อ่าน...บันทึก 7 วันสุดท้าย ก่อนหลวงพ่อฯ มรณภาพ
kssljto - 29/11/17 at 12:44
- วันเดือนปีเกิด..หลวงพ่อฯ ยังไม่ตรงกัน
...ตามใบสุทธิของท่าน (ผู้เขียนได้เคยถามท่านพระปลัดวิรัช โอภาสี ท่านยืนยันว่าได้เห็นใบสุทธิของหลวงพ่อฯ มาแล้ว ซึ่งตรงกับคำบอกเล่าของหลวงพ่อฯ
เองในม้วนเทปเก่าๆ วันหลังจะค้นหามาให้ฟังกัน)
ในใบสุทธิท่านปลัดวิรัชบอกว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2460 (ปีเกิดนั้น ท่านวิรัชบอกยังไม่แน่ใจ)
เมื่อเทียบกับปฏิทิน 100 ปี จะตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 9 ค่ำ เดือนแปด (8) ปีมะเส็ง) https://www.myhora.com/ปฏิทิน/ปฏิทิน-100ปี-พ.ศ.2460.aspx
แต่ใน https://th.wikipedia.org/wiki/พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)
เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2459 ตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีมะโรง
ที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ในครอบครัวของชาวนาซึ่งมีฐานะค่อนข้างดี บิดาชื่อ นายควง สังข์สุวรรณ มารดาชื่อ นางสมบุญ สังข์สุวรรณ
ท่านเป็นบุตรคนที่ 3 จากพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน 5 คน ดังนี้
- 1. นายวงษ์ สังข์สุวรรณ เกิดปี 2453 ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 ถึงแก่กรรมที่วัดท่าซุง เมื่อคราวมาช่วยหลวงพ่อที่วัดท่าซุง อายุ 60
ปี
- 2. นางสำเภา ยาหอมทอง (สังข์สุวรรณ) เกิดปี 2457 ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2545 อายุ 88 ปี อยู่บ้านสาลี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
- 3. พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)
- 4. นายเวก (หวั่น) สังข์สุวรรณ ต่อมาได้อุปสมบทเป็น พระครูพิศาลวุฒิธรรม (พระมหาเวก อักกวังโส) อยู่วัดดาวดึงษาราม กทม. เกิดวันที่ 15 กรกฎาคม 2463
มรณภาพเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2548
- 5. ด.ญ. อุบล สังข์สุวรรณ ถึงแก่กรรมตั้งแต่อายุ 4 ขวบ
นอกจากนี้ "วิกิพีเดีย" ยังบอกว่า พ.ศ. 2511 อายุ 52 ปี ในวันที่ 11 มีนาคม จึงมาอยู่วัดจันทาราม (ท่าซุง)
** (แต่ความจริงท่านมาเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2511 ผู้เขียนขอยืนยันว่า เคยเห็นท่านเขียนป้ายวันเดือนปีนี้ไว้อย่างแน่นอน)
หลวงพ่อบวชเมื่อ 16 กรกฎาคม 2480 ลาพุทธภูมิเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2506 ขณะจำพรรษาที่ วัดโพธิ์ภาวนาราม จ.ชัยนาท
แล้วท่านได้จบกิจภายในพรรษานั้น เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2506 ขณะที่มีอายุ 47 ปี มีพรรษาที่ 27 แต่ก่อนที่จะถึงที่สุดแห่งทุกข์นั้น
ยังมีคำสอนอันเป็นหัวใจของความหลุดพ้น ตั้งแต่วันที่ 1, 2, 3, 4 สิงหาคม พ.ศ. 2506 จึงมีความสำคัญเช่นเดียวกันอีก
โดยเฉพาะการบันทึกเหตุการณ์อย่างละเอียด ซึ่งปีที่แล้ว 2560 ได้นำการบันทึกของ ท่านพระปลัดวิรัช โอภาโส มาให้อ่านกันไปแล้ว ปีนี้ 2561
จะขอนำการบันทึกของคุณนภดล (นกเอี้ยง) นาควิเชตร์ มาให้อ่านสืบต่อไป..
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 5/8/18 at 05:52
ตอนที่ 1
บันทึก ๗ วันสุดท้ายก่อนมรณภาพ
ตั้งแต่วันที่ ๒๓ - ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕
โดย คุณนภดล นาควิเชตร์ (นกเอี้ยง)
คุณอภิญญา (ติ๋ม) นาคสวัสดิ์ (ผู้พิมพ์)
(กรุณาอย่าคัดลอกข้อมูลออกไป แต่แชร์ได้ที่เฟซบุคหรือลิงค์นี้)
http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2459
- บันทึกวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕
...ข้าพเจ้าได้กลับไปพักอยู่ที่บ้านพุทธประทาน ปทุมธานี (บ้านจ่าปัญญา-คุณบังเอิญ อ่องคล้าย) กลางคืนจ่าประมวล (ตาคลี)
โทรศัพท์แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่าหลวงพ่อป่วยหนัก
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕
...ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงวัดเวลา ๙.๐๐ น. พอ ๑๐.๔๕ น. หลวงพ่อออกมานั่งที่เตียงด้านนอก (ตึกริมน้ำ) เพื่อเตรียมตัวฉันเพล ข้าพเจ้าเข้าไปกราบท่าน
ท่านบ่นว่าร่างกายไม่ไหว กินข้าวไม่ได้มา ๔-๕ วันติด ๆ กัน
...คืนวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๓๕ จึงส่งข่าวให้ท่านพระครูปลัดอนันต์ ซึ่งไปงานกฐินที่หัวหินทราบเรื่องอาการป่วยของหลวงพ่อ
ท่านพระครูปลัดอนันต์เดินทางกลับในคืนนั้น ถึงวัดตีสองของวันที่ ๒๕ ตุลาคม
พอช่วงเย็นหลังจากหลวงพ่อเลิกรับแขก ท่านพระครูปลัดอนันต์, พระครูสมุห์พิชิต, อาจารย์พรนุช, จ่าตุ๋ย, และข้าพเจ้านั่งอยู่ปลายเตียงหลวงพ่อ
วันนั้นพอเลิกจากรับแขก แทนที่หลวงพ่อจะนั่งฉันยาก่อน ท่านนอนแผ่กับเตียง สักประเดี๋ยวก็ลุกขึ้นมานั่งฉันยาแล้วสรงน้ำ
หลวงพ่อท่านป่วยเป็นปกติ ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อน ท่านจะเดินรอบทางเดินวิหาร ๑๐๐ เมตร บนทางเดินชั้นบน
จ่าตุ๋ย, หลวงพี่ประทีป, อาจารย์พรนุช และข้าพเจ้าเดินคอยตามประคองหลวงพ่อเป็นกิจวัตร (ตั้งแต่เวลา ๖ โมงเย็น - ๑ ทุ่ม)
เว้นแต่วันไหนหลวงพ่อถ่ายท้องให้น้ำเกลือ ฝนตกหนัก ก็ไม่ออกเดิน
สังเกตอาการหลวงพ่อวันนี้ท่านป่วยหนัก แสดงว่าต้องมีโรคอื่นแทรก ท่านเหนื่อย หอบ มีเสมหะออกมาก ๆ มีอาการอาเจียนเพราะมีเสมหะเหนียว
ตามปกติตอนเย็นหลวงพ่อจะนอนพัก พอ ๖ โมงเย็นหรือ ๑ ทุ่ม หลวงพ่อจะลุกขึ้นมา ตอนเย็นจะมีหลวงพี่พระใบฎีกาประทีปอยู่ จ่าตุ๋ยและข้าพเจ้าจะออกไปรับประทานข้าว
หลวงพ่อรู้ความคิดข้าพเจ้า
เวลา ๒ ทุ่ม อาจารย์พรนุชทำบัญชีที่คนทำบุญตอนกลางวันเสร็จ ก็จะนำเงินมามอบให้หลวงพ่อ พร้อมกับถวายน้ำส้มคั้น ๑ แก้ว
หลวงพ่อจะลงบัญชีเองทุกวันในช่วงนี้ ถ้ามีกิจกรรมพิเศษหลวงพ่อท่านก็จะลุกขึ้นมาพิมพ์ดีดเอง ท่านไม่ยอมใช้ใคร ข้าพเจ้าเคยคิดในใจว่า
การทำบัญชีและพิมพ์ดีดแค่นี้น่าจะใช้ข้าพเจ้า หลวงพ่อไม่ต้องทำเองก็ได้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของหลวงพ่อ แต่คิดว่าหลวงพ่ออาจจะมีอะไรพิเศษของท่านก็ได้
ท่านจึงไม่ใช้ใคร
ขณะข้าพเจ้านั่งคิดอยู่ปลายเตียง พอหลวงพ่อพิมพ์เสร็จท่านก็พูดว่า...
เออ..ถ้าจะใช้แก เดี๋ยวเวลาแกไม่อยู่แล้วใครจะทำให้ข้า เพราะฉะนั้น ข้าทำของข้าเองดีกว่าจะได้สบายใจ..!!!
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 19/8/18 at 18:51
ตอนที่ 2
บันทึก ๗ วันสุดท้ายก่อนมรณภาพ
ตั้งแต่วันที่ ๒๓-๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕
โดย คุณนภดล นาควิเชตร์ (นกเอี้ยง)
คุณอภิญญา (ติ๋ม) นาคสวัสดิ์ (ผู้พิมพ์)
- วันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ (ต่อ)
...อาการป่วยของหลวงพ่อในวันนี้ ดูแล้วยังไม่หนักอะไรมาก ท่านก็จำวัดตามปกติ เวลาของท่าน คือ ๕ ทุ่ม คือท่านฉันยาก่อนนอน
ปกติจะมีจ่าตุ๋ย ข้าพเจ้า และหลวงพี่พระใบฎีกาประทีปเฝ้าอยู่ โดยมากไม่ได้พูดกันหรือคุยกัน นั่งกันเงียบ ๆ ท่านกลัวเครียด ท่านพูดว่า
เปิดทีวีดูก็ได้ จะได้ไม่เครียด (บางคนก็นั่งอ่านหนังสือ)
ช่วงระยะนี้ หลวงพ่อไม่ได้ฉันข้าวหลายวัน พอหลวงพ่อเข้าส้วม ก็ถ่ายมามีแค่น้ำและยา และเข้าส้วมบ่อย เพราะฉะนั้นร่างกายสูญเสียน้ำอย่างเห็นได้ชัด ซูบซีด
พอ ๕ ทุ่ม ก็ถวายยา ให้ท่านฉันก่อนนอน ท่านฉันยาเสร็จ ท่านก็จะนอนลาด พอนอนลาดแล้วท่านเอาผ้าชุบน้ำวาเป๊กดม แล้วท่านบอกว่า
ใช้ได้ลูก...นอนได้ลูก (เป็นปกติทุกวัน)
แล้วท่านก็นอน เวลานอนท่านยกมือไหว้พระ (เพราะขวามือหลวงพ่อมีพระพุทธรูป ๒ องค์) แล้วท่านก็นอนตะแคงขวา เป็นลักษณะที่ท่านนอนเป็นกิจวัตร ไม่ว่านอนที่ไหน
ถ้านอนหงายท่านนอนไอและสำลักเสมหะ
พอท่านนอนแล้วเที่ยงคืน ไม่มีเหตุการณ์อะไร ช่วงแรกท่านตื่นตี ๑ ปกติถ้าร่างกายหลวงพ่อแข็งแรง ท่านจะลุกเองโดยไม่เรียกให้ใครช่วย
ท่านจะไม่เรียกเลย โดยท่านจะลุกเอง แต่ระยะหลังเวลาจะลุกขึ้น ถ้าท่านต้องการจะเรียก ท่านจะชูมือขึ้นมา ต้องคอยสังเกตว่าเวลาหลวงพ่อชูมือขึ้นมา
หมายถึงว่าท่านจะเข้าส้วม
เวลานอนปกติข้าพเจ้าจะนอนข้างเตียงท่าน จ่าตุ๋ยจะนอนทางด้านปลายเตียง หลวงพี่พระใบฎีกาประทีปนอนข้างหน้าส้วม
ข้าพเจ้ารู้ดีว่าหลวงพ่อจะตื่นเพื่อเข้าส้วม เวลาเที่ยงคืนถึงตี ๒ เพราะฉะนั้นก่อนนอนข้าพเจ้าจะนอนอ่านหนังสือข้าง ๆ เตียงหลวงพ่อ
ข้าพเจ้ามีโป๊ะไฟข้าง ๆ เตียงหลวงพ่อ พอหลวงพ่อขยับก็จะรู้ หรือเวลาหลวงพ่อชูมือก็จะเห็น ข้าพเจ้าก็จะสะกิดจ่าตุ๋ยว่าหลวงพ่อจะเข้าส้วม
ข้าพเจ้าตัวเล็กพยุงหลวงพ่อคนเดียวไม่ได้ ต้องช่วยกันพยุงและส่งท่านนั่งส้วม
ถ้าหลวงพ่อตื่นครั้งแรกไม่เท่าไหร่ ถ้าเข้าส้วมกลับมาที่เตียงตี ๑ ท่านก็ฉันยา ยานั้นคือยานอนหลับ ถ้าตื่นเที่ยงคืนหรือตี ๑
กลับเข้ามาก็ต้องฉันยานอนหลับอีก ๒ เม็ด
แต่ถ้าหลังตี ๓ จะไม่ฉัน เพราะฤทธิ์ยาจะไม่หมด จะค้างถึงตอนเช้า ท่านก็จะไม่ฉัน
อาการที่เห็นได้ชัดในคืนวันนี้คือ ท่านมีอาการเหนื่อย หอบ เพราะมีเสมหะ หมอบอกถ้าเหนื่อย หอบ จะให้ออกซิเจนคราวละ ๑๕ นาที ไปส้วมกลับมาก็เหนื่อยหอบ
ตอนฉันยาดึก ๆ เรื่องยาหลวงพ่อท่านบอกว่า หมอข้างนอกไม่เข้าใจ
ถ้าเป็นนายแพทย์จรูญ หมอหญิง (หมอแสงโสม) หมออี๊ด จะทำตามคำสั่งหลวงพ่อ จะให้หลวงพ่อฉันยากี่เม็ด ฉีดยากี่ซี.ซี. จะทำตามคำสั่งของหลวงพ่อ
คืนนี้หลวงพ่อตื่นขึ้นมาเข้าส้วม ฤทธิ์ยายังมีอยู่ ตาลืมไม่ขึ้น ขาเดินไม่ไหว ข้าพเจ้าและจ่าตุ๋ยประคองให้หลวงพ่อเดินช้า ๆ และเข้าไปเฝ้าในส้วม
...นี่คืออาการหลวงพ่อตอนกลางคืนของวันที่ ๒๔ ตุลาคม !!!
ตอนที่ 3
- บันทึกวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕
...ท่านก็ตื่นตามเวลาปกติ ตี ๕.๔๕ น. เวลานี้เป็นเวลาปกติ พอหลวงพ่อตื่นขึ้นมาก็สั่งจ่าตุ๋ยเปิดวิทยุ รายการปรีชา ทรัพย์โสภา (กรมประชาสัมพันธ์)
ท่านฉันยาตอนเช้า เสร็จแล้วเข้าไปล้างหน้า แล้วกลับมานั่งที่เตียง หลังจากนั้นรอฟังข่าวจนถึง ๖.๓๐ น. ถึงจะออกจากห้องนอนไปยังที่ฉันอาหาร
ขณะหลวงพ่อนั่งฉัน ข้าพเจ้านั่งสังเกตดูว่าหลวงพ่อท่านฉันเป็นปกติไหม? อาจารย์พรนุช ถวายน้ำข้าวแทน ท่านยกแก้วน้ำข้าวดื่ม แล้วท่านฉันผลไม้
ลูกสาลี่และส้มโอ
กิจวัตรเมื่อหลวงพ่อฉันข้าวเสร็จ ท่านเดินมาชั้นล่าง ชั้นลอย นี่เป็นกิจวัตร คือ หลวงพ่อจะมาเลี้ยงสุนัขที่ชั้นนี้
อาหารที่เลี้ยงสุนัขมีแตงกวาผัดไข่ มีสุนัขตัวหนึ่งชื่อ "แม่นาก" เป็นหัวหน้า ทุกเช้าท่านก็โยนอาหารให้สุนัขทั้งฝูง ทำอย่างนี้มาโดยตลอด
เสร็จแล้วหลวงพ่อก็จะเดินมาขึ้นรถที่หลวงพี่พระใบฎีกาประทีปเตรียมไว้ แล้วมาพักยังฝั่งริมแม่น้ำ ที่ตึกอินทราพงษ์
วันที่ ๒๕ ตุลาคม เป็นวันอาทิตย์ พอมาถึงเตียง ท่านก็ให้ออกซิเจนเพราะท่านเหนื่อย ปกติเวลามาถึงที่นี่ หลวงพ่อต้องให้ขนมปลาแก่สุนัขเป็นประจำทุกเช้า
วันนี้เลยงด ให้หลวงพ่อเข้าห้องพักที่ตึกอินทราพงษ์โดยไม่ต้องเลี้ยงสุนัข ให้ดาบตระกูล และ ดาบสอ ทำหน้าที่แทน
ทุกเช้าเมื่อหลวงพ่อมาถึงตึกอินทราพงษ์ ก็เอาเงินที่เขาทำบุญมอบให้ครูนนทาลงบัญชี ที่ตึกอินทราพงษ์
เวลาหลวงพ่อลุกขึ้นก็ซวนเซจะล้ม เอามือจับตู้ ก็ไม่เป็นไร จึงต้องอยู่ดูแลขณะท่านพักที่นี่ (ปกติท่านจะอยู่องค์เดียวโดยไม่มีใครเข้าไปกวน)
วันนี้ก็ให้น้ำเกลือหลวงพ่อ ท่านเหนื่อยหอบ ท่านสั่งพวกข้าพเจ้าและจ่าตุ๋ยว่า เออ..ไปพักผ่อนกันได้
ตอนที่ 4
- บันทึกวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ (ต่อ)
...วันนี้ก็ให้น้ำเกลือหลวงพ่อ ท่านเหนื่อยหอบ ท่านสั่งพวกข้าพเจ้าและจ่าตุ๋ยว่า เออ..ไปพักผ่อนกันได้
ข้าพเจ้าและจ่าตุ๋ยก็ไปซักผ้า พอถึงเวลา ๑๐.๔๕ น. หลวงพ่อก็ออกมาฉัน ก่อนฉันอาหารเพล ท่านจะไปนั่งที่เตียงด้านนอกก่อน
วันนี้พี่วิมาลีและคุณสามารถมากราบหลวงพ่อ ท่านบ่นว่า
ไม่ได้กินข้าว อาการเที่ยวนี้แย่ !!
พวกเราสังเกตดูว่าหลวงพ่อมีอาการปกติไหม ท่านไม่แสดงอาการอะไรที่ผิดไปจากปกติ พอถึงเวลาท่านก็เดินออกจากเตียงไปยังโต๊ะฉันอาหาร เวลา ๑๑.๒๐ น. ตามปกติ
พอนั่งโต๊ะฉัน ข้าวไม่ต้องตัก ท่านฉันสาลี่ เมล็ดบัว ส้มโอ ท่านฉันอย่างละนิด แล้วก็บอกว่า ไม่ไหว !!
แล้วท่านก็เข้าห้องนอน ออกมาอีกครั้งเวลา ๑๓.๑๕ น. เพื่อไปรับแขก ก่อนไปรับแขกท่านจะออกมานั่งสักประเดี๋ยว แล้วก็ไปรับแขก
เวลา ๑๕.๐๐ น. หลวงพ่อเลิกรับแขกก็กลับที่พักมายังที่ ๑๐๐ เมตร มาถึงวันนั้น ท่านนอนแผ่ที่เตียง ท่านบ่นว่า "เหนื่อยมาก !!"
หลวงพี่พระครูปลัดอนันต์มาถึงก็น้ำตาไหล เท่าที่ดูด้วยสายตาแล้วจะเห็นคล้ายกับว่า หลวงพ่อไม่เป็นอะไรมาก
วันนี้คุณแสงเดือน พร้อมพันธุ์ ได้ถวายผ้ายาง ไว้ปูพื้นห้องน้ำเพื่อกันไม่ให้ล้ม
อาการหลวงพ่อวันนี้เดินเซ เวลาหลวงพ่อสรงน้ำ ข้าพเจ้าก็ยืนอยู่ข้างหลัง เกรงว่าท่านจะล้ม จึงเข้าไปอยู่ในห้องน้ำด้วย
พอหลังจากนั้น ท่านก็กลับมาที่เตียงเพื่อจะนอนพัก หลวงพี่พระครูปลัดอนันต์ก็เฝ้าอยู่ หลวงพี่พระใบฎีกาประทีปก็เฝ้าอยู่ หลวงพี่พระครูสมุห์พิชิต หลวงพี่น้อย
ก็เฝ้ากันอยู่พร้อมหน้ากัน
จ่าตุ๋ยและข้าพเจ้าก็ออกไปพักนอกเฉลียงห้องของหลวงพ่อ ก็มีโต๊ะกาแฟ ข้าพเจ้าก็มานั่งคลายเครียด...
ตอนที่ 5
- บันทึกวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ (ต่อ)
...พอตอนหัวค่ำ หลวงพ่อก็ยังไม่เป็นอะไร เวลา ๒ ทุ่ม หลวงพ่อลุกขึ้นมาฉันน้ำส้มคั้น ลงบัญชีการเงินที่เป็นกิจวัตรด้วยองค์หลวงพ่อเอง
สังเกตเวลาท่านนั่ง ท่านเหนื่อย ท่านเลยนอนแผ่โดยนั่งขัดสมาธิ แล้วนอนแผ่ลงไป หลับตาและนอนหายใจแรง มีเสียงดังครืด ๆ คล้ายคนกรน แต่ไม่ใช่กรน
เป็นเสมหะอยู่ในคอ
เวลา ๕ ทุ่ม วันนี้เป็นวันสำคัญ มีอาการรุนแรง ท่านฉันยาแล้วเข้านอนตามปกติ ข้าพเจ้าก็นั่งเฝ้าดูอาการหลวงพ่อ
วันนั้นก็ให้ออกซิเจนด้วย จ่าตุ๋ยจัดออกซิเจน ท่านฉันยานอนหลับ นอนตะแคงขวา ข้าพเจ้านึกอธิษฐาน ขอให้พระช่วยสงเคราะห์ขับโรคในร่างกายหลวงพ่อให้ออกไป
ท่านนอนได้แค่ ๕ ทุ่มครึ่ง ท่านก็ชูมือขึ้นมา ข้าพเจ้าเรียกจ่าตุ๋ยบอกว่า หลวงพ่อจะเข้าส้วม ข้าพเจ้าตัวเล็กจึงกระโดดขึ้นเตียงหลวงพ่อ
คืนวันนั้นเห็นได้ชัดว่าหลวงพ่อไม่ไหว ข้าพเจ้าและจ่าตุ๋ยต้องเข้าปีก ท่านถ่ายอุจจาระเละเต็มเตียงไปหมดเลย ลักษณะอุจจาระคล้ายเฉาก๊วยดำ ๆ เป็นลิ่ม ๆ
ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน
หลังจากข้าพเจ้าและจ่าตุ๋ยพาหลวงพ่อเข้าส้วมแล้ว ก็รีบมาจัดเตียงใหม่ จ่าตุ๋ยเอาน้ำฉีดล้างให้หลวงพ่อ เสร็จแล้วก็ออกมาเปลี่ยนสบงให้หลวงพ่อ
ตอนนั้นหลวงพ่อยืนไม่ไหว ตาก็ลืมไม่ไหว เพราะฤทธิ์ยาก็ออก เราเข้าปีกหลวงพ่อ พอนั่งลงที่เตียงท่านขอยานอนหลับฉันอีก
ข้าพเจ้าก็บอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อเพิ่งฉันเมื่อกี้นี้เอง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
ท่านบอกว่า ไม่ได้ลูก ต้องกินอีก ไม่ไหวแล้วนะ ทวารเปิดหมดแล้ว
ท่านพูดอย่างนั้น แล้วท่านก็นอนตะแคงขวา ปรากฏว่านอนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แล้วท่านก็ตื่นอีก ไม่มีอาการถ่าย แต่ท่านพูดว่า จะเข้าส้วม ๆ ๆ
พอนั่งถ่ายก็ไม่มีอุจจาระ ก็กลับมาที่เตียง แล้วท่านก็พูดว่า ขอยานอนหลับอีก
ข้าพเจ้าตอบว่า หลวงพ่อฉันไม่ได้แล้ว
ท่านพูดว่า ยังไง ๆ ต้องกินยา เอาให้อยู่ ประสาทเครียดมาก ทวารเปิดหมดแล้ว หลวงพ่อก็ฉันยา ๒ เม็ด
ข้าพเจ้าและจ่าตุ๋ยบอกว่าฉันมากแล้ว มันเกินกว่าที่เคย จึงโทรศัพท์เรียกหลวงพี่พระครูปลัดอนันต์กลางดึกคืนนั้น หลวงพี่พระครูสมุห์พิชิต (โอ) รับ
และข้าพเจ้าก็เรียกอาจารย์พรนุชขึ้นมา ทุกคนเห็นหลวงพ่อแล้วก็ตกใจ ท่านนอนหายใจแรง หอบตลอดเวลา หายใจไม่เต็มปอด หายใจเร็วมาก และหายใจไม่สะดวก
ตอนนั้นหลวงพี่พระครูปลัดอนันต์, หลวงพี่พระใบฎีกาประทีป จ่าตุ๋ย อาจารย์พรนุช และข้าพเจ้าเห็นว่าร่างกายหลวงพ่อซีด อุจจาระเป็นลิ่ม ๆ
บอกว่าไม่เคยเห็น นึกว่าโรคร้าย ๆ ที่มันเกาะอยู่ในลำไส้หลวงพ่อคงไหลออกมาหมด คิดว่าพรุ่งนี้หลวงพ่อคงจะดีขึ้น
อาจารย์พรนุชเรียกหมออี๊ดมาเจาะน้ำเกลือให้หลวงพ่อ กว่าจะหาเส้นเลือดเจาะน้ำเกลือได้เป็นชั่วโมง เพราะเส้นเลือดเปราะมาก หาจุดไม่ได้
มือขวาหาจนหมดแล้วเจาะไม่ได้
หลวงพี่พระครูปลัดอนันต์บอกให้เจาะมือซ้าย ได้ผล เจาะมือซ้ายแล้วพบ หมออี๊ดก็ให้น้ำเกลือหลวงพ่อถึงรุ่งสว่าง
พอตื่นเช้าหลวงพ่อเห็นน้ำเกลือก็ให้เอาออก พอกว่าถึงเวลากินข้าวแล้วท่านพูดว่า เมื่อคืนทำอะไรพ่อ..พ่อไม่รู้สึกตัวเลย
ซึ่งอาจารย์พรนุชเล่าอาการให้หลวงพ่อฟัง ท่านพูดว่า อาการทวารเปิด..เป็นอาการของการตาย !!!
ตอนที่ 6
- บันทึกวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕
...พอตอนเช้า หลาย ๆ คนก็ได้ข่าวว่า เมื่อคืนอาการหลวงพ่อไม่ดี ท่านก็ยังออกมาฉันอาหาร ท่านพูดว่า
..ชาติที่แล้วมัน ๕๓ ชาตินี้ก็ ๓๕..!!! ท่านพูดเปรย ๆ
จ่าตุ๋ยบอกข้าพเจ้าว่า หลวงพ่อพูดอย่างนี้อีกแล้ว เรื่อง ๕๓ และ ๓๕ ท่านพูดซ้ำหลายครั้ง ก็คิดว่าหลวงพ่อจะอยู่กับเราอีก ๕๓ ปี
แต่เมื่อชาติที่แล้วหลวงพ่อก็เสียชีวิตตอนพ.ศ.๒๔๕๓ พวกเราขอหลวงพ่อว่าวันนี้ให้พักที่นี่ ไม่ต้องไปตึกริมน้ำ บอกว่าวันนี้วันจันทร์คนมาไม่มาก ท่านพูดว่า
คนเขามาไกล ต้องไปรับแขก และวันจันทร์นัดกับธนาคารไว้ (หลวงพ่อทำงานทุกวัน ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เหมือนชาวบ้านเขา)
- วันนี้หลวงพ่อไม่ได้เลี้ยงสุนัข
...พอหลวงพ่อมาถึงตึกอินทราพงษ์ก็ให้ออกซิเจน จ่าตุ๋ยดูแลหลวงพ่ออยู่ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกหงอยเหงา รู้สึกว่าขาดหมอ
เพราะพวกเราที่เฝ้าท่านอยู่ไม่ใช่หมอสักคน
ปรึกษากับจ่าตุ๋ยว่าน่าจะมีหมอมาเฝ้าดูแลหลวงพ่อ พวกเราไม่มีความรู้ทางการแพทย์ ก็ปรึกษาหลวงพี่พระใบฎีกาประทีปน่าโทรศัพท์บอกผู้ใหญ่ที่กรุงเทพฯ เช่น
ท่านเจ้ากรมเสริม, ดอกเตอร์ปริญญา, นายแพทย์จรูญ, หมอหญิง ให้โน้มน้าวไม่ให้หลวงพ่อเข้าซอยสายลม (กำหนดเข้าซอยสายลม ๓๐ ตุลาคม ถึง ๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๕)
ถ้าหลวงพ่อเข้าซอยสายลมต้องแย่แน่ เพราะก่อนไปป่วยขนาดนี้ จนถึงเวลาเที่ยงวันของวันที่ ๒๖ ตุลาคม หลังจากหลวงพ่อฉันอาหารเพลเสร็จแล้วออกมานั่ง
หมอสุธรรมตรวจอาการหลวงพ่อ ให้เครื่องตรวจกร๊าฟและหัวใจหลวงพ่อและน้ำในปอด หมอมนัสฉีดยาให้หลวงพ่อ ๑ เข็ม หลวงพ่อบอกว่า
ตอนท่านออกจากโรงพยาบาลศิริราชตอนต้นปีนี้ ท่านไม่ถูกกับยาแก้อักเสบ วันนั้นหมอมนัสฉีดยาแก้อักเสบ หลวงพ่อถามว่า
ยาฉีดแก้อักเสบเข้ากล้ามเนื้อมีผลเท่ากันไหม?
หมอตอบว่า ไม่เหมือนกัน
ถ้ากินยาแก้อักเสบจะกินข้าวไม่ได้หลายเดือน ถ้าฉีดไม่เป็นไร ท่านว่าร่างกายฉันข้าวไม่ได้เลย วันนั้นเวลา ๑๑.๒๐ น. หมอสุธรรมบอกว่าจะไปนอนเฝ้าหลวงพ่อที่ตึก
๑๐๐ เมตร
ตอนที่ 7
- บันทึกวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕
(ต่อ)
...วันนี้พอหลวงพ่อเลิกรับแขกกลับที่พักที่ ๑๐๐ เมตร ไปถึงท่านนั่งพัก ท่านคุยกับพระครูปลัดอนันต์และอาจารย์พรนุช บอกว่าเหนื่อยเหลือเกิน
หลวงพี่พระใบฎีกาประทีปก็เข้าไปห้องน้ำ เข้าไปกับหลวงพ่อ ตอนหลวงพ่อเข้าไปสรงน้ำ พอสรงน้ำเสร็จ หลวงพ่อฉันยา แล้วนอนพัก
หมอสุธรรมและหมออี๊ดให้น้ำเกลือหลวงพ่อ
พอตอนค่ำ จ่าประมวล, นที, จ่าตุ๋ย, ข้าพเจ้า, หลวงพี่พระครูปลัดอนันต์ หลวงพี่พระใบฎีกาประทีป มารวมกันเฝ้าหลวงพ่อ ข้าพเจ้าดีใจที่พี่น้องมาดูแลหลวงพ่อ
วันนี้อาการป่วยมากกว่าเมื่อวานนี้ ท่านบอกว่า วันนี้จะให้หมอฉีดยาหลับก่อนเวลาปกติ ๕ ทุ่ม แต่วันนี้ให้ ๔ ทุ่มครึ่ง เข้าส้วม
ท่านสั่งหมอสุธรรมให้ฉีดยาให้พ่อเลย ท่านนั่งเตียงเป่ายานัตถุ์ ท่านพูดว่า
วันนี้ให้ใช้สูตรหมอจรูญ ฉีด ๑ เข็มและฉันยานอนหลับด้วย (ตอนหลวงพ่อไปซอยสายลม ฉันยาและฉีดยาด้วย)
วันนี้เป็นห่วงหลวงพ่อ เมื่อคืนฉันยามากแล้วจึงไม่ให้ยาเม็ด เอายาเม็ดเก็บใส่ซองไว้ ปรากฏว่าหลวงพ่อพูดว่า
ฉีดยาแล้ว ไหนละยาเม็ด แล้วท่านก็ดูว่ายาเม็ดครบจำนวนไหม?
แล้วหมอก็ฉีดยาเข้าไปในน้ำเกลือ แล้วท่านก็หลับจาก ๔ ทุ่มครึ่ง ปกติท่านถ่ายอุจจาระเวลา ๕ ทุ่มแล้วนอน ถ้านอนก่อน ๕ ทุ่ม ท่านต้องตื่นถ่ายอุจจาระ
พอท่านนอนไปได้แป๊บเดียวก็ชูมือขึ้น แล้วลุกเข้าส้วม เอาสายน้ำเกลือเข้าส้วมด้วย เส้นฉีดน้ำเกลือหลวงพ่อเปราะบางนิดเดียวก็แตก พอออกจากส้วมท่านพูดว่า
หมอฉีดยาไม่ครบใช่ไหม? ฉีดให้ครบลูก
หมอสุธรรมก็ฉีดยาอีก ทุกคนมองกัน ต้องทำตามคำสั่ง หมอสุธรรมก็ฉีดยาให้อีก
ท่านถามหมอสุธรรมว่า เคยไปเที่ยวเขาใหญ่ไหม?
ตอบว่า เคยครับ
ท่านถามว่า เคยถูกผีหลอกไหม
หมอตอบว่า เคยครับ
แล้วทุกคนก็ฝืนยิ้ม.... แต่ไม่เข้าใจความหมาย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 19/8/18 at 18:53
ตอนที่ 8
บันทึก ๗ วันสุดท้ายก่อนมรณภาพ
ตั้งแต่วันที่ ๒๓-๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕
- บันทึกวันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕
...หลังจากหมอฉีดยา จะมีเสมหะก็ต้องบ้วนออกมา พอนอนท่านก็ต้องกลืนลงไป กลืนเสมหะ หลวงพี่พระใบฎีกาประทีปและจ่าตุ๋ยไปเอาเครื่องดูดเสมหะ
เอาสายยางเข้าปากดูดเสมหะ
หลวงพ่อไม่เคยใช้เครื่องนี้ ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปบนเตียง บอกให้ท่านอ้าปาก แล้วท่านร้อง อื้อ ท่านก็กลืนน้ำลาย
ทำอย่างนี้หลายครั้ง ๓-๔ ครั้งติด ๆ หมอสุธรรมก็ใช้ไม่ได้ผล ก็ใช้กระโถนเล็ก ๆ วางไว้ข้าง ๆ ด้านขวา
พอเวลาหลวงพ่อกระแอม ก็จับหลวงพ่อเอียงให้หลวงพ่อบ้วนออกมา เวลาท่านกระแอม ท่านคว้าผ้ามาเช็ดปากและน้ำมูก ท่านพูดไม่ได้ เราก็เดาเอา
ท่านก็นอนเครียดอยู่อย่างนั้น
ข้าพเจ้าสังเกตดูอาการหลวงพ่อ ท่านนอนไม่หลับ ท่านต้องรำคาญ มือติดสายน้ำเกลือและท่านนอนตะแคงขวา
ท่านต้องทับมือขวา จ่าตุ๋ยเห็นเล็บเขียว แขนเป็นจ้ำ ๆ และเปิดขาดูเป็นจ้ำ ๆ
หมอสุธรรมดูบอกว่า ขาดออกซิเจน
จ่าตุ๋ยก็จัดออกซิเจน พอให้ออกซิเจนก็มีอาการดี (อาการเป็นจ้ำ ๆ จ่าตุ๋ยบอกเคยเห็นแม่ยายมีอาการเป็นจ้ำ ๆ เหมือนกัน คือโลหิตเป็นพิษ)
ด้านขวาตรงถังออกซิเจน จะมีผ้าเช็ดน้ำมูกวางอยู่เป็นประจำ โต๊ะด้านซ้ายวางยานัตถุ์, กระโถน, แก้วน้ำดื่ม
ท่านนอนตะแคงขวา ก็ทับเส้นให้น้ำเกลือ ตี ๒-๓ ลุกเข้าส้วม จ่าประมวลและพี่นที, จ่าตุ๋ย ถือสายน้ำเกลือพาหลวงพ่อเข้าส้วม กลัวสายน้ำเกลือหลุด
หลวงพ่อถ่ายอุจจาระมีแต่น้ำเท่านั้น
กลับถึงเตียงเข็มน้ำเกลือหลุด เลยถอดเข็มออก หลวงพ่อมีอาการนอนสงบ แต่สำลักเสมหะคล้ายกรน มีเสมหะอยู่ตลอดเวลา
พอตี ๕ หมอสุธรรมก็ให้น้ำเกลือ ก็เตรียมฉีดน้ำเกลือให้หลวงพ่อ จะได้ไม่ต้องไปที่ตึกอินทราพงษ์ (ตึกริมน้ำ)
ตอนที่ 9
- บันทึกวันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕
(ต่อ)
...ตอนเช้าพอ ๖ โมงเช้า หลวงพ่อตื่นแล้วก็นั่ง อาจารย์พรนุชก็บอกหลวงพ่อว่ายังไม่สว่าง เพราะพยายามจะไม่ให้หลวงพ่อออกมาข้างนอก
แต่ท่านสั่งให้เอาน้ำเกลือออก อาจารย์พรนุชบอกหลวงพ่อว่า ควรเอาน้ำเกลือติดมือไปด้วย แต่หลวงพ่อไม่ยอม
ท่านพูดว่าไปถึงที่นั่นค่อยทำใหม่ ให้ท่านนอนพัก ท่านก็นอนพัก
อาจารย์พรนุชบอกหลวงพ่อว่าจะให้น้ำเกลือผสมกลูโคส หลวงพ่อก็พูดว่า
เออ..ให้น้ำเกลือสดชื่นดีลูก ท่านพูดให้กำลังใจลูก
พอมาถึงตึกอินทราพงษ์ ท่านก็สั่งข้าพเจ้าว่า
เอี้ยง ไปเอาทุนปริญญาตรีทั้งหมดมาให้พ่อ
อาจารย์พรนุชก็เอามาให้ อาจารย์พรนุชกับครูนนทาก็ร้องไห้กัน พูดว่า ดูขนาดหลวงพ่อป่วยขนาดนี้ หลวงพ่อยังไม่ยอมหยุดเรื่องงาน
วันนี้ท่านถามการจ่ายเงิน ท่านเคลียร์งานก่อนวันนัด ให้ถามหลวงพี่วิรัชเรื่องเงิน เช้าถามวันนัดธนาคารหรือ? ตอบว่าไม่ใช่ ทุกคนยังไม่พร้อม
หลายคนถูกดุกัน
พอท่านฉันเพล ครูนนทา พยายามยับยั้งไม่ให้หลวงพ่อรับแขก หลวงพ่อพูดว่า โง่
กลางวันหลวงพ่อมีอาการแย่ตลอด แต่ท่านเข้มแข็งเสมอเวลาไปรับแขก มีอาการเหนื่อยหอบ ไม่ค่อยพูด
เรื่องการไปสายลมของหลวงพ่อ พยายามยับยั้งแต่ทำไม่ได้ ติดต่อหาผู้ใหญ่ทางกรุงเทพฯ ไม่ได้
พอเลิกรับแขกเวลา ๔ โมงเย็น ข้าพเจ้าคุยกับอาจารย์พรนุชว่า จะให้ทางสายลมปรับที่นั่งใหม่จากโต๊ะรับแขกเป็นที่นอนคนไข้ แต่หลวงพ่อไม่อยากให้ทำ
หมออี๊ด หมอสุธรรม จ่าตุ๋ย จ่าประมวล พี่นที หลวงพี่พระครูปลัดอนันต์ หลวงพี่พระใบฎีกาประทีป มานอนเฝ้าหลวงพ่อตอนกลางคืน
ท่านหายใจแรง หอบ สังเกตดูฤทธิ์ยากับฉีดยาเข้าไป เวลาท่านป่วยร่างกายท่านแสดงออกมาน่ากลัวมาก แต่สติสัมปชัญญะท่านสมบูรณ์ทุกประการ ดีตลอด
ท่านไม่พูด ลิ้นแข็ง ตอนนั้นให้น้ำเกลือมือซ้าย ปกติเอายาใส่มือซ้าย กินน้ำมือขวา
วันนี้เอามือซ้ายให้น้ำเกลือ เลยเอายาใส่มือขวา ท่านแบ ๒ มือ ท่านว่าเอาใส่ผิดมือ เพราะท่านทำอะไรเป็นปกติ เป็นขั้นตอน
ท่านกินยากับน้ำก็สำลักเลย เพราะหายใจทางปากและให้น้ำเกลือด้วย
อาการหลวงพ่อป่วยรุนแรง ทุกคนมารวมตัวกัน อาการไม่ดีขึ้น ตอนกลางคืนลุกขึ้นถ่ายอุจจาระไม่ได้ ไม่อยากให้หลวงพ่อเข้าส้วม
เลยใช้กระดาษแปมเปอร์ก็หลุด หล่นลงพื้น พอนั่งส้วมถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ ฤทธิ์ยานอนหลับ ๓ วันหนักมาก ตาลืมไม่ขึ้น
ถามหลวงพ่อว่า จะใช้กระดาษแปมเปอร์ไหม?
ท่านตอบว่า ใช้
หลวงพ่อท้องใหญ่ ใส่แล้วก็หลุด (ใส่แบบหลวม ๆ ) เวลาเข้าส้วม บอกให้ถ่ายเลย ให้ถ่ายบนเตียงมีแปมเปอร์ เวลาหลวงพ่อกระแอมก็ถ่ายอุจจาระออกมาทันที
อาการเป็นเช่นนี้เกือบตลอดทั้งคืน มีเสมหะ บ้วนน้ำลาย ให้ออกซิเจน ตอนเช้าเข็มน้ำเกลือหลุดจากมือ
พอตี ๔ ตี ๕ ตื่น เพราะท่านอยากไปตึกอินทราพงษ์ ก็บ่ายเบี่ยงยกนาฬิกาหนี เอานาฬิกาไปซ่อน ในห้องมีนาฬิกาหลายเรือน ท่านก็เห็นเวลา ๖ โมงกว่า..."
ตอนที่ 10
- บันทึกวันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕
(ต่อ)
...วันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ เช้า บอกท่านว่าวันนี้ไม่ต้องไปตึกอินทราพงษ์ ท่านไม่ยอม ท่านพูดว่า ต้องไป
เอาอาหารมาให้ท่านฉันในห้องนอนทั้ง ๆ ที่ฤทธิ์ยาไม่หมด ลิ้นแข็ง ตาลืมไม่ขึ้น เวลาฉันอาหาร ท่านจะปฏิบัติเป็นขั้น ๆ
ท่านเอาน้ำในถ้วยเทใส่จานล้างช้อน ถึงแม้ท่านไม่ลืมตา ร่างกายทำงานตามขั้นตอนที่ท่านเคยทำตามปกติ
พอหลวงพ่อยกแก้ว เราก็รู้ว่าหลวงพ่อจะทำอะไร ท่านฉันส้มโอ สาลี่ แล้วพอ ฉันอะไรไม่ได้เลย ท่านพูดว่า วันนี้ต้องลง นัดกับธนาคารไว้
วันนี้นัดธนาคารมา ท่านให้เอาสมุดปริญญาตรีมา ท่านนอนหอบบนเตียง
ตามปกติเวลาธนาคารมา ข้าพเจ้าจัดสมุดให้ ธนาคารเอาใบเบิกมาให้เซ็น หลวงพ่อจับมือสั่น
จ่าปัญญามา เข้ามากราบหลวงพ่อ ๆ ลุกขึ้นมา ท่านพูดว่า
จ่าปัญญาหรือ...พ่อไม่ไหวแล้วนะ ร่างกายแย่เต็มทน"
ท่านเซ็นชื่อให้ธนาคารกรุงไทย ๓ ใบ กสิกร ๒ใบ มือสั่น ข้าพเจ้าก็หยิบสมุดให้ธนาคาร
ข้าพเจ้าจดเอาไว้ (พฤหัสจะเดินทางเข้า ๒๙ ตุลาคม) กรุงเทพฯ เรื่องจะได้เรียบร้อย แล้วหลวงพ่อจะได้ไม่กังวล
ท่านฉันอาหารข้างเตียงนอน พวกเรานั่งดูกันเต็ม อาการหนักมาก ฉันได้แค่สาลี่ เมล็ดบัว ส้มโอ ท่านว่า
อาหารคาว..ฉันไม่ได้เลย
แล้วท่านก็ล้มตัวลงนอน ท่านก็รอเวลาบ่ายโมงครึ่ง พวกเราพยายามยับยั้งไม่ให้ท่านลงรับแขก
ท่านบอก ไม่ได้ ท่านปรารภว่า เราไปสายลมเพื่อให้เขาเห็นของจริง
ลูก..ถ้าเราบอกเขาว่า..พ่อป่วย เขาไม่เชื่อ เพราะพ่อป่วยเป็นปกติ คราวนี้พ่อป่วยแบบนี้ เราจะไปให้เขาเห็นว่าพ่อป่วยหนัก แล้วจะไปบอกเขาว่า
ว่าเราจะไม่ไปสายลมอีก
อาจารย์พรนุชยับยั้งไม่อยากให้หลวงพ่อไปสายลม ท่านพูดว่า
ยังมีคนจนและคนแก่อีกมากมาไม่ได้ เราต้องไปโปรดเขานะ
ตอนบ่ายพวกธนาคารกรุงไทยพาหมอหัวใจ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุทัยธานีมาตรวจ
ตอนบ่ายผู้จัดการธนาคารกรุงไทยพาหมอมาเช็คร่างกาย หลวงพ่อให้เช็ค พอตรวจเสร็จ หมอนิมนต์หลวงพ่อให้เข้าโรงพยาบาล
เพราะอาการหลวงพ่อหนัก ถ้าหลวงพ่อเข้าสายลมจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก พอหมอพูดเสร็จ ท่านพูดว่า
ขอบใจมากนะทุก ๆ คน ถ้าว่างจะไปนอน
ท่านพูดแบบนี้เป็นสัญญาณว่าไม่ไป และหมายความว่าต้องการให้ทุกคนออกไปได้แล้ว แต่ว่าไม่มีใครยอมออกไป ท่านเลย หนี โดยการลุกเข้าส้วม
พอออกมาจากส้วมท่านพูดว่า งานยังมีอยู่ไปไม่ได้ ถ้างานเสร็จก็อาจจะไป มีหลายคนรออยู่
บ่ายโมงพี่พรนุชปิดเสียงนาฬิกา ท่านนอนตะแคงขวา พอท่านถามว่าบ่ายโมงหรือยัง?
ก็ตอบว่า ยังครับ
ตอนที่ 11
- หลวงพ่อรับแขกเป็นครั้งสุดท้าย
พอตอนหลังท่านดูนาฬิกา บ่าย ๑ โมงครึ่งแล้ว ท่านก็ดึงจีวรมาห่ม ท่านก็ลงรับแขก ท่านหอบมาก เหมือนนักวิ่ง ๑๐๐ เมตร แล้วหอบ
อาการเป็นแบบนั้น (เหมือนคนเป็นโรคหอบ-หืด หายใจไม่เต็มที่และหายใจเร็วมาก) หลายคนมีอาการเศร้าสลด หลวงพ่อมีน้ำใจเข้มแข็ง
ทุกคนที่ตึกรับแขกมาหาท่าน ท่านพูดไม่ไหว ตอนให้พรท่านให้หลวงพี่บัญชาพรมน้ำมนต์ บอกว่า
วันนี้..พ่อให้พรไม่ไหวนะ ให้ทุกคนตั้งใจรับพรจากพระ ให้พระบัญชาพรมน้ำมนต์ให้
พอพรมน้ำมนต์เสร็จแล้ว หลายคนก็ร้องไห้ ขอให้หลวงพ่อพัก พูดว่า พวกเรากลับเถอะ หลวงพ่อก็พูดในทำนองว่า
"ปัจฉิมโอวาท" เป็นครั้งสุดท้าย
...ลูกเอ้ย..ดูพ่อเป็นตัวอย่างนะ..ลูก พ่อแก่ให้ดู แล้วพ่อก็ป่วยให้ดู แล้วในที่สุดร่างกายของพ่อก็ต้องตาย แล้วทุกคนก็จะเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด
อย่าติดในร่างกายนะ..ลูก !!!
ขณะที่หลวงพ่อพูด หลวงพี่บัญชาจะอัดเทป ท่านสั่งว่าไม่ต้องอัด เห็นท่านนั่งหลับตา เกรงว่าท่านจะหลับคว่ำลงมา
ท่านว่า นั่ง ๆ อยู่ มองไม่เห็นอะไร เลยหลับ เลิกรับแขก หลวงพ่อไปเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาลแม่และเด็กวัดท่าซุง แล้วกลับที่พัก
- หมายเหตุ
**...พระอาจารย์ชัยวัฒน์ขอบันทึกเพิ่มเติมเฉพาะตรงนี้ว่า ในขณะที่หลวงพ่อนั่งรับแขกอยู่นั้น ท่านได้พูดทำนองปลงสังเวชขึ้นว่า
ความจริงไม่ไช่โอวาท แต่พระและโยมที่ได้ยินในวันนั้น ถือว่าเป็น "ธรรมสังเวช" หรือ "ปัจฉิมโอวาท" คือเป็นโอวาทครั้งสุดท้ายของท่าน
คำพูดที่จำเอาไปเผยแพร่เมื่อหลายสิบปีก่อนยังคลาดเคลื่อน แต่นกเอี้ยงบันทึกไว้นี่แหละ..แม่นยำ เพราะผู้เขียนยังจำได้
โดยเฉพาะเหตุการณ์ตอนนั้น มีพระภายในวัดและญาติโยมมาที่ตึกรับแขกกันเยอะ ทุกคนเป็นห่วงหลวงพ่อ ไม่อยากให้ท่านออกมารับแขก
แม้แต่ครูนนทาก็ยังโดนดุ ท่านบอกว่าเห็นใจคนที่มาไกล เขาไม่รู้หรอกว่าฉันป่วย นี่คือน้ำใจของหลวงพ่อในยามป่วยหนัก
ท่านยังไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อทุกขเวทนา เหมือนกับที่ผู้เขียนได้เขียนบทความลงในหนังสือลูกศิษย์บันทึกว่า "นักรบผู้หาญศึก" คือยอมตัวตายในสนามรบ
ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อข้าศึกศัตรูนั่นเอง
วันนั้นมีคนเข้าถวายสังฆทานกัน จ่าปัญญา อ่องคล้าย เข้ามากระซิบถามผู้เขียนว่า หลวงพี่จะถวายสังฆทานด้วยไหม เดี๋ยวผมจะจัดถวายให้
แล้วจ่าปัญญาก็ไปผาติกรรมมาให้ ๑ ชุด ผู้เขียนเลยโชคดีที่ได้ถวายสังฆทานด้วยมือกับหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย
(ผู้เขียนจึงไม่เคยลืมน้ำใจของจ่าปัญญาและคุณบังเอิญตลอดมา)
โดยทำบุญครั้งแรกกับท่านปี ๒๕๑๗ ที่บ้านสายลม แล้วก็ทำเป็นครั้งสุดท้ายที่ตึกรับแขก นับเป็นเวลานานถึง ๑๘ ปี
ขอเล่าต่อว่า ช่วงขณะที่ท่านนั่งรับแขกอยู่นั้น ก็ไม่มีใครเข้าไปรบกวนท่าน บางครั้งท่านก็นั่งโงก เพราะฤทธิ์ยานอนหลับที่ยังค้างอยู่
ท่านจึงให้นกเอี้ยงไปเอาโอเลี้ยงที่ร้านเจ๊กิมกี ผู้เขียนยังจำภาพความหลังได้ดี พอนกเอี้ยงออกไปเอาโอเลี้ยงมาให้
ท่านก็ดื่มไปนิดหน่อย แต่ตายังปรืออยู่พูดแบบลิ้นคับปาก แล้วก็หันไปหยิบกระเป๋าเจมส์บอนด์ของท่านที่อยู่ด้านข้าง แล้วหยิบซองขาวออกมาตรวจดู
ทำนองว่าทบทวนดูซองเบี้ยเลี้ยง สำหรับผู้ที่จะร่วมเดินทางไปบ้านสายลมต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๕
ปกติหลวงพ่อไปสอนที่บ้านสายลม พระที่จะไปด้วย ๓-๔ รูป มีหน้าที่จำหน่ายวัตถุมงคลบ้าง จำหน่ายคูปองสังฆทานบ้าง
แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารหรือผู้ที่ขับรถอีกประมาณ ๓-๔ คน ท่านจะเตรียมเบี้ยเลี้ยงไว้ซองละ ๑,๐๐๐ บาททุกครั้ง
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 9/9/18 at 15:04
ตอนที่ 12
บันทึก ๗ วันสุดท้ายก่อนมรณภาพ
ตั้งแต่วันที่ ๒๓-๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕
- วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๕
...เป็นวาระสุดท้าย หลวงพี่พระครูปลัดอนันต์ปรึกษาหลวงพ่อที่ปลายเตียงว่า พรุ่งนี้ (๒๙ ตุลาคม) ถ้าหลวงพ่อไปปทุมธานีจะไกลหมอ
ให้ไปสายลมเลย นั่งรถเบนซ์แคบ จะให้นั่งรถปู่ใหญ่ (รถบัสของวัด) แล้วเข้าสายลม พอไปถึงก็ถ่ายลงรถเบนซ์
ท่านอนุญาต ท่านเพียงแต่ถามว่า ไม่เกะกะหรือ (รถใหญ่) ตอบว่า สะดวกดี
ปรากฏว่าวันนั้น หมอหญิงและหมอจรูญมาถึงวัดเกือบ ๒ ทุ่ม รอเวลาหลวงพ่อจะสรงน้ำ จะเช็ดตัวให้เฉย ๆ ท่านก็ไม่ยอม
หลวงพี่พระใบฎีกาประทีปก็พาหลวงพ่อไปสรงน้ำ และเฝ้าหลวงพ่ออยู่ในห้องน้ำด้วย หลวงพี่พระครูปลัดอนันต์ อาจารย์พรนุช หมออี๊ด หมอสุธรรม ก็คอยดูแลอยู่
พอหมอจรูญและหมอหญิงมา เป็นผู้ที่มีความชำนาญและคุ้นเคยกับหลวงพ่อเป็นอย่างดี (น.พ.จรูญ - พ.ญ.แสงโสม ปิรยะวราภรณ์)
ตอนแรกเราเตรียมเตียงคนไข้แบบโรงพยาบาลให้หลวงพ่อนอน ท่านก็ไม่ยอมนอน ก็เลยนอนเตียงปกติ
พอหมอหญิงมาก็เตรียมการให้น้ำเกลือในแขนขวา ท่านนอนตะแคงขวาจะทับเส้น บอกให้ท่านนอนหงาย
ท่านควบคุมร่างกายไม่ค่อยอยู่ แต่สติสัมปชัญญะดีมาก เสมหะมีมาก คอยให้ท่านบ้วนออกมา พอ ๔ ทุ่มครึ่ง ก็ได้เวลาถ่ายอุจจาระและนอน
ท่านถ่ายอุจจาระ จ่าประมวล จ่าตุ๋ย นที อุ้มหลวงพ่อขึ้นมา ท่านจะเข้าส้วม ท่านถ่ายเลอะที่นอน ก็เปลี่ยนให้ท่านไปนอนเตียงพยาบาล
แขนขวาให้น้ำเกลือ ให้จ่าตุ๋ยจับแขนและด้านซ้ายจ่าประมวลให้ออกซิเจนอยู่ สังเกตดูแล้วสงสารท่านมาก
๕ ทุ่มกว่า ท่านนั่งพักหนึ่ง ท่านนอนหายใจหอบ ประมาณเวลา ๕ ทุ่มกว่า ๆ ก่อนเที่ยงคืน เอามือซ้ายที่วางอยู่ดึงออกซิเจนออก
ทุกคนในที่นั้นอยู่ครบ ท่านดึงออกซิเจนออก หมอหญิงบอกดึงออกให้หลวงพ่อพักก็ได้
ท่านพูดว่า เอี้ยง..เอากระเป๋าขาวมา ล็อคกุญแจลูก
ท่านมองตาข้าพเจ้า แล้วพูดซ้ำว่า เอี้ยง..เอากระเป๋าขาวมา ล็อคกุญแจลูก
กระเป๋าขาวผมเตรียมหมดแล้ว ข้าพเจ้าตอบ
แต่ท่านมองด้วยสายตาแปลก ๆ ท่านบอกว่า ให้ล็อค แล้วกุญแจอยู่ไหน?
ข้าพเจ้าตอบว่า อยู่ในลิ้นย่าม ย่ามผมให้หลวงพี่อนันต์รักษาไว้ หลวงพ่อไม่ต้องเป็นห่วง
ท่านพยักหน้า แล้วเอนตัวนอนหลับ แล้วให้ออกซิเจนต่อ
หลังจากนั้นไม่ถึง ๑๕ นาที ท่านลุกขึ้นมานั่ง ท่านชี้ไปที่ปลายเตียง แล้วก็พูดอ้อแอ้..อ้อแอ้..เครือ ๆ อยู่ในคอ ไม่มีใครสามารถรู้เรื่อง
หมอจรูญบอกให้ข้าพเจ้าดูท่านชี้ไปที่ปลายเตียง ท่านพูดอ้อแอ้ไม่มีใครฟังรู้เรื่อง สีหน้าหลวงพ่อคล้ายกับว่าไม่มีใครรู้เรื่อง
ท่านเลยนอนพิงหมอนลงไปเลย หมอหญิงก็ให้ออกซิเจน ตาหลวงพ่อก็กลับ
หลวงพ่อนอนพิงหมอน ตากลับ ตาค้างอยู่อย่างนั้น เหนื่อย หอบ ให้ออกซิเจน ตาค้างเกือบเที่ยงคืน ท่านไม่พูดอะไร
อาการหนัก จนตี ๑ หมอหญิงก็มาเปลี่ยนน้ำเกลือตี ๑ ข้าพเจ้าบอกหมอสุธรรมให้ทำอะไรให้ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ
หลวงพ่อนอนหายใจแรงมาก ตาค้างอยู่อย่างนั้น คิดว่าหลวงพ่อหมดความรู้สึกแล้ว แต่ตาค้างอยู่ !!!
ตอนที่ 13
- วันที่ ๒๙-๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕
...เวลาประมาณตี ๑ ก็เปลี่ยนน้ำเกลือ หลวงพี่พระใบฎีกาประทีป หลวงพี่น้อย จ่าประมวล จะเอาหลวงพ่อขึ้นรถเบนซ์ไปโรงพยาบาล
ข้าพเจ้าไม่ยอม ต้องให้หมออนุญาต จะทำอะไรโดยพลการไม่ได้ หมอหญิงขึ้นมาเห็นอาการหลวงพ่อ ก็สั่งเอาเข้าโรงพยาบาลศิริราชเดี๋ยวนี้เลย
ก็วิทยุสั่งการทุกคนเตรียมพร้อมภายใน ๑๕ นาที อุ้มหลวงพ่อเข้ารถปู่เล็ก มีลมหายใจ หายใจแรง ท่านลืมตาค้าง แต่ไม่มีความรู้สึกตอบสะท้อนกลับมา
หมอหญิงไม่ห่างหลวงพ่อเลย ดูอาการหลวงพ่อตลอดเวลา จ่าตุ๋ยให้ออกซิเจน จ่าประมวลคอยจับแขนที่ให้น้ำเกลือตลอดเวลา
ลมหายใจหลวงพอเบาลงเรื่อย ๆ เท่าที่สังเกต ทางแยกถึงอำเภอบางเลน (แยกนพวงศ์)
หมอหญิงฉีดยากระตุ้นหัวใจ สั่งให้เร่งรถถึงโรงพยาบาลศิริราชภายในครึ่งชั่วโมง ก็ถึงโรงพยาบาลศิริราช เวลา ๔.๔๕ น.
หมอหญิงได้สั่งทางโรงพยาบาลโดยทางโทรศัพท์มือถือขณะอยู่ในรถ ขอให้ทางโรงพยาบาลเตรียมพร้อมห้องฉุกเฉินรอไว้ทุกคน
ประมาณ ๑ ชั่วโมง หลวงพ่อก็ถูกย้ายเข้าไปอยู่ห้อง ซี.ซี.ยู. หลังจากนั้นแล้ว พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งกับหลวงพ่อ
หมอหญิงบอกให้ทุกคนออกไปให้หมด เราก็คิดว่าไหน ๆ หลวงพ่ออยู่ใกล้หมอแล้ว ข้าพเจ้าและทุกคนก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอดูแลหลวงพ่อต่อไป
หมอบอกว่าหลวงพ่อจะต้องอยู่ในห้อง ซี.ซี.ยู. ถึง ๗ วัน (ข้าพเจ้าคิดว่าพ่อเข้าโรงซ่อมสุขภาพครั้งใหญ่)
ข้าพเจ้าก็มานั่งคิดว่า หลวงพ่อสั่งให้ล็อคกระเป๋าใบขาวทำไม?
ปกติกระเป๋าใบขาวนี้จะใช้เฉพาะที่สายลม เวลาญาติโยมถวายเงินสำคัญ ๆ เช่น สร้างห้องกรรมฐาน, สร้างพระชำระหนี้สงฆ์, สร้างซุ้มประตู
ท่านจะเก็บเงินพิเศษนี้เอาไว้ลงบัญชีต่างหาก แล้วท่านก็จะล็อคกระเป๋านำไปวางไว้ที่หัวนอน (หัวเตียง) กุญแจก็จะเก็บไว้ในลิ้นย่ามของท่าน
แต่เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๔-๖ โมงเย็น ข้าพเจ้าก็จัดเตรียมกระเป๋าทุกใบที่จะต้องนำไปสายลมให้พร้อมล่วงหน้า หลวงพ่อจะได้ไม่กังวลใจ
สำหรับกระเป๋าขาวข้าพเจ้าก็หยิบช้อนกินข้าวสำหรับหลวงพ่อ ๑ คู่, เครื่องตั้งเวลา ๔ ตัว, เครื่องโกนหนวดไฟฟ้า ๑ เครื่อง,
กระบอกไฟฉาย ๑ อัน, ผ้าเช็ดน้ำมูก ๓ ผืน ใส่กระเป๋าและปิดกระเป๋าให้ท่านเห็น จากนั้นก็นำไปวางไว้ที่ปลายเตียง ท่านก็นั่งมองข้าพเจ้าจัดอยู่
ข้าพเจ้าคิดอยู่หลายวัน เรื่องคำสั่งให้ล็อคกระเป๋าขาว !
แต่พอวัดสวดพระอภิธรรม คืนที่ ๓ ข้าพเจ้านั่งฟังพระสวดอยู่บนระเบียงชั้นสองของศาลา ๑๒ ไร่ ก็นั่งคิดทบทวนถึงสีหน้าและสายตาของหลวงพ่อที่มองข้าพเจ้า
ตอนสั่งให้ล็อคกระเป๋า
เอี้ยง... เอากระเป๋าขาวมา ล็อคกุญแจลูก ท่านสั่งถึง ๒ ครั้ง
ข้าพเจ้าก็เลยคิดว่าน่าจะมีความหมายดังนี้คือ
๑. ช้อนกินข้าว พ่อไม่ต้องกินข้าวอีกต่อไปแล้ว ขันธ์ ๕ พ่อดับแล้ว
๒. เครื่องตั้งเวลา พ่อไม่ต้องใช้มันแล้ว พ่อไม่ต้องกำหนดเวลาเป็นอมตะคือนิพพาน
๓. เครื่องโกนหนวด พ่อไม่ต้องใช้แล้ว ไม่มีร่างกายก็ไม่มีหนวดที่จะโกน
๔. ไฟฉาย หลวงพ่อสว่างแล้ว......ไม่ต้องใช้ไฟฉาย
๕. ผ้าเช็ดน้ำมูก เมื่อไม่มีขันธ์ ๕ คือร่างกายก็ไม่ต้องใช้ผ้าเช็ดอีก
ก็หมายความว่า เอี้ยง....พ่อจะไปพระนิพพานแล้วนะ..ลูก !!!
แต่ข้าพเจ้ามันโง่ ที่ไม่เข้าใจความหมายที่พ่อบอกตอนนั้น มัวแต่สนใจอาการทางร่างกายของท่านอย่างเดียว
มาตีความหมายออกก็ในคืนวันสวดพระอภิธรรมคืนวันที่ ๓ และตอนที่ท่านชี้มือซ้ายมาที่ปลายเตียง แล้วพูดอ้อแอ้.....อ้อแอ้
มือท่านชี้อยู่ในระดับ ๖๐ องศา ข้าพเจ้าก็คิดว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านคงเสด็จมารับหลวงพ่อตอนนั้น
ท่านจะยกมือไหว้พระ มือขวาท่านติดสายน้ำเกลือที่จ่าตุ๋ยจับอยู่ และหลวงพ่อคงจะจากพวกเราไปพระนิพพานตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว...
...คือเวลาประมาณใกล้เที่ยงคืนของวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ !!!
- บันทึกโดย คุณนภดล นาควิเชตร์ (นกเอี้ยง)
- คุณอภิญญา (ติ๋ม) นาคสวัสดิ์ (ผู้พิมพ์)
(กรุณาอย่าคัดลอกข้อมูลออกไป แต่แชร์ได้ที่เฟซบุคหรือลิงค์นี้)
http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2459
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 20/9/18 at 06:03
ตอนที่ 14
ไอ้หนู..มานี่ซิ !!! (ตอนที่ 1)
นพดล (เอี้ยง) นาควิเชตร์
...ตั้งแต่เด็ก ผมมีนิสัยชอบไปหาพระภิกษุที่มีอายุมากๆ แก่ๆ แบบหลวงปู่ต่างๆ
ซึ่งพ่อกับแม่มักจะพาไปหาพระตามต่างจังหวัด ผมก็ชอบไปทำบุญ ผมชอบพระที่ดังๆ เกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะเรื่องอยู่ยงคงกระพันนั้น ผมชอบเป็นพิเศษ
เพราะผมเป็นคนชอบพิสูจน์ ยิ่งบอกว่า รดน้ำมนต์แล้ว สามารถจะคุ้มครองอะไรได้ หรือวัตถุมงคลที่ได้รับมาสามารถป้องกันอาวุธ ชนิดยิงไม่เข้าหรือแทงไม่เข้า
อย่างนี้เป็นต้น
ผมมีความสนใจมาก ผมชอบไปดูด้วยตาตนเอง ไม่ได้ไปศึกษาหาธรรมะอะไร ผมชอบไปเสาะหาดูทางอิทธิฤทธิ์มากกว่า
ต่อมา ผมเริ่มจะมีนิสัยเกเรมากขึ้น พี่สาวและพี่ชายเป็นห่วง กลัวว่าผมจะเสียคน จึงชวนผมไปวัดท่าซุง ซึ่งการไปวัดท่าซุงในครั้งแรกของผมนั้น
ผมไปกับพี่สาวและพี่ชาย
ซึ่งเป็นโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จมางานฝังลูกนิมิตโบสถ์วัดท่าซุง ในปี 2520
งานฝังลูกนิมิตนี้มีการอุปสมบทหมู่พระภิกษุประมาณ 42 รูป ซึ่งพี่ชายผมชื่อ อเนก ก็ร่วมอุปสมบทในคราวนั้นด้วย
ตอนผมไปวัดท่าซุงครั้งแรกนั้น ผมยังไม่เคยรู้ประวัติเกี่ยวกับหลวงพ่อเลย แต่เมื่อพบหลวงพ่อครั้งแรก มีความรู้สึกว่า พระองค์นี้แน่ ทั้งๆ
ที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
แต่กลัวๆ หลวงพ่อ มองๆ ลีลาของท่านว่า เป็นยังไง คล้ายจะคอยจับผิดเพราะอยากพิสูจน์ ชอบลีลาหลวงพ่อ ที่ท่านเป็นพระที่ชอบพูดอะไรตรงๆ
ถ้าจะด่าท่านก็ด่าเลย (แต่การด่านั้นไม่ใช่ด่าแบบพวกเรา ท่านมีเหตุผลที่ลึกซึ้งมาก)
การที่ผมได้มีโอกาสมาพบหลวงพ่อ ในงานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มางานฝังลูกนิมิต และมีพระสุปฏิปันโนมาร่วมนับสิบองค์ขึ้นไป เป็นต้นว่า
หลวงปู่สิม หลวงปู่คำแสนใหญ่ หลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่บุดดา หลวงปู่ชุ่ม เป็นต้น ทำให้ผมมีอารมณ์ฟู มีความประทับใจมาก ทำให้อยากมาอยู่และมาช่วยงานที่นี่
หนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน"
ครั้นเมื่อผมกลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ ใจก็หันกลับมาทางโลกอีก ก็เริ่มเกเรอย่างเดิม ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ผมไม่มีอะไรทำ ก็เอาหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน"
มาอ่าน
ซึ่งผมไม่เคยอ่านมาก่อน พออ่านหนังสือเล่มนี้ใจก็เกิดศรัทธา หนังสือที่หลวงพ่อเขียนขึ้น มีกี่เล่ม ก็เอามาอ่าน เช่นหนังสือ ฤาษีทัศนาจร พระเมตตา
เป็นต้น[
เวลานั้น ผมยังเรียนหนังสืออยู่ชั้น ม.ศ.2 3 ผมเกิดศรัทธาหลวงพ่อถึงขนาดนั่งรถเมล์ไปวัดท่าซุงคนเดียว ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะไปยังไง
แต่ก็ไป ซึ่งพี่ๆ ผมก็แปลกใจ ผมไปลงมโนรมย์แล้วก็ข้ามโป๊ะไป จากนั้นก็ยืนโบกรถกระบะไปลงหน้าวัด
เมื่อผมมาถึงวัด ผมยังไม่รู้จักใครเลย แต่อยากช่วยงานวัด คิดว่ามีงานอะไรที่จะช่วยทำได้ผมก็จะทำ เมื่อมองดูแล้วมีงานที่ง่ายที่สุดคือ
ช่วยล้างชามในครัวกับคณะครัวกองทุน
ตั้งแต่นั้นมา เมื่อมีงานที่วัดท่าซุง ผมก็ไปช่วยแม่ครัวล้างชาม ติดไฟหุงข้าว
ซึ่งกลุ่มแม่ครัว มีป้าชอ (หรือป้าอัญชัน) แม่ปิ่น พี่ตี้ (พรนุช) ป๊ะ สมชาย เป็นต้น ผมก็มาช่วยเวลาหลวงพ่อเข้ามาสอนพระกรรมฐานที่กรุงเทพฯ บ้านท่านเจ้ากรมฯ
เสริม (ซอยสายลม) ผมก็มาช่วย ใครใช้ทำอะไรผมก็ทำ [
พี่แดง (ดาบตระกูล) สอบถามผมไปยังไงมายังไงจึงมาช่วย แล้วก็บอกให้ผมมานอนค้างที่บ้านซอยสายลม และเป็นผู้ที่คอยชี้แนะผมเสมอ
จากนั้นผมก็มาช่วยงานหลวงพ่อเป็นประจำ
เริ่มฝึก "มโนมยิทธิ"
ต่อมาหลวงพ่อได้นำวิชาฝึกมโนมยิทธิมาสอนที่บ้านเจ้ากรมฯ เสริม (บ้านซอยสายลม) ผมก็ฝึกกับเขา แต่ฝึกไปไม่ได้ก็รู้สึกเสียใจ คิดว่าความดีเราไม่ถึงหรือ
พอดีมาเจอพี่ตี้ (พรนุช) บ้านอยู่ซอยเดียวกัน พี่ตี้แนะนำให้ไปหาที่บ้าน บอกว่าจะสอนให้ จึงนัดให้ผมไปหาที่บ้าน และสั่งให้ผมเตรียมธูปเทียนดอกไม้ไปด้วย
วันรุ่งขึ้นผมก็ไปตามนัดไปหาพี่ตี้ ก็พากันเข้าห้องพระที่บ้านพี่ตี้ ฝึกกัน 2 คน
ผมก็ฝึกได้จึงดีใจมาก ผมนอนไม่หลับถึง 3 วัน เพราะรู้สึกมีปีติมากตลอดทั้ง 3 วัน พี่ๆ ที่บ้านกลัวผมจะเครียดเห็นนอนไม่หลับ
เพราะผมออกไปเดินเล่นในซอย เดินไปเดินมาอยู่นั่น เขาเป็นห่วงกลัวฟิวส์ผมจะขาด แต่ผมก็สามารถควบคุมตัวเองได้
หลังจากนั้น ผมก็ไปช่วยงานวัดเป็นประจำ พอหลวงพ่อมาสอนกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม ผมก็มาช่วยที่บ้านซอยสายลม มาที่นี่ก็จับจุดไม่ถูก ไม่รู้จะช่วยตรงไหนดี
เจอพี่สั้นก็บอกให้ผมช่วยจัดวงสอนกรรมฐาน จัดพานดอกไม้ธูปเทียนบูชาครูก่อนฝึกแก่ผู้ที่จะมาฝึกมโนมยิทธิ
ผมก็คอยสังเกตว่าครูฝึกเขาสอนกันยังไงบ้าง ก็จับจุดได้ว่าการสอนแบบนี้ก็เป็นการแนะนำ ซึ่งคิดว่า ผมก็น่าจะทำได้เหมือนกัน
ผมจึงเริ่มเป็นครูฝึกมโนมยิทธิกับเขาบ้าง
เมื่อผมเป็นครูฝึกมโนมยิทธิได้ไม่ถึงปี วันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อไปสอนกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม ขณะที่หลวงพ่อนั่งเป็นประธานอยู่
ท่านก็พูดขึ้นต่อหน้าญาติโยมพุทธบริษัทในวันนั้นว่า ไอ้ครูที่ยังเลวอยู่ ถ้าไม่ดีก็อย่าเสือกไปเป็นครูเขา
พอผมได้ยินเช่นนั้น ตั้งแต่วันนั้นผมก็เลยหยุดสอน เพราะมีความรู้สึกตัวว่า เรายังเลวอยู่
เพราะว่าบางครั้งสอนคน บางคนก็แก่ มีอายุเป็นรุ่นพ่อ รุ่นปู่ เป็นผู้ใหญ่ก็มาก เขายกมือไหว้ผม ในฐานะครูฝึกกรรมฐาน บางครั้งเจอผมบนถนนก็ยังยกมือไหว้อีก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ผมหยุดสอนเด็ดขาด.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 28/9/18 at 10:54
ตอนที่ 15
ไอ้หนู..มานี่ซิ (ตอน 2)
นพดล (เอี้ยง) นาควิเชตร์
"...การสอนมโนมยิทธิ ความคิดที่จะสอนคน บางคนก็แก่ มีอายุเป็นรุ่นพ่อ รุ่นปู่ เป็นผู้ใหญ่ก็มาก
เขายกมือไหว้ผม ในฐานะครูฝึกกรรมฐาน บางครั้งเจอผมบนถนนก็ยังยกมือไหว้อีก เมื่อคิดได้เช่นนี้ผมหยุดสอนเด็ดขาด
จากนั้น ผมก็หันมาช่วยงานด้านอื่น ทุกครั้งที่ช่วยงานวัด ทุกครั้งที่เจอหลวงพ่อ ผมมีความรู้สึกขึ้นมาเองว่า
(ขอประทานอภัยด้วย ที่ผมพูดตามความรู้สึกและความเห็นของผมโดยไมได้มีความเกลียดชังใครเป็นการส่วนตัว)
บางคนที่ทำหน้าที่รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ
น่าจะมีความรอบคอบกว่านั้น มีความระมัดระวังมากกว่านั้น ผมไม่มีความพอใจ ไม่สบอารมณ์ ซึ่งสมัยก่อนเหตุการณ์ที่วัดสถานการณ์มันรุนแรง มีภัยจากฝ่ายตรงข้าม
ซึ่งจ้องจะปองร้ายหลวงพ่อ
ฉะนั้น ผู้รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อ (หน่วยรักษาความปลอดภัย) น่าจะมีความรอบคอบ
ใจผมก็คิดอยากเข้าไปอยู่ใกล้หลวงพ่อบ้าง ตั้งแต่ผมไปช่วยงานที่วัดท่าซุงมา ผมก็ไปช่วยอยู่แผนกครัวมาตลอด อยู่กลุ่มแม่ครัว
ผมจึงสนิทกันมา รู้อุปนิสัยกันดีหมด เวลาหลวงพ่อแจกของมาผ่านหัวหน้า ผมก็ได้รับด้วยก็มีความภูมิใจ
หลวงพ่อสั่งให้ติดตามใกล้ชิด
ช่วงหลวงพ่อไปภูกระดึง พอขึ้นภูกระดึง จำได้ว่า พอขึ้นถึงฐานภูกระดึง หลวงพ่อนั่งเสลี่ยงขึ้นภู เหมือนกับเป็นสัญชาติญาณของผม ที่ผมหาไม้ไผ่ 1 อัน
พอขบวนเริ่มออก ผมก็เอาไม้ไผ่คอยฟาดไปข้างหน้า เคลียร์พื้นที่ (ผมก็ทำไปแบบอารมณ์เด็ก)
พอไปถึง ซำแฮก หลวงพ่อก็นั่งพักที่เรือนพัก พวกคณะติดตามก็พักดื่มน้ำกัน ปกตินั้นเวลาผมติดตามหลวงพ่อไปที่ไหน
ผมจะคอยมองดูหลวงพ่อไม่ให้คลาดสายตาไปจากผม
ณ ที่นั้น หลวงพ่อพูดกับผมว่า ไอ้หนู มานี่ซิ..เอ็งชื่ออะไร ? (ตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่รู้จักชื่อผม)
ผมก็ตอบว่า ชื่อ..เอี้ยง ครับ
ท่านพูดว่า เออ..ตั้งแต่นี้ให้เอ็งมาอยู่ใกล้ข้าฯ ตลอด
ตั้งแต่นั้นมา กำลังใจผมเต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ กำลังใจฟูเต็มที่ มีความรู้สึกว่าตัวใหญ่กว่าโลกมนุษย์เสียอีก
พอขึ้นภูไปแล้ว ผมอยู่ยามได้ตลอด พวกพี่ๆ มีดาบตระกูล พี่ประมวล จ่าสาย พี่บัง พี่เฮี้ยง เปิดไฟเขียวให้ผมตลอด ไม่เคยขัดขวางผมเลย ไม่เคยกันผมเลย
ทำให้ผมมีกำลังใจ พี่ๆ ไม่กีดกัน มีแต่ส่งเสริมแนะนำ อันไหนผิดพลาดก็ตักเตือนด้วยความหวังดี ตั้งแต่นั้นมา ผมทำอะไรก็แล้วแต่
ผมทำอย่างเต็มที่ด้วยความเต็มใจ
ช่วงที่ผมฝึกมโนมยิทธิได้ ก็มีอารมณ์ฟิตจัด ผมอยากจะเหาะได้ อยากมีฤทธิ์ อยากเป็นพระอรหันต์ คิดว่าถ้าผมมีฤทธิ์เสียอย่าง
หากมีศัตรูมาทำร้ายหลวงพ่อ ผมจะจัดการให้หมด นี่ผมฝึกเครียด ทำแบบโง่ๆ เพราะใจคิดอย่างนั้น
ถูกหลวงพ่อดุต่อหน้าคน
พอหลวงพ่อไปพักที่คลองวาฬ จ.ประจวบคีรีขันธ์ กลางคืนผมอยู่ยาม กลางวันก็คอยอยู่รับใช้หลวงพ่อ พออยู่ใกล้ๆ ท่าน เห็นชาวคณะที่ไปด้วยกันคุยกับหลวงพ่อ
ก็อยากคุยบ้าง
พอผมอ้าปากจะคุยบ้าง หลวงพ่อก็พูดขึ้นมาว่า มึงอย่าเสือก !!
ผมกำลังหนุ่ม อายก็อาย ต้องนั่งตัวแข็ง ต้องใช้อารมณ์กด น้ำตาก็จะไหล แต่จะต้องอดทน เพราะต้องอยู่ใกล้หลวงพ่อ..อ่อนแอไม่ได้
หลวงพ่อเคยพูดว่า เกิดมามันต้องมีความอดทน อย่าเป็นคนอ่อนแอ ขี้สำออย น้ำตาอย่าให้มันไหลออกมา อายเขา
เพราะฉะนั้น เวลาถูกทำโทษหรือถูกดุต้องอดทน ทั้งๆ ที่อยากจะร้องโฮออกมา บางครั้งเวลาเสร็จงาน ต้องไปแอบร้องไห้เพราะเสียใจ เพราะผมไม่มีที่ปรึกษา
ทุกครั้งที่ถูกดุ หรือถูกเตือน ถูกทำโทษหนักๆ บางครั้ง ถูกดุถูกทำโทษต่อหน้าสาธารณชนในศาลา ต่อหน้าคนเป็นหมื่นๆ คนก็จำเป็นต้องอดทน
ผมเคยถูกดุที่ศาลา 4 ไร่ ตอนนั้นเป็นงานวัดท่าซุง มีคนมากล้นหลาม งานยุ่งมีคนแหกคอกขึ้นมา ทหารที่ยืนอยู่แถวนั้นก็ไม่กล้า
ผมก็เลยลงไป ก็เกิดผลักอกกันเกือบจะชกกัน พอหลวงพ่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็เรียกให้ผมขึ้นมา (ขึ้นมาบนเวที)
แล้วหลวงพ่อก็พูดกับโยมที่มาในศาลาว่า (พูดออกไมค์) อาตมาต้องขอโทษนะโยม อาตมาเลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่ง มันดุ..ดูแลไม่ทั่วถึง เที่ยวไปกัดชาวบ้านเขา
แล้วหลวงพ่อก็เอาตะพดตีหัวผม 3 หน เจ็บมาก ผมยืนตัวสั่น เรื่องอายไม่มี แล้วผมก็ทำท่าจะหลบไปที่อื่น
ท่านก็หันมาสั่งผมว่า จะไปไหน..ให้ยืนอยู่ตรงนี้
คล้ายกับเป็นการประจานให้คนรู้ ทั้งเจ็บตัว ทั้งอาย ทั้งๆ ที่น้ำท่วมปอดแต่ต้องทำหน้าแข็ง
พอหลวงพ่อตีหัวผมเสร็จ ท่านก็พูดว่า พวกโยมก็เหมือนกัน เวลาเจ้าหน้าที่แนะนำอะไร โยมก็ควรจะเชื่อฟังเขาบ้าง คนมันเยอะ
ผมก็อารมณ์ชื้นขึ้น เอ็งนะ..ทำอะไร ถ้าข้าไม่สั่งละก็อย่าเสือก ถ้าทำผิดข้าก็ต้องทำโทษ
ซึ่งคำพูดอย่างนี้ ไม่ทำให้ผมน้อยอกน้อยใจอะไร แต่กลับเพิ่มกำลังใจให้กับผมมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะถือว่าผิดเป็นผิด ใช้ไปทำอะไรก็ทำ
ท่านก็พูดอีกว่า ถ้าพ่อไม่รักเอ็ง ข้าจะไม่เตือน ไม่สอน และก็ไม่ลงโทษ
ผมลงมาจากตึกกลางน้ำ ผมน้ำตาคลอ..แล้วก็น้ำตาไหลเลย...!!!"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 16/10/18 at 05:30
ตอนที่ 16
ไอ้หนู..มานี่ซิ (ตอน 3 จบ)
โดย คุณนพดล (เอี้ยง) นาควิเชตร์
"...การที่มาทำงานใกล้ๆ หลวงพ่อ ต้องรอบคอบ เรียบร้อย และต้องรวดเร็ว
การถูกดุว่านั้นต้องโดนบ่อยมาก แต่เพราะถือว่า ท่านเป็นพ่อ ไม่ว่าท่านจะด่า จะตี จะอะไรก็แล้วแต่ ได้ทั้งนั้น เพราะถือว่าท่านเป็นพ่อ
เพราะฉะนั้น ความรู้สึกเหล่านี้จะไปกลบความน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหมด ความรู้สึกอย่างนั้นไม่มี ความรู้สึกที่จะไปนั่งอิจฉาเขามันไม่มี
(ตอนมาใหม่ๆ มันมี)
เพราะถือว่าบางครั้ง งานที่ตัวเองรับผิดชอบยังเอาตัวไม่รอดเลย จึงไม่มีเวลาไปสนใจคนอื่น เพราะตัวเองก็ยังทำได้ไม่เรียบร้อย ไม่สมบูรณ์
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ติดตามหลวงพ่อไปบ้านอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ.สงวน จิตตาลาน ที่ จ.ลพบุรี ช่วงนั้นคนน้อย
หลวงพ่อลงมาคุยกับญาติโยมพุทธบริษัทเรื่องกรรมฐาน ฟังจากคำแนะนำของหลวงพ่อ ก็มีความรู้สึกสงสัยอยู่ในใจแต่ไม่กล้า เพราะไม่มีเวลา
พอหลวงพ่อขึ้นห้องพักก็เหลือผมกับหลวงพ่อสองคนเท่านั้น ก็พอดีมีจังหวะก็ถามหลวงพ่อว่า
หลวงพ่อครับ เมื่อกี้ที่หลวงพ่อบอกว่า คนเราถ้ายังไม่ถึงเวลาเพียงใด ฝึกอะไรก็ไม่สำเร็จ แล้วเราจะเร่งได้ไหมครับ? (เพราะใจผมอยากจะเหาะได้
อยากเป็นพระอรหันต์)
ท่านหันหน้ามาและพูดว่า มึงไม่ต้องเสือก..ไปได้
ท่านพูดสั้นๆ แค่นั้น ผมก็รีบลงมาทันที ผมเคยถามปัญหาหลวงพ่อ 3 ครั้ง ถูกดุ 3 ครั้ง ตั้งแต่นั้นมาผมไม่ถามอีกเลย
แต่ผมจะคอยกวาดทั้งหมด ที่หลวงพ่อพูดกับญาติโยมพุทธบริษัท อันไหนสอนตรงตัวผมชอบใจ ก็จะเก็บเอามาใช้ เพราะบางทีผมไปชนกับปัญหาทางโลก
ก็สามารถเก็บเอามาแก้ไขปัญหาแก่ตัวเองได้
ช่วงที่ผมเริ่มทำงานบริษัท 3 ปีแรก มีปัญหาเรื่องการคอรัปชั่นในที่ทำงานผม ซึ่งเป็นงานในความรับผิดชอบของผม แต่ผมไม่สามารถแก้ปัญหาได้
ผมเครียดอยู่ 3 เดือน คิดแต่เรื่องแก้ปัญหา แก้ไม่ได้ พออยู่กับหลวงพ่อที่ห้องชั้นบนบ้านซอยสายลม ผมก็ไม่พูด ผมนั่งก้มหน้า
อยู่ๆ หลวงพ่อก็ถามผมว่า เออ..เป็นไง งานของเอ็งน่ะ
อยู่ๆ ท่านถามผมอย่างนี้ ผมมีความรู้สึกว่าท่านเปิดฝา เปิดโอกาสทองให้ผม
ผมก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมด ที่ผมต้องประสบปัญหามา เวลาเล่าต้องรวบรัด พูดสั้นให้ได้ใจความ พอผมพูดจบ ท่านบอกให้ผมไปแก้ 3 ตัว (3 ข้อ)
คือ
1. อันไหน ที่ตรงกับหน้าที่รับผิดชอบ ให้แก้ไขให้ถูกต้อง
2. อันไหน ที่ไม่กระทบโดยตรง ให้วางเฉย ถ้ากระทบทำเป็นเฉยๆ หลบๆ เฉยๆ หลีกๆ
3. อันไหน ที่เป็นกฎระเบียบของเขา เราอย่าไปฝืนเขา (อย่าไปละเมิดกฎของเขา) และอย่างอื่นไม่ต้องทำ
แล้วพอกลับไปทำตามที่ท่านแนะนำ ปัญหาทุกอย่างแก้ได้หมด แถมเป็นพลังแฝงเขาคอยหนุนให้ผมด้วย กลัวผมจะนำความลับไปบอก แต่ผมไม่ทำ
นี่เป็นสิ่งที่พ่อแนะนำ
หลวงพ่อท่าน เป็นพระเคร่งเรื่องกฎระเบียบ ท่านเคยปรารภกับผมว่า
การอยู่กับคนหมู่มาก มันต้องมีกฎระเบียบ ไม่งั้นเดี๋ยวคนโน้นจะเอาอย่างโน้นอย่างนี้ มันจะคุมกันไม่อยู่ เหมือนกับสมัยก่อน
แม่ทัพถ้าไม่มีความเข้มงวดเด็ดขาด ในเรื่องระเบียบวินัย ก็ไม่สามารถจะคุมกองทัพได้
เพราะฉะนั้น เวลาผมรับนโยบายจากหลวงพ่อมา ญาติโยมจะไม่รู้และไม่เข้าใจ แต่แท้ๆ ที่จริง ญาติโยมเขาก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าทำผิดระเบียบ
เมื่อเป็นเรื่องส่วนรวมผมก็ต้องทำตามระเบียบ เพราะฉะนั้น เวลาเราต้องไปคอยดุ ไปคอยเตือนเขานี่
บางครั้งก็คิดเหมือนกัน ต้องมีหลายคนต้องโกรธ เกลียด แต่ผมทำตามนโยบายของท่าน ไม่สนใจว่าใครโกรธ เกลียด
คิดว่าทุกคนต้องเจออารมณ์กระทบกระทั่ง คิดว่าทุกคนที่เป็นลูกหลานหลวงพ่อจริง สักวันหนึ่งข้างหน้าเขาก็จะต้องเข้าใจ เพราะเขาไม่หนีไปไหนเขาต้องมาเอง
เพราะว่าตัวเขาเองจะเป็นผู้พิสูจน์ว่า เขาเป็นลูกหลวงพ่อจริงไหม ว่าเขามีความจงรักภักดีต่อหลวงพ่อแค่ไหน
ฉะนั้นบางคนที่เจอปัญหา แล้วหนีไปเลยไม่กลับมาหาหลวงพ่ออีกโดยไม่เข้าใจ ก็ต้องเป็นเรื่องของตัวเขาเองที่จะทำความเข้าใจ
เพราะว่าลูกหลานทุกคนท่านรักเท่ากันด้วย
ผมขอย้ำ แต่อยู่ที่ตัวท่าน จะรับความรักที่หลวงพ่อมอบให้มากน้อยแค่ไหน
หลวงพ่อ..เป็นพระที่มีความอดทนมาก ทั้งๆ ที่อายุก็มาก ทุกขเวทนาก็มาก เวลาท่านมากรุงเทพฯ ต้องรับแขกเป็นเวลา 4 ชั่วโมง
ถ้านับตั้งแต่เช้าถึงหัวค่ำ ก็ 8 10 ชั่วโมงติดต่อกัน เพราะฉะนั้นอาการเมื่อยทางกายของท่านต้องมีมาก
ผมเคยยืนคอยรับใช้ข้างๆ ท่าน ผมก็รู้ว่าอาการปวดเมื่อยทางกายของผมมีมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เท่าหลวงพ่อ
แต่ก่อนผมเคยยืนทำงานทั้งวันที่สายลม ปัจจุบันผมก็มาคอยช่วยที่บริเวณใกล้ท่าน (ช่วยแจกวัตถุมงคล) ผมรู้ว่าอาการอย่างนี้ต้องปวดเมื่อยแค่ไหน
หลวงพ่อต้องมานั่งทั้งวัน พูดซ้ำๆ กันทุกวัน หลวงพ่ออายุมากขนาดนี้ ท่านต้องมานั่งทำอะไรซ้ำๆ อย่างนี้ทุกวัน หลวงพ่อจะทุกข์ขนาดไหน
สำหรับตัวผมเองนั้นได้รับรู้แล้ว จะหลบหนีก็ไม่ได้ เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อกำลังฉันยาตอนค่ำ พวกเราก็เปิดทีวีดูข่าวกันที่สำนักพุทธไชโย (หัวหิน)
ตอนนั้นหลวงพ่อป่วยมาก อาการเสมหะที่ขวางลำไส้อยู่ ขณะที่ดูทีวีอยู่ ผมก็เปลี่ยนไปดูทุกช่อง ปรากฏว่าข่าวทุกช่องมีแต่ปัญหา หมายความว่า
ผู้ประกาศข่าวขึ้นต้นด้วยการแก้ปัญหา
ผมเลยกราบเรียนหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ เปิดทีวีทุกช่องมีแต่ปัญหา
ท่านหันมามองหน้า แล้วพูดว่า ใช่ๆ ลูก โลกนี้มันมีแต่ปัญหา มันมีแต่ความทุกข์ ในเมื่อเรารู้แล้ว เราต้องยอมรับ แล้ววางเฉย
อย่าไปติดในโลก จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก
เพราะฉะนั้น ทุกขเวทนาที่เกิดกับหลวงพ่อ เท่าที่ผมได้พบได้เห็นมา ประกอบกับความทุกขเวทนาที่ผมได้รับ มันเจอทุกวัน
จะหลบหนีไปไหนก็ไม่ได้..."
...ก่อนจบ แอดมินเพจตามรอยฯ ขออนุโมทนากับความตั้งใจที่ยอดเยี่ยม หรือจะเรียกว่า.."ความจงรักภักดี" ก็ได้
จึงได้ทำให้คุณนพดลได้รับใช้หลวงพ่อจนวาระสุดท้าย คือไม่หนีออกมาก่อนนั่นเอง
ถือว่าได้ผ่านพ้นการทดสอบกำลังใจพอสมควร เรียกว่า "จบหลักสูตร" ของผู้ติดตามอย่างใกล้ชิด คงได้รับใช้ท่านมานานหลายแสนชาติแล้ว
จนถึงปัจฉิมชาติของท่านสุดท้าย
...จึงขอนำปัจฉิมโอวาทมาย้ำเตือน สำหรับผู้อ่านทุกท่านกันอีกครั้งก่อนที่จะจบ เผื่อภายหน้าท่านจะโดนอย่างคุณเอี้ยงบ้างว่า (แต่ก็ดีใจที่บทความนี้
ภายหลังมีผู้เข้าใจคุณเอี้ยงได้ดี)
...ถ้าพ่อไม่รักเอ็ง ข้าจะไม่เตือน ไม่สอน และก็ไม่ลงโทษ ผมลงมาจากตึกกลางน้ำ..ผมน้ำตาคลอ..แล้วก็น้ำตาไหลเลย...!!!"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 4/11/18 at 03:50
ตอนที่ 17
ผมมาเฝ้าวัด
โดย นายดาบตระกูล เปาริก สถานีตำรวจภูธรอุทัยธานี
...เรื่องของคุณนพดล (เอี้ยง) จบไปแล้ว มีผู้อ่านให้ความสนใจกันมาก แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะมีการกล่าวถึง พี่แดง (ดาบตระกูล)
ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดอุทัยธานี แต่มีบ้านอยู่หน้าวัดท่าซุงนี่เอง
เพราะฉะนั้น ผู้บังคับบัญชาจึงมอบหมายหน้าที่งานดูแลความปลอดภัยให้กับวัด แต่เวลาหลวงพ่อไปบ้านสายลม "นายดาบตระกูล" (ยศสมัยนั้น
ภายหลังได้เลื่อนเป็นผู้หมวด ปัจจุบันได้ล่วงลับไปแล้ว) ได้เดินทางไปด้วย
โดยได้รับมอบหมายให้เก็บรักษาเงินสังฆทานทุกวัน หลังจากนั้นก็นำถวายหลวงพ่อเป็นประจำตลอดมา ด้วยเหตุนี้จึงมีโอกาสได้รู้จักกับคุณนพดลที่นี่
ตามที่ได้เล่าผ่านไปแล้วนั้น
ณ โอกาสนี้ ผู้จัดทำใคร่นำประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อ ซึ่งออกจะไปแนวอภินิหารสักหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องที่นายดาบตระกูลพบเห็นด้วยตนเอง
จึงอยากจะนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ เพื่อเป็นประโยชน์ในด้านความศรัทธาปสาทะไปด้วย โดยตอนแรกจะเป็นตอน "ผมมาเฝ้าวัด"
"...สมัยก่อนวัดท่าซุงมีขโมยชุกชุม พระพุทธรูปมักจะถูกขโมยลักไปบ่อยๆ สมัยนั้นหลวงพ่อเริ่มมีการก่อสร้างขึ้น
พวกเหล็กและวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างก็มักจะถูกขโมยเสมอ แม้กระทั่งเรื่องการเงิน ก็ถูกคนมาขู่จะเอาเงินบ่อยๆ จึงมีปัญหาในด้านความปลอดภัย
ทางการจึงได้ส่งผมมาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นครั้งแรกในปี ๒๕๑๔ โดยพันตำรวจตรีโกศล สว่างวงศ์ (เป็นผู้บังคับกองสมัยนั้น) เป็นผู้ส่งผมมา
สมัยนั้นผมยังมียศเป็น "จ่า" อยู่ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าสายสืบ เป็นสายตรวจพิเศษท้องที่อำเภอเมือง
โดยกลางวันผมก็ปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ พอกลางคืนผมก็มาดูแลรักษาความปลอดภัยที่วัดท่าซุงประจำ
ซึ่งสมัยนั้นทางวัดมีกุฏิอยู่เพียงหลังเดียวใต้ต้นโพธิ์ ตอมผมมาใหม่ๆ มาช่วยดูแลความปลอดภัยที่วัดท่าซุง ผมก็รู้แต่เพียงว่าหลวงพ่อเป็น "พระหมอดู"
และดูแม่นด้วย
และทราบว่าท่านเป็นพระกรรมฐานด้วย คนมาหากันไม่ค่อยขาด กลางคืนหลวงพ่อสอนกรรมฐาน ๒ ทุ่ม เลิกประมาณ ๔ - ๕ ทุ่ม
บางคืนก็ถึงเที่ยงคืน บางคราวถึงตี ๒ แล้วหลวงพ่อรู้ว่าพวกผมยังไม่ยอมนอนกันเพราะคุยกันอยู่ ท่านก็ลงมาคุยกับพวกเราอีก
อยู่กับหลวงพ่อแล้ว จะเห็นว่าหลวงพ่อออกตรวจบริเวณวัดเพื่อดูแลของสงฆ์อยู่เสมอ เมื่อเห็นท่านเดินออกไปหน้าวัดองค์เดียว ก็วิ่งตามท่านไป
ผมก็เห็นท่านเดินแบบธรรมดาตามปกติ แต่ผมวิ่งตามทีไร วิ่งไม่ค่อยจะทัน ทั้งๆ ที่ผมอยู่หน่วยตรวจการพิเศษต้องซ้อมวิ่งอยู่เป็นประจำ
สมัยเกือบ ๒๐ ปีที่แล้วผมยังกระฉับกระเฉงอยู่ จึงทำให้ผมนึกแปลกใจอยู่เสมอ.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 14/11/18 at 05:01
ตอนที่ 18
วิ่งไล่ตามหลวงพ่อไม่ทัน
โดย นายดาบตระกูล เปาริก สถานีตำรวจภูธรอุทัยธานี
"...อยู่มาวันหนึ่ง ประมาณปี ๒๕๑๗ เวลากลางคืนประมาณ ๔ ทุ่มเดือนหงาย ผมได้ยินสุนัขเห่า บริเวณไม่ห่างจากกุฏิหลวงพ่อ
(กุฏิตรงบริเวณตึกริมน้ำ)
ได้ยินเสียงสุนัขเห่าตรงหอฉันอาหารที่ใช้อยู่ปัจจุบัน (แต่ก่อนยังเป็นโรงก๊วยเตี๋ยว) ผมคิดว่าขโมยเข้าวัดแน่
จึงเตรียมพร้อมออกไปทางฝั่งตรงข้ามถนน คือฝั่งโบสถ์ใหม่ สมัยนั้นบริเวณแถบนั้นทั้งหมดเป็นป่าตลอดแนว
ผมเห็นคนจึงวิ่งไล่ แต่ไล่ไม่ทัน เพราะว่าขโมยวิ่งแยกเข้าป่าไป ผมเดินอยู่พักใหญ่ ตามหาขโมยไม่พบเพราะมันมืดจึงกลับ
ก็เห็นหลวงพ่อเดินอยู่บริเวณทางเข้าศาลา ๑๒ ไร่ ขณะนั้นยังเป็นป่า (ซึ่งเข้าใจว่าหลังจากที่ผมไล่ขโมยออกมา หลวงพ่อคงตามผมออกมาทีหลัง)
ผมก็วิ่งตามหลวงพ่อมาแต่ไม่ทัน สงสัยว่าทำไมหลวงพ่อจึงไม่พูดด้วย เลยวิ่งตามไป ส่วนหลวงพ่อก็เดินก้าวไปตามธรรมดา
แต่ผมตามไม่ทัน วิ่งมายันหลวงพ่อตรงใกล้ต้นมะม่วงหน้าตึกกองทุน (ซึ่งแต่ก่อนเป็นศาลาดิน มีเสาโด่เด่กับหลังคา)
ก็พยายามเอามือคว้าจีวรหลวงพ่อไว้ แต่จับหวิดๆ เห็นหลวงพ่อเดินทะลุประตูเหล็กยืด ซึ่งล็อคกุญแจอยู่ เดินทะลุผ่านเข้าไปเฉยๆ โดยไม่ได้ไขกุญแจ
ผมก็รีบกระโดดข้ามรั้วด้านขวามือ ซึ่งอยู่สูงแค่เอวเพื่อจะไล่ตามให้ทัน ผมก็สงสัยว่าหลวงพ่อคงไม่ใช่พระธรรมดาแน่ๆ
ท่านก้าวยาวๆ เท้าไม่ถึงพื้น ผมวิ่งหอบแต่เห็นท่านเดินเฉยๆ ก้าวช้าๆ ผมวิ่งไม่ทัน ผมจึงวิ่งขึ้นตึกพระกรรมฐาน ซึ่งอยู่ติดกับตึกริมน้ำที่หลวงพ่อพักอยู่
พอขึ้นไปถึงก็วิ่งไปที่หน้าต่าง ซึ่งหน้าต่างห้องพระกรรมฐานก็ตรงกับห้องหลวงพ่อ ตอนนั้นหลวงพ่อเข้ากุฏิไปแล้ว
หน้าต่างห้องในกุฏิหลวงพ่อยังเปิดอยู่ ผมเห็นหลวงพ่อเฉยอยู่หน้าพระพุทธรูป (หน้าโต๊ะหมู่บูชา)
พอตอนเช้า ผมก็ไปถามหลวงพ่อว่า เมื่อคืนหลวงพ่อเล่นอะไรกับผม หลวงพ่อถามว่า "เออ..ไล่ทันไหมเล่า ?"
ผมก็ตอบว่า "ไล่ไม่ทัน..ผมพยายามคว้าจีวรหลวงพ่อหวิดๆ เห็นหลวงพ่อเดินทะลุประตูเฉย ผมต้องกระโดดข้ามรั้วเพื่อจะตามไปให้ทัน"
หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ แต่ไม่พูดว่าอะไร...!!!"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 24/11/18 at 05:34
ตอนที่ 19
ทองเคลื่อนที่
โดย นายดาบตระกูล เปาริก สถานีตำรวจภูธรอุทัยธานี
"...อยู่มาอีกวันหนึ่ง ตอนเที่ยงคืน ผมนอนอยู่ได้ยินเสียงดังครืดๆ ดังนานประมาณร่วม ๑ นาที
ทำให้คิดว่าต้นยางล้มหรือเจดีย์โค่นหรือเปล่า ผมก็รีบออกไปดูที่โบสถ์เก่า เสียงดังมากจนชาวบ้านแตกตื่นนึกว่าทางวัดมีอะไรเกิดขึ้น
ชาวบ้านพายเรือกันมาดูหลายราย ผมก็วิ่งเอาไฟฉายไปส่อง (เดือนมืด) เดินดูรอบๆ ที่โบสถ์เก่า
แต่ก่อนรอบโบสถ์เป็นพื้นดินธรรมดา เดินไปหลังโบสถ์ไปเจอรูกว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เมตร ดินยุบลงไป
หลวงพ่อก็ออกตามมาทีหลัง มีพระตามออกมาหลายองค์ "ทิดวี" ก็วิ่งตามออกมาด้วย สุนัขก็วิ่งตามหลวงพ่อมาเป็นฝูง ผมก็บอกหลวงพ่อว่าดินยุบลงไป
...หลวงพ่อก็พูดว่าทองเคลื่อนตัวย้ายไปอยู่แถบใต้ห้องพระกรรมฐาน ผมก็เอาเหล็กเส้นยาวประมาณ ๑๒ เมตร แหย่ลงไปยังไม่สุดก้นหลุมเลย
ชาวบ้านพากันมาดูด้วยควมแตกตื่น หลวงพ่อบอกว่าถึงเวลาเมื่อไร ทองก็จะขึ้นมาเอง.."
...เรื่องทองคำเคลื่อนที่นี้ เพื่อให้เนื้อเรื่องต่อเนื่องกัน จึงขอนำคำบอกเล่าของหลวงพ่อฯ มาให้อ่านดังนี้...
หลวงพ่อพบกับท่านทองดีเป็นครั้งแรก
(Cr. รูปภาพจาก tnews.co.th)
"...คืนวันหนึ่งของปี ๒๕๑๕ เวลาประมาณ ๒๓.๐๐น.เศษ อาตมารู้สึกง่วงนอนเร็วกว่าปกติ จึงเอนกายลงนอน
ได้เห็นชายคนหนึ่งรูปร่างขาวท้วม นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อธรรมดาแต่ยาวลงเลยชายพก ประมาณ ๖ นิ้วฟุต มือขวาถือหนังสือเล่มใหญ่แนบกับตัว
เห็นภาพนั้นเมื่อดับไฟมืดสนิท และไม่มีแสงสว่างจากภายนอกลอดเข้ามา ก็ทราบว่าชายที่เห็นนั้นไม่ใช่คนธรรมดา เพราะประตูใส่กลอนแล้ว หน้าต่างก็มีลูกกรงเหล็ก
ตามความรู้สึกขณะนั้นบอกว่า "ชายผู้นี้คือผี"
ท่านบอกว่า "ผมเกิดที่แม่น้ำสะแกตรัง (ชาวบ้านเรียกสะแกกรัง) เกิดในเรือครับ เรือที่ผมคลอดจากครรภ์มารดาอยู่ตรงนี้ครับ"
ท่านชี้สถานที่เรือจอดให้ทราบ (อยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระ)
เป็นธรรมดาของอาตมาเมื่อคุยกับผี จะเป็นผีระดับไหนก็ตาม ผีมีหลายระดับคือ นรก เปรต อสุรกาย สัมภเวสี ภูมิเทวดา อากาศเทวดา พรหม
ทั้งหมดนี้เรายกยอดเรียก "ผี" เหมือนกันหมด เพราะไม่สามารถเห็นเขาได้ตามปกติ เมื่อเขาต้องการให้เห็นเราจึงเห็น เมื่อท่านจะกลับจึงได้ถามว่า
"ท่านมาขอร้องตามนี้ก็ไม่ขัดข้อง แต่อยากจะขอเหตุผลสักหน่อยว่า ถ้าท่านเป็นท่านทองดีจริง ท่านจะบอกหรือแสดงอะไรสักอย่างหนึ่งก็ได้
เพื่อเป็นหลักฐานควรเชื่อถือได้"
ท่านถามว่า "ไม่ไว้ใจท่านหรือ ?"
ก็เรียนท่านว่า "ไว้ใจ..แต่ขอไว้เพื่อความมั่นใจ"
ท่านก็บอกว่า "วันพรุ่งนี้ทางบ้านโน้นเขาจะรื้อบ้าน (ท่านชี้ไปทางที่ท่านบอกว่าบ้านท่านเคยตั้งที่นั่น) เขาจะรื้อบ้านเขาจะได้เงินกลม
ถ้าเขาได้เงินกลมจริงก็เป็นการยอมรับว่าผมคือ "ทองดี" จริง กับอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ต่อจากนี้ไปไม่เกิน ๑ เดือน ทองคำที่ตระกูลผมฝังไว้ใกล้พระอุโบสถ
จะเลื่อนเข้ามาใต้ถุนที่คุณอยู่ จะมีเสียงดังจากทองที่เลื่อนมาไว้ชัดเจนมาก ถ้ามีเสียงทองเลื่อนจริงก็เป็นเครื่องยอมรับว่าผมคือ "ทองดี" จริง"
พอวันรุ่งขึ้นก็มีคนนำเงินกลมมาให้ ๑๐ กว่าอัน ผู้ให้บอกว่า เจ้าของบ้านเขารื้อบ้าน ขุดดินลงไปเพื่อเอาเสาเรือนขึ้น
เมื่อนำเสาขึ้นมาแล้วพบเงินกลมหนึ่งไห เจ้าของให้นำมาถวาย ต่อมาอีกไม่ถึงครึ่งเดือน คืนวันนั้นมีคนมาร่วมเจริญพระกรรมฐานกันมาก
ขณะที่ทุกคนกำลังเจริญพระกรรมฐานก็ได้ยินเสียงครืนใต้ดิน ได้ยินชัดมาก เสียงนั้นเลื่อนใกล้เข้ามาพอถึงกลางตึกเสียงก็เงียบ
เมื่อเลิกพระกรรมฐานแล้วต่างคนต่างก็ไปดูสถานที่ที่มีเสียง ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ รุ่งเช้า "นายดาบตระกูล เปาริก" ออกไปดูบริเวณนั้น
เห็นดินยุบลงนิดหน่อยแต่เป็นบริเวณกว้าง ได้เอาเหล็กแทงลงไปปรากฏว่า จมเส้นเหล็กแล้วยังไม่ถึงกันหลุม ทั้งหมดนี้จัดเป็นอภินิหารของท่านได้
โรงเรียนพระพินิจอักษร
...ต่อมาตั้งใจจะสร้างโรงเรียนให้ตามที่ท่านขอไว้ ได้ติดต่อทางผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดสมัยนั้น เรื่องก็เงียบหายไป
เมื่อหาทางสร้างโรงเรียนไม่ได้ จึงสร้างศาลาการเปรียญแทนให้ชื่อว่า "โรงเรียนพระพินิจอักษร" ทั้งนี้ก็เพราะว่าศาลาก็คือโรงเรียน
คำว่า "เปรียญ" แปลว่า "รู้รอบ" หรือรู้ทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม ดูเหมือนจะมีความสำคัญมากกว่าโรงเรียน ซึ่งสอนเฉพาะความรู้ปกติธรรมดา
(ภาพสมัยก่อน)
(ภาพปัจจุบันนี้)
จึงมีความเห็นว่าศาลาการเปรียญมีความสำคัญมาก หลังจากนั้นได้สร้างโรงพยาบาลแม่และเด็กขึ้น จึงคิดจะสร้างรูปท่านไว้เป็นอนุสรณ์
ในฐานะที่ท่านเมตตามาหาถึงสถานที่นอน และถ้าชาวบ้านถามก็จะได้บอกว่า
"ปั้นรูปต้นวงศ์จักรี เพราะว่าถ้าเรามีความเลื่อมใส มีความจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์จักรี คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์
ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๙ เราไหว้ "ต้นวงศ์จักรี" องค์เดียวก็ถึงลูกหลานเหลนทั้งหมด"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 12/12/18 at 06:14
ตอนที่ 20 จบ
หลวงพ่อหายตัว
โดย นายดาบตระกูล เปาริก สถานีตำรวจภูธรอุทัยธานี
"...มีอีกเรื่องหนึ่ง ในปี
๒๕๑๗ ตอนนั้นหลวงพ่อเริ่มสร้างโบสถ์แล้ว ฝั่งโบสถ์นั้นประตูใหญ่จะปิดไว้อยู่เสมอ จะเปิดประตูบานเล็กเท่านั้น
วันนั้นมีผมและตำรวจด้วยกัน มีนายดาบหร่าย (ตอนนั้นมียศเป็น "จ่า") รวม ๕ - ๖ คน ซึ่งทางการสั่งมาคุมดูแลความปลอดภัยทางฝั่งโบสถ์ที่กำลังก่อสร้างอยู่
หลวงพ่อเดินถือไม้เท้าข้ามมาจากฝั่งริมน้ำ สุนัขวิ่งตามมาด้วย ท่านไปตรวจงาน พอข้ามมาถึงฝั่งโบสถ์ใหม่ ก็มีคนเดินตาม
มีนายดาบหร่ายเดินตามหลวงพ่อ เพราะว่าอยากได้พระ (วัตถุมงคล) จากหลวงพ่อ จึงเดินตามหลวงพ่อไป อยู่ๆ ก็ไม่เห็นหลวงพ่อ
วิ่งกลับมาหาผมซึ่งยืนรออยู่ที่ประตูทางออกตรงหน้าวัด
ผมก็บอกว่ายังไม่เห็นหลวงพ่อออกมาเลย นายดาบหร่ายบอกหาแล้วไม่มี ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าเหตุเคยเกิดกับตัวเองมาครั้งหนึ่งแล้ว จึงพูดกับนายดาบหร่ายว่า
หลวงพ่อคงอยู่ที่กุฏิแล้วมั้ง นายดาบหร่ายก็เดินข้ามฟากไป ไปเจอคุณเอี่ยม ซึ่งเป็นแม่ครัวอยู่ในโรงครัวของวัดท่าซุง ก็ถามว่าเห็นหลวงพ่อไหม
คุณเอี่ยมบอกว่าหลวงพ่ออยู่ที่กุฏิกำลังคุยกับ พล อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขศวัสดิ์ (ยศสุดท้าย) ก็เลยงง เพราะตาก็ไม่ฝาด
สุนัขก็วิ่งออกมากับหลวงพ่อเป็นฝูง และสุนัขก็ยังวิ่งกลับมาเป็นฝูงในภายหลัง โดยไม่มีหลวงพ่อร่วมมาด้วย
ตั้งแต่นั้นมาทำให้เลิกสุราไปได้หลายคนและทำให้เชื่อฟังหลวงพ่อ และคอยระมัดระวังตัวกันมากขึ้น
ผมมีความเคารพและศรัทธาหลวงพ่อ มีความเชื่อว่าหลวงพ่อเป็นพระที่สมควรแก่การกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ ไม่มีข้อสงสัยใดๆ และเกิดความกลัวที่จะทำอะไรผิดพลาด
กลัวแม้แต่คำพูดที่หลวงพ่อพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เพราะคิดว่าท่านพูดอะไรมักเป็นไปตามนั้น เพราะพบมากับตัวเองหลายรายแล้ว
ที่หลวงพ่อพูดอย่างไร ก็มักเป็นไปตามนั้น
ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อสั่งอะไรมา ผมก็ทำตามนั้น ไม่กล้าทำอะไรเกินเลย ผมจึงถือว่าผมโชคดีที่ได้มีโอกาสพบหลวงพ่อ
และมีโอกาสมารับใช้หลวงพ่อตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้..."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 24/12/18 at 06:26
.
webmaster - 24/11/20 at 04:35
.