"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1 (ตอนที่ 3)
webmaster - 16/9/08 at 09:18
สารบัญ
01. วีระ งามขำ (ยกทรง)
02. พลอากาศเอก อาทร โรจนวิภาต
03. พลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์
04. นายแพทย์จรูญ ปิรยะวราภรณ์
05. กิมกี หลากสุขถม
06. ม.ล. เอื้อมสุขย์ (หนุ่ย) กิติยากร (ศุขสวัสดิ์)
07. นนทา อนันตวงษ์
08. จันทร์นวล นาคนิยม
09. เฉลียว อาณาวรรณ
10. แพทย์หญิง รำจวน หงสเวส
11. ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์
12. นายดาบตระกูล เปาริก
13. บุญถึง สุวรรณวิสิฏฐ์
14. แพทย์หญิงวัชรี หิรัญยูปกรณ์
15. อัญชัญ ศุทธรัตน์
16. อัญเชิญ มณีจักร
17. ครอบครัว ศรีไชยยันต์ ประมุขสรรค์
18. ทพญ.จำนูน จารุจินดา
19. จินตนา รังสีธรรม
20. จันนง
วีระ งามขำ (ยกทรง)
"ปัจฉิมาจารย์"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
ขอนมัสการกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณ พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ผู้เป็นอาจารย์องค์แรกและองค์สุดท้ายของยกทรงที่เคารพอย่างสูงสุด
"........กระผมยังจำได้ดีเสมอว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕
เป็นปีที่ความเลวของยกทรงได้มีโอกาสพังพินาศด้วยฝีมือของหลวงพ่อ ทั้งนี้เพราะ นายวันชัย จรุงเดชากุล
ผู้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อได้พยายามตื้อให้กระผมไปนมัสการหลวงพ่อที่ซอยสายลม บ้านท่านเจ้ากรมเสริม กรุงเทพฯ กว่าจะไปได้หลายเดือน
........ทั้งนี้เพราะความเลวของยกทรงยังอุดมสมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะตัวมานะอวดดื้อถือดีของยกทรงที่เคยบวชเป็นเถนะสงฆ์มา ๑๘ ปี
เป็นนักเปรตเทศนาทางวิทยุโทรทัศน์หาเบาไม่ เมาลาภยศ สรรเสริญ จนลืมว่าดีแต่สอนเขาอิเหนาขาดปฏิบัติ
........ที่จริงอาจารย์กรรมฐานดีๆ มีมาก แต่คนเลวอย่างยกทรงเจอแต่อาจารย์ปากว่าตาขยิบเลยลงอเวจีไปกันใหญ่ ยังจำความเลวที่ไม่น่าให้อภัยก็คือ
สมัยเป็นนักเปรตประจำวิทยุยานเกราะของท่าน เจ้าคุณกิตติวุฑโฒภิกขุ สมเด็จย่าพระราชชนนี ทรงฟังรายการของยกทรง ท่านเรียกว่า หลวงปู่ ตามที่อาจารย์กิตติวุฑโฒ
มาแจ้งให้ทราบภายหลัง ดูเหมือนจะครึ้มอย่างบอกไม่ถูก
มาทราบภายหลังที่ศิษย์หลวงพ่อฤๅษีแล้ว จึงทราบว่า ที่โด่งดังในสมัยนั้นเป็นเพราะพระพรหมเทพ ท่านสงเคราะห์ช่วยเป็นพลังลับๆ ต่างหาก อนิจจา
นึกว่าเราแน่ ที่แท้ก็เปรตอาศัยผ้าเหลืองต่างหาก
คืนที่วันชัยลากคอไปพบหลวงพ่อนั้น ก็ตั้งใจจะไปจับผิดคิดร้ายไปองค์หลวงพ่อ สมัยนั้นคืนวันศุกร์ก็จะมีคนยี่สิบกว่าคนเท่านั้น แต่ไปวันแรกคืนวันเสาร์
ไปช้าเพราะความเลวมันยังล้นกระบาลหัวเลยต้องไปนั่งชั้นบนที่แสนจะเบียดเสียดยัดเยียดเพราะลูกหลานไปกันมากมายนั่นเอง
พยายามหาความผิดของผู้อื่น นั่นคือสัญลักษณ์ของคนเลวแต่ก็เจอดีจนได้ กล่าวคือลำโพงข้างบนไม่ค่อยดัง นึกในใจว่า ถ้าดังกว่านี้คงดีมาก
พอรุ่งขึ้นวันอาทิตย์เปลี่ยนสายและลำโพงดังลั่นชื่นใจ ตอนนี้ชักเอ๊ะใจ แต่ท้ายคืนวันเสาร์หลวงพ่อพูดแกมตลกตกเหยื่อ ล่อยกทรงมั้งว่า บางคนยังชอบรวย
ไปซื้อหวยคนละ ๒๐ -๔๐ บาท แฟนยกทรงตาลุกโพลงทันที คืนแรกยกทรงและเมียถวายคนละ ๒๐ บาท คิดในใจว่าถ้าเราถูกหวยจะซื้อที่ดิน ๓,๕๐๐ บาท ถวายอีก ๑ ไร่ เผงๆ ๔๐
เลขท้ายออกพอดี จึงเริ่มศรัทธาและที่ศรัทธาแบบสนิทใจก็คือ
สมัยโน้นไปวัดท่าซุง งานกฐินครั้งแรกในชีวิต ไม่สามารถเข้าไปในศาลาพระพินิจได้ เลยไปยืนอธิษฐานต่อหน้าพระประธานหน้าโบสถ์วัดท่าซุงว่า หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
ท่านเก่งจริงอยู่แหล่แต่ทว่า คนมาแค่หมื่นๆ ก็ไม่มีสถานที่ต้อนรับน่าจะสร้างศาลาระดับโลกอีกสักหลัง ปรากฏว่ารุ่งขึ้นเดือนต่อมาหลวงพ่อประกาศว่า
สมเด็จสั่งให้สร้างศาลา ๒ ไร่ และก็ ๓ ไร่ ๔ ไร่ ๑๒ ไร่ วิหารพระองค์ที่ ๑๐ - ๑๑ วิหารท้าวมหาราช วิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร โอ๊ย
สร้างกันใหญ่จนกระทั่งทุกวันนี้ เลยครึ้มอกครึ้มใจเคารพนับถืออย่างสนิทใจ แต่ยังไม่ถวายชีวิต
ในคืนวันศุกร์แรกของเดือนตุลาคม ๒๕๑๕ มีคนยังน้อยยี่สิบกว่าคน เป็นรายการคุยกันแบบตามใจท่าน คำแรกที่หลวงพ่อพูดกับยกทรงก็คือ เคยตัดหัวมาหลายชาติ
เล่นเอาตกใจเพราะยังไม่รู้ลีลา แล้วหลวงพ่อก็อธิบายว่า เป็นอาจารย์ยกทรงมาหลายชาติ "อายุ ๕๙
ของเก่าจะตามมา"
ประโยคคำพูดนี้แหละที่ทำให้ปีติของยกทรงปลื้มใจมาหลายวัน เกิดความมั่นใจว่า เราคงได้บวชเป็น แพะที่วัดท่าซุง โดยมีหลวงพ่อฤๅษีเป็นปัจฉิมาจารย์เป็นแน่
ครึ้มจนบอกไม่ถูก แม้เวลาสวดมนต์ตอนเช้า กายทิพย์ก็ไปอยู่ในโบสถ์วัดท่าซุง โดยมีหลวงพ่อเป็นอุปัชฌายะ ถามหลวงพ่อที่ซอยสายลมเกี่ยวกับภาพที่เห็นอย่างนี้
ท่านก็ตอบว่าเป็นอย่างนั้น ตอนนี้เริ่มศรัทธาถวายหัวแต่ยังไม่ถวายชีวิต
จนกระทั่ง ครูเตี้ยม นิตยะศรี ท่านเมตตาไปฝึกให้ที่ร้านยกทรง เงินเงิน กล่าวคือ ครูยืนสอนลูกศิษย์ยกทรงนั่งเย็บจักร
ที่ไม่ยอมไปฝึกที่ซอยสายลมก็เพราะอายเด็กๆ ที่เป็นครูฝึก เอ๊ะนี่เรามันอาจารย์ยกทรง เกรดอเวจีมีหรือจะไป ยอมให้เด็กเมื่อวานซืนมาเป็นครูฝึก
ในที่สุดองค์สมเด็จและหลวงพ่อฤๅษีลิงดำก็มีเมตตา ไม่อยากให้ยกทรง ลงใต้ก้นโลกันตร์นรกเลย จึงดลใจครูเตี้ยมไปปราบดาภิเษก เขกหัว ให้วิธีการ
ก็คือครูถามว่านี่ยกทรงอยู่กรุงเทพฯ เคยไปวัดพระแก้วมรกตบ้างไหม แหมแหย่ถูกเส้นความเลวของยกทรงเผง
จึงตอบไปว่า เหม่ๆๆ ชะชะ อย่าว่าแต่เคยไปเลย ผมเคยเป็นพระหนุ่มองค์แรกที่บังอาจเข้าไปเทศน์ในโบสถ์วัดพระแก้ว ครูเลยถามว่า ถ้าไปจริงเทศน์จริง
ไหนลองพูดมาซิว่า พระแก้วมรกตเป็นอย่างไร คุณพระช่วยภาพพระแก้วปรากฏชัดเจนแจ่มใส บรรยายฟุ้งให้ครูเตี้ยมฟัง ครูยอยกอย่างรู้ใจ
แล้วท่านครูเตี้ยมยืนสอนต่อไปว่า งั้นก็ตั้งใจกราบองค์สมเด็จพระแก้วซี้ อนิจจา...ม้าเลวแสนพยศ ก็ต้องสิโรราบกราบบังคมแพ้ด้วยประการซะนี้
เมื่อคราวถวายสังฆทานที่ซอยสายลมราวๆ สามทุ่ม หลวงพ่อก็จะขึ้นไปเข้าส้วมแล้วก็มาโต้ตอบอีกครึ่งชั่วโมง โดยยกทรงใช้ปากเปล่ามาเป็นปีๆ
ปีต่อมาก็มีโทรโข่งฮัลโหล แล้วก็กลายเป็นไมค์ ในที่สุดหลวงพ่อท่านเมตตา ซื้อเก้าอี้ให้ปฏิบัติการอยู่จนกระทั่ง ปัจจุบันนี้
ที่ยอมถวายหัวและชีวิตเพื่ออุทิศให้แก่หลวงพ่อก็เพราะว่า..
๑. เต็มใจสอนศิษย์ไม่ปิดบัง และไม่กลัวใครจะหาว่าอวดอุตตริมนุสสธรรม
๒. มีใจสะอาดบริสุทธิ์ ทำงานเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าแบบถวายชีวิต ทั้งๆ ที่ตัวหลวงพ่อจะฉันก็ยาก จะย่อยก็ยาก จะถ่ายก็ยาก แถมต้องอาเจียนเป็นเสมหะ
แบบสาหัสสากรรจ์ทุกๆ วัน ยิ่งใกล้จะถึงวันไปสอนกรรมฐานด้วยแล้วน่าเวทนายิ่ง
๓. มีความอดทนต่อมารเหลือง มารผ้าลายเป็นเยี่ยม เป็นยกทรงละก็โป้ง! ไปนานแล้ว
๔. นั่งแกร่วทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งสอนทั้งรับสังฆทาน ทั้งให้พรทั้งต้องตอบปัญหาอีกครึ่งชั่วโมง กลางคืนก็ต้องรับสนองงาน ขององค์สมเด็จ เทพ
พรหม พระ ว่ากันเกือบไม่ต้องนอนเชียวละ
๕. มีความเป็นกันเองอย่างลูกกับพ่อ ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายลูกโดยถ้วนหน้า
๖. ไม่คิดลาภยศ ไม่สะสมทรัพย์ แต่ชอบสะสมหนี้ล่วงหน้า แก้ปัญหาโลภะ
๗. รักลูกทุกๆ คน ไม่ว่าลูกหญิงลูกชาย จนรวยไม่สำคัญ แต่สำคัญที่จิต สะอาด
๘. แนะนำสั่งสอนเพื่อตัดรอนเข้าพระนิพพานในชาตินี้
๙. เป็นที่พึ่งทั้งกายเน่าและกายทิพย์เพราะว่าหลวงพ่อช่วยไว้ทั้งคนทั้งผี จนไม่มีที่จะเขียนบันทึกมาบรรยายให้ท่านทั้งหลายอ่าน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกบวชนานพัดยศยอดแหลม ยอดคู้ เป็นครูอภิธรรม นักเขียนนักเผยแพร่ชั้นนำของเมืองไทยบางตัว ที่ชอบปฏิเสธว่า สภาพพระนิพพานไม่มี
เพ้อเจ้อเพ้อฝัน จินตนาการเอาเอง มีอย่างหรือ! เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ไหง!
ยังมีสภาวะเป็นทิพย์พิเศษอยู่เมืองอเวจีด่าว่าหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ อย่างสาดเสียเทเสีย ไอ้...กาฝากแผ่นดินไทย!
โอ...ท่านคัมภีร์เปล่าขอรับ ขอนิมนต์ไปอยู่กับพระเทวทัตตามอัธยาศัยเถิด ผมว่าว่างๆ ลองไปยกมือไหว้ถามนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาดูบ้าง
บางทีอาจจะพอพ้นจากขุมนรกใหญ่ๆ ได้บ้างกระมั้ง จงถอดหัวโขนหัวสุนัขออกเสียเถิด จะได้ไม่ต้องไปเกิดที่เมืองนรก
ที่กล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะ "ยกทรง" ผู้พูด เลวบัดซบสมบูรณ์แบบมาก่อน มาเจอคู่ปรับซึ่งผูกพันกันมา ๒๕๓๓ ปี ไม่งั้นจะลงไปนอนร้องตะโกนที่อเวจีว่า
สมน้ำหน้าความเลวของตนแล้วที่หลงลาภยศสุขสรรเสริญ ติดไปติดมา เอ..ยกทรงบวชเป็น พระมีศีลครบ ๔ ตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้ สาธุ....สาธุ อุกาสะ ขมา มิภันเต
รัตตนัตตะ เย สัพพัง
ต้องขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อฤๅษีว่า การสร้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาที่วัดท่าซุงโดยมีหลักเกณฑ์ว่า เด็กๆ จะได้มโนมยิทธิเห็นนรก สวรรค์ พรหม
และไปสัมผัสที่พระนิพพานได้เสียก่อนจึงเข้าเรียนได้ ถ้าเลวก็ไล่ออก
ต่อไปเด็กพวกนี้ถ้าเป็นพระก็ชั้นพระอริยเจ้า ถ้ารับราชการบริหารบ้านเมือง ก็เป็นฆราวาสอริยชน โอ..โฮ้ บ้านเมืองขวานทองของไทยจะไปได้สวย ไม่เฮงซวย
เหมือนปัจจุบันนี้ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ท่านเปรตผ้าเหลืองและเปรตผ้าลายทั้งหลายเมื่อใดกรรมมันตามมาสนอง จงอย่ามาร้อง ว่า...รู้งี้กูเชื่อ
ฤๅษีลิงดำเสียก็ดีแล้ว!
เป็นอันพูดกันอย่างเต็มปากเต็มเสียงได้เลยว่า ยกทรง (นายวีระ งามขำ) ขอยอมตายถวายชีวิตให้กับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ผู้เป็นปัจฉิมาจารย์แล้วขอรับ
จะต่อสู้เพื่อเผยแพร่ พระนิพพานให้ในชาตินี้ให้ไพศาลต่อไป โดยไม่หวั่นเกรงภัยใดๆ ทั้งสิ้น
ด้วยกุศลผลบุญที่ข้าน้อยยกทรงได้บำเพ็ญมาแล้วทั้งหมด แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี และจะทำต่อไปในอนาคตก็ดี ขออุทิศเจาะ จงถวายแด่องค์หลวงพ่อ
ขอได้โปรดรับและอนุโมทนาการเพื่อเป็นที่พึ่งแก่คนดีทั้งหลายสืบต่อไปชั่วกาลนานเทอญ
นิพพานชาตินี้โดย ศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
๑. อธิษฐานตื่นนอนเช้าว่า วันนี้ลูกจะทำความดีให้มากที่สุด ตายเมื่อไรขอไปนิพพานชาตีนี้
๒. ทำบุญวันละบาท ขอถวายเป็นสังฆทาน ขอนิพพานชาตินี้ และขอให้คล่องตัวทุกๆอย่าง
๓. รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ให้ครบทุกข้อจงขอบารมีพระพุทธเจ้ามาเป็นกำลังใจในการรักษาศีล
๔. ภาวนามีให้เลือกดังนี้ แบบฝึก "มโนมยิทธิ"
หายใจเข้า นะมะ หายใจออก พะธะ
หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ
หายใจเข้า นิพพาน หายใจออก นิพพาน
๕. นิมิต ฝึกจำภาพพระพุทธรูปที่ตนชอบ ๑ องค์ หลับตาและลืมตาต้องจำภาพให้ได้
๖. ขยายนิมิต ออกไปกลางแจ้ง ขอให้พระองค์ขยายให้เต็มท้องฟ้า แล้วคลุมตัวเราและร้าน
๗. เรียกบารมี ผลบุญใดที่ทำไว้แล้วทั้งหมด จงมาสนองตัวข้าพเจ้า ณ กาลบัดนี้เถิด
๘. ขอขมาพระรัตนตรัยทุกวัน ให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเข้าพระนิพพาน ในชาติปัจจุบัน ณ กาลบัดนี้เถิด
๙. พิจารณา ให้ดูร่างกายของตนว่า สกปรก โสโครก เหม็นเน่า อืดพอง น้ำเหลืองเละเหมือนถุงห่อหุ้มของเน่ามีร่างกายจึงเป็นทุกข์เพราะแก่ เจ็บ
แล้วก็ตายสลายหมด อนิจจา... พอหนังกำพร้าฉีกขาด น้ำเลือด น้ำหนองหลั่งไหล เหม็นคาวเน่าคลื่นไส้ อ้วกแตก
๑๐. ทาน ศีล ภาวนา ก็ดีน้อยหรือมาก ทำด้วยความเต็มใจ เพื่อเข้าพระนิพพานชาตินี้
๑๑. ขอยืนยันว่าเราเข้านิพพานชาตินี้ได้เพราะ จิตนึกสิ่งใดตายแล้วจะไปที่นั้นแล
๑๒. พระพุทธเจ้า ๕ แสน ๑ หมื่น ๒ พัน ๒๘ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้านับเป็นล้านๆ พระอรหันต์เป็นแสนๆ โกฏิอยู่ครบ
ที่เมืองนิพพานคอยสงเคราะห์คนทำความดีพิสูจน์ได้
๑๓. นิพพานสูญ สูญแปลว่าว่างจากกิเลสทั้งหมด มีแต่สภาพเป็นทิพย์พิเศษบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ที่นั่นเป็นอมตะ ถ้าปฏิบัติกับครูผู้ทำได้ทำถึงปัญหาไม่มี
อย่าห่วงตำราอย่าบ้าความรู้ปริยัติ จงถอดหัวโขนสักครู่ แล้วไปฝึกกับครู ลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำวัดท่าซุง
๑๔. คบผู้รู้นิพพาน สอนนิพพาน ทำทุกๆ อย่างเพื่อพระนิพพานชาตินี้ จะมีผลแก่ตนแล แต่ถ้าคบนักเปรต ปฏิเสธเมืองนิพพาน อเวจีครับท่านแย่งกันไปเยอะ
๑๕. แผ่เมตตาปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตาบารมีจิตให้แด่ท่านทั้งหลาย และสรรพวิญญาณทั้งปวง ขอจงอโหสิกรรมซึ่งกัน และกัน จงมีความสุข
พ้นทุกข์ในชาตินี้ สู่ที่นิพพานเทอญ
๑๖. คำอาราธนาเจริญกรรมฐาน ลูกขอบูชาและขออาราธนาบารมี พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรมและ พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
บิดามารดาครูบาอาจารย์ พรหมเทวดาทั้งหมด ขอได้โปรดสงเคราะห์ให้ได้รู้ ได้เห็นพระนิพพาน ตามความเป็นจริง ณ กาลบัดนี้เถิด
๑๗. อุทิศส่วนกุศล ขออุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญเพียรมาแล้วนี้ ถวายแด่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ บิดามารดา
ครูบาอาจารย์ พรหมเทวดา มนุษย์ทั้งหลาย อบายภูมิทั้ง ๔ เจ้ากรรมนายเวร สรรพวิญญาณทั้งหมด จงโมทนา จงมีความสุข พ้นทุกข์ทั้งปวง
ก้าวล่วงถึงพระนิพพานขอพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานการเข้านิพพานของข้าพเจ้าด้วยเถิด...
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 16/9/08 at 09:59
พลอากาศเอก อาทร โรจนวิภาต และ คุณสิริรัตน์ (ตุ๋ย) โรจนวิภาต
"พระสุปฏิปันโน"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเย นะกะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ
ภันเต
"........พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานในความรู้สึกของข้าพเจ้าทั้งสอง ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนธรรมดาๆ ที่ไม่ธรรมดา ( เล่นสำนวนอีกแล้ว ฮึ
แต่การเล่นสำนวน หรือตีสำนวนนี้ รับรองได้ว่า เป็นการตีสำนวนชวนให้ "...เชื่อผมเถอะ..." ท่านลองพิจารณาตาม ความต่อไปนี้สิครับ)
........นึกย้อนหลังไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ เมื่อข้าพเจ้าย้ายไปรับราชการที่กองบิน ๔ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
ภายหลังจากการปฏิบัติราชการที่ค่อนข้างเคร่งเครียด จากฝูงบินรบและฝูงฝึกบินไอพ่นที่กองบิน ๑, กองบิน ๒ เพราะเป็นการถ่ายทอดวิชาการบิน
บวกวิธีการฆ่าคนทางอากาศ (นักบินทหารนี่ครับ)
ข้าพเจ้าก็นึกว่า ต่อไปนี้ต้องปฏิบัติราชการตามปกติเสียที และคงมีโอกาสได้ประสบวิถีชีวิตแปลกๆ ใหม่ๆ จากเดิมไปบ้าง เราทั้งสองฝากลูกชายทั้ง ๒
คนไว้กับยายที่กรุงเทพฯ เพื่อการศึกษาของลูกจะได้เป็นที่เป็นทาง เหมือนอย่างกับว่า ข้าพเจ้ามีความสามารถรู้เหตุการณ์ในอนาคตอย่างนั้นแหละ
เพราะเมื่อย้ายไปอยู่กองบิน ๔ ยังไม่ทันถึงเดือน ผู้บังคับบัญชาท่านก็ดำริ ย้ายข้าพเจ้าให้ไปเป็นครูการบินที่โรงเรียนการบิน นครราชสีมาอีกแล้ว
เรียกกันว่า หม้อข้าวยังไม่ทันจะดำเลย เก็บของลงกระเป๋า (อะไรกันนักกันหนามิทราบ) แต่ไม่มีปัญหาครับ ย้ายเป็นย้าย ทหารอากาศศตวรรษที่ ๒๐ ซะอย่าง
พอข้าพเจ้าเข้าเขตแดนที่จะพบพระสุปฏิปันโนเข้า ก็ชักได้กลิ่นไอและสัมผัสกับสัจธรรม ความไม่แน่นอน ความทุกข์เข้าจังเลยครับ มีทางใดที่จะทำให้เราสบายใจ
และสมความตั้งใจที่เมื่อได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในดินแดนที่สงบ ห่างไกลจากความยุ่งเหยิง วุ่นวายทั้งปวงบ้าง ข้าพเจ้าก็อยากทำอยากหาใส่ตัว
จึงได้ขอร้องเพื่อนนายทหารที่เขาอยู่กองบิน ๔ มานานแล้วให้เขาช่วยพาข้าพเจ้าไปหาอาจารย์เก่งๆ เพราะข้าพเจ้าต้องการของดีจากพระอาจารย์ชื่อดังๆ
ในดินแดนแถบนี้ เพียงระยะสั้นๆ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบอาจารย์เก่งสมใจเข้าท่านหนึ่งชื่อ หลวงพ่อสำเภา ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดสะพาน
อยู่ที่จังหวัดชัยนาท
หลวงพ่อสำเภาท่านเมตตาข้าพเจ้าและภรรยามาก ท่านให้เครื่องรางของขลังที่ขึ้นชื่อของท่านแก่ข้าพเจ้าทุกชนิด และเป็นพิเศษเสมอ ทำให้ข้าพเจ้าได้ใจ วันหนึ่ง
เข้าไปกราบขอของดีจากหลวงพ่อสำเภาเช่นเคย ทีนี้ขอเรียนวิปัสสนากับท่าน เพราะอยากเข้าถึงในสิ่งที่ฝังใจมานานแล้ว
ตั้งแต่สมัยไปอยู่ในป่าตอนเป็นนักเรียนเตรียมทหารบก ได้อ่านหนังสือวิธีปฏิบัติกรรมฐาน ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ อยากฝึก อยากได้บ้าง
อ่านแล้วปฏิบัติไม่ได้ เพราะโง่เกินไป
หลวงพ่อสำเภา ท่านก็ดีใจหาย มองหน้าข้าพเจ้าแล้วยิ้มๆ พร้อมกับพูดว่า "ข้าไม่ถนัดทางวิปัสสนากรรมฐานว่ะ แต่เอาเถอะ ถ้าเอ็งต้องการ ข้าฯ
จะแนะนำผู้มีความรู้มาฝึกสอนให้ ตอนนี้เขาอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จะนัดมาให้พบกัน" แล้วท่านก็กำหนดวันนัดหมาย ให้ข้าพเจ้าได้พบครูกรรมฐาน
ในอีก ๒ - ๓ วันต่อมา และแล้ววันสำคัญในชีวิตของข้าพเจ้าและภรรยาก็มาถึง บ่ายแก่ๆ วันนัด เราทั้งสองคนเดินทางไปถึงวัดสะพาน
รีบเข้ามานมัสการท่านเจ้าอาวาส ไต่ถามความเป็นอยู่ของท่านว่าสุขสบายตามอัตภาพ หรือขัดข้องในเรื่องใดที่เราพอจะช่วยเหลือ แก้ไขให้ท่านได้บ้าง
เป็นที่เรียบร้อยพอสมควรแก่ฐานะแล้ว
ท่านก็เอ่ยขึ้นมา "เออ..มหาเขามาแล้วล่ะ อยู่ในห้องนั่นแน่ะ เดี๋ยวก็ออกมาหรอก" ข้าพเจ้ารออีกครู่เดี๋ยว พระรูปหนึ่ง ร่างสันทัด ไม่อ้วนไม่ผอม
ผิวค่อนข้างคล้ำ ก็เดินออกมาที่ระเบียง ชานกุฏิ หลวงพ่อสำเภาก็แนะนำว่า "เออ! เสธ์กับคุณนาย นี่..มหาวีระ
ที่จะสอนกรรมฐานที่เราอยากฝึกเรียนไงล่ะ..."
ข้าพเจ้ากราบขออนุญาตหลวงพ่อสำเภา เพื่อเข้ากราบมอบตัวเป็นศิษย์กรรมฐานคู่ใหม่ กับหลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อมหาวีระฯ
ทักทายข้าพเจ้ากับภรรยาพอสมควร ก็บอกให้เตรียมตัวเข้าโบสถ์เพื่อฝึกทันที ภรรยาข้าพเจ้าชักลังเล เพราะไม่แน่ใจว่าฝึกกรรมฐานนี่จะเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง
(กลัวผี!) เลยกล่าวออกตัวไปว่า "...ขอนั่งดูก่อนนะคะ"
หลวงพ่อมหาวีระฯ ตอบว่า "ไม่ต้องนั่งดูหรอก เริ่มฝึกวันนี้เลย...."
ภายในโบสถ์วัดสะพาน วันแรกของการฝึกกรรมฐาน หลวงพ่อมหาวีระฯ (ต่อไปคำว่าหลวงพ่อ หมายถึง พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระมหาวีระ ถาวโร
เมื่อปี ๒๕๐๘ เป็นต้นมา จนปัจจุบันคือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
เริ่มพิธีการ เมื่อเราจะเดินเข้าไปในโบสถ์ ท่านหยุด ชุมนุมเทวดาที่ใต้ต้นโพธิ์สักครู่ แล้วจึงเข้าไปกราบพระพุทธรูปในโบสถ์ สมาทานศีล สมาทานกรรมฐาน
แล้วจะแนะนำ พร้อมทั้งอธิบายวิธีปฏิบัติ การฝึกมโนมยิทธิ จำได้ว่า ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่ใจของข้าพเจ้ามีความสุขมาก
สุขที่ได้พบของที่ใฝ่ฝันหามานานแสนนานแล้ว ระทึกใจเมื่อได้เห็นและได้ยิน
บรรดาศิษย์ของท่านจำนวน ๘ - ๙ คนที่กำลังฝึกมโนมยิทธิอยู่นั้น กำลังท่องเที่ยวอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กำลังแสดงว่าเล่นน้ำในสระใหญ่(อโนดาต)
เก็บดอกบัวสวรรค์ ชื่นชม ความงามของหมู่ดอกไม้ พร้อมกับเรียนถามหลวงพ่อว่าจะขอเก็บเอามาได้ไหม? .... จนสมควรแก่เวลา หลวงพ่อก็ให้หยุดการท่องเที่ยว
แล้วกล่าวสรุปผลการฝึก ชี้แจงอานิสงส์ของการฝึก และแนะนำการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ศิษย์ทุกคน เลิกการปฏิบัติ
เมื่อเวลาใกล้ ๒๒ นาฬิกา ท่านเมตตามาส่ง ข้าพเจ้าและภรรยา กลับตาคลี พร้อมกับสัพยอกว่า "เสธ์และคุณนาย กว่าจะถึงบ้านก็ตี ๒ ล่ะ"
ข้าพเจ้าก็นึกว่าท่านพูดล้อเล่น เพราะการเดินทางปกติใช้เวลาแค่ ๑ ชั่วโมง เท่านั้นเองก็ถึงกองบิน ๔ แต่เอ! ไม่ล้อเล่นแฮะ มากลางทางรถเกิดขัดข้อง
ยางแบนไปเสียข้างหนึ่งงั้นแหละ กว่าจะหาหนทาง ได้ยางมาเปลี่ยนเรียบร้อยกลับเข้าบ้านเวลา ๐๒.๐๐ น.พอดี
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าและภรรยาก็สนใจรับการฝึกอบรม การปฏิบัติ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อเรื่อยมา
ความเมตตากรุณาที่หลวงพ่อให้แก่เราทั้งสองมากมายยิ่งและใหญ่ จนไม่สามารถสรรหาคำใดมากล่าวได้
ยามที่เราต้องย้ายไปรับราชการไกลจากเดิม เช่นไปนครราชสีมา จากนั้นก็ไปกำแพงแสน นครปฐม ท่านกรุณาปลีกเวลาของท่านไปแนะนำ สั่งสอนเราเป็นประจำ
ทุกครั้งยามว่างหลังการฝึกอบรม ท่านเมตตาเล่าเรื่องชีวิตปัจจุบันชาติบ้าง อดีตชาติบ้างให้เราได้ทราบ และนำเข้ามาเชื่อมโยงกับการปฏิบัติ
ให้เรานึกถึงการเปลี่ยนแปลงความไม่แน่นอน และสิ่งพึงละ พึงใคร่ครวญ คำสอนต่างๆ
เหล่านี้ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าและภรรยาซาบซึ้ง ชื่นใจในรสพระธรรมและความเมตตากรุณาของหลวงพ่อมากยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าเกิดความศรัทธาและใคร่หาเวลาปฏิบัติธรรมให้ได้มากที่สุด จึงขออุปสมบท เมื่อ ๗ ก.ค. ๒๕๑๑ ณ วัดจันทาราม(ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี รับฉายานามว่า
"อาทโรภิกขุ"
ในช่วงเวลานั้น หลวงพ่อได้รับนิมนต์จากเจ้าอาวาสวัดท่าซุง (นามที่ชาวบ้านเรียก) พระครูสังฆรักษ์อรุณ อรุโณ
ให้มาช่วยสร้างและต่อเติมอาคารที่ตั้งเสาค้างไว้หลายปี และให้เรียบร้อย เป็นอาคารที่สมบูรณ์เสียที
พร้อมทั้งสัญญากับหลวงพ่อหลายประการในการที่จะรับช่วยเหลือ หาที่อยู่พักอาศัยมิให้เป็นที่ลำบาก ...
หลวงพ่อจึงมาอยู่วัดจันทาราม (ท่าซุง) ตามคำนิมนต์ แต่หลวงพ่อไม่ได้รับความสะดวกตามสัญญา เมื่อข้าพเจ้าบวชก็เลยต้องอาศัยครัวที่กุฏิหลวงพ่อ
เป็นที่จำวัด เลยสมกับคำที่เคยได้ยินกันมานานแล้ว คือ ศิษย์ก้นกุฏิ ข้าพเจ้าได้อยู่ก้นกุฏิจริงๆ นับแต่นั้นมา จนสึกจากสมณเพศ
เมื่อเห็นพระอาจารย์ต้องลำบากลำบนเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนหลวงพ่อ ถวายกุฏิท่าน ๑ หลัง ซึ่งเป็นกุฏิแรกของหลวงพ่อ ที่วัดจันทาราม (ท่าซุง)
นี้ได้สร้างขึ้นใต้ร่มโพธิ์ซึ่งเป็นบริเวณโรงครัวริมน้ำ อยู่ห่างหน้าอาคารเสริมนั่นเอง ปัจจุบันหลวงพ่อได้ย้าย
กุฏินี้ไปปลูกไว้ที่กลางสระน้ำทางด้านทิศใต้ของโบสถ์ใหม่ เพื่อเป็นอนุสรณ์ของการเข้ามาสร้างวัดท่าซุงบริเวณใหม่ กับบูรณะบริเวณวัดท่าซุงเดิม (ติดแม่น้ำ)
นี่คืออาคารหลังแรกที่หลวงพ่อสร้างวัดนี้
ความเจริญรุ่งเรืองของวัดท่าซุงในปัจจุบัน เป็นที่กล่าวขวัญและยอมรับจากผู้มีธรรมประจำใจว่า
ใหญ่โตกว้างขวางเป็นศาสนสถานที่เราชาวพุทธควรปลาบปลื้มและภูมิใจ มิใช่เฉพาะทางรูปธรรม คือตัวอาคาร โบสถ์ วิหาร มณฑปแก้วตระการตาเท่านั้น แต่ในทางนามธรรม
หลวงพ่อได้ทุ่มเทชีวิตเพื่อสั่งสอนธรรมะ ทางโทรทัศน์ทุกช่องที่นิมนต์
นับแต่ปี ๒๕๑๐ เป็นต้นมา หลวงพ่อได้สร้างวัดท่าซุงขึ้นอย่างรีบเร่ง ด้วยแรงใจ และศรัทธาของลูกหลานที่มาจากทุกสารทิศ
ทั้งในและนอกประเทศเป็นแรงศรัทธาและกำลังทรัพย์นับไม่ถ้วน หลวงพ่อต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ ในการอำนวยการก่อสร้างทำนุบำรุงวัดมากขึ้นๆ
แต่ท่านก็มิได้ว่างเว้นที่จะอบรมสั่งสอน สมถะและวิปัสสนากรรมฐานกลับยิ่งเข้มงวดกวดขัน สอนพระ เณร ให้ทุกองค์เป็นพระสุปฏิปันโน ไม่ให้ทำตนเป็นพระวันพุธ
สำหรับฆราวาสลูกหลาน ท่านก็พร่ำสอนให้เป็น มนุษย์ อย่างน้อยที่สุดให้มีศีล ๕ บริบูรณ์มีกรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน สอนให้หาทางไม่กลับมาเกิด เป็นที่สุด
การตรากตรำทำงานหนักเหล่านี้ของหลวงพ่อก็เพื่อพระศาสนา เป็นเหตุให้หลวงพ่ออาพาธแทบไม่มีวันสบายเลยสักวันเดียว แต่น้อยคนนักจะรู้ ถึงความไม่สบาย
หรือการเจ็บป่วยของหลวงพ่อนี้ เห็นท่าน พบท่านครั้งใดไม่ว่าจะที่ไหน จะเห็นแต่ท่านยิ้มแย้มพูดคุย ชวนสนทนาให้กำลังใจแก่บรรดาลูกหลาน
สั่งสอนและอธิบายแก้ไขความไม่เข้าใจ ความสงสัยในการปฏิบัติกรรมฐาน แนะนำให้ ทุกคนทำความดีชำระจิตใจให้สะอาดผ่องใส ด้วยกลอุบายนานับการทั้ง ๔๑ วิธี ชี้หนทาง
รวมสมถภาวนาให้เข้าวิปัสสนาภาวนา
ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ไปอ่านตำรา สิ้นเวลาอีกหลายชาติ ก็ไม่อาจหาอุบายหรือเข้าใจวิธีอันชาญฉลาดนี้ได้ ใครจะทราบไหมว่าทุกขณะที่เมตตาสั่งสอนอยู่นั้น
หลวงพ่อมีทุกขเวทนาทางกายมากเพียงใด ทุกขณะที่เมตตาให้กำลังใจปะพรมน้ำนมต์ก็ดี หรือให้พร ตามที่ลูกหลานขอร้องก็ดี
หลวงพ่อของเราท่านต้องอดกลั้นต่อความป่วยไข้ไม่สบาย ความเจ็บปวดของสังขารอยู่ทุกเวลานาที
นี่คือปฏิปทาของพระสุปฏิปันโนธรรมดาๆ ที่ไม่ธรรมดา มหากรุณาธิคุณในอดีต สมัยที่ท่านเป็นพ่อของเรา เป็นที่เชิดชูเคารพของปวงชน ทำทุกอย่างที่ผู้นำที่ดี
มีคุณธรรมพึงกระทำที่ได้เสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อความสุขสบายของลูกๆ หลานๆ นับประมาณ พระคุณหาที่เปรียบมิได้ ยามท่านแสวงหาโมกขธรรม
ตามรอยพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในปัจจุบันนี้เล่า ท่านก็แผ่เมตตาสงเคราะห์ลูกหลาน ผู้อยู่ในกองทุกข์ ให้รู้จักปฏิบัติหาทางเพื่อพ้นทุกข์ แนะวิธีอันชาญฉลาดให้ปฏิบัติในทางลัด
ไม่ต้องตรากตรำเหนื่อยยากเกินไปเยี่ยงที่ท่านได้ประสบมาแล้ว เน้นอยู่อย่างเดียวว่าต้องการคนจริง ปฏิบัติจริง การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบของหลวงพ่อ
อันประกอบด้วยคุณธรรมพิเศษที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำ
ได้สอนธรรมะ ให้คนได้ทิพจักขุญาณ ได้มโนมยิทธินับไม่ถ้วน สอนให้หลายคนตายไปแล้วไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นคน ไม่ต้องเกิดเป็นเทวดา ไม่ต้องเกิดเป็นพรหม
สอนให้คนอีกนับไม่ถ้วนละวางกิเลสลงได้ หลวงพ่อต้องเดินทางขึ้นเหนือสุดประเทศ ลงใต้สุดเขตสยาม ข้ามน้ำ ข้ามทวีปไปสอนลูกหลานถึงทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา
(เหลือที่ยังไม่ได้ไปอยู่ทวีปเดียวคือทวีปอาฟริกา) เพื่อพระศาสนา เพื่อลูกหลาน นี่คือ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน พระสุปฏิปันโนธรรมดาๆ
ที่ไม่ธรรมดาของข้าพเจ้าทั้งสอง ฯ
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 16/9/08 at 12:55
พลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"........เมื่อมีผู้ชักชวนให้พวกศิษย์เขียนประสบการณ์
และความประทับใจในหลวงพ่อ (พระมหาวีระ ถาวโร หรือ พระสุธรรมยานเถระ หรือ
พระราชพรหมยาน)ผู้เขียนก็เกิดความรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้อาจเป็นเหตุให้มีผู้ตำหนิว่าอวดอ้างอาจารย์ได้ แต่เมื่อคิดดูแล้วตัด
สินใจว่าให้เป็นเรื่องของผู้ชักชวนรับไปก็แล้วกัน
..........โดยธรรมดาคนเราย่อมชอบคนเก่ง ถ้าจะไปหาพระก็ต้องไปหาพระเก่ง ไม่เคยมีใครชักชวนกันไปหาพระไม่เก่งเลย เมื่อพูดถึงพระเก่งก็ยังมีเก่งใน ๒ ทาง
คือเก่งทางธรรมะ กับเก่งทางความสามารถพิเศษ เช่นดูหมอ รดน้ำมนต์ รักษาโรคฯลฯ เวลาชวน ไปหาพระเก่งก็มักจะเป็นพระเก่งความสามารถพิเศษเสียมากกว่า
หากชวนไปหาพระเก่งธรรม ผู้ถูกชวน ชักจะหน้าเหยเพราะ พื้นความรู้ทางธรรมไม่ค่อยมี คุยกันไม่รู้เรื่อง
ในพ.ศ. ๒๕๑๑ คุณเฉิดศรี ภรรยาของผู้เขียนให้ไปทอดกฐินที่วัดท่าซุง ตามคำชวนของ คุณสุรนุช ภรรยา พล.อ.ต.พะเนียง กานตรัตน์ (ยศขณะนั้น)
บอกว่าพระองค์นี้เก่ง ถามเธอว่าเก่งยังไง เธอเล่าว่า ร.อ.มนูญ ชมพูทีป (ยศขณะนั้น)
ถามหลวงพ่อว่าสอบเข้าโรงเรียนผู้บังคับฝูงไปแล้วได้เลขคู่หรือเลขคี่ (เพราะเลขคี่ เข้าเรียนก่อน) ท่านตอบว่าได้ที่ ๓ ผลปรากฏว่า เป็นดังนั้นจริงๆ
ภายหลังผู้เขียนสอบถามคุณมนูญดูก็ได้รับคำยืนยัน เป็นอันว่าไปกฐิน
เมื่อได้มีโอกาสพบปะเป็นการส่วนตัว ก็เรียนถามท่านว่า นรก สวรรค์มีจริงหรือ ท่านตอบว่ามีจริง เพราะท่านเคยไปมาแล้ว เรื่อง
นี้ถ้าอยากพิสูจน์ก็ต้องฝึกกันให้ไปเห็นด้วยตนเอง ผู้เขียนนึกในใจว่าต้องอย่างนี้ถึงจะใช้ได้(ภายหลังหลวงพ่อสอนมโนมยิทธิ
คนที่รับการฝึกมีทิพจักขุญาณเห็นสวรรค์ นรกได้จำนวนมากมายเห็นจะหลายหมื่นคน)
ในโอกาสนั้นผู้ใกล้ชิดบอกว่าท่านมักจะพยากรณ์ให้ ๓ ข้อ จึงขอให้ท่านพยากรณ์เมื่อจุดธูปบูชาพระแล้วท่านก็พยากรณ์ (ไม่ใช้ วันเดือนปีหรือลายมือ)
๑. จะปลูกบ้านใหม่
๒. จะเป็นเจ้ากรม
๓. จะได้เข้าวัง
เรื่องปลูกบ้านใหม่นี้ไม่ได้คิดจะปลูก เพราะมีบ้านอยู่แล้วที่สร้างด้วยเงินกู้ธนาคารออมสินฐานะก็ไม่ใช่ร่ำรวย ดังนั้นจึงออกจะคิดว่าพยากรณ์ไม่ถูก
แต่ไปๆ มาๆ ก็ปลูกจนได้เรื่องจากลูกสาวแต่งงาน
เรื่องเป็นเจ้ากรมก็ได้เป็นจริง และได้รับแต่งตั้งเป็นราชองครักษ์เวร ซึ่งในภายหลังได้มีวาสนารับพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ และทุติยจุลจอมเกล้า
นับได้ว่า "เข้าวัง" ตามที่พยากรณ์
การพยากรณ์ต่างๆนี้ว่ากันตามตำรา ก็เรียกว่าปัจจุบันนังสญาณและอนาคตังสญาณนอกจากฌานเหล่านี้แล้วยังจับได้ว่าเจโตปริยญาณ(รู้ใจผู้อื่น) ของท่านก็มี
ยกตัวอย่างผู้เขียนกำลังนึกในใจว่าหลวงพ่อพูดฟังไม่ชัด ขยับไมโครโฟนหน่อยก็จะดีหรอก พอนึกหลวงพ่อก็จับไมโครโฟนขยับทันที
อีกคราวหนึ่งทำกรรมฐานอยู่คนละห้อง พอถึงจังหวะให้พร ผู้เขียนนึกในใจว่า ยถา.... หลวงพ่อพูดมาทางไมโครโฟนทันทีว่า วันนี้เหนื่อยมาก ยถาไม่ไหว
เรื่องเช่นนี้มีเล่ามากมาย
นักธรรมบริสุทธิ์มักตำหนิว่าความเก่งอย่างนี้ไม่มีประโยชน์แก่การรู้ธรรม ไม่เป็นปัจจัยแก่การหลุดพ้น
แต่ความจริงแล้วทางไปสู่การหลุดพ้นพระพุทธเจ้าแสดงว่ามีมรรค ๘ ทางเดียวทางอื่นไม่มี อันมรรค ๘ นั้น ปฏิบัติแล้วผลสรุปไปลงที่ข้อท้ายสัมมาสมาธิ
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงขยายความว่าคือการเข้าฌาน ๑ ถึง ๔ จากนั้นจึงไต่ไปสัมมาญาณและสัมมาวิมุติ การได้ญาณต่างๆ จะต้องเป็นผู้ผ่านฌาน ๔ มาก่อน
ดังนั้นที่จับได้ว่าหลวงพ่อมีทิพจักขุญาณและญาณอื่นๆ ก็ย่อมแปลว่าได้ปฏิบัติ มรรค ๘ ตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนมาแล้ว
ในอุทุมพริกสูตรพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าได้ทิพจักขุญาณ ก็คือได้แก่นไปตามความประสงค์
ผู้เขียนต้องการจะชี้ว่า ที่เลื่อมใสในหลวงพ่อนั้นไม่ใช่ว่าจะหยุดอยู่เห็นแต่ความเก่งแล้วบูชาแต่ตัวหลวงพ่อ
ความสำคัญอยู่ที่เป็นการยืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้าตามที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกนั้นว่าเป็นของจริง ปฏิบัติตามเห็นผลได้จริง
เป็นการสร้างความเชื่อถือในพระไตรปิฎกอันเป็นหลักฐานอย่างเดียวในพระพุทธศาสนา ทำให้เกิดความมั่นคงยิ่งขึ้น
ในด้านของธรรมแท้ๆ หลวงพ่อได้แสดงธรรมที่เห็นได้ว่าเป็นผู้รู้จริง
และสอนให้พยายามปฏิบัติเพื่อพระนิพพานอยู่ตลอดเวลาเรื่องนี้สังเกตว่าที่อื่นไม่ค่อยจะพูด มีแต่การแสดงหัวข้อธรรมเป็นส่วนใหญ่
ไม่เน้นพระนิพพานซึ่งเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา
ยกตัวอย่างด้านธรรม หลวงพ่อสอนถึงอารมณ์ในฌานต่างๆ สอนถึงอารมณ์ของพระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์
ซึ่งจะหาองค์อื่นสอนได้อยากขอยกคำพูดสักนิดหนึ่งที่หลวงพ่อพูดคือ ท่านบอกว่าอารมณ์พระอนาคามีนั้นใกล้กับพระอรหันต์มากเหลือเกิน
จะเผลอว่าเป็นพระอรหันต์ได้ง่ายๆ แต่นานๆ จะมีอารมณ์บางอย่างปรากฏซึ่งรู้ได้ว่ายังไม่ถึง ดังนี้เป็นต้นเป็นเรื่องที่ท่านรู้แต่ไม่มีในตำรา
ท่านสอนมาอย่างนี้ก็ควรรับไว้อย่างนี้ ไม่ควรสันนิษฐานว่าท่านจะเป็นขั้นนั้นขั้นนี้ เดี๋ยวจะพลาด
ในด้านความประทับใจ ขอสรุปเพียงสั้นๆ ว่า
๑. หลวงพ่อรู้จริงทั้งทางปริยัติและทางปฏิบัติ ไม่มีการอับจนในปัญหาธรรมทั้งปริยัติและปฏิบัติ ท่านยืนยันว่าพระไตรปิฎกเชื่อถือ ได้มากกว่า ๙๐
เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะหลักสูตรพระอรหันต์มีอยู่ครบบริบูรณ์
๒ หลวงพ่อไม่หวงลูกศิษย์ ใครจะไปหาอาจารย์ไหน พบว่าเก่งยังไงเอามาเล่าให้ท่านฟังได้สบาย ท่านมักจะพูดว่าดีช่วยกันหลายๆ คน
นอกจากนั้นไม่พูดด้วยว่าคำสอนของสำนักนั้นๆ ไม่ถูก ไม่ดี หรือที่ท่านสอนจึงจะถูก คนอื่นสอนไม่ถูก
๓. หลวงพ่อมีความเคารพพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เวลามีคนชมว่าได้ผลดี เพราะปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ ท่านจะแก้เสมอว่าไม่ใช่คำสอนของท่าน
หากเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
๔. หลวงพ่อเป็นผู้มีพระคุณที่แนะวิธีเข้าพระนิพพานให้กับทุกคน
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 6/10/08 at 11:56
Update 6 ต.ค. 2551
นายแพทย์จรูญ ปิรยะวราภรณ์
"อาการป่วยของหลวงพ่อ"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
เรื่องความเจ็บป่วยของหลวงพ่อ กล่าวได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นคู่กันมาตลอดชีวิตของหลวงพ่อ ตั้งแต่วัยเด็กก่อนบวชพระป่วยเป็นอหิวาต์
บวชเป็นพระหนุ่มจนกระทุ่งเป็นพระหนุ่มน้อย ในเวลานี้ก็ยังป่วยเรื่อยมา และขอบอกว่าอาการทุกขเวทนา อาการเสียดแทงต่างๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง
ถ้าจะสังเกตจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลารับแขกญาติโยมพุทธบริษัททั่วไปก็มักจะไม่ออก
นอกเสียจากว่าจะเป็นพระหรือหมอที่ดูแลใกล้ชิดเท่านั้น สมัยก่อนที่เคยพูดให้พระฟังเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ถึง ๒๕๒๐ ว่าหากจะสังเกตอาการป่วยของหลวงพ่อ
ให้สังเกตที่เสียงและสีผิวจะเปลี่ยนไป ต่อมาในช่วงเวลาเทศน์หรือสอนกรรมฐาน พระท่านช่วยควบคุมขันธ์ ๕ ไว้ ถ้าไม่ป่วยหนักจริงๆ แม้แต่เสียงก็สังเกตไม่ออก
แต่หลังจากเสร็จภารกิจสอนกรรมฐานหรือรับแขก ขึ้นพักผ่อนแล้ว เป็นได้เรื่อง ถ้าไม่อาเจียนเป็นกระโถนก็ต้องไอหรือเดินเซเป็นปกติ
อาการที่ป่วยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องไข้ สำหรับเรื่องไข้นี้ก็แปลกที่ว่า บางทีมีอาการปวดศรีษะ จับไข้สั่นสะท้านถึงกับต้องใช้ผ้ามาห่ม หมอเอาปรอทมาวัดไข้
องศาของปรอทไม่ขึ้น นอกจากไข้เป็นเป็นเรื่องของระบบลำไส้ ไม่ทำงาน ฉันอาหารแล้วไม่ดูดซึม อาหารบางชนิดฉันเข้าไปแล้วก็แสลง มีอาการทุกขเวทนาเกิดขึ้น
การควบคุมเรื่องอาหารจึงได้อาศัยท่านย่าและแม่ศรี สงเคราะห์ดูแลตลอดมา โดยกำกับบอกให้พรนุชหรือจำปีจัดการให้ตามท่านสั่ง
และก็มีบ่อยครั้งที่ต้องอาศัยน้ำเกลือให้ชดเชยอาหารและน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีงาน เครียดจัดหรือต้องล้างท้องตามสั่ง
ระบบลำไส้ที่ไม่สามารถทำงานเป็นปกตินอกจากดูดซึมอาหาร แล้วยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง คือ
ระบบขับถ่าย อุจจาระแข็งเป็นดานจนต้องล้างท้องหรือสวนกันเป็นประจำตามสั่ง เรื่องขี้หรือถ่ายอุจจาระไม่ปกตินี่ระยะหลังกลายเป็นเหตุใหญ่ ขณะใดที่ท้องผูก
ก็มักจะมีเสมหะพันคอ ไอจนเจ็บคอควบคู่กันไป กลายเป็นว่าเป็นโรคระบบในช่องคอ เพิ่มขึ้นมาอีกระบบหนึ่ง
ก็พยายามฉันน้ำและยาซึ่งมีทั้งยาจิบยาพ่นคอหรือแม้แต่รมไอน้ำตามที่คณะแพทย์จัดให้ อาการก็ทุเลาขึ้นเป็นครั้งคราว รวมความว่าป่วยทั้งตัว
ถ้าจะขอดูหลักฐานการป่วยก็ต้องไปถามหมอ ซึ่งหมอที่ทำการรักษาให้ก็ปรารภให้ หลวงพ่อฟังเสมอว่า หลวงพ่อคงต้องฉีดยามานานแล้ว กล้ามเนื้อสะโพก ๒
ข้างแข็งเป็นไต มีพังผิดเต็มไปหมด ปักเข็มเดินยา ฉีดเข้ากล้าม
ยาก็ไม่เข้าต้องใช้แรงดันกระบอกฉีดยามากแถมยาที่ฉีดเข้าไปคั่งอยู่ในพังผืดดูดซึมเข้าร่างกายไม่ได้ดี
ครั้นจะให้หมอฉีดยาเข้าเส้นเลือด หมอก็อธิบายว่าเส้นเลือดของหลวงพ่อตีบตันหายไปมากแล้วเหลือเป็นแขนงเล็กๆ ผนังเส้นเลือดก็หนาแข็ง
หลวงพ่อคงจะฉีดยาและให้น้ำเกลือมานานแล้วถึงได้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่ทราบว่าจะแทงเส้นได้อีกนานเท่าไหร่ มันคงจะตีบตันไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้
หมอที่ช่วยดูแลให้น้ำเกลือได้ก็เหลือเพียง ๒ คน คือ ลูกหญิง (แพทย์หญิงแสงโสม ปิรยะวราภรณ์) และหมออี๊ด เวลาใดที่หญิงไม่ว่างก็อาศัยหมออี๊ดแทน
เรื่องให้น้ำเกลือก็เหมือนกัน
ถ้าสมเด็จท่านไม่ช่วยคุมก็คงแทงเข็มเข้าเส้นได้ลำบาก มีทั้งสมเด็จองค์ปฐม สมเด็จองค์ปัจจุบัน พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร ท่านย่า แม่ศรีฯลฯ
บางทีก็มีญาติผู้ใหญ่ หลายท่านพลัดกันช่วย เส้นเลือดก็ปูดขึ้นมาให้เห็นหน่อยหนึ่ง บางโอกาสมีหมอหลายคนเคยมาให้น้ำเกลือก็ต้องแทงถึง ๕ - ๖ ครั้งกว่าจะได้
เป็นอันว่าน้ำเกลือก็เป็นเรื่องใหญ่ สำหรับหลวงพ่อที่ต้องให้ชดเชย ถ้าไม่ได้น้ำเกลือช่วยหลวงพ่อคงไม่ได้อยู่มา ถึงทุกวันนี้
เวลาที่ไปสอนกรรมฐานต่างประเทศ ต้องขอให้ลูกหญิงมันช่วยดูแลตามไปด้วยเพราะการเดินทางไปไหนนานๆ และอากาศร้อนเป็นปฏิปักษ์กับร่างกายหลวงพ่อ
ตอนระหว่างให้น้ำเกลือก็เหมือนกันเล่มเอาหมอหลายคนบอกว่าจะเผาตำราทิ้งแล้ว โดยเฉพาะ หมอมนตรี อมรพิเชษฐกุล และหมอชนะ สิริยานนท์
ที่หลวงพ่อชอบเรียกเธอว่าหมอญี่ปุ่น คนนี้มีทิพยจักขุญาณแจ่มใสเป็นพิเศษ
คณะแพทย์ชุดหลังนี่เรียกว่ามาเป็นจังหวะพิเศษที่ร่างกายป่วยมากต้องการให้ช่วย มีหมอจรูญ ปิรยะวราภรณ์ เป็นหัวหน้าชักนำเข้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๓
เป็นช่วงเวลาที่สมเด็จฯและญาติผู้ใหญ่ข้างบนดลใจด้วย ทยอยกันมา นอกจากหมอจรูญ ก็มีหมอมนตรี อมรพิเชษฐกุล ผู้เชี่ยวชาญอายุรกรรมระบบประสาท หมอชนะ สิริยานนท์
ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบหู คอ จมูก
หมอแสงโสม ภรรยาหมอจรูญ เป็นวิสัญญีแพทย์ มาช่วยให้น้ำเกลือและให้ยานอนหลับ ตามที่สมเด็จฯ สั่งเพื่อให้ร่างกายหลวงพ่อได้พักผ่อน แล้วก็มีหมอพงษภารดี
เจาฑะเกษตริน วิสัญญีแพทย์ หัวหน้าหน่วยระงับความเจ็บปวด ร.พ.ศิริราช มาช่วยฝังเข็มรักษาให้ระยะหนึ่ง แล้วก็มีหมอสุชาย สุนทราภา
ผู้เชี่ยวชาญด้านผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะ เคยมาดูแล ตอนที่หลวงพ่อปัสสาวะไม่ออก
หมอที่สำคัญอีกท่านหนึ่งคือ นายแพทย์วัฒนะ ฐิตะดิลก ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอจมูก ร.พ.ศิริราช จบจากประเทศเยอรมัน คนนี้เป็นนักบุญที่สำคัญ
ถวายยาให้หลวงพ่ออยู่ทุกเดือนหลายปีมาแล้ว
ต่อมาได้ทราบว่าเธอเป็นผู้จัดการหลวงปู่ชัยยะวงศา และยังมีจริยาไม่เหมือนหมอคนอื่นๆ คือ สวดมนต์เป็นชั่วโมงทุกวัน ทำคลินิกได้เงินมาทำบุญหมด
ซื้อเทปหลวงพ่อไปเปิดให้คนไข้หนักในโรงพยาบาลฟัง รับดูแลอุปัฏฐากพระอาพาธที่เข้าไปอยู่ใน ร.พ.ศิริราช
ในอดีตเป็นแพทย์ที่ดูแลทำแผลให้หลวงพ่อท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทราวาส หลวงพ่ออุตตมะ หลวงปู่วงษ์ หลวงพ่อบัว วัดป่าบ้านตาดฯลฯ
แกเก็บเกี่ยวบุญหมด คือดูแลให้หมด ที่สำคัญคือช่วยดูแลสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธ ตลอดระยะเวลาที่อาพาธจนสิ้นพระชนม์
ครั้งหลังสุดยังช่วยดูแล สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ วัดสามพระยา เมื่อตอนผ่าตัด มีหญิงกับหมอชนะช่วยด้วย หลวงพ่อเลยล้อบ่อยๆ ขนานนามให้ว่า ท่านขุน
และเป็นหมอเพชรฆาต คือ ดูแลหลวงพ่อท่านเจ้าคุณนรรัตน์จนมรณภาพ และดูแลสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์) จนสิ้นพระชนม์ แกก็บอกว่าสำหรับหลวงพ่อและสมเด็จฯ
วัดสามพระยาคงไม่เป็นอย่างนั้นครับ ยังไม่ถึงเวลาครับ
ทีนี้พูดไว้ว่าหมอเขาจะเผาตำรากันก็มีเรื่องเล่าต่อว่าเวลาร่างกายมันแห้ง ขาดน้ำ ให้น้ำเกลือครั้งละ ๑๐๐๐ ซีซี ทีแรก หมอมนตรี
หมอชนะเป็นห่วงว่าให้เร็วๆ น้ำจะท่วมปอดอันตรายต่อร่างกาย ปรับ ให้ช้าลงตามปกติ เผลอสักพักหนึ่งมันก็หยุดจ๊อกๆ เร็วขึ้นมาก
หมอแกปรับเท่าไหร่ก็เหมือนเดิมไม่มีผล น้ำเกลือ ๑๐๐๐ ซีซี หมดใน ๑ ชั่วโมง บางทีให้แค่ ๕๐๐ ซีซี นาน ๓ ชั่วโมงก็ไม่หมด หลวงพ่อต้องอธิบายว่า
ท่านย่าและแม่ศรีช่วยดูแล ที่สุดหมอแกพิสูจน์แล้วก็ยอมแพ้ เรื่องที่หมอเผาตำราอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การจัดยาถวาย
การป่วยของหลวงพ่อตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๓ มีแพทย์ รุ่นเดอะหลายท่านช่วยดูแลเท่าที่จำความได้ก็มี พล.อ.ต.นายแพทย์โกศล มณีจักร์ ต่อมาก็มี
พล.ต.ท.นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน อดีตนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ หมอคนนี้พิเศษกว่าหน่อย ต้องทำหน้าที่ทุกอย่างทั้งติดตามรักษาที่วัด ในเมืองและในป่า
ออกแจกของถิ่นทุรกันดาร ท่านก็ตามไปตลอด
รุ่นถัดมาก็มีศาสตราจารย์นาแพทย์ประสิทธิ์ ฟูตระกูล โรงพยาบาลจุฬาฯ ก็มาช่วยดูแลหลวงพ่อตอนมีอาการเรื่องลำไส้ใหญ่ไมทำงาน ปัสสาวะไม่ออก
คงจะราวเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๕ หมอท่านนี้ก็ช่วยดูแลอยู่ระยะหนึ่งทั้งในและต่างประเทศ ต่อมาก็มีคณะ หมอจรูญ หมอแสงโสม หมอชนะ หมอมนตรี และหมอวัฒนะ
คณะนี้เริ่มเข้ามาราว พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่จริงควรมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๓ เพราะแม่ศรีเริ่มสั่งยาช่วยย่อย (Combizym - co) ให้หมอจรูญจัดหามาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๓
หลวงพ่อฉันมาจนทุกวันนี้
มาใหม่ๆ หมอคณะนี้ ก็เจริญรอยตามลูกพี่ใหญ่ คือ พล ต.ท.นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน ทั้งออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในถิ่นทุรกันดาร ขายก๋วยเตี๋ยว ข้าวผัด
เวลาวัดมีงาน คณะหมอชุดนี้ สบายกว่าชุดก่อนๆ คือมีหน้าที่จัดหายาและถวายยาตามคนไข้สั่ง
เริ่มจากปี พ.ศ. ๒๕๒๖ คณะหมอติดตามหลวงพ่อไปบ้านจอมทอง เชียงใหม่ สมเด็จฯ ก็มาสั่งยา ผ่านหลวงพ่อ ไม่รู้จักยาได้แต่บอกชื่อ ให้หมอจดไปหามา
ครั้งแรกดูเหมือนจะเป็นยาโปรเท้า ให้แทนน้ำเกลือ หมอแกว่าเป็นสารอาหารโปรตีน (Sohamine - G) ให้กันอยู่ระยะหนึ่งก็เลิกกันไป จากนั้นก็ฉันยาหม้อบ้าง
ยาต้มบ้าง สุดแต่สมเด็จฯ ท่านปู่ท่านย่าจะสั่ง
ก็น่าสังเกตว่าส่วนใหญ่ เป็นสูตรยารักษามะเร็ง อาการระบบลำไส้ใหญ่ คือ อุจจาระแข็งเป็นดาน มีเสมหะมากก็เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่เครียดจัด ป่วย
มากที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่เดินทางไปสอนกรรมฐานที่สหรัฐอเมริกา ดีที่ท่านย่าและแม่ศรีช่วยจัดการให้หญิง(หมอแสงโสม) ตามไปด้วยได้
ช่วงเวลาที่อเมริกาเธอและพรนุชเฝ้าดูแลหลวงพ่อตลอดเวลา ไม่มีเวลาไปไหนกับเขา เวลาเครียดจัดก็ฉีดยาช่วยหลับ(DORMICUM) เฝ้าไปหญิงก็ร้องไห้ไป
เดชะบุญอยู่ได้จนถึงวันกลับประเทศไทย พอกลับถึงซอยสายลม ผิวดำคล้ำ เหมือนคนตาย พูดไม่มีเสียง ร่างกายแห้ง ขาดน้ำมาก รู้ว่าภายในป่วยมาก
คณะหมอชุดนี้รออยู่แล้ว จัดหยูกจัดยาถวายน้ำเกลือ รมไอน้ำ สมเด็จองค์ปฐมฯ ก็มาสั่งยาเขย่า ชูขวดยาให้ดูคณะหมอก็ไปจัดยามาได้ยาฉีดสีขาว(ASPEGIC)
ต้องละลายน้ำกลั่น หมอมนตรีอธิบายว่าเป็นยาแอสไพริน ชนิดฉีดแต่ราคาแพง ขวดละ ๒๕ บาท ถามว่าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องฉีดยาตัวนี้ เนื่องจาก เป็นยาแก้ไข้
ตัวอื่นก็มีหลวงพ่อเองก็ไม่ทราบพระพุทธประสงค์ ต่อมาก็ทราบจากหมอว่า มีส่วนช่วยป้องกันเส้นเลือดสมองและ เส้นเลือดหัวใจตีบ
ต่อมาพ้นจากการตายคราวนั้น หมอจรูญก็มาจัดยาขนานนี้เป็นยารับประทานแทน ยาฉีด ก็เอาไว้ฉีดเป็นครั้งคราวตามคำสั่งพระ
หมอวัฒนะเป็นผู้สั่งยาฉีดมาสำรองไว้ให้ เพราะปกติเขาไม่ใช้กันทั่วไป นอกจากยาฉีดก็มียาแก้อักเสบ (BIOMOX) ที่หมอจรูญจัดถวาย ไว้ให้ฉันเป็นครั้งคราว
เวลามีอาการเจ็บคอ ไอมาก หมอวัฒนะก็จัดยาบำรุงร่างกายให้เป็นการใหญ่(Z - BEC) มียาละลายเสมหะ (MUCOSOLVAN, FLEMEX) ยาละลายอุจจาระให้นุ่ม
(VERACHOLATE, DUPHALAC, DULCOLAX) ถวายเครื่องรมไอน้ำ หมอมนตรีก็รับผิดชอบการฟื้นฟูระบบประสาท ถวายยาขยายเส้นเลือด ในสมอง(SIBELIUM)
ยาบำรุงประสาท(ALINAMIN - F) ยากาแฟ(FEACTIVAN) รวมความว่าหมอคณะนี้ช่วยกันปลุก ปล้ำจนหายป่วยหนัก
คราวนั้น ถึงทุกวันนี้ ก็ยังป่วยเป็นครั้งคราว ตามกฏแห่งกรรม การป่วยหลายครั้ง ก็ต้องสรุปได้ว่า ต้องการ อธิบายให้ทราบว่าการป่วย
หรือที่ไม่แสดงอาการทุกขเวทนานั้น ได้บารมีพระท่านช่วยมาก ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ก็ยังมีอาการป่วยตกค้าง จากเชื้อไข้มาลาเรียที่ติดมาจากเชียงรายตั้งแต่
พ.ศ.๒๕๒๕ ซ่อนตัวไว้นาน จับไข้มาตลอด
ในที่สุดท่านโกมารภัจจ์ ก็มาบอกใบ้ ยาฉีดหลอดสีชาให้หมอจรูญ หมอชนะ และหมอมนตรีไปหามา ทีแรกหาไม่ได้ ต่อมาสมเด็จฯ แสดงภาพให้ดู เป็นเชื้อไข้
วงสีแดงเล็กๆ อยู่ในเม็ดเลือดแดง หมอจึงตีใบ้ออก จัดยาฉีด(QUININE) ตามคำสั่งท่านโกมารภัจจ์ และหมอจรูญได้จัดยาให้ฉันเพิ่มเติม
ทำให้โรคไข้มาลาเรียหายขาดไป คงจะเป็นกฎของกรรม ที่ทำให้ไม่แสดงอาการตั้งแต่หลายปีก่อน
เรื่องสั่งยาทาง ไปรษณีย์อากาศก็ยังมีอีก มีคราวหนึ่งประสาทแขนขาตึงไปหมด ลำไส้ใหญ่ไม่ทำงาน ท่านโกมารภัจจ์ ก็มาบอกให้อีก ชูยาฉีด เป็นยาน้ำสีแดง
บอกว่าฉีดยานี้ครบ ๒ เดือนแล้วก็จะดีขึ้น ก็ได้หมอชุดนี้ไปหามาจนได้ (NEUROBION)
บางครั้ง หมอเองก็ถูกดลใจ ให้จัดยามาถวายโดยไม่ได้คิดไว้ก่อน ส่วนใหญ่จะเป็น สมเด็จฯ หรือไม่ก็ท่านโกมารภัจจ์ ต้นปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ก็มีคราวหนึ่ง
สั่งให้ไปหายาเม็ดเล็กๆ สีขาว กระตุ้นการทำงานกล้ามเนื้อลำไส้ ก็ได้หมอจรูญไปหามา (PLASIL) ต่อมาหมอนพพร ก็หามาถวายอีก (PREPULSID)
ครั้งล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ ท่านลุงใหญ่ และลุงพุฒ ก็มาสั่งยาเม็ดเล็กๆ สีเหลืองส้ม บอกว่า ฉันแล้วทำให้การหลับดีขึ้น
ประสาทฟื้นตัวเร็ว ก็บอกหมอมนตรีไป ทีแรกหมอนึกไม่ ออกพอลงจากห้อง หลวงพ่อท่านลุงต้องมาบังคับให้ หมอมนตรีเขียนชื่อยา RIVOTRIL
หมอมนตรีแกไม่แน่ใจ ต้องให้หมอญี่ปุ่นตรวจดู แล้วไปจัดหายามา คืนนั้นเอง พอหมอจรูญ ได้ยามาแล้วยังไม่ทันถวาย ท่านลุงใหญ่ก็มาบอกว่า "
เขาหายาที่ว่าได้แล้วนะ ให้ฉันไปเรื่อยๆ" แม่ศรีก็มายืนยันว่า ต่อไปสมเด็จฯ มอบหมายให้ท่านลุง ๒ องค์ ดูแลเรื่องยา ให้หมอจัดยาถวายตามนั้น
ร่างกายจะดีขึ้นเรื่อยๆ
ยังขาดยาสมุนไพรอีก ๑ อย่าง ตอนนั้นยังไม่ถึงเวลา ที่หลวงพ่อสั่งให้บันทึกไว้เพื่อเป็นหลักฐานว่า การป่วยหนักแต่ละครั้ง และการได้หมอและยาแต่ละครั้ง
ก็เป็นเรื่องกฏของกรรม และเป็นเพราะบารมีพระและญาติผู้ใหญ่ สงเคราะห์ต้องการให้บรรดาลูกหลานและพุทธบริษัทได้ทราบกันไว้
ขอจบเรื่องการป่วยโดยย่อๆ เพียงเท่านี้ และคณะแพทย์ชุดนี้ได้บอกกับหลวงพ่อว่าอานิสงส์ผลบุญจากการดูแลหลวงพ่อจะมีผลเพียงใด
ขอให้บรรดาลูกหลานพุทธบริษัทจงร่วมโมทนารับผลบุญร่วมกัน จึงขอแจ้งให้ทราบทั่วกันตามนี้...
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 4/2/09 at 06:12
Update 28 ต.ค. 2551
กิมกี หลากสุขถม
(เจ้าของร้านอาหารเจ๊กิมกี อยู่ข้างโบสถ์วัดท่าซุง)
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"........ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๑
ฉันได้มีโอกาสพบหลวงพ่อครั้งแรกที่วัดท่าซุง หลวงพ่อพักอยู่ที่กุฏิกระต๊อบโคนต้นโพธิ์ ก่อนที่จะเดินทางมาพบหลวงพ่อในครั้งแรกนี้
ฉันตั้งใจไว้ว่าจะมารับทำปิ่นโตถวายท่าน พอพบและกราบท่านครั้งแรก ท่านก็ทักว่า "เจ๊ จะมา รับทำปิ่นโตหรือไง"
.........ฉันจึงตอบว่า "ใช่จ๊ะ ได้ยินคนอื่นพูดว่า หลวงพ่อมาอยู่วัดท่าซุง ต้องซื้ออาหาร (รับปิ่นโต) มาฉัน" หลวงพ่อจึงพูดว่า "ฉันอยู่มาหลายวัดแล้ว
ไม่เคยซื้อข้าวเขากิน พอมาอยู่วัดท่าซุงต้องมาซื้อข้าวเขากิน" ฉันจึงบอกว่า "จะมารับทำปิ่นโตถวาย และอยากทราบว่าหลวงพ่อฉันอาหารประเภทไหนบ้าง"
.........หลวงพ่อก็พูดว่า "เจ๊..กินอะไร ฉันก็กินอย่างนั้น" และหลวงพ่อพูดต่อไปอีกว่า "เจ๊ ถ้าเจ๊รับทำปิ่นโตแล้วละก็ ห้ามทำบาปเลยนะ
ของเป็นไม่ต้องทำ" ท่านก็ถามขึ้นว่า "เจ๊ จะรับทำปิ่นโตจริงรึ และ จะรับทำไปถึงไหนล่ะ" ฉันจึงตอบไปว่า "จะทำให้ตลอดไป" หลวงพ่อบอกว่า "เออดี
โมทนาด้วยนะ" และหลวงพ่อพูดต่อไปอีกว่า "ชาติก่อนนี้ยังกินไม่พอ ชาตินี้ตามมากินอีก"
ฉันก็ทำมาเรื่อยๆ แล้วก็ได้อธิษฐานในใจ ขอให้ได้มาอยู่ใกล้หลวงพ่อ จะได้มาทำอาหารถวายใกล้ๆ ต่อมาฉันก็พูดเปรยๆ กับหลวงพ่อว่า ฉันจะมาอยู่วัด
หลวงพ่อก็ถามว่า "จริงรึ" ก็ตอบว่า "จริง" หลวงพ่อก็บอกว่า "ให้มาอยู่ได้เลย" หลวงพ่อจึงได้ให้ความ อุปถัมภ์ตั้งแต่นั้นมาเรื่อยๆ ฉันมาคิดว่า
พ้นจากอกพ่อแม่ ก็มีหลวงพ่อเท่านั้นที่ให้การอุปถัมภ์ด้วยความเมตตาอย่างนี้
ตอนมาอยู่วัดท่าซุง มีอยู่คราวเมื่อได้เตาแก๊สใหม่ๆ หลวงพ่อก็เป็นห่วงว่าจะใช้ไม่เป็น พอเช้าก็เดินมาช่วยสอน ทำเช่นนี้จนกระทั่งฉันพอจะทำได้แล้ว
ฉันก็เกรงใจท่าน จึงบอกท่านว่าไม่ต้องมาแล้ว เพราะว่าพอทำได้ ท่านก็ยังเป็นห่วง ถามย้ำว่า "แน่ใจว่า ทำเองได้แล้วนะ" บอกว่าแน่ใจ
นั่นแหละท่านจึงคลายความเป็นห่วงไปได้บ้าง เพราะทำให้ท่านต้องลำบากมาช่วยสอนแต่เช้า
ความห่วงใยนั้นหลวงพ่อคอยห่วงใยเสมอ เช่นเวลาน้ำท่วม ท่านจะไปกรุงเทพฯ ก็สั่งพระไว้ว่า "คอยดูแลเจ๊ด้วยนะ" (หมายถึง "ฉัน"
กลัวว่าฉันจะได้รับภัยจากน้ำท่วมด้วย) หลวงพ่อได้เมตตาอุปถัมภ์ให้ดิฉันมาเปิดร้านค้าขายอาหารในวัด และคอยให้ความ ดูแลเอาใจใส่เสมอมา
การอุปถัมภ์และความห่วงใย รวมทั้งความเมตตาที่มีต่อฉันอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งบัดนี้ฉันก็อายุ ๗๑ ปีแล้ว จึงมีความซาบซึ้งใจไม่มีวันลืมเลย
ช่วงที่มาอยู่วัดท่าซุงใหม่ๆ ก็มีคนมาอาศัยอยู่ในวัดเพียงไม่กี่คน ตอนเย็นๆ ก็ไปคุยกับหลวงพ่อนั่งเป็นกลุ่มเล็กๆ คุยที่กุฏิ ท่านก็เล่าเรื่องนรก
สวรรค์ให้ฟัง และท่านก็คุยเรื่องอดีตชาติให้ฟัง ฟังแล้วก็ติดใจ การได้พบหลวงพ่อทำให้เบาใจว่า ฉันคงไม่ต้องตกนรกแล้ว เพราะว่าหลวงพ่อสอนให้ทำตัวให้หนีนรก
พร่ำสอนอยู่เสมอ ฉันไม่อยากไปนรก เพราะฉันกลัวนรกมาก
การมาเจอหลวงพ่อ ฉันถือว่าเป็นบุญใหญ่ ฉันชอบใจธรรมะและกรรมฐานที่หลวงพ่อนำมาสอน หลวงพ่ออบรมเพื่อปฏิบัติตัวให้เข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้
ฉันไม่อยากเกิดอีกแล้ว เพราะลำบากมาตลอดชีวิต ไม่มีสุขเอาเสียเลย จึงพยายามจะปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อเพื่ออยากไปให้ถึงพระนิพพานในชาตินี้
บุญคุณหลวงพ่อ และความเมตตาที่มีต่อฉันนั้นสูงส่งหาใดเปรียบไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่ใช่พ่อแม่
แต่ก็มีความห่วงใยให้ความอุปถัมภ์อย่างดีตลอดมาเหมือนผู้บังเกิดเกล้า ท่านเปรียบเสมือนต้นโพธิ์ต้นไทร ที่ให้ความร่มเย็นและคุ้มครอง
ให้ความสะดวกทั้งที่อยู่อาศัย น้ำ ไฟ ถ้าฉันไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหลวงพ่อ ฉันคงจะลำบาก และอยู่ที่นี่มีโอกาสได้ทำบุญทุกวัน
ฉันมีความสุขและสบายใจอยู่กับพวกเราไปนานๆ และขอยึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน.."
◄ll กลับสู่ด้านบน
Update 28 ต.ค. 2551
ม.ล. เอื้อมสุขย์ (หนุ่ย) กิติยากร (ศุขสวัสดิ์)
(เจ้าของบ้านสายลม รุ่น 2)
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"........ยังระลึกได้ถึงเมื่อ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว
เมื่อครั้งที่พ่อกับแม่พาไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุงในกุฏิไม้หลังเล็กๆ ริมน้ำบรรยากาศเงียบสงบ มีลมพัดผ่านเป็นระยะ (พ่อ - เจ้ากรมเสริม, แม่ -
คุณเฉิดศรี (อ๋อย)
........ยังจำได้ถึงเมื่อหลวงพ่อมาโปรดพุทธบริษัทที่บ้าน ท่านเอนอยู่บนตั่งในห้องขนาดไม่กว้างนัก ลูกศิษย์ไม่เกิน ๒๐ คน นั่งฟัง นอนฟัง เอนฟัง
หลวงพ่อเล่าเรื่องเก่าๆ เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย แทรกธรรมะและการปฏิบัติไปโดยตลอด ตอบคำถาม ซึ่งบางที ก็เป็นคำถามแบบโง่ๆ ด้วยความอดทน
........ตกค่ำหลวงพ่อสอนกรรมฐาน ลูกเล็กๆ ๓ คน ก็จะนั่งพนมมือ สวดมนต์สมาทานพระกรรมฐานไปด้วย เมื่อถึงเวลาทำสมาธิก็ลงนอนคว้าขวดนมมาดูดจนหลับไป
พออุทิศส่วนกุศลเสร็จก็ถูกแบกเข้าห้องนอน พุทธบริษัทผู้ใหญ่ก็สนทนากับหลวงพ่อไปจนดึก
.......มาบัดนี้..เมื่อพุทธบริษัทมาสู่บารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และองค์หลวงพ่อมากขึ้น
แม่ผู้เคยเป็นเสมือนหัวหน้าพุทธบริษัทฝ่ายฆราวาสจากไป สภาพข้างต้นเปลี่ยนไป พุทธจักรเล็กๆ ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว พุทธบริษัทต่างจิตต่างใจ ต่างอัธยาศัย
ต่างวาสนาบารมี มาประชุมกันมากขึ้น แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์ทางจิตใจต่อกันด้วยมีธรรมะร่วมกัน
ไม่ว่ากาลเวลา และวัตถุธาตุจะเปลี่ยนไปตามวัฏจักรอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ ความมุ่งมั่น
และเมตตาขององค์หลวงพ่อที่มีให้ลูกศิษย์ทุกคนได้บรรลุถึงจุดหมายปลายทางและความรอบรู้ ซึ่งลูกศิษย์ทุกคนประจักษ์ดีว่า หลวงพ่อไม่เคยจนด้วย
ข้อถามทางธรรม คำสอนของหลวงพ่อฟังเข้าใจง่าย ดูเหมือนปฏิบัติง่าย ซึ่งเป็นกำลังใจในการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่หลวงพ่อให้มิใช่จะวัดได้ในเชิงปริมาณ
แต่เราทุกคนก็รู้ว่า ที่เรามีจิตใจสุขสงบ สามารถฟันฝ่าอุปสรรคทางโลกและทางธรรมมาได้ก็ด้วย
ข้อปฏิบัติที่หลวงพ่อพร่ำสอนมา บางทีพวกเราก็เสียใจว่าไม่ได้ปฏิบัติให้ดีได้เท่าที่หลวงพ่อสอน
ในวาระที่หลวงพ่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ในครั้งนี้ ขอตั้งจิตที่ถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งและพระนิพพานเป็นที่ไป
อาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ได้โปรดดลบันดาลให้หลวงพ่อมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง สมบูรณ์ เป็นที่พึ่งของลูกๆ ทั้งหลายไปชั่วกาลนาน
และด้วยจิตที่มั่นในกตัญญูกตเวทิตา ขอปฏิญาณว่าจะตั้งใจปฏิบัติธรรมตามที่หลวงพ่อสอน เพื่อให้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบัน
◄ll กลับสู่ด้านบน
(Update 4 ม.ค. 2552)
นนทา อนันตวงษ์
จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
........หลังจาก คุณเอก อนันตวงษ์
สามีข้าพเจ้าถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๓ ได้ทิ้งอาชีพ "แพขนานยนต์" รับส่งรถข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่าง อุทัย - มโนรมย์
นับว่าเป็นงานหนักและเสี่ยงอันตราย ความหนักใจก็มีอยู่บ้างเป็นธรรมดา
.........โดยเฉพาะเรือยนต์โยงแพที่เป็นอุปสรรคอยู่เสมอ เพราะเสียอยู่บ่อยครั้ง อาจารย์ต่อม ช่างฟิตเรือ ได้แนะนำให้ไปหาหลวงพ่อ
ซึ่งเวลานั้นประจำอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า บอกว่าท่านเป็นพระที่ดูหมอแม่น ข้าพเจ้าดีใจ จึงรีบไปกราบท่าน จึงเป็นครั้งแรกที่รู้จักหลวงพ่อในฐานะ
"พระหมอดู"
จากซ้ายมือ ครูนนทา หลวงพ่อฯ และ ครูยุ้ย (อ.สบสุข ประกอบไวทยกิจ)
ท่านทำนายว่า "เคยเลี้ยงหมู และหมูได้มาทวงหนี้"
(ซึ่งเรื่องนี้ก็ทายถูก เพราะแต่ก่อนสามีมีอาชีพเป็นข้าราชการอยู่ที่สหกรณ์ เคยเลี้ยงหมู ๔ - ๕ ตัว แต่ไม่ได้เลี้ยงเป็นอาชีพ ก็ช่วยกันเลี้ยง
แต่เลี้ยงแบบเล่นๆ เท่านั้น)
หลวงพ่อจึงแนะนำให้ตั้งเครื่องสังเวย โดยให้มีหัวหมู ๓ หัว บายศรีและเครื่องเซ่นอื่นๆ ครบเครื่อง ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามนั้น
ตั้งแต่นั้นมาเรือก็ทำงานเป็นปกติ ข้าพเจ้าจึงยึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งมาเรื่อยๆ เวลามีทุกข์ ก็ไปกราบท่านเป็นประจำจนรู้จักชอบพอกับ พล. อ.อ. อาทร
(ยศปัจจุบัน) และ ศิริรัตน์ โรจนวิภาต , พิมพา, วาสนา, สิริรัตน์, ฉลวย และอีกหลายๆ ท่าน
จึงชวนกันไปกราบหลวงพ่อเป็นประจำ ท่านโปรดเมตตาสอนธรรมและบันทึกเทปธรรมะให้ฟัง มีความรู้สึกว่า
ไม่เคยพบพระที่ประเสริฐสุดที่สอนธรรมได้ประทับใจและซาบซึ้งมาก่อน จึงติดธรรมของหลวงพ่อ จนภายหลังมีความเบื่อความวุ่นวายกับอาชีพที่ทำอยู่
และเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง จึงตัดสินใจลาออกจากอาชีพครูก่อนเกษียณ ๕ ปี
ต่อมาก็เลิกอาชีพ "แพขนานยนต์" เมื่อวางอาชีพ และสละลูกสาวคนเดียวที่มีครอบครัวเป็นหลักฐานแล้ว โดยให้เธออยู่อิสระกับครอบครัวของเธอตามลำพัง
ส่วนข้าพเจ้าก็เข้าวัดเต็มตัว โดยย้ายเข้ามาอยู่ที่วัดท่าซุงเลย
สมัยนั้นมี พี่วงศ์ พี่เฟือง อาจารย์สบสุข (เวลานี้เสียชีวิตไปแล้ว - ท่านไปสบายแล้ว) เป็นเพื่อนเข้าวัดปฏิบัติธรรม
หลวงพ่ออบรมสั่งสอนเพื่อให้พ้นทุกข์ทั้งสามโลก และทางธรรมในหลายรูปหลายแบบตามจริตของคน แล้วแต่ใครจะเลือกปฏิบัติตามปฏิปทาของตน
รายละเอียดและคำสอนมีอยู่ในหนังสือ - เทปคำสอน เป็นจำนวนมากมาย
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเป็นนิ่ว คุณหมอวีวรรณ คำนวณกิจ แนะนำให้ผ่าตัดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ จำได้ว่าป็นวันอาทิตย์ นอนที่โรงพยาบาล ๑ คืน
คืนนั้นไม่ได้ให้ใครไปนอนเป็นเพื่อน เพื่อต้องการอยู่ตามลำพัง ฟังเทปวิปัสสนาญาณ ๙ ของหลวงพ่อจนหลับ
รุ่งขึ้นหมอพาไปเอกซเรย์ ปรากฏว่าก้อนนิ่วหลุดไป เป็นเพราะบารมีหลวงพ่อและเทพเจ้าทั้งหลายตามที่อธิษฐานจิตไว้ก่อน จึงปลอดจากการผ่าตัด
ข้าพเจ้าดีใจในความมหัศจรรย์ครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะกลัวเจ็บจากการผ่าตัดเป็นที่สุด นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์อีกหลายๆ อย่าง จะไม่นำมากล่าวในที่นี้
เพราะเกรงจะเป็นเรื่อง "นอกเหตุเหนือผล"
เนื่องจากพระคุณความดีอันล้นพ้นของหลวงพ่อ ที่มีต่อข้าพเจ้ามากจนสุดที่จะพรรณนาได้หมด ประกอบด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า
และความเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อมีอยู่มาก จึงได้มอบกายถวายชีวิตรับใช้ในกิจของพระพุทธศาสนาด้วยความเต็มใจและจริงใจในทุกๆ ด้านที่มีความสามารถจะทำได้
ตามหา "ลูกสาว" ของหลวงพ่อ ๒ คน
ขออนุญาตเล่าเสริมความเป็นมาลูกศิษย์หลวงพ่อคนนี้ ซึ่งนับว่าเป็นรุ่นแรกๆ ที่อยู่ในจังหวัดอุทัยธานี ทั้งๆ ที่สมัยก่อนนั้น
พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้มาอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ มักจะถูกต่อต้านจากเจ้าถิ่น ทั้งที่รอบวัดท่าซุงและเข้าไปถึงในตัวจังหวัด มีทั้งผู้ว่าฯ นักการเมือง
นักหนังสือพิมพ์ และบรรพชิตด้วยกัน
แต่การที่จะนำเรื่องนี้มาอธิบายสักเล็กน้อย เพราะเหตุว่า คุณครูนนทา เป็นคนอุทัยธานีนั่นเอง ที่แปลกไม่เหมือนคนอื่นๆ
การที่ครูนนทาเข้ามาเลื่อมใสหลวงพ่อนั้น มันมีเหตุที่มาที่เจ้าตัวไม่ยอมเข้า ข้าพเจ้าจึงขอเล่าแทนก็แล้วกัน
ในที่นี้จึงต้องขออภัยที่จะต้องนำเรื่องส่วนตัวของท่านมาเล่าสักเล็กน้อย เพราะจะได้มีความรู้แก่ลูกศิษย์รุ่นหลังๆ ถ้าหากใครได้เคยอ่านหนังสือ
"ประวัติหลวงพ่อปาน" มาแล้ว คงจะจำได้ว่าตอนที่หลวงพ่อบวชใหม่ๆ แล้วนั่งพิงตุ่มน้ำขึ้นไปบนดาวดึงส์ แล้วไปเทศน์โปรดท่านปู่พระอินทร์ ท่านย่าและท่านแม่ศรี
ท่านได้เล่าไว้ดังนี้
"..มีอยู่คนหนึ่งที่ท่านบอกว่าเป็น "ภรรยาเอก" ที่เคยอยู่ร่วมกันมาหลายแสนชาติ คนนี้ชื่อว่า พรรณวดีศรีโสภาค
คุณเรียกแกสั้น ๆ ว่า "แม่ศรี" แกเข้ามาหา แกแต่งตัวสวยกว่านางฟ้าอื่นทั้งหมด ทรวดทรงสวยมาก ท่านทางมีอำนาจ ท่านบอกเขามีอำนาจควบคุมเวชยันตวิมานของโยม
ท่านแนะนำตัวท่านว่าเคยเป็นพ่อฉันมาหลายแสนชาติ ท่านออกปากอนุญาตในการทัศนาจรดาวดึงส์ บอกว่ามาเมื่อไรก็ได้ โยมอนุญาตทุกสถานที่
ฝ่าย "แม่ศรี" แกก็บอกว่า ลูกแกลงมาเกิด ๒ องค์ ให้ฉันติดตามสอนจะได้กลับมาที่เดิมหรืออาจไปสูงกว่าเดิม พระอินทร์ท่านเตือนแม่ศรีว่า
พระยังหนุ่มอยู่ยังไม่ควรพบลูก รอเมื่อถึงกาลอันสมควรจะพบกันเอง เมื่อท่านแนะนำแล้วก็ถามแม่ศรีว่าเธอทำไมไม่มาเกิด เธอตอบว่าท่านจะลงไปบวช
ถ้าฉันไปเกิดด้วยท่านก็ทนบวชไม่ไหว.."
คำว่า "ลูกลงมาเกิด ๒ องค์" นี้ ท่านไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเป็นใคร แต่ภายในจะรู้ว่า ลูกสาวคนโตของท่านแม่ศรีนี้ คือ ครูนนทา อนันต์วงศ์
และลูกสาวคนที่สองคือ คุณศิริรัตน์ โรจนวิภาต หรือ "คุณตุ๋ย" นั่นเอง ภรรยาของท่านเจ้ากรมอาทร โรจนวิภาต ที่ได้มาพบหลวงพ่อเป็นรุ่นแรกๆ
แล้วก็สนิทสนมกันมาก เหมือนกับเคยเป็นพี่น้องกันมาก่อนจริงๆ
ฉะนั้น สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ครูนนทาจะเป็นผู้จัดเตรียมอาหารถวายหลวงพ่อทุกวัน และเป็นผู้ทำบัญชีคนที่ทำบุญกับหลวงพ่อ
นับว่าได้ปฏิบัติหน้าที่สมกับที่เป็นลูกสาวคนโต แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ท่านเจ้ากรมอาทรเสียชีวิตไปแล้ว แต่ทางคุณศิริรัตน์ก็ยังนิมนต์ท่านพระครูปลัดอนันต์
เจ้าอาวาสวัดท่าซุงองค์ปัจจุบันไปฉันเพลที่บ้าน ก่อนที่จะเดินทางเข้าบ้านสายลมเป็นประจำทุกเดือน จึงขอเล่าเสริมไว้เพียงเท่านี้.
◄ll กลับสู่ด้านบน
Update 14 ม.ค. 2552
จันทร์นวล นาคนิยม
"ณ ที่ที่พระเดชพระคุณท่านหลวงพ่อลาพุทธภูมิ"
(๑ คนจากลูกศิษย์ ๖ คน รุ่นแรก วัดโพธิ์ภาวนาราม อ.เมือง จ.ชัยนาท)
ผู้เขียนเป็นข้าราชการอยู่จังหวัดชัยนาท วันพระผู้เขียนจะไปทำบุญที่วัดโพธิ์ฯ เป็นประจำ พบหลวงพ่อที่วัดโพธิ์ ตอนนั้นหลวงพ่อเป็นพระลูกวัดอยู่ที่
วัดโพธิ์ภาวนาราม มีกุฏิหลังเล็กๆ ปลูกอยู่ใกล้ต้นโพธิ์ใหญ่ ตอนเช้าหลวงพ่อจะออกบิณฑบาตโปรดสัตว์เป็นประจำทุกวัน
ณ ต้นโพธิ์ต้นนี้แหละที่หลวงพ่อลา พุทธภูมิ ไม่กลับมาเกิดอีก เพราะเห็นทุกข์มากเหลือเกิน เมื่อหลวงพ่อไม่มาเกิดอีก
ลูกหลานบริวารทั้งหลายก็จะพาไปด้วยจะหมดหรือไม่หมดหรือมากน้อยแค่ไหน ก็จะพยายามจนถึงที่สุด
ผู้เขียนพบหลวงพ่อที่วัดโพธิ์นี่เอง ไปวัดทำบุญได้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อบ่อยๆ ฟังแล้วรู้สึกเข้าใจง่ายและปฏิบัติตามได้ และไปรับฟังธรรมะจากหลวงพ่อบ่อยๆ
เข้า ตอนเย็นเลิกจากทำงาน อาบน้ำทานข้าวก็ชวนกันไปวัดกราบหลวงพ่อขอฟังธรรมะ หลวงพ่อสอนจากศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ประการ ตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่รับลูกศิษย์เรียนสมถะ
- วิปัสสนากรรมฐาน
ต่อมาท่านหลวงปู่ปาน ท่านสั่งให้หลวงพ่อรับลูกศิษย์กรรมฐานได้ หลวงพ่อเมตตารับผู้เขียนเป็นลูกศิษย์ รวมทั้งหมด ๖ คน
วิธีกรรมการรับลูกศิษย์ครั้งนั้นมีดังนี้ หลวงพ่อพาพวกเรา ๖ คนนั่งเรือไปที่วัดงิ้ว ให้ไปรับต่อหน้าพระประธานในโบสถ์ วัดงิ้ว
เวลานั้นที่วัดโพธิ์ยังไม่มีโบสถ์ ผู้ที่จะไปรับเรียนกรรมฐาน ต้องเตรียมของดังนี้
๑. เทียนแท้หนัก ๑ บาท ๕ เล่ม
๒. ดอกไม้ ๕ กระทง
๓. ข้าวตอก ๕ กระทง
๔. ถาด ๑ ใบ
เริ่มจุดเทียนตั้งในถาดทั้ง ๕ เล่ม รอบล้อมด้วยกระทงข้าวตอกและดอกไม้ พร้อมแล้วหลวงพ่อ ชุมนุมเทวดา นำนมัสการพระรัตนตรัย รับศีล๕ และสมาทานพระกรรมฐาน
ทุกคนนั่งสงบฟังหลวงพ่ออธิบายธรรมะ เรียนแบบสุกขวิปัสสโก ในหมวด อานาปานุสสติ ภาวนาว่า "พุทโธ" เวลานั้นยังไม่มีเรียนแบบมโนมยิทธิ
ลูกศิษย์ทุกคนจะไปรวมกันรับฟังธรรมะจากหลวงพ่อตอนเวลา ๑๘.๓๐ น. ถึง ๒๐.๐๐ น.ก็กลับบ้านเป็นบางครั้งที่จะได้ไปร่วมกันนั่งฝึกสมาธิ
เพราะสถานที่ไม่มีที่กุฏิหลวงพ่อก็เล็กมาก ตอนนั้นไม่มีหนังสือคู่ปฏิบัติกรรมฐาน ไม่มีเทปธรรมะ ได้อาศัยไปฟังหลวงพ่อบ่อยๆ
แล้วต่างคนก็ต่างไปฝึกนั่งสมาธิกันที่บ้าน หลวงพ่อมีเมตตาเขียนคู่มือการปฏิบัติใส่สมุดเล่มเล็กให้ไปอ่านและศึกษา
พระเดชพระคุณของหลวงพ่อมากมายหาที่เปรียบมิได้ พยายามอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ลูกๆ หลานๆ ทุกคนให้ได้ แม้หลวงพ่อจะลำบากหรือจะเจ็บไข้ได้ป่วย
หลวงพ่อไม่เคยบ่น ใครทำดี ปฏิบัติได้ดีหลวงพ่อก็ชม และให้กำลังใจ ถึงลูกศิษย์ ลูกๆ หลานจะมากแค่ไหน
หลวงพ่อเคยพูดไว้ว่าคนเราจะเหมือนกันทุกคนไม่ได้ คนเรานี้เปรียบเหมือนบัวสี่เหล่า
บัวชนิดที่ ๑ คือบัวที่พ้นน้ำขึ้นมาแล้ว
บัวชนิดที่ ๒ คือบัวที่ปริมผิวน้ำ
บัวชนิดที่ ๓ คือบัวที่อยู่ในน้ำ
บัวชนิดที่ ๔ คือบัวที่อยู่ในดินโคลน
หลวงพ่อมีเมตตามากๆ พยายามสอนแล้วสอนเล่าเขียนคู่มือปฏิบัติ และหนังสืออื่นๆ หลายเล่ม
ออกเทปธรรมะให้ทุกคนได้อ่านฟังปฏิบัติได้มรรคได้ผลแล้วจะได้ถึงซึ่งพระนิพพาน
ตัวผู้เขียนมานึกตัวของตัวเอง เรานี้หนอคงจะเป็นเหล่าที่ ๔ ที่อยู่ในดินโคลน แต่มาดีใจที่เห็นพวกน้องๆ ลูกๆ หลานๆ ส่วนมากท่านเก่งๆ กันเกือบทุกคน
ไปเที่ยวนรกไปเที่ยวสวรรค์ เห็นผีเห็นเทวดา ส่วนตัวผู้เขียนไม่เห็นอะไรเลย
ถ้าหากท่านไม่จงใจให้เห็น ทั้งหลับตาก็มืดไปหมด จนเวลานี้ไม่ค่อยได้นั่งหลับตาแล้ว ลืมตามองยังจะเห็นอะไรดีๆ ได้ อะไรๆ หมายถึง เห็นคน เห็น
สัตว์ ต้นไม้ เห็นสิ่งต่างๆ ที่รอบตัวเรา ที่เกิดขึ้นมาเป็นเพื่อทุกข์ที่เกิดแก่ เจ็บ ตาย สบายใจไม่เป็นทุกข์ แต่ก็มีเหตุการที่ประทับใจหลายๆ อย่าง
เกิดขึ้นหลังจากที่ได้เข้ามาปฏิบัติ ฝึกสมาธิจิต เป็นศิษย์ของหลวงพ่อ
ผู้เขียนจะเล่าให้ฟังสักเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ ได้ติดตามคณะของหลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมชัย วัดทุ่งหลวงไปประเทศอินเดีย
คณะทั้งหมดไปพักที่วัดไทยพุทธคยา วันหนึ่งผู้เขียนได้ติดตาม หลวงปู่ธรรมชัย ไปขึ้นเขาคิชฌกูฎ ไปกันหลายคน แต่หลวงพ่อไม่ได้ไป
บางคนก็อยู่กับหลวงพ่อ
หลวงปู่พาไปกราบนมัสการ ที่ๆ เคยเป็นกุฏิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และที่ตั้งกุฏิของพระอานนท์ ที่อยู่บนยอดเขาคิชฌกูฎ
เมื่อขึ้นไปถึงแล้วทุกคนก็ปลาบปลื้มปิติก้มกราบนมัสการ ส่วนหลวงปู่กราบแล้วก็สวดมนต์ หลงปู่ชอบสวดดังๆ
พวกเราก็พนมมือฟังหลวงปู่สวดมนต์เพลินไป จนตัวผู้เขียนเกิดนิมิต เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลอยมาบนอากาศ มีรัศมีสวยงามมาก ท่านเมตตาให้เห็น
เห็นแบบพระพุทธรูปแบบอินเดียที่มีรัศมีรอบพระเศียร เพราะว่าผู้เขียนไม่เคยเห็น จึงประทับใจในเหตุการณ์ครั้งนี้มาก
ก็มีความอยากได้พระรพุทธูปอย่างที่นิมิตนั้น
เมื่อรถพาไปนมัสการในที่ต่างๆ ผู้เขียนก็พยายามหาซื้อเผื่อจะมีจำหน่ายบ้างแต่ปรากฏว่าไม่มีจำหน่ายเลย พอใกล้วันจะกลับประเทศไทย
พวกเราต่างคนต่างไปหาซื้อของที่ระลึกจากอินเดีย ในวัดที่ไปพักนั้น ตอนกลางคืนจะมีคนอินเดียนำของมาขายหลายอย่างหลายชนิด
ผู้เขียนก็ออกหาซื้อของเช่นกัน แต่ก็ไม่วายที่จะถามหารูปพระพุทธรูปที่อยากได้ ปรากฏว่าไม่มีจำหน่ายเลยหมดหวังก็หอบข้าวของกลับเข้าห้องพัก
ตรงทางที่จะขึ้นบันไดนั่นเอง มีรูปพระพุทธเจ้าองค์เล็กเท่าปลายนิ้วก้อย เป็นรูปที่อัดลงหินแบบล็อกเกตห้อยคอ ก็ดีใจมากหยิบขึ้นมาดู
เป็นรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง ตามที่นิมิตได้ไว้บูชา..สาธุ..!!!
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 4/2/09 at 06:14
เฉลียว อาณาวรรณ
"๑๐ ชั่วโมง"
...หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑...
".......เมษายน ๒๕๒๓ หลวงพ่อท่านเดินทางไปภูกระดึง
มีลูกศิษย์ตามไปหลายสิบคน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสตามไปด้วย
.......วันหนึ่งหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ อีกสิบกว่าคนได้ขออนุญาตพี่แหม่ม
ซึ่งเป็นผู้ดูแลผู้ที่เดินทางติดตามหลวงพ่อท่านเดินเที่ยวรอบภูกระดึง เมื่อเดินกลับถึงที่พัก อาบน้ำเสร็จก็ไปกราบหลวงพ่อท่าน หลวงพ่อทักว่า ไงเดิน ๑๐
ชั่วโมง
.......ข้าพเจ้างง...เพราะเดินไปเองยังไม่ทราบว่ากี่ชั่วโมง มองดูว่ามีใครมากราบเรียนหลวงพ่อท่านก่อนหรือเปล่า ก็ไม่เห็นว่ามีพวกเราที่ไปด้วยกัน
มาก่อนข้าพเจ้า ข้าพเจ้านับเวลาดู ออกเดินทาง ๘.๐๐ น. กลับถึงที่พัก ๑๘.๐๐ น. ๑๐ ชั่วโมงพอดี ทำให้มั่นใจได้ว่า
ไม่ว่าพวกเราจะไปไหนหลวงพ่อท่านทราบอยู่ตลอดเวลา
คอยฟังข่าว
หลวงพ่อท่านเดินทางไปเชียงใหม่ประมาณ ๑๐ ปีก่อน
ได้ไปเยี่ยม หลวงปู่คำแสนเล็ก ที่โรงพยาบาลสวนดอก จากนั้นไปวัดดอยแม่ปั๋ง วันนั้นหลวงปู่แหวนท่านป่วย
หลวงพ่อท่านไม่ให้พวกเราเข้าไปรบกวนหลวงปู่ท่าน หลวงพ่อท่านนั่งที่ศาลาคุยกับลูกๆ ใครจะไป เดินเที่ยวรอบๆ วัดก็ได้
วันนั้นหลวงพ่อท่านอยู่ที่วัดดอกแม่ปั๋งเป็นชั่วโมงๆ ข้าพเจ้าสงสัยว่าทำไมหลวงพ่อท่านไม่ไปที่อื่น
จนกระทั่งมีผู้นำข่าวหลวงปู่คำแสนเล็กมากราบเรียนหลวงพ่อท่านว่า หลวงปู่ท่านมรณภาพแล้ว
หลวงพ่อท่านพูดว่า "ไปได้แล้ว"
ข้าพเจ้าเข้าใจทันทีว่า หลวงพ่อท่านคอยฟังข่าวของหลวงปู่นั่นเอง ทุกคนจึงได้มีโอกาสไปกราบรดน้ำศพหลวงปู่ท่าน..."
◄ll กลับสู่ด้านบน
แพทย์หญิง รำจวน หงสเวส
"คุณวิเศษของหลวงพ่อ"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
บันทึกนี้จะกล่าวถึงเฉพาะที่เป็นปัจจัตตัง ประจักษ์ชัดแก่ข้าพเจ้า พ.ญ. รำจวน หงสเวส เท่านั้น..
".......ประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๙
หลวงพ่อท่านยังมีสุขภาพดีพอที่จะนำหมู่คณะลูกศิษย์ออกตระเวนเยี่ยมเยือน แจกของกินของใช้แก่ราษฏรที่ยากจนในถิ่นทุรกันดาร และรวมทั้งตำรวจทหารตามชายแดน
เพื่อเป็นกำลังขวัญ กำลังใจ
.......ข้าพเจ้าได้เดินทางร่วมไปกับหลวงพ่อ หลวงปู่คำแสน(เล็ก) หลวงปู่ธรรมชัย และคณะอันมีท่านหญิงวิภาวดี รังสิต พร้อมทั้งคุณอ๋อย(เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์)
เพื่อเยี่ยมทหารที่อำเภอปัว จังหวัดน่าน อันติดกับประเทศลาว มีแม่น้ำสายนิดเดียวคั่นอยู่ พาหนะที่ใช้เดินทางคือ เฮลิคอปเตอร์ (ฮ.) ๒ ลำ
........คุณอ๋อยให้พวกเก๋ากึกทั้งนั้นไปกับ ฮ. ส่วนพวกเราที่ยังแข็งแรงเดินทางด้วยรถยนต์ มุ่งไปพบกันที่เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก เพื่อค้างคืนที่นั่น
จุดเริ่มเดินทางจำไม่ได้ว่าออกจากที่ไหน แต่ได้ลงพักถวายเพลพระและเลี้ยงอาหารแก่คณะที่ค่ายทหารอย่างเร่งด่วน แล้วเดินทางต่อไปที่ปัวเป็น ๒ จุด ด้วยกัน
ซึ่งนายทหารที่ไปกับเรา ได้กราบเรียนหลวงพ่อว่า รถบรรทุกเพื่อขึ้นมาผลัดเปลี่ยนบนเนินถูกซุ่มโจมตีตรงทางขึ้น เสียชีวิตไปหลายสิบคน
เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง พวกเราก็พากันอุทิศส่วนกุศลให้แก่ทหารเหล่านั้น ต่อมา ณ บริเวณเหล่านั้น ด้วยพระบรมราโชบายอันสุขุมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงให้สร้างหมู่บ้านอาสาสมัครขึ้น ซึ่งยังผลให้เป็นสถานที่ปลอดภัยได้
ในภายหลัง จุดที่ลึกเข้าไปในป่านั้น ฮ. ต้องผลัดกันลงมาทีละลำ บนยอดเนินเขาลูกหนึ่งต่างหากจากฐานที่ตั้งของทหารอยู่บนเขาอีกลูกหนึ่ง
แล้วนัดเวลามารับหลวงพ่อ หลวงปู่ อุตส่าห์ลงจากเนินลานจอด ฮ. ไปเยี่ยมถึงที่ตั้งทหารอีกลูกหนึ่งเพื่อเป็นกำลังใจ
และมอบธงชาติอันมียันต์หลวงพ่อปานไว้ให้ประจำฐานเพื่อเป็นมิ่งขวัญ พร้อมกับให้ความมั่นใจว่า ลูกปืนใหญ่หรือระเบิดก็ถล่มฐาน ที่มีธงนี้ไม่ได้
ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเป็นเช่นนั้นจริง ในเวลาต่อมาภายหลัง
จากจุดที่สอง ฮ. จะนำเราไปลงที่เขื่อนก่อนค่ำ เพราะเป็นเส้นทางบินที่ไม่สู้จะปลอดภัยนัก ตอนนี้ หลวงพ่อย้ายจาก ฮ. ตำรวจลำที่ท่านหญิงวิภาวดี คุณอ๋อย
คุณน้อย(กานดา) นั่งกัน มานั่งที่ ฮ. ทหาร ซึ่งข้าพเจ้า คุณนนทาและศิษย์คนอื่นๆ ที่ติดตามรวม ๗ คน โดยสาร
โดยหลวงพ่อได้กล่าวว่า ท่านหญิงวิภาวดี มีศรัทธามั่นคงในหลวงปู่ธรรมชัยแล้วคงไม่กลัวอะไร ท่านไม่ได้พูดว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ได้แต่ยินดี
พอใจที่ได้นั่งร่วมลำไปกับหลวงพ่อ และหลวงปู่คำแสนด้วยความอบอุ่นใจ ฮ. บินไม่สูงนัก สามารถเห็นบ้าน และผู้คนขนาดเท่าตุ๊กตาได้ ข้าพเจ้านั่งริมสุดด้านขวา
ได้เปรยว่า น่าจะนึกถึงมรณานุสสติไว้นะ หลวงพ่อหันมามองอย่างเอาจริง
ผู้เขียนก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ เพราะภาวนาแต่ปาก ใครจะไปนึกกลัว หวั่นไหวล่ะ เมื่อมีทั้งหลวงพ่อ และปู่คำแสนอยู่ตรงหน้านี่เอง พอผ่านเขตอันตราย
ผลทหารปืนท้าย ฮ. เขาเปิดประตูด้านที่ข้าพเจ้านั่ง เอาปืนกลตั้งพร้อมที่จะยิงทันที พวกเราก็เบียดกันเข้าไปแน่น แต่ใจไม่กลัวด้วยกันทุกคน
เพราะไม่เห็นมีใครแสดงอาการวิตกให้เห็นกันเลย ขณะที่บินตามๆ กันมานั้นเอง อากาศเปลี่ยนเป็นมืดมัวด้วยเมฆอันหนาแน่น ฝนเริ่มตกและเป็นสายๆ
พร้อมกันนั้นก็ไม่เห็น ฮ. อีกลำหนึ่งว่าไปทางไหน ตื่นเต้นกันดี แต่ไม่กลัว
แล้วความมหัศจรรย์ก็ปรากฏในสายตา คือฝนแหวกเป็นช่องทางขาวสว่าง ไม่มีฝนมากระทบ ฮ. สักนิดเดียว ยิ่งกว่านั้นนะ เมื่อบินต่อไปพักหนึ่ง ฮ.
ต้องดึงสูงขึ้นทันควันผ่านยอดเขาทางขวามือเป็นแนวครึ้มๆ อยู่ในเมฆและฝน คณะนิ่งเงียบกันทุกคน พอพ้นเขาก็เห็นไฟแดงวาบๆ ของ ฮ. อีกลำหนึ่งด้วยความโล่งใจ
ซึ่งคุณน้อยเล่าอย่างสนุกสนานว่า เธอเรียกทุกๆ องค์ไปหมด ขอให้รอดปลอดภัยจนเกือบไม่หายใจ พวกเราใน ฮ. ไม่เห็นมีใครหวาดวิตก กลัวให้เห็นเลย
ช่างใจเย็นกันจริ๊ง
ในที่สุดก็มืดสนิท ฮ. นำเรามาลงที่ลานจอดฉุกเฉิน ซึ่งเป็นสถานที่ส่งคนเจ็บป่วยในการรบ ตั้งอยู่ห่างจากเขื่อนหลายสิบกิโลเมตร (นั่งรถประมาณเกือบชั่วโมง)
เจ้าหน้าที่ข้างล่าง วิ่งมาถามว่าต้องการเปลหามคนเจ็บไหม? จะให้ช่วยอย่างไร
ปรากฏว่าเขาเห็น แต่หลวงพ่อค่อยๆ ประคองหลวงปู่คำแสน ย่ำพื้นที่เฉอะแฉะเข้าไปในอาคารที่พัก พร้อมด้วยคณะผู้ติดตามด้วยความประหลาดใจ
แต่เป็นภาพที่ประทับใจข้าพเจ้าในความอ่อนโยนของหลวงพ่อ ซึ่งไม่ได้เห็นบ่อยนักเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าหน้าที่ไม่รู้จักท่านหญิงวิภาวดี ที่ทรงทำงานแทนพระเจ้าอยู่หัว และไม่รู้เรื่อง จึงต้องติดต่อกันเป็นเวลานานกว่าทางผู้ว่าฯ
จะส่งรถบัสมารับคณะไปที่เขื่อนได้ แต่พวกเราก็ยังคงเก่ง สดชื่น นั่งรายล้อมหลวงพ่อ หลวงปู่ ฟังท่านคุยต่อไปอย่างสบาย ขอจบแค่นี้เพราะยังมีต่ออีกแยะ
ต้องการแสดงเพียงว่า นั่นคือ อิทธิปาฏิหาริย์ที่ข้าพเจ้าจำได้ไม่เคยลืม
ส่วนเจโตปริยญาณ อันเป็นอาเทศนาปาฏฺหาริย์นั้น เป็นที่ประจักษ์แก่บรรดาลูกศิษย์ทุกๆ อยู่แล้ว สำหรับข้าพเจ้าโดยเฉพาะคือเรื่อง "ดื้อ"
ไม่ยอมเรื่องง่ายๆ แต่หลวงพ่อท่านก็ กรุณายิ่ง มิได้ฆ่าทิ้งเสีย เพียงแต่ปล่อยให้มัน "ดิ้น" ไปตามอัธยาศัย แถมยังกล่าวทั่วๆ ไปเป็นเชิงปรารภว่า
แม้ศิษย์ท่านจะเปะปะปีนคอกไป ในที่สุดก็จะกลับมาปฏิบัติเข้าแนวตามเดิม หลวงพ่อท่าน ก็ยังเป็นที่พึ่งได้อยู่ตลอดเวลา
ข้าพเจ้าจึงดิ้นรนขวนขวายเพื่อปลดเปลื้อง "ความโง่" อันหนืด เหนียวอยู่ในสันดานได้ตามสบาย
อย่างไรก็ตาม น่าอัศจรรย์ที่ยังไม่เคยคิดปลีกตัว ผละหนีหลวงพ่อเลย ไม่ว่าจะโดน "ตี" อย่างไร เมื่อมานึกทบทวนดูว่าเพราะอะไรหรือ
ก็พบว่าเป็นเพราะความกตัญญูรู้พระคุณของหลวงพ่อในอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ซึ่งท่านพร่ำสอนตามที่เป็นจริงให้เห็นจริง
และระบุชี้แนวทางที่ควรปฏิบัติให้ได้ ในชีวิตนี้ คือที่เป็น(ปฏิบัติภาวนา) เป็นจุดมุ่งหมายอันเป็นหัวหาดของการพ้นทุกข์ มิใช่สอนไปๆ แต่หาที่ลง
จบลงไม่ได้ ไม่สามารถได้รับผลสมจริงเป็นอัศจรรย์
มโนมยิทธิอันเป็นฤทธิ์ทางใจ ยังผลให้ได้วิชา ๓ วิชชา ๘ ประการนั้น หลวงพ่อท่านย้ำเสมอว่า เป็นฌานโลกีย์ ยังมิใช่ โลกุตรผล พึงรู้จัก
และใช้เพื่อเป็นอุปกรณ์เป็นเครื่องมือในการรู้ การเห็น "สิ่ง" ที่มนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ทางกาย แต่สัมผัสได้ทางจิตเท่านั้น
เมื่อสามารถนำมาใช้ได้ ใช้เป็นอย่างถูกต้องตามที่ควรแก่ธรรมนั้นๆ ก็เป็นประโยชน์มหาศาล ดังที่ผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสกับวัจจโคตตปริพพาชก ณ
อารามเอกบุณฑริก ความว่า ผู้ที่กล่าวถึงพระองค์ว่า ทรงรู้(สัพพัญญู) ทรงเห็น(สัพพทัสสาวี) ทั่วทุกกาลเวลานั้นเป็นผู้ที่กล่าวตู่
คือไม่ตรงตามที่พระองค์กล่าวไว้ แต่ตู่พระองค์ด้วยคำอันไม่มีจริง ไม่เป็นจริง ส่วนผู้ที่กล่าวถึงพระองค์ว่ามีวิชชา ๓
ซึ่งจะทรงน้อมไปใช้ได้ดังพระประสงค์ทุกเมื่อนั้น เป็นคำกล่าวถึงพระองค์ที่ถูกต้องตามธรรม
หลวงพ่อท่านก็ดำเนินตามรอยบาทพระบรมศาสดา โดยให้ใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณเพื่อรู้ เห็น สภาวะแห่งไตรลักษณ์ จุตูปปาตญาณ เพื่อรู้ เห็น กฏแห่งกรรม
กรรมที่เป็นเหตุแห่งวิบากนั้น จะได้ไม่ไปตีโพย ตีพายเอากับสิ่งอื่น ผู้อื่น แต่ยอมรับภาวะนั้นโดยดี
และท่านได้พร่ำสอนโดยยอมตรากตรำสังขาร เพื่อเกื้อกูลประโยชน์สุขแก่บรรดาชาวเรา ชาวเขาอยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดอาสวขยญาณ ถอนรากโคน ตัณหา
และเยื่อใยทั้งปวงเสีย บรรลุถึงภูมิพระนิพพาน อันเป็นจุดสูงสุดแห่งการปฏิบัติภาวนาในพระพุทธศาสนา ด้วยอนุศาสนีปาฏิหาริย์ ดังที่กล่าวมาแล้วเป็นสังเขป
ข้าพเจ้าจะดื้อ และดิ้น ไปจากผู้ทรงพระคุณอันใหญ่หลวงด้วยประการเหล่านี้ได้อย่างไรกัน...
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 4/2/09 at 08:45
ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์
"เจ้าคุณพระราชพรหมยาน พระอาจารย์ผู้ประเสริฐ"
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมรำลึกถึงองค์พระพุทธ
ที่ได้ทรงแสดงธรรมโปรดให้ข้าพเจ้าได้พ้นทุกข์
อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ภควา พุทธัง ภควันตัง อภิวาเทมิ
ข้าพเจ้าขอน้อมรำลึกถึงพระธรรมด้วยสัมมาคาราวะ
พระธรรมให้รู้แจ้งซึ่งปัญญา แม่บทหลักชี้
ความสว่างให้ข่มมิจฉาทิฏฐิลง
สวากขาโต ภควตา ธัมโม ธัมมัง นมัสสามิ
ข้าพเจ้าขอน้อมรำลึกถึงพระอริยสงฆ์ที่ได้เพยแพร่พระธรรม
ขององค์พระพุทธมายังข้าพเจ้าให้หมดซึ่งวัฏสงสงสาร
และด้วยจิตที่อยู่ในธรรมปิติอย่างอิ่มเอิบเช่นนี้แล้ว
สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ สังฆัง นะมามิ
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
........สมองของข้าพเจ้าได้บันทึกความจำไว้สองอย่าง
สิ่งแรกคือประสบการณ์ที่สัมผัสในชีวิตที่ผ่านมาแล้วเมื่อดีตชาติ ประการที่สองคือ เหตุการณ์ที่ได้ผ่านมาแล้วในชีวิตของข้าพเจ้าในปัจจุบันชาตินี้
บางคนอาจจะคิดสมเพชข้าพเจ้าที่ยังมาคิดถึงต่อสิ่งที่ไม่เป็นสาระเหล่านี้ อย่างน่าขบขัน
........ความคิดเหล่านี้เป็นความคิดส่วนตัวของแต่ละบุคคล ไม่มีใครสามารถจะมาบังคับบัญชากันได้ บางครั้งข้าพเจ้าก็อาศัย
ความทรงจำเหล่านี้มาทำประโยชน์ให้แก่จิตใจของข้าพเจ้าเอง เวลาใดที่รู้สึกเครียดเบื่อหน่าย หรือมีทุกข์วุ่นวายในอารมณ์
ทางคลายเครียดของข้าพเจ้ามักจะใช้ความทรงจำในเรื่องสนุกในอดีตมาช่วยคลายเครียดให้จิตใจที่เศร้าหมองให้กลับชดชื่นได้ชั่วขณะ
........ทำไม..ข้าพเจ้าถึงกระทำเช่นนั้น มิใช่ใครที่ไหนเลย ท่านที่ได้เมตตาอบรมสั่งสอนให้ศิษย์ของพระคุณท่านได้สัมผัสและรู้สิ่งที่เป็นอดีตเหล่านั้นได้
พระเดชพระคุณองค์ คือหลวงพ่อพระอาจารย์ผู้ประเสริฐของพวกเรา เจ้าคุณพระราชพรหมยานองค์นี้เอง
กาลเวลาผ่านไปนานประมาณ ๒๐ กว่าปี ข้าพเจ้าได้พบเพื่อนรักที่สนิทสนมกันมากคนหนึ่ง คือ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ผู้เป็นเจ้าของ บ้าน สายลมนี้เอง
คนที่สองคือคุณเนาวรัตน์ ทีวะเวช และตัวของข้าพเจ้าเอง เราสามคนได้จูงมือกันเข้าวัด ถือศีลกินเพลกันเป็นเวลานาน ที่วัดเบญจมบพิตรฯ
ทุกครั้งที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาเสร็จแล้ว เราจะไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันเป็นนิจ
วันหนึ่งข้าพเจ้าจำได้ที่คุณเฉิดศรีชวนข้าพเจ้าไปแวะคุยกันที่บ้านสายลม เมื่อสมัยก่อนนั้นอาคารบ้านของเธอมิได้ใหญ่โตกว้างขวางอย่างปัจจุบันนี้
บริเวณบ้านกว้างขวางร่มเย็น คุณเฉิดศรีได้กระซิบบอกข้าพเจ้าว่า อยากให้ข้าพเจ้าไปพบกับพระองค์หนึ่งซึ่งท่านมาจากจังหวัดอุทัยธานี
ท่านเป็นพระอาจารย์ที่ดูหมอแม่นยำมาก หากพบท่านแล้วให้เรื่องซักถามท่านเรื่องอะไรก็ได้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของข้าพเจ้า แม้แต่เรื่องอดีตหรืออนาคตของเราก็ได้
คุณเฉิดศรีพาข้าพเจ้าขึ้นไปบนห้องพระของเธอ ข้าพเจ้าคลานตามเข้าไปในห้องพระนั้น พอข้าพเจ้าเงยหน้ามองขึ้นไปที่มุมหนึ่งของห้องพระ
ข้าพเจ้าเห็นพระภิกษุรูปนั้นนั่งบนเก้าอี้ชิดอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องพระนั้น ท่านมีร่างไม่ใหญ่โต ผิวเนื้อสองสี
แววตาของท่านที่มองข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความเมตตา ข้าพเจ้ากราบท่านแล้วก็พูดอะไรไม่ออก
คุณเฉิดศรีกระตุ้นให้ข้าพเจ้าถามปัญหาท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมถามอะไรท่านเลย หูได้ยนเสียงมาจากท่านว่า จะถามอะไรก็ได้
เมื่ออ่านเห็นข้าพเจ้ายังเฉยอยู่ ท่านก็เป็นฝ่ายถามข้าพเจ้าว่า เมื่อยังเด็กๆ เราชอบรำละครมากใช่ไหม ข้าพเจ้าตอบท่านว่าใช่
และมีเครื่องแต่งตัวละครเป็นตัวนางด้วย
ท่านบอกว่าข้าพเจ้าลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่เบื้องบนชอบร้องรำทำเพลงทั้งวัน จึงติดนิสัยนั้นลงมาด้วย
นี่เป็นชีวิตในอดีตชาติที่ข้าพเจ้าไปทราบเป็ฯครั้งแรก ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้ทราบและรู้สึกภูมิใจที่ได้มาจากที่ดีมาเกิด
แล้วมาเป็นมนุษย์ที่ยังรู้จักเข้าวัดศึกษาและปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย
ข้าพเจ้าได้ติดตามหลวงพ่อเพื่อร่ำเรียนธรรมะจากท่านนับ ตั้งแต่ครั้งนั้น ต่อมาหลายสิบปีไม่เคยได้ห่างท่านเลยจนกระทั่งบัดนี้
พระธรรมคำสั่งสอนและวิชาต่างๆ ได้ปฏิบัติมาตามที่ท่านได้อบ รมมาทุกประการ คงไม่ใช่แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น บัดนี้เป็นจำนวนมากมาย
ที่ศิษย์ของหลวงพ่อได้ซาบซึ้งถึงคำสั่งสอนของท่านตลอดไป
เวลาผ่านไปข้าพเจ้ายังมีโอกาสฝึกวิชาที่เรียกว่ามโนมยิทธิ ขณะที่ท่านได้เริ่มสอนวิชานี้
บังเอิญเป็นวันที่ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งให้ไปร่วมฝึกซ้อมร้องเพลงทำนองอาเศียรวาทถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันเฉลิมฯ ได้ผ่านไปแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปที่บ้านสายลม
ทันใดที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมองเห็นข้าพเจ้า
ท่านถามข้าพเจ้าว่า "ฝึกมโนมยิทธิได้แล้วหรือยัง" ขณะนั้นพอดีศิษย์ของท่านคนหนึ่งที่ฝึกสำเร็จมาแล้วชวนข้าพเจ้าไปฝึกด้วย เป็นบุญของข้าพเจ้าแท้ๆ
ที่ได้ไปฝึก ก็ทำได้ในวันนั้นเอง ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ไปเห็นสวรรค์เบื้องบนเหมือนฝัน วิชานี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
มีครั้งหนึ่งที่จะลืมเสียไม่ได้ในชีวิต ข้าพเจ้าได้ทำสมาธิอยู่ที่บ้านโดยกำหนดจิตในสมาธิขึ้นไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
รู้สึกตนได้ไปนั่งบนห้องโถงใหญ่ช่างสวยสดงดงามเสียเหลือเกิน ณ
ที่นั้นได้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันประทับบนพระแท่นที่แวววาวภายใต้พระเศวตฉัตร ทรงแต่งพระองค์เยี่ยงกษัตริย์ ทรงพระมงกุฏเพชร
ทรงฉลองพระบาททองปลายงอน
ข้าพเจ้าก้มลงกราบถวายบังคมแลัอธิษฐานขอบารมีของพระองค์ท่านให้ข้าพเจ้าได้เห็นชัดเจน ข้าพเจ้ารู้สึกอิ่มเอิบเหลือเกิน ค่อยๆ
เงยหน้าขึ้นมองตั้งแต่พระบาทขึ้นไป พระรูปพระโฉมช่างงดงามสุดที่จะพรรณนา จิตของข้าพเจ้านึกย้อนไปรำลึกถึงเมื่อยังเป็นนักเรียน
คุณครูสอนไว้ถึงเรื่องพระรูปพระโฉมของพระองค์ท่านว่า พระองค์ท่านนั้นงดงามด้วยพระพุทธลักษณะของพระมหาบุรุษทุกประการ ข้าพเจ้าพนมมือขึ้นเห็นพระ
พักตร์อย่างชัดเจน
เมื่อเห็นแล้วก็เกิดปิติอิ่มเอิบจนถึงกับร้องไห้ร้องน้ำตาอาบหน้า สะอึกสะอื้นอยู่ตลอดเวลา ภาวนาอยู่ในใจทูลถามท่านว่า
ไฉนชีวิตเกิดมาจึงได้มีแต่ความทุกข์ไม่มีสุขอันแท้จริงเลย ข้าพเจ้าได้รับตอบจากพระองค์ท่านอยู่ในจิตว่า
เธอจงอย่าเอาตัวของเธอไปเปรียบเทียบกับผู้ที่เขาสุขกว่า ดีกว่า จงดูคนที่เขามีความทุกข์ ยากไร้กว่าเรา แล้วเธอจะนั่งอยู่บนกองทุกข์นั้นด้วยความสุข
คำรับสั่งเหล่านี้ตรึงอยู่ในใจเสมอมาไม่เคยลืมเลย และก็มิได้เล่าให้ใครทราบเลย แม้แต่หลวงพ่อ เกรงว่าจะไม่มีใครเขาเชื่อเราเป็นแน่
ข้าพเจ้าได้ไปหาหลวงพ่อที่บ้านสายลม พวกเรานั่งกันอยู่มากหลายคน หลวงพ่อท่านเรียกข้าพเจ้าและพูดว่า
เมื่อครู่นี้เององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ปัจจุบันได้เสด็จมา ได้ชี้มาที่ข้าพเจ้าแล้วรับสั่งว่า ศิษย์ของเธอคนนี้ได้ขึ้นไปหาฉัน ไปนั่งร้องไห้
ฉะอ้อนฉันอยู่ข้างบนตั้งนาน ข้าพเจ้าตกใจและแปลกใจว่าไม่เคยเล่าให้ใครทราบเลย แต่เหตุไฉน หลวงพ่อถึงได้ทราบได้
ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าทำได้ก็เพราะพระคุณของหลวงพ่อที่ท่านได้เมตตาสอนวิชามโนมยิทธิให้กับข้าพเจ้า ข้าพ เจ้าขอเทอดพระคุณของหลวงพ่อไว้ตลอดกาลธรรมะ
และวิชาอันพิสดารลึกซึ้งนี้แพร่ทั่วไป หากผู้ใดปรารถนาตั้งจิตรับไว้ พระคุณเจ้า ไม่เคยจะปกปิดแต่อย่างใดเลย
เมื่อเจ้าคุณราชพรหมยานยังมิได้เป็นเจ้าอาวาส และเมื่อใดได้เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุงแล้ว พระคุณเจ้าได้ปฏิสังขรณ์วัดท่าซุงนี้ไว้มากมาย
บัดนี้วัดท่าซุงได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากอย่างพิสดาร วัดท่าซุงได้มีอาณาเขตเพิ่มขึ้น มีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นและเพิ่มเติมมิได้หยุดยั้ง
เดี๋ยวนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่สวยงามและใหญ่ยิ่งจริงๆ โบสถ์ วิหารและศาลา ได้ปรากฏให้เห็นกว้างขวางสามารถรับคนที่มาปฏิบัติธรรมได้มากมาย
งานพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน เมื่อปี ๒๕๑๘
ขอเล่าถึงเมื่อครั้งก่อนที่หลวงพ่อได้สร้างโบสถ์ใหม่ ทางวัดจะจัดงานใหญ่ คือหล่อรูปหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อ
ข้าพเจ้าไปถวายความเห็นแด่หลวงพ่อ ขอให้ท่านอัญเชิญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พระบรมราชินีนาถ ให้ทรงพระราชดำเนินมายังวัดท่าซุง
เนื่องในงานเหล่านี้คืองานเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน หลวงพ่อได้ตกลงเห็นด้วยในความคิดนี้
ข้าพเจ้ารับอาสาเป็นผู้ไปทูลเชิญเสด็จ เพราะในขณะนั้นได้เข้าเฝ้าในพระบรมมหาราชวังบ่อยๆ
เนื่องด้วยข้าพเจ้าได้เป็นช่างทำพระเกศาถวายสมเด็จพระบรมราชินีนาถเป็นประจำ
เมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้า ข้าพเจ้าได้กราบแทบพระบาทขอพระอนุญาตกราบบังคมทูลเชิญเสด็จ และกราบบังคมทูลประวัติของหลวงพ่อต่อพระองค์ท่าน
และขอให้ท่านได้ทรงพระกรุณาไปเททองหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ปาน
สมเด็จฯ ได้รับสั่งว่าจะเสด็จพระราชดำเนินมาวัดท่าซุงให้ได้แน่นอน ช่างเป็นที่น่าปลื้มใจเสียจริงๆ ที่ทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าเช่นนี้ เมื่อวันสำคัญมาถึง
พสกนิกรพลเมืองอุทัยธานีได้มาชุมนุมเฝ้าชมพระบารมีกันอย่างเนืองแน่น พระทูลกระหม่อมแก้วได้เสด็จมาทั้งสองพระองค์ พระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์
หลวงพ่อได้เฝ้าอย่างใกล้ชิด ทรงพระมีราชปฏิสันฐานกับหลวงพ่อในพระอุโบสถเป็นเวลานาน และในโอกาสสำคัญต่อมา ปี ๒๕๒๐
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสแต่งตั้งหลวงพ่อเป็นศูนย์แทนพระองค์ ชื่อว่า "ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ้นทุรกันดาร"
พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้น้อมรับพระราชดำรัสนี้ และได้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ทุกประการ
คณะของหลวงพ่อฯ ซึ่งมีพระภิกษุสงฆ์ในวัดและบรรดาศิษย์ทั้งหลายได้ติดตามท่านบุกป่าไปในแดนทุรกันดารตามจังหวัดต่างๆ เสมอมา
ไม่เคยมีการย่อท้อแต่ประการใดเลย
ท่านเจ้าคุณราชพรหมยานได้สร้างคุณงามความดีให้ประจักษ์แล้วทุกประการทั้งทางโกลและทางธรรม
บุคคลทั้งหลายหากมีใจศรัทธาและปรารถนาที่จะพึ่งพระพุทธศาสนาเป็นหลักใจ พระคุณเจ้าจะให้แสงสว่างแก่เราทุกคน ผู้ใดต้องการจะละกิเลสพ้นทุกข์
ก็จะพึงได้รับคำสั่งสอนและทางปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่เป็นศิษย์ท่านมานานหลายปีแล้ว เดี๋ยวนี้ยังยึดมั่นในคำสั่งสอนของท่านเพื่อการดับทุกข์ เพื่อการสำเร็จกิจในชาตินี้
คือพระนิพพานเป็นที่สุด ขอพระคุณเจ้าได้โปรดช่วยให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จสมดั่งความตั้งใจในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด..
คำพยากรณ์ที่เขื่อนยันฮี
ขอเล่าเรื่องคุณหญิงสุวรรณาภาแถมอีกนิด เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ไม่ถือตัว มีจริยานุ่มนวล พูดจาอ่อนหวาน
ท่านลืมบันทึกเหตุการณ์ที่สำคัญตอนหนึ่ง ที่หลวงพี่ชัยวัฒน์ท่านได้ประสบด้วยตนเอง ท่านได้เล่าว่า
เมื่อปลายปี 2519 ก่อนที่ท่านจะบวชที่วัดท่าซุง ท่านได้ร่วมเดินทางไปเชียงแสนกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อและคณะศิษย์หลายสิบคน
ในจำนวนนั้นก็มีท่านหญิงวิภาวดี รังสิต และคุณหญิงสุวรรณาภารวมอยู่ด้วย แล้วก็ล่องกลับมาพักค้างคืนที่บ้านพักในเขื่อนยันฮี จังหวัดตาก
ตอนบ่ายหลังจากที่หลวงพ่อฯ และหลวงปู่ธรรมชัยและคณะศิษย์ได้ล่องเรือในอ่างเก็บน้ำกลับมายังที่พักแล้ว ตอนหัวค่ำก็มีการสนทนาธรรมที่เรือนพัก
คืนนั้นท่านได้เล่าเรื่องเหตุการณ์ในอดีตสมัย พระพุทธกัสสป ว่าได้เคยเสด็จมา ณ สถานที่นี้ สมัยนั้นเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง
มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก (ส่วนรายละเอียดจะมีเล่าอยู่ในเทปชุด "เขื่อนยันฮี" ปี 2519)
แต่ในตอนท้ายหลวงพ่อเล่าว่า ขณะนั้นพระได้มาบอกหลวงพ่อว่า ในจำนวนคนทั้งหมดที่เจริญกรรมฐานกันในคืนนี้ มีคนเสื้อดำอยู่คนหนึ่ง ตายแล้วไม่ได้ผุดได้เกิด
นั่นหมายความว่า คืนนั้นคุณหญิงใส่เสื้อสีดำคนเดียว จึงมีโอกาสที่จะไปนิพพานในชาตินี้ ซึ่งทุกคนที่รับฟังต่างก็เข้าใจว่าเป็นคุณหญิงอย่างแน่นอน
พวกเราจึงขออนุโมทนาความดีของท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย.
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 19/3/09 at 07:56
(Update 19/03/52)
นายดาบตระกูล เปาริก
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
มาเฝ้าวัด
........สมัยก่อนวัดท่าซุงมีขโมยชุกชุม พระพุทธรูปมักจะถูกขโมยลักไปบ่อยๆ สมัยนั้นหลวงพ่อเริ่มมีการก่อสร้างขึ้น
พวกเหล็กและวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างก็มักจะถกขโมยเสมอ แม้กระทั่งเรื่องการเงิน ก็ถูกคนมาขู่จะเอาเงินบ่อยๆ จึงมีปัญหาในด้านความปลอดภัย
.........ทางการจึงได้ส่งผมมาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นครั้งแรกในปี ๒๕๑๔ โดยพันตำรวจตรีโกศล สว่างวงศ์ (เป็นผู้บังคับกองสมัยนั้น) เป็นผู้ส่งผมมา
สมัยนั้นผมยังมียศเป็น "จ่า" อยู่ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าสายสืบ เป็นสายตรวจพิเศษท้องที่อำเภอเมือง โดยกลางวันผมก็ปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ
พอกลางคืนผมก็มาดูแลรักษาความปลอดภัยที่วัดท่าซุงประจำ
........ซึ่งสมัยนั้นทางวัดมีกุฏิอยู่เพียงหลังเดียวใต้ต้นโพธิ์ ตอมผมมาใหม่ๆ มาช่วยดูแลความปลอดภัยที่วัดท่าซุง ผมก็รู้แต่เพียงว่าหลวงพ่อเป็น
"พระหมอดู" และดูแม่นด้วย และทราบว่าท่านเป็นพระกรรมฐานด้วย คนมาหากันไม่ค่อยขาด กลางคืนหลวงพ่อสอนกรรมฐาน ๒ ทุ่ม เลิกประมาณ ๔ - ๕ ทุ่ม
บางคืนก็ถึงเที่ยงคืน บางคราวถึงตี ๒ แล้วหลวงพ่อรู้ว่าพวกผมยังไม่ยอมนอนกันเพราะคุยกันอยู่ ท่านก็ลงมาคุยกับพวกเราอีก
........อยู่กับหลวงพ่อแล้ว จะเห็นว่าหลวงพ่อออกตรวจบริเวณวัดเพื่อดูแลของสงฆ์อยู่เสมอ เมื่อเห็นท่านเดนออกไปหน้าวัดองค์เดียว ก็วิ่งตามท่านไป
ผมก็เห็นท่านเดินแบบธรรมดาตามปกติ แต่ผมวิ่งตามทีไร วิ่งไม่ค่อยจะทัน ทั้งๆ ที่ผมอยู่หน่วยตรวจการพิเศษต้องซ้อมวิ่งอยู่เป็นประจำ สมัยเกือบ ๒๐
ปีที่แล้วผมยังกระฉับกระเฉงอยู่ จึงทำให้ผมนึกแปลกใจอยู่เสมอ
วิ่งไล่หลวงพ่อ
อยู่มาวันหนึ่ง ประมาณปี ๒๕๑๗ เวลากลางคืนประมาณ ๔ ทุ่มเดือนหงาย ผมได้ยินสุนัขเห่า บริเวณไม่ห่างจากกุฏิหลวงพ่อ (กุฏิตรงบริเวณตึกริมน้ำ)
ได้ยินเสียงสุนัขเห่าตรงหอฉันอาหารที่ใช้อยู่ปัจจุบัน (แต่ก่อนยังเป็นโรงก๊วยเตี๋ยว) ผมคิดว่าขโมยเข้าวัดแน่
จึงเตรียมพร้อมออกไปทางฝั่งตรงข้ามถนน คือฝั่งโบสถ์ใหม่ สมัยนั้นบริเวณแถบนั้นทั้งหมดเป็นป่าตลอดแนว ผมเห็นคนจึงวิ่งไล่ แต่ไล่ไม่ทัน
เพราะว่าขโมยวิ่งแยกเข้าป่าไป ผมเดินอยู่พักใหญ่ ตามหาขโมยไม่พบเพราะมันมืด จึงกลับ ก็เห็นหลวงพ่อเดินอยู่บริเวณทางเข้าศาลา ๑๒ ไร่ ขณะนั้นยังเป็นป่า
(ซึ่งเข้าใจว่าหลังจากที่ผมไล่ขโมยออกมา หลวงพ่อคงตามผมออกมาทีหลัง)
ผมก็วิ่งตามหลวงพ่อมาแต่ไม่ทัน สงสัยว่าทำไมหลวงพ่อจึงไม่พูดด้วย เลยวิ่งตามไป ส่วนหลวงพ่อก็เดินก้าวไปตามธรรมดา แต่ผมตามไม่ทัน
วิ่งมายันหลวงพ่อตรงใกล้ต้นมะม่วงหน้าตึกกองทุน (ซึ่งแต่ก่อนเป็นศาลาดิน มีเสาโด่เด่กับหลังคา) ก็พยายามเอามือคว้าจีวรหลวงพ่อไว้ แต่จับหวิดๆ
เห็นหลวงพ่อเดินทะลุประตูเหล็กยืด ซึ่งล็อคกุญแจอยู่ เดินทะลุผ่านเข้าไปเฉยๆ โดยไม่ได้ไขกุญแจ
ผมก็รีบกระโดดข้ามรั้วด้านขวามือ ซึ่งอยู่สูงแค่เอวเพื่อจะไล่ตามให้ทัน ผมก็สงสัยว่าหลวงพ่อคงไม่ใช่พระธรรมดาแน่ๆ ท่านก้าวยาวๆ เท้าไม่ถึงพื้น
ผมวิ่งหอบแต่เห็นท่านเดินเฉยๆ ก้าวช้าๆ ผมวิ่งไม่ทัน ผมจึงวิ่งขึ้นตึกพระกรรมฐาน ซึ่งอยู่ติดกับตึกริมน้ำที่หลวงพ่อพักอยู่ ขึ้นไปถึงก็วิ่งไปที่หน้าต่าง
ซึ่งหน้าต่างห้องพระกรรมฐานก็ตรงกับห้องหลวงพ่อ ตอนนั้นหลวงพ่อเข้ากุฏิไปแล้ว หน้าต่างห้องในกุฏิหลวงพ่อยังเปิดอยู่ ผมเห็นหลวงพ่อเฉยอยู่หน้าพระพุทธรูป
(หน้าโต๊ะหมู่บูชา)
พอตอนเช้า ผมก็ไปถามหลวงพ่อว่า เมื่อคืนหลวงพ่อเล่นอะไรกับผม หลวงพ่อถามว่า "เออ ไล่ทันไหมเล่า" ผมก็ตอบว่า "ไล่ไม่ทัน ผมพยายามคว้าจีวรหลวงพ่อหวิดๆ
เห็นหลวงพ่อเดินทะลุประตูเฉย ผมต้องกระโดดข้ามรั้วเพื่อจะตามไปให้ทัน" หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ แต่ไม่พูดว่าอะไร
ทองเคลื่อนที่
อยู่มาอีกวันหนึ่ง ตอนเที่ยงคืน ผมนอนอยู่ได้ยินเสียงดังครืดๆ ดังนานประมาณร่วม ๑ นาที ทำให้คิดว่าต้นยางล้มหรือเจดีย์โค่นหรือเปล่า
ผมก็รีบออกไปดูที่โบสถ์เก่า เสียงดังมากจนชาวบ้านแตกตื่นนึกว่าทางวัดมีอะไรเกิดขึ้น ชาวบ้านพายเรือกันมาดูหลายราย ผมก็วิ่งเอาไฟฉายไปส่อง (เดือนมืด)
เดินดูรอบๆ ที่โบสถ์เก่า
แต่ก่อนรอบโบสถ์เป็นพื้นดินธรรมดา เดินไปหลังโบสถ์ไปเจอรูกว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เมตร ดินยุบลงไป หลวงพ่อก็ออกตามมาทีหลัง
มีพระตามออกมาหลายองค์ "ทิดวี" ก็วิ่งตามออกมาด้วย สุนัขก็วิ่งตามหลวงพ่อมาเป็นฝูง ผมก็บอกหลวงพ่อว่าดินยุบลงไป
หลวงพ่อก็พูดว่าทองเคลื่อนตัวย้ายไปอยู่แถบใต้ห้องพระกรรมฐาน ผมก็เอาเหล็กเส้นยาวประมาณ ๑๒ เมตร แหย่ลงไปยังไม่สุดก้นหลุมเลย
ชาวบ้านพากันมาดูด้วยควมแตกตื่น หลวงพ่อบอกว่าถึงเวลาเมื่อไร ทองก็จะขึ้นมาเอง
หลวงพ่อหายตัว
มีอีกเรื่องหนึ่ง ในปี ๒๕๑๗ ตอนนั้นหลวงพ่อเริ่มสร้างโบสถ์แล้ว ฝั่งโบสถ์นั้นประตูใหญ่จะปิดไว้อยู่เสมอจะเปิดประตูบานเล็กเท่านั้น
วันนั้นมีผมและตำรวจด้วยกัน มีนายดาบหน่าย(ตอนนั้นมียศเป็น "จ่า")รวม ๕ - ๖ คน ซึ่งทางการสั่งมาคุมดูแลความปลอดภัย
ทางฝั่งโบสถ์ที่กำลังก่อสร้างอยู่ หลวงพ่อเดินถือไม้เท้าข้ามมาจากฝั่งริมน้ำ สุนัขวิ่งตามมาด้วย ท่านไปตรวจงาน พอข้ามมาถึงฝั่งโบสถ์ใหม่ ก็มีคนเดินตาม
มีนายดาบหร่ายเดินตามหลวงพ่อ เพราะว่าอยากได้พระ(วัตถุมงคล)จากหลวงพ่อ จึงเดินตามหลวงพ่อไป อยู่ๆ ก็ไม่เห็นหลวงพ่อ
วิ่งกลับมาหาผมซึ่งยืนรออยู่ที่ประตูทางออกตรงหน้าวัด
ผมก็บอกว่ายังไม่เห็นหลวงพ่อออกมาเลย นายดาบหร่ายบอกหาแล้วไม่มี ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าเหตุเคยเกิดกับตัวเองมาครั้งหนึ่งแล้ว จึงพูดกับนายดาบหร่ายว่า
หลวงพ่อคงอยู่ที่กุฏิแล้วมั้ง นายดาบหร่ายก็เดินข้ามฟากไป ไปเจอคุณเอี่ยม ซึ่งเป็นแม่ครัวอยู่ในโรงครัวของวัดท่าซุง ก็ถามว่าเห็นหลวงพ่อไหม
คุณเอี่ยมบอกว่าหลวงพ่ออยู่ที่กุฏิกำลังคุยกับ พล อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขศวัสดิ์(ยศสุดท้าย) ก็เลยงง เพราะตาก็ไม่ฝาด สุนัขก็วิ่งออกมากับหลวงพ่อเป็นฝูง
และสุนัขก็ยังวิ่งกลับมาเป็นฝูงในภายหลังโดยไม่มีหลวงพ่อร่วมมาด้วย ตั้งแต่นั้นมาทำให้เลิกสุราไปได้หลายคนและทำให้เชื่อฟังหลวงพ่อ
และคอยระมัดระวังตัวกันมากขึ้น
ผมมีความเคารพและศรัทธาหลวงพ่อ มีความเชื่อว่าหลวงพ่อเป็นพระที่สมควรแก่การกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ ไม่มีข้อสงสัยใดๆ และเกิดความกลัวที่จะทำอะไรผิดพลาด
กลัวแม้แต่คำพูดที่หลวงพ่อพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เพราะคิดว่าท่านพูดอะไรมักเป็นไปตามนั้น เพราะพบมากับตัวเองหลายรายแล้ว
ที่หลวงพ่อพูดอย่างไร ก็มักเป็นไปตามนั้น
ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อสั่งอะไรมา ผมก็ทำตามนั้น ไม่กล้าทำอะไรเกินเลย ผมจึงถือว่าผมโชคดีที่ได้มีโอกาสพบหลวงพ่อ
และมีโอกาสมารับใช้หลวงพ่อตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้...
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 8/4/09 at 15:50
(Update 08/04/52)
บุญถึง สุวรรณวิสิฏฐ์
" ผมกับหลวงพ่อ "
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
ก่อนที่ผมจะมอบตัวเป็นศิษย์
ผมขอเล่าเรื่องที่พบกับหลวงพ่อตั้งแต่เริ่มแรกเลย ตอนไปพบกันครั้งแรกๆ ผมเรียกท่านว่า "มหา" แต่ภายหลังก็ค่อยเปลี่ยนคำเรียก จนกระทั่งเรียกว่า
"หลวงพ่อ" ซึ่งหลวงพ่อก็พูดเองว่า "เอา เอากับเขาด้วยหรือ" ผมได้พบหลวงพ่อครั้งแรกตั้งแต่ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๐๕
ทั้งนี้เพราะผมได้พบกับพระครูวิชาญชัยคุณ เจ้าอาวาสวัดปากคลองมะขามเฒ่า ปัจจุบัน ท่านดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอที่ อำเภอวัดสิงห์ ซึ่งผมขอเรียกสั้นๆ ว่า
"พระครูวิชาญ" ผู้ซึ่งทำให้ผมได้กลายเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ มาจนกระทั่งบัดนี้
เมื่อพบพระครูวิชาญ ท่านบอกผมว่า "ฉันพบพระเก่งอยู่องค์หนึ่ง ชื่อพระมหาวีระ ศิษย์หลวงปู่ปาน คุณลองไปหาซิ อยู่ที่วัดโพธิ์ จ.ชัยนาท" พออีก ๒ - ๓ วัน
ผมก็ไปหาแบบมือเเปล่า แบบที่ไปหาพระทั่วๆ ไป ไปถึงก็เอาสตางค์ไปถวายอย่างนั้นแหละ
เมื่อไปถึงก็กราบท่าน กุฏิท่านเล็กนิดเดียว มีชานออกมานิดหน่อย ท่านจะปูเสื่อให้นั่งก็บอกท่านว่า ไม่ต้อง ท่านพูดว่า "เออ..ตรงนี้ เป็นที่หมานอน
และที่ฉันข้าวด้วย" หลวงพ่อมีหมาหลายตัว
ก่อนที่ผมจะไปหาหลวงพ่อ ผมตั้งใจไปทดสอบท่านก่อน จึงได้จุดธูปไหว้พระก่อนไป โดยตั้งใจอธิษฐานว่า "อยากจะไปหาพระมหาวีระ และอยากจะไปทดลองท่านด้วย"
ปกติหิ้งบูชาพระของผม ผมเรียงพระหันหน้าไปทางเดียวกันทุกองค์ แต่วันนั้นผมจับอีกองค์หนึ่งที่อยู่ข้างหน้าหันหลังออก เพื่อขอทดลองดูว่า
พระองค์นี้เก่งจริงไหม พอกราบท่านเสร็จท่านก็ถามว่า
"อ้าว..คุณมาจากไหน" ก็ตอบว่า "ผมมาจากมโนรมณ์" ท่านก็บอกว่า "อ๋อ..คุณบุญถึงหรือ" แน่ะ..รู้จักชื่อผมด้วย ยังไม่ทันบอกเลย ผมก็ทำท่างง
ท่านก็บอกว่า "พระครูวิชาญเคยพูดไว้ บอกว่าคุณบุญถึงนะดี ชอบคุยด้วย เพราะคุยดี เคยไปช่วยการงานทางวัดอยู่บ่อยๆ"
ท่านก็อยากรู้จัก ท่านก็ถามถึงการทำมาหากินดีไหม คุยกันอยู่พักหนึ่ง ท่านก็พูดว่า "เออ..คุยกันเสียนานมีธุระอะไรหรือ" ผมก็พูดว่า "ที่มานี่
ก็อยากให้ตรวจดู ก็ไม่ดูอะไรมาก ก็ดูเรื่องการทำมาหากินละอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ อยากให้ดูในบ้านว่าจะมีอะไรไหม
เช่นอย่างกับหิ้งพระที่ตั้งไว้ถูกต้องไหม" ก็เน้นเลยนะ
หลวงพ่อก็บอกว่า "เอ้า จุดธูป" ก็เอากระถางธูปมา ตั้งตรงโต๊ะที่ท่านฉันข้าว ผมก็จุดธูป พอจุดเสร็จ ท่านก็นั่งหลับตา พอลืมตาขึ้นมา ท่านก็เอ่ยว่า
"แฮะ..อะไรก็ถูกต้องดีแล้ว ไม่มีอะไรหรอก ที่คุณตั้งศาลไว้นั่น" (ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ถามเรื่องศาลมีหรือไม่มี) ก็พูดขึ้นมาเลยว่า
"ที่คุณตั้งศาลไว้นั่นไม่มีเจ้าที่อยู่หรอก ท่านอยู่ที่กกมะขามใหญ่ รูปร่างอ้วนดำใหญ่ พุงพลุ้ย คาดผ้าขาวม้า นุ่งกางเกงขาก๊วย แต่ที่คุณตั้งนะถูกต้อง
แต่ข้อสำคัญคุณตั้งพระสำหรับบูชาบนหิ้งนั้น ทำไมคุณตั้งหันหลังออกเสีย ๑ องค์ เล่า ทุกองค์ตั้งถูก คุณไปกลับเสียใหม่นะ ตั้งอย่างนั้นไม่ถูก"
พอผมได้ยินอย่างนั้น ผมก็ยิ้มในใจ จึงกราบ บอกว่าผมอยากเป็นลูกศิษย์ ท่านก็ว่า "เออดีๆ" ผมก็ถามว่าการเป็นศิษย์เขาทำยังไง ท่านก็บอกว่า
"นี่ก็ลูกศิษย์แล้ว คุณบอกมา ฉันก็รับ ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์แล้ว" ผมก็พูดไปว่า "ไม่ใช่ครับ ที่เขาเป็นกันที่ถูกต้องจริงๆ นะ"
ท่านก็บอกว่า "นี่ก็ถูกต้องแล้วละ" ผมก็บอกว่า "เมื่อรุ่นหลวงปู่ปานล่ะ เขาทำกันอย่างไร" ท่านก็บอกว่า "มีผ้าขาวปู มีเครื่องบายศรีปากชาม
ข้าวปากหม้อ และไข่ลูกยอด ธูปเทียน ข้าวตอก ดอกไม้ ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ไส้กระทงอย่างละ ๖ กระทง ทำกันวันพฤหัส"
คุยกันไปคุยกันมา ผมก็บอกว่า ถ้าอย่านั้นผมจะทำบ้าง ท่านก็บอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นที่ใจ" ผมก็บอกว่า ถึงไม่มีใครทำแต่ผมก็อยากจะทำ
ผมจึงเล่าเรื่องที่ทดลองท่าน บอกท่านไปตรงๆ ว่า
"การที่ผมจะเคารพพระองค์ไหนผมก็เลือก ไม่ว่าจะเป็นองค์ไหนก็ตาม ปกติใครมาชวนผมไป อย่างเช่นหลวงพ่อองค์อื่น (นี่ผมไม่ได้ลบลู่ท่าน) ผมไม่ไป
เพราะถ้าเกิดผมไปแล้ว มีความศรัทธาเกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่มีเวลาไปกราบท่าน จิตใจผมจะไม่สบายใจ คล้ายๆ กับปากบอกว่าคิดถึง แต่เวลาเป็นปี หรือ ๒ ปี
ก็ยังไม่เคยไปเยี่ยมกัน อย่างนี้ผมไม่สบายใจ นี่คือเหตุผลของผมที่ผมเลือกพระ"
ผมจึงถามท่านว่า "วันพฤหัสหน้าท่านจะอยู่ไหม ผมจะมาถวายตัวเป็นศิษย์ในวันนั้น" ท่านตอบว่า "เออ..อยู่" พอถึงวันพฤหัส ผมก็มาแต่เช้าเลย
กินข้าวเช้าแล้วก็ไปหา ไปถึงก็เอาเครื่องอะไรต่ออะไรใส่ถุง จะถือไปอย่างนั้นก็อายเขา ใส่ถุงเบ้อเริ่ม กระทงก็เตรียมไปพร้อม
ไปถึงหลวงพ่อก็นั่งรออยู่ก่อนแล้ว จึงเข้าไปกราบๆ ท่านก็พูดว่า "เออ..คุณเอาจริงๆ รึเนี่ย" ก็ตอบว่า "เอาจริงซิครับ" จึงเริ่มพิธี
จึงจัดผ้าขาวปูบนโต๊ะฉันข้าว วางเครื่องบายศรีปากชาม ข้าวปากหม้อ และไข่ลูกยอดธูปเทียน ข้าวตอก ดอกไม้ ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ใส่กระทง
มีอาหารสำหรับฉันเพลด้วย ไม่มากนัก เรื่องสตางค์ท่านไม่ได้บอก แต่ผมก็ใส่สตางค์ ๒๐ บาท