สมเด็จองค์ปฐม และ ความเชื่อวัดท่าซุง (มีผู้โพสต์ใน pantip.com)
webmaster - 17/9/11 at 07:03

☺.....มีทีมงานฯ ของเราคนหนึ่งได้เปิดพบการสนทนากันในเว็บบอร์ดดัง "พันธ์ทิพย์" จะมีความเห็นอย่างไร และเจตนาของผู้ตั้งกระทู้นี้มีความประสงค์เช่นไร ขอเชิญอ่านด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเที่ยงธรรม เพราะมีคำตอบทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยนะครับ

สมเด็จองค์ปฐม และ ความเชื่อวัดท่าซุง

พระพุทธเจ้าตรัสว่า วัฏฏะสงสารไม่มีเบื้องต้น ไม่มีเบื้องปลาย

ในเมื่อไม่มีเบื้องต้น ก็ไม่น่ามีองค์ปฐม ซึ่งได้อานดูแล้วเหมือนว่ามันขัดแย้งกับที่หลวงพ่อฤาษีที่ว่าไว้ โดยส่วนตัวนับถือท่านนะครับ และมีอีกหลายสำนักที่เชื่อเรื่องนี้ อย่างพระอาจารย์ภาสกร ภาวิไล วัดฝายหิน
ท่านก็บอกว่า องค์ปฐมยังมีอยู่ ท่านเทศได้สนุกและอธิบายได้เห็นภาพเกี่ยวกับการเกิดขึ้นและสังสารวัดทั้งหมด ติดอยู่ที่เรื่อง องค์ปฐม อย่างเดียวเท่านั้น

ส่วนตัวผมคิดว่าองค์ปฐมไม่น่าจะมีจริง ถ้ามีจริงมันจะเป๋ไปเป็น มหายาน หรือ ความคิดใน แนว God ไป
เห็นกันว่าอย่างไงบ้างครับ

จากคุณ : มังคลา
เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 22:12:39




ความคิดเห็นที่ 1

ปฏิบัติให้ถึง "จุด" ที่จะคิดเรื่องนี้ได้หรือยัง..?

จากคุณ : sirnitfi
เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 22:43:38



ความคิดเห็นที่ 2

ท่านหมายถึงพระพุทธเจ้าองค์แรกของกัปนี้กระมังครับ

จากคุณ : msdossys
เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 23:02:07



ความคิดเห็นที่ 3

ถ้าสงสัย ต้องมโนยิทธิ ขึ้นไปดูเอง

จากคุณ : น้องต๋าว
เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 23:33:41



ความคิดเห็นที่ 4

สมเด็จองค์ปฐม หลวงพ่อท่านหมายถึงพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้เป็นพระองค์แรก
คือก่อนหน้ายุคพระองค์ท่าน จะไม่มีพระพุทธเจ้าเลยแม้เพียงพระองค์เดียว
สร้างบารมีพระองค์ท่านก็คลำทางเอาเอง ไม่มีตัวอย่างให้ดูเลย
และเมื่อมีพระองค์ท่านแล้ว จึงมีพระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ มา สืบต่อมาจนปัจจุบัน
จึงเป็นสาเหตุที่ชาววัดท่าซุงเคารพพระองค์ท่านมาก
เพราะถ้าไม่มีพระองค์ท่านนำร่องเป็นพระองค์แรกแล้ว ก็จะไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นต่อเลย

จากคุณ : ABP@BDZ
เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 23:41:45



ความคิดเห็นที่ 5

ส่วนตัวผมคิดว่าองค์ปฐมไม่น่าจะมีจริง ถ้ามีจริงมันจะเป๋ไปเป็น มหายาน หรือ ความคิดใน แนว God ไป
เห็นกันว่าอย่างไงบ้างครับ

(๑) เห็นว่า
ชาวพุทธที่แท้ ควรไม่ประมาท
ควร สอบทานกับ " พระพุทธภาษิต" ตามที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนารักษามา -- จน มี ---- วัดท่าซุง ฯลฯ

จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b)
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 07:10:55



ความคิดเห็นที่ 6

คุณเซนฯ ใช้สำนวนดีขึ้นเยอะ

จากคุณ : sirnitfi
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 08:35:39



ความคิดเห็นที่ 7

ผู้ไม่ได้อยู่ในโลกวิญญาณ จะรู้เรื่องของโลกวิญญาณได้หมดจดได้อย่างไร

จากคุณ : ไม่คิดมาก
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 08:42:25



ความคิดเห็นที่ 8

พระพุทธเจ้ามีมานับไม่ถ้วนแล้วล่ะครับ
พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ก่อนนี้หลายอสงไขย
พระองค์ก็เคยได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน

พระพุทธเจ้าองค์ก่อน ก่อนนี้หลายอสงไขย
พระองค์ก็เคยได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนอีก
เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ

แล้วเหตุใดพระพทธเจ้าองค์แรกสุดจะไม่มีได้เล่า

จากคุณ : chum
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 09:33:16



ความคิดเห็นที่ 9

โดยส่วนตัวไม่เชื่อครับเรื่องสมเด็จองค์ปฐม และเห็นด้วยกับจขกท ที่ว่าพระพุทธองค์ตรัสว่าจิตนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย ถ้ามีองค์ปฐมงั้นก็แสดงว่าต้องมีองค์ก่อนองค์ปฐม (ถึงจะพยากรณ์องค์ปฐมได้) แล้วก็ต้องมีองค์ขององค์ก่อนองค์ปฐม ซึ่งพยากรณ์องค์ปฐมขององค์ก่อนปฐมอีกที ฟังแล้วดูยุ่งยากดี

แต่ผมก็ยังเชื่อว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระที่ดี แต่มีหลายอย่างที่ติดใจอยู่มาก ทั้งหลักคำสอน หลังๆเลยไม่ค่อยเปิดอ่านกลัวจะไปปรามาสท่านเข้า ล่าสุดอ่านหนังสือคำถาม-คำตอบปัญหาธรรมที่ท่านว่า ท่านขึ้นสวรรค์ไปเจอพระเยซูมา ต้องรีบปิด ตั้งแต่วันนั้นยังไม่ได้เปิด กำลังคิดจะขนไปขายอยู่

จากคุณ : เด็กอุทัย
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 10:15:46



ความคิดเห็นที่ 10

มี หรือ ไม่มี
ทำให้เราพ้นทุกข์หรือไม่

เอาจิตดูที่ภายในจิตของเราเถิด
กิเลส ยังมีอยู่หรือไม่ มีมากน้อยแค่ไหน
เพราะเมื่อหมดกิเลส ก็หมดทุกข์
สิ่งนี้ต่างหากที่สำคัญ

จากคุณ : solo 356
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 10:18:01



ความคิดเห็นที่ 12

เคยคิดเหมือนกันครับ ว่าถ้ามีทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงไม่กล่าวถึง
แต่ก็ขี้เกียจคิด เอาเป็นว่าจะเป็นสมเด็จองค์ปฐม หรือ องค์พระสมนโคดม ท่านก็คือพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ระลึกไว้เป็นพุทธานุสติก็ใช้ได้หมด

แต่ชอบคำสอนของหลวงพ่อฤาษีนะครับ ท่านสอนเหมือนพ่อสอนลูกน่ะครับ
ไม่ใช่แบบพระสอนคนเพราะท่านไม่เน้นศัพท์แสงสวยหรู แบบคนสมัยนี้ชอบกัน
ที่ชอบยกพระบาลีหรูๆมา ทั้งๆที่ตนเองตีความถูกต้อง 100% รึป่าวก็ไม่รู้

จากคุณ : ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 12:10:14



ความคิดเห็นที่ 13

โดย คหสต เชื่อว่ามีค่ะ เมื่อก่อนตอนเด็กก็โง๊..โง่ค่ะ รู้จักแต่พระพุทธเจ้าองค์ล่าสุดน่ะค่ะ คือ พระสมณโคดม หรือเจ้าชายสิทธัตถะ ตามตำราเรียนมัธยมก็รู้เท่านั้นน่ะค่ะ แล้วก็ไม่ได้มีโอกาส วาระ ที่จะไปศึกษามากไปกว่าหลักสูตรเด็กมัธยม ( เพื่อเอาไว้สอบ )

ตอนนี้อายุ 30 + ได้มีโอกาสสวดมนต์ ทำวัตรเช้า เย็น อีกทั้งมีบทสวดพระปริตรอีกหลายสูตร พร้อมคำแปล ถึงได้พอหายโง่มานิดนึง หนังสือสวดมนต์นี้ ชื่อว่า พุทธมนต์ ค่ะ ( วัดป่ามณีกาญจน์ ) ก็มีบทสวดนมัสการพระพุทธเจ้า ซึ่งมีเป็นล้านองค์เลยค่ะ โอ้...ทำไมมากมายขนาดนี้ แต่ยุคของพระสมณโคดม ตามที่ศึกษามาก็น่าจะอยู่ที่ 5000 ปี จากนั้นจงจะมีพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งตรัสรู้สอนมนุษย์อย่างเรา ๆ

เคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำหลายเล่มอยู่ค่ะ ท่านสอนไว้ดีมาก เข้าใจง่าย กล่าวถึงองค์ปฐมก็มาก ท่านเป็นองค์ที่คิดเหมือนเจ้าชายสิทธัตถะน่ะค่ะ ว่าเกิดมาทำไม มันทุกข์ ทำยังไงไม่เกิด แล้วก็สั่งสมบารมีมาก็หลายชาติมาก ๆ กว่าจะตรัสรู้ได้ คือ ไม่มีครู ไม่มีใครสอนนี่ก็ลำบากมากกว่าองค์อื่น ๆ นะคะ ก็เหมือนพระสมณโคดม ตอนเป็นพระเวสสันดรแหละค่ะ

บางอย่างอ่านของหลวงพ่อไป บางคนก็อาจจะสงสัย อย่างไปเจอพระเยซูที่ชั้นดุสิต ......มีสิ่งที่น่าประหลาดใจอีกมากมายเลยค่ะ ถ้าใช้สมองอย่างเรา ๆ คิดเอาเองนี่ก็ดูจะทำใจเชื่อยาก แต่ดิฉัน ไม่ประมาทหรอกค่ะ เพราะดิฉันน่ะยังไม่รู้อะไรอีกเยอะ.... ตานี่ก็ตาเนื้อดี ๆ นี่เอง ไม่ใช่ตาทิพย์อย่างพระอริยสงฆ์ท่าน

อย่างหลวงปู่ตื้อ นี่หลวงพ่อท่านก็รับรองเลยว่าเป็นพระสุปฏิปัณโณ อีกองค์หนึ่งจำไม่ได้ค่ะ แต่เป็นสายหลวงปู่มั่นเหมือนกัน ถึงแม้จะได้อ่านแค่คำสอนของหลวงพ่อตามหนังสือที่ท่านฝากเอาไว้ เอาแค่ปัญญาบ้าน ๆ อย่างดิฉันนี่ ก็ไม่เห็นท่านจะสอนผิดไปจากครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นเลยนะคะ เหมือนกันค่ะ เพียงแต่ท่านแจกแจงละเอียดมาก ๆ เลยค่ะ

จากคุณ : ใบไม้และขุนเขา
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 13:39:46



ความคิดเห็นที่ 14

จะรู้ได้อย่างไร ว่านี่คือ สมเด็จองค์ปฐม
จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อรู้จุดเริ่มต้นของวัฎฎสังสาร

จากคุณ : ltf06
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 14:17:06



ความคิดเห็นที่ 15

พระพุทธเจ้าตรัสว่า วัฏฏะสงสารไม่มีเบื้องต้น ไม่มีเบื้องปลาย
ประโยคที่เจ้าของกระทู้เริ่มไว้แล้วอ้างถึงองค์ปฐม
มุมมองของผมว่ามันไม่ใช่จุดที่จะใช้กับองค์ปฐมได้
การที่เราท่านทั้งหลายจะหลุดออกจากวัฏฏะสงสารได้
เราใช้อะไรเป็นการทำให้หลุดพ้น

หากเรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ย่อมไม่พ้นวัฏฏะสงสารแน่นอน
การรู้เป็นคนแรกไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่ครับ
อย่างง่ายๆเรื่องที่ใก้ลตัวเช่นนักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นเรื่องใหม่ๆขึ้นมา
เป็นความรู้ใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีมาก่อนทำไมเขาถึงทำได้นี่คือในยุคปัจจุบัน
แล้วในอดีตที่ผ่านมาทำไมจะมีบุคคลที่จะคิดวิธีที่จะหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารเป็นคนแรกไม่ได้หรือครับ
เราไม่ได้หาต้นหรือปลายของวัฏฏะสงสารแต่เราหาทางออกจากวัฏฏะสงสารต่างหากล่ะครับ

จากคุณ : ศรีเทพไทย
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 15:06:59



ความคิดเห็นที่ 16

ถึง #5 คือจากแนวคิดสมเด็จฯองค์ปฐมของวัดท่าซุง

สมเด็จฯองค์ปฐม ไม่ใช่องค์เดียวกันกับ "อาทิพุทธ" ของพุทธมหายาน
ซึ่งอาทิพุทธที่ว่า เมื่อปรากฏขึ้นมาก็ครองพุทธภาวะเลย
โดยไม่ต้องสร้างบารมีแบบพระโพธิสัตว์
ในกรณีนี้ ก็คงจะเทียบได้กับ GOD ของหลาย ๆ ศาสนา

แต่สมเด็จฯองค์ปฐมที่ว่า พระองค์ท่านผ่านการบำเพ็ญบารมีแบบพระโพธิสัตว์
และได้ยินมาว่าทรงใช้เวลาบำเพ็ญบารมีมากกว่าพระองค์อื่น ๆ ด้วย
อีกทั้งยังไม่มีแบบอย่างจากผู้ใดเหมือนพระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ มา

ถามว่า สมเด็จฯองค์ปฐม จำเป็นต้องได้รับพุทธพยากรณ์หรือไม่
คำตอบคือไม่จำเป็นเสมอไป พระโพธิสัตว์สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ
คือนิยตโพธิสัตว์ และอนิยตโพธิสัตว์

นิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว
ซึ่งมีคติแน่นอน ว่าจะต้องได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า

ส่วนอนิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่ไม่ได้รับพุทธพยากรณ์
ซึ่งยังไม่แน่นอนว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าหรือไม่
ยังสามารถจะลาพุทธภูมิได้ ถ้ายังไม่ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า

แต่เมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีเต็มส่วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนิยต หรืออนิยตก็ตาม
ก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ตามศักดิ์แห่งพระบารมี

การที่ใครจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้วัดที่ได้รับพุทธพยากรณ์หรือไม่
แต่วัดกันที่บารมีที่สั่งสมกันมามากกว่า ว่าใครบำเพ็ญจนเต็มส่วนแล้ว
อนิยตโพธิสัตว์บางท่าน อาจจะมีบารมีมากกว่านิยตโพธิสัตว์ก็ได้
แต่ถ้าเทียบความแน่นอนในการเป็นพระพุทธเจ้า นิยตโพธิสัตว์มีความแน่นอนกว่า
ตัวอย่างของอนิยตโพธิสัตว์ มีให้ดูมากมายในบ้านเราครับ
หลวงพ่อฤๅษีฯ ก็เคยเป็น 1 ในอนิยตโพธิสัตว์ครับ

ในกรณีของสมเด็จฯองค์ปฐม ก็เช่นกัน
พระองค์ท่านไม่จำเป็นต้องได้รับพุทธพยากรณ์ แต่ก็สามารถเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าได้
เนื่องจากพระบารมีของพระองค์เต็มส่วนที่จะถึงพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว

แต่พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีมาก่อนสมเด็จฯองค์ปฐม ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลยทีเดียว
อาจจะมีได้ แต่ท่านเหล่านั้นบำเพ็ญบารมียังไม่เต็มส่วนที่จะถึงพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ก็เลิกล้มความตั้งใจนั้นเสียก่อน ถ้าบางท่านบารมีถึงขั้นที่จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้
เมื่อลาพุทธภูมิ ก่อนที่จะมีสมเด็จฯองค์ปฐม
ก็มีสิทธิจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในชาตินั้นเลย

เนื่องจากพระปัจเจกพุทธเจ้า สามารถอุบัติขึ้นได้ในช่วงที่ว่างจากพระพุทธศาสนา
และพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่างจากพระพุทธเจ้าเพียงแค่ว่าโปรดผู้อื่นให้บรรลุธรรมไม่ได้
นอกนั้นมีคุณสมบัติเช่นเดียวกันหมด และระยะเวลาการสร้างบารมีของพระปัจเจกพุทธเจ้า
ก็ใกล้ ๆ ระยะเวลาของพระอัครสาวก หากจะเกิดพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ปฐม
ขึ้นก่อนสมเด็จฯองค์ปฐม ก็สามารถเกิดขึ้นได้

(แต่ผมก็ไม่ทราบว่าระหว่างสมเด็จฯองค์ปฐมกับพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ปฐม
พระองค์ไหนเกิดขึ้นก่อน)

จากคุณ : ABP@BDZ
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 16:11:22



ความคิดเห็นที่ 17

คนรู้จะพูดมากก็ไม่ได้นะเรื่องพวกนี้

จากคุณ : sirnitfi
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 16:36:26



ความคิดเห็นที่ 18

วัฏฏสงสารไม่มีเบื้องต้น เบื้องปลาย
ตราบที่เรายังวนอยู่ในวัฏฏสงสารนั้น
มีมานาน เป็นธรรมชาติ....

แต่ พระพุทธเจ้าพระองค์แรก
คือผู้ที่หลุดพ้นจากวัฏฏสงสารได้
ย่อมมีองค์แรกได้
มีความยาก เพราะใช้ญานต่าง ๆ มาสืบค้นวิธีการเก่า ๆ ไม่ได้ เหมือนองค์ต่อ ๆ มา
ท่านจึงบำเพ็ญเพียรค้นคว้าอยู่นานมากก กว่าทุก ๆ พระองค์

จากคุณ : sunnyorchids
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 16:48:05



ความคิดเห็นที่ 23

เรื่องนี้ อธิบายยาก

พระพุทธเจ้าองค์ก่อน ก็คิดว่าพระองค์คือองค์แรก เหมือนกัน
แต่นานๆ ไป กลับปรากฏว่า มีพระพุทธเจ้าองค์ก่อนพระองค์อีก
และพระพุทธเจ้าองค์หลังนี้ ก็คิดว่า พระองค์คือ องค์ต้น

แต่นานๆ ไป กลับปรากฏว่า มีพระพุทธเจ้าองค์ก่อนพระองค์อีก
เป็นเช่นนี้ ร่ำไป
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า สงสารนี้ไม่มีเบื้องต้น หน่ะถูกแล้วครับ

จากคุณ : bodymind
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 18:12:52


http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11068480/Y11068480.html


webmaster - 22/9/11 at 10:14

☺......ท่านผู้อ่านจะมีความเห็นเช่นใด ขอเชิญแสดงความเห็นในการสร้างสรร เพื่อมิให้เกิดความขุ่นข้องใจกัน หวังแค่ความรู้ความเข้าใจแต่ละบุคคล เพราะเรื่องนี้อยู่ในข้ออจินไตยที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด ซึ่งมีรายละเอียดในพระไตรปิฎก http://84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=25 ดังนี้....

อจินไตย ๔ อย่าง

ถาม ๑. สิ่งที่เป็นอจินไตย นี่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ได้ ไม่ใช่วิสัยของปุถุชนคนธรรมดาหรือพระอรหันต์ธรรมดาจะรู้ได้ใช่ไหม

ตอบ สิ่งที่เป็นอจินไตยนั้นมี ๔ อย่าง คือ
๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า
๒. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน
๓. กัมมวิบาก ผลจากกรรม
๔. โลกจินดา ความคิดเรื่องโลก


ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิดผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์
ในอจินไตย ๔ อย่างนี้ อย่างแรกคือ พุทธวิสัย คือวิสัยของพระพุทธเจ้านั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าคิดอย่างไร ก็เข้าไปไม่ถึงวิสัยของพระพุทธเจ้า มีอานุภาพของพระพุทธคุณและพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น

อย่างที่ ๒ ฌานวิสัย วิสัยของผู้ที่ได้ฌานอภิญญา ผู้ที่ไม่ได้ฌานคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่า ทำไมผู้ที่ได้ฌานอภิญญาจึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ มีเหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้ เป็นต้น ผู้ที่ได้อภิญญาประเภทนั้นๆ เท่านั้นจึงจะรู้ได้

อย่างที่ ๓ กัมมวิบาก ผลของกรรม คือคนธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจรู้ว่า ผลของกรรมที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อใด คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดมากไปจะเป็นบ้าไปเสียเปล่าๆ ผู้ที่รู้ผลของกรรมได้อย่างถ่องแท้ต้องเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ นับย้อนหลังไปได้โดยไม่จำกัดอย่างพระพุทธเจ้า จึงสามารถจะทราบได้ถูกต้องแท้จริงไม่ผิดพลาด ท่านที่ระลึกชาติได้จำกัด เช่นระลึกได้ ๕๐๐ ชาติ แต่กรรมที่ทำไว้ ทำไว้เมื่อชาติที่ ๕๕๐ ผู้ที่ระลึกชาติได้ ๕๐๐ ชาติก็ไม่สามารถระลึกได้

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะรู้กรรมและผลของกรรมได้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะพระองค์ทรงมีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่ระลึกชาติย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด มียถากัมมูปคญาณ ญาณที่เข้าถึงกรรมของสัตว์ตามความเป็นจริง พระพระสัพพัญญุตญาณ ญาณที่ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นไม่มี ทั้งยังมีพระอนาวรณญาณ ญาณที่ไม่มีอะไรมาปิดกั้น ที่คนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่มี เพราะฉะนั้น ป่วยการคิดเรื่องผลของกรรมว่ามาจากกรรมไหน เมื่อใด เป็นต้น คิดมากไป อาจเป็นบ้าได้

อย่างที่ ๔ โลกจินดา ความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลก เช่นคิดว่าใครสร้างพระจันทร์-พระอาทิตย์ ใครสร้างภูเขา ต้นไม้ เป็นต้น คิดมากไปไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจจะรู้ได้

ด้วยเหตุนี้ อจินไตยทั้ง ๔ อย่างนี้ บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองคิดแล้วรู้ได้ ซึ่งก็รู้ได้เพียงวิสัยของตนเท่านั้น พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะรู้เท่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ท่านจึงเตือนว่า สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้สั่งสมสติปัญญาบารมีความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอบรมมาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ทีเดียว


☺.....การที่นำเรื่องนี้มาเป็นหลักฐาน เพื่อมิใช่ให้เข้าใจว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ทำตนเหมือนเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง แต่เป็นเพราะหลวงพ่อท่านเป็นพุทธสาวกของพระพุทธเจ้า และสามารถฝึกญาณเหล่านี้ได้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงพบเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนได้ ที่เรียกว่า "ทิพจักขุญาณ" นั่นเอง การที่ท่านนำความรู้หรือได้พบกับ "สมเด็จองค์ปฐม" มาบอกเล่า อีกทั้งฝึกฝนให้ผู้อื่นได้พบเห็นตามนี้ ท่านมิได้หวังทำให้ผู้คนหลงใหลงมงาย เรื่องนี้อย่างที่มีผู้โพสต์ความคิดเห็นที่ 1 บอกว่า

"ปฏิบัติให้ถึงจุดที่จะคิดเรื่องนี้ได้หรือยัง..?"

ทีมงานฯ


Boon - 22/9/11 at 16:58

ผมเห็นด้วยกับทีมงานครับเรื่อง อจินไตย ซึ่งน่าจะมีความหมายว่า คนที่คิดว่ามีหรือไม่มี ไม่มีความสามารถที่จะหาคำตอบด้วยตนเองได้ในภาวะปุถุชนวิสัย

ติดใจตรงคำว่า ความเชื่อของวัดท่าซุง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินว่าวัดท่าซุงมีความเชื่ออย่างไร พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่เคยสอนเรื่องความเชื่อ นอกจากความจริง คำว่าความเชื่อนัยยะคือพิสูจน์ไม่ได้ว่าจริง อาจจะจริง หรือไม่จริง เท่าที่ผมทราบหลวงพ่อและวัดท่าซุงสอนตามพระพุทธเจ้าคือสอนแต่ความจริงและให้ผู้ปฎิบัติพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง
Boon


ประทีป - 22/9/11 at 20:31

ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ฯ
(เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลาย ปฏิบัติแล้วจะเห็นได้ รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น ฯ) ...


chitarsa - 24/9/11 at 20:15

กระผมคิดว่าไม่น่าตีความเพราะว่าเป็นของสูงสิ่งที่องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านได้ทรงสอนไว้และที่มณฑปสมเด็จองค์พระปฐมก็มีพระบรมสารีริกธาตุ โดยเสด็จมาเองเป็นพุทธอัปมาโน คนที่ไม่เชื่อและมีความสงสัยก็ไม่ต้องมาพิสูตรเพราะทางวิทยาศาสตร์พิสูตรไม่ได้ เป็นปัจจัตตัง ถ้าย้อนถามว่าทำไมคนที่จบ ดร.ต้องกราบไว้พระที่เรียนมาทางโลกที่ไม่ได้ปริญญา แต่ท่านบรรลุธรรมและมีคุณธรรมพิเศษสามารถล่วงรู้อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต วัดท่าซุงหลวงพ่อท่านได้สร้างสถานที่ต่างๆที่อยู่บนสวรรค์-พรหม-และนิพพาน ถ้าไปบอกคนที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ ก็ไม่เชื่อยังปรามาสอีกด้วยและวิชามโนมยิทธิทำให้คนที่สงสัยว่านรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่า เป็นแสนเป็นล้านแล้วที่สัมผัสได้ทุกต้นเดือนที่สายลมมีคนไปฝึกเป็นจำนวนมากมีทั้งเด็กวัยรุ่นและวัยกลางคน ผมขอเชิญท่านที่คิดว่าสมเด็จองค์พระปฐมไม่มีจริง เชิญท่านฝึกวิชามโนมยิทธิได้ที่สายลมทุกต้นเดือน ถ้าท่านฝึกแล้วไปไหนไม่ได้ท่านคิดเอาเองว่าจิตท่านดีหรือยัง เพราะเด็กนักเรียนร.ร.พระสุธรรมยานเถระวิทยารุ่นละประมาณ 600 คน ตอนนี้ผ่านมา 26 รุ่นแล้วได้วิชามโนมยิทธิทุกคน ปฏิบัติให้มากๆๆๆจะได้ไม่สงสัย หลวงพ่อสอนว่าจงเตือนตนอยู่เสมออย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่นเอาตนเองให้ดีสิ่งที่สำคัญคือรักษากำลังใจของเราให้ดีเท่านั้น กระผมขอความกรุณาจบกระทู้นี้อย่าได้โพสต์ต่ออีกเลย ไม่เป็นการสมควร จากanant.19@hotmail.com


chitarsa - 24/9/11 at 20:23

ถึงเด็กอุทัย หนังสือที่คุณจะขนไปขายของหลวงพ่อฤาษีผมขอซื้อทั้งหมด ผมไม่อยากให้ตกไปอยู่กับคนที่ไม่รู้คุณค่า เบอร์โทร 087-986-1424 อนันท์อยู่กรุงเทพ โปรดติดต่อมาโดยด่วน............


เดชชาติ - 24/9/11 at 21:37

เห็นด้วยคับกับคำว่า "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ฯ" โดยส่วนตัวผมรักและเคารพ กราบ พระรัตนตรัย โดยเฉพาะสมเด็จองค์ปฐม สมเด็จองค์ปัจจุบัน และหลวงพ่อ และถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้มโนมยิทธิ แต่ผมก็มีความรู้สึกว่าองค์ท่านก็คอยดูแลลูกหลานของท่านตลอด (เคยโดนอารมณ์โกรธครอบงำ คีนนั้นฝันเลยในความฝันหลวงพ่อลงมาเตือนเลยว่า เขตนี้เป็นเขตอภัยทาน) เพราะฉะนั้นคำสอนของหลวงพ่อผมเชื่อไม่ใช่แค่ 100 %แต่เชื่อ ล้าน% ครับ


nippanpk - 29/9/11 at 18:19

จากการอ่านมาทั้งหมด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมวงสนทนา ข้อขัดข้องทางใจของท่านหลายท่าน ซึ่งอ่านแล้ว ทำให้คิดว่า สี่งที่อยากรู้อยากเห็น ช่วยให้ท่านพ้นทุกข์ได้หรือไม่?
สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ่ายทอดมา โดยการทำสมาธิ หรือการถ่ายทอดผ่านองค์หลวงพ่อฯ นั้นต่างหากมิใช่หรือ คือสิ่งที่มนุษย์เราปรารถนาอยากจะรับรู้ และได้เป็นคือ ทำตัวเองให้พ้นจากกองทุกข์นั้น

จากความสงสัย ไม่ว่าด้วยเรื่องอันใด ท่านที่ต้องการขายหนังสือทิ้ง หรือท่านที่ยังมองว่า มีสมเด็จองค์ปฐมหรือไม่นั้น ใยท่านไม่เปิดตาตัวเองให้ประจักษ์ ดั่งคำที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก ที่เหลือผู้รับฟังต้องพิสูจน์เอง
หากเราอยู่ในโลกปัจจุบัน ที่เกี่ยวโยงกับวิทยาศาสตร์ ใยท่านที่สงสัยทั้งหลาย จึงไม่ลองพิสูจน์ โดยการฝึกจิตของตัวเอง แล้วพิสูจน์ให้เห็นด้วยตัวเองเล่า

หากท่านมีความตั้งใจที่จะตัดขันธ์ห้า เพื่อการบรรลุ มรรค ผล แม้มิใช่ในชาตินี้ แต่ต้องมีสักชาติที่ท่านปรารถนา ท่านมีความขัดข้องใจ หรือปัญหาใด? แม้หาผู้ใดแจงให้ทราบได้ไม่ ท่านก็จะสามารถพบองค์สมเด็จพระสัมมาฯ ได้ และพระองค์จะตอบปัญหา หรือคำถามที่คุณอาจลืมไปแล้วมาตอบก็ได้ อย่างที่เคยพบเจอมา เมื่อวันที่ ๙ ธ.ค. ๒๕๓๗ ตอนบ่ายโมงครึ่ง ไปกราบพระรูป ๑ ตัวเองทำสมาธิ รู้สึกเบื่อหน่ายขันธ์ห้า รู้สึกว่าการมากราบหลวงพี่ที่นี่ ช่างน่าเบื่อหน่าย ชีวิตผ่านความตายมาหลายขณะ ต้องนั่งรถ นี่งเรือ กว่าจะมาถึง

ขณะนั้นสมเด็จองค์ปฐมเสด็จ และกล่าวสอนด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา นุ่ม ทุ่ม (ช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ) เย็นจับใจว่า (ทั้งหมดพระองค์ตรัสไปเรื่อย ๆ แต่ตอนพิมพ์ รู้สึกคล้ายคำกลอน เลยพิมพ์แบ่งวรรคตอนมา)
" จงเตือนตน แล้วทำตน ให้พ้น ทุกข์ทนที่ตนมี
จงทำดี เท่าที่ตน พึงทำได้ จะช่วยให้ สมหทัยที่หมายปอง"(พระนิพพาน)
คิดในใจ โดยไม่ได้คุยกับพระองค์ว่า "โลกช่างทุกข์จริง ๆ นะ"

พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนต่อว่า..............
" โลกก็เป็นเช่นนี้แล อย่าไปแย่กับมันที่ผันผวน
อย่าตรึงตรวนใส่ไว้ในใจเรา อย่านั่งเศร้าทุกข์ทนเพราะมันเลย
อยู่เฉย ๆ แล้วทำใจ ให้ไร้ขยะ จึงจะผละความวุ่นวาย จากโลกได้
หนทางใน พระนิพพาน ไม่ห่างไกล อยู่ด้วยใจ ที่เป็นสุข ว่างทุกข์เลย "

พอคลายจากสมาธิ ก็รีบจดเอาไว้ แล้วเพียรทำตามอย่างพระพุทธองค์ทรงตรัสสอน
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนสั้น ๆ แต่ใจความแจกแจงได้ยาวมาก ในแต่ละประโยค ต้องใช้ปัญญามองคำสอน แล้วนำมาประกอบในการตัดทุกข์ของท่าน หากท่านผู้อยากรู้ทั้งหลาย ปรารถนาจะรู้ ก็จะรู้ได้ในปัญหาของแต่ละคน ท่านอาจจะบอกว่า ที่พูดมา ไม่ได้ตอบคำถามของแต่ละข้อสงสัย แน่นอนว่า ไม่ใช่ผู้อ่านตามสัญญาแล้วจดจำมาตอบ แต่ปฏิบัติบูชา แล้วนำมาบอก ให้ท่านทั้งหลายปฏิบัติเอง ให้ปัจจัตตังเอง เพราะสิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ

(คำสอนข้างต้น บอกให้สหายธรรมฟัง เพียงไม่กี่คน และเริ่มให้เพื่อนหลายคนอ่านในปี ๒๕๕๓ ทั้งที่เป็นลูกหลานวัดท่าซุง และที่ไม่ใช่ เพราะว่า เขามีทุกข์มาปรึกษา ก็ให้เขาอ่านเพื่อให้เขารับรู้ว่า ปัญหาใด ๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว มันจะดับไปเพราะเราเป็นผู้ดับ หามีผู้ใดดับให้ ได้ไม่ เฉกเช่น ปัญหาของท่านทั้งหลาย หากท่านหวังที่จะพิสูจน์หรือรับรู้ ผู้ที่รับรู้ได้ดีที่สุด คือตัวท่านเอง หากท่านเพียงมุ่งหวังการพิสูจน์ หาใช่มุ่งหวังเพื่อการทำลายแล้วไซร้ ท่านจะต้องได้รับผลหรือคำตอบแห่งปริศนาในใจของท่านได้ )

และอีกหลาย ๆ เหตุการณ์ ที่ ไม่ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาฯ องค์ใด ๆ หรือองค์หลวงพ่อฯ ท่านสอนสั่งโดยที่ ไม่ต้องถามปัญหาด้วยปาก มีปัญหาเกิดขึ้นในใจ พระองค์ก็ทรงตอบให้เราได้รับรู้ มีเรื่อง ๑ ที่คาใจมานาน คือ กรรมบถ ๑๐ ในข้อที่ว่า พูดจาเพ้อเจ้อ เหลวไหล ไร้สาระ ก็ปรับเป็นโทษ อันนี้สงสัยสมัยองค์หลวงพ่อยังมีพระชนม์อยู่ แต่ท่านไม่ตอบให้หายสงสัย หลังจากนั้น ๗ ปี ที่ซอยสายลม ทำสมาธิตอน ๑ ทุ่ม สมเด็จพ่อองค์ปัจจุบัน ถ้าจำไม่ผิด ทรงตรัสว่า "ที่ลูกสงสัยว่า ทำไมพ่อต้องปรับเป็นโทษ หากพูดจาเพ้อเจ้อเหลวไหลฯ (เพราะเราคิดว่า เราคุยเล่นกับเพื่อนไม่ได้ตำหนิ หรือนินทาผู้ใด ใยต้องผิดด้วยเล่า) ก็เพราะว่า หากเจ้าตายตอนนั้น? เจ้าจะไปไหน?

ตอบในใจว่า แน่นอน มีนรกเป็นที่ไปเจ้าค่ะ เพราะว่าหนูไม่มีใจคิดถึงความดี มัวแต่พูดจาเลอะเทอะเจ้าค่ะ หลังจากนั้นมานั่งคิดว่า ตั้ง ๗ ปี เราลืมไปแล้ว ทำไมสมเด็จพ่อยังจำได้ ก็เข้าล๊อคที่ว่า เวลาของดาวดึงส์ เท่ากับ ๑๐๐ ปี มนุษย์ ส่วนชั้นจาตุฯ ก็ เท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ ๗ ปี บนพระนิพพานหายใจเข้ายังไม่ทันหายใจออกเสียด้วยซ้ำหละมั๊ง

โดยสรุป การขอมีส่วนร่วมในการพูดคุยครั้งนี้ มิได้มีเจตนาจะอวดตัวแต่อย่างใด แต่เพราะเห็นว่า สิ่งที่สงสัยกันนั้น มันไกลตัวเรา หากเราอยากรู้ ก็ทำความอยากรู้นั้นให้แจ้งแก่ตนมิดีกว่าหรือ แล้วที่สำคัญ ทุกข์ในใจของเรา เรารู้แจ้งและดับมันแล้วหรือยัง? เรื่องในอดีต มันจะสำคัญไม่เท่ากับ ปัจจุบันเราทำสิ่งที่เรียกว่า ความดีในใจตนหรือ ดับทุกข์ในใจเราได้แล้วหรือยัง หวังว่าการร่วมสนทนาธรรมนี้ จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่คิดว่า คำสอนที่องค์หลวงพ่อถ่ายทอดออกมา ไม่น่าสนใจ ก็จะมีคำตอบในใจได้บ้าง

ท่านสอนว่า หากใครว่า พ่อ หรือไม่อยากมาวัด ก็อย่าขยั้นขะยอหรือดึงดันให้เขามา หรือแก้ตัวให้ เพราะมันไม่มีประโยชน์ ความศรัทธาจะเกิดขึ้น ก็ต้องมาจากตัวเขาเองเท่านั้น ที่เขียนนี่ ไม่ได้ชักจูง หรือแก้ตัวให้แต่อย่างใด เพียงแต่บอกทางแก้ปริศนาของท่านมากกว่า หากตัวเองไปถามผู้รู้ เรื่องพูดจาเพ้อเจ้อฯ เขาอาจจะพูดไปในอีกแบบ ๑ ที่ไม่ใช่พระพุทธฯ ทรงตอบ คำตอบที่พระพุทธฯ ทรงแจงไว้ ช่างตรงกับคำที่ว่า "ตถาคตคิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก" และนี่เป็นการพิสูจน์ว่า สมาธิที่เราทำนั้น เราสัมผัสได้จริงหรือไม่?
ขอขอบคุณทุก ๆ ปัญหา หากไม่มีปัญหา หรือความทุกข์ ความสงสัย ก็คงไม่มีการสนทนากัน จนมาถึงตรงนี้


ประภัศร - 2/10/11 at 03:44

กระทู้นี้ผมได้อ่านตั้งแต่แรกๆแล้วได้แสดงความเห็นไว้ที่ความเห็นที่15ใช้ล๊อกอินศรีเทพไทยในเวปบอร์ดมีผู้คนมากมายต่างคนต่างความคิดมีหลายสายทั้งเห็นด้วยและ ไม่เห็นด้วยได้แต่พยายามอธิบายให้เขาทั้งหลายได้เข้าใจให้มากที่สุด
นี่ยังน้อยครับแค่สงสัยแล้วมาถามให้แสดงความคิดเห็น บางครั้งตั้งกระทู้ว่ากันมากกว่านี้ก็มี ก็ได้แต่ค่อยๆอธิบายกันไปครับ หากกระทู้ไหนแรงมากๆไม่ฟังเราก็ต้องปล่อยเขาไปบอกมากก็ไม่ได้เพราะในที่อย่างนั้นมีทั้งคนที่รู้และไม่รู้ คนที่ไม่รู้แล้วฟังก็อธิบายได้แต่หากไม่รู้แล้วปิดก็คงต้องให้เกิดแก่เจ็บตายกันต่อไป มีหลายๆท่านในพันทิปที่รู้และเป็นผู้ที่น่าจะเป็นลูกหลานหลวงพ่อคอยอธิบายให้ผู้ที่ไม่เข้าใจให้เข้าใจอยู่เสมอครับ พวกยึดตำราก็มาก พวกปฎิบัติก็มี บางครั้งเล่นเวปบอร์ดที่เปิดอย่างนั้น ต้องปล่อยวาง และวางเฉยบ้างครับ นี่ยังดีที่ตั้งกระทู้ในห้องศาสนาถ้าไปตั้งห้องหว้ากอแล้วละก็ คุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะครับ


webmaster - 3/10/11 at 09:32

......ทีมงานฯ ขออนุโมทนาสมาชิกทุกท่านที่ได้แสดงความเห็นไว้ นับตั้งแต่ที่ทีมงานฯ ได้นำกระทู้นี้มาลงให้อ่านกัน และขอชมเชยแต่ละท่านที่ได้ให้ความคิดความเข้าใจในทางสร้างสรรจริงๆ โดยเฉพาะคุณศรีเทพไทยที่ได้เข้ามาแสดงเห็นไว้ในที่นี้อีกครั้งด้วยครับ

สำหรับกระทู้ที่ตั้งไว้เดิมว่า "สมเด็จองค์ปฐม และ ความเชื่อวัดท่าซุง" ทางทีมงานฯ อยากจะขอย้อนแสดงความเห็นไว้อีกสักมุมหนึ่ง ซึ่งจะต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าเป็นความเห็นส่วนตัว อาจจะผิดพลาดไปบ้างต้องขออภัยไว้ด้วยนะครับ

ก่อนอื่นขออธิบายคำว่า "สมเด็จองค์ปฐม" กันก่อน ซึ่งจะไม่ขอใช้คำพูดยืดยาวเกินไปนัก เพราะเชื่อว่าผู้อ่านส่วนใหญ่เข้าใจกันดีแล้ว เพราะคำว่า "ปฐม" นั่นหมายถึง "ต้น" หรือมีความหมายถึง "พระพุทธเจ้าพระองค์แรก" หรือ "องค์ที่หนึ่ง" นั่นเอง แต่ก็มีผู้คนสงสัยว่าเป็นพระองค์แรกของกัปนี้หรืออย่างไร ในที่นี้ทีมงานฯ จะขออ้างอิงพระนามของพระพุทธเจ้าแต่ละกัปมาให้อ่านก่อน ดังนี้

รายพระนามพระพุทธเจ้าในอดีต
(จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)

พระพุทธเจ้าที่ล่วงมาแล้วหลายพระองค์ มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน อุปมาว่าจำนวนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ล่วงไปแล้วมีจำนวนมากกว่าเม็ดทรายในมหาสมุทรทั้งสี่ พระพุทธเจ้าทรงแนะว่าไม่ควรคิดถึงเรื่องของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นอจินไตย (แปลว่า เป็นเรื่องที่มนุษย์ปุถุชนอย่างเราไม่ควรคิดเพราะเป็นเรื่องที่ลึกลำเหนือจินตนาการของมนุษย์)

ในหลักฐานฝ่ายเถรวาทกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอดีตไว้ ๒๘ พระองค์ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้ทรงพบและ พระโคดมพุทธเจ้าทรงได้รับคำพยากรณ์ ว่าจะได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรานิยมนับรวมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดยเรียกว่า "พระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์"

๑ พระพุทธตัณหังกร
๒ พระพุทธเมธังกร
๓ พระพุทธสรณังกร
๔ พระพุทธทีปังกร
๕ พระพุทธโกณทัญญะ
๖ พระพุทธมังคละ
๗ พระพุทธสุมนะ
๘ พระพุทธเรวัตะ
๙ พระพุทธโสภิตะ
๑๐ พระพุทธอโนมทัสสี
๑๑ พระพุทธปทุม
๑๒ พระพุทธนารทะ
๑๓ พระพุทธปทุมุตระ
๑๔ พระพุทธสุเมธะ
๑๕ พระพุทธสุชาตะ
๑๖ พระพุทธปิยะทัสสี
๑๗ พระพุทธอรรถทัสสี
๑๘ พระพุทธธรรมทัสสี
๑๙ พระพุทธสิทธัตถะ
๒๐ พระพุทธติสสะ
๒๑ พระพุทธปุสสะ
๒๒ พระพุทธวิปัสสี
๒๓ พระพุทธสิขี
๒๔ พระพุทธเวสสภู
๒๕ พระพุทธกกุสนธะ
๒๖ พระพุทธโกนาคมน์
๒๗ พระพุทธกัสสปะ
๒๘ พระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)

• ในแต่ละกัลป์ (กัป) จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ดังนี้

๑ สารมัณฑกัลป์ มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในกัลป์นี้ ๔ พระองค์คือ
- พระพุทธตัณหังกร
- พระพุทธเมธังกร
- พระพุทธสรณังกร
- พระพุทธทีปังกร

๒ สารกัลป์ มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดในโลก ๑ พระองค์คือ
- พระพุทธโกณทัญญะ

๓ สารมัณฑกัลป์ (บังเกิดขึ้นใหม่) มีพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์คือ
- พระพุทธมังคละ
- พระพุทธสุมนะ
- พระพุทธเรวัตะ
- พระพุทธโสภิตะ

๔ วรกัลป์ มีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์คือ
- พระพุทธอโนมทัสสี
- พระพุทธปทุม
- พระพุทธนารทะ

๕ สารกัลป์ มีพระพุทธเจ้า ๑ พระองค์คือ
- พระพุทธปทุมุตระ

๖ มัณฑกัลป์ มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์คือ
- พระพุทธสุเมธะ
- พระพุทธสุชาตะ

๗ วรกัลป์ มีพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์คือ
- พระพุทธปิยะทัสสี
- พระพุทธอรรถทัสสี
- พระพุทธธรรมทัสสี

๘ สารกัลป์ มีพระพุทธเจ้า ๑ พระองค์คือ
- พระพุทธสิตธัตถะ

๙ มัณฑกัลป์ มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์คือ
- พระพุทธติสสะ
- พระพุทธปุสสะ

๑๐ สารกัลป์ มีพระพุทธเจ้า ๑ พระองค์คือ
- พระพุทธวิปัสสี

๑๑ มัณฑกัลป์ มีพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์คือ
- พระพุทธสิขี
- พระพุทธเวสสภู

๑๒ ภัทรกัลป์ (คือกัลป์ปัจจุบัน) มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว ๔ พระองค์คือ
- พระพุทธกกุสนธะ
- พระพุทธโกนาคมน์
- พระพุทธกัสสปะ
- พระพุทธโคดม (สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
และจะมีพระพุทธเมตไตรย มาตรัสรู้ในอนาคต


พระทีปังกรพุทธเจ้า
(จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)

พระทีปังกรพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าในอดีตที่มีหลักฐานกล่าวถึงทั้งทางฝ่ายเถรวาทและมหายาน นามของพระองค์หมายถึงผู้ยังแสงสว่างให้เกิดขึ้น ชื่ออื่นๆของพระองค์ได้แก่ พระสมันตประภาพุทธเจ้า พระประทีปประภาพุทธเจ้า พระสมาธิประภาพุทธเจ้า หรือพระปัจฉิมพุทธะทีปังกร

ในอดีตกาลมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร ๒ พระองค์ จึงเรียกพระองค์แรกว่า พระปุราณทีปังกร (ปุราณ มาจากคำว่า โบราณ แปลว่า อดีต) และเรียกพระองค์หลังว่า พระปัจฉิมทีปังกร


อ้างอิง : http://th.wikipedia.org
อ่านรายละเอียดได้ http://agaligohome.com/index.php?topic=4678.0

........เมื่อได้อ่านรายพระนามของพระพุทธเจ้าแล้ว คำว่า "สมเด็จองค์ปฐม" จะเห็นว่ามีความหมายถึงเป็นพระองค์แรกของแต่ละต้นกัปป์นั้นๆ ก็ได้ แต่ถ้าจะเอา "ความเชื่อของวัดท่าซุง" นั้น หมายถึงพระพุทธเจ้าองค์แรกของแต่ละกัปป์ทั้งหมด คือเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั่นเอง

ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่น่าจะเสียหายอะไร เพราะเป็นการเคารพกราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ในอดีต ที่เรียกว่า "พุทธานุสสติ" เป็นการเจริญพระกรรมฐานในการนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์นั่นเอง แต่ใครจะคิดอย่างไรก็คงไม่สามารถบังคับกันได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีแนวคิดยิ่งกว่านี้ก็ยังมีอีกจาก... http://community.thaiware.com/index.php/topic/360283-aeuoeoeadhoeaeoaaoaaadhaeoceo-ioooe-eaiadhoeaeoiia/

เหตุที่พระพุทธเจ้าเปลี่ยนคำเรียกพระเจ้า เป็นอาทิพุทธ หรือ พระพุทธเจ้าองค์ปฐม

อาทิ...ความหมาย... เบื้องต้น, ทีแรก, ข้อต้น.
พุทธ, พุทธ, พุทธะ [พุด, พุดทะ]...ความหมาย... ผู้ตรัสรู้, ผู้ตื่นแล้ว, ผู้เบิกบานแล้ว, ใช้เฉพาะเป็น พระนามของพระบรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา เรียกเป็นสามัญว่า พระพุทธเจ้า

อาทิพุทธ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐม เป็นนักมายากลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทำให้สิ่งที่ว่างเปล่า ดูเสมือนมีตัวตน คนที่มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ มีความโลภ โกรธ หลง ย่อมไม่มีทางค้นพบความจริงเรื่องนี้

แต่เพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ปฏิบัติจนรับรู้ความจริงแล้วว่า ในโลกและในจักรวาลไม่มีสิ่งที่เรียกว่า อัตตาหรือสสาร สิ่งที่เล็กที่สุดไม่ได้ซึ่งเป็นองค์ประกอบของทุกสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นโมเลกุล หรือเป็นอะตอมแต่อย่างใด แต่สิ่งที่เล็กที่สุดซึ่งเป็นองค์ประกอบของทุกสรรพสิ่งเป็นความว่างเปล่า

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ค้นพบความจริงนี้แล้วว่า สิ่งที่เล็กที่สุดไม่ได้ซึ่งเป็นองค์ประกอบของทุกสรรพสิ่งเป็นความว่างเปล่าจริงๆ นักฟิสิกซ์เรียกอนุภาคมูลฐานที่เป็นหน่วยเล็กที่สุดจริง ๆ ว่า "ควาร์ก" มันไม่มีอะไรเลย

หมายถึงว่า สิ่งที่ไม่มีชีวิต และสิ่งที่มีชีวิต ล้วนไม่มีอะไรเป็นองค์ประกอบทั้งนั้น ชีวิตเป็นสิ่งไม่มีอะไรเลย มันเป็นความว่างเปล่า นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งและละเอียดอ่อนจริงๆ จะ(กำลัง)ค้นพบความจริงข้อนี้ว่า เค้ากำลังไล่ตามสิ่งที่พุทธศาสนาค้นพบมาก่อนแล้วตั้ง 2500 กว่าปี


........นี่เป็นความคิดความเข้าใจอีกมุมหนึ่งในโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่นำออกมาแสดงความเห็นต่างกับความเชื่อวัดท่าซุง นอกจากนี้ยังมีเรื่องแปลกที่เกิดขึ้นอีกกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โพสต์ไว้ใน... http://www.yantip.com/board/viewthread.php?tid=9594

ดาวเด่น โพสต์ 18-8-2011 16:05 |
ฝันเห็นพระประธานองค์ปฐมหมายถึงอะไรคะ


หนูไปบวชชีพราหมณ์มาที่วัดแห่งหนึ่ง คืนวันที่จะกลับก็ฝันเห็นพระประธานซึ่งที่วัดนี้เขาเรียกท่านว่าองค์ปฐม องค์ท่านเป็นสีขาว สวยงามจับตามากคะ ในฝันหนูกำลังเดินไปตามทางแล้วเห็นพระประธานองค์ปฐม ท่านพูดกับหนูว่าเดินมาทางผิด หมายถึงอะไรคะอาจารย์ กรุณาแนะนำหนูด้วยคะ ถ้าเกิดว่าหนูทำอะไรผิดไปนะคะ และควรทำอย่างไร

ลองภูมิ โพสต์ 27-8-2011 09:20 |
เดินทางผิดเหรอ อื้ม ตอนนี้คุณดาวเด่น เรียนสมาธิกับใครสายไหนอยู่ครับ หรือทำกิจการใดอยู่ครับ

ดาวเด่น โพสต์ 29-8-2011 16:35 |
หนูไม่ได้เรียนสมาธิกับใครเลยคะอาจารย์ ฝึกเองนั่งเองตามหนังสือบ้าง ฟังพระท่านสอนมาบ้างคะ ตอนนี้หนูมาเป็นครูอัตราจ้างที่โรงเรียนแห่งหนึ่งคะได้ 3 วันแล้วคะ แต่ไม่สบายใจมากๆคะ ราวกับมันนานมาหลายปีคะ มีปัญหาประดังเข้ามาจนท้อเยะคะตอนนี้ นอนร้องไห้ทุกคืนเพราะทำอะไรไม่ได้ทุกข์เหลือเกินคะอาจารย์ ทำไมชีวิตหนูถึงต้องทุกข์มาตลอดคะอาจารย์

ลองภูมิ โพสต์ 29-8-2011 20:26 |
อื้ม มาตรวจกรรมเร็วๆ เข้า จะได้แก้ไขให้ชีวิตเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นอยู่ ไม่งั้นก็เศร้าไปตลอดครับ


......เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องแปลกมาก ที่ทีมงานฯ ได้พบกระทู้นี้โดยบังเอิญพอดี อยากจะถามความเห็นท่านสมาชิกของเราว่า คำนี้มีความหมายว่าอย่างไร เพราะเห็นคำตอบข้างบนแล้วงงเหมือนกัน..!

......"ในฝันหนูกำลังเดินไปตามทางแล้วเห็นพระประธานองค์ปฐมท่านพูดกับหนูว่า เดินมาทางผิด หมายถึงอะไรคะ..?"

ทีมงานฯ


Pichayakorn - 14/5/16 at 07:10

สมเด็จองค์ปฐมคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกที่ตรัสรู้แล้วโปรดสัตว์โลกโดยการประกาศความจริงเรื่องนิพพานและสอนคนไปนิพพาน แต่ถามว่าก่อนมีสมเด็จองค์ปฐมนิพพานว่างไหม ความเห็นส่วนตัวคิดว่าไม่ว่างเพราะมีพระปัจเจกพุทธเจ้าที่นิพพานแล้วอยู่ ถ้าไปถึงนิพพานแล้วคงรู้เอง แต่ส่วนตัวก็ยังไม่เคยเห็นนิพพาน เคยเห็นแต่สวรรค์


nattamai - 15/5/16 at 14:36