"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1 (ตอนที่ 1)
webmaster - 5/7/08 at 00:00

» ตอนที่ 2 » ตอนที่ 3 » ตอนที่ 4 » ตอนที่ 5 » ตอนที่ 6 » ตอนที่ 7 »




สารบัญ

01.
พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เล่ม 1
02. พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เล่ม 5
03. พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร
04. พระครูสังฆรักษ์ สุรจิต สุรจิตโต
05. พระปลัดวิรัช โอภาโส
06. พระอาจินต์ ธัมมจิตโต
07. พระชัยวัฒน์ อชิโต เล่ม 5
08. พระชัยวัฒน์ อชิโต หนังสือหลวงพ่อมรณภาพ
09. พระชัยวัฒน์ อชิโต เล่ม 1
10. ศาสตราจารย์ ดร. ปริญญา นุตาลัย



สงสารหลวงพ่อ



โดย... พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ
จาก...หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1



เมื่อฉันเห็นหลวงพ่อป่วยหนักทีไร ฉันนั้นเศร้าใจทุกที มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘ หลังฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง ๑ วัน ตอนเช้า ฉันเดินไปตึกกลางน้ำ ฉันเห็นหลวงพ่อนั่งอยู่และท้องบวมใหญ่ เข้าไปกราบและถามท่าน ท่านบอกว่าปัสสาวะไม่ออกมา ๒ วันแล้ว ฉันตกใจมากและกราบเรียนถามท่านว่าหลวงพ่อปวดท้องมากไหมครับ ท่านบอกว่าปวด

ฉันสงสารท่านจับใจ น้ำตานั้นไหลออกมาไม่รู้ตัวเลย เมื่อท่านเห็นฉันเสียใจ ท่านบอกว่า คุณไปตามหมอมาซิ ฉันรีบโทรศัพท์มากรุงเทพฯ เชิญหมอประสิทธิ์ ฟูตระกูลมา คุณหมอท่านก็ดีเหลือเกินมาถึงวัดประมาณเที่ยงกว่าๆ หมอบอกว่าต่อมลูกหมากเบียดกระเพาะปัสสาวะ เมื่อสวนแล้ว ปัสสาวะออกประมาณ ๒,๐๐๐ ซีซี

ตอนหลังหลวงพ่อท่านบอกว่ามารจะมาริดรอนความดีของพวกที่ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าท่านไม่สอนพวกญาติโยมก็ไม่มา เพราะเป็นบุญใหญ่มาก ขณะที่เขียนต้นฉบับนี้อยู่ เป็นวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ ตอนบ่าย ๓ โมงครึ่ง วันนี้ก็ล้างท้องท่านอีก ก่อนท่านล้างท้องก็อาเจียนอีก ๑ กระโถน การอาเจียนเสียแรงมาก และอาเจียนทุกวันอย่างนี้ วันนี้ก็ล้างท้อง ๒ ครั้ง ฉันยาถ่ายอีก ๑๒๐ เม็ด(เราปกติฉันแค่ ๕ เม็ดเท่านั้น) และยังฉันยาน้ำที่เป็นยาถ่ายอีกขนานหนึ่ง ๓ ถ้วยยา ยาถ่ายนี้ฉันทุกวัน

ก่อนที่หลวงพ่อจะเข้าไปสอนกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม จะป่วยหนักอย่างนี้ทุกที ท่านบอกว่า "คนที่มาหาผมที่บ้านซอยสายลม เขาเป็นนักบุญและเป็นคนดี จำเป็นต้องไปเจริญศรัทธาเขา แม้ผมจะป่วยมากก็ต้องไป"

เกือบทุกวันตอนเย็นหลวงพ่อจะเดินเวียนรอบพระวิหาร ๑๐๐ เมตร ท่านก็ชี้ให้ดูกุฏิท่าน ท่านบอกว่า "ฉันสร้างวัดเสียใหญ่ ส่วนฉันนั้นอยู่เล้าเป็ด" (ห้องที่ท่านอยู่นั้นสร้างไว้เบี้ยวๆ ห้องส้วมก็เบี๊ยว แถมที่ต้มน้ำก็เป็นขดลวดแช่น้ำอันตราย ตอนนี้มีคุณเกียว อยู่ปราณบุรีซื้อเครื่องต้มน้ำมาเปลี่ยนให้ใหม่) ฉันปรึกษากับพระปลัดวิรัช จะทำห้องน้ำให้ใหม่ พอท่านรู้เท่านั้นท่านไม่ยอม(ราคา ๑๒๐,๐๐๐ บาท) เพราะเรากลัวท่านหกล้มและเป็นอันตรายมาก และท่านใช้ห้องน้ำบ่อยมาก

เหตุที่สงสารท่านมาก เพราะท่านอยู่เพื่อเรา ท่านเคยพูดไว้ว่า ถ้าพวกลูกๆ ไม่เอาดีกัน ท่านก็จะจากเราไป ลองนึกดูแล้วแม้ท่านป่วยมากๆ ท่านก็สอนกรรมฐาน มิได้ขาด คิดแล้วบุญคุณของท่านนั้นที่สอนให้เรารู้จักธรรมะ รู้จักพระรัตนตรัย รู้จักพระนิพพาน ไม่มีค่าอะไรจะตอบแทนท่านได้เลย เมื่อเราสงสารท่านมากแค่ไหน หลวงพ่อท่านสงสารพวกเราเป็นร้อยเท่าทวีคูณเพราะท่านลำบากอยู่เพื่อเราจริงๆ

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/9/08 at 12:07


พระคุณของหลวงพ่อ


โดย... พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ
จาก...หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 5


ท่านพุทธบริษัทที่อ่านหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มนี้ ขอได้โปรดทราบว่าวาระที่หนังสือเล่มนี้ออกมา ก็เพราะเป็นวาระครบรอบที่ หลวงพ่อของเรา คือหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ หรือในนามปากกาที่ท่านได้เขียนหนังสือไว้คือ.. "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ"

ท่านได้มรณภาพจากลูกศิษย์พุทธบริษัทไปครบวาระ 10 ปี คราวนี้พวกเราที่เป็นลูกศิษย์ที่เคารพรักท่านยิ่งชีวิต ได้จัดงานทำ บญครบรอบ 10 ปี เพื่อจะถวายกุศลแด่องค์หลวงพ่อที่เป็นที่เคารพของเรา การทำบุญนั้นก็มีท่าน ดร.ปริญญา นุตาลัย ท่านได้รวบรวมให้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อของได้จัดพิมพ์หนังสือ ลูกศิษย์บันทึกออกมาหนึ่งเล่ม เพื่อจะได้ระบายความระลึกนึกถึงผู้มีพระ คุณยิ่งชีวิตของเรา ออกมาผยแพร่เกียรติคุณความดีของท่านที่มีต่อพวกเรา

ส่วนตัวของอาตมาเองนั้นได้มีชีวิตอยู่ร่วมกับหลวงพ่อประมาณ 20 ปี เพราะว่าอาตมามาอยู่วัดท่าซุงนั้น ตั้งแต่พ.ศ. 2516 เมื่อถึง พ.ศ. 2535 หลวงพ่อมาละสังขารจากพวกเราไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ความว้าเหว่ ความหมดที่พึ่ง ความไม่มีทางไป ความ เศร้าโศกสลดใจ แต่ตัวอาตมาเองมีมากสุดจะพรรณนาให้สมกับใจได้

ความที่ได้อยู่ร่วมกับท่านมา 20 ปีนั้น มีความลึกซึ้ง มี ความอบอุ่น มีความสุขใจ สุขจิต สุขกาย ที่ได้ร่วมรับคำสอนจากท่านผู้ที่ประเสริฐ มีอุบายในการอบรมลูกศิษย์ทุกคนที่เคารพท่าน เป็นอุบายที่ลึกซึ้ง ไม่สามารถจะหาครูบาอาจารย์ที่ไหนมาสอนเราได้ หลวงพ่อนั้นท่านเปรียบเสมือนผู้ประเสริฐเลิศจิต ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่าความที่เราเป็นคนดื้อด้าน หยาบ จิตโลภโมโทสัน ความชั่วปรากฏมาก ความดีไม่ปรากฏ

หลวงพ่อท่านได้มีวิธีอบรมสั่งสอนทุกคนให้อยู่ในศีล ให้อยู่ในการภาวนา ให้อยู่ในการเจริญวิปัสสนาจนมีจิตใจเคารพซึ่งพระรัตน ตรัยด้วยความจริงใจ ชีวิตนั้นไม่มีอะไรที่จะประเสริฐเลิศเลอไปกว่าการเข้าถึงซึ่งพระรัตนตรัย อาตมาก็พอรู้ว่าพระรัตนตรัยนั้น ให้ความบริสุทธิ์แก่มวลมนุษย์ทุกหมู่เหล่า ไม่เลือกเชื้อชาติ วรรณะ ผิวพรรณ ฐานะยากดีมีจน ไม่เลือกบุคคลใกล้ชิดหรือห่างไกล ธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สว่างบริสุทธิ์ทุกเวลา

การที่จะเคารพพระรัตนตรัยด้วยความบริสุทธิ์ใจนั้น หลวงพ่อของเรานั้นเป็นผู้ขวนขวาย เป็นผู้อบรมสั่งสอนด้วยวิริยะ อุตสาหะ ด้วยเมตตาบารมีของท่าน ด้วยความเหนื่อยยาก ขันธ์ห้าของท่าน สังเกตเราจะพบว่าท่านป่วยตลอด แม้แต่เวลาป่วยของหลวง พ่อท่าน พอจะทำอะไรที่จะเป็นสาระประโยชน์ได้ ท่านก็อัดเทป อบรมเป็นธรรมะ เผื่อไว้ว่าเมื่อท่านละขันธ์ห้าไปแล้ว ก็สามารถจะเอาคำสอนนั้นมาอบรมพุทธบริษัท มีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกาได้

ส่วนความลึกซึ้งส่วนตัวนั้น สุดจะบรรยายออกมาจากใจได้ทุกคำ เพระอาตมาอยู่กับท่านด้วยความใกล้ชิด และดูปฏิปทาของท่าน นั้นเป็นผู้ที่แสดงถึงประโยชน์ต่อมวลชนทุกหมู่เหล่า บุญคุณนั้นถ้าจะบรรยายในการที่ท่านทำให้พวกเราทุกคนนั้น ถ้าจะบรรยายเป็นตัวหนังสือ กี่ปีกี่ชาติก็คงไม่หมด เรามีคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่เราให้ชีวิต ให้ร่างกาย ให้การศึกษา ให้ทรัพย์ นี่ก็หาประมาณไม่ได้แล้ว

แต่ทรัพย์ก็ดี ปัญญาความรู้ก็ดี ก็ใช้กันหมด หรือใช้กันในสังสารวัฎฎะนี้เท่านั้น ส่วนทรัพย์ของครูบาอาจารย์ที่ให้เราใช้ไม่หมด ใช้ได้ตลอด ใช้ออกจากวัฎฎสงสารได้ ทรัพย์นี้เป็นทรัพย์อันประเสริฐ เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่มีคุณอเนกอนันต์ ฉะนั้น บุญคุณของพ่อแม่ก็หาประมาณไม่ได้อยู่แล้ว แต่บุญคุณของหลวงพ่อพระราชพรหมยานนั้น สุดยิ่งใหญ่หาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้เลย

เพราะท่านได้อบรมสั่งสอนให้เราเข้าใจในการประพฤติปฏิบัติให้ออกจากวัฎฎสงสาร ท่านพร่ำสอนให้รู้โทษของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ให้รู้การเกิดมาเป็นเทวดา ให้รู้การเกิดมาเป็นพรหม ว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง เมื่อเป็นอนิจจังแล้ว อารมณ์ก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะมันไม่เที่ยง เมื่อไม่ถูกใจอารมณ์ก็เป็นทุกข์ เพราะอยากให้เที่ยง ขัดอารมณ์ ผลสุดท้ายก็ต้องเคลื่อนออกไปจากสิ่งที่อยู่ เรียกว่า อนัตตา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุธเจ้าทรงให้ยอมรับตามความเป็นจริงว่า ผู้ที่อยู่ในโลกทั้งสามนี้ คือเป็นผู้อยู่ในโลกแห่งอนิจจัง ความไม่เที่ยง โลกแห่งความทุกขัง คืออารมณ์ไม่ถูกใจ อยู่ในโลกแห่งอนัตตา คือ ต้องเคลื่อนสลายตัวไป ไปจากสิ่งที่ครองอยู่

ฉะนั้น ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนพึงรู้เท่ากัน ความเป็นไปของชีวิต ความเป็นไปของวัฎฎสงสาร รู้แล้วก็ให้ทำใจละวาง เกิดนิพพิทาญาณจากวัฎฎะนี้เสีย ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ความวางเสียซึ่งวัฎฎสงสารได้ ก็จะเป็นผู้ไม่มีอะไรในไตรภพนี้คือผู้ถึงซึ่งความสุขอันหาประมาณไม่ได้

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อของเรานั้น พร่ำสอนทุกวัน ทุกเวลา ว่าการยอมรับตามความเป็นจริงเสียได้ ไม่อาลัย อาวรณ์เสียได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นเสียได้ รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงเสียได้ ผู้นั้นก็จะถึงซึ่งความสุขอันหาประมาณไม่ได้ กว่าท่านจะสอนให้เราเข้าใจ รู้แจ้งเห็นจริงได้อย่างนี้ ท่านต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี ที่ทรมานพวกเรา ทรมานคือฝืนใจให้พวกเราปฏิบัติความดี จนพวกเรามีความมั่นใจในคุณของพระรัตนตรัย

เมื่อเรามีความมั่นใจ มีความเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ ไม่เคลือบแคลงสงสัยองค์สมเด็พระสัมมาพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนของพระองค์ และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย เราก็มีความสุขในจิต ตามลำดับ เมื่อจะมองไปแล้วก็จะเห็นว่า คุณของพระรัตนตรัย คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์นั้นหาประมาณไม่ได้จริงๆ พุทโธ อัปปมาโณ ธัมโม อัปปมาโณ สังโฆ อัปปมาโณ จริง

หลวงพ่อนั้นได้อบรมสั่งสอนพวกเรามาด้วยความลึกซึ้ง ควรที่พวกเราอยู่ภายหลังจะทดแทนความดีของท่าน ที่เหนื่อยมาตลอดชีวิตนั้นได้ ท่านสั่งสอนให้เรารวบรวมกำลังใจ ปฏิบัติซึ่งความดี มีงานสาธารณประโยชน์ เป็นต้น ท่านสั่งสอนให้เราเข้าใจและปฏิบัติตามให้จิตเป็นกุศล และทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น งานปฏิบัติธรรม งานปฏิบัติสาธารณะประโยชน์ ท่านจึงสั่งสอนว่า

“..ขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย จงรักษาความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุธเจ้าทรงให้ไว้ งานใดที่พ่อนำลูกทั้งหลายทำงานใดที่พ่อนำลูกทั้งหลายทำงานทั้งหลายเหล่านั้น ขอลูกรักทั้งหมดจงรักษางานนั้นไว้ด้วยหัวใจของลูกเอง คือรักษาไว้ด้วยชีวิต เพรางานสาธารณประโยชน์เป็นกิจอันหนึ่งที่ทำให้คนไทยรวมตัวกัน มีความรัก มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน และทุกคนก็จะมีความสุข

โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธ เจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี่ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ 5 ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้

ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ..”


ท่านสั่งสอนให้เราปฏิบัติตัวเอง ปฏิบัติตัวต่อสังคมให้เป็นประโยชน์ ให้เป็นที่ชื่นใจชื่นจิตเท่านี้ งานอย่างนี้ที่เราร่วมกันทำ ก็จะพอเป็นแนวทางให้เห็นว่า ท่านสั่งสอนแล้วไม่เหนื่อยเปล่า ท่านก็คงจะดีใจ แม้ท่านจากเราไปสิบปี งานทุกส่วนที่หลวงพ่อสั่งสอนไว้ พวกเราก็ได้น้อมนำมาปฏิบัติกันอย่างสม่ำเสมอ เสมือนว่ารวมจิตหรือรวมใจของหลวงพ่ออยู่ในใจของเราเหมือนกัน

สังเกตงานของเรามีตลอดปี ส่วนใดที่เป็นสาธารณสมบัติ พวกเราก็ร่วมกันบูรณะปฏิสังขรณ์ให้ความสะอาด แข็งแรง เจริญตา ส่วนไหนที่จะช่วยสาธารณประโยชน์ได้ พวกเราก็ร่วมใจกันทำ งานศูนย์สงเคราะห์แจกของในถิ่นทุรกันดาร ช่วยเหลือสังคม พวกเราไม่ลืมคำสอนที่พ่อแม่ได้มอบไว้ให้ เพื่อขัดเกลาความเห็นแก่ตัวให้เป็นสาธารณประโยชน์ เพื่อขัดเกลาจิตใจของเราให้เอื้ออารี อ่อนโยน เราก็ฝึก เราก็ทำ

ฉะนั้นความดีที่เราร่วมกันทำนั้น เรามีใจเสมือนว่าร่วมกันทำ ตามที่พ่อแม่สั่งสอนทุกประการ การทำงานทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงพ่อสั่งสอนไว้ ก็ทำกัน ด้วยความเต็มใจก็ทำด้วยความรัก ความสามัคคี สังเกตดูงานแต่ละงานต่างๆ เราได้ช่วยเหลือกัน ขณะนี้ พ่อแม่คือ..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านเป็นเหมือนทั้งพ่อ ท่านเป็นทั้งแม่ ท่านอบรมสั่งสอนเรา ท่านได้จากขันธ์ห้าไปครบสิบปีเหมือนกับเดี๋ยวเดียว

แต่พวกเราอยู่ภายหลังเสมือนมีขันธ์ห้าของพ่อของแม่อยู่ ได้ดูแลพวกเราด้วยขันธ์ห้า เห็นด้วยตามกับเราแล้วเหมือนท่านได้ทิ้งสมบัติอันล้ำค่าไว้ให้ลูกๆ ทุกคน พวกเรายังอยู่ภายหลังที่เป็นลูกที่เคารพเป็นลูกที่ดี ก็สมควรรักษาสมบัติของพ่อไว้ให้อยู่ได้ตลอดไปตามอายุ ถ้าลูกที่เลว ก็เป็นผู้ที่ผลาญสมบัติ เป็นผู้ที่ทำลายสมบัติแล้ว ทั้งทางธรรม ทางวัตถุ เป็นผู้ที่อกตัญญูต่อผู้มีคุณ ก็จะหาความเจริญไม่ได้ ทั้งชาตินี้ และชาติหน้า

ฉะนั้น เมื่อเราเป็นลูกที่ดีก็ควรช่วยกันสร้างสรรค์ความดี ความสามัคคีให้เกิดปรากฏแก่มวลลูกศิษย์ทุกคน เสมือนทำตัวรู้คุณพระรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด ฉะนั้นวาระนี้ลูกศิษย์บันทึกเล่มนี้ ก้อาจจะมีผู้แสดงความคิด ความรู้ ช่วยกันสร้างสรรค์หลายคน ส่วนอาตมานั้นหวังว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อของเราทุกคน ควรสร้างสรรค์ความสุข ความสามัคคีให้เกิดแก่ครอบครัว แก่เพื่อนร่วมชีวิต แก่เพื่อนร่วมศาสนา แก่เพื่อนร่วมชาติ

หวังว่าทุกท่านคงมีความจดจำ ระลึกถึงคำสอนของหลวงพ่อที่ว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ นี่ขอให้เป็นอาขยานเอกที่จับจิตจับใจไปไหนก็เหมือนพ่ออยู่กับลูก ให้มีความระลึกถึงท่านอยู่เสมอ จิตใจเราก็จะมีพลัง มีกำลังใจสร้างความดีต่อ มีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมต่อ ผลสุดท้ายก็จะสู่ที่ซึ่งสิ้นจากวัฎฎสงสารได้ทุกคน.

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/9/08 at 12:08



พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร

การที่ข้าพเจ้าบวชได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะบารมีและคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ข้าพเจ้าขอเริ่มเรื่องในการบวชของข้าพเจ้า ที่มีความเกี่ยวพันกับหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ข้าพเจ้าอุปสมบทเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ที่วัดห้วยเขน อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร เมื่อบวชแล้วได้ลาพระอุปัชฌาย์กลับ ไปอยู่ที่วัดที่บ้านคือ วัดสุขุมาราม ต.วังตะกู อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ท่านอาจารย์สุรินทร์เป็นเจ้าอาวาส พอข้าพเจ้าบวชได้ ๒ - ๓ วัน ท่านอาจารย์สุรินทร์ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูวิจารณ์วิหารกิจ ท่านเป็นพระผู้ฝึกกรรมฐานให้แก่ข้าพเจ้า

ขอเล่าประวัติของท่านอาจารย์สุรินทร์เล็กน้อย ท่านเป็นชาวบ้านต้นโพธิ์ ต.โคกหม้อ อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ โยมแม่ของท่านนับถือหลวงปู่ปานมาก และได้ยกท่านให้เป็นลูกหลวงปู่ปาน ตัวท่านอาจารย์สุรินทร์เองก็เคารพหลวงพ่อปู่ปานเป็นชีวิตจิตใจทีเดียว

ดังนั้นก็ถือเสมือนว่า ข้าพเจ้าได้เข้าไปบวชอยู่ในสักนักของหลวงปู่ปานไปโดยปริยาย ก่อนบวชข้าพเจ้าไม่มีความรู้เรื่องกรรมฐาน บวชเพื่ออยากลองดูชีวิตของพระบ้างเท่านั้น ตั้งใจจะบวชแค่ ๓ เดือนแล้วจะสึก ถ้าหากบวชช่วง ๔ เดือน เดือน ๖ คงจะสึกไปแล้ว คงไม่ได้เป็นพระสมุห์เป็นแน่ แต่เนื่องจากบวชช่วงใกล้พรรษาแล้วจึงต้องทนอยู่ และก็อยู่มาได้จนกระทั่งปัจจุบันนี้ วัดที่ข้าพเจ้าอยู่มีการสอนพระปริยัติ ส่วนการปฏิบัติตนนั้นแล้วแต่ใครจะสนใจ ตัวท่านอาจารย์สุรินทร์ท่านนั่งสมาธิทุกวันและท่านก็สนับสนุนในเรื่องนี้

พรรษาแรกที่ข้าพเจ้าบวชมา รู้สึกหนักพอสมควร ต้องเรียนทางด้านปริยัติ ต้องสวดมนต์ สวดไม่ได้ก็อายเขา ครูสอนนักธรรมก็บังคับให้ท่องพระวินัย จึงเป็นเรื่องหนัก ข้าพเจ้าสนใจเรื่องสมาธิ พอตกเย็นก็ไปนั่งสมาธิในโบสถ์กับท่านอาจารย์สุรินทร์ทุกเย็น ในพรรษานั้นมีพระสนใจนั่งสมาธิสัก ๓ - ๔ องค์เท่านั้นรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย เมื่อท่านอาจารย์เห็นข้าพเจ้าสนใจในการนั่งสมาธิก็เอาประวัติหลวงปู่ปานมาให้อ่าน ครั้งแรกปฏิเสธท่านไป เพราะข้าพเจ้าและชาวอำเภอบางมูลนากส่วนใหญ่นับถือหลวงปู่เขียน วัดสำนักขุนเณร ที่หลวงพ่อเคยไปพิสูจน์เลขหวยกับท่าน เพราะข้าพเจ้าคิดว่า ไม่มีใครเก่งกว่าหลวงปู่เขียนของข้าพเจ้า

ต่อมาท่านอาจารย์สุรินทร์ก็เอาประวัติหลวงปู่ปานมาให้อ่านอีกจึงรับไว้ ตอนนั้นประวัติหลวงปู่ปานยังไม่มีรูปเล่ม เพียงแค่ถ่ายอัดสำเนามาอ่านกัน ซึ่งหลวงพ่อได้ส่งให้ท่านอาจารย์สุรินทร์อ่าน เมื่อข้าพเจ้าอ่านแล้วก็ติดอกติดใจมากจึงอ่านช้าๆ เพราะกลัวจะจบเร็ว ส่วนใหญ่จะอ่านก่อนเจริญพระกรรมฐาน เพราะช่วยเป็นกำลังใจกระตุ้นการเจริญกรรมฐานดีมาก เมื่อปฏิบัติไป ต่อมาก็พบเหตุการณ์ หลวงปู่เขียนท่านมาเข้าทรงพระทวีป ไล่ให้ข้าพเจ้าไปอยู่กับหลวงพ่อเป็นการใหญ่ ตอนนั้นยังอยู่กลางพรรษา หลวงปู่เขียนมาเข้าทรงทีไรก็ไล่ข้าพเจ้าไปอยู่กับหลวงพ่อประจำ โดยสั่งมาว่า

"ถ้าอยากได้ดี ก็ให้ไปอยู่กับหลวงพ่อ"ถึงแม้จะเป็นกลางพรรษาก็ตามจึงได้เดินทางมากับพระเฉลย ซึ่งเป็นหลานของท่าน อาจารย์สุรินทร์ มาเพื่อพบหลวงพ่อ หลังจากฉันเพลเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปกราบเคารวะหลวงพ่อ ซึ่งท่านได้แนะนำว่า ถ้าสนใจในการ ปฏิบัติก็ให้ซื้อวิทยุสักเครื่อง เปิดสถานี ๐๔ ตาคลีฟัง เพราะช่วงนั้นหลวงพ่อท่านเทศน์ออกอากาศเรื่อง มหาสติปัฏฐานสูตรอยู่

ข้าพเจ้าตอบไปว่าที่วัดกำลังยุ่ง เพราะต้องช่วยกันตำเนื้อหว่านที่จะทำพระเครื่องหลวงปู่เขียน เนื่องจากปี ๒๕๑๖ จะผูกพัทธสีมาที่วัด หลังเพลแล้วก็ต้องเรียนหนังสือ เสร็จจากเรื่องเรียนก็ต้องมาช่วยมรรคทายกตำเนื้อหว่านทำพระเครื่องหลวงปู่เขียน และเต็มใจ ทำเพราะอยากได้บุญ เนื่องจากข้าพเจ้านับถือหลวงปู่เขียนมาก พอบอกว่าที่วัดมีงานยุ่งเท่านั้นแหละ หลวงพ่อก็ดุเอาหลายคำ ท่านพูดว่า "ท่านไม่ชอบคนที่ไม่เอาจริงเอาจัง ถ้าปฏิบัติไม่ถึง....ไม่ต้องกลับมา" (ตรงจุดๆ จำไม่ได้ว่าท่านพูดว่าอย่างไร เพราะไม่เข้าใจศัพท์ทางการปฏิบัติ)

ข้าพเจ้าโดนไม้นี้จึงลากลับวัด เมื่อออกพรรษาและรับกฐินเสร็จแล้ว คราวนี้มากับท่านอาจารย์สุรินทร์เพื่อมาพบหลวงพ่ออีก แต่ไม่กล้าเอ่ยปากขอท่านมาอยู่ที่วัดท่าซุง เพราะไม่รู้ว่าตัวเองปฏิบัติได้ถึงตามขั้นที่หลวงพ่อเคยสั่ง ให้ไปฝึกไว้หรือเปล่า ท่านอาจารย์สุรินทร์กลับไปก่อน ปล่อยให้ข้าพเจ้าอยู่ปฏิบัติกับหลวงพ่อตามลำพัง พอมาอยู่สัก ๓ คืน ก็มาเจอวันพระ จึงช่วยจัดศาลา ตอนนั้นทำบุญฝั่งวัดเก่าที่ศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ เมื่อจัดเสร็จ ข้าพเจ้าก็ไปกราบขอบารมีหลวงพ่อ ๔ พระองค์ว่า

"ถ้าข้าพเจ้าจะได้บวชอยู่ต่อไป ก็ขอให้หลวงพ่อชวนให้อยู่กับท่าน ถ้าหากหลวงพ่อไม่ชวน เมื่อกลับไปแล้วก็จะสึกแน่"

เมื่อกราบเสร็จก็มาที่ท้ายอาสนสงฆ์ หลวงพ่อก็เดินมาหา และบอกว่า "คุณมาอยู่กับผมก็ได้" พอข้าพเจ้าได้ยินคำนี้ก็ดีใจ เพราะลำพังตนเองคงไม่กล้าขอท่านอยู่ เพราะไม่แน่ใจว่าตนเองปฏิบัติได้แค่ไหน ตามที่ท่านต้องการหรือไม่? เพราะเมื่อกลางพรรษาขอมาอยู่กับท่าน ท่านก็เอ็ดไปทีหนึ่งแล้ว จึงขอบารมีหลวงพ่อ ๔ พระองค์ช่วยสงเคราะห์ จากนั้นข้าพเจ้าก็หนีโยมพ่อมาอยู่เสียที่วัดท่าซุง จนกระทั่งบัดนี้



(หลวงพ่อทำพิธีพุทธาภิเษก "ลูกแก้ว" รุ่นแรกๆ ภายในพระอุโบสถ วัดท่าซุง)

อยากจะขอเล่าเกร็ดอีกเล็กน้อย ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ วัดที่ข้าพเจ้าเคยอยู่มีงานตัดลูกนิมิตโบสถ์ ท่านอาจารย์สุรินทร์ก็มานิมนต์หลวงพ่อ ไปทำพิธีพุทธาภิเษกรูปเหมือนหลวงปู่เขียน ซึ่งผู้คนที่จำนวนมาก หลังเสร็จพิธีพุทธาภิเษกแล้ว บางคนก็ให้หลวงพ่อเป่าหัว เจิมหน้า ส่วนบางคนก็ขอชานหมาก พอเสร็จจากพิธีพุทธาภิเษกแล้ว หลวงพ่อก็มานั่งหน้ากุฏิท่านอาจารย์สุรินทร์ ก็มีเจ้าอาวาสวัดหนึ่งที่มีชื่อโด่งดังอยู่แถวนั้นก็เข้ามาหาหลวงพ่อถามถึงการพุทธาภิเษกว่าเป็นอย่างไรบ้าง จากนั้นก็ลากลับไป ข้าพเจ้าจึงได้กราบหลวงพ่อ พร้อมกับพูดขึ้นว่า เจ้าอาวาสองค็นี้ดังมากนะครับ

หลวงพ่อก็ตอบมาคำหนึ่งว่า ดังเหมือนตด ข้าพเจ้าก็สะดุ้ง เพราะองค์นี้ดังเหมือนตดจริงๆ ท่านดังในทางเหม็น ไม่ใช่ดังในทางหอม มีเกร็ดอีกเรื่องหนึ่งในงานพุทธาภิเษก โยมบุญทิ้งก็ให้หลวงพ่อเป่าหัวให้ในโบสถ์ ซึ่งคนมาในงานมากมายนัก จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พอหลวงพ่อออกมานั่งที่กุฏิท่านอาจารย์สุรินทร์ ก็จะให้หลวงพ่อเป่าหัวให้อีก หลวงพ่อก็พูดว่า เป่าแล้วจะเป่าอะไรอีก โยมบุญทิ้ง จึงนั่งคุยที่ร้านกาแฟ ซึ่งข้าพเจ้าอยู่ในที่นั้นพอดี โยมบุญทิ้งบอกว่าพระมหาวีระน่ะรู้จริง (พระมหาวีระ ก็คือ ชื่อเดิมของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้อุตส่าห์แนะนำในการปฏิบัติทั้งฝ่ายคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ทำให้ข้าพเจ้าพอจะทนอยู่กับญาติโยมทั้งหลายได้ ซึ่งข้าพเจ้าถือว่า ท่านเป็นผู้มีพระคุณแก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ให้ข้าพเจ้ามีโอกาสมารับคำสอนที่มีคุณค่าแก่ข้าพเจ้าตราบจนทุกวันนี้.

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/9/08 at 12:08



ความดีของหลวงพ่อ


โดย... พระครูสังฆรักษ์ สุรจิต สุรจิตโต

คุณความดีของหลวงพ่อมีมากมายหลายประการ ยากที่จะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ความดีที่พวกเราเห็นกันอยู่เสมอก็คือ เมตตา และเป็นเมตตาที่เปี่ยมไปด้วยกรุณาอย่างหาประมาณมิได้ ทั้งๆ ที่ท่านป่วยแสนป่วย ต้องกินยาทุกวัน วันละหลายกำมือ แต่ท่านก็ลงรับแขกเจริญศรัทธาแก่ญาติโยมที่มาทำบุญตามเวลาที่กำหนด ในระยะ ๒ - ๓ ปีมานี้สุขภาพของท่านไม่ดีเป็นอย่างมาก ลงรับแขกนานๆ ไม่ไหว ท่านก็ยังลงเจริญศรัทธาแก่ญาติโยมทุกวัน

แม้จะเพียงวันละชั่วโมงเศษๆ ก็ตาม แต่มีคุณค่าแก่ผู้ที่มากราบเคารพหลวงพ่ออย่างยิ่ง เพราะได้ทำบุญกับท่านโดยตรง แพทย์เคยแนะนำให้ท่านหยุดพักงานประจำลงบ้างเพื่อสุขภาพจะได้ดีขึ้นแต่ท่านก็บอกว่า เขาอุตส่าห์มากันไกลๆ เสียทั้งและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาเพื่อจะพบท่าน

นอกจากนั้นหลวงพ่อยังเมตตาสงเคราะห์นักเรียน ท่านเคยปรารภว่า เราจะสร้างคนให้เป็นคนดี ต้องสร้างตั้งแต่เมื่อยังเป็นเด็ก หมายความว่า ต้องปลูกฝังความดีให้เขาเห็นคุณค่าของความดีตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ เพื่อโตขึ้นจะได้ประพฤติดีสืบไป จากดำริอันนี้เอง ทำให้โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาเกิดขึ้นมา และเป็นโรงเรียนที่หลวงพ่อให้ความอุปการะเป็นพิเศษ

นักเรียนทุกคนจะได้รับแจกเสื้อผ้าเครื่องแบบนักเรียน แจกสมุดหนังสือตำราเรียน แจกอุปกรณ์การเรียน แจกแม้กระทั่งอาหารกลางวันให้นักเรียน ทุกคนกินฟรี โดยนักเรียนจะต้องเป็นผู้ประพฤติดีตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อจะกำหนดหัวข้อธรรมที่เหมาะแก่นักเรียน และเหมาะแก่การครองชีวิตให้นักเรียนปฏิบัติ เมื่อเขาปฏิบัติแล้ว ก็จะเห็นคุณค่าของการทำความดีด้วยตัวของเขาเอง



(หลังจากหลวงพ่อปลุกเสก "ลูกแก้ว" แล้ว จึงได้นำมาให้ญาติโยมบูชา ณ ศาลาพระพินิจฯ)

ความดีอีกประการหนึ่งที่ทำให้หลวงพ่อมีคนนับถือมากมายจนอาจกล่าวได้ว่า มีทุกจังหวัดทั่วประเทศ ความดีอันนั้นคือ การสอนพระกรรมฐาน ท่านเคยปรารภเสมอว่า วัดเราที่เจริญขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ก็เพราะพระกรรมฐาน ท่านพยายามแนะนำพระกรรมฐานด้วยวิธีการต่างๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ปฏิบัติ เข้าใจในการสอนพระกรรมฐาน และด้วยมโนมยิทธินี่เอง ทำให้หลวงพ่อมีคนเคารพนับถือมากมาย เพราะสามารถปฏิบัติได้ง่าย และผู้ปฏิบัติสามารถเห็นผลของการทำบุญและบาปได้ด้วยใจของตนเอง ทำให้เกิดความมั่นใจในความดีของตน และมั่นใจในความดีของหลวงพ่อผู้แนะนำ

ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติ ปฏิบัติเพียงไม่กี่ครั้ง ก็ทำได้กันแล้ว จึงทำให้มีผู้สนใจเข้ามาปฏิบัติกันมาก เมื่อปฏิบัติได้ ทำให้เกิดความมั่นใจในบุญ ต่างทำบุญกันมากมายตามกำลังทรัพย์ของตนเป็นเหตุให้หลวงพ่อสร้างวัดได้อย่างรวดเร็ว ชั่วเวลาเพียงไม่กี่ปีวัดขยายไปใหญ่โต

บางท่านอาจเคยสงสัยว่าหลวงพ่อเอาเงินจากไหนมาสร้างวัดได้ใหญ่โต นอกจากสร้างวัดแล้ว หลวงพ่อยังสร้างโรงเรียน โรงพยาบาลและช่วยเหลืองานก่อสร้างของวัดต่างๆ อีกหลายแห่ง ท่านเคยปรารภให้ฟังว่า เราเอาเงินที่เขาถวายให้มาด้วยศรัทธาไปสร้างอะไร ผู้ถวายเงินก็ได้บุญอันนั้นด้วย และนี่เองเป็นเหตุผลที่ท่านทำการก่อสร้างมากมาย เพราะต้องการให้ท่านเจ้าของเงินได้บุญมากๆ นั่นเอง

สุดท้ายนี้ ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมีคุณพระรัตนตรัยทั้งสามประการ คุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน จงช่วยคุ้มครองหลวงพ่อให้อยู่เป็นร่มฉัตรแก้วของลูกหลายสืบไป...

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/9/08 at 12:09



พระปลัดวิรัช โอภาโส

คำสอนของหลวงพ่อ "เรื่องพระนิพพาน" เป็นจุดดึงดูดให้คนกลุ่มใหญ่ได้หันคล้อยมาทางเดียวกัน มีความปรารถนาที่อยากจะพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เพื่อหาทางไปสู่พระนิพพานในชาตินี้

ข้าพเจ้าก็เช่นกัน เมื่อได้อ่านประวัติหลวงพ่อปานแล้ว และฟังธรรมะจากเทปคำสอนของหลวงพ่อมาพอสังเขป มาสะดุดใจและสน ใจที่หลวงพ่อสอนให้ "อธิษฐานขอไปพระนิพพานในชาตินี้"จึงได้ฝึกมโนมยิทธิตามที่พ่อสอน เมื่อฝึกแล้วทำให้เห็นพระคุณของหลวงพ่อสุดประมาณที่ได้นำมโนมยิทธิมาเผยแพร่แก่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย มโนมยิทธินี้ช่วยให้ผู้ที่ฝึกได้แล้ว และสามารถ ทรงอยู่ในมโนมยิทธิที่ตนได้มีความมั่นใจในเรื่องพระนิพพานมากขึ้น และทำให้มีใจมั่นคงในพระพุทธศาสนา เนื่องจากผู้ปฏิบัติต้องมีใจเป็นสัมมาทิฏฐิ ต้องเคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เคารพพระอริยสงฆ์ด้วยความจริงใจ มีศีลบริสุทธิ์ในขณะนั้น รู้ตัวว่าจะ ต้องตายเสมอ และมีใจรักพระนิพพาน

เมื่อฝึกได้แล้ว จิตใจก็เป็นสุข มีความรู้สึกอุ่นใจ เพราะว่าใจมีที่พึ่งแล้ว นั่นคือพระรัตนตรัย อันเป็นที่พึ่งสูงสุด เมื่อนึกถึงพระรัตนตรัยขึ้นมาคราวใด จะยิ่งทำให้เห็นพระคุณของพระพุทธองค์ที่พยายามช่วยเหลือสัตว์โลก ให้พ้นจากความทุกข์ เห็นพระคุณของพระธรรมอันล้ำค่าที่พระอริยสงฆ์สาวกได้นำมาเผยแพร่แก่บรรดาพุทธบริษัท และเห็นพระคุณของพระอริยสงฆ์ที่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วเป็นตัวอย่างให้ดู ทำให้เกิดแรงกระตุ้นที่อยากจะเจริญรอยตามท่านบ้าง พระคุณหลวงพ่อมีดังนี้ จึงถือเป็นพระคุณอันสูงสุด

หลวงพ่อสอนไว้ว่า "จิตคนเราสำคัญเวลาก่อนที่จะตาย ถ้าติดเศร้าหมอง ตายแล้วไปสู่อบายภูมิ ถ้าจิตเกาะกุศล ก็ไปสู่ สุคติ"

หลวงพ่อสอนไว้อีกว่า "คนเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วน นับเป็นอสงไขยๆ กัป ถ้าหากยังเวียนว่ายตายเกิดอีก ก็ต้องทุกข์อย่างนี้อีก ไม่มีวันจบสิ้น แม้เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม เมื่อหมดอายุจากการเป็นเทวดา หรือพรหม ก็ต้องจุติ คือเกิดอีก จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน จึงจะพบกับเอกันตบรมสุข คือสุขอย่างยิ่ง"

เมื่อนำคำสอนของหลวงพ่อมาใคร่ครวญแล้ว ก็คิดทบทวนชีวิตข้าพเจ้าในอดีตย้อนหลังกลับไปกลับมาถึงความลำบากที่เคยผ่านมาในชีวิต ทำให้กลัวการเกิดอีกอย่างจับจิตจับใจ ยิ่งพิจารณาไปถึงเหตุถึงผลก็ยิ่งเข้าใจชัดเจนขึ้น จึงคิดต่อไปอีกว่า การดิ้นรนทางโลกก็คือ การใช้หนี้นั่นเอง เป็นการใช้หนี้กรรมที่ไม่มีวันสิ้นสุด ต้องเหน็ดเหนื่อยจนแทบไม่มีเวลาดูตัวเองว่าถ้าตายตอนนั้น จะเอาทรัพย์สินอะไรติดตัวไปได้บ้าง ดีไม่ดีอาจจะหลงตาย เพราะไม่ทันได้เตรียมตัวตาย

สรุปแล้วอุตส่าห์ลงทุนเหน็ดเหนื่อยและลำบากทั้งชีวิต แต่ได้ผลไม่คุ้มค่า ความไม่รู้จักพอสอนให้ดิ้นรนจนเกินพอดี หลวงพ่อสอนให้รู้จักวางหาบอันหนัก และให้รู้จักพักจากการเดินทางไกลเสียที จึงตัดสินใจว่า ในเมื่อตั้งใจปรารถนาเพื่อนพระนิพพานในชาตินี้แล้ว จะมัวไปเสียเวลากับเรื่องอื่นอยู่ทำไม สู้เดินทางตรงเลยดีกว่า จะได้ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ จึงคิดเข้าหาหมู่พวกที่เดินทางเดินกัน โดยถือคติที่ว่า "คบคนเช่นไร ย่อมเป็นเช่นนั้น"

ในเมื่ออยากเดินตามแนวทางของหลวงพ่อก็ตามมาอยู่ที่สำนักของหลวงพ่อ จึงได้มาขอบวชในที่สุด

ก่อนบวชก็กังวลใจอยู่ว่าหลวงพ่อจะยอมรับให้บวชได้หรือไม่หนอ เพราะไม่เคยพบองค์จริงหลวงพ่อมาก่อนเลย วันหนึ่งจึงฝันไปว่า หลวงพ่อมาหา มานั่งอยู่กลางห้องนอน จึงรีบเข้าไปแสดงความเคารพและถามว่า "หลวงพ่อครับ ผมมาขอบวชอยู่กับหลวงพ่อได้ไหมครับ?" หลวงพ่อตอบพร้อมกับยิ้มว่า "ได้ซิลูก" จึงดีใจและรีบกราบหลวงพ่อ ๓ ครั้ง พอเงยหน้าขึ้นมา หลวงพ่อหายไปแล้วเหลือ แต่พื้นว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น มาสะดุ้งตื่นขึ้น จึงรู้ว่าฝันไป

พอเช้าก็โทรศัพท์เล่าให้คุณอมรฟัง (ปัจจุบันบวชเป็น "พระอมร") ถึงเรื่องความฝัน พอสายๆ ประมาณ ๑๐ โมงเช้าในวันเดียวกันก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณอมรแจ้งมาว่า หลวงพ่อสั่งให้ไปบวชได้ และหลวงพ่อฝากใบโมทนาบัตรมาให้ด้วย ในใบโมทนาบัตรลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔

"คุณวิรัช วรวรรณธนะชัย สมทบทุนมูลนิธิหลวงพ่อปาน ความปรารถนาใดที่มีอยู่ ขอความปรารถนานั้น จงสัมฤทธิ์ผลตามต้องการ บวชเสียก็ดีจะได้มีความสุข"

ตอนนั้นจึงดีใจมากที่ได้รับข่าวจากหลวงพ่อ ตรงกับความฝันในวันเดียวกัน จึงทำให้มีความมั่นใจว่าความตั้งใจสมปรารถนา

เมื่อมาพบหลวงพ่อที่วัดท่าซุงครั้งแรก เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๔ และบวชเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๔ หลวงพ่อได้เรียก ชื่อครั้งแรกว่า "แป๊ะ" พอได้ยินครั้งแรกก็สะดุ้ง พอมาทราบความหมายที่หลวงพ่อเรียกก็มีความพอใจ ถือว่าเป็นนามมงคลที่หลวง พ่อได้เมตตาตั้งให้และเรียกจนติดปากมาจนทุกวันนี้



(หลวงพ่อสนทนาธรรมกับญาติโยม ณ สถานีวิทยุทหารอากาศเชียงราย

เมื่อบวชพรรษาแรก ก็ไปช่วยจำหน่ายวัตถุมงคลอยู่บนศาลานวราช หลวงพ่อมารับแขกที่นั่นเป็นประจำ รับแขกเวลาบ่ายโมงเลิก ๔ โมงเย็น อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อเลิกแขกตอนบ่าย ๔ โมงเย็น แดดข้างนอกก็ร้อน ขณะที่หลวงพ่อลุกเดินออกจากศาลานวราช ไปพระที่ติดตามหลวงพ่อติดธุระบางอย่างอยู่ จึงบอกให้ข้าพเจ้ารีบตามไปกางร่มให้หลวงพ่อ ข้าพเจ้าคว้าร่มได้ก็รีบตามหลวงพ่อ ลงบันไดศาลานวราชไป

พอลงไปถึงบันไดขั้นสุดท้าย ก็มองไม่เห็นหลวงพ่อ คิดในใจว่าหลวงพ่อเดินเร็วจัง ไม่รู้เดินไปทางไหนแล้ว จึงหันมองดูรอบๆ ทั้งด้านหน้าด้านหลัง ด้านบน ดูจนทั่วก็ไม่เห็น (ซึ่งบริเวณนั้นแต่ก่อนเป็นที่โล่งๆ หมด ไม่มีอะไรเกะกะเหมือนเดี๋ยวนี้) จึงเดินเลี่ยงบันไดมาทางซ้ายนิดนึง เข้าใจว่าหลวงพ่ออาจจะเดินไปทางโรงรถหรือเปล่า เพราะหลวงพ่อเดินเร็วเหลือเกิน ก็เหลียวไปมาไม่เห็นใคร

จึงร้องออกมาดังๆว่า "เอ๊ะ หลวงพ่อหายไปไหนๆ" ทันทีก็มีเสียงตอบสวนกลับมาทางข้างหลังว่า "หลวงพ่ออยู่นี่ไง..แป๊ะ แกไปหาหลวงพ่อที่ไหน" แล้วหลวงพ่อก็หัวเราะชอบใจ จึงหันขวับไปตามเสียง เห็นหลวงพ่อยืนอยู่ข้างหลังข้าพเจ้า ยืนห่างจากข้างฝาพอสมควร ข้าพเจ้ายืนมองด้วยความงงๆ แล้วจึงส่งร่มให้หลวงพ่อ พอดีพระติดตามเดินลงบันไดมา

หลวงพ่อจึงหันไปพูดกับพระที่เดินลงมาว่า "ดู หลวงพ่ออยู่นี่ แป๊ะไปหาหลวงพ่อที่ไหนก็ไม่รู้" แล้วหลวงพ่อก็หัวเราะอีก และเดินกลับกุฏิพร้อมกับพระติดตาม ปล่อยให้ข้าพเจ้ายืนงงอยู่คนเดียว เหตุการณ์คราวนั้นถือเป็นเรื่องอัศจรรย์ใจที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า นึกขึ้นมาเมื่อไร ยังจำภาพเหตุการณ์ได้ดีไม่มีวันลืมเลย

เมื่อบวชแล้วได้มีโอกาสติดตามในคณะของหลวงพ่อที่ไปต่างประเทศเพื่อสอนพระกรรมฐาน หลวงพ่อได้เมตตาให้ข้าพเจ้าติดตามไปด้วย ๘ ครั้ง มีสหรัฐ ๔ ครั้ง ยุโรป ๒ ครั้ง (ยุโรปคราวแรกควบอเมริกาด้วย จึงถือเป็นการเดินทางรอบโลก ๑ ครั้ง) นิวซีแลนด์ ๒ ครั้ง และสิงคโปร์ ๑ ครั้ง แต่การไปสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นปีที่หนักที่สุดของหลวงพ่อเมื่อเข้าถึงชิคาโก ๒ วันก็ป่วยหนัก จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดกลับมา

ขากลับประเทศไทย ขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ชั้น ๑ กับหลวงพ่อตามลำพัง หลวงพ่อมีอาการทางท้อง หนักมาก และบ้วนเสมหะใส่กระโดนเรื่อยๆ (กระโถนเอาไปจากเมืองไทย) และหลวงพ่อเอามือทั้งสองประคองกระโถนไว้บนตัก สั่งข้าพเจ้าไว้ว่า ถ้าหลับไปแล้ว เมื่อได้เวลาฉันอาหารให้ปลุกด้วย ข้าพเจ้าก็รับคำ ครั้นพอได้เวลาจึงเรียกหลวงพ่อ "หลวงพ่อครับๆ" หลวงพ่อก็เฉย จึงคิดว่าให้หลวงพ่อพักต่อไปอีกดีกว่า ได้ให้เจ้าหน้าที่เอาอาหารอุ่นเก็บไว้ก่อน และเตรียมนมสดไว้ข้างๆ หลวงพ่อ

พอดีเห็นกระโถนที่หลวงพ่อประคองไว้ที่ตัก ก็ตั้งใจจะเอาออกจากมือหลวงพ่อ จึงค่อยๆแกะมือข้างหนึ่งของหลวงพ่อออกจากกระโถน ข้าพเจ้าก็ต้องสะดุ้ง เพราะมือหลวงพ่อแข็งไปหมด และเมื่อเอากระโถนออกมาแล้ว นิ้วมือจากมืออีกข้างหนึ่งก็งออยู่ในท่าประคองกระโถน และอยู่ในลักษณะนั้นจนหลวงพ่อรู้สึกตัว พอลืมตาขึ้นมาก็ดื่มนม แล้วหลับตาอีก แต่แล้วก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงรีบกราบเรียนถามว่า จะฉันอาหารเลยไหม หลวงพ่อบอก "ได้" จึงให้เจ้าหน้าที่นำอาหารมาถวาย ปรากฏว่าหลวงพ่อฉันประมาณ ๔ - ๕ คำก็บอกว่าอิ่ม และหลับตาต่อไป ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ถามอะไร

ครั้นมาปี พ.ศ. ๒๕๓๒ หลวงพ่อเดินทางไปอเมริกาอีกไปเพื่อสอนพระกรรมฐาน เมื่ออยู่บนเครื่องบิน หลวงพ่อก็สั่งว่าถ้าได้เวลา ฉันอาหารให้ปลุกด้วย ข้าพเจ้าจึงตอบว่า "ผมไม่กล้าครับ เพราะปีก่อนหลวงพ่อสั่งไว้อย่างนี้ พอเรียกแล้วหลวงพ่อก็เฉยๆ พอเอามือจับกระโถนออกมือหลวงพ่อแข็งไปหมด" หลวงพ่อฟังแล้วก็หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า "ไอ้ขี้หมา ตอนนั้นข้าป่วยก็เข้าฌาน ๔ ออกไปนอกตัว ไม่อยู่แล้ว จะไปรู้สึกอะไร" จึงพูดไปว่า "เพราะอย่างนี้ ผมจึงไม่กล้า กลัวจะเป็นโทษ" หลวงพ่อบอก ว่าอนุญาตแล้วไม่เป็นไร

ปกติเวลาหลวงพ่อนั่งหลับ หรือนั่งเฉยๆ หลับตา หรือลืมตาอยู่บนเครื่องบิน พอตื่นขึ้นมาจะเล่าว่าคุยกับพระมา และเคยพูดให้ฟังบ่อยๆ เวลาจะเข้าที่พักส่วนตัวเพื่อจำวัด เคยพูดว่า "ข้าต้องล็อคประตู เดี๋ยวใครเข้าไปเห็นนึกว่าข้าตายไปแล้ว" ครั้นเหตุการณ์นี้มาพบกับตัวเองจริงๆ นึกขึ้นมาเมื่อไรก็จำได้ว่าเคยประสบมากับตนเองแล้ว

เวลา ๙ พรรษาที่เข้ามาบวชอยู่ภายใต้ร่มโพธิ์ของหลวงพ่อ นับว่าเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิต เหตุการณ์ที่ประสบมาในแต่ละพรรษาล้วนแต่เป็นกาลเวลาที่พบกับบทเรียนที่ควรจดจำ ชีวิตแห่งการอุปสมบท เพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์ เป็นเรื่องละเอียดอย่างยิ่ง ไม่ใช่ของง่ายเลย หลวงพ่อสอนย้ำเสมอว่า

"การทำความดีทุกอย่างในชาตินี้ จงอย่าหวังสิ่งตอบแทนใดๆ จงคิดว่าเราทำเพื่อพระนิพพานเพียงอย่างเดียว คิดอย่างนี้แล้วใจจะเป็นสุข"

หลวงพ่อมีปฏิปทาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม มีความจริงใจที่จะช่วยเหลือบรรดาพุทธบริษัทให้พ้นจากการตกเป็นเหยื่อของอบายภูมิให้มากที่สุด โดยการส่งเสริมให้พุทธบริษัท รู้จักทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และได้เมตตานำความรู้แห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาพิชิตมารมาเผยแพร่ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้หลวงพ่อพร้อมเสมอที่จะให้ความกระจ่างทางธรรมแก่ผู้ที่มีความข้อง ใจได้ทุกแง่ทุกมุมอย่างบริบูรณ์

เปรียบเสมือนบ่อน้ำซึม อันผู้เดินทางไกลมา มีความเหน็ดเหนื่อย กระหายน้ำ สามารถตักน้ำดื่มให้ชื่นฉ่ำใจได้มากน้อยตามแต่ความต้องการ โดยไม่ต้องกลัวว่าน้ำนั้นจะมีวันหมดไปฉันใด อันความรู้และธรรมะที่มุ่งสู่การปฏิบัติ เพื่อความพ้นทุกข์ที่หลวงพ่อจะพึงมีและพร้อมที่จะยื่นให้แก่บรรดาพุทธบริษัท ผู้มีความศรัทธาปรารถนาจะรับเอาไปประพฤติและปฏิบัติก็ไม่มีวันหมดภูมิไปฉันนั้น

นับได้ว่าหลวงพ่อได้เป็นผู้ริเริ่มจุดดวงประทีปที่ส่องทางสว่างให้แก่ข้าพเจ้าเพื่อเดินออกจากที่มืดมาพบกับแสงสว่างแห่งธรรม อันเป็นแสงธรรมที่จะช่วยให้ข้าพเจ้าเดินออกจากการเวียนอยู่ในวัฏฏะทุกข์ นั่นคือแสงสว่างแห่งพระนิพพาน อันเป็นเป้าหมายที่ข้าพเจ้าต้องการ ฉะนั้นการที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบกับหลวงพ่อในชาตินี้ และได้รับฟังคำสอนโดยตรงในขณะที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ ถือว่าเป็นมงคลใหญ่ และนับว่าเป็นลาภอันประเสริฐสุดของข้าพเจ้า..

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/9/08 at 12:09



ความประทับใจต่อหลวงพ่อ


โดย...พระอาจินต์ ธัมมจิตโต

ข้าพเจ้ารู้จักชื่อหลวงพ่อในนาม "ฤๅษีลิงดำ" ตั้งแต่ปี ๒๕๒๐ ในหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน และเรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม ๑, ๒, ๓ เพียงได้อ่าน ๔ เล่มเท่านั้น ข้าพเจ้ามีควมประทับใจมาก มีความรู้สึกว่า พระองค์นี้มีความรู้ มีความฉลาด มีความสามารถอย่างแท้จริง และยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างมากอีกด้วย ที่กล้าด่านักบวชอลัชชีทั้งหลาย ที่บวชเข้ามาเพื่อมุ่งทำลายพระพุทธศาสนา บวชเข้ามาทำตัวเสื่อมเสีย และทำให้เสื่อมศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป ข้าพเจ้าชอบใจมากในความกล้าหาญของท่าน และในที่สุดก็ได้ตัดสินใจบวชและมาอยู่กับหลวงพ่อที่วัดท่าซุง

เมื่อมาบวชอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อ ก็ยิ่งเห็นปฏิปทาของหลงวพ่อมากยิ่งขึ้น หลวงพ่อแม้จะมีอายุกว่า ๖๐ ปีแล้ว แต่หลวงพ่อมีความขยันมาก กิจวัตรของท่าน ตอนเช้า ตอบจดหมายแก่ลูกหลาน และพุทธบริษัทที่ส่งเงินมาถวายหรือถามปัญหา เพล พักฉันภัตตาหาร บ่าย รับแขก เย็นพักผ่อน กลางคืน สอนกรรมฐาน เลิกจากกรรมฐาน หลวงพ่อเข้าห้องบันทึกเสียง อัดเทปคำสอน

สมัยนั้นเป็นคำสอนปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ข้าพเจ้าชอบใจมาก ไม่เคยได้ยินได้ฟังคำสอนอย่างนี้มาที่ไหนก่อนเลย ทำให้มีความเข้าใจในการ ปฏิบัติธรรมได้มาก ขันธ์ ๕ ที่ไม่เคยรู้จักก็ได้รู้ แยกเป็นอะไรบ้าง ก็รู้ และก็พยายามแยกแยะให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันคืออะไร ยิ่งอยู่นานไปก็ยิ่งเห็นชัดเจนขึ้นว่า หลวงพ่อไม่เคยว่างเลยทุกวินาทีของหลวงพ่อรู้สึกว่ามีความหมายมาก

ในด้านการปกครองนั้น หลวงพ่อก็มีความสามารถเป็นอย่างยิ่ง หลวงพ่อมีทั้งพระเดชและพระคุณ พระเดชนั้นไม่ต้องพูดถึง ใครๆ ก็รู้ว่า หลวงพ่อดุเพียงใด เรียกว่า ไม่ค่อยมีใครอยากอยู่ใกล้ๆ ถ้าเห็นท่าไม่ค่อยจะดี พระบางองค์โดนดุครั้งเดียว ป่วยไปหลายวัน แรกๆ ข้าพเจ้าก็คิดว่า ไม่น่าจะถึงขนาดนั้น แต่โดนเข้าบ้าง เจ้าประคุณเอ๋ย ไม่กล้าเจอหน้าเป็นปีๆ นี่คือ พระเดชของท่าน

ส่วนความเมตตานั้น มหาศาล ไม่รักเฉพาะคนเท่านั้น สุนัข ท่านก็รัก ปัจจุบันหลวงพ่อเลี้ยงสุนัขไว้เป็นร้อยตัว ตอนเช้าก็เอาขนมปังไปเลี้ยง ตอนเย็นกลับจากรับแขกก็เอาขนมไปเลี้ยงเป็นอย่างนี้ทุกวัน ตั้งหลายปีมาแล้ว ฉะนั้น ถ้าใครจะน้อยใจว่า หลวงพ่อไม่รัก ก็จงกลับใจเสียใหม่แม้แต่หมาหลวงพ่อยังรัก

เมื่อหลวงพ่อมีทั้งพระเดชและพระคุณ ทำให้ภายในวัดอยู่กันอย่างสงบและเรียบร้อย ทำให้คิดได้ว่านี่ขนาดหลวงพ่อองค์เดียวนะ ยังทำให้สถานที่อยู่มีความสุขสงบถึงเพียงนี้ ถ้าหากว่าที่พระนิพพานล่ะ มีพระอรหันต์มากมาย จะมีความสุขขนาดไหน จึงทำให้ ข้าพเจ้ามีความรักในพระนิพพานตั้งแต่บัดนั้น ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็ยังไม่มีการฝึกมโนมยิทธิ ไม่เคยเห็นพระนิพพาน แต่ก็รักพระนิพพานด้วยความคิดเปรียบเทียบเอาเอง

ยิ่งเมื่อหลวงพ่อสอนวิชามโนมยิทธิ ก็ยิ่งมีความมั่นใจขึ้นมาก ไม่สงสัย ไม่ท้อถอยในการปฏบัติธรรมอีกต่อไป จะทุกข์ จะยาก จะลำบากสักเพียงใด ก็จะดั้นด้นไปให้ถึงพระนิพพานให้จงได้ ยิ่งรู้ว่าหลวงพ่อป่วยอยู่เสมอแถมหลวงพ่อตายให้ดูหลายครั้ง ก็ยิ่งต้องเร่งรัดตัวเองมากขึ้นนึกถึงหลวงพ่อจะตายครั้งใด ใจก็หายเพราะกลัวไม่มีที่พึ่ง

แต่คิดอีกทีการอยู่ของหลวงพ่อ หลวงพ่อก็มีทุกขเวทนามากแต่ทั้งๆ ที่ป่วย และมีทุกขเวทนา หลวงพ่อก็ยังเมตตาพร่ำสอนอยู่เสมอมิได้ขาด โดยเฉพาะไปสอนที่ซอยสายลม ป่วยทุกครั้งก่อนไปแต่หลวงพ่อก็อดทนและเข้มแข็งมาก ความอดทนและเข้มแข็งของหลวงพ่อ ไม่รู้จะเอาอะไรเปรียบปาน พวกเราไม่ได้ในหนึ่งร้อยพันล้านของหลวงพ่อแน่ ทำให้สงสารและประทับใจหลวงพ่อมากยิ่งขึ้น

หลวงพ่ออยู่เพื่อสงเคราะห์พุทธ บริษัทและลูกหลานแท้ๆ บางครั้งหลวงพ่อเบื่อจะทิ้งสังขารไปแต่ก็ไปไม่ได้ ทั้งนี้ด้วยความรักและความกตัญญูต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ให้ช่วยทำงานพระศาสนา จึงคิดตั้งสัตยาธิษฐานบ้างว่า ถ้าลูกมีโอกาสมีความสามารถก็ขอช่วยงานพรศาสนาบ้าง ไม่รู้เพราะคำอธิษฐานแบบนี้หรือเปล่าทำให้ต้องพบกับข้อทดสอบที่หนักเหลือเกิน

แต่ข้อทดสอบของหลวงพ่อทำให้ประทับใจในหลวงพ่อมากขึ้น เพราะหลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ที่รู้ใจศิษย์มากกว่าเรารู้ใจตัวเองเสียอีก วันไหน คราวใดเดินออกนอกทางท่านก็ตบให้เข้าทาง ตบด้วยวาจาเท่านั้นแหละ แต่ว่ามันสะเทือนใจและได้คิด จุดไหน เราเกาะ ท่านก็เคาะให้หลุด แต่ตอนเคาะนี่ยิ่งกว่าตบนะ ถึงขนาดน้ำตาร่วงเชียวแหละ จุดไหนที่เราเดินถูกทาง ท่านก็ส่งเสริม ตอนส่งเสริม หลวงพ่อน่ารักมากเพราะท่านให้กำลังใจ แต่พอได้ดีแล้วเหลิงนี่ซิ โดนอีก คราวนี้หนักกว่าเก่าอีกหลายเท่า เพื่อให้ เรารู้สึก

เพราะฉะนั้น เป็นลูกศิษย์หลวงพ่ออย่าได้คิดว่า หลวงพ่อจะเอาใจตลอดไป มีคนหนึ่งบอกว่า ระวังนะหลวงพ่อท่านมีของเล่นเยอะ และเล่นโดยไม่กลัวศิษย์จะช้ำใจตายด้วย หลายๆ คนก็ผ่านเหตุการณ์ที่น่าจะช้ำใจมาแล้วมิใช่หรือ แต่อย่าคิดว่าหลวงพ่อใจร้ายนะ ถ้าหากเราผ่านข้อสอบได้ เราจะประทับใจในหลวงพ่อมากยิ่งขึ้น และจะลึกซึ้งประทับใจไปถึงพระธรรมและพระพุทธเจ้าเชียวละ

ข้าพเจ้าจึงภูมิใจที่มีครูบาอาจารย์อย่างหลวงพ่อ มีลีลาการสอนของท่านไม่ซ้ำแบบทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติ และยังแถมภาค ให้ข้อสอบอีกด้วย ถึงจะให้บรรยายไปอีกหลายหน้ากระดาษก็คงไม่จบความประทับใจที่มีต่อหลวงพ่อ หลวงพ่อเป็นพระอริยสงฆ์ที่น่าประทับใจและน่าจดจำ และระลึกไว้จนวันตายเชียวละ

เกิดมาทั้งทีได้พบพระอย่างนี้นับว่าเป็นบุญอันมหาศาล มิฉะนั้น คำว่า นิพพาน เราคงไม่รู้จัก และ นิพพานสามารถไปได้ในชาติปัจจุบัน เราก็คงไม่รู้ สมแล้วที่หลวงพ่อเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูที่ดำเนินตามปฏิปทาแห่งพระอริยสาวกในอดีต คือแนะนำว่า สั่งสอนธรรมให้ปฏิบัติตามธรรม และจะต้องมีพระอริยสาวกเกิดขึ้นอีกมากมายในปัจจุบันและอนาคต เช่นเดียวกับสมัยพุทธองค์ทรงมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน

ข้าพเจ้าขอยอมมอบกายถวายชีวิตแด่หลวงพ่อ ซึ่งเปรียบเสมือนไม้เท้าของหลวงพ่อ จะช่วยหลวงพ่อได้ทำงานพระศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดด้วยแรงกดดันและเสียอดสี แต่ก็สุขใจเมื่อไม้เท้านั้นอยู่ในอุ้งมือหลวงพ่อ วันใดวาระใดที่เดินผิดทางก็ขอพึ่งไม้เท้าหลวงพ่อนี้ได้หวดกระหน่ำเพื่อให้รู้สึกตัวว่าชั่วหรือดี เพียงแค่นี้ก็ประทับใจมากแล้ว.

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/9/08 at 12:10


ขบวนรถเที่ยวสุดท้าย
โดย... พระชัยวัฒน์ อชิโต
จาก...หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 5


ณ. สถานีรถไฟแห่งหนึ่ง ภายในบริเวณเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ต่างก็ทยอยกันมาเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปกับขบวนรถ ซึ่งจอดเทียบชานชลาสถานีอยู่ เพื่อรอเวลาที่จะเคลื่อนขบวนออกจากสถานี ไปยังจุดหมายปลายทางตามที่ตนต้องการ ผู้โดยสารชายหญิงต่างพากันเข้าแถวเพื่อรอซื้อตั๋วโดยสาร ผู้ที่มีตั๋วแล้วได้พากันไปขึ้นขบวนรถ เพื่อจับจองหาที่นั่งของตนให้เป็นที่เรียบร้อย

โดยเฉพาะขบวนรถนี้เป็นขบวนรถเที่ยวสุดท้าย จำเป็นต้องพ่วงตู้โบกี้ไว้หลายตู้ด้วยกัน จึงเป็นภาระหนักของผู้นำขบวนรถนี้ แต่ผู้โดยสารที่ร่วมเดินทางไปกับขบวนรถเที่ยวนี้ ต่างก็มีจุดหมายปลายทางไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ แล้วแต่ทุนรอนของแต่ละคนว่าจะมีพอไปได้แค่ไหน บางคนก็ไปได้ถึงจุดหมายปลายทาง บางคนต้องลงพักระหว่างทาง เพื่อสะสมทุนไว้รอรถขบวนเที่ยวต่อไป

ขณะที่ยังไม่ถึงเวลานั้น ทุกคนต่างก็นั่งรอด้วยใจจดใจจ่อ มองเห็นผู้ที่มาภายหลังก็กำลังยืนรอซื้อตั๋วอยู่ สังเกตได้ว่ามีผู้คนทยอยเข้ามาภายในสถานีแห่งนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ จนภายในสถานี แทบจะไม่มีที่จะเดิน ชานชลาแออัดในด้วยฝูงชน เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังเซ็งแซ่ไปหมด...

ขออภัย..! ระหว่างรอเวลาอย่าเพิ่งนั่งหลับเพลิน ที่อารัมภบทมาเสียยืดยาวนี้ ผู้อ่านทุกท่าน คงจะเดาได้ ผู้นำขบวนรถที่จะนำผู้โดยสารไปกับท่านนี้มิใช่ใครอื่น ต้องเป็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อของพวกเรา ตู้โบกี้ของท่านที่พ่วงไปจึงมีหลายตู้ เพราะผู้โดยสารมีหลายประเภทด้วยกัน โดยเฉพาะขบวนรถเที่ยวสุดท้ายของท่านนี้ นอกจากคณะของท่านเองแล้ว ยังต้องมีภาระคณะของท่านปู่พระอินทร์ คณะของหลวงปู่ปาน คณะของสมเด็จองค์ปัจจุบัน และในเวลานี้จะมีภาระ คณะของพระศรีอาริยเมตไตรย นับเป็นแสนคนอีกด้วย จึงนับว่าเป็นขบวนรถที่ยาวไม่ใช่น้อย...

คุณประโยชน์ของหนังสือ "ลูกศิษย์บันทึก"


เรื่องนี้ทำให้นึกถึงวันที่ ท่านศาสตราจารย์ ดร.ปริญญา นุตาลัย ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มพร้อมทั้งผู้ร่วมงานหลายท่าน เช่น คุณโสภิฏฐ์ สดสี (เหมี่ยว) เป็นต้น ได้นำหนังสือ "ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๓" ไปถวายหลวงพ่อดูเป็นตัวอย่างที่บ้านสายลม ในโอกาสที่หนังสือเพิ่งจะพิมพ์เสร็จ

หลวงพ่อท่านได้กล่าวกับท่านดอกเตอร์ว่า "หนังสือเล่มนี้ จะช่วยให้คน ๗๐๐,๐๐๐ คน ไปนิพพานได้ง่ายขึ้น..." จึงเป็นอันว่า การระดมนักเขียน (จำเป็นทั้งหลาย) เพื่อร่วมกันเปิดเผยความประทับใจในคุณวิเศษ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา นับว่ามีผลอย่างมหาศาล จัดว่าเป็น "ธรรมทาน" อันยิ่งใหญ่ ในการช่วยกระตุ้นกำลังใจ ให้เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อกัน ช่วยสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ในคณะศิษยานุศิษย์ ทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันว่าพวกเราทุกคน ต่างก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักครูบาอาจารย์เดียวกัน เหมือนกับว่าทุกคนได้เคยเดินทางร่วมกัน ไปกับขบวนรถเดียวกันฉะนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกศิษย์ของหลวงพ่อมีมากเหลือเกิน ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ตลอดทั่วทุกภาคของประเทศไทย บางคนอยู่ไกลไปถึงต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถจะรู้จักกันได้อย่างทั่วถึง บางท่านก็เพียงรู้จักหน้าตากันเท่านั้น แต่เพราะอาศัย "หนังสือลูกศิษย์บันทึก" เป็นสื่อสัมพันธ์ จึงทำให้ได้รู้จักกันโดยปริยาย ทำให้ทราบประวัติความเป็นมา ก่อนที่จะได้มาเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน แต่บางท่านเห็นรูปถ่ายในหนังสือ แล้ว ต้องนั่งนึกภาพอยู่นานจึงจะถึงบางอ้อ..! เพราะรูปถ่ายนี้คงจะถ่ายไว้เมื่อ ๒๐-๓๐ ปีก่อนเห็นจะได้...

จึงนับว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง จะบรรยายความจริงไปก็คงจะไม่หมด จึงขอลงเอาดื้อ ๆ ว่า...ขอโมทนากับทุกท่านก็แล้วกันนะ ทั้งท่านที่เป็นผู้ริเริ่มจัดทำ และท่านผู้เขียนที่ส่งมาร่วมกัน มีบางท่านก็ถวายทุนทรัพย์มาช่วยจัดพิมพ์ด้วย แต่ความจริงหลวงพ่อเป็นองค์อุปถัมภ์อยู่แล้ว ท่านจึงสั่งพิมพ์ไว้ให้มาก ๆ เพื่อให้เหลือไว้เป็นประวัติของวัดต่อไป จึงนับว่าเป็นสารประโยชน์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตเป็นอย่างยิ่ง

ด้วยเหตุนี้เอง "ผู้เขียน" ซึ่งได้ทำหน้าที่ไว้ในเล่มแรกมาบ้างแล้ว ต่อมาในเล่มที่ ๒ และเล่มที่ ๓ ได้ทำหน้าที่เป็นแต่เพียง "ผู้อ่าน" เท่านั้น จำเป็นต้องจับปากกาขึ้นมาเขียนอีก

ทั้งนี้ เนื่องจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ถึงแก่กาลมรณภาพไปตามอายุสังขาร ผู้เขียนจึงถือโอกาสนี้ เขียนขึ้นเพื่อน้อมถวายกุศล แทนเครื่องสักการบูชาอีกครั้งหนึ่ง จึงขอเริ่มเรื่องกันเลยดังนี้..
.
ช่างไฟจำเป็น

ตามปกติผู้เขียนไม่เคยมีความรู้ในทางช่างไฟฟ้ามาก่อน แต่สาเหตุที่จะต้องมาเป็น "ช่างไฟจำเป็น" นั้น ก็เพราะการตายของ "เจ๊จันทนา" เป็นเหตุ (ต้องขออภัยที่เรียก "เจ๊" เพราะเขานิยมเรียกกันอย่างนั้น) โดยในปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๒ หลังจากทราบข่าวเสียชีวิตแล้ว มีผู้มาเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อได้บอกไว้ที่บ้านสายลมว่า เจ๊จันทนาสามารถไปนิพพานได้ ขณะที่จิตออกไปจากร่างกายนั้น มีรัศมีกายสวยสว่างมาก ด้วยอานิสงส์ที่ได้ถวายโคมไฟระย้า ไว้ภายในมหาวิหาร ๑๐๐ เมตรนั่นเอง

เรื่องนี้ทุกคนคงจะทราบดี บางคนที่ได้มโนมยิทธิก็ยืนยันว่าเป็นจริงตามนั้น ส่วนพระบางองค์ ท่านปรารภว่า เราเป็นพระคงจะไม่มีทุนพอที่จะทำให้เหมือนเขาได้ ถึงกับคิดกันว่า การที่โคมไฟระย้าจะสว่างขึ้นได้นั้น จะต้องอาศัยเครื่องปั่นไฟฟ้า บางองค์ท่านก็บอกว่า เครื่องปั่นไฟฟ้าถ้าไม่มีน้ำมันเชื้อ เพลิง ก็ไม่สามารถทำงานได้ รวมความว่าต่างองค์ต่างหาวิธีตามที่กล่าวมานี้

ส่วนผู้เขียนก็ได้ร่วมทำบุญทุกอย่างเหมือนกัน แต่ยังไม่จุใจจึงคิดในใจว่า ถ้าเราได้มีโอกาสทำด้วยแรงกาย เช่นเดินสายไฟด้วยก็จะดี จะได้มีอานิสงส์ในด้านแสงสว่างยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้หวังอะไร จึงมิได้คุยให้ใครฟังเลย เพราะว่าในขณะนั้น ทางวัดได้ว่าจ้างช่างไฟไว้ประจำ และทำกันมานานนับสิบปีแล้ว เราคงจะไม่มีโอกาสเสียแล้ว หลังจากที่คิดไว้ในใจอยู่ไม่นาน

วันหนึ่งผู้เขียนก็ได้ทราบข่าวจาก หลวงพี่พระครูใบฎีกาประทีป มาบอกว่า "หลวงพ่อให้พระเดินสายไฟ..." ผู้เขียนได้ยินเช่นนั้นจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสตามที่คิดไว้ ทั้งไม่นึกว่าจะเป็นไปได้ ตามเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว และรู้สึกฉงนใจเป็นอย่างมาก ที่เรื่องนี้เราคิดไว้แต่เพียงในใจเท่านั้น ไม่เคยปรารภกับใครในเรื่องนี้เลย

ดังนั้น เมื่อท่านเปิดโอกาสให้เช่นนี้ ผู้เขียนจึงได้ถือโอกาสนี้ไปหัดเดินสายไฟรอบทางเดินวิหาร ๑๐๐ เมตร และที่อาคาร ๒๕ ไร่ โดยเริ่มงานในพรรษาปี ๒๕๓๒ หลังจากนั้นทางวัดก็มิได้จ้างช่างไฟไว้เลย โดยให้พระภายในวัดทำแทนตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา...

ถวายสังฆทานเพราะนางฟ้า

เหตุเกิดต้นเดือนกันยายน ปี พ.ศ.๒๕๓๓ เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปที่บ้านสายลม หลังจากหลวงพ่อสอนกรรมฐานประจำเดือนแล้ว ในตอนเช้าของวันอังคารที่จะเดินทางกลับวัด ขณะที่พระกำลังนั่งฉันภัตตาหารเช้าอยู่ภายในบ้านท่านเจ้ากรมเสริม คุณโยมปรุง ตุงคะเศรณี ได้ลงมาจากห้องของหลวงพ่อ ซึ่งเป็นเวลาที่ท่านฉันเสร็จแล้ว ได้มาเล่าให้พระที่กำลังนั่งฉันฟังว่า "ในตอนกลางคืนของวันจันทร์ หลังจากหลวงพ่อสอนกรรมฐานเสร็จแล้ว ก็มีการถวายสังฆทาน ก่อนที่จะมีการถามตอบปัญหาธรรมต่อไป ปรากฏว่ามีผู้หญิงสาวคนหนึ่งใส่ชุดขาว หิ้วของสังฆทานเข้ามาถวายหลวงพ่อ

หลวงพ่อท่านได้เล่าให้ฟังว่า ในขณะนั้นท่านมองเห็นผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามาแต่ไกล ก็มีความสงสัย จึงคิดว่าเป็นท่านแม่ศรี หรือเป็นเจ๊จันทนา (เวลานั้นเจ๊เสียชีวิตแล้ว) แต่ทว่าท่านแม่ศรีและเจ๊จันทนา ก็ยังอยู่ข้าง ๆ ท่าน ในเวลานั้นใกล้ที่จะถามปัญหากันแล้ว คนที่ถวายสังฆทานยังเดินมาเรื่อย ๆ แต่ไม่มาก ในขณะที่หลวงพ่อนั่งก้มหน้ารับสังฆทาน ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเข้ามาถวาย เมื่อเธอถวายแล้วก็หมุนตัวเดินตามคนอื่นออกไป หลวงพ่อแหงนหน้าขึ้นมาจะมอง ปรากฏว่าไม่เห็นตัวเสียแล้ว

รุ่งขึ้นเช้าของวันอังคาร หลวงพ่อกำลังจะเข้าห้องน้ำ ท่านย่ามาถามหลวงพ่อว่า "รู้ไหมว่าคนเมื่อคืนนี้เป็นใคร?" เมื่อหลวงพ่อตอบว่าไม่รู้ ท่านย่าจีงบอกว่า "เธอเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กำลังจะตัดไปนิพพานเลย แต่ขาด "ทานบารมี" อยู่นิดหน่อย จึงได้ลงมาถวายสังฆทานกับท่าน..."

เรื่องนี้ผู้เขียนก็ได้สอบถาม ท่านพระครูสมุห์อาจินต์ ซึ่งในเวลานั้นนั่งอยู่ข้างหลวงพ่อ ท่านพระครูบอกว่าเห็นเหมือนกัน เป็นผู้หญิงสาวหน้าตาดีใส่ชุดขาว โยมปรุงเป็นผู้เล่าถึงกับบอกว่า ต่อไปถ้าผมมาบ้านสายลมทุกเดือน ผมจะต้องถวายสังฆทานทุกครั้ง หลังจากหลวงพ่อออกจาสมาบัติแล้ว ซึ่งรวมทั้งผู้เขียนเองด้วย บางทีก็ฝากเขาเข้าไป ด้วยคิดว่า นางฟ้าท่านมีใจเป็นทิพย์ ท่านต้องรู้วาระดีว่า เวลาไหนควรจะทำบุญแล้วได้อานิสงส์มาก ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ของมาก จะเป็นของน้อยหรือของมากไม่สำคัญ ขอให้ทำบ่อย ๆ ให้ถูกกาลเวลา ก็จะได้อานิสงส์มาก เช่นเดียวกับท่านเป็นตัวอย่าง

ผู้เขียนถือเรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจ โดยคิดว่า ท่านเป็นนางฟ้ายังอุตส่าห์ย่องมาทำบุญได้ เราเป็นคนทั้งทียังมีชีวิตอยู่ ยังมีโอกาสสร้างความดี บางทีอาจจะมีมากกว่าท่านก็ได้ ทำไมถึงจะต้องปล่อยโอกาสให้พลาดไปเช่นนี้ ใช่ไหมล่ะ...ท่านผู้อ่าน!

หลวงพ่อสงเคราะห์ผู้ที่จะลงข้างล่าง

อีกประการหนึ่ง ในเรื่องการสงเคราะห์ของหลวงพ่อ ท่านมิใช่จะสงเคราะห์เฉพาะเพียงแค่นี้ แม้แต่ผีที่ตายไปแล้ว ที่ได้รับความทุกข์ยากลำบาก ท่านก็มีส่วนช่วยอนุเคราะห์ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในวันทำบุญออกพรรษาเมื่อปี ๒๕๓๓ ขณะที่ท่านเทศน์บนธรรมาสน์ให้ญาติโยมทั้งหลายฟังที่ศาลาพระพินิจอยู่นั้น ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ในเวลานี้มีผีมาขอส่วนบุญจำนวน ๗๐๐,๐๐๐ คนเศษ

หลวงพ่อจึงได้ถามหัวหน้าที่มาว่า "วันนี้ตามวัดต่าง ๆ เขาก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย ทำไมไม่ไปที่อื่นกันล่ะ " ผู้เป็นหัวหน้าตอบว่า "กลุ่มอื่นที่เขาแยกไปก็มีบ้าง ไปตามแต่ละสายของเขา แต่ส่วนใหญ่พวกผมตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะครับ" เมื่อพวกเขาเหล่านั้นอนุโมทนาส่วนกุศล ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายอุทิศให้แล้ว หลวงพ่อจึงได้บอกว่า "จำนวนทั้งหมดที่มานี้ ๑ ใน ๔ ส่วน ไปอยู่ชั้นยามา ส่วนที่เหลือทั้งหมดไปชั้นดาวดึงส์"

ต่อมาได้มีการบำเพ็ญกุศลเนื่องใน วันมาฆบูชา ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๘ ก.พ.๒๕๓๔ ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน อันเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา หลวงพ่อบอกว่า "วันนี้พระยายมไม่ทำงาน ได้ปล่อยบรรดาพวกที่ตายไปแล้ว ที่รอการสอบสวนมาคอยรับการโมทนา ประมาณล้านเศษคน" เมื่อทุกคนที่บำเพ็ญกุศลแล้ว ได้อุทิศส่วนกุศลนั้นให้ทันที

หลวงพ่อจึงได้บอกว่า "๓ ใน ๔ ส่วนนี้ เป็นเทวดาและนางฟ้าทั้งหมด แต่มีอีก ๓ คน มีกรรมหนักเพราะฆ่าควายไว้ หลวงพ่อต้องแผ่บุญพระกรรมฐานให้ จึงพอจะช่วยได้" (ข้อมูลเหล่านี้บันทึกไว้โดย พระใบฎีกาเล็ก) จึงจะเห็นได้ว่า หลวงพ่อมีความเมตตาอนุเคราะห์ ไม่ว่าผีหรือคน หรือแม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน อย่างน้อยก็สงเคราะห์ให้ไปเกิดบนสวรรค์ได้ ในวัดนี้ท่านจึงสั่งให้พระเลี้ยงสุนัข ท่านบอกว่า "มันเป็นด่านป้องกั้นเราไม่ให้ลงนรกได้..."

หลวงพ่อสงเคราะห์ผู้ที่มาจากข้างบน

ส่วนอีกกรณีหนึ่ง คือผู้ที่มาจากสวรรค์หรือพรหมอีกล่ะ ท่านมีส่วนช่วยสงเคราะห์ด้วยหรือไม่... ท่านผู้อ่านคงจะคิดว่า พวกที่มาเกิดเป็นคนใช่ไหมล่ะ...เรื่องมาเกิดเป็นคนนั้นไม่มีปัญหา แต่มาเกิดเป็น "หมา" หรือสุนัขนี่ซิ...ที่มีปัญหา?

เพราะอะไรล่ะ...เพราะเหตุว่าท่านมิได้มองแต่กายภายนอกของมันเท่านั้น แต่ท่านมองเข้าไปถึงใจ โดยย้อนกลับไปถึงในอดีต ถ้าท่านผู้อ่านได้อ่านบันทึกในตอนนี้แล้ว ท่านจะเข้าใจยิ่งขึ้นว่า "ทำไมหลวงพ่อจึงให้ความอนุเคราะห์เป็นอย่างดี ทั้งที่อยู่หลับนอน ถึงกับตั้งกองทุนไว้สำหรับเป็นค่าอาหารสุนัข โดยแยกบัญชีไว้ต่างหาก...?"

ก่อนที่จะอ่านบันทึกของท่านนั้น จะขอเริ่มแนะนำดารา ๒ ท่านแรกเสียก่อน มีชื่อว่า "เจ้านาก" และ "เจ้านิล" เจ้านากเป็นสุนัขเพศเมียมีลักษณะสีแดง ส่วนเจ้านิลเป็นสุนัขเพศผู้มีลักษณะสีดำทั้งสองได้ให้กำเนิดลูกเป็นครอกแรก นับตั้งแต่มาอยู่กับหลวงพ่อที่ตึกกลางน้ำ เป็นจำนวน ๖ ตัว อันมีรายละเอียดที่ท่านบันทึกไว้ เมื่อวันที่ ๑๙ พ.ย.๒๕๒๗ ดังนี้

ประวัติยามรักษาการณ์

เจ้ายามต้นทั้งสอง คือ "เจ้านาก" และ "เจ้านิล" และยามต้นที่มาภายหลังอีก ๖ ทั้งหมดนี้ เคยเป็นทั้งลูกและพาหนะในการรบ จึงสามารถสู้ศึกสงครามได้ เพราะเธอจะไม่กลัวตายเมื่อเข้าทำการรบ ทั้งนี้เพราะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข แต่นิสัยมันไม่เหมือนกัน เจ้านากมันเจ้าอารมณ์ เจ้านิลเป็นคนมีนิสัยเป็นนักพรต แต่ทว่าฉลาดในการดูคน ทั้งสองก็เช่นเดียวกัน ควรระมัดระวังเรื่องอาการทางกายและวาจาของเรา เพราะเธอรู้ภาษาคนทุกถ้อยคำ

ฉะนั้น จึงขอให้ทุกคนจงสนใจเอาใจใส่ อย่าให้เธออดอยากและลำบากใจ ด้วยการทำทางกายและการกล่าวทางวาจา ด้วยทั้งหมดและที่อยู่อาศัยอันแสนสุขลงมาช่วยงานสงฆ์ เธอจะทำได้ ตามความสามารถของเธอ ให้มีความรู้สึกว่าเป็นพี่น้องกันมาทั้งหมด การสัมพันธ์กันจริง ๆ นั้น หลายแสนชาติ เอาชาติที่ใกล้ที่สุดก็คือ "ชาติเชียงลาว และเชียงแสน"

เชียงลาวนั้น "ลาว" แปลว่า " มหาอำนาจ " ซึ่งเป็นที่ตั้งของเชียงใหม่ บริเวณ กองพันสัตว์ต่าง เป็นที่พระราชฐาน เรามาครองก่อนครองเชียงแสน เธอทั้ง ๖ มาเป็นลูกในวงศ์ของพ่อเดียวกัน กับพวกเธอ จึงควรนับทั้งหมดกับเธอเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน ให้ถนอมน้ำใจกันเหมือนพี่น้องที่รักกัน

ที่มาของยามต้นทั้ง ๖ ที่มาภายหลัง คือ

๑. แก้ว สีเทามีขาวปน มาจากพรหมชั้นที่ ๔
๒. พลอย สีเทา มาจากพรหมชั้นที่ ๔
(ทั้งสองนี้เดิมอยู่ชั้นยามา บำเพ็ญเพียรจนไปอยู่พรหม เธอรับอาสา "ท่านปู่โกสีห์" มาช่วยอารักขา)
๓. กาญจน์ สีแดง มาจากพรหมชั้นที่ ๗
๔. มณี สีดำสนิท เป็นตัวเอกมาจากพรหมชั้นที่ ๗
(ทั้งหมดนี้ขึ้นไปพรหมด้วยกำลังฌานตั้งแต่เริ่มต้นไป)
๕. เงิน สีขาวดอก เดิมอยู่เวชยันตวิมาน เธอไปบำเพ็ญเพียรจนไปอยู่ชั้นยามา
๖. แหวน สีขาว เธออยู่ชั้นยามาโดยตรง (ทั้งสองนี้รับอาสาท่านปู่ยามา มารักษาของสงฆ์)

คำว่า ๓๐ ไมล์สวรรค์

๓๐ ไมล์สวรรค์ หมายถึงชั่วโมง (แม่ว่ามาอย่างนี้ พ่อผู้เขียนตามคำบอก ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน) "๓๐ ไมล์สวรรค์ของแกน่ะแหละ..." สำหรับบริวารก็มาเกิดกันมาก ภายในวัดมีหลายครอก แต่บางตัวก็แซมมาจากพันธุ์อื่นบ้าง ควรให้ความเมตตาปรานีเสมอกัน อย่าคิดว่า..."เธอเป็นหมา..!" จงคิดว่าเธอเป็นยามรักษาความปลอดภัย ควรหาของที่ชอบใจให้รางวัลเสมอ จะมีประโยชน์ทั้งมีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว ตายจากโลกนี้เมื่อไร จะรู้ว่าการสงเคราะห์เธอเหล่านั้น เรามีกำไรมหาศาล

"เจ้าเจ๊" กับ "เจ้าม่วย" เจ้าสองตัวนี้มาจากดาวดึงส์ทั้งคู่ ปกติมันช่างพูด แต่เจ้าม่วยจะช่างพูดมากกว่า เจ้าเจ๊อารมณ์เข้มข้น อย่าให้มันโกรธ มันเอาจริงจัง "เจ้าตุ้ม"หรือ "เจ้าตุ้ย"นั้น มันก็มาจากดาวดึงส์ แต่เป็นเทวดาขี้โอหน่อย งานดี แต่ชอบสวยงาม ทั้งนี้เป็นวงศ์วานเผ่าพันธุ์เดียวกันทั้งนั้น"เจ้าม่วย"กับ "เจ้าเจ๊"เป็นพี่น้องกับ "คุณตี๋"มาหลายสิบชาติ จึงรักกันมาก เขาตั้งใจมาช่วยคุณตี๋ พ่อเรียก..."ตี๋" นั้นถูกแล้ว เพราะเกิดกี่ชาติเป็นลูกแม่ เธอก็อยู่ในสภาพตี๋ทุกชาติ



ศรีระจิตรสั่งลูก...(ลูกคน!)

"บอกเจ้าลูก...มันด้วยว่า เจ้าเหนื่อยเพื่อพ่อมาก แม่จะช่วยเจ้าทุกอย่างที่เจ้าต้องการ เรื่องความจนจริง ๆ เหมือนคนอื่นไม่มี ถ้าเจ้าทำดีเพื่อพ่อ มีแต่จะรวยมากขึ้นตามลำดับ บางคราวคับขันบ้างจงอย่าบ่น เพราะเป็นกรรมใหญ่ที่เข้ามาตัดริดรอน แต่ทำอะไรมากไม่ได้ ทำได้แต่เพียงให้กลุ้มบ้างพอควร ลูกคนอื่นก็เหมือนกัน ใครเหนื่อยเพื่อพ่อมากคนนั้นรวยมาก ใครเหนื่อยน้อยก็รวยน้อย...

แม่จะให้รวยตามกำลังเหนื่อยให้เหมือนกันไม่ลำเอียง ทั้งนี้ไม่ใช่เกณฑ์ให้เหนื่อย แม่หมายถึงเหนื่อยมาแล้วและเต็มใจเหนื่อยต่อไป เมื่อลูกเหนื่อยเพื่อพ่อแทนแม่ แม่ก็ต้องมีรางวัลให้ตามความเหนื่อยเหมือนกันทุกคน มีทางได้เงินเรื่อยไม่ต้องกลัวจน แต่ถ้าใช้ไม่ประหยัดก็ไม่เหลือ...

เป็นอันว่า ประวัติของยามรักษาการณ์ (อาสาสมัครมาเป็นพิเศษ) ก็ต้องยุติลงตรงโอวาทของ "ท่านแม่" ไว้เพียงแค่นี้ แต่เนื่องจากตามบันทึกได้กล่าวถึง "เชียงลาว"หรือ "เชียงใหม่" ในปัจจุบันนี้ ผู้เขียนจึงอยากจะวกเข้าหาเรื่องของ "ประวัติศาสตร์" กันบ้าง



ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์

ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่งใน "ฤาษีทัศนาจร" โดยจะคัดเฉพาะตอนสำคัญที่หลวงพ่อเล่าไว้ มาให้อ่านกันก่อน แล้วผู้เขียนจะนำเรื่องที่ปรากฏเป็นหลักฐานในทางประวัติศาสตร์ เช่น พงศาวดาร เป็นต้น มาเทียบเคียงกัน เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้วินิจฉัยก่อนจะถึงตอนนั้น ต้องขอย้ำอีกสักครั้งว่า การบันทึกเทปหรือการเทศน์ของหลวงพ่อนั้น พวกเราคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ท่านไม่ได้เปิดตำราพูด ส่วนท่านจะถ่ายทอดมาจากใครนั้น คิดว่าคงไม่จำเป็นต้องกล่าวอีก แต่จะขอนำมาแสดงไว้เป็นตัวอย่าง ดังนี้...



ประวัติพระธาตุดอยสุเทพ


"...มอง ๆ ดูที่ดอยสุเทพว่า พระธาตที่ดอยสุเทพน่ะ ปรากฏขึ้นมายังไง หันไปดูประวัติ ใครเขาเล่าให้ฟังก็ไม่รู้ จริงหรือไม่จริง ก็เป็นเรื่องของคนที่เล่าให้ฟัง แกโกหกมาลิงก็โกหกไป ถ้าแกพูดจริงมาลิงก็พูดจริงไป เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้นะ จะเล่าให้ฟังตามที่เขาพูดมา...

เขาว่ามีพระราชาองค์หนึ่ง มีพระนามว่า พระเจ้ากือนา เป็นโอรสของพระเจ้าผายู หรือ พระเจ้าตายู แล้วก็ พระนางจิตราราชเทวี ซึ่งเป็นราชธิดาของ เจ้าวัวเถลิง เจ้านครเชียงของ ในเวลานั้น พระองค์ทรงมีพระอนุชาร่วมพระอุทรอีกองค์หนึ่ง คือ ท้าวมหาพรหม หรือ "เจ้ามหาพรหม"

พระเจ้ากือนานั้น ประสูตเมื่อ พ.ศ.๑๘๘๓ เมื่อทรงพระเยาว์ทรงพระนามว่า "พ่อท้าวพันตู" ต่อมาเจริญวัยแล้วมีนามว่า "พ่อท้าวเวสภู" พระราชบิดาพระราชทานที่ดิน ที่ดินพันนาให้หนึ่งตื้อ จึงมีพระนามเปลี่ยนไปอีกว่า "พ่อท้าวตื้อนา" เมื่อพระเจ้าผายูพระราชบิดา เสด็จมาประทับอยู่ที่นครเชียงใหม่ พอพ่อท้าวตื้อนา หรือพ่อท้าวกือนาเจริญพระชันษายิ่งขึ้น ก็โปรดให้ไปครอง เมืองชัยบุรีเชียงแสน ครั้นพระเจ้าผายูสวรรคต เมื่อ พ.ศ.๑๘๙๙ พ่อท้าวกือนาก็เสวยราชย์ มีพระนามว่า "พระเจ้ากือนา" ขณะนั้นมี พระชันษาได้ ๑๖ ปี มีพระมเหสีชื่อว่า "สุนทราราชเทวี"

เมื่อพระเจ้ากือนาเสวยราชย์แล้ว ก็โปรดให้พระอนุชา คือพ่อท้าว หรือ "พระเจ้ามหาพรหม" ไปครอง เมืองเชียงราย ในสมัยของพระองค์นั่นเอง ได้ทรงกระทำสัมพันธไมตรีกับ พระเจ้าเลอไทย กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยเป็นอันดี ทรงมีพระราชประสงค์จะได้พระสงฆ์ ฝ่ายอรัญวาสี คือพระนิยมอยู่ป่า มาอยู่ในเมืองเชียงใหม่

ครั้นได้ทราบว่า พระสุมนเถระแห่งกรุงสุโขทัย ซี่งเป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี เพราะได้ศึกษาพระธรรมจากสำนักครูหลายสำนัก ครั้งสุดท้ายยังเคยได้ไปศึกษาพระธรรมกับ ท่านมหาสามีอุทุมพร ซึ่งขณะนั้นกลับจากลังกาทวีปมาอยู่ ณ รัมนประเทศ (เมืองมอญ) คือที่เมาะตะมะอีกด้วย..."

เนื้อความที่ท่านเล่ายังมีอีก แต่ของดไว้เพียงเท่านี้ ต่อไปจะนำ "หนังสือประวัติศาสตร์" มาเทียบเคียงกับเรื่องที่หลวงพ่อเล่าไว้นี้ ซึ่งมีอยู่ในแต่ละเล่มไม่เหมือนกัน ดังนี้...



จากหนังสือ "พงศาวดารโยนก"
"...ท้าวผายู (แต่ใน "ตำนานพระพุทธสิหิงค์" ชื่อ พระเจ้าตายุมหาราช) ให้ราชบุตรของตน ชื่อ "พ่อท้าวตื้อนา" อยู่รักษานครพิงค์เชียงใหม่ต่างพระองค์ พระยาผายูเจ้านครพิงค์เชียงใหม่ มีราชบุตร ๒ องค์ เกิดแต่ พระนางจิตราเทวี ราชธิดา เจ้าวัวเถลิง ผู้ครองนคร เชียงของราชบุตรองค์โตทรงนามว่า "พ่อท้าวตื้อนา" ภายหลังเรียกว่า "พ่อท้าวกือนา" พระราชบุตรองค์น้อยนั้น ทรงนามว่า "พ่อท้าวมหาพรหม"

เมื่อพระเจ้าผายูได้ครองราชสมบัติ ณ เมืองนครพิงค์เชียงใหม่แล้ว จึงให้ราชบุตรองค์ใหญ่ ชื่อพ่อท้าวกือนาไปครองเมืองชัยบุรีเชียงแสน ให้พ่อท้าวมหาพรหมราชบุตรองค์น้อยไปครองเมืองเชียงราย..."



จากหนังสือ "ชินกาลมาลีปกรณ์"

หนังสือเล่มนี้ ท่านรัตนปัญญาเถระ ชาวเมืองเชียงใหม่ ได้รจนาเป็นภาษาบาลี เมื่อ พ.ศ.๒๐๖๐ ซึ่งแปลโดย ศาสตราจารย์ ร.ต.ท.แสง มนวิทูร มีใจความเฉพาะตอนนี้ว่า

"...พระเจ้าผายู ครองราชสมบัติได้ ๒๐ ปีเต็ม สวรรคตเมื่อ จุลศักราช ๗๑๗ (พ.ศ.๑๘๙๙) พระเจ้ากือนาประสูตเมื่อ จุลศักราช ๗๐๑ (พ.ศ.๑๘๘๓) ได้ทรงกระทำราชาภิเษก เมื่อพระชนมายุ ๑๖ ปี และพระเจ้ากือนาโปรดให้ เจ้ามหาพรหม ผู้เป็นอนุชาของพระองค์ ครอง เมืองเชียงราย

ครั้งนั้น เมื่อสุโขทัยสยามประเทศ มีกษัตริย์พระนามว่า "ธรรมราชา" (ผู้แปลหนังสือเล่มนี้ วินิจฉัยว่า หมายถึง พระเจ้าเลอไทย) ครองราชย์สมบัติอยู่ ฝ่ายพระเจ้ากือนามหาราช ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีพระประสงค์จะให้พระภิกษุ อรัญวาสี มาอยู่เชียงใหม่ ทรงพระดำริมาช้านานแล้ว

ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระสุมนเถระ ชาวเมืองสุโขทัยไปเมืองอโยชชปุระ แล้วเล่าเรียนพระธรรมในสำนักครูหลายครู แล้วกลับมาเมืองสุโขทัยอีก ครั้งนั้น พระมหาสามี ชื่อ "อุทุมพร" มาจากลังกาทวีปสู่ รัมมนะประเทศ ..."





(พระเดชพระคุณหลวงพ่อนั่งเรือพายหน้าพระจุฬามณี น้ำท่วมเมื่อปี 2523)

การนำข้อมูลที่เป็นหลักฐานในทางด้านประวัติศาสตร์ ต้องขอยุติไว้เพียงแค่นี้ ท่านผู้อ่านพอจะวินิจฉัยได้ว่า ตามที่หลวงพ่อใช้ความรู้ในทางพุทธศาสตร์ สามารถย้อนวิชาประวัติศาสตร์ได้อย่างถูกต้องที่สุด

ตามที่ได้เน้นตัวอักษรไว้เป็นที่สังเกตุนั้น แม้แต่ชื่อและ พ.ศ. ก็ไม่มีการคลาดเคลื่อนเลย แถมได้ความรู้ที่นอกเหนือจากตำราอีกหลายอย่าง เช่น พระนามของพระมเหสีของพระเจ้ากือนา คือ "สุนทราราชเทวี" และยังมีเรื่องอื่นอีกมากที่ตรงกันอย่างนี้ แต่ต้องของดไว้เพียงนี้

ฉะนั้น การที่นำเรื่องนี้มากล่าว ก็เพื่อความเข้าใจของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ส่วนใหญ่ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมีความเข้าใจดีแล้ว แต่ก็เผื่อบางท่านในกาลต่อไปที่ยังไม่เข้าใจ อาจจะคิดว่าท่านเล่าไว้เป็นนิยาย จะเล่ายังไงก็ได้ไม่มีใครพิสูจน์

เพราะเหตุนี้ เพื่อความมั่นใจของท่านทั้งหลาย ผู้เขียนจึงได้นำเอามายืนยัน อันเป็นหลักฐานในทางโบราณคดี ซึ่งเป็นที่นิยมของนักค้นคว้าทางด้านประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่แน่เสมอไป บางทีความรู้ "นอกตำรา" ของท่านก็มีเหตุผลดีกว่า

อีกประการหนึ่ง ถ้าหลวงพ่อเล่าไปตามตำราในขณะนั้น ก็เป็นไปได้ยาก เพราะคงจะต้องเปิดตำรากันหลายเล่ม แล้วจึงนำมาเรียบเรียงต่อเนื่องกันอย่างนี้ โดยเฉพาะเรื่องที่ท่านเล่านี้ ผู้เขียนจะต้องไปค้นคว้าหาหลักฐานมาประกอบตั้ง ๒-๓ เล่ม จึงจะได้ครบตามที่ท่านเล่าไว้ เรื่องนี้จึงเป็นอันว่า หลวงพ่อเล่าไว้ตรงกับตำรา ซึ่งได้บันทึกไว้ตรงตามความเป็นจริง แต่ยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ไม่สามารถจะบันทึกได้ นั่นก็คือ...เรื่องของ "พระเจ้าตากสิน"

เรื่องนี้พวกเราทุกคนคงจะทราบความจริงจากหลวงพ่อไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องนำมากล่าวอีก แต่ที่อยากจะเพิ่มเติมอีกสักนิด คือเมื่อวันทำบุญเพื่อถวายพระราชกุศลให้พระเจ้าตากสิน ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๓๔ ที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ในขณะนั้นหลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า ท้าวเวสสุวัณมาบอกว่า พระเจ้าตากสินเคยเกิดในสมัยพุทธกาล ชื่อว่า "พันธุลเสนาบดี" ในขณะที่เล่า พระเจ้าตากสินท่านก็ยอมรับว่าเป็นความจริง แต่เรื่องราวของท่านที่บันทึกไว้ ยังไม่ตรงตามความเป็นจริงนัก

สำหรับตอนนี้ผู้เขียนขอย้อนประวัติ ของท่านพันธุลเสนาบดีสักเล็กน้อย เพื่อท่านผู้อ่านบางท่าน อาจจะไม่ค่อยจะรู้จักท่าน จะได้นำเรื่องราวมาประกอบในการพิจารณา จึงขอนำมาจาก "ธรรมบท" ให้ทราบไว้ดังนี้..
.
ประวัติท่านพันธุลเสนาบดี

ท่านพันธุละเป็นโอรสของ เจ้ามัลละ ในเมืองกุสินารามหานคร เป็นพระสหายร่วมสำนักอาจารย์เดียวกันกับ พระเจ้าปเสนทิโกศล ตั้งแต่ครั้งที่เสด็จไปเรียนศิลปะที่เมืองตักศิลา ต่อมาเห็นว่าพวกตระกูลมัลละไม่จริงใจต่อตน จึงเสด็จมาเป็นเสนาบดีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่กรุงสาวัตถี ท่านเสนาบดีพันธุละมีภรรยา ชื่อว่า "นางมัลลิกา" (ชื่อเดียวกับพระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล)

นางมัลลิกามีเครื่องลดามหาปสาธน์ เช่นเดียวกับ นางวิสาขา หลังจากสมเด็จพระบรมศาสดาปรินิพพานแล้ว ขณะที่ขบวนแห่พระบรมศพเข้าไปในเมืองกุสินารานั้น นางมัลลิกาได้นำเครื่องมหาลดาปสาธน์ของตน เข้าไปคลุมพระบรมศพเป็นพุทธบูชา ในธรรมบทเล่าเรื่องต่อไปว่า

ท่านพันธุลเสนาบดีกับนางมัลลิกาเทวี มีบุตรด้วยกัน ๓๒ คน บุตรทั้งหมดมีความแกล้วกล้าเช่นเดียวกับบิดา วันหนึ่ง พวกชาวเมืองที่แพ้คดี เพราะการตัดสินที่ไม่ยุติธรรมของอำมาตย์ผู้พิพากษา ท่านพันธุละ จึงได้พิจารณาคดีใหม่ให้เป็นผู้ชนะ ต่อมาจึงได้เป็นผู้วินิจฉัยคดีแทนอำมาตย์ผู้วินิจฉัยเดิมขาดผลประโยชน์ ยุยงพวกราชตระกูลว่า พันธุละปรารถนาจะเป็นพระราชา พระราชาทรงเชื่อคำของอำมาตย์เหล่านั้น จึงทรงออกอุบายให้ท่านพันธุละพร้อมกับบุตรทั้ง ๓๒ คน ไปปราบโจรที่ชายแดน แล้วสั่งทหารผู้ใหญ่ติดตามไปด้วย

เมื่อท่านพันธุลเสนาบดีปราบปรามโจรผู้ร้ายแล้ว ทหารเหล่านั้นก็ตัดศีรษะพันธุละพร้อมกับบุตรทั้งหมด ในที่ใกล้พระนครนั้น

เรื่องที่มีมาขอนำมาให้ทราบไว้เพียงเท่านี้ แต่ท่านมาเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า เหตุการณ์จริง ๆ นั้น ทุกคนไม่มีใครตาย เป็นละครฉากหนึ่งที่รู้กันทั้งนั้น ซึ่งละครฉากนั้นก็กลับมาคล้ายกับ ละครฉากสมัยที่เกิดเป็นพระเจ้าตากสินอีก

เมื่อหลวงพ่อฟังท่านเล่าจบ ถึงกับปรารถว่าเป็นเรื่องแปลกจริง ๆ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเช่นกัน ทั้งนี้ท่านคงหมายถึงว่า คงไม่ใช่อุปาทานอย่างแน่นอน จึงขอฝากเรื่องนี้ไว้ในวิจารณญาณ ของท่านผู้อ่านไว้เพียงเท่านี้

โอวาทที่มีความประทับใจ

ต่อไปจะเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์เหมือนกัน แต่เป็น "โอวาท" เก่า ๆ ของท่าน ซึ่งควรจะนำมาเทิดทูนไว้เป็นหลักฐาน อันเป็นเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เผื่อท่านผู้อ่านชอบใจจุดไหน ก็จะได้บันทึกไว้เป็นความประทับใจของตนเอง เอาเฉพาะใจความสั้น ๆ ดังนี้...

มหาสติปัฏฐาน ปี ๒๕๑๗

"เมื่อคืนนี้กลับไปที่กุฏิ ตอนหัวค่ำพระท่านมาบอกว่า การสอนศีล สมาธิ ปัญญา ให้รู้จักเอาศีลขังตัญหา สมาธิกดคอตัณหา ปัญญาห้ำหั่นตัณหา คือฟันเป็นท่อนเป็นตอน ท่านว่าอย่างนั้น ผมก็ยังต้องเรียนเหมือนกันนะ

แต่ว่าตอนเช้ามืดท่านมาบอกอีกจุดหนึ่งว่า คนที่เห็นอริยสัจนี่ ถ้าเราพูดตามแบบแล้ว เห็นยาก ให้หาจุดปลายจริง ๆ ก็คือ มรณานุสสติ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์..."

พยากรณ์ คืนวันที่ ๑๗ มี.ค.๒๕๑๘

"...ถ้าพระไม่บอก ก็ไม่บอก อาตมาก็ไม่พูด สำหรับวันนี้ตอนท้ายท่านมาสั่ง บอกว่า.."อารมณ์ ๓
๑. พิจารณาว่าเราต้องตายเป็นปกติ เพราะความตายเป็นธรรมดา ความเกิดแล้วต้องตาย ทำอารมณ์ใจไว้
๒. เราจะทรงศีล ๕ บริสุทธิ์
๓. มีนิพพานเป็นที่ไป

การกำหนดจิตไว้ทั้ง ๓ นี้ พระท่านบอกว่า พุทธบริษัทที่มานั่งอยู่ที่นี่เกือบทั้งหมด หรืออาจทั้งหมดก็ได้ มีโอกาสทุกคน คือตั้งใจไว้วันละเล็กละน้อย คือวัน ๆ หนึ่งให้นึกถึงอารมณ์ ๓ ประการนี้ไว้

ท่านถือว่าผลจะเกิดขึ้นแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าหากว่าอารมณ์ทั้ง ๓ นี้ มีปรากฏกับใจ สำหรับท่านพุทธบริษัทที่มาอยู่แล้ว มีอยู่ ท่านบอกว่าอารมณ์ ๓ อย่างนี้มีอยู่แล้ว ที่คนทรงแล้วมีอยู่

การพยายามทำใจให้สูงยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณา กายคตากรรมฐาน และ อสุภกรรมฐาน เป็นปกติ ที่ว่าสภาวะของความเกิดเป็นของน่าเบื่อ ร่างกายเป็นของสกปรก แล้วก็พิจารณาให้ใช้ พรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ เป็นการตัดอารมณ์ของความโกรธ ความพยาบาท ท่านบอกว่า คุณธรรม ๒ ประการอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทที่นั่งอยู่ก็มีโอกาสเหมือนกัน

เป็นอันว่า การเจริญกรรมฐานของพุทธบริษัทที่มานั่งทั้งหมดไม่ไร้ผล เป็นไปตามความตั้งใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เว้นไว้แต่ว่าถ้าใครประมาท ก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ แล้วก็ดีใจที่บรรดาญาติโยมทั้งหลาย เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้าย พระท่านมาพยากรณ์ดีมาก อย่างนี้ได้ฟังยาก..."

พยากรณ์ คืนวันที่ ๒๕ ก.ย.๒๕๑๘

"...พระท่านสั่งมาหน่อยเดียว ถ้าไม่สั่งก็ไม่พูด ทุกคนที่มาที่นี่ทั้งหมด เป็นผู้ที่มีจิตศรัทธาตั้งใจ เป็นกุศลจริง ๆ สิ่งที่ท่านทั้งหลายตั้งใจไว้ จงมั่นใจว่าจะได้รับผลสมความปรารถนา

ทั้งนี้ ต้องมีเงื่อนไขว่า สุดแล้วแต่กำลังใจ ถ้าใครต้องการชาตินี้ ก็ได้ชาตินี้ ถ้าไม่แน่ใจ ก็อาจจะหลายชาติหน่อย..."

ศาลานวราช ธ.ค.๒๕๒๐

"...พวกคุณนี่ตั้งใจดีแล้ว แต่การตั้งใจของพวกคุณ ถ้าไม่ตัดขันธ์ ๕ ได้เพียงใด การตั้งใจของพวกคุณก็ไม่สำฤทธิ์ผล จึงขอให้ทุกคน...พยายามอย่าสนใจกับขันธ์ ๕ ของตนเอง
อย่าสนใจขันธ์ ๕ ของคนอื่น อย่าสนใจวัตถุธาตุทั้งหมด เท่านี้พอ มันไม่ยากที่จะตัด แต่วันเวลาเท่านั้นนะ เราจะเร่งรัดเร็วเกินไปไม่ได้ ถ้าวันเวลายังไม่ถึงเพียงไร ก็ทำไปเพื่อถึงเวลานั้น ถ้าวันเวลาถึงเมื่อไร ก็สิ้นสุดกันเมื่อนั้นแหละ..."

โอวาทคล้ายวันเกิดหลวงพ่อ ที่บ้านสายลม เมื่อ ๕ ก.ค.๒๕๑๘

"...ที่ท่านทั้งหลายเคยปรารภให้อาตมาฟังว่า บารมียังน้อยเกินไป ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้บ้าง ไม่สามารถจะเข้าถึงพระนิพพานได้บ้าง อย่างนี้อาตมาไม่เชื่อ ทั้งนี้เพราะอะไร... เพราะว่าถ้ามองหน้าบรรดาท่านทั้งหลายแล้ว สร้างบุญบารมีกันมามาก และเคยพบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คือพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายสิบวาระ จนกระทั่งมีจิตใจตั้งมั่นอยู่ในปรมัตถบารมี เป็นส่วนมาก

ทำไมบรรดาท่านพุทธบริษัทจึงจะกล่าวว่า การเข้าพระนิพพานเป็นของยาก อันนี้อาตมาไม่เห็นด้วย หากว่าบารมีของบรรดาท่านพุทธบริษัทเห็นว่าน้อยไป ก็ช่วยสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ มันสร้างใหม่ขึ้นมาได้

บารมี ๑๐ คือตั้งใจไว้ว่าเราจะให้ทานไม่เกินกำลังใจ ไม่เกินทรัพย์สินความพอดีของเรา เราตั้งใจจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เราจะระงับนิวรณ์ ๕ ประการ คือไม่ทำจิตให้รุ่มร่ามในด้านอกุศลธรรม เรามีสัจจะความจริงใจ ตั้งเข้าไว้ว่าจะทำอะไร ให้ทำตามความจริงทุกอย่าง เรามีความพากเพียรอดทนต่ออุปสรรคที่พึงเกิดขึ้น เรามีปัญญาพิจารณาว่าสิ่งใดควรไม่ควร เรามีความเมตตา ความรัก มีความปรารถนาดี ต่อคนและสัตว์นอกจากตัวเรา ตั้งใจไว้ว่าเวลาที่เราทำความดีนี้ เราประสงค์อะไร ตั้งจิตไว้โดยเฉพาะ และมีความอดทนในเวลาที่ทำ ทำใจวางเฉยเมื่อทุกข์มันเกิดขึ้น

เท่านี้แหละ...บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจของท่านครบถ้วนบริบูรณ์เมื่อไร ขึ้นชื่อว่า "บารมีทั้ง ๑๐ ประการนี้" ของท่านทั้งหลายเต็มครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว สมเจตนาที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ตั้งใจเทศน์สอนบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้เป็นผู้มีบารมีเต็ม และก็จะเข้าถึงพระนิพพานได้ โดยไม่ยาก..."

โอวาทคล้ายวันเกิดหลวงพ่อ วัดท่าซุง คืนวันที่ ๒๓ ส.ค. ๒๕๒๒

"...บรรดาลูก ๆ ทั้งผู้หญิงผู้ชายที่มีเจตนาดี และลูกพวกนี้ก็ดี และพวกท่านก็ดี ก็ติดตามกันมาแล้วทั้งหมด ถ้าเราจะใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณกำหนด ก็ถือว่าเราติดตามกันมาแล้วอย่างน้อยก็ ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป เป็นการบำเพ็ญบารมีร่วมกันมานาน

ฉะนั้น ในชาตินี้คณะพวกท่านทั้งพระภิกษุสามเณร และลูกหญิงลูกชายทั้งหมด ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในชาติก่อน ๆ ต่างคนต่างก็มารวมกัน มาช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา"

"...ส่วนมากพวกท่านก็ได้มโนมยิทธิ ซึ่งเป็นอภิญญาที่มีความสำคัญ กรรมฐานวิชชาสามก็ดี อภิญญาก็ดี คนที่จะก้าวเข้ามาในเขตนี้นะ มันยากเหลือเกิน ถ้าไม่บำเพ็ญบารมีมาแล้วด้วยดีนะ ให้ฝึกไปจนตายมันก็ไม่ได้ และนอกจากจะไม่ได้แล้ว บางคนก็บังเอิญจะได้ ได้แล้วก็ไปทิ้ง นี่การได้แล้วไม่ทิ้ง ฝึกฝนด้วย ดีแสดงว่า บารมีของเราเต็ม การฝึกฝนมาแบบนี้ ก็แสดงว่าพวกท่านสร้างความดีไว้มากตั้งแต่ชาติในอดีต จงถือว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของพวกเรา จำไว้ให้ดีนะ แต่ว่าใครจะเกิดอีกต่อไปก็ตามใจเถิด

ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอก... เป็นอันว่า การติดตามกันมาเป็นระยะเวลา ๑๖ อสงไขยและแสนกัป ทีนี้ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องตามกันอีกแล้ว จะไปตามในเมืองนรกจะพบหรือไม่พบ ก็ไม่บอกนะ เป็นอันว่าเราก็เลิกเกิดกันเสียที พวกท่านนี่ความจริงถ้าหากว่าจะว่ากันโดยบารมี และบรรดาลูก ๆ ก็เหมือนกัน การบำเพ็ญบารมีมานี่...มันก็เกินไปเสียแล้ว...มันล้น เขาเรียกว่า "บารมีล้น" เพราะว่า "สาวกภูมิ" นี่เขาบำเพ็ญบารมีกันเพียง ๑ อสงไขยกับแสนกัป สำหรับผมที่ต้องว่ากันถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ก็เพราะว่าตอนนั้นได้ปรารถนาพระโพธิญาณ..."

"...ฉะนั้น ชีวิตของผมจะอยู่ไปนานหรือไม่นาน ก็เป็นภารกิจของคนภายใน ผมได้กราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาแล้วว่า ถ้าภารกิจใดก็ตาม ยังเกื้อประโยชน์ให้แก่บรรดาประชาชนส่วนใหญ่ ผมก็จะอยู่ แต่ว่ากิจอันนี้ไม่มีความหมายเมื่อไร ผมไปเมื่อนั้น

ฉะนั้น หากว่าเวลานี้บรรดาลูกหญิงก็ดี ลูกชายก็ดี ภิกษุสามเณรก็ดี ยังเห็นภารกิจในพระพุทธศาสนามีความสำคัญ ผมก็คงจะอยู่ได้อีกหลายวัน ถ้าหากว่าพวกท่านไม่เห็นความสำคัญเมื่อไร ผมก็ไม่ อยู่..."

"...ผมจะตายหรือผมจะมีชีวิตอยู่ ขอพวกท่านทั้งหมดให้ตั้งใจไว้ว่า เราเป็นคนกลุ่มเดียวกัน จงอย่าทำตนเหมือน ภิกษุโกสัมพี ในสมัยนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์ยังมีชีวิตอยู่ ต่างคนต่างก็อวดเลว แตกกันเป็นสองพวก อย่างนี้เป็นการทำลายตัวเอง

การศึกษาของบรรดาท่านทั้งหลาย นอกจาก คันถธุระ ก็ยังมี วิปัสสนาธุระ เรื่องวิปัสสนาธุระนี่ เป็นเครื่องยืนยันว่าพวกเราจะดี ว่าจะทรงวิปัสสนาธุระไว้ได้หรือไม่ได้ ก็อาศัย ความสามัคคี เป็นเหตุ

ฉะนั้น ขอทุกท่านถ้าเห็นแก่ชีวิตผมก็ดี และเห็นแก่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ผมรู้ตัวว่ากำลังกายมันไม่ดี แต่ว่าได้พยายามสร้างทุกอย่าง เพื่อวางพื้นฐานไว้ให้แก่พวกท่าน เพราะว่าในสถานที่นี้ก็ได้รับพยากรณ์ว่า จะเป็นศูนย์ที่มีความสำคัญต่อไปในเบื้องหน้า วัดนี้ถ้ามันจะพังจริง ๆ ก็ต้อง พ.ศ.สิ้นไป ๔,๕๐๐ ปีเศษ คือ ๔,๕๐๐ ปีเศษ วัดนี้จึงจะสลายตัว

ฉะนั้น ในวันฝังลูกนิมิต บรรจุของในหลุมนิมิต องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร์ก็ทรงตรัสว่า แดนของวัดนี้เป็นแดนของพระอริยเจ้ามาในกาลก่อน แต่ก็มาสิ้นแสงของพระอริยเจ้าลงไปประมาณ ๔๐ ปีนะ นับแต่ปีนี้ไป

แต่ความจริงตอนนั้นก็ประมาณ ๔๐ ปี นับแต่ปีนี้ไปก็เป็น ๕๐ ปี ขาดตอนพระอริยเจ้ามา ๔๐ ปี แต่ใน ๑๐ ปีต้น ก็ยังมีพระผู้ทรงฌาน หลังจากนั้นมา ๓๐ ปี ต้องถอยหลังไปนะ ถ้านับเวลานี้มันก็ ๕๐-๓๐ ปีนั้น เป็น "ภิกขุพานิช" คือจิตหยาบสะสมกิเลสกันขนาดหนัก แล้วต่อมานี่เราก็รื้อฟื้นขึ้นมา

ท่านกล่าวว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป หลังจากฝังลูกนิมิตในปี พ.ศ.๒๕๒๐ แล้ว ท่านบอกว่าจากนี้ไป ๓ ปี วัดนี้จะมีพระอริยเจ้าประจำตลอดไป จนถึงพระพุทธศาสนาล่วงไปถึง ๔,๕๐๐ ปี หลังจากนั้น จึงจะขาดพระอริยเจ้า..."

ในตอนสุดท้ายหลวงพ่อได้สรุปไว้ว่า

"...งานทั้งหมดที่ทำนี่ ขอท่านทั้งหลายจงอย่าถือว่าเป็นงานของผม เพราะงานทั้งหมดเป็นงานของพระพุทธเจ้า ผมทำเพื่อพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

ในที่สุดนี้ ผมในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็มาด้วยกำลังของ "พุทธภูมิ" ต้องลำบากยากกาย ทั้งกายและใจมาสิ้นเวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป บุญบารมีอันใดที่บำเพ็ญมาแล้วในตอนต้นจนถึงอวสาน จัดว่าเป็นชาติสุดท้ายในชาตินี้

ขอบุญบารมีนี้ ที่ผมบำเพ็ญมาแล้วก็ดี และขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบุญบารมีของบรรดาพระสงฆ์อริยสาวกทั้งหลาย จงปกป้องบรรดาท่านทั้งหลาย ช่วยกำลังกาย กำลังใจของท่าน ให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามระบอบของพระพุทธศาสนาและขอให้ทุกท่านโดยถ้วนหน้า จงบรรลุผล กล่าวคือตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้

และอีกประการหนึ่ง กิจอันใดก็ตาม ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระประสงค์ ขอองค์สมเด็จพระพุทธองค์ จงบันดาลจิตใจของบรรดาภิกษุสามเณร และลูกหญิงลูกชาย ให้ปฏิบัติเหตุนั้นให้เต็มที่ มีผลตามที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระพุทธประสงค์

ในที่สุดนี้ ขอท่านทุกองค์ และบรรดาคนทุกคน จงประสพแด่ความสุขสวัสดิพิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว ขอบรรดาท่านทั้งหลาย ที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงบรรลุธรรมนั้น ตามที่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว ในชาติปัจจุบันนี้เทอญฯ..."



ย้อนอดีตงานฝังลูกนิมิต วัดท่าซุง
เมื่อวันที่ ๑๖ - ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐




(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถวายผ้าไตรจีวรแด่หลวงปู่พระมหาอำพัน)

ตามโอวาทของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ถึงแม้จะเป็นอดีตนานมาแล้ว แต่ก็คงจะส่งผลมาถึง ท่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้ด้วย และโอวาทของท่านมีตอนหนึ่งที่กล่าวถึง "งานฝังลูกนิมิต" เรื่องนี้จึงมาสะกิดใจผู้เขียน จึงอยากจะย้อนรอยถอยหลัง ถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นบ้าง แต่มันก็เลือนลางเต็มที เอาเฉพาะที่พอจะนึกได้ก็แล้วกันนะ

โดยทั่วไป "งานฝังลูกนิมิต" เขาถือว่ามีความสำคัญยิ่ง เพราะแต่ละวัดกว่าจะสร้างพระอุโบสถได้สำเร็จ ต้องผ่านอุปสรรคนานัปการ และชาวพุทธนิยมทำบุญงานฝังลูกนิมิต ถือว่าได้บุญได้กุศลมาก เพราะเป็นการวางรากฐานไว้ในขอบเขตของพระพุทธศาสนา คือเป็นสถานที่ที่พระสงฆ์มาประชุมกันเพื่อทำสังฆกรรม

ทีนี้ขอย้อนกล่าวถึงงานสำคัญที่ผ่านมา คณะญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย อันมีท่าน พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ และภรรยาของท่านที่ล่วงลับไปแล้ว คือ "คุณโยมอ๋อย" หรือ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดงานกับคณะของท่าน โดยถวายบังคมทูลเชิญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินมาทรงตัดลูกนิมิต (ซึ่งล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ เสด็จมาเป็นวาระที่ ๒ แล้ว นับตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ เป็นต้นมา)

แต่ก่อนที่จะเริ่มงาน ขอนำกำหนดงานที่หลวงพ่อพิมพ์แจกไว้ล่วงหน้า มีเนื้อความดังต่อไปนี้...

กำหนดงานฝังนิมิตและฉลองศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน
ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัอุทัยธานี


***********************


วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๒๐
เริ่มงาน อาราธนาพระสุปฏิปันโนมามากที่สุดเท่าที่จะรวบรวมได้ (มากเป็นพิเศษ)
เวลา ๒๐.๐๐ น. เริ่มทำพิธีปลุกเสกพระเครื่องและพระบูชา
เวลา ๒๑.๐๐ น. ถึงเวลา ๒๑.๓๐ น.เสร็จพิธี เริ่มแจกของที่ปลุกเสก แล้วแต่ท่านที่บำเพ็ญกุศลช่วยในงานก่อสร้าง

ในงานนี้ มีพระสุปฏิปันโนอยู่ประจำเพื่อเจริญศรัทธาตลอดงาน และจะอาราธนาพระสุปฏิปันโน มาให้มากที่สุดเท่าที่จะนิมนต์มาได้

วันเสาร์ที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๐
เวลา ๒๐.๐๐ น. พระสงฆ์สวดนิมิต

วันอาทิตย์ที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐
เวลา ๑๔.๐๐ น. ตัดนิมิต

ในงานนี้เลี้ยงอาหารแบบกันเอง (ข้าวราดแกง) แก่ท่านผู้มาในงานตลอดงาน เว้นไว้แต่ท่านที่ไม่ประสงค์จะรับประทานอาหารที่ทางวัดเลี้ยง ก็มีร้านอาหารราคาถูก เพื่อสะดวกแก่ท่านที่ประสงค์จะรับประทานอาหารตามใจชอบ

คณะศิษย์หลวงพ่อปาน ขอเชิญท่านที่ร่วมทำการก่อสร้าง โดยบริจาคทรัพย์มาเพื่อการก่อสร้าง โดยตรงบ้าง ถวายมาตามอัชฌาศัยบ้าง เงินส่วนใหญ่ที่ได้มาตามอัชฌาศัย ก็ได้นำมาร่วมในงานก่อสร้าง จึงถือว่าทุกท่านที่บริจาคมาแล้วทั้งสองประเภท เป็นเจ้าของอาคารที่สร้างนี้เหมือนกัน และท่านที่มีศรัทธาใคร่ร่วมบำเพ็ญกุศลเนื่องในงานฝังลูกนิมิต และฉลองอาคาร มาร่วมโมทนาโดยทั่วกัน

พระมหาวีระ ถาวโร

ผู้ประกาศ

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/9/08 at 12:11

ฉะนั้น ก่อนวันเริ่มงานมีการจัดเตรียมสถานที่ และมีการซ้อมขานนาคที่จะอุปสมบท ในพระอุโบสถแห่งใหม่นี้ หลวงพ่อบอกว่า ใครท่องขานนาคไม่ได้จะไม่ให้บวช พวกนาคเลยต้องซ้อมกันขนานใหญ่ ส่วน "พระสุปฏิปันโน" ที่นิมนต์ไว้ ท่านได้เดินทางมาถึงโดยพักที่กุฏิ ๑๐ หลัง หลังพระอุโบสถในปัจจุบันนี้

เริ่มงานวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๒๐
ในตอนกลางคืนเริ่มทำพิธีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถ พระสงฆ์ที่เข้าร่วมพิธีมีรายชื่อดังต่อไปนี้ คือ

๑. หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร
๒. หลวงปู่คำแสน (เล็ก) วัดดอนมูล จ.เชียงใหม่
๓. หลวงปู่ครูบาอินทจักร วัดน้ำบ่อหลวง จ.เชียงใหม่
๔. หลวงปู่ครูบาธรรมไชย วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่
๕. หลวงปู่ครูบาชัยวงษ์ วัดพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน
๖. หลวงปู่บุดดา สำนักสงฆ์ จ.ชัยนาท
๗. หลวงพ่ออุตตมะ วัดวิเวการาม จ.กาญจนบุรี
๘. หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ
๙. หลวงปู่กล่อม วัดบุปผาราม กรุงเทพฯ
๑๐.หลวงพ่อลักษณ์ วัดศรีรัตนาราม จ.ลพบุรี
๑๑.พระอาจารย์วิชา วัดศรีมณีวรรณ จ.ชัยนาท

ก่อนที่จะถึงเรื่องราวต่อไป ขอย้อนบันทึกการจัดงานของวัดที่ผ่านมา ๒ ครั้ง ไว้โดยย่อดังนี้...

งานยกช่อฟ้าพระอุโบสถ (จัดงานครั้งที่ ๒)
วันที่ ๑๙ - ๒๘ มีนาคม ๒๕๑๙


พระสงฆ์ที่ร่วมพิธีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถสำหรับงานนี้ คือ

๑. หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร
๒. หลวงปู่กล่อม วัดบุปผาราม กรุงเทพฯ
๓. หลวงปู่บุดดา สำนักสงฆ์ จ.ชัยนาท
๔. พระครูปัญญาโสภิต วัดสร้อยทอง กรุงเทพฯ
๕. หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ
๖. หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมัย จ.ลำพูน
๗. หลวงปู่คำแสน (เล็ก) วัดดอนมูล จ.เชียงใหม่
๘. หลวงปู่ครูบาธรรมไชย วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่
และในวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงกระทำพิธียกช่อฟ้าพระอุโบสถ

งานเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน (จัดงานครั้งที่ ๑)
เป็นงานทำบุญครบรอบ ๑๐๐ ปีของหลวงปู่ปานด้วย
วันที่ ๖ - ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘


พระสุปฏิปันโนที่หลวงพ่อนิมนต์มาเป็นครั้งแรก มีรายชื่อดังนี้ คือ
๑. หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย จ.ลำพูน
๒. หลวงปู่ครูบาชัยวงษ์ วัดพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน
๓. หลวงปู่คำแสน (ใหญ่) วัดสวนดอก จ.เชียงใหม่
๔. หลวงปู่คำแสน (เล็ก) วัดดอนมูล จ.เชียงใหม่
๕. หลวงปู่สิม ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
๖. หลวงปู่บุดดา วัดสองพี่น้อง จ.ชัยนาท
๗. หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ

และในวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นครั้งแรกเช่นกัน ได้ทรงกระทำพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน



(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินด้านหน้าศาลาเก่า (ฝั่งโบสถ์เก่าริมแม่น้ำสะแกกรัง)








(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกระทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ในพระเกตุมาลาพระประธาน ณ พระอุโบสถ วัดท่าซุง)




(ชาวกะเหรี่ยงวัดพระบาทห้วยต้มได้แสดงการฟ้อนรำดาบต่อหน้าพระที่นั่ง มีเรื่องเล่าว่าในขณะนั้น มีกะเหรี่ยงคนหนึ่งผ้าถุงหลุด แต่ไม่ถึงกับหลุดลงมากอง แค่เพียงแต่หลุดแล้วจับไว้ทันเท่านั้นเอง)



(สมเด็จพระบรมราชนินีนาถทรงมีพระราชเสาวณีย์กับหลวงพ่อ ณ ที่ประทับด้านข้างพระอุโบสถ)





(เมื่อถึงเวลาอันสำคัญ ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์เสด็จประทับยืนถือสายสิญน์มงคล
เพื่อกระทำพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค)




(ในภาพมีผู้แต่งชุดเครื่องแบบสีขาวยืนใส่หมวก ท่านผู้นั้นคือ พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ อดีตเจ้าของบ้านสายลม, ผู้ลอกเทป หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน, ล่าพระอาจารย์ เป็นต้น, และใช้นามปากกาว่า "โกษา ป่อง" อีกด้วย ท่านผู้นี้ทำคุณประโยชน์อย่างยิ่ง เบื้องหลังความสำเร็จในการจัดพิมพ์หนังสือต่างๆ ของหลวงพ่อฯ ออกเผยแพร่ พวกเรารุ่นหลังเป็นหนี้บุญคุณท่านล้นพ้น ควรที่จะรับทราบและประกาศคุณงามความดีของท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย)

ในตอนนี้ขอย้อนกลับมาสู่การจัดงานครั้งที่ ๓ ต่อไป หลังจากพระสุปฏิปันโนปลุกเสกของเสร็จแล้ว ญาติโยมต่างรอถวายปัจจัยอยู่ภายนอกพระอุโบสถกันเป็นจำนวนมาก แต่หลวงพ่ออุตตมะจำเป็นต้องเดินทางกลับก่อน

ส่วนทุกท่านทุกองค์ได้อยู่เจริญศรัทธาบรรดาท่านสาธุชนจนตลอดงาน ผู้คนเดินทางมาบำเพ็ญกุศลทั้งใกล้และไกล โดยหลวงพ่อรอรับแขกอยู่ที่ศาลานวราช ญาติโยมบางคนก็ได้ซื้อดอกไม้ธูปเทียนทองปิดลูกนิมิต ที่วางเตรียมไว้รอบ ๆ บริเวณพระอุโบสถ และมี ใบคำอธิษฐาน" พิมพ์แจกไว้ให้ทุกคน มีใจความว่า

"ขออานิสงส์กุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญในโอกาสนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ หากข้าพเจ้ายังไม่เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่า "ไม่มี" จงอย่าได้เกิดแก่ข้าพเจ้า นิพพานัง ปรมัง สุขัง ชื่อ................นามสกุล..............."

(ปรากฏว่าในหลุมลูกนิมิตทุกหลุม จะมีกระดาษพิมพ์คำอธิษฐานนี้อยู่มากมาย)


เหตุการณ์อีกตอนหนึ่งที่น่าประทับใจมาก คือในตอนเช้าทุกวัน ตลอดของงานนี้ หลวงปู่ทุกองค์ได้มานั่งบนเก้าอี้ ที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมเอาไว้ให้เป็นแถว เพื่อนั่งรับบิณฑบาตที่ญาติโยมพุทธบริษัทชาย หญิง นำอาหารของตนมาใส่บาตร

โดยทุกคนเดินเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ ในมือถือขันข้าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ปลื้มใจที่ได้เห็นท่านมานั่งรวมกันอย่างนี้ โอกาสเช่นนี้มิใช่จะมีได้ง่าย ๆ ใบหน้าของหลวงปู่แต่ละองค์ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ผิวพรรณก็ผ่องใสไปด้วยความเมตตา ทุกองค์นั่งสงบคอยวาระที่ท่านสาธุชนจะเดินเข้ามาใส่บาตร



(หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ และ หลวงปู่กล่อม วัดบุปผาราม กรุงเทพฯ)
และพระสงฆ์ทั้งหลายกำลังนั่งรับอาหารบิณฑบาตจากญาติโยมทั้งหลาย


ในตอนเช้าตื่นขึ้นมาอากาศก็บริสุทธิ์ ทำให้ทุกคนมีจิตใจชุ่มชื่นสดใส แม้จะผ่านความเหน็ดเหนื่อยมาจากการงาน แต่ทุกคนก็มีจิตใจชื่นบาน ยิ่งได้ตื่นขึ้นมาเห็นหลวงปู่ทุกองค์ นั่งอยู่บนเก้าอี้มีพนักพิงห้อยขาตามสบายของพระอาวุโส กำลังอุ้มประคองบาตรอยู่ในมือทั้งสอง จิตใจของพวกเราก็ยิ่งมีความสุขเยือกเย็น เพราะกระแสแห่งเมตตาธรรมของท่าน ผู้ที่สมควรยกย่องว่าเป็น "สุปฏิปันโน" อย่างแท้จริง บรรยากาศในเวลานั้น จึงสดชื่นแจ่มใสยิ่งนัก



(ญาติโยมต่างก็เข้าไปใส่บาตรถวายดอกไม้ธูปเทียนและปัจจัย
แด่พระสุปฏิปันโน มีหลวงปู่สิม เป็นต้น ด้านหน้ากุฏิที่พักของท่าน)


เวลาผ่านไปคนแล้วคนเล่า ที่ได้บรรจงตักข้าวของตนใส่ลงในบาตรของท่าน จริยาของท่านในขณะนั้นมีความสำรวม คล้ายกับจะบอกอาการให้พวกเรารู้ว่า ท่านกำลังใช้สมาบัติเพื่อสงเคราะห์พวกเราอยู่ ทุกคนจึงทำบุญใส่บาตรด้วยความสงบเรียบร้อย ตั้งใจอธิษฐานเอาตามความปรารถนา เช่นว่า "ธรรมใดที่ท่านเห็นแล้ว ขอพวกเราได้เห็นธรรมโดยฉบัพลันนั้นเทอญ สาธุ..."

เมื่อขณะใดที่บาตรของท่านเต็ม จะมีเจ้าหน้าที่คอยถ่ายเทบาตรให้ท่านอยู่ด้านหลัง บางท่านก็ได้ถวายปัจจัยไปด้วย ใครที่ได้เห็นภาพเหล่านั้น คงจะมีความประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ยากที่จะลืมเลือนไปจากใจได้



(ทางด้านมี หลวงปู่คำแสนใหญ่ วัดสวนดอก และ หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล
ท่านมีใบหน้าแจ่มใส นั่งรอรับบาตรจากลูกหลานกันตั้งแต่เช้า)


หลังจากทุกคนได้ใส่บาตรเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติพระจะประคองท่านเข้าไปในกุฏิ ฝ่ายแม่ครัวก็ช่วยกันจัดทำอาหาร เตรียมนำอาหารไปถวายท่าน สำหรับหลวงปู่ชัยวงษ์และคณะชาวกระเหรี่ยง จะมีเจ้าหน้าที่จัดเตรียมอาหารเจอีกต่างหาก

ต่อมาสถานที่ที่ท่านนั่งรับบาตรในตอนเช้านั้น หลวงพ่อได้สร้างเป็นห้องพักผู้ปฏิบัติธรรม จำนวน ๑๗ ห้อง เพื่อไว้ให้เป็นอนุสรณ์ เพราะเวลานี้ภาพเช่นนั้น ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นกันอีกแล้ว นอกจากภาพถ่ายที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง ที่พอจะเป็นอนุสรณ์ในการระลึกถึง ดังจะเห็นได้ว่า เวลานี้หลวงปู่บางองค์ที่เคยมาวัดนี้ ท่านได้จากเราไปแล้วหลายท่าน

วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๐

".........หลวงปู่ครูบาชัยวงษ์ พร้อมกับชาวกระเหรี่ยง และชาวเราทั้งหลาย ร่วมกันจัดขบวนแห่ "ผ้าป่าเรือทาน" (หลวงปู่ให้ชาวกระเหรี่ยงทำเรือมาถวายหลวงพ่อ โดยนำเรือลำแรกมาถวายเมื่อปลายปี ๒๕๑๙ เพื่อแสดงให้เห็นว่าชาวป่าชาวดอย ก็สามารถทำเรือให้ชาวเมืองใช้ได้) และเรือลำนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์คุ้มค่ากับความเหนื่อยยากจริง ๆ (เหนื่อยเพราะทำ และเหนื่อยเพราะลากมาจากวัดพระบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน)

...........เพราะในปี ๒๕๒๓ น้ำท่วมใหญ่ที่วัดท่าซุง ทางวัดจึงได้อาศัยเรือของหลวงปู่ลำนี้แหละ ช่วยบรรทุกปูนซิเมนต์และสิ่งของอื่น ๆ ที่ศาลาพระนอน อพยพมาไว้ที่ตึกอำนวยการ แต่เวลานี้ได้จมอยู่ในสระน้ำหลังตึกอำนวยการแล้ว ต่อมาหลวงปู่ก็นำมาให้อีก ๒ ลำ เวลานี้จอดอยู่บนโรงลิเกฝั่งด้านวัดเก่า

...........การจัดขบวนแห่นี้ถ้าจำไม่ผิด คิดว่าลูกศิษย์หลวงพ่อและหลวงปู่ ได้ร่วมกันจัดเสลี่ยงมีคานหาม ทั้งหลวงพ่อและหลวงปู่ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นปีไหน เพราะวัดจัดงานติดต่อกัน ๓ ปี แต่มีอยู่ปีหนึ่งแน่นอน ที่จัดขบวนแห่หลวงพ่อและหลวงปู่ดังกล่าวนี้ ทั้งหมดได้แห่ไปรอบด้านนอกกำแพงพระอุโบสถ และมีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่หลวงปู่ได้มอบลูกประคำให้หลวงพ่อ ๑ เส้น เป็นลูกประคำไม้ใหญ่มาก

หลวงพ่อจึงได้เอามาสวมคอเดี๋ยวนั้นทันที จึงมีผู้ถ่ายภาพเอาไว้ คิดว่าคงจะเป็นภาพนี้ภาพเดียว ที่หลวงพ่อห้อยลูกประคำแบบชาวกระเหรี่ยง เมื่อขบวนแห่นำโดยชาวกระเหรี่ยงครบรอบแล้ว ก็นำผ้าป่าเรือทานมาถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ให้ศีลให้พรจึงเป็นอันเสร็จพิธี

"......... การถวายทานของทางภาคเหนือ ซึ่งไม่ค่อยจะมีโอกาสจะได้เห็นบ่อยนัก งานวันนั้นจึงเป็นที่ประทับใจของคนภาคกลางยิ่งนัก และในงานนี้มีพิเศษอยู่อีกอย่างหนึ่งคือ หลวงปู่มหาอำพัน ด้วยจิตของท่านที่มีความศรัทธา ในบรรดา "พระสุปฏิปันโน" ทั้งหลาย ท่านจึงได้จัดเตรียมเครื่องถวายสังฆทาน นำเข้าไปถวายหลวงปู่ถึงในห้องพักทุกองค์

..........เมื่อท่านเข้าไปแล้วนั่งพับเพียบ ก้มลงกราบไปที่เท้าของหลวงปู่แต่ละองค์ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเคารพเลื่อมใสอย่างจริงใจ เหมือนกับจะขอพรหลวงปู่ทั้งหลาย ขอให้ได้เห็นธรรมในปัจจุบันนี้เช่นกัน และตามที่พวกเราได้ทราบในภายหลังว่า หลวงปู่มหาอำพันท่านก็ได้สมความปรารถนาของท่านอย่างนั้นจริง ๆ

วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๐
..........หลังจากมีการใส่บาตรพระสุปฏิปันโนอย่างเช่นเคยทุก ๆ วัน ในตอนเช้าก็มีการแสดงพระธรรมเทศนา จะเป็นหลวงพ่อเทศน์เองหรือใครเทศน์นี่ ผู้เขียนจำไม่ได้เสียแล้ว และในวันนี้หลวงปู่มหาอำพันมาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ส่วนในตอนกลางคืน พระสงฆ์ที่อาราธนามาจากกรุงเทพฯ ได้ร่วมกันกระทำพิธีสวดนิมิต

ในงานของวัดมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ ม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์ ในตอนนั้นท่านเป็นผู้อำนวยการโรงไฟฟ้า จ.กระบี่ ได้นำ "มโนราห์" จากปักษ์ใต้มาแสดง และลูกชายของ "โยมแป้น" ซึ่งเป็นแม่ครัวกองทุน ได้นำเพื่อน ๆ จากกรมศิลปากร มาแสดงโขนกันให้ชมฟรีตลอดงาน

วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐
วันนี้เป็นวันสุดท้าย และเป็นวันสำคัญของงาน ในตอนเช้าของวันนี้ ญาติโยมทั้งหลายมาใส่บาตรพระสุปฏิปันโนกันมากมาย เพราะเป็นวันสุดท้ายที่ได้มีโอกาสเช่นนี้ มีพระสุปฏิปันโนทั้งหมดประมาณ ๑๐ องค์ และมีพระติดตามอีกบ้างนั่งคอยรับบาตรเป็นแถว ส่วนหลวงพ่อนั่งรับแขกตั้งแต่ตอนเช้า ท่านพุทธบริษัทต่างทยอยกันมาบำเพ็ญกุศล จนถึงเวลาบ่ายใกล้ถึงเวลาเสด็จพระราชดำเนิน

เหตุการณ์ที่อัศจรรย์
ก่อนที่จะถึงเวลานั้น ปรากฏว่าท้องฟ้าที่เคยแจ่มใส อากาศร้อนอบอ้าวตามประสาหน้าแล้ง ได้ลดความร้อนที่แผดเผาลง แสงแดดที่เคยเจิดจ้า ได้ลดแสงลงอย่างแปลกประหลาด เพราะท้องฟ้า กลับมืดคลิ้มด้วยปุยเมฆ ที่ลอยผ่านไปมาอยู่เกือบทุกขณะ ปรากฏว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์ ฝนที่ไม่เคยตกลงมาเลยตลอดงาน ก็ได้โปรยปรายลงมาเป็นละอองฝน สร้างความเยือกเย็นให้เกิดขึ้นได้ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งนี้ คงจะเป็นด้วยพระบารมีล้นเกล้าของชาวไทย

เมื่อพระองค์จะเสด็จไปที่แห่งหนตำบลใด มักจะปรากฏเหตุอัศจรรย์อย่างนี้เสมอมา คล้ายกับจะลงมาเป็นสักขีพยานแห่งพระจริยวัตร บอกความที่พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ต่อพสกนิกรทั้งหลายของพระองค์ฉะนั้น

สายฝนได้โปรยปรายลงมาชั่วขณะหนึ่ง ช่วยผ่อนคลายให้มีความสบายขึ้น แก่บรรดาประชาชนทั้งหลาย ที่มานั่งเฝ้ารอรับเสด็จบริเวณหน้าพระอุโบสถ ตลอดออกไปถึงด้านหน้าถนนของวัด ในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฏราชกุมาร ได้เสด็จมาถึงบริเวณงานพอดี หลังจากเสด็จเข้าประทับในปะรำพิธี ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์อันมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นต้น

ได้ถวายศีลแล้ว คณะกรรมการจัดงานทูลเกล้าถวายรายงาน ทรงมีพระปฏิสันถารกับหลวงพ่อและหลวงปู่ทั้งหลายแล้ว ต่อจากนั้นจึงได้ทรงกระทำพิธีปิดทองลูกนิมิต ทรงตัดลูกนิมิตที่หลุมกลางพระอุโบสถแล้ว ได้เสด็จออกมาจากพระอุโบสถ ขณะเสด็จพระราชดำเนินไปรอบ ๆ บริเวณพระอุโบสถนั้น

บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีความจงรักภักดี ต่างก็โดยเสด็จพระราชกุศล บริจาคเงินของตนกับพระหัตถ์ของล้นเกล้าทั้ง ๓ พระองค์ ต่างคนต่างยื่นถวายกัน ทั้ง ๓ พระองค์ทรงช่วยกันรับแทบไม่ทัน ต้องให้ผู้ติดตามคอยถือถุงพลาสติกใส่เงินเดินตาม พระองค์จะเสด็จไประหว่างทาง ซึ่งมีผู้นั่งรอถวายทั้งสองข้างทาง

เมื่อเสด็จพระราชดำเนินรอบนอกพระอุโบสถจนครบรอบแล้ว ทรงนำเงินที่มีผู้บริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลนั้น มาถวายหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ ยังความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น ที่ล้นเกล้าทั้ง ๓ พระองค์ ทรงเป็นกันเองอย่างไม่ถือพระองค์เลย

จึงนับว่าเป็นแห่งแรกที่วัดท่าซุงนี้ ได้มีการถวายกันแบบนี้ จนเป็นที่นิยมตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ในเวลาที่เสด็จไปยังวัดพระแก้ว เป็นต้น

พิธีอุปสมบทนาคชุดแรก
ตอนนี้ก็เป็นพิธีอุปสมบทหมู่ อันเป็นชุดแรกของพระอุโบสถแห่งนี้ ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น ๔๒ คน ได้เริ่มบวชกันไปแล้วเสร็จในตอนรุ่งเช้าของวันที่ ๒๕ หลังจากบวชเสร็จแล้ว ได้มากราบนมัสการหลวงพ่อ หลังจากท่านให้โอวาทแล้ว ท่านบอกว่า "ชุดนี้มันเหลือแค่ ๔ บาทเท่านั้น..."

ถ้าท่านทั้งหลายได้ยินในเวลานั้น ก็คงจะไม่คิดอะไร เพราะเห็นท่านพูดเรื่อย ๆ ธรรมดา แต่พอมาถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ.๒๕๓๕) ผ่านมาได้ ๑๕ ปีแล้ว เวลานี้พระที่บวชรุ่นแรกทั้งหมด ๔๒ องค์ ต่างก็ได้สึกไปบ้าง ตายไปบ้าง ที่เหลืออยู่เวลานี้จริง ๆ จำนวน ๔ องค์เท่านั้น คือ พระบรรจง พระสมุห์สมชาย หลวงน้าเกษม (เวลานี้ย้ายไปอยู่วัดในกรุงเทพแล้ว) และ ผู้เขียน

พระบรรจงกับพระสมุห์สมชายถึงกับพูดว่า ที่หลวงพ่อพูดไว้ตั้งแต่วันบวชนั้น มีความหมายว่า พระ นั้นมีค่าตัวแค่ ๑ บาทเท่านั้น หมายถึงว่า ถ้าไปขโมยของเขาตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไป ก็ขาดจากความเป็นพระทันที ฉะนั้น คำว่า "เหลือแค่ ๔ บาท" ของท่านนั้น คงจะหมายถึงเหลือแค่ "๔ องค์" ในปัจจุบันนี้นั่นเอง



พลับพลาอนุสรณ์

ขอบันทึกสถานที่สำคัญไว้อีกจุดหนึ่ง นั่นคือบริเวณด้านหน้าศาลาพระพินิจ ได้จัดเป็นพลับพลาที่ประทับชั่วคราว ในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมา ณ วัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ได้ทรงประทับ ณ ที่นี้ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘

ภายหลังหลวงพ่อจึงได้จัดสร้างเป็นศาลาจตุรมุข ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ และสำหรับประดิษฐานพระพุทธชินราช และรูปหลวงพ่อปาน (ไว้สำหรับปิดทองได้)

เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อได้ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ ก่อนหน้านั้นท่านได้นำพระบรมสารีริกธาตุที่จะบรรจุ มาให้ญาติโยมทั้งหลายได้ชมและสรงน้ำกัน ที่ศาลานวราช

หลังจากนั้นหลวงพ่อได้เริ่มพิธีบรรจุไว้ในผอบ แล้วใช้สายโยงติดรอกดึงขึ้นไปจากศาลานวราช โดยมีคนคอยรับอยู่บนหลังคาศาลาจตุรมุขนั้น แล้วทำการบรรจุไว้เป็นที่เรียบร้อย



(หลวงพ่อต้อนรับหลวงปู่วงศ์และชาวกะเหรี่ยงที่ด้านข้างพระอุโบสถ ปี 2519)

พุทธพยากรณ์ ณ พระอุโบสถ วัดท่าซุง
หลังจากงานพิธีผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตผ่านไปแล้ว วันต่อมาอันเป็นวันสำคัญของประวัติวัดท่าซุง ภายในพระอุโบสถแห่งนี้ หลวงพ่อพร้อมด้วยญาติโยมพุทธบางท่าน อันมี "คุณโยมอ๋อย" เป็นต้น

ส่วนพระก็มีหลวงพ่อ พระสมชาย (ออกไปจากวัดนานแล้ว) และผู้เขียน ทุกท่านได้ร่วมกันกล่าวคำถวายอาคารสถานที่ต่าง ๆ ภายในบริเวณวัดทั้งหมด เพื่อถวายไว้เป็นสมบัติในพระพุทธศาสนา โดยตั้งใจถวายตรงต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า หลวงพ่อเป็นผู้กล่าวนำ แล้วให้ทุกคนว่าตาม พอจะสรุปใจความได้ดังนี้...

ตั้งนะโม ๓ จบ โดยว่าพร้อมกัน
"ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายอาคารสถานที่ก่อสร้างทั้งหลายเหล่านี้ อันมีพระอุโบสถ ศาลา วิหารการเปรียญ เป็นต้น แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อไว้เป็นศาสนสมบัติในบวรพระพุทธศาสนา ขอผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด..."

เมื่อทุกท่านกราบพร้อมกัน ๓ ครั้งแล้ว หลังจากนั้นหลวงพ่อจึงได้เล่าให้ฟังว่า ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดา ได้ทรงเสด็จมาเป็นสักขีพยาน และได้ทรงตรัสพยากรณ์สถานที่นี้ต่อไปในอนาคตว่า "นับจากนี้ไปอีก ๑๘๐ ปี จะมีพระอรหันต์องค์หนึ่ง มีอายุ ๒๗ ปี รูปร่างสูงขาวท้วม พร้อมกับพระเจ้าธรรมิกราช ร่วมกันบูรณะปฏิสังขรณ์วัดนี้อีกครั้งหนึ่ง

ต่อจากนี้ไป ๑๐ ปีแรก จะมีพระอรหันต์ ๓ องค์ และอีก ๗ ปีหลัง จะมีพระอรหันต์ ๕ องค์.." ดังนี้

อันนี้เป็นพระพุทธพยากรณ์ที่ผู้เขียนยังพอจำได้ แต่อายุของพระอรหันต์องค์นี้ จำไม่ได้ว่า ท่านบอกอายุ ๒๗ หรือ ๒๘ ปี ประมาณนี้แหละ

ต่อมาหลวงพ่อได้ให้ทำ "แผ่นทองคำจารึก" มีผู้ร่วมบริจาคกันมากมาย ถ้าจำไม่ผิดคิดว่า หลวงพ่อจะให้โยมแอ๊ (คุณยุพดี จักษุรักษ์) เป็นผู้จัดทำ แล้วท่านได้นำบรรจุไว้ภายในพระอุโบสถ พร้อมกับได้บันทึกเรื่องนี้ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบด้วย

ส่วนข้อความที่จารึกไว้ ส่วนใหญ่ท่านผู้อ่านก็คงจะทราบบ้างแล้ว แต่ขอนำมาบันทึกไว้เป็นหลักฐานในหนังสือเล่มนี้ด้วย มีใจความดังต่อไปนี้...

"เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็นผู้อุปถัมภ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนึกชนส่วนใหญ่ สร้างวัดนี้ไว้เป็นพุทธบูชา เมื่อศักราชล่วงไปได้ ๒๗๐๐ ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช นามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนบวกสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์ จะมาบูรณะวัดนี้สืบพระศาสนาต่อไป คณะเราขอโมทนาด้วยแต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปพระนิพพานหมด เริ่มสร้างเมื่อ ๒๕๑๗ แล้วเสร็จเมื่อ ๒๕๑๙"

ใครจะเป็นผู้มาบูรณะ..?
เรื่องพระพุทธพยากรณ์นั้น ภายหลังมีผู้โจษขานกันมาก บางคนถึงกับล้อเล่นในหมู่ลูกศิษย์ โดยเฉพาะพวกที่ชอบปรารถนาพุทธภูมิ บอกว่าให้ลงมาเกิดในสมัยนั้น คืออีก ๑๘๐ ปีข้างหน้า ตามพุทธพยากรณ์

ต่อมาหลวงพ่อบอกว่า ท่านที่จะต้องมารับช่วงต่อไปนั้น จะต้องมาจาก "พุทธภูมิ" เดิมเหมือนกัน แล้วขอลาพุทธภูมิในภายหลัง เพราะผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์มาก่อน ย่อมมีความเข้มแข็งเป็นพิเศษ สามารถที่จะอดทนต่อสู้อุปสรรค เพื่อดำรงไว้ซึ่งอายุพระพุทธศาสนาให้สืบต่อไปได้อีก อีกหลายปีต่อมา เมื่อหลวงพ่อพร้อมด้วยคณะของท่าน ได้มีโอกาสเดินทางไปยุโรปจำนวน ๗ ประเทศ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศษ อิตาลี เยอรมัน เป็นต้น

เรื่องนี้ผู้เขียนได้รับคำบอกเล่า จากพระที่ร่วมเดินทางไปด้วยว่า ครั้งนี้หลวงพ่อได้สงเคราะห์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งในอดีตเป็นนักรบผู้แกล้วกล้า สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่เอง จึงเรียกกันว่า "๕ ทหารเสือ"

ท่านเหล่านี้พลาดไปอยู่ในนรก หลวงพ่อจึงจำเป็นต้องช่วยอย่างเต็มที่ โดยพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาเป็นประธาน แล้วให้หลวงพ่อเข้าสมาบัติเต็มกำลัง พร้อมกับคณะเดินทางทุกท่าน ช่วยกันอุทิศแผ่ส่วนกุศลทั้งหมด ให้พ้นจากขุมนรกอันร้อนแรงนั้น

ท่านกล่าวว่า โอกาสที่จะช่วยนั้นมิใช่จะมีได้ง่าย ๆ ทั้งนี้ ต้องเคยเกี่ยวเนื่องถึงกัน และเขาก็ได้เคยสร้างสมบุญกุศลไว้แล้ว เมื่อวาระมาถึงจึงจะช่วยได้ เมื่อกลับมาถึงวัดแล้ว หลวงพ่อจึงได้เป็นเจ้าภาพบวชพระให้ ๑ องค์ บวชเณรให้ ๒ องค์ โดยลูกชาย ๒ คนของ พ.อ.(พิเศษ)สถาพร พงศ์พิทักษ์ เป็นผู้รับอาสาบวชเณร ส่วนพระฉัตรชัย เป็นผู้รับอาสาบวชพระ เวลานี้ยังบวชอยู่ที่วัดนี้ หลังจากได้รับอนุโมทนาส่วนกุศลทั้งหมดนี้แล้ว ผู้ล่วงลับเหล่านั้นได้เป็นเทวดาอยู่ชั้นจาตุมหาราช เวลานี้ท่านได้มาช่วยอารักขาเขตวัดแห่งนี้ด้วย

ผู้ที่จะมาบูรณะวัดในกาลข้างหน้า
ท่านบอกว่าในจำนวน ๕ ทหารเสือนี้แหละ ในจำนวน ๒ คนนี้ ซึ่งมีเชื้อสายมาจาก "พุทธภูมิ" ในอดีตทั้งสองคนนี้เคยอยู่ที่ อิตาลี และ เยอรมัน คนหนึ่งจะได้มาเป็นพระอรหันต์องค์นั้น ส่วนอีกคนหนึ่งจะมาเกิดเป็นพระเจ้าธรรมิกราช ตามพระพุทธพยากรณ์นั้น

และสถานที่แห่งนี้ หลวงพ่อได้เคยเล่าให้พระฟัง หลังจากทำสังฆกรรมในพระอุโบสถ เมื่อประมาณ ๒-๓ ปีก่อนว่า สถานที่บริเวณวัดท่าซุงแห่งนี้ ตั้งแต่อดีตกาลนานมาแล้ว ได้มีผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ๗๒ องค์ โดยท่านทั้งหมดได้มาปรากฏแล้วบอกให้หลวงพ่อทราบ



พุทธพยากรณ์ ที่ตึกกองทุน คืนวันที่ ๘ ก.ค.๒๕๒๑

"...สมเด็จองค์ปัจจุบันท่านพูดว่า ดีแล้ว...เรื่องเบื้องต้นไม่ต้องห่วง...เรื่องฌานโลกีย์ พวกแกนะไม่มีหรอก ไม่ต้องห่วงสั้น ตียาวเลย พวกของแกไม่มีใครเหลือหรอก ถามว่าเมื่อก่อนนี้ล่ะ ท่านบอกว่า เมื่อก่อนนี้ยังไม่ถึงเวลา ท่านสอนยากมาเรื่อย เพราะยังไม่ถึงเวลา ถามว่าถ้าเขามาใหม่ล่ะ ตอบว่ามาใหม่ก็เหมือนกันมันเต็ม การฟักตัวแม้จะอยู่ที่อื่นก็ตาม มันก็เต็ม เวลานี้เทปและหนังสือสั่งมาซื้อกันตั้งเยอะ เทปนี่มีประโยชน์มาก

สมเด็จท่านทรงตรัสต่อไปว่า
"อีก ๒๐ ปีข้างหน้า จะมีพระอรหันต์นับแสน" ไม่ใช่เราผู้เดียวเป็นผู้สอน คือว่าทั่ว ๆ ไป กลุ่มเรานี่จะมาก คำว่า "กลุ่มเรา" นี่ อาจจะไม่มีตัวมาอยู่นะ เขาอาจจะมีหนังสือมีเทป แล้ว ท่านตรัสต่อไปว่า

"ที่ฉันให้บันทึกเสียงใหม่ ทำเป็นตำราใหม่ เพราะว่าถึงเวลา เวลานี้คนที่จะถึงเวลาเข้าถึงมุมง่ายแล้ว นี่เป็นเวลานะ คำว่า "เวลา" หมายถึงกำลังใจมันตีขึ้นมา มีแรงขึ้น ๆ

ก็เลยถามท่านว่า ตอนก่อนทำไมไม่ให้สอนแบบนี้ ท่านบอกว่าสอนไม่ได้หรอกคุณ..! คนมันหาว่าง่ายเกินไป เลยไม่เอาเลย ต้องยาก ๆ..."

ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า ก่อนหน้านั้นหลวงพ่อสอนวนเวียนเฉพาะ "อารมณ์ฌาน"เท่านั้น พอเริ่มกลางปี ๒๕๒๑ จึงเริ่มสอนเข้าสู่ "อารมณ์พระอริยะ" พอถึงเดือนกันยายน ๒๕๒๑ หลวงพ่อเริ่มสอน "มโนมยิทธิ" แบบครึ่งกำลัง ในตอนนี้หลวงพ่อเล่าว่า สมเด็จทรงตรัสว่า

"ต่อจากนี้ไปอีก ๒๐ ปี อภิญญาใหญ่จะเข้า"
ฉะนั้น เมื่อ ๒-๓ ปีที่ผ่านมา หลวงพ่อบอกว่าเวลานี้เกณฑ์ "อภิญญา" จะเริ่มเข้า ให้พระไปฝึก "กสิณ" ชอบกสิณกองไหน ให้ฝึกกองนั้นก่อน แล้วกองอื่น ๆ จะตามมา แล้วท่านได้สั่งให้พระเจ้าหน้าที่เปิดเทป "การฝึกกสิณ" ที่หลวงพ่อเคยสอนไว้แล้ว นำมาเปิดเสียงตามสายอยู่พักหนึ่ง

ในตอนงาน "หล่อสมเด็จองค์ปฐม" วันที่ ๑๕ มี.ค.๒๕๓๕ ได้มีอาจารย์นำเด็กนักเรียนชั้น ป.๒ มาจาก โรงเรียนแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ จำนวนหลายสิบคน เฉพาะที่ได้มโนมยิทธิ และสามารถขอสิ่งของจากเทวดานางฟ้าได้ มีอยู่ประมาณ ๓-๔ คน เธอได้มากราบนมัสการหลวงพ่อที่ตึกรับแขก แล้วขอเหรียญ ๑ บาทจากหลวงปู่ปาน ปรากฏว่าเธอสามารถขอมาได้จริง ๆ ต่อหน้าญาติโยมทั้งหลายในขณะนั้น

ปรากฏว่าหลังจากกลับไปแล้ว อาจารย์เขียนจดหมายมาเล่าให้ฟังว่า มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่เคยมาวัดนี้ เธอสามารถลอยขึ้นไปในขณะยืนอยู่ โดยลอยสูงขึ้นไป พอพ้นหัวเพื่อน ๆ ด้วยกัน แล้วจึงค่อย ๆ ลงมา เธอได้เล่าให้ฟังว่า นางฟ้าเอา "เกือกแก้ว" จากสวรรค์มาให้ใส่ จึงสามารถลอยขึ้นได้ แต่ตอนนี้ต้องขอเอากลับไปก่อน ไว้เวลาไม่มีใครเห็น จะเอามาให้ใส่อีก

ในขณะที่บันทึกอยู่นี้ ก็ได้รับทราบข่าวเพียงแค่นี้ ไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์อะไรอีก ไว้คอยติดตามข่าวต่อไป อีกไม่นานเกินรอใกล้เวลาที่จะครบ ๒๐ ปี ตามที่พระองค์ทรงตรัสไว้ เราก็คงจะได้พบเห็นสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านี้ (ถ้าไม่ตายจากกันไปเสียก่อนนะ...สำหรับท่านที่ชอบฤทธิ์เดช ทั้งหลาย...)

พุทธพยากรณ์ วันที่ ๒๐ ส.ค.๒๕๓๑ (จากหนังสืออ่านเล่น เล่ม ๑)
พระที่จบ ป.๔ มี ๔ องค์
พระจบ ป.๓ กำลังเรียน ป.๔ มี ๑๗ องค์
พระจบ ป.๓ ยังไม่เข้าเรียน ป.๔ มี ๑๓ องค์
ป.๒ ที่เป็นพระจบ ๑ องค์ ที่เป็นฆราวาสจบ ๓๒ องค์
ป.๑ พระ ๑๓ องค์ ฆราวาส ๑๓๗ องค์
"อีก ๑๐ ปี พระจบ ป.๔ อีก ๗ องค์ นอกนั้นจบเมื่อใกล้ตาย ฆราวาสจะจบ ป.๔ เมื่อใกล้ตายจากนี้ไปอีก ๕๐ ปี อีกนับแสนองค์..."

พุทธพยากรณ์ วันที่ ๒๖ ต.ค.๒๕๓๔ (บ้านสายลม กรุงเทพฯ)
"...สัญญาต่ออายุหมดไปเมื่อวันที่ ๑๘ แล้วก็ต่อมาวันที่ ๒๖ เสมหะก้อนใหญ่มันออกทุกอย่าง หายหมด แล้วท่านก็บอกว่า "นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปให้สอนเฉพาะสังโยชน์" ท่านบอกต่อไปว่า ขอให้อยู่ต่อไปสักหน่อยหนึ่ง ถามท่านว่า ถ้าอยู่แล้วจะมีประโยชน์อะไร ท่านบอกว่า "นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป (ท่านไม่บอกกำหนด) จะมีคนบรรลุอรหันต์ถึง ๗๐๐,๐๐๐ คนเศษ"

คำพยากรณ์ วันที่ ๔ ต.ค.๒๕๓๕ (บ้านสายลม กรุงเทพฯ)
"...เมื่อคืนนี้ท่านลุงบอกว่า คนจะไปนิพพานกันได้ทั้งหมด ความจริงคนทุกคนนี่ไปนิพพานหมด ไม่มีใครเหลือแต่จะไปก่อนไปหลังอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ใครขี้เกียจมากก็นานหน่อย ขี้เกียจน้อยก็เร็วนิด ถ้าธุรกิจมากเห็นจะนานมากหน่อย เพราะอะไรรู้ไหม..เพราะจิตมีกังวล แต่ว่าเราก็ต้องแบ่งเวลา..."

คำสัญญาจากท่านพระยายมราช (หลวงพ่อเล่าที่สายลม เมื่อวันที่ ๔ ต.ค.๒๕๓๕)
"...เมื่อกี้นี้เขาอุทิศส่วนกุศลนะ แล้วลุงทั้งสองท่านก็มายืนอยู่ ท่านเลยบอกว่า ให้ทุกคนนึกว่าร่างกายมันไม่ดี และที่เรามีทุก ๆ อย่าง เพราะอาศัยร่างกายอย่างเดียวนะ คราวนี้ท่านบอกให้นึกไว้เสมอ ถ้าเวลาจะตายให้สังเกตดู ถ้าใครยังเห็นว่าร่างกายดี "จะปวดท้อง" เอาอย่างนั้นนะ เอาหมดเลย ท่านบอกทั้งหมด เพราะว่าถ้าไม่ใช่พวกเก่า ไม่มา พวกนี้เป็นพวกเก่า และมีบุญล้นแล้วควรจะไปนิพพานได้แล้ว

ท่านบอกว่า ทุกคนทำบุญล้นแล้ว แต่ต้องทำเรื่อยไปนะ ถ้าบุคคลใดยังมีความประมาทอยู่ เพียงคิดว่าร่างกายดี "จะปวดท้อง" ปวดมากด้วย ปวดจนกระทั่งเห็นว่าร่างกายไม่ดี จึงจะตาย ทำไมจึงปวด...ท่านทำให้ปวด ท่านจะไล่นะ...วิธีไล่ของท่าน!"

(หมายเหตุ ผู้เขียนขอเสริมจากคำบอกเล่าจากผู้อื่น ที่ได้รับฟังมาจากหลวงพ่อที่บ้านสายลมเช่นกันว่า ในขณะที่ป่วยหนักใกล้จะตายนั้น ท่านปู่พระอินทร์ก็จะมาปรากฏให้เห็นด้วย) เป็นอันว่า ผู้เขียนก็ได้รวบรวม "โอวาท" เก่า ๆ รวมทั้ง "คำพยากรณ์" ต่าง ๆ ที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงใกล้วาระสุดท้ายของท่าน คือการสอนกรรมฐานที่บ้านสายลม และงานทำบุญวันเกิดของท่าน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ โดยนำข้อมูลเหล่านี้ มาลำดับไว้แต่เพียงโดยย่อ พอที่ผู้อ่านจะค้นคว้าได้สะดวก

จึงหวังว่าคงจะเป็นที่พอใจแก่ผู้อ่านทุกท่าน หากมีข้อบกพร่องหรือผิดพลาดประการใด ขอได้โปรดช่วยทักท้วงด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ ขอสรุปไว้แต่เพียงย่อ ๆ ว่า เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๔ เวลา ๕.๐๐ น. พระกาล มาบอกหลวงพ่อว่า เป็นเวลาที่จะต้องไปจากโลกนี้แล้ว ครั้นเมื่อถึงเวลาจริง ๆ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ตลอดถึงเทพพรหมทั้งหลายมาห้อมล้อมไว้ หลวงพ่อจึงมีชีวิตอยู่ได้อีก

ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันมรณภาพ นับเป็นเวลาเกือบ ๑ ปีพอดี หลวงพ่อคงจะทราบไว้ก่อนตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ท่านถึงได้เร่งรัดงานต่าง ๆ พร้อมทั้งมอบหมายภารกิจไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาท่านก็ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ คงทิ้งไว้แต่สังขารที่เป็นทุกข์ เพื่อไปสู่แดนที่เป็นเอกันตบรมสุขอย่างแท้จริง

ฉะนั้น ก่อนที่จะยุติข้อเขียนนี้ ขอนำ "จดหมายของหลวงพ่อ" มาปิดท้ายรายการ เพื่อนำมารวบรวมไว้เป็นประวัติ มิใช่จะมีเจตนาเป็นอย่างอื่น แต่เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นความวิริยะอุตสาหะ ในฐานะที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์ ท่านยังได้เสียสละเวลาตอบจดหมายแก่ลูกศิษย์ทุกคน ที่มีความขัดข้องใจในธรรมะ

ซึ่งในเวลานั้นผู้เขียนยังมีความสับสนในข้อปฏิบัติ เพราะศึกษาจากแต่ละสำนักแล้ว ท่านสอนไม่เหมือนกัน จึงทำให้ต้องเขียนจดหมายไปรบกวนหลวงพ่อ และท่านก็ได้กรุณาตอบให้ทราบไว้ดังนี้...



(พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังมอบ "ล็อคเก็ต" ให้เป็นที่ระลึก)

         วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท
         ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๗

คุณชัยวัฒน์ นาคสวัสดิ์

จดหมายของคุณมาคอยฉันที่วัดนานแล้ว แต่ฉันไม่มีเวลาอ่าน ทั้งนี้เนื่องด้วยการเดินทางเป็นเหตุ มาวันนี้พอมีเวลาบ้าง จึงค้นจดหมายที่คั่งค้างประมาณ ๕๐ ฉบับเศษ ออกมาตรวจ ปรากฏว่าจดหมายของคุณแอบมานอนกับกองจดหมาย อาศัยที่จดหมายมีมากจัด ขอตอบสั้น ๆ ดังนี้

(๑) การได้ทิพยจักษุญาณ ไม่จำเป็นต้องได้พระโสดาบัน เมื่อฝึกอารมณ์เข้าถึงอุปจารสมาธิ ก็ทำให้เกิดได้ แต่ไม่ใคร่สว่างหรือชัดเจน ต่อเมื่อฌานสูงขึ้น และทรงตัวได้ดี ก็จะสว่างและชัดเจนขึ้น ตามขนาดของฌาน ถ้าเป็นพระอริยเจ้า ก็จะชัดเจนมากขึ้น อุปาทานจะไม่ใคร่ล้อเลียน แต่ก็เอาแน่ไม่ใคร่ได้นัก ทางที่ดีเมื่อได้แล้ว ควรหาทางติดต่อกับพระพุทธเจ้า ผลจะสมบูรณ์แบบ

(๒) สวรรค์มี ๖ ชั้น พรหมมี ๒๐ ชั้น คือ รูปพรหมมี ๑๖ ชั้น พรหมที่ไม่มีรูปมี ๔ ชั้น รวม ๒๐ ชั้นพอดี

(๓) ถ้าเราให้เป็นกสิณโดยตั้งใจไว้เดิมว่า เพ่งสีเขียว ก็เป็นนิมิตกสิณ ถ้าไม่ได้ตั้งใจไว้เดิม มันปรากฏเอง เป็นนิมิตของอานาปานุสสติ

(๔) เรื่องการเพ่งนิมิต จะเอาไว้ภายในหรือภายนอก ก็มีผลเสมอกัน

(๕) ดวงปฐมมรรค ที่แท้ก็คือดวงกสิณ เมื่อมีสมาธิดี และอารมณ์ตัดสังโยชน์สามได้ ก็เป็นปฐมมรรค ถ้าอารมณ์ตัดสังโยชน์ไม่ได้ ก็เป็นกสิณธรรมดา ดูแต่ดวงไม่ได้ ต้องดูใจที่ละกิเลสด้วย

ขอตอบเท่านี้นะ หวังว่าคงเข้าใจ ด้วยจดหมายที่จะตอบมีมาก และเห็นว่าตอบเท่านี้ก็พอแล้ว

ขอได้รับความนับถือ

(พระมหาวีระ ถาวโร)




บทสุดท้าย

พบกันที่สถานีรถไฟ

ขอวกกลับมา ณ บริเวณชานชลาสถานีอีกครั้ง เพราะมัวไปเสียเวลาย้อนอดีตเสียยืดยาว ไม่รู้ว่าท่านผู้อ่านจะรำคาญบ้างหรือเปล่า ขอให้อดทนเรื่องอนาคตกันอีกนิดนะ ในตอนนี้ใกล้เวลารถจะออกแล้ว ท่านผู้โดยสารจะเตรียมไปกับรถขบวนไหนกันล่ะ..?

ถ้าจะไปกับรถขบวนเที่ยวนี้ ซึ่งเป็นขบวนรถเที่ยวสุดท้าย ก็รีบไปซื้อตั๋วกันเลย ประเดี๋ยวจะไม่มีที่นั่ง ที่ช่องขายตั๋วเขามีให้เลือก สำหรับใครจะไปลงที่ไหน ก็ตัดสินใจกันเอาเอง เพราะรถเที่ยวนี้ คนเยอะเหลือเกิน

ใครจะไปยังจุดหมายปลายทาง คือจะไปชาตินี้เลย ก็หล่อ "สมเด็จองค์ปฐม" ไว้ไงล่ะ ส่วนใครจะลงพักระหว่างทาง คือจะรอไปสมัย "พระศรีอาริยเมตไตรย" ก็เตรียมตัวไว้ได้ ในปี ๒๕๓๗ จะจัดพิธีหล่อพระศรีอาริย์ ซึ่งเป็นไปตามกำหนดการเดิมก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ ใครจะไปลงยังที่ใด โปรดติดต่อจองตั๋วไว้ได้เลย

เก๊ง ๆ ๆ...เสียงระฆังดังเป็นสัญญาณเตือนแล้ว ขอหยุดฝอยเพียงเท่านี้ เพราะรถไฟเตรียมเคลื่อนขบวนแล้ว ปู๊น ๆ...พร้อมกับเสียงหวูดรถไฟ เตือนให้ผู้โดยสารเตรียมขึ้นนั่งบนรถให้เรียบร้อย

ผู้โดยสารทุกคนต่างก็มีตั๋วไว้เป็นของตนเองแล้ว ขบวนรถได้เริ่มเคลื่อนขบวนออกจากชานชลาสถานีอย่างช้า ๆ ทุกคนนั่งหลับตาผ่อนลมหายใจอย่างสบาย ๆ คลายความตึงเครียดทุกอย่าง ภาระต่าง ๆ ที่แบกไว้ บัดนี้ได้วางไว้เบื้องหลังทุกอย่าง จิตใจจึงปลอดโปร่งโล่งไปหมด กลับมาจดจ่ออยู่ เฉพาะจุดหมายปลายทางเท่านั้น...ที่ได้คืบคลานเข้ามาแล้ว...ใกล้เข้ามาแล้ว...ทุกขณะ!

ขอโทษ...อย่าเพิ่งนั่งหลับเพลิน ประเดี๋ยวจะเลยสถานี เพราะเมื่อตื่นขึ้นจึงรู้ว่าฝันไป ถึงแม้จะเป็นความฝันหรือไม่เพียงใด ก็ขออวยพรให้ผู้อ่านหรือผู้โดยสารทุกท่าน จงประสพกับความจริง คือ "อริยสัจจธรรม" ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้มีพระคุณใหญ่ของพวกเรา ได้นำมาปูพื้นฐานไว้เป็นแนวทาง เพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาตลอด ๕,๐๐๐ พระวัสสา

เป็นอันว่า ในกาลอวสานอันเป็นชาติสุดท้ายนี้ หลวงพ่อท่านได้ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครบถ้วนทุกประการแล้ว จึงขอให้ผู้อ่านทุกท่าน ที่ได้มีโอกาสร่วมสร้างบารมีมากับท่าน นับตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ ได้ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อความพ้นทุกข์ เช่นเดียวกับท่าน

ทั้งนี้ จะเป็นชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือสมัยพระศรีอาริยเมตไตรยก็ดี จงสำเร็จ...จงสำเร็จ... และจงสำเร็จ...โดยรวดเร็วและฉับพลัน ทุกท่านทุกประการเทอญ ฯ

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/9/08 at 12:11


ที่สุด...ของหลวงพ่อ


โดย... พระชัยวัฒน์ อชิโต
จาก...หนังสือครบรอบ ๑๐๐ วัน หลวงพ่อมรณภาพ


ถ้าจะพูดถึงคำว่า "ที่สุด" ทุกท่านก็คงจะเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตั้งแต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดจันทาราม (ท่าซุง) ตั้งแต่วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๑ นับเป็นเวลา ๒๔ ปี ที่ผ่านมา ท่านได้สร้างความเจริญทั้งในด้านวัตถุและจิตใจ อันเป็นผลงานไว้เป็นที่สุด...อย่างไร ทุกท่านก็คงจะทราบดีอยู่แล้ว จึงไม่ขอนำมากล่าวซ้ำอีก

แต่สำหรับต่อไปนี้ จะขอนำเรื่อง "ที่สุด...ของหลวงพ่อ" มาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์อีกสักเรื่องหนึ่ง ซึ่งคงจะเหมาะกับเหตุการณ์ในตอนนี้ เรื่องอย่างนี้คงจะหาคนทำสถิติยาก เพราะเป็นเรื่องของความเป็นความตาย ซึ่งคนธรรมดาสามัญชน เขามักจะตายกันเพียงครั้งเดียว มีอยู่ไม่กี่รายที่ตายแล้วฟื้น ฟื้นแล้วก็นำเรื่องที่ตนไปพบเห็นระหว่างที่ตายไปนั้น มาเล่าให้คนที่ยังไม่เคยตายฟัง

ส่วนเรื่องของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านมีประสบการณ์แปลก...ที่สุด นั่นก็คือ...ท่านตายแล้วฟื้น (แต่ท่านใช้คำว่า "มรณสัญญา") ประมาณเกือบ ๑๐ ครั้ง ถ้านับในตอนเด็ก ๆ ด้วยอีก ๒ ครั้ง รวมเป็น ๑๒ ครั้ง นับว่าเป็นสถิติที่มาก...ที่สุด ที่ยากจะหาใครทำลายสถิติได้ในปัจจุบันนี้

สำหรับครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ ขอให้ทุกท่านลองอ่านดูไปเรื่อย ๆ แล้วท่านจะพบคำตอบได้ดีที่สุด โดยเฉพาะการต่ออายุในครั้งที่ ๙ เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๓๔ จะทำให้ยุติข้อข้องใจต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

โอกาสนี้ขอเชิญท่านผู้อ่านทุกท่านพบกับเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่ผู้เขียนนำมาสรุปไว้โดยย่อพอเป็นที่เข้าใจ ส่วนใหญ่จะเป็นคำต่อรองระหว่างหลวงพ่อกับพระ ซึ่งอาศัยหลักฐานอ้างอิง จากหนังสือของหลวงพ่อต่าง ๆ ดังนี้ คือ มรณสัญญา, อนุสรณ์งานสมโภชสมณศักดิ์ พระราชพรหมยาน, ธัมมวิโมกข์ เป็นต้น



มรณสัญญาของหลวงพ่อ

ความตายครั้งที่ ๑

เมื่ออายุ ๑๒ ปี เป็นอหิวาตกโรค จิตออกจากร่าง ท่านได้พบคนที่ตายแล้วเดินไปเป็นแถว และพบท่านลุงแนะนำให้รู้จักแดนนรก ต่อมาก็สามารถไปเที่ยวแดนนรกได้



ความตายครั้งที่ ๒

เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๗ อยู่ที่วัดประยุรวงศาวาส การตายคราวนี้จิตไม่ได้ออกจากร่าง ท่านฉันยาระบายแล้วท้องเดินอย่างหนัก จึงอธิษฐานขอฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการว่า ควรจะอยู่ต่อดีหรือไม่

ปรากฏว่ามีผลตามที่ต้องการ แล้วท่านจึงได้อธิษฐานต่อไปอีกว่า "การอยู่ต่อไปถ้าสมณธรรมจะดีกว่านี้ (เรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ไม่ต้องการ ฐานะไม่ต้องการ) ก็ขอให้ฉัพพรรณรังสีพุ่งมาใหม่แล้วก็วนเป็นทักษิณาวัฏ ถ้าสมณธรรมไม่ดีกว่านี้ เราก็ไม่อยู่ อยู่ไปก็ไร้ประโยชน์" ฉัพพรรณรังสีก็พุ่งมาใหม่ วนเป็นทักษิณาวัฏยืนอยู่สัก ๕ นาทีแล้วก็หายไป



ความตายครั้งที่ ๓

เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๐๐ อยู่ที่วัดบางนมโค แต่มานอนป่วยที่โรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ ขึ้นไปพบแดนพระนิพพาน เป็นครั้งแรก ในครั้งนี้จึงได้ทราบว่า นิพพานมีสภาพไม่สูญ แล้วพระพุทธเจ้าทรงเนรมิตไม้ ๑๐ ท่อน เพื่ออธิษฐาน ท่านก็ยกได้สมความปรารถนา ตอนนี้มีความสำคัญมาก จึงขอนำรายละเอียดที่ท่านเล่าไว้มาให้ทราบดังนี้

"...ตอนนี้ก็เลยตั้งท่าอารมณ์จับสมาธิไว้ก่อน รวบรวมกำลังใจขึ้นไปไหว้พระ ที่พระจุฬามณีสถานพอชื่นใจ เห็นเวลาใกล้ ๒ ทุ่ม จึงกลับมาจะรับสถานการณ์กับเจ้าการอืดเสียด ก็ปรากฏว่าวันนี้นาฬิกาบอกเวลา ๒ ทุ่มผ่านไปแล้ว มันก็ไม่มา แต่ผู้ที่มาแทนที่จะเป็นอาการอืดเสียด กลับเป็นท้าวสหัมบดีพรหม ท่านก็มารายงานบอกว่า "เวลานี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับสั่งเรียกให้ไปเฝ้า" จึงบอกท่านว่า ขอให้ท่านไปหน้า จะตามไปข้างหลัง

ท่านออกหน้า ท่านก็พาลงนรก ผ่านนรก แดนเปรต แดนอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน สัมภเวสี ภุมเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดา พรหมทุกชั้นและอรูปพรหม ผ่านหมดแล้ว พอไปถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ ท่านบอกว่า "ทางที่ไปต่อไปนี้เป็นทางของท่านแต่ผู้เดียว ผมมาส่งเพียงนี้" จึงถามท่านว่า "ทางนี้จะไปไหน?"

ท่านก็บอกว่า "ไปที่พระต้องการจะพบคุณ แต่คุณต้องไปแต่ผู้เดียว" มองเห็นทางขาวสะอาดมีแก้วเป็นประกายแพรวพราวไปหมด อาการที่ผ่านจากนรกมาถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ กำลังกายมันดีทุกอย่าง แต่ว่าพอก้าวเข้าไปสู่ทางนั้น กำลังกายมันหมด กำลังใจก็ใกล้จะหมด เดินโผเผคล้าย ๆ กับคนที่เป็นโรคเรื้อรัง หมดกำลังที่จะเดิน ก็พยายามทรงตัวเดินเข้าไป พอสุดทางก็เข้าบริเวณใหญ่ เป็นพื้นที่ใหญ่มีบริเวณกว้างมาก มีซุ้มหน้าประตู มีกำแพงล้อม รองหน้าประตูปรากฏว่ามีพรหม ๔ ท่าน ท่านสวยกว่าพรหมธรรมดา ท่านยืนอยู่

พอเข้าไปท่าน ๔ ท่าน ก็ไหว้ เดินผ่านเข้าไปภายในเป็นพื้นที่เหมือนกับแก้วผสมทองกำแพงประตู มีวิมานอยู่ ๓ หลัง มีหอระฆังที่ประดับด้วยแก้วและทองอยู่ ภายนอกเดินไปรอบ ๆ เห็นสระโบกขรณี มีแท่นแก้ว มีต้นไม้แก้ว มีสวนไม้สวย ๆ แต่ทุกอย่างที่นี่เป็นแก้วผสมทองไปหมด มันสวยสดงดงาม ในใจก็คิดว่านี่มันวัดอะไรหนอ... พรหมชั้นที่ ๑๖ เราก็มาแล้ว แต่ทว่าที่นี่มันไม่ใช่พรหม มันเป็นแดนอะไร

เดินไปเดินมาก็มีแต่ความเงียบสงัด หาคนสักคนก็ไม่มี เดินไปก็ปรากฏว่าหมดกำลัง เลยนอนอยู่ที่หอระฆัง จิตใจก็นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เราขึ้นมาทุกครั้งเราก็พบพระพุทธเจ้า แต่มาที่ตรงนี้เราไม่พบพระพุทธเจ้า มันก็เห็นจะเป็นการหมดความหมาย นอนลงไปเดี๋ยวเดียว หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก ก็เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพรั่งพร้อมไปด้วยรัศมี ๖ ประการ เดินมาแต่ไกล

แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตร ไม่ได้เข้ามาทางประตู เข้ามาทางกำแพง พอถึงกำแพงก็รู้สึกว่า กำแพงมันขาดออกจากกัน ยืดออก พอท่านผ่านเข้ามาแล้ว กำแพงมันก็ติด ก็นึกในใจว่า ไอ้ที่ตรงนี้มันแปลก มันไม่เหมือนกับที่อื่น ที่อื่นกำแพงมันผ่านกันไม่ได้ แต่ที่นี่กำแพงมันหดมันขาดตัวกันได้แล้วก็ต่อกันได้

เมื่อท่านเข้ามาใกล้ จึงได้ลงจากหอระฆัง ท่านเสด็จประทับบนพื้นหอระฆัง แต่รู้สึกว่าไม่มีแท่นสูง มีแท่นต่ำ ๆ เป็นดอกบัวรองรับ ทั้งหมดเป็นดอกบัวแก้ว สวยสดงดงามมาก แล้วท่านก็ทรงมีพระบัญชาถามว่า "เธอผ่านพรหมชั้นที่ ๑๖ มาแล้วใช่ไหม?" ก็ได้กราบทูลท่านว่า
"ผ่านมาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า"

"ที่นี่เขาเรียกอะไร?
ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบ พระพุทธเจ้าข้า"


"ที่นี่เขาเรียกกันว่า นิพพาน เธออยากจะมานิพพานไหม?"
"ข้าพระพุทธเจ้าไม่เคยคิดว่าจะมานิพพาน พระพุทธเจ้าข้า"

"เป็นเพราะอะไร?"
"เป็นเพราะข้าพระพุทธเจ้าอ่อนในวิปัสสนาญาณ แล้วคิดว่า ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสที่จะถึงนิพพาน"

"เวลานี้เธออยู่ที่นิพพาน แล้วที่นี่ก็เป็นที่ของเธอเอง"
"เขากล่าวกันว่า นิพพานสูญใช่ไหม พระเจ้าข้า?"

องค์สมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า "เธอทำไมถึงได้เชื่อคนตาบอดไร้ปัญญาอย่างนั้น ตถาคตกล่าวไว้ว่า "นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง" คือว่างจากราคะ ว่างจากโลภะ ว่างจากโทสะ ว่างจากโมหะ แล้วก็ "นิพพานัง ปรมัง สุขัง" ถ้านิพพานมีสภาพสูญ มันจะมีอะไรเป็นสุข เวลานี้เธอถึงนิพพาน สภาวะของเธอสูญหรือเปล่า?"

"เวลานี้สภาวะอันเป็นทิพย์ไม่สูญ พระเจ้าข้า แต่ว่าร่างกายข้างในไม่ได้มาด้วย"

"ใช่แล้ว...ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายที่มันจะมีได้ มันเป็นเปลือกของความชั่ว ความชั่วที่สร้างร่างกาย คือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ในเมื่อเราออกจากร่างกายมาแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็ขาดกันไป ที่ตถาคตสอนไว้ใน "มหาสติปัฏฐานสูตร" ว่า

"..จงอย่าสนใจในร่างกายของเราเอง อย่าสนใจร่างกายของคนอื่น อย่าสนใจในวัตถุธาตุใด ๆ เพราะว่าการสนใจมันเป็นกิเลส เป็นตัณหา และอุปาทาน และเราก็จะทำความชั่ว คือ อกุศลกรรม เวลานี้ที่ผ่านพ้นมาแล้ว เหลือแต่ร่างกายที่บริสุทธิ์ คิดว่าจะมานิพพานไหม?"

"ไม่มา...ไม่มาแน่ พระเจ้าข้า เพราะวิปัสสนาญาณอ่อน"

ในตอนนี้ท่านจึงเนรมิตไม้ขึ้นมา ๑๐ ท่อน เป็นท่อนสั้น ๆ ประมาณแค่ศอก เป็นไม้ไผ่บาง ๆ ท่านจึงตรัสเรียกพระมา ๙ องค์ พระทั้ง ๙ องค์รู้สึกว่ารู้จักทั้งหมด เป็นครูบาอาจารย์เก่า แต่รู้สึกดูเหมือนว่า หลวงพ่อปาน จะเป็นองค์ที่ ๓ ท่ านมาถึงนมัสการพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีใครพูดด้วย ท่านยิ้ม ๆ เห็นหน้าท่านก็ยิ้มทั้งหมด

ท่านก็หยิบไม้องค์ละท่อนเดินแบกหายไป ท่อนที่ ๑๐ ไม่มีใครยก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "เธอจงยก!"

"ข้าพระพุทธเจ้ายกไม่ไหว กำลังใจมันไม่มี"

"นี่เป็นคำสั่ง ไม่ใช่คำขอร้อง เธอต้องไปยก!"

ก็ตั้งใจคิดว่ามันคงจะยกไม่ไหว ตั้งท่าตั้งทางคุกเข่ายักแย่ยักยัน จับไม้งัดขึ้นมาเต็มที่ แต่พอจับเข้าเท่านี้ รู้สึกว่าไม้มันเบามาก เหมือนกับเศษกระดาษที่เขาวางไว้ที่พื้น หยิบใส่บ่าได้ทันที กำลังมันมีทันที ก็เดินออกไป พอเดินออกไปไกลได้สัก ๒-๓ วา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า

"กลับมานี่...วางไม้เสีย เธอมีกำลังแล้วใช่ไหม?"
"พระเจ้าข้า"

"เธออาศัยที่ไม่พอใจในวิปัสสนาญาณ กำลังใจยังอ่อน วิปัสสนาญาณยังอ่อน แต่ความจริงวิปัสสนาญาณของเธอใช้ได้ มันขึ้นอยู่กับกำลังใจ หรือความพอใจ เธอจงกลับไปฝึกฝนวิปัสสนาญาณให้เข้าถึงจุด จงอย่ายึดถืออะไรทั้งหมด ถือว่าโลกไม่ใช่ของเรา สวรรค์และพรหมไม่เป็นแดนที่อยู่ของเรา เราต้องการอย่างเดียวคือนิพพาน

อารมณ์ใจที่เธอตัดสินใจว่า อะไรไม่มีในเรา เวลานี้ร่างกายมันก็ยังจะพัง ทรัพย์สินส่วนอื่นไม่มีสำหรับเรา เราไม่มีพี่ เราไม่มีน้อง เราไม่มีพ่อ เราไม่มีแม่ ทั้งนี้ไม่ใช่อารมณ์อกตัญญู มีความรู้สึกว่า ถ้าเราจะตาย เราก็ตายแต่ผู้เดียว ไม่มีใคร เขามาตายด้วย ตายแล้วทรัพย์สมบัติทั้งหลายเอาไปไม่ได้ จิตใจไม่ยึดถือในสิ่งทั้งหลาย อันนั้นถูกต้อง เธอจงกลับไปฝึกฝนใจในด้านวิปัสสนาญาณ ทำบารมี ๑๐ ให้ครบถ้วน แล้วก็ทรงอิทธิบาท ๔ ให้มีความเข้มแข็ง พยายามมองดูสังโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "สักกายทิฏฐิ"

แล้วองค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงประทานให้กลับ เมื่อกลับก็มีความรู้สึกตัว เวลาเลยไปแล้ว ๑๓ ชั่วโมง หลังจากวันนั้นมาก็รู้สึกว่า อาการอืดเสียดมันก็หมดไป ไม่มีอะไรเหลือ อันนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการตายครั้งที่ ๓ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พ่อก็ติดต่อพระนิพพานเป็นปกติ คือ สร้างกำลังใจแบบนั้น..."



ความตายครั้งที่ ๔

ประมาณ พ.ศ.๒๕๐๗ - ๒๕๐๘ อยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท ขณะที่กำลังทำพระตะกั่ว จึงถูกไฟไหม้มือ หลวงพ่อจึงออกไปจากร่างกาย สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระบัญชาว่า "สัพพเกสี...ลงไปเถอะ! กิจของเจ้าที่จะพึงทำข้างหน้ามีมากเพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อลูกหลานของเจ้าเอง เพื่อคนของบิดาของเจ้า และเพื่อคนที่เขาเลื่อมใสตถาคต บุคคลทั้งหมดที่จะต้องรับภารกิจจากเธอ..."



ความตายครั้งที่ ๕

พ.ศ.๒๕๑๒ มาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้ว หลังจากกลับมาจากงานฉลองพัดยศ พระครูวิชาญชัยคุณ วัดปากคลองมะขามเฒ่า มีอาการใกล้จะตาย เห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสว่า "สัพพเกสี...จะคำนึงไปทำไม กรรมเท่านี้มันเป็นการชดใช้กรรมที่เป็นเศษเท่านั้น แต่กรรมที่เธอยังไม่ใช้มันยังมีอีกมาก ดูภาพนี้ซิ (ภาพหัวคนเรียงเต็มไปหมดไม่รู้จะนับว่ากี่แสนหัว)

บรรดาหัวคนเหล่านี้ทั้งหมดที่เธอฆ่าเขามาในอดีต ทุกชาติเธอเกิดเป็นนักรบ ถ้าไม่เป็นกษัตริย์ ก็ต้องเป็นทหารเอก รบกับเขาทุกชาติ แต่เธอก็ไม่เคยตายในสนามรบ มีแต่คู่อาฆาตที่เขาตายในสนามรบ นี่เธอยังไม่ได้ใช้หนี้เขา ถ้าเธอยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เธอจะต้องใช้หนี้หัวทั้งหลายเหล่านี้ กว่าจะหมดหัวมันก็หาที่สุดมิได้

ฉะนั้น กรรมใดที่เธอรับเมื่อทรงขันธ์ ๕ อยู่ มันเป็นเศษของกรรมที่ชำระหนี้มันมาแล้ว การชำระหนี้ก็หมายถึงว่า ตกนรกมาแล้ว มันเป็นเศษของกรรมติดมานิดหน่อย จะไปคำนึงถึงมันเพื่อประโยชน์อะไร เธอจงเร่งรัดกำลังใจทำให้ถึงที่สุดของความทุกข์ มีจิตใจจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ จงอย่าห่วงใยในขันธ์ ๕ ถ้าเราไม่ห่วงใยในขันธ์ ๕ คือรูปกายของเราเสียอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่าง ภายนอก มันก็ไม่มีอะไรเป็นเรา...เป็นของเรา..."



ความตายครั้งที่ ๖

เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๑๕ ที่วัดท่าซุง มีอาการอาเจียนอย่างหนัก หน้ามืด มีอาการใกล้จะตาย หลวงพ่อจึงทูลถามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่าไปได้แล้วหรือยัง ท่านตรัสถามว่าไปไหน ก็กราบทูลบอกว่า "มีสัญญาไว้ ๑๒ ปี วันนี้เป็นวันครบ ๑๒ ปีแล้ว พระเจ้าข้า"

พระองค์ก็ตรัสว่า "๑๒ ปีก็ช่างเถอะ...คนของคุณที่เขาติดตามคุณมาในอดีตชาติมีจำนวนแสน คุณยังไม่สามารถจะช่วยเขา อย่างน้อยที่สุดให้ไปอยู่ดาวดึงส์ได้ แล้วคนของโยมของคุณก็ยังมีอีกมาก และคนของฉันที่ต้องพลอยติดต่อกับคุณ อาศัยคุณด้วยยังมีอยู่ ในเมื่อคนทั้งหมดนี้ไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้ คือ ให้สามารถอย่างน้อยที่สุด ต้องทำตนให้ถึงดาวดึงส์ได้...คุณยังไปไม่ได้!"

หลวงพ่อถามท่านว่า "ในเมื่อเขาไม่มา จะไปตามเขาที่ไหน เพราะว่ามันเป็นเวลา ๑๒ ปี แล้วเขาไม่มากัน"

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ไม่เป็นไร... หลังจากนี้ไป ฉันจะเกณฑ์มา"

โยม (ท่านปู่พระอินทร์) ก็บอกว่า "คุณ! ไม่เป็นไรหรอก... โยมจะช่วยเกณฑ์มา"

แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า "หลังจากนี้ต่อไป... ขอลูกจงช่วยกิจการงานของพ่อต่อไปอีก ๑๐ ปีนะ หลังจาก ๑๐ ปีไปแล้ว ก็ไปอยู่กับพ่อ" (ท่านหมายความถึงที่นิพพาน)

(หมายเหตุ ในปีนี้หลวงพ่อได้บันทึกเสียงเรื่อง "ประวัติหลวงพ่อปาน" ต่อมาได้จัดพิมพ์
เป็นหนังสือ เป็นที่แพร่หลายอยู่ในเวลานี้)



ความตายครั้งที่ ๗

เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๒ ท่านอาเจียนในห้องส้วมที่ตึกอินทราพงษ์ แล้วหมดความรู้สึกทางกาย อยู่หน้าประตูห้องบันทึกเสียง พบพระพุทธเจ้าที่พระนิพพาน พระองค์ทรงตรัสว่า "ความสุขใด ๆ ที่จะมียิ่งไปกว่าพระนิพพานไม่มี กำลังใจของเธอน่ะ มันเกาะติดพระนิพพานแล้ว ที่มีอารมณ์จืด คนที่จะมานิพพานได้ ต้องมีกระแสใจจืดแบบนี้ มันจืดทุกอย่าง คือ อารมณ์มันไม่ติดการสอนลูกศิษย์ ต้องใช้รัศมีกายช่วยด้วย เธอมาจากพระโพธิสัตว์ แล้วก็จวนจะบรรลุ หมายความว่า จะจบกิจพระโพธิสัตว์อยู่ชาตินี้แล้ว รอแต่การบรรจุ แต่บังเอิญเธอลาพุทธภูมิเสียก่อน ฉะนั้น สีกายจึงมีออกมาได้ ๔ สี ไม่ครบ ๖ สี แต่ว่าต่อนี้ไปใช้สีกายได้ ๖ สี"

จึงกราบท่านแล้วกราบทูลว่า "มิฉะนั้นก็จะเป็นการปรามาสองค์สมเด็จพระชินสีห์ เป็นการตีเสมอ"

ท่านก็ทรงตรัสว่า "ฉันอนุญาตให้ใช้ ทำไมจะใช้ไม่ได้"

ก็กราบทูลถามท่านว่า จะใช้ในเวลาไหน

พระองค์ตรัสว่า "ใช้ในเวลาสอนธรรม แต่สีนี่ไม่ได้เปล่งให้คนตาเนื้อเห็น เปล่งให้คนที่เขาได้ทิพจักขุญาณเห็น และนอกจากนั้น ประเทศไทยกำลังมีความทุกข์ เราเป็นพระ เป็นหนี้บรรดาประชาชนชาวไทย เพราะว่าชีวิตของพระจะทรงชีวิตอยู่ได้ ต้องอาศัยชาวบ้านเขาเลี้ยง เธอจงใช้รัศมีกายนี่ทุกวัน เปล่งไปทั่วบริเวณของประเทศ อธิษฐานจิตให้ประเทศมีความสุขให้ประเทศปลอดภัยจากภยันตรายของข้าศึก ให้ประเทศไทยอยู่รอด ต่อไปให้มีความอุดมสมบูรณ์ค่อย ๆ ทำ จะได้ผลโดยฉับพลันไม่ได้ ทำเรื่อย ๆ ไป"

และก็จงแนะนำลูกศิษย์ทุกคนว่า "เมื่อจิตขึ้นถึงนิพพานได้แล้ว ให้ขึ้นมานิพพานบ่อย ๆ ครั้งละนาทีสองนาทีก็ดี ทำจิตให้เป็นสุขที่นิพพานแล้วก็ลงไป จะไปไหนก็ได้ เอานิพพานเป็นจุดหมายต้นทางที่เราจะขึ้นไว้ก่อน จิตมันจะได้ชินกับพระนิพพาน และก็ให้ทุกคนวางอารมณ์เสียว่า มนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่มีความหมายสำหรับเรา เราต้องการอย่างเดียว คือพระนิพพาน"

เมื่อทรงตรัสเสร็จ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ก็ตรัสว่า "ขึ้นมานานแล้วลูก...กลับลงไปเถอะ!"

หลังจากนั้นหลวงพ่อกลับเข้าสู่ร่างกาย ท่านก็ได้ยินพระสุรเสียงขององค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า "นี่เธอตายไปแล้วนะ และก็เวลานี้เธอเกิดใหม่ เมื่อเธอเกิดใหม่ก็ต้องถือว่า วันเกิดของเธอก็คือ วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๒ เธอจงรับภาระอันนี้ต่อไป..."

แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงมอบหมายภาระ และก็กำหนดวันตายไว้ว่า คอยจะตายอีกเท่านั้นปีเท่านี้ปี แต่ภาระอันนี้ปรากฏว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงมอบไว้หนักมาก ทรงตรัสง่าย ๆ ว่า "จงอย่าท้อถอยในการต่อสู้กับอลัชชี ถ้ามิฉะนั้นแล้วพระศาสนาจะต้องสลายตัว และก็ต้องพยายามฝึกฝนทุกอย่างที่พ่อสั่ง และก็แนะนำลูกศิษย์ทุกอย่างประเภทเอาจริงเอาจัง"

แล้วก็ทรงตรัสกับหลวงพ่ออีกว่า "ลูกน่ะไม่มีเวลาพักผ่อนเลยนะ พ่อในเวลาที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ มีร่างกายอยู่ เวลาที่สอนธรรม ในกาลบางครั้ง พ่ออยู่สุขวิหาร ๑๕ วัน พ่อมีเวลาพักผ่อน แต่ลูกไม่มีเวลาพักผ่อนเลย ต่อไปก็ควรจะหาเวลาพักผ่อนเสียบ้าง ถือว่าวิชาความรู้เราให้เขาไว้แล้ว อย่าให้เขาติดกันจนเกินไป สอนให้เขารู้จักรักษาตนเองกันบ้าง

ถ้าใครเขาไม่รู้จักช่วยตัวเอง ก็จงปัดไปเลย สอนแล้วหนึ่งวาระเขาไม่รับฟัง ยังถือมานะทิฏฐิก็ให้ตัดไปเลย ตอนนี้เราจะเลือกคัดเอาเฉพาะคนดีเท่านั้น คนที่เขาไม่ดีก็อย่าเข้าไปสนใจกับเขา สอนเขาไม่เชื่อก็อย่าโอ๋ ปล่อยเขาไปตามทางของเขา เพราะว่าพวกปทปรมะนี่พ่อเองก็ไม่สอน"



ความตายครั้งที่ ๘

เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๒ ท่านอาเจียนที่ห้องน้ำที่ตึกรับแขกใหม่ แล้วหมดความรู้สึกตัวออกไปนั่งอยู่ข้างนอกคุยกับเทวดา ๒ องค์ คือท่านอินทกะทั้งสองท่าน ท่านบุเรงนอง กับ ท่านปิยะยาวี ท่านได้เล่าให้ฟังในภายหลังว่า

"...พอกลับเข้ามาในตัวอีกที รู้สึกว่าเสมหะนองเป็นกระโถน ๆ เต็มพื้นไปหมด มันก็ไม่มีแรง ประตูก็ใส่กลอน นั่งรวบรวมกำลังใจอยู่นิดหนึ่ง พอมีแรงนิดหน่อยก็ค่อย ๆ เกาะราวผ้าไปถอดกลอน พอดีพระสมุห์บัญชาเข้ามาจับมือ ก็หมดความรู้สึกทันที ตอนนั้นตอนแรก พระท่านบอกว่าเป็นการออกไปจากร่างกาย เพราะร่างกายมันหนัก ถ้าไม่ออกไปจากร่างกาย มันจะหายใจไม่ทัน เสมหะออกมา มันจะขาดใจตายตอนนั้น พระท่านกลัวจะตาย ท่านเลยดึงจิตวิญญาณออกไปเสียข้างนอก พอชุดหลังนี่ท่านเรียกว่า "สลบ" ไอ้ตัวสลบกับออกไปข้างนอกนี่ไม่เหมือนกัน..."

ต่อมาองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงมีพระบัญชากับหลวงพ่อว่า "ฉันขอร้องนะ กิจที่ฉันยังต้องการยังมีอีกมาก และต้องการอาศัยร่างกายของเธอเป็นพื้นฐาน เป็นสะพาน อาศัยปากของเธอปล่อยเสียงออกมา แสดงการปฏิบัติ เป็นการนำคน อย่างน้อยที่สุด ขอให้คนทุกคนที่มีความเกี่ยวเนื่องกับเธอทั้งหมด ตั้งแต่ชาติอดีตมา กี่ชาติ กี่กัปก็ตาม เวลานี้เขามารวมตัวกัน ที่ไปสวรรค์แล้วก็มีมาก ไปพรหมโลกแล้วก็มีมาก มานิพพานแล้วก็มีมาก แต่ว่าส่วนที่ยังคั่งค้างอยู่ที่มีอารมณ์ยังอ่อน มีอยู่ จงกลับไปใหม่ ไปเข้าร่างกายเดิมใหม่

และต่อนี้ไป การสอนกรรมฐาน จงสอนในลีลาที่ง่ายที่สุด และก็มีผลดีจริง ๆ รวดเร็ว การสอนธรรมะ ให้ยึดสวรรค์เป็นสำคัญ อันดับแรก แนะนำคนไปสวรรค์ให้ได้ ประการที่สอง ถ้ามีกำลังใจเข้มแข็ง นำไปพรหม ที่เขาไม่นิยมโลก แนะนำไปนิพพาน การงานทุกอย่างที่สั่ง ในการงานที่ทำการก่อสร้าง เป็นการงานที่เรานำเขาไป อย่างน้อยไปสวรรค์ ทำไปทุกอย่าง ลาภสักการะยังจะเกิดมาก พ่อจะช่วยเรื่องการเงินการทองไม่ต้องวิตก คนจะมีศรัทธามากขึ้น แล้วก็ทำทุกอย่างให้มันครบถ้วนบริบูรณ์ สถานที่อื่น บริวาร จัดการบ้างในขอบเขตจำกัด แต่ส่วนกลางทำให้ครบถ้วน การทำทุกอย่าง การก่อสร้างนิดหนึ่ง เขาบริจาคบาทเดียวด้วยศรัทธาแท้ เขาก็ไปสวรรค์ได้ ต้องทำนำเขา เวลานี้เราอิ่มแล้ว แต่เขายังหิว เขายังบกพร่อง กลับไปก่อนลูกรัก..."

พอเสียงท่านพูดเท่านี้ก็ใจอ่อน ก็เลยน้อมใจตามท่าน กลับลงมา พอกลับลงมาถึงตัว ท่านก็ตามมาด้วย ท่านบอกว่า "อย่าเพิ่งไป ปีนี้เขาเลื่อนสมณศักดิ์ให้ใหม่ เป็นพระราชาคณะชั้นราช..."



ความตายครั้งที่ ๙

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๔ ขอย้อนเรื่อง "บันทึกความจำพิเศษ" ที่หลวงพ่อเล่ามาให้ทราบโดยย่ออีกครั้งดังนี้

"...เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๔ ตอนกลางคืนกำลังนอนภาวนาอยู่ เห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ผิวขาว รูปร่างหน้าตาสวย เธอเดินยิ้มเข้ามาหา แต่ว่าเครื่องแต่งตัวของเธอ ผ้านุ่งเธอนุ่งผ้าไหมสีทอง และก็เสื้อไหมสีแดงจัด ลักษณะสีผ้าของเธอน่ากลัว นั่นคือผ้าสีแดง เพราะเป็นสัญญากันมีอยู่ว่า ถ้าหากว่าจะป่วยไข้ไม่สบาย ก็จะปรากฏสีแดงขึ้น ถ้าสีแดงเป็นชิ้นใหญ่ก็จะป่วยมาก ถ้าสีแดงเป็นชิ้นเล็กก็จะป่วยไม่มาก ถ้าสีแดงแดงจัดอาการป่วยจะหนักมาก ถ้าสีแดงเป็นแดงเลือดหมูก็ป่วยน้อย อย่างนี้เป็นต้น..."

( หมายเหตุ สำหรับนิมิตก่อนที่จะมรณภาพนั้น ท่านบอกว่า เห็นคนใส่เสื้อผ้าสีแดงแป๊ด เป็นมันด้วย ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน)

ต่อมาวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๔ หลวงพ่อก็เริ่มเป็นไข้หวัดและปวดศีรษะ อาการทางกายเครียดหนัก พูดไม่ออก ลิ้นแข็ง ท่านเล่าต่อไปว่า

"...พอมาถึงวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๔ เวลากลางคืนก็มาพิจารณาตัวเองว่า เราควรจะอยู่หรือจะไป จึงไปหาพระท่าน พระท่านก็บอกว่า "ช่วยฉันก่อน ทุกอย่างมันยังไม่เสร็จ ขอให้ช่วยให้เสร็จเสียก่อน อีกประการหนึ่ง บัญชีของวัดยังไม่เรียบร้อย ประการที่สอง บัญชีของโรงเรียนยังไม่เรียบร้อย เขาจะยุ่งเรื่องการเงิน"

ก็เลยบอกว่า "บัญชีเงินฝากทุกอย่างสำหรับวัดก็ดี สำหรับโรงเรียนก็ดี แต่ละเล่มบอกไว้ชัดว่า เงินประเภทนี้ใช้อะไร ใช้เฉพาะดอกผลหรือใช้ต้นด้วย"

ท่านก็บอกว่า "ขอให้ช่วยกันก่อน ให้วัดมันเสร็จเสียก่อนค่อยพูดกันใหม่ แต่ว่าฉันขอยืนความเดิม"

ความเดิมของท่านบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็จะไม่ขอกล่าวในที่นี้ ว่าความเดิมเป็นยังไง ก็ลาท่านกลับมา ก็มานั่งตัดสินใจว่า ขึ้นชื่อว่าทุกขเวทนามันครอบงำเรามากเหลือเกิน หนักเกินกว่าที่จะทนต่อไป ถ้าเราหาทางแก้ไขไม่ได้ ก็ขออยู่แค่สิ้น พ.ศ.๒๕๓๔ ขึ้นต้นปี พ.ศ.๒๕๓๕ ขอตาย..."

แต่ท่านลุงพุฒ กับท่านลุงใหญ่ ก็มาขอร้องหลวงพ่อว่า "ผมขอร้องว่า อย่าเพิ่งตัดสินใจตาย อย่าเพิ่งไปจากร่างกาย คนที่ยังต้องการคุณยังมีอยู่ แต่คนที่หวังจะสงเคราะห์คุณยังมีอยู่ คือพระผู้ใหญ่ท่านพร้อมในการสงเคราะห์ ก็มี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา กับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ แล้วก็มีหลาย ๆ องค์ อีกเยอะ ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ให้การสงเคราะห์ คุณจะหนีการสงเคราะห์ของท่านไปยังไง?"

หลวงพ่อตอบว่า " ถ้าอาการดีขึ้นไม่ต้องขออยู่ อยู่ไม่จำกัดปี ไม่จำกัดเวลา "

เสียงพระท่านบอกว่า " ตามกำหนดที่กำหนดไว้ให้ "

หลวงพ่อตอบว่า " ครับ...ถ้าทุกขเวทนาคลายตัว ผมอยู่ตามนั้น หรือเลยไปกว่านั้นก็ได้ ถ้าหากว่าทุกขเวทนาไม่คลายตัว ผมขอตามเวลาที่ผมตั้งใจไว้ สิ่งใดถ้าตั้งใจแล้ว จะไม่ยอมถอนความตั้งใจเด็ดขาด "

หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ปรารภในใจว่า ""ถ้าพระขอร้องแล้ว พระต้องให้อาการคลายตัวลง ถ้าทุกอย่างไม่คลายตัวลง ขอตายแน่ ๆ ไม่เกินวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๓๕ "

ต่อมาหลวงพ่อเล่าว่า ในตอนกลางคืนวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๓๔ ท่านท้าวสหัมบดีพรหม มาช่วยรักษาให้ อุจจาระที่แข็งตัวทับประสาทมานาน ก็ได้เคลื่อนตัวออกมา ร่างกายค่อยดีขึ้นเป็นลำดับ

เป็นอันว่า หลวงพ่อต้องยุติความตายไว้ในช่วงนั้น หลวงพ่อได้เล่าอาการป่วยว่า " การป่วยมันก็เริ่มต้นมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๕ ป่วยจาก ดอยตุง และต่อมาก็มา พ.ศ.๒๕๒๘ อันนี้อาการหนักมาก เพราะในปีนั้นมีการสอนกรรมฐาน มโนมยิทธิเต็มกำลัง และเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ วันนั้นอาเจียนมาก มีตัว ๆ หนึ่ง มันมีรูปร่างเหมือนกระจับ แต่มีปากสองข้าง มันพ่นเสมหะ ไอ้กระจับตัวนี้หลุดออกมา หลังจากนั้นเสมหะก็น้อยลง"



เรื่องศพของท่าน

สำหรับเรื่องศพของท่าน หลวงพ่อให้เหตุผลไว้ว่า "พระท่านสั่งว่า จงอย่าเผาร่างกายของเธอ ด้วยเหตุผลก็มีอยู่ว่าลูกศิษย์มาก จะทะเลาะกันเรื่องกระดูก ”

เรื่องกระดูกนั่น เป็นปัจจัยให้คนทะเลาะกันเยอะแยะแล้ว เอาไปแล้วไม่ได้ทำอะไร ไปวางทิ้งที่บ้าน ไปวางทิ้งที่วัด ไม่ได้สนใจอะไร มีหลายอาจารย์ แม้แต่กระดูก หลวงพ่อปาน เองก็เหมือนกัน เวลาเผาแย่งกันเกือบจะฆ่ากันตาย พอได้ไปแล้ว เปล่า...ลืม! บางคนก็ให้คนอื่นต่อไป แต่เวลาจะเอาแย่งกัน

ทีนี้ของอาตมา คณะเวลานี้ เวลานั้นต่างกัน กำลังใจคนต่างกัน เวลานั้นว่ากันหยุดขอร้องกันได้ แต่เวลานี้ไม่แน่ใจนักว่า จะว่ากันหยุดขอร้องกันได้ ท่านจึงหาทางป้องกันเรื่องร้อยเกิดขึ้น ไอ้การเผา... บรรดาท่านพุทธบริษัท ดูหลวงปู่แหวน เฉพาะค่าเมรุหมดไป ๑๒ ล้าน ถึงแม้จะมีรายได้ชดเชยมามากกว่าก็ตามที แต่ความจริงไม่น่าจะเสียสำหรับเรา เพราะคนหลายคน อาตมาเองไม่ต้องการอย่างนั้น

ถ้าอาตมาเอง มันจะเกิน ๑๒ ล้าน ถ้ายังมีคนเขารักอยู่นะ ยังไม่ทำให้เขาเกลียด ถ้าเขาเกลียดกันหมดก็ไม่ถึงบาท และเรื่องมันก็จะยุ่ง จะเผาตรงไหน จะจัดยังไง จะเอากันยังไง ล่อกัน จิปาถะ เมรุอย่างนี้ดี อย่างนั้นดี เฉพาะเถียงกันเรื่องเมรุก็หมดเวลาไปแล้ว ดีไม่ดีก็แตกคอกันไป หลายคน ยังจะมาหมดสตางค์เรื่องเมรุ หมดสตางค์เรื่องงานอีก มันยุ่งยากไร้ประโยชน์ คนไร้จิตใจไร้วิญญาณแล้ว ก็เหมือนกับท่อนไม้ที่เขาทิ้ง

แต่ความจริงท่อนไม้ที่เขาทอดทิ้งน่ะ มันดีกว่า ไม่เน่า ไอ้ร่างกายคนมันเน่า จะมาทะเลาะกันเรื่องเน่าไม่มีประโยชน์ พระท่านบอก จงห้ามไม่ให้เผาด้วยการชดเชยของท่าน ท่านก็บันดาลให้ ชานหมาก เป็นพระธาตุบ้าง บันดาลให้ ผม เป็นพระธาตุบ้าง บันดาลให้ หางพลู เป็นพระธาตุบ้าง ตามที่ปรากฏกับบรรดาท่านพุทธบริษัทแล้ว นี่เป็น พุทธบารมี ไม่ใช่บารมีของอาตมา



(พระภิกษุที่บวชสมัยนั้นถ่ายรูปกับหลวงพ่อฯ หลังจากทำบุญในวันพระที่ศาลาพระพินิจ)

เหตุการณ์เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๓๔

ต่อมาท่านได้เทศน์ที่ศาลาพระพินิจ วัดท่าซุง เนื่องในวันออกพรรษา เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๔ มีใจความโดยย่อว่า เดือนนี้เป็นเดือนที่หมดสัญญากับพระพุทธเจ้า อาจจะตายเดือนนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันที่ ๑๒ ในเมื่อคอเป็นเม็ด ก็ใช้ยากวาดมันเคยยุบ แต่มันไม่ยอมยุบ พอรุ่งขึ้นให้หมอตรวจ หมอตรวจบอกว่า คอแดงทั้งลำคอเลยครับ

ทีนี้พอตกกลางคืนคอแดงหายไป มันกลายเป็นแผลเต็มลำคอ กลืนน้ำลายก็เจ็บ กลืนน้ำก็เจ็บ มันมีอาการเจ็บหนักมากที่สุดในชีวิตที่ไม่เคยปรากฏมา มันเจ็บตั้งแต่ ๒ ทุ่ม ถึง ๕ ทุ่ม ถึงน้ำตาร่วง ความจริงน้ำตาอาตมานี่มันออกยาก ใครจะตายสักกี่ร้อยคน ไม่เคยน้ำตาร่วง

ทุกขเวทนาใด ๆ ที่มีมาก็ไม่เคยน้ำตาร่วง คืนนั้นน้ำตามันไหลเอง พอถึง ๕ ทุ่มก็ตัดสินใจคิดว่า ถ้ามันเป็นอย่างนี้ ทุกขเวทนาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ควรจะอยู่ และอีกประการหนึ่ง ก็เป็นวาระสิ้นสุดตามสัญญาไว้ เดือนตุลาคม ก็ออกจากร่างกายตั้งใจจะไปนิพพาน ก็ไปที่เทวสถานก่อน ไปหาโยมและบรรดาท่านผู้มีคุณ ก็มีเทวดา นางฟ้า พรหม เต็มไปหมด ก็ไปขอลาท่านว่า ไอ้ร่างกายมันมีทุกขเวทนาหนัก จะอยู่ต่อไปไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอินทร์ท่านก็บอกว่า "คุณ! อย่าเพิ่งไปนิพพานเลย คุณไปแวะที่จุฬามณีก่อน"

พอเข้าไปพระจุฬามณี พระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่น มีเฉพาะพระอรหันต์เต็มจุฬามณี เต็มไปหมด เข้าไปกี่ครั้ง ๆ ไม่เคยเห็นพระอรหันต์มากแบบนั้น แสดงว่าพระอรหันต์มาหมด เมื่อเข้าไปที่ประตูพระจุฬามณี ก็เห็น พระโมคคัลลาน์ ท่านก็ร้องบอกว่า "เฮ้ย...ประตูนิพพานยังไม่เปิดโว้ย...ยังไปไม่ได้!"

เมื่อหลวงพ่อเข้าไปขอลาพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงตรัสให้ ท่านสหัมบดีพรหม ลงไปรักษาแผลในคอ แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งให้หลวงพ่อกลับ

ในตอนนี้ท่านเล่าว่า "อาตมาก็ไม่กลับ เพราะว่าการมาคราวนี้ไม่ขอกลับ แต่ท่านบอกว่า ประตูนิพพานไม่เปิดเพื่อเธอ ก็ถามพรหมว่า พรหมชั้นไหนมีที่ว่างบ้าง พรหมทุกชั้นก็บอก ที่ว่างสำหรับท่านไม่มี ถามเทวดากับนางฟ้า ถามว่าสวรรค์ชั้นไหนมีที่ว่างบ้าง บอกสวรรค์ที่ว่างสำหรับท่านไม่มี ที่ว่างของท่านมีที่เดียวที่นิพพาน ไปไม่ได้ก็ห้ามอยู่ มันไม่มีที่อยู่ก็ต้องลงมา พระพุทธเจ้ามาด้วย

มาถึงปรากฏว่า ไอ้แผลในคอมันหายไป ท่านสหัมบดีพรหมทำให้หายไป แต่ความจริงในเมื่อกลับลงมาแล้ว ทีนี้อาการก็เครียด คิดว่าอาการขับถ่ายไม่ดีขึ้น วันออกพรรษานี้ก็ลงไม่ได้

ฉะนั้น การฟังคำพูดวันนี้บรรดาพุทธบริษัท อาจจะถือว่า เป็นการฟังคำพูดเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้นะ ไม่แน่นอนนัก ทั้งนี้เพราะอะไร... ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ต่อให้อีก ก็อยู่ไม่ได้ ก็ต้องไป แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า

อันดับแรก ท่านบอกให้ตายได้เมื่ออายุ ๒๕๒๕ แต่ว่าท่านมาต่อให้เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ ถ้าถึง พ.ศ.๒๕๒๓ ก็ ๑๐ ปี ปีนี้ครบ ๑๐ ปี หากว่าท่านถือ พ.ศ.๒๕๒๕ ก็ต้องอยู่ไปอีก ๒ ปี และชีวิตการเป็นอยู่ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของอาตมาจะอยู่ได้หรือไม่ได้ ถ้าเบื้องบนไม่ให้ไปก็ไปไม่ได้

ฉะนั้น ขอบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายจึงควรทราบว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ทุกคนก็เกิดมาต้องตาย วิชาความรู้ต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้ามอบให้ ก็บอกให้ทุกคนแล้ว ทุกอย่างไม่มีอะไรปิดบัง สอนให้ทุกอย่างเพื่อนิพพาน ทีนี้ใครจะไปได้หรือไม่ได้ ก็เป็นหน้าที่ของแต่ละบุคคล ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า "อัตตา หิ อัตตโน นาโถ" ตนย่อมเป็นที่พึ่งของตน ถ้าเราไม่รักษาความดี คือ ๑.ทาน การให้ ๒.ศีล การรักษา ๓.ปัญญา การพิจารณาขันธ์ ๕ ยอมรับความเป็นจริง

ถ้าไม่ปฏิบัติตามนี้ ทุกคนก็จะหาความสุขไม่ได้ ในเมื่อตายไปแล้ว ถ้าทุกคนรู้จักให้ทาน ยังไม่ไปนิพพานเพียงใด กี่ชาติ ๆ จะไม่มีความยากจน ถ้าทุกคนรู้จักรักษาศีล ก็จะมีแต่ความสุข ถ้าทุกคนรู้จักใช้ปัญญา ก็จะสามารถไปนิพพานได้โดยเร็ว

สำหรับอาตมาเองก็ไม่แน่นอนนัก จำไว้ก็ฟังให้ดีนะ ว่าอาการฟังคำพูดวันนี้ และจะได้ฟังอีกหรือไม่ อันนี้ไม่แน่นอนนัก ก็ดูอาการสิ้นเดือนตุลาก่อน สิ้นเดือนตุลานี้ไม่ตาย ก็เป็นอันว่า พ.ศ.๒๕๓๖ อีกปีหนึ่ง ถ้าปี พ.ศ.๒๕๓๖ ไม่ตาย อีตอนนี้ก็อยู่หลายปี..."

(ท่านผู้อ่านทั้งหลาย เมื่อท่านอ่านมาถึงคำพูดประโยคสุดท้ายนี้ ก็คงจะนึกขึ้นได้ว่า หลวงพ่อท่านได้บอกเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว และเหตุการณ์ก็เป็นไปตามนั้นจริง ๆ)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/9/08 at 12:12

ต่อมาในวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๔ หลวงพ่อได้นำคณะศิษย์ไปทอดกฐินที่ สำนักพุทธไชโย หัวหิน หลังจากนั้นท่านได้มาเล่าให้ฟังที่บ้านสายลม เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๔ ว่า

"เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม หมดกำหนดตายไงล่ะ สัญญาต่ออายุหมดไปเมื่อวันที่ ๑๘ แล้วก็ต่อมาวันที่ ๒๖ เสมหะก้อนใหญ่มันออก ทุกอย่างหายหมด อาเจียนทุกวันมันก็หายไป ไอ้เดือนที่แล้วมา หลังจากกลับไปแล้วมันอาเจียนทุกวัน ตั้งแต่ ๔ โมงเย็นถึง ๕ ทุ่ม กินอะไรก็ไม่ได้ กินนิดก็อาเจียน แล้วท่านก็บอกว่า

"นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปให้สอนเฉพาะสังโยชน์" อย่าลืมนะ ถ้าคนไม่มีบารมีเป็นพระอริยเจ้า เขาไม่สอนสังโยชน์กัน นี่สอนจำกัดแบบนี้ ท่านบอกให้สอนวนไปวนมาให้มันชิน ให้คนฟังรู้สึกว่าเบาและไม่ช้าก็ได้ ถ้านาน ๆ พูดก็ยากแบบคำว่า "นิพพาน ๆๆ" เมื่อก่อนนี้พูดกันไม่ได้ใช่ไหม เดี๋ยวนี้ใครก็ต้องการนิพพาน แค่ต้องการนี่ไปเสียเยอะแล้วนะ แล้วตอนที่ท่านจะให้อยู่ต่อไป ท่านถามว่า "จะอยู่สัก ๒๐ ปีเอาไหม?"

บอกไม่เอา ท่านถามว่า "อายุ ๑๒๐ ปีเอาไหม?" ก็บอกว่าไม่เอา ถามว่าเอาอะไร บอกว่า "ผมไม่อยากอยู่สักวัน วันเดียวก็ไม่อยากอยู่ อยู่มันมีแต่ความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ ความจริง พระทุกองค์ ถ้ากินข้าวเต็มแล้ว มันเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด"

ท่านก็เลยบอกว่า ขออยู่ต่อไปไม่มีกำหนด

เลยบอกว่า "ถ้าผมป่วยอาการหนักแบบนี้อีก ผมจะไม่อยู่ ไปแน่ คราวนี้ถ้าประตูนิพพานปิด ผมก็จะอยู่จุฬามณี เป็นที่สาธารณะ"

ท่านก็เลยบอกว่า ขอให้อยู่ต่อไปสักหน่อยหนึ่ง

ถามท่านว่า "ถ้าอยู่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?"

ท่านบอกว่า "นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป (ท่านไม่บอกกำหนด) จะมีคนบรรลุอรหันต์ถึง ๗๐๐,๐๐๐ คนเศษ" นี่ไม่ได้หมายความวันนี้นะ อาจจะจนกว่าจะสิ้นศาสนาก็ได้ ไม่ใช่เล็กน้อยนะ ขอให้อยู่ช่วยกันปูพื้นฐานก่อน ท่านก็เลยบอกว่า "นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป การแนะนำกรรมฐาน ให้สอนเฉพาะสังโยชน์ ถ้าจบ ๑๐ ก็ขึ้นต้นใหม่ จบ ๑๐ ก็ขึ้นต้นใหม่ ฟังบ่อยจนกระทั่งรำคาญ รำคาญหนัก ๆ เข้าก็ไม่ต้องฟัง เป็นอรหันต์ไปเลย" ถ้าใครเป็นอรหันต์แล้ว...ฉันก็สบาย...ให้สอนต่อ..."

เหตุการณ์เมื่อ เดือนธันวาคม ๒๕๓๔

ถึงแม้หลวงพ่อจะผ่านการต่ออายุมาแล้ว แต่ร่างกายท่านก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าที่ควร ท่านได้ป่วยมาโดยตลอด ซึ่งท่านได้เล่าให้ฟังจากเรื่อง พระกาลมาบอกเวลาตาย ไว้ว่า "...ขอเล่าเรื่องความสำคัญเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๔ เวลา ๖ โมงเย็น ก็ปรากฏมีคนมา ๓ คน แต่เข้าใกล้ชิดคนเดียว แต่งตัวสีน้ำเงินแก่แบบผ้าหยาบ ๆ ที่ช่างเขาใช้กันน่ะ เข้ามายืนใกล้ ๆ บอกว่า "วันนี้เวลาตี ๕ ตรงครับ...เป็นเวลาไป!"

หลังจากที่ท่านผู้มาบอกบอกแล้ว หลวงพ่อก็ได้ถามท่านพระยายมราช จึงได้ทราบว่าคนนั้นคือ พระกาล เป็นพระอนาคามีอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วหลวงพ่อก็ได้ถามต่อไปว่า "ถ้าฉันจะไป ฉันจะไปไหน ขอดูบัญชีของลุงซิ"

ท่านบอกว่า "ท่านจะดูเรื่องกฎของกรรมต่าง ๆ จะลงนรกขุมไหน เป็นเปรตเมื่อไหร่ ไม่มีแล้ว ผมลบทิ้งหมดแล้ว ผมเขียนไว้แค่ ๒ ตัว" ก็เปิดบัญชีให้ดู แผ่นนั้นมันเป็นแผ่นพิเศษ แผ่นกระดาษเป็นเพชรแข็ง ตัวเป็นเพชรสว่างมาก เขียนไว้แค่ ๒ คำ อ่านว่ายังไง ก็ไม่บอกบรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะจะไปสะเทือนใจคนหลายคน

ก็รวมความว่า เมื่ออ่านบัญชีแล้ว ก็บอกว่า ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องจะผ่านสำนักพระยายม ถ้าท่านทำบุญขนาดนี้ ต้องผ่านสำนักพระยายม ลูกศิษย์ของท่านทั้งหมดก็ต้องผ่านเหมือนกัน ลูกศิษย์มันต้องไปกับอาจารย์ ถ้าลูกศิษย์ไม่นอกครู ต้องไปกับอาจารย์แน่ จะให้ทราบว่า เวลานี้ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะผ่านสำนักผม และท่านก็ไม่มีสิทธิ์จะเดินลงอบายภูมิ

ฉะนั้น ในเมื่อท่านไม่มีสิทธิ์จะลงอบายภูมิ ลูกศิษย์ที่ติดตามท่าน ปฏิบัติได้ดีมากก็ตาม ได้ดีน้อยก็ตาม ก็ต้องไปตามท่าน ครั้นเมื่อถึงเวลาตี ๕ หลวงพ่อก็เตรียมห่มผ้าจีวรพาดสังฆาฏิ พอนั่งลงปุ๊บท่านบอกว่า ท่านสหัมบดีพรหมพร้อมกับพระอินทร์มานั่งข้างหน้าทันที จากนั้นก็เห็นเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้าง พรหมบ้าง ลงมาเป็นชุด ๆ มองดูเต็มจักรวาล จะมองทางไหนมันเต็มไปหมด สุดกำลังใจที่จะมองเห็น ไม่รู้ขอบเขตอยู่แค่ไหน

หลังจากนั้นสักครู่หนึ่ง องค์สมเด็จพระบรมครูก็เสด็จ ๔ พระองค์ คือ ๑.สมเด็จองค์ปฐม ๒.สมเด็จพระพุทธทีปังกร ๓.สมเด็จพระพุทธกัสสป ๔.พระสมณโคดม พอท่านนั่งลงปั๊บ บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายก็มากันเต็ม มีสภาพแจ่มใส ไม่ได้โกนหัวนะ ใส่ชฎายอดแหลม วันนั้นไม่มีใครถอดชฎา ใส่ชฎาเต็มหมด ในเมื่อพระมาพร้อมแล้วท่านก็ถามว่า "เธอจะไปไหน?"

ก็กราบเรียนท่านว่า "ตอน ๖ โมงเย็นพระกาลมาบอกว่า จะต้องไปเวลา ๕ นาฬิกาตรง!"

ท่านถามว่า "เธอจะไปไหน?"

ก็ตอบว่า "ถ้าไปก็ขอไปนิพพาน

ถามท่านว่า "ข้าพระพุทธเจ้าจะมีสิทธิ์ไปนิพพานไหม?"

ท่านบอกว่า "มันยังไม่ถึงวาระที่ฉันต้องการ วาระที่ฉันต้องการไม่ใช่วันนี้ ต้องเป็นไปตามกำหนดที่ฉันบอกไว้ ฉันบอกไว้แล้ว ๓ ครั้งใช่ไหม ครั้งที่ ๑ บอก ๒ ระยะ ครั้งที่ ๒ บอก ๒ ระยะ ครั้งที่ ๓ เธอบอกว่าไม่ต้องการเป็น ๒ ระยะ เอาระยะเดียว ฉันก็บอกว่าอายุเธอเท่าไหร่จะต้องตายได้ ถ้าไม่ถึงเวลานั้นยังตายไม่ได้"

เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรท่านตรัสอย่างนี้ ก็รอดูเวลาว่าตี ๕ มันจะเข้ามาถึงเมื่อไหร่ และเวลานั้นจะไปได้หรือไม่ได้ ก็นั่งมองดูองค์สมเด็จพระบรมครูท่านตรัสว่า "ถ้าจะไปนะคุณ... จะไปเฉย ๆ อย่างนี้ไม่ได้ มันต้องมีรถทิพย์มารับ" จึงได้หันไปถามพระอินทร์ท่านว่า "รถทิพย์พร้อมแล้วหรือยัง เวลานี้ใกล้ตี ๕ แล้ว"

เคยอ่านเรื่อง ธัมมิกอุบาสก รถทิพย์มาคอยอยู่นาน จึงมีการโต้ตอบกัน และของเราทำไมไม่มีรถทิพย์มา

พระอินทร์ท่านก็บอกว่า "รถทิพย์วันนี้ไม่ว่าง เพราะว่าเวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จ เทวดากับพรหมทั้งหมดจักรวาล ลงมาเฝ้าทั้งหมด ตามที่คุณเห็นเดี๋ยวนี้"

ก็ถามท่านว่า เป็นเพราะอะไร ท่านบอกว่า เป็นตามพระพุทธประสงค์ ทั้งนี้ก็เพราะว่า พระพุทธเจ้ายังไม่ต้องการให้ไป จึงไปไม่ได้

ตอนต้นขอย้อนหน่อยหนึ่ง ในเมื่อท่านมานั่งแล้วก็ตรัสถาม ตอนนั้นก็เลยขอพรท่านบอกว่า "ถ้าชีวิต คือ ลมปราณสิ้นเมื่อไร วันแรกขอให้ร่างกายมีสภาพเป็นอย่างนี้ แล้วค่อย ๆ เคลื่อน ไปถึง ๗ วัน ขอสภาพร่างกายเป็นอย่างนี้" แล้วท่านก็ตรัสตอบรับ

ในตอนนี้หลวงพ่อได้ถามพระกาลว่า "ท่านบอกว่าเวลา ๕ นาฬิกาตรงจะต้องไป ทำไมจึงไม่ไป?"

ท่านก็บอกว่า "ในเมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จ เทวดานางฟ้า กับพรหม ก็ต้องมาเฝ้า ฉะนั้น เจ้าหน้าที่แห่งรถทิพย์ก็ต้องมาเฝ้าเหมือนกัน เวลาไม่ว่าง"

"เท่าที่ไปบอก ไปบอกเพื่อเป็นการลวงใช่ไหม จะให้ตกใจหรือเข้าใจผิด?" "ไม่ใช่..เป็นกาลเวลาที่ผมทราบ จาก พ.ศ.๒๕๒๓ เดือนตุลาคม ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสต่ออายุให้ มันหมดเกณฑ์วันนี้พอดี ฉะนั้น ผมจึงต้องทำหน้าที่ของผม มาเตือนท่านให้รู้ตัวว่า ตี ๕ วันนี้ต้องตาย"

"กาลเวลาของเทวดาก็ตาม หรือนรกก็ตาม มันจะต้องตรงเผง ถ้าเป็นเวลานั้นตายไม่ได้ ก็ต้องรอไปอีก แต่ว่าผมถือว่า ผมทำหน้าที่ของผมครบถ้วนแล้ว การที่ควบคุมรู้กฎของกรรม คือ ความอยู่ความตายของคุณ หมดหน้าที่ของผม ผมลบบัญชีทิ้งแล้ว

ต่อนี้ไป ก็เป็นหน้าที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียว หรือหลายองค์ก็ตาม เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าท่าน ท่านจะให้ตายเมื่อไร เป็นหน้าที่ของท่าน ถ้าท่านยังไม่ให้ตาย ท่านก็ตายไม่ได้"

รวมความว่า หลวงพ่อก็ต้องอยู่อีกต่อไป แต่ตอนต้นเดือนธันวาคม ๒๕๓๔ ท่านไปสอนกรรมฐานที่บ้านสายลมตามปกติ มีอาการป่วยหนักมาก ดร.ปริญญา นุตาลัย จึงได้ประกาศบวชพระ ๑๘๐ องค์ เพื่อถวายกุศลต่ออายุหลวงพ่อ ตามที่ท่านผู้อ่านได้ทราบกันแล้ว

ฉะนั้น ท้ายที่สุดนี้ จะขออัญเชิญความรู้สึกของหลวงพ่อในขณะนั้น ซึ่งเป็นเวลาที่ท่านถูกขอร้อง ให้มีชีวิตอยู่เพียงระยะสั้น ๆ มาไว้เป็นอนุสรณ์ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ แก่บรรดาศิษยานุศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีกครั้ง ซึ่งท่านได้พูดไว้ก่อนที่จะจบเรื่อง "พระกาลบอกเวลาตาย" ว่า "ไม่ห่วงคน...แต่ห่วงความประพฤติ ห่วงความรู้สึกของคน อยากให้ทุกคนเข้าถึงสังโยชน์ ๓ เป็นอันดับน้อย และถึงสังโยชน์ ๑๐ เป็นอันดับที่สุด..."



มรณสัญญาครั้งสุดท้ายหรือไม่?

ความตายครั้งที่ ๑๐

หวลระลึกถึงเหตุการณ์ที่ตึกรับแขกใหม่ เมื่อวันพุธที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ ตั้งแต่เวลาประมาณ ๑๔.๐๐ น. ถึงเวลา ๑๕.๐๐ น. ซึ่งไม่มีใครนึกถึงเลยว่า จะเป็นการรับแขกครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อ แม้แต่พระสงฆ์ภายในวัด หลังจากไปรอพร้อมกันที่กุฏิริมน้ำ เพื่อกราบเยี่ยมเยียนอาการป่วยของท่าน แต่ก็ต้องเลื่อนมาเป็นเวลาบ่ายโมง

เมื่อได้เวลาพระสงฆ์ภายในวัดทั้งหมด ต่างก็มารอท่านที่ตึกรับแขกใหม่ มองเห็นจากประตูด้านหน้า เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารหลายคน กำลังช่วยกันอุ้มหลวงพ่อขึ้นมาจากบันได แล้วพยุงให้ท่านนั่งรถเข็น เข้ามายังสถานที่รับแขกประจำของท่าน หลังจากท่านนั่งเสร็จแล้ว พระทุกองค์ได้กราบนมัสการพร้อมกัน ท่านถามว่าพระที่ไหน

ท่านพระครูปลัดอนันต์ตอบว่า "พระที่วัดนี่เองครับ ท่านมาเยี่ยมหลวงพ่อ"

หลวงพ่อท่านบอกว่า "เออ..ขอบใจนะ ให้กลับไปทำงานได้"

แต่เสียงที่ท่านพูดออกมานั้นฟังไม่ชัด เพราะลิ้นแข็ง มีอาการเหนื่อยหอบอย่างแรง ร่างกายเขียวช้ำเป็นจ้ำ ๆ มีญาติโยมบางคนเห็นแล้ว ต่างก็สงสารถึงกับร้องไห้โฮ...ออกมา ใครจะขอร้องให้ท่านเลิกรับแขก

ท่านก็ไม่ยอม ท่านกลับบอกว่า ""สงสารคนที่เขามาไกล"

แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า "ถ้าใครถามอาการป่วย ก็ให้บอกเขาไปว่า...ป่วยหนัก!"



ปัจฉิมโอวาท

ในขณะนั้นมีญาติโยมเข้าไปถวายสังฆทานกันตามปกติ ถึงท่านจะพูดไม่ถนัด ท่านก็ยังอุตส่าห์ให้พรเหมือนเช่นเคย จนกระทั่งถึงเวลา ๑๕.๐๐ น. ท่านจึงเลิกรับแขก แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น

ท่านได้พูดเตือนสติทุกคนที่กำลังนั่งดูอาการป่วยของท่านในเวลานั้นว่า "ร่างกายเป็นธรรมดาอย่างนี้แหละ...ลูก!มันเป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยง จะต้องมีการป่วยไข้เป็นธรรมดา เป็นทุกขัง มันเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ผลสุดท้ายต้องพังสลายไปในที่สุด..."

คำพูดประโยคนี้ จึงเป็นคำสอนครั้งสุดท้ายของท่าน และเป็นการได้ยินได้ฟังเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเรา จึงเป็นข้อสรุปได้ว่า หลวงพ่อมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์บริบูรณ์ ท่านมิได้ประมาทในชีวิต

ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ท่านนำมาสั่งสอนนั้น ท่านมิได้สักแต่ว่าสอนผู้อื่น แต่ท่านได้สอนตัวเองด้วย การอุทิศชีวิตเป็นตัวอย่าง เพื่อการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ดังจะเห็นได้ว่า แม้ท่านจะป่วยหนักสักเพียงใด ท่านมิได้ห่วงตัวเองเลย กลับมีความเป็นห่วง แต่ผู้อื่นที่ต้องการจะพบท่าน จำต้องฝืนทนพาสังขารมา เพื่อรอให้เขาได้พบสมประสงค์ ภาพเหตุการณ์ที่ท่านแสดงน้ำใจในครั้งสุดท้ายนี้ หรือแม้แต่ครั้งไหน ๆ ก็ตาม ยังคงมีความประทับใจตลอดมา ทำให้ซาบซึ้งในความเมตตาของท่านอย่างเหลือล้น ทุกคนจึงมีแต่ความรักเคารพและศรัทธาอย่างเต็มหัวใจ

หลังจากนั้นก็ได้ยินแต่เสียงสะอื้นดังก้องตึกรับแขก เหลียวมองกลับไป เห็นบางคนมีรอยน้ำตาที่กำลังไหลหลั่งมา ต่างมองดูท่านด้วยความสงสาร แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะในบางครั้งท่านก็นั่งเหมือนกับหลับไป พอรู้สึกตัวท่านก็แหงนมองดูนาฬิกาที่อยู่ด้านหน้าของท่าน ท่านคงจะรอคอยเวลา...รอเวลา...ที่จะมาถึง!



นักรบผู้หาญศึก
ฉะนั้น เหตุการณ์ใกล้จะมรณภาพของท่านในตอนนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบกำลังใจของท่าน ก็เหมือนกับ นักรบผู้แกล้วกล้า ที่จะออกสู่สงคราม เมื่อได้ย่างเข้าสู่สนามรบแล้ว ไม่มีความสะทกสะท้านต่อข้าศึก แม้จะพบกับศัตรูหมู่มาก ก็หายอมพ่ายแพ้ไม่ กลับผาดโผนโจนทยานเข้าใส่ศัตรู หวังเอาชีวิตเข้าสู้เป็นเดิมพัน

ข้อนี้มีอุปมาฉันใด หลวงพ่อก็เหมือนกัน ท่านไม่หวั่นไหวต่อมรณภัยคือความตาย ท่านคงจะรู้ดีว่าชีวิตของท่านเหลืออยู่อีกไม่นานนัก ท่านจึงได้ปฏิบัติศาสนกิจ ตามที่รับมอบหมายมาจากองค์สมเด็จพระบรมสามิสร์ จนถึงวินาทีสุดท้าย ให้สมกับเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสอย่างแท้จริง

ถึงแม้ร่างกายจะป่วยหนักสักเพียงใด ท่านก็อดทนต่อสู้กับทุกขเวทนาที่มารุมล้อม ไม่ยอมนอนรอความตายที่จะมาเยือน ท่านกลับเดินเข้าหาพระยามัจจุราชอย่างไม่หวาดหวั่น ด้วยการอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่ไม่นานนักนั้นให้เป็นประโยชน์ คือให้เป็นเนื้อนาบุญอันใหญ่ยิ่ง ต่อพุทธศาสนิกชนทั้งหลายในเวลานั้น สมแล้วที่ท่านอุทิศชีวิตเข้ามาอยู่ในร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนานี้ ชีวิตในผ้ากาสาวพัสตร์ของท่านนั้น

ท่านได้ทำประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม เพื่อธำรงไว้ซึ่งสถาบันทั้ง ๓ คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ท่านได้ต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ นานัปการ จนพัฒนาวัดวาอารามแห่งนี้ให้รุ่งเรือง ซึ่งนับเป็นวาระที่ ๓ ในการบูรณะ และเป็นการบูรณะครั้งสุดท้ายของท่าน ท่านไม่ต้องกลับมาทำหน้าที่นี้อีก

เพราะเป็นที่ทราบโดยทั่วกันแล้วว่า ท่านเคยเกิดเป็นนักรบ เป็นแม่ทัพบ้าง เป็นรองแม่ทัพบ้าง ส่วนใหญ่เป็นกษัตริย์ ต้องต่อสู้กับอริราชศัตรูมาเกือบทุกชาติ มาชาตินี้ท่านก็ได้เป็นทหารของพระพุทธเจ้า คือเป็นพุทธสาวก อยู่ในกองทัพธรรม ท่านจึงเป็น พระมหาเถระ องค์หนึ่ง ที่มีหน้าที่ประกาศพระศาสนา ในระหว่างยุคกึ่งพุทธกาลนี้

ซึ่งท่านได้ต่อสู้จนชนะข้าศึกที่เป็นศัตรูอยู่ภายในแล้ว นับเป็นการต่อสู้อันยาวนานประมาณ ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป เป็นการสิ้นสุดยุติในการบำเพ็ญบารมีแห่ง พระโพธิสัตว์ เสียที เป็นอันว่า ชัยชนะของท่านในชาตินี้ จึงเป็นการชนะที่ไม่ต้องกลับมาพ่ายแพ้อีก และเป็นการชนะ ถึงที่สุด...ของหลวงพ่อ...ทุกประการ !

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/9/08 at 12:13


กตัญญูกตเวทิตานุสรณ์


พระชัยวัฒน์ อชิโต
จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑


นับตั้งแต่ "หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน" ได้พิมพ์ออกมาเผยแพร่ ทำให้หลายคนที่เป็นพุทธศาสนิกชนได้เข้าใจในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง นรก สวรรค์ พรหม และนิพพานเป็นต้น ที่คนบางคนมีความสงสัยว่ามีจริงหรือไม่?

ผู้เขียนก็เป็นอีกคนหนึ่งในจำนวนนั้น คิดว่าเกิดมาจากไหน จำอะไรไม่ได้ ตายไปแล้วคงจำไม่ได้เช่นกัน ก็เลยปฏิเสธเรื่องชาติหน้าไปเลย และด้วย "ความโง่" (รู้สึกจะฉลาดมากในเรื่องความโง่)

สมัยที่เป็นฆราวาสเคยไปถามเขาว่า "บุญ - บาปคืออะไร?" คนตอบเขาบอกว่า "บุญ คือ ปากจู๋!"(แล้วเขาก็ทำปากจู๋ๆ ให้ดู) "บาป คือปากกว้าง" (เพราะต้องทำปากกว้าง) ก็ยังอุตส่าห์เชื่อไปตามที่เขาแกล้งล้อเล่นซะอีก

เมื่อความเชื่อไม่มี ความดียังไม่ปรากฏ ฉะนั้นเรื่องบุญกุศลผู้เขียนจึงไม่ค่อยสนใจ ห่วงแต่เรื่องเที่ยวเตร่ ทำอะไรตามใจตัวเอง

หากมีซองกฐิน ผ้าป่ามาเมื่อใด ผู้เขียนเห็นแล้วมักจะสะดุ้งหวาดกลัวมาก บางทีต้องแสดงปาฏิหาริย์อยู่เสมอ(คือหายตัวเข้าไปอยู่ในห้องส้วมทันที)



เหตุที่จะได้พบกับหลวงพ่อ
การที่จะเข้ามานับถือพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังของผู้เขียนนั้น มิใช่เข้ามาเพราะเลื่อมใสในคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เป็นเพราะ "ความทุกข์" ชักนำมา ฉากแรกเริ่มเมื่อปี ๒๕๑๖ เวลานั้นยังไม่ได้บวช ผู้เขียนได้รับอุบัติเหตุถูกกระแทกที่หน้าอก ต้องหาหมอจีนกินยาแก้ช้ำใน(ไม่ได้ช้ำในเพราะ "อกหัก" นะ)

ในตอนนั้นมีคนแนะนำให้ไปหา "หลวงปู่ทวด" ซึ่งท่านมาประทับทรงที่วงเวียนใหญ่ ผู้เขียนก็ไม่ศรัทธาเท่าใด เขาบอกจึงลองมาดู ปรากฏว่าเวลาทรงแล้วคนทรงพูดสำเนียงปักษ์ใต้ได้ชัดเจน ทั้งๆ ที่ร่างทรงเป็นชากรุงเทพฯ โดยกำเนิด ตามปกติคนภาคกลาง จะพูดสำเนียงใต้นั้นยากมาก ประจวบกับผู้เขียนเป็นคนใต้ จึงไม่ยากที่จะจับสำเนียงคนพูดได้ว่า จะเป็นคนใต้แท้จริงหรือไม่

ครั้งแรกผู้เขียนทดสอบโดยไม่บอกว่าเจ็บตรงไหน เพื่อลองดูว่าจะรู้จริงหรือไม่ ปรากฏว่าท่านยื่นมือมาสัมผัสตรงจุดนั้นพอดี หลังจากนั้นจึงได้ทราบว่าท่านมารักษาลูกสาวของร่างทรง ซึ่งเท้าทั้งสองข้างพิการมาแต่กำเนิด ท่านรักษาให้หายโดยไม่ต้องใช้ยา นอกจากน้ำตาเทียนเท่านั้น ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยเห็นคนที่กินยาตายแล้วไม่ตาย ต้องผูกคอตายซ้ำอีกก็ยังไม่ตาย มาให้ท่านรักษา ก็สามารถรอดชีวิตได้ อย่างนี้ไม่ทำให้ผู้เขียนแปลกใจได้อย่างไร

ต่อมาความสงสัยได้มีมากขึ้น ในบางครั้งไม่พบท่าน เขาบอกว่า "ท่านติดประชุมบนสวรรค์" ผู้เขียนยังคิดหัวร่อในใจว่า ทำยังกะประชุมในสภา ตลกดี! มีวันหนึ่งได้พบท่าน ถามว่า "การไปสวรรค์ จะต้องทำอย่างไร?" ท่านบอกว่า "ต้องรักษาศีล ๕ อย่างเจ้าไปแค่สวรรค์ชั้นต่ำๆ ก็พอนะ"

เมื่อผู้เขียนได้ยินคำตอบคล้ายๆ กับสบประมาท เพราะท่านคงรู้ว่าเป็นคำถามที่ไม่ค่อยจะเลื่อมใส ความอวดดีก็เกิดกรุ่นๆ ขึ้นมา ตามประสาคนเลว จึงเกิดมีความมานะพยายามขึ้น ต่อมาร่างทรงได้พาไปรักษาศีลและเจริญภาวนาที่วัดเกตุมฯ พอมาหัดรักษาศีลเข้าก็ชอบใจ รู้สึกคุณของพระคุณเจ้าหาประมาทมิได้ ที่ท่านได้นำศีลธรรมมาสั่งสอนชาวโลก ถ้าทุกคนปฏิบัติตามแล้วจะมีประโยชน์สุขอย่างมหาศาล ทำให้เข้าใจในเรื่อง บุญ - บาป ว่าคือ ความดี - ความชั่ว ไม่ใช่ "ปากจู๋ หรือ ปากกว้าง" อย่างที่เขาว่า

ต่อมาพยายามหัดนั่งสมาธิพิจารณาดูตัวเอง คิดถึงการกระทำที่ผ่านมา เรานึกว่าเป็นของดี แต่ความจริงเป็นความเลวทั้งนั้น พอรู้สึกตัวว่าไม่ดีก็นึกละอายใจ ตั้งใจจะกระทะความดีต่อไป หวลคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาก็หาความสุขไม่ได้ ร่างกายมีแต่การเจ็บป่วยอยู่เสมอ การเที่ยวเตรีหาความสุขจริงไม่ได้ จึงรู้สึกไม่อยากจะเกิดมาอีก แดนไหนที่พ้นทุกข์ อยากจะไปแดนนั้น (ในตอนนั้นยังไม่รู้ จักคำว่า "นิพพาน") จึงได้ตั้งใจอธิษฐานว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้พบพระอรหันต์ในชาตินี้บ้าง"

หลังจากนั้นผู้เขียนได้ค้นคว้าหาหนังสือเกี่ยวกับการระลึกชาติ การตายแล้วฟื้น เป็นต้นมาอ่านเพื่อความเข้าใจ พอดีมีเพื่อนที่ทำ งานนำหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน" มาให้อ่าน อ่านแล้วมีความชอบใจมาก รู้สึกท่านเขียนมีเหตุผลมาก ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าหลวงพ่อยู่ที่ไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

วันหนึ่งได้ไปเรียนถาม "หลวงปู่ทวด" โดยไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟัง ถามท่านว่า "พระองค์นี้เป็นอย่างไรบ้าง?" ท่านตอบว่า "เอ๊ะ! พระองค์นี้สำเร็จแล้วนี่"

คำตอบเพียงสั้นๆ แค่นี้ เป็นชนวนจุดความสนใจในพระพุทธศาสนาให้ทวีขึ้นโดยเฉพาะ "หนังสือประวัติปลวงพ่อปาน" เป็นหนังสือเล่มแรกที่สร้างความศรัทธาให้แก่ผู้เขียน ประทับใจในคุณพระพุทธศาสนาที่หลวงพ่อได้นำมาเล่าให้ฟัง เช่นเรื่องการธุดงค์ การตายแล้วฟื้น เป็นต้น อันเป็นประสบการณ์ของท่านตามความเป็นจริง ทำให้มีความเชื่อถืออย่างสนิทใจว่า ภพภูมิเหล่านั้นมีจริง! นามปากกาของท่าน "ฤๅษีลิงดำ" จึงเป็นอาจารย์ของผู้เขียนไป โดยที่ยังไม่ได้พบเห็นท่านเลย

ประมาณปี ๒๕๑๖ ผู้เขียนจึงได้เขียนจดหมายไปหาท่านที่ "วัดบางนมโค จ.อยุธยา" ท่านเจ้าอาวาสได้กรุณาตอบกลับมาว่า หลวง พ่ออยู่ที่ "วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี" ผู้เขียนต้องเขียนจดหมายแบบสำนวนเดิมอีกไปนมัสการท่าน เพื่อขอคำแนะนำในการปฏิบัติธรรม และท่านได้เมตตาให้โอวาทตอบมาทางจดหมาย ดังที่จะนำข้อความที่ท่านสอนมาดังนี้





วัดจันทาราม (ท่าซุง)
๑๙ ธันวาคม ๒๕๑๖


คุณชัยวัฒน์ นาคสวัสดิ์

         ฉันจับใจในเจตนาของคุณที่เป็นกุศล คุณตั้งใจดีมาก การเข้านิพพานไม่มีอะไรยาก เพียงแต่ชนะใจตัวเองเท่านั้น คือ

         ๑. ไม่ทำหรือคิดว่าจะทำความชั่วทุกอย่าง (ตามแบบศีล ๕)
         ๒. สร้างความดีที่ทำให้เกิดความสุขแก่ตน และคนอื่นทุกอย่าง
         ๓. ชำระใจให้เข้าใจเหตุผล เคารพตามความเป็นจริง ไม่มีอารมณ์ฝืนกฏธรรมดาเห็นโลกเป็นทุกข์ตามความป็นจริง รู้เหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ คือ ความอยากไม่รู้จบ ไม่สนใจกับความเคลื่อนไปของสิ่งที่มีชีวิต หรือไม่มีชีวิต เห็นความตายเป็นกีฬาของชีวิตไม่ต้องการความเกิด

         รู้ตัวเสมอว่า ทรัพย์สินที่หามาได้นั้น เราไม่มีโอกาสปกครองได้ตลอดกาล เมื่อถึงเวลาแล้วต้องพลัดพรากจากมันเป็นปกติ เมื่อมันจากเรา หรือเราจากมัน ไม่มีอารมณ์เป็นห่วงหรือหนักใจ เห็นความตายเป็นกัฬาสำหรับเด็ก เท่านี้จะทำให้ใจสบาย


         เรื่องสวรรค์ หรือ พรหม ถือว่าต่ำเกินไป ไปนิพพานเลยดีกว่า นิพพานมีแต่สุข หาทุกข์ไม่ได้

พระมหาวีระ ถาวโร




ต่อมาประมาณต้นปี ๒๕๑๗ ผู้เขียนได้มีโอกาสพบท่านเป็นครั้งแรกที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริม ได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้าของบ้านทุกท่านเป็นอย่างดี ในเวลานั้นผู้เขียนรู้สึกชอบใจในคำ "อธิษฐาน" ของท่าน คือคำว่า "ขอให้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติ ปัจจุบันนี้เทอญ"

หลวงพ่อท่านนอกจากจะมีความรู้ในด้านธรรมปฏิบัติแล้ว ท่านยังมีความรู้ในด้านต่างๆ อีกมาก ท่านเป็นคนทันสมัยทันกับเหตุการณ์ของโลก มีความเข้าใจทั้งเรื่องการบ้านการเมืองและการวัด ทั้งด้านการปกครองก็ได้รับความรู้จากท่านมาก แม้แต่สิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ที่ทางวิทยาศาสตร์เขายังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัด เช่นเรื่องทรัพยากรใต้ดิน และดวงดาวต่างๆ หลวงพ่อท่านก็สามารถนำมาบอกเล่าให้พวกเราได้รับทราบ ทำให้พวกเรารู้สึกภูมิใจที่ได้พบครูบาอาจารย์ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้

ฉะนั้นความเคารพนับถือในพระคุณของท่าน จึงมีมากล้นสุดที่จะพรรณนา ท่านจึงเป็นเสมือนทั้ง"พ่อ" และ "อาจารย์" ของพวกเราทุกคนพวกเรามีความเลื่อมใสท่านมิใช่เพราะ "ชื่อเสียง" มิใช่เพราะ "ความศักดิสิทธิ์" ของท่าน แต่ทุกคนมีความศรัทธา ในคำสอนของ "พระพุทธเจ้า" ที่ท่านนำมาแนะนำให้เราปฏิบัติตาม เม่อพวกเรานำมาปฏิบัติแล้วได้ผลดีจึงจะเชื่อท่าน จึงจะเห็นได้ว่าท่านนำความรู้นี้มาเปิดเผย (เช่น มโนมยิทธิ เป็นต้น) โดยไม่เกรงกลัวกับคำติฉินนินทา เพื่อประกาศพระศาสนาให้คนได้เข้าถึง "ความจริง" ว่าสิ่งเหล่านี้ยังมีอยู่

เรื่องคำสอนของท่าน แม้แต่ตัวท่านเอง ท่านก็ปฏิบัติตนเองเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกศิษย์ทุกคน ไม่ใช่สักแต่ว่าสอนคนอื่นแล้วตัวเองไม่ปฏิบัติตาม หลวงพ่อท่านจึงมีความเสียสละมาก โดยเฉพาะต้องเป็นเรื่องของธรรมะ ท่านจะไม่ห่วงตัวเองเลย ถ้าใครมีความสนใจในเรื่องการปฏิบัติธรรม ท่านจะมีความเมตตาสงเคราะห์อยู่เสมอ แม้จะมีทุกขเวทนาเพียงใด ท่านจะไม่ปริปากบ่น ท่านจะยอมทนเพื่อลูกหลานที่เคยติดตามกันมานานแสนนาน

ฉะนั้น ถ้าพวกเราที่มีความรักและเคารพหลวงพ่อ คิดตะตอบสนองพระคุณของท่าน ก็ครจะแสดงความรักความเมตตาให้อภัยต่อกัน ที่เคยโกรธเกลียดกัน ก็ควรยอมลดลาวาศอกหันหน้ามาพูดจาปรับความเข้าใจกันได้แล้ว อีกประการหนึ่ง คือการที่จะเข้าพบท่าน ขอให้พบตามเวลาที่เจ้าหน้าที่อนุญาต เท่านี้ก็ได้ชื่อว่าตอบแทนพระคุณของท่านไป เพื่อให้ท่านได้มีกำลังกายกำลังใจพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ เพ่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเราต่อไป (คนที่ทำได้ ผู้เขียนขอ "โมทนา" ด้วยนะ)

คราวนี้มาพูดกันถึงเรื่องคนที่มาหาท่าน ถ้าจะมาธุระเรื่องที่นอกเหนือจาก "ทาน ศีล ภาวนา" ท่านจะไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก จึงมักจะมีข่าวไม่สู้ดีอยู่เสมอ แต่ท่านก็ไม่สนใจ ท่านมักจะย้ำสอนพวกเราอยู่เสมอในเรื่อง "โลกธรรม" และให้พวกเรารักษา "ความสามัคคี" กันไว้เหราะเหตุนั้นหนังสือเล่มนี้จึงสำเร็จออกมาได้ ถึงแม้กระดาษจะมิใช่มาจากแผ่นเดียวกัน แต่น้ำหมึกที่หลั่งไหลออกมาจากปากกาของพวกเราทุกคน ต่างก็แสดงออกมาจากจิตใจที่เป็นสีเดียวกัน หลวงพ่อจึงมีพระคุณต่อพวกเราอย่างเหลือล้น

ตามที่ได้ตั้งคำนำไว้แล้วว่า "กตัญญูกตเวทิตานุสรณ์" หมายความว่า"แสดงการรู้อุปการคุณต่อท่านผู้มีพระคุณไว้เป็นที่ระลึก" ด้วยการบรรยายความในใจออกมาเป็นตัวอักษณ เพราะว่าพวกเราต่อไปต้องเป็นหลักให้แก่ผู้อื่น ข้อปฏิบัติจะเป็นบุคคล ตัวอย่าง จะต้องทำอย่างไรบ้าง ผู้เขียนจึงขอนำข้อความ "บทพิสูจน์นักบุญ" ของ "ท่านฤๅษีโพธิวัตร" ที่หาอ่านได้ยากสำหรับ พวกเราในสมัยนี้มาให้อ่านกัน

พวกเราคงได้ทราบมาแล้วว่า หลวงพ่อท่านมีเพื่อนที่เคยบวชพร้อมกันซึ่งอยู่ในป่าอีก ๒ องค์ คือ ท่านฤๅษีโพธิวัตรและท่านฤๅษีพนมไพร เป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่งที่ผู้เขียนบังเอิญได้พบหนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่ง เป็นหนังสือที่หลวงพ่อได้พิมพ์แจกในงานทอดกฐิน ณ วัดสะพาน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ จึงขอคัดลอกข้อความทั้งหมดมาให้อ่านดังนี้



บทพิสูจน์นักบุญของท่านฤๅษีโพธิวัตร
กลางดงดิบ จังหวัดกาญจนบุรี

๑. เมื่อพบกันในระยะแรกจงย่อตัวลง (คือถ่อมปฏิปทาที่ทรงอยู่นั้น) พยายามยกย่องสรรเสริญท่านด้วยคำสัมโมทนียคาถา คือชมเชยในปฏิปทาของท่าน แล้วคอยสังเกตดูว่าท่านผู้นั้นจะพอใจในคำสรรเสริญเยินยอนั้นหรือไม่ ถ้าเห็นว่าท่านผู้นั้นพอใจในคำสรรเสริญเยินยอนั้นจนออกนอกหน้า ควรวงเล็บไว้พลางก่อนว่า หมอนี่... ถ้าจะดีไม่แท้ เพราะยังติดในสรรเสริญที่เป็นโลกธรรม เป็นมนุษย์บ้ายอคบยาก

๒. เพื่อความแน่ใจในปฏิปทาที่แท้จริง ในบางโอกาสควรหาทางตักเตือนโดยธรรม ควรตักเตือนบ่อยๆ เพื่อให้มองเห็นโทสะของตนเอง ควรใช้ลีลาในการตักเตือนทั้งแบบขู่และปลอบ ถ้าเป็นคนดีมีใจเป็นนักบุญจริง จะยอมรับคำตักเตือนทุกระยะ แต่ถ้าเป็นนักบุญจอมปลอมแล้วไม่ช้าก็จะแสดงความไม่พอใจให้ปรากฏ เท่านี้ก็พอจะเห็นเขี้ยวชาติภูมิได้บ้างเฉพาะบางราย

๓. ถ้าแบบตักเตือนเค้นเอาความจริงไม่ได้ ต่อไปควรขยายปฏิปทาตามความสามารถที่มีอยู่ขึ้นเอาเพียงชั้นที่เห็นว่าพอจะไล่เลี่ยกันออกมาใช้ จงสังเกตความพอใจและปฏิกิริยาที่แสดงออกของเขา หากเขาดีจริงก็ไม่ปรากฏปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้น ถ้าความเลวสิงใจ แต่เก็บซ่อนไว้ด้วยกลมายาแล้ว เขาจะเริ่มการมึนชา หรือมีการซึมเซาให้ปรากฏ ควรสังเกตไว้

๔. เมื่อเห็นว่าดีอยู่หรือซึมเซาไปก็ตาม เพื่อเค้นเอาความแน่ชัดให้แจ่มแจ้ง ควรขยับขยายปฏิปทาที่เหนือกว่าออกมาใช้ให้เห็นชัด หากท่านผู้นั้น แสดงความยินดีด้วยความจริงใจ พลอยโมทนาและสนับสนุนด้วยใจจริงและสม่ำเสมอแล้ว ก็ควรจะวันทนาการได้ ด้วยความเคารพ เพราะแม้ว่าจะมีอายุกาลผ่านวัยน้อยกว่า หรือมีคุณธรรมบางประการย่อนกว่าก็ตาม แต่ท่านผู้นั้นก็มี "พรหมวิหาร" ควรแก่การบูชา

หากท่านผู้นั้นเป็นนักบุญจอมปลอม เมื่อโดนไม้หลังเข้าอย่างนั้น เท่าที่เคยพิสูจน์มา ไม่ช้าเขี้ยวก็งอกออกนอกปาก สำรากถ้อยคำ ที่ไม่เป็นธรรมออกมาให้ปรากฏ กล่าววาจาเสียดสีถากถางด้วยถ้อยคำที่เป็นดิรัจฉานคาถา กระทบกระแทกแดกดัน เปรียบเปรย นานาประการ บางโอกาสเป็นศิษย์เคยเรียนอรรถธรรม เคยได้รับความช่วยเหลือมา ก็ลืมความดีของเราผู้มีคุณเสียสิ้นแสดงความอกตัญญูให้ปรากฏ เป็นการขยายความเลวทรามออกให้ปรากฏชัด

ตามแนวที่นำมาเล่าไว้นี้ เคยใช้พิสูจน์นักพรตผู้วิเศษมาหลายสิบรายแล้ว ที่ท่านดีจริงแล้วเอาอะไรท่านไม่ได้เลย แต่ที่เป็นพวกจอมปลอมแล้วไม่เกิน ๒ พ.ศ. เขี้ยวก็จะงอกออกนอกปาก "แสดงความเป็นอบายบุคคล" ให้ปรากฏชัด

ฤๅษีโพธิวัตร




"กตัญญูกตเวทิตานุสรณ์" ขอจบเป็นบทสุดท้ายว่า

ลูก– ดีควรรักษาชีวาพ่อ
ไม่– ควรก่อเรื่องร้ายไว้ภายหลัง
ควร- ทำตามคำท่านสอน วอนระวัง
เลว- ทุกครั้งให้แก้ไขที่ "ใจ" ตน ฯ

************************


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/9/08 at 12:14


หลวงพ่อของเรา

โดย ศาสตราจารย์ ดร. ปริญญา นุตาลัย
จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๑


"........เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ ผู้เขียนมีความประสงค์จะบันทึกคุณวิเศษบางส่วนของหลวงพ่อของเราให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายได้ชุ่มชื่นใจ ในคุณความดีอันยอดยิ่งของท่านที่คุ้มหัวพวกเราอยู่ ท่านที่ไม่ได้เป็นลูกศิษย์จะอ่านก็ได้ ผู้เขียนก็หวังว่าเรื่องนี้คงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านบ้าง

..........ส่วนคนพาลห้ามอ่านเด็ดขาด
เพราะวิสัยของคนพาลก็ย่อมมีทุคติ เป็นเบื้องหน้าอยู่แล้ว อย่าได้มาหาโทษใส่ตนเพิ่มขึ้นอีกเลย หลายๆ เรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังนี้ก็คงเป็นอจินไตย สำหรับผู้ยังไม่ได้ฌาน และไม่มีญาณที่เกิดจากอำนาจฌานก็ขอให้ฟังหูไว้หูไปพลางๆ ก่อน

หลวงพ่อเป็นพระขนาดไหน

..........ใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน และ หนังสือมโนมยิทธิและประวัติของฉัน ก็คงจะพอรู้ประวัติและปฏิปทาของหลวงพ่อแล้ว ทีนี้ลองมาฟังพระผู้ใหญ่บางท่านพูดถึงหลวงพ่อดูบ้าง หลวงปู่บุดดา ถาวโร เคยปรารภถึงหลวงพ่อของเราเมื่อเปรียบกับองค์ท่านเองไว้ดังนี้ “ หลวงปู่น่ะเหมือนหิ่งห้อย หลวงพ่อมหาวีระเหมือนพระอาทิตย์ ” เป็นไงครับ

ท่านผู้อ่านพอรู้ขนาดตัวท่านบ้างหรือยัง ถ้าพระสุปฏิปันโนขนาดหลวงปู่บุดดา เปรียบได้แค่หิ่งห้อย เราท่านทั้งหลายก็คงเป็นแค่ไรน้ำที่ติดใจพระอาทิตย์กระมัง หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร (พระครูสันติวรญาณ) บอกว่า “หลวงพ่อมหาวีระนั้น ท่านเป็นโลกวิทู แจ้งทั้งโลก แจ้งทั้งธรรม” ชัดเจนไหมครับ ครูบาคำแสนเล็ก ท่านบอกว่า “หลวงปู่ บวชมา 60 กว่าพรรษาเข้านี่แล้วยังไม่เคยพบพระองค์ไหนเหมือนหลวงพ่อ”

เมื่อตอนปลายปี พ.ศ.2517 หลวงพ่อเข้ามาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลตำรวจ ผู้เขียนได้มานอนเฝ้าท่านอยู่ ตอนกลางคืนท่านก็รับ แขกพวกญาติโยม หมอและพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ (สมัยนั้นพี่หมอสมศักดิ์ ดูเหมือนจะเป็นรองผู้อำนวยการ)

หลวงพ่อท่านก็เล่าเรื่องหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ให้ฟัง ท่านว่า หลวงพ่อกบนั้นเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทรงสมาบัติแปดตลอด ท่านจึงไม่รู้ร้อนรู้หนาว ตัวผู้เขียนเองนั้นสงสัยหลวงพ่อมานานแล้วและก็ถกเถียงกับลูกศิษย์หลายๆท่านเรื่อยมา ท่านที่อ่านหนัง สือประวัติหลวงพ่อปานก็จะอ้างว่า หลวงพ่อทรงวิชชาสามแน่นอน

แต่ผู้เขียนว่าไม่ใช่ เพราะหลวงพ่อทรงสมาบัติแปดตั้งแต่พรรษาแรก และผู้ที่ทรงสมาบัติแปดนั้น สามารถเป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณได้ภายใน 7 วัน พอแขกกลับไปหมดแล้ว ผู้เขียนก็มานอนคิดเปรียบเทียบ หลวงพ่อกบนั้นท่านทรงสมาบัติแปด ท่านก็เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ

หลวงพ่อของเรานั้นบารมีเดิมท่านเป็นพุทธภูมิวิริยาธิกะ อีก 7 ชาติ บารมีจะเต็ม และก็ทรงสมาบัติแปดตั้งแต่พรรษาแรกที่บวช เมื่อท่านลาพุทธภูมิ (เมื่อ พ.ศ. 2504) แล้ว ทุนเดิมมากมายเหลือเฟืออย่างนั้น ถ้าไม่ทรงปฏิสัมภิทาญาณแล้วจะเอาทุนเดิมไปซ่อนที่ไหน พอคิดออกก็แทบจะนอนไม่หลับ

รุ่งเช้าหกโมงเช้าหลวงพ่อตื่นแล้ว ผู้เขียนก็รีบเข้าไปกราบๆๆ แล้วเรียนท่านว่า “ผมรู้แล้วครับ หลวงพ่อทรงปฏิสัมภิทาญาณแน่นอน” แล้วก็ให้เหตุผลกับท่าน ท่านบอกว่า “จับได้ไล่ทันก็แล้วไป จับไม่ได้ไล่ไม่ทันข้าก็ว่าของข้าไปเรื่อยๆ” แล้วท่านก็เมตตาเล่าให้ฟังว่า

ท่านสงสัยมาตั้งแต่บวชแล้ว เมื่อได้อ่านพบว่า ท่านพระกิมพิละ สำเร็จอรหันต์ปฏิสัมภาทาญาณ ทรงพระไตรปิฎก เมื่อมีดโกนจรดหนังศีรษะเมื่อจะโกนผมบวช ท่านบอกว่า “ทรงพระไตร ปิฎกเข้าไปได้ยังไง ยังไม่ได้อ่านได้เรียนสักตัว” แต่เมื่อท่านสำเร็จเองแล้วถึงได้รู้ว่า “นึกจะรู้อะไรแล้วมันรู้ไปหมด ความรู้มัน เกิดขึ้นมาเอง นึกจะรู้ก็รู้” ตั้งแต่นั้นมาผู้เขียนก็ทำตนเป็นฆ้องปากแตก เที่ยวได้บอกเขาเรื่อยไป จนกระทั่งหลวงพ่อท่านบ่นว่า

“ข้าปิดของข้ามาเป็นสิบกว่าปี ไอ้เบื๊อกนี่เอามาเปิดหมด” ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่สงสัยเลย (แต่จับใจมาก) เมื่อได้ยินท่านพูดว่า “ขึ้นชื่อว่าพระ (หรือคนก็ตาม) อย่าให้ฉันได้ยินชื่อ...รู้หมด”

ทีนี้ขอเล่าเรื่องที่ผู้เขียนได้ประสบมาแล้วก็ไม่เคยกล้าเล่า เมื่อผู้เขียนฝึกมโนยิทธิสำเร็จครั้งแรกเมื่อปลายปี 21 ขอออกนอก เรื่องหน่อยนะครับ เพราะฝึกว่าจะได้ใช้เวลาตั้ง 3 คืน มิหนำซ้ำยังขี้เกียจฝึกฝนซักซ้อมเสียอีก ท่านทั้งหลายที่มาฝึกปุ๊บได้ปั๊บนั้น

ขอให้ภูมิใจได้ว่าจิตของท่านดีกว่าผู้เขียนหลายเท่านัก กลับเข้าเรื่องล่ะครับ เมื่อขึ้นไปถึงพระนิพพานได้แล้ว (ใครว่านิพพานสูญก็เชิญตามสบายนะครับเราไม่ว่ากันอยู่แล้ว) ความซนก็บังเกิด แอบไปดูวิมานหลวงพ่อ พอเห็นเข้าก็ตกใจทำไมถึงใหญ่โตอย่างนี้ ใหญ่กว่าวิมานของสมเด็จองค์ปัจจุบันมากเป็นไปได้ยังไง ความรู้ปรากฏแก่จิตในขณะที่คิดนั้นเองว่า

เศรษฐีมีทรัพย์มากกว่าพระราชาได้ หลวงพ่อท่านสั่งสมบารมีมาสิบหกอสงไขยกับอีกแสนกัป วิมานก็ย่อมใหญ่เป็นธรรมดา ตั้งแต่นั้นมาผู้เขียนก็ชอบแอบดูวิมานชาวบ้านเรื่อยมาจนนานๆ เข้าก็เลิกไปเอง ที่โบราณท่านว่าวาสนาบารมีแข่งไม่ได้นั้น มันจริงอย่างนี้

ขอเล่าเรื่องฟังเทศน์ที่พระจุฬามณี ให้ฟังสักนิดราวกลางปี พ.ศ. 2517 ผู้เขียนมาฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อที่ตึกขาว พอหมด เวลาหลวงพ่อก็บอกว่า “คุณปริญญา ฉันเจออาจารย์คุณบนดาวดึงส์” ผู้เขียนได้ยินก็นึกไม่ออกว่าองค์ไหน เพราะเวลานั้นผู้เขียนไปมาหาสู่พระอาจารย์หลายองค์ด้วยกันก็พอนึก ๆ เอาเองว่า คงเป็นหลวงพ่อสิม

ดังนั้นพอผู้เขียนกลับไปถึงเชียงใหม่ก็รีบขึ้นไปถ้ำผาปล่องไปถามหลวงพ่อสิมว่า “วันนั้นหลวงพ่อขึ้นไปดาวดึงส์ใช่ไหม” หลวงพ่อสิมถามว่า “ใครบอก” ผู้เขียนก็ตอบว่า “หลวงพ่อมหาวีระบอก” หลวงพ่อสิมขอดูรูปหลวงพ่อ ผู้เขียนก็นำขึ้นไปถวาย และผู้เขียนก็เล่าใฟ้ท่านฟังว่า หลวงพ่อมหาวีระ บอกว่า “ฉันชอบหลวงพ่อสิมอยู่สองอย่าง คือท่านเคารพพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจและท่านมีกตัญญูสูง”

หลวงพ่อสิมก็ปรารภว่า “ท่านไม่รู้จักเราท่านยังสามารถรู้ในจิตในใจเราได้” หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า “พระทุกองค์ที่ได้ตั้งแต่วิชชาสามจะขึ้นไปฟังพระพุทธเจ้า เทศน์ที่พระจุฬามณีทุกๆ วันพระ” และการเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าที่พระจุฬามณีพระทั้งหลายก็จะนั่งเรียนลำดับใกล้ไกล จากพระพุทธองค์ตามอริยผล อริยมรรค และกำลังฌานที่ได้และตามบารมีที่สั่งสมมา

หลังจากฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ผู้เขียนก็เคยอธิฐานขอดูลำดับพระที่มีชื่อเสียงหลายองค์ว่าท่านขนาดไหนกันบ้าง เมื่อท่านเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระจุฬามณี (ด้วยความอยากรู้เท่านั้น) ทุกๆครั้งที่ขึ้นไปขอดู เห็นหลวงพ่ออยู่ชิดด้านขวาพระพุทธองค์เป็นเบอร์หนึ่งทุกที พระหลายองค์ที่มีชื่อเสียง ท่านก็นั่งอยู่ในแถวพระอรหันต์ก็มี พระอนาคามีก็มี แต่ขอโทษทีบรรดาพวกจิตว่างท่านไปอยู่ไหนกันหมดก็ไม่ทราบ ไม่เคยเห็นสักที

ขอปรารภเรื่องจิตว่างสักนิด หลวงพ่อท่านพูดทุกครั้งที่มีผู้มาถามเรื่องจิตว่าง ท่านว่า คำว่า จิตว่าง คือ ว่างจาก โลภะโทสะ โมหะ แต่จิตไม่ได้ว่างแบบไม่เสวยอารมณ์ใดๆ จิตว่างแบบนั้นมีเฉพาะพระอนาคามี และพระอรหันต์ที่เข้านิโรธสมาบัติเท่านั้น จิตคนทั่ว
ไปต้องเสวยอารมณ์ เมื่อจิตละอกุศล จิตก็ยึดกุศล

ผู้เขียนขอยกคาถา 4 ที่พวกจิตว่างส่วนใหญ่ยึดอยู่ (เอ๊ะ ถ้าว่างก็ต้องไม่ยึดสิ) โดยไม่รู้จริงมาให้พิจารณาดูสักนิด พระบาลีที่ว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ นั้น หลวงพ่อท่านบอกว่า ควรจะแปลว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นโลกียวิสัย ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” ไม่ใช่ไม่ยึดแม้กระทั้ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระนิพพาน ลองคิดพิจารณากันดูนะครับ

กลับเข้าเรื่องใหม่นะครับ เมื่อผู้เขียนรู้เสียแล้วว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระขนาดไหน ความวางใจอย่างเต็มที่ในครูบาอาจารย์ก็บริบูรณ์ และก็เป็นเหตุที่ทำให้ผู้เขียนถูกพระองค์ที่สิบทักเมื่อคราวฉลองวัดผู้เขียนขอเอาความอวดดีของตัวมาเล่าสู่กันฟังสักเรื่อง ที่จริง ไอ้เรื่องมานะถือตัวอวดดีนั้นผู้เขียนไม่เป็นรองใคร ผู้เขียนถือตัวอยู่เสมอว่ามีอาจารย์ดีใครอย่าได้มาบอกบุญให้ทำที่วัดอื่นเลย ใจมันไม่อยากทำ ถ้าทำก็เพราะเกรงใจคนไม่ใช่เพราอยากทำบุญ ผู้เขียนรู้ว่าเนื้อนาบุญของผู้เขียนนั้นเป็นอุดมมงคลแล้วจะไปโง่ทำนาดอน นาแล้งทำไม ตอนวันฉลองวัดก็รู้ๆ กันอยู่ (เพราะหลวงพ่อบอกล่วงหน้า) ว่าจะมีพระชั้นเยี่ยมๆ มาวัด

ผู้เขียนไม่ได้ตื่นเต้นตามไปด้วยเลย เพราะเรารู้ของเราอยู่ว่าแค่นี้เราพอแล้ว พอผู้คนตื่นเต้นกันมากๆ ผู้เขียนก็ผสมโรงหลอกชาวบ้านว่า ท่านพระโมคคัลลาน์ และท่านพระสารีบุตร มาที่อาคารเสริมศรีแล้ว ไปดูซิ (ที่จริงท่านนั่งพนมมืออยู่นั้นหลายปีแล้ว) ก็บอกเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง น้าน้อย (กานดา อมาตยกุล) มาบอกว่า เธอไปดูซิ มีพระดีที่ศาลาหลังเก่าน่ะ ผู้เขียนนั้น รู้มานานแล้วว่าในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของหลวงพ่อ

น้าน้อย (กานดา อมาตยกุล) มีทิพจักขุญาณแจ่มใสไม่เป็นรองใคร ก็เลยแอบไปดู พบรัชนีกลางทางก็ชวนไปดูด้วย เธอก็เย้าเอาว่า ไหนว่ามีอาจารย์ดีองค์เดียวไง ก็เลยตอบไปว่า น้าน้อยให้ไปดู ก่อนจะถึงผู้เขียนอธิษฐานว่า ถ้าท่านเป็นพระดีจริง ก็ขอให้ท่านทัก เราโดยอย่าให้คนอื่นรู้ พอผู้เขียนก้าวพ้นบันได้ขึ้นไปบนชานก็ได้ยินเสียงมาทีเดียวว่า “ไอ้คนบางคนมันถือตัวว่ามีอาจารย์ดี แล้วตัว มันเองดีเหมือนอาจารย์หรือเปล่า” พอได้ยินเข้าก็ซึมไปเลย รีบเข้าไปกราบสุดตัวเลยทีเดียว



หลวงพ่อชี้ทางนิพพาน

ผู้เขียนได้พบหลวงพ่อเมื่อปลายปี พ.ศ. 2516 หลังจากซาบซึ้งตรึงใจกับหนังสือสองเล่มที่ท่านเขียนคือ ประวัติหลวงพ่อปาน และ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน มาหลายเดือน มาหาท่านที่วัดสองครั้งก็ไม่พบ จนกระทั่งท่านขึ้นไปเชียงใหม่จึงได้พบท่านที่นั่น ผู้เขียนสนใจพระพุทธศาสนามานานแล้ว ได้เคยอ่านหนังสือแนะนำวิธีฝึกพระกรรมฐาน ตั้งแต่วิสุทธิมรรคลงไป

อยากจะพูดว่าทุกเล่มทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษ พอมาพบหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานของหลวงพ่อ ก็บังเกิดความซาบซึ้งตรึงใจมาก คิดว่าไม่มีหนังสือใดที่วิเศษไปกว่านี้อีกแล้ว แล้วก็เลยขโมยท่านพิมพ์แจกในงานแซยิดแม่และเอาไปถวายที่วัด 200 เล่ม แต่ไม่ได้พบหลวงพ่อ พอพบท่านที่เชียงใหม่ท่านก็สอนทั้งสองคืน พูดเรื่องโทษของการกินเหล้า จนผู้เขียนเลิกเหล้าตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

และสอนว่าใครก็ตามที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาและมีจิตศรัทธาเลื่อมใส ท่านว่าบารมีเต็มแล้ว สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน แล้วท่านก็บอกให้พิจารณาละสังโยชน์สาม และกำหนดว่าอย่างน้อยจะต้องเป็นพระโสดาบันให้ได้ ผู้เขียนอายุ 34 ปี ในขณะนั้น หัดฝึกกรรมฐานสัมมาอรหังกับหลวงปู่สดวัดปากน้ำตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เทกระโถนหลวงปู่บุดดา มาตั้งแต่เล็กๆ ได้พบพระอาจารย์ดีๆ มาก็มากมาย

แต่สงสัยในเรื่องนิพพานมาตลอดเวลาว่า จะต้องสั่งสมบารมีไปอีกเท่าไหร่กันจึงจะถึงสักที มีอะไรเป็นเครื่อง หมายเครื่องกำหนด พึ่งจะได้พบแสงสว่างจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวันนั้นเอง เหมือนกับมีคนมาเปิดโลกยันพระนิพพานให้ดูทั้งหมด ใจฟูเป็นอันมาก พอหลวงพ่อกลับไปแล้วก็รีบไปเล่าให้หลวงพ่อสิมฟังว่าได้พบพระที่บอกให้ผู้เขียนเร่งให้ถึงนิพพานใน ชาตินี้ให้ได้ ผู้เขียนมีหวังแล้ว

หลังจากครั้งนั้นก็ยังได้ยินท่านประกาศว่า “ถ้าเชื่อฉัน ทุกคนถึงนิพพานหมดในชาติหน้า แต่หลายคนจะถึงในชาตินี้” ท่านทั้งหลายเคยได้ยินพระองค์อื่นกล้าคิดหรือกล้าพูดเช่นนี้บ้างไหม

นอกจากนี้ในการพบท่านครั้งแรกนั้น ท่านยังเล่าเรื่องอื่น ๆ ให้ฟังอีกและบอกว่า “คุณมาเกิดชาตินี้ คุณลงมาไม่ครบอายุขัยนะ เข้าใจไหม” ก็ตอบท่านว่าเข้าใจครับ แต่ไม่ยักกะถามท่านว่า “อายุเท่าไหร่จะตาย” ต่อมาลงมากราบท่านที่วัด พอสบโอกาสก็กราบ เรียนท่านว่า “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อเอาผมไปนิพพานด้วยนะครับ”

ท่านตอบว่า “เอาไปซี่ ไม่งั้นฉันจะไปตามคุณรึ” ผู้เขียนก็กราบ ๆๆ หลังจากนั้นอีกหลายปี ได้ติดตามท่านไปเก็บลูกศิษย์อีกหลายๆ แห่ง (เล่าได้อีกมากไว้เล่าในเล่มต่อไปแล้วกัน) เห็นลีลาต่าง ๆ ของท่านด้วยความซาบซึ้งในมหากรุณา แล้วก็เกิดความสงสัยว่า ท่านจะตัดตอนหยุดเก็บลูกศิษย์แค่ไหน

ก็กราบเรียนถามท่านว่า “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อจะตัดตอนหยุดเก็บลูกศิษย์แค่ไหนครับ” ท่านบอกว่า “ฉันจะเก็บของฉันไปจนหมด ฉันเก็บลูกศิษย์ของฉันครบแน่” ผู้เขียนได้ยินแล้วสะท้อนใจในกำลังใจและมหากรุณาที่ยิ่งใหญ่ไพศาลหาประมาณมิได้ขององค์ท่าน และลูกศิษย์ทุกท่านก็คงจะอุ่นใจได้นะครับ



หลวงพ่อต่อชีวิตให้

ในปี พ.ศ. 2521 ผู้เขียนมาฝึกมโนมยิทธิ พอขึ้นไปได้วันที่สอง ชักจะสนุกสนานและจิตทิ้งขันธ์ 5 ได้เป็น เมื่อเสร็จแล้วมากราบหลวงพ่อ หลวงพ่อเล่าว่า ท่านพระกาฬถือขวานสองเล่มมายืนอยู่ข้างหลังผู้เขียน หลวงพ่อก็ถามท่านว่ามาทำไม ท่านพระกาฬตอบว่า “ผมไม่มีอะไรกับพระคุณท่าน แต่ไอ้นี่” แล้วชี้มาที่ผู้เขียน “ผมต้องจัดการ” หลวงพ่อก็ขอให้ท่านอโหสิให้ และขอชีวิตผู้เขียนไว้โดยให้ทำบุญสร้างพระพุทธชินราชหน้าตัก 30 นิ้วถวาย อุทิศส่วนกุศลเฉพาะพระกาฬ ก็เลยรอดตายมาได้จนทุกวันนี้

ดังนั้นพูดจริงๆ แล้วชีวิตผู้เขียนนี้ก็เป็นของท่านแต่ความเลวของผู้เขียนยังมาก ไม่ค่อยจะสำนึกบุญคุณของท่านที่ท่วมหัวท่วมตัวอยู่ แต่บางครั้งเมื่อใจสะอาดก็ระลึกได้เสียที อย่างเมื่อตอนบวชที่วัดท่าซุงครั้งแรก พอออกมาจากโบสถ์มากราบท่านที่ศาลานวราชเดิม ความรู้เดิมมันท่วมเข้ามาว่า สัญญากับท่านเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะลงมาช่วยท่านเป็นมือเป็นเท้าให้กับท่าน แต่พอลงมาแล้ว ก็มาดื้อกับท่าน มาเบี้ยวกับท่าน ความเสียใจก็ขึ้นมาจุกที่คอ น้ำตาไหลห้ามไม่หยุด ญาติโยมก็นึกว่าปีติจนน้ำตาไหล แต่ผู้เขียนเองรู้ว่า เสียใจที่เป็นลูกที่เลวเลยร้องไห้



หลวงพ่อให้ปัญญา

หลวงพ่อองค์นี้ถ้าได้อยู่ใกล้ๆ ท่านดูเหมือนว่า กิเลสเราจะหมดลงไปโดยไม่รู้ตัว แลปัญญาเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ผู้เขียนจึงชอบอยู่ใกล้ๆ ท่านเพื่อให้ตัวเองมีความรู้เกิดขึ้นมากๆ และก็จริงๆ ว่าทุกๆ ครั้งที่อยู่กับท่านดูมันจะรู้ๆๆๆ ไปหมด เวลาหลวงพ่อจะสั่งอะไรก็ตามแต่ ท่านจะสั่งเพื่อให้เราใช้ปัญญาของตัวเองประกอบ เพื่อให้เราภูมิใจว่าเราคิดได้เอง เพราะฉะนั้นผู้เขียนจึงชอบดู ท่านสั่งงานและก็ดูเหมือนว่าจะรู้ใจท่านไปด้วย

ทุกครั้งที่เรามีเรื่องสงสัยท่านจะตอบโดยไม่ต้องถาม เรื่องนี้ศิษย์ทุกคนพูดเหมือนกันหมดและเดากันว่า เจโตปริยญานท่านชัดเจนแจ่มใส ผู้เขียนเองโดนเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งเรื่องสอนและเรื่องแก้สงสัย เมื่อเร็วๆ นี้เองมีความสงสัยว่า ปัญญาบารมี นี่เขาสั่ง สมกันอย่างไรไปอ่านดูในทศชาติ ท่านพระมโหสถ ท่านเกิดมาท่านก็ฉลาดเลย แล้วจะสั่งสมปัญญาบารมีกันอย่างไรเล่า ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง เสียงเทศน์มาแล้ว “การทำสมาธิ คือการสั่งสมปัญญาบารมี”

ผู้เขียนมีความเห็นว่า เรื่องแก้สงสัย ในใจลูกศิษย์นี้หลวงพ่อไม่ได้ใช้เจโตปริยญานขณะที่ท่านรับแขก ถ้ามัวแต่ใช้เจโตปริยญาณดูใจลูกศิษย์ทุกๆ คนก็ไม่ทันกิน หลวงพ่อนั้นท่านมีปฏิสัมภิทาญาณของพระอนุพุทธซึ่งครอบทั้งจักรวาลในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้ นอกจากนี้ท่านยังมีผู้บอกบทอีกนับไม่ถ้วน ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา

เพราะฉะนั้นเรื่องนัตถิปัญญาสมาอาภาแสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มีขององค์หลวงพ่อท่านสว่างทั้งโลกจริง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่อง อาเทศนาปาฏิหาริย์และอนุสาสนีปาฎิหาริย์ อันอาศัยปฏิสัมภิทาญาณของหลวงพ่อและไม่ใช่เจโตปริยญาณ ถ้าใครอยากจะดูอา
เทศนาปาฏิหาริย์ ก็ขอให้ตั้งใจดีๆ แล้วดูหลวงพ่อรับแขกเถิด จะเห็นได้ทุกๆ วัน

ทีนี้ก็ขอเล่าเกร็ดต่างๆ อีกเล็กน้อยปิดท้ายเรื่องก็แล้วกันนะครับ...



หลวงพ่อแจกพระ

เวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็นของวันอาทิตย์วันหนึ่ง ปลายปี 2517 ขบวนลูกศิษย์ 8 คนได้เข้าไปกราบหลวงพ่อเพื่อจะกลับกรุงเทพฯ ที่กุฎิริมน้ำ หลวงพ่อท่านนั่งอยู่บนเก้าอี้พับ ท่านบอกให้ผู้เขียนหยิบพานพระเครื่องส่งให้ท่าน ตอนนั้นเพิ่งออกพรรษาใหม่ๆ และ หลวงพ่อทำพิธีพุทธาภิเษกรุ่นแรกของท่าน (เหรียญสีเงิน) และเหรียญหลวงปู่ปาน (เหรียญสีทอง) ตลอดทั้งพรรษาเสร็จใหม่ๆ ใครๆ จึงอยากได้เหรียญรุ่นนี้กันมาก พานพระเครื่องเป็นพานขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 นิ้ว ก้นตื้น ปากบาน

ในพานมี เหรียญหลวงพ่อสีเงิน 15 เหรียญ และเหรียญหลวงปู่ปานสีทอง 3 เหรียญ หลวงพ่อเริ่มหยิบเหรียญทองและเหรียญเงินส่งให้ลูกศิษย์ตั้งแต่คนที่หนึ่ง คนที่อยู่หลังๆ ก็หน้าเสียเพราะทุกคนเห็นกันอย่างชัดเจนว่า เหรียญทองมีอยู่ 3 เหรียญเท่านั้น ผู้เขียนรับคนแรกแล้วก็นั่งรออยู่ข้าง ๆ ท่าน หลวงพ่อก็หยิบพระแจกเป็นคู่ เหรียญทองเหรียญเงินไปเรื่อยจนครบคน

พอหมดคนท่านก็พูดว่า “หมดพอดี” ผู้เขียนก็กราบเรียนท่านว่า “หยิบได้พอดีอย่างนี้ มีหลวงพ่อหยิบได้องค์เดียวเท่านั้น” ทุกคนก็พูดกันใหญ่ว่าหลวงพ่อ หยิบได้อย่างไร แต่ท่านก็ได้หยิบให้ดูแล้ว ทั้ง 8 คนเห็นอย่างชัดเจน



หลวงพ่อแตกฉานทุกภาษา

ครั้งหนึ่งมีผู้เอาสีกระป่องหลายกระป๋องอยู่มาถวายท่าน ท่านก็ให้ช่างเอาไปทา ช่างก็ใช้ไม่เป็น ฉลากก็เป็นภาษาต่างประเทศ ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เข้าไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านนั่งอยู่ในกุฎิริมน้ำองค์เดียว ท่านก็หยิบกระป๋องขึ้นมาอ่านฉลากข้างกระป๋อง
แล้วก็บอกวิธีใช้ให้ช่าง พอผู้เขียนไปที่วัด น้าน้อยกานดา ก็รีบมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

อีกครั้งหนึ่งผู้เขียนตามท่านไปเชียงราย ไปพักอยู่ที่วัดเม็งราย หลวงพ่อท่านนอนอยู่บนกุฎิ ผู้เขียนก็นอนเฝ้าท่านอยู่ที่ใต้ถุน พอตกดึกก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อเปิดวิทยุฟังภาษาต่างประเทศ ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่รู้ว่าเป็นภาษาพม่า ภาษาแม้ว หรือภาษาอะไร
ท่านก็ฟังของท่าน พอผู้เขียนเล่าเรื่องนี้ให้หลวงพี่ที่ไปด้วยฟัง ท่านก็บอกว่า หลวงพ่อฟังบ่อยแต่จะไม่ทำให้ใครรู้

ตอนไปที่ชิคาโก พวกเราไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ฟิลด์มิวเซียม ก็มีเจ้าหน้าที่ที่รู้ภาษาอียิปต์โบราณมารับจ้างเขียนชื่อใครก็ได้เป็น ภาษาอียิปต์โบราณอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ผู้เขียนก็เข้าไปจ้างให้เขาเขียนชื่อ “พระมหาวีระ ถาวโร” เขาก็เขียนมาให้ พอกลับมาถึงที่พัก ก็เอาไปถวายท่านแล้วกราบเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อทราบไหมว่าอะไร ท่านบอกว่า “มันเขียนผิดนี่หว่า ชื่อข้าต้องมีตัว ……” แล้วท่านก็ทำท่าเขียนในอากาศให้ดู ผู้เขียนก็กราบเรียนถามท่านว่า ท่านทราบได้อย่างไร ท่านก็บอกว่า “ปุโรหิตเขามาบอก”

ครั้งหนึ่งหลวงพ่อลงมาสอนกรรมฐานที่กรุงเทพฯ พอกลับไปถึงกุฎิที่วัด คนเลี้ยงแมวก็มารายงานว่า “พอหลวงพ่อไปกรุงเทพฯ แมวก็ไม่กินข้าว” หลวงพ่อก็ย้อนทันทีว่า “แกเรียกมันว่าอีใช่ไหมล่ะ” คนเลี้ยงแมวก็ถามว่า “หลวงพ่อรู้ได้ยังไง” ท่านตอบว่า “ก็มันฟ้องข้าอยู่นี่ไง”

◄ll กลับสู่ด้านบน