ภาคพิเศษ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เกิดวันไหนกันแน่ ?
webmaster - 16/3/09 at 22:34
...เรื่องนี้ยังเป็นปริศนาคาใจกัน ด้วยการตรวจสอบข้อมูลโดยทั่วไป จากแหล่งประวัติครูบาอาจารย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะจากเว็บไซด์ที่สำคัญต่างๆ
ปรากฏว่ามีข้อมูลเหมือนกัน แม้กระทั่งเว็บ "ตามรอยพระพุทธบาท" ก็เช่นกัน ซึ่งภายหลังต้องแก้ไขใหม่ แต่ก่อนเคยลงประวัติไว้ดังนี้....
ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
.....ชาติภูมิของหลวงพ่อปาน
..........ท่านได้ถือกำเนิดที่ย่าน "วัดบางนมโค" เมื่อ วันที่ 16 กรกฎาคม 2418 โยมบิดาชื่อ อาจ โยมมารดาชื่อ
อิ่ม นามสกุล สุทธาวงศ์ โดยอาชีพทางครอบครัว คือ "การทำนา" สาเหตุที่โยมบิดาขนานนามท่านว่า "ปาน"
เนื่องจากท่านมีสัญลักษณ์ประจำตัวคือ ปานแดง อยู่ที่นิ้วก้อยมือซ้ายตั้งแต่โคนนิ้ว ถึงปลายนิ้วคล้ายปลอกนิ้ว
เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์
เมื่อมีอายุ 21 ปี หลังจากที่โยมมารดาบิดาได้นำท่านมาฝากไว้กับ หลวงปู่คล้าย ให้ฝึกหัดขานนาคให้คล่องแคล่วแล้ว
ท่านก็ได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบางนมโค เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2438 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม โดยมี...
หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์จ้อย วัดบ้านแพ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอาจารย์อุ่ม วัดสุธาโภชน์ เป็นอนุสาวนาจารย์ มีฉายาว่า "โสนันโท"
หลวงพ่อปานมรณภาพ
เมื่อวันที่ 26 กรกฏาคม 2481 ตรงกับวันแรม 14 คำ เดือน 8 สิริรวมอายุ 63 ปี พรรษที่ 42
ที่มา - http://www.tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=141
....เดิมประวัติของท่านลงวันเดือนปีเกิดไว้ คือ วันที่ 16 กรกฎาคม 2418 แต่เมื่อได้อ่านหรือฟังเทป หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน
(ทั้งชุดเก่าและชุดใหม่) ดังกล่าวแล้ว หรือจะไปค้นหาข้อมูลจากหนังสือหรือเทปอื่นจากวัดท่าซุงแล้ว
เราจะสังเกตได้ว่าหลวงพ่อจะไม่ระบุว่า หลวงปู่ปานเกิดวันที่เท่าไร เดือนอะไร เพียงแต่ท่านบอกไว้ในเทปชุด อาลัยหลวงพ่อปาน ว่าพอถึงวันแรม 14 ค่ำ
เดือน 8 หลวงปู่ปานจะทำบุญหมดตัวทุกปี
แล้วท่านยังบอกวันตายไว้ล่วงหน้าอีกว่า หลวงปู่ปานจะมรณภาพวันแรม 14 ค่ำ เดือน 8 เช่นกัน ซึ่งปีนั้นตรงวันที่ 26 กรกฏาคม 2481
นับว่าเป็นบุคคลที่พิเศษจริงๆ ที่วันมรณภาพตรงกับวันที่ท่านทำบุญเป็นประจำทุกปี ถือเป็นเรื่องอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่มีบุญบารมีมาเกิด
จึงมีคำถามว่า..ทำไมท่านถึงให้ความสำคัญในวันนี้เป็นกรณีพิเศษ หากจะวินิจฉัยโดยหลักการทั่วไปว่า คนเราที่เกิดมาส่วนใหญ่
วันคล้ายวันเกิดจะสำคัญสำหรับตนเองเป็นที่สุด คือเป็นวันพิเศษที่จะต้องทำบุญทำกุศล เพื่อให้เกิดเป็นสิริมงคลกับชีวิตของตนเองปีละครั้ง ถ้าสงสัยในเรื่องนี้
ลองฟังเทปม้วนนี้กันก่อนนะ
อาลัยหลวงพ่อปาน ม้วนที่ 2 หน้า B (ดูได้ครบทุกตอน)
...ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ฟังหลวงพ่อเล่าพอสังเขปแล้ว หากจะเดาๆ เอาเช่นเดียวกับหลวงพ่อ ก็น่าจะเป็นวันเกิดของหลวงปู่ปาน หมายถึง "วันเกิด" ตรงกับ
"วันตาย" นั่นเอง โดยถือหลักเอาวันแรม 14 เดือน 8 เป็นเป้าหมาย แต่ส่วนองค์ของหลวงพ่อท่านไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ท่านคงมุ่งเฉพาะเดือนเกิดเท่านั้น
แต่ตามธรรมดาของลูกศิษย์ก็ย่อมเห็นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เมื่อนำไปเทียบกับปฏิทิน 100 ปี ย้อนหลังเมื่อร้อยกว่าปีก่อน คือ วันที่ 16 กรกฎาคม 2418
จะตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 ปีกุน
แต่ถ้าเอาความสำคัญของวันแรม 14 เดือน 8 ปีกุน จะตรงกับ วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม 2418 (มรณภาพ วันที่ 26 กรกฏาคม 2481) จะสังเกตเลข พ.ศ. เลขเดียวกัน
(2418 - 2481) เพียงแต่สลับตำแหน่งเท่านั้น ส่วนวันที่เกิดและวันที่มรณภาพใกล้เคียงกัน
เพราะฉะนั้น ถ้านับย้อนไปในวันเดือนปีเกิดของท่าน คือ วันแรม 14 เดือน 8 แล้วนำมาเทียบกันในปีนี้ จะตรงกับ วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม 2560
ตามปฏิปทาที่หลวงปู่จะทำบุญเป็นประจำทุกปี จนถือเป็นประเพณีของท่านจนกระทั่งปีสุดท้าย
ส่วนวันที่ 16 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมาจะตรงกับ วันแรม 8 ค่ำ เดือน 8 จึงไม่แน่ใจว่าผู้ใดเอาวันนี้มาบันทึกไว้เป็นประวัติของท่าน
เท่าที่เห็นส่วนใหญ่คัดลอกต่อๆ กันมา หากใครมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ กรุณาอ้างอิงแหล่งที่มาด้วย จักขอบพระคุณยิ่ง
ถ้าจัดลำดับความสำคัญของตัวเลขดังกล่าว คือ วันแรม 14 ค่ำ เดือน 8 ตามที่ผู้เขียนตั้งสมมุติฐานขึ้นมาพอจะสรุปได้ ดังนี้
วันแรม 14 ค่ำ เดือน 8 : วันเกิด วันที่ 31 กรกฎาคม 2418
วันแรม 14 ค่ำ เดือน 8 : วันมรณภาพ วันที่ 26 กรกฏาคม 2481
วันแรม 14 ค่ำ เดือน 8 : วันครบรอบ 100 ปีเกิด วันที่ 7 กรกฏาคม 2518
วันแรม 14 ค่ำ เดือน 8 : วันครบรอบ 142 ปีเกิด วันที่ 22 กรกฏาคม 2560
สาธุ...จึงขอน้อมกราบพระเดชพระคุณหลวงปู่ด้วยความเคารพยิ่ง ที่ได้ถวายความเข้าใจไว้ ณ โอกาสนี้
พร้อมทั้งขอกราบอนุโมทนาในบุญบารมีทั้งหลาย ที่หลวงปู่ได้บำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติ จนเต็มครบถ้วนทั้ง ๓๐ ทัศ
จัดเป็นชาติสุดท้ายแล้ว เพื่อมุ่งมาดปรารถนาพระโพธิญาณ จนกาลเวลาใกล้มาถึงที่จะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า "พระธรรมราชาพุทธเจ้า"
ภายในกัปนี้แล้ว (ซึ่งจะนำมาเล่ารายละเอียดภายหลัง)
วันนี้..วันที่ 22 กรกฎาคม 2560 ตรงกับเดือน 8 แรม 14 พอดี หากพระเดชพระคุณหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงจะได้บำเพ็ญทานบารมี
ด้วยการถวายสิ่งของทุกอย่างให้แก่พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายภายในวัด เหมือนเช่นเคยที่ปฏิบัติเป็นประจำทุกปี
แต่ทว่าคงเป็นไปไม่ได้ในเมื่อหลวงปู่จำต้องละสังขารไปเป็นธรรมดา และเป็นไปไม่ได้ที่หลวงปู่จะมีอายุยืนยาวมาจนถึงวันนี้ 142 ปี
คงเหลือแต่ความอาลัยที่ลูกหลานยังระลึกถึงพระคุณความดี ที่ได้เมตตาอบรมสั่งสอนให้ความรู้แก่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ สืบมาจนกระทั่งถึงพวกเราเหล่าคณะศิษย์ทั้งหลาย
แต่ก็ไม่สามารถติดตามหลวงปู่ไปในสมัยที่เป็นพระพุทธเจ้าได้
เนื่องจากจำเป็นที่จะต้องไปนิพพานกับหลวงพ่อในชาตินี้กันแล้ว ถ้ามีข้อประพฤติความดีที่ผ่านมา หากมีข้อผิดพลาดประการใด
ขอองค์หลวงปู่ได้โปรดเมตตาอดโทษให้แก่ลูกหลานด้วยเถิด ตั้งแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ.
....มหาโพธิสัตโต ปะมาเทนะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราทัง ขะมะถะ เม ภันเต
อุกาสะ ขะมามิ ภันเต
กราบ...กราบ...กราบ
ในนาม..คณะลูกหลวงพ่อพระราชพรหมยานทุกคน
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 6/7/17 at 19:03
[ ภาค 1 ตอนเดียวจบ]
หลวงพ่อปานไว้หนวดจริงหรือ ?
...วันนี้ตรงกับวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ถ้าจะถอยหลังไปหนึ่งร้อยปี ก็จะเป็นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๘ ซึ่งเป็นวันและเดือนเกิดของหลวงพ่อปาน
แต่วันที่เท่าไรอาตมาจำไม่ได้ ถึงแม้จะจำได้ก็ไม่อยากจะจำ
ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะเหตุว่า เห็นว่าไม่สำคัญมากนัก ด้วยทางวัดบางนมโค ก็ได้จัดทำหนังสือเล่มใหญ่ออกแจกแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
มีราคาประมาณเล่มละ ๑๕๐.- บาท หรืออย่างไรก็ไม่ทราบแน่ชัด เป็นเล่มใหญ่มาก
...แต่ทว่าหนังสือเล่มนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน อาตมาเห็นภาพหน้าปกเข้าก็รู้สึกว่าเป็นของอัศจรรย์ เพราะปรากฏว่าเป็นภาพของ "หลวงพ่อปานไว้หนวด"
แต่ว่าหนวดขาว ผมขาว เพราะเป็นภาพสี เห็นชัดเจน แล้วก็ไหล่ลู่ มียันต์แขวนที่หน้าอก
พอมองเห็นเข้าแล้วก็ตกใจ เพราะว่าอาตมานี้ขาดความรอบคอบไปมาก ในฐานะที่อยู่กับหลวงพ่อปานมาหลายปี และการอยู่ในที่นั้นกับหลวงพ่อปาน
ทำไมอาตมาจึงไม่เห็นหลวงพ่อปานมีหนวดหงอก และมีผมหงอกหนวดยาวขนาดนั้น
...ถ้าเราจะกะประมาณการไว้หนวดกัน ก็จะต้องใช้เวลาถึง ๓ - ๔ เดือน หนวดจึงจะยาวขนาดนั้นได้ และในสมัยนั้นก็ปรากฏว่า พระ ๑๕ วันโกนผมครั้งหนึ่ง
และบังเอิญจะเป็นพระที่ขี้เกียจโกนหนวดก็จะโกนพร้อมๆ กับโกนผม แต่เมื่อพิจารณาไปแล้วภาพนั้นผมยาวไม่สมควรกับหนวด
...เป็นอันว่า กลายเป็นหลวงพ่อปานเล่นหนวดไป แล้วมองไปที่มือ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ปรากฏว่าในภาพมีเล็บยาว
หลวงพ่อปานเคยสอนบรรดาท่านพุทธบริษัทและบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายว่า ให้มีความเคารพในพระธรรมวินัย
ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำ และจะว่ากันไปแล้วอาตมาก็ยังขาดความรอบคอบไปมาก ทั้ง ๆ ที่อยู่กับท่านมาหลายปี
แต่ไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้เลย มันน่าอัศจรรย์
...จึงน่าขอบคุณท่านที่สามารถเอาภาพหลวงพ่อปานที่อาตมาไม่เคยเห็นมาลงไว้เป็นอนุสรณ์
เป็นการกระตุ้นเตือนใจแสดงถึงความรู้สึกหวังดีของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่นำ ภาพนี้มาใส่เข้าไว้ แต่ก็เป็นที่น่าสลดใจอยู่นิดหนึ่ง หลวงพ่อปานเป็นคณาจารย์ใหญ่
ทำไมจึงไม่เคารพในพระธรรมวินัย เอาเล็บไว้ยาว ปล่อยหนวดเครา แต่ผมสั้นกว่าหนวด
...ถ้าใครจะมาบอกอาตมาว่าหลวงพ่อปานเป็นพระคร่ำครึไม่ทันสมัย และไม่เคารพต่อพระธรรมวินัย อย่างนี้อาตมาก็จะรู้สึกว่ามีความลำบากใจที่จะพูดไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะนับตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เรื่องพระธรรมวินัยหลวงพ่อปานเคารพมาก เพราะมีความแน่ใจว่า เมื่อองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ ธ ปรินิพพานแล้ว
องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า
...อานันทะ ดูก่อน อานนท์ เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยที่เราสอนเธอไว้จะเป็นศาสดาสอนเธอ นั่นหมายถึงว่า
พระธรรมวินัยนี้เป็นการแทนองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดานั่นเอง
...และในเมื่อหลวงพ่อปานเป็นพระทรงสมาบัติ เป็นพระโพธิสัตว์เปล่งวาจาในขณะที่บำเพ็ญกุศลแล้วต่อหน้าประชาชนว่า
.
"....ผลบุญในคราวนี้ที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญกุศล ขอให้เป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตกาลนั้นเถิด..."
.
...พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญกุศลแล้วเปล่งวาจาต่อหน้าประชาชนปรารถนาพระโพธิญาณ นี่ตามที่ทราบกันมาก็หมายความว่า ท่านผู้นั้นมีบารมีเป็น
"ปรมัตถบารมี" ใกล้จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ
ถ้าภาพนี้เป็นภาพของหลวงพ่อปานจริง ก็เป็นที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง ไม่ทราบว่าท่านไปถ่ายไว้ที่ไหน และก็อาตมาเองก็ไม่เคยพบท่าน จะไปดูภาพภายในซึ่งมีจริยาต่างๆ
อยู่ในหนังสือเล่มเดียวกัน ก็ไม่ปรากฏหลวงพ่อปานมีหนวด เอาไว้หนวด หรือมีเล็บยาว
...นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่เป็นเหตุให้อาตมาเกิดความเศร้าใจ ด้วยคิดว่า เพราะเจตนาอันใดที่บรรดาคณะลูกศิษย์ลูกหาซึ่งอยู่ในสำนัก
จึงได้นำภาพนี้ขึ้นมาเชิดชูไว้หน้าปก ถ้าเราจะคิดว่าเป็นการเชิดชูความดีของครูบาอาจารย์ก็เป็นของยาก
เพราะว่าการแสดงตนแบบนั้นเป็นการไม่เคารพในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มีคนถามกันหลายคนว่า
.
"...ตอนสมัยที่อยู่กับหลวงพ่อปานน่ะ เคยเห็นหลวงพ่อปานเอาไว้หนวดไหม...?
.
อาตมาก็จะตอบได้แต่เพียงว่า ในขณะที่อยู่ด้วยไม่เคยเห็นหลวงพ่อปานเอาไว้หนวด และเวลาที่หลวงพ่อปานมรณภาพเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
ก็ไม่ปรากฏเลยว่าหลวงพ่อปานจะมีผมขาว มีหนวดขาวอย่างนั้น ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องผมหงอกกันแล้ว
หลวงพ่อปานก็คงมีผมหงอกไม่ถึงหนึ่งในร้อยเปอร์เซ็นที่ผมท่านมีอยู่...."
.
...นี่สิ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เป็นเหตุให้สงสัยว่าภาพนี้คงจะปรากฏออกมาได้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของหลวงพ่อปาน
หรือมิเช่นนั้นก็ต้องเป็นอิทธิฤทธิ์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่สร้างสรรหนวดให้ เกิดขึ้น แล้วก็ทำหนวดขาว ผมขาว ซึ่งไม่ตรงตามความเป็นจริง
...แต่ว่าจะ มีอีกสิ่งหนึ่งก็คือว่า หลวงพ่อปานตายแล้วเกือบร้อยปีไม่เคยโกนหนวด แต่โกนผม ดังนั้นหนวดก็เลยยาวแต่ผมสั้น และหนวดอายุเกือบร้อยปีก็เลยขาว
ผมก็ขาวไปด้วย ถ้าจะว่าอย่างนั้นก็ยังเป็นที่สงสัยอีก ก็เพราะว่าหลวงพ่อปานมรณภาพไปแล้วประมาณร้อยวันเศษๆ เราก็เผากัน ไม่ได้เก็บเอาซากศพของท่านไว้
...ถ้าหากจะบอกว่าหนวดมันงอกขึ้นมา และหนวดมันแก่ลงไปก็เป็นของอัศจรรย์ ข้อนี้อาตมามีความสงสัยมาก ถ้าหากว่าทางวัดบางนมโคมีโอกาสจะแจ้งมาให้อาตมาทราบ
ก็จะได้แจ้งแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า ภาพนี้ได้มาจากไหน...ก็จะเป็นการดี..."
(จากเทปชุด - อาลัยหลวงพ่อปาน)
.
* หมายเหตุ : ท่านพูดเรื่องนี้ไว้นานหลายปีแล้ว แต่รูปภาพเช่นนี้ก็ยังหลุดรอดออกมาตลอด
จนกระทั่งสมัยนี้ก็ยังมีให้เห็นในโลกออนไลน์ หากไม่ชี้แจงให้เห็นถึงความจริง ผู้คนภายหลังก็จะเข้าใจ ในภาพลักษณ์ของครูบาอาจารย์ผิด
ท่านผู้อ่านจะเห็นเป็นอย่างไรก็ตาม นี่แค่ไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมา สังคมก็นิยมแชร์ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องไป
แล้วนับประสาอะไรที่ท่านจะฝากวัดท่าซุงไว้ให้กับลูกหลานถึง 4,500 ปี ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันรักษาไว้ แล้วใครจะทำ... (หวังว่าคงไม่ทำ...ลายกันนะ) *
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 14/7/17 at 03:09
[ ภาค 2 ตอนที่ 1]
(Update 14 กรกฎาคม 2560)
หลวงปู่ปาน กับ หลวงปู่คำคะนิง
ตามประวัติเกี่ยวข้องกันจริงหรือ..?
...เมื่อกล่าวถึงหลวงปู่ปานนำคณะออกธุดงค์ ตามที่หลวงพ่อเคยเล่าไว้ในหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน" ตอนพบกับ "พระอภิญญา" ในป่าเขตเชียงตุง
โดยหนังสือเล่มนี้ได้พิมพ์ออกเผยแพร่ตั้งแต่ ปี ๒๕๑๕ ถ้าย้อนอ่านให้ละเอียด จะพบว่าหลวงพ่อไม่ได้เอ่ยชื่อ หลวงปู่คำคะนิง ไว้แต่อย่างใด
หรือแม้แต่หนังสือหลวงพ่อธุดงค์ และหนังสือเล่มอื่นๆ ของท่านก็ตาม
...แต่ก่อนอื่นผู้เขียนขอชี้แจงก่อนว่า ปกติก็มีความศรัทธาและเคารพนับถือหลวงปู่คำคะนิงเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว
และได้เคยไปกราบไหว้สังขารของท่านถึงที่วัดหลายครั้งแล้ว
...ฉะนั้น เรื่องประวัติความเป็นมาเหล่านี้ จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องส่วนองค์ท่าน แต่อาจจะเกี่ยวข้องกับผู้อื่นบ้าง ทั้งนี้ทั้งนั้น
เพื่อความเป็นจริงและถูกต้องที่สุด โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เที่ยงธรรม เพื่่อจะได้บันทึกประวัติของท่านได้อย่างถูกต้อง
อันเป็นประโยชน์ต่อบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ในการศึกษาชีวประวัติของพระคณาจารย์ที่มีความสำคัญทั้งหลาย
จะได้จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ตามความเป็นจริงที่สุด
...โดยเฉพาะเรื่องนี้ บังเอิญผู้เขียนได้รับรู้ด้วยตัวเอง คือไม่ได้ฟังเขาเล่าว่าต่อๆ กันมาแต่อย่างใด หากไม่ชี้แจงเรื่องราวไว้ก่อน
อนาคตต่อไปก็จะคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง นี่ก็เป็นเรื่องราวที่ถูกปล่อยไว้นานหลายสิบปีแล้ว
สำหรับโอกาสนี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสพบทางสื่อออนไลน์ เช่น Facebook เป็นต้น จึงหาโอกาสได้ชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อฝากไว้ในวิจารณญาณของท่านผู้อ่านทั้งหลาย
ก่อนอื่นขอย้อนประวัติที่หลวงพ่อเล่าไว้ในหนังสือ ประวัตหลวงพ่อปาน ก่อนดังนี้...
พบพระอภิญญาในป่าลึก (MP3)
.....การไปธุดงค์คราวนั้น คณะธุดงค์ออกเดินทางกันตั้งแต่ข้างแรมเดือนอ้าย แล้วกลับวัดเอาใกล้จะเข้าพรรษาเดือน ๘ไปดงกันจริง ๆ กินข้าวชาวบ้านไม่กี่วัน
นอกนั้นกินข้าวในป่า
เมื่อเข้าถึงเขตเชียงตุง ไปตามถ้ำต่าง ๆ จึงพบพระ เพื่อนของหลวงพ่อปานที่ได้อภิญญา เรื่องก็มีมาว่าเข้าไปพบพระองค์หนึ่ง พอเข้าไปถึงเขาลูกหนึ่ง
แล้วก็มีพระองค์หนึ่งแก่ ๆ ผอม ๆ ผมยาวใกล้ถึงเอว เสื้อผ้าที่ท่านใส่เป็นสีที่บอกไม่ถูก พอเข้าไปแล้วพอเห็นกันเข้า หลวงพ่อปานท่านถาม
เออ..นี่พระหรือคน
พระองค์นั้นหันมาทำตาขวาง ๆ แล้วพูดว่า
ไอ้พระมันอยู่ที่ไหน ท่านพูดแบบนี้นะว่า เฮ้ย..พระมันอยู่ที่ไหนวะ"
หลวงพ่อปานท่านว่า อ้าว..เห็นผมยาว ผ้าอีหรุปุปะ สีเหลืองไม่มี จะรู้หรือว่าพระหรือคน
ท่านก็ถามว่า พระมันอยู่ที่ผมหรือวะ
หลวงพ่อป่านท่านบอก ไม่ใช่
ท่านถามต่อไปว่า พระมันอยู่ที่ผ้านุ่งหรือวะ
หลวงพ่อปานท่านบอกว่า ไม่ใช่
ท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่า พระอยู่ที่ไหน
หลวงพ่อปานบอกว่า พระน่ะอยู่ที่ใจสะอาด
แล้วท่านก็เลยหันมาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นละก็เสือกมาถามทำไมว่าพระหรือคน
หลวงพ่อปานบอกว่า เห็นผมยาว เห็นผ้ารุงรัง
ก็ในเมื่อพระไม่ได้อยู่ที่ผม พระไม่ได้อยู่ที่ผ้า แล้วเสือกมาถามทำไม ทำไมไม่ดูใจคน
ตอนนี้ท่านทำท่าโมโหจัดแล้วบอกว่า ไอ้พระบ้าน..พระเมือง พระกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดี มันจะต้องเห็นดีกัน
ท่านหันไปคว้าไม้แบบหวายยาวประมาณวาหนึ่ง ขว้างตกไปข้างหน้าหลวงพ่อปาน ไม้นั้นกลายเป็นงูใหญ่ ยาวหลายวา ใหญ่มาก เลื้อยเข้ามาทำท่าจะกัด
บรรดาศิษย์ธุดงค์ทั้งหลายหลบไปอยู่หลังหลวงพ่อปานกันหมด ต่างแปลกใจเห็นไม้เป็นงู
หลวงพ่อปานเห็นงูเผ่นเข้ามา ท่านก็เลยบอก เฉย ๆ เสีย แล้วก็หยิบใบไม้ขว้างลงไป ใบไม้กลายเป็นนก เฉี่ยวเอางูติดเล็บขึ้นไปบนยอดไม้
แล้วก็เล่นกันอยู่อย่างนั้นล่ะ ทำเป็นเสือเป็นสางเป็นอะไรต่ออะไรของท่าน ไม่เห็นท่านเสก หรือว่าคาถาอะไร คว้าอะไรได้ก็ขว้างลงไป มันก็เป็นขึ้นมา
อีกองค์ก็คว้าขึ้นมาได้ ก็ขว้างลงไป เป็นตัวอะไรมาได้ แล้วก็รบกัน
เมื่อกันเหนื่อยแล้วต่างคนต่างนั่งหัวเราะกัน แล้วก็คุยให้ฟังว่า นี่ข้าเพื่อนกัน หลวงพ่อปานพยักหน้า ศิษย์คณะธุดงค์ก็เลยเข้าไปกราบท่าน ท่านเอามือมาลูบหัว
หลวงพ่อปานก็บอก
พระพวกนี้เขาอยากเห็นของจริง แล้วเขาเป็นคนเอาจริง นี่พวก ๓ - ๔ องค์นี่..เขาเอาจริง ก็เลยอยากจะพามาให้พบ อยากจะให้สอน ๒ องค์นี่ในด้านอภิญญา
ท่านชี้ไปที่พระเพื่อนหลวงพ่อฤาษี ๒ องค์ ส่วนหลวงพ่อฤๅษี หลวงพ่อปานท่านไม่ได้ชี้ แล้วท่านก็บอก
องค์นี้ไม่ได้ เล่นอภิญญาไม่ได้ คือว่าต้องอยู่บ้านอยู่เมือง เป็นหนี้เขาอยู่มาก ต้องใช้หนี้เขา ลูกหลานมาก บริวารมาก บริษัทมาก ให้เล่นอภิญญาไม่ได้
ถ้าขืนเล่นอภิญญาเดือดร้อน ดีไม่ดีพระเขาจะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม แล้วพากันจับสึกเข้า อะไรเข้า จะพากันลงนรก
พระพวกได้อภิญญานี่ดีไม่ดี ถ้าเป็นอภิญญาโลกียวิสัย ถ้าละกิเลสไม่ได้หมด ก็จะล่อพระหรือชาวบ้านที่มาว่า มากลั่นแกล้ง อานไปตาม ๆ กัน
ดีไม่ดีก็ชี้ให้ง่อยไปเสียบ้าง ขาเป๋ไปบ้าง ตาบอดไปบ้าง
เดี๋ยวก็เอาปากทำตูด เอาตูดทำปาก ให้ขี้ออกทางปาก กินทางตูด อะไรอย่างนี้ อย่างนี้เรียนไม่ได้ เรียนอภิญญาไม่ได้ สอนไม่ได้ องค์นี้ให้มันได้วิชชา ๓
ช่วยให้มันทรงมโนมยิทธิเท่านั้นพอแล้ว
พอหลวงพ่อปานบอกเท่านั้น ไม่เห็นว่าท่านตั้งท่าอะไร ท่านหันมายิ้มฟันขาว บอกว่า
เฮอะ..จะสอนอะไร ไอ้พวกนี้มันได้หมดแล้ว ไอ้นี่ มโนมยิทธิมันก็ได้แล้ว ไอ้เจ้าเขียนนี่มันก็ได้แล้ว
แล้วหันไปพูดกับพระเขียนว่า
เออ..เขียนเอ๊ย เอ็งน่ะมันรีบตายนะ ตั้งใจวิปัสสนาญาณนะโว้ย มุ่งเอาพระนิพพานเป็นที่ไป อย่าไปยุ่งกับใครนะ เอานิพพานอย่างเดียวนะเอ็งนะ กลับไปนี่ตายแน่
เอาเข้านั่น มันตายดีวะ ตายดีกว่าอยู่ อยู่นานเท่าไรลำบากเท่านั้น ตายเร็วเท่าไรสบายเท่านั้น
แล้วก็หันมาพูดกับพระเพื่อนหลวงพ่อฤๅษีฯ ทั้งสององค์ว่า
เออ..เอ็งได้แล้วนี่หว่าอภิญญา เอ็งจะมาเอาอะไรกับข้า เอาละ ถ้ามันมีอะไรสงสัยถามข้าได้ แต่ข้าไม่มีอะไรบอกวะ อาจารย์แกเขาเก่งอยู่แล้ว
ข้าน่ะไม่ได้เก่งกว่าเขาหรอก ไอ้เขาน่ะทำถ่อมตัวเพราะเขาอยู่ในบ้านในเมือง
นี่เขาหายใจไม่ออก เรียกว่าเขาอดกลั้นไม่ไหว เขาก็ออกมาหาข้าเสียที นี่เขาทำแบบนี้มานานแล้ว เออ ข้ามันเป็นชาวดงชาวป่า จะเอาได้แต่วิชาป่าอย่างเดียว
ต่อไปนี้สององค์ เราไม่มีหนี้กับเขา เออ..ไอ้เจ้านี่
แล้วท่านก็หันมาหาหลวงพ่อฤๅษีฯ
เอ็งนี่ลูกมากหลานมาก เป็นหนี้เขามากนะลูกนะ เอามันแค่วิชชา ๓ ก็พอฮิ ลูกฮิ..เอ็งจะเข้าป่าเข้าดงกับเขาได้ ก็เข้าได้ไม่นานหรอก ต้องไปใช้หนี้เขา ไอ้เด็ก ๆ
เล็ก ๆ มันยังไม่เกิดก็มีอีกมาก สงเคราะห์เขาไปนะ เรามันพวกพ้องมากนี่ เรามีพวกมีพ้องมาก มีอะไรก็แบ่งปันเขาไปช่วยสงเคราะห์เขาไป
เป็นการช่วยสงเคราะห์ตัวเองนั่นแหละ
ท่านว่าอย่างนั้น ว่าเสร็จก็คุยกัน หลวงพ่อปานกับคณะพักอยู่กับท่านประมาณครึ่งเดือน หลวงพ่อฤาษีฯ เล่าถึงท่านไว้ว่า
ท่านสอนวิปัสสนาญาณสวยงามมาก ว่าถึงลีลาที่ท่านสอนไพเราะเหลือเกินบรรดาผู้ฟัง แต่ลูกหลานที่รัก เวลาพูดจริง ๆ นี่นะ เวลาท่านสอนพระกรรมฐาน
วิปัสสนาญาณเห็นชัดพูดแจ่มใส พูดช้า ๆ และพูดสั้น ๆ
การพูดแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง พูดชั่วโมงเอาเรื่องไม่ได้ ท่านพูดไม่กี่คำ ประโยคสั้น ๆ เข้าใจง่ายเห็นชัด นี่ท่านเป็นพระอรหันต์เสียเยอะแยะ
ที่มา - http://www.thaprachan.com/shop-news-detail.php?id=1135
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 21/7/17 at 04:08
[ ภาค 2 ตอนที่ 2]
(Update 21 กรกฎาคม 2560)
หลวงปู่ปาน กับ หลวงปู่คำคะนิง
ตามประวัติเกี่ยวข้องกันจริงหรือ..?
ขอชี้แจงข้อเท็จจริง
...สำหรับตอนที่แล้ว ถ้าท่านผู้อ่านได้อ่าน "หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน" โดยละเอียดแล้ว จะเห็นว่าหลวงปู่ปานและหลวงพ่อได้พบกับ "พระอภิญญา ๖"
ซึ่งเป็นพระที่จบกิจมานานแล้ว คือเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นเอง โดยไม่สามารถจะดำรงเพศเป็นฤาษีได้ แต่สภาพที่พบนั้น
จะเห็นว่าแทบจะมองไม่เห็นสีผ้าจีวรของท่านเลย
...แสดงว่าสภาพเดิมของท่าน คือเป็นพระภิกษุนั่นเอง แต่การใช้ชีวิตอยู่ในป่านานๆ อาจจะต้องมีสภาพเช่นนี้ ซึ่งพระอภิญญาท่านสามารถแสดงสภาพของท่านแบบไหนก็ได้
และสำนวนการพูดก็เป็นไปในลักษณะของคนภาคกลาง คือคุยธรรมปฏิบัติลึกๆ กันแบบรู้เรื่องนั่นเอง ไม่ได้เป็นสำนวนอีสานหรือภาษาลาวแต่อย่างใด
...ส่วนประวัติหลวงปู่คำคะนิงนั้น ตามเว็บ dharma-gateway.com ที่เคยลงไว้นานแล้วว่า
นามเดิม :- คำคะนิง
เกิด :- ที่บ้านหนองบัว แขวงคำม่วน ประเทศลาว เมื่อวันพุธ เดือน ๔ ปีกุน พ.ศ ๒๔๓๗
โยมบิดา - มารดา :- ชื่อ นายดิน ทะโนราช และ นางนุ่น
(หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ก่อนจะบวชเป็นพระภิกษุ ท่านเคยเป็นฤาษีชีไพรมาก่อน ๑๕ ปี )
<< สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ >> http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-kumkaning/lp-kumkaning_hist.htm
...เป็นอันว่า ถ้าหลวงปู่คำคะนิงเคยบวชเป็นฤาษีมาก่อน และเคยพบกับหลวงปู่ปานในป่าลึก น่าจะเป็นคนละองค์กัน เพราะตามที่หลวงปู่กับหลวงพ่อพบนั้น
ท่านเป็นพระภิกษุอย่างแน่นอน การที่ผมยาวมีหนวดเครานั้น ไม่ได้หมายความว่าท่านเป็นฤาษีแต่อย่างใด
มีพระจากภาคอีสานมาพบหลวงพ่อ
...โดยเฉพาะระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๐ - ๒๕๒๘ ช่วงนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ท่านยังรับแขกอยู่ที่ ศาลานวราช
ผู้เขียนยังมีโอกาสรับใช้ท่าน ด้วยการติดตามออกไปรับแขกกับท่าน ร่วมกับพระภิกษุองค์อื่นด้วย
มีอยู่วันหนึ่ง ท่านนั่งรับแขกช่วงบ่ายๆ มีพระภิกษุเดินทางมาจากภาคอีสาน (ช่วงนี้ผู้เขียนอยู่ในห้องด้านหลังที่หลวงพ่อรับแขก แต่สามารถมองจากช่องเล็กๆ ได้)
ซึ่งมองดูหน้าก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ห่มผ้าจีวรสีกลักมาประมาณ ๒ รูป ถ้าจำไม่ผิดนะ
ผู้เขียนได้ยินเสียงพระภิกษุที่มาบอกว่า ท่านเป็นผู้อุปัฏฐาก หลวงปู่คำคะนิง วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี
แต่วันนั้นหลวงปู่คำคะนิงไม่ได้มาด้วย ผู้เขียนได้ยินพระภิกษุรูปนั้นท่านบอกกับหลวงพ่อว่า
ตามที่หลวงพ่อเล่าไว้ในหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน นั้น ช่วงที่หลวงปู่ปานพาหลวงพ่อธุดงค์ แล้วได้พบกับ พระอภิญญา ในป่าเชียงตุงนั้น
นั่นก็คือ หลวงปู่คำคะนิง วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ซึ่งในขณะนั้นท่านบวชเป็นฤาษีอยู่ในป่าลึก
ผู้เขียนเองก็ตั้งใจฟังว่า เรื่องนี้หลวงพ่อจะอธิบายอย่างไร เพราะเคยอ่านประวัติของท่านเล่าว่า หลวงปู่คำคะนิงก่อนจะบวชเป็นพระ
ท่านเป็นฤาษีก็ไว้ผมยาวประบ่าเหมือนกัน
ปรากฏว่าหลวงพ่อไม่ได้พูดอะไร ท่านนั่งฟังแล้วท่านนั่งเฉยๆ พระภิกษุผู้อุปัฏฐากหลวงปู่รูปนั้นก็กราบหลวงพ่อแล้วลากลับไปในที่สุด
หลังจากหลวงพ่อเลิกรับแขกแล้ว ท่านก็กลับไปพักผ่อน ระหว่างเดินกลับก็ไม่เห็นท่านพูดว่าอะไร
ประเด็นนี้...ในฐานะที่เคยอยู่ใกล้ชิดท่านมาก่อน ผู้เขียนจึงวินิจฉัยว่า ถ้าเป็นตามที่พระใกล้ชิดหลวงปู่คำคะนิงเข้าใจอย่างนั้นจริง
หลวงพ่อท่านคงจะบอกพวกเราให้ไปกราบไหว้หลวงปู่แล้ว เพราะถือว่าเป็นเพื่อนกับหลวงปู่ปาน นับเนื่องว่าเป็นครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อเหมือนกัน
แต่การที่ท่านไม่พูดอะไร ก็แปลได้หลายประเด็น คือมีทั้งใช่และไม่ใช่ แต่เท่าที่เคยสังเกตจริยาของท่าน หากมีพระดีที่ไหนท่านจะไม่ปิดบัง
ท่านมักจะแนะนำให้ลูกศิษย์ไปกราบไหว้ทันที
แต่ผลปรากฏว่า หลังจากนั้นก็มีข่าวตามหนังสือพระเครื่องบ้าง และหนังสือประวัติพระเกจิอาจารย์ต่างๆ บอกว่า พระอภิญญารูปนั้น คือ หลวงปู่คำคะนิง
ซึ่งเป็นเพื่อนกับหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค แล้วก็นำไปพิมพ์เผยแพร่ จนกระทั่งนำไปเล่าตามเว็บไซด์ชื่อดังต่างๆ
จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังนำมาเล่าในสังคมออนไลน์กันอย่างแพร่หลาย แล้วก็นำไปเป็นความเชื่อถือและความศรัทธา
คิดว่าเป็นเรื่องจริงไปในที่สุด แต่ความจริงก็ไม่เสียหายอะไร ถือว่านำมาเล่าย้อนหลังให้อ่านเล่นๆ ก็แล้วกัน เพราะเรื่องมันผ่านไปนานแล้ว
แต่ขณะที่เขียนเรื่องนี้พอดีได้พบข้อมูลในเว็บไซด์ buddha-amulet.com จึงขอนำเรื่องนี้มาประกอบการวินิจฉัยด้วยว่า เป็นเพราะเหตุนี้หรือไม่
เนื้อความตามเว็บไซด์พระเครื่องเล่าว่า...
...ขณะสิริอายุย่าง 91 ปี หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ได้สนทนาให้ธรรมะแด่ศิษย์ 2 รูปที่ใกล้ชิด คือ พระอาจารย์ทองสา คำแฝง และ พระสุธี ธาตุเหล็ก
ให้ดำเนินจัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นในต้นปี พ.ศ. 2527 โดยบอกเป็นนัยว่า
จะได้มีอนุสติ เพื่อระลึกถึงพระเดชพระคุณหลวงปู่ในยามจากไป
....ลูกศิษย์เอกทั้ง 2 จึงได้จัดสร้างเหรียญ และพระผงขึ้นเป็นรุ่น 1 ครั้นวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2527 หลวงปู่คำคะนิงก็ละสังขารอย่างสงบ
สรีะร่างของหลวงปู่คำคะนิงได้รับการอัญเชิญอยู่บนแท่นอันสมควร ณ ถ้ำคูหาสวรรค์ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
kitti - 22/7/17 at 05:34
[ ภาค 2 ตอน 3 จบ ]
(Update 29 กรกฎาคม 2560)
ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน คำว่า "พระอภิญญา"
ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "หลวงปู่คำคะนิง" หลังจากปี ๒๕๒๗ เป็นต้นมา
...เป็นอันว่า คำว่า "พระอภิญญา" มีการเพิ่มเติมให้มีสีสันไปจากเดิม ด้วยจะเจตนาหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี แต่ประวัติของท่านตอนนี้
จะออกแนวอภินิหารไปแล้ว จะด้วยเจตนาที่จะสร้างกระแสไปด้วยหรือไม่ ต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากจะเข้าใจเจตนาผิดไป ซึ่งแตกต่างกับคำสอนของครูบาอาจารย์
ที่ให้เน้นการปฏิบัติธรรมเป็นหลักเท่านั้น
นี่เป็นประวัติที่เขียนออกมาเผยแพร่กันมานานหลายสิบปี จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ (ปี พ.ศ.๒๕๖๐) ก็ยังไม่มีใครชี้แจง ซึ่งเนื้อหามีการเรียบเรียงถ้อยคำกันใหม่
พร้อมทั้งจั่วหัวเรื่องอย่างภาคภูมิใจในอิทธิฤทธิของท่าน (แต่ครูบาอาจารย์ใช้คำว่า "พระอภิญญา" เท่านั้น)
ท่านผู้อ่านสามารถเทียบเคียงกับต้นฉบับเดิมด้านบนได้ ณ บัดนี้...
หลวงพ่อปานลองฤทธิ์อภิญญากับหลวงปู่คำคะนิง
......เมื่อหลวงปู่คำคะนิงเดินธุดงค์ผ่านเข้าเขตเชียงตุง (ประเทศพม่าในปัจจุบัน ห่างจากด่านอ.แม่สายของไทยประมาณร้อยกว่ากม.)
ในเขตป่าใหญ่เทือกเขาแห่งหนึ่งเป็นภูเขาดิน มีอุโมงค์พอที่จะเป็นที่พักพิง หลวงปู่ท่านจึงคิดในใจว่า
จะเอาที่ตรงนี้เป็นที่ตาย โดยจะไม่ให้ใครเห็นแม้แต่ซากศพของท่านเอง หลวงปู่ท่านได้อยู่มาถึงหนึ่งพรรษา หลังจากผ่านไปประมาณเดือนห้าหรือเดือนหก หลวงพ่อปาน
วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้พาคณะธุดงค์ผ่านมาในเขตเชียงตุง มาพบหลวงปู่คำคะนิงในป่าลึก
...ครั้นเมื่อพบกัน หลวงพ่อปานก็พูดขึ้นว่า
เออ...นี้พระหรือคน
หลวงปู่คำคะนิงได้ยิน ก็เกิดโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที แล้วพูดขึ้นว่า
พระนะมันอยู่ที่ไหน เฮ้ย...พระมันอยู่ที่ไหนวะ
หลวงพ่อปานท่านก็ย้อนตอบว่า
อ้าว...ก็เห็นผมยาว ผ้าก็อีหรุปุปะสีเหลืองก็ไม่มี แล้วใครเขาจะรู้ว่าพระหรือคน
หลวงปู่คำคะนิงท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่า
พระมันอยู่ที่ผมหรือวะ หลวงพ่อปานตอบว่า ไม่ใช่
หลวงปู่คำคะนิงท่านก็ถามหลวงพ่อว่า
พระมันอยู่ที่ผ้าเหลืองหรือวะ หลวงพ่อปานตอบว่า ไม่ใช่
หลวงปู่คำคะนิงก็ถามอีกว่า
แล้วพระมันอยู่ที่ไหนเล่า
หลวงพ่อปานก็ตอบว่า
พระน่ะอยู่ที่ใจสะอาดนะซี
หลวงปู่คำคะนิงท่านก็เลยหันมาตะคอกเข้าใส่เอาว่า
ถ้าอย่างนั้นก็เสือกถามทำไมล่ะวะพระหรือคน
หลวงพ่อปานท่านก็เลยตอกกลับให้ว่า
เห็นผมเผ้ายาวรุงรังอย่างนั้นนี่ใครจะไปรู้เล่า
หลวงปู่คำคะนิงก็ยังไม่หายโมโห เลยกระแทกให้ว่า
ก็ในเมื่อพระไม่ได้อยู่ที่ผม ไม่ได้อยู่ที่ผ้าแล้ว เสือกมาถามทำไม ทำไมไม่ดูใจคน ไอ้พระบ้านพระเมือง พระกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดีมันจะต้องเห็นดีกัน
...หลวงปู่คำคนิงพูดจบ ท่านเดือดโมโหจัดก็เลยหันไปคว้าเอาหวายอันยาวร่วมวา ขว้างผลุงไปตรงหน้าหลวงพ่อปาน อัศจรรย์เป็นที่สุด
ไม้หายไปกลายเป็นงูตัวยาวใหญ่พุ่งฉกเข้าหากลุ่มพระธุดงค์หลวงพ่อปาน(หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ,หลวงพ่อฤๅษีฯเล็ก
และหลวงพ่อฤๅษีฯขาว)แตกฮือหลบฉากไปแอบอยู่ข้างหลังพ่อปานกันหมด ต่างก็แปลกใจไปตาม ๆ กันไม้ไหงกลายเป็นงู
...อัศจรรย์มาก ใบไม้ของหลวงพ่อปานก็กลายเป็นนกตัวใหญ่โฉบเอางูของหลวงปู่คำคนิงหายไปทั้งงูแลนกใหญ่ พองูตกลงมาถึงพื้นดินงูนั้นก็กลายเป็นช้างใหญ่
ส่วนของหลวงพ่อปานก็กลายเป็นเสือต่อสู้กันต่างฝ่ายต่างก็บันดาลให้เป็นสัตว์ร้าย
ต่อสู้กันเต็มไปหมด ยังไม่มีใครแพ้ ชนะ ต่างคนต่างบันดาลลมพายุฝนเข้ากระหน่ำกันจนทำให้ฝุ่นตลบไปหมดในบริเวณนั้น เวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน ก็หามีใครแพ้ชนะไม่
จนต่างฝ่ายต่างเหนื่อยอ่อน ทำอะไรกันไม่ได้
...ในที่สุดหลวงปู่คำคะนิงและหลวงพ่อปานต่างก็นั่งลงหัวเราะกันด้วยความขบขัน หลังจากนั้นหลวงปู่คำคะนิงก็บอกคณะธุดงค์ของพ่อปานว่า ข้าสองคนนี้เป็นเพื่อนกัน
พระธุดงค์ลูกศิษย์หลวงพ่อปานก็เข้าไปกราบหลวงพ่อคำคนิง ท่านก็เอามือลูบศรีษะพระทุกองค์ด้วยความเมตตา หลวงพ่อปานก็บอกกับหลวงปู่คำคนิง
ว่าพระพวกนี้เขาอยากเห็นของจริงก็เลยพาเขามาให้เห็นเสีย พระพวกนี้เขาก็เป็นคนจริงเสียด้วย
...หลวงปู่คำคะนิงก็เลยบอกว่า ข้าน่ะไม่ได้เก่งอะไรหรอก อาจารย์แกเขาเก่งอยู่แล้ว เมื่อพูดจบหลวงพ่อปานก็บอกว่า
ตัวท่านเองไม่เก่งหรอกสู้หลวงปู่คำคะนิงไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม ให้ใครเป็นอาจารย์กันผลสุดท้ายตกลงเป็นเพื่อนกัน
ในระหว่างพักแรมด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างโต้ตอบถามธรรมะแก่กัน ทั้งฝ่ายถามฝ่ายแก้ก็หาได้แพ้ชนะกันไม่ สลับถามตอบกันไปกันมา จนต่างฝ่ายเลิกถามกันไปเอง
หลวงพ่อปานและคณะธุดงค์ได้พักอยู่กับหลวงปู่คำคะนิงหลายวันพอสมควร จึงได้แยกย้ายจากกัน...
...ประวัติของท่านตอนนี้ มีการคัดลอกและแชร์ต่อๆ กันมา จะเห็นได้ว่าสร้างความน่าเชื่อถือไปหมดแล้ว
ผู้เขียนจึงขอนำตัวอย่างจากเฟสบุคและเว็บไซด์ต่างๆ (เป็นเว็บหลักที่มีผู้ชมมาก) ตลอดจนนำไปเล่าเรื่องไว้ใน Youtube เป็นต้น
(ทีมงานต้องขออภัยที่ต้องนำชื่อเว็บมาเปิดเผย ทั้งนี้เพื่อจะได้ช่วยกันปรับปรุงประวัติครูบาอาจารย์ให้ถูกต้อง และเว็บอื่นๆ
ก็จะได้แก้ไขให้ตรงตามความเป็นจริงต่อไป)
จาก - https://www.facebook.com/LuangpuPan/posts/459699187442109
จาก - http://www.tnews.co.th/contents/199320
จาก - http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=12354
จาก - http://www.danpranipparn.com/web/article.php?sid=79
จาก - http://forums.apinya.com/อภิญญา/7232-post1.html
จาก - http://palungjit.org/threads/หลวงปู่ปาน-วัดบางนมโค-พระโพธิสัตว์แห่งอยุธยา-ตอน-หลวงปุ่ปานพบหลวงปู่คำคะนิง.549142
...เรื่องราวประวัติความเป็นมา ระหว่างหลวงปู่ปาน (คนภาคกลาง) ที่บอกว่าเป็นเพื่อนกับหลวงปู่คำคะนิง (คนภาคอีสาน) ก็จบลงเพียงแค่นี้
อาจจะทำลายบรรยากาศความปลาบปลื้มยินดีของผู้อ่านไปบ้างต้องขออภัย
เพราะนี่เป็นเรื่องจริง จึงขอยุติด้วยการอ้างอิง "ประวัติหลวงปู่ปาน" จากเว็บเดียวกันคือ dharma-gateway.com ที่นำเสนอ "ประวัติหลวงปู่คำคะนิง"
มาเปรียบเทียบให้วินิจฉัยกันดังนี้
นามเดิม :- ปาน
เกิด :- ที่บ้านบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2418 ในสมัยรัชกาลที่ 5 (วันเกิดของท่านยังไม่ชัดเจน)
โยมบิดา :- ชื่อ อาจ โยมมารดา :- ชื่อ อิ่ม นามสกุล สุทธาวงศ์
<< สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ >> http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-parn/lp-parn-wat-bang-nom-kho-hist-01.htm
...ส่วนประวัติหลวงปู่คำคะนิงนั้น ตามเว็บ dharma-gateway.com ที่ลงไว้ว่า
นามเดิม :- คำคะนิง
เกิด :- ที่บ้านหนองบัว แขวงคำม่วน ประเทศลาว เมื่อวันพุธ เดือน 4 ปีกุน พ.ศ 2437
โยมบิดา - มารดา :- ชื่อ นายดิน ทะโนราช และ นางนุ่น
(หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี ก่อนจะบวชเป็นพระภิกษุ ท่านเคยเป็นฤาษีชีไพรมาก่อน ๑๕ ปี )
<< สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ >> http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-kumkaning/lp-kumkaning_hist.htm
...ท่านผู้อ่านลองวิเคราะห์ดูว่า เหตุผลของการเป็นเพื่อนนั้น จะต้องมีวัยมีอายุไล่เลี่ยกัน แต่ถ้าเอาตามหลักฐานนี้แล้ว
จะเห็นว่าหลวงปู่คำคะนิงอ่อนกว่าหลวงปู่ปานเกือบ ๒๐ ปี อยากให้ท่านผู้อ่านย้อนอ่านให้ละเอียดนะ โดยไม่มีเรื่อง "วัตถุมงคล" ของท่านเข้ามาแอบแฝง
...อนึ่ง การเล่าเรื่องเช่นนี้ ผู้เขียนก็ไม่มีเจตนาแอบแฝงเช่นกัน เพราะไม่ได้ปรามาสไปถึงองค์หลวงปู่แต่อย่างใด ผู้อ่านคงเข้าใจได้ดีว่า
มันมีช่องว่างของผู้เขียนประวัติของท่านภายหลังเท่านั้น ปัจจุบันผู้เขียนเดินทางไปที่วัด เพื่อไปกราบสรีระศพของหลวงปู่
ก็ได้พบและทำบุญกับเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันนี้เป็นปกติดีทุกอย่าง
...จึงหวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงจะเข้าใจเจตนาของผู้เขียนว่า ผู้เขียนเองก็ยังเคารพหลวงปู่คำคะนิงอยู่ดี เพราะตามประวัติที่เคยอ่าน
ท่านก็สามารถไปเมืองบาดาลได้ ท่านมีคุณพิเศษหลายอย่างที่น่าเคารพนับถือ ถึงแม้ประวัติของท่านตอนนี้จะมีคนเสริมสร้างภายหลัง
แต่ก็มิได้ทำให้เสื่อมคลายไปจากความศรัทธาต่อท่านแต่อย่างใด...สวัสดี
(โปรดติดตาม ภาค ๓ "คาถาล้างกรรม" เป็นของหลวงปู่ปานจริงหรือ ?)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 29/7/17 at 05:34
[ ภาค 3 ตอนที่ 1 ]
(Update 5 สิงหาคม 2560)
"คาถาล้างกรรม" เป็นของหลวงปู่ปานจริงหรือ ?
....ก่อนอื่นผู้เขียนต้องขอทำความเข้าใจกันก่อน เพราะคำว่า "คาถา" ย่อมเป็นของดี ท่องเพื่อระลึกถึงพุทธคุณ ธัมมคุณ และสังฆคุณ
เป็นอนุสติที่ดีย่อมมีผล ตามความเชื่อที่มีต่อครูบาจารย์นั้นๆ
ตัวอย่างเช่น คาถาพระปัจเจกโพธิ์ ที่หลวงปู่ปานได้เรียนมาจากครูผึ้ง แล้วมอบให้นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร ท่องจนได้ผล
ต่อมา หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ก็เพิ่มจากเดิมบ้าง สมัยนี้เรียกกันว่า "คาถาเงินล้าน" จนเป็นที่รู้จักและนิยมท่องกันอย่างแพร่หลาย
แต่ด้วยความมีชื่อเสียงโด่งดังนี้แหละ เป็นเหตุให้นักฉวยโอกาสจากความนิยม สร้างฉากใหม่ให้น่าเลื่อมใสยิ่งขึ้น
โดยการนำเอา คาถาล้างกรรม จากเดิมเป็นของ หลวงปู่บุญถา ถาวโร แล้วคัดลอกต่อกันไปเป็น หลวงปู่บุญมา ถาวโร คือพิมพ์ชื่อท่านผิด
ส่วนในเว็บพระเครื่องเป็น หลวงปู่บุญทา ถาวโร
จากนั้นก็มีมือดีเปลี่ยนไปเป็นของ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ซะงั้นแหละ คงเห็นฉายา "ถาวโร" เหมือนกับหลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร มั้ง
เลยหัวแหลมขึ้นมาทันที
ผู้มีพฤติกรรมเช่นนี้ยังปรากฏอยู่ในหมู่นักก้อปปี้ข้อมูลทั้งหลาย แล้วก็เติมไข่ใส่สีไปสารพัด จะบอกว่ามีเจตนาดีแต่ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะเห็นๆ
อยู่ว่าต้นฉบับเดิมเป็นของใคร ผู้ใดเป็นคนเขียน เป็นต้น
หนังสือเล่มนี้ก็มีการประกาศขายของเก่าทาง "เว็บขายของมือสอง"
www.b2s.co.th/products_detail.php?proid=2841
พร้อมถ่ายภาพปกหนังสือ และ ผู้เขียน : ดามภ์-เหม ไว้เป็นหลักฐาน
โดยมีการอธิบายไว้อย่างละเอียด ดังนี้
คาถาล้างกรรม หลวงปู่บุญถา ถาวโร
.....หลวงปู่บุญถา ถาวโร เป็นอีกพระอริยะสงฆ์แห่งอีสานตอนกลาง ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดละแวกใกล้เคียง ท่านเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด
ซึ่งท่านเคยเป็นอาจารย์สอนเวทมนตร์ให้ หลวงพ่อคูณ แห่งวัดบ้านไร่ มาแล้วในอดีต ด้วยหลวงปู่บุญถาเป็นพระเกจิผู้เรืองเวทย์อีกรูปหนึ่ง
และยังเป็นพระฝีปากกล้าทางเทศนาธรรม มีความแตกฉานทางธรรมะยิ่งนัก
ทุกครั้งที่ไปเทศนาธรรมโปรดสัตว์แก่ญาติโยม จะสอดแทรกธัมมะและคำสอนที่ลึกซึ้ง หลวงปู่บุญทามีรูปร่างสูงใหญ่ ได้ศึกษาพระธรรมทางไทยและเขมร
จึงมีความสามารถพูดและใช้ภาษาเขมรได้คล่อง
ยามที่หลวงปู่บริกรรมคาถามักจะนำภาษาเขมรมาใช้ประจำ แต่มิได้ละทิ้งภาษาไทย (อีสาน) ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยอยู่มิเสื่อมคลาย
.....หลังจากหนังสือต้นฉบับที่ประกาศขาย แต่ยังไม่มีรายละเอียดของพระคาถา ต่อมาก็มีการนำเอามาโพสต์ในเว็บไซด์
www.bloggang.com/viewdiary.php?id=baimaisisuay&month=11-2011&date=19&group=4&gblog=23
- โพสต์เมื่อ : 19 พฤศจิกายน 2554 ข้อความมีดังนี้
เอามาจากหนังสือ คาถาล้างกรรม หลวงปู่บุญมา ถาวโร ครับ
พระคาถาล้างกรรมล้างเวรให้บรรเทา
แต่เดิมนั้นพระคาถานี้ได้จาก "คนที่ตายแล้วฟื้น" กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ได้บอกกับพวกดวงวิญญาณทั้งหลาย
ที่มีความทุกข์ทรมานอยู่ในขุมนรกภูมิว่า
ให้สวดพระคาถานี้เรื่อยๆ จะช่วยให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน และคนที่
สวดพระคาถานี้จะมีความสุข สิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย จะไม่มากล้ำกรายใน
ชีวิต อายุจะยิ่งยืนยาวนาน
ก่อนบริกรรมพระคาถานี้ให้ตั้งนะโม 3 จบ แล้วท่องมนต์นี้ว่า
พุทโธ อะระหัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ พุทโธ อะระหัง
กัมมะโตเมตัง กัมมะภันทะนัง
ชีวิตตังให้ไปจุติ ให้ทุกชีวิตทุกวิญญาณจงไปผุดไปเกิดด้วยเทอญ
ให้บริกรรมพระคาถานี้ 3 คาบ จากนั้นให้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้
เจ้ากรรมนายเวร และดวงวิญญาณเหล่านั้น
.....ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า ผู้โพสต์นั้นได้นำเอารายละเอียดของพระคาถามาให้ท่องกัน แต่พิมพ์ชื่อ หลวงปู่บุญถา ถาวโร ผิดเป็น หลวงปู่บุญมา
ถาวโร
ส่วนคำว่า "คนที่ตายแล้วฟื้น" ผู้เขียนเน้นให้เห็นชัดๆ เป็นตัวหนังสือสีแดงนั้น เพื่อให้ผู้อ่านสังเกตไว้ก่อนว่า
ต่อไปเขาจะนำไปแต่งเป็นเรื่องเป็นราว คือจะกลายเป็น "คุณยายฟื้น" อยู่ข้างวัดบางนมโคนี่เอง จึงขอย้ำว่าจำไว้แม่นๆ
นะ..สวัสดี
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 5/8/17 at 03:44
[ ภาค 3 ตอนที่ 2 ]
(Update 12 สิงหาคม 2560)
"คนตายแล้วฟื้น" กลายเป็น "คุณยายฟื้น"
...ผู้เขียนได้ลำดับเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้น (เท่าที่ค้นหาข้อมูลได้นะ) เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายๆ ด้วย
แต่ขอให้เข้าใจว่าผู้เขียนไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายนะ
สำหรับเรื่องการสวดมนต์ เพียงแต่ไม่ตรงกับหลักธรรมคำสอนเท่านั้น และทนไม่ได้ที่เอาชื่อครูบาอาจารย์มาเกี่ยวข้องด้วยนี่ซิ
หลังจากคาถาบทนี้เป็นที่รู้จักกันแล้ว ต่อจากนั้นผ่านไปเป็นเวลา 4 ปี นับจากวันที่ 19 พฤศจิกายน 2554 จนมีผู้โพสต์คาถาบทนี้ในเว็บไซด์เดียวกันอีก
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2558
www.bloggang.com/viewblog.php?id=thewho&date=28-12-2015&group=11&gblog=161
- เรียบเรียงโดย : Horoscope.mthai.com เมื่อ : 28 ธันวาคม 2558 คราวนี้บอกว่าเป็นของ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ไปแล้ว
สำหรับเรื่องนี้เว็บไซด์ธรรมะชื่อดังก็ลงด้วยเป็นชื่อ หลวงปู่บุญมา ถาวโร
www.palungjit.org/threads/คาถาล้างกรรม-หลวงปู่บุญมา-ถาวโร.314591
- ตั้งกระทู้โดย bluebaby2, 18 พฤศจิกายน 2011 (2554)
จะเห็นว่าเป็นการโพสต์ก่อนหนึ่งวัน คือในเว็บ palungjit.org โพสต์ 18 พฤศจิกายน 2554 ส่วนในเว็บ bloggang.com โพสต์ 19 พฤศจิกายน 2554
** (ไม่รู้เป็นคนเดียวกันหรือเปล่า) ข้อความเหมือนกับคัดลอกกันมา แต่ก็ไม่อ้างแหล่งที่มายืนยัน เพียงแต่โพสต์ลอยๆ ว่าเป็นของ หลวงปู่บุญมา
ถาวโร มีข้อความเหมือนกันทุกถ้อยคำ
กาลเวลาผ่านไป 4 ปี นี่เป็นเว็บไซด์เดียวกันนะ คราวนี้มีการแต่งเรื่องให้น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น (ไม่ทราบว่าใครแต่งมาก่อน หรือคัดลอกกันมาอีกทีก็ไม่ทราบได้
ต้องขออภัยด้วย) นอกจาก "คาถาล้างกรรม" แล้ว คราวนี้หัวใสมี "บทกรวดน้ำ" เพิ่มเข้ามาอีก ที่อยู่เว็บไซด์ด้านล่างนี้
และบทพระคาถาที่แต่งเติมเข้ามาใหม่มีดังนี้
www.palungjit.org/threads/พระคาถาล้างกรรม-หลวงปู่ปาน-วัดบางนมโค.548254
ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 13 เมษายน 2015 (2558)
พระคาถาล้างกรรม หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
พระคาถานี้ "คุณยายฟื้น" ข้างวัดบางนมโค ท่านมักมาขึ้นพระกรรมฐานกับหลวงปู่ปาน เป็นประจำ วันหนึ่งมีชายสองคนมาคุมร่างแกไปถึงสำนักพระยายมราช
เมื่อตรวจดูก็รู้ว่าเอามาผิดคน ท่านพระยายมราช จึงให้เอาไปส่งก่อนกลับท่านได้ฝากสองคาถานี้ให้นำมาถวายหลวงปุ่ปาน วัดบางนมโค คือ
๑. คาถาล้างกรรม เพื่อที่ลูกหลานคนใดได้สวด บรรพบุรุษจะบรรเทากรรมหนักลง และ
๒. บทกรวดน้ำ ที่สามารถกรวดให้แก่วิญญาณสัมภเวสีให้พ้นทุกข์ เมื่อคืนมายังเมืองมนุษย์ คุณยายฟื้นได้นำมาถวายหลวงปู่ปาน
ซึ่งคาถานี้อยู่ในหนังสือเล่มเก่าของวัดบางนมโค ต่อมาคาถานี้ได้หายไปในการพิมพ์หนังสือใหม่ ผมมีต้นฉบับของเก่าเลยถ่ายมาลงเป็นวิทยาทานครับ
คาถาล้างกรรม
(ให้ตั้งนะโม 3 จบ)
*พุทโธ อะระหัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวัณโณ พุทโธ อะระหัง กัมมะโตเมตัง กัมมะภันทะนัง
ชีวิตตังให้ไปจุติ ให้ทุกชีวิตทุกวิญาณจงไปผุดไปเกิด (3 จบ)
.....ท่านผู้อ่านโปรดสังเกตด้วยว่า คราวนี้มีการเติมสีเติมกลิ่นกันอย่างหนัก หากย้อนกลับไปอ่านข้อความเดิมที่ว่า....
"แต่เดิมนั้นพระคาถานี้ได้จาก "คนที่ตายแล้วฟื้น" กลับมามีชีวิตอีกครั้ง"
.....ตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องเป็นราวให้น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยแต่งเติมเป็นตุเป็นตะกลางอากาศว่า
"พระคาถานี้ "คุณยายฟื้น" ข้างวัดบางนมโค ท่านมักมาขึ้นพระกรรมฐานกับหลวงปู่ปาน เป็นประจำ..."
......ท่านผู้อ่านจะเห็นว่าเป็นการโมเมเปตานังทั้งสิ้น จากคำว่า "คนตายแล้วฟื้น" เพี้ยนมาเป็น "คุณยายฟื้น" แล้วใส่เรื่องว่า "มาขึ้นพระกรรมฐานกับหลวงปู่ปาน เป็นประจำ"
ผลที่สุดกลายเป็นเรื่องของ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ไปในที่สุด จนถึงปัจจุบันนี้ ปี 2560 โดยที่หลวงปู่ปานไม่เคยรู้เรื่องด้วยเลย
นอกจากนี้ในบทความยังอ้างให้วัดบางนมโคเสียหายอีกว่า
"...ซึ่งคาถานี้อยู่ในหนังสือเล่มเก่าของวัดบางนมโค ต่อมาคาถานี้ได้หายไปในการพิมพ์หนังสือใหม่
ผมมีต้นฉบับของเก่าเลยถ่ายมาลงเป็นวิทยาทานครับ..."
ซึ่งพวกเราก็คงอยากอ่านเหมือนกัน โดยเฉพาะผู้เขียนก็มี "หนังสือเล่มเก่าของวัดบางนมโค" อยู่หลายเล่ม จึงอยากจะพิสูจน์เหมือนกันว่า
มีคาถาบทนี้อยู่ในหนังสือจริงหรือเปล่า แล้วไว้พบกันตอนต่อไปนะ..สวัสดี
(โปรดติดตามตอน พิสูจน์ "หนังสือเล่มเก่าของวัดบางนมโค" ต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 12/8/17 at 06:13
13 สิงหาคม 2560
เรียน ท่านผู้อ่าน ทราบ
....ตามที่ได้วงเล็บที่ข้อความไว้ข้างบนว่า ** (ไม่รู้เป็นคนเดียวกันหรือเปล่า) ตอนนี้ทราบแล้วว่าเป็นคนเดียวกัน เมื่อปี
2554 ทีโพสต์ใน bloggang.com และในเว็บ palungjit.org เมื่อปี 2558 โดย คุณ joni ยอมรับว่าเป็นคนโพสต์เอง ตามหลักฐานที่นำมาให้อ่านกันนี้
....ขอชี้แจงคุณ joni_buddhist ให้ทราบด้วยว่า ตามที่คุณโพสต์ในตอนท้ายว่า
"ผมงงที่วีดท่าซุงเดือดร้อนอะไรผมไม่กล่าวถึงเลย แปลกนะแอดมินเว็บนี้ชอบโจมตี พลังจิจอยู่เรื่อยๆๆ
...เรื่องนี้ขอเรียนชี้แจงว่า ไม่ได้เกี่ยวกับการโจมตีใคร โดยเฉพาะเว็บพลังจิตหรือเว็บอื่นๆ เพียงแต่นำมาอ้างอิงประกอบหลักฐานว่า
มีคนที่เอาเรื่องไม่จริงเข้าไปโพสต์ต่างหาก
วัดท่าซุงไม่ได้เดือดร้อนอะไร แล้วก็ไม่เกี่ยวกับวัดท่าซุงแต่อย่างใด เพราะพวกเรารับอาสาทำเว็บให้วัดต่างหาก ค่าใช้จ่ายต่างๆ พวกเราก็บริจาคกันเอง
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม วัดท่าซุงก็มีส่วนเผยแพร่คำสอนของหลวงพ่อ โดยที่หลวงพ่อก็อ้างว่าศึกษามาจากหลวงปู่ปาน ใครๆ
ที่นับถือหลวงพ่อก็ย่อมนับถือหลวงปู่เป็นครูบาอาจารย์ด้วย หรือใครจะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกัน
ถ้าอ่านให้ละเอียดทุกบรรทัดแล้ว การนำเรื่องนี้มาชี้แจง เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไข คือช่วยกันสนับสนุนให้ถูกต้องตามความเป็นจริง ทำไมต้องคิดว่าเป็นการโจมตี
ถ้าทำดีแล้วใครจะไปว่าอะไร
แล้วก็ถูกต้องตามที่คุณ "พุทโธอวโลกิเตศวร" กล่าวไว้ว่า
"...ในทัศนะผม ผมไม่ตัดสินเอาเป็นเอาตายว่าใครเป็นเจ้าของแท้จริง แค่เราได้นึกถึงพระรัตนตรัยและครูอาจารย์ที่ท่านสืบสานมา
และนำไปใช้ได้ผลกับตัวเราและคนรอบข้างได้ผลดี ฯลฯ"
เรื่องนี้ผู้เขียนขอโมทนาที่นำกระทู้นี้ไปลง จนมีผู้รับผิดชอบออกมาแสดงตัว และผู้เขียนขอปกป้องตัวเองไว้ด้วยว่า
การชี้แจงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลวงปู่ปานมานี้ เรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่ 3 แล้ว ที่ผ่านมาคือ
1. หลวงพ่อปานไว้หนวดจริงหรือ ?
2. หลวงปู่ปาน กับ หลวงปู่คำคะนิง เกี่ยวข้องกันจริงหรือ..?
ถ้าคุณ "พุทโธอวโลกิเตศวร" ได้อ่านทุกเรื่อง หรือแม้กระทั่ง คุณ joni_buddhist ก็ตาม จะเห็นว่าทุกเรื่องมีความสำคัญ ถ้าคิดแค่ไม่ตัดสินเอาเป็นเอาตายว่า
ใครเป็นเจ้าของแท้จริงแล้ว คงเป็นคนอ่านนี่แหละจะตาย เพราะเข้าใจในเรื่องของครูบาอาจารย์ผิดไป
ฉะนั้น ผู้ที่ชี้ช่องทางให้เดิน และคนที่ทำความมืดให้สว่างนั้น คิดว่าเป็นคนที่ชอบโจมตีบุคคลอื่นหรือ แล้วเขาทำเพื่อสิ่งใด ทำแล้วได้ประโยชน์อะไรบ้าง
อย่าลืม..พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้ปัญญา ต้องพิจารณาให้ดีเสียก่อนว่า ผู้ที่อ้างว่าเป็นของครูอาจารย์นั้น เป็นสิ่งที่ควรเชื่อถือได้แค่ไหน
และควรจะปรับปรุงหรือกลั่นกรองเรื่องแบบนี้กันอย่างไรดี จึงจะไม่ทำความเสียหายให้แก่พ่อแม่ครูอาจารย์ของเราต่อไป ยิ่งเป็นทีมธรรมทานของเว็บด้วยแล้ว
น่าจะใช้ให้มากๆ
สาธุครับ (สาธุ..ตามคุณพุทโธอวโลกิเตศวร)
....ขอชี้แจงคุณ joni_buddhist เพิ่มเติมว่า กรุณาเข้ามาอ่านให้ละเอียด ก่อนที่ตัดสินใจเหมาทั้งวัดนะครับ
ทีมงานฯ
[ ภาค 3 ตอนที่ 3 ]
(Update 19 สิงหาคม 2560)
พิสูจน์ "หนังสือเล่มเก่าของวัดบางนมโค"
....ตอนที่แล้วท่านผู้อ่านจะเห็นว่า คนโพสต์ได้ลงข้อมูลด้วยความมั่นใจมาก คงคิดไม่ถึงว่าจะมีการตรวจสอบภายหลัง จากผู้คนที่อ่านแล้วเขาไม่เชื่อก็มีอยู่
นอกจากชื่อเจ้าของคาถาที่ถูกเปลี่ยนไปแล้ว ยังหลับหูหลับตาแต่งเพิ่มอีกเป็นข้อที่ ๒ นั่นก็คือ "บทกรวดน้ำ"
ที่สามารถกรวดให้แก่วิญญาณสัมภเวสีให้พ้นทุกข์ได้ (แต่ "บทกรวดน้ำ" นี้ ภายหลังเปลี่ยนเป็นของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ไปอีก)
แล้วยังเล่าเป็นนิยายอีกว่า
"...เมื่อคืนมายังเมืองมนุษย์ คุณยายฟื้นได้นำมาถวายหลวงปู่ปาน ซึ่งคาถานี้อยู่ในหนังสือเล่มเก่าของวัดบางนมโค
ต่อมาคาถานี้ได้หายไปในการพิมพ์หนังสือใหม่ ผมมีต้นฉบับของเก่าเลยถ่ายมาลงเป็นวิทยาทานครับ..."
** โปรดสังเกตคำว่า "..เมื่อคืนมายังเมืองมนุษย์ คุณยายฟื้นได้นำมาถวายหลวงปู่ปาน.." ท่านผู้อ่านกรุณาจำไว้ให้ดีๆ นะ
เพราะคำนี้จะมีคนคัดลอกเอาไปดัดแปลงเป็น "...พระยายมราชได้ขึ้นมาบอกหลวงปู่ปาน.." ต่อไปอีก
.....ภาพนี้ไม่รู้ว่าใครถ่ายมาเป็น "คาถา" ภายในหนังสือเล่มหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นหนังสือเล่มไหน (อาจจะเป็นเล่มของหลวงปู่บุญถา ถาวโร
ที่นำภาพหน้าปกมาแสดงไว้ในตอนแรกก็ได้)
แต่ที่คุณ joni_buddhist บอกว่า "ผมเคยถ่ายต้นฉบับลงแต่ก็ไม่รู้ว่าภาพหายไปไหน" คำพูดนี้แสดงว่าไม่ใช่ของคุณจริง
ถ้าเป็นของคุณจริงก็ต้องมีภาพอยู่ในเครื่องคอมฯ ใช่ไหม...
เท่าที่ตรวจสอบไฟล์ภาพเดิมของคุณที่โพสต์ไว้นี่ไงครับ
https://scontent-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xtp1/v/t1.0-9/11149098_10206503150047198_1795407480086761984_n.jpg
ซึ่งเป็นไฟล์ภาพของ Facebook ที่หมดอายุไปแล้ว แสดงว่าไปก๊อปเขามา หรือไม่ก็เป็นกลุ่มเดียวกัน
ส่วนไฟล์ภาพปัจจุบันที่คุณหาไม่เจออยู่นี่ครับ (เป็นภาพตัวบทคาถาที่ผู้เขียนนำมาโพสต์ไว้ข้างบนนั่นแหละ)
https://scontent.fbkk7-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/11163244_823828944377810_3089261178834583503_n.jpg?oh=208e76afc4e651a5654283dff2
e32171&oe=5A35B8E4
ฉะนั้น เท่าที่ลำดับเหตุการณ์มานี่ ผู้อ่านคงจะปลงสังเวชได้ว่ามั่วสิ้นดี ซึ่งจะนำมาลงให้อ่านกันต่อไป
แต่ตอนนี้ขอตรวจสอบกับผู้โพสต์รายนี้ต่อไปที่บอกว่า
"....ซึ่งคาถานี้อยู่ในหนังสือเล่มเก่าของวัดบางนมโค ต่อมาคาถานี้ได้หายไปในการพิมพ์หนังสือใหม่
ผมมีต้นฉบับของเก่าเลยถ่ายมาลงเป็นวิทยาทานครับ..."
คำว่า "หนังสือเก่าของวัดบางนมโค" ผู้เขียนก็มีหลายเล่ม หากจะพิสูจน์กันจริงๆ นัดมาได้เลย เพราะทุกเล่มที่มีเรื่องราวของหลวงปู่ปาน
ไม่มีพระคาถาบทนี้อยู่ในหน้าไหนเลย ขอยืนยันและนั่งยัน จะได้จับคนโกหกเสียที
แต่เท่าที่เห็นภาพไม่ยักกะถ่ายปกหนังสือ ถ่ายแต่ตัวคาถาเท่านั้น ซึ่งใครๆ ก็ทำได้ไม่แปลกอะไร ส่วนภาพด้านล่างนี้เป็นเล่มหนึ่ง
หนังสือเก่าของวัดบางนมโค ที่แท้จริง (ในหนังสือนี้มีคาถาอะไรบ้าง ไว้วันหลังจะบอกให้)
.....หลังจากมีการคัดลอกคาถานี้กระจายกันไปทั่วแล้ว จาก หลวงปู่บุญถา ถาวโร กลายเป็น หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค จากชื่อ คนตายแล้วฟื้น
กลายเป็น คุณยายฟื้นไปในที่สุด
โดยหลวงปู่ปาน และวัดบางนมโค ไม่เคยเกี่ยวข้องด้วยเลย ต่อไปก็จะแปลงร่างไปเป็น พระยายมราช อีก นอกจากนั้นยังมีคาถาอีกบทหนึ่งที่กำลังแพร่หลาย
เอ้า..ติดตามกันต่อไป...
คาถาอัญเชิญพระเข้าตัว
.....ยังมีเรื่องที่สำคัญในโลกโซเชียลมีเดีย คือยุคปัจจุบันนี้นิยมการเขียนคำสอนสั้นๆ พิมพ์แปะกับรูปของท่าน
แล้วใส่ชื่อท่านว่าเป็นของอาจารย์องค์โน้นอาจารย์องค์นี้
โดยเฉพาะที่เพิ่งทำออกมาขณะนี้ กำลังเป็นที่นิยมของนักแชร์มือโปรทั้งหลาย พร้อมหัวข้อที่กระตุ้นความเลื่อมใสไว้ดังนี้ว่า
"อยากให้พระเครื่องเข้มขลังมากๆ หลวงพ่อปาน ท่านแนะวิธี ต้องใช้คาถาอัญเชิญพระเข้าตัว ทำตามแนะนำ รับรองดีแท้แน่นอน.."
บทสวดอัญเชิญพระเข้าตัว
....สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
อรหันตานัญ จะเตเชนะ รักขังพันธามิ สัพพะโส
พุทธังอธิษฐามิ ธัมมังอธิษฐามิ สังฆังอธิษฐามิ
(สวด 3 จบหรือ 5 จบ ก่อนที่ห้อยพระ) เว็บที่เอาไปลงมีดังนี้...
www.appgeji.com/หลวงพ่อปาน1009/
www.facebook.com/Deawrukan/posts/1873394049583337
palungjit.org/threads/อยากให้พระเครื่องเข้มขลังมากๆ-หลวงพ่อปาน-ท่านแนะวิธี-ต้องใช้คาถาอัญเชิญพระเข้าตัว-ทำตามแนะนำ-รับรองดีแท้แน่นอน.610731/
www.tnews.co.th/contents/307697
แล้วอ้างอิงที่่มาเหมือนกันหมดว่า - ขอขอบคุณข้อมูลจาก ธ.ธรรมรักษ์
และเรียบเรียงโดย ศักดิ์ศรี บุญรังศรี : สำนักข่าวทีนิวส์
.....คาถาบทนี้ได้เข้าไปตรวจสอบกับ "หนังสือเก่าของวัดบางนมโค" ทุกเล่มแล้วไม่มี.. คาถาบทนี้ที่อ้าง หลวงพ่อปาน
แนะนำ..ไม่มี แล้วเอามาจากไหน..?
ฉะนั้น สมัยนี้เป็นเรื่องไม่ยากที่จะจับนักแปลงสารทั้งหลาย ผู้เขียนก็ตามเข้าไปดูใน "ทีนิวส์" มาๆ ผู้อ่านตามมาด้วยกัน...
https://www.tnews.co.th/contents/307697
พบว่าคัดลอกมาจากข้อเขียนของ ธ.ธรรมรักษ์ จริงๆ โอ๊ะ..บทความยาวมาก นี่เป็นเว็บต้นตำรับ...
https://torthammarak.wordpress.com/2014/10/14/ห้อยพระอย่างไรให้ปาฏิห/
**โปรดตั้งข้อสังเกตว่า...มีการบิดเบือนจากเว็บที่เป็นต้นแบบ (ตามที่ทุกเว็บอ้างที่มาจาก - ธ.ธรรมรักษ์) ถ้าผู้อ่านเปิดอ่านดูตามผู้เขียน
แล้วนำมาเปรียบเทียบกับเว็บต่างๆ ที่มีการนำข้อมูลที่ผิดพลาดไปเผยแพร่ต่อ ซึ่งมีข้อความที่แตกต่างกัน ดังนี้
.....ข้อ 1. เว็บเดิมไม่มีรูปภาพ "หลวงปู่ปาน" ประกอบเลย (แล้วใครเป็นคนทำ ?)
.....ข้อ 2. หัวข้อเรื่องก็ไม่ตรงกัน คือเว็บเดิมตั้งชื่อว่า "ห้อยพระอย่างไรให้ปาฏิหาริย์เกิด" ส่วนเว็บอื่นตั้งว่า
"อยากให้พระเครื่องเข้มขลังมากๆ" จะเห็นว่า ธ.ธรรมรักษ์ ไม่ได้เขียนแน่นอน เป็นการเติมแต่งให้มีสีสรร
เพื่อให้เกิดศรัทธาในความขลังของครูบาอาจารย์เท่านั้น นี่คือหัวข้อเรื่องที่แท้จริงตามภาพด้านล่างนี้)
.....ข้อ 3. ธ.ธรรมรักษ์ เขียนอธิบายยาว แต่ก็มีการอ้างถึง "หลวงพ่อปาน" แค่นี้เอง ไม่ได้บอกว่าเป็นคาถาของท่านแต่อย่างใด เพียงแต่แนะนำว่า...
"...หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.อยุธยา บูรพาจารย์ที่ได้เคยกล่าวสอนลูกศิษย์ในการสร้างพระเครื่องไว้
อยากให้ทุกท่านได้อ่านจะได้เข้าใจว่า พระเครื่องแต่ละองค์ที่มาจากครูบาอาจารย์ผู้ประพฤติชอบและมีความรู้จริงนั้น ทำไมถึงมีพลานุภาพมาก
ขอย้ำอีกครั้งว่า ธ.ธรรมรักษ์ ไม่ได้ระบุว่าคาถานี้เป็นของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เพียงแต่นำมาอ้างอิงเท่านั้น
และก่อนจะถึงตัวคาถาก็อ้างว่า "ตามหลักของบูรพาจารย์นั้น..." แล้วก็ต่อด้วยบทคาถาดังกล่าวแล้ว โดยเขียนตอนท้ายไว้ดังนี้ว่า...
ก่อนคล้องพระต้องสวดบทคาถาอัญเชิญพระเข้าตัว
...ตามหลักของบูรพาจารย์นั้น เมื่อรับพระเครื่องมาแล้วนั้นไม่ว่าจะรับจากครูบาอาจารย์โดยตรง จากคนอื่นหรือไปเช่ามา หรือด้วยเหตุอันใดก็ตาม
ควรต้องมีการอัญเชิญพระเข้าตัว
การอัญเชิญนี้เพื่อให้คนที่รับพระเครื่องนั้น น้อมนำและสำนึกในพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
เป็นการเริ่มนิมิตหมายที่ดีในชีวิตที่กำลังเดินทางไปสู่ความเจริญ
.....นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แทรกเข้ามา เพื่อให้ผู้อ่านได้รู้ทันนักแปลงสารเหล่านี้ อย่าลืมคำว่า "พระคาถา"
ทุกคาถาเป็นของดีมีมงคล
แต่คำว่า "พระเครื่องเข้มขลัง" นี่ไม่เคยได้ยินจากสำนวนการพูดของหลวงพ่อวัดท่าซุงเลย และคำว่า "ล้างกรรม" หรือล้างเวร เป็นสิ่งที่ลบล้างไม่ได้
ใครทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับผลของกรรมนั้น นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
โดยเฉพาะหลวงปู่ปานจะต้องตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป ท่านย่อมเสียหายเสียเกียรติภูมิไปด้วย
จากผู้คนที่แอบยัดเยียดในสิ่งที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ไม่เคยสั่งสอนไว้ แล้วทำให้คนอื่นพลอยเข้าใจผิด
โดยคิดท่องคาถาเพื่อลบล้างหนี้เวรหนี้กรรมได้ ทำความบรรลัยให้เกิดขึ้นในหมู่คณะศิษย์วัดบางนมโค ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกัน
แต่ก็สะเทือนไปถึงคณะศิษย์วัดท่าซุงด้วย...ใช่ไหมละ
ในตอนหน้า คงจะได้เห็นการเพิ่มเติมจากเดิมไปอีก นั่นก็คือ "บทกรวดน้ำ" แล้วขยายไปทางสื่อออนไลน์ ประเภทจัดรายการทางทีวีด้วย
นับว่าได้ผลดีสำหรับคนหัวใสๆ แต่ทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของครูบาอาจารย์ไปด้วย..สวัสดี
(โปรดติดตามตอนเพิ่ม "บทกรวดน้ำ" ใน "คาถาล้างกรรม" ต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 19/8/17 at 05:13
.
[ ภาค 3 ตอนที่ 4 ]
(Update 27 สิงหาคม 2560)
เพิ่ม "บทกรวดน้ำ" ใน "คาถาล้างกรรม"
....พระคาถาบทนี้ได้รับความนิยมมาก เมื่อมีการเปลี่ยนชื่อเป็น หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค แล้วมีการโพสต์ในเว็บธรรมะที่มีชื่อเสียงด้วย
คนที่เข้ามาอ่านจึงเกิดความศรัทธามากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะสังคมสื่อออนไลน์เป็นของง่าย สามารถคัดลอกทันทีโดยมิได้กลั่นกรองเสียก่อน แล้วก็ขยายความออกไป คืองอกออกไปอีกได้แก่
"บทกรวดน้ำ" ที่บอกไว้เดิมว่าเป็นของ "หลวงปู่ปาน" ตอนนี้เปลี่ยนมือไปเป็นของ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" แล้วที่สำคัญยังระบุว่า
"...พระคาถาล้างกรรม บอกเล่าโดย ท่านพระยายมราช สู่ หลวงปู่ปาน แห่งวัดบางนมโค เพื่อที่ลูกหลานคนใดได้สวดแล้ว บรรพบุรุษจะได้บรรเทากรรมหนัก
ให้น้อยลง.."
อย่างนี้ใครๆ ก็ชอบใช่ไหม ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า จากต้นฉบับเดิม "คนตายแล้วฟื้น" แล้วเปลี่ยนมาเป็น "คุณยายฟื้น"
ตกลงชื่อนี้หายไปแล้วนะ ในตอนนี้กลับมาบอกเล่าโดย "ท่านพระยายมราช" นับว่ายิ่งเพิมน้ำหนักความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก ดังตัวอย่างต่อไปนี้
พระคาถาล้างกรรม และบทกรวดน้ำอิมินา ปุญญกัมเมนะ
จากเว็บไซด์ www.dharmaxp.blogspot.com/2015/05/1.html
จากนั้นก็เข้าไปบรรยายใน youtube ขึ้นตัวหนังสือชัดเจนด้วยว่า พระคาถาล้างกรรม โดย หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พร้อมอธิบายสรรพคุณไว้ด้วยว่า
รายการอัศจรรย์มนต์พิธี
รายการนี้เป็นรายการที่จะนำเสนอพิธีการในการสวดมนต์ต่างๆ ซึ่งถือเป็นการเชิญทุกท่านให้มาร่วมสวดมนต์ด้วยกัน
ซึ่งแต่ละบทที่จะมานำเสนอนั้นมีตำนานมากมายที่กล่าวถึง บ้างก็เคยหายสาปสูญไปแล้ว ซึ่งความมหัศจรรย์นั้นหาได้มีอื่นไกลเลย
มันอยู่ที่กำลังใจของตัวท่านผู้สวดเท่านั้นว่าไปได้ถึงเพียงไร ขอให้ทุกท่านสงบ จิต และอารมณ์ ณ ตรงนี้เสีย
ทำใจให้สบายและรับฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าจะนำเสนอเหล่านี้เถิด
ให้เสียงภาษาไทยโดย ฟ้าทะลายโจร
วันนี้เราจะมาทำการประกอบพิธีล้างกรรมด้วยตนเอง ซึ่งมีขั้นตอนและบทสวดดังต่อไปนี้
๑. พระคาถาล้างกรรม บอกเล่าโดย ท่านพระยายมราช สู่ หลวงปู่ปาน แห่งวัดบางนมโค เพื่อที่ลูกหลานคนใดได้สวดแล้ว บรรพบุรุษจะได้บรรเทากรรมหนัก
ให้น้อยลง
๒. บทกรวดน้ำ อิมินา ปุญญกัมเมนะ โดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่สามารถกรวดและอุทิศส่วนกุศล ได้ครอบจักรวาล เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้พ้นทุกข์
และพบแต่ความสุขต่อไป
สำหรับสิ่งที่ต้องเตรียม
๑. พระประธานได้จะดีมาก ให้หันพระไปทางทิศตะวันตก เพื่อที่ท่านจะได้กราบพระประทานไปในทางทิศตะวันออก หรือถ้าหากไม่มี ก็ให้ใช้พระเครื่องต่างๆ
ที่เราเคารพนับถือมาก ให้เอาผ้าสะอาดมาลองพระเอาไว้ แล้ววางบนหมอน หากเป็นหมอนที่หนุนนอนได้ก็ดีเช่นกัน หรือหากจะใส่พานก็ได้เช่นกัน
๒. ภาชนะสำหรับการกรวดน้ำ ตามแต่สะดวก หรือจะเป็นภาชนะแบบคู่ แก้วสองใบลักษณะเดียวกันก็ได้
๓. ธูปเทียนสำหรับการประกอบพิธี ธูป ๓ ดอก และเทียน ๑ เล่ม
เริ่มพิธีได้
จุดเทียน และธูปในบริเวณที่เราจะทำการประกอบพิธี จะวางไว้ตรงไหนนั้นตามแต่สะดวกกับสถานที่
เมื่อเสร็จแล้วให้ คุกเข่าและกราบลงตรงหน้าพระประธาน เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัย ๓ ครั้ง
ต่อมาให้ทำใจให้สงบ จะนั่งพับเพียบก็ได้ตามแต่อริยบทที่เหมาะสม ปล่อยวางเสียงทุกอย่าง สักครู่เมื่อท่านพร้อมก็ให้เริ่มได้
ตั้งนะโม ๓ จบ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ )
พระคาถาล้างกรรม (หลวงปู่ปาน แห่งวัดบางนมโค)
พุทโธ อะระหัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ พุทโธ อะระหัง
กัมมะโตเมตัง กัมมะภันทะนัง
ชีวิตตังให้ไปจุติ ให้ทุกชีวิตทุกวิญญาณจงไปผุดไปเกิด *(๓ จบ)
...หมดสิ้นทุกขเวทนา ทั้งนี้ ด้วยเทอญ
.....รายการนี้มีการเพิ่มเติมคำนี้ไปด้วยจากต้นฉบับเดิม "...หมดสิ้นทุกขเวทนา ทั้งนี้ ด้วยเทอญ" เรียกว่างอกไปเรื่อยๆ หรือมีแถมพิธีกรรมไปอีกเยอะ
เช่นมีการตั้งพระประธานไปทางทิศตะวันตก นี่มันเป็นตำรานอกครูสิ้นดี
หลวงปู่หรือหลวงพ่อก็ไม่เคยแนะนำอย่างนี้มาก่อน ท่านมีแต่แนะนำให้หันหน้าพระประธานไปทางทิศตะวันออก ส่วนการใช้ธูปเทียนหรือภาชนะสำหรับกรวดน้ำ
ท่านก็ไม่เคยตั้งกฎเกณฑ์แต่อย่างใด คงให้เป็นไปตามอัธยาศัยเท่าที่ทำได้เท่านั้น...
(โปรดติดตาม "ตอนจบ" กันต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 27/8/17 at 05:54
[ ภาค 3 ตอนที่ 5 จบ ]
(Update 3 กันยายน 2560)
ทำรูปภาพ "หลวงปู่ปาน" กันอย่างแพร่หลาย
...สำหรับเว็บไซด์ที่คัดลอกต่อๆ กันไปก็มีเยอะ อีกทั้งทำสติกเกอร์กันอย่างแพร่หลาย คือเว็บนานาน่ารู้ www.nananaru.net/?p=6520 พร้อมอ้างแหล่งที่มาคือ
: palungjit.org
สติกเกอร์นี้แพร่หลายมาก มีการนำเอารูปหลวงปู่ปานพร้อมทั้งพิมพ์คาถาไปด้วย เรียกว่าพวกศิษย์นอกครูทำไว้ทั้งนั้น นอกจากนั้นยังขยายออกไปทาง "เว็บหมอดู"
ทำนายทายทักอีกหลายเว็บลงชื่อ "หลวงปู่ปาน" ไว้ชัดเจนเลย เช่น
1. www.horoworld.com/ดูดวง/135322_คาถาล้างกรรม-และ-บทกรวดน้ำ-ฉบับหลวงปู่ปาน-วัดบางนมโค
2. www.horoscope.mthai.com/horoscope-highlight/15193.html
** โดยพิมพ์ตัวบทคาถาไว้ดังนี้
คาถาล้างกรรม (หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค) สวดแล้วชีวิตดี
ตั้งนะโม 3 จบ
พุทโธ อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวัณโณ พุทโธ อะระหัง กัมมะโตเมตัง กัมมะภัณทะนัง
ชีวิตตังให้ไปจุติ ให้ทุกชีวิตทุกวิญญาณ จงไปผุดไปเกิด (สวดทั้งหมด 3 จบ)
*** คาถาล้างกรรม เป็นคาถาที่ช่วยปัดเป่ากรรมที่เคยทำ ไม่ว่าจะกรรมหนัก กรรมเบา ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เมื่อสวดคาถานี้แล้ว ควรหมั่นทำบุญ
อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรด้วยนะคะ และถ้าหากมีเวลาก็ควรจะสวดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะได้บรรเทาทุกข์กรรมที่เคยได้ทำไว้
......เว็บหมอดูเอ็มไทยนี้..มีการอธิบายเพิ่มเติมไปอีกว่า
"...เป็นคาถาที่ช่วยปัดเป่ากรรมที่เคยทำ ไม่ว่าจะกรรมหนัก กรรมเบา.."
เรื่องนี้หลวงพ่อตอบว่า "กฏของกรรมแก้กันไม่ได้"
....สำหรับเรื่องนี้หลวงพ่อท่านเคยอธิบายเกี่ยวกับคำว่า "กฎของกรรม" หรือ "ดวงชะตา" ไว้ในหนังสือ "ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๗๔ เมษายน ๒๕๓๐" ว่า...
.....ดวงมันเป็นวิชาของโหร ถ้าตามหลักพระพุทธศาสนาเขาเรียกว่า "กฏของกรรม" อย่างนี้ถูกกว่านะ กฏของกรรมนี่..เราแก้กันไม่ได้
สมมุติว่าสีมันเข้ม เราก็พยายามเอาสีหนึ่งเข้ามาผสมให้มันจาง สีมันไม่จางแต่สีอื่นมันทับ นั่นคือกฏของกรรมที่ทำให้คนลำบาก คือบาปในชาติก่อน
เราก็สร้างบุญให้มันเยอะ การสร้างบุญให้มันเยอะ ไม่ใช่ต้องใช้เงินเยอะ บางทีกุศลก็ไม่มาก ไม่แน่นะ อย่างพวกที่เจริญกรรมฐาน บูชาพระสวดมนต์ จิตก็สะอาดขึ้น
ทำอย่างนี้เรื่อยๆ ไปก็แล้วกัน
วิธีแก้อีกวิธีหนึ่งที่ ท่านย่า บอกไว้คือให้ว่า คาถาเงินล้าน ด้วยความตั้งใจ อย่างน้อยวันละ 30 จบ ไม่ต้องจบครั้งเดียวนะ
หลายครั้งภายในวันเดียวนะ อย่างนี้จะแก้ความฝืดเคืองได้
ค่อยๆ แก้ แล้วก็ไม่ต้องไปแก้ดวงมือง แก้ดวงของเราก็แล้วกัน ใช่ไหม.. ถ้าดวงของเราดีหมด เมืองของเราก็ดีด้วย
หลวงพ่อตอบปัญหาเรื่องนี้ไว้ดีมาก นอกจากมีการคัดลอกออกไปในเว็บไซด์ต่างๆ แล้วถามว่า facebook ชื่อดังละ มีบ้างไหม อ๋อ..เพียบเช่นกัน คาถาล้างกรรม ของ
หลวงปู่บุญถา ถาวโร เปลี่ยนมือตกไปเป็นของ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ไปโดยปริยาย
ความจริงท่องไปก็ไม่เสียหายอะไร การนึกถึงครูบาอาจารย์ก็เป็นสังฆานุสติที่ดี นี่อย่าเข้าใจผิดกันนะว่าท่องคาถาไม่ดี แต่เอามาตีแผ่ของคนไม่ดีต่างหาก
ที่นำครูบาอาจารย์มาอ้างโดยไม่มีมูล มาอ่านคาถาล้างกรรมกันต่อ ตอนนี้เป็นของ "คุณยายฟื้น" ไปแล้ว ก้อปปี้ต่อๆ
กันมาเด๊ะเลย
อภิญญา สมาธิ สวดมนต์ สนทนาธรรม - Dharma XP โพสต์เมื่อ 8 พฤษภาคม 2015
www.facebook.com/DharmaXP/posts/823829541044417
พระคาถาล้างกรรม หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
พระคาถานี้ คุณยายฟื้น ข้างวัดบางนมโค ท่านมักมาขึ้นพระกรรมฐานกับหลวงปู่ปาน เป็นประจำ วันหนึ่งมีชายสองคนมาคุมร่างแกไปถึงสำนักพระยายมราช
เมื่อตรวจดูก็รู้ว่าเอามาผิดคน ท่านพระยายมราช จึงให้เอาไปส่งก่อนกลับ ท่านได้ฝากสองคาถานี้ให้นำมาถวายหลวงปุ่ปาน วัดบางนมโค คือ
๑. คาถาล้างกรรม เพื่อที่ลูกหลานคนใดได้สวดบรรพบุรุษจะบรรเทากรรมหนักลง และ
๒. บทกรวดน้ำ ที่สามารถกรวดให้แก่วิญญาณสัมภเวสีให้พ้นทุกข์ เมื่อคืนมายังเมืองมนุษย์คุณยายฟื้น ได้นำมาถวายหลวงปู่ปาน
ซึ่งคาถานี้อยู่ในหนังสือเล่มเก่าของวัดบางนมโค ต่อมาคาถานี้ได้หายไปในการพิมพ์หนังสือใหม่ ผมมีต้นฉบับของเก่าเลยถ่ายมาลงเป็นวิทยาทานครับ
....แล้วอ้างที่มาคนเดียวกับที่โพสต์ไว้ในเว็บเดิมนั่นเอง (ไม่ขอลงชื่อนะ)
เป็นอันว่า แล้วก็มีการคัดลอกต่อๆ กันมา จนถึงกับมีข้อความในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารของครูบาอาจารย์ จากหลายๆ เว็บ ดังตัวอย่างต่อไปนี้...
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!!! คาถาล้างกรรม หลวงปู่ปาน ผู้มากล้นด้วยบารมี สวดแล้วมั่งมีศรีสุข ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
ปลอดภัยแคล้วคลาดอันตรายทั้งปวง
ที่มา - www.today.jackpotded.com/16821/
......เท่าที่ลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดมาให้อ่านกันนี่ ท่านผู้อ่านมีความเห็นว่าอย่างไร ถือว่าเป็นการมอมเมาจนเกินจริงหรือเปล่า
เป็นการยัดเยียดให้เป็นคาถาของครูบาอาจารย์หรือไม่ เพราะหลวงปู่ปานเป็นผู้วิเศษไปแล้ว สามารถล้างกรรมให้บรรเทาได้ แม้กระทั่งฝ่าฝืนกฎของกรรม
เป็นการย่ำยีหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปแล้ว
ยิ่งได้เห็นภาพสุดท้ายนี้ ผู้อ่านรู้สึกสลดใจกันบ้างไหม..จาก "คาถาล้างกรรม" กลายเป็น "คาถาล้างบาป" ไปแล้ว
นี่หลวงปู่ปานเป็นผู้สอนให้ศิษย์ล้างบาป ตามลัทธิศาสนาอื่นไปแล้วหรือ..?
ถามว่าใครเสียหายกันแน่ จากบุคคลที่ปากบอกว่าเคารพนับถือ จากการกระทำที่เหมือนเด็กอมมือ คือทำแล้วไม่รับผิดชอบอะไร ไม่สนใจว่าครูบาอาจารย์จะเสียหายอย่างไร
เพียงแค่ต้องการเพื่อให้คนโพสต์ว่า "สาธุ" เท่านั้นหรือ..?
...ในท้ายที่สุดนี้ หากการชี้แจงเพื่อความเข้าใจ บนฟื้นฐานของความเป็นจริง ถ้ามีถ้อยคำที่รุนแรงไป อาจจะกระทบกระเทือนผู้ใดบ้าง ผู้เขียนต้องกราบขออภัยไว้ ณ
โอกาสนี้ด้วย แต่เจตนาที่แท้จริง มิได้ต้องการจะขัดขวางผู้มีศรัทธาในคาถาบทนี้
เพียงแต่ขอชี้แจงตามความเป็นจริงเท่านั้น หากผู้ใดเห็นความสำคัญเรื่องราวเหล่านี้ ที่จะช่วยกันจรรโลงคุณความดีของครูบาอาจารย์ต่อไป
กรุณาช่วยกันสอดส่องด้วยการแจ้งมาให้ทราบ เพื่อการอนุรักษ์ความดีของท่านตลอดไป นับว่าจะได้กุศลผลบุญอย่างมหาศาล..สวัสดี
(โปรดติดตาม ภาค 4 "หลวงปู่ปานจะเป็นพระพุทธเจ้า" ต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 3/9/17 at 05:30
[ ภาค 4 ตอนที่ 1 ]
(Update 10 กันยายน 2560)
หลวงปู่ปานจะเป็นพระพุทธเจ้า
...เริ่มภาคที่ ๔ จะเป็นตอนสำคัญที่จะได้นำเรื่องราวของพระเดชพระคุณ หลวงปู่ปาน โสนันโท ผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วด้วยดี
โดยในชาติสุดท้ายของท่านนี้ ได้มีโอกาสบำเพ็ญเนกขัมบารมี คือได้ออกบวชตลอดชีวิต เป็นพระโพธิสัตว์ทรงสมาบัติ ๘ เป็นพระหมอรักษาโรค บำเพ็ญเมตตาบารมี
และได้สร้างวัดอีก ๔๐ กว่าวัดอีกด้วย
นับว่าท่านได้เป็น นิยตโพธิสัตว์ คือจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ จึงขอนำเรื่องของท่านที่ปรากฏอยู่ใน
พระอนาคตวงศ์ มากล่าวเป็นภาคที่ ๔ นี้
...พระบรมพงศ์โพธิสัตว์ อันจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้า ๑๐ พระองค์นั้น
- องค์ที่ ๑ คือ พระศรีอาริยเมตไตย พระองค์มีพระชนม์ชีพได้ ๘ หมื่นปี พระสรีระกายสูงได้ ๘๘ ศอก มี "ไม้กากะทิง" เป็นพระศรีมหาโพธิในภัทรกัปนี้
- องค์ที่ ๒ คือ พระรามเจ้า พระองค์มีพระชนม์ได้ ๙ หมื่นปี พระสรีรกายสูงได้ ๘๐ ศอก มี "ไม้จันทร์แดง" เป็นพระศรีมหาโพธิ ในมัณฑกัป
- องค์ที่ ๓ คือ พระเจ้าปเสนธิโกศล จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระธรรมราชา พระองค์มีพระชนม์ได้ ๕ หมื่นปี พระสรีรกายสูงได้ ๑๖ ศอก
มี "ไม้กากะทิง" เป็นพระศรีมหาโพธิ ในมัณฑกัป
- องค์ที่ ๔. พระธรรมสามีพุทธเจ้า (พระยามาราธิราช)
- องค์ที่ ๕. พระนารทพุทธเจ้า (พระยาอสุรินทราหู)
- องค์ที่ ๖. พระรังสีมุนีนาถพุทธเจ้า (โสณพราหณ์)
- องค์ที่ ๗. พระเทวเทพพุทธเจ้า (สุภพราหมณ์)
- องค์ที่ ๘. พระนรสีหพุทธเจ้า (โตไทยพราหมณ์)
- องค์ที่ ๙. พระติสสพุทธเจ้า (ช้างนาฬาคีรี)
- องค์ที่ ๑๐. พระสุมงคลพุทธเจ้า (ช้างปาลิไลยกะ)
แต่ในชั้นพระสูตรยังไม่ปรากฏว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้รับพุทธทำนายจากพระพุทธเจ้า ผู้ที่ได้รับพุทธทำนายมีเพียง พระอชิตภิกขุ
จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป มีพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตย แต่มีชื่อของพระเจ้าปเสนทิโกศลปรากฏใน คัมภีร์อนาคตวงศ์ เท่านั้น
พระเจ้าปเสนทิโกศลในอนาคตวงศ์ คือ พระเจ้ามหาโกศล
.....สำหรับเรื่องนี้อาจจะทำให้สับสนเล็กน้อย ในเรื่องเกี่ยวกับชื่อ พระเจ้าปเสนทิโกศล ก่อนอื่นขอนำคำเฉลยของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระราชพรหมยาน โดยท่านได้ตอบปัญหาในเรื่องนี้ที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๒๗ ดังนี้
ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ หลวงปู่ปาน มีพระธาตุไหมคะ
หลวงพ่อ : ไม่มี..มีแต่กระดูก
ผู้ถาม : มีกระดูกหรือคะ
หลวงพ่อ : มีกระดูก
ผู้ถาม : กระดูกของท่านเก็บไว้ที่ไหน
หลวงพ่อ : เก็บไว้ที่วัดน่ะสิ เอามาได้รึ ทำไมต้องไหว้กระดูกล่ะ ไหว้รูปท่านก็ถึง นึกถึงตัวท่านนะ ท่านเป็นเทวดาอยู่ชั้นดุสิต
ผู้ถาม : เจ้าค่ะ
หลวงพ่อ : รอที่จะลงมาบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ รองจาก พระศรีอาริย์
ผู้ถาม : อย่างนั้นพระองค์เดียวกันใช่ไหมเจ้าคะ หลวงปู่ที่เป็นช้าง
หลวงพ่อ : ไม่ๆ หลวงปู่ปานเป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล
ผู้ถาม : พระเจ้าปเสนทิโกศล
หลวงพ่อ : เมืองนี้ชื่อ ปเสนทิโกศล เหมือนกันหมด เมืองนี้พระราชาชื่อเดียวกันหมด พระราชินีชื่อ มัลลิกาเทวี เหมือนกันหมด
ผู้ถาม : องค์เดียวกัน
หลวงพ่อ : องค์ไหนๆ อะไรอีกล่ะ ชื่อเดียวกันทุกคน เราต้องดูองค์ไหน ถ้าสมัยนั้นเขาเรียก มหาโกศล
ที่มา - จากหนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๐
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 10/9/17 at 06:25
[ ภาค 4 ตอนที่ 2 ]
(Update 17 กันยายน 2560)
หลวงปู่ปานจะเป็นพระพุทธเจ้า
พระธรรมราชาสัมพุทธเจ้า (เรื่องย่อ)
...ก่อนที่จะอ่านเรื่องราวโดยละเอียด ผู้เขียนขอนำเรื่องโดยย่อมาอ่านพอเข้าใจง่ายๆ เพราะในตอนต่อไปจะเป็นเรื่องที่ยาวพอสมควร
โดยเฉพาะในอนาคตวงศ์จะเรียกชื่อ พระเจ้าปเสนทิโกศล แต่ผู้อ่านคงเข้าใจกันดีว่า ท่านคือ พระเจ้ามหาโกศล นั่นเอง
.....พระธรรมราชาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีปรากฏในเรื่อง อนาคตวงศ์ กล่าวถึงว่า หลังจากที่หมดยุคศาสนาของ
พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า แผ่นดินถูกทำลาย และได้เกิดแผ่นดินใหม่จนนับไม่ถ้วนแล้ว
จนถึงแผ่นดินใหม่ที่เรียกว่า มัณฑกัป มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมา ๒ พระองค์ได้แก่ พระรามสัมพุทธเจ้า และ พระธรรมราชาสัมพุทธเจ้า
พระธรรมราชาสัมพุทธเจ้านี้ก็คือ พระเจ้ามหาโกศล นั่นเอง โดยย้อนกลับไปในภัทรกัปนี้ในสมัยของ พระโกนาคมน์พุทธเจ้า
พระเจ้ามหาโกศลได้เกิดเป็นมาณพ ชื่อว่า สุทมาณพ มีอาชีพขายดอกบัว โดยเก็บดอกบัวมาขายวันละ ๒ ดอก
เช้าวันหนึ่ง มาณพก็ทำการเก็บดอกบัว ๒ ดอกมาขายตามปกติ พระโกนาคมน์พุทธเจ้าทรงบิณฑบาต ก็ทรงทราบด้วยญาณว่า มาณพนี้เป็นวงศ์แห่งพุทธเจ้าจึงแย้มพระโอษฐ์
มาณพหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็แปลกใจ
จึงทูลถามว่า พระองค์ทอดพระเนตรและแย้มพระโอษฐ์เพราะเหตุใด
พระโกนาคมน์พุทธเจ้า จึงตรัสว่า ตัวท่านนี่แหละคือน้องของตถาคต
มาณพหนุ่มได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้น ทูลถามว่า ข้าเป็นน้องของท่านเมื่อใด
พระโกนาคมน์พุทธเจ้าจึงได้ทำนายว่า ในมัณฑกัปหนึ่ง ท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาล นามว่า พระธรรมราชา
เมื่อสุทมาณพได้ยินเช่นนั้น จึงเกิดความปีติยินดี จึงได้ถวายดอกบัว ๒ ดอกนั้นด้วยความเคารพ พระโกนาคมน์พุทธเจ้าได้แสดงพุทธปาฏิหาริย์ขึ้นนั่งบนดอกบัว
ด้วยมาณพเกรงว่าพระพุทธองค์จะทรงร้อน จึงได้ทำที่บังแดดด้วยผ้า ๒ ผืนและไม้อ้อ ๔ ลำ และได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยพระพุทธองค์ได้ทรงประทับนั่งอยู่บนดอกบัวนี้จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น
ด้วยอานิสงส์การถวายดอกบัวนี้ เมื่อพระธรรมราชาสัมพุทธเจ้าดำเนินไปไหน จะมีดอกบัวเท่าจักรรถผุดจากพื้นดินรองรับเสมอ และทุกอิริยาบถของพระองค์จะมีห้องแก้ว ๗
ประการ เพื่อบังแดดและน้ำค้าง ด้วยผลทานที่ท่านถวายผ้าบังแดดนั้นเอง
...เมื่ออ่านเรื่องราวโดยย่อพอสังเขป เพื่อความจดจำที่ง่ายแล้ว ตอนหน้าจะได้นำเรื่องราวโดยละเอียดพิศดารมาให้อ่านกันต่อไป
เพื่อจะได้อนุโมทนากับพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเรา..ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตที่ไม่ไกลนี้เลย..สวัสดี
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 17/9/17 at 05:21
[ ภาค 4 ตอนที่ 3 ]
(Update 24 กันยายน 2560)
พระรามโพธิสัตว์
.....ภควา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาแก่พระสารีบุตรสืบต่อไปว่า ในกาลเมื่อพระพุทธศาสนา แห่ง องค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย
เสื่อมสูญสิ้นแล้ว อันว่าประทีปแก้ว คือพระสัทธรรมนั้น ก็สูญสิ้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายก็มืดมัวไม่รู้จักบาปและบุญ คุณและโทษ ประโยชน์และไม่ประโยชน์ ประการใด
จนถึงไฟประลัยโลกล้างวินาศฉิบหายสิ้นทั้งแสนโกฏิจักรวาล เพลิงประลัยกัลป์เกิดขึ้นไหม้แผ่นดินภัทรกัปอันนี้ฉิบหายหมดแล้ว สิ้นกาลช้านาน
จึงบังเกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นมา มีมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายบังเกิดมีมาสำหรับแผ่นดิน ก็มีมาเสียเปล่า
กัปป์แผ่นดินที่มีมาในเบื้องหน้านั้นเป็น สุญญกัป นับได้อสงไขยแผ่นดิน จะได้มีสมเด็จพระพุทธเจ้า ปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ
ผู้ประเสริฐบังเกิดมีมานั้นหามิได้ จึงมีนามว่า สุญญกัปป์ เกิดมีแต่มนุษย์ทั้งหลายหาบุญหาวาสนาบารมีมิได้ฯ
เมื่อแผ่นดินเกิดขึ้นมา สูญเสียจากท่านผู้ทรงพระคุณแล้ว ฉิบหายไปด้วยไฟ ด้วยน้ำ ด้วยลม แล้วเกิดขึ้นใหม่อีกเล่าจนถ้วนอสงไขย
แผ่นดินล่วงลับไปนับด้วยอสงไขยแผ่นดินแล้วฯ
มัณฑกัปป์ มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์
.....ในกาลนั้น บังเกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่เรียกชื่อว่า มัณฑกัปป์ พระพุทธเจ้าจักได้บังเกิด ๒ พระองค์ คือ
- พระรามโพธิสัตว์ ๑
- พระเจ้าปเสนทิโกศล ๑
แรก "ปฐมกัปป์" เกิดก็มีอายุยืนได้อสงไขยหนึ่ง แล้วลดน้อยถอยลงมาอยู่เพียง ๙ หมื่นปีฯ ครั้งนั้น พระรามโพธิสัตว์ จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าก่อน
พระเจ้าปเสนทิโกศล
พระองค์มีพระชนม์อายุได้ ๙ หมื่นปี พระสรีรกายสูงประมาณ ๘๐ ศอก ไม้จันทน์ เป็นไม้พระศรีมหาโพธิ มีพระรัศมีส่องสว่างไปในอากาศอยู่เป็นนิจกาล
ปรากฏงามเปรียบด้วยรัศมีของพระจันทร์สว่างทั่วโลกธาตุ
ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพนั้น โลกทั้งปวงบังเกิดมี ไม้กัลปพฤกษ์ มหาชนได้อาศัยไม้ทิพย์นั้นประพฤติเลี้ยงชีวิต เป็นบรมสุขทุกเมื่อมิได้ขาด
ครั้งเมื่อพระพุทธศาสนาพระรามโพธิสัตว์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายได้บังเกิดในสวรรค์เป็นอันมาก
ดูก่อนสารีบุตร พระรามโพธิสัตว์เจ้า ได้บำเพ็ญกองบารมีทั้งหลายมาช้านานเป็นอันมากแล้ว แต่กองบารมีธรรมครั้งหนึ่งนั้น
ปรากฏเป็นยอดปรมัตถบารมีอันประเสริฐ เพราะเหตุดังนั้นพระรามสัพพัญญูเจ้า จึงได้พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้
บุพกรรมของ "พระรามโพธิสัตว์"
.....สมเด็จพระศรีสรรเพ็ชญ์จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรว่า ในเมื่อครั้งพระศาสนา พระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น
พระรามองค์นี้เป็นบรมโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่า นารทมาณพ
วันหนึ่ง นารทมาณพได้ทัศนาการเห็นองค์พระพุทธกัสสปสัพพัญญูบรมครูเจ้าครั้งนั้น ก็มีความโสมนัสยินดีปรีดา
คิดว่าจะกระทำสักการบูชาแก่พระองค์ให้เห็นศรัทธาของอาตมา มิได้คิดแก่ชีวิตอินทรีย์
คิดแล้วจึงเอาผ้า ๒ ผืนชุบน้ำมัน พันสรีรกายตั้งแต่เศียรเกล้าตลอดปลายเท้าทั้ง ๒ แล้วก็จุดไฟขึ้นบนศีรษะเป็นประทีปกระทำสักการบูชา
ถวายแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า แล้วตั้งปณิธานความปรารถนาว่า
"...ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเป็นอันงาม อันว่าองค์อวัยวะน้อยใหญ่ในสรีรกายของข้าพระพุทธเจ้า คือเลือดเนื้อเป็นอาทิ
กระทำเป็นทานถวายแก่พระองค์ในกาลบัดนี้
ปัจจะโย โหตุ.. จงบังเกิดมีเป็นปัจจัย ให้อุปการคุณอุปถัมภกยกชูข้าพระพุทธเจ้า ให้ได้สำเร็จแก่พระสร้อยสรรเพชรชุดาญาณ ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเถิด.."
สมเด็จพระพุทธกัสสปตรัสพยากรณ์
.....ครั้งนั้น องค์สมเด็จพระพุทธกัสสปเจ้า จึงตรัสพยากรณ์ทำนาย นารทมาณพ นั้น ในท่ามกลางบริษัททั้ง ๔ มีพระพุทธฎีกาว่า
"...ดูก่อน มาณพผู้เจริญ ในเมื่อภัทรกัปนี้ฉิบหายไปแล้ว บังเกิดมีกัปป์ตั้งขึ้นมาใหม่ เป็นสุญญกัปอยู่สิ้นกาลช้านาน นับได้อสงไขยแผ่นดินล่วงไปแล้ว
ครั้งนั้นจึงบังเกิด มัณฑกัปป์
ในกาลเบื้องหน้าคือตัวของมาณพนี้ จะได้บังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระรามสัมพุทธเจ้า ในมัณฑกัปป์อันนั้น.."
พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ทำนายมาณพดังนี้แล้ว ครั้นเวลาราตรียังรุ่ง ก็กระทำกายของมาณพเป็นประทีปถวายต่างเครื่องสักการบูชาสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอันดี
ครั้นนารทมาณพดับจิตก็ได้ไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์เทวโลก ในที่เผาสรีรกายกระทำสักการบูชาแห่งมาณพนั้น ก็บังเกิดดอกบัวผุดขึ้นมา
มหาชนเห็นเป็นอัศจรรย์จึงกล่าวสรรเสริญชมว่า จะหามนุษย์ผู้ใดเปรียบเสมอสองหามิได้ นานไปจะได้บังเกิดเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
- ด้วยผลอานิสงส์ที่ท่านมิได้เอื้อเฟื้อแก่สรีรกายและชีวิตของตนเอง ที่ได้กระทำเป็นมหาบริจาค เจตนาอันใหญ่ยิ่งกว่าบารมีทั้งหลายทั้งปวง
- ด้วยเดชะอานิสงส์ที่บูชาสรีรกายของตนเองนั้น เมื่อได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า จึงมีพระสรีรกายสูง ๘๐ ศอก
- สละชีวิตเป็นทาน เป็นปรมัตถบารมีอันอุดมอุกฤษฏ์นั้น จะมีพระชนมายุได้ ๙ หมื่นปี เป็นกำหนด
- เวลาราตรียังรุ่งตามประทีปแล้ว คือ สรีรกายของตนเองที่กระทำสักการบูชานั้น จะบังเกิดพระรัศมีรุ่งเรืองงามสว่างไปทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นนิจกาล
อาจปกปิดเสียซึ่งแสงพระจันทร์และพระอาทิตย์ กระทำให้บดบังแพ้พระรัศมีของพระองค์ฯ
...สำแดงมาด้วยเรื่องราวพระรามโพธิสัตว์คำรบ ๒ ก็ ยุติแต่เพียงนี้ ฯ
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 24/9/17 at 04:41
[ ภาค 4 ตอนที่ 4 ]
(Update 1 ตุลาคม 2560)
พระธรรมราชาสัมพุทธเจ้า
.....ลำดับนั้น พระผู้ทรงพระภาคเจ้าจึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่ "พระสารีบุตร" สืบต่อไปว่า ในกาลเมื่อสิ้นศาสนาของ "พระรามเจ้า" แล้ว
มนุษย์ทั้งหลายใน "มัณฑกัป" ก็มีอายุเรียวน้อยถอยลดลงไปพ้นจาก ๘ หมื่นปีลงมา กำหนดอายุของมนุษย์ทั้งหลายในกาลครั้งนั้นได้ ๕ หมื่นปีเป็นอายุขัย
แล้วพระเจ้าปเสนทิโกศลราชบรมโพธิสัตว์นี้ (หลวงพ่อบอกว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลองค์นี้ คือ พระเจ้ามหาโกศล ได้แก่ หลวงปู่ปาน นั่นเอง)
จักได้บังเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า "พระธรรมราชา"
- มีพระองค์สูงได้ ๑๖ ศอก พระชนมายุยืนได้ ๕ หมื่นปี เป็นกำหนด
- ไม้กากะทิงเป็นพระมหาโพธิ
- เมื่อเสด็จพระพุทธดำเนินไปนั้น จะบังเกิด "ดอกบัวทองทั้งสอง" ผุดขึ้นมาจากแผ่นดินเข้ารับรองเอาพระบาท
อนึ่ง จะบังเกิดดอกบัวแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นมาจากแผ่นดินเข้ารับพระองค์ไว้ เป็นอาสนะของพระองค์เมื่อทรงนั่งและยืนและไสยาสน์นั้น
ประการหนึ่งเล่า ในพระพุทธศาสนา พระเจ้าปเสนทิโกศล สัพพัญญูผู้ประเสริฐนั้น
บังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่งให้สำเร็จประโยชน์เป็นเครื่องบริโภคแห่งมนุษย์ทั้งหลาย
มนุษย์ทั้งหลายได้อาศัยซึ่งไม้กัลปพฤกษ์นั้นแล้ว ก็ประพฤติเลี้ยงชีวิตอาตมาเป็นสุขสบาย มิได้กระทำการถากไร่ไถนาค้าขาย
ด้วยพระพุทธานุภาพแห่งสมเด็จพระเจ้าปเสนทิโกศลสัพพัญญูนั้น
ดูก่อนสำแดงสารีบุตร "พระเจ้าปเสนทิโกศลราช" ได้ก่อสร้างพระบารมีทั้งหลายมาเป็นอันมากแล้ว แต่กองบารมีครั้งหนึ่งปรากฏเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่ง
จึงได้พระพุทธสมบัติเห็นปาน ดังนี้
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 1/10/17 at 05:17
[ ภาค 4 ตอนที่ 5 ]
(Update 8 ตุลาคม 2560)
พระธรรมราชาสัมพุทธเจ้า (ต่อ)
.....ลำดับนั้น พระพุทธองค์จึงนำมาซึ่งอดีตนิทานแห่งกองบารมีของ "พระเจ้าปเสนทิโกศลราช" ว่า อตีเต กาเล
ในกาลเมื่อครั้งพระศาสนาพระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลราชได้บังเกิดเป็นมาณพผู้หนึ่ง มีนามว่า "สุททมาณพ" ไปรักษาสระบัวอยู่แห่งหนึ่ง
แล้วเก็บเอาดอกบัวนั้นมาวันละ ๒ ดอกเอามาขายเลี้ยงชีวิตทุกวัน
อยู่มาวันหนึ่ง สุททมาณพไปเก็บดอกบัวมา ๒ ดอก เดินมาตามมรรคาเพื่อว่าจะขายดอกบัวนั้น ในกาลนั้นเป็นเวลาเช้า
สมเด็จพระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จพระพุทธดำเนินไปเที่ยวโคจรบิณฑบาต ทอดพระเนตรเห็นสุททมาณพ
พระองค์พิจารณาเห็นในขณะนั้น ก็ทรงทราบด้วยพระญาณว่า สุททมาณพคนนี้เป็นวงศ์แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า ได้บำเพ็ญพระบารมีมามากอยู่แล้ว
จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล
บัดนี้ ควรพระตถาคตจะให้พยากรณ์ทำนายแก่สุททมาณพในท่ามกลางมหาชนเถิด ทรงพระจินตนาดังนี้แล้วก็เกิดโสมนัสจิตอันประกอบกับพระญาณ
แย้มพระโอษฐ์อันงามทรงพระสรวลในดวงพระพักตร์
สุททมาณพเห็นสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเบิกบานแย้มพระโอษฐ์ดังนั้น จึงกระทำนมัสการกราบทูลถามว่า
"...ข้าแต่พระโลกนาถผู้ประเสริฐ ข้าพระบาทนี้มิใช่ญาติวงศ์พงศ์ตระกูลของพระผู้มีพระภาคเจ้า อนึ่งเล่าจะได้เป็นมิตรสหาย
วิสาสะคุ้นเคยกันกับพระองค์มาก็หามิได้ เหตุประการดังฤา..."
พระองค์ทอดพระเนตรแล้วจึงแย้มพระโอษฐ์ดังนี้ สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
"...ดูก่อนสุททมาณพเอ๋ย ท่านหารู้ไม่หรือประการใด ตัวของท่านนี้แหละเป็นน้องของพระตถาคต ท่านร่วมบิดาร่วมมารดาเดียวกันกับพระตถาคตเป็นไรเล่า..."
สุททมาณพได้สดับพระพุทธฎีกาดังนั้น ก็ยิ่งบังเกิดความพิศวงงงงวยไป แล้วกราบทูลว่า
"...พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระบาทนี้เป็นน้องของพระพุทธองค์ในกาลเมื่อครั้งใด..."
จึงทรงพยากรณ์ทำนายว่า
"...ดูก่อน สุททมาณพ ในเมื่อภัทรกัปป์อันนี้ล่วงไปแล้วช้านาน บังเกิดมีกัปอันหนึ่งชื่อว่า "มัณฑกัปป์" ในมัณฑกัปป์นั้น พระพุทธเจ้าบังเกิด ๒ พระองค์ คือ
"พระราม" พระองค์หนึ่ง จักได้บังเกิดเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนท่าน
ในเมื่อสิ้นพระศาสนาพระรามเจ้าแล้วได้พุทธันดรหนึ่ง ตัวท่าน "สุททมาณพ" ครั้งนั้นจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า
"พระธรรมราชา" ผู้ประเสริฐพระองค์หนึ่ง
บัดนี้ พระตถาคตเป็นพระพุทธเจ้าเสียก่อนท่านแล้ว นานไปในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น ตัวท่านก็จักได้เป็นพระพุทธเจ้าเหมือนดังพระตถาคตต่อภายหลัง เหตุดังนั้น
พระตถาคตจึงว่า ตัวท่านเป็นน้องของพระตถาคต..."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 8/10/17 at 07:49
[ ภาค 4 ตอนที่ 6 จบ ]
(Update 15 ตุลาคม 2560)
พระธรรมราชาสัมพุทธเจ้า (จบ)
อานิสงส์ถวายดอกบัว ๒ ดอก กับผ้า ๒ ผืน
.....เมื่อสุททมาณพได้สดับพระพุทธฎีกาพยากรณ์ทำนายดังนั้น ก็เกิดความปสันนาการเลื่อมใสโสมนัสเป็นที่ยิ่ง จึงดำริว่า
บัดนี้มีชีวิตอยู่ด้วยมูลค่าแห่งดอกบัว ๒ ดอกเท่านี้ จะได้มีสิ่งอื่นนอกจากดอกบัวหามีไม่แล้ว ควรอาตมาจะเสียสละชีวิต
ยกดอกบัวสองดอกนี้กระทำเป็นสักการบูชาถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าเถิด
สุททมาณพคิดดังนี้แล้ว ก็ก้มเศียรเกล้าลงน้อมนำดอกบัวเข้าไปถวายแก่สมเด็จพระโกนาคมน์เจ้า ด้วยเจตนาของอาตมานั้นเป็นสิ้นสุดศรัทธาแต่เท่านั้น
สมเด็จพระโกนาคมน์เจ้าจึงเสด็จขึ้นทรงนั่งในเบื้องบนแห่งดอกบัวทั้งสองนั้น
ส่วนว่าสุททมาณพได้เห็นพระพุทธปาฏิหาริย์ก็พิศวงว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จขึ้นทรงนั่งเหนือดอกบัวนี้ ในเบื้องบนหาสิ่งจะปิดบังแสงพระอาทิตย์ไม่
จะคิดเป็นประการใดจึงจะมิให้แสงพระอาทิตย์อันร้อนมาถูกต้องพระผู้ทรงพระภาคได้
สุททมาณพจึงเอาไม้อ้อมา ๔ ลำ กระทำเป็นเสาดาดด้วยผ้า ๒ ผืนบังแสงพระอาทิตย์ไว้ให้สมเด็จพระโกนาคมน์เจ้าทรงนั่งอยู่ในที่นั้น
ประมาณสิ้นกลางวันกลางคืนยังรุ่ง แล้วกระทำปณิธานความปรารถนาว่า
"...ข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายดอกบัว ๒ ดอก กับผ้า ๒ ผืนนี้ เป็นเครื่องสักการบูชาแก่พระองค์ตามยากตามมี เดชะผลทานนี้
ขอให้เป็นปัจจัยได้สำเร็จแก่พระสัพพัญญุตญาณในอนาคตกาลโน้นเถิด..."
ครั้งนั้น สมเด็จพระโกนาคมน์เจ้า จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาพยากรณ์ทำนาย เป็นใจความว่า
"...ความปรารถนาของท่านที่คิดไว้ประการฉันใด จงสำเร็จแก่ท่านโดยเร็วด้วยประการฉันนั้น..."
พระสุรสำเนียงพระสัพพัญญูเจ้าที่ตรัสว่า จงสำเร็จนั้นดังสนั่นถึงภายใต้ที่อยู่แห่ง "พระยาภุชงค์นาคราช" เบื้องบนจนกระทั่งพรหมโลก
ฝูงเทพยดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ทั้งหลายได้ยินทั่วกัน แล้วออกจากพิภพของตนเองมายังสำนักพระโกนาคมน์เจ้า แล้วก็ถวายนมัสการกราบทูลถามว่า
"...ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้สดับพระสุรสำเนียงของพระองค์ตรัสพระธรรมเทศนาว่า "สำเร็จ" นั้น ด้วยเหตุผลสิ่งไร บุคคลดังฤาสำเร็จ
พระพุทธเจ้าข้า..."
พระพุทธองค์จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
"...ดูก่อน ฝูงเทพยดาผู้เจริญ สุททมาณพผู้นี้ได้ถวายดอกบัวกับผ้าแก่พระตถาคต ยังพระตถาคตให้นั่ง ได้บังแสงแดดสิ้นเวลากลางวัน
ได้บังน้ำค้างสิ้นเวลาราตรียังรุ่ง
มีความปรารถนาจะให้ได้พระสัพพัญญุตญาณในอนาคตกาลเบื้องหน้า พระตถาคตทำนายว่า อิจฉิตัง อิจฉิตัง จงสำเร็จๆ ตามความปรารถนาของสุททมาณพเถิด..."
ฝ่ายฝูงเทพยดามหาพรหมทั้งหลายก็กระทำสักการบูชา พากันโสมนาการด้วยองค์สมเด็จพระโกนาคมน์เจ้าเป็นอันมาก
.....นี่แหละ..ดูก่อนสารีบุตร เมื่อพระธรรมราชาสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสนั้น
- จึงบังเกิดดอกบัวทองทั้งคู่ประมาณเท่าจักรรถ ผุดขึ้นมาแต่พื้นแผ่นดินเข้ารองรับฝ่าพระบาทไว้ในเมื่อยกย่างไปมาทุกก้าวพระบาทนั้น
ด้วยอานิสงส์ที่ได้ถวายดอกบัวแก่องค์สมเด็จพระโกนาคมน์เจ้า
- ที่บังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์นั้น ด้วยอานิสงส์ขันติอดใจของสุททมาณพบรมโพธิสัตว์
- เมื่อพระธรรมราชาสัพพัญญูเจ้าจะเสด็จทรงนั่งก็ดี ยืนก็ดี ไสยาสน์ก็ดี ณ ที่นั้นๆ บังเกิดมีห้องแก้ว ๗ ประการควรจะชื่นชมยินดี
ด้วยผลทานที่กระทำเพดานผ้าบังแดดและน้ำค้างถวายแก่พระโกนาคมน์เจ้า ในกาลเมื่อยังเป็นสุททมาณพ
- เมื่อพระองค์ได้ตรัสนั้น มีชนมายุยืนได้ ๕ หมื่นปี แล้วจึงล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพาน
แสดงมาด้วยเรื่องราวแห่ง "พระเจ้าปเสนทิโกศลราชบรมโพธิสัตว์" คำรบ ๓ ก็ยุติเพียงเท่านี้...สวัสดี
จาก คัมภีร์ พระอนาคตวงศ์
http://www.84000.org/anakot/kan2.html#2-2
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 15/10/17 at 08:29
.
webmaster - 17/7/21 at 09:47
.