอกว่า
ขอท่านปู่นำไปด้วยเจ้าคะ ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรักถ้าปู่นำไปนะ หลานจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรจากเทวดาทั้งหลายเลย ไม่มีโอกาสจะคุยกัน เพราะว่า
ถ้าปู่ไปที่นั่น เทวดาทุกท่าน นางฟ้าทั้งหมด จะไม่มีโอกาสพูด ทั้งนี้ ไม่ใช่ปู่ห้ามพูด เป็นแต่เพียงว่า เขาเกรงใจปู่ ไม่มีใครพูด
ถ้าหลานอยากจะพูด จะคุยกับเทวดากับนางฟ้าเฉพาะโดยตรงแล้ว ไปกับท่านอินทกะก็แล้วกัน ขอท่านอินทกะทั้งสอง ช่วยโปรดนำหลานของฉัน ไปพบเทวดา หรือนางฟ้าต่าง
ๆ ที่บำเพ็ญบุญบารมีมาพอสมควรที่จะคุยกันได้ แต่ความจริง เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ที่ทำบุญซ้ำ ๆ กัน ก็มีมาก เอาเฉพาะที่ไม่ซ้ำกันก็แล้วกัน เป็นอันว่า
ท่านอินทกะทั้งสอง คือ ท่านบุเรงนองกับท่านปิยะยาวี ก็กราบ
คือ ยกมือไหว้ น้อมศีรษะรับคำท่านแล้ว ก็เรียกจุไรกับน้อยว่า น้อยเอ๊ย กับจุไรหลานรัก ไปกับลุง พอท่านอินทกะทั้งสองท่านใดท่านหนึ่งบอกว่า ไปกับลุง
ท้าวสักกเทวราช คือ พระอินทร์ ท่านก็ยิ้ม ท่านก็ถามว่า ท่านอินทกะ จุไรนี่เคยเป็นลูก เป็นหลานมาในชาติก่อนใช่ไหม ท่านอินทกะก็บอกว่า
ใช่เคยเป็นลูกก็เคย เคยเป็นหลานก็เคย สำหรับน้อยนี่ เคยเป็นน้องก็เคยเป็น เคยเป็นเพื่อนก็เคยเป็น
เป็นอันว่า ทั้ง ๒ คนก็ถือว่า เป็นญาติ แต่ ๒ คนระลึกชาติยัง ไม่ได้ หรือยังไม่ได้นึก ก็เลยยังไม่รู้เป็นอันว่า จุไร กับน้อยก็ลาท่านปู่
ท่านอินทกะทั้งสองก็พาไปวิมานแรกที่ไป ก็คือวิมานของ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร คือว่า ท่านเทวดาองค์นี้ เวลานี้เป็น พระอริยเจ้า
การฟังเทศน์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จบแรกเป็น พระโสดาบัน และปัจจุบันนี้จะเป็นพระอริยเจ้าชั้นไหนนั้น ก็ไม่มีใครบอกใคร
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เป็นอันว่า ท่านอินทกะทั้งสองคือ ท่านบุเรงนอง กับท่านปิยะยาวี ได้พาสองศรีคือ น้อยกับจุไร
เข้ามาใกล้วิมานของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร พอเข้ามาใกล้ ยังไม่ทันถึง ท่านก็ชี้ให้ดูว่า หลานรัก ดูวิมานหลังนี้มีความวิจิตรพิสดาร พื้นเป็นทองคำ
ทองคำทั้งหลัง แล้วประดับประดาไปด้วยแก้ว ด้วยเพชรนิลจินดาต่าง ๆ แพรวพราวเป็นระยับ มีทั้งมุข มีทั้งซุ้ม มีทั้งวิมานเล็กวิมานน้อย มีรั้วรอบขอบชิด
มีสวนดอกไม้ มีสระโบกขรณี มีทุกอย่างที่ต้องการ แพรวพราวเป็นระยับ ทั้งสองคน มองแล้วก็ตะลึง คิดในใจว่า คล้าย ๆ
กับวิมานที่ปู่สร้างไว้ที่วัดท่าซุง แล้ววิมานหลังใหญ่ก็คล้ายกัน และวิมานหลังย่อม ๒ หลังด้านหน้า ก็คล้ายกัน ทำไมจึงคล้ายกันแบบนี้
แต่ว่าวิหารของท่านปู่ที่สร้างไว้ที่วัดท่าซุง เนื้อแท้จริง ๆ เป็นคอนกรีต เป็นทราย เป็นหิน เป็นเหล็ก เป็นปูนซีเมนต์ แต่ว่าวิมานทั้งหมดนี้
เนื้อแท้จริง ๆ ภายในเป็นทองคำ เป็นช่วงทองคำเป็นช่วง ๆ แล้วก็มีแก้วแพรวพราวเป็นระยับ บริเวณก็กว้าง สระโบกขรณีก็สวยแท่นที่ข้างสะโบกขรณีก็สวย
ต้นไม้ข้างสระก็สวย และเดินเข้าไปใกล้ ๆ รั้วรอบขอบชิดก็สวยสดงดงาม เป็นเพชรแพรวพราวไปหมด เมื่อเดินเข้าไปใกล้จริง ๆ ปรากฏว่า
ท่านเจ้าของมายืนอยู่ข้างประตูรั้ว ยิ้มแล้วก็ยกมือโบกให้เข้าไป เมื่อทั้ง ๔ ท่านเข้าไป ท่านอินทกะทั้งสอง ก็ทำความเคารพท่านเจ้าของวิมาน
น้อย กับจุไรก็ทำความเคารพท่านเจ้าของวิมาน ท่านเจ้าของวิมานท่านบอกว่า ฉันคอยเธอมาพักใหญ่แล้วนะ ตั้งแต่เธอเริ่มจะขึ้นมา
ทั้ง ๒ คนปรารภกันอยากจะพบเทวดาที่ทำบุญไม่ต้องลงทุนแม้แต่ข้าว ๑ ทัพพี ก็ไม่ได้ให้ กำลังใจก็ไม่ได้นอบน้อม มือก็ไม่ได้ยกมือไหว้ เทศน์ก็ไม่ได้ฟัง
เพียงตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างเดียว มาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกได้ เธอคิดอย่างนั้น คิดว่า คนที่จน ๆ ที่ไม่มีโอกาสจะถวายทาน
คือ ใส่บาตรนั้นมีอยู่ คนไม่มีสตางค์จะซื้อธูปมาจุดก็มีอยู่ คนที่ไม่มีเวลาจะบูชาสมเด็จพระบรมครูด้วยธูปเทียนดอกไม้ก็มีอยู่ ทั้งนี้เพราะว่า
ในสมาคมนั้นเขาไม่นิยม เขาไม่เคารพนับถือ ถ้าจะยกมือไหว้ น้อมใจนึกถึง แล้วกล่าววาจาสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สมาคมเขาก็จะว่าเอา
อันนี้เป็นเหตุจนใจ ทำอะไรไม่ได้ ก็นึกเฉพาะในใจ นึกมีความเคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตร อย่างนี้ก็สามารถจะมาได้
จุไรฟังท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรพูดยาว พอเข้าไปครึ่งตอน เธอก็ยกมือไหว้ แล้วก็กราบ กล่าววาจาขัดตอนว่า ท่านเทวลุง เจ้าคะ
ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรสะดุ้งเฮือก ถามว่า หนูจุไร เรียกลุงว่าอย่างไร จุไรก็แปลกใจ ถามว่าท่านเทวลุง เจ้าคะ รู้จักชื่อหนูหรือ
ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็บอกว่า มนุษย์ทุกคนในจักรวาลที่ลุงไม่รู้จักชื่อนั้น ไม่มี เพราะว่ามีอารมณ์ใจเป็นทิพย์
แต่ที่เรียกนำหน้าศัพท์เมื่อกี้นี้ลุงตกใจหลานรัก
เมื่อกี้หลานเรียกว่าอย่างไร จุไรก็บอกว่า เรียกว่า เทวลุง เจ้าค่ะ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ก็ถามว่า ทำไมจึงเรียกว่า เทวลุง จุไรก็บอกว่า
ถ้ามนุษย์ธรรมดาก็เรียกว่าคุณลุง แต่ว่า นี่ลุงเป็นเทวดา ต้องเรียกว่า เทวลุง ท่านมัฏฐกุณฑลียิ้ม แล้วก็บอกว่า ทีหลังไม่ต้องนะหลานนะ เรียกลุงเฉย ๆ
เป็นใช้ได้ ถ้าขืนเรียกว่า เทวลุง ลุงจะกินข้าวไม่ไหว จะกลืนข้าวไม่ลง จุไรก็ถามว่า เมืองเทวดา เขากินข้าวด้วยหรือเจ้าคะ
ท่านเทวลุงก็บอกว่า เป็นการเปรียบเทียบ หลานรัก ถ้าเรียก เทวลุงหรือคุณลุง หรือท่านลุงก็ตามจะเป็นคนห่างกัน ขอให้เรียก ลุง เฉย ๆ ก็แล้วกันนะ
เพราะว่า จุไรก็ดี น้อยก็ดี ลุงเคยรู้จักมาตั้งแต่สมัยอดีตในบางชาติ เราเคยเกิดอยู่ร่วมกัน ใกล้กัน คำว่า ร่วมกัน ไม่ได้ หมายความถึง
เป็นสามีภรรยากัน คือ อยู่ข้างเคียงกันบ้าง อยู่บ้านเดียวกันบ้าง เป็นเพื่อนกันบ้าง เป็นพวกพ้องกันบ้าง ทีนี้เรารู้จักกันมาก่อน ถือว่า
เราเป็นกันเอง
จุไรก็ปลื้มใจ ก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ หนูอยากจะทราบประวัติความเป็นมาของคุณลุงว่า คุณลุงจริง ๆ
วันนี้อยากจะให้ท่านลุงอินทกะทั้งสอง คือ ท่านปู่สั่งมาให้พบเทวดาที่มาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกได้ โดยไม่ต้องลงทุน แม้แต่ข้าว ๑ ทัพพี
ก็ไม่เคยใส่บาตร มือ ก็ไม่เคยยกมือไหว้ เทศน์ก็ไม่เคยฟัง และอยากจะทราบว่า คุณลุงมาได้อย่างไรเจ้าคะ
ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ก็บอกว่า อยากจะฟังหรือหลาน อยากฟัง ลุงจะเล่าให้ฟัง ความเป็นจริงเป็นอย่างนี้นะ ลุงจริง ๆ
สมัยเป็นมนุษย์ เวลานั้นก็เป็นสมัยที่พระพุทธเจ้ายังพระชนม์อยู่ ในขณะนั้นสมเด็จพระบรมครูเสด็จเทศน์โปรดพุทธบริษัท ก็ใกล้ ๆ กับบ้านลุง
มาที่เมืองนั้นทีไร ก็มาพักไม่ไกลกับบ้านลุง แล้วก็เดินบิณฑบาต ก็ผ่านบ้านลุง แต่ก็หลาน จงเห็นใจลุงว่า ตระกูลของลุง เป็นตระกูลพราหมณ์
พราหมณ์นี้ถือตัวผิด มีความคิดว่า ตนเองมีสภาพจากพรหม ในเมื่อนึกว่า มีสภาพจากพรหม ก็เป็นคนสูงกว่าคน ตระกูลใด ๆ ก็ตาม นอกจากตระกูลกษัตริย์
จะเสมอตระกูลพราหมณ์ ไม่มี พราหมณ์ก็เลยไม่ยอมรับนับถือบุคคลใดทั้งหมด คือคิดว่า ตนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อของลุง
ท่านก็เป็นอาจารย์สอนวิชาของพราหมณ์ พราหมณ์ต่าง ๆ ในเขตนั้น ต้องเป็นลูกศิษย์ท่านทั้งหมด ในเมื่อสมเด็จพระบรมสุคตเสด็จไปที่นั่น