เนื่องจากผมบวชมาแล้ว ไม่มีพระที่เป็น พระสุปฏิปันโน อบรมสั่งสอนในด้านพระวินัย
จึงมีแต่สั่งสอนว่า อาบัติเล็กน้อยไม่เป็นไร แต่เนื่องจากผมได้ฟังคำสั่งสอนของหลวงพ่อฯ
จึงไม่มีความเลื่อมใสนักบวชที่ไม่เคารพพระธรรมวินัย จึงไม่ต้องการสอบถามข้อสงสัยก้บ
นักบวชเหล่านั้น ข้อสงสัยผมมีอยู่ว่า...
1.ภิกษุแสดงธรรมแก่หญิงเกิน6คำขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์
จึงมีความสงสัยว่า"ถ้าผมได้รับหน้าที่ในการสอนพระกรรมฐานแก่ญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรม
แล้วในบางรอบมีแต่ แม่ชี หรือพราหมณ์ที่เป็นผู้หญิงล้วนๆ ไม่มีผู้ชายเลย จะเป็นอาบัติไหมครับ?
2.ในอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรค สิกขาบทที่1
อยากทราบว่า ตอนบวชเราเตรียมไตรจีวรมา เช่นเตรียมมา2ชุดหรือมากกว่า ได้หรือไม่ครับ
และต้องทำอย่างไรจึงไม่เป็นอาบัติครับ
หรือบวชแล้วมีญาติโยมมาถวายเพิ่ม เราควรวิกัปให้หมด หรือเปล่าครับ
และอธิษฐานเป็นจีวรจร ทำอย่างไรครับ?
3.หลังเที่ยงไปแล้ว ผมได้รับการบอกมาว่า ถ้าเรานั่งฉันก่อนเที่ยงแล้วไม่ลุก ก็ฉันไปได้เรื่อยๆ
จริงหรือไม่ครับ ? และหลังเที่ยง กินไอติมได้ กินเยลลี่ได้ ลูกอมได้ เหรอครับ?
เนื่องจากผมพลาดบวชมาในวัดที่ไม่มีใครเคร่งวินัย และทั้งก่อนและหลังบวชมาแล้ว ไม่มีคนที่ให้ความรู้และสอนได้เลย
และเนื่องจากสถานที่ผมอยู่ ก็เป็นสาขาย่อยของวัด จึงมีแต่ นวกะ ล้วนๆ
เนื่องจาก อลัชชี ในพระพุทธศาสนามีมาก จึงไม่อยากถามใครเลย เมื่อมีข้อสงสัยในพระวินัย
จึงได้มาโพสต์เพื่อรบกวนทางทีมงานฯ ช่วยนำคำถามนี้ไปถามแก่พระสุปฏิปันโน ของวัดท่าซุงหน่อยครับ
เนื่องจากขณะนี้ผมก็ยังเป็นผู้ที่มืดบอด ไม่รู้ว่าพระท่านไหนเป็นพระสุปฏิปันโน จึงขอยึดวัดท่าซุงแห่งเดียวเป็น สรณะ ครับ
4.และผมก็มีความกลัวว่าที่ผมบวชเข้ามา ขณะบวชจะมีพระลำดับที่เป็นอาบัติปาราชิก หรือสังฆาทิเสสร่วมอยู่ด้วย
และจะทำให้การบวชของผมไม่ใช่เป็นพระ จึงอยากทราบวิธีแก้ไขถ้าเหตุการณ์บังเอิญเป็นเช่นนั้น
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ขอเรียนถามเพิ่มอีกนิดนึงครับ
1.ตามวินัย ห้ามภิกษุด่าภิกษุ แต่ถ้าภิกษุอีกรูปทำตัวไม่ใช่พระ
ทำตัวเหมือนฆราวาส ปรารภแต่ติรัจฉานคถา พวกอลัชชีแบบนี้ถ้าเผลอไปด่าเข้า
ก็ต้องอาบัติเหมือนกันไหมครับ
ก่อนอื่นขอชี้แจงว่า พระวินัยก็เหมือนข้อกฎหมายนั่นเอง แต่คงไม่มีใครคิดตีความเข้าข้างตนเอง เพื่อจะได้ฝ่าฝืนพระธรรมวินัย
สำหรับในประเทศไทยก็ยังมีการปฏิบัติแตกต่างกันในบางข้อ ซึ่งแล้วแต่ละสำนักจะนำไปถือปฏิบัติให้เคร่งครัดได้แค่ไหน
ฉะนั้นถ้าจะเอาพระวินัยมาเปรียบเทียบกันคงจะไม่ได้ เพราะถือว่านำมาปฏิบัติตามความเข้าใจของตนเอง หรือของครูบาอาจารย์ที่ถือปฏิบัติสืบๆ กันมา
ทั้งนี้แล้วแต่ละบุคคลและกาลสมัยด้วย
ฉะนั้นการที่จะไปบวชสำนักไหน เราควรจะต้องศึกษาให้เข้าใจเสียก่อน เพราะถ้าจะนำข้อปฏิบัติแต่ละสำนักมาอ้างกัน จะทำให้เกิดความเร่าร้อนวิปปฏิสาร
พระพุทธเจ้าก็ไม่สรรเสริญ ถือว่าปฏิบัติพระธรรมวินัยที่ยังไม่ถูกต้องนัก ส่วนสำนักไหนจะสอนให้เคร่งครัดแค่ไหน และผู้ปฏิบัติจะทำตามได้แค่ไหน
ควรที่จะได้ศึกษาและไต่ถามเจ้าของสำนักก่อน เพราะถ้าบวชแล้วก็จะเกิดความลังเลสงสัยเพราะความไม่เข้าใจของสำนักแต่ละแห่ง
ในที่นี้ จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวตามข้อปฏิบัติของที่อื่น แต่จะขอเล่าตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนไว้ ซึ่งจะศึกษาหารายละเอียดได้ที่ "โทษละเมิดพระวินัย"
(http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=900)
ท่านได้สอนไว้นานแล้วว่า ถ้าทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ท่านก็ไม่ได้ห้าม ส่วนในพระไตรปิฎกขอขยายความมาให้ทราบ ดังนี้
จากคำถามข้อที่ 1.ภิกษุแสดงธรรมแก่หญิงเกิน 6 คำขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์
ตอบ - ข้อนี้คงไม่เป็นอาบัติ (ตามหลักฐานข้อที่ 8.ภิกษุแสดงธรรมเพื่อประโยชน์แก่คนอื่นอยู่ มาตุคามฟังอยู่ด้วย) และมีข้อยกเว้นภายหลังดังนี้ว่า
อนาบัติ (ไม่เป็นอาบัติ)
1.มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ด้วย 2.ภิกษุแสดงธรรมเพียง 5-6 คำ 3.ภิกษุแสดงธรรมหย่อนกว่า 5-6 คำ 4.ภิกษุลุกขึ้นแล้วนั่งแสดงธรรมต่อไป
5.มาตุคามลุกขึ้นแล้วนั่งลงอีก ภิกษุแสดงแก่มาตุคามนั้น 6.ภิกษุแสดงแก่มาตุคามอื่น 7.มาตุคามถามปัญหา ภิกษุถูกถามปัญหาแล้วกล่าวแก้
8.ภิกษุแสดงธรรมเพื่อประโยชน์แก่คนอื่นอยู่ มาตุคามฟังอยู่ด้วย 9.ภิกษุวิกลจริต 10.ภิกษุอาทิกัมมิกะ (ผู้เป็นต้นบัญญัติ) ไม่ต้องอาบัติแล.
(ต้นบัญญัติ พระอุทายีแสดงธรรมกระซิบที่หูของสตรีทำให้ผู้อื่นสงสัย)
ถามข้อ 2.ในอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรค สิกขาบทที่ 1
อยากทราบว่า ตอนบวชเราเตรียมไตรจีวรมา เช่นเตรียมมา2ชุดหรือมากกว่า ได้หรือไม่ครับ และต้องทำอย่างไรจึงไม่เป็นอาบัติครับ
หรือบวชแล้วมีญาติโยมมาถวายเพิ่ม เราควรวิกัปให้หมด หรือเปล่าครับ
และอธิษฐานเป็นจีวรจร ทำอย่างไรครับ?
คำตอบ - ก่อนบวช หรือมีผู้ถวายภายหลัง เท่าไรก็ได้ แต่เราก็ทำตามพระวินัย หรืออธิษฐานไตรครองไว้ 1 ชุด และวิกัปสำรองไว้อีก 1 ชุด
ส่วนที่เหลือทำบุญหรือถวายให้เพื่อนภิกษุด้วยกัน ส่วนการวิกัปและอธิษฐานจีวรวร ควรไปศึกษาเอาเอง
คำถาม 3.หลังเที่ยงไปแล้ว ผมได้รับการบอกมาว่า ถ้าเรานั่งฉันก่อนเที่ยงแล้วไม่ลุก ก็ฉันไปได้เรื่อยๆ
จริงหรือไม่ครับ ? และหลังเที่ยง กินไอติมได้ กินเยลลี่ได้ ลูกอมได้ เหรอครับ?
คำตอบ - ข้อนี้ไม่ยากน่าจะได้ศึกษามาก่อนว่า ตามธรรมเนียมควรจะนั่งฉันแค่เที่ยงวันเท่านั้น ส่วนใหญ่ตามที่ปฏิบัติก็ไม่เกินเที่ยง หรือจำเป็นจริงๆ
ก็ไม่เกินเที่ยง 18 นาที ส่วนหลังเที่ยงถือว่าวิกาล ไอติมก็ต้องไม่มีส่วนผสมกะทิ ลูกอมคงได้ ส่วนเยลลี่ถ้าไม่มีส่วนผสมก็ไม่เป็นไร
แต่หลวงพ่อท่านสอนไว้ก่อนฉันควรพิจารณาก่อนเท่านั้นเอง
คำถามข้อ 4.และผมก็มีความกลัวว่าที่ผมบวชเข้ามา ขณะบวชจะมีพระลำดับที่เป็นอาบัติปาราชิก หรือสังฆาทิเสสร่วมอยู่ด้วย
และจะทำให้การบวชของผมไม่ใช่เป็นพระ จึงอยากทราบวิธีแก้ไขถ้าเหตุการณ์บังเอิญเป็นเช่นนั้น
คำตอบ - เรื่องนี้ถ้าคิดมากคงไม่แคล้วแน่ เพราะสมัยนี้เราก็ได้แค่เดาๆ กันไป เรื่องการทำสังฆกรรมแบบนี้ คงแล้วแต่ความนิยมอยู่ในใจ
ว่าสำนักไหนเขารักษาสังฆกรรมเฉพาะกลุ่มของเขา แต่ถ้าบวชไปแล้ว คิดมากไปก็ไม่แคล้ว..ประสาท
ควรรักษาจิตใจของเราดีกว่า (หมายถึงอย่าไปมองแต่คนอื่น) ว่าเราบวชครั้งนี้มุ่งตรงต่อพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหลายก็แล้วกัน หากครุ่นคิดแต่เรื่องนี้
ไม่นานก็เกิดวิปปฏิสาร คือความเดือดร้อน ไม่สามารถรักษาพระธรรมวินัยได้ ซึ่งนั่นมันสำคัญกว่าสังฆกรรมที่ผ่านไปแล้ว
เพราะเราก็ต้องเดือดร้อนจนไม่สามารถรักษาพระธรรมวินัยต่อไปนั่นเอง
เรื่องนี้ไม่มีใครช่วยได้ ต้องคิดทำเอาเอง ควรปฏิบัติไปให้พอสมควรแก่สถานะ อย่าไปมองคนอื่นจนเกินไป แล้วเราจะเจอแต่ความเร่าร้อน
เพราะเหตุเรื่องพระวินัยนี่เอง เป็นอันว่า พระวินัยที่เราตั้งใจดีที่จะรักษาไว้ กลับจะนำพอให้เราหายนะทีหลัง ควรจะรักษาให้แค่พอดีมีความสุขก็แล้วกันนะ
ซึ่งคงจะสมคล้องกับข้อสุดท้ายที่ 5 ถามว่า
คำถามข้อ 5 ตามวินัย ห้ามภิกษุด่าภิกษุ แต่ถ้าภิกษุอีกรูปทำตัวไม่ใช่พระ
ทำตัวเหมือนฆราวาส ปรารภแต่ติรัจฉานคถา พวกอลัชชีแบบนี้ถ้าเผลอไปด่าเข้า ก็ต้องอาบัติเหมือนกันไหมครับ
สรุปทั้งหมดตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ สอนไว้ดีกว่า คือ อัตนาโจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทความผิดของตนเองไว้เสมอ
เพราะถ้าเราไปมองแต่คนอื่นแล้ว เราก็จะเป็นอลัชชีตามเขาไปด้วย ตามที่ถามมาในข้อนี้ละครับ
ขอบพระคุณสำหรับคำตอบครับ
ในปัจจุบันที่ผมปฏิบัติอยู่ สิ่งที่ผมไม่แน่ใจผมก็
เลือกไม่ทำมันเลย..ส่วนของ จีวร ฯลฯ หรือเงินที่ได้มา
ผมก็ทำตามคำแนะนำหลวงพ่อ คือเก็บเองแค่พอกิน
ที่เหลือก็บริจาค
เรื่องในข้อสุดท้าย ยอมรับว่า
ช่วงแรกที่ฟังคำสอนหลวงพ่อฯแล้ว เห็นพวกหลวงพี่
รูปอื่น ผิดศีล หรือทำไม่ดี ตอนนั้น มีความเร่าร้อนใจ
อยากให้เค้ารักษาศีล บางทีก็เอานรกไปเหน็บเค้าบ้าง
แต่หลังจากปฏิบัติตามหลวงพ่อฯมาเรื่อยๆ
ใจมันก็ไม่อยากยุ่งกับใครเท่าไร
คิดว่าทุกอย่างเป็นกฎแห่งกรรม
สาธุ อนุโมทนาในกุศลครับ
ขออนุโมทนาครับ