หนังสือ "พระเมตตา" เล่ม ๒ (บทที่ ๑ - ๒๔ จบ)
webmaster - 26/5/09 at 08:49
สารบัญ
01. คำนำ
02. คำชี้แจง
03. บทที่ ๑
04. บทที่ ๒
05. บทที่ ๓
06. บทที่ ๔
07. บทที่ ๕
08. บทที่ ๖
09. บทที่ ๗
10. บทที่ ๘
11. บทที่ ๙
12. บทที่ ๑๐
13. บทที่ ๑๑
14. บทที่ ๑๒
15. บทที่ ๑๓
16. บทที่ ๑๔
17. บทที่ ๑๕
18. บทที่ ๑๖
19. บทที่ ๑๗
20. บทที่ ๑๘
21. บทที่ ๑๙
22. บทที่ ๒๐
23. บทที่ ๒๑
24. บทที่ ๒๒ คลิกที่หน้า 2
25. บทที่ ๒๓ คลิกที่หน้า 2
26. บทที่ ๒๔ คลิกที่หน้า 2
พระเมตตา เล่ม 2
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร
๑. คำนำ
หนังสือ "พระเมตตา" เล่มแรก ได้คัดจากเทปที่หลวงพ่อออกวิทยุหลังจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จ ฯ พระบรมราชินีนาถ
ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม เสด็จไปทรงประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเกศมาลา พระประธาน ที่อุโบสถใหม่ วัดจันทาราม (วัดท่าซุง)
จังหวัดอุทัยธานี และทรงเททองรูปหล่อพระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน แห่งวัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)
(วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ - เว็บวัดท่าซุง เพิ่มเติม)
อันเป็นครั้งแรกที่ได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับหลวงพ่อ ต่อจากนั้นมา ได้มีอีกหลายโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพบปะกับหลวงพ่อ
ซึ่งหลวงพ่อได้นำข้อความ (บางส่วน) มาออกรายการประกอบการสอนธรรมทางวิทยุของท่าน จึงได้คัดเทปที่ออกวิยุมาลงไว้ในหนังสือ "พระเมตตา ๒" นี้
อย่างไรก็ดี ลำดับเรื่องที่หลวงพ่อออกอากาศนั้นออกจะสลับสับสนไปมาอยู่บ้าง ซึ่งหลวงพ่อก็รับว่าบันทึกเทปขณะที่เหน็ดเหนื่อย จึงไขว้เขวสับสน
และอาจจะซ้ำกันบ้าง ดังนั้น เพื่อความเข้าใจของท่านผู้อ่าน จึงขอนำลำดับโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพบปะกับหลวงพ่อไว้ (ต่อจากครั้งที่ ๑
ในหนังสือพระเมตตา) ดังนี้
ครั้งที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประจวบกับการก่อสร้างวิหารที่ ตำบลน้ำน้อย
อำเภอหาดใหญ่ สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปที่ พล.อ. บุญชัย บำรุงพงศ์ และคุณหญิง เป็นผู้สร้างสำเร็จลงพอดี (วันที่ ๒๖
สิงหาคม ๒๕๑๙ - เว็บวัดท่าซุง เพิ่มเติม)
ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา จึงได้กราบทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปทรงประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเกศพระพุทธรูปนั้น
ในโอกาสนั้นได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับหลวงพ่อด้วยข้อธรรมะอยู่เป็นเวลาประมาณ ๔๕ นาที ในครั้งนั้นมีพระอื่นอีกหลายองค์ เช่น หลวงปู่วงศ์ หลวงปู่ธรรมไชย
หลวงปู่คำแสน หลวงปู่ชุ่ม พระครูปัญญาภรณ์โสภณ วัดเทพศิรินทร์ และเจ้าคุณธรรมวราลังการ วัดบุปผาราม เป็นต้น
ครั้งที่ ๓ ม.จ. ภีศเดช รัชนี และเจ้าหน้าที่สถานีทดลองทางการเกษตร โครงการหลวงพัฒนาชาวเขาที่ดอยอ่างขาง จะได้จัดการทำบุญสถานีเป็นครั้งแรก
และในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีด้วยพระองค์เอง
ทางเจ้าหน้าที่จึงได้นิมนต์ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร หลวงปู่คำแสน หลวงปู่วงศ์ ครูบาธรรมไชย และท่านมหาทองปอน
เนื่องจากเป็นระยะเวลาพ้องกับที่หลวงพ่อรับนิมนต์ พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ไปเยี่ยมราษฎรในถิ่นกันดารของสุโขทัย
จึงมีเฮลิคอปเตอร์รับจากสุโขทัยไปที่อ่างขางและส่งกลับ ณ ที่ดอยอ่างขาง ทรงซักถามเรื่องธรรมะกับหลวงพ่อพระมหาวีระอยู่เป็นเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง
การบรรยายของหลวงพ่อในตอนนี้ จึงมีการคาบเกี่ยวกันระหว่างสุโขทัยกับดอยอ่างขาง (๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐)
ครั้งที่ ๔ เมื่อ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ ขอนิมนต์หลวงพ่อไปที่ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ในครั้งนั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไต่ถามข้อธรรมะอยู่เป็นเวลาประมาณ ๕ ชั่วโมง
ครั้งที่ ๕ เมื่อ ๒ เมษายน ๒๕๒๐ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา ฯ ทรงนิมนต์ หลวงพ่อ กับ หลวงปู่ธรรมไชย
ไปในพิธีเปิดที่ทำการ มูลนิธิสายใจไทย ในตอนเช้า และในวันนั้น มีฎีกานิมนต์ทั้งสององค์ไปในพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลเกี่ยวกับ พระสยามเทวาธิราช
ที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในโอกาสนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ หลวงปู่ เป็นเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง
ครั้งที่ ๖ เมื่อ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ในนามของคณะศิษย์
ได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพิธีตัดลูกนิมิตผูกพัทธสีมา ณ อุโบสถ วัดจันทารามอันเป็นเรื่องต่อเนื่องกับครั้งที่ ๑ ในโอกาสนี้
ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับหลวงพ่อ ๒ วาระ ประมาณวาระละ ๑๐ นาที ในโอกาสเดียวกันทรงมีพระราชดำรัสว่า เทปคำสอนธรรมะของหลวงพ่อนับว่ามีประโยชน์มาก
สมควรจะเผยแพร่ ดังนั้น จะทรงถวายเครื่องถ่ายเทป ๑ ชุดเพื่อให้ใช้ในการนี้
ครั้งที่ ๗ เมื่อ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๐ เจ้าหน้าที่นัดให้หลวงพ่อและคณะดำเนินการเรื่องเทปเข้าเฝ้าที่ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
เพื่อรับพระราชทานเครื่องถ่ายเทป ในโอกาสนี้ได้เข้าเฝ้าอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่ง เพราะทรงมีหัวข้อธรรมะที่สนทนาด้วย (สำหรับครั้งที่ ๗ นี้ มิได้รวมอยู่ใน
"พระเมตตา ๒" ด้วย
เมื่อได้ลำดับการเข้าเฝ้าได้ดังนี้แล้ว เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะสามารถอ่าน "พระเมตตา ๒" โดยมีความเข้าใจที่กระจ่างชัด
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 3/6/09 at 14:09
(Update 3 มิ.ย. 52)
๒. คำชี้แจง
.....โดยที่หลวงพ่อได้มีโอกาสสนทนาธรรมตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นจำนวนหลายครั้ง
เพราะฉะนั้นก็ย่อมเป็นที่สนใจของบุคคลหลายกลุ่มหลายประเภท และในที่สุดย่อมมีเสียงกระแนะกระแหนขึ้นเป็นธรรมดา เสียงกระแนะกระแหนเหล่านี้
ความจริงแล้วหลวงพ่อก็ดี คณะศิษย์ก็ดี ไม่มีความวิตกหรือเดือดร้อนอะไร เพราะไม่ได้ทำอะไรที่ผิดหรือที่ไม่สมควร
แต่ที่เขียนคำชี้แจงนี้ ก็เพราะเกรงว่าเสียงกระแนะกระแหนในบางเรื่อง อาจเป็นการเสื่อมเสียไปถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้
จึงเป็นการสมควรที่จะชี้แจงไว้ ณ ที่นี้เพื่อความเข้าใจอันดี
ประการแรก มีเสียงกล่าวกันว่า ศิษย์ของหลวงพ่อพยายามผลักดัน (บางคนอาจใช้คำว่าหลอกลวง) ให้หลวงพ่อได้เข้าเฝ้าใกล้ชิด และในที่สุดก็นับว่าอยู่ในตำแหน่ง
"พระอาจารย์" อย่างไม่เป็นทางการ แล้วพวกศิษย์ก็จะได้ดีมีความชอบ อย่างน้อยก็เที่ยวยกธงประกาศว่าพระเจ้าอยู่หัวก็ "ขึ้น" กับอาจารย์ของฉัน
คำกล่าวเช่นนี้ จะต้องอธิบายหลายด้านด้วยกัน
ก่อนอื่น...จะต้องทราบว่าคำสอนของหลวงพ่อเข้าไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้อย่างไร
ความจริงมีอยู่ว่าข้าราชบริพารในวังบางท่านทราบอยู่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฟังเทปคำสอนของอาจารย์ต่าง ๆ อยู่เสมอ และด้วยความจงรักภักดีของเขา
จึงได้ซื้อเทปบันทึกคำสอนของหลวงพ่อนำไปทูนเกล้า ฯ ถวาย เรื่องนี้เป็นเวลาหลายปีมาแล้วก่อนที่จะเสด็จไปวัดจันทารามครั้งที่ ๑ ด้วยซ้ำ
การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยในทางธรรม โดยทรงศึกษาจากเทปคำสอนของพระหลาย ๆ องค์ ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ในฐานะทรงเป็นศาสนูปถัมภกและพุทธมามกะ พระองค์ท่านก็ต้องเอาพระทัยใส่ในเรื่องของพระศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธอยู่แล้ว
ในส่วนที่คณะศิษย์ได้ปฏิบัติสิ่งใดลงไปเกี่ยวกับการ "ผลักดัน" ให้หลวงพ่อได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น จะเห็นจากในคำนำ
ว่าคณะศิษย์เกี่ยวข้องอยู่เพียง ๒ โอกาส และเป็นการทูลอัญเชิญไปทรงประกอบพิธีที่วัดเท่านั้น มิใช่เป็นการขอเฝ้าเพื่อสนทนาธรรมเฉพาะพระองค์แต่อย่างใด
ฉะนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพอพระทัยที่จะนิมนต์หลวงพ่อไปสนทนาธรรม ก็เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยของพระองค์ท่าน
บรรดาศิษย์ที่ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนทนาธรรมกับหลวงพ่อหลายครั้ง ย่อมจะอดยินดีและภาคภูมิใจไม่ได้ที่ทรงเห็นคุณค่าของอาจารย์ของเรา
ไม่ใช่ดีใจจนไปยกธงว่าอาจารย์ของเราเป็นพระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่อาจเอื้อมถึงเพียงนั้น
อันที่จริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงระบุว่า พระอาจารย์ของพระองค์ท่านคือ สมเด็จพระญาณสังวรแห่งวัดบวรนิเวศ
ทรงมีเทปของพระอาจารย์องค์นี้ครบชุด และพระองค์ท่านตรัสว่าทรงศึกษาจากหนังสือและเทปของพระอื่น ๆ อีกหลายองค์อีกด้วย เรื่องนี้คณะของเราทราบกันดี
อนึ่ง คำว่า "คณะของเรา" หรือ "คณะศิษย์ของหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร" นั้น มิใช่เป็นคำที่ใช้เพื่อต้องการความเด่น
หรือเพื่อยกว่าอาจารย์ของตนวิเศษกว่าอาจารย์องค์อื่นแต่อย่างใด คำนี้ใช้เพื่อเรียกตัวเองในบทความนี้หรือในการประกาศเพื่อดำเนินกิจกรรมใด ๆ เท่านั้น
และไม่ใช่เป็นการบ่งว่าคณะเราเท่านั้นที่ถือว่าเป็นศิษย์ คนอื่นไม่ใช่อีกด้วย
ในเรื่องที่ถือกันว่าอาจารย์ของตนเองเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ หรือศิษย์คณะนั้นเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ อาจารย์อื่นไม่ได้ความ ศิษย์คนอื่นไม่เป็นเรื่องนั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระเมตตา มีพระราชปรารภกับคนกลุ่มหนึ่งว่า การถือหัวถืออาจารย์นั้น ไม่สมควรจะมีเลย ทรงยกตัวอย่างตอนที่
ท่านอุปติสสะ (ภายหลังเป็นท่านพระสารีบุตรเถระ) ขอฟังธรรมจาก ท่านพระอัสสชิ ที่เดินบิณฑบาตผ่านมา ท่านพระอัสสชิตอบว่า ธรรมะของท่านไม่มี
มีแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า
เรื่องนี้พระพุทธศาสนานิกชนทั้งหลายควรจะระลึกไว้ว่าธรรมะทั้งหลายที่ได้ยินจากอาจารย์ต่าง ๆ นั้น ไม่ใช่ธรรมะของอาจารย์องค์นั้น ๆ
แต่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น และเมื่อเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน การที่จะถือว่าอาจารย์ของตนเท่านั้นเก่งและถูกย่อมไม่เป็นการสมควร
เพราะว่าไม่ใช่ธรรมะของอาจารย์นั้น ๆ คิดขึ้นมาเอง ทุกคนควรถือว่าเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า
หมายความว่าทุกคนมีอาจารย์องค์เดียวกันคือ "พระพุทธเจ้า" ควรนับว่าเป็นพวกเดียวกัน มีความสามัคคีปรองดองกันให้ดี ไม่ถือเขาถือเรา
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 9/6/09 at 16:42
(Update 9 มิ.ย. 52)
เรื่องนี้ ใคร่ขอชี้ให้เห็นว่า คนทั่วไปจะนึกว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วจะเสวยแต่ความสุขความสบาย เหมือนอย่าง พระเจ้ากาหลิบ ในเรื่อง
"อาบูหะซัน" เช่นนั้นกระมัง ความจริงแล้วเปล่าเลย ทรงมีพระราชกิจเกี่ยวกับพิธีการของบ้านเมือง หรือเกี่ยวกับการบริหารที่กฎหมายบ่งว่าต้องลงพระปรมาภิไธย
การต้อนรับแขกเมือง ทูต และคณะบุคคลต่าง ๆ ตลอดจนกิจกรรมอื่นนับไม่ถ้วน จึงต้องทรงสนพระทัยในทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับความสุขของประชาชนอยู่ตลอดเวลา
แม้เรื่องทางศาสนาก็ยังทรงทราบว่ามักจะมีการถือเขาถือเราฉันศิษย์อาจารย์นี้ อาจารย์ของฉันเก่งกว่าคนอื่น เป็นต้น
ท่านทั้งหลายย่อมทราบอยู่แล้วว่าธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นลึกซึ้งละเอียดอ่อน ยากแก่การทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง ผู้ที่สนใจแต่เพียงเผิน ๆ
หรือไม่เข้าใจเลยมักจะนึกว่าตนรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าดีจนสามารถออกความเห็นได้ว่า ศาสนาพุทธเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
เช่นมีการกล่าวว่าศาสนาพุทธสอนให้คนเอาตัวรอดคนเดียว เป็นการเห็นแก่ตัวเป็นต้น
คนจำพวกนี้ ถ้าจะพูดไปแล้วก็เท่ากับประกาศตนว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และนำมาสอนนั้นเป็นของไม่ดี ไม่ได้คิดเอาเสียเลยว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร
ตัวผู้พูดเป็นใคร สติปัญญาเทียบกันได้หรือไม่ จะยกความลึกซึ้งจากตัวอย่างง่าย ๆ มาพอเป็นตัวอย่าง คือมรรค ๘ ซึ่งเป็นทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์ คือไปนิพพาน
อันเป็นเอกันตบรมสุข เป็นอมตะ เราทุกคนรู้ว่ามรรค ๘ มีอะไรบ้าง เช่น สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ ฯลฯ
แต่ทั้งที่รู้ ท่านผู้ใดจะอธิบายได้บ้างว่า สัมมาทิฐิ ทำให้ไปนิพพานได้อย่าง ? ถ้าอธิบายไม่ได้ ขอท่านจงทราบว่านี่แหละที่คุยว่ารู้ ๆ
แล้วความจริงไม่ได้รู้อะไรเลย บุคคลชนิดนี้แหละ ที่มักออกความเห็นกันโดยไร้ความคิด ถ้าเราศึกษาให้มากขึ้น เราก็จะพบว่าที่ส่วนมากเรียกกันว่ามรรค ๘ ๆ นั้น
ความจริงผิด ต้องเรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ จึงจะครบ หมายความว่าต้องใช้ร่วมกันทั้ง ๘ ข้อจึงจะสำเร็จ เพราะมีความเกี่ยวพันกัน
กล่าวคือสัมมาทิฐิต้องสมบูรณ์ก่อน จึงทำให้สัมมาสังกัปปะสมบูรณ์ได้แล้วไล่เรื่อยไปถึงสัมมาสติต้องบริบูรณ์ก่อน สัมมาสมาธิจึงบริบูรณ์ได้
ถ้าจะศึกษาให้ลึกลงไป ก็ต้องค้นว่า สัมมาทิฐิที่ว่าสมบูรณ์ บริบูรณ์นั้นเป็นอย่างไร ฯลฯ
พระธรรมของพระธรรมของพระพุทธเจ้ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ปัญหาในลักษณะที่ต้องคิดต้องค้นให้เกิดความแจ่มแจ้งยังมีอีกมาก หรือจะเอาอีกตัวอย่างหนึ่ง
ชอบกล่าวกันว่า พระพุทธเจ้าสอนว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา คือต้องถือว่าไม่มีอัตตา แต่ไปถึงเรื่องสัสตทิฐิ การถือว่ามีตัวตน เป็นสิ่งผิด กับอุจเฉททิฐิ
การถือว่าไม่มีตัวตนก็เป็นสิ่งผิด ปัญหาก็ตามมาว่าการมีตัวตนกับการไม่มีตัวตนนั้นมันผิดทั้งคู่หรือถูกทั้งคู่ไม่ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง
จะต้องเป็นฝ่ายถูก อีกประการหนึ่งถ้าการถือว่าไม่มีตัวตนเป็นสิ่งไม่ถูก เหตุใดจึงสอนให้พิจารณาว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา ? พระพุทธเจ้าสอนค้านพระองค์เองหรือ ?
อย่างนี้เป็นต้น
ปัญหาเช่นนี้ สำหรับผู้ที่ศึกษาแล้ว จะเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน
เมื่อเรากลับมาพิจารณาว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำการศึกษาในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษ ปัญหาเหล่านี้ก็ย่อมเกิดขึ้นกับพระองค์ท่าน
หากทรงค้นคว้าด้วย
พระองค์เองได้ผลยังไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย และค้นจากตำราต่าง ๆ ยังไม่พบ ก็เหลือทางเดียวคือนิมนต์พระที่ทรงเห็นว่าอาจตอบปัญหาได้เข้าไปซักถาม หรือ
"สนทนาธรรม" บางท่านอาจนึกในใจว่าเสด็จไปที่วัดก็ได้นี่ เรื่องนี้อธิบายได้ง่าย ๆ ว่าการเสด็จไปไหนต่อไหนของพระองค์ท่าน
ถึงแม้จะไม่มีพระราชประสงค์จะรบกวนผู้ใด ทางการก็ย่อมต้องดูแลเรื่องการรักษาความปลอดภัยเป็นการใหญ่
ฉะนั้นการนิมนต์พระไปสนทนาธรรมในพระราชวังจึงเป็นการทำความลำบากให้แก่ผู้อื่นน้อยที่สุด ถ้าท่านผู้ใดมีความคิดว่า
การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนิมนต์พระองค์ไหนเข้าไปในพระราชวัง แสดงว่าทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ พวกสานุศิษย์เลยจะพลอยได้ความดีความชอบไปด้วย
ท่านก็ควรจะปรับปรุงความคิดของตัวเองเสียใหม่ว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการผิดธรรมดาหรือเป็นเรื่องพิเศษแต่ประการใดเลย
เป็นเพียงการซักถามปัญหาธรรมธรรมดาเท่านั้นเอง
และที่ทรงนิมนต์หลวงพ่อพระมหาวีระเข้าไปหลายครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเป็นพิเศษ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยทรงนิมนต์หลวงพ่อองค์อื่น ๆ มาแล้ว
พวกเราคณะศิษย์ของหลวงพ่อ มีความเข้าใจในเรื่องนี้ดี นอกจากจะใจดีกันบ้างก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น หลังจากหลวงพ่ออาจจะทรงนิมนต์พระองค์อื่น ๆ
ต่อไปอีกก็ได้
บางคนอาจจะไม่รู้เรื่อง ขนาดคิดว่าหลวงพ่อเป็นอาจารย์ประเภทคาถาอาคม และที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนิมนต์เข้าไป
ก็คงจะเป็นเพราะสนพระทัยเรื่องคาถาอาคมอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ
ท่านผู้ใดเข้าใจเช่นนี้ นับว่าผิดไกลอย่างสุดกู่ทีเดียว คำเสียดสีอีกประการหนึ่งที่คาดว่าจะต้องมี คือการหาว่าหลวงพ่อเขียนหนังสือประจบพระเจ้าอยู่หัว
เพราะได้กล่าวสรรเสริญพระองค์ท่านไว้ในหนังสือหลายเล่ม และที่สรรเสริญ ก็ด้วยหวังว่าจะได้เข้าใกล้ชิดพระองค์ท่านสักวันหนึ่ง (ซึ่งบัดนี้ก็สำเร็จแล้ว)
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 16/6/09 at 08:54
(Update 16 มิ.ย. 52)
จริงอยู่ในด้านลาภผลที่ได้จากการบำเพ็ญพระราชกุศลก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยแต่หลวงพ่อระวังอยู่เสมอที่จะไม่นำเงินส่วนนี้มาใช้เป็นส่วนตัวเป็นอันขาด
ในวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ ซึ่งเป็นวันตัดลูกนิมิตอุโบสถ พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์
ได้ถวายรายงานว่าเงินที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลโดยถวายแก่หลวงพ่อพระมหาวีระมาเป็นจำนวน ๑ แสนบาทเศษนั้น ได้แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน
คือสร้างศาลาจตุรมุขอนุสรณ์ของพระองค์ท่าน (ราคาประมาณแปดแสนบาท) ส่วนหนึ่ง กับสร้างศูนย์แม่และเด็กสมเด็จพระยุพราชอีกส่วนหนึ่ง
การกระทำเช่นนี้ของหลวงพ่อย่อมเป็นข้อพิสูจน์ชัดแจ้งอย่างไม่มีข้อสงสัยว่าการได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเลยในด้านยศฐาบรรดาศักดิ์ ก็ยังคงเป็นพระมหาวีระอยู่ตามเดิม
ส่วนบรรดาศิษย์ทั้งหลายก็ไม่ปรากฏว่ามีใครได้รับพระราชทานเหรียญตราหรือรางวัลเป็นพิเศษอะไรทั้งสิ้น..ไม่มีเลย
คณะเราอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อพอที่จะรู้จิตใจของท่านว่าท่านสรรเสริญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้มากเพราะอะไร จะอธิบายให้ฟัง
หลวงพ่อของเรา เป็นผู้มีใจรักบ้านเมืองเป็นที่สุด สิ่งใดที่จะช่วยให้บ้านเมืองอยู่รอดแล้ว จะทำเสมอโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ไม่เหมือนกับพวกที่พูดปาว
ๆ ว่าศาสนาเป็นสิ่งมอมเมา พระสงฆ์กินแรงราษฎร ไม่ทำประโยชน์แก่บ้านเมือง แล้วตัวเองนั่นแหละ พยายามทำลายบ้านเมืองอยู่ทุกวิถีทาง
หลวงพ่อพูดอยู่เสมอว่าถ้าประเทศเป็นอันตรายแล้วคนไม่มีสุข ศาสนาก็ถูกทำลาย
แต่ท่านมักจะพูดตามแบบของท่านว่า ถ้าบ้านเมืองพังเดี๋ยวพระจะอดข้าวตาย หลักของบ้านเมืองมี ๓ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าจะให้บ้านเมืองอยู่รอด
เราต้องดำรงไว้ทั้ง ๓ สถาบัน เรื่อง ชาติ รัฐบาลเป็นผู้ดูแลอยู่แล้ว ราษฎรเป็นผู้ดูแลตัวเองอยู่แล้ว หลวงพ่อทำหน้าที่เท่าที่พระจะทำได้
คือสั่งสอนให้คนแต่ละคนเป็นคนดี
เมื่อคนดี สังคมก็ดี สังคมดี ชาติก็ดี เรื่องนี้เป็นหน้าที่ปกติของพระทั่วไป ซึ่งทำงานอยู่เพื่อความรักสามัคคีของคนในชาติ แต่คนไม่เห็นคุณค่า
เนื่องจากสมัยนี้มักจะตีคุณค่ากันออกมาเป็นจำนวนเงิน ค่าทางนามธรรมมองไม่เห็น จะว่าคนฉลาดขึ้นก็ใช่ที่
เรื่องศาสนา หลวงพ่อปฏิบัติอยู่หลายประการ คือ เผยแพร่พระธรรมทางหนังสือ ทางวิทยุ ทางเทป สำหรับเทป ได้บันทึกเสียงเรื่องพระวินัย
ซึ่งปรากฏว่าช่วยให้พระที่ได้ฟังปฏิบัติตนอยู่ในพระวินัยมากขึ้น นอกจากนี้ก็มีการก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีศรัทธาได้ทำบุญ
ทั้งยังช่วยชี้แนะให้รู้จักพระดีองค์อื่น ๆ อีกหลายองค์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้พิสูจน์ว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของจริงแท้
ปฏิบัติตามได้ผลจริงมีอยู่
เรื่องพระมหากษัตริย์ ความจริงแทบจะไม่ต้องทำอะไร เพราะคนไทยเรารักในหลวงอยู่ในสายเลือด
ทางการศึกษาของเราจึงไม่ค่อยจะได้ทำอะไรนอกจากจะพูดกันด้วยลมปากว่าเราจะรักและเทิดทูนพระมหากษัตริย์ แต่ต่อเมื่อลัทธิมหากาฬค่อย ๆ แพร่เข้ามาในวงการศึกษา
ค่อย ๆ ซึมเข้ามาแบบน้ำลอดใต้ทราย จนในขณะนี้มีความกำเริบถึงกับบังอาจมีความเห็นชนิดที่ว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น "ศักดินา"
พระเจ้าอยู่หัวมีประโยชน์อะไรหรือ ? ฯลฯ
บางคนก็หลงตัวเองขนาดว่าฉันเป็นด๊อกเตอร์ มีความรู้เป็นเลิศกว่าผู้อื่น ควรจะเป็นประมุขของบ้านเมืองจึงจะถูก อะไรเหล่านี้เป็นต้น ล้วนแต่ลืมไปว่า
ความรัก ความเคารพไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเลือกตั้งคนขึ้นมาเป็นประมุข (แล้วเปลี่ยนตัวให้รักทุก ๆ ๔ ปี) ความรักความเมตตาไม่ได้เกิดเพราะการเลือกตั้ง
ผู้เป็นประมุขของประเทศ ควรเป็นคนที่คนเป็นประเทศรักและเชื่อฟัง ก็เมื่อเรามีคนเช่นนั้นอยู่แล้ว คือพระมหากษัตริย์ แล้วเราจะไปทำลายของมีค่าของเราเสียทำไม
?
ในขณะนี้คนผู้มีความทะเยอทะยานหวังประโยชน์ส่วนตนจำนวนหนึ่งกำลังพยายามทุกวิถีทางที่จะลดค่า
ลดความรักในพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นหลักสำคัญของประเทศลงไปด้วยการโฆษณาต่าง ๆ ตลอดจนปั้นเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ ขึ้นเพื่อให้คนเชื่อ เมื่อปัญหานี้เกิดขึ้น
ใครเป็นคนแก้ไข ? ทางการหรือ ? ไม่เห็นมี
พระเจ้าอยู่หัวแก้เองหรือ ? ไม่ได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่มีทางที่จะมาโฆษณาตอบโต้เลย ว่าฉันถูกใส่ร้ายจ้ะ ฉันเป็นคนดีจ้ะ ต้องรักฉันมาก ๆ นะจ๊ะ
ฉันทำความดีให้กับราษฎรมากมายอย่างนี้ ๆ นะจ๊ะ เช่นนี้ ทำไม่ได้ ต้องตกอยู่ในฐานะถูกโจมตีฝ่ายเดียวตลอดเวลาโดยไม่มีทางสู้
เพราะฉะนั้นหลวงพ่อก็ต้องแก้ไข วิธีแก้ไขของท่าน คือชี้ให้เห็นคุณความดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
ฯ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอว่าให้ท่านผู้อ่านดูได้จากอะไรบ้าง ความดีของท่านมีอยู่แค่ไหน ควรแก่การเทิดทูนเพียงใด ฯลฯ
การเขียนเพื่อชี้ให้คนได้ระลึกถึงความดีและคุณค่าของพระองค์ท่านนี้ อาจทำให้บางคนหมั่นไส้หาว่าเขียนหนังสือประจบพระเจ้าอยู่หัว
หลวงพ่อจึงมักเขียนไว้ว่า "จะหาว่าเชียร์ในหลวงก็เชียร์" ถึงท่านจะถูกค่อนขอดก็ไม่ว่า ขอให้ผู้อ่านได้เห็นความดี
ความสำคัญของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็แล้วกัน พร้อมกันนั้นก็ชี้ว่าคำกล่าวโทษของฝ่ายมุ่งทำลายนั้น ความจริงเป็นการใส่ร้ายทั้งสิ้น
โดยสรุปการเขียนหนังสือ "พระเมตตา ๒" ของหลวงพ่อ ความประสงค์ก็เพื่อผดุงหลักทั้งสามของประเทศไว้ให้มั่นคงนั่นเอง
เมื่อได้ชี้แจงมาถึงเพียงนี้แล้ว ขอท่านสาธุชนทั้งหลายพึงอ่านด้วยความพินิจพิเคราะห์ แล้วช่วยกันรักษาหลักสำคัญ
หรือสถาบันสำคัญทั้งสามของประเทศไว้ให้มั่นคง ก่อนจะยุติคำชี้แจง ขอชี้ว่าหนังสือ "พระเมตตา ๒"
นี้ขัดกับผลประโยชน์ของผู้มุ่งทำลายชาติอย่างชัดแจ้ง
เพราะฉะนั้น
จึงไม่เป็นการยากเลยที่จะคาดคะเนไว้ล่วงหน้าในที่นี้ว่าฝ่ายผู้ให้ร้ายจะต้องปล่อยคำโฆษณามาอีกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคบคิดกับพระมหาวีระ ถาวโร
ให้เขียนหนังสือยอพระเกียรติ เพื่อจะรักษาราชบัลลังก์ไว้
คณะศิษย์พระมหาวีระ ถาวโร
๒๑ มิ.ย. ๒๐
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 22/6/09 at 13:17
(Update 22 มิ.ย. 52)
บทที่ ๑
วันนี้ จะปรารภกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ถึงความเป็นมาของศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู่ ณ ที่วัดท่าซุง
อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี
สำหรับวัดนี้ ตั้งขึ้นก็เพื่อรวมกับวัดท่าซุง ไม่ใช่แบ่งไม่ใช่แยก เป็นการสร้างเสริมวัดท่าซุงให้ใหญ่โตยิ่งขึ้นตามกำลัง
ของบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้มีความศรัทธาที่ได้ให้การสนับสนุนตลอดมา
บัดนี้ การก่อสร้างได้เสร็จเรียบร้อยลงแล้ว เดิมทีเดียวให้นาม ว่า ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน
เพื่อให้เป็นกำลังใจแก่ท่านพุทธบริษัท แล้วก็เป็นการรวมกำลังใจของบรรดาศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นเหตุให้บรรดาประชาชนทั้งหลายเข้าใจผิด
คิดว่าสถานที่นี้สร้างแบ่งแยกแตกออกไปจากวัดท่าซุงเดิม แต่เนื้อแท้จริง ๆ ก็เป็นส่วน ที่รวมกับวัดท่าซุงนั่นเอง
นอกจากสร้างศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปานแล้ว ภายในระยะ ๓ ปี ก็ร่วมกันสร้างศูนย์แม่และเด็กสมเด็จพระยุพราชขึ้นอีก
รวมเวลาก่อสร้างสถานที่สองแห่งนี้ร่วมกันใช้เวลา ๓๓ เดือน ถ้าจะนับโดยปี ก็ใช้เวลา ๓ ปี
การก่อสร้างทั้งหมดเฉพาะในด้านตะวันตก ไม่คิดด้านตะวันออกของถนนมโนรมย์-อุทัยธานี มีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๕ ล้านบาทเศษ ทั้งศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน
และศูนย์แม่และเด็ก สมเด็จพระยุพราช การก่อสร้างนี้บรรดาช่างก่อสร้างได้มาคำนวณและพิจารณาแล้ว อาตมาได้แจ้งให้ทราบว่าใช้เงินค่าก่อสร้างจริง ๆ ๑๕
ล้านบาทเศษหรือ ๑๖ ล้านบาท คือไม่เกิน ๑๖ ล้าน
นายช่างผู้รับเหมาต่าง ๆ พากันงุนงง ถึงกับมีนายช่าง ๒ ช่างเป็นผู้รับเหมา และนายช่างของทางราชการอีก ๒ ท่านมาถามตรง ๆ ว่า
ทำไมมันถึงผิดจากความเป็นจริงไปมาก เพราะค่าก่อสร้างเฉพาะศูนย์ศิษย์ หลวงพ่อปาน เมื่อคำนวณแล้ว ราคาควรจะไม่น้อยกว่า ๓๐ ล้าน
ถ้าแถมศูนย์แม่และเด็กสมเด็จพระยุพราชเข้าด้วยก็จะมีราคาไม่น้อย กว่า ๔๐ ล้าน ความจริงอาตมาก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ทั้งนี้เพราะทราบราคารับเหมาได้ดี
แต่การก่อสร้างที่ทำนี้ไม่ใช่ราคาเหมา เป็นราคา ศรัทธา
ทั้งนี้ก็เพราะว่า ทุนรอนที่ได้นำมาก่อสร้างก็ได้มาจากศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัททั่วประเทศไทย ทางด้านสาย เหนือ จากเชียงรายลงมา สายใต้
ถึงนราธิวาส ด้านตะวันออกตราด ด้านตะวันตกก็กาญจนบุรี ซึ่งจะดูบัญชีกันแล้วก็เป็นศรัทธาของ บรรดาท่านพุทธบริษัททั่วประเทศ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคน
แต่ก็ทั่วเกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย
ท่านเหล่านั้นพากันส่งจตุปัจจัยมา บ้าง มาด้วยตนเองบ้าง ทุกจังหวัด ก็ถือได้ว่าศาสนสมบัติขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถส่วนนี้
ทั้งวัดก็ดีทั้งบริเวณโรงพยาบาลก็ดี เกิดขึ้นได้จากศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัท เงินที่ได้มา ได้ด้วยศรัทธา ช่างผู้ก่อสร้างก็ทำด้วยศรัทธา
โดยคิดค่าแรงงานน้อยกว่าที่ เขารับเหมากัน หมายความว่าช่างที่ทำงานทุกคนและทุกราย ต่างก็ตั้งใจทำกุศล รับค่าแรงงานน้อยกว่าที่รับเหมากันตามธรรมดา
สำหรับวัตถุก่อสร้าง อาตมาและบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้มีศรัทธาเป็นผู้จัดหา การควบคุมงาน อาตมาเป็นผู้อำนวยการควบคุมเอง แล้ว
ก็ให้ท่านผู้ชำนาญงานช่วยดูแลงาน เมื่อไม่ต้องผ่านผู้รับเหมา การคำนวณกำไร และการคิดเผื่อค่าของขึ้นราคาและค่าแรงงานขึ้นก็ไม่มี งานก่อสร้างก็ทำเพิ่ม
คือไม่ตัดทอนวัตถุก่อสร้างลงมา มีแต่เพิ่มให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ฉะนั้นราคาจึงถูก ที่ถูกนี้ ไม่ได้ลดราคาค่าของ ของในท้องตลาดราคาเท่าไร ซื้อเท่านั้น
แต่ดูเหมือนว่าบรรดาท่านพ่อค้าคงจะขายให้ในราคาพิเศษ เพราะตามที่พิจารณาตามราคาในท้องตลาด ของทุกอย่างที่ซื้อมารู้สึกว่าลดหย่อนผ่อนลงไปมาก
แสดงว่าบรรดาพ่อค้าทั้งหลายก็ร่วมบำเพ็ญกุศลในการก่อสร้างด้วย มิได้หวังที่จะหากำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านค้าไม้แปรรูปพนาโชค
ท่านผู้จัดการได้คอยมาดูอยู่เสมอถึงวัตถุที่ใช้ในการก่อสร้างทั้งหมด พยายามควบคุมมิให้ช่างใช้ของเปลืองเกินไป ทั้งนี้
ความจริงท่านเป็นผู้ขายวัตถุก่อสร้างให้เป็นส่วนใหญ่
แต่ทว่าท่านก็ไม่ยอมให้ใช้ ของเปลืองมาก เช่นไม้แบบ ถ้าใช้น้อยลงได้ก็ให้ใช้น้อยลง ไม่ให้ใช้ของใหม่ทั้งหมด คือย้ายจากจุดนี้ไปจุดโน้น
จนกว่าไม้จะใช้ไม่ได้ อีก ท่านหนึ่งที่น่าขอบใจ ก็คือท่านกำนันเยี่ยม เกิดนิยม ท่านผู้นี้มาทำการรับเหมาแต่ทว่าช่างของท่านทำงานทุกอย่างโดยทะนุถนอมของ ใช้
ที่ราคาถูกลงได้ส่วนหนึ่งก็อาศัยศรัทธาของท่านนายช่าง และศรัทธาของร้านค้า
จากนั้นก็เป็นศรัทธาของบรรดาภิกษุสามเณรเพราะว่าในขณะที่ทำงาน ก็มีบรรดาภิกษุสามเณรในวัดทั้งหมดที่ยังคง อยู่ในวัดในปัจจุบันก็ดี ที่สึกออกไปแล้วก็ดี
ที่ย้ายไปแล้วก็ดี ร่วมกันทำงานตากแดดตากฝน ต้องทนต่อความร้อน มีแต่ความเหน็ด เหนื่อยแต่ก็ไม่มีความย่อท้อ
แต่ทั้งนี้ ก็ต้องอนุญาตให้ใช้ของกันความร้อน คือสวมหมวก หรือใช้ผ้าเหลืองปกคลุมเป็นเสื้อ เรื่องนี้ ก็มีพระบางท่านเข้ามาในวัด
ถามว่านี่ตัวอะไร ก็น่าแปลกใจ อันนี้บางทีเขาจะคิดว่าผิดวินัย อันนี้ก็ยอมผิด แต่มันผิดตรงไหนล่ะ ? อันนี้เป็นการคลุมเพื่อปกปิดความร้อน ถ้าหากจะถือว่าผิด
ก็ควรจะถืออีกจุดหนึ่ง ที่ผิดยิ่งไปกว่านั้นคือ
ที่ท่านทั้งหลายไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย คือบวชเข้ามาแล้วมัวเมาในทรัพย์สิน มัวเมาในสักการะ อย่างนี้น่าจะผิดไหม ? ท่านที่ทำงานอย่างนั้นจะสวมหมวก
จะสวมเสื้อกัน ความร้อน ก็ไม่เห็นจะมีความผิดตรงไหน เมื่อคอยจะมองว่าผิดก็เชิญ ตามใจ ไม่ได้วิตกกังวลอะไร
เป็นอันว่าศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปานซึ่ง อยู่ในเครือของวัดท่าซุงหรือวัดจันทาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี แล้วก็ศูนย์แม่และเด็กสมเด็จพระยุพราช
ที่ตั้งขึ้นก็เพราะอาศัย คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อปาน และบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านร่วมมือกันทั่วประเทศ
บัดนี้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ทาง ราชการจะมาสร้างตึกอีกหลังหนึ่งที่ศูนย์แม่และเด็ก เป็นตึกสูติกรรม ๓๐ เตียง ทีนี้ในงานนี้
ความดีที่พึงได้ทั้งหมด อาตมาก็ขอถวายแด่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้เพราะอะไร
เพราะว่าทุกท่านที่มาร่วมกุศลทั้งหมดก็เพราะปรารภความดีที่องค์สมเด็จพระชินสีห์
บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมาและท่านผู้กระทำเองก็เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส อาตมาเองก็ถือว่าเป็นลูกของ พระพุทธเจ้า ความดีใด ๆ ผลใด ๆ
ที่บังเกิดขึ้นจากการกระทำนี้
อาตมาถือว่าเป็นความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดา ที่ทรง แนะนำสั่งสอนมาให้ประพฤติปฏิบัติ
เป็นเหตุให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเกิดความเลื่อมใสร่วมใจกันสร้างถาวรวัตถุใน พระพุทธศาสนา
นี่เป็นเหตุอันหนึ่งที่แจ้งบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายถ้วนหน้าทราบ ว่ามีความเป็นมาอย่างนี้
ที่นี้ หนังสือเล่มนี้ ให้ชื่อว่าหนังสือ "พระเมตตา" ก็เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ
พระบรมราชินีนาถ ประกอบไปด้วยพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์เคยเสด็จมาสงเคราะห์แล้วสองวาระ
คือใน วาระต้น เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้วก็ วาระที่ ๒
เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระยุพราช (พระบรมโอรสาธิราช) ได้เสด็จมา
สำหรับเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถและพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์เสด็จมา
เพราะระหว่างนั้นสมเด็จพระ ยุพราชยังทรงศึกษาอยู่ต่างประเทศ อาศัยพระเมตตาบารมีที่พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมโอรสาธิราช
พระเจ้าลูกเธอทั้งหมดที่ทรงสงเคราะห์ ก็เป็นปัจจัยอันหนึ่งที่สร้างความชุ่มชื่นให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ก่อนที่จะพูดถึงการเสด็จ
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็จะขอกล่าวตอนเริ่มต้นงานสักนิดหนึ่ง
การเริ่มงานปีนี้ วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ เป็นวันตัดนิมิต วันที่ ๑๖ เมษายนเป็นวันเริ่มงาน
การจัดงานเป็นงานที่ แปลกที่สุด ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะให้แปลก มันแปลกเอง คืองานฝังลูกนิมิตหรืองานผูกพัทธสีมา ที่ไหน ๆ เขาก็โฆษณากันมีทั้งป้าย
ใหญ่ป้ายเล็ก มีฎีกาแจกกัน มีหนังสือประกาศแจก ประกาศสถานีวิทยุกระจายเสียง หรือประกาศในหนังสือพิมพ์ แต่อาศัยที่ยุ่งในงาน
เสียจนเพลินไปทุกคนผู้จัดงานลืมไปหมด
สำหรับผู้จัดงาน ประธานในงานก็คือ พลเรือเอก จิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหม รอง ประธานได้แก่ พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์ เสริม สุขสวัสดิ์
เจ้ากรมการสื่อสารทหาร ซึ่งเป็นประธานในการก่อสร้าง หรือประธานทายก และคณะทายกทายิกาทั้งหมดที่ร่วมงาน ลืมไปหมด
เพราะยุ่งเกี่ยวกับงานขอพระราชทานวิสุงคามสีมา
ทั้งนี้เพราะอะไร ? เพราะว่า เป็นการขอในระยะกระชั้นชิด มีเหตุบางอย่างในระยะต้น ๆ เกือบจะบั่นทอนให้งานผูกพัทธสีมานี้ต้องเลิกล้มไป
ทั้งนี้เพราะว่างานมัน เสร็จกระชั้นเกินไป ในตอนแรกจึงไม่กล้าที่จะนิมนต์พระ ไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งหมด
เกรงว่าหนังสือที่ขอพระราชทานวิสุงคามสีมาจะตกมาไม่ทัน นี่เป็นอุปสรรคสำคัญ
หนังสือขอพระราชทานวิสุงคามสีมากระชั้นงานทุกอย่างจึงไม่มีการประกาศ และในช่วงระหว่างงาน ก็มีหลายท่านบอกว่า ที่มานี่น่ะ ไม่ได้ทราบว่ามีงานดอกขอรับ
ที่มาก็เพราะว่าตั้งใจจะมานมัสการหลวงพ่อ มาจากจังหวัดแพร่บ้าง มา จากจังหวัดแม่ฮ่องสอนบ้าง แล้วก็มาจากอุดรธานีบ้าง มาจากสุราษฎร์ธานีบ้าง
จากจังหวัดตรังบ้าง อย่างนี้เป็นต้น
หลายท่านด้วยกัน บอกว่าไม่ทราบว่ามีงาน แต่ที่สำคัญที่สุดที่ไม่ได้ประกาศงาน นั่นก็คือบรรดาท่านพุทธบริษัทจังหวัดฉะเชิงเทรามา ๑ คันรถบัส ประมาณ ๘๐
คนเศษ มาถึงก็จอดอยู่หน้าวัดในระหว่างงาน เป็นวันที่ ๔ ของงาน จอดอยู่กลางถนนไม่กล้าลง
ในที่สุดเจ้าหน้าที่ไป ติดต่อ บอกว่าเชิญลงได้ เขาจึงส่งผู้แทนมา ๒-๓ คน ถามว่างานวัดนี้เริ่มหรือยัง หรือว่าเลิกแล้ว เพราะว่าเงียบ เสียงมหรสพก็ไม่มี
เสียง ขยายเสียงเปี้ยวป๊าว ๆ ก็ไม่มี เป็นงานที่เงียบสงัด
อาตมาก็นั่งรับแขกอยู่ทีศาลานวราช ฯ และนอกจากมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ตามที่แล้ว ก็มีบรรดาท่านพุทธบริษัทเดินไปเดินมาอยู่ระหว่างสถานที่ต่าง ๆ สัก ๓๐ คน
เป็นเหตุให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนเหล่านั้นสงสัยว่างานจะไม่มี
เมื่อท่านมาถาม จึงได้แจ้งอยู่ว่างานกำลังมีอยู่ ยังไม่เลิก เขาจึงได้ไปแจ้งให้บรรดาพวกของเขาลงมา แล้วมาก็บำเพ็ญกุศล นี่ งานที่แปลก
แปลกตรงนี้คือเป็นงานที่ไม่มีโฆษณาแต่ก็เป็นเหตุน่าอัศจรรย์ใจ
วันต้น คือ เสาร์-อาทิตย์ แรก มีบรรดาท่านพุทธบริษัทไป บำเพ็ญกุศลถึง ๑ แสน ๙ หมื่นบาทเศษ ต่อมา
ในช่วงระหว่างวันจันทร์ถึงศุกร์ มีคนเพียงห้า-หกสิบคนบ้าง แปดสิบคนบ้าง ไม่ถึงร้อยคนสักวัน แต่ก็มีการบำเพ็ญกุศลกันวันละ ๗ หมื่นบ้าง ๖ หมื่นบ้าง
มีอยู่วันเดียวได้ ๔ หมื่นเศษ
นี่เป็นอันว่าคนที่มาบำเพ็ญกุศล ไม่ได้มาเพื่อดูมหรสพ เพราะไม่มีมหรสพให้ชม ไม่ได้มาเนื่องด้วยการโฆษณา มาด้วยศรัทธาแท้
ความจริงงานนี้ก็เป็นที่พอใจของอาตมา เหมือนกันเพราะถูกใจ ไม่อยากจะเอะอะโวยวาย
เมื่องานจวนจะเริ่มขึ้น หรือว่าเริ่มขึ้นแล้ว สำนักพระราชวังมา เพื่อจัดเตรียมสถานที่สำหรับการเสด็จมาของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เดิมทีเดียวอาตมาเอง กับคณะกรรมการจัดงานก็คิดว่าจะจัดที่ถวายดังนี้ คือ
บรรดาพระราชาคณะกับสมเด็จพระราชาคณะ มีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธาน นั่งรับเสด็จ ในพระอุโบสถ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าพระอุโบสถทรงศีล แล้ว พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ถวายรายงาน เสร็จแล้วทรงตัดนิมิต แล้วเสด็จออกมาศาลาจตุรมุข
ที่อาตมาสร้างเป็นอนุสรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จ พระเจ้าลูกเธอ เสด็จมาประทับที่ตรงนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๘
แล้วทรงรับเงินโดยเสด็จพระราชกุศล
ในงานนี้ อาตมาตัดรายการทั้งหมดที่จะ ไปทรงเปิดศูนย์แม่และเด็กที่ถวายแด่สมเด็จพระยุพราช เพราะเกรงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระบรมราชินีนาถจะ ไม่มีโอกาสเยี่ยมประชาชน ขอร้องให้เขาจัดรายการอย่างเดียวคือทรงตัดนิมิตที่นี้
การตัดนิมิตก็เตรียมไว้อย่างนี้ คือทรงตัดนิมิตลูก กลางลูกเดียว ให้อีก ๘ ลูกรอบนอกลงพร้อมกันหมด โดยใช้สายสิญจน์โยงไว้
แต่การที่เตรียมไว้ไม่ได้เป็นไปตามนั้น เพราะเจ้าหน้าที่ สำนักพระราชวังที่มาเห็นว่าการจัดอย่างนั้นไม่เหมาะสม
จึงจัดให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประทับที่ศาลาเรียงข้างพระอุโบสถ ด้านทิศใต้ สมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะรับเสด็จที่นั่น พระคณาจารย์
รับเสด็จที่ศาลาเรียงข้างพระอุโบสถด้านทิศ เหนือ หลังจากเสด็จเข้าศาลาเรียงแล้ว
จึงเสด็จเข้าตัดนิมิต ส่วนการตัดนิมิต ส่วนการตัดนิมิตคราวเดียว ๙ ลูก สำนักพระราชวังเกรงว่า จะเกิดอันตรายแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ความจริงเรื่องนี้ทางคณะกรรมการทั้งหมดก็ทดลองกันแล้ว ทำแล้วลองตัดดูไม่มี อันตราย
เมื่อทางสำนักพระราชวังเกรงว่าสายสิญจน์จะไปปัดเอาพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้า ความจริง คณะกรรมการที่จัดทำลองตัดกันแล้วลองตัดกันอีก
ไม่มีอันตรายตามนั้น แต่ทางเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังท่านไม่ได้อยู่ด้วย เรื่องเกรง อันตรายอันนี้อาตมาก็เห็นใจจึงไม่มีการฝ่าฝืน
ไม่มีการคัดค้านเพราะว่าเวลาทดลองท่านไม่ได้อยู่ด้วย ถ้าบังเอิญเหตุนั้นมีเข้าก็ย่อมถือ ว่าเป็นความบกพร่องของสำนักพระราชวัง
เมื่อท่านขอเปลี่ยนแปลงให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตัดลูกเดียวคือลูกกลาง จึงได้ปฏิบัติตามใจท่าน
แต่ความจริงในตอนต้นคิดว่าถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตัดลูกกลางลูกเดียว ก็จะได้อัญเชิญสมเด็จ พระบรมราชินีนาถทรงตัดลูกหน้าพระอุโบสถ
แต่การต้องเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหัน เพราะเป็นเวลาที่จะเข้างาน คือตัดนิมิตในวันนั้น
จึงกราบทูลอัญเชิญให้สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงตัดนิมิตในวันนั้นไม่ทัน ก็เป็นที่น่าเสียดาย ถ้าได้ทราบว่าสมเด็จพระยุพราชเสด็จมา ด้วย
ก็จะได้ขอทูลเชิญให้ตัดนิมิตอีกลูกหนึ่ง หรืออาจจะเป็นทุกลูกก็ได้ แต่นี่ไม่ทราบมาก่อน จึงเป็นอันว่าเรื่องนี้ก็ผ่านไป
ต่อมา เมื่อวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ เดิมทีมีหมายกำหนดการมาว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
จะเสด็จจากหัวหินโดยเครื่องบินปีกหมุน (เฮลิคอปเตอร์) โดยลงเติมน้ำมันที่สนามบินกอง ๔ ตาคลี
เห็นเจ้าหน้าที่มาดูสถานที่ อาตมาก็ชี้สถานที่ว่าที่ศูนย์แม่และเด็ก สมเด็จพระยุพราชมีลานกว้างที่มี ฮ. มาลงรับอาตมาที่นี่หลายวาระ ลงได้ สบาย ๕
เครื่องก็ลงได้ แต่เจ้าหน้าที่พิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่สมควร จึงจัดให้ไปลงที่จังหวัดอุทัยธานี
เรื่องนี้ อาตมาไม่วิจารณ์ เพราะว่า นั่นเป็นเรื่องของความเหมาะสม ของท่านเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง ที่อาตมาเห็นว่าเครื่องควรจะลงที่ศูนย์แม่และเด็ก
ๆ ก็เพราะว่า มีรั้วรอบขอบชิด มีกำแพงรอบบริเวณ แต่ท่านมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็ไม่เป็นไร
แต่ทว่ามาภายหลัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง เปลี่ยนหมายกำหนดการว่าจะเสด็จโดยรถยนต์ เข้าวัดจันทารามก่อน
เป็นอันว่าหมายกำหนดการเลื่อนไปอีก ๑ ชั่วโมง หมายกำหนดการแรก จะเสด็จถึงวัดจันทารามหรือวัดท่าซุง เวลา ๑๓.๓๐ น. หมายกำหนดการหลังเสด็จถึงวัดท่าซุง เวลา
๑๔.๓๐ น.
แล้วในการมาตรวจสถานที่ อาตมาก็ไม่ได้พบกับเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังและเจ้าหน้าที่ของจังหวัด เพราะว่าไป คอยอยู่บนศาลานวราช ฯ ท่านมา
ท่านก็ไปดูสถานที่กันเอง แต่ความจริงนั่นก็เป็นเรื่องของท่านโดยเฉพาะ อาตมาก็เพียงว่าหากท่าน สงสัยแล้วถามก็แจ้งให้ท่านทราบ
มาทราบภายหลังว่าท่านเขียนหมายกำหนดไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระบรมราชินีนาถจะเสด็จประทับอยู่ที่วัดท่าซุงนับตั้งแต่มาถึงกลับเป็นเวลา ๑
ชั่วโมง
นี่อาตมาก็คิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์เพียงเท่านั้น ก็ไม่ได้ติดใจสงสัย เพราะเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าเกี่ยวกับหมายกำหนดการแล้วอาตมาไม่ทราบ คือไม่รู้ ต้นสายปลายเหตุว่าหมายกำหนดการนี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดเองหรือผู้อื่นกำหนดถวาย
อันนี้ทราบไม่ได้ เพราะไม่เคยทราบเรื่อง
แต่เวลาที่เสด็จมาจริง ๆ กับประทับอยู่นานเกินกว่านั้น จะเสด็จมาถึงเวลาเท่าใดแน่ อาตมาไม่มีนาฬิกาดู
แต่ว่ากว่าจะกลับออกจากวัดท่าซุงไปได้ เมื่อได้ยินเสียงมโหระทึกและเพลงสรรเสริญพระบารมี แสดงว่าพระองค์เสด็จกลับออกไปหน้าวัด เวลานั้น ถามเรืออากาศเอก สงบ
สุวรรณแสง ว่าเวลาเท่าไร เธอแจ้งบอกว่าเวลานี้ ๑๗ นาฬิกาเศษแล้วขอรับ เป็นอันว่าพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
เสด็จอยู่ที่วัดนี้เยี่ยมเยียนประชากรของพระองค์สิ้นเวลา ๒ ชั่วโมงเศษ
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท สำหรับวันนี้มองดูเวลาก็หมดเสียแล้วขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ตอนนี้ขอลาก่อน ขอ
ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 6/7/09 at 21:31
(Update 6 ก.ค. 52)
บทที่ ๒
ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย วันนี้คงพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทเรื่องพระเมตตาตามเดิม สำหรับวันที่แล้วได้
ปรารภในด้านอารัมภบทความเป็นมาและหมายกำหนดการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สำหรับวันนี้ ก็จะนำข่าวก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทได้ทราบ ในเมื่อได้ฟังเรื่องนี้แล้ว
ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงอย่าได้แสดงความหวั่นไหวในจิต เพราะองค์สมเด็จพระบรมสามิตทรงแนะนำไว้ บอกว่า จงอย่าถือมงคลตื่นข่าว
ข่าวก็มีอยู่ว่า ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถจะเสด็จ พอได้ทราบว่าจะเสด็จ แน่ ก็มีข่าวมาจากหลายกระแส เป็นผู้หวังดี
มาแจ้งให้ทราบว่าการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาคราวนี้ จะมีบุคคลปองร้าย ลอบปลงพระชนม์พระองค์และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
และว่าถ้าบังเอิญเสด็จมาทุกพระองค์ เขาก็จะปลงพระชนม์ทั้งหมด
วิธีการที่จะใช้ก็คือใช้ปืนไร้แรงสะท้อน ๓ กระบอก ตั้งอยู่ ๓ จุด มีศูนย์ตรงกับบริเวณศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน แล้วมีเจ้าหน้าที่ของเขาใช้วิทยุ
ติดต่อแจ้งข่าวว่าเวลานี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จมาถึงแล้วหรือยัง
ถ้ามาถึงแล้วปืนไร้แรงสะท้อนจะยิงมาพร้อมกันทั้ง ๓ ทิศ
และถ้ากิจนี้ทำไม่ได้ เขาก็จะใช้คนกล้าตายเข้าปลงพระชนม์พระองค์ในหมู่ คนและพร้อมที่จะตายร่วมกัน คือผู้ปลงพระชนม์ก็พร้อมที่จะตายด้วย
ข่าวนี้มาจากหลายกระแสด้วยกัน มาแจ้งข่าวกับอาตมาว่า ต้องช่วยกันระวังป้องกันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ถ้าบังเอิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ดี หรือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ดี เป็นอะไรลงไป เป็นการบาดเจ็บก็ดี
การเสียพระชนม์ชีพก็ดี ของพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ถ้ามีขึ้นก็จะ โยงไปถึงอาตมาว่าเป็นต้นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จมา
ย่อมจะมีโทษให้อาตมาหัวขาด หรือถูกยิงเป้า
เมื่อฟังข่าวนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาก็ไม่ได้วิตกอะไร เพราะเชื่อมั่นในความสามารถของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่ว่าจะไปที่ไหน
ก็ปรากฏว่ามีข่าวนี้เสมอและในที่บางจุด ซึ่งอาตมาจะไม่ขอบอกว่าเป็นที่ไหน
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว เคยรับสั่งกับอาตมาที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ ว่า ในขณะก่อนจะเสด็จไปบางที
มีข่าวลือว่ามีคนคิดจะปลงพระชนม์พระองค์และสมเด็จพระบรมราชินีนาถโดยเสี่ยงเอาชีวิตเข้าแลกชีวิต
พระองค์มีพระราชดำรัสว่า ถ้าเราไม่ไปก็จะกลายเป็นผู้แพ้หากข่าวนี้เป็นข่าวจริง แต่ถ้าเป็นข่าวลือ เราก็จะเป็นผู้แพ้มากขึ้น
เพียงแค่เขาออกข่าวนิดเดียว เราก็กลัวกันเสียแล้ว นี่น้ำพระทัยของพระองค์ใสเป็นแก้ว พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่าการทุกอย่าง
เมื่อพระองค์ทรงทำดีแล้ว คือทำเพื่อสงเคราะห์ปวง ประชากร พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำ ไม่ได้ทรงกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนพระองค์
แต่ทำเพื่อประชาชนทุกคนทุกชั้น ทุกวัย ที่มี พระราชดำริเช่นนี้ เราก็ควรจะนึกได้ว่าพระราชภารกิจทั้งหลายของพระองค์ที่ทรงกระทำไป
หากจะทรงหวังความสุขส่วนพระองค์แล้วก็ ไม่ต้องเสด็จไปตามที่ต่าง ๆ ให้ลำบาก อยู่แต่เสียในพระราชฐาน ใครเขาเอางานมาให้เซ็นก็เซ็น เห็นสมควรจะเซ็นก็เซ็น
ไม่เห็นสมควร เซ็นก็ไม่เซ็นก็หมดเรื่อง
ที่พระองค์ทรงยอมเหน็ดเหนื่อยไปทุกสถานที่ก็เพื่อความสุขของประชากรชาวไทย ฉะนั้นพระองค์จึงตัดสิน
พระทัยว่าถ้าหากพระองค์จะต้องสวรรคตเพราะเหตุแห่งการกระทำความดีพระองค์ก็พร้อม นี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองมีพระราชดำรัสอย่างนี้
พระราชดำรัสนี้ถ้าใครกล้าเข้าไปถามพระองค์ได้ อาตมาเข้าใจว่าพระองค์คงไม่ปฏิเสธ เพราะทรงตรัสกับอาตมาเอง
ฉะนั้นข่าวนี้ที่เกิดขึ้นอาตมาก็คิด ตามที่สมเด็จพระธรรมสามิตคือพระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีใน โลก คำว่า นินทา
ก็คือวิพากษ์วิจารณ์และการปล่อยข่าว การปล่อยข่าวแบบนี้บางทีก็ต้องการให้อาตมายับยั้งกราบทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ให้เสด็จมา แต่คำว่า ข่าว
บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาได้มาเสียจนชิน
ข่าวที่มีความสำคัญที่สุดอีกอันหนึ่ง นั่นก็คือมีคนมาบอกบอกว่าแม้แต่อาตมาเองวันนั้นก็ต้องระวังตัวให้มาก เพราะมี คนเขาจ้างคนฆ่าเหมือนกัน
เขาจ้างมือปืนมา ๒ คนหวังจะให้ฆ่าโดยให้สินจ้างรางวัลไม่แพงนัก เพียงมูลค่ามือปืนคนละ ๒ พันบาท เท่านั้น แต่ถึงยังไงก็ดี ถึงแม้ตอนเย็นของวันที่ ๒๓
ก็มีคนส่งข่าวว่าจะต้องถูกฆ่าแน่ ก็ต้องขอบคุณท่านทั้งหลายเหล่านั้นที่มาส่งข่าว
การส่งข่าว ก็เป็นการส่งข่าวด้วยความหวังดี แล้วก็มีคนอีกหลายท่านพร้อมเพรียงกัน บอกว่าจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่ออาตมา จะขอ ป้องกันจนสุดความสามารถ
แล้วข่าวนี้คืบหน้าต่อไปอีกว่า ผู้ที่จ้างคนมาฆ่าอาตมานั้น เป็นบุคคลสำคัญผู้มีเกียรติ เขาบอกว่าเป็น ข้าราชการขั้นผู้ใหญ่
อาตมาก็สงสัยว่าเอ๊ะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นี่อาตมาก็ไม่ได้ผิดพ้องหมองปากกับใครมีแต่เป็นที่รักกันทั้งหมด เจอะ หน้าใครก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
คนที่รับช่วงมาก็เป็นบุคคลบางประเภท อาตมาก็จะไม่ขอบอก มันเป็นข่าว ข่าวเขาที่บอกว่าใครเป็นหัวหน้า ต้นคิดจ้างฆ่าอาตมาเอง
อาตมาก็คิดว่า ข่าวนี้จะต้องผิดจากความเป็นจริง เพราะมีข้าราชการคนไหนบ้าง ที่จะเป็นปฏิปักษ์กับอาตมา อาตมานั่งนึกไปก็นึกไม่ออก
จะว่าเป็นข้าราชการตำรวจ ข้าราชการทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพูดถึงตำรวจอุทัยธานีหรือตำรวจ ชัยนาทแล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็นคนใกล้เคียงกัน
นี่ทุกท่านก็มีความหวังดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้บังคับบัญชาตำรวจอุทัยธานีมีความเป็นห่วงใยถึงกับให้เจ้าหน้าที่ ตำรวจมานอนเป็นเพื่อนอยู่ทุกคืน
และอยู่เป็นประจำทุกวัน สิ้นกาลเวลาถึง ๔ ปีแล้ว แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนไหนสั่งฆ่า อาตมา ๆ ก็คิดไม่ออก
ถึงจะคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการพลเรือนของจังหวัดอุทัยธานีหรือจังหวัดใด ๆ มาคิดฆ่าอาตมาก็มองไม่เห็น เพราะว่าข้าราชการพลเรือนทุกท่าน
เจอะหน้าก็โอภาปราศรัยกันดี เป็นที่รักกันทุกคน
ถ้าจะคิดว่าข้าราชการทหารจะคิดฆ่าอาตมาก็ยิ่ง มองไม่เห็นใหญ่ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างคนทุกชั้นนั้น ข้าราชการทั่วประเทศย่อมเป็นที่รักของอาตมาทุกคน
เมื่อพิจารณาข่าวนี้ แล้วก็เข้าใจ คือเข้าใจว่าข่าวนี้อาจจะไม่ตรงตามความเป็นจริง ข่าวมีจริงแต่ความจริงของข่าว ต้องไม่มี ทั้งนี้เพราะอะไร ?
เพราะเป็น การยุให้รำตำให้รั่วระหว่างอาตมากับข้าราชการตำรวจ ข้าราชการทหาร ข้าราชการพลเรือนฝ่ายปกครองให้เกิดความแตกแยก ระแวง ระไวซึ่งกันและกัน
ข่าวประเภทนี้มีปรากฏมานาน อาตมาจึงไม่หนักใจคิดว่าเกิดมาแล้วมันต้องตาย คนที่เกิดมาแล้วไม่ตายไม่มี เวลานี้
อาตมานับแต่เกิดมาได้สร้างสาธารณประโยชน์ให้มีขึ้นแก่พระพุทธศาสนาด้วย แก่ประชาชนชาวไทยด้วยตามกำลังความสามารถที่จะทำได้
การสร้างสรรค์ความเจริญในที่ใดก็ตามสร้างแล้วก็ไม่เคยแบกเอามาเป็นส่วนตัว เวลานี้ นอกจากจะสร้างที่วัดท่าซุงแล้ว ก็ได้ สร้างโรงพยาบาล
และขุดบ่อน้ำให้แก่ประชาชนที่ขาดแคลนน้ำ โดยบอกบุญให้แก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทขุดบ่อน้ำให้เป็น สาธารณประโยชน์ในแดนกันดารนับเป็นร้อย ๆ บ่อ
และในแดนกันดารใดที่มีความอดอยากแร้นแค้นไม่สะดวกด้วยความเป็นอยู่ ก็ได้ ร่วมมือกับ ม.จ. หญิงวิภาวดี รังสิต ไปในสถานที่นั้น
แนะนำให้เขาเข้าใจในความสามัคคี ร่วมมือกันประกอบสัมมาอาชีวะในรูปแบบ สหกรณ์ รู้จักการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าขาดแคลนอะไร ม.จ. หญิงวิภาวดี
รังสิตก็ให้เจ้าหน้าที่วิทยุกราบทูลพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวเพื่อขอพระราชทาน ในวันรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงจัดการส่งไปให้
งานประเภทนี้เป็นงานที่เต็มไปด้วยความ ยากลำบากต้องไปในแดนทุรกันดาร อย่างนี้อาตมาก็ทำแล้ว วัดวาอารามก็สร้างเป็นสาธารณะ ช่วยวัดไม่จำกัดวัด
เงินทองของอาตมา ไม่มีก็ใช้สติปัญญาเท่านั้นเป็นเครื่องช่วย แต่ก็ถือว่าเป็นคุณประโยชน์อันหนึ่งที่อาตมาได้ทำแล้วในฐานะที่บวชเข้ามาใน พระพุทธศาสนา
พยายามปฏิบัติตามจริยาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติด้วยพระพุทธเจ้าทรงมีพระจริยาสามอย่าง คือ
หนึ่ง พุทธัตตถะ จริยา ทรงประพฤติในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้า สอนคนให้ละความชั่ว ประพฤติความดี มุ่งหวังจิต บริสุทธิ์ มีพระนิพพานเป็นที่ไป
สอง องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่โลก แนะนำประชากรให้ปฏิบัติตนให้มีความสุข ในฐานะ ที่เป็นชาวโลก
ในด้านการครองชีพและความเป็นอยู่มีธรรมะ ที่ท่านเรียกว่า คิหิปฏิบัติ คือเป็นข้อวัตรปฏิบัติสำหรับฆราวาสจะปฏิบัติได้ ทุกคนแล้วมีความสุขในปัจจุบัน
สาม ญาตัตถะ จริยา ทรงประพฤติเป็นประโยชน์แก่พระญาติ เหตุร้ายใด ๆ จะพึงมีแก่พระญาติองค์สมเด็จพระบรม โลกนาถก็ทรงสงเคราะห์ ป้องกันให้
แต่หากว่ากรรมนั้นเป็นกรรมใหญ่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ก็ต้องปล่อยไปตามกรรม
ที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติอย่างนี้ อาตมาก็ปฏิบัติตามแล้วทุกอย่าง ถ้าชีวิตจะต้องมาตายก็เป็นชีวิตที่ได้ปฏิบัติความดีแล้ว ไม่เห็นจะ
เป็นที่น่าเสียดายตรงไหน การอยู่ ถ้าอยู่นานไปเท่าใดก็มีความลำบากเท่านั้น ตายเร็วเท่าไรก็มีความสุขเร็วเท่านั้น ตายเมื่อไรก็มี ความสุขเมื่อนั้น
เวลานี้อยู่ก็อยู่ด้วยความสุขใจ แต่กายมันไม่สุข แต่ก็ไม่ได้เป็นห่วงกังวลอะไร ถือว่าเป็นเรื่องของคนที่เกิดมาในโลก จะต้องเป็นอย่างนั้น
ความพยายามเหน็ดเหนื่อยเพื่อสาธารณประโยชน์เป็นที่พอใจของอาตมา ถ้าอยู่เฉย ๆ สั่งสมทรัพย์สินเพื่อ ความสุขตน อันนี้ไม่มีความสุขใจเลย
ขณะใดที่มีโอกาสได้สงเคราะห์มนุษย์เพื่อนร่วมโลกหรือท่านผู้มีคุณทั้งหลายก็เป็นที่พอใจ
เรื่องนี้เป็นเรื่องของ พระเมตตา แต่ก็ควรประกอบด้วยธรรมะ ที่อาตมาบอกว่าข่าวเกิดขึ้นอาตมาไม่เชื่อ แต่ก็ ขอบคุณผู้บอกข่าว
ข่าวนั้นอาจจะเป็นความจริงก็ได้ หรืออาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้ แต่ผู้รับข่าว รับข่าวมาจริง ทั้งนี้เพราะว่าทานผู้ บอกเป็นผู้ใหญ่
เป็นบุคคลที่ควรเชื่อถือได้ แล้วก็มีความห่วงใยอาตมาเป็นพิเศษ
นอกจากนั้น คนของท่านก็ให้การระวังระไวอาตมาเป็น อย่างดี แสดงว่าข่าวนี้เป็นความจริงมีผู้ส่งข่าวมาจริง
แต่ว่าสำหรับข่าวที่ว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จ้างฆ่า นี่อาจจะเป็นแนวอันหนึ่งยุให้รำตำให้รั่วสร้างความแตกความสามัคคีซึ่งกันและกัน
อาตมาแตกความสามัคคีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเวลานี้เจ้าหน้าที่ตำรวจห่วงใย อาตมาอยู่มาก ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาอารักขาอยู่ ๔ ปีแล้ว เพราะความห่วงใย
เจ้าหน้าที่พลเรือนก็ให้ความสนับสนุนในกิจการที่ทำเป็น อย่างดี ไม่มีใครประกาศตนเป็นศัตรู
ฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารก็มีความเคารพนับถือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี มีการโอภาปราศรัย งานใหญ่ ที่จะพึงมีขึ้น
เจ้าหน้าที่ทหารก็จัดทหารมาช่วยในกิจการงานหรือมาช่วยพัฒนา ทำความเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในสถานที่ แล้วก็เอา ข้าราชการฝ่ายไหนมาสั่งฆ่าอาตมา อันนี้
บรรดาท่านพุทธศาสนิชนพอฟังข่าวอย่างนี้แล้วก็ต้องใคร่ครวญกันไว้ก่อน
แต่อีกข่าวหนึ่ง มีว่า ถ้าบังเอิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ หรือสมเด็จพระยุพราชมี อันตรายลงไป
อาตมาก็คงต้องถูกยิงเป้าหรือหัวขาดเพราะว่ามีข้าศึกจะใช้ปืนไร้แรงสะท้อนยิงมา ๓ ทิศพร้อม ๆ กันลงในบริเวณที่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถประทับอยู่ เรื่องนี้อาตมาไม่ตกใจเลย ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชจะต้องสิ้นพระชนม์
อาตมามีความมั่นใจ ว่าโทษตัดหัวหรือว่าโทษยิงเป้า สำหรับอาตมาไม่มีแน่ เพราะในระหว่างนี้อาตมายังเป็นผู้อยู่ใต้กฎหมาย แต่ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้นมาจริง ๆ
แล้ว อาตมาก็เป็นผู้อยู่เหนือ กฎหมาย ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เสด็จมาอยู่ตรงไหนอาตมาก็อยู่บริเวณนั้น ถ้าอันตรายจะพึงเกิดขึ้นแก่พระองค์ อาตมาก็ต้องอยู่ในอันตรายนั้นด้วย
ในเมื่อถูกถล่ม อย่างนั้น อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่วัดก็พัง กระสุนแบบนั้นเป็นกระสุนระเบิด ยิงพร้อมกันมา ๓ นัด วัดถึงแม้จะมีสภาพแข็งแรงก็พังหมด
แล้วอาตมาก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วจะเอากฎหมายที่ไหนมาลงโทษ
ตอนนั้นอยู่เหนือกฎหมายจริง ๆ กฎหมายจะมาตัดสินลงโทษผี คือ ตัดคอ ตัวหัวผี อันนี้ไม่เกิดประโยชน์ เพราะตายแล้วกฎหมายไม่มีการบังคับให้ลงโทษผี
จำคุกผีกี่ปี ยิงเป้าผี หรือประหารชีวิตผีนี่มันไม่ มี แล้วหากบรรดาท่านพุทธบริษัทจะถามว่าเมื่อได้ข่าวอย่างนี้จริง ๆ
ทำไมจึงไม่กราบทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยับยั้งการ เสด็จ อาตมาก็ขอตอบว่าถ้าอาตมาทำอย่างนั้น อาตมาก็ควรจะศึกไปเป็นฆราวาสเสีย ทั้งนี้เพราะอะไร
?
ก็เพราะว่าการทำอย่างนั้น เป็นการถือมงคลตื่นข่าวจนเกินไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีมาก มีทั้งทหาร มีทั้งตำรวจ
มีทั้งศูนย์รักษาความปลอดภัย มีทั้งเจ้าหน้าที่สันติบาลแล้วก็มีบุคคลอื่นอีกหลายท่านซึ่งเป็นบุคคลที่ตกอยู่ในระหว่างความทุกข์ เขาจะ
เข้ามาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
ท่านเหล่านี้มาด้วยกันหลายร้อยคน และเมื่อได้ทราบว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถซึ่งเป็นที่เคารพรักยิ่งกว่าบิดามารดาของเขาจะต้องมีอันตราย พวกนี้ก็ กระจายออกไปรวมกลุ่ม
เพื่อเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่เพียงครึ่งเดียว
นอกจากนั้นก็ปะปน แทรกแซงอยู่กับบรรดาประชาชน ทั้งหลาย พร้อมที่จะสละชีพของตนเพื่อป้องกันพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
และพระบรม โอรสาธิราชทั้ง ๆ ที่เขาไม่ติดอาวุธ แต่เขาก็พร้อมที่จะตาย เอาร่างกายเข้าป้องกันสรรพาวุธที่จะไปทำร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นี่แสดงว่าคนที่จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีมาก นอกจากคนพวกนี้แล้วก็มีชาวบ้านอีกมาก ที่ได้รับ ฟังข่าว
คือมีบางคนนั่งรับฟังข่าวอยู่กับอาตมา มีบุคคลเข้ามาส่งข่าว ผู้นี้ก็พร้อมที่จะพลีชีพเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ
ต่างคนต่างพร้อมกันอย่างนี้
นั่นก็หมายความว่า ถ้าข้าศึกจะทำลายพระชนม์ชีพของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวด้วยอาวุธสั้น เช่นปืน หรือลูกระเบิดมือ หรือว่ามีด
พวกนี้พร้อมที่จะตายแทน คือจะเอาร่างกายเข้าป้องกัน หรือมิฉะนั้นก็ต่อสู้ ด้วยมือเปล่า
แต่ถ้าบังเอิญข้าศึกจะยิงมาด้วยปืนไร้แรงสะท้อนอันนี้ไม่ต้องช่วยกันป้องกัน ช่วยกันตายพร้อมกัน
เป็นอันว่าต่างคนก็ต่าง ตาย แล้วก็น้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามที่ตรัสที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์ว่าข่าวการลอบปลงพระชนม์ทั้งสองพระองค์มีมา นาน
พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า ถ้าเราไม่ไป ก็จะกลายเป็นผู้แพ้ นี่เป็นกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใน เมื่อเป็นเช่นนี้
ถ้าอาตมาส่งข่าวไปขอยับยั้งการเสด็จ ท่านผู้รับฟังทั้งหลายก็ลองคิดดูว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมี พระราชดำริอย่างไรในตัวอาตมา คงจะมีพระราชดำริว่าข่าวเพียงแค่นี้ ก็กลัวเสียแล้ว
นี่หรือสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ที่เขา เรียกกันว่าปูชนียบุคคล เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสขององค์สมเด็จพระทศพล เพียงแค่นี้ก็แสดงอาการขี้ขลาดให้ปรากฏ
ถ้าจะถามต่อไปว่า คิดอย่างนั้นมิเป็นการเย่อหยิ่งเกินไปหรือ จะเป็นการโง่แกมหยิ่งไปกระมัง อาตมาก็ต้องของตอบ ว่า เป็นเรื่องธรรมดา
จะวิพากษ์วิจารณ์อะไรยังไง ๆ อาตมาก็ไม่ว่าทั้งหมด ในฐานะที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตตรัสไว้ว่า จงอย่าถือ มงคลตื่นข่าว แล้วอาตมาเองก็พร้อมที่จะตาย
ถ้าความตายนั้นเป็นไปเพื่อสาธารณประโยชน์
และถ้าจะถามว่า การที่กราบบังคมทูล อัญเชิญให้พระบาทสมเด็จพะเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทรงตัดลูกนิมิตมีประโยชน์อะไร
อาตมาก็ต้องขอตอบว่าเป็นประโยชน์ใหญ่ที่สุดที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จมา
คือนอกจากประโยชน์จะได้แก่วัดและภิกษุสามเณรทั้งหลายแล้ว ประโยชน์ใหญ่คือกำลังใจของประชากร มีมากจนบอกไม่ถูก
พระองค์ได้ทรงแสดงความเมตตาปรานีต่อพสกนิกรของพระองค์อย่าง คาดไม่ถึง ทุกคนในขณะนี้ ซึ่งเวลาล่วงเลยไปนานแล้ว
ยังปรารภเรื่องราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาคราวนี้ บางท่าน ถึงกับน้ำตาคลอ บางท่านถวายของที่ระลึกแล้วก็ร้องไห้ไปด้วย
ที่ร้องไห้ไม่ได้เสียดายของ แต่เป็นเพราะอำนาจความปลื้มใจ บางคนก็ ถึงกับสะอึกสะอื้น
โดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
จะทรงแสดงความสนิทสนมกับปวงชนชาวไทยที่มาในงานอย่างนั้น เข้าใจกัน
แต่ว่าจะไปที่ไหนเขาก็กีดเขาก็กัน จะถวายอะไรแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องใส่พานทอง ต้องใส่พานเงิน
แต่เนื้อแท้จริง ๆ ในคราวนี้พระองค์ ทรงแสดงให้เห็นว่า พระองค์กับประชากรนั้นไม่ใช่ใคร ทรงถือว่าคนทั้งหลายเป็นพระราชโอรส พระราชธิดาของพระองค์
เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาวันนี้ก็หมดลงเสียอีกแล้วนี่ ก็ขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่
บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 12/7/09 at 08:55
(Update 12 ก.ค. 52)
บทที่ ๓
ท่านสาธุชนพุทธบริษัท สำหรับวันนี้ ก็ขอต่อเรื่อง พระเมตตา ต่อไป
เรื่องของข่าวที่เล่าผ่านมาก็ยังไม่หมดเสียทีเดียว ข่าวสำคัญที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านเคยรับฟังกันมาเป็นข่าวในอดีต แต่ติดมาถึงปัจจุบัน
คือเขาลือกันว่าอาตมากับเจ้าอาวาสแย่งกันเป็นสมภารบ้าง อาตมากับท่านเจ้าอาวาสแตกความสามัคคี กันบ้าง อาตมาใช้อิทธิพลบังคับให้เจ้าคณะจังหวัดลาออกบ้าง
นับเป็นข่าวเกรียวกราวกันมานาน แต่บุคคลทั้งหลายที่มาในงานนี้ อาจจะทราบ ถ้าไม่ทราบก็จะบอกให้ ว่าถ้าอาตมาแตกกันจริง ๆ
กับเจ้าคณะจังหวัดและเจ้าอาวาส งานผูกพัทธสีมามีขึ้นไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะอะไร ?
เพราะว่างานผูกพัทธสีมาจะมีขึ้นมาได้ก็ต้องอาศัยท่านเจ้าอาวาสขอพระราชทานวิสุงคามสีมา เพราะเป็นเจ้าอาวาสโดย ตำแหน่ง แล้วก็ต้องผ่านเจ้าคณะตำบล
ต้องผ่านเจ้าคณะอำเภอ ต้องผ่านเจ้าคณะจังหวัด แต่งานนี้ที่เป็นไปได้ก็เพราะท่านเจ้าคณะ จังหวัดมีความเมตตาปรานีเป็นพิเศษ ให้คำแนะนำชี้แจงทุกอย่าง
โดยที่ท่านเป็นผู้ชำนาญงานมามาก ในงานผูกพัทธสีมาเคยร่วมงาน กับ สมเด็จพระวันรัต (เฮ็ง เขมจารี)
วัดมหาธาตุ ท่านมีอายุ ๘๐ เศษแล้วแต่งานทุกอย่างท่านทำได้อย่างกระฉับกระเฉง มีกำลังกาย มีกำลังใจ ต่อสู้กับอุปสรรค
คือความเหน็ดเหนื่อย ไม่ย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อยที่จะพึงบังเกิดขึ้น นี่เห็นน้ำใจของท่านเจ้าคณะจังหวัดว่า
ท่านมีความเมตตาปรานีเพียงใด แต่ถ้าบังเอิญอาตมาเป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูกับท่าน ท่านจะมามีเมตตาปรานีช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ ทั้งนี้
ก็รวมไปถึงท่านเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ท่านเจ้าอาวาส ต่างคนต่างร่วมมือกัน พากันได้รับความเห็นเหนื่อยในกิจนี้ไปตาม ๆ กัน
นี่ข่าวลือที่เขาว่าแตกความสามัคคีกันผลจริง ๆ มันเป็นอย่างนี้ ถ้าผลอย่างนี้เรียกว่าผลของการแตกความสามัคคี มันก็ออกจะ แปลกอยู่
คำว่าสามัคคี แปลว่าพร้อมเพรียงกัน ร่วมกันกระทำ แต่ในเมื่อทุกฝ่ายต่างร่วมกันทำอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าน
เจ้าคณะจังหวัดมีความเมตตาเป็นกรณีพิเศษ มีอะไรขัดข้องไปหาท่าน ๆ ก็พร้อมให้คำแนะนำอยู่เสมอ แม้จะนำกิจนั้นไปนอกเวลา รับแขกของท่านก็ตาม ไปหาท่าน ๆ
ก็เมตตาออกมารับแล้วก็ชี้แจงทุกอย่าง ด้วยอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส และก็สั่งไว้เสมอว่า มีอะไรก็มาหาฉันนะ ถามฉัน ถ้าสิ่งนั้นช่วยได้ไม่เกินวิสัย
ฉันจะช่วยทุกอย่าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้
ทำไมจึงมีข่าวว่าแตกความสามัคคีกัน เป็นอันว่า ตามที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ทรงกล่าวว่า จงอย่าสนใจกับคำสรรเสริญและนินทานั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท
คำสั่งสอนของท่านเป็น ความจริง เราจะเห็นว่าคำสรรเสริญก็ดี คำนินทาก็ดี ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับบุคคลผู้รับฟัง เขาสรรเสริญว่าเราดี แต่ถ้าเราเลว เราก็ไม่ดี
ไปตามคำเขาพูด เขานินทาว่าเราเลว ถ้าเราเป็นคนดี เราก็ไม่เลวไปตามคำเขาพูด นี่เรามีความสามัคคีกัน เขาลือกันว่าแตกความสามัคคี
ในที่สุดคณะพระสงฆ์ก็ยังมีความสามัคคีกันอยู่ มีความสามัคคีกลมเกลียวกัน แล้วข่าวลือนั้นจะมีผลอะไรออกมาบ้าง ? ความจริงท่านเจ้าอาวาสท่านก็ดี
ไม่มีอะไรกับอาตมา งานทุกอย่างก็ช่วยกัน อยู่กันด้วยความเป็นสุข แต่ก็มีข่าวกระพือออกไป ข่าวนั้นจะมาจากไหน อาตมาไม่ทราบ จะไปสนใจเพื่ออะไร
สนใจแล้วก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ ดีหรือไม่ดีมันอยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่ความประพฤติปฏิบัติ
นี่ แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท รับฟังแล้วก็ขอให้นำไปคิดไว้ด้วยว่าพระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า นินทา ปสังสา นินทาไม่เกิดประโยชน์
ในเวลาที่พระองค์ทรงโปรดสอนบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย เพราะปรากฏว่าในเวลานั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรกำลังถูกนินทาจากสุปรีย ปริพาชก
ในขณะที่นันทมานพสรรเสริญพระพุทธเจ้า สุปรียปริพาชกผู้เป็นลุงกลับนั่งสาปนั่งแช่งพระพุทธเจ้า
ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า พระพุทธเจ้าทรงพาพระสงฆ์ทั้งหลายเดินไป สุปรียปริพาชกก็พาสาวกของตนติดตามพระพุทธเจ้าไป ไม่กล้าจะคลาดจากพระพุทธเจ้า
เนื่องด้วยพระพุทธเจ้าไปที่ไหน มีคนเคารพนับถือที่นั่น มีลาภสักการะ มีอาหารบริบูรณ์สมบูรณ์ ในเมื่อคนเขามาเลี้ยงพระพุทธเจ้า เลี้ยงพระสงฆ์
เขาก็เลี้ยงคณะของตนด้วย
จึงได้ติดตามไปใกล้ ๆ แต่ครั้นมองไปเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรเดินไปด้วยสีหะลีลาศงามสง่า บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีความสำรวม
แลดูน่ารักน่าชมน่าเลื่อมใสน่าไหว้น่าบูชา ครั้นสุปรียปริพาชก หันมาดูลูกศิษย์ของตน เห็นลุกลี้ลุกลนซุกซน ต่างหยอกต่างเย้าซึ่งกันและกัน ไม่น่าดู
ไม่น่าชม น่าเกลียด
เมื่อลูกศิษย์ของตนไม่ดี แทนที่จะติเตียนตนเองว่าปกครองลูกศิษย์ไม่ดี สอนลูกศิษย์ไม่ดี หรือสอนดีอบรมดี
แต่ลูกศิษย์ไม่ทำตามก็ควรจะว่ากล่าวตักเตือนลูก
ศิษย์ของตน แต่เพราะอาศัยน้ำใจที่เป็นอกุศล สุปรียปริพาชกไม่ทำอย่างนั้น กลับนั่งนินทาด่าว่าพระพุทธเจ้า แกล้งประณามด้วย ประการทั้งปวง
ส่วนนันทมานพผู้เป็นหลาน เห็นความดีขององค์สมเด็จพระพิชิตมารกับบรรดาพระสาวกทั้งหลายก็นั่งสรรเสริญพระรัตนตรัย เป็นอันว่าลุงกับหลานมีคติไม่เสมอกัน
ในตอนเช้า สาวกขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์ไปบิณฑบาตได้ทราบข่าวนั้นแล้ว จึงได้นำข่าวมาทูลสมเด็จพระประทีปแก้ว
พระองค์ทรงสดับแล้ว จึงได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า นินทาปสังสาเป็นของธรรมดาของโลก
คนเราเกิดมาไม่ถูกนินทาก็ถูกสรรเสริญ หรือถูกนินทาและสรรเสริญทั้งสองอย่าง
เธอทั้งหลาย จงอย่าสนใจกับคำนินทาและคำสรรเสริญ เขาสรรเสริญว่าเราดี ถ้าเราไม่ดีตามเขาพูด คือเราเลวอยู่ เราก็ดีไม่ได้ เราดีอยู่ ถ้าเขานินทา
ว่าเราเลว เราก็เลวตามคำพูดเขาไม่ได้ ขอพวกเธอทั้งหลายจงตั้งอยู่ในความสำรวม จงประพฤติแต่ความดี อย่าสนใจกับคำนินทาและ สรรเสริญ
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาถูกมาทุกอย่าง ข่าวจากชาวบ้าน ข่าวหนังสือพิมพ์ การปิดประกาศโฆษณา การขยาย เสียงด่าว่า ทุกอย่างมีหมด
แต่ก็ยึดพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จบรมสุคต ไม่สะดุ้งสะเทือน บางทีเขาจะเห็นว่าหน้าด้าน ใจด้าน เกินไป ด่าเท่าไหร่ไม่สะเทือน
ก็พระพุทธเจ้าท่านสั่งไม่ให้สะเทือน ถ้าสะเทือนแล้วก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อพระองค์ทรงโปรดเมตตาอย่างนี้ อาตมาก็เลยขี้เกียจสะเทือน ไม่สะเทือนเสียสบายใจกว่า เป็นอันว่าคติอันนี้
บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้าก็น่าจะรับฟัง ไว้ใคร่ครวญพิจารณาดูว่าเขาสรรเสริญว่าเราดี แต่ว่าเราเป็นคนเลว แล้วมันจะดีไหม
จะดีตามคำเขาพูดไหม ถ้าเราทำทุกสิ่งทุกอย่างดีแล้ว แต่เขาว่าเราเลว แล้วเราจะเลวตามเขาไหม เอาที่เห็นง่าย ๆ ว่าเรามันแก่ลงไปทุกวัน
มันใกล้จะตายไปทุกวัน อายุ ๕๐-๖๐ ปีแล้ว ๗๐ ปีแล้ว
แต่คนเขามาบอกว่า แหมท่านยังหนุ่มยังสาว ยังสาวยังหนุ่มกระชุ่มกระชวยเหมือนกับคนอายุ ๒๐ ปี ร่างกายของเรานี้มันจะกลับหนุ่มกับสาวเหมือนคำเขาพูดไหม
มันก็คงไม่เป็นอย่างนั้น ร่างกายมันมีสภาพทรุดโทรมเพียงใด มันก็เป็นไปตามนั้น นี่ เป็นอันว่า ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจงอย่าถือมงคลตื่นข่าว
แล้วก็จงอย่าเดือดร้อนเมื่อบุคคลใดเขาด่าเขาว่าเรา
เพราะเราเกิดมาให้เขาด่า เราเกิดมาให้เขาว่า เราเกิดมาให้เขานินทา เราเกิดมาให้เขาสรรเสริญ ถามว่าทราบได้ยังไง ก็ต้องตอบว่าธรรมดาของโลกมันเป็นยังงั้น
หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องสู้กันไปแบบนี้ เขานินทาก็รับ เขาว่าก็รับ รับแล้วก็วางไว้ กำลังรับหมายความว่ารับฟัง ไม่ใช่รับ ฟังเข้าไว้
เมื่อใจเราไม่รับ เขาจะเป็นยังไงมันเรื่องของเขา เราไม่ต้องห่วง เรามีหน้าที่อย่างเดียว คือปฏิบัติความดีให้เข้าถึงที่สุด จบจุด ของพระพุทธศาสนา
เราก็จะสิ้นทุกข์
ทีนี้ มาคุยกันต่อไป การมีงานพระราชทานวิสุงคามสีมาคราวนี้ ได้รับความเมตตาปรานีจากบรรดาพระเถรานุเถระ ผู้ใหญ่เป็นอันมาก
มีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดสามพระยาเป็นประธาน แล้วมีพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่อีกมาท่านได้มีความเมตตา มาตั้งแต่ต้นคือตั้งแต่เริ่มสร้างวัดนี้
ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ สร้างฝั่งตะวันออก จากกุฏิ ๓ หลัง เป็นกระท่อมน้อย ๆ เป็นกระท่อมเก่า ๆ รื้อไปแล้ว ๒ หลังเพราะใช้ไม่ได้ เหลือไว้เป็นอนุสรณ์ ๑
หลังแล้วนอกจากนั้น สร้างกันมาจนกระทั้งที่ไม่มีจะสร้าง เมื่อมีผู้ศรัทธามากขึ้นจึงได้ไป ซื้อที่ฝั่งตะวันตกคนละฝั่งถนน สร้างเป็นอาคารสวยสดงดงาม
มีมูลค่าตามที่เขาประเมินกัน ๓๐ ล้านเศษ
แล้วซื้อที่ก่อสร้างศูนย์แม่และเด็กสมเด็จพระยุพราชอีก ๑๓ ไร่เศษ สร้างอาคารขึ้นอีก อยากจะรู้ก็มาชมกันเองก็แล้วกัน ฝั่งด้านตะวันตกทั้ง ๒ จุด
คือวัดและ โรงพยาบาล ใช้เวลา ๓๓ เดือน เวลาก่อสร้างจริง ๆ ๓๓ เดือน ถ้านับโดยปี ๓ ปี แต่มันขาดไป ๓ เดือน เมื่องานเสร็จต่อจากนี้ก็จะแถม นิด ๆ หน่อย
ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ตามสมควร
ก็เป็นอันว่าสิ้นเงินก่อสร้างไปแล้วประมาณ ๑๕ ล้าน เงินยังให้เขาไม่หมด ยังเป็นหนี้เขาอีก ๔ ล้านเศษ พูดง่าย ๆ ว่าจะต้องใช้หนี้เขาอีก ๕ ล้านบาท
ตอนนั้นพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ก็ได้กราบบังคมทูลแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ว่าส่วนที่เหลือนี้ทั้งหมด
พวกข้าพระพุทธเจ้าคณะศิษยานุศิษย์ของพระอาจารย์วีระ ถาวโร ทั่วประเทศ จะพร้อมกันช่วยจัดหามาชำระหนี้ให้
โดยไม่ต้องให้คณะสงฆ์ต้องมีความหนักใจแต่ประการใด นี่แสดงน้ำใจของทุกท่านที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมหากุศล
ฉะนั้นบรรดาพระสงฆ์ต่างก็มีจิตเมตตาโมทนา แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความจริงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงพระเมตตากับอาตมา ถวายเงินไว้ในขณะที่เสด็จมาปี พ.ศ. ๒๕๑๘ เงินส่วนพระองค์ สามหมื่นบาท
และมีข้าราชบริพารโดยเสด็จพระราชกุศลอีก ๕ พันบาท
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๑๙ ได้ทูลเชิญเสด็จทั้งสอง
พระองค์กับสมเด็จพระเจ้าลูกเธอไปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อาตมาสร้างวิหารกับพระไว้ที่จังหวัดสงขลา ตอนนั้น ได้มีพระมหากรุณาธิคุณถวายเงินไว้ ๒ หมื่นบาท
เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ ทรงถวายที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์อีก ๓ หมื่น ๕ พันบาท และก็เมื่อ วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๒๐
ทรงนิมนต์เข้าไปที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณในพระบรมมหาราชวัง ทรงถวายอีกหมื่นห้าพัน แล้วก็มีคนติดตาม อีกพันบาทเศษ ๆ เงินทั้งหมดนี้
อาตมาจัดแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งสร้างวัด อีกส่วนหนึ่งสร้างโรงพยาบาล ในการเสด็จมาคราวนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ได้ทรงนำเงินของท่านมาถวายอีกห้าหมื่นบาท แล้วมีคนโดยเสด็จพระราชกุศลอีก ๑ พันบาทเศษ ๆ
และวันนั้นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ออกเยี่ยมประชากร
บรรดาประชาชนส่งเงินมอบถวายต่อพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งสามพระองค์ได้อีก ๗ หมื่น ๔ พันบาทเศษ รวมเงินทั้งหมดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ทรงร่วมในการก่อสร้างทั้ง ๒ แห่งแล้ว นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณพิเศษ
การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เสด็จร่วมกันมาตัดนิมิต ยกช่อฟ้า
บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และเททองรูปหล่อหลวงพ่อปานในกาลก่อน ทำให้พสกนิกรของพระองค์มีความปลาบปลื้มใจเป็นกรณีพิเศษอย่างยิ่ง
ทีนี้ ก่อนที่จะเสด็จมาถึง เมื่ออาตมาว่างจากการรับแขกก็เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านก็มีจิตเมตตา บอกว่าคุณ เอาเถอะ
มีกิจอะไรก็ไปทำไม่ต้องห่วงฉัน พระมหาเถรานุเถระพระราชาคณะต่าง ๆ ท่านก็เมตตาบอกว่ามีงานก็ไปทำเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันมีที่พักสบายแล้ว
จึงได้ออกไปยืนข้างนอก เพื่อจะพบกับเจ้าหน้าที่บางท่าน พอดีมีคณะองคมนตรี มีท่านเจ้าคุณศรีเสนาเป็นหัวหน้า แล้วท่านก็แนะนำองคมนตรีอีก ๔ ท่าน
เป็น ๕ ท่านด้วยกัน บอกชื่อทุกท่านแต่อาตมาจำไม่ได้ ทุกท่านก็อุตส่าห์เดินจากที่ ๆ เขาจัดให้รับเสด็จ มาหาอาตมาที่วิหารหลังอุโบสถ
ท่านหัวหน้าท่านก็แจ้งว่าท่านคือ ศรีเสนา หมายถึงพระยาศรีเสนา แล้วบอก
ว่าท่านมีของขวัญมาถวายแล้วท่านก็เอาซองใส่ไปในย่าม อาตมาก็ไม่ทราบว่าอะไร มาจำได้ทีหลังว่าเป็นปัจจัยของท่าน หลายบาท เท่าไรอาตมาจำยอดไม่ได้
ท่านโอภาปราศรัยดี ก็ปรารภกับท่านว่าเดิมทีเดียวอยากจะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตัดนิมิตลูกแรก ข้างใน แล้วให้อีกแปดลูกข้างนอกลงพร้อมกัน
ท่านก็เลยตอบว่าถ้ายังงั้นก็ต้องใช้วิทยาศาสตร์ช่วยละขอรับ อาตมาก็เรียนท่านบอกว่า ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เป็นชาวบ้านศาสตร์ ท่านถามว่าทำได้หรือ ทำแล้ว
และลองแล้ว แต่บังเอิญเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเขาเกรงว่าจะ มีอันตรายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สายสิญจน์อาจจะไปตวัดถูกพระพักตร์หรือพระเศียรท่านเข้า
ก็เลยสั่งแก้
ความจริง อันนี้ก็ต้องเห็นใจสำนักพระราชวังเพราะต้องเตรียมป้องกันอันตรายไว้หมดทุกด้าน บรรดาท่านผู้รับฟัง ได้ฟังแล้วก็อย่าไปตำหนิท่าน
นี่เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าสำนักพระราชวังปล่อยไว้อย่างที่จัดและบังเอิญเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริง ๆ เขาก็อาจมีโทษหรือถูกตำหนิ
ทั้งนี้ก็ต้องเห็น ใจคนผู้ให้การอารักขาและรับผิดชอบ อย่าไปคิดว่า เขาลองแล้วนี่ไม่มีอันตราย สำนักพระราชวังทำไมทำอย่างนั้น ไม่น่าจะทำแบบนั้น
ไม่น่าจะริดรอนความดี อันนี้ไม่ควรคิด ควรจะคิดว่าทุกคนต้องช่วยกันระมัดระวังไม่ให้อันตรายเกิดขึ้นแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
เห็นว่าสิ่งใดท่าทางจะไม่ปลอดภัยต้องยับยั้งทันที อันนี้ ต้องถือว่าสำนักพระราชวังทำถูกแล้ว
เมื่อคุยกับท่านอยู่ครู่หนึ่งก็พบ ท่านแม่ทัพภาค ๓ พลโทสมศักดิ์ ปัญจมานนท์
ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกับ พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์
ท่านพามาหาก็ปรากฏว่าคุยกันเป็นอันดี ในช่วงนี้ก็ปรากฏว่าบรรดาประชากรที่อาตมาเคยไปเยี่ยมเยียนในป่า ต้องการจะมาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงมีพระราชประสงค์จะมาพบกับคนพวกนี้
เพราะทรงตรัสกับอาตมา ที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ วันนั้นอาตมาคุยเพลินไป ความจริงถ้าจะถือเอาโทษก็มีโทษ คราวที่เข้าไป ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ
พอฟังถึงตรงนี้แล้วก็โปรดทราบ ไม่ใช่เป็นการนิมนต์ไปส่วนพระองค์ หรือส่วนตัวอาตมาแต่ผู้เดียว เป็นวันสาย ใจไทย
ตอนเช้าอาตมาไปที่งานสายใจไทยที่สำราญราษฎร์ มีพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ มีสมเด็จเจ้าฟ้าสิรินธรฯ เป็นประธาน ก็ไปฉันเช้าที่นั้นเสร็จแล้ว
กลับมาที่บ้านพล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ แขกก็มาก พอตอนบ่ายถึงเวลาจะไปปลงผมไม่ทัน สององค์กับครูบาธรรมไชย เพราะผู้คนคับคั่ง
วันนั้นเป็นวันโกน เข้าไปทั้งผมยาว ๆ ไปเจอะพระราชาคณะสมเด็จพระราชาคณะ ท่านเข้าไปก่อนท่าน ปลงผมกันหมด เจ้าพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณสุทธาธิบดี
เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ท่านเห็นเข้าท่านจำได้ ท่านถามว่ามายังไง หากินไกลนักนี่ เลยกราบเรียนท่านบอกว่าวันนี้ผมปลงผมไม่ทันขอรับ งานหนักแต่เช้า
ความจริงมันเสียมรรยาทมากเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงได้ แล้วช่างที่จะปลงผมก็หาแสนจะยากจริง ๆ ถ้าอยู่ที่วัดไม่ยาก ใช้เวลา ๒-๓ นาทีก็เสร็จ
เข้าไปในกรุงเทพนี่ช่างเขามี แต่ว่าคนที่มาก็ไม่ใช่ช่าง แล้วแขกก็คับคั่งนับจำนวนพัน ไม่สามารถจะปลีกตัวไปปลงผมได้ ก็ต้องเข้าไปทั้ง ๆ
ที่เสียมรรยาทแบบนั้น
แต่ว่า สมเด็จราชาคณะหลายท่าน และพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ท่านก็ไม่ได้ปริปากว่าอะไร ท่านคงจะคิดในใจว่าไอ้ ๒ คนนี่มันคงจะเผลอไปกระมัง
หรือว่าจัดการกับตัวเองไม่ทัน ก็ต้องขอกราบเรียนทุกท่านไว้ในที่นี้ด้วยว่าต้องขอประทานอภัย ที่ระเบียบใหญ่ ๆ อย่างนี้ไม่น่าจะทำอย่างนั้น แต่ก็ทำไปแล้ว
มันจำเป็น วันนั้นไม่ใช่อาตมาเข้าไปแต่ผู้เดียว
เมื่อสมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะออกมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงนิมนต์อาตมาไว้ อาตมากับครูบาธรรมไชยก็หยุดอยู่ที่นั่น
วันนั้นพระองค์ทรงตรัสว่าในการที่จะเสด็จในวันที่ ๒๔ นั้น มีพระราชประสงค์จะพบคนพวกนี้ด้วย คำว่า พวกนั้น
เป็นอันรู้กันว่าหมายถึง คนที่มีความยากจนเข็ญใจ มีความเป็นอยู่แร้นแค้นลำบากอยู่ในแดนไกล คือในป่า เรื่องนี้อาตมา
กับพระองค์หญิงวิภาวดีทำมาเป็นปกติเห็นอะไรพอจะช่วยเหลือได้ หรือเกินวิสัยที่จะช่วยได้ด้วยตนเอง ก็ช่วยกับกราบทูลให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ
ถ้าสิ่งนั้นไม่เกินวิสัย พระองค์จะทรงช่วยเหลือทันที การเสด็จมาคราวนี้พระองค์มีพระราช ประสงค์จะพบคนพวกนี้ด้วยเพราะทรงปรารถนาจะสงเคราะห์
เป็นอันว่า เมื่ออาตมายืนคุยกับท่านพลโทสมศักดิ์ มองไม่เห็นพวกนี้อยู่ข้างในจึงได้ถามเจ้าหน้าที่ว่าเขาอยู่ที่ไหน ก็ แจ้งว่าอยู่หลังพระอุโบสถ
คือหลังพระวิหารออกไปรวมกันอยู่ จึงได้นำเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งเป็นร้อยตำรวจเอก ไม่ทราบว่าเป็นใครไปหา พวกนั้น
โดยแจ้งความประสงค์ว่าต้องเข้าไปข้างในอย่างน้อยที่สุด ๑๐ คน
ทีแรกเจ้าหน้าที่เขาว่าจะให้เข้าไปก็เกรงอันตราย จะมีแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เลยบอกเขาว่าตรวจค้นได้ เขาบอกว่าเกรงจะเสียมรรยาท
บอกเขาว่าคำว่า มรรยาท ต้องไม่มีในทีนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างตลอดจนคนที่ผ่านเข้ามา ต้องตรวจค้นให้หมด จะกลัวเสียมรรยาทไม่ได้ เพื่อรักษาความปลอดภัย
แล้วคนที่มีน้ำใจ บริสุทธิ์เขาจะต้องเต็มใจให้ตรวจค้น เป็นอันว่าจะนำคนพวกนั้นเข้ามาหมดก็ไม่ได้เพราะมีจำนวนตั้งหลายร้อยคน เขาบอกว่าวันนั้นมา
กันจริง ๆ ประมาณ ๖๐๐ คนเศษ แต่เมื่อได้ข่าวว่าจะมีคนทำร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เขาจึงได้แบ่งครึ่งหนึ่ง
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงให้เขามารอรับเสด็จ
อีกครึ่งหนึ่งถอดเครื่องหมายออก ปะปนไปกับประชาชน ยอมพลีชีพเพื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นี่ การพลีชีพอย่างนั้น
ก็เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเขาเองไม่เคย เห็นเลย เขาบอกว่าแม้แต่นั่งดูไกล ๆ เขายังไม่เคยมีโอกาสดู
มาคราวนี้ได้เห็นใกล้ ๆ พระองค์ทั้งสองได้โอภาปราศรัยด้วย เขาดีใจกัน มาก บอกว่าเขาพร้อมที่จะพลีชีพเพื่อชาติพลีชีพเพื่อพระเจ้าแผ่นดินได้เสมอ
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายกาลเวลาที่จะพูดก็หมดไปแล้ว ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล
จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 22/7/09 at 12:51
(Update 22 ก.ค. 52)
บทที่ ๔
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็คงพบกันในเรื่องราวของพระเมตตาตามปกติ สำหรับเรื่องพระเมตตาตอนนี้ ก็
จะขอเริ่มในระยะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จถึงวัด ความจริงวันนั้นอากาศแสนจะร้อน ประชาชนคับคั่งเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะในวันเสด็จ ประชาชนมาก
วันนั้นประชาชนมีมาบำเพ็ญกุศลกับวัดรวมแล้วถึง ๗ แสนเศษ นี่เป็นพระบารมีปกเกล้าจริง ๆ
ตามปกติแล้วมีรายได้จากคนที่มาทำบุญวันละ ๖ หมื่น ๗ หมื่น วันเสาร์อาทิตย์ต้น ประชาชนมาบำเพ็ญกุศลประมาณแสนเก้าหมื่น บาท
แล้วก็ต่อมาจากวันจันทร์ถึงวันศุกร์ วันละ ๗ หมื่นบ้าง วันละ ๖ หมื่นบ้าง มีอยู่ ๑ วัน ได้ ๔ หมื่นบาทเศษ แล้วคนหรอมแหรม ๆ มหรสพไม่มี มีเด็ก ๆ
กรมศิลปากรมาแสดงโขนบ้าง ละครบ้างตามจังหวะ แต่อากาศก็ร้อนจัด
เรื่องโขนเรื่องละครที่เธอแสดงนี้ ไม่ได้จ่าย สตางค์เลย เธอเต็มใจมาช่วยกันจริง ๆ เอาน้ำพักน้ำแรงมาบำเพ็ญกุศลกันจริง ๆ
ถ้าบรรดาท่านทั้งหลายถามว่าได้บุญไหม ก็ต้องตอบ ว่าได้บุญมหาศาล เพราะสร้างความชื่นบานให้แก่นักบุญที่มาชม ไม่ได้เอาเงินเอาทอง
ถ้ามารับจ้างแสดงก็ไม่ได้บุญแน่ นี่ให้รางวัลเธอ ๆ ก็ไม่ยอมรับให้เป็นเงินเป็นทองไม่ยอมแน่
นอกจากมาช่วยการแสดงแล้วก็ช่วยงานก่อน คือก่อนถึงวันงานช่วยทำงานทุกอย่าง เมื่อ งานเสร็จช่วยเก็บของทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงกลับ
เป็นอันว่าเป็นทั้งคณะโขนและคณะขน(ของ)แสดงโขนด้วย แสดงละครด้วย ช่วยงานก่อสร้างด้วย ช่วยจัดงานด้วยทั้งก่อนงานและหลังงาน
โดยเฉพาะหลังงานนี่เป็นการสำคัญอย่างยิ่ง
ส่วนใหญ่หน้างานจะพอหา คนได้บ้าง แต่หลังงานคนหายหมด ถ้ามีงานนานวัน แต่ว่าพอดีชาวบ้านมีลุงชิต แก้วแดงเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ฝ่ายการหุงข้าว ฝ่ายการ
จัดหามาช่วยกันเลี้ยงดูประชาชน เป็นอันว่าคนทุกคนที่บำเพ็ญกุศลอยู่ที่วัดนี้ ต่างคนต่างเหน็ดเหนื่อย ทั้งเจ้าของถิ่นและคนที่มาจาก
ต่างถิ่นเช่นจากราชบุรีบ้าง จังหวัดอื่นบ้าง แต่จากกรุงเทพ ฯ เป็นส่วนมาก
ช่วยงานกันตั้งแต่ต้นเป็นเวลาแรมเดือนจนกระทั่งสิ้นงาน งานเลิกแล้วช่วยกันขนของเก็บ นี่จัดว่าเป็นความสามัคคีความดีของพวกท่าน
อาตมาจะเว้นการสรรเสริญมิได้ที่เคยบอกกับท่านทั้งหลายว่า อย่าหลงในการสรรเสริญ แต่นี่เขาทำดี สรรเสริญไม่ผิด
องค์สมเด็จพระธรรมสามิตก็ทรงสรรเสริญคนเหมือนกัน คนไหนทำดีพระพุทธเจ้าก็สรรเสริญ ถ้าทำไม่ดีพระพุทธเจ้าก็ไม่สรรเสริญ ไม่ใช่เขาทำดีเราไปติว่าเขาเลว
เขาเลวไปยกย่องว่าเขาดี อันนี้ผิด ไม่ เป็นไปโดยธรรม
ก็เป็นอันว่าวันนั้น วันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาถึง ก่อนหน้าเสด็จถึงแดดร้อนจัดจนทนไม่ไหว อาตมาเหงื่อไหลซิก ๆ จนกระทั่งเขาทนกันไม่ได้
เอาแอร์มาตั้งให้ เขาสงสาร เกรงว่าจะตายเสียก่อนที่งานจะจบ เอาแอร์รับช่วยเป่าให้ก็ ดี ต้องขอขอบคุณท่านผู้จัด คือ คุณเฉิดศรี
สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ภรรยาท่าน พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ กับคุณหญิง เยาวมาลย์ บุนนาค สองท่านร่วมกัน คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาคออกครึ่งหนึ่ง
แล้วก็คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ รวมพรรคพวกออกอีกครึ่งหนึ่ง
อาตมาไม่ รู้ ซื้อมาน่ะ อาตมาไม่รู้ เพราะท่านพวกนี้ทราบดีว่าถ้าปรึกษาอาตมา ๆ คงไม่เอา เพราะเกรงว่าจะเปลืองเงินเปลืองทอง ท่านเลยไม่ปรึกษา
ท่านสร้างด้วยศรัทธาของท่าน ก็ขอให้ความสุขใด ๆ ที่อาตมาจะพึงได้จากความเย็นนั้น ขอผลความดีจงส่งถึงท่านและขอทุก
ท่านจงเห็นธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงรู้แล้วในชาตินี้เถิด
พอถึงเวลาใกล้ที่พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ เหตุอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น คือฟ้าครึ้ม แดดหุบไม่มีแสงแดด อากาศเย็นสบาย เมื่อ
เสด็จมาถึงแล้วปรากฏว่าเสียงฟ้าคำรามใหญ่คล้ายฝนจะตก นี่แสดงถึงบุญญาธิการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และด้วยอำนาจบารมีของพระของพรหม และเทวดา พระ
นี่ไม่ใช่หมายถึงตัวอาตมา แต่หมายถึงพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ท่านคงจะ สงเคราะห์ เพราะเป็นเขตของพระพุทธศาสนา
บรรดาประชากรถ้วนหน้าพากันชื่นบานเพราะความร่มเย็นเป็นสุข ร่มแดด ร่างกายก็เย็น ใจก็เป็นสุขจึงเรียกว่า ร่มเย็นเป็นสุข อาตมาก็ไปยังพลับพลาที่ประทับ
เขาจัดให้นั่งคู่กับเจ้าอาวาสเข้าไปถึงก็นมัสการพระเถรานุเถระ ผู้ใหญ่ มี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดสามพระยาเป็นประธาน
ทุกท่านก็มีความเมตตาเป็นอย่างดี ความจริงทุกท่านมีเมตตาอยู่แล้ว เมตตามาตั้งแต่ต้น พระทุกองค์ก็มีเมตตาทั้งหมด
เพราะว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จบรมสุคต ท่านเมตตาจริง ๆ
แม้แต่ท่านเจ้าคณะ จังหวัด ที่ข่าวเขาบอกว่าท่านเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอาตมา เปล่าเลย ไม่มีไม้เบื่อไม้เมา วันนั้นมีแต่ความชื่นบานหรรษาตั้งแต่ต้นมาแล้ว
ความจริงตั้งแต่ต้นมาน่ะ ท่านเมตตาปรานีมาเสมอ จะว่าคนเข้าใจผิดก็ไม่ได้ คนที่เขาเข้าใจถูกมีเยอะ แต่ว่าข่าวที่ยุให้รำตำให้รั่วนี่ซี
บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่รู้ว่ามาจากไหนเป็นเรื่องธรรมดา อย่าถือสาหาความเลยนะ ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นธรรมดา เราก็แก้ไขอะไร ไม่ได้
ต้องปล่อยให้เป็นไปตามเรื่อง เรื่องมันก็ต้องเป็นไปตามนี้ ที่จะตัดเรื่องน่ะมันไม่ได้
หลังจากที่อาตมาไปนมัสการพระเถรานุเถระผู้ใหญ่แล้ว ก็กลับมานั่งที่ คู่กับท่านเจ้าอาวาส เขาจัดที่นั่งไว้ข้างหน้า คณะองคมนตรี แหม แต่พอมานั่งชักคัน ๆ
ก้น ที่คัน ๆ ก้นน่ะไม่ได้เกลียดคณะองคมนตรี หรือไม่ใช่จะล้อท่าน เพราะคนที่จะเป็น องคมนตรีได้นี่ ต้องมีความดีพอสมควร
คำว่าพอสมควรก็หมายความว่า จะต้องสมควรกับที่จะเป็นองคมนตรีได้ นี่ว่ากันในชาติปัจจุบัน
ถ้าว่ากันไปถึงกฎของกรรมตามหลักพระพุทธศาสนาก็ต้องแสดงว่าท่านที่จะเป็นองคมนตรีได้นั้น ต้องสั่งสมบุญบารมีมามากพอสมควร ที่จะเป็นองคมนตรีได้
อาตมาย่องไปนั่งบังหน้าท่าน ที่คัน ๆ ก้นน่ะไม่ใช่อะไรหรอก เกรงขี้กลากจะกินก้นเข้า เพราะคนขนาดองคมนตรี
นี่ก็ชื่อว่าเป็นที่ปรึกษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
องค์ แปลว่าพระองค์ มนตรีแปลว่าที่ปรึกษา, ที่ปรึกษาของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวนี่ไม่ใช่ต่ำ ๆ เป็นคนที่มีศักดิ์ศรีสูง
เป็นคนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงไว้วางพระราชหฤทัย เป็นผู้กลั่นกรองเรื่อง ทั้งหลายที่จะถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย
หนังสือนั้น ๆ ต้องผ่านท่านเหล่านี้ไปก่อน นั่งไปนั่งมาก้นมันคัน ดุบดิบ ๆ ๆ จะเอามือคลำก็เกรงใจ นึกว่าเฮ๊ะนี่ขี้กลากขึ้นแล้วหรือยังไง
ต่อมาเห็นพัดลมตัวที่เขาไปตั้งมันส่ายไม่ได้ ตัวส่ายได้เขาก็ไม่ เอาไปตั้งให้ มันมีตั้งหลายตัว เขาก็เอาพัดลมตั้งเป่ามาทางอาตมากับท่านเจ้าอาวาส
ก็นั่งนึกว่าเอ๊ นี่มันก็ไม่ถูกไม่ควร ท่านก็ได้ลุกไป ตั้งพัดลมเสียใหม่ให้เป็นส่วนกลาง ๆ ถูกทั้งอาตมาและเจ้าอาวาสและถูกพวกท่านด้วย
เป็นอันว่าทุกท่านดีแสนดี บอกไม่ถูก โอภา ปราศรัย ยิ้มแย้มแจ่มใส ที่โบราณท่านบอกว่าถ้าน้ำเต็มกระบอกแล้วมันเขย่าไม่ดัง ก็เป็นเช่นเดียวกับคณะองคมนตรี
เมื่อท่านมี ตำแหน่งเต็มเสียแล้ว ไอ้การที่จะถือเนื้อถือตัวถือศักดิ์ถือศรี ถือยศถืออย่างก็หมดไป เพราะจะเลื่อนไปไหนมันก็เลื่อนไม่ได้อยู่แล้ว มัน
ยันกำแพงถ้าจะพูดไปอีกที ก็ต้องอาศัยน้ำใจของท่านดีด้วย ถ้าน้ำใจไม่ดีเสียจริง ๆ ชาวโลกอดเบ่งไม่ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา
นั่งอยู่สักครู่หนึ่ง เวลาใกล้เข้ามาแล้ว ประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงแตรสังข์มโหระทึกขับประโคม ได้ยินเสียงแตรเดี่ยวเป่า แสดงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จถึงหน้าวัดแล้ว คนแน่นขนัด คน แน่นเป็นกรณีพิเศษ
เมื่อเสด็จลงผู้ว่าราชการจังหวัดก็ถวายรายางานเบิกตัวข้าราชการเข้าเฝ้า ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๔ นครสวรรค์ถวายรายงาน
หลังจากนั้นพวกมหาดเล็กก็เดินนำหน้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาข้างหน้า พอใกล้จะถึงพลับพลา
ทอดพระเนตรเห็นอาตมา ท่านก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไงนี่เลยยิ้มรับ ผงกศีรษะก้มน้อย ๆ ประเดี๋ยว
หนึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จตามมา องค์นี้ทอดพระเนตรเห็นก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ ซึ่งเป็นพระจริยาปกติของท่านอยู่แล้ว
แสดงน้ำพระทัยเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา ประเดี๋ยวสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ก็เสด็จถึง เวลาสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จมา
ทั้งสองพระหัตถ์เต็มไปด้วยพวงมาลัยทรงอุ้มมาเลย ตอนนี้ซี่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ตอนที่ไปยิ้มกับพระเจ้าแผ่นดิน ยิ้มกับพระราชินี
ยิ้มกับพระบรมโอรสาธิราช ตอนที่นั่งข้างหน้าองคมนตรี ชักคันก้นตะหงิด ๆ จนเกรงขี้กลากจะขึ้นก้น ตรงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระโอษฐ์
พอไปยิ้มกับท่านตอนนี้ไม่คันก้นแล้ว ชักคันศีรษะ นึกสงสัยว่าขี้กลากขึ้นหัวหรือเปล่านี่
แต่โดยปกติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทรงมีพระมหา กรุณาธิคุณต่อคนทุกชั้น
ที่ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ก็โดยที่ทรงมีพระเมตตาอันเป็นปกตินั่นเอง แต่อาตมาไปยิ้มรับท่านก็ชักสงสัยตัวเอง ว่ามันควรหรือไม่ควร ควรหรือไม่ควรก็ว่าเข้าไปแล้ว
หัวมันคันยิบ ๆ ๆ ๆ นี่มันยังไงนะ สงสัยว่าขี้กลากขึ้นหัวหรือเปล่าจะยกมือขึ้นเกาก็ เกรงใจคนข้างหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านองคมนตรี
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเข้าประทับที่ ๆ เขาจัด ไว้แล้ว ต่อมาเจ้าหน้าที่ก็อาราธนาศีล
สมเด็จพระราชาคณะ คือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ถวายศีล เมื่อพระองค์ทรงศีลแล้ว พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์
ปลัดกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะศิษย์หลวงพ่อปานก็อ่านรายงานกิจการทั้งหมดถวาย เมื่ออ่านจบ มองดูเห็นทั้งสาม พระองค์เตรียม อาตมาก็ลุก เจ้าอาวาสลุก
เดินนำหน้าทั้งสามพระองค์เข้าพระอุโบสถ เขาจัดที่นั่งไว้ อาตมาก็ไปนั่งตามที่คู่กับเจ้า อาวาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จเข้าพระอุโบสถ แล้วสองพระองค์คือ
สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมโอรสาธิราชก็ไปประทับยังที่อันควร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าไปทรงพระสุหร่าย และทรงเจิมลูกนิมิตลูกกลาง
ระหว่างนั้นพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ ยืนอยู่ระหว่างประตูทั้งสองด้านหน้าของโบสถ์ เห็นเขาถ่ายภาพไว้
เมื่อทรงตัดนิมิต พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถา มโหระทึกประโคม ปี่พาทย์บรรเลงเพลง สาธุการ (ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่ทราบ)
หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ๒ พระองค์ก็เข้ามาหาอาตมา อาตมาคิดว่าจะประทับยืนแต่กลับทรง ประทับนั่ง
อาตมาก็นั่งเก้าอี้เสียแล้ว จะยืนก็ไม่ไหวรู้สึกว่ากำลังใจดี กำลังกายมันง่องแง่งเต็มที (ง่องแง่งเพราะมันหลายวันหลายคืน มาแล้ว)
พระองค์ตรัสด้วยหลายประการ จะไม่นำมากล่าวในที่นี้ นอกจากจะสรุปว่าเป็นเรื่องธรรมะทั้งหมด เวลานี้พระองค์ทรงสนพระทัยในธรรมะปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
จนแม้กระทั่งอาตมาเองก็ชักกลัว ๆ นี่ถ้าพระองค์ท่านทรงได้ยินคำพูดแบบนี้ ก็คงจะมีพระราชดำริ ว่าอาตมาเชียร์อีกแล้ว อาตมาชมพระองค์ทีไร
ก็รับสั่งกับคนอื่นมาว่า เชียร์ อาตมาชอบเชียร์นัก เชียร์ว่ายังงั้น เชียร์ว่ายังงี้ แต่ความจริง ถ้าจะพูดว่าเชียร์ ก็ต้องยอมรับว่าเชียร์
เพราะเชียร์ตามความเป็นจริงนี่ไม่ผิดพระธรรมวินัย
คือ พูดตามความเป็นจริงทุกอย่าง ไม่มีอะไร จะผิด พระองค์จะตรัสว่าเชียร์ก็เชียร์จะตรัสว่าชมก็ยอมรับว่าชม จะว่าสรรเสริญก็ยอมรับว่าสรรเสริญ
แต่อาตมาถือว่าพูดตามความ เป็นจริง ไม่ใช่เชียร์ ไม่ใช่ชม ไม่ใช่สรรเสริญ เมื่อว่ากันตามจริง ๆ แล้วจะว่าเชียร์ หรือว่าสรรเสริญ หรือว่าชมก็แล้วแต่
เป็นอันว่า พระองค์สนพระทัยในธรรมะเป็นกรณีพิเศษ (แล้วจะคุยให้ฟังตอนหลัง
เรื่องของที่อื่นไม่ใช่เรื่องของที่วัดนี้)
ตอนหนึ่งอาตมาถวายพระพรว่า จตุปัจจัยที่พระองค์ถวายมา เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน คือท่าน พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ พล.อ.ท.
ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ คุณหญิงสุวรรณภา สังขดุลย์ คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ เข้าไปเฝ้าในพระราชวังสวนจิตร ฯ พระองค์ท่านก็ ทรงมอบเงินมา ๑๐,๐๐๐ บาท
รับสั่งว่าช่วยค่าเทปหลวงพ่อที่บันทึกเสียงส่งไปให้ แต่ความจริงเทปที่ส่งไปถวายไม่ถึง ๑๐,๐๐๐ บาท
จึงได้ถวายพระพรให้พระองค์ทรงทราบว่าจตุปัจจัยที่ถวายมา ๑๐,๐๐๐ บาทนั้น อาตมาจะไม่นำมาร่วมในการก่อสร้าง
เพราะตั้งจะซื้อเครื่องมาถ่ายทอดบันทึกเสียง เนื่องด้วยมีคนต้องการเทปที่บันทึกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีวัดหลายวัดมาขอรับ เรื่องวินัยกับจรณะ ๑๓ [๑๕]
แต่บังเอิญเครื่องถ่ายทอดไม่มี มีธรรมดา ๆ ก็ทำไม่ไหว เครื่องนี้ความจริงบรรดาศิษย์เขาตั้งใจจะซื้อถวาย มีราคาประมาณ ๑ แสนบาท
จึงถวายพระพรให้ทรงทราบว่าถ้าเขาจะซื้อ ก็จะเอาเงินจำนวนนี้ร่วมไปด้วย พระองค์จะได้ทรงทราบไม่ใช่จะไปอวดพระองค์
เงินทุกบาทที่พระองค์ถวายมาได้ใช้ไปในการก่อสร้าง สำหรับคราวนี้ประเดี๋ยวพระองค์จะเข้าพระทัยว่าจะเอาไปก่อสร้าง จะทรงโมทนา ไปในด้านนั้น
พระองค์จึงตรัสว่า สำหรับเทปที่หลวงพ่อบันทึกนั้นมีค่ามหาศาล แล้วสมเด็จพระบรมราชินีนาถก็ทรงมีพระประสงค์จะได้ ฟังพระสูตร พระองค์รับสั่งอีกว่า
ทีแรกกระผมเองก็ต้องการฟังปรมัตถ์ แต่ทีหลังเมื่อได้ฟังพระสูตรก็รู้สึกว่าเป็นที่พอพระทัย และทรงเห็น ว่ามีประโยชน์มาก เพราะพระสูตรบางตอนก็เป็นธรรมะ
พระสูตรทุกสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัส ก็ตรัสให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง คนที่เขาฟัง พระสูตรสำเร็จเป็นพระอรหันต์นับไม่ถ้วนแล้ว
ที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงตรัส ไม่ว่าจุดไหนเป็นประโยชน์ทั้งนั้น นี่สำหรับท่านที่ เห็นว่าพระสูตรไม่สำคัญ ก็คงใจเข้าใจพระสูตรน้อยไป
แล้ว ตอนท้ายพระองค์ก็ทรงสรุปว่า เครื่องที่หลวงพ่อต้องการ จะซื้อถวายครับ หลังจากนั้นก็ตรัสว่าอันนี้ผมถวายเองนะครับ
ไม่ใช่หลวงพ่อขอผม นี่เป็นอันว่าที่ทรงตรัสอย่างนั้น ก็เพราะท่านห้ามไว้ว่า ถ้าไม่ใช่คนที่ เป็นญาติ และไม่ได้ปวารณา ถ้าไปขอ
ของนั้นจะเป็นนิสสัคคิยปาจิตตี ตัวเองมีโทษทางวินัย นี่เป็นอันว่าทรงมีความเข้าใจ ทั้งธรรมะ ทั้งวินัย
ทั้งกฎหมายบ้านเมืองอะไรต่ออะไรของท่านจิปาถะบอกไม่ถูก
ท่านเข้าใจของท่านจริง ๆ ด้านธรรมะปฏิบัติน่ะ ขอประทานอภัย อย่าไปเบ่งกับท่านเข้านะ อาตมาเคยไปพบท่านมาแล้ว ๕ วาระ ท่านถามไปถามมา
ถ้าเผลอเมื่อไรอยู่เมื่อนั้น เพราะลีลาที่ทรงถามเป็น ลีลาที่ปฏิบัติได้ (นี่เดี๋ยวหาว่า เชียร์อีกหรอก เอ้าเชียร์ก็เชียร์ ความจริงไม่ได้เชียร์
พูดตามความเป็นจริง) เป็นอันว่าลีลาในการวินิจฉัย ธรรมเกิดจากพระปัญญาของพระองค์หลักแหลมมาก ละเอียดลออมาก สำหรับท่านที่คิดว่าเป็นปราชญ์ระวัง ๆ
ไว้หน่อยระวังไว้ให้ดีจะ บอกไว้ให้ทราบ
นอกจากทูลรายงานเรื่องการสร้างวัดแล้ว พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ยังได้กราบบังคมทูลว่า เพื่อประโยชน์สาธารณะจึง ได้สร้างโรงพยาบาลกันขึ้นอีก
มีทั้งแพทย์และพยาบาลมาทำงานอยู่แล้วรวมทั้งเครื่องอุปกรณ์ พระองค์ตรัสถามว่าถวายเป็นของสมเด็จ พระยุพราชใช่ไหม ก็กราบบังคมทูลว่าเป็นของสมเด็จพระยุพราช
จึงได้ตรัสถามว่าเป็นหลังแรกใช่ไหม จึงได้ถวายพระพรไปว่าจะเป็น หลังแรกหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่คิดว่าที่อื่นเขาคงยังไม่ได้สร้างกัน
หลังนี้สร้างเสร็จแล้วมีหมอแล้ว พระองค์ก็ทรงพระสรวลน้อย ๆ อาตมา
ก็เลยถวายพระพรต่อไปว่า ถ้าถึงกาลเวลาที่จะเปิดโรงพยาบาลก็อยากจะขอทูลเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมาทรงเปิด พระองค์ก็
ตรัสว่าก็บอกเขาซีเขานั่งอยู่ที่นี่ อาตมาหันไปทางสมเด็จบรม ฯ ก็ตรัสว่า ถ้าหลวงพ่อจะเปิดเมื่อไรก็ส่งข่าวนะครับ
หลังจากนั้น ก็ได้ ถวายพระพรไปอีกว่า ในที่นั้นได้สร้างรูปอนุสรณ์ไว้รูปหนึ่ง ท่านทรงถามว่ารูปใคร ถวายพระพรว่ารูปท่านทองดี พระพินิจอักษร มีคน
เขาถามว่าปั้นเอาไว้ทำไมรูปท่านทองดีหรือพระพินิจอักษร ได้ตอบกับประชาชนที่เขาถามไปว่าที่ปั้นแบบนี้น่ะ เราปั้นพ่อจักรีเข้าไว้ คือ
ท่านเป็นพระราชบิดาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ถ้าเราจะปั้นพระรูปพระเจ้าแผ่นดินไว้ทุกพระองค์ก็คง ต้องปั้นต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะฉะนั้นก็ปั้นเสียรูปเดียว คือพ่อจักรี ได้แก่พระพินิจอักษร เราไหว้องค์เดียวก็ถึงหมด พระองค์ก็แย้มพระ โอษฐ์
เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาสมควรแล้วจึงได้ถวายพระพรว่าอีกสักครู่หนึ่งอาตมาจะไปคอยรับเสด็จที่ศาลาเรียงด้านทิศเหนือที่พระนั่งอยู่ นั่น พระองค์ก็ตรัสว่า
ความจริงเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาจะสนทนากันนะครับ อาตมาจึงได้นำเสด็จออกจากพระอุโบสถ พระองค์ทรงเลี้ยว
ขวาไปทางศาลที่ประทับเพราะมีผู้ถวายเงินสมทบการบำเพ็ญพระราชกุศล อาตมาเลี้ยวซ้ายไปศาลาเรียง นั่งอยู่กับพระ
ความจริง ข่าวการเสด็จมานี่ เขาลือกันหลังงานบอกว่าอาตมานี่น่ะหน่วงเหนี่ยวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ จึง
ทำให้เสด็จกลับออกไปช้า เป็นเรื่องแปลก คนที่เอาไปลือเขาคงคิดว่าอาตมานี่ใหญ่โตกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านจะต้องอยู่ ใต้อำนาจของอาตมา
อาตมาจะสั่งอะไรจะต้องทรงทำตามทุกอย่าง เขาคงคิดอย่างนั้น
แต่ความจริงตามสามัญสำนึกก็ควรจะนึกได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นบุคคลที่เราไม่ควรเข้าไปยุ่งกับท่าน พระราชภารกิจใด ๆ
ที่พระองค์ทรงมีพระเมตตา ท่านจะทรง ทำยังไงก็ควรจะให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย จะไปตั้งกฎตั้งเกณฑ์ตั้งกำหนดเวลาให้ท่านนี่แม้อาตมาเองก็ไม่ยอม จะไปไหน
จะทำอะไร ถ้าใครบังคับกำหนดเวลาตามใจเขา อันนี้ขอบอกไว้ก่อน ว่าไม่ยอมปฏิบัติตามจริง ๆ ถ้าไม่เห็นสมควร ด้วยไปเขียนหมายกำหนดการเข้าก่อน มีหวังไม่ทำตาม
เพราะอะไร เพราะไม่ใช่ทาสนี่ จะมานั่งบังคับกันยังงั้นไม่ได้
สำหรับเรื่องพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่นี่ก็เช่นเดียวกัน เขาหาว่าอาตมาหน่วงเหนี่ยว คิดหรือว่าตาเถรอย่างอาตมานี่หน่วงเหนี่ยวแล้วพระองค์จะทรงเชื่อ ?
ดึงพระองค์ ไว้ว่าอย่าเพิ่งเสด็จไปเลย อย่างนี้ท่านทั้งหลายลองคิดว่า ทำได้ไหม ? ถ้าทำได้ก็เก่งเกินไปละ เอาละ บรรดาญาติโยมทั้งหลาย มองดู
เวลาก็จะเกินไปก็ขอลาก่อนสำหรับวันนี้
ขอความสุขสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 29/7/09 at 11:40
(Update 29 ก.ค. 52)
บทที่ ๕
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็คงพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่องราวของ พระเมตตา ต่อไป
สำหรับวันนี้ ก็จะขอพักเรื่องราวที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จไปรับเงินโดยเสด็จพระราชกุศลเสียก่อน มาปรารภเรื่องข่าวกันเสียหน่อย
เพราะว่าในตอนที่แล้ว ๆ มาก็ปรารภเรื่องข่าว บางทีท่านพุทธบริษัทหรือท่านผู้ฟังอาจจะคิดว่า ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ดี สำนักพระราชวังก็ดี
หรือคนทั้งหลายอื่นก็ดี กลายจะเป็นผู้ผิดไป คือกลายจะเป็นบุคคลผู้คิดประทุษร้ายอาตมาไป หรืออาจจะเห็นว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นกลั่นแกล้งอาตมา
เพื่อเป็นการเปลื้องความสงสัยในเรื่องนี้ ก็จะขอย้อนกลับมาสักนิดหนึ่งเพื่อความเข้าใจ ตามพระบาลีกล่าวว่า นัตถิ โลเก
อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก อันนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องถือเป็นคติประจำใจ ไม่ว่าใครทั้งนั้นในโลกต้องถูกนินทา
ที่นี้การนินทาว่ากล่าว การกลั่นแกล้ง การส่งข่าวที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
เรามาดูความมุ่งหมายกันว่าเขาต้องการอะไร เช่นข่าวที่บอก ว่า ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ
มีคนมาบอกอาตมาบอกว่ามีข้าศึกจะใช้ปืนไร้แรงสะท้อนตั้งสามจุด ไม่ใช่จุดเดียวกัน พอพระองค์เสด็จมาถึงวัด กำลังทรงประกอบพิธีหรือกำลังทรงเยี่ยมประชาชน
ก็จะยิงจากทั้งสามจุดมาลงที่หมายเดียวกัน คือที่วัดจะเป็นการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ เพราะท่านผู้ยิงจะได้รับเงินรางวัลเป็นร้อยล้านหรือพันล้าน
ข่าวที่สอง เขาแจ้งมาบอกว่าถ้าหากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ หรืออาจจะมีสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราชติดตามมา ในระหว่างงาน
จะมีบุคคลเสียสละชีวิตเพื่อประโยชน์ของใครก็ไม่ทราบ เข้าประชิดพระวรกายของทั้งสามพระองค แล้วจัดการปลงพระชนม์โดยตัวเองก็พร้อมที่จะตาย
เป็นอันว่าข่าวนี้ก็กระพือไป มีบรรดาประชาชนทั้งหลายทราบเป็นส่วนมาก แล้วก็พากันหวาดหวั่นพรั่นพรึง แต่ว่าข่าวนี้และข่าวที่แล้วมา
ก็เป็นข่าวที่น่าคิด มีบรรดาประชาชนมากท่าน เมื่อได้ทราบข่าวนี้แล้วก็มาบอกอาตมาว่า
"คณะขอผมจะยอมเสี่ยงชีวิต ยอมตายแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่นเดียวกับพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต
เขาเหล่านั้นบอกว่าพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต ที่ตรัสมาก่อนจะสิ้นชีพตักษัย ว่าหญิงจะยอมตายเพื่อสะเดาะพระเคราะห์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปในปวงชนชาวไทย ส่วนมากที่ได้รับทราบ ทุกคนเห็นน้ำพระทัยของพระองค์ เมื่อคนทั้งหลายเหล่านี้ฟังข่าวว่า
มีคนจะเข้าประชิดติดพระวรกายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เขาเหล่านั้นพร้อมที่จะพลีชีพเพื่อจะให้พระองค์ทรงสร้างชาติ ศาสนา และประชาชนชาวไทยให้เป็นสุขต่อไป เพราะถือว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ มีฐานะคล้ายบิดามารดาของเขา บอกว่าถ้าสภาวะนั้นปรากฏจริง ๆ เขาจะยอมตายหมายความว่าถ้าข้าศึกจะทำอย่างนั้น
เขาเป็นผู้มีมือเปล่า พร้อมที่จะพลีชีพเข้าสู้กับข้าศึก นี่เขามาเล่าสู่กันฟัง แล้วเขาก็ทำจริง ๆ แล้วต่อมา ก็มีข่าวอีกว่ามีคนเขาจ้างให้ลอบสังหารอาตมา
ดังที่กล่าวมาแล้ว
นี่เป็นข่าวที่สะพัดมาก่อนหน้างานและระหว่างงาน จนกระทั่งในวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ คือในวันที่ ๒๔
เมษายน ๒๕๒๐ ก็มีข่าวว่าวันนี้เขาจะลงมือสังหารแน่ ข่าวนี้มันสะพัดมายังไง ก็มาทราบเอาจุดตอนท้ายว่าความมุ่งหมายเป็น ยังไงนั่นก็คือในระหว่างงาน
นับตั้งแต่วันเริ่มต้นของงานจนกระทั่งวันสุดท้าย มีคนมาส่งข่าวตลอดกาล
เพราะว่าเขาต้องขึ้นรถมาจาก กรุงเทพฯ บ้าง มาจากต่างจังหวัดบ้าง รถบางคันก็ผ่านหน้าวัด บางคันก็ไม่ผ่านหน้าวัด จะเป็นรถที่ผ่านหน้าวัดก็ดี
ไม่ผ่านหน้าวัดก็ดี ขึ้นรถใหญ่บ้าง ต่อรถสองแถวบ้าง บางท่านก็มาถึงตลาดในจังหวัดอุทัยธานี เข้าไปรับทานอาหารในตลาดก่อนบ้าง
ในระหว่างที่นั่งมาในรถก็ดี นั่งรับทานอาหารก็ดี หลายสิบท่านมีมาแจ้งข่าวทุกวันว่าพอนั่งลงแล้ว ไม่ว่าจะนั่งในรถหรือนั่งรับทานอาหาร
ก็มีคนมาบอกว่า อย่าไปเลยที่วัดท่าซุง งานเขาไม่มีหรอกเพราะว่าพระมหาวีระหนีสึกไปแล้ว สึกแล้วก็หนีไปแล้ว
เพราะว่าได้เงินมาก เวลานี้ไม่มีตัวอยู่
ที่วัด ในเมื่อเขาทั้งหลายเหล่านั้นมาถึงวัดเห็นอาตมานั่งรับแขกอยู่ เขาก็เล่าให้ฟัง มีท่านหนึ่งลงจากรถ เป็นรถเล็กไม่ทราบว่าเป็นรถ
ประจำจังหวัดนี้หรือจังหวัดไหน ประเภทรถ ๒ แถว เพราะลงจากรถก็พบอาตมาพอดี เขาก็บอกว่า เมื่อกี้นี้ผมนั่งมาในรถกับพวก ประมาณ ๑๐ คน แล้วก็มีคนในรถ
แต่ไม่ได้แจ้งว่าเป็นเจ้าของรถหรือว่าคนโดยสาร ถามว่าจะไปไหนกัน เขาก็ตอบว่าจะมางานฝังลูกนิมิตวัดท่าซุง
คนนั้นเขาบอกว่าอย่าไปเลย ที่วัดท่าซุงเขาไม่มีงาน เพราะว่ามหาวีระได้รับเงินมา จึงสึกและพาเงินหนีไปแล้ว
เวลานี้ ไม่มีตัวตนอยู่ในวัด แต่เขาก็นั่งรถมาถึงหน้าวัด พอดีอาตมาออกไปเพื่อจะรับแขก เขาก็ชี้ให้คนที่บอกทราบว่า นั่นไงหลวงพ่อกำลังเดินออกมา
คุณว่าหลวงพ่อสึกหนีไปแล้ว เอาข่าวมาจากไหน คนที่บอกเขาก็เฉย
นี่เป็นอันจับใจความได้ว่าข่าวที่ส่งมานั้นมีความมุ่งหมายอะไร นับตั้งแต่ข่าวต้นถึงข่าวสุดท้าย เป็นอันว่าความมุ่ง หมายมีอย่างเดียว
คือทำให้คนมีใจหวาดหวั่น จะได้ไม่มาที่วัด อันนี้เพื่อประโยชน์อะไรไม่ทราบ เป็นการทำลายกุศลศรัทธาของบรรดา ท่านพุทธบริษัท
ความจริงข่าวประเภทนี้มันมีมาก่อนแล้วนับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ วันที่ ๑๐ สิงหาคมของปีนั้น
ในขณะที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จมา ในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ
และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ กำลังประทับอยู่ในพระอุโบสถหลังใหม่ ก็พอดีมีพระทั้งหลายรับเสด็จ มีข้าราชการมากมายด้วยกัน
ก็มีข่าวลือว่าโคมไฟดวงใหญ่ราคาเป็นแสนหล่นมาจากเพดานต้องพระวรกายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงกับประชวรหนัก หมอต้องแก้ไขอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมง
นี่ความจริงถ้าเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นมันก็เป็นของไม่ยากที่จะพึงรู้กันได้ไม่ต้องมีการส่ง ข่าวออกไป
เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นเรื่องใหญ่ การที่ประชวรจนหมอต้องแก้ไขตั้งสอง ชั่วโมงนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย
ทั้ง ๆ ที่คนจำนวนหมื่นก็ทราบดีว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแต่ก็มีข่าวขึ้นมาจนได้ อาศัยที่มีข่าว
อย่างนี้มาก่อนอาตมาก็เชื่อในคำสอนขององค์สมเด็จพระชินวร คือพระพุทธเจ้าว่า จงอย่าถือมงคลตื่นข่าว
เรื่องข่าวนี้เป็นเหตุยุให้รำตำให้รั่ว ยุให้รำหมายความว่า ถ้าเขายุให้เราตีกัน โกรธกัน เราก็รำทวนเข้าหากันประหัตประหารกันเอง โดยฝ่ายข้าศึก
คือบุคคลผู้กลั่น แกล้ง ไม่ต้องเสียกำลังแรงงาน ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิต คอยยุให้เราพิฆาตชีวิตซึ่งกันและกัน เป็นศัตรูซึ่งกันและกัน มันก็ของไม่ดี
อะไรนี่ถ้าเราเชื่อเขายุ เราก็ต้องรำ ทีนี้ข่าวที่ตำให้รั่ว ก็หมายความว่ายุแยงตะแคงแสะให้อาตมากับข้าราชการแตกกัน
ในเมื่อเขาบอก ว่า ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ก็ไม่รู้จะเอาใครแน่ เขาไม่จำกัดตัวลงมา จ้างคนให้ฆ่าอาตมา
ความจริงข่าวเรื่องนี้ ถ้าจะปล่อยกันไปหรือไม่ นำมาคิดเลยก็รู้สึกว่าไม่หนัก คิดว่าข่าวนี้มันเป็นข่าวโคมลอย
หรือว่าข่าวโดเมอึคือหาความจริงความจังไม่ได้แล้วก็ปล่อยกันไป มันก็ เป็นเรื่องเล็กถ้าไม่คิด ถ้าคิดต่อไปอีกสักนิดว่าคนที่มีความหวังดีกับอาตมาน่ะมีกี่คน
ความจริง ถ้าจะนับกันตามจังหวัด มีทุกจังหวัด ที่ว่ามีทุกจังหวัดนี้ จะเห็นได้จากว่าเงินที่ส่งมาช่วยสร้างวัดนี้มีมาจากทุกจังหวัด
บางท่านไม่สามารถจะมาได้ด้วยตนเอง อย่างจังหวัด กระบี่เป็นต้น หรือจังหวัดระนอง ตัวมาเองได้ก็มี ที่มาไม่ได้ก็ส่งเงินมาทางธนาณัติ
อาตมาก็ไม่ได้ปิดไม่ได้บัง ให้เจ้าหน้าที่ลงบัญชีไว้ เป็นอันว่าทุกจังหวัดตั้งแต่เหนือถึงใต้มาเองบ้าง ส่งเงินมาบ้าง จากเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน
จังหวัดตราด จังหวัดสกลนครอะไร พวกนี้ เยอะแยะ ตลอดสายส่งมาเป็นจดหมายทุกเดือน
อาตมาก็ไม่ได้ปิดบัง ส่งเช็คไปรษณีย์และธนาณัติให้เจ้าหน้าที่บันทึกไว้ว่า คน นี้เขาส่งเงินมาจากจังหวัดไหน แล้วก็ทำบุญเท่าไร ให้ลงบัญชีของวัด
นี่เป็นอันว่าบรรดาคณะท่านพุทธบริษัทที่มีความหวังดีต่ออาตมา หรือมีศรัทธาในพระพุทธศาสนามีมากท่าน แล้วข่าวนี้เขายุว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จ้างคนฆ่าอาตมา
ข่าวนี้ก็ฉลาดพอ ไม่บอกว่าเป็น ข้าราชการชั้นไหน ไม่บอกว่าเป็นใคร ไม่บอกว่าเป็นข้าราชการตำรวจทหารพลเรือน ไม่บอกด้วย
ทีนี้ ถ้าข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป คนที่มีความดีกับอาตมาเขาจะมีความรู้สึกยังไงบางท่านที่ขาดการยั้งคิดหรือคิดน้อย ไป เพราะความจงรักภักดีก็จะพากันโกรธ
พากันเกลียดข้าราชการ เป็นอันว่าข้าราชการทั้งหมดต้องเป็นศัตรูกับคณะศิษยานุศิษย์ หรือ คนที่เขายอมรับนับถืออาตมา
ท่านทั้งหลายฟังแล้วก็จงคิดต่อไปว่าไม้ขีดก้านเดียวสามารถจะเผาเมืองได้ทั้งเมือง เพราะต้นเพลิงมันมี จุดเดียวเท่านั้น คือแค่ไม้ขีดอันเดียว
นี่ข่าวนี้ก็เหมือนกันเขาปล่อยเก่ง บอกว่า ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จ้างคนฆ่าอาตมา เป็นอันว่าก็เลยไม่ทราบว่าข้าราชการคนนั้นเป็นใคร แล้วคราวนี้มีอะไรล่ะ
การประกาศเป็นศัตรูซึ่งกันและกันมันก็เกิดขึ้น เป็นเหตุให้บรรดาประชากร ทั้งหลายที่มีความหวังดีกับอาตมาเกลียดข้าราชการ
ทีนี้ การเกลียดชังข้าราชการมันก็ไม่ใช่ของเล็ก คนทุกคนก็มีพวก ดีไม่ดีก็ไปก่อเหตุบาดหมางซึ่งกันและกัน หวัง ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน
คนหนึ่งคนก็มีพ่อมีแม่มีพี่มีน้อง มีพวกมีพ้องมีเพื่อน การแตกสามัคคีมันก็จะกว้างขวางออกไป เป็นอันว่า
ประเทศไทยทั้งประเทศอาจจะเป็นเหตุแตกความสามัคคีกันทั่วประเทศก็ได้ น้ำผึ้งหยดเดียว เป็นเหตุให้เกิดสงครามได้ฉันใด
ไม้ขีดก้านเดียวเป็นเหตุให้เผาผลาญเมืองทั้งเมืองได้
ฉันนั้น ข่าว ๆ เดียวที่เขาบอกว่าเป็น ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นี่เขาเก่งมากยุให้รำตำให้รั่ว
ทีนี้ ยุแล้วก็รำ เชื่อคำยุจะเห็นว่าข้าราชการทุกคนไม่ดีจริง ๆ เอาละ ประชาชนคิดอย่างนั้นก็ก่อตัวเป็นปฏิปักษ์กับข้าราชการ ทีนี้พวก
ข้าราชการก็จะคิดว่าเจ้าพวกนี้ประกาศเป็นศัตรูกับเรา ไม่ได้มาเป็นปฏิปักษ์กัน ต้องต่อสู้กัน เป็นอันว่าการก่อการวิวาทแตกความ
สามัคคีจะขยายวงกว้างไปทีละน้อย ๆ ในที่สุด คนทั้งประเทศก็แตกความสามัคคีกัน ผลดีจะเกิดกับใคร ? นั่นก็คือ ข้าศึก ทีนี้ข้าศึกพวกนี้เป็นใคร
ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ฉะนั้นที่องค์สมเด็จพระภควันต์กล่าวว่า จงอย่าถือมงคลตื่นข่าว อาตมาเชื่อ จึงเฉยเสีย เขาจะส่งข่าวยังไงก็รู้สึกเฉย ในระหว่างที่มีงานก็ดี
ในวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จมาก็ดี เห็นหน้าข้าราชการทุกคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใสมีหน้าตาสดชื่น
ไม่มีใครแสดงออก หรือประกาศการเป็นศัตรูกับอาตมาไม่มีเลย ตลอดจนกระทั่งท่านแม่ทัพภาค ๓ เห็นท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็คณะองคมนตรี มีเจ้าคุณศรีเสนาเป็นหัวหน้า เห็นอาตมายืนอยู่ ณ ที่ไกล ท่านก็ลุกจากที่นั่งของท่านที่เขาจัดไว้ให้
เดินมาหาอาตมา
ท่านก็โอภาปราศรัยดีแสดงความเมตตาปรานีข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการพลเรือนทุกท่าน ต่างคนท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
นี่เป็นอันว่าบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย การฟังข่าว นั้น ฟังแล้วก็วางไว้ อย่าถือว่าอะไรเป็นสาระสำคัญ เพราะเรื่องราวที่เราจะสอบสวนได้เองมีอยู่
ฟังแล้วก็ใช้เหตุผลเป็นสำคัญ ไม่ใช่พอรับข่าวแล้วก็โกรธคนนั้น ด่าคนนี้ ว่าคนโน้น คิดประทุษร้ายคนนั้น
อันนี้ไม่ถูก มันเป็นการทำลายความสุขของเรา เป็นการทำลายความ สามัคคี ถ้าจิตใจของบรรดาพวกเราทั้งหมดปรากฏว่าเป็นอย่างนี้ ไม่ช้าประเทศชาติเราก็สลาย
เป็นอันว่าข่าวทั้งหลายทั้งหมดขอได้ โปรดทราบว่าผลที่มันจะพึงเกิดขึ้นก็คือหวังร้ายต่อพวกเรา
ทีนี้มาอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องหมายกำหนดการที่พูดมาแล้ว บางทีท่านทั้งหลายจะคิดว่าอาตมาพูดเลอะเทอะไป ที่บอกว่าถ้าใครเขาเขียนกำหนดการให้อาตมา
โดยที่อาตมาไม่เห็นชอบนั้น อาตมาไม่ยอมปฏิบัติอันนี้เป็นความจริง เคยมีงานหลายจุด ที่เขาสั่งให้ทำ เขาไม่ได้แจ้งมาก่อน อาตมาไม่ยอมปฏิบัติตาม
แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า
อาตมามีอำนาจไปยุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าไม่ต้องปฏิบัติตามหมายกำหนดการ อาตมาไม่มีอำนาจทำอย่างนั้น
เป็นแต่เพียงคนเขามาบอกว่าอาตมาน่ะหน่วงเหนี่ยว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ท่านจะต้องไปพระราชทานธงลูกเสือชาวบ้าน อาตมาแกล้งหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้
คือคนพูดนี่เขา อาจจะคิดว่า อาตมานี่มีความเป็นใหญ่เป็นโตกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แต่ความจริงพระองค์จะเสด็จไปช้าหรือเร็ว นั่นเป็นเรื่องของพระองค์ การสั่งสนทนาย่อมเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ใช้เวลาไม่มาก
อย่างในพระอุโบสถก็เวลาเพียง ๑๐ นาทีเศษ ๆ แล้วต่อไปก็ เสด็จไปทรงรับเงินโดยเสด็จโดยพระราชกุศล ต่อมาที่ศาลาเรียงด้านเหนือพระอุโบสถ
พระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับพระทุกท่าน แล้วก็เสด็จมาที่อาตมา ด้วยชาวบ้านเขาทำมีดหมอมา เพื่อขอพระราชทานพระกรุณาให้ทรงพระสุหร่ายแล้ว
อธิบดีกรมอนามัยก็จะขอพระราชทานให้ถวายพัดกับอาตมาเป็นที่ระลึก ที่ได้สร้างโรงพยาบาล ซึ่งได้สร้างเสร็จไปแล้ว มีหมออยู่แล้ว
เมื่อถวายเสร็จก็ทรงปราศรัยอยู่ตามสมควรใช้เวลาไม่มาก หลังจากนั้นก็เสด็จไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎร การเยี่ยมเยียนราษฏรในวันนี้ทำให้บรรดาประชากร
มีความสดชื่นมาก สดชื่นเป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะทั้งสามพระองค์ทรงแสดงให้เห็นชัดว่าบรรดาพุทธบริษัทที่เป็นประชากรทั้งหลาย
เขามีความประสงค์ดีต่อพระองค์ ปรารถนาจะร่วมบุญร่วมกุศลด้วย