หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 14 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ
webmaster - 12/5/12 at 13:21

<< เล่ม 1 เล่ม 2 เล่ม 3 เล่ม 4 เล่ม 5 เล่ม 6 เล่ม 7 เล่ม 8 เล่ม 9 เล่ม 10 เล่ม 11
เล่ม 12 เล่ม 13 เล่ม 15 ->>


หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๑๔

(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดยพระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )



เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๑๔

1.
ตอนที่ ๑ ไปวัดสามพระยา
2. ตอนที่ ๒ หญิงสาวถูกคุณ ก่อนบวช
3. ตอนที่ ๓ ผีมาขอส่วนบุญ
4. ตอนที่ ๔ผีหัวขาด วัดบางนมโค
5. ตอนที่ ๕ ผีหัวขาด วัดบางนมโค (ต่อ) .
6. ตอนที่ ๖ ผีนางตะเคียน
7. ตอนที่ ๗ ผีพระอนาคามี



คำปรารภ เล่ม ๑๔



เมื่อเวลา ๒๐.๓๔ น. ของวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๓ พระน้อย (พระอภิชัย สุธัมมธัมโม) เจ้าหน้าที่คัดลอกจากเสียงเป็นตัวหนังสือ เพราะหนังสืออ่านเล่นนี้ เขียนไม่ไหว ตามองไม่ใคร่เห็น มือก็เขียนหนังสือไม่เป็นตัว ต้องบันทึกเป็นเสียง แล้วให้พระลอกจากเสียงเป็นตัวหนังสือ มาขอคำนำ หนังสือเล่มนี้

เรื่องที่จะปรารภก็คือ นับตั้งแต่ เล่ม ๑๔ เป็นต้นไป จนกว่าจะจบเรื่อง จะเป็นเรื่องที่เป็นประสบการณ์ของตนเอง ตั้งแต่บวชใหม่ ยันบวชแก่ นำมาเล่าสู่กันฟัง แต่ทว่ามีหลายตอน ที่ท่านทั้งหลายไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องทำ เพราะมันเป็นความจริงที่ประสบมา ท่านจะหาว่า โอ้อวด หรือโกหกมดเท็จนั้น เป็นหน้าที่ของท่าน แต่ผู้เขียนด้วยเสียง ขอยืนยันว่า เป็นเรื่องจริง

เช่น เรื่องคุยกับผี ไปบ้านไหนก็ตาม คืนแรก ผีบ้านนั้นมาคุยด้วยทุกผี และบอกสมบัติที่ลูกหลานไม่รู้ ให้ไปนำมาไว้เป็นสมบัติ เช่น ทอง เป็นต้น ตั้งแต่อายุ ๗ ปี และเรื่องไปนรก รู้จักสวรรค์นี้ รู้เรื่องไปได้ตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี ตายไปประมาณ ๘ ชั่วโมง เมื่อจะกลับฟื้นคืนชีพ มีท่านพรหมท่านหนึ่งท่านบอกว่า

ท่านเป็นลุง อยากจะรู้อะไร ไปไหน สวรรค์ พรหม หรือนรก เป็นต้น ให้นึกถึงท่าน แล้วไปที่ท่านกำหนดให้ไว้ ท่านจะพาไปทุกสถานที่ต้องการ เป็นอันว่า นับตั้งแต่เล่ม ๑๔ นี้เป็นต้นไป จะเขียนเรื่องความเป็นมาที่ประสบมาเอง ทั้งอดีตและปัจจุบัน อาจจะสลับกันบ้าง ก็สุดแล้วแต่ความเหมาะสมเมื่อเวลาบันทึกเสียง

ขอท่านผู้อ่าน หรือฟังเทปเสียง ที่เป็นเสียง แหบแห้งเต็มที เพราะคนใกล้จะตาย ขอทุกท่านจงมีความสุขสมหวัง ร่ำรวยมาก ๆ ปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง

พระราชพรหมยาน
๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๓

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 12/5/12 at 13:24

1

บูชาบุคคลที่ควรบูชา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นมงคลสูงสุด (คือ เฮงที่สุด) ไปวัดสามพระยา

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ วัดสามพระยา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๓๓ เป็นวันทอดผ้าป่าสามัคคี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ จัดให้มีขึ้น เพื่อรวบรวมเงินสร้าง โรงเรียนสรรพความรู้ คือ สอนทุกประเภท ทั้งความรู้ภาษาพระ และความรู้ภาษาชาวบ้าน ตลอดจนวิชาชีพ เรียนฟรีทุกประเภท ท่านสงเคราะห์ทุกอย่าง แม้แต่อาหารการบริโภค

เคยถามท่านว่า หลวงพ่อจะจ่ายไหวหรือครับ ท่านตอบว่า ก็หลวงพ่อ วัดท่าซุงทำไมจึงทำได้ หลวงพ่อวัดสามพระยาก็ต้องทำได้ โรงเรียนนี้ได้ค่อย ๆ ทยอยจัดเงินที่ญาติโยม และลูกหลานช่วยมาถวาย เป็นรายเดือน ก่อนที่ท่านจะลงมือสร้าง รวมเงิน ๑ ล้านบาท เมื่อวันรับเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชพรหมยาน ญาติโยมลูกหลานถวายในวันนั้น

รวมเงินทั้งสิ้น ๒๒๔,๕๐๐ บาท (สองแสนสองหมื่นสี่พันห้าร้อยบาทถ้วน) เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๓๓ เป็นวันถวายผ้าป่า ได้เงินจากญาติโยม ลูกหลานถวาย เพื่อการก่อสร้างนี้อีก ๒ แสนบาท และรับเงินจากลูกหลานในวันนั้นอีก ๙ พันบาทเศษ จำเศษไม่ได้ เอากันแค่ยอดครบก็แล้วกัน รวมแล้วได้เงินถวายเพื่อสร้างโรงเรียนนี้แล้ว ๑,๔๓๓,๕๐๐ บาท (หนึ่งล้านสี่แสนสามหมื่นสามพันห้าร้อยบาทเศษ)

เรื่องที่คาดไม่ถึง

เมื่อไปถึงวัดสามพระยา ถามพระว่า เวลานี้หลวงพ่อสมเด็จฯ อยู่ที่ไหน พระบอกให้ทราบว่าอยู่ในพระอุโบสถ เมื่อเข้าไป และถวายเครื่องสักการะแล้ว ก็ถวายซองเงินสองแสนบาท ท่านบอก บอกว่า ไปนั่งเก้าอี้ ท่านชี้ไปที่เก้าอี้ นั่งพับเพียบนานไม่ได้ ทั้งนี้ ท่านอาจจะทราบว่า ขณะนั้น และขณะที่เขียนหนังสือนี้ อาตมาเป็นโรคเก๊าต์ที่เท้า และขา มันปวดเป็นปกติ ยี่ห้อนี้น่าคิด

บวชมานาน เป็นพระทั้งตัว ต่อมาเมื่อแก่จะเข้าโลงผีแล้ว กลายเพศเป็นตัวเป็นพระ เท้าและขาเป็นเก๊าต์ (หมา) แต่ทว่ามันเป็นเท้า และขาหมาที่เดินไม่ใคร่ไหว ไม่มีกำลัง ขาอ่อนแบบขาคนแก่ ไม่ใช่ขาอ่อนที่เขาชอบกัน เมื่อลุกไปนั่งที่เก้าอี้ ก็พอมีความสุขขา เพราะขามีความสุข คือ ไม่ใคร่ปวด ตอนนั้นท่านผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั่งอยู่ใกล้ ๆ ถามท่านว่า

ท่านมานานแล้วหรือ ท่านตอบว่า ท่านมาเรียน ว.ป.อ. (ศัพท์พวกเด็ก ๆ ชอบล้อว่า วิทยาลัยปัญญาอ่อน) ความจริงเป็นโรงเรียนที่สร้างมั่นคงให้ชาติอย่างดีเยี่ยม

สมเด็จพระสังฆราชเสด็จ

ทราบจากท่านผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอนว่า มีคนมาบอกว่า สมเด็จพระสังฆราชเสด็จ เรื่องนี้เป็นปกติ เพราะสมเด็จพระสังฆราชองค์นี้เป็นพระที่ควรแก่การบูชา ไม่มีเวรมีภัยกับใคร ตั้งแต่รับตำแหน่งมาไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้แก่พระใต้บังคับบัญชา มีแต่เตือนให้สามัคคี

เมื่อท่านเสด็จมา ก็ลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพด้วยศรัทธาแท้ คิดว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านจะยืนรับเหมือนผู้เขียน เห็นท่านนั่งเป็นปกติ สมเด็จพระสังฆราชท่านกราบแล้วถวายของ (เครื่องสักการะและของใช้) สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์พนมมือให้พร

ท่านที่ควร บูชา
เป็นอันว่า เมื่อเห็นเข้าอย่างนั้น จิตก็มีอารมณ์คิดบูชาสมเด็จพระสังฆราชมากขึ้นอย่างยิ่ง ท่านอาจจะเคารพสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ในฐานะอะไร เป็นเรื่องของท่าน แต่ที่เพิ่มความเคารพบูชาสมเด็จพระสังฆราชมากขึ้น เพราะท่าน ไม่มีมานะ แปลว่า การถือตัวถือตน หรือถือยศถือศักดิ์ โดยคิดว่า เวลานี้ฉันเป็นสังฆราชนะ ใครจะโตกว่าฉันไม่ได้

ฉันต้องโตกว่าทุกคนที่เป็นพระสงฆ์ การตัดมานะตัวนี้ เป็นเรื่องที่ผู้เขียนบูชาน้ำใจอย่างยิ่ง และบูชาทุกคนคนที่ตัดได้ ไม่ใช่เฉพาะสมเด็จพระสังฆราชเท่านั้น วันนั้นถือว่า เป็นวันเฮงที่สุด ท่านที่ตัดมานะ หมดการถือตัวถือตนตามภาษาพระที่เรียกว่า สังโยชน์ ท่านถือว่ามีความดันสูง ควรแก่การบูชาอย่างยิ่ง ใครบูชา คนนั้นเป็นคนมีอุดมมงคล คือ มงคลสูงสุด (หรือเฮงที่สุด)

ที่ต้องบูชาสูงสุดอีกท่านหนึ่ง

ท่านที่ควรบูชาสูงสุดอีกท่านหนึ่งในวันนั้น ก็คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ องค์นี้บูชาท่านมาตั้งแต่ยังหนุ่ม คือ ท่านหนุ่มและผู้เขียนก็หนุ่มกว่า เพราะอายุต่างกันเกือบ หรือพอดี ๑ รอบ ที่ชอบครั้งแรกก็เพราะ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ป่วย ต้องไปนอนที่ โรงพยาบาลทหารเรือ ที่นั่นเมตตารักษาให้ฟรี กินฟรี และสงเคราะห์เป็นพิเศษ

ขอเล่าเรื่องโรงพยาบาลทหารเรือสักเล็กน้อย เมื่อเข้าไปป่วย มีเงินติดตัวไป ๒๐ บาท เป็นเงินคงคลัง ปกติแล้วมีเงิน ๒๐ บาทติดกระเป๋า ถ้ามีเกินกว่านั้น ก็สร้างวัด เลี้ยงพระ หรือทอดกฐินผ้าป่า ตามแต่เห็นสมควร เมื่อมีเงินน้อย ก็เริ่มทุกข์ เพราะไม่มีเงินจ่าย ไม่เหมือนอยู่วัด ค่ายาค่าหมอ ไม่ต้องจ่าย แต่ค่าปากมันอยากกิน ต้องจ่าย ของใช้ที่จำเป็นก็ไม่มี

พอดีคืนวันหนึ่ง เมื่อเข้านอนตอน ๔ ทุ่ม (๒๒.๐๐ น.) ก็มีคน ๆ หนึ่งมายืนข้างเตียง รูปร่างเนื้อเต็ม ผิวขาว เจ๊กก็ไม่ใช่ ไทยก็ไม่เชิง เป็นคืนแรกที่ไปนอน นุ่งกางเกงสีขาวขาสั้น ใส่เสื้อสีขาวแขนสั้น ตอนนั้นไฟฟ้ายังไม่ดับ ก็แปลกใจว่า คนนี้เข้ามาอย่างไร เพราะประตูใส่กลอนแล้ว จึงถามว่า คุณเป็นใคร ท่านผู้นั้นตอบว่า เมื่อสักครู่นี้ท่านเรียกใคร

ก็ตอบว่า เรียกพระเจ้าตากสิน เพราะมาป่วยในเขตพระราชฐานของท่าน เกรงว่าผีจะรบกวน จึงขอให้ท่านคุ้มครอง ท่านผู้นั้นก็ตอบว่า ผมคือ พระเจ้าตากสิน เมื่อฟังแล้วก็ไม่เชื่อ ถามท่านว่า พระเจ้าตากสินทำไมแต่งตัวกุ๊ย ๆ อย่างนี้ ท่านถามว่า พระเจ้าแผ่นดินต้องทรงเครื่องเต็มยศทั้งวันหรือ ได้ตอบท่านว่า การมาแสดงตัวอย่างนี้

ควรจะมีเครื่องทรงของกษัตริย์ อย่างน้อยก็เครื่องทรงชุดเล็ก ท่านหันมาถามว่า จำผมไม่ได้หรือ ก็ตอบท่านว่า เกิดคนละสมัย ถึงแม้เกิดสมัยเดียวกัน กษัตริย์กับลูกชาวบ้านนอกจน ๆ อย่างฉัน จะจำได้อย่างไร เพราะถึงอย่างไรก็ไม่พบกันใกล้ ๆ ท่านก็พูดว่า คนนี่มันลืมกันง่ายเหลือเกิน น่าจะทบทวนความจำเสียบ้าง นึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร จะแต่งแบบกษัตริย์ให้ดู

พอพูดจบเครื่องแต่งตัวของท่านก็เป็นเครื่องกษัตริย์เต็มอัตรา ท่านถามว่า เชื่อหรือยัง เมื่อเห็นอย่างนั้นก็ตอบท่านว่า เชื่อแล้ว เมื่อสักครู่นี้เชื่อไม่ได้ เพราะทรงเครื่องแบบกุ๊ยข้างถนนมา ต่อมาก็คุยกันจนถึงเวลาได้อรุณ เรื่องที่คุยนี้ ไม่ปกปิด แต่ไม่พูดให้ฟัง หรือไม่เขียนให้อ่าน เพราะถ้าพูดหรือเขียน หมอโรงพยาบาลรักษาคนบ้า จะมีคนไข้เพิ่มอีก ๑ คน คือ ผู้เขียน เมื่อเวลาใกล้สว่าง

ท่านบอกว่า เราร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาหลายชาติ ท่านไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องผีจะมารบกวน และเรื่องการเงินก็ไม่ต้องห่วง ผมจะหาทางช่วย ด้วยท่านทำบุญจนหมดตัว อย่างนี้เต็มใจช่วย แต่ทว่าวันนี้มีสตางค์มาเพียง ๒๕ สตางค์ ผมขอถวายเท่าที่มีมา ท่านว่าแล้วท่านก็โยนเหรียญ ๑ สลึง (๒๕ สตางค์) ลงไปใต้เตียง และบอกลา ท่านก็หายไปในอากาศ ตอนนั้นเริ่มสว่างแล้ว และแสงไฟฟ้า ๑๐๐ แรงเทียนก็สว่างมาก จึงไม่หายไปกับความมืด

เรือเอกสุนทร สังข์สุวรรณ

เรือเอกสุนทร สังข์สุวรรณ นี้ เป็นลูกของพี่ชาย ซึ่งแม่ของผู้เป็นพ่อเรือเอกสุนทร เป็นป้าของผู้เขียน เมื่อสว่างดีเธอก็มาเยี่ยมและถามว่า เมื่อคืนนี้มีอะไรผิดปกติบ้าง ก็เล่าให้เธอฟังตามที่พูดมาแล้ว เป็นอันว่า เหรียญ ๒๕ สตางค์ ของพระเจ้าตากสิน เป็นหวยเลขท้าย ๒ ตัวล็อตเตอรี่ พรรคพวกพิมพ์เอง ถูกกันสะบั้นหั่นแหลก ต่อมาหลวงพ่อปานท่านสงสาร

ท่านบอกว่า เมื่อไม่มีเงินใช้ ก็บอกเลขหวยให้เขา เขาจะได้เอาเงินมาให้ กราบเรียนท่านว่า เรื่องเลขหวยผมไม่สนใจ เวลานี้สนใจอย่างเดียว คือ อารมณ์ปกติ (สังขารุเปกขาญาณ) ท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เมื่อมันจำเป็นอย่างนี้ ฉันจะช่วย ฉันจะมาบอกให้
งวดละตัว

จะบอกหลังจากหวยออกไปแล้ว จะบอกงวดต่อไปทันที แต่ตัวเดียวนะ จะบอกที่นอนให้ด้วย ก็เลยมีชีวิต มีเงินซื้อของใช้ของกินตามสบาย เพราะตัวเลขเดียว แต่ตอนต้นอาศัยเลขพระเจ้าตากสิน ทำเอาคนหายจนไปหลายคน แต่ทว่าเลขตัวเดียวนั้น มีคนหนึ่ง เป็นคนมีสัจจะ ซื้อรถเบนซ์ได้ ๑ คัน และได้เงินหวยซื้อน้ำมันรถทุกงวด

ไปวัดสามพระยา

เรื่องผีโรงพยาบาลทหารเรือ ขืนพูดไปก็ไม่จบ ขอหยุดไว้ก่อนเพียงเท่านี้ ถ้าขยันจะพูดต่อข้างหน้า แต่ถ้าขี้เกียจก็จะไม่พูด มาคุยกันเรื่องวัดสามพระยาดีกว่า วันหนึ่ง ขออนุญาตหมอข้ามฟากไปฝั่งพระนคร พบรถสามล้อเข้าไป ก็ขึ้นนั่งรถสามล้อ นายสารถีสามล้อถามว่า ท่านจะไปไหน ก็ตอบเธอว่ายังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน ถามเธอว่า จะไปที่ไหนดี เธอคิดอยู่นิดหนึ่ง

เธอบอกว่า ไปวัดสามพระยาดีไหม ถามเธอว่า วัดสามพระยาอยู่ที่ไหน เธอบอกตำแหน่ง และบอกว่า มีการอบรมพระเป็นครู จึงบอกเธอว่า ไปที่นั่นก็ดี เธอก็พาไป เวลานั้นเป็นเวลาประมาณ ๙ น.เศษ เมื่อลงจากรถถามเธอว่า ราคาค่ามาส่งเท่าไร เธอบอกว่า “ตัวเดียวครับ” ฟังแล้วชัก งง ไม่ทราบว่าเธอหมายความว่าอย่างไร เธอพูดต่อว่า ผมขอเลขหวยตัวเดียว

ที่ท่านเคยให้เมียผมไป เธอแทงถูกทุกที เธอได้เงินหวย เธอก็มาเบ่งว่า เธอหาเงินได้ไม่ต้องเหนื่อย วันนี้ผมขอสู้เธอบ้างละ คอยพบมาหลายวันแล้ว ไม่กล้าข้ามไปหา มีคนที่ไปหา เขาบอกว่า คนแน่นห้องทุกวัน เขาถูกหวยกันทั้งนั้น วันนี้เป็นลาภของผมแล้ว ผมจะคอยครับ คอยส่งกลับ เป็นอันว่า เลขหวยก็จ่ายค่าสามล้อได้ บอกเธอไปตามที่หลวงพ่อปานท่านบอก ท่านบอกว่า งวดต่อนี้ไป เลข ๔ อยู่ท้ายรางวัลที่ ๑


เป็นนักศึกษาของ ส.อ.ส.พิเศษ

สำนักวัดสามพระยาตอนนั้น ท่านใช้นามว่า ส.อ.ส. หมายความว่า สำนักอบรมครูวัดสามพระยา แต่มีคนกลุ่มหนึ่ง แปลงชื่อเป็น สำนักอั้งยี่วัดสามพระยา ตอนนี้เอง เล่นเอาสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ตอนนั้นเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระปริยัติโสภณ สำนักอบรมก็โคนต้นไม้ และมีอาคารใกล้พังมุงสังกะสี เป็นโรงเลี้ยงอาหาร

ไปพบ พระมหาสังวาลย์ วัดเสากระโดงทอง อ.เสนา จ.อยุธยา ท่านถามว่า สมัครแล้วหรือยัง บอกท่านว่า พระอย่างผมไม่ต้องสมัคร ผมมาหาความรู้ ใครสอนผมได้ ผมเคารพท่านผู้นั้นเป็นครู ไม่ต้องไปเขียนชื่อให้มันเปลืองน้ำหมึกและกระดาษ เป็นการพอดีที่สมเด็จฯ หัวหน้าทีมออกมาพูดพอดี ตอนนี้ท่านพูดเหมือน โจโฉพบพระไวยวรนารถ ขออภัย มันคนละเรื่องไปแล้ว

คือ พูดแบบชายชาตินักรบแท้ จวกคนที่หาว่า ส.อ.ส. คือ สำนักอั้งยี่ วัดสามพระยา ชอบใจมาก เพราะเห็นท่านเป็นคนสู้คน ถูกใจอ้ายเณรมาก เพราะอ้ายเณร คือ คนเขียน ก็มียี่ห้อแบบนั้น ปกติสมัยนั้นจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ยกมือไหว้คนไม่ยาก แต่อย่าทำให้เกลียด ถ้าเกลียดแล้ว ก็ใช้บทแสดงแบบเดียวกับที่สมเด็จฯ ท่านแสดงวันนั้น ตั้งแต่วันนั้นมา รักและเคารพท่านมาก แต่ไม่เคยพูดกัน และไม่เคยนั่งใกล้

เอางานแลกเงิน

ตอนที่ชอบใจมากจนบัดนี้อีกตอนหนึ่งคือ ท่านบอกว่า งานที่ท่านทำนี้ ท่านไม่มีทุน อ้ายพวกเพื่อน ๆ ท่านชี้ไปที่คณะของท่าน มันหาว่าอ้ายเจ้าคุณปริยัติฯ มันบ้า มันไม่มีเงิน แต่มันทำงาน ผมถือว่า ผมไม่มีเงินซื้องาน เอางานที่ทำแลกเงิน หมายความว่า ถ้ามีท่านผู้ใดเห็นด้วย ท่านก็ช่วยกันเอง คตินี้ตรงกับคติของหลวงพ่อปาน เกิดชอบท่านอีกมุมหนึ่ง

ท่านช่วยเมื่อมีทุกข์หนัก

สมัยมาอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ ทั้ง ๆ ที่ชาวบ้าน และเจ้าอาวาสไปนิมนต์มา แต่เมื่อมาแล้ว ท่านไม่มีโอกาสเอาเงินของชาวบ้านไปเป็นส่วนตัว จึงรวมทีมกันทุกระดับชั้นของพระ และฆราวาสหาทางกลั่นแกล้งทุกอย่าง ก็ได้สมเด็จฯ ท่านเป็นพระตรงไปตรงมา ส่งสามทหารเสือของท่าน คือ

๑. ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนโสภณ วัดสังเวชวิศยาราม
๒. ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนโมลี วัดแก้วแจ่มฟ้า
๓. ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนกวี วัดอนงคาราม องค์นี้นั่งเรียนบาลีมาด้วยกัน ในที่สุดความเป็นไปตามความเป็นธรรม หมดทุกข์หมดกังวล จึงจัดเป็นบุคคล (พระ) ที่บูชาสูงสุด

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ท่านเป็นพระธรรมยุต แต่ทว่าในสมัยที่มีทุกข์หนัก ท่านเมตตาสงเคราะห์ร่วมเดินทางมาที่วัดกับ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ทุกครั้ง และให้กำลังใจเสมอ ท่านเคยปรารภแก่ผู้ที่รับฟังว่า เรื่องอย่างนี้ ถ้าเป็นเขตของธรรมยุตเรียบร้อยไปนานแล้ว ท่านเป็นพระที่เมตตาผู้เขียนร่วมกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ตลอดมา

เรื่องนิกาย

เรื่องนิกาย มี (๑) มหานิกาย (๒) ธรรมยุตนิกาย (๓) จีนนิกาย (๔) รามัญนิกาย (๕) อานัมนิกาย และ (๖) นอกคอกนิกาย สำหรับนิกายหลัง คือ นอกคอกนิกายนี้มีมาก จะเห็นได้ว่ามีอารมณ์สวนทางกับพระพุทธเจ้า เช่น พระพุทธเจ้าบอกว่า ตายแล้วเกิด เธอก็บอกว่า ตายแล้วสูญ เป็นต้น และพวกนอกคอกอีกพวกหนึ่ง

ก็พวกที่อยู่ในคณะนิกายใด นิกายหนึ่ง ซึ่งมีระเบียบปฏิบัติที่ดี แต่ทำตนเป็นโจรนอกลู่นอกทาง ตัวอย่าง เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๓๒ อาตมาไปมนัสการพระ…ที่มีระเบียบวินัย ที่ประชาชนนิยมท่านดีมาก ควรแก่การบูชาอย่างยิ่ง แต่พอเดินออกมา ก็พบคนแต่งกายเหมือนพระ แต่กริยาท่าทางเหมือนอสุรกุ๊ย เดินตรงเข้ามา เธอพูดคำแรกว่า เป็นราชพิเศษหรือ

คนบางปลาม้ากับคนบางนมโค เขาบ่นถึง ไปเยี่ยมเขาบ้างซิ และเดินเข้ามากระแซะข้าง ผู้เขียนเกือบล้ม จนนกเอี้ยงเธอเดินตามไปด้วย กันออกไป เธอบอกว่า หลวงพ่อจะล้ม เพราะกำลังป่วย เป็นอันว่า ชื่อนิกายไม่มีความหมาย ผู้เขียนไม่เคยสนใจมานานแล้ว สนใจเฉพาะตัวบุคคลในนิกายนั้น ๆ ถ้าเป็นคนดี ก็ยอมรับนับถือ ถ้าเป็นคนเลว ก็เฉย พูดไปพูดมา

ก็อดประทับใจในพระจริยา ของสมเด็จพระสังฆราชไม่ได้ คิดถึงจริยาของท่านเมื่อไร นอนหลับสบายทุกครั้ง ทั้งนี้ท่านแสดงออกในลีลาที่ไม่เคยเห็น และไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ขอบูชาความดีของท่านนี้ไว้จนวันตาย ที่พูดนี้ไม่ได้ประจบสอพลอ พูดด้วยความจริงใจ กลับเข้าวัดสามพระยากันอีกดีกว่า

พระเจริญพระพุทธมนต์

เมื่อสมเด็จพระสังฆราชท่านถวายสักการะ และถวายของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์แล้ว ท่านก็ขึ้นประทับบนอาสน์สงฆ์ ขอย้อนหลังนิดหนึ่ง ตอนนั้นผู้เขียน ขาและเท้าเป็นโรคเก๊าต์ (ตัวเป็นพระ ขาและเท้าเป็นหมา) แต่ทว่าบังเอิญเป็นหมาป่วย เพราะปวดมาก เมื่อสมเด็จพระสังฆราชท่านเสด็จเข้ามา ก็ยืนรับด้วยความเคารพ เพราะท่านเป็นพระที่ควรแก่การบูชาอยู่แล้ว

ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงท่านเป็นพระสังฆราช หมายถึงพระจริยาของท่าน นิ่มนวล ไม่เหมือนใคร ๆ ที่เคยใหญ่ และเคยเห็นมาแล้ว เพิ่งพบองค์นี้เป็นองค์แรก ท่านกำลังถวายเครื่องสักการะสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ยังไม่เสร็จ พระองค์อื่น ๆ ที่ท่านยืนถวายความเคารพยังไม่นั่ง แต่พระขาเก๊าต์ คือ อาตมา นั่งเก้าอี้ไปแล้ว เพราะปวดเท้าทนไม่ไหว เรื่องนี้ผ่านไป เมื่อพระที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์อาราธนามา

ถ้าจำไม่ผิด มีท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ วัดสระเกศ เป็นองค์ที่ ๒ หรือ ๓ จำไม่ได้แน่นอน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถวายพัดรองพระทุกองค์ สมเด็จพระสังฆราชขึ้นต้นบท วันนั้นดูเหมือนว่า สวดเจ็ดตำนานปกติ หรืออาจจะมีบทพิเศษก็ไม่ทราบ เพราะผู้เขียนไม่ได้หลับมาสองคืนแล้ว เลยฟังพระสวดแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ เมื่อพระสวดจบ ก็เป็นเวลาถวายอาหาร

ลาสมเด็จฯ ออกไปข้างนอก

เมื่อถึงเวลาอาหาร ภายในพระอุโบสถกำลังจัดอาหารถวายพระ ก็ไปกราบลาสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ออกไปนอกพระอุโบสถ หวังจะกินก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ที่เขาเล่าลือกันว่าอร่อยนัก สมเด็จฯ ท่านพูดว่า ออกไปแล้วอย่าเพิ่งฉันอาหารนะ รอก่อน ประเดี๋ยวฉันด้วยกัน เมื่อท่านโปรดอย่างนั้นก็ปลื้มใจแต่หนักใจ เกรงว่าจะกลืนอาหารไม่ลง เพราะความเคารพในท่าน ก็รับฟัง และเดินออกมา

เมื่อมาถึงโรงประชุม พบ ท่านเจ้าคุณธรรมวโรดม วัดชนะสงคราม ท่านเจ้าคุณปริยัติโมลี วัดชนะสงคราม พระมหาสันติ (ดำ) เจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรี (ขี้เหล็ก) บางกอกน้อย คอยอยู่ และจัดเก้าอี้ที่ฉันอาหารแยกจากที่ของสมเด็จฯ ฉันเดี่ยว นอกวงฉันของพระทั้งหมดที่ไป เพราะวันนั้นตามประกาศ บอกว่ามีพระ ๕๐๐ องค์เศษ

ท่านนั่งฉันกันอยู่ก่อนแล้ว ก็ต้องแยกที่ฉัน ในเมื่อท่านนำอาหารมาก็ฉัน ไม่ได้รอฉันพร้อมสมเด็จฯ เพราะนั่งคนละที่ ขณะนั้นก็มีญาติโยมลูกหลานเอาเงินมาถวาย ๙ พันเศษ ๆ เมื่อฉันเสร็จ สมเด็จฯ ท่านขึ้นพัก จะลงมาประมาณ ๑๔ น. ผู้เขียนเดิมประกาศไว้ว่า จะอยู่ที่วัดสามพระยาถึง ๑๕ น. พอดีเมื่อไปถึงซอยสายลม ท่านเจ้าคุณเมธีฯ โทรศัพท์ผ่านท่านปลัดวิรัชมาว่า

วันพรุ่งนี้หมายถึง วันที่ ๒๐ มีนาคม วันเดียวกับวัดสามพระยา สมเด็จพระธีรญาณ ทำบุญครบอายุ ๘๐ ปี และนิมนต์นั่งปรก ขณะเททองพระด้วย (หล่อพระ) เป็นอันว่า เมื่อฉันเสร็จ ก็เอาเงิน ๙ พันบาทเศษฝากท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ไว้ถวายสมเด็จฯ ตัวเองกับคณะก็เดินทางไปวัดปทุมคงคา พอไปถึงก็เข้าไปกราบสมเด็จพระธีรญาณฯ ถวายแจกันสักการะ

และถวายเงินที่ลูกหลานให้ไปอีก ๑ หมื่นบาท ลูกหลานที่ตามไปก็เข้ามาเอาเงินให้ไว้อีกหลายพันบาท จำจำนวนที่แน่นอนไม่ได้ ไปพบ ท่านเจ้าคุณเทพเมธี วัดเศวตฉัตร วัดนักเลงเก่า แต่องค์นี้ไม่เป็นนักเลง เป็นนักโดดร่มสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือ ท่านอยู่วัดประยุรวงศาวาสด้วยกัน พอระเบิดลงวัด ท่านหอบข้าวของลอยละลิ่วเหมือนนุ่นปลิวลม ไปลงที่วัดบางด้วน

ที่จังหวัดนนทบุรี เมื่อไปถึงบางด้วนก็เลยด้วน กลับวัดเดิมไม่ได้ ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะ แล้วย้ายมาอยู่วัดเศวตฉัตร พอคุยกับท่านเจ้าคุณเทพฯ ก็ได้ยินเสียงโฆษกประกาศว่า ท่านฤาษีลิงขาวมาแล้ว กำลังมนัสการพระ รู้สึกดีใจมาก ที่เพื่อนรักจากกันไปนาน จะมาพบกันในงานพิเศษอย่างนี้ มองไปรอบ ๆ บริเวณศาลา ก็หาท่านลิงขาวไม่พบ สักครู่หนึ่ง ทางเจ้าหน้าที่ประกาศว่า ท่านฤาษีลิงขาวไปจำวัด

ลิงคนละฝูง

จึงให้ลูกศิษย์ไปหาท่านลิงขาว บอกรูปร่างลักษณะให้รู้ ให้บอกท่านว่า เวลานี้ผู้เขียนนั่งอยู่ศาลาการเปรียญ ขอให้มาพบกัน เป็นอันว่า คนไปหา ไม่พบลิงลักษณะที่พูด พบรูปร่างไม่เหมือนกัน ก็เลยทราบว่า เป็นลิงคนละฝูง อย่าไปคิดว่า ปลอม หรือหลอกกันเลย เป็นสัจธรรมของท่าน

ท่านเป็นลิงรุ่นเล็ก แต่บังเอิญเผือกเหมือนกัน เมื่อถึงเวลาเททอง ก็ลงไปนั่งปรก ใช้เวลาเล็กน้อย แล้วก็เดินทางกลับ น่าภูมิใจที่ไปคราวเดียว ได้ผล ๒ งาน และได้ข่าว ได้ยินชื่อเพื่อนรัก แต่ไม่พบตัวจริง เป็นลิงรุ่นน้องไป และก็ไม่ยอมมาพบเสียด้วย เพราะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ข่าวสมเด็จฯ ประกาศยืมเงิน

เมื่อกลับมาถึงซอยสายลม ร.อ.กิตติ (เจี๊ยบ) รัตนธรรม ได้บอกให้ทราบว่า เมื่อเวลาสรงน้ำสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สมเด็จฯ ท่านประกาศว่า ปีนี้เศรษฐกิจดี การทำบุญวันเกิดดีอย่างนี้ ปีต่อไปอาจจะทำต่อไป (เพราะมีพระหลายจังหวัดช่วยบอกบุญ วันนั้นคงจะได้เงินถวายคงจะหลายล้านไม่ทราบจำนวนแน่นอน)

และท่านพูดทางขยายเสียงว่า ปีหน้า จะยืมเงินจากวัดปากน้ำสัก ๕ แสน ยืมวัดท่าซุงสัก ๑ หรือ ๒ ล้าน ทุกคนที่ฟังหัวเราะชอบใจกันใหญ่ เพราะถ้อยคำอย่างนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ยินจากท่าน ท่านคงสัพยอกเล่นเพื่อแก้เหงา

เรื่องเงินที่สมเด็จฯ จะยืม

เรื่องนี้ สงสัยว่าสมเด็จฯ ท่านอาจจะมีความรู้สึกทางใจเป็นพิเศษ ความมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๓๓ วันนั้นเดินทางไปนครราชสีมา เพื่อไปเยี่ยม พระมหาถวัลย์ และญาติโยมที่นั่น เพราะทั้งท่านมหาถวัลย์ และญาติโยม ต่างก็ช่วยเหลืองานวัดท่าซุง ทั้งกำลังทรัพย์ สิ่งของ คิดเป็นยอดเงินก็นับหลายแสน เมื่อเดินทางไปถึงพระบรมรูปสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

มีเสียงพูดฟังได้ชัดเจนว่า หาเงินจากที่ทุกคนทำบุญมาเป็นส่วนตัว เก็บไว้ให้มีดอกเบี้ยสักปีละ ๑ ล้านบาท เพื่อสงเคราะห์วัดที่เป็นลูกศิษย์ และปฏิบัติกรรมฐานเหมือนกัน จึงถามเสียงนั้นว่า จะหาที่ไหน เสียงนั้นบอกว่า แล้วจะช่วยหาให้ ท่านเจ้าของเสียงเน้นมาว่า “วัดสามพระยาเป็นพระดีนะ โรงเรียนยังสร้างไม่เสร็จ ควรช่วยจนกว่าจะเสร็จ และผลตอบแทนจากวัดสามพระยา ต้องเอาขนาดแพงมาก นั่นคืออานิสงส์ ไม่ใช่วัตถุ (คือเงิน)”

เมื่อฟังแล้วก็ไม่งง เพราะเสียงอย่างนี้มีเป็นปกติ และไม่เคยมีอะไรพลาด เข้าใจว่าสมเด็จฯ ท่านคงทราบเรื่องนี้ จึงพูดแบบสัพยอกว่า เวลานี้เขาก็ไปเสียแล้ว ปีหน้าจะขอยืมเขาสัก ๑ หรือ ๒ ล้านเมื่อมาพักที่ กองเสบียงสัตว์ทหารบก ที่นั่นเป็นที่พักประจำ ท่านเจ้ากรมฯ คนปัจจุบัน ท่านติดเครื่องปรับอากาศที่เรือนรับรองพักสบาย เจ้าหน้าที่ทุกคนก็เมตตา ให้ความสะดวกทุกอย่าง

ตอนกลางคืนวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๓ จ.ส.ต. ปัญญา และบังเอิญ อ่องคล้าย สองสามีภรรยา พร้อมด้วยบุตรธิดาไปเยี่ยม ตอนหนึ่งเธอบอกว่า เมื่อ ๒ - ๓ คืนที่แล้วมา ท่านแม่ (แม่ศรี) มาบอกว่า หาเงินให้พ่อสัก ๑ ล้านบาท ท่านบอกเท่านั้น ไม่ได้อธิบายให้ทราบว่า ธุระอะไร เธอถามว่า หลวงพ่อมีธุระอะไรหรือ ก็บอกเธอว่า

ยังไม่มีธุระอย่างอื่น นอกจากงานก่อสร้างที่ยังค้างอยู่ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งร้อนในการใช้เงินเมื่อพูดมาถึงตอนนี้ก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อนั่งมาในรถ มีเสียงบอกให้จัดทุนสงเคราะห์วัดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน จึงบอกเธอว่า ถ้าช่วยสักล้านบาทก็ดี แต่ไม่จำเป็นต้องจัดเงินก้อน ๑ ล้านบาทมาทันที มันหนักมาก ผ่อนส่งครั้งละพัน หรือหมื่นก็ได้ เมื่อพอเหลือใช้ จ.ส.ต. ปัญญา ทำท่าจะหยิบเงิน

จึงบอกว่า อย่าเพิ่งจ่ายมา เพราะไม่เร่งร้อน เอาไว้วันต่อไป มีบ้างเมื่อไร ค่อย ๆ ส่งผ่อน หลวงพ่อจะฝากธนาคารรวบรวมไว้เป็น พิเศษ นอกจากบัญชีรับจ่ายประจำวัน

อยากได้ที่นั่งพัก

ตามปกติไปหาสมเด็จฯ ต้องนั่งที่หอประชุม ซึ่งจุคนเกินพันคน (ถ้านั่งติด ๆ กัน) รู้สึกโหรงเหรงใจมาก จึงปรารภกับคนบางคน และลงในหนังสืออนุสรณ์ว่า ปีหน้า วันเกิดสมเด็จฯ วัดสามพระยาหาเงินไปสักล้านบาท ขออนุญาตสร้างที่รับแขก ถ้าท่านอนุญาตก็สร้าง

ถ้าไม่อนุญาต ก็ถวายท่านไปเลย เมื่อไปในงานคราวนี้สังเกตที่จะสร้างไม่มี เพราะสถานที่แคบ ถ้าสร้างลงไปอีก วัดจะหมดสง่า เพราะขาดสนาม นึกในใจว่า เมื่อไม่มีที่สร้าง ถ้าได้เงินมา เราก็ถวายท่านไปเลย เอาโรงเรียนเป็นที่รอพบแทน

อนาคตังสญาณ

อารมณ์คิดอย่างนี้ ใครอย่าคิดว่า สมัยนี้จะไม่มีคนรู้ สมเด็จฯ ท่านจะรู้ หรือไม่รู้ เป็นเรื่องของสมเด็จฯ จะตอบแก่ท่านที่ไปถาม แต่เหตุบังเอิญประสบการณ์มีแก่ผู้เขียน จำ พ.ศ. ไม่ได้ ปีนั้น คิดกับ พระมหาวิจิตร ว่า ปีหน้า งานทำบุญวันเกิดของสมเด็จฯ เราช่วยอีกแรงหนึ่ง เรื่องการหารือปรึกษานั้น ไม่มีความจำเป็น ถ้าเราคิดว่า เราจะทำอะไร ก็ไปถามท่าน

ท่านอนุญาตไหม ถ้าท่านเห็นควร เราก็ทำ ท่านไม่เห็นสมควร เราก็ไม่ทำ ท่านให้ตัด เราก็ตัด ท่านให้เติม เราก็เติม ไม่ต้องไปนั่งวางแผนให้ท่านรำคาญ เมื่อเห็นชอบร่วมกันแล้ว ก็ไปวัดสาม
พระยา ปรึกษากันที่บ้าน ท่านพล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ที่ซอยสายลม เวลาประมาณ ๘ น.เศษ ไปวัดสามพระยา ถึงเวลาประมาณ ๙ น.เศษ เมื่อไปถึง เห็นสมเด็จฯ ท่านนั่งอยู่ที่รับแขก จึงเข้าไปกราบท่าน

เมื่อกราบครบสามครั้ง พอเงยหน้าขึ้นมา ท่านพูดก่อนเลยว่า ปีหน้าที่จะทำอะไรนั้น เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน จะให้ทำอะไรก็บอกมา เอาด้วยทุกอย่าง เป็นอันว่า ทั้งสององค์ก็ตกใจ คิดว่า เราคุยกันแค่ ๒ คน ไม่มีใครรู้ ทำไมสมเด็จฯ ท่านจึงรู้และมีอีกหลายรายการ ที่มีลักษณะอย่างนี้ ฉะนั้น เรื่องเงินที่ท่านพูดว่าจะยืมนี้ คงไม่ใช่เจตนาจะยืม คงเป็นเรื่องที่เข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามแบบฉบับของพระนั่นเอง

ขอบอกข่าว

เป็นอันว่า วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๓๔ (น่าเสียดายที่งานวันเกิดของท่านไม่ตรงกับวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์ ถ้าตรงวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์ คนว่างจากงาน จะมีคนมาทำบุญในงานมากกว่าปกติเยอะ) เป็นงานวันเกิดของสมเด็จฯ วัดสามพระยา ถ้าท่านทั้งหลายพอมีเงินเหลือบ้างวันละ หรือเดือนละบาท สองบาท ค่อยรวมไว้ เอาไปช่วยท่านชำระหนี้ตามที่ท่านประกาศไว้

ภาพพระจริยาของสมเด็จพระสังฆราช

ภาพพระจริยาของสมเด็จพระสังฆราช ที่กราบมนัสการสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ที่ผู้เขียนประทับใจมาก และเคารพท่านมากขึ้นเป็นพิเศษ จะดูได้จากภาพถ่ายวิดีโอ คุณปรีชา พึ่งแสง ถ่ายไว้ เป็นภาพที่ทำให้คนดีทุกคน คลายมานะทิฏฐิลงได้มาก เว้นไว้แต่คนเลวเท่านั้น ที่รักษาความดีส่วนเลวของตนไว้ได้อย่างมั่นคง

คติประจำใจของผู้เขียน

เราไม่ถือ นิกาย หมู่คณะ หรือสมาคม เป็นสำคัญ เราถือบุคคลเป็นสำคัญ ที่คิดอย่างนี้เพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านแสนดี แต่ศิษย์ของท่านที่เลว ๆ ก็มีหลาย

ขอหยุดเพื่อหายใจเพียงเท่านี้

พระราชพรหมยาน
๒๔ มีนาคม ๒๕๓๓ เวลา ๒๑.๐๕ น.

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 23/5/12 at 15:37

2

ผีวัดบางนมโค หญิงสาวถูกคุณ ก่อนบวช

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ เป็น วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๓๓ เป็นวันบันทึก แต่ถึงแม้ว่าการบันทึกจะเลยมา แต่ก็เรื่องที่จะพูดกัน ก็พูดก่อนเทปก่อน นั่นก็หมายความว่า คราวก่อนไปหยิบเทปผิด ว่าจะหยิบเทปสอง ไปหยิบเทปสามมาบันทึกเข้า วันนี้ก็ต้อง ขึ้นบันทึกเทปสองกันใหม่ เรื่องที่เขียนไว้ข้างหน้า เขียนว่า ผีวัดบางนมโค แต่ความจริงก็มานั่งคิดว่า จะพูดกันเรื่องผีอย่างเดียวมันก็ไม่ดี จะเฝือเกินไป เอาเรื่องความจริงที่ไม่คิดว่าจะมีมาคุยกันก่อนดีกว่า

นั่นก็คือว่า เมื่อสมัยที่อายุครบบวช อยากจะบวชในพระพุทธศาสนา บรรดาบิดามารดา ท่านผู้ใหญ่ทุกคน ท่านก็มีความเลื่อมใสใน หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อาตมาเองก็มีความเคารพในท่าน แต่ก็เป็นการเคารพอย่างเด็ก ถ้าพูดกันถึงสมัยเป็นเด็กแล้ว ก็สู้เด็กสมัยนี้ไม่ได้ สมัยอาตมาเป็นเด็กไม่เคยถวายสังฆทาน ไม่เคยเจริญกรรมฐาน

ในชีวิตของความเป็นเด็ก ได้เคยฟังเทศน์นิดเดียว ปลายกัณฑ์ ไม่ใช่ครึ่งกัณฑ์ ไปยืนฟังพระท่านเทศน์คู่ คือ ท่านมหาเดช กับพระครูอุดมสมาจารย์ ท่านเทศน์ในงานเผาศพของป้า บังเอิญไปปลายกัณฑ์จริง ๆ ฟังแล้วก็ชอบใจได้ฟังเท่านั้นเอง เป็นอันว่าชีวิตสมัยเด็ก ไม่ได้ดีไม่ได้เด่อะไรเลย เอาว่าชีวิตก่อนบวชก็แล้วกัน เป็นคนนับถือพระพุทธศาสนาแต่เพียงชื่อ

พ่อแม่เป็นคนนับถือพุทธศาสนา เราก็นับถือเหมือนกัน พระก็ไหว้ แต่พระบางองค์ก็นึกว่าท่านเป็นเพื่อน บางทีก็ไปคุยกับท่านเหมือนกับคุยกับเพื่อน ไม่ได้แสดงความเคารพ แต่บางองค์ก็แสดงความเคารพ ที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่คนฉลาด เป็นความโง่ของคน ขอคุยให้ฟังสักนิดหนึ่ง ทีนี้เมื่อคนที่ถึงความโง่ เข้าถึงเขตการบวช ก็ไปขอรับอาสาเป็นนาคที่วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

หลวงพ่อปานก็มอบให้ หลวงพ่อเล็ก เกสโร เป็นอาจารย์ควบคุม และท่านสมภารเย็น เป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อปานไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส ลูกศิษย์ท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านสมภารเย็นเป็นผู้ควบคุมการฝึกการขานนาคขอบรรพชา ตอนนั้นหลวงปู่ปานท่านก็รู้สึกว่ามีความเมตตามาก เวลาหลังจากฉันเพลแล้ว หลวงพ่อปานก็ลงรับแขก ตอนเช้าท่านฉันข้าวเสร็จทำวัตรเสร็จ

ท่านก็จำวัด ตามลีลาของพระแก่ ในขณะที่ท่านรับแขก แขกของท่าน ก็คือ คนไข้ เวลานั้นรถยนต์ไม่ต้องพูดกัน เรือยนต์ก็หายากเต็มที เรือเมล์ก็มีประจำวันละเที่ยว เช้าล่องมากรุงเทพฯ แล้วก็ตอนเย็น ๆ ก็ขึ้นไปจากกรุงเทพฯ ๑ เที่ยว คนไข้ทุกคนก็ต้องมาเรือ และเวลาที่ท่านรับแขกอยู่ รับคนไข้อยู่ คนไข้ของท่านมาก วัน ๆ หนึ่ง ถ้าจะนับเป็นวันเฉลี่ยแล้วไม่น้อยกว่าวันละ ๕๐ ราย

บางวันถึง ๒๐๐ ก็มี บางวัน ๑๐ คน ๒๐ คนก็มี แต่ต่ำกว่า ๑๐ รายนี่ไม่มี ท่านให้การรักษาพร้อมกับการแนะนำการปฏิบัติธรรม เป็นการรักษา และแนะนำการปฏิบัติธรรมที่ฉลาดมาก คุยแบบกันเอง เล่านิทานอย่างนี้ เล่านิทานอย่างโน้น ชักนิยายอย่างนี้มา ชักนิยายอย่างโน้นมา ก็มารวมลงท้ายบอกว่า ทุกคนที่เกิดมาแล้วมันเป็นทุกข์ อย่างพวกทุกคนที่มาที่นี่

เวลานี้ทุกคนมีแต่ความทุกข์คือ คนไข้ก็ทุกข์ เจ้าของไข้ก็ทุกข์ อย่างนี้เป็นต้น เอาแค่นี้นะ แล้วท่านก็คุยเรื่องสนุกต่อไป แล้วมาย้อนหลังอีกทีว่า ในที่สุดเราก็ตาย แล้วก็คุยเรื่องอื่นไปอีกจนกระทั่งเพลิน เผลอไปแล้ว ในที่สุดก็บอกว่า ถ้าทำบุญ ตายแล้วไปสวรรค์ เป็นต้น ก็เป็นอันว่า เหตุผลของท่านดี ท่านไม่ได้พูดอย่างนี้หรอก นี่ย่อให้ฟัง

มาวันหนึ่ง ขณะที่ท่านกำลังเสกยาให้กับคนไข้ ก็มีสาวน้อยคนหนึ่ง อายุไม่แน่นอน อาจจะเป็น ๑๔ - ๑๕ ในช่วงนี้ ไม่เกิน ๑๖ ความสูงของเธอไม่ถึง ๑.๕๐ เมตรแน่ เป็นสาวเด็ก ๆ มีคนหามมา ๔ คน พอขึ้นจากท่า มันก็ไกลจากที่รับแขก พอท่านเห็นเข้า ท่านก็บอกว่า มาแล้ว อีหนูนี่มาเป็นครั้งที่ ๓ คราวนี้ถ้าช้านิดเดียวตาย แล้วท่านก็หันมาพูดด้วย

บอกว่า ที่ฉันพูดนี่นะ จำไว้ว่า เด็กคนนี้ถูกเขาทำมาแล้ว ๒ ครั้ง แล้วหลวงพ่อก็ช่วยไปแล้ว ๒ ครั้ง ครั้งหลังนี่เธอคงจะเผลออีก หลวงพ่อทำยันต์คล้องคอไปให้แล้ว ยันต์ทอ ทำยันต์ทอคล้องคอไปให้แล้ว แต่เธอคงจะถอดยันต์ ถ้าถอดเป็นมีเรื่องแน่ ก็เป็นอันว่า เขาก็หามมา ท่านก็เลยบอกว่า เอาวางไว้ที่อาบน้ำมนต์เลยก็แล้วกัน คนก็นั่งคุมอยู่ ท่านก็ถามบอกว่า ไอ้หนู ทำไมถึงเป็นใหม่

แม่เธอก็บอกว่า มันจะเข้าส้วมเจ้าค่ะ มันเกรงว่ายันต์ทอที่หลวงพ่อให้ไป เข้าส้วมจะเสื่อม ก็เลยถอดแขวนไว้ที่หน้าห้องส้วม คิดว่าจะป้องกันได้ แต่ว่าพอเดินห่างจากยันต์ทอเท่านั้นเอง ล้มทันที ไม่รู้สึกตัว แล้วก็พามาหาท่าน ท่านก็บอกว่า ฉันบอกไว้แล้วว่า อย่าถอด ๆ จะขี้ จะเยี่ยว มันไม่เป็นไร ของ ๆ ฉันไม่มีเสื่อม ของพระพุทธเจ้าของท่านไม่มีเสื่อม เพราะทำด้วยบารมีพระพุทธเจ้า

ท่านก็เลยหันมาบอกว่า ไอ้สามคนนี่ ใครเคยเป็นหมอรดน้ำมนต์บ้าง ทุกคนก็นั่งเงียบ เพราะคำว่า น้ำมนต์ นี่ไม่เคยชอบกันมาเลย ไม่เคยรู้จักเรื่องของน้ำมนต์มาก่อน ท่านก็เลยชี้มาที่คนพูดบอกว่า เอาเอ็งก็แล้วกันวะ ทั้งสามคนนี่ มีเอ็งคนเดียวที่สงสัยมากที่สุด ในเมื่อคนไหนสงสัยมาก คนนั้นเป็นคนรดน้ำมนต์ เอาแล้ว อยู่ ๆ ก็กลายเป็นหมอรดน้ำมนต์ไป ก็ดีเหมือนกัน โก้ดี

ก็ถามท่านว่า เวลารดน้ำมนต์ว่าคาถาอะไรขอรับ ท่านก็บอกว่า แกไม่ต้องว่า มีหน้าที่รดอย่างเดียว น้ำตุ่มใหญ่ พอไปถึงที่ตรงนั้น ท่านก็บอกให้คนที่กำลังอุ้มเด็กอยู่ ให้วางเด็กลงไปกับพื้น ให้นอนลงไป แล้วไอ้เจ้านั่น รดเข้าไป ก็รด มีหน้าที่รด ก็รดมันส่งเดช ก็ไม่เคยเห็นใครเขารดกันสักที ก็ตักน้ำรด ท่านบอกสาดลงไป รดจากหัวสาดไปถึงเท้า ก็สาดไป

แล้วตัวท่านเองท่านก็ไม่ทำอะไร ท่านก็นั่งคุยโอ้ ประเดี๋ยวถ้าเราจะรดกำลังต่ำลงสักหน่อย ท่านบอก รดเร็ว ๆ เข้า ๆ พอรดน้ำมนต์ไปสัก ๒ - ๓ ขัน บรรดาท่านผู้ฟัง ท่านผู้อ่าน เด็กคนนั้นดิ้น ตูม ๆ ๆ ดิ้นขนาดหนัก เมื่อขณะเด็กดิ้นขนาดหนัก เมื่อก่อนยังไม่รู้สึกตัวเลยนี่ ท่านบอก รดเข้า ๆ คนจะเข้าไปจับ ท่านบอก ไม่ต้องจับ ปล่อย ปล่อยให้ดิ้นไป อยากจะดิ้นไปอย่างไรให้ดิ้นไป

ชานมันใหญ่ ไม่หล่น แกก็ดิ้นวนไปวนมา ในที่ประมาณ ๑ เมตร ในที่สุดแกก็เริ่มมีแรงหนักขึ้น ดิ้นหนักขึ้น ขั้นสุดท้ายปลายสุด ที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ เธอฉีก เสื้อของเธอที่เป็นเสื้อชั้นในตัวเดียว เมื่อฉีกเสื้อออกก็ปรากฏว่า เห็นหัวฝีสองหัวที่อกเธอเป็นฝีหัวโต แสดงว่า สูญไม่ได้ด้วย ฝีสองหัวนี่ เพราะว่า ไม่ทราบว่ามันเป็นขึ้นมาได้อย่างไร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน

มาเจอะก้อนเนื้อหน้าอกของเธอเข้า แต่ก็ตอนนั้นมันคิดอะไรกันไม่ได้ แต่ที่พูดหมายความว่า ตามธรรมดาคนเขาอายกัน แต่เวลานั้นเธอไม่ได้อาย มีตัวล่อนจ้อน แต่ไม่ได้แก้ผ้า ก็ดิ้นไปดิ้นมา ดิ้นมาดิ้นไป แกดิ้นอยู่สักพักใหญ่ น้ำตุ่มใหญ่ ๆ อาตมาผู้พูดนี่ รดไปประมาณสักครึ่งตุ่ม เธอก็ล้มฟุบลง คำว่า ล้มฟุบ ก็ก้มลงไปข้างหน้า อกก็ติดกับกระดาน อกติดพื้นเลย

หลวงพ่อปานบอก รดเข้า ๆ เราชนะแล้ว ๆ รดเข้า ไม่เห็นท่านว่าคาถาอะไร ท่านคุยโอ้ บอก เอ้า ตรงนี้ รดเข้าไป ๆ เราชนะแล้ว ๆ ไอ้ในตุ่มนั่นก็มีแต่น้ำ ในที่สุดขั้นสุดท้าย เด็กคนนั้นนอนนิ่งอยู่นาน รดไปน้ำเกือบจะหมดตุ่ม เธอค่อย ๆ ขยับตัวเหมือนกับคนปกติ ลุกขึ้นมา พอเงยหน้าขึ้นมา มีดโต้เล่มขนาดใหญ่ เป็นสนิม เขาผูกกับสายกระสันสามเปลาะ หล่นเป๊งมาจากอกของเธอ

ความจริงบางคนที่ยืนที่นั้นนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนบางนมโคเอง มีคนบางนมโคหนุ่ม ๆ เขาบอกว่า บางทีมันจะเอามีดใส่ในหน้าอกเสื้อมันก็ได้ ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงเสื้อเขาฉีกทิ้งไปแล้ว ในเมื่อมีดหล่นเป๊งลงมา เธอมีความรู้สึกตัว ความอายเกิดขึ้น โดดผวาเข้าหาแม่ แม่ก็รีบเอาผ้าห่มให้ ก็เป็นอันว่า อาการป่วยทุกอย่างหายเป็นปลิดทิ้ง เป็นปกติคราวนี้

หลวงพ่อปานก็เอาตะกรุดทองแดงส่งให้ แล้วก็เอาเชือกส่งให้เส้นหนึ่ง บอกว่า อีหนูคล้องคอ ห้ามนำออกจนกว่าจะตาย ทีนี้มาถึงเรื่องเหตุผลว่า ทำไมเด็กคนนี้จึงป่วยแบบนั้น โดนเขากระทำ เรื่องมันก็มีอยู่ว่าความบ้าความบอของคน คือมีคนรักสาวคนนั้นอยู่ แต่ก็มาเจรจากับเธอ เธอก็ไม่ยอมรักด้วย ให้ผู้ใหญ่มาขอเธอก็ไม่ตกลง เธอก็ไม่ยอมรักด้วย ไอ้หนุ่มคนนั้นมันคงจะดีมาก

สาวไม่รัก ทีนี้เขาก็เกิดความเกลียดขึ้นมา โกรธ ในเมื่อเธอไม่รัก เธอไม่ยอมเป็นเมียของฉัน เธอก็จงอย่าเป็นเมียคนอื่น เขาอาจจะคิดตามนี้นะ นี่เขาไม่ได้บอก คนพูดพูดเอง จึงไปจ้างหมอมาทำคุณ ทำไสย ขั้นแรกเขาทำด้วยอะไรก็ไม่ทราบ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า ท่านช่วยไป ๒ ครั้ง แต่ครั้งที่สามนี่เล่นด้วย มีดโต้ มีดโต้นี่คิดว่าญาติโยมพุทธบริษัทคงจะรู้จัก มันยาวเกือบศอก

มีดโต้ขนาดใหญ่มาก ฝังอยู่ข้างใน นี่ก็เป็นความอัศจรรย์ครั้งแรกก่อนบวช หลวงพ่อปานก็อธิบายว่า ขึ้นชื่อว่า คุณไสย นี่เขาเรียกว่า ไสยศาสตร์ แต่พวกเราเป็นพุทธศาสตร์ พวกเราเป็นคนแก้ เป็นคนช่วยให้เขาพ้นทุกข์ แต่พวกนี้เขาทำให้คนอื่นมีทุกข์เป็นเรื่องของเขา พวกเราก็ต้องระวัง หลังจากนั้นมาก็ถึงเวลาบวช เมื่อถึงเวลาบวช ความจริงเรื่องนี้ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมีอยู่แล้ว ก็ไม่ขอเล่าให้ฟังละ

ใครอยากจะรู้เรื่องละเอียดก็ไปอ่าน หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ก็แล้วกัน นี่มานั่งคุยกันเป็นหนังสืออ่านเล่น ย้อน ๆ รอย หนังสือเล่มเล็ก ๆ เด็ก ๆ อ่านได้ เพราะเล่มใหญ่ ๆ เด็ก ๆ ไม่ชอบอ่าน อ่านไม่สะดวก พอบวชเสร็จ หลวงพ่อปานก็เรียกเข้าอบรม การอบรมของท่านก็มีอยู่ว่าให้เจริญกรรมฐาน การบวชเราต้องการอย่างเดียวคือ

นิพฺพาน สจฺฉิกิริยาย เอตํ กาสาวํ คเหตวา ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอรับ ผ้ากาสาวพัสตร์มา เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ให้คิดว่า เวลานี้เราบวชเพื่อพระนิพพาน

ครั้นถามท่านว่า พระนิพพานอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่า อย่าเพิ่งรู้เลยคุณเอ๊ย ทำไป ถ้าทำถึงมันรู้เอง ถ้าฉันจะบอกเธอว่า นอกจักรวาลโน้นมีอะไรบ้าง เธอฟังไปเธอก็ไม่เข้าใจ แต่ในเมื่อเธอไปถึงที่นั่น เธอจะรู้เอง ท่านก็แนะนำเรื่องกรรมฐาน แล้วก็นำเข้าป่าช้า อยู่กระท่อมกันคนละกระท่อม ๓ กระท่อม มันเดินเข้าหากันไม่ได้ เรื่องความเป็นมาละเอียดมีใน หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน

จะไม่พูดให้ฟัง จะพูดเฉพาะเหตุเฉพาะที่น่าจะคุยกัน ในเมื่อไปเจริญกรรมฐานในป่าช้า บรรดาท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง ถ้าเคยอ่านประวัติมาในกาลก่อน จะทราบว่า ผู้พูดนี่เป็นคนกลัวผีมากที่สุด เวลาเข้าห้อง กลางวัน ผู้ใหญ่ใช้เข้าห้อง เอาหน้าเข้า เดินเข้าไป เวลาออกมา ถอยหลังออกมา กลัวผีจะจับหลัง กลางวันแสก ๆ นะ เวลานอนสมัยนั้น มุ้งลวดมันยังไม่มี

แต่ที่ไหนเขามีก็ไม่ทราบ แต่บ้านเรามันจน ไม่มี มีแต่มุ้งธรรมดา ก็เอาไม้มาทับตีนมุ้ง กันมุ้งกระพือ กันผีเลิกมุ้งเข้ามา กลัวผีจะเข้า จะเลิกมุ้งเข้ามา นี่ความกลัวมันขนาดนั้น แต่ว่าตอนที่เข้าอยู่ในป่าช้า ก็มีความมั่นใจอย่างหนึ่งว่า เรามีอาจารย์ดี คือ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานท่านสั่งบอกว่า เธอจงอย่าเว้นจากการภาวนานะ ถ้าเราไม่เว้นภาวนา

ผี หรือเทวดาทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าผี หรือเทวดามาจะยืนห่างจากเราไป ๑ วา รอบตัว จะเข้ามาใกล้กว่า ๑ วาไม่ได้ ถ้าแค่ ๑ วา เขายังไม่สามารถจะจับเราได้ ไม่สามารถจะตีเราได้ เพราะมันยื่นมาได้แค่แขน วามันต้องสองแขน ก็รวมความว่า ก็มีความมั่นใจ ก็ภาวนา ต้องภาวนาแน่ ภาวนาว่า พุทโธ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ แต่ก่อนจะภาวนา ท่านแนะนำบอกว่า

ให้นึกถึง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก่อนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นของไม่เที่ยง ร่างกายเป็นของไม่เที่ยง ร่างกายเรา ร่างกายเขาก็เป็นของไม่เที่ยง ในเมื่อไม่เที่ยงไม่ทรงตัว เรานึกว่า มันเที่ยง มันทรงตัว มันก็เป็นทุกข์แล้วก็ตายในที่สุด นี่ว่ากันง่าย ๆ ไม่ใช่มาสอนกรรมฐานกัน ก็ทำตามท่าน เดินบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง ยืนบ้างตามชอบ อยู่ในป่าช้าชัฏมันมีทั้งนาก

มีทั้งเสือปลา มีทั้งกระต่าย มีทุกอย่าง ป่ามันรกชัฏ เวลานี้เขาถางเตียนหมดแล้ว ก็สบายหน่อยคืนแรก ดีมาก ไม่มีอะไรสำคัญ เป็นแต่เพียงว่า เวลาเข้านอนไฟตามกุฏิก็ดับ เวลานั้นยังไม่มีไฟฟ้า ในป่าช้าก็แสนจะมืด เวลาเข้านอน เสียงคนเดินรอบ ๆ บริเวณใกล้ ๆ ที่พัก ใกล้ ๆ กระท่อม เดินเท้าหนัก ๆ เหมือนทหารเดิน ปับ ๆ ๆ ๆ ก็นึกว่า ดีไม่ดี หลวงพ่อปานอาจจะมาเดินก็ได้ แต่ความกลัวมันไม่มี ก็ไม่นึกว่าผี

ครั้นตอนเช้ามาถามหลวงพ่อปาน ท่านบอกว่า เสียงที่เดินนั่นเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช คือ พวกคุณเพียงแค่คืนแรกนี่ เจริญกรรมฐานจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิแล้ว ถ้าคนใดเจริญกรรมฐาน จิตเข้าถึงตั้งแต่อุปจารสมาธิ เป็นต้นไป ท่านท้าวมหาราชจะส่งเทวดา ๑ องค์ มาอารักขาป้องกันผีต่าง ๆ ก็ชักยิ้มในใจ ทั้งสามคน ต่างคนต่างยิ้ม เพราะต่างคนก็สัมผัสเสียงนั้นเหมือนกัน

ระยะต่อมา วันที่สอง ตอนเช้าก็ออกมาบิณฑบาตกับเขา ทำวัตรทำวาเสร็จก็เข้าป่าช้าไป เงียบ บ้านใครบ้านมัน คิดว่า เราตั้งใจจะบวช จำศัพท์ได้ว่า นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย เอตํ กาสาวํ คเหตวา หลวงพ่อปานท่านแปลบอกว่า ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เราต้องการนิพพาน นิพพานจะอยู่ที่ไหน

ท่านบอกว่า ถ้าทำถึงเมื่อไร จะพบเมื่อนั้น เวลานี้เรายังมองไม่เห็น พูดไปก็ไร้ประโยชน์ เราต้องทำให้พบ เวลาก่อนภาวนาก็นึกถึงนิพพาน นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป นึกถึงหลวงพ่อปาน นึกถึงหลวงพ่อเล็ก นึกถึงหลวงพ่อจง หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อปั้น ว่ากันเรื่อยตามชอบอกชอบใจว่าตามสบาย นึกในใจไว้ แล้วขอให้ช่วยลงท้าย ช่วยให้พบความเป็นมาของนิพพาน หรือนิพพานจริง ๆ

แล้วมาตอนเวลาประมาณสัก ๔ โมงเย็นเศษ จิตมันนึกขึ้นมาหลังจากสรงน้ำเสร็จว่า พระพุทธเจ้าเมื่อสมัยที่ทรงพระชนม์อยู่มีพระรูปพระโฉมเป็นอย่างไร ถ้าบุญบารมีของเรามีจริง ถ้าชาตินี้จะพึงไปนิพพานได้จริง ขอให้เป็นภาพพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความจริงไม่จำกัดแต่วันนั้นนะว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะตาย

ขอให้ได้เห็นรูปพระพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนม์อยู่ ในสมัยที่มีชีวิต หลังจากนั้น ทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ๕ โมงเย็นเศษ ๆ ก็นั่งเล่นอยู่หน้ากระท่อม เอาหลังพิงกอไผ่ ที่ถางเสียเตียนแล้ว นั่งอยู่โคนกอไผ่ ลมพัดเย็น ๆ สบาย ๆ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ภาวนาว่า พุทโธ บ้าง คิดถึงพระนิพพานบ้าง ก็คิดในใจว่า ป่าช้าเขาเป็นที่เก็บผี ไม่ช้าเราก็เป็นผีเหมือนเขา

เมื่อคิดมาคิดไปตามนั้น ต่อมาก็ภาวนาว่า พุทโธ จิตก็สงบ ตอนหลังนี่ไม่เอาแล้ว ไม่คิดแล้ว เอา พุทโธ อย่างเดียว จิตสงบ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ขอไปที่นั่น ตั้งใจตามนี้ คิดไว้ก่อน คิดว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ขอไปที่นั่น อย่างไร ๆ เราก็ตายกันแน่ แล้วก็ภาวนาว่า พุทโธ ๆ ๆ ๆ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ ลมหายใจอ่อนลงไป ทีละน้อย ๆ ๆ

มีความรู้สึกน้อย จนกระทั่งมีอารมณ์วูบ อารมณ์วูบ วื้ด คล้าย ๆ กับตกจากที่สูง แล้วก็ยกขึ้นจุดปั๊บ มีอารมณ์สงัด มีอารมณ์โปร่ง เบา มีความสุขมาก ปรากฏมีอาการสว่างมาก ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ลืมตา สว่างจ้าข้างหน้า รู้สึกชื่นใจ พอมองไปข้างหน้า เห็นแท่นใหญ่สวยมาก เป็นแท่นทองประดับแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ สวยสดงดงามมาก แล้วก็มีพระนั่งอยู่บนแท่นองค์หนึ่ง

แล้วก็มีคนนั่งใกล้ ๆ แท่น คนหนึ่ง เป็นผู้ชาย ผิวดำ รูปร่างทรวดทรงตามปกติ หมายความว่า ทรวดทรงธรรมดา ๆ ไม่อ้วน แล้วก็ไม่ผอม แต่ว่าผิวดำ เสียงพระท่านเรียกว่า มหาพุฒ ๆ คำว่า มหาพุฒ เป็นชื่อของคน ๆ นั้น เมื่อมองดูพระองค์นั้น ท่านก็ยิ้ม สวยจริง ๆ ผิวเหลือง เหลืองมาก จีวรท่านก็เหลือง คล้ายสีทอง เนื้อก็เหลืองใกล้ ๆ กับสีจีวร ส่วนสัดต่าง ๆ สมบูรณ์ทุกอย่าง

สวยจริง ๆ แขนก็กลมบ่อง นิ้วก็กลมบ่อง จะมีริ้วรอยสักนิดหนึ่งก็ไม่มี สวยจริง ๆ พระเนตร คือ ลูกตาก็สวย คิ้วก็สวย คางก็สวย ปากก็สวย แหม...อีตอนนี้ลืมคนรัก ลืมสาวที่เคยรักว่า เคยสวย มันเทียบกันไม่ได้เลย ความสวยทำให้จิตใจปลื้มมีอารมณ์ปีติ เวลานั้นกำลังหลับตาอยู่ แต่นึกในใจว่า คำว่า อุปาทานนี่ ชาวบ้านเขาชอบพูดกัน แต่ว่า การเห็นภาพแบบนี้

หลวงพ่อปานก็ไม่เคยห้าม แต่ก็ยังไม่แนะนำให้การจับภาพ ในวันแรกเลยไม่รู้เรื่อง เห็นภาพ ก็อยากดูภาพนั่น ดูเสียชื่นใจ นาน หลับตา ลองลืมตาขึ้นมาก็เห็นแฮะ หลับตากับลืมตาเห็นเท่ากัน เสียงท่านบอกว่า ลืมตาก็ได้ หลับตาก็ได้ แล้วเสียงท่านถามว่า ต้องการนิพพานรึ ก็กราบเรียนบอกว่า ต้องการนิพพาน

ถามท่านว่า ท่านเป็นใคร กราบท่านก่อนนะ ตอนนั้นก็เหมือนกับคุยกับคนธรรมดานี่แหละ แต่โอ้โฮ...แท่น หน้าตักท่านประมาณสัก ๘ ศอก แล้วที่บริเวณเวลานั้นมันไม่ใช่กอไผ่นี่ เวลาที่เห็นท่าน มันเหมือนกับนั่งอยู่ในวิหารใหญ่ ๆ เหมือนในวังอะไรก็ไม่รู้หรอก เหมือนธรรมดา ๆ ไม่มีกอผ่งกอไผ่ ความจริงเรานั่งอยู่ที่กอไผ่ ถามว่า ท่านเป็นใคร ท่านถามว่า เธอนึกถึงใครล่ะ

ขณะที่ภาวนานึกถึงใคร ตอนท้ายนี่ ก็เลยบอกท่านบอกว่า ก่อนที่ชีวิตจะตาย อยากจะมาพบพระพุทธเจ้า อยากจะเห็นพระรูปพระโฉมของท่านสมัยที่มีพระชนม์อยู่ ท่านก็เลยบอกว่า เธออยากเห็นใคร ฉันก็คือบุคคลคนนั้น พอท่านพูดอย่างนั้น ก็มีความเข้าใจจริงว่า นี่คือ พระพุทธเจ้า ลุกขึ้นกราบอีก ๓ ครั้ง ท่านบอกว่า แค่กราบเฉย ๆ นี่ดีมาก ถ้าจิตใจยังคิดอยากกราบอยู่

ถ้านึกอยากจะกราบ แต่ยังไม่ทันจะกราบ ก็มีบุญแล้ว เวลาตายก็ตกนรกไม่ได้ แต่ความจริง ถ้าอยากจะให้มีคุณจริง ๆ มีอานิสงส์จริง คือ ไม่ต้องกราบด้วยกายก็ได้ นึกกราบในใจไว้เรื่อย ๆ เมื่อนึกถึงตถาคตเมื่อไรก็ตั้งใจกราบ แล้วก็จงจำภาพนี้ไว้ ภาพนี้จะปรากฏให้เธอเห็นชัดทั้งหลับตาและลืมตา เป็นครั้งแรกในชีวิตจำภาพนี้ไว้ให้ดี ต่อไปจะไม่เห็นอีกละ แต่ว่าถ้านึกเมื่อไร

ภาพนี้จะปรากฏกับใจของเธอทันที ให้เธอจำภาพนี้ไว้ ถ้าเธอจำภาพนี้ไว้เพียงใด คำที่อาจารย์
ของเธอสอนว่า นิพพานมีจริง แต่ไม่สามารถจะบอกได้ ภายในไม่ช้านัก เธอจะพบนิพพาน ก็ถามท่านบอกว่า จะพบนี่ จะพบเมื่อตายแล้ว หรือยังไม่ตาย ท่านบอกว่า คำว่า ตายแล้วมันไม่มีความหมาย ต้องพบกันก่อนตายซิ ของมีจริงนี่ เมื่อเราทำจริง ตั้งใจจริง แต่ก็อย่าลืมนะ

อันดับแรก สังโยชน์ ๓ บารมี ๑๐ ต้องครบ สังโยชน์ ๓ ต้องตัดให้ได้ และตัดเรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะถึงสังโยชน์ ๑๐ แต่จะตัดได้ หรือไม่ได้ นี่ไม่เป็นไร ถ้ากำลังใจมีความมั่นคงในพระพุทธเจ้า เธอมีความมั่นคงในบารมี ๑๐ ประการ เธอจะพบนิพพานในชาตินี้

เอาละ บรรดาท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ก็เหลือเวลาอีกเพียง ๑๓ วินาที ก็หมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 18/6/12 at 14:26

3

ผีมาขอส่วนบุญ



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็มาคุยกันต่อ ตอนก่อนนั้นเห็นพระพุทธเจ้า ท่านผู้ฟังสงสัยหรือไม่สงสัย ไม่เกี่ยว หนังสืออ่านเล่น เราก็อ่านกันไปเล่น ๆ คุยกันไปเล่น ๆ แต่เรื่องจริง หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก จิตใจก็มีความมั่นคงในพระพุทธเจ้า นึกปั๊บเมื่อไรเห็นทุกที ๆ จิตใจชุ่มชื่น มีอารมณ์ปีติ มีความผ่องใสมาก ผิวพรรณก็ดีขึ้นเพราะความแจ่มใสของจิต

ตอนนี้เราก็มาคุยกันถึงคืนที่สาม คืนที่สามของการเจริญกรรมฐานของพวกเราทั้งสามคน แต่อยู่คนละที่ มันเงียบสงัด ต่างคนต่างกลัวผี แต่ผู้พูดนี่ เวลากลัวผีขึ้นมาเมื่อไร ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าเมื่อนั้น นึกถึงเมื่อไร ภาพนั้นก็ปรากฏทันที เหมือนภาพเดิมทุกอย่าง ผู้ฟังหรือผู้อ่านอาจจะคิดว่า ท่านบอกว่า จะเห็นครั้งแรกในชีวิต นั่นหมายความว่า ท่านจะมาให้เห็นโดยที่เราไม่คิดถึงท่าน

แต่ท่านบอกว่า ถ้านึกถึงเมื่อไร จะปรากฏเมื่อนั้น พอนึกถึงเมื่อไร ใจจะเห็น เห็นจากทางใจ ตอนนี้ทางตา ลืมตาก็เห็น จิตมันเห็นเหมือนกับลืมตาเห็น เห็นชัดเจนมาก คำว่า กลัวผี ก็คลายตัวไป คำว่า คลายตัว บรรดาท่านพุทธบริษัท มันยังไม่หายไปนะ มันคลายไปเฉย ๆ นะ ในเมื่ออาการคลายตัวไปแล้ว ก็ปรากฏว่า วันนี้เป็นวันที่สามของการบวช การเจริญกรรมฐาน

มีความมั่นใจในพระพุทธเจ้า จับพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพลิดเพลิน การเพลิดเพลินในภาพของพระพุทธเจ้านี่ ก็เลยมีการพูดน้อย สนใจอย่างอื่นน้อย เพื่อน ๆ ที่เคยล้อ เคยเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่สามองค์ พระประจำวัด และอีกสององค์เขาก็มีสภาพเหมือนกัน เมื่อผู้พูดเคยเห็นพระพุทธเจ้า ตอนเช้าเขาก็เล่าให้ฟังว่า เขาก็เห็นเหมือนกัน

เป็นอันว่า ภาพ ๆ เดียวกัน เห็นกันได้ทั้ง ๓ องค์ ฉะนั้น คืนนั้น กำลังจิตตั้งแต่หัวค่ำ เวลาประมาณสักทุ่มเศษ ๆ เมื่อนึกถึงภาพพระพุทธเจ้า เห็นภาพชัดเจนแจ่มใสเหมือนเดิม จิตก็เริ่มเป็นสุข จิตจับเฉพาะที่ตรงนั้น จนกระทั่งไม่ปรากฏว่ามีลมหายใจเข้าออก มันทรงตัวอยู่นานแสนนาน มารู้สึกตัวขึ้นมาอีกที ไม่รู้ว่าเวลาเท่าไร ความจริงไม่ใช่หลับมีความสุขมาก มีจิตสงัด มีอารมณ์เฉย

จิตข้างในก็สว่างจ้า จิตไม่คิดถึงเรื่องอื่นเลย เห็นแต่พระพุทธเจ้าอย่างเดียว ชัดเจนแจ่มใสมาก จิตเป็นสุข ในเมื่อลมหายใจไม่ปรากฏ มันก็เป็นอาการของ ฌาน ๔ มารู้ตอนเช้า ที่หลวงพ่อปานท่านบอก ตอนนั้นยังไม่รู้ หนังสือหนังหายังไม่เคยอ่านกับเขา หนังสือจะอ่านอย่างเวลานี้ไม่มีหรอก ต้องอ่านหนังสือขอม หนังสือขอมก็ยังไม่ได้อ่าน หนังสือไทยก็หายากเต็มที

คำว่า วิสุทธิมรรค เป็นตำรา บ้านนอกก็ไม่มีจะซื้อ เวลานี้ตำรามีเยอะ ครูบาอาจารย์มีเยอะ แต่ว่าคนทำ นักปฏิบัติก็เก่งจริง ๆ ไม่ค่อยจะไปไหนกันหรอก ดีไม่ดีก็เลยสงสัยพระพุทธเจ้าเสียส่งเดชก็ยังมี บางรายบอกว่า อ่านหนังสือมาตั้งหลายเล่มแล้วไม่เข้าใจ เคยมาที่ผู้พูด เขาบอกว่า อ่านหนังสือหลวงพ่อมาหลายเล่มแล้ว ผมไม่เข้าใจ ก็เลยบอกเขาง่าย ๆ บอกว่า

ถ้าคุณอ่านมาหลายเล่ม ไม่เข้าใจ คุณก็เป็นคนที่ฉันสอนไม่ได้ ไม่ต้องแนะนำอะไรกันเลย เลิกกัน รำคาญ คนที่ไม่สนใจจริง จะไปสนใจเขาทำไม ไม่เป็นเรื่องเป็นราว หลังจากที่จิตเกิดความรู้สึกขึ้น คลายอารมณ์ ตอนนั้นไม่รู้สึกเรื่องของร่างกายเลย ยุงจะกินริ้นจะกัดบ้างหรือเปล่า ก็ไม่รู้ ลมจะพัดแรง ลมจะพัดต่ำ จะเย็น ก็ไม่รู้เรื่อง จิตมันเฉยสบาย

ที่เขาเรียกว่าเป็น เอกัคตารมณ์ กับอุเบกขา คือว่า เป็นอารมณ์ของฌานสี่ พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็เอาไฟฉายฉายดู เห็นนาฬิกาตีสองเศษ ๆ คิดในใจว่า จะนอนหรือยัง ก็มาคิดอีกทีว่า คนอย่างเราถ้ากลางคืนไม่ได้นอน กลางวันเราก็นอนได้ หลวงพ่อไม่ได้บังคับ การทำงานของท่านก็ไม่มีการบังคับใคร สุดแล้วแต่ใครจะทำ ก็ทำ ไม่เป็นไร ไม่ทำก็ไม่ได้ว่าอะไร

ก็เป็นอันว่า เมื่อเห็นนาฬิกาตีสอง ก็ลุกไปปัสสาวะ อุจจาระ ปัสสาวะ นี่มันเป็น นิพัทธทุกข์ นะญาติโยมนะ เป็นทุกข์ประจำ พอไปปัสสาวะกลับมา เสร็จเรียบร้อยดี ล้างหน้าล้างตาดีแล้ว นึกในใจว่า เอาอีกนิดเถอะ มันจะใช้เวลามากเวลาน้อยอย่างไรก็ช่าง มันยังไม่ง่วง ขณะที่เรายังไม่ง่วง อย่าปล่อยเวลาให้เป็นทุกข์ อีตอนนี้นั่งแบบสบาย ๆ

ตอนแรกก็นั่งสบายนะ บรรดาท่านทั้งหลายอาจจะถามว่า นั่งแบบไหน นั่งทีแรกที่เห็นภาพพระ นั่งเอาหลังพิงกอไผ่ ที่ถางไว้ดีแล้ว แล้วเหยียดขาไปทางทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ดูใบไม้ไหว ทำใจให้เป็นสุข พอเห็นพระเข้าแล้ว ทีนี้นั่งคุกเข่า นั่งพับเพียบ ว่ากันไปตามเรื่องตามราว มาตอนนี้ มานึกในใจว่า โอ้โฮ เราเป็นสุขมาก เมื่อกี้นั่งเหยียดขามาตั้งหลายชั่วโมง ตอนนี้มานั่งขัดสมาธิเถอะ

ก็เริ่มนั่งขัดสมาธิซ้อนตามแบบฉบับ หลังก็ยังพิงกอไผ่ตามเดิม พอเริ่มจับอารมณ์ปั๊บ จับอานาปานสติ คือ ลมหายใจเข้าออก พอหายใจเข้า นึกปั๊บ พอเริ่มหายใจออก ก็มีภาพคน ๆ หนึ่งเป็นผู้หญิง ตัวใหญ่มาก ถ้าจะวัดเอวกันจริง ๆ ก็ไม่เคยวัดกับเขาด้วยว่า มันเท่าไร่ต่อเท่าไร อาจจะเป็นร้อย ๆ ไอ้ที่เขาว่า ๓๐ – ๔๐ นั่นไม่ใช่ ต้องเป็นร้อยแน่ เอาอย่างนี้ดีกว่า

รูปร่างแกเกือบ ๆ เท่าตุ่มแดง ตุ่มมอญน่ะ ใหญ่มาก แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่ง มายืนอยู่ข้างหลัง ผู้ชายนั้นผอมเหมือนไม้ซีก เสียงผู้หญิงบอกว่า ท่านนั่งอยู่ที่นี่ไงล่ะ บอกท่านซิต้องการอะไร ๆ ในเมื่อเขาไม่บอก อาตมาก็เฉย อันนี้ก็ต้องขอโทษพระรุ่นพี่ ที่บวชมาแล้วตั้ง ๑๐ ปี เคยแนะนำ ท่านบอกว่า ถ้าผีมา ถ้าผียังไม่นั่งยกมือไหว้ จงอย่าอุทิศส่วนกุศลให้ นี่ต้องขอพูดซ้ำอีกทีว่า

เป็นความเลวของรุ่นพี่ ไม่ใช่การรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะรุ่นพี่อยู่กับครูบาอาจารย์ แล้วทำไมล่ะ ทำไมจึงจะต้องไปแนะนำกันแบบนั้น ทำไมจึงไม่ถามหลวงพ่อปาน หลังจากนั้นมา ก็ปล่อยเขาแบบนั้นแหละ สักครู่หนึ่งเขาก็หายไป พอตกเวลาเช้า ไปบิณฑบาตกลับมา ฉันข้าวเสร็จ หลวงพ่อปานท่านล้างชามเสร็จ ท่านก็หันไปหันมา ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้มีผู้หญิงเขาพาผู้ชายคนหนึ่งไปหาใช่ไหม บอกว่า ใช่ขอรับ แล้วเธอให้อะไรเขาบ้างล่ะ ก็เลยบอกกับท่านว่า ไม่ได้ให้ขอรับ

ท่านถามว่า ทำไมจึงไม่ให้ ก็ชี้ไปที่พระรุ่นพี่ ซึ่งมีพรรษา ๑๐ พรรษาเศษ ท่านบอกว่า ท่านเจริญกรรมฐานเหมือนกัน แต่ความจริงคงไม่ใช่ เป็นการคุยโม้มากกว่า บอก พระหลวงพี่องค์นี้ท่านบอกว่า ถ้าผีไม่ยกมือไหว้ อย่าอุทิศส่วนกุศลให้ หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่า ไปเชื่อไอ้เปรตนี้ นั่น…เอาเข้าแล้ว สงสัยว่า องค์นั้นเป็นเปรต เปโต เขาแปลว่า ผู้ละไปแล้ว คือ ละจากความเป็นฆราวาสมาเป็นพระ

นี่เปรต พระก็มีสภาพคล้ายเปรต ต้องอาศัยบุญกุศล คือ ญาติโยมให้กิน ถ้าญาติโยมไม่ให้กิน ก็ไม่ได้กินเหมือนกัน เปรตถ้าไม่ได้โมทนาส่วนกุศล เปรตก็ไม่ได้กิน พระ กับเปรตก็คล้ายกัน มีสภาพความเป็นอยู่คล้ายกัน ท่านผู้ฟัง หรือท่านผู้อ่านจะนึกว่าคนพูดเป็นเปรตด้วยก็ใช้ได้ ยอมรับเหมือนกัน แต่ว่าเป็นเปรตประเภทที่มีคนให้กินข้าว ให้ข้าวกิน เดี๋ยวมันจะเลยไป

เดี๋ยวจะเฉื่อยไป ว่ากันใหม่ ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ทีหลังไม่ต้องรอเขาสิ เขามีกรรมหนัก กฎของกรรม กรรมที่เป็นบาป มันไปกดปากเขา เขาไม่สามารถจะพูดได้ เห็นหน้าปั๊บไม่ต้องรอแล้ว ให้ทันที ก็เลยถามท่านว่า วิธีให้ทำอย่างไรขอรับ ท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ นี่เล่าข้ามไปนิดกระทัง มีอีกตอนหนึ่ง จะเล่าย้อนไปก็ยังดี เอาเป็นว่า

วันนั้นท่านบอกให้อุทิศเลย ก็ยังไม่ได้ถามวิธีอุทิศ ก็คิดว่า บทอุทิศส่วนกุศล ที่เขาอุทิศส่วนกุศลกัน บทยาว ๆ อิมินา ปุญฺญกมฺเมนฯ คงจะใช้ได้ พอคืนที่สี่ก็ปรากฏว่า สภาพนั้นปรากฏอีก เมื่อสภาพนั้นปรากฏอีก ตอนนี้ว่าบท อิมินาฯ ไม่ทันได้ครึ่ง ก็มีคน ๒ คน เอาโซ่มาคล้องคอชายคนผอม ๆ ลากไปเลย พอตื่นขึ้นเช้ามาบิณฑบาตเสร็จ หลวงพ่อปานท่านมองหน้า ฉันข้าวเสร็จ

ท่านบอกว่า ว่าอย่างไร พ่อคุณ พ่ออิมินาคล่อง มันจะได้กินอย่างไร อิมินาฯ มันแปลว่าอย่างไร พุทโธ่ อิมินาฯ เรายังว่าไม่ค่อยได้ ถามแปลเสียอีก ก็บอกว่า ไม่รู้ ท่านก็แปลให้ฟัง ท่านบอกว่า มันไม่ตรงกับความมุ่งหมาย ทีหลังเอาอย่างนี้นะ วันนี้เขามาอีก คนที่นำมานั่นเป็น ภุมเทวดาประจำวัด เขาเป็นผู้หญิง เขาเป็นเทพธิดา ก็ถามว่านางฟ้าน่ะเคยสวยครับหลวงพ่อ

ทำไมตัวขนาดตุ่มล่ะ ท่านบอกว่า นางฟ้าจริง ๆ ตัวมันเลยตุ่มนะ เห็นแค่ตุ่มน่ะมันเล็กลงมาแล้ว เขากลัวคุณจะวิ่งหนี ก็เลยนึกในใจว่า ถ้าเราสึกไปนะ ใครให้แต่งงานกับนางฟ้า ไม่เอาแน่ จะให้ล่อกับแม่พ้อมนี่ไม่ไหวหรอก เดี๋ยวแม่พ้อมแกทับตาย พ้อมมันโตกว่าตุ่ม ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ใช้ง่าย ๆ นะว่า ผลบุญใด ที่ฉันบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ต้น

คำว่า ต้น หมายความว่า ชาติไหนก็ได้ ใช้คำว่า ต้น จนกระทั่งปัจจุบันที่สะสมมีอยู่ ผลบุญนี้จะพึงมีกับฉันเพียงใด จะมีประโยชน์ความสุขกับฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนา ได้รับผลเช่นเดียวกับฉัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พอฟังแล้วก็ชื่นใจ กราบท่าน ท่านก็แนะนำพระทุกองค์บอกว่า จำไว้นะ ไอ้ประเภทที่รอให้ผีมากราบก่อนน่ะ ใครเขาสอนกันนะ

นี่ฉันไม่เคยสอนใครเลย แล้วบรรดาพวกครูทั้งหลายที่ชอบสอนน่ะ ทำได้แล้วหรือยัง นี่ทั้งสามคนนี่เขามาแค่วันที่ ๓ เขาได้ฌานสี่แล้วนะ จิตเขาทรงฌานสี่แล้ว พวกเราได้อะไรกันบ้าง พระพวกนั้นท่านก็เลยสำรวมกันทุกองค์ คำว่า สำรวม คือ นั่งก้มหน้านิ่ง ก็มีอยู่ ๒ องค์ คือ สมภารเย็น
กับหลวงพ่อเล็ก ท่านก็ยิ้ม ๆ มีเท่านั้นแหละ นอกจากนั้นสำรวมหมด คือ นั่งก้มหน้านิ่งหมด แสดงว่า ไม่เอาไหน


ต่อมา คืนรุ่งขึ้นก็มา คราวนี้มาคนเดียว แม่ตุ่มไม่มาแล้ว ไปติแกเข้า ก็มาคนเดียว เป็นผู้ชายลักษณะเดิม มาถึงก็มายืนปั๊บ พอเห็นมายืนปั๊บ ไม่ไหว้ไม่เว่ยล่ะ ไม่รอแล้ว บอก นี่เธอ ฟังฉันนะ ตั้งใจฟังให้ดี ฉันเคยบำเพ็ญบารมีมาตั้งแต่เมื่อไรก็ตาม ผลบุญบารมีตั้งแต่ต้น จนกระทั่งปัจจุบันที่สะสมไว้ จะพึงมีแก่ฉันเพียงใด และผลบุญนี้จะพึงให้ประโยชน์ความสุขแก่ฉันเพียงใด

ขอเธอจงโมทนา รับผลเช่นเดียวกับฉัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้านิพพาน เอาเข้านั่น ต่ออีกนิดหนึ่ง อย่างไร ๆ อดมีหางไม่ได้ เป็นอันว่า ชายคนนั้นทรุดตัวลงนั่ง ไม่ใช่ล้ม นั่งคุกเข่ากราบ กราบครั้งแรกลุกขึ้นมา รูปร่างตามเดิม กราบครั้งที่สองลุกขึ้นมา รูปร่างตามเดิม กราบครั้งที่สาม พอลุกขึ้นมา สภาพเปลี่ยนแปลงหมด เป็นเทวดาทั้งตัว หน้าตาสวยสดงดงาม

ผิวพรรณสวยมาก เปล่งปลั่ง ขาวเหลือง เครื่องประดับแพรวพราวเป็นระยับ สีขาวเป็นแก้วทั้งหมด ไม่เห็นเนื้อผ้าเลย ทั้งเสื้อ ทั้งผ้านุ่ง ไม่เห็นเนื้อผ้าเป็นแก้วซ้อนกัน ๒ - ๓ ชั้น สวยจริง ๆ ชฎาแหลมเปี๊ยบ แล้วเขาก็นั่งพนมมือ เขาบอกว่า ผมขอรับใช้ท่านตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้านิพพาน ถ้ามีอะไร ถ้าไม่เกินวิสัยที่ผมจะช่วยได้ ผมจะช่วยทุกอย่างขอรับ ก็โมทนา ขอบใจเขา

เขาก็หายไป เขาไม่หายวับหรอก ลุกขึ้นเดิน ค่อย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ แล้วก็เดินสูงขึ้น ๆ ๆ ๆ สูงขึ้นไปอีกหน่อย เห็นบ้านเขานี่ โอ้โฮ…วิมาน มันสามยอดแพรวพราวเป็นระยับ วิมานก็ใส เป็นแก้วใสเหมือนกับเพชรสะท้อนกับพระอาทิตย์ แพรวพราว แล้วในนั้นมีสาว ๆ สวย ๆ นางฟ้าไม่ใช่ตุ่ม ไม่ใช่พ้อม แหม…ยายตุ่มที่มาหาเรา สวย ๆ เสียหน่อยก็ไม่ได้ จะได้นึกรักสักนิด

นี่มาเป็นตุ่ม เป็นพ้อม แต่ว่าที่วิมานนั้น เขามันสวยจริง ๆ ทุกคนสวยหมด แพรวพราวจริง ๆ พอขึ้นไปแล้วรู้สึกว่า นางฟ้าทั้งหมดมากราบเขา ขอบคุณเขา ในฐานะเขาเป็นเจ้าของวิมาน เธอบอกว่า เธอคอยมานานแล้ว เวลามันนานมาคอยอยู่ กว่าเจ้าของวิมานจะมา นั่งตรงนั้นแหละไม่ได้เหาะไป แต่ฟังได้ยิน เห็นหมดเหมือนกับอยู่ใกล้ ๆ ฟังเขาพูดกันนี่เห็นหมด ได้ยินหมด

เขาก็บอกว่า ฉันอาศัยพระองค์ที่นั่งอยู่นั่น ท่านสงเคราะห์ นางฟ้าก็บอกว่า ฉันก็เห็นแล้วเหมือนกัน ในเมื่อภาพนั้นเลือนหายไป ก็นึกในใจว่า เรานี่มันโง่จริง ๆ ความจริงไอ้อาการอย่างนี้มันเป็นทรัพย์สมบัติของเรา ที่เราบำเพ็ญบารมีมากี่ชาติ กี่ภพแล้วก็ไม่รู้ จำไม่ได้ แล้วบุญบารมีนี้บันดาลจะให้เรามีวิมานขนาด ๓ ยอด แล้วก็ใสแจ๋วอย่างนี้ สวยสดงดงาม

มีเครื่องประดับประดามากมาย เครื่องใช้ทุกอย่าง ปลอดโปร่ง มีนางฟ้าเป็นพัน ความจริงที่เราให้เขาไปแล้วนี่นะ แล้วไอ้ที่เรามันจะเหลือ หรือไม่เหลือ ชักเริ่มสงสัยตัวเอง ในกาลต่อมา หลังจากนั้นก็หลับ ก่อนจะหลับก็นึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นภาพท่านชัดเจนสวยมาก สดชื่น เอาละ วิมานได้หรือไม่ได้ ก็ช่างหัวมันเถอะ มันจะเอาไปหมดแล้วก็ช่างมัน เราก็หาของเราใหม่

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้านึกถึงท่านอยู่ เห็นท่านอยู่ เราจะไม่ลงนรก อย่างไร ๆ วิมานหลังสุดท้ายมันคงจะเป็นของเราแน่ เราจะต้องเก็บไว้สักหลังหนึ่ง คือ ใครมาขอส่วนกุศล เราก็ให้ ๆ แต่ว่าขั้นสุดท้ายถ้าเราจะตาย ถ้าใครจะมาขอส่วนบุญของเรา เราจะไม่ให้ เราจะเก็บไว้อยู่เอง นี่ตามความรู้สึกเวลานั้นเป็นอย่างนี้จริง ๆ มันโง่มาก ในเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าท่านทรงแย้มพระโอษฐ์

ก็ไม่ได้ถามท่าน ก็ภาวนานึกถึงท่าน ประเดี๋ยวก็หลับ แต่กว่าจะหลับก็ได้ยินเสียงพระตีระฆัง พระตีระฆังนี่เป็นเวลาตีสี่ ก็หลับ เมื่อถึงเวลา ๖ โมงเช้าก็ตื่น นึกในใจว่าถึงเวลา ๖ โมงขอให้ตื่น ก็ตื่น เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็ครองผ้า ไปบิณฑบาต เมื่อไปบิณฑบาตเสร็จกลับมาฉันข้าว หลวงพ่อปานท่านนั่งหน้าวง ต้นแถว หลวงพ่อเล็ก รองลงมาอีกด้านหนึ่งก็เป็น สมภารเย็น

หลวงพ่อปานท่านฉันเสร็จ ล้างถ้วยล้างชามเสร็จ สำรับที่ท่านฉัน ท่านล้างเอง บาตรของท่าน ท่านก็เช็ดเอง ชามข้าวท่านก็เช็ดเอง เสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็เงยหน้ามา พอเห็นหน้ากันเข้า ในตอนต้นท่านบอกว่า ว่าอย่างไร เสียดายมากนักหรือ นี่ญาติโยมท่านผู้อ่านก็ดี หรือท่านผู้ฟังก็ดี ลองคิดดูว่า อาจารย์ของอาตมาน่ะ ท่านดีขนาดนี้ แต่ว่าคนในตำบลบางนมโค

หรือหลายตำบล จะเห็นความดีอย่างนี้หรือไม่ ก็ไม่ทราบ เพราะตามที่เป็นมาจริง ๆ คนใกล้ถิ่น คนท้องถิ่น กรรมฐานนี่ ไม่มีใครได้จริงเลย ที่พูดนี่ไม่ใช่นินทาเขานะ พูดตามความเป็นจริง พระที่เข้ามาบวชพระประจำตำบลก็เหมือนกัน ก็มีหน้าที่อย่างเดียว รับลาภสักการะจากครูบาอาจารย์ จากบารมีของครูบาอาจารย์ สึกไปแล้วก็แค่นั้นแหละ

เวลาบวชอยู่ก็ไม่ได้สนใจสมถวิปัสสนา ไม่มีหรอก เอาแต่แต่งตัวสวย ๆ เห็นสาว ๆ ไม่ได้ นี่ไม่ได้นินทาเขานะ พูดตามความเป็นจริง แล้วอาตมา ๓ คนนี่ เขาก็หาว่า บ้า เวลานั่งคุย เราก็นั่งคุยกันเบา ๆ เรื่องสวรรค์ เรื่องนรก เรื่องอะไรต่ออะไร เรื่องกรรมฐาน เขาก็ไม่พูดต่อหน้าว่า บ้า ต่อหน้าเขาก็ว่า ดี แต่ว่าเวลาเข้าบ้านไปพบพวกเขา เขาหาว่าพวกเรา ๓ คนนี่ บ้า

ที่รู้ก็เพราะว่า ชาวบ้านเขามาพูดให้ฟังว่าพระในนี้ไปพูดว่า ท่าน ๓ องค์นี้ บ้า ๆ บวม ๆ นั่งหลับหูหลับตาไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกัน เขาลืมตายังไม่สามารถจะเห็นอะไรได้ นี่หลับตา เสือกบอกเห็นผี เห็นสาง เห็นเทวดา แถมคุยกลางวงข้าวเสียอีกกับหลวงพ่อปานเสียด้วย หลวงพ่อปานก็คล้อยตามไป นั่น…ไปล่อหลวงพ่อปานเข้าอีก แต่บางคนนะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท

ที่เขาพูดนี่บางคนไม่ใช่ทุกคน ทุกคนเขามีความเคารพหลวงพ่อปาน แต่ว่าขาดการปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง ท่านก็ถามว่า เมื่อคืนนี้เสียดายมากหรือ ก็เลยกราบเรียนด้วยความจริงใจว่า เสียดายขอรับ ผมก็คิดในใจว่า ผมบำเพ็ญบารมีมากี่ชาติแล้ว ผมก็ไม่ทราบ แต่อีตานั่นแกเอาไปหมด หลวงพ่อปานท่านก็หัวเราะบอก คุณ ฉันนี่ดีใจเหลือเกินนะ ที่ฉันมีลูกศิษย์ที่ฉลาด ๆ แบบนี้

ฉันหามานานแล้ว ลูกศิษย์ฉลาดแบบนี้ มันหาไม่ได้ ถามว่า ทำไมขอรับ ก็ฉลาดเกินไปน่ะสิ ไอ้ฉลาดแบบนี้ ขาย ไม่มีใครเขาซื้อหรอก เพราะว่า การที่เธอเห็นแบบนั้นก็แสดงว่า บุญบารมีของเธอน่ะ มีอำนาจขนาดนั้น เธอบอกกับเขาแล้วทุกอย่างว่า ผลบุญที่มีนี้จะพึงมีประโยชน์ความสุขแก่ฉันเพียงใด ขอเธอโมทนา แล้วรับผลเช่นเดียวกับฉัน

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะเข้านิพพาน ใช่ไหมล่ะ บอกว่า ใช่ขอรับ ท่านก็เลยบอกว่า เมื่อวานนี้ฉันไม่ได้บอกว่า นิพพานนี่นะ ก็เลยถามท่านบอกว่า ถ้าบอกเขาแบบนั้นมันจะผิดไหม ท่านบอกว่า ไม่ผิด มันเป็นมหาเมตตาใหญ่ ควรจะทำเป็นประจำ แล้วท่านก็อธิบายบอกว่า ถ้าเขาได้อย่างนั้น เรามันต้องได้ อย่าลืมว่า สมมติว่า เราเป็นมหาเศรษฐี ถ้ามีขอทานเขามาขอของเรา

เราให้เสื้อ เราให้ผ้าให้อาหาร ให้เงินให้ทองไป เขาได้ไปมันยังไม่เท่า ๑ ในร้อยที่เรามีอยู่หรอกนะ เราไม่ได้ให้หมด เราให้แต่เศษไปเท่านั้น นั่นแค่เศษของเธอ สมบัติของเธอจริง ๆ มันจะยิ่งกว่านั้น แหม…อีคราวนี้เอง รู้สึกว่าตัวพองเหมือนกับพ้อม ๕ - ๖ ลูก ความชุ่มชื่นปรากฏ ปีติปรากฏ ท่านก็หันไปหาอีก ๒ องค์ เออ…สององค์นี่ เขาก็เหมือนกันนะ เมื่อคืนนี้ก็พบใช่ไหม

สององค์เขาก็บอกว่าพบ แต่ว่าเรื่องของเขาจะไม่นำมา มันก็คล้ายคลึงกัน หลังจากนั้นมา ก็ทำงาน ตอนกลางวัน ทำวัตรสวดมนต์เสร็จก็ทำงานกับท่าน ดูหนังสือบ้าง ถึงเวลาทำงาน ก็ทำ หลวงพ่อปานท่านก็ดีทุกอย่าง ท่านมีดี แต่ความดีของท่านไม่มีใครต้องการ มีคนต้องการน้อย แต่มีสิ่งที่ต้องการก็คือ ๑. รักษาโรค ๒. อาศัยลาภสักการะ แต่เรื่องที่จะได้ลาภจริง ๆ

นี่ก็ไม่ค่อยเอา อย่าง คาถา วิระทะโยฯ นี่คนที่รวยจากคาถาวิระทะโยจริง ๆ ก็คือ นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร อีกคนหนึ่งก็ชื่อ ฉันท์ ลุงฉันท์คนนี้แกพิสูจน์เลยว่า แกตักข้าวเข้ายุ้งเท่าไร เวลาตวงออกเท่าไร อันนี้แน่นอน มากกว่าของเก่า ก็มีไม่กี่คนนัก หลังจากนั้นมา ธรรมปีติ ก็เกิดขึ้น แต่บรรดาญาติโยมทั้งหลาย เวลาเหลืออีก ๒ นาทีเศษ ๆ

นี่เอา คุยกันไปเท่าที่มันจะหมดเวลา หลังจากนั้นก็มาเจริญกรรมฐานอีก ตอนนี้ สำหรับคืนที่ ๕ บรรดาท่านทั้งหลาย สิ่งที่ไม่น่าจะปรากฏ ก็ปรากฏ นั่นก็คือว่า พอนั่งหลับตาไปปุ๊บ เวลาประมาณ สัก ๒ ทุ่ม ทำกันมาเรื่อย ๆ แต่เวลาอื่นไม่เป็นไร นั่งบ้าง นอนบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง ก็ว่าเรื่อย ๆ เดินไปเดินมา พอกลับมานั่งที่เก่านั่งปุ๊บ ปรากฏว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญเขาเข้ามา

ตัวโตขนาดพ้อม ตาแดงก่ำ มือข้างขวาถือกระบอง มือซ้ายกำ ถามว่า ท่านมานั่งอยู่ทำไมที่นี่ ก็นึกในใจ แต่ใจเวลานั้นยังเป็นสุข ก็บอกว่า ฉันมานั่งเจริญกรรมฐาน เขาก็บอกว่า ที่เจริญกรรมฐานที่อื่นมีถมไป ทำไมมานั่งตรงนี้ ไอ้ที่นี่มันที่ผมพัก ก็เลยบอกว่า คุณ ฉันขอโทษเถอะ เมื่อเวลาฉันมา ฉันไม่เห็นคุณ ถ้าเห็นคุณ ฉันคงไม่มานั่งตรงนี้ เมื่อเธอมาพบฉันเมื่อฉันนั่งอยู่แล้ว

จะถือว่าที่นี้เป็นที่ของเธอได้อย่างไร เขาก็บอกว่า ท่านจงไปจากที่นี้นะ เลยบอกเขาว่า ฉันนี่มาตามคำสั่งของครูบาอาจารย์นะ แล้วก็ฉันเคารพพระพุทธเจ้าเป็นกำลังใหญ่ ถ้าหากเธอจะไล่ฉัน ก็ต้องไปบอกหลวงพ่อปานให้มาไล่ฉัน หลวงพ่อปานท่านสั่งว่าห้ามออกจากป่าช้าในเวลากลางคืน ถ้าหากเธอจะบังคับฉันให้ได้ ต้องไปบอกหลวงพ่อปานมาไล่ฉัน เขาบอก ผมจะไม่ไปบอกท่าน

ผมจะไล่เอง ก็เลยนึกในใจ ทีนี้บรรดาญาติโยม อย่าลืมนะ บวชได้ ๕ วัน ของเก่ามันยังอยู่เยอะ นี่ถ้าเป็นสมัยที่เป็นฆราวาสนะ นายนั่นพูดเพียงแค่คำเดียวแหละ จะสู้ได้หรือไม่ได้ นี่เตะแน่ อันดับแรก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะนั้นก็มีไม้ท่อนอยู่ข้าง ๆ ก็นึกในใจว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันคุณ ถ้าคุณคิดว่าที่นี้เป็นของคุณ แต่คุณไม่ได้นั่งอยู่ก่อน แต่ว่าฉันอยู่ที่นี่ เอาอย่างนี้

คุณถือกระบอง ฉันก็จะถือกระบองบ้าง ถ้าคุณจะยังไม่ตี แต่ฉันจะตีคุณ คุณจะชอบไหม เขาถามว่า โกรธหรือ ก็บอกว่า ยังไม่โกรธ เขาบอกว่า ถ้ายังไม่โกรธ ผมก็ขอลาละครับ ถ้าโกรธ ผมจะสู้กับท่าน เอาละ บรรดาญาติโยมทั้งหลาย เวลาเหลืออยู่อีก ๔๒ วินาที ก็หมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


4

ผีหัวขาด วัดบางนมโค


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๓๓ เป็นวันที่อากาศร้อนมากที่สุด คนพูดเองก็ป่วยมาก อาการทางขารู้สึกว่า ทางขาซ้ายมีอาการหนักขึ้น มันปวดเมื่อย แต่ทว่ามันขัดข้องมาก เดินไม่ค่อยจะไหวเพราะ โรคเก๊าต์ ความจริงหมอที่รักษาจริง ๆ ก็มีตั้งหลายคนอย่าง ๑. นายแพทย์จรูญ ปิรยะวราภรณ์ ๒.แพทย์หญิงแสงโสม ปิรยะวราภรณ์

๓.นายแพทย์ชนะ สิริยานนท์ ๔.นายแพทย์มนตรี อมรพิเชษฐกุล ๕.นายแพทย์วัฒนะ ฐิตะดิลก ๖.แพทย์หญิงพงษ์ภารดี เจาฑะเกษตริน และก็นายแพทย์นพพร แพทย์หญิงเตือนใจ กลั่นสุภา นครสวรรค์ และก็มี หมอโอ๋ เป็นคนขับรถ นอกจากนั้นก็ยังมี นายแพทย์พิเชษฐ์ จันทอิสระ ณ อยุธยา และแพทย์หญิงฐิตินันท์ จันทอิสระ ณ อยุธยา ภรรยาของท่าน

ทั้งหมดนี้ร่วมกันทำการรักษา และก็ยังมี คุณสุทธิลักษณ์ เป็นหมอจี้ไฟฟ้า หมอจี้ไฟฟ้านี่ความจริงมีประโยชน์มาก ทำให้อาการเบาไปมาก อาการต่าง ๆ คลายตัว แต่ว่าโรคเก๊าต์ยังอยู่นิดหน่อย เป็นอันว่า ขอบรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีหมอรักษา หมอรักษามีแล้วตั้งเยอะ รวมแล้ว ประมาณ ๙ หมอ หรือ ๑๐ หมอด้วยกัน

แต่ว่าขึ้นชื่อว่าโรคก็เป็นของธรรมดา เรื่องโรคภัยไข้เจ็บหยุดกันแค่นี้ดีกว่า ถ้าจะถามว่า เป็นอะไรบ้าง ก็ต้องขอตอบว่า เดินไม่ถนัด วันนี้อาการท้องก็เสียด มันเสียดก็เสียดไป เวลามันไม่มีเดี๋ยวหนังสือข้างหน้าจะไม่มี ก็เลยต้องทำหนังสือ ก็ขอเล่าความเป็นมาสักเล็กน้อย เอาอย่างนี้ ตอนนี้เอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ กัน คือว่าเรื่องหนัก ๆ ท่านอ่าน และท่านฟังกันมาแล้ว

ทีนี้ก็มาฟังกันเรื่องเบา ๆ แต่ความจริงเรื่องเบา ๆ มันเป็นอย่างนี้น่ะ ก็ไม่เบานัก แต่เรื่องน่ะมันเบา แต่ความรู้สึกของบุคคลผู้พูดนี่ไม่เบา คือว่า เมื่อตอนกลางวัน วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๓๒ ตอนเช้าหลังจากพักงานประจำปี ทำบุญประจำปีวันที่ ๑๗ – ๑๘ แล้ว วันที่ ๑๙ ก็คอยธนาคารจะมาแจ้งเรื่องรายรับ รายจ่ายกันว่า ธนาคารรับเงินไปเท่าไร ธนาคารไหนเท่าไร และจะจ่ายเจ้าหนี้เท่าไร

ก็ว่าไปตามเรื่อง ขณะที่ธนาคารยังไม่มา ก็นอนภาวนาเรื่อย ๆ ไป แก้รำคาญตามลีลาของคนแก่ เวลานั้นก็รู้สึกว่า จิตตกวูบขึ้นคล้าย ๆ กับมีสภาพความหลับไม่เต็มที่ ในเมื่ออาการอย่างนั้นเกิดขึ้น ก็ปรากฏเป็นภาพว่า เดินไปในสถานที่หนึ่ง ไปคนหนึ่ง ก็ไปพบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ท่านประทับยืนอยู่กลางบรรดาประชาชน

แต่คนที่ล้อมท่านอยู่ก็ไม่มาก แต่งตัวดี ๆ แต่ว่าไม่ใช่ข้าราชการ สำหรับผู้พูดนี่ไม่ได้เข้าไปคุยกับท่าน ยืนอยู่ข้างนอกเข้าไปในวงที่ท่านคุยกัน แต่ว่ายืนอยู่ข้างนอกวงไม่ไกลกันนัก ห่างกันก็ประมาณสัก ๓ - ๔ วา แต่ว่ามีเป็นพระอยู่องค์เดียว ก็ไม่ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถตรัสอะไรกับบรรดาประชาชนบ้าง แต่ก็มีความรู้สึกถึงอาการที่แสดงออกว่า

เป็นกันเองทุกอย่าง ท่านไม่ได้แสดงอาการถือตัวถือตนว่า ฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ฉันเป็นพระราชินี พูดเจ้าคะเจ้าขา ขอรับกระผม เป็นปกติธรรมดากับทุกคนที่ยืนล้อมอยู่ หันหน้าไปทางโน้นบ้าง หันหน้าไปทางนี้บ้าง เรียก หันพระพักตร์ นะ วันนี้มันเสียดท้อง ก็ในชั่วขณะนั้นเอง ก็มีความรู้สึกว่า ทุกคนที่นั่น ต่างคนต่างเห็นคน ๆ หนึ่งขี่ม้า เราควรจะเรียกว่า ม้าแข่ง หรือว่าม้าเทศ

ม้าตัวสวยมาก งามสง่ามาก เขานุ่งกางเกงสีเขียว ๆ น้อย ๆ แต่ไม่เหมือนทหาร เขียวกว่าทหาร และก็ใส่ท็อปบูทใส่เสื้อสีขาว ขี่ม้าตรงมาในหมู่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ คุยกับบรรดาประชาชนอยู่ แต่ก็ไม่ทันจะถึง สำหรับคนที่ขี่ม้ามานั่นรูปร่างลักษณะเป็นคนเนื้อเต็ม สูงใหญ่ หน้าตาดี ทรวดทรงดีมาก ตอนแรกก็ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นอันตราย

หรือจะเป็นศัตรู ต่อมาเขาขี่ม้าด้วยความเร็ว ห่างจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ กับพระบรมราชินีนาถ ยืนประทับคุยกับบรรดาประชาชน ห่างออกไปสักประมาณ ๑ กิโลเศษ ๆ ก็ปรากฏว่าที่ตรงนั้น มีม้าเป็นพนักนั่ง เป็นม้าธรรมดา เขาทำด้วยไม้เป็นโต๊ะนั่ง มีพนักยาว จะนั่งได้ประมาณสัก ๑๐ คน นั่งเรียงหนึ่งนะ

เมื่อมาถึงที่ตรงนั้นแล้วก็ปรากฏว่า ม้าตัวนั้นล้มลง คน ๆ นั้นก็กระเด็นลงจากหลังม้า ลงอีกทางหนึ่ง มาค้างอยู่ตรงโต๊ะไม้ที่มีพนักพิงนอนเหยียดยาว ทุกคนก็พากันไปที่นั่น เว้นไว้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ท่านไม่ได้เสด็จไปด้วย และคนที่ยืนเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวฯ อยู่ ก็ไม่ได้ไปทุกคน ไปกันประมาณสักไม่ถึง ๑๐ คนดี

พอไปถึงที่ตรงนั้นแล้วก็ไปเห็นว่า ทีแรกก็คิดว่าเขาอาจจะมีอันตรายแค่เจ็บปวด ต่างคนต่างคิดว่าจะไปช่วย แต่พอไปถึงเข้าจริง ๆ ก็ปรากฏว่า คนนั้นตายสนิท เขาตายเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไร ดูที่ร่างกายก็ไม่มีอะไร จะเป็นอาวุธ จะเป็นปืนก็ดี ลูกระเบิดที่ผูกมาก็ดี ไม่มี แต่ว่าทุกคนก็ไม่มีใครเข้าไปจับตัวเขา มองดูแล้วเป็นคนไม่มีอันตราย

แต่ว่ามีคน ๆ หนึ่งในจำนวนที่ไปด้วยกันนั้นเขาบอกว่า เขาทราบว่า คน ๆ นี้มาจากไหน ก็พากันถามว่า คน ๆ นี้มาจากไหน คนนั้นเขาก็บอกว่า โน้น…คนที่ใช้เขามาอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อมองตามมือเขาชี้รู้สึกว่า ไกลมาก เห็นคล้าย ๆ อยู่ขอบฟ้า หน้าตาไม่เหมือนคนไทย แต่ว่าขาวโพลนเป็นฝรั่งก็ไม่ใช่ แต่ว่าการไกลแบบนั้น ก็ดูไม่ชัด

ก็ดูได้แค่อกถึงหน้า ไกล ๆ ก็จำไม่ได้ถนัด คนนั้น เขาบอกว่า คนกลุ่มนั้น ที่นั่งอยู่ ๓ - ๔ คนนั่นแหละ เขาใช้ให้คนนี้มาทำร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ถามว่าเขาจะให้ทำร้ายถึงไหน คนนั้นก็ตอบว่า ถึงชีวิต เขาสั่งให้มาฆ่า จึงได้ถามคนที่พูดว่า คุณรู้ได้อย่างไร เขาบอกว่า เขารู้เรื่องมาดี เขาว่าอย่างนั้นนะ คนนั้นเขาเป็นผู้ชาย

ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครเหมือนกัน เขารู้เรื่องดีเขาทราบว่า วันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะเสด็จมาที่นี่ ตามแผนการ ตามหมายกำหนดการ และพวกเขาที่ยืมล้อมพระเจ้าอยู่หัวฯ อยู่ประมาณสัก ๑๐ คนเศษ ๆ พวกนี้เป็นพวกราชองค์รักษ์ เขาเรียกว่า ราชองค์รักษ์พิเศษ คือพระเจ้าอยู่หัวฯ ไม่ได้ตั้ง เขาเป็นคนที่มีความจงรักภักดีจริง วันนี้เขาจะมาต่อต้านกับศัตรูของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

แต่ก็เป็นการบังเอิญ ที่คน ๆ นี้ รับจ้างมา การรับจ้างราคาแพงมาก เขามาตายเสียก่อน เขาจึงไม่ต้องลงมือทำร้าย นี่เป็นความฝันบรรดาท่านพุทธบริษัท นิมิตอย่างนี้ความจริง ถ้าจะคิดกันไป จะว่าดี ก็ดี จะว่าน่าตกใจ ก็น่าตกใจ หลังจากนั้นจึงได้ถามบุคคลนั้นเขาว่า คนที่เขาคิดน่ะ เขาเป็นใคร เขาก็เลยบอกว่าขอสงวนไว้ เวลานี้ผมเองก็อยู่ในลักษณะเป็นพวกของเขา

เรียกว่า ซ้ายในขวา ขวาในซ้าย เขาว่าอย่างนั้นนะ ผสมกันอยู่ คอยป้องกันการเป็นศัตรูกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พวกเราก็ดีใจ และก็ถามเขาต่อไปว่า ในเมื่อเขาไม่มีอาวุธมาอย่างนี้ แม้แต่ปืน ก็ไม่มี ลูกระเบิดที่จะผูกพ่วงมาก็ไม่มี เขาจะทำร้ายพระเจ้าอยู่หัวฯ แบบไหน เขาบอกว่า อาวุธที่มันร้ายแรงกว่านั้นมีอยู่เป็นชิ้นเล็ก ๆ มีในร่างกายของเขา จึงได้ถามว่า

ถ้าอย่างนั้นจะค้นได้ไหม เขาบอก อย่าไปแตะต้องเข้า ดีไม่ดีพวกเราตายทั้งหมด เวลานี้ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ตามเสด็จประทับอยู่ ยังอยู่ในรัศมีของอาวุธร้ายนี้ ก็เป็นอันว่า เมื่อความฝันมาถึงตอนนี้ ก็สะดุ้งตื่น ก็มีความรู้สึกในใจว่า เวลานี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของเรา อาศัยบุญญาธิการที่พระองค์

ทรงมีพระเมตตาแก่ปวงชนชาวไทย จะเป็นชาวไทยก็ตาม จะเป็นชาวเทศก็ตาม ทุกชาว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีความเมตตาทั้งหมด และพระองค์ก็ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่คนทุกคน ทุกชั้นทุกเหล่า และมีความลำบากยากแค้นหวังจะช่วยประชาชนคนไทยทั้งชาติให้มีความสุข ทรงทำงานทุกอย่าง เพื่อความสันติสุขของปวงชนชาวไทย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนาทุกศาสนา พระองค์ก็ทรงเป็นอุปถัมภ์ เข้าใจว่า บุญญาธิการเก่าของพระองค์ก็ดี บุญญาธิการใหม่ของพระองค์ก็ตาม สนับสนุนให้พระองค์พ้นจากภัยอันตราย หากความฝันที่ว่าฝันมาสักครู่ ที่เล่ามาเมื่อสักครู่นี้ จะคิดว่า มันเป็นเรื่องความฝันกลางวันที่ไร้เหตุผล ก็ไม่แน่นอนนัก เพราะว่าเป็นความฝันเกี่ยวกับอารมณ์ที่เป็นสมาธิ

แต่ก็ไม่ใช่อารมณ์ของฌานสมาบัติไม่ใช่ทิพพจักขุญาณ จะถือว่า เป็นทิพพจักขุญาณ เป็นการพยากรณ์อย่างนี้ก็ไม่ถูก มันเป็นการเคลิ้มของอารมณ์จิต และนิมิตก็เกิดขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ดี ที่ดีใจเพราะว่า ประมุขของชาติ ที่ประชาชนชาวไทยทั้งหลายมีความเคารพ ทรงปลอดภัย และก็จะปลอดภัยต่อไป จนกว่าจะถึงอายุขัยของพระองค์ นี่เป็นเรื่องคิดว่าเบา มันก็ไม่เบา มันก็หนัก

ทีนี้ตามหัวข้อเรื่องนี้ให้ชื่อว่า ผีหัวขาด วัดบางนมโค ก็ขอนำเรื่องผีวัดบางนมโคมาเล่าสู่กันฟัง ความจริงเรื่องนี้ก็เขียนไว้แล้ว ในเรื่องหนังสือหลวงพ่อปาน แต่ว่า ยกทรง ท่านก็พยายามบอกว่าเอาเรื่องเกร็ด ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ มาลงธัมมวิโมกข์บ้าง ก็คิดว่า ธัมมวิโมกข์ เป็นหนังสือเกี่ยวกับ ธัมมะ เรื่องเกร็ด ๆ ที่ไร้สาระ ก็ไม่น่าจะนำไปเขียนไว้ที่นั่น สำหรับหนังสืออ่านเล่น อะไรก็ได้

เรามาคุยกันเล่น ๆ และก็ขอพูดต่อไปอีกนิดหนึ่งว่า หลังจากนั้นแล้ว ตอนสายธนาคารก็มา เมื่อเซ็นต์ชื่อรับเงิน ลงบัญชีเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งจ่ายตามหน้าที่ของการรับเงิน เมื่อสั่งจ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาตอนบ่ายโมง ก็ลงรับแขก บ่าย ๓ โมง ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพราะว่าวันรุ่งขึ้น วันที่ ๒๐ จะไปวัดสามพระยา กับวัดปทุมคงคา ความจริง งานจริง ๆ เป็นงานของวัด สามพระยา

ตอนนั้นก็เป็นการบังเอิญ ยกทรง ก็นัดให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมาคุยกัน ตามเรื่องตามราวตามประสาคุยกัน วันนั้นก็คุยกันเรื่องเกร็ดต่าง ๆ ยกทรงก็บอกว่า เรื่องเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยแบบนี้ ก็ควรจะเล่าสู่กันฟังบ้าง และตอนหลังท่านยกทรงก็ชักชวน บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทอุทิศส่วนกุศล และขอบารมีองค์สมเด็จพระทศพล คือ พระพุทธเจ้า เป็นต้น

พระอรหันต์ทั้งหมด พรหม เทวดาทั้งหมด ครูบาอาจารย์ทั้งหมด ขอให้คุ้มครองป้องกันภัยพิบัติ ที่จะพึงเกิดขึ้นแก่พระมหากษัตริย์ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ความจริงวันนั้นเขาทำตามนั้น ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ แต่ก็ดีใจอยู่มากที่เห็นภาพอย่างนั้น เพราะว่าถ้าใครจะคิดจะห้ำหั่น

ทำร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี เขาผู้นั้นจะอับปางไปเอง อันนี้ก็ดีใจ ทีนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่อง ผีหัวขาด ตอนที่บวชใหม่ ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเป็นพรรษาที่ ๒ ตั้งแต่พรรษาที่ ๑ อยู่ในป่าช้า พรรษาที่ ๒ ยังอยู่ในป่าช้า พรรษาที่ ๓ ก็ยังอยู่ในป่าช้า แต่ว่าการอยู่ป่าช้า ก็อยู่แต่กลางคืน กลางวันก็มารวมกับพระในวัด

บิณฑบาตด้วยกัน ฉันภัตตาหารด้วยกัน ทำวัตรสวดมนต์ด้วยกัน พอหมดจากงานก็เข้าป่าช้า แต่เวลานั้นก็ยังเรียนนักธรรม พรรษาที่ ๑ เรียนนักธรรมตรี พรรษาที่ ๒ เรียนนักธรรมโท พรรษาที่ ๓ เรียนนักธรรมเอก และที่วัดบางนมโค หลวงพ่อปานท่านก็ทำงานก่อสร้าง ก็ช่วยท่านตามกำลัง ก็แบ่งเวลาว่า เวลานี้ดูหนังสือ เวลานี้ทำงานของวัด เวลานี้เป็นเวลาที่ปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาญาณ

ก็รวมความว่า การใช้กำลังเจริญกรรมฐาน เวลานั้นก็ทำตอน ๔ ทุ่ม หลังจากทำวัตรสวดมนต์เย็นเสร็จ ก็กลับไปดูหนังสือเนื่องในการเรียนนักธรรม ดูหนังสือ และตอบปัญหาที่ครูถามมาบ้าง และหลังจากนั้นตอน ๔ ทุ่มก็เจริญกรรมฐาน ๕ ทุ่มก็นอน หลังจากนั้นตี ๑ ครึ่ง ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ตื่น ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา บูชาพระ ถึงเวลาตี ๒ เริ่มเจริญพระกรรมฐาน

เวลาตี ๔ พระตีระฆัง เลิก หลังจากนั้นก็ดูหนังสือจนกว่าจะสว่าง เมื่อสว่างแล้วก็ไปบิณฑบาตกับพระ ขณะที่บิณฑบาตก็ว่า อิติปิโส ภควาฯ เรื่อยไปจนกว่าจะกลับ เมื่อจบแล้วก็ขึ้นต้นใหม่ ๆ เวลาที่ญาติโยมพุทธบริษัทเขาใส่บาตร ก็หยุดว่าอิติปิโสฯ นึกถึงภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหมด นึกในใจว่า

ขอท่านผู้มีคุณ จงมีความเป็นอยู่ มีความคล่องตัว หรือว่าจงมีความร่ำรวยในความ เป็นอยู่ของท่าน นึกอย่างนี้จะมีผลแบบไหน ก็เป็นเรื่องของผล แต่ความรู้สึกจริง ๆ นึกอย่างนั้น ทุกบ้าน ทุกคนที่ใส่บาตร ขณะที่กำลังรับบาตรอยู่ นึกอย่างนั้นตลอดเวลา พอก้าวออกเดินจากคนกลุ่มนั้นไปข้างหน้า ก็นึก อิติปิโสฯ เรื่อยไป ทำอย่างนี้ตั้งแต่ไป จนกลับ

ถ้าจะถามว่า ทำอย่างนี้กี่ปี ก็ต้องตอบว่า ทำอย่างนี้ทุกปี จนกระทั่งเวลาที่คุยนี่ ก็ยังไม่ว่าง อิติปิโสฯ เลย อิติปิโส นี่ว่างไม่ได้ เพราะชอบใจมาก ทีนี้สำหรับเรื่องปีที่ ๑ ยังไม่ต้องคุย มาคุยปีที่ ๒ แล้วจะย้อนไปปีที่ ๑ ใหม่ มาพูดเรื่องผีหัวขาดเสียแล้วนี่ ก็เป็นว่า พรรษาที่ ๒ วันหนึ่งก็เข้าไปขออนุญาตหลวงพ่อปาน มันมีกุฏิอยู่ ๒ หลัง เขาเรียก หน้าศาลาใหญ่ เป็นกุฏิคู่ชั้นบน

หลวงพ่อปานท่านทำเพื่อให้เป็น โรงเรียนนักธรรม แต่ว่าเวลานั้นยังไม่เป็นโรงเรียน แล้วก็ยังไม่เป็นที่อยู่ของพระ ก็มีกุฏิหลังหนึ่งทางด้านทิศใต้ ขอโทษนะ ทางด้านทิศเหนือ วัดบางนมโค เขาเรียกกันตามกระแสน้ำ เผลอไปตามเขา หลังด้านทิศเหนือนี่ มีพระขึ้นไปอยู่ พื้นยังไม่เรียบ หลังด้านทิศใต้ยังไม่มี เขาก็ถู เขาก็เช็ดกันสะอาดพอสมควร เป็นกุฏิที่มีชานคอนกรีตล้อมรอบกว้างมาก

แต่บังเอิญก่อนหน้านั้น มีพระ ๓ ชุด ชุดละ ๒ องค์ขึ้นไปอยู่ปรากฏว่า พอขึ้นไปอยู่แล้ว คืนที่ ๓ วันที่ ๓ หลังจากคืนที่ ๓ แล้ว ทุกองค์ก็ลงกลับนอนที่เดิม ถามว่า ทำไมถึงไม่อยู่ต่อไป มันเงียบดี เขาบอก มันเงียบเกินไป ถามว่า มีอะไรไหม ท่านก็บอก ความจริงแล้วมันเงียบสงัด มีความสุขดีมาก แต่ว่ามันเงียบเกินไป ผมมันชอบคุย ก็เลยต้องลงมา พระไปอยู่ลงมาแบบนั้น ๓ คืนลง ๆ ๆ ๆ

ชุดละ ๒ องค์ พอชุดที่ ๓ ผ่านไป เห็นว่างก็นึกว่า เราน่าจะไปอยู่ ตอนกลางวันก็เข้าไปกราบ ๆ หลวงพ่อปาน ขออนุญาต บอก ผมขออนุญาตไปอยู่กุฏิหลังนั้นครับ ท่านบอกว่าอย่าเพิ่งขึ้นไปเลย ให้จิตใจมันดีกว่านี้เสียก่อน ก็กราบเรียนท่านบอกว่า การอยู่ในป่าช้าก็ชิน ที่นี่ก็อยู่ใกล้คน และก็เป็นที่สงัด ประการที่สอง เวลาเดินลงมาข้างล่างก็ไม่ต้องเกรงหนาม ไม่มีหนาม

เพราะโล่งมีถนน หลวงพ่อปานท่านทำถนนเดิน เดินสบาย ท่านก็ยับยั้ง ขออนุญาตท่านไปนั่งกรรมฐานที่พระเจดีย์ ท่านก็บอก อย่าเพิ่งไปเลย ขออนุญาตไปที่โบสถ์ ท่านบอก อย่าเพิ่งเลย ไปอยู่ที่เก่าก่อน เมื่อกลับออกมาจากท่านแล้ว ก็มีความรู้สึกว่า ไอ้ที่ตรงนั้นมันเป็นอย่างไร ในเมื่อพระทุกองค์บอกว่า ที่นั่นมีความสุข สงัด และอยู่ชั้นสูงไกลจากเสียงคน ไกลจากเสียงนก

มันน่าจะมีความสุข แต่ว่าในเมื่อท่านห้าม ก็ลองดูสักนิดหนึ่ง คิดว่า วันนี้ควรจะลองฝืนอาจารย์ดูสักหน่อย ที่ท่านห้ามเราจะไป ก็จัดแจงแต่งตัว พอเวลาค่ำ ประมาณใกล้สองทุ่ม แต่งตัว พาดสังฆาฏิดี เรียบร้อยทุกอย่างหมด เดินขึ้นมากุฏิหลังนั้น เป็นชั้นบน พอเข้าไปแล้ว ก็ไปนอน กราบพระ ทำวัตรสวดมนต์เสร็จเรียบร้อยนิดหน่อยตามธรรมเนียม แล้วก็อ่านหนังสือ

อ่านหนังสือเรียนนักธรรม เวลานั้นเรียนนักธรรมโท และปรากฏว่า กุฏิอีกหลังหนึ่งมีคนคุยเสียงดัง ไม่ใช่ ๔ - ๕ คน เป็นเสียงคนประมาณเป็นร้อยคน เสียงดังมาก ก็คิดในใจว่า เมื่อกี้นี้เราหลีกมา ยังไม่มีใคร กุฏิก็ใส่กุญแจ หน้าต่างรอบตัวก็ปิดหมดลงกลอนหมด และเวลานี้คนมาอย่างไร นับตามเสียงแล้วเกิน ๑๐๐ คน เมื่อยิ่งฟังเสียงแล้ว ก็ยิ่งดัง ก็อ่านหนังสือเรื่อยไป

ยิ่งอ่านหนังสือเรื่อยไป แกก็ดังหนักเข้า ในที่สุดจึงนึกรำคาญในใจว่า ไอ้หมอนี่มันมาจากไหนกันนะ จะจำว่าเป็นเสียงพระอะไรสักองค์หนึ่งก็ไม่มี จำไม่ได้ ภาษาที่พูดเป็นลีลาของภาษาไทยเสียงใหญ่ ๆ แต่ว่าฟังรู้เรื่องสักคำก็ไม่มี ไม่รู้เขาพูดอะไรกัน ก็คิดในใจว่า บางทีพวกที่เขามาทำเขื่อนหน้าวัด พวกเจ๊กจะ ขึ้นมานอน ก็คิดอีกทีว่า ภาษาเจ๊กนี่เราฟังไม่รู้เรื่อง แต่เรารู้ภาษา

ถ้าพูดภาษาเจ๊กนี่รู้ ถึงแม้เราจะอยู่ในห้อง เจ๊กพูดนอกห้อง เราก็รู้ว่าคนนั้นเป็นเจ๊ก แต่ว่าสำเนียงที่พูดนั่นไม่ใช่เจ๊ก ในเมื่อแปลกใจก็ลุกขึ้น เวลานั้นไฟฟ้าไม่มี หยิบตะเกียงรั้วแล้วก็ถือไฟฉาย เดินไปที่ประตูกุฏิหลังนั้น ปรากฏว่าที่ประตูใส่กุญแจ ไอ้กุญแจนี่อาตมามีลูก ขอพระท่านไว้ เมื่อเห็นประตูใส่กุญแจ ก็ยังไม่เปิดประตู ก็เดินไปรอบ ๆ ตัวว่า หน้าต่างบานไหนเปิดบ้าง

บางทีเขาจะไม่ไขกุญแจ หรือไขกุญแจแล้วเข้าไป เขาใส่กุญแจข้างนอก เปิดหน้าต่างคุยกัน เพื่อเป็นการหลอกเรา หรือรบกวน ไปดูแล้ว หน้าต่างทุกบานก็ปิดหมด กลับมาหน้าประตูอีกทีหนึ่งไขกุญแจเข้าไปดู เอาตะเกียงรั้วเข้าไปด้วย ฉายไฟฉายด้วย ก็ไม่มีอะไร มีแต่ขี้นก ไปดูหน้าต่างทุกบาน ก็ใส่กลอนปิดสนิท ก็นึกในใจว่า เมื่อกี้นี้บางทีหูเราอาจจะฝาดไป เมื่อหูฝาดไปก็ไม่เป็นไร

แต่ความจริงก็ฟังอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมง ไม่น่าจะฝาด และก็ยังยืนข้างนอกเงี่ยหูฟังว่า ใครคุยที่ไหน หรือจะคุยที่กุฏิเสียงดัง เพราะตามปกติแล้ว พระจะคุยเสียงดังแบบนั้นไม่ได้ หลวงพ่อปานท่านอยู่ ไม่มีใครกล้าแสดงแบบนั้น ก็เป็นอันว่าเงียบ เสียงก็เงียบสงัด เวลานั้นก็ยังไม่ดึก ประมาณสัก ๒ ทุ่ม จึงตัดสินใจว่า ในเมื่อไม่มีอะไรก็ช่าง เรากลับไปดูหนังสือต่อไป พอเดินหันหลังให้

พอเดินประมาณสัก ๒ วา ก็ปรากฏเสียง ฮา ดังครืน ในห้องนั้นอีก และก็เสียงคุยเพียบกันอีก ก็เข้าไปใหม่ พอยืนฟังก็ยิ่งคุยดังหนักเข้า ไขกุญแจเข้าไปดู ไม่มีอะไรอีก เลยคิดในใจว่า เสียงนี้คงไม่ใช่เสียงคน ถ้าจะว่า เสียงผี ทำไมเสียงไม่น่ากลัว ฟังแล้วก็รู้สึกเป็นปกติ เป็นเสียงธรรมดา ๆ ไม่ใช่เสียงน่ากลัวอะไร ก็ปล่อยกันไป เมื่อเดินกลับมาถึงที่พัก ถึงห้องพัก เขาก็ยังคุยกัน

เลยนึกในใจว่า มันอยากคุยก็ช่างมัน อยากจะคุยก็เป็นเรื่องของมัน เราจะอ่านหนังสือก็เป็นเรื่องของเรา มันเรื่องแต่ละคน ต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างมีความพอใจ ก็อ่านหนังสือเรื่อยไป จนกระทั่งถึงเวลา ๔ ทุ่ม เมื่อถึงเวลา ๔ ทุ่มก็เจริญกรรมฐาน พรรคพวกก็คุยดังมากขึ้นไปอีก ก็ตามใจ ก็เลยนึกว่า ดี เราจะได้ใช้กำลังใจของเราเป็นการพิสูจน์สมาธิว่า

สมาธิของเรา รำคาญในเสียงไหม ถ้าสมาธิของเรารำคาญในเสียง ก็แสดงว่า สมาธิของเรายังไม่ถึงปฐมฌาน ถ้าไม่รำคาญในเสียงแสดงว่า สมาธิของเราถึงปฐมฌาน เมื่อทำไป เสียงเขาก็คุยดังไป มันก็ปกติ เราก็ภาวนาของเราเรื่อยไป รู้ลมหายใจเข้าออกเรื่อยไปตามปกติ ไม่แปลก และต่อมาก็คิดในใจว่า เวลานี้อารมณ์ของเราอยู่ขนาดไหน

ก็รู้สึกว่ากำลังใจอยู่ในขนาดของ ปีติ ความอิ่มเอิบของปีติมีขึ้น ความชุ่มชื่นใจมีขึ้น แสดงว่ากำลังสมาธิสูงขึ้น เมื่อฟังเสียงไป ๆ สักครู่เดียวก็ปรากฏ ความจริงไม่ตั้งใจฟังเสียงนั้น ภาวนาของเราเอง สักประเดี๋ยวเดียวก็ปรากฏว่า เสียงเงียบไป เมื่อถึงเวลา ๕ ทุ่ม ถอนสมาธิ เสียงข้างนอก ฮาครืน ฮาสนั่น บอกแหม…เสียงดังขนาดนี้ยังไม่รำคาญอีกโว้ย แล้วเขาก็เงียบไป

เอาละ บรรดาท่านทั้งหลาย เวลานี้สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ขอลาก่อน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 29/6/12 at 16:50

5

ผีหัวขาด วัดบางนมโค (ต่อ)



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย มาตอนนี้ก็มาคุย เรื่องผีหัวขาด ต่อ จะไม่ขึ้นต้นเรื่องอะไรทั้งหมดละ จะยุ่ง ๆ เป็นอันว่า หลังจากเจริญกรรมฐานถึง ๕ ทุ่มแล้วก็เลิก พออาการบอก เลิก แต่เวลานั้นไม่ได้ยินเสียงเขาคุยกันมานาน พักใหญ่ แสดงว่าเวลานั้นจิตเข้าถึงฌาน ๔ เฉพาะเวลานะ อย่าไปนึกว่า คนพูดนี่เป็นคนวิเศษวิโส ไม่ใช่อย่างนั้นมันเป็นเวลา ๆ พอเริ่มถอนสมาธิ

ก็ได้ยินเสียงฮา ครืนใหญ่ เสียงเขาตะโกนบอกว่า เสียงดังขนาดนี้ยังไม่รำคาญอีกโว้ย ก็นึกในใจว่า เจ้าพวกนี้ไม่ใช่ผีธรรมดาแน่นอนแล้ว ถ้าผีธรรมดาเขาไม่ทำอย่างนั้น เพราะเคยเห็นผีมาตั้งแต่พรรษาต้น ไม่มีผีตนใดแสดงเป็นนักเลง มีแต่มาขอร้องขอส่วนบุญ อันนี้จะทิ้งไว้ก่อน ถ้ามีโอกาสก็จะคุยให้ฟังต่อไป เป็นอันว่า หลังจากนั้นก็นอนลง นอนชักผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเพราะอากาศเย็นน้อย ๆ

พอสบาย ๆ เริ่มจับ อานาปานุสติ กับภาวนา พุทโธ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ ก็จับพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์เคยแสดงให้เห็นในสมัยที่อยู่ในป่าช้า คือ บวชวันที่ ๓ เคยเห็นภาพพระพุทธเจ้าท่านนั่งแท่น รูปร่างใหญ่โตมาก หน้าตักประมาณ ๘ ศอก สวยสดงดงามอิ่มเอม ฝีปากแดง

เนื้อเหลือง และจีวรก็เหลือง เนื้อน่ะเหลืองอ่อนกว่าจีวรนิดหน่อย ท่านนั่งให้เห็นทั้งหลับตาและลืมตา ประมาณสักหนึ่งชั่วโมง เลยจับภาพภาพนั้นจับเป็นนิมิตตลอดมา จะหลับตาเมื่อไร จะลืมตาเมื่อไรก็ตาม จับภาพ นึกถึงภาพนั้นอยู่เสมอ เมื่อเอาจิตจับภาพพระพุทธเจ้า ภาวนาว่า พุทโธ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ ประเดี๋ยวเดียวก็หลับ ๒ - ๓ ครั้งก็หลับสนิท

หลับแล้วก็ไม่ฝัน แต่เวลาตี ๑ ครึ่ง ก่อนนาฬิกาจะปลุก ก็ตื่นก่อนนาฬิกาสัก ๒ นาที ทั้งนี้เพราะก่อนที่จะนอนหลับก็ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า ถ้าเวลาจะถึงเวลาตี ๑ ครึ่ง ขอให้ตื่นก่อนสัก ๒ นาทีก่อนนาฬิกาปลุกเพราะเกรงว่านาฬิกาจะเก ก็ตื่นก่อนตามนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพับผ้าพับผ่อนดีเรียบร้อยแล้ว และก็จะลุกขึ้นล้างหน้า นาฬิกาก็ตีปลุก ตี ๑ ครึ่ง ตอนนั้นก็เป็นเวลาเดือนหงาย

เปิดหน้าต่างออกไป ถือขันน้ำจะล้างหน้า ก็ปรากฏว่า เห็นคนเต็มบริเวณชานบนทั้งหมด คล้าย ๆ จะยืนเบียดกัน กระโดด โย้งเย้ง ๆ โดดทำท่าเหมือนคนโดด โดดขึ้นโดดลง โดดขึ้นแล้วก็โดดลง ๆ ตามธรรมดาที่เรากระโดดกัน แต่เดือนหงายเห็นชัด แต่ทว่ามองดูแล้ว คนทุกคนไม่มีหัว ก็นึกในใจ ความกลัวเวลานั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท มันลืมกลัว

เพราะจิตมันด้านกับอารมณ์ของผีมานาน มันเข้าถึงปีที่ ๒ ก็ตั้งปีกว่าจะถึงปีที่ ๒ นี่พบกับผีมาหลายวาระ ก็นึกในใจว่า เจ้าพวกนี้มันไม่มีหัว มันโดดได้อย่างไร เมื่อเห็นเขาโดด ก็นึกในใจว่า มันจะโดดก็โดดไป เราจะล้างหน้า มันจะขัดคอเราเวลาที่เราจะเจริญพระกรรมฐานก็เป็นเรื่องของมัน เรื่องของเราก็เรื่องของเรา ไม่สนใจมัน แล้วก็ล้างหน้าไป มันก็โดดของมันไป เวลาล้างหน้าก็ว่า

อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธฯ นี่แหละ ก็คำ อิติปิโสฯ เป็นบทตายตัวประจำใจ เราล้างหน้าไป เจ้าพวกนั้นกระโดดไป เมื่อล้างหน้าเสร็จ หน้าต่างเราไม่ได้ปิด เพราะว่าให้อากาศมันผ่านเข้า ก็เข้ามาข้างใน เช็ดหน้าเช็ดตาเสร็จเมื่อห่มจีวรพาดสังฆาฏิเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปมนัสการพระ จุดธูปเทียนบูชาพระ ขณะที่บูชาพระอยู่นั้น เจ้าพวกนั้นโดดไม่พอ

มันยังร้องเสียงเอ็ดอีกด้วย ทำเสียงดังแบบเสียงเดิม เสียงเอะอะโวยวาย ก็นึกในใจว่า ไอ้พวกนี้มันไม่มีหัวมันคุยกันได้อย่างไร ก็ปล่อยมัน ช่างมัน ถ้าเราจะไปเถียงกับคนที่ไม่มีหัว มันไม่มีปากจะพูด เสียงมันออกมาจากไหนเราก็ไม่รู้ และก็ไม่สมศักดิ์ศรีที่เราจะไปต่อกรกับพวกนั้น และเวลานั้นจริง ๆ ก็ไม่ได้นึกกลัว ก็เป็นอันว่า บูชาพระ เมื่อบูชาพระเสร็จ ทำวัตรเสร็จก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่ผี

บรรดาผีตัวดีพวกนั้น บรรดาท่านทั้งหลาย แกก็ไม่ยอมโมทนาด้วย แกก็โดดของแกไปตามเดิม เมื่อถึงเวลาตี ๒ ตรงก็เข้านั่งกรรมฐาน นั่งสมาธิ ตอนนี้เป็นจังหวะของพวกผีตัวดี บางส่วนแกโดดอยู่ข้างนอก บางส่วนเข้ามาโดดล้อมอยู่ข้างในบริเวณกุฏิ มันเต็มไปหมด หลับตานี่เห็นชัด โดดตึงตังโครมคราม ๆ ส่งเสียงเอะอะโวยวาย แต่ว่าหลวงพ่อปานท่านเคยบอกไว้

แต่ความจริงนักเจริญกรรมฐานทั้งหลายก็น่าจะจำว่า ขณะใดที่เราเจริญกรรมฐานอยู่ ภาวนาอยู่ จะภาวนาว่าอย่างไรก็ตามเถอะ แต่ก่อนภาวนานึกเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน และกรรมฐานทุกกอง เป็นของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะปฏิบัติกองไหนก็ตาม ก็ถือว่า เป็นพุทธานุสสติทั้งหมด คือว่า เป็นอาการนึกถึงคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

และเป็นธัมมานุสสติด้วย สังฆานุสสติด้วย เพราะพระสงฆ์ท่านนำมา หลวงพ่อปานท่านบอกว่า ถ้าเรานั่งกรรมฐานอยู่ ไม่ต้องกลัวผี ผีก็ดี เทวดาก็ดี จะแสดงตนได้ต้องห่างจากเราออกไป ๑ วา เข้ามาใกล้กว่านั้นไม่ได้ และวันนั้นความจริงก็เป็นอย่างนั้น พวกนั้นก็แสดงอยู่ตั้งแต่ ๑ วาออกไป แต่มันเต็มกุฏิไปหมด ข้างนอกก็โดด ข้างในก็โดด

เสียงเอะอะโวยวาย เราก็นั่งหลับตาสบายยิ่งเสียงดังมากเท่าไร อารมณ์จิตเราก็เป็นสุขเท่านั้น เพราะเสียงดังมาก เราก็ต้องเอาสมาธิของเราแข่งกับเสียง อันดับแรก เรารำคาญไหม คือ ความจริงตั้งแต่เริ่มแรกได้ยินเสียงจริง ๆ กระโดดจริง มันก็ชินมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ไม่รำคาญ ภาวนาแบบสบาย ประเดี๋ยวความอิ่มใจก็ปรากฏ อีกสักครู่หนึ่ง ความอิ่มใจหายไป มีแต่ความสุข

หลังจากนั้นความสุขก็หายไป มีแต่ เอกัคตารมณ์กับอุเบกขา อารมณ์ก็เป็นสุข อารมณ์ก็เป็นหนึ่ง ตามสบาย ๆ ตามแบบฉบับของกรรมฐาน ที่เล่าให้ฟังอย่างนี้ อย่าไปนึกว่า เป็นผู้วิเศษด้านฌานโลกีย์ ได้เป็นพระอริยเจ้า มันไม่ใช่ มันเป็นเฉพาะเวลา ๆ ก็คุยสู่กันฟังว่า ทำอย่างไรมาบ้าง สัมผัสอย่างไรมาบ้าง

หลังจากนั้น พอถึงเวลาตี ๔ ก็เลิก พอเลิกก็อุทิศส่วนกุศลให้เจ้าพวกนั้นอีก มันก็ไม่ยอมรับ พอลืมตามา มันกระโดดออกหน้าต่างไป หลังจากนั้นแล้ว เมื่ออุทิศเสร็จก็ลุกขึ้นเปลื้องสังฆาฏิ เอาสังฆาฏิพาด เปลื้องจีวรออก นอน นอนดูหนังสือ เจ้าพวกนั้นกระโดดอยู่ข้างนอก ก็ดูหนังสือไปตามชอบใจ แต่ดูหนังสือไปประเดี๋ยวเดียวก็ปรากฏว่า เกิดอาการเพลียมากขึ้น

ในเมื่อเพลียมากขึ้น ความจำมันก็ไม่มี ก็คิดในใจว่า วันนี้เราเพลียมาก วางหนังสือนอนเสียก่อนเถอะ ขืนดูหนังสือก็ไม่เกิดประโยชน์ความจำไม่ทรงตัว ก็เอาหนังสือวางที่ แล้วก็หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมอก ก็เป็นเวลาพอดี พอผ้าห่มขึ้นมาคลุมอก เจ้าผีตัวหนึ่งมันโดดขึ้นมาคร่อมอกพอดี พร้อมกับผ้าตัวมันดำ ใหญ่มาก มันก็ยกมือขวามา จะมาบีบคอ

ความจริงการไปนอนที่นั่นก็ไม่ไว้ใจตัวเองเหมือนกัน มีหวายสำหรับตีผี พระท่านทำให้ เอาวางพิงกับข้างฝาไว้ข้างหู พอมันเอามือขวาเอื้อมมาจะบีบคอ ก็เอามือซ้ายของเราเอื้อมหยิบหวายจะตีผี มือขวาของมันก็ต้องมากดแขนซ้าย มันก็จะเอามือซ้ายของมันมาบีบคอ เราก็เอามือขวาขยับจะหยิบหวาย มันก็ต้องเอามือซ้ายของมันกดแขนขวา

เป็นอันว่า มันก็ไม่กล้าทำอะไร มือมันก็ไม่กล้าปล่อย ถ้าปล่อยเมื่อไร เราก็เอาหวายตีเมื่อนั้น เวลานั้นจิตใจไม่ได้หวาดหวั่นกับกำลังของผีเลย ก็นึกในใจ ภาวนาในใจว่า นึกถึง อิติปิโส ภควาฯ และก็นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ต่อมาก็นึกว่า ถ้าเราปล่อยให้มันทับอย่างนี้ มันบีบคอเราก็ไม่ได้ แต่มันทับหน้าอก เราก็หนัก ถ้าขืนปล่อยไว้ เราก็ลำบาก ประโยชน์ก็ไม่เกิด

เอาอย่างนี้ดีกว่า ใช้คาถาขับผีเถอะ ก็มีคาถาอยู่ ๒ อาจารย์ เขาให้มา อาจารย์หนึ่งให้อีกบทหนึ่ง อีกอาจารย์หนึ่งให้อีกบทหนึ่ง แต่ละอาจารย์ก็คุย คาถาของผมผีไม่กล้าแตะต้อง ผีหลอกก็ไม่หลอก หากว่าผีหลอก ขับเมื่อไร ผีหนีเมื่อนั้น ก็ว่าคาถาบทแรก คาถา ๒ บทนี่ไม่บอกให้ฟัง ยังจำได้ แต่ไม่บอกให้ฟังหรอก เพราะมันไม่เกิดประโยชน์เลย พอว่านึกคาถาบทนั้นจบ

ทั้ง ๆ ที่จิตเป็นสมาธิอยู่ เป่าพรวด ผีหัวเราะก๊าก สบายใจ ไอ้ตัวข้างในหัวเราะ ไอ้ตัวข้างนอกหัวเราะบอก สนุกจริงโว้ย เขาร้องตะโกน แหมคาถาบทนี้สนุกจริงโว้ย กูจะเต้นตามจังหวะ มันบอกว่า มันจะเต้นตามจังหวะคาถา และเจ้าผีตัวที่นั่งคร่อมอยู่ มันบอกว่า คาถาบทนี้กูไม่กลัว กูก็ว่าได้ มันก็ว่าคาถาบทนั้นให้ฟังบ้าง

ก็แสดงว่าเจ้าผีตัวนี้มันก็รู้คาถาขับผีเหมือนกัน มันก็เลยไม่กลัว เลยนึกในใจว่าอีกบทหนึ่งอีกอาจารย์หนึ่งเขาให้ อาจารย์องค์นี้ก็เก่ง ก็ว่าคาถาบทนั้นจบ เป่าพรวด มันก็หัวเราะก๊าก ตามเดิม เจ้าพวกข้างนอกก็ ฮาตึงตามเดิมเหมือนกัน มันก็เลยบอกว่า บทนี้มึงได้ครึ่งเดียวนะโว้ย มันใช้ศัพท์ว่า มึงเลย ไม่ได้กลัว มึงได้ครึ่งเดียวนะ ยังมีอีกครึ่ง มึงยังไม่ได้ อาจารย์มึงบอกไม่หมด

มันก็เลยว่าต่อให้ฟังอีกครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ก็เกิดการจนใจ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนก็ช่วยกันคิด ในเมื่อเจ้าผีมันรู้คาถาเสียแล้วมันก็ไม่ยอมกลัว ทำอย่างไรต่อไป เรื่องที่จะทำต่อไปก็คือว่า นึกถึงพระพุทธเจ้า ตอนนี้ไม่นึกถึงอะไรทั้งหมด นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า นึกถึงพระอริยสงฆ์ทั้งหมด นึกถึงเทวดา และพรหม ครูบาอาจารย์ทั้งหมด นึกในใจว่า ถ้าเราพลาดเมื่อใด

ไอ้ผีตัวนี้มันก็บีบคอเมื่อนั้น ถ้ามันจะตาย เพราะกำลังของผีทำร้าย ก็ช่างหัวมัน เราจะไปอยู่กับพระพุทธเจ้า คำว่า นิพพานก็ไม่ได้นึกตอนนั้นไม่มีความรู้สึกเรื่องนิพพาน เพราะว่าหนังสือที่เรียนมาเขาบอก นิพพานมันสูญ แต่ว่าหลวงพ่อปานก็ดี หลวงพ่อเนียมก็ดี หลวงพ่อโหน่งก็ดี หลวงพ่อทุกหลวงพ่อก็ตาม ท่านบอก นิพพานไม่ได้สูญไปตามนั้น

คำว่า นิพพานสูญ ก็หมายความว่า นิพพาน (คำว่า สูญ นี่แปลว่า ว่าง) ว่างจากกิเลส คือ จิตหมดกิเลส แต่ในเมื่อคนพูดว่านิพพานสูญมีมาก ก็เลยกำลังใจยังไม่มั่นในนิพพาน ก็คิดอย่างเดียวว่าเวลานี้เราบวชเข้ามาเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องการทำบาปชาตินี้ เราก็มีเล็กน้อย มีทำเหมือนกัน เรื่องบาปทิ้งไป บุญของเรามีมากกว่า การให้ทานหมดตัวเราทำอยู่เสมอ ทอดกฐินผ้าป่าเราก็ทำเป็นปกติ อุทิศส่วนกุศลให้ก็ทำปกติ

วิหารทานก็สร้าง สังฆทานก็ถวาย ใครขัดข้องมา ถ้าไม่เกินวิสัย เราก็ให้ จะเป็นคน จะเป็นพระ จะเป็นเณร จะเป็นเด็ก จะเป็นผู้ใหญ่ เราก็ให้ตามกำลัง เวลานี้เราก็เจริญกรรมฐาน บุญสูงสุดในพระพุทธศาสนา ก็คือ การเจริญพระกรรมฐาน ที่เรียกกันว่า ภาวนา เวลานี้ ถ้าบังเอิญเราจะตาย เราจะขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ไอ้ผีมันฟัง มันก็หยุดยิ้ม พอนึกถึงพระพุทธเจ้าว่า

เวลานี้เราเป็นสาวกของพระองค์แล้ว ถ้าเราตายเวลานี้ ไอ้ผีนี่มันเล็กกว่าเรา เราจะอยู่กับพระพุทธเจ้าที่นิพพาน นิพพานจะสูญ หรือไม่สูญ สภาพเป็นอย่างไร เราไม่สนใจ เราจะอยู่กับพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน เพราะว่าพระพุทธเจ้าให้เราเห็นแล้วในป่าช้าหลังจากบวชวันที่ ๓ วันที่ ๓ ของการบวช เวลาประมาณ สัก ๕ โมงเย็น เวลานั้นกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในป่าช้าปรากฏว่า

ภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่บนแท่น สูงขึ้นไปประมาณสัก ๔ ศอก หน้าตักของพระองค์ประมาณ ๘ ศอก ผิวเนื้อเหลือง ทุกส่วนกลมบ๊อง ไม่มีเหลี่ยมไม่มีริ้ว ไม่มีรอย ริมฝีปากแดงระเรื่อกำลังสวย ขนคิ้วดำ ทุกอย่างสวยจริง ๆ และทรงแย้มพระโอษฐ์ คือ ยิ้มน้อย ๆ หลับตามองเห็น ก็คิดในใจว่า มันจะเป็นอุปาทานหรือเปล่าหนอ

คำว่า อุปาทาน นั่นก็หมายความว่า ต้องเคยคิดว่าเป็นอย่างนั้น เคยคิดว่าเป็นอย่างนี้ ก็คิดในใจว่า ไอ้นี่ไม่ใช่อุปาทาน ภาพพระพุทธรูป เราเคยเห็น แต่ไม่ได้สวยอย่างนี้ ไปดูจีวรของพระองค์ก็สวย เหลืองอร่าม แหม เหมือนกับทองคำ เนื้อของพระองค์ เหลืองอ่อนกว่าจีวรนิดหน่อย ฉะนั้นถ้าใครคิดว่าพระพุทธเจ้าห่มเฉพาะจีวรกรัก ก็ต้องเถียงกันแล้ว เพราะว่านอกจากกรัก

ก็ยังมีอะไรอีกอย่าง คือ ขมิ้น ขมิ้นอ้อย จีวรของท่านอาจจะเหลืองประเภทสีขมิ้นอ้อยก็ได้ แต่ว่าเหลืองค่อนข้างเป็นทอง เหลืองมาก ท่านยิ้ม ในเมื่อขณะนั้น ก็นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าที่เคยเห็น เวลานั้นภาพพระพุทธเจ้าก็ปรากฏลอยอยู่ข้างบนเหมือนภาพเก่าทั้งหมดสว่างจ้า ตอนที่เห็นเวลาตอนเย็นยังไม่ค่อยสว่าง เป็นเวลากลางวัน แต่เวลาที่ผีนั่งคร่อมตัวอยู่นั่นเห็นแสงสว่างจ้า

คล้าย ๆ กับแสงไฟสักแสนแรงเทียน พระพุทธเจ้าอยู่กลาง มีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ ทรงแย้มพระโอษฐ์น้อย ๆ ก็นึกในใจว่า ในโลกนี้มีใครบ้างที่จะดีเท่าพระพุทธเจ้า มนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ไม่มีใครดีเสมอพระพุทธเจ้า ฉะนั้น วันนี้เราขออาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงโปรดกำจัดไอ้ผีร้ายตัวนี้ พอนึกในใจเท่านั้น ก็นึกภาวนาว่า พุทโธ

เอากันทีเดียว ไม่ใช่หลายรอบ พอ พุทโธ ก็เป่าพรวด เจ้าผีหกคะเมนหลายทอด หกคะเมนกระเด็นออกไปนอกกุฏิเลย เราก็สบายใจ ยิ้มเฮือก ก็ลุกขึ้นจากที่นอน กราบพระพุทธเจ้าเท่าที่เรามองเห็น หลังจากนั้นก็คิดในใจว่า โอ้โฮ อาการมันเพลียหนัก ตอนนี้ก็ไม่ดูหนังสือแล้ว ก็สงบอารมณ์ คำว่า สงบอารมณ์ ก็หมายความว่า สมาธิก็ตกลงนิดหน่อย ทำใจสบาย ๆ

หวังว่าคิดว่าจะนอน พอคิดว่าจะนอน พอตะแคงข้างเท่านั้นแหละ ไอ้ผีอีกตัวมันโดดเข้ามาคว้าคอข้างหลัง เวลานั้นจิตเราทิ้งภาพพระพุทธเจ้าซะแล้ว ก็นึกถึงพระพุทธเจ้า หันไปภาวนา พุทโธ เป่าพรวด มันก็กระเด็นออกไป ตอนนี้ละท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย เขาเรียก พุทธานุภาพ อำนาจพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ จริง ผีกลัวแน่

ฉะนั้น ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งเวลานี้ ใครสอนคาถากันผี ไล่ผีนะ ไม่เรียนหรอก ถ้าหากว่าเป็นพระ ถ้ามาสอน หรือเทวดามาสอน ก็อาจจะเรียน แต่ถ้าคนธรรมดาจะสอน ไม่ต้องมาสอน เลิกสอนได้ คือ ไม่ยอมเรียนกับใครตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เพราะไม่เชื่อ คาถามันก็ยาวด้วย ว่าก็ลำบาก พุทโธ แค่นึก พุท - โธ นี่ สั้นนิดเดียว อาศัยบารมีพระพุทธเจ้าช่วย

แต่ว่าท่านผู้อ่านก็ดี ท่านผู้ฟังก็ดี ไอ้เจ้าผีที่มันจับคอนี่ มันจับแล้วมันต้องทิ้งไปนะ แต่ความจริงพิษร้ายของมันยังมีอยู่ คอเจ็บปวดคอมาก ลุกขึ้นโงเง ๆ เดินไม่ค่อยไหว พอดีเป็นเวลา ๖ นาฬิกา สว่างได้อรุณ เวลานั้นเป็นเวลาเข้าพรรษา เมื่อเปลื้องจากผ้าครองแล้ว ก็เดินไปหาหลวงพ่อปาน ตามธรรมดาหลวงพ่อปานจะให้ อาจารย์เจิมท่านนอนอยู่ด้วยข้างใน

ท่านจะสั่งให้อาจารย์เจิมเปิดประตูเวลา ๑ โมงเช้า แต่เวลานั้นเป็นเวลา ๖ โมงเศษ อาตมาก็ไปหน้าประตู พอไปถึงก็ไปเคาะประตู กุ๊ก ๆ ใช้นิ้วน้อย ๆ เคาะ หวังจะให้อาจารย์เจิมท่านรู้ ให้เปิดประตู เวลานั้นหลงพ่อปานท่านก็ส่งเสียงถามมา ถามว่า ไอ้ลิงดำ ใช่ไหม บอกว่า ใช่ขอรับ เออ...พบดีแล้วใช่ไหมล่ะ เอ้า เจิมเปิดประตูให้มันเข้าไป ก็คลานเข้าไปหาท่านเข้าไปกราบท่านด้วยความเคารพ

ท่านบอก ว่าอย่างไรล่ะ ฉันบอกแล้วนี่นะว่า อย่าเพิ่งไป ๆ แต่แกจะดื้อน่ะ แกอย่านึกว่าข้าไม่รู้เหรอ ข้าก็รู้ว่าแกดื้อ แกจะต้องไป แต่ว่าข้าจะต้องปล่อยให้แกรู้สึกตัว เพราะเป็นแต่เพียงแค่ห้ามเฉย ๆ แกก็คงไม่ฟัง เพราะแกอยู่ในป่าช้ามาตั้งปีแล้วแกชิน แต่ที่นั่นมันไม่ใช่ผีในป่าช้า ก็ถามว่า ผีอะไรขอรับ ท่านบอก พวกนั้นเป็นพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราช ถึงได้ไม่กลัวแก

คาถาที่อาจารย์เขาสอนให้ที่แกว่า ๒ บทน่ะ ความจริงมันใช้ได้ ผีมันกลัว แต่ว่ามันเป็นคาถาขับผี ไม่ใช่คาถาขับเทวดา พวกนั้นเขาเป็นพวกเทวดา ก็ถามว่า เทวดาทำไมไม่มีหัวล่ะครับท่านก็เลยบอกว่า เขาแกล้งแกซิ แกล้งทำไม่มีหัว แล้วแกมีความรู้สึกอย่างไรบ้างเมื่อพบเขา ก็บอก ผมสบายใจ ผมดีใจที่ว่า พวกนั้นเขามาแกล้งผม ทำเสียงดัง อารมณ์ของผมสามารถสู้เสียงได้

และก็ดับเสียงได้ ท่านก็ยกมือ สาธุ ดีแล้ว ๆ ลูกเอ๋ย พ่อต้องการอย่างนี้ คนอย่างนี้พ่อต้องการ แต่ว่าอย่ากล้ามากเกินไปนักนะ ก็กราบเรียนท่านว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอนับถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเป็นอันดับหนึ่ง ท่านบอก ถูกต้อง พอพูดถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็ยกมืออีก ท่านก็ยกมือพนมมือเลย

หลวงพ่อปานท่านพนมมือบอกว่า พระพุทธเจ้าทิ้งไม่ได้ อย่าทิ้งพระพุทธเจ้านะ ไม่มีใครดีกว่าพระพุทธเจ้า และท่านก็หันมาถามว่า เวลานี้เป็นอย่างไร บอกว่า มันปวดทั้งตัว ครับ มันปวดมาก วันนี้ผมต้องขออนุญาตหลวงพ่อ ไม่ไปบิณฑบาต ท่านบอก เออ...ไม่ต้องไปหรอกลูก ทุกขเวทนามากอย่างนี้ และประการที่สอง ผมขออนุญาตไม่ทำวัตรเช้า

เพราะว่า ไปทำวัตรไม่ไหว ท่านบอก ไม่ทำวัตรเช้าไม่ได้นะ ก็บอก ลุกไม่ไหวครับ ท่านบอกเดี๋ยวต้องลุกไหวซิ ในเมื่อฉันเป็นครูแกนี่ ฉันต้องทำได้ และท่านก็ให้ก้มหัวลงไป เวลานั้นเมื่อก้มหัวไป ท่านบอกว่า เอามือ ๒ มือพนมแล้วก้มหัวลงมา มันก้มไปเฉย ๆ มันก็เจ็บ ก็เอามือยันพื้นไว้ คือ พนมยันพื้น เอาหน้าผากแตะไว้ ท่านบอกว่า นึกถึงพระพุทธเจ้าไว้นะ

เลยกราบเรียนท่าน บอกว่า เวลานี้เห็นพระพุทธเจ้าแล้วครับ ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ท่านบอก เอาละ ต่อนี้ไปนึก แกจะต้องการอะไร ก็เลยกราบเรียนท่านบอกว่า ต้องการให้หายปวดครับ บอก ถ้าอย่างนั้นนึกถึงพระพุทธเจ้าท่านว่า ฉันเป่าลงไปปั๊บ ขอบารมีพระพุทธเจ้าให้หายปวดทันที เป็นปกติ ก็นึกตามท่านว่า ท่านก็เป่าพรวดเดียว หายปวดเหมือนปลิดทิ้ง

พอหายปวดแล้วปรากฏว่า ภาพพระพุทธเจ้าแจ่มใสชัดมาก สว่างมาก ชื่นอกชื่นใจ เลยถามท่านบอกว่า หลวงพ่อครับ เวลานี้มันหายปวดหมดแล้ว มันปกติแล้ว ผมจะไปบิณฑบาตได้ไหม ท่านบอกว่า แกขออนุญาตฉันไว้แล้วใช่ไหมว่า จะไม่ไปบิณฑบาต บอก ใช่ครับ บอก แกไปไม่ทันหรอก เขาไปกันหมดแล้ว ก็เป็นอันว่า การทำวัตรสวดมนต์เป็นปกติ

ที่นำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท และลูกหลานที่รัก ไม่ใช่จะอวดดีอวดเด่น หรือไม่ใช่จะอวดกล้า ไอ้เรื่องกลัวผี เวลานี้ยังกลัวอยู่ แต่ความจริง ผี คำว่าผี นี่เราก็ว่ากันถึงทุกระดับเลยนี่นะ ขึ้นชื่อว่า พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ใครก็ตาม ถ้าเราไม่เคยเห็นตัว เราเรียก ผี กันหมด ความหวาดหวั่นของจิตใจของคน เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าถามว่า ยังกลัวหรือไม่กลัว

ก็ต้องตอบว่า ยังเป็นคนกลัวอยู่ ถ้าถามว่ากลัวอะไร บอก กลัวทุกอย่าง ทุกอย่างที่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ นรก นรกนี่กลัวมาก แล้วกลัวอันดับที่สองมาก็ เปรต อันดับที่สามมาก็คือ อสุรกาย อันดับสี่ก็ สัตว์เดรัจฉาน อันดับที่ห้าก็กลัวมาก คือ กลัวเกิดเป็นมนุษย์อีก เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ มันแสนจะทนทำ มันแสนจะทุกขเวทนามาก เวลานี้ที่พูดนี่ เสียดท้อง

พรุ่งนี้วันที่ ๓ เมษายน จะต้องล้างท้องแล้ว เพราะวันที่ ๖ จะเข้ากรุงเทพฯ และขาข้างซ้ายก็ปวด และมันก็หนัก มันก็ชา ที่หมอพิเชษฐ์เอายามา บอกว่ามันจะหนัก มันจะชา ตรงตามเป้าหมาย และอาการผิดปกติก็คือว่า กลางคืนนอนไม่หลับ มันจะไปหลับกลางวัน กลางคืนนี่ ถ้าไม่ใช้ยาฉีดช่วย ตี ๓ ตี ๔ มันยังไม่หลับ มันทุกข์ทรมานมาก

กลางวันถ้ามันง่วงเวลาที่แขกมาก็หนักใจ ง่วงก็ง่วง ก็ต้องทนคุยกับญาติโยมที่มา เพราะท่านมาไกล เห็นใจทุกคนที่มีความเมตตาปรานี เป็นอันว่าเรื่องผี ๆ หรือผีหัวขาดของวัดบางนมโค ก็มาหยุดกันแค่นี้นะ ที่วัดบางนมโค เรื่องผีนี่มีมาก ตอนนี้เทปก็เขียนไปแล้วว่า เรื่องผีหัวขาดวัดบางนมโค ก็ต้องเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

ก็เป็นอันว่า เวลานี้ ก็เหลือเวลาประมาณนาทีครึ่งจะจบ ก็ขอเตือนบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาที่ท่านเจริญพระกรรมฐานอย่ากลัวผี ถ้าหากบอกว่า ความกลัวยังมีอยู่ ก็บอก ความกลัวยังมีอยู่ก็ช่าง แต่มันกลัวห่างออกไป ก็คิดว่า ที่เรานั่งอยู่นับจากตัวเราออกไป ๑ วารอบตัว ผีก็ดี เทวดาก็ดี เข้าไม่ได้ มันจะทำอย่างไรก็ช่าง ในเมื่ออันตรายจะไม่มีกับเรา

บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เอาละ เวลานี้คอก็แห้งเต็มที ท้องก็เสียด ขาก็ปวด และวันพรุ่งนี้หมอก็มาทำฟันอีก เพราะว่าฟันก็ปวด ปวดฟันซีกซ้าย ทุกขเวทนามาก ฉะนั้น ไอ้การกลัวตาย มันก็ไม่แน่ใจนัก คือ กลัวจะกลับมาเกิดอีกเท่านั้นแหละ มันจะตายเมื่อไรไม่ว่า เวลานี้ก็ขอลาก่อน เพราะเวลาหมดแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 11/7/12 at 17:42

6

ผีนางตะเคียน



ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และท่านผู้อ่านทั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๓๓ เป็นวันบันทึก แต่ท่านจะอ่านเมื่อไร จะฟังเมื่อไร เป็นเรื่องของท่าน ตอนนี้ก็มาคุยกัน เรื่อง ผีวัดบางนมโค ต่อ และการที่บรรดาท่านทั้งหลายฟังมาแล้ว คงจะคิดว่า ผู้พูดเก่งมาก ไม่กลัวผี ความจริงถ้ามีความรู้สึกตามนั้น ก็ขอบอกบรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทราบว่า

ความกลัวผีมีเป็นปกติ และก็มีจริง ๆ ไม่ใช่มีหลอก ๆ หากว่าท่านทั้งหลายจะถามว่า ในเมื่อถูกผีหลอก ทำไมถึงทนได้ ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายทราบถึงนิสัยของผู้พูด นิสัยของผู้พูดมีอยู่อย่างหนึ่ง คือว่า เดินข้างหน้า คำว่า ถอยหลัง ไม่มี มีศัพท์เดียวว่า สู้ ไม่ถอย ถึงแม้ว่าจะสู้ไม่ได้ ก็สู้ ถ้าหลบไม่ได้ ถ้าหลบได้ ก็หลบ ถ้าหลบไม่ได้ ต้องสู้ และการสู้ ไม่มีคำว่า ถอย

ถึงแม้ว่าจะต้องเสียชีวิตก็ยอม และอีกคำหนึ่งมีว่า คำว่า ไม่สามารถในชาตินี้ จะไม่มีสำหรับเรา นั่นก็หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเราจะทำ ต้องคิดว่า เราทำได้ ถ้าสิ่งใดมันเกินวิสัย สิ่งนั้นเราก็ไม่ทำ แต่ถ้าลองทำแล้ว ต้องทำให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จ จะไม่เลิก อันนี้เป็นนิสัยประจำใจ ฉะนั้นการถูกผีหลอก ไม่ใช่ไม่กลัว กลัว ถ้าถามว่า กลัวแล้วทำไมจึงไม่ถอย

ก็ขอตอบอีกคำหนึ่งว่า คนอย่างผู้พูด มีนิสัยตามชาวบ้านเขาเรียก เขาเรียก บวม ๆ บ้า ๆ บางครั้งก็บวม บางครั้งก็บ้า คำว่า บวม ก็คือ ฮึดสู้ บ้าตีดะ สู้ดะ ก็มาคุยกันต่อไป บรรดาผีทั้งหลาย ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่ใช่เธอทำเพียงแค่นั้น แล้วก็เลิก เธอไม่เลิก เธอรบกวนทุกวัน เป็นอันว่า ทุกวัน ตอนเย็นจะขึ้นไปกุฏิหลังนั้น ก็มีการพบเหตุการณ์ปกติ นั่นคือ

เสียงแกคุยกันบ้าง กระโดดโลดเต้นบ้าง แต่มองไม่เห็นตัว ผู้พูดก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากหวายตีผี ของหลวงพ่อปานให้ไว้หนึ่งอัน เวลาเอารัดประคตคาดพุงก็คาดกับรัดประคต ทีนี้ติดตัวเลย จะตื่นอยู่หรือจะหลับอยู่ก็ตาม ใช้หวายตีผีติดตัวเข้าไว้ ในเมื่อหวายตีผีติดตัวเข้าไว้ เป็นหวายของหลวงพ่อปาน ผีก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ รวมความว่า ในสมัยนั้น ทั้งพระ ทั้งฆราวาส

เขาก็มีความรู้สึก เอากันส่วนมาก ก็มีความรู้สึกว่า ผู้พูดเป็นคน บ้า ๆ บวม ๆ บางคนก็หาว่า ไอ้นี่มันบ้า บางคนก็หาว่า ไอ้นี่มันบวม นี่เฉพาะพระนะ แต่พระบางองค์ท่านก็ดี ท่านเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดมีอยู่รักมาก เห็นใจมาก มีอยู่ ต่อมาก็จะเล่าเรื่องผีให้ฟังอีกตอนหนึ่ง คือว่า บรรดาผีทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อเธอล้อเธอเล่น มันไม่มีผล ต่อมาก็มาปรากฏมีผีที่น่ารักอยู่ ๒ คน คือ ผีนางตะเคียน

เรื่องราวของนางตะเคียนก็มีอยู่ว่า หลวงพ่อปานท่านจะสร้างเขื่อนหน้าวัด ก็มีต้นตะเคียนรุ่น ๆ คำว่า รุ่น ๆ ก็หมายความว่า โตไม่มาก เส้นผ่าศูนย์กลางขนาดประมาณไม่ถึงฟุต หรือตอนโคนทีเดียวอาจจะถึงฟุต ท่านตัดไป ๒ ต้น เมื่อต้นตะเคียนถูกตัด ก็ปรากฏว่านางตะเคียน ๒ คน เข้าไปหาหลวงพ่อปานเวลาการเจริญกรรมฐาน คำว่า เวลาการเจริญกรรมฐาน

บรรดาท่านพุทธบริษัท สำหรับพระที่ท่านทรงฌานอย่าง หลวงพ่อปาน กรรมฐานใช้กันได้ ๒๔ ชั่วโมง เวลากินข้าว อารมณ์ก็เป็นกรรมฐาน อาหาเรปฏิกูลสัญญา เวลาที่จะคุยกับใคร อารมณ์ก็เป็นกรรมฐาน ถือเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะอะไรรู้ไหม อนิจจัง คนที่มาพูดนี่มันไม่เที่ยง มันแก่ไปทุกวัน ทุกขัง นั่นความแก่เข้ามาถึง

ความปรารถนาไม่สมหวัง เธอก็ทุกข์ อนัตตา ในที่สุดเขาก็ตาย เราก็ตาย มีสภาพเช่นเดียวกัน ก็รวมความว่า เฉพาะสมาธิ สมาธิจริง ๆ มันทรงอารมณ์ ไม่ใช่อึกอักอะไรก็ต้อง นั่งหลับตาปี๋ นั่งหลับตาปี๋จึงจะใช้อารมณ์สมาธิได้ อย่างนั้นอาจจะดีสำหรับบางคณะ แต่คณะที่ท่านเอากันตามนี้ ท่านใช้สมาธิทุกเวลา สมาธิที่จะทรงตัวอยู่ อย่างน้อยที่สุด ก็เป็น อุปจารสมาธิ

หรือมิฉะนั้นก็เป็น ฌานที่ ๑ ฌานที่ ๒ คือ เขาไม่ทิ้งกันเลย อย่างตอนเช้ามืด เข้าฌาน ๔ เรียด แต่ความจริงสมาธินี่ ถ้าพูดกันตามส่วน ถ้าเป็นฌานโลกีย์ต้องระวังให้มาก มันเป็นฌานหัวเต่า ถ้าไม่ค่อยระมัดระวัง ไม่คอยคุม มันก็เผลอได้เหมือนกัน ฉะนั้นท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟังก็จงอย่าคิดว่า คนที่ทรงฌานโลกีย์เป็นคนดีนัก ถ้าชมกันว่าดีเลิศนี่ ขอตำหนิผู้ชมว่า

ไม่มีความเข้าใจอะไรจริง ๆ เลย ฌานโลกีย์ที่ เป็นฌานหลอกหลอน เป็นฌานหัวเต่าผลุบเข้าผลุบออก ถ้าทรงกำลังฌานเต็มที่ อารมณ์จะหนัก อารมณ์จะแน่น รู้สึกมีน้ำหนักของกำลังใจ น้ำหนักของกำลังกายสูง นี่เป็นกำลังของฌาน ถ้าเป็นฌานเกี่ยวกับวิปัสสนาญาณ คือเป็น โลกุตตรฌาน อารมณ์หนักอารมณ์แน่นจะหายไป มีแต่อารมณ์เบา

แต่จิตมีความสุข จิตมีอารมณ์โปร่ง ถ้าฌานของวิปัสสนาญาณ นี่ไม่ถอย ถ้าถึงสังโยชน์แล้วไม่ถอย ไม่ต้องระวังกัน คือไม่ต้องระวังเกรงว่า ฌานจะหลุด ฌานจะพ้น ฌานจะหาย ฌานจะสลายตัว ไม่ต้องระวัง ปล่อยกันตามสบายแล้ว เพราะทรงตัวแน่ แต่สำหรับฌานโลกีย์ต้องระวังให้มาก บางทีจิตไปตั้งอยู่ในอารมณ์ของฌานที่ ๓ หรือฌานที่ ๔ จนชิน คำว่า ชิน ก็เป็นชั่วขณะเดียวเวลานั้น

อาจจะมีความรู้สึกว่า เวลานี้เราเป็นพระอรหันต์ก็ได้ นี่ต้องระวัง ๆ ให้มาก และมีสภาพเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่าความรู้สึกเป็นพระอรหันต์ จะมีความรู้สึกเหมือนกันหรือไม่ ไม่ทราบ อารมณ์มันดับ ความรักในระหว่างเพศก็ดี ความโลภอยากรวยก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี มันหยุดนิ่ง มันถูกกดด้วยกำลังฌาน กดนาน ๆ หลาย ๆ วัน หนักเข้า ๆ อาจจะมีความรู้สึกว่า

เราอาจจะเป็นผู้พ้นกิเลสเสียแล้ว ทีนี้ตัวอย่างมีไหม ตัวอย่างมีในสมัยพระพุทธเจ้า คือ พระที่ทรงฌานโลกีย์อย่างนี้ เคยมี เมื่อขณะที่ทรงฌานโลกีย์อย่างนั้น อารมณ์แน่น มีอารมณ์หนัก มีอารมณ์ทรงตัว ก็เข้าใจว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ ก็พยากรณ์กับตน หมายความพูดกับเพื่อนว่า ผมนี่เป็นพระอรหันต์แล้ว ต่อมาก็กลายเป็นว่า ฌานมันเคลื่อนตัวลง ความรู้สึกของกิเลสมันก็ยังเกิดขึ้น

คือความรักในระหว่างเพศ ถึงแม้ว่าจะไม่เอาจริงไม่เอาจัง แต่ก็เห็นว่าสวย คนนี้สวยเนื้อดีอวบอั๋นดี อะไรก็ตาม มันดีไปหมด รู้สึกว่าร่างกายเขาดีนี่ใช้ไม่ได้แล้ว ความอยากจะร่ำรวย อยากเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีเกิดขึ้น แม้แต่ชั่วขณะหนึ่งก็ใช้ไม่ได้แล้ว ความอารมณ์ไม่พอใจเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งก็ใช้ไม่ได้แล้ว ก็รวมความว่า ความหลงใหลในร่างกาย คิดว่าร่างกายของเราดีก็ใช้ไม่ได้แล้ว

อย่างนี้มันโผล่ขึ้นมา ในเมื่อมันโผล่ขึ้นมา ท่านก็มีความสงสัยในตัวเองว่า การพยากรณ์ตนเองว่า เป็นพระอรหันต์ มันจะขาดจากความเป็นพระไหม เป็นการ อวดอุตริมนุสธรรม ไหม ก็ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่เป็นอุตริมนุสธรรม เพราะความเข้าใจผิด เรื่องของฌานโลกีย์ เป็นอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เอ้า...มาคุยธรรมะเดี๋ยวจะง่วงกันตาย

เล่าเรื่องของนางตะเคียนกันต่อไป นางตะเคียน ๒ คน เข้าไปหาหลวงพ่อปาน ที่บอกว่า เวลาเจริญกรรมฐาน เวลาไหนทราบไหม เวลานั้นเป็นเวลาหัวค่ำประมาณ ๒ ทุ่ม หลวงพ่อปานกำลังตะบันหมากอยู่ ท่านใช้ตะบัน ตะบันหมาก ฟันท่านไม่มี กำลังตะบันหมากอยู่ ก็ปรากฏมีสตรี ๒ คน ความจริงประตูเขาใส่กลอนแล้ว เข้าไป เป็นเด็กสาวรุ่น ๆ หน้าตาเหมือนเด็กอายุ ๑๒ - ๑๓

แต่ร่างกายก็สาวทรงตัว สาวทรงตัวคล้ายอายุ ๑๖ - ๑๗ รูปร่างหน้าตาดี ๒ คน เข้าไปกราบ แล้วก็ร้องไห้ก็บอกว่า หลวงพ่อเจ้าคะ หลวงพ่อฟันต้นตะเคียน ๒ ต้น บ้านฉันก็พัง วิมานฉันไม่มีที่ตั้ง ทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ ฉันจะอยู่ที่ไหน หลวงพ่อปานท่านก็ถามว่า เออ...น้องหญิงเอ๊ย...เอ็งมาจากไหนละ นี่เป็นศัพท์หลวงพ่อปานท่าน เธอบอก ฉัน คือนางตะเคียน ๒ ต้นเจ้าค่ะ

วิมานฉันแปะอยู่ที่ต้นตะเคียน เวลานี้หลวงพ่อจะสร้างเขื่อน ไปโค่นต้นตะเคียน ฉันก็ไม่มีที่อยู่ หลวงพ่อปานก็บอกว่า ต้นไม้ในวัดนี้มีเยอะ หาอยู่สักต้นซิ เธอก็ตอบว่า ต้นไม้ที่มีแก่นในวัดนี่ ไม่มีว่างเลยเจ้าค่ะ วิมานรุกขเทวดาเต็มไปหมด รุกขเทวดา รุกขนางฟ้านะ คือ เทวดาต้นไม้ นางฟ้าต้นไม้ เต็มไปหมด ฉันไม่มีที่อยู่เจ้าค่ะ หลวงพ่อปานก็บอกว่า

เออไอ้กุฏิ ๒ หลัง หน้าศาลา ที่ฉันจะทำเป็น โรงเรียนนักธรรม นั่นนะ เวลานี้มันว่างใช่ไหม เธอเห็นว่ามีเทวดา หรือนางฟ้าไปอาศัยไหม เธอก็ตอบว่า ไม่มีเจ้าค่ะ หลวงพ่อปานก็บอกว่า ถ้าเธอจะใช้วิมานของเธอไปแปะอยู่กับกุฏิคนละหลังจะได้ไหม เธอก็บอกว่า ยินดีจะเอาหลังเดียว คือ ๒ คน ๒ วิมาน ใช้กุฏิหลังเดียวก็พอ หลวงพ่อปานก็อนุญาต

และเธอก็กราบอีกครั้งหนึ่งว่า ขอพร ในเมื่ออนุญาตแล้ว ขอจงห้ามไม่ให้ผีอื่นเข้าไปยุ่ง หมายความว่าไปอาศัยอยู่ หลวงพ่อปานก็ยอมรับ ในเมื่อหลวงพ่อปานอนุญาตแล้ว เธอก็ไปอยู่ที่นั่น และนางฟ้า ๒ คนนี่แหละที่ทำให้พระไปอยู่ ๓ รุ่น ต้องลงจากกุฏิหลังนั้น เพราะอะไร เพราะเธอเป็นนางฟ้า คำว่า นางฟ้าจะเป็นนางฟ้าได้ จะเป็นภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี

อากาศเทวดาก็ตาม ขึ้นชื่อว่า เทวดาหรือนางฟ้า ก่อนจะตายต้องมี หิริและโอตตัปปะ คือ อารมณ์ตัดความเลวของจิต คือ คิดกลัวบาป อายบาป กลัวความชั่ว อายความชั่ว จึงเป็นเทวดา จึงเป็นนางฟ้าได้ ในตอนก่อนนั้น เธอจะมีความชั่วขนาดไหนก็ตาม ก่อนหน้านั้น แต่ถ้าเวลาใกล้จะตาย จิตคิดถึงบุญ คิดถึงบาปเข้ามา รู้ผิดรู้ชอบ รู้เหตุรู้ผลว่า

กรรมใดที่เป็น อกุศล คือ ความชั่ว ให้ผลเป็นทุกข์ กรรมใดที่เป็นกุศล ให้ผลเป็นสุข ตอนนี้จิตก็มีเหตุมีผล กลัวบาปกลัวอกุศล ทำบุญทำกุศลแทน อย่างน้อยที่สุด จิตนึกถึงพระที่เคยบูชา พระที่เราเคยรัก ที่เราเคยเคารพ อย่างนี้เป็นต้น รวมความว่า เขาจะเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าด้วย หิริ - โอตตัปปะ อายความชั่ว กลัวความชั่ว ทีนี้หลวงพี่ที่ขึ้นไปอยู่ ๓ รุ่น ก็เป็นหลวงพี่ที่มีความกล้าหาญชาญชัย

ไม่กลัว คำว่า ไม่กลัวอะไร คือไม่กลัวความชั่ว ทั้งนี้ก็จะคุยให้ฟังว่า อย่านึกว่าครูบาอาจารย์ดี ลูกศิษย์มันดีไปตามทั้งหมด ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ไอ้พวกคนที่มันเกาะหลังครูบาอาจารย์กินน่ะ มันมีเยอะ แทนที่จะสร้างความดีตามครูบาอาจารย์สอน มันกลับสร้างความชั่ว แล้วก็นั่งเบ่งคิดว่า วันนี้เราจะกินไอ้นั่น วันนี้เราจะกินไอ้โน่น ดี ไม่ดี ลูกสาวใครคนไหนสวย ชอบคนนั้น

ชอบคนนี้ อยากจะร่ำอยากจะรวย หากิเลส หานรกลงหัว อย่างนี้มีเยอะ ถ้าจะถามว่า ลูกศิษย์คนพูดมีไหม ก็ต้องตอบว่า มี ถามว่า เลี้ยงไว้ทำไม แต่ความจริงไม่ได้เลี้ยงใคร เวลานี้ไม่ได้เลี้ยงใคร เลี้ยงตัวเอง และญาติโยมน่ะเลี้ยง ไอ้คำว่า เลี้ยง คือ ญาติโยมเลี้ยง นั่นก็หมายความว่า สุดแล้วแต่คน คนมันอยากจะลงนรก ก็ให้มันลงลึก ๆ

มันอยากจะไปสวรรค์ก็ให้มันมีความสุขมาก ๆ อยากจะไปนิพพาน ก็ให้มีสภาพความแจ่มใส อย่านึกว่าวัดที่มีผู้ใหญ่ดี มีชื่อมีเสียง ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามสมควรแก่กำลังการปฏิบัติของท่าน ก็จงอย่านึกว่า ลูกศิษย์ลูกหามันดีตามไปทุกคน ไอ้ที่เลวแสนเลว มันก็มี เลวขนาดที่ไม่ควรจะเลว ความรู้สึกรับผิดชอบไม่มี อย่างนี้มันมีอยู่เยอะเหมือนกัน แต่บางองค์ บางท่าน

บางคนก็ดีแสนดี บางคนก็ดีเกินกว่าที่อาจารย์จะคิดเร่งรัดตัดกิเลส จนกระทั่งขาดการยับยั้ง มีความเพียรมากเกินไป อาจารย์ต้องยับยั้ง อันนี้ดีเกินไป ถ้าถามว่า ถ้าดีเกินไปอย่างนั้น ทำไมอาจารย์ต้องยับยั้ง ไม่ปล่อยบุกให้แหลกไปเลย ก็ต้องขอตอบว่าขืนบุกอย่างนั้น กิเลสไม่แหลก คนบุกแหลกเป็น อัตตกิลมถานุโยค ทรมานเกินไป เอ้า...เลี้ยวเข้าหานางตะเคียนกันใหม่ดีกว่า

ที่พูดอย่างนี้ กลัวผู้ฟังจะหลง คิดว่า ลูกศิษย์คนพูดนี่ ดีทุกคน ความจริงทุกคนก็มีดี แต่ทุกคนก็มีชั่ว แต่ใครจะดีมาก ใครจะชั่วมาก ก็เลือกบูชากันตามชอบใจ ถ้าบูชาสิ่งที่ดีจริง ๆ ท่านก็ได้อานิสงส์จริง ถ้าบูชาท่านที่ดีจอมปลอม ก็ได้อานิสงส์จอมปลอม ต้องดูการสะสม ดูเหตุดูผลเป็นอันว่า บรรดาพระ ๓ รุ่น ที่ขึ้นไป แล้วก็ต้องลงมา เป็นพระอะไรล่ะ อย่าไปเรียก

พระเลย เสียศักดิ์ศรีพระท่าน เอาเป็นนักบวชประเภทที่เรียกว่า สักแต่ว่าบวช บวชตามประเพณี ชอบทำตัวเด่น ชอบทำตัวโก้ อย่างกับผู้พูดที่เขาหาว่า เป็นตัวตุ่น เขาหาว่า บ้า ๆ บวม ๆ เขาไม่อยากจะคบหาสมาคมด้วย แต่บางองค์ก็คบด้วย แต่คบอย่างเบ่ง อย่างเขาเป็นผู้เหนือกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งชอบส่องกระจก ชอบมองดูหน้า ชอบแต่งหน้า

เวลาจะไปไหนจีวรก็ต้องเรียบร้อย ห่มดี แต่ลืมนึกไปว่า เวลานั้น ๑๕ วัน ขูดหัวน่ะ ๑๕ วัน เขาโกนที เขาขูดครั้งหนึ่ง และไอ้หางที่กระดิก ๆ ก็คือ คิ้ว เขาก็ไม่มี ต้องตัดเสียแล้ว หลงในตัวเองประเภทนี้ ฉะนั้นนางฟ้าทั้ง ๒ คน ท่านเป็นคนมีหิริและโอตตัปปะ จึงเป็นนางฟ้าได้ เมื่อขึ้นไปอยู่ที่นั่น เมื่อพบกับท่านแล้วก็ถามว่า ๓ องค์น่ะ เธอทำอย่างไร เธอก็ตอบว่า

ไม่มีอะไร เห็นท่านชอบผู้หญิง ฉันก็เลยมาลูบมาคลำท่าน ก็เลยบอกว่า เธอลูบคลำพระ นี่มันบาปนะ เธอบอก ฉันไม่ได้ลูบคลำพระ เพราะทั้ง ๖ องค์ ๓ รุ่น รุ่นละ ๒ องค์ จิตใจไม่ใช่พระ เวลานอนนึกถึงสาว ๆ ลูกสาวบ้านโน้น ลูกสาวบ้านนี้ และจิตใจอยากจะประกอบการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้มันได้เงินไปแต่งงานกับสาว และก็คุยกัน ชอบคุยเรื่องสาว ๆ ชอบคุยเรื่องการร่ำรวย

ชอบนินทาว่าร้ายคน ฉันมีความรู้สึกว่า ทั้ง ๖ ท่าน ไม่มีความเป็นพระเหลืออยู่เลย นี่บรรดาท่านผู้ฟัง ท่านผู้อ่านไปคิดตามเอานะ เทวดาเขามีความรู้สึกตามนี้ เขามีความรู้สึกของเรา เขารู้ใจเราคิด ในเมื่อเห็นว่า ท่านไม่เป็นพระ ฉันก็คิดอยู่ว่า ไอ้บ้านของฉันมันก็พะอยู่ที่ศาลาหลังนี้ กุฏิหลังนี้ ถ้าเราอยู่กับคนที่ไม่ใช่พระ อารมณ์ดีของเราก็จะมีน้อย บุญกุศลก็หาไม่ได้

เพราะเทวดานางฟ้าทำบุญทำกุศลต่อเหมือนกัน ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรท่าน ฉันก็ไปนั่งข้าง ๆ ท่าน เอามือลูบท่าน แต่ไม่ได้ลูบหัว ลูบตั้งแต่ไหล่ลงมาถึงปลายเท้า เลยถามเธอว่า ถ้าอย่างนั้น ทำไมพระไม่โดดกอดเธอล่ะ เธอก็ตอบว่า ถ้าหากว่าท่านจะกอดฉัน ฉันก็ยอมให้กอด แต่ก็รู้สึกว่า ท่านไม่กอด ท่านกลัว ถามว่าเธอทั้งสวย และก็เรียบร้อยแบบนี้ ทำไมท่านจะกลัว

เธอก็บอกว่า เวลานั้นมือฉันเย็นกว่าน้ำแข็งเสียอีก พอลูบปั๊บ ตัวแข็ง สั่นเลย ลูบแค่วันแรก ก็รู้สึกยังแกล้งทนอยู่ วันที่ ๒ ก็แกล้งทน วันที่ ๓ โดดลงมาข้างล่าง ฉิบ พอรุ่นที่ ๒ ขึ้นมา ก็มีความรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ฉันก็ต้องสั่งสอนแบบนั้น ก็เป็นอันว่า หลังจากนั้นต่อมาก็เลยถามเธอว่า เมื่อรุ่นที่ ๓ ลงไปแล้ว ฉันจะขึ้นมา เธอมีความรู้สึกอย่างไร เธอก็ตอบว่า

ฉันมีความรู้สึกอยากให้ท่านขึ้นมา ก็ถามว่า นางฟ้าใช้กำลังดลใจหรือเปล่า เธอก็บอกว่า เปล่า เพียงแต่คิดว่า พระองค์นี้ทำไมไม่มาอยู่ที่นี่ ถ้ามาอยู่ที่นี่ละก็ มีกำลังบุญพอสมควรที่จะสงเคราะห์กันได้ ก็เลยถามเธอบอกว่า เขาหาว่า ฉันบ้า ๆ บวม ๆ นะ เธอก็ตอบว่า เธอก็มีความรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน เออ...เอาเข้าแล้วซี เธอก็บอกว่า ฉันก็มีความรู้สึกอย่างนั้น แต่อยากให้ท่านขึ้นมา

และถามว่า ในเมื่อรู้สึกมีความบ้า มีความบวม แล้วทำไมอยากให้ขึ้นมา เธอบอกไอ้บ้า หรือบวม มันมี ๒ อย่าง บ้าเพื่อสร้างกิเลส บวมเพื่อสร้างกิเลส และบ้าทำลายกิเลส บวมทำลายกิเลส สำหรับท่านนี่ มันบ้า ๆ บวม ๆ ประเภททำลายกิเลส ก็ตอบเธอบอกว่า เวลานี้กิเลสมันยังไม่หมดนะ เธอ ๒ คนนั่งข้างหน้าฉันนี่ ฉันยังรู้สึกว่าสวยนะ เธอก็ตอบว่า อย่าพูดว่าสวยซิ

ประเดี๋ยวแม่ใหญ่มา แม่ใหญ่จะอาละวาด คือ ท่านคงไม่อาละวาดฉัน อาละวาดท่านนั่นแหละ หาว่าเจ้าชู้เกินไป ถามว่า แม่ใหญ่อยู่ที่ไหน เธอบอก ท่านแม่ใหญ่เวลานี้อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถามว่า เธอคุยกับฉันนี่ แม่ใหญ่เห็นไหม เธอตอบว่า เห็น แจ๋ว...กำลังนั่งยิ้ม ๆ อยู่นั่นแหละ ดีไม่ดี เดี๋ยวก็มาฉีกเนื้อท่านหรอก เธอก็คุยสนุก คุยไปคุยมา ก็ลืมบอกเวลาไปเวลานั้น

เวลาประมาณสัก ๒ ทุ่ม คุยไปคุยมาอยู่พักหนึ่ง ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ต่อนี้ไป เราเป็นเพื่อนกัน เธอเป็นเพื่อนฉัน คอยดูฉัน ฉันมันคอยจะเผลอ ถ้าฉันเผลอในเรื่องกามารมณ์เมื่อไร เธอเตือนทันที ฉันเผลอเรื่องทรัพย์สิน ความโลภเมื่อไร ให้เตือนทันที ถ้ากำลังใจโหดเหี้ยมขึ้นมา ให้เตือนทันที ถ้าความหลงกับตัวเกิดขึ้นมา เธอเตือนได้ทันที

เธอก็ยกมือพนม ทั้งสองบอกถ้าอย่างนี้สิอยู่กันได้นาน แหม...มันก็เป็นที่น่าเสียดาย ท่านผู้ฟังถ้าเธอเป็นคนนะ วันนั้นสึกแล้ว นิ่มนวลจริง ๆ สวย มองแล้วชื่นตาชื่นใจ เย็นใจเหลือเกิน พูดก็เพราะ ลีลาก็ดีมาก ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ๆ แต่เธอก็คงไม่มานะ เพราะเมื่อยังไม่บวชก็ไม่เห็นมา ถ้ายังไม่บวชถ้ามาแบบนี้ น่ากลัวมีเมียเทวดาไปแล้ว มีเมียนางฟ้าไปฉิบ หรือจะลงนรกไป ก็ไม่ทราบ

ก็รวมความว่า ตอนหลังนี้มีเพื่อนใหม่ คือ มีเพื่อนสาว ๒ คน ขณะที่เธอจะเข้ามาหา เธอทำอย่างนี้ อันดับแรก ก่อนจะดูหนังสือทุ่มเศษ ๆ เธอก็เอามือรูดฝา รอบ ๆ ฝา เดินไปแล้วก็วิ่งผ่านเข้ามาจากหน้าต่าง ออกประตู เห็นเข้าก็บอกว่า ๒ คนนี่ มานี่ก่อน มาจากไหน มาอย่างไร เป็นผู้หญิงเข้ามาอย่างไรในห้องของพระ เธอก็หันเข้ามายกมือไหว้ แล้วก็คุยกันตามนั้น

หลังจากนั้นก่อนจะหลับ ก็บอกเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นตัว บอกว่า นี่ถึงเวลาก่อนตี ๑ ครึ่ง ๕ นาที ให้ปลุกฉัน ฉันจะลุกขึ้นทำวัตรสวดมนต์ และฉันจะเจริญกรรมฐาน ถ้าหลังเจริญกรรมฐานแล้ว ฉันดูหนังสือ ถ้าบังเอิญหลับไปก่อน ๖ โมง ๕ นาที ให้บอกฉัน เธอก็รับคำ เป็นอันว่า ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา ก็มีความสุข เพราะมีเพื่อน เราก็มีเพื่อน รูปร่างหน้าตาก็สวย

วาจาก็น่ารัก ทุกสิ่งทุกอย่างมองแล้วดีหมด สดชื่นทุกอย่าง แต่ทว่าบรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน แต่เพื่อนอีกประเภทหนึ่ง เธอก็ไม่ละความพยายามแสดงออก คุยที่โน่นบ้าง ตึงตังที่นี่บ้าง ทำโป๊กเป๊กที่โน่นบ้าง เป็นปกติธรรมดา ๆ ก็ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาก็คิดในใจว่า เรื่องของใครก็เรื่องของใคร เรื่องของผีก็เรื่องของผี เรื่องของเราก็เรื่องของเรา ถามว่า กลัวไหม

ต้องขอตอบด้วยความจริงใจ ไม่ปกปิดกัน กลัวจริง ๆ ถ้าไม่กลัว ก็ไม่เอาหวายหลวงพ่อปานผูกไว้ และก่อนที่ขึ้นไปสถานที่นั้นก็ใช้คำภาวนาว่า พุทโธ จิตนึกถึงภาพพระพุทธเจ้าในวาระแรกที่พระองค์แสดงให้ปรากฏ หลังจากเริ่มเจริญกรรมฐานถึงวันที่ ๓ ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงพระองค์ให้ปรากฏ เป็นชั่วโมง ตอนนี้คุยแล้วหรือยังไงก็ไม่ทราบ จำไม่ได้

อยากจะเห็นพระพุทธเจ้าในพระรูปพระโฉมเดิม ท่านแสดงให้ปรากฏชัด ทรงแย้มพระโอษฐ์น้อย ๆ สวยจริง ๆ ภาพนี้ติดตา ติดใจตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง ถามว่า ไม่ลืมหรือ ขอยอมรับว่า ไม่ยอมลืมเด็ดขาด จะไปที่ไหนก็ตาม จะคุยกับใครก็ตาม จะต้องนึกถึงภาพนี้อยู่เสมอ ฉะนั้นก่อนที่จะขึ้นไป ก็นึกถึงภาพนี้ก่อน นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าลอยอยู่เหนือศีรษะ ก็ก้าวขึ้น

พอตอนเย็นจะก้าวขึ้นบันได บางทีขาสั่น พั่บ ๆ ๆ ๆ ไอ้ใจมันก็สู้ แต่ขามันก็กลัว เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ฟังต่อไปก็ไม่ไหว เวลาเหลือไม่ถึงครึ่งนาที ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


7

ผีพระอนาคามี



ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย สำหรับวันที่บันทึกวันนี้เป็น วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๓ ถ้าจะถามว่า ทำไมไม่ทำงานติดต่อกัน ก็ขอตอบว่า ทำงานติดต่อกันไม่ได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่า อาการป่วยมันติดต่อกัน วันนี้อาการป่วยพอฟื้นขึ้นมาบ้าง ก็มาคุยกันต่อไปทีแรกคิดว่าจะคุยเรื่อง ผีวัดบางนมโค ต่อไปอีก แต่ความจริงเรื่องนี้ยังคุยกันต่อ แต่ว่าประวัติปัจจุบันมันเกิดขึ้น คือว่า

เมื่อตอนเช้า เวลาประมาณสัก ๒ โมงเช้า ได้เดินทางไปจังหวัดอุทัยธานี ความจริงสถานที่อยู่กับจังหวัดอุทัยธานี ห่างกัน ๖ กิโลเมตร ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมไปด้วย ๔ คน และทหารอีก ๑ คน และก็มีพระร่วมไปก็คือ พระครูปลัดอนันต์ พระครูสังฆรักษ์สุรจิต พระครูสมุห์โอ พระครูใบฎีกาสมพงษ์ พระปลัดวิรัช พระสุมห์บัญชา และพระใบฎีกาประทีป

รวมแล้วไปด้วยกัน ๘ องค์ ไปเพื่อมนัสการศพเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี คือ เจ้าคุณราชอุทัยกวี ท่านมรณภาพ ถ้าจำไม่ผิดก็เป็น วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๓๓ ถ้าจำไม่ผิดนะคิดว่า วันนี้เป็นวันที่ ๗ ของท่าน แต่ทว่าทางฝ่ายเจ้าภาพคิดว่า วันนี้เป็นวันที่ ๖ และก็วันพรุ่งนี้เป็นวันที่ ๗ คือ วันที่ ๑ พฤษภาคม ไปถามท่านเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะอำเภอก็บอกว่า

ถ้านับกันจริง ๆ ต้องเป็นวันนี้ เป็นวันที่ ๗ ก็คิดว่า ถ้าบังเอิญเขาทำบุญ ๗ วัน ก็จะหลบไปก่อน ในเมื่อเขาว่างก็ขึ้นไปไหว้ศพ เพราะว่าเมื่อวันที่ ๒๓ ทราบข่าวว่า ท่านมรณภาพ ไปไม่ได้ เพราะตอนนั้น ตัวเป็นพระ เท้าเป็นเก๊าต์เท้ามันบวมมาก และก็ปวดมาก ไปไม่ได้ จึงให้พระนำดอกไม้ธูปแพเทียนแพไปมนัสการแทนมี พระปลัดวิรัช กับพระสมุห์บัญชา

และก็ถวายปัจจัยที่บรรดาลูกหลานทั้งหลายให้ มีอยู่ ไปค้นในกระเป่า ค้นไปค้นมาได้หมื่นบาท ขอทำบุญเริ่มต้นในการทำศพของท่าน หมื่นบาท นี่เต็มที่แล้วนะ หาเสียเกือบตาย หาจากกระเป๋า ๔ กระเป๋าด้วยกัน ค้นจากกระเป๋าลูกโน้นบ้าง ค้นจากกระเป๋าลูกนี้บ้าง ได้หมื่นบาท ดีใจเกือบตายว่า วันนี้เรารวยเราได้ทำบุญกับท่านผู้มีคุณตั้งหมื่นบาท ความจริงงานศพ

งานเริ่มต้นนี่เป็นงานที่มีความสำคัญมาก เพราะว่าการตายของท่านจะเล่าให้ฟัง นี่กำลังพูด สุนัขมันหอนใหญ่ แสดงว่า ท่านอาจจะมาก็ได้ ความตายของท่านนี่อัศจรรย์อย่างยิ่ง คือ เป็นการตายที่ไม่เคยมีใครคิดว่า ท่านจะตาย แต่เรื่องความตายนี่ มันเป็นของธรรมดาก็จริงแหล่ แต่ว่าสมัยก่อน ท่านป่วยมาก อาการไม่ดีเป็นปกติ อย่างคนพูดนี่แหละ แต่ก็ตอนนั้นก็ไม่มีใครคิดว่า ท่านจะอยู่

คิดว่า ท่านอาจจะตายในระยะไม่ช้า แต่ทว่าต่อมา เมื่อผู้พูดรับสมณศักดิ์เลื่อนสมณศักดิ์เป็นชั้นราช ไปมนัสการท่าน กลายเป็นไปถึง ท่านดีมาก มีสุขภาพดี และก็ปกติทุกอย่าง หายจากโรคภัยไข้เจ็บ พวกเราก็ดีใจ เพราะว่าท่านเป็นพระที่มีความดีสูงมาก ตามความรู้สึกของผู้พูด ผู้พูดเองในตอนหลัง หมายความว่า หลังจากเรื่องยุ่ง ๆ ของวัดท่าซุงผ่านพ้นไป

ตอนนั้นได้มีโอกาสเข้าใกล้ท่าน ก็ซาบซึ้งในความดีของท่านว่า ท่านเป็นพระที่ดีจริง ๆ ตรงไปตรงมา และมีคุณธรรมจริง ๆ แต่ว่าการตาย ตามที่ทราบมาเป็นอย่างนี้ เขาบอกว่า ในตอนเช้า ท่านฉันข้าวได้มาก คนส่งหมู เอาหัวหมูมาให้ เขาบอกให้ฟัง เขาบอกว่า ท่านชอบฉันหมู เขาก็ถวายหมู หมูที่ปรุงแล้วนะ และก็ชอบฉันมะม่วง เขาก็เอามะม่วงไปถวาย

ตอนเช้าฉันได้มาก และก็ในกาลต่อมา ท่านผู้เล่าเล่าให้ฟังบอกว่า ท่านเรียกคนปฏิบัติมา เป็นสตรีอายุมากแล้ว บอกให้ไปหยิบปฏิทินร้อยปีมา เมื่อหยิบปฏิทินร้อยปีมา ก็ดูอายุ แล้วก็ปรากฏ อายุท่าน ๙๕ ปี ท่านบอก เออ อายุตั้ง ๙๕ จะให้มันตายเสียที มันก็ไม่ตาย อยู่ไปก็ลำบาก ร่างกายไปไหนไม่สะดวก ก็พูดกันแบบธรรมดา ๆ

ของคนที่มีความรู้สึกตามความเป็นจริง ก็เรียกกันว่า นักวิปัสสนาญาณแท้ ตอนสายกว่านั้นปรากฏว่า ท่านเรียกธนาคารมา ขอตรวจดูเงินในบัญชี ตามข่าวเขาบอกเพียงเท่านี้ ไม่ทราบว่าตรวจได้ครบ หรือไม่ครบ ไปไหนบ้าง หรือไม่ไปไหนบ้าง อันนี้เขาไม่ได้บอก หลังจากนั้นแล้ว ท่านก็จำวัด เมื่อจำวัดเสร็จ ก็เป็นอันว่า การจำวัดของท่านเสร็จจริง ๆ ไม่ต้องจำกันต่อไป

จำได้ตลอดกาล ตลอดสมัย นั่นคือท่านตาย เวลาที่เขานำอาหารเพลไปให้ ปรากฏว่า เลิกหายใจเสียแล้ว ในเมื่อได้ทราบข่าวอย่างนั้น ก็สั่งพระไปมนัสการศพแทน เราก็ไปไม่ไหวต่อมาวันรุ่งขึ้น วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๓๓ ตอนบ่าย บรรดาญาติโยมมา ก็ลงรับแขก หน้าก็นิ่ว คิ้วก็ขมวด มันปวดเท้าจริง ๆ แต่ว่าทำหน้าตาแช่มชื่น อาศัยการอดทน ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

ท่านสอนไว้อย่างเลิศ แต่ว่าการปฏิบัติของผู้พูดจะได้แค่ไหน ไม่ทราบ เอาแค่พอทนกันได้ มีใครถามอะไรมาก ๆ ก็บอกว่า นี่ฉันปวดขาจ้ะ ฉันปวดเท้า ถ้าเรื่องไม่เป็นสาระก็บอกว่า ฉันปวดเท้า ไม่ไหว ฉันคิดไม่ออก ถ้าเรื่องที่เป็นธัมมะธัมโม ที่เป็นสาระจริง ๆ ก็ทนตอบ และก็ตอบด้วยความเต็มใจ และก็ดีจริง วันนั้นไม่ค่อยมีใครจะคุยด้วย เป็นคนหน้าเก่าบ้าง หน้าใหม่บ้าง

แต่เขาก็เงียบ หาคนคุยด้วยยาก เมื่อหาคนคุยด้วยยาก ก็เลยคุยเรื่องท่านเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคุณราชอุทัยกวี บอกว่า พระองค์นี้ฉันเคารพเหมือนพ่อของฉัน นี่เป็นความจริง เคยพูดกับท่านก็เคยพูด เรื่องการทำบุญก็เหมือนกัน ทำบุญทุกครั้ง นิมนต์ท่านจะมา หรือไม่มาก็ตาม เราต้องถวายเครื่องสักการะตามสมควร ถือว่าท่านมา เพราะตัวมาไม่ได้ ก็เอาใจมาได้

ในสมัยเมื่อท่านยังป่วย ๆ อยู่ ร่างกายไม่ดีนัก พอทนไหว ท่านมา ตอนหลังท่านไม่ไหว ท่านมาไม่ได้ ในเมื่อมาไม่ได้ ก็ถือว่า มาได้ คือใจมา ในเมื่อใจมา ก็ส่งเครื่องสักการะฝากท่านเจ้าคณะอำเภอไป ท่านพระครูประชุม ลืมชื่อเสียแล้ว ลืมราชทินนาม เป็นอันว่า คุยถึงท่าน ต้องขอประทานอภัยท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย อย่าลืมว่า เสียงที่พูดนี่ เป็นเสียงคนป่า คนดง

อย่าเอาจริงเอาจังกับคนป่า คนดง ที่ไร้วิชาความรู้ มีความรู้น้อยต่ำต้อย เขาเรียก สมรรถภาพ ก็ถือว่า อารมณ์ของเด็ก หรือคนป่าเป็นเกณฑ์ คนเมืองผู้ดีก็ตาม หรือเศรษฐี หรืออะไรก็ตาม พวกผู้ดี พวกขุนนางที่คิดว่า ท่านมีความรู้ยิ่งใหญ่ อย่าฟังก็แล้วกัน ห้ามฟัง ฟังแล้วก็ห้ามเอาไปคิด คิดแล้วก็ห้ามชม แต่ด่าไม่ห้าม อยากจะด่าก็ด่าไป ห้ามชมเพราะ ชมไปชมมา

มันจะเกินความเป็นจริง ขณะที่นั่งคุยถึงธรรมะ ไม่ทราบว่าใครเป็นคนถาม ถามอาการตายของท่านเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ถามว่า เวลามีความรู้สึกว่าท่านไปไหน การถามอย่างนี้ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน มันตอบกันไม่ยาก ก็ตอบทันที โดยไม่ต้องคิดว่า เวลานี้ ท่านเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานีอยู่วัดทุ่งแก้ว ก็หมายความว่า ศพของท่านอยู่นั่น แต่พอตอบเท่านั้น

บรรดาผู้ฟังและท่านผู้อ่าน สิ่งที่แปลกก็เกิดขึ้น นั่นคือ มีภาพที่มองได้ชัด การคุยกับแขกไม่ใช่ไปนั่งหลับตาคุย ไม่ใช่เข้าฌานสมาบัติ การเข้าฌานสมาบัติก็เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ เรื่องพรรณนี้เอาแน่ไม่ได้ ถ้าเวลาไหนจิตสะอาดจากนิวรณ์จริง ก็ได้ตรงไปตรงมา จิตไม่สะอาดจากนิวรณ์ ก็ไม่ได้ตรงไปตรงมา ทีนี้เวลานั้นไม่ใช่เวลาจะเข้าฌานสมาบัติกันได้ ไม่ใช่เวลาที่จะนั่งหลับตาได้

คุยกับแขกหลับตา มันก็เกินดีแล้วคน อวดชาวบ้านเขาว่าเป็นนักสมถะนักวิปัสสนา พระพุทธเจ้าบอกว่า เป็น อุปกิเลส ก็มีภาพ ๆ หนึ่ง คือ ภาพนั่นมันเป็น ๒ ภาพ ภาพหนึ่ง เป็นภาพเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี เจ้าคุณราชอุทัยกวี หรือเรียกว่า หลวงพ่อราชอุทัยกวีก็แล้วกัน อาตมาเรียก หลวงพ่อ ท่านอยู่ข้างหน้า แต่ภาพข้างหลังเป็นพรหม สวยงามมาก

แพรวพราวเป็นระยับ เรียกว่า สวยจัด นึกในใจว่า ภาพอย่างนี้ ลองหรี่ตาก็เห็น ลองหลับตานิดก็เห็น ลืมตาก็เห็น อย่างนี้ไม่ใช่อำนาจความเป็นทิพย์ของจิต ของบุคคลผู้พูด ต้องถือว่า เป็นกำลังของท่านผู้ตายบันดาลให้เห็น อย่างที่ท่านทั้งหลายไม่เคยเห็นผี แล้วย่องไปเห็นเข้านั่นแหละ ถ้าผีบันดาลให้เห็น เห็นได้ อันนี้ก็เหมือนกัน เป็นเรื่องของ ผีบันดาล ก็ปรากฏว่า

เห็นภาพท่านแล้ว ก็นึกจะยกมือไหว้ ก็เกรงเขาจะหาว่า บ้า อยู่ ๆ ก็ไหว้อากาศ และก็ไหว้ไปข้างหน้าคนที่เป็นฆราวาส มันก็จะไม่เหมาะ ก็เอาใจไหว้ นึกไหว้ในใจ ท่านก็ยกมือรับไหว้ แล้วท่านก็ยิ้ม ถามว่า หลวงพ่อขอรับ ไปอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่า เวลานี้ไปอยู่ อนาคามี ก็ถามว่า ทำไมไม่ไปเลยเล่าขอรับ มันอีกนิดเดียว อนาคามี

กับ นิพพาน เป็นของไม่ไกล ท่านบอกว่า อีตอนก่อนจะไป มันมีกังวลเรื่องเงินนิดหน่อย ถามว่า แก่แล้ว ยังห่วงสตางค์หรือ ท่านก็เลยบอกว่า เรื่องสตางค์ส่วนตัวนั่นไม่ห่วง ห่วงเรื่องเงินสงฆ์เกรงว่าจะผิดพลาด แต่ก็ไม่มีอะไรสำคัญ จิตสะดุดนิดเดียว ก็เลยจำต้องพักอยู่แค่เขตของอนาคามีท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน นี่เป็นเรื่องของนิมิต นิมิตที่ผีหลอกกลางวัน เพราะเล่มนี้คุยเรื่องผีกัน

เวลานี้ท่านตายไปแล้ว ก็ต้องเป็นผี รูปร่างของท่าน เขาใส่ไว้ในโลงที่ศาลาวัดทุ่งแก้ว แต่ว่าภาพตัวจริงของท่าน มาปรากฏข้างหน้า กับภาพ เป็นภาพพรหม ปรากฏข้างหลัง แสดงว่าเวลานี้ท่านเป็นพรหม เป็น พรหมอนาคามี วันนี้ก็เลยไปมนัสการท่าน ข้อเท้ายังไม่หายยังเอาผ้าพันอยู่ ไอ้เจ็บเท้าเรื่องเก๊าต์ นี่จะคุยให้ฟัง เมื่อตอนแรกที่เป็น มันเจ็บหนัก

เท้าบวมหนัก เดินขึ้นไปรับแขก กะเผลก ๆ ก็มีโยมผู้หญิงท่านหนึ่ง อายุประมาณ ๗๐ หรือ ๖๘ – ๖๙ เป็นอย่างน้อย บอกว่า ท่านเจ้าคะ ยาแก้ปวด ยาฝรั่งนี่ สู้ ไพลกับการบูร ไม่ได้ ใช้ไพลโขลกเข้า ผสมกับการบูรพอก เอาผ้าพันจะหายปวดเร็ว ก็เป็นความจริงตามนั้น พอทนปวดหนักมา ๒ วัน ๒ คืน แต่ก็ทนต่อสู้กับความดีของบรรดาญาติโยมที่มาหา

แต่ทว่า เอาไพลกับการบูรพอกเข้า ใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาที อาการปวดคลายเกือบหมด เป็นอันว่า ใช้เวลาแค่ ๒ - ๓ วัน ก็เลิกพอกผ้าได้ นี่เป็นอันว่า ยาสมุนไพรของไทยยังมีคุณค่ามาก นี่บอกเอาบุญกันนะ มองไปดูเวลา เหลือเวลาอีก ๑๒ นาที ก็คุยกันต่อไป หลังจากนั้นแล้ว ก็ทำงานสงกรานต์ทุกปี ก็มีการสะเดาะเคราะห์ ตามประเพณีของพระสงฆ์

ไม่ใช่ตามประเพณีของพราหมณ์หลังจาก เมื่อวันที่ ๑๖ ก่อนจะไปจันทบุรี เมื่อวันที่ ๑๒ จสต.ปัญญา กับบังเอิญ อ่องคล้าย ๒ สามีภรรยา นำรถเบนซ์มาถวายราคา ๓ ล้าน ๕ หมื่นบาท พร้อมกับเงินติดตามอีกประมาณ ๗๘,๐๐๐ บาท และคณะที่ติดตามมาข้างหลัง เขาไม่ได้ถวายเงิน เขาถวายเฉพาะสังฆทาน เงินได้เท่านั้น และรถคันนี้ จ่าปัญญา กับบังเอิญ

ก็ประกันไว้ให้ด้วย ถ้าเกิดการเสียหายอย่างไรเกิดขึ้น ประกันจะจ่าย เขาต้องจ่ายค่าประกัน ปีละ ๘๐,๐๐๐ บาทเศษ เป็นความดีของคน ๒ คน อยากให้รวยมหาศาล น่าจะรวยสัก พันล้าน ๕ พันล้าน แสนล้านยิ่งดีใหญ่ ใจดีเหลือเกิน เด็ก ๆ เล็ก ๆ ที่หมดไม่มีงานจะทำ จบจากโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระแล้ว มีงานทำ พร้อมรับไปช่วย ไปสงเคราะห์ให้

มีงานทำ เป็นนักบุญจริง ๆ ยากที่จะหาบุคคลมาเปรียบเทียบได้ แต่ความจริงคนดีอย่างนี้ก็มีมาก ทีนี้มาคุยกัน เมื่อ วันที่ ๑๖ เมษายน นั่ง ๆ รับแขกอยู่ ก็เห็นพระท่านมา พระท่านลอยมาในอากาศ ท่านบอกว่า คุณ ปีนี้ เป่ายันต์เกราะเพชร ที่ศาลา ๔ ไร่ กับ ๒ ไร่ ไม่ได้นะ อากาศร้อนจัด ศาลา ๔ ไร่ เป็นสังกะสีโปร่งแสง ร้อนจัดทนไม่ไหว แล้วก็ศาลา ๒ ไร่ ก็ไม่ไหว

ปีนี้คนจะมากให้ใช้ศาลา ๑๒ ไร่ โอ้โฮ แล้วศาลา ๑๒ ไร่ บรรดาท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟัง ไม่มีอะไรเลย คือ ระบบไฟฟ้าไม่มีหมด สายไฟไม่มีหมด ต้องทำทุกอย่าง พระก็ดีจริง ๆ พระนี่เป็นนายช่างที่ไม่มีค่าจ้าง ค่าจ้างที่ญาติโยมใส่บาตรให้ตอนเช้าเท่านั้นแหละ ไม่มีอย่างอื่น การเงินการทองไม่มี ทำทั้งกลางวันกลางคืน ตั้งแต่ วันที่ ๑๗ จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๘ เรียกว่า

ยังต้องทำกันอยู่ เวลานี้ก็ยังไม่เสร็จ เป็นอันว่าสามารถรับรองคนได้ แต่ความจริงบรรดาท่านทั้งหลายเนื้อที่ ๑๒ ไร่ ตอนเช้ารอบแรก ๔ โมงเช้าเต็มเอียด เรียกว่า เต็มกันแน่นขนัด เบียดกัน ต้องเบียดกันจริง ๆ ถ้าเป่าที่ ๔ ไร่ เข้าใจว่าต้องเป่าถึง ๔ ครั้ง นั่นเฉพาะรอบแรก รอบที่ ๒ เบียดเสียดคล้ายคลึงกันอีก รอบที่ ๓ ประมาณเท่าคนเต็ม ๔ ไร่ อัศจรรย์ ทีนี้มีปัญหาอยู่ว่า

พระท่านพูดอะไรไม่ผิด ท่านก็บอกว่า คราวนี้ญาติโยมจะทำบุญทั้งหมด เป็นส่วนต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่เขาขายของมีกำไรให้ก็ตาม ญาติโยมถวายสังฆทานก็ตาม อะไรก็ตามควรจะได้สตางค์สัก ๖ ล้านบาท ถามท่านว่า จะเอามาจากไหนครับ ท่านบอก คนที่เขามานี่ต้องได้ แต่ว่าคุณ ค่าแรงงานประจำเดือนไม่คิดกันนะ ค่าแรงงานประจำเดือนนี่ไม่คิดกัน ยังไม่รวม

เอาแต่รายการพิเศษตามนี้
๑. คุณจะต้องปูพื้นคอนกรีต เอากระเบื้องเคลือบสีขาวมาปูให้เต็มแทนเสื่อ พื้นคอนกรีตสกปรก ต้องเตรียมเงินไว้เรื่องนี้ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท รายแรกเข้าไป ๒,๐๐๐,๐๐๐ แล้ว
๒. เตรียมเงินเพื่อซื้อ เครื่องเอกซเรย์ ที่คนไข้สามารถเห็นอวัยวะภายในของตนเองได้ ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท

๓. เตรียมค่าเงิน ซื้อกระจก และทอง ปิดพระ ๘ ศอก ทั้งแท่นด้วย ๒๕๐,๐๐๐ บาท
๔. ค่าหนังสือที่พิมพ์แจก หนังสือเล่มใหญ่ กับเล่มย่อม รวมแล้ว ๑,๔๗๐,๐๐๐ บาท
๕. ค่าพระแก้ว ๒๐๐,๐๐๐ บาท
๖. ค่าน้ำมัน ที่จะใช้เดือนนี้ทั้งหมดจะต้องจ่ายวันที่ ๓๐ อีก ๑๒๓,๐๐๐ บาทเศษ

รวมแล้วจริง ๆ ท่านยกยอดบอกว่า คุณต้องเตรียมสตางค์ไว้ ๘,๐๔๓,๐๐๐ บาท เป็นอย่างน้อย อันนี้ไม่ใช่รายการก่อสร้างปกติ รายการก่อสร้างปกติคุณต้องหาต่างหาก ทีนี้งานจะเป่ายันต์เกราะเพชรนี่ ฉันจะหาให้ ๖ ล้านเศษ ๆ ก็เป็นอันว่า เมื่อเป่ายันต์เกราะเพชรเสร็จ ธนาคารแจ้งมาได้ ๖ ล้านเศษ ๆ จริง ๆ พอวันรุ่งขึ้น

คุณสุเขมา นุชประมูล เอาสตางค์มาถวายทำบุญร่วมกับหลวงพ่อทั้งหมดอีก ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับเอาเงินถวายพระ องค์ละ ๑,๐๓๐ บาท อีก ๔๐ องค์ พระมี ๓๕ องค์ เหลือจากนั้น ถวายพระ ๓๕ องค์ เหลืออีก ๕ องค์ ก็เอาเข้าปิดทองพระร่วมด้วย นี่เป็นข่าวปัจจุบัน บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านเอามาคุยกันว่า เราจะคุยกันเฉพาะเรื่องผีในอดีต มันก็ไม่แน่นอนนัก

เอาผีปัจจุบันกันบ้าง ผีที่กล่าวมานี้เป็นผียอดแห่งผี คือ ผีทรงความดีมาก ผีอนาคามี ยากที่เราจะได้เห็น บรรดาท่านพุทธบริษัท วันข้างหน้าต่อไป ถ้าทำบุญเพื่อท่านเมื่อไร มารวมตัวกัน ทำบุญถวายความดี กับพระผู้ทรงความดี เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มองดูนาฬิกาผิดไป คิดว่าหมดเวลา แต่ยังเหลือเวลา ๖ นาที ก็คุยกันต่อไปว่า หลังจากที่ไปมนัสการศพเสร็จ

ก็คุยกับท่านพระครูประชุม ลืมราชทินนาม เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และพระครูหวล คุยกันพอได้เวลาก็กลับ ดีใจ พอไปถึงเขาบอกว่า วันนี้ไม่ใช่ทำบุญ ๗ วัน เป็นวันสวดมนต์เย็น วันพรุ่งนี้เป็นการทำบุญ ๗ วัน ก็ดีใจ ถ้าบังเอิญไปตรงกับทำบุญ ๗ วัน เราไปก็กลายเป็นพระเกิน อีกประการหนึ่ง ก็จะกลายเป็นพระอยากได้ลาภสักการะ อันนี้เป็นการไม่สมควร

ความจริงไม่ต้องการอย่างนั้น ต้องการแต่เพียงว่า ถ้าเท้าหายเจ็บ พอที่จะโขยกเขยกไปได้ ยังนั่งคุกเข่าไม่ได้ ต้องนั่งพับเพียบเวลาไหว้ท่าน เท้ายังเจ็บมากอยู่ แต่ก็ทนไป ก็ต้องรีบกลับมาอีก เตรียมการจ่ายสตางค์ประจำเดือน เดือนนี้จ่ายไปแล้วเท่าไร ก็ยังจำไม่ได้ เจ้าหน้าที่บันทึกบัญชียังไม่ได้บอกให้ ก็เป็นอันว่า บรรดาท่านทั้งหลาย สำหรับเรื่องราวของผีเจ้าคณะจังหวัด

หลวงพ่อราชอุทัยกวีท่านบอกว่า ท่านไปอยู่อนาคามี จงอย่าคิดว่า คนพูดเข้าฌานนะ อย่าเป๋นะ ฟังให้ดีนะ อย่าเป๋นะ อย่าลืมว่า เวลาที่เห็นภาพท่าน ลืมตากำลังคุยกับแขก ไม่ได้เอาจิตไปคิดถึงท่าน แต่ไปปรารภเรื่องของท่านเข้า การตายของท่านเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ คนที่ตายอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท จะเป็นพระก็ดี จะเป็นเณรก็ตาม ฆราวาสก็ตาม

ผู้หญิงผู้ชายก็ตาม เด็กผู้ใหญ่ก็ตาม ถ้าตายพร้อมสติสัมปชัญญะสมบูรณ์อย่างนี้น่ะ มันลงนรกไม่ได้ ถ้าอยากจะถามว่า ถ้าคนเคยทำบาปมาก่อน เคยทำบาปมาก่อนก็ตาม แต่ก่อนจะตาย ถ้าจิตมีบุญอย่างนี้ ลงนรกไม่ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ถ้าถามว่า จะไปอยู่ที่ไหน ก็ตอบว่า สุดแล้วแต่บุญ ที่เขาระลึกได้ในเวลานั้น สำหรับท่านผู้นี้ ท่านปรารภกับโยมชีที่ถวายอาหารท่าน

ท่านบอก มันตั้ง ๙๕ แล้วนี่วะ มันจะตาย ก็ไม่ตาย อยู่ไปก็ลำบาก แต่เท่าที่ทราบมาในกาลก่อน ท่านบอกว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ คืนวันนั้นทำท่าจะตายครั้งหนึ่ง ท่านเรียกพระครูประชุม เจ้าคณะอำเภอเข้าไป พระครูประชุม นี่เป็นชื่อนะ ราชทินนามจำไม่ได้จริง ๆ บอกด้วยวาจาด้วย ให้บันทึกเสียงไว้ด้วย และก็ให้บันทึกเป็นหนังสือด้วยว่า การเงินการทองอะไรก็ตาม มีที่ไหนเท่าไร เงินอะไรเท่าไร

ท่านจำได้ดี สั่งเสียเรียบร้อยหมด ท่านบอก ถ้าฉันจะตายคืนนี้ ก็ต้องตายในระยะ ๒ ยาม ถ้าเลย ๒ ยามไปแล้ว จะไม่ตาย นี่ก็แสดงว่า ก่อนจะพูดแบบนั้น ต้องมีคนมาบอก คนในที่นี้ ไม่ใช่คนมีเนื้อ ต้องไม่มีเนื้อ มีร่างกายเป็นทิพย์ เหมือนกับท่านธัมมิกอุบาสก ก่อนจะตาย ก็เห็นเทวดามาล้อม บอกฉันอยู่ชั้นนั้น ฉันอยู่ชั้นนี้ ไปอยู่กับฉันเถอะ และท่านเจ้าคุณราชอุทัยกวี

หลวงพ่อองค์นี้ก็เช่นเดียวกัน อาตมาเคารพเหมือนพ่อจริง ๆ มีความดีมาก ท่านก็คงจะต้อง
สัมผัสติดต่อกันมาก่อนว่า คืนนี้ไปกันนะ ไปเวลา ๒ ยาม ถ้าหากเวลา ๒ ยาม ไม่ไป ก็ยังไม่ต้องไป อยู่อีกหลายปี คงจะพูดกันแบบนี้ ก็เป็นอันว่า คืนวันนั้นหลังจาก ๒ ยาม ไปแล้ว อาการร่อแร่ของท่านเต็มที มันหายไป กลายเป็นมีกำลังดี พูดจ้อ ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย

เหมือนกับหายจากป่วยไข้ไม่สบาย ก็รวมความว่า ก็อยู่อีก ๓ ปี ถึงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๓๓ ก็เป็นวาระที่ท่านตัดความทุกข์ ต่อไปนี้ก็มีแต่ความสุข ขึ้นชื่อความทุกข์สักนิดหนึ่งจะไม่มีกับท่านอีก ต่อไป ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเขตของอนาคามี เป็นเขตที่มีความสงัดจากความทุกข์ทุกอย่าง ต่อจากนั้นไป ก็เข้าเขตนิพพาน เขาบอกว่า เวลานี้ไม่มีพระอรหันต์ก็ดี ไม่มีพระอริยเจ้าก็ตาม

อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ผีเจ้าคณะจังหวัดท่านจะบอก ตรง หรือไม่ตรง แต่ขอท่านทั้งหลายอย่าลืมว่า โลกที่โกหก มีโลกเดียว คือ โลกมนุษย์ แต่เวลานี้ อาตมาไม่ได้โกหก พูดตามผีบอก และโลกที่ไม่โกหก คือ โลกที่อื่นจากมนุษย์ ฉะนั้น เวลานี้ท่านไปอยู่โลกอื่นแล้ว

ท่านพูด ต้องพูดตามความเป็นจริง เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง ใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ก็ตามใจใคร มีเรื่องก็พูดไป เวลานี้ก็หมดเวลา ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ