เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านบอกว่า พระมหากัสสปที่อยู่เชียงตุง จะมาช่วยดูแลเกี่ยวกับศพท่าน ท่านบอกว่าถ้าใครไปกราบศพท่านจะเป็นมงคล
เหมือนกับที่ท่านมีชีวิตอยู่ เพราะพระมหากัสสปจะมาช่วยเกี่ยวกับศพท่าน
หลวงพ่อไปแล้วทำให้เราไปนิพพานง่าย
อันที่จริงหลวงพ่อไปนิพพานแล้ว เอาพูดเข้าข้างตัวเรานะ ก็จะทำให้พวกเราไปนิพพานง่ายเข้า มันเหมือนกับคนที่รักไปรออยู่ข้างหน้าเรา เมื่อเราจะตาย
ถ้านึกถึงท่านนิดเดียวเท่านั้นเอง ท่านจะมาปรากฏให้เราเห็นตรงหน้า มันเหมือนคนที่รักกันมากแล้วจากกันไปนาน เมื่อเห็นภาพแจ่มชัดมันจะเกาะทันที
หลวงพ่อท่านสอนวิปัสสนาญาณให้เราเต็มที่แล้วนี่ จิตจะจับท่านไม่ปล่อยเลย
เหมือนครั้งหนึ่ง ท่านเล่าถึง จ่าพัว จ่าพัวคนนี้เคยพิมพ์หนังสือมหาสติปัฏฐานสูตรถวายหลวงพ่อสมัยก่อน ตอนหลังป่วยมาก ก็ไม่นึกว่าตัวเองจะไปไหนได้หรอก
ก็ภาวนา พระพุทธเจ้าก็เสด็จมาพอดี จ่าพัวก็ไปกอดที่เท้า ตรัสว่า พัวไปนิพพานกับพ่อไหมลูก ไปครับ แต่ผมกลัวไปไม่ได้
ท่านก็ชี้มาดูข้างล่างให้จ่าพัวดูร่างกาย เป็นทุกข์ไหม ทุกข์ครับ ร่างกายไม่ดีอย่างนี้ยังรักอยู่เหรอ ไม่รักครับ งั้นก็ไปนิพพานกับพ่อ
เท่านี้เอง จ่าพัวไปหลังจากตายแล้วหลวงพ่อก็คุยกับจ่าพัว ถามว่าไปยังไง บอกว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาก็เกาะที่เท้าท่านแน่นเลย
อย่างพวกเราหายใจเป็นหลวงพ่อ พอจากกันไปนานๆ เช่นนี้ พอเจอครั้งเดียวเท่านั้นก็เกาะแน่น ถึงว่าจะไปนิพพานง่ายนะ นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะ
เพราะมีตัวอย่างเช่นจ่าพัว ถ้าได้มโนมยิทธิยิ่งดีใหญ่
ถ้าจิตขึ้นไปปุ๊บอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าแล้วมองมาข้างล่างก็จะพิจารณาเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา มันจะเห็นเป็นตัวสองตัว
ตัวที่นั่งอยู่ข้างบนอยู่กับพระพุทธเจ้าผ่องใส ตัวข้างล่างเป็นยังไงก็พิจารณาดู ต้องอาบน้ำเพราะสกปรกใช่ไหม ไม่อยากแก่มันก็แก่ใช่ไหม
ไม่อยากตายมันก็ตายใช่ไหม ฉะนั้นได้มโนมยิทธิมันเห็นง่าย
อันที่จริงพูดง่ายนะ แต่เวลาวาง วางยากเหมือนกันแต่ที่จริงท่านก็สอนให้ยอมรับความเป็นจริงเท่านั้นนะ
พอปี ๒๕๓๕ ก่อนเดือนตุลาคม ท่านก็เริ่มป่วย ป่วยของท่านนี่ป่วยทุกวัน วันไหนที่ท่านร่างกายดี ไม่มีจริงๆ จะขอลัดลงมาเลยว่า ท่านป่วยครั้งสุดท้ายนี่
ปกติป่วยนี่จะเกี่ยวกับเรื่องท้องส่วนใหญ่ ก่อนจะป่วยท่านจะบอกกับเราว่า เห็นสีแดงแจ๊ด ช่วงเข่านี่จะปวดเข่า ช่วงท้องก็จะเป็นเรื่องท้อง
ถ้าช่วงตรงไหนก็จะเป็นตรงนั้น สีแดงนี่ไม่ใช่โทษ เขามาทำเป็นสัญลักษณ์ว่า จะป่วยช่วงไหน
แต่ก่อนมรณภาพนี่ ท่านบอกว่าป้ายสีแดงแช้ดทั้วตัวเลย แต่เป็นมัน ป้ายเป็นมันพิเศษ เราก็นึกในใจว่า หลวงพ่อป่วยขอให้หาย หลวงพ่อป่วยเดี๋ยวก็หาย
แต่เอาจริงท่านป่วยมากจนไม่มีแรง ล้างท้อง ๒ วัน ก็ไม่มีแรงให้น้ำเกลือไม่ได้ เพราะน้ำในร่างกายมีน้อยมาก พอให้น้ำเกลือไม่ได้นี่ก็ไม่มีแรง
เมื่อไม่มีแรงมาก ก็ต้องเข้าประคับประคองกัน ประคับประคองมากๆ
มีอยู่คืนหนึ่งใกล้จะมรณภาพ ท่านก็บอกกับทหารว่า โอ..ทวารเปิดหมดแล้วลูก จะอยู่ยังไง ทหารก็โทรศัพท์มาเรียก ก็ไปหาก็ไปดูใจกัน ไปช่วยดูใจหลวงพ่อ
พอไปถึงหลวงพ่อนอนเงียบหมดแล้ว เงียบ เรานึกว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว แต่เห็นนอนตะแคงอยู่ก็ยังอุ่นใจว่ายังไม่เป็นไรพอหลวงพ่อพลิกตัว เราก็เปิดไฟสว่างหมดเลย
คือ
ปรึกษากับพยาบาลว่า ให้มาให้น้ำเกลือ เมื่อหลวงพ่อลืมตาขึ้นมาก็ขออนุญาตท่านให้น้ำเกลือ หลวงพ่อเพลีย พยาบาลก็แทงไป ๗ เข็ม ถึงจะได้
พอให้น้ำเกลือได้สัก ๒-๓๐๐ ซีซี ก็แจ้งพอดี แจ้งท่านก็ให้ถอดเข็มออก บอกว่า นันต์
เมื่อคืนนี้คุยกับพระ พระท่านถามว่า คุณตัดสินใจแล้วหรือ ฉันก็บอกว่า ตัดสินใจแล้วครับ พระถามว่า คุณ วิหารสมเด็จองค์ปฐม คุณยังสร้างไม่เสร็จนี่
หลวงพ่อก็บอกว่า ผมจะหาเงินให้พระครับ พระท่านก็บอกว่า พวกนี้จะทำได้รึ หมายถึง พวกอาตมา หลวงพ่อก็บอก ผมจะหาเงินให้พระครับ
ตั้งแต่นั้นมาท่านก็อาการหนักขึ้นมาตลอด เมื่ออาการหนักขึ้น ท่านก็ไปพักที่ตึกอินทราพงศ์ ก็จะขออนุญาตให้พระเข้าไปกราบท่าน ดูแลท่าน เมื่อเวลา ๔
โมงเช้า อาตมาเข้าไป ท่านก็ทักว่า นันต์เหรอ พูดตามาค่อยลืม ตาลอย ปลัดวิรัชเหรอ ก็คุย ยิ้ม พูดอ้อแอ้ อ้อแอ้ แล้วก็ไม่ให้พระไปเยี่ยม
เราก็บอกให้พระไปฉันเพลได้ เดี๋ยวบ่ายโมงค่อยไปเยี่ยมท่านที่ตึกรับแขก
แต่ก่อนจะไปนั้นก็บอกว่า บ่ายบอกให้ปลุก แต่เราไม่ปลุก ปล่อยให้ท่านนอนจำวัดไป ตัวเขียวหมด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุทัยธานีมา เอาหมอโรคหัวใจมาดู
ก็บอกว่า ไม่ไหวแล้ว อย่างนี้ต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เมื่อท่านลืมตามา เมื่อประมาณบ่าย ๒ โมง ท่านก็ไม่ยอมไป ไม่ยอมเข้าโรงพยาบาล ก็หามท่านไปรับแขก
เพราะว่าท่านจะไป
เราก็เอาเก้าอี้โซฟา เอาทหารหามไปรับแขก คนเห็นอาการของท่านก็ร้องไห้ ทุกคนก็เสียใจ สลดใจ เมื่อพระไปกราบท่าน ท่านก็บอก ให้พระไปทำงานตาม หน้าที่
ไม่ต้องห่วง ร่างกายเป็นแบบนี้ ร่างกายเกิดมาแล้วต้องป่วย ร่างกายเป็นอนิจจังไม่เที่ยง ขอให้ทุกคนไปทำงานได้ เมื่อพระไปทำงานแล้ว อาตมาอยู่เฝ้ากันอยู่
เมื่อเลิกเวลารับแขก ก็หามไปเอ็กซ์เรย์ที่โรงพยาบาลที่วัด เมื่อไปโรงพยาบาลที่วัดแล้ว ก็หามกลับไปที่กุฏิ ตอนเย็นๆ ก็มีหมอมาให้น้ำเกลือ ๓-๔ คน
อันที่จริง หลวงพ่อท่านไม่อยากเข้าโรงพยาบาล แต่จะไปรับแขกที่สายลม เพราะคนเขาจะไม่รู้กัน เป็นห่วงคนแก่ที่สายลมจะมาทำบุญไม่ได้ ปรารภที่จะไปสายลม
แต่คืนนั้นอาการก็โคม่ามาก จึงเอาท่านส่งโรงพยาบาลศิริราช ข้างล่างที่ชุลมุนวุ่นวาย อาการของท่านก็หนักมาก พอจะเอาขึ้นรถ หมาก็หอนใหญ่ เต็มวัดหมด
หอนเสียงก้องไปหมด พอเข้าไปถึงโรงพยาบาลระหว่างคืนนั้น ไปถึงโรงพยาบาลศิริราช ก็ประมาณตี ๕ แล้วหลังจากนั้นอยู่อีก ๒-๓ วันที่ห้องซีซียู ท่านก็มรณภาพ
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เวลา ๔ โมงเย็น ๑๐ นาที
ท่านทั้งหลาย ที่สนใจปฏิบัติความดีนั้น ครูบาอาจารย์หรือหลวงพ่อพระราชพรหมยาน นั้น ได้ทำคำสอนไว้ครบถ้วนทุกอย่าง ถ้าท่านต้องการทำความดีก็มาหาได้ที่
วัดท่าซุง หรือวัดจันทาราม จังหวัดอุทัยธานี มีตำรับตำราให้ท่านทุกอย่างให้ท่านครบทุกจริต ทุกนิสัย ทุกความต้องการ ดังที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ รับรองว่า
หนังสือของท่านเจ้าคุณถือเป็นตำราแบบแผนได้ทุกประการ
ฉะนั้นการพูดหรือการเขียนวันนี้อาจจะรวบรัดไปมาก แต่หนังสือบางเล่มก็ออกไปบ้างแล้วเป็นรายละเอียด อาตมาก็ขอยุติการเขียนไว้แต่เพียงเท่านี้
เมื่อท่านสนใจแล้วก็ขอให้ติดตามหนังสือคำสอนของท่านจะออกอีก ปีละ ๒ เล่ม จนกว่าจะหมดคำสอนที่เราสะสมไว้ประมาณ ๒๐ ปี
ขอให้ท่านเก็บรักษาสมบัตินี้ไว้ให้ลูกหลานท่าน หรือแล้วแต่ท่านจะเก็บไว้คนละเล็กละน้อย ถือว่าเป็นตำราได้จะเป็นประโยชน์กับคนภายภาคหน้า
เมื่อท่านได้ไปแล้วนี่ ก็ขอให้เก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวไว้สักชุดหนึ่ง เพราะว่ากว่าจะพิมพ์ย้อนหลังกลับมาใหม่นี่
ชาตินี้ที่เราเห็นหน้ากันอยู่นี่จะได้พิมพ์กลับมาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เราจะพิมพ์หนังสือนี่เดินหน้าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดคำสอนของท่าน
ฉะนั้นท่านสาธุชนที่เป็นคนดี ขอได้โปรดรักษาสมบัติของพุทธศาสนาไว้ก็จะเป็นประโยชน์จะเป็นบุญเป็นกุศล ด้วยปัจจัยที่พิมพ์หนังสือนั้น
ที่ท่านทั้งหลายทำสังฆทานก็ดี ทำบุญทุกอย่างก็ดี ก็จะเอารวบรวมกันพิมพ์ แต่บางครั้งก็จะมีท่านผู้ร่วมบริจาคพิมพ์หนังสือโดยตรง ท่านจงโปรดทราบไว้ว่า
เมื่อผู้ใดอ่านหนังสือเล่มที่ท่านบริจาคนั้น ก็ถือว่าท่านได้บุญทุกครั้ง คนอ่านหมื่นคน ท่านก็ได้หมื่นครั้ง เขาหมดกิเลสคนหนึ่ง ท่านก็ได้บุญมหาศาล
ฉะนั้นก็ขอให้ท่านผู้บริจาคมีศรัทธา ร่วมกันทำหนังสือประหนึ่งเป็นอนุสรณ์ของชีวิต เป็นความดีที่ติดตัวตลอดไป ไว้เป็นอนุสรณ์ของลูกหลานเรา
หนังสือประวัติพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยานนี้ สำเร็จลงได้ด้วยอาศัย วิริยะอุตสาหะของท่าน ดร. ปริญญา นุตาลัย
และคุณโศภิษฐ์ สดสี เป็นกำลังสำคัญช่วยบรรจุและจัดลำดับเรื่อง เขียนเติมส่วนที่ขาดและตรวจอักษร และมีคุณวันชัย โสภณสกุลรัตน์ คุณนภารัตน์ พิมสาลี
คุณจิระพรรณ กุฏีรักษ์ คุณวลัยลักษณ์ สดสี ช่วยงานพิมพ์ต้นฉบับ และจัดทำรูปเล่ม คุณสุกัญญา นุตาลัย ช่วยถอดเทป คุณพิชชภา ชัยพันธ์ ช่วยตรวจอักษร
อีกหลายท่านที่มีชื่อท้ายหนังสือเล่มนี้ช่วยบริจาคเงินค่าพิมพ์
อาตมาขออนุโมทนาในมหากุศลผลบุญราศีของท่าน ขอทุกท่านจงมีผลใยความปรารถนาที่ทุกท่านประสงค์ จงทุกประการ
ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ดีแล้ว และพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้นำมาสั่งสอนพวกเราด้วยดีแล้ว
ขอท่านทั้งหลายจงถึงธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เถิด..สวัสดี