มณฑปพระปัจเจกพุทธเจ้า (ข้างวิหาร ๑๐๐ เมตร)
webmaster - 29/6/08 at 20:40


ท่านสมาชิกต้องการฟังหลวงพ่อเล่าเรื่อง "การสร้างวัดท่าซุง" กรุณา Login ก่อนที่นี่ แล้วจึงจะ Link ไปหาข้อมูลดังกล่าว.

ชื่อสมาชิก รหัสผ่าน




ความเป็นมาของมณฑปพระปัจเจกพุทธเจ้า

มณฑปพระปัจจเจกพุทธเจ้านี้จะตั้งอยู่หน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร ประดับกระจกและก็พื้นปูด้วยหินอ่อน ภายในเป็นที่ประดิษฐานของรูปพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านได้มาทำภาพให้เห็น เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๓๒ เวลาตอนประมาณสัก ๔ ทุ่ม ขณะนั้นไม่ค่อยจะสบาย ก็นอนภาวนา จับลมหายใจเข้าออกตามปกติ และก็มานึกถึงร่างกายว่า มันไม่ดี

พอจิตสงบ อารมณ์สงัดก็ปรากฏว่า มีพระองค์หนึ่งห่มจีวรสีกรัก ห่มคลุมอายุยังไม่แก่นักนั่งอยู่บนเตียงข้างขวา เมื่อเห็นพระท่านแล้วก็มีความรู้สึกว่าพระท่านมาเยี่ยม แต่ว่าเวลานี้ เราก็เพลียเต็มที เรื่องพระท่านมาเยี่ยม ก็ขอเป็นเรื่องของพระท่าน ขอบคุณท่าน แต่การต้องการรู้อะไรทั้งหมดไม่มีแล้ว ต้องการจะหลับก็ตั้งใจจับลมหายใจเข้าออกภาวนาต่อไป โดยไม่สนใจกับภาพพระ

ต่อมาสักครู่หนึ่งก็ปรากฏว่า ท่านปรากฏขึ้นด้านซ้าย ตอนนี้เป็นเวลาดึก มองดูนาฬิกาเห็นว่าเวลาตีสองเห็นท่านชัดตอนนี้นอนตื่นขึ้นมาแล้ว เริ่มมีแรง ก็ลุกขึ้นนมัสการท่าน ถามว่า ท่านเป็นใครขอรับ ท่านก็เลยบอกว่า ฉันคือ พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ช่วยสงเคราะห์เธออยู่ แล้วก็ถามท่านบอกว่าที่มาอย่างนี้ต้องการให้ปั้นรูปเหมือนอย่างนี้ใช่ไหมขอรับ แต่ความจริง มณฑปด้านทิศตะวันออกนี้ ตั้งใจจะปั้นรูปพระปัจเจกพุทธเจ้า แบบพระพุทธรูป

ท่านก็เลยบอกว่าฉันตั้งใจให้เธอเห็นภาพฉันก่อนนิพพาน แล้วก็ให้ปั้นตามนี้ แต่ความจริงที่พูดนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นเวลาที่ตื่นจากที่นอนไม่ใช่นั่งเข้าฌาน แล้วเวลากราบท่าน ก็ไม่ได้หลับตาเข้าฌาน เป็นการสภาพเวลาปกติ แต่ว่า ท่านก็สามารถบันดาลให้เห็นชัดๆ และก็พูดกันรู้เรื่องๆ จึงได้จัดสินใจว่า ให้เขาปั้นและหล่อรูป พระปัจเจกพุทธเจ้าแบบนี้ คล้ายคลึงกัน จึงได้ให้ประเสริฐปั้นแล้วก็มาให้ดู บอกลักษณะให้เธอ แล้วเธอก็ปั้น แต่ความจริงประเสริฐนี้ก็เจริญกรรมฐานพอสามารถจะดึงภาพต่างๆมาให้เห็นได้ เธอปั้นได้แบบใกล้เคียงมาก...


พระปัจเจกพุทธเจ้ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร

ในสมัยที่ว่างจากพระพุทธศาสน คือ ศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งว่างลง ระหว่างนั้นเป็นระหว่างพุทธธันดร คือช่วงระยะหนึ่ง ในช่วงนั้นในเมื่อ พระพุทธเจ้าไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ตรัส ตรัสคราวเดียว ในระยะนั้น จะมีพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นหมื่นองค์หรือแสนองค์ มีมาก แต่ละองค์ก็บรรลุเองเหมือนกันที่เรียกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าหมายความว่าพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้โดยเฉพาะ เฉพาะท่าน ท่านไม่ตามไปสอนใครนักไม่เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ว่าใครต้องการฟังจากท่าน ท่านก็เทศน์สอน และก็ทำให้บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นมีความเข้าใจ

แต่ว่าประวัติความเป็นมาจริงๆ ในสมัยนี้เรานิยมกันว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นพระให้ลาภ อย่างคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่หลวงพ่อปานท่านเรียนมาจาก ครูผึ้ง คาถาบทนี้ ช่วยให้คนมีความสุขเสียเยอะ คือคนที่ตั้งใจทำจริง และมีใจเยือกเย็น ไม่เร่งรัดแต่ก็มีหลายคนเหมือนกัน ที่ปฏิบัติไม่ได้ผล ที่เขามาต่อว่าก็มีเยอะในเมื่อคุณทำไม่มีผล แต่คนอื่นทำมีผล ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับศรัทธาของทุกคน




คาถาเงินล้าน


ตั้งนะโม ๓ จบ

สัมปจิตฉามิ (คาถาสนองกลับ)
นาสังสิโม (คาถาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธกัสสป)
พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุเม (คาถาเงินแสน)
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ
(บูชา ๙ จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)




คำอธิบาย
หลวงพ่อได้คาถาบทเหล่านี้โดยตรงจากองค์สมเด็จฯ ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ เป็นเวลา ๔ ปีจึงจะได้ครบถ้วน ท่านบอกว่าคาถาที่ได้จากกรรมฐานเขาจะไม่บอกใคร เมื่อวันที่ ๓๑ ธ.ค.๒๕๒๗ เวลา ๒๓.๕๙ น. องค์สมเด็จฯ ได้อนุญาตให้ลูกหลานและพุทธบริษัทใช้ได้เป็นสาธารณะ เพื่อช่วยบรรเทาสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ อีกทั้งการก่อสร้างของวัดท่าซุงจะต้องเร่งรัดให้เสร็จทันฉลองวัดในปี ๒๕๓๒ จึงจำเป็นที่จะต้องใช้คาถาเหล่านี้ช่วย เพื่อพุทธบริษัทและลูกหลานของหลวงพ่อมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น

คาถา "สัมปจิตฉามิ " คาถาบทนี้ พระองค์ที่ มาบอกหลวงพ่อในขณะที่หลวงพ่อพักอยู่ที่เมืองควีนส์ทาวน์ ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๒๙ เวลา ๐๕.๐๐ น. ก่อนนอนหลวงพ่อนอนภาวนาเป็นปกติ ตื่นขึ้นมามีอาการปากขยับไม่ได้ มือขยับไม่ได้ รู้สึกอึดอัด คล้ายเป็นอัมพาต แต่ใจสบาย พระองค์ที่ ๑๐ ให้ภาวนา "สัมปจิตฉามิ" จึงคลายตัว คาถาบทนี้ไม่ได้

ให้ใช้เฉพาะหลวงพ่อเท่านั้น อนุญาตให้พุทธบริษัทศิษยานุศิษย์และลูกหลานหลวงพ่อใช้ได้ด้วย ก่อนนอนภาวนาให้ตั้ง นะโม ๓ จบ และต่อด้วย พุทธัง สรนัง คัจฉามิ ธังมัง สรนัง คัจฉามิ สังฆัง สรนัง คัจฉามิ และสวด "อิติปิโสฯ" ๓ จบ จึงภาวนาเรื่อยๆไป ในขณะที่ภาวนาให้ทำใจสบายๆ ผลของคาถานี้ จะมีผลต่อผู้สั่ง ผู้รับคำสั่ง ผู้ร่วมมือ และผู้กระทำไสยศาสตร์มายังเราโดยฉับพลัน

ผลพิเศษ ถ้าตั้งใจรักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ หรือตั้งใจรักษากรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วน สามารถระงับนิวรณ์ ๕ ได้ ภาวนาวันละ ๑ ชั่วโมง เป็นเวลา ๓ เดือนติดต่อกันจะมีผลคล้ายอภิญญา "สัมปจิตฉามิ" อ่านว่า สัม-ปะ-จิต-ฉา-มิ คาถาบทนี้ใช้ได้เฉพาะผู้ที่เป็น สัมมาทิฏฐิ เท่านั้น ไม่มีผลสำหรับผู้เป็น มิจฉาทิฏฐิ พระโมคคัลลาน์ท่านมายืนยัน ว่าคาถาบทนี้เป็นคาถาอภิญญา บอกว่าคนที่ได้อภิญญามาในชาติก่อน ถ้าใช้คาถาบทนี้ของเก่าจะรวมตัว คือว่าทำไปๆ ถ้าเข้าถึง "ผรณาปีติ" จะรู้สึกว่าตัวไม่มี เหลือแต่หน้า

ต่อไปก็ไม่มีอะไรเหลือเลย หน้าก็ไม่มี ถ้าทำได้เช่นนี้บ่อยๆ ไม่ช้าก็รวมตัวจะไปไหนก็ได้ เที่ยวต่างประเทศเรื่องเล็ก ฆราวาส ทำได้ทุกอย่าง แต่พระห้ามแสดงต่อหน้าคน อย่างท่านปิณโฑลภารทวาชเป็นต้นบัญญัติ ถูกห้ามเพราะอะไร เพราะถ้าทำไปอย่างนั้น คนไม่ต้องการธรรมะ ต้องการพระแสดงปาฏิหาริย์ ถ้าขอให้พระแสดงปาฏิหาริย์ พระทำให้ คนนั้นตายแล้วเกิดใหม่ต้องไปเป็นทาสเขา ๕๐๐ ชาติ ถ้าพระไม่ทำให้แล้วโกรธก็เลยลงนรก พระพุทธเจ้าจึงทรงห้าม

แต่ว่าพระที่อยู่ในป่าท่านมีความจำเป็นก็ใช้ได้ แต่ต้องไม่ให้คนเห็น อย่างพระที่เข้านิโรธสมาบัติ ออกมาแล้วปั๊บร่างกายต้องการอาหารก็ต้องดูเรา จะไปหาที่ไหน เห็นหน้าคนที่จะให้ปั๊บ ก็เหาะไปทันที แต่ต้องไม่ให้คนเห็น พอเห็นว่าคนจะเห็นก็ต้องลงเดิน ถ้าเหาะจริงๆ แล้วไวมากตามบาลีว่าที่พระโมคคัลลานน์ขึ้นไปดาวดึงส์ในคราวนั้น บอกว่าแค่ลัดนิ้วเดียว ความจริงไวกว่านั้น แต่ศัพท์ภาษาไทยไม่รู้จะใช้อะไร ความจริงนึกถึงก็ถึงเลย

คาถา "นาสังสิโม" หลวงพ่อให้ท่องเพิ่มเติมเมื่อปี ๓๒
คาถา "เพ็งๆ พา หาๆ ฤาๆ" พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกหลวงพ่อ เมื่อ พ.ย. ๒๕๓๓ เป็นภาษาโบราณ แต่เทียบกับภาษาไทยอ่านได้อย่างนี้ เป็นคาถามหาลาภ มีผลยิ่งใหญ่มาก



ที่มาของคาถาเงินล้าน

ก่อนที่อยู่วัดท่าซุงนะฉันอยู่กระต๊อบ เงินร้อยก็หายากสำหรับเงินทำบุญ คาถาวิระทะโย ก็ทำเรื่อยๆ ไป ต่อมาท่านก็มาหา ก็บอกว่า คาถาบทนี้นะที่เขาทำพระวัดพนัญเชิงองค์แรก มีเจ้าอาวาสองค์แรกท่านไป นั่งกรรมฐาน และเสกด้วยคาถาบทนี้สามปี ท่านให้ดู ตัวอย่างวัดพนัญเชิงเงินขาดไหมฉันก็ทำมาเรื่อย

มาอีกปีหนึ่ง กำลังบวงสรวง ท่านบอกว่า "คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินแสนนะ" ก็ใช้คาถาบทนั้น มาประ มาณครึ่งปี คนมาทอดกฐินผ้าป่าได้เงินเป็นแสน นี่เห็นชัดนะ

แล้วต่อมา อีกปีหนึ่ง ท่านบอกว่า "คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินล้านนะ" ให้ว่าต่อเนื่องกันไป แล้วไปลง "คาถาวิระทะโย" ต่อมาก็จริงๆ เพราะปี ๒๗ ก็ใช้เงินล้าน เป็นเดือน ซึ่งไอ้อย่างนี้เราก็คิดไม่ออกต้อง ค่อย ๆ ใจเย็น ๆ

เวลาว่าไป อย่าไปว่าหวังเอาลาภ คือ ต้องภาวนาด้วยนะ ถ้าทางที่ดี เวลาภาวนากรรมฐาน พอจิตสบายน่ะ ต่อเลย เพราะเวลากรรมฐานนี่จิตเป็นฌาณใช่ไหม เอาอย่างนี้ดีกว่า เวลาฝึกมโนมยิทธิออกไปให้ได้นั้น ออกไปเดี๋ยวเดียวก็ได้ ออกไปได้นี่ จิตเป็นฌาณ ๔ เข้าเขตพระนิพพาน ได้จิตสะอาด ถึงที่สุด กลับลงมา ด้วยคาถาบทนี้เลย มากน้อยก็ช่าง ให้หลับไปเลย คือ ถ้าจิตสะอาดมากผลก็เกิดเร็ว

ก็สงสัย เหมือนกันนะ เมื่อปี ๒๖ ท่านบอกว่าปี ๒๗ มีอะไรบ้างก็ตุน ๆ ไว้บ้างนะ ๒๘ จะเครียดมาก การค้า ของใคร ถ้าทรงตัวได้ก็ถือว่า ดีไว้ก่อน อันนี้ท่านบอกว่า "ถ้าลูกเราจะจนก็จนไม่เท่าเขา"ถ้าพูดถึงผล ฉันก็นั่งดูเรื่อยๆมาว่า เอ๊ะ! เงินแสนมันจะมีมาอย่างไร ภายในปีนั้นปรากฏว่า สมัยนั้นวัดต่าง ๆ เขา ยังไม่ถึงหมื่นเลย แล้วต่อมาคาถาเงินล้านก็ต้องว่าต่อ เพราะต่อไปข้างหน้าต้องใช้เงิน

พระพุทธเจ้าบอกนี่ต้องเชื่อ ต้องใจเย็นๆไม่ใช่ไปเร่งรัดถ้าไปว่าแล้วคิดว่าเราต้องรวยนี่เสร็จ..พัง ต้องว่าด้วยจิตเคารพ นานหลายปี ท่านไม่ยอมเปิดกับใคร ก่อนจะเข้าถึงดี มันต้องเครียด ไอ้ปี ๒๘ ความจริงมัน น่าจะดี แต่ไป ๆ มา ๆ ก็มีจุดสะดุด จุดสะดุดนี่เป็นชะตาของชาติ แต่ยังไง ๆ ก็ต้องไปเจอะจุดรวยแน่ถ้าพวกนี้รวยนะ วัดท่าซุง ไม่เป็นไร คือว่า หนี้นี่นะ..อย่าคิดว่ามันโจ๊ะกันได้ เมื่อปี ๓๐ นะ มันเกิน ค่าใช้ จ่ายเดือนละ ๒ ล้านเศษ อันนี้ ต้องคิด เดือนนี้ก็ตกเกือบ ๓ ล้าน คือ ๒ ล้าน ๙ แสนเศษ

ตอนนี้ ท่านให้ฉัน เขียนโครงการ ที่จะทำให้เสร็จในปี ๓๐ โครงการของท่านจริง ๆ มีมาก ท่านย่า ก็เคย บอก ท่านบอกว่า "ท่านไม่บอกคุณตรง ๆ หรอก ท่านรู้ใจคุณ ถ้าบอกโครงการทั้งหมด คุณไม่ทำแน่"พระพุทธเจ้าก็รู้คอนะ ไป ๆ มา ๆ ท่านให้นั่งเขียน ตามนี้นะ ๑๒ รายการ ให้เสร็จภายในปี ๓๐ เลย คิดว่า เงินที่ต้องใช้เป็นพ้อมๆ รายการมากนะลูก ถ้าหากจะถามว่า ๑๐ ล้านพอไหม ก็ต้องบอกว่า มันไม่ได้ครึ่ง หลังที่ท่านสั่งทำหรอก

วันนั้นก็ขึ้นไปที่กระต๊อบฉัน ไปถึงกระต๊อบ ก็ปรากฏว่า สมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านประทับอยู่ที่นั่น และ ท่าน พระเจ้าแม่ให้นามว่า "มัทรี" หรือ "พิมพา" ไปที่อเมริกา ท่านบอก "ฉันแม่คุณเหมือนกัน ฉันเคยเป็น แม่คุณ" ถามว่าชื่ออะไร "ชื่อมัทรี" แล้วคุมมาตั้งแต่อเมริกา เวลานี้ก็ยังคุมอยู่ ก็ไปกราบเรียนถามท่านว่า คำสั่งที่สั่งให้ทำ มันเกินวิสัย แค่อาคาร ๓๐๐ ห้อง จาก พ.ศ. นี้ไปจนถึง ๓๐ มันก็เสร็จยากเหลือเกิน และ อีกหลายรายการ มันก็ใหญ่ทั้งนั้น

ท่านแม่มัทรีก็บอกว่า"เอาอย่างนี้ซิลูก ขออำนาจพระพุทธานุภาพ" ก็เลยหันไปกราบพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า "ได้...ฉันต้องช่วยเธอ"แล้วต่อมา เดินเล่น ในบริเวณกระต๊อบของฉันเล็ก ๆ มันมีถนนหนทางใช่ไหม ก็ปรากฏว่าเดินไปเดินมา สมเด็จองค์ปฐมก็เสด็จมาเดินด้วย ท่านบอกว่า"สภาพของพระนิพพานมันเป็นอย่างนี้นะคนที่ถึงพระนิพพานแล้วกิจอื่นที่ทำไม่มี มันเป็นอย่างนี้นะเวลานี้ เราเดินกลางบริเวณ พวกเราทั้งหมดลองนั่งดูซิ มันจะมีอะไรไหม"ที่มันเป็นที่นั่งไม่มีเลย พอนั่งปุ๊บไอ้เตียงตั่งมันเสือกมาได้อย่างไร ก็ไม่รู้ เลยคุยไปคุยมา ท่านก็เลยบอกว่า "งานที่ฉันสั่งต้องเสร็จทัน ๓๐"

ท่านย่ากับแม่ศรีก็ขึ้นไป ท่านย่าบอกว่า อำนาจพุทธานุภาพก็มีแล้ว สังฆานุภาพก็มีแล้ว พรหมานุภาพกับ เทวานุภาพก็ช่วยแล้ว แต่ว่า ถ้าบรรดาลูกหลานมันยากจน และ ปี ๒๘ มันจะเครียด ขอพรพระพุทธเจ้าขอ คาถาสักบท (ที่ท่านให้ฉันไว้นี่) ขอให้ลูก ๆ หลาน ๆ ใช้เถอะให้ อนุมัติ"ความจริงคาถาเฉพาะนี่จะให้ใครไม่ได้เลยท่านก็เลยบอกว่า"ถ้าอย่างนั้นไปพิมพ์แจก และก็ให้มันทำ ด้วยความเคารพ

"ฉันไม่ยืนยันว่าคนที่ไม่เคารพฉันจะมีผล จำให้ดีนะจึงขอให้ทุกคนถ้าได้รับคาถานี้ ให้ตั้งใจปฏิบัติด้วยความจริงใจด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าต่อนี้ไปก็อ่านคาถาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน และให้ทุกคนตั้งใจนึก ถึงองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าคาถาทั้งหมดนี้จงปรากฏอยู่ในจิตของเรา ลาภผลต่างๆให้ปรากฏแก่เราตามที่พระองค์ทรงต้องการนะนึกถึงท่านนะ





(พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นี้ ประดิษฐานภายในมหาวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร)

สัมปจิตฉามิ คาถาสนองกลับ

นาสังสิโม คาถาพระพุทธกัสสป

บทแรก "พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ" อันนี้ตัดอุปสรรคที่ลาภจะมาแต่เขามาบอกว่ามีผลแน่นอน คือว่าแกจะไม่ยอมให้ลูกแกจน พูดง่ายๆก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยันบอกว่าให้หมด

บทที่สอง "พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุเม" คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินแสนของท่าน

บทที่สาม "มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม" บทนี้เป็นคาถาปลุกพระวัดพนัญเชิง

บทที่สี่ "มิเตพาหุหะติ" เป็นคาถาเงินล้าน

บทที่ห้า "พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม" เป็นคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

บทที่หก "สัมปติจฉามิ" บทนี้เป็นบทเร่งรัดบทสุดท้าย

บทที่เจ็ด "เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ" พระปัจเจกพุทธเจ้า มาบอกหลวงพ่อเมื่อ พ.ย. ๓๓ เป็นภาษาโบ ราณ แต่เทียบกับภาษาไทยอ่านได้อย่างนี้ เป็นคาถามหาลาภ มีผลยิ่งใหญ่มาก ทั้งหมดนี้ต้องสวดเป็นบท เดียวกัน บูชาเรื่อย ๆ ไป การบูชาถ้าบูชาเฉย ๆ มันเป็นเบี้ยต่อไส้

อย่าลืมนะ เวลาสวดมนต์ แล้วให้สวดคาถานี้ ๙ จบเท่าเดิมนะ และเวลาภาวนานอนภาวนาก็ได้ ว่าเรื่อย ๆ ไปจนกระทั่งหลับไปเลย ตื่นขึ้นมา ต่อจากกรรมฐาน นอนก็ได้ ใจสบาย ๆ นะ บางทีเผลอ ๆ ฉันก็ต้องว่า ของฉันเรื่อย ๆ ไป คาถาเงินล้านนี่ มาให้เมื่อปี "ฝังลูกนิมิต" (ปี ๒๕๒๐)

ท่านบอกว่า งานข้างหน้าจะหนักมาก หลังจาก นี้เป็นต้นไป เงินจะใช้มากกว่า สมัยที่สร้างโบสถ์ อย่าลืมนะ…..เวลาว่าง ๆ นั่งนึกก็ได้ เดินไปก็ได้ ไม่ห้าม เลยนะให้มันติดใจอยู่อย่างนั้น ให้ถือว่า เป็นกรรมฐานไปในตัวเสร็จ เพราะ คาถาที่พระพุทธเจ้าบอกทุกบทก่อน จะทำต้องนึกถึงท่าน ถือว่าเป็น "พุทธานุสสติกรรมฐาน..."