แล้วจะได้รู้ว่าพสกนิกรของพระองค์คนไหนบ้าง ที่แสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวกันจริงใจไหม หรือว่าไหลไปตามกระแสน้ำ
เพื่อจะได้นำมาเป็นปมแห่งความขัดแย้ง อันจะนำไปสู่ความไม่สบายพระทัยของพระองค์ ฉะนั้น ถ้าหากผู้ใดจะแสดงความรักและเคารพ และจะทำให้พระองค์มีความสุข
ควรที่จะลืมเรื่องราวในอดีต แล้วหันมาประกอบกิจกรรมร่วมกันในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ถ้าทำได้อย่างนี้ ในปีนี้ก็ถือว่าทุกท่านได้ทำ
"ความดีถวายในหลวง" กันแล้วละ.
webmaster - 1/1/16 at 10:47
งานพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน ณ วัดท่าซุง (เป็นงานทำบุญครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดของหลวงปู่ปานด้วย) วันที่ ๖
- ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘
......เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ เสด็จพระราชดำเนินวัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ได้ทรงกระทำพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน ณ วัดท่าซุง (บริเวณหน้าพระอุโบสถ)
(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินด้านหน้าศาลาเก่า (ฝั่งโบสถ์เก่าริมแม่น้ำสะแกกรัง)
(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกระทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ในพระเกตุมาลาพระประธาน ณ พระอุโบสถ วัดท่าซุง)
ชาวกะเหรี่ยงวัดพระบาทห้วยต้มได้แสดงการฟ้อนรำดาบต่อหน้าพระที่นั่ง มีเรื่องเล่าว่า
ในขณะนั้น มีกะเหรี่ยงคนหนึ่งผ้าถุงหลุด แต่ไม่ถึงกับหลุดลงมากอง แค่เพียงแต่หลุดแล้วจับไว้ทันเท่านั้นเอง
(สมเด็จพระบรมราชนินีนาถทรงมีพระราชเสาวณีย์กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ณ ที่ประทับด้านข้างพระอุโบสถ)
(เมื่อถึงเวลาอันสำคัญ ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์เสด็จประทับยืนถือสายสิญจน์มงคล
เพื่อกระทำพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค)
พลับพลาอนุสรณ์
.....ขอบันทึกสถานที่สำคัญไว้อีกจุดหนึ่ง นั่นคือบริเวณด้านหน้าศาลาพระพินิจ ได้จัดเป็นพลับพลาที่ประทับชั่วคราว ในวโรกาสที่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมา ณ
วัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ได้ทรงประทับ ณ ที่นี้ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘
ภายหลังหลวงพ่อจึงได้จัดสร้างเป็นศาลาจตุรมุข ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ และสำหรับประดิษฐานพระพุทธชินราช และรูปหลวงพ่อปาน (ไว้สำหรับปิดทองได้)
(หลวงพ่อกำลังอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกให้มาญาติโยมพุทธบริษัทสรงน้ำ
ก่อนที่จะทำพิธีอัญเชิญขึ้นไปบรรจุบนยอดฉัตรพระมณฑป)
เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อได้ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ ก่อนหน้านั้นท่านได้นำพระบรมสารีริกธาตุที่จะบรรจุ
มาให้ญาติโยมทั้งหลายได้ชมและสรงน้ำกัน ที่ศาลานวราช
(หลังจากถวายน้ำสรงพระบรมสารีริกธาตุแล้ว หลวงพ่อได้นำน้ำสรงนั้น
ประพรมให้แก่ทุกคนเป็นสิริมงคล แล้วจึงทำการพิธีบรรจุต่อไป)
หลังจากนั้นหลวงพ่อได้เริ่มพิธีบรรจุไว้ในผอบ แล้วใช้สายโยงติดรอกดึงขึ้นไปจากศาลานวราช โดยมีคนคอยรับอยู่บนหลังคาศาลาจตุรมุขนั้น
แล้วทำการบรรจุไว้เป็นที่เรียบร้อย เพื่อเป็นสถานที่สำคัญที่บรรดาพุทธศาสนิกชนจะได้เป็นที่กราบไหว้อีกแห่งหนึ่งภายในวัดท่าซุง.
งานฝังลูกนิมิตผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ วัดท่าซุง
วันที่ ๑๖ - ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถวายผ้าไตรจีวรแด่
หลวงปู่พระมหาอำพัน และ หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์
หลวงปู่บุดดา ถาวโร และ หลวงปู่คำแสนใหญ่ วัดสวนดอก, หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล
.....ตามโอวาทของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ถึงแม้จะเป็นอดีตนานมาแล้ว แต่ก็คงจะส่งผลมาถึง ท่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้ด้วย
และโอวาทของท่านมีตอนหนึ่งที่กล่าวถึง "งานฝังลูกนิมิต" เรื่องนี้จึงมาสะกิดใจผู้เขียน จึงอยากจะย้อนรอยถอยหลัง
ถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นบ้าง แต่มันก็เลือนลางเต็มที เอาเฉพาะที่พอจะนึกได้ก็แล้วกันนะ
โดยทั่วไป "งานฝังลูกนิมิต" เขาถือว่ามีความสำคัญยิ่ง เพราะแต่ละวัดกว่าจะสร้างพระอุโบสถได้สำเร็จ ต้องผ่านอุปสรรคนานัปการ
และชาวพุทธนิยมทำบุญงานฝังลูกนิมิต ถือว่าได้บุญได้กุศลมาก เพราะเป็นการวางรากฐานไว้ในขอบเขตของพระพุทธศาสนา
คือเป็นสถานที่ที่พระสงฆ์มาประชุมกันเพื่อทำสังฆกรรม
ทีนี้ขอย้อนกล่าวถึงงานสำคัญที่ผ่านมา คณะญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย อันมีท่าน พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์
และภรรยาของท่านที่ล่วงลับไปแล้ว คือ "คุณโยมอ๋อย" หรือ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดงานกับคณะของท่าน
โดยถวายบังคมทูลเชิญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฏราชกุมาร
เสด็จพระราชดำเนินมาทรงตัดลูกนิมิต (ซึ่งล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ เสด็จมาเป็นวาระที่ ๒ แล้ว นับตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ เป็นต้นมา)
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เริ่มจัดงานตั้งแต่วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๒๐ แต่ผู้เขียนขอเล่าเหตุการณ์วันสุดท้าย และเป็นวันสำคัญของงาน คือวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐
ในตอนเช้าของวันนี้ ญาติโยมทั้งหลายมาใส่บาตรพระสุปฏิปันโนกันมากมาย เพราะเป็นวันสุดท้ายที่ได้มีโอกาสเช่นนี้ มีพระสุปฏิปันโนทั้งหมดประมาณ ๑๐ องค์
และมีพระติดตามอีกบ้างนั่งคอยรับบาตรเป็นแถว ส่วนหลวงพ่อนั่งรับแขกตั้งแต่ตอนเช้า ท่านพุทธบริษัทต่างทยอยกันมาบำเพ็ญกุศล
จนถึงเวลาบ่ายใกล้ถึงเวลาเสด็จพระราชดำเนิน
เหตุการณ์ที่อัศจรรย์
ก่อนที่จะถึงเวลานั้น ปรากฏว่าท้องฟ้าที่เคยแจ่มใส อากาศร้อนอบอ้าวตามประสาหน้าแล้ง ได้ลดความร้อนที่แผดเผาลง แสงแดดที่เคยเจิดจ้า
ได้ลดแสงลงอย่างแปลกประหลาด เพราะท้องฟ้า กลับมืดคลิ้มด้วยปุยเมฆ ที่ลอยผ่านไปมาอยู่เกือบทุกขณะ ปรากฏว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์ ฝนที่ไม่เคยตกลงมาเลยตลอดงาน
ก็ได้โปรยปรายลงมาเป็นละอองฝน สร้างความเยือกเย็นให้เกิดขึ้นได้ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งนี้ คงจะเป็นด้วยพระบารมีล้นเกล้าของชาวไทย
เมื่อพระองค์จะเสด็จไปที่แห่งหนตำบลใด มักจะปรากฏเหตุอัศจรรย์อย่างนี้เสมอมา คล้ายกับจะลงมาเป็นสักขีพยานแห่งพระจริยวัตร
บอกความที่พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ต่อพสกนิกรทั้งหลายของพระองค์ฉะนั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถวายผ้าไตรจีวรแด่หลวงพ่อฯ
สายฝนได้โปรยปรายลงมาชั่วขณะหนึ่ง ช่วยผ่อนคลายให้มีความสบายขึ้น แก่บรรดาประชาชนทั้งหลาย ที่มานั่งเฝ้ารอรับเสด็จบริเวณหน้าพระอุโบสถ
ตลอดออกไปถึงด้านหน้าถนนของวัด ในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วย
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฏราชกุมาร ได้เสด็จมาถึงบริเวณงานพอดี หลังจากเสด็จเข้าประทับในปะรำพิธี ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย
พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์อันมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นต้น
ได้ถวายศีลแล้ว คณะกรรมการจัดงานทูลเกล้าถวายรายงาน ทรงมีพระปฏิสันถารกับหลวงพ่อและหลวงปู่ทั้งหลายแล้ว ต่อจากนั้นจึงได้ทรงกระทำพิธีปิดทองลูกนิมิต
ทรงตัดลูกนิมิตที่หลุมกลางพระอุโบสถแล้ว ได้เสด็จออกมาจากพระอุโบสถ ขณะเสด็จพระราชดำเนินไปรอบ ๆ บริเวณพระอุโบสถนั้น
บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีความจงรักภักดี ต่างก็โดยเสด็จพระราชกุศล บริจาคเงินของตนกับพระหัตถ์ของล้นเกล้าทั้ง ๓ พระองค์ ต่างคนต่างยื่นถวายกัน
ทั้ง ๓ พระองค์ทรงช่วยกันรับแทบไม่ทัน ต้องให้ผู้ติดตามคอยถือถุงพลาสติกใส่เงินเดินตาม พระองค์จะเสด็จไประหว่างทาง ซึ่งมีผู้นั่งรอถวายทั้งสองข้างทาง
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินรอบนอกพระอุโบสถจนครบรอบแล้ว ทรงนำเงินที่มีผู้บริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลนั้น มาถวายหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง
แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ ยังความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น ที่ล้นเกล้าทั้ง ๓ พระองค์ ทรงเป็นกันเองอย่างไม่ถือพระองค์เลย
......จึงนับว่าเป็นแห่งแรกที่วัดท่าซุงนี้ ได้มีการถวายกันแบบนี้ จนเป็นที่นิยมตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ในเวลาที่เสด็จไปยังวัดพระแก้ว เป็นต้น
งานพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน เมื่อปี ๒๕๑๘
โดย ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์
.......ขอเล่าถึงเมื่อครั้งก่อนที่หลวงพ่อได้สร้างโบสถ์ใหม่
ทางวัดจะจัดงานใหญ่ คือหล่อรูปหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าไปถวายความเห็นแด่หลวงพ่อ ขอให้ท่านอัญเชิญ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พระบรมราชินีนาถ ให้ทรงพระราชดำเนินมายังวัดท่าซุง เนื่องในงานเหล่านี้คืองานเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน
หลวงพ่อได้ตกลงเห็นด้วยในความคิดนี้
ข้าพเจ้ารับอาสาเป็นผู้ไปทูลเชิญเสด็จ เพราะในขณะนั้นได้เข้าเฝ้าในพระบรมมหาราชวังบ่อยๆ
เนื่องด้วยข้าพเจ้าได้เป็นช่างทำพระเกศาถวายสมเด็จพระบรมราชินีนาถเป็นประจำ
เมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้า ข้าพเจ้าได้กราบแทบพระบาทขอพระอนุญาตกราบบังคมทูลเชิญเสด็จ และกราบบังคมทูลประวัติของหลวงพ่อต่อพระองค์ท่าน
และขอให้ท่านได้ทรงพระกรุณาไปเททองหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ปาน
สมเด็จฯ ได้รับสั่งว่าจะเสด็จพระราชดำเนินมาวัดท่าซุงให้ได้แน่นอน ช่างเป็นที่น่าปลื้มใจเสียจริงๆ ที่ทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าเช่นนี้ เมื่อวันสำคัญมาถึง
พสกนิกรพลเมืองอุทัยธานีได้มาชุมนุมเฝ้าชมพระบารมีกันอย่างเนืองแน่น พระทูลกระหม่อมแก้วได้เสด็จมาทั้งสองพระองค์ พระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์
หลวงพ่อได้เฝ้าอย่างใกล้ชิด ทรงพระมีราชปฏิสันฐานกับหลวงพ่อในพระอุโบสถเป็นเวลานาน และในโอกาสสำคัญต่อมา ปี ๒๕๒๐
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสแต่งตั้งหลวงพ่อเป็นศูนย์แทนพระองค์ ชื่อว่า "ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ้นทุรกันดาร"
พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้น้อมรับพระราชดำรัสนี้ และได้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ทุกประการ
คณะของหลวงพ่อฯ ซึ่งมีพระภิกษุสงฆ์ในวัดและบรรดาศิษย์ทั้งหลายได้ติดตามท่านบุกป่าไปในแดนทุรกันดารตามจังหวัดต่างๆ เสมอมา
ไม่เคยมีการย่อท้อแต่ประการใดเลย
ท่านเจ้าคุณราชพรหมยานได้สร้างคุณงามความดีให้ประจักษ์แล้วทุกประการทั้งทางโกลและทางธรรม
บุคคลทั้งหลายหากมีใจศรัทธาและปรารถนาที่จะพึ่งพระพุทธศาสนาเป็นหลักใจ พระคุณเจ้าจะให้แสงสว่างแก่เราทุกคน ผู้ใดต้องการจะละกิเลสพ้นทุกข์
ก็จะพึงได้รับคำสั่งสอนและทางปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่เป็นศิษย์ท่านมานานหลายปีแล้ว เดี๋ยวนี้ยังยึดมั่นในคำสั่งสอนของท่านเพื่อการดับทุกข์ เพื่อการสำเร็จกิจในชาตินี้
คือพระนิพพานเป็นที่สุด ขอพระคุณเจ้าได้โปรดช่วยให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จสมดั่งความตั้งใจในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด..
webmaster - 14/10/16 at 16:26
ขอน้อมเกล้าฯ ถวายความอาลัย
.......พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นร่มเกล้าของชาวไทยมานานแล้ว พระบารมีของพระองค์ทรงแผ่ไพศาล
เพื่อปกป้องคุ้มครองชาวไทยให้ร่มเย็นเป็นสุข บัดนี้ พระองค์ต้องจากไปตามกฎธรรมดาของสังขาร เยี่ยงบุรพกษัตริย์ทั้งหลายในอดีต
แต่พระเกียรติคุณความดีของพระองค์นั้น ยังคงซาบซึ้งตราตรึงอยู่ในหัวใจของพสกนิกรชาวไทยตลอดไป
ขอพระองค์ได้ทรงเข้าถึงสวรรค์ชั้นฟ้าดุสิตาลัย เพื่อทรงอบรมบ่มวิสัยแห่งพระโพธิสัตว์ตามพระราชปณิธานต่อไป ตราบใดที่สัตวโลกยังต้องการอมตะธรรม
พระองค์ก็จะต้องทำหน้าที่ขวนขวายรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากบ่วงทุกข์ จึงขอเดชะพระบารมีแห่งพุทธวงค์ และพระบรมพงศ์โพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย
จงดลบันดาลให้พระองค์ทรงสมหวังตามที่ตั้งพระราชหฤทัยไว้ เพื่อการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตราบนั้น
หากมีสิ่งที่ใดที่เคยล่วงเกินต่อพระองค์ ด้วยกาย วาจา ใจ ทั้งในอดีตและปัจจุบันนี้ จะเป็นด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม
ขอพระองค์ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ ฯ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
คณะทีมงานฯ
webmaster - 31/10/16 at 10:51
เดลินิวส์ 30 ต.ค.59 ลงข่าว
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ยกย่องในหลวง ร.9
(ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชทานเครื่องบันทึกเสียงแด่หลวงพ่อฯ จำนวน ๒ เครื่อง)
ประวัติความเป็นมาของภาพนี้ ในขณะที่ในหลวงทรงรับสิ่งของจากหลวงพ่อ
.......อาตมาไม่บอกว่า ของสิ่งนี้เป็นอะไร เพราะถือว่าของสิ่งนั้นเป็นความสำคัญของอาตมาที่มีความคิดอยู่ในใจ
เพราะว่าเป็นของสมัย..โน่น...สุโขทัย ใช้คำว่า โน่น เพราะนึกไม่ออก ว่าจะพูดว่าอะไรดี เป็นของสำคัญตั้งแต่สมัยสุโขทัยกู้ชาติ
แต่ว่าสมบัติอันนี้ตกมาเป็นของ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วก็ตกทอดมาถึงอาตมาอีกวาระหนึ่ง
เมื่อหลวงพ่อปานมรณะไปแล้ว อาตมารู้ว่าของสิ่งนั้นเป็นอะไรแล้วของอีกสิ่งนั่นก็คือ พระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ คือ
"สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก" ท่าน พล.อ.ต. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสาร ทอ. ไปพบเขาตั้งขายไว้ เขาทาเป็นสีดำ
จึงได้นำมาปิดทองคำแล้วก็ทำมณฑป เพื่อถวายเป็นที่ระลึกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาประทับยืนอยู่ต่อหน้าอาตมา อาตมาจึงได้หยิบพานลูกแรก ซึ่งมีกล่องยาวคู่หนึ่งถวายแด่พระองค์
พระองค์ก็ทรงรับแล้ว พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ก็รับไป มอบให้แก่เจ้าหน้าที่ อาตมามองดูของที่ยังมีอยู่อีกพานหนึ่ง มีกล่องสี่เหลี่ยมคู่ ก็ไม่แน่ใจ
เพราะเขาไม่ได้แจ้งไว้ก่อนว่าจะถวายใคร คิดว่าของสิ่งนี้เป็นของสั้นกว่า สี่เหลี่ยมอันแรก เป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าคู่ พานที่ ๒ นี่เป็นกล่องคู่เหมือนกัน
แต่ว่าเป็นกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส คิดว่าเขาจะมีไว้ถวายสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ สงสัยจึงได้หันไปถาม พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ
ว่า พานนี้ถวายด้วยหรือเปล่า
ท่าน พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ตอบว่า ถวายด้วย ถวายทั้งหมด อาตมาจึงได้เดินไปหยิบพานชุดนั้นถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์ทรงรับแล้ว
พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ก็รับจากพระหัตถ์ของพระองค์ เมื่อรับถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่่หัวเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปหา พล.ร.อ.
จิตต์ สังขดุลย์ ตรัสว่า เอามานี่ แล้วพระองค์ก็ทรงรับจากมือของ พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ เอามาวางไว้เอง แล้วอีกชิ้นหนึ่งนั่นก็คือ
พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ พร้อมด้วยมณฑป อันนี้อาตมายกไม่ขึ้น จึงได้เอามือเข้าไปแตะ แล้วถวายพระพรว่า ของชิ้นนี้ก็ถวายพระองค์ด้วย
พระองค์ก็ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นมาแตะเป็นการแสดงอาการรับ
ท่านพุทธบริษัท ตอนนี้ ท่านจะเห็นว่าพระปรีชาสามารถของพระเจ้าอยู่หัวเป็นประการใด จะเห็นได้ตั้งแต่วาระแรก ตั้งแต่การรับสั่งสนทนาซึ่งกันและกัน
พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถ เฉลียวฉลาดเป็นกรณีพิเศษ อาตมาจะพูดอะไรออกไปก็ตามที ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้ทัน แล้วนำหน้าอยู่เสมอ
หมายเหตุ ก่อนทำข่าว ผู้เขียนบทความนี้จากเดลินิวส์โทรมาสอบถามว่า สิ่งของที่ถวายนั้นคืออะไร แต่ก็ไม่สามารถจะตอบได้ ต่อเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว
จึงทำให้ทราบว่าสิ่งของที่หลวงพ่อถวายในหลวงนั้นคืออะไร ซึ่งถือว่าเป็นมรดกตกทอดมาจากครูบาอาจารย์ อันเป็นที่รักและหวงแหนยิ่ง
บัดนี้สิ่งของที่ระลึกอันสำคัญทรงคุณค่านี้ ได้ตกเป็นพระราชสมบัติส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๙ ไปนานแล้ว
VIDEO
webmaster - 9/11/16 at 14:42
ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงนิมนต์พระอริยสงฆ์องค์ใดบ้าง
ให้เข้าไปในพระราชวังเพื่อ "ถวายกัมมัฏฐาน"
พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เคยกล่าวในหนังสือ สองธรรมราชา ตอนหนึ่งไว้ว่า
......ในครั้งแรกที่ทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติธรรมก็เป็นตอนที่ผมเข้าไปอยู่ในวัง ในปี ๒๕๑๐ ผมเริ่มเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
แต่ตอนนั้นยังปฏิบัติหน้าที่อยู่นอกวัง ได้รับคำสั่งให้เข้าเฝ้าฯ เพื่อตามเสด็จฯ เวลาเสด็จฯ ไปเยี่ยมตำรวจ ทหาร เป็นบางครั้งบางคราว ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๓
ผมจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายตำรวจประจำ
หมายความว่าได้เข้าไปอยู่ในสำนักพระราชวัง พอเข้าไปถึงจึงได้รู้ตั้งแต่ตามเสด็จฯ ทันทีว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติเจริญสมาธิอยู่เสมอ ความจริงแล้ว
ตัวผมเองนั้นก็มีความสนใจเกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิก่อนหน้าที่จะมีโอกาสเข้าไปอยู่ในวัง แต่ว่าไม่มีโอกาสปฏิบัติอย่างจริงจัง ครั้นพอได้เข้าไปอยู่ในวัง
เข้าไปได้เห็นว่า
ท่านหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)
......พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติ และเห็นนายตำรวจนายทหารหลายๆ ท่านที่รับราชการอยู่ใกล้กัน เขาปฏิบัติกัน เจริญรอยตามพระยุคลบาท
พากันฝึกสมาธิอย่างขะมักเขม้น ผมจึงถือปฏิบัติตาม เวลามีโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งเรื่องสมาธิเสมอ และเวลามีโอกาสเสด็จฯ
ก็จะพระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกครั้ง
......ซึ่งผมก็ยังจำได้ ในหลวงทรงนิมนต์ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ และ พระอาจารย์วัน อุตตโม เพื่อถวายการสอนกัมมัฏฐานในพระราชวัง
ซึ่งการศึกษาสมาธิของพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาอย่างละเอียดลออจริงๆ เท่าที่ผมจำได้สมัยโน้น พระผู้ใหญ่ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษา
พระองค์จะทรงนิมนต์ให้เข้าไปในวังที่เรียกว่า ถวายกัมมัฏฐาน นอกจากที่เรารู้ๆ กันอยู่ ก็มีท่าน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)
พระอาจารย์วัน อุตตโม เป็นต้น
พระผู้ใหญ่ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษา
พระองค์จะทรงนิมนต์ให้เข้าไปในวังที่เรียกว่า ถวายกัมมัฏฐาน
ก็มีท่านหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) พระอาจารย์วัน อุตตโม
ข่าวโดย : กิตติทีนิวส์ / สำนักพิมพ์ กรีนปัญญาญาณ/ ทีมข่าวปัญญาญาณ ทีนิวส์
ที่มา : หนังสือ "สองธรรมราชา", อัครวัฒน์ โอสถานุเคราะห์
ลงข่าว : ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ http://www.tnewsonline.tv/contents/21529
webmaster - 3/12/16 at 15:03
น้ำตาไหลทั้งประเทศ !!! เปิดคำทำนาย
"หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ" ว่าเมื่อมี รัชกาลที่ ๑๐ แล้วจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น"
อ้างอิงบทความจาก
http://www.clip007.com/news-186372
http://panyayan.tnews.co.th/contents/215451/
http://variety.teenee.com/foodforbrain/76550.html
......ในสมัยที่ พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า "หลวงพ่อ ฤๅษีลิงดำ" ยังมีชีวิตอยู่
ได้มีการรวบรวมคำเทศนาของหลวงพ่อไว้เป็นหนังสือชื่อ "ฤๅษีทัศนาจร" ซึ่งได้จัดพิมพ์ออกมาหลายเล่มหลายตอน โดยในเล่มที่ ๑ ตอน
"เทวดาชวนขุดทอง" ได้มีการคำทำนายสอดแทรกไว้ และมีการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดใน รัชกาลที่ ๑๐ ว่าจะมีผู้ใดมาขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๑๐
และจะมีเหตุการณ์ใดที่บ้าง ดังเนื้อหามีข้อความได้บันทึกไว้ดังนี้...
.....เมื่อแผ่นดินสะเทือน แผ่นดินสั่นเกิดขึ้น ดร.ปริญญา ก็บอกว่าเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติบ้าง แต่ทว่าเจ้าลิงนี่สิ
ฤาษีลิงดำหัวหน้าทัศนาจรมันไม่ว่าอย่างนั้น พอแผ่นดินสะเทือน ก็กำหนดจิตคิดว่านี่มันเรื่องอะไร พอมีความดำริเท่านั้น ก็ปรากฎว่า บรรดาปิยสหาย
คราวนี้ไม่ใช่หมาแล้ว กลายเป็นผี มีศักดิ์ศรีใหญ่ แต่งตัวสีแดงพรืดไปหมด ประมาณ ๗๐ - ๘๐ คน แล้วก็ประมาณสีเขียวสีดำอีกหลายร้อยคน
เห็นบริเวณนั้นเกลื่อนกล่นไปหมด จึงถามว่า
"นี่...พ่อเทวดา แกมาทำอะไรกันอยู่ที่นี่ และทำไมแผ่นดินมันถึงสะเทือน"
เขาก็ชี้ไปที่ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง คราวนี้ การไปคราวนี้ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง น้องชาย เจ้าพระยาโกษาปาน ท่านไปด้วย (ความจริงชื่อนี้สมมติขึ้นมา
อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ๆ...ล้อกัน และ เจ้าพระยาโกษาป่อง เป็นใครก็อย่าคิด อย่าถาม ถามก็ไม่บอก) แกก็เลยบอกว่า
"เจ้าพระยาโกษาป่อง มันคิดจะขุดทรัพย์ มันคิดว่าที่นี่มีทรัพย์มาก มันอยากจะได้ทรัพย์ใต้แผ่นดิน ในเมื่อมันคิดอย่างนั้นก็เลยทำให้มันรู้ว่ามีจริง"
ก็เลยถามเขาว่ามีมากไหม เขาบอกว่า เฉพาะทองคำประมาณ ๑๕ ตัน เห็นจะได้ แล้วยังมีแก้วที่มีค่ามาก ทีนี้ถามเขาว่า
"มันอยู่ลึกไหมวะ จะขุดได้ไหม ?" แกก็เลยบอก
"ขุดไม่ยากหรอก มันไม่ลึกเท่าไหร่ ประมาณ ๑ กิโลเท่านั้นก็ถึง ก็เสร็จ" ก็เลยบอกว่า
"นี่...แกไม่น่าจะบอกอย่างนี้นี่ เป็นของที่เกินวิสัยที่คนจะขุดได้ ทำไมถึงบอกอย่างนั้น"
เขาก็หัวเราะ ยังได้ถามว่าทรัพยากรทั้งหลายเหล่านี้ จะปรากฎเป็นผลดีแก่ประเทศชาติในสมัยไหน เขาก็เลยบอกว่า
"อานุภาพของทรัพยากรทั้งหลาย จะปรากฎขึ้นในตอนกลางสมัยรัชกาลที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยนั้นจะปรากฎว่า
ประเทศจะมีความมั่งคั่งสมบูรณ์เป็นกรณีพิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างจะพร้อมมูลบริบูรณ์ จะกลายเป็นประเทศมหาเศรษฐีเขตหนึ่ง อย่าว่าแต่เฉพาะในเอเซียเลย
แม้แต่ยุโรปก็ต้องเอาใจ"
"ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าอำนาจบุญบารมีของกษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์ คือกษัตริย์รัชกาลที่ ๙ เป็นผู้มีบุญบารมีใหญ่ ปูพื้นฐานเอาไว้
แล้วก็พระโอรสาธิราชที่จะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ก็เป็นพระราชาที่มีบุญบารมีใหญ่ ที่คนทั้งหลายคิดว่า จะทำลายประเทศไทยให้เป็นคอมมิวนิสต์
มีจิตหยาบปรารถนาจะให้คนไทยทั้งชาติ ที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาเป็นทาสของบุคคลกลุ่มเดียว ไม่มีความหมาย เพราะความหวังตั้งใจของบุคคลทั้งหลายเหล่านี้
เขาจะพาตัวเขาพินาศไปเอง เพราะอำนาจบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ที่มีสมรรถภาพเป็นพิเศษ"
เขาว่าอย่างนั้น ก็เลยบอกว่า "โมทนาด้วยน่ะ แล้วก็ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นเทวดา ก็ต้องช่วยกันนะ" เขาก็เลยบอกว่าช่วยกัน
ก็เลยถามต่อไปว่า
"การที่ทำแผ่นดินสะเทือนนี่น่ะ เป็นปัจจัยเพราะ เจ้าพระยาโกษาป่อง แกมีความละโมบโลภมาก อยากจะได้ในทรัพย์ในแผ่นดินนั้นใช่ไหม ก็มีท่านหนึ่งบอกว่า
ไม่ใช่ ไอ้เจ้าพระยาโกษาป่องนี่มันเพื่อนกัน เคยเป็นเพื่อนร่วมกันมา
แต่ว่าตอนนี้ตามันยังไม่ดี แต่ทว่านิสัยเขาก็ดี ก็คือว่า ชอบสร้างตัวเป็นคนสุจริต ไม่ทุจริตโกงเงินโกงทองของรัฐบาล รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
แล้วก็มีจิตประกอบไปด้วยกุศล อย่างนี้จึงแสดงอาการให้ปรากฏ และอีกประการหนึ่ง คนที่มาทั้งหมดนี่ เป็นอันว่า ๙๙.๙๙ % จัดว่าเป็นคนที่มีบุญใหญ่
มีศักดิ์ศรีใหญ่ ก็เลยถามว่า
"คนที่มีบุญใหญ่ มีศักดิ์ศรีใหญ่น่ะ มันใหญ่กันตรงไหน ?"
เขาก็บอกว่า "ใหญ่" ตรงที่มีความดีน่ะซิ เพราะการมาคราวนี้นี่ ตั้งใจจะมานมัสการพระดี ที่เรียกกันว่า สุปฏิปันโน และพระทั้งหลายเหล่านั้น
คณะเขาเอง
หมายเหตุ ทีมงานเว็บวัดท่าซุง ขออธิบายเพิ่มเติมคำว่า "เจ้าพระยาโกษาป่อง" เป็นคำที่ท่านล้อเล่นกับ
"พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์" หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า "ท่านเจ้ากรมเสริม" อดีตเจ้าของ "บ้านสายลม" ส่วนคำว่า
"ดร.ปริญญา" ได้แก่ ศ.เกียรติคุณ ดร.ปริญญา นุตาลัย อดีตประธานคณะกรรมการผู้ชำนาญการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านพัฒนาแหล่งน้ำ
(ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา)
อ่านหนังสือ ฤาษีทัศนาจร (เล่ม ๑) ฉบับเต็มได้ที่นี่ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=841
VIDEO
◄ll กลับสู่ข้างบน
อ่านรื่องราวของ "หลวงพ่อ - ท่านหญิงวิภาวดี" http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2296