"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1 (ตอนที่ 3)
webmaster - 16/9/08 at 09:18

« ตอนที่ 1 « ตอนที่ 2 « ตอนที่ 4 « ตอนที่ 5 « ตอนที่ 6 « ตอนที่ 7




สารบัญ

01.
วีระ งามขำ (ยกทรง)
02. พลอากาศเอก อาทร โรจนวิภาต
03. พลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์
04. นายแพทย์จรูญ ปิรยะวราภรณ์
05. กิมกี หลากสุขถม
06. ม.ล. เอื้อมสุขย์ (หนุ่ย) กิติยากร (ศุขสวัสดิ์)
07. นนทา อนันตวงษ์
08. จันทร์นวล นาคนิยม
09. เฉลียว อาณาวรรณ
10. แพทย์หญิง รำจวน หงสเวส
11. ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์
12. นายดาบตระกูล เปาริก
13. บุญถึง สุวรรณวิสิฏฐ์
14. แพทย์หญิงวัชรี หิรัญยูปกรณ์
15. อัญชัญ ศุทธรัตน์
16. อัญเชิญ มณีจักร
17. ครอบครัว ศรีไชยยันต์ ประมุขสรรค์
18. ทพญ.จำนูน จารุจินดา
19. จินตนา รังสีธรรม
20. จันนง




วีระ งามขำ (ยกทรง)

"ปัจฉิมาจารย์"


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

ขอนมัสการกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณ พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ผู้เป็นอาจารย์องค์แรกและองค์สุดท้ายของยกทรงที่เคารพอย่างสูงสุด

"........กระผมยังจำได้ดีเสมอว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นปีที่ความเลวของยกทรงได้มีโอกาสพังพินาศด้วยฝีมือของหลวงพ่อ ทั้งนี้เพราะ นายวันชัย จรุงเดชากุล ผู้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อได้พยายามตื้อให้กระผมไปนมัสการหลวงพ่อที่ซอยสายลม บ้านท่านเจ้ากรมเสริม กรุงเทพฯ กว่าจะไปได้หลายเดือน

........ทั้งนี้เพราะความเลวของยกทรงยังอุดมสมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะตัวมานะอวดดื้อถือดีของยกทรงที่เคยบวชเป็นเถนะสงฆ์มา ๑๘ ปี เป็นนักเปรตเทศนาทางวิทยุโทรทัศน์หาเบาไม่ เมาลาภยศ สรรเสริญ จนลืมว่าดีแต่สอนเขาอิเหนาขาดปฏิบัติ

........ที่จริงอาจารย์กรรมฐานดีๆ มีมาก แต่คนเลวอย่างยกทรงเจอแต่อาจารย์ปากว่าตาขยิบเลยลงอเวจีไปกันใหญ่ ยังจำความเลวที่ไม่น่าให้อภัยก็คือ สมัยเป็นนักเปรตประจำวิทยุยานเกราะของท่าน เจ้าคุณกิตติวุฑโฒภิกขุ สมเด็จย่าพระราชชนนี ทรงฟังรายการของยกทรง ท่านเรียกว่า หลวงปู่ ตามที่อาจารย์กิตติวุฑโฒ มาแจ้งให้ทราบภายหลัง ดูเหมือนจะครึ้มอย่างบอกไม่ถูก

มาทราบภายหลังที่ศิษย์หลวงพ่อฤๅษีแล้ว จึงทราบว่า ที่โด่งดังในสมัยนั้นเป็นเพราะพระพรหมเทพ ท่านสงเคราะห์ช่วยเป็นพลังลับๆ ต่างหาก อนิจจา นึกว่าเราแน่ ที่แท้ก็เปรตอาศัยผ้าเหลืองต่างหาก

คืนที่วันชัยลากคอไปพบหลวงพ่อนั้น ก็ตั้งใจจะไปจับผิดคิดร้ายไปองค์หลวงพ่อ สมัยนั้นคืนวันศุกร์ก็จะมีคนยี่สิบกว่าคนเท่านั้น แต่ไปวันแรกคืนวันเสาร์ ไปช้าเพราะความเลวมันยังล้นกระบาลหัวเลยต้องไปนั่งชั้นบนที่แสนจะเบียดเสียดยัดเยียดเพราะลูกหลานไปกันมากมายนั่นเอง

พยายามหาความผิดของผู้อื่น นั่นคือสัญลักษณ์ของคนเลวแต่ก็เจอดีจนได้ กล่าวคือลำโพงข้างบนไม่ค่อยดัง นึกในใจว่า ถ้าดังกว่านี้คงดีมาก พอรุ่งขึ้นวันอาทิตย์เปลี่ยนสายและลำโพงดังลั่นชื่นใจ ตอนนี้ชักเอ๊ะใจ แต่ท้ายคืนวันเสาร์หลวงพ่อพูดแกมตลกตกเหยื่อ ล่อยกทรงมั้งว่า บางคนยังชอบรวย ไปซื้อหวยคนละ ๒๐ -๔๐ บาท แฟนยกทรงตาลุกโพลงทันที คืนแรกยกทรงและเมียถวายคนละ ๒๐ บาท คิดในใจว่าถ้าเราถูกหวยจะซื้อที่ดิน ๓,๕๐๐ บาท ถวายอีก ๑ ไร่ เผงๆ ๔๐ เลขท้ายออกพอดี จึงเริ่มศรัทธาและที่ศรัทธาแบบสนิทใจก็คือ

สมัยโน้นไปวัดท่าซุง งานกฐินครั้งแรกในชีวิต ไม่สามารถเข้าไปในศาลาพระพินิจได้ เลยไปยืนอธิษฐานต่อหน้าพระประธานหน้าโบสถ์วัดท่าซุงว่า หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านเก่งจริงอยู่แหล่แต่ทว่า คนมาแค่หมื่นๆ ก็ไม่มีสถานที่ต้อนรับน่าจะสร้างศาลาระดับโลกอีกสักหลัง ปรากฏว่ารุ่งขึ้นเดือนต่อมาหลวงพ่อประกาศว่า สมเด็จสั่งให้สร้างศาลา ๒ ไร่ และก็ ๓ ไร่ ๔ ไร่ ๑๒ ไร่ วิหารพระองค์ที่ ๑๐ - ๑๑ วิหารท้าวมหาราช วิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร โอ๊ย สร้างกันใหญ่จนกระทั่งทุกวันนี้ เลยครึ้มอกครึ้มใจเคารพนับถืออย่างสนิทใจ แต่ยังไม่ถวายชีวิต

ในคืนวันศุกร์แรกของเดือนตุลาคม ๒๕๑๕ มีคนยังน้อยยี่สิบกว่าคน เป็นรายการคุยกันแบบตามใจท่าน คำแรกที่หลวงพ่อพูดกับยกทรงก็คือ เคยตัดหัวมาหลายชาติ เล่นเอาตกใจเพราะยังไม่รู้ลีลา แล้วหลวงพ่อก็อธิบายว่า เป็นอาจารย์ยกทรงมาหลายชาติ "อายุ ๕๙ ของเก่าจะตามมา"

ประโยคคำพูดนี้แหละที่ทำให้ปีติของยกทรงปลื้มใจมาหลายวัน เกิดความมั่นใจว่า เราคงได้บวชเป็น แพะที่วัดท่าซุง โดยมีหลวงพ่อฤๅษีเป็นปัจฉิมาจารย์เป็นแน่ ครึ้มจนบอกไม่ถูก แม้เวลาสวดมนต์ตอนเช้า กายทิพย์ก็ไปอยู่ในโบสถ์วัดท่าซุง โดยมีหลวงพ่อเป็นอุปัชฌายะ ถามหลวงพ่อที่ซอยสายลมเกี่ยวกับภาพที่เห็นอย่างนี้ ท่านก็ตอบว่าเป็นอย่างนั้น ตอนนี้เริ่มศรัทธาถวายหัวแต่ยังไม่ถวายชีวิต

จนกระทั่ง ครูเตี้ยม นิตยะศรี ท่านเมตตาไปฝึกให้ที่ร้านยกทรง เงินเงิน กล่าวคือ ครูยืนสอนลูกศิษย์ยกทรงนั่งเย็บจักร ที่ไม่ยอมไปฝึกที่ซอยสายลมก็เพราะอายเด็กๆ ที่เป็นครูฝึก เอ๊ะนี่เรามันอาจารย์ยกทรง เกรดอเวจีมีหรือจะไป ยอมให้เด็กเมื่อวานซืนมาเป็นครูฝึก

ในที่สุดองค์สมเด็จและหลวงพ่อฤๅษีลิงดำก็มีเมตตา ไม่อยากให้ยกทรง ลงใต้ก้นโลกันตร์นรกเลย จึงดลใจครูเตี้ยมไปปราบดาภิเษก เขกหัว ให้วิธีการ ก็คือครูถามว่านี่ยกทรงอยู่กรุงเทพฯ เคยไปวัดพระแก้วมรกตบ้างไหม แหมแหย่ถูกเส้นความเลวของยกทรงเผง

จึงตอบไปว่า เหม่ๆๆ ชะชะ อย่าว่าแต่เคยไปเลย ผมเคยเป็นพระหนุ่มองค์แรกที่บังอาจเข้าไปเทศน์ในโบสถ์วัดพระแก้ว ครูเลยถามว่า ถ้าไปจริงเทศน์จริง ไหนลองพูดมาซิว่า พระแก้วมรกตเป็นอย่างไร คุณพระช่วยภาพพระแก้วปรากฏชัดเจนแจ่มใส บรรยายฟุ้งให้ครูเตี้ยมฟัง ครูยอยกอย่างรู้ใจ แล้วท่านครูเตี้ยมยืนสอนต่อไปว่า งั้นก็ตั้งใจกราบองค์สมเด็จพระแก้วซี้ อนิจจา...ม้าเลวแสนพยศ ก็ต้องสิโรราบกราบบังคมแพ้ด้วยประการซะนี้

เมื่อคราวถวายสังฆทานที่ซอยสายลมราวๆ สามทุ่ม หลวงพ่อก็จะขึ้นไปเข้าส้วมแล้วก็มาโต้ตอบอีกครึ่งชั่วโมง โดยยกทรงใช้ปากเปล่ามาเป็นปีๆ ปีต่อมาก็มีโทรโข่งฮัลโหล แล้วก็กลายเป็นไมค์ ในที่สุดหลวงพ่อท่านเมตตา ซื้อเก้าอี้ให้ปฏิบัติการอยู่จนกระทั่ง ปัจจุบันนี้

ที่ยอมถวายหัวและชีวิตเพื่ออุทิศให้แก่หลวงพ่อก็เพราะว่า..

๑. เต็มใจสอนศิษย์ไม่ปิดบัง และไม่กลัวใครจะหาว่าอวดอุตตริมนุสสธรรม

๒. มีใจสะอาดบริสุทธิ์ ทำงานเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าแบบถวายชีวิต ทั้งๆ ที่ตัวหลวงพ่อจะฉันก็ยาก จะย่อยก็ยาก จะถ่ายก็ยาก แถมต้องอาเจียนเป็นเสมหะ แบบสาหัสสากรรจ์ทุกๆ วัน ยิ่งใกล้จะถึงวันไปสอนกรรมฐานด้วยแล้วน่าเวทนายิ่ง

๓. มีความอดทนต่อมารเหลือง มารผ้าลายเป็นเยี่ยม เป็นยกทรงละก็โป้ง! ไปนานแล้ว

๔. นั่งแกร่วทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งสอนทั้งรับสังฆทาน ทั้งให้พรทั้งต้องตอบปัญหาอีกครึ่งชั่วโมง กลางคืนก็ต้องรับสนองงาน ขององค์สมเด็จ เทพ พรหม พระ ว่ากันเกือบไม่ต้องนอนเชียวละ

๕. มีความเป็นกันเองอย่างลูกกับพ่อ ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายลูกโดยถ้วนหน้า

๖. ไม่คิดลาภยศ ไม่สะสมทรัพย์ แต่ชอบสะสมหนี้ล่วงหน้า แก้ปัญหาโลภะ

๗. รักลูกทุกๆ คน ไม่ว่าลูกหญิงลูกชาย จนรวยไม่สำคัญ แต่สำคัญที่จิต สะอาด

๘. แนะนำสั่งสอนเพื่อตัดรอนเข้าพระนิพพานในชาตินี้

๙. เป็นที่พึ่งทั้งกายเน่าและกายทิพย์เพราะว่าหลวงพ่อช่วยไว้ทั้งคนทั้งผี จนไม่มีที่จะเขียนบันทึกมาบรรยายให้ท่านทั้งหลายอ่าน

ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกบวชนานพัดยศยอดแหลม ยอดคู้ เป็นครูอภิธรรม นักเขียนนักเผยแพร่ชั้นนำของเมืองไทยบางตัว ที่ชอบปฏิเสธว่า สภาพพระนิพพานไม่มี เพ้อเจ้อเพ้อฝัน จินตนาการเอาเอง มีอย่างหรือ! เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ไหง! ยังมีสภาวะเป็นทิพย์พิเศษอยู่เมืองอเวจีด่าว่าหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ อย่างสาดเสียเทเสีย ไอ้...กาฝากแผ่นดินไทย!

โอ...ท่านคัมภีร์เปล่าขอรับ ขอนิมนต์ไปอยู่กับพระเทวทัตตามอัธยาศัยเถิด ผมว่าว่างๆ ลองไปยกมือไหว้ถามนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาดูบ้าง บางทีอาจจะพอพ้นจากขุมนรกใหญ่ๆ ได้บ้างกระมั้ง จงถอดหัวโขนหัวสุนัขออกเสียเถิด จะได้ไม่ต้องไปเกิดที่เมืองนรก

ที่กล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะ "ยกทรง" ผู้พูด เลวบัดซบสมบูรณ์แบบมาก่อน มาเจอคู่ปรับซึ่งผูกพันกันมา ๒๕๓๓ ปี ไม่งั้นจะลงไปนอนร้องตะโกนที่อเวจีว่า สมน้ำหน้าความเลวของตนแล้วที่หลงลาภยศสุขสรรเสริญ ติดไปติดมา เอ..ยกทรงบวชเป็น พระมีศีลครบ ๔ ตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้ สาธุ....สาธุ อุกาสะ ขมา มิภันเต รัตตนัตตะ เย สัพพัง

ต้องขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อฤๅษีว่า การสร้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาที่วัดท่าซุงโดยมีหลักเกณฑ์ว่า เด็กๆ จะได้มโนมยิทธิเห็นนรก สวรรค์ พรหม และไปสัมผัสที่พระนิพพานได้เสียก่อนจึงเข้าเรียนได้ ถ้าเลวก็ไล่ออก

ต่อไปเด็กพวกนี้ถ้าเป็นพระก็ชั้นพระอริยเจ้า ถ้ารับราชการบริหารบ้านเมือง ก็เป็นฆราวาสอริยชน โอ..โฮ้ บ้านเมืองขวานทองของไทยจะไปได้สวย ไม่เฮงซวย เหมือนปัจจุบันนี้ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ท่านเปรตผ้าเหลืองและเปรตผ้าลายทั้งหลายเมื่อใดกรรมมันตามมาสนอง จงอย่ามาร้อง ว่า...รู้งี้กูเชื่อ ฤๅษีลิงดำเสียก็ดีแล้ว!

เป็นอันพูดกันอย่างเต็มปากเต็มเสียงได้เลยว่า ยกทรง (นายวีระ งามขำ) ขอยอมตายถวายชีวิตให้กับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ผู้เป็นปัจฉิมาจารย์แล้วขอรับ จะต่อสู้เพื่อเผยแพร่ พระนิพพานให้ในชาตินี้ให้ไพศาลต่อไป โดยไม่หวั่นเกรงภัยใดๆ ทั้งสิ้น

ด้วยกุศลผลบุญที่ข้าน้อยยกทรงได้บำเพ็ญมาแล้วทั้งหมด แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี และจะทำต่อไปในอนาคตก็ดี ขออุทิศเจาะ จงถวายแด่องค์หลวงพ่อ ขอได้โปรดรับและอนุโมทนาการเพื่อเป็นที่พึ่งแก่คนดีทั้งหลายสืบต่อไปชั่วกาลนานเทอญ

นิพพานชาตินี้โดย ศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ


๑. อธิษฐานตื่นนอนเช้าว่า วันนี้ลูกจะทำความดีให้มากที่สุด ตายเมื่อไรขอไปนิพพานชาตีนี้

๒. ทำบุญวันละบาท ขอถวายเป็นสังฆทาน ขอนิพพานชาตินี้ และขอให้คล่องตัวทุกๆอย่าง

๓. รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ให้ครบทุกข้อจงขอบารมีพระพุทธเจ้ามาเป็นกำลังใจในการรักษาศีล

๔. ภาวนามีให้เลือกดังนี้ แบบฝึก "มโนมยิทธิ"
หายใจเข้า นะมะ หายใจออก พะธะ
หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ
หายใจเข้า นิพพาน หายใจออก นิพพาน

๕. นิมิต ฝึกจำภาพพระพุทธรูปที่ตนชอบ ๑ องค์ หลับตาและลืมตาต้องจำภาพให้ได้

๖. ขยายนิมิต ออกไปกลางแจ้ง ขอให้พระองค์ขยายให้เต็มท้องฟ้า แล้วคลุมตัวเราและร้าน

๗. เรียกบารมี ผลบุญใดที่ทำไว้แล้วทั้งหมด จงมาสนองตัวข้าพเจ้า ณ กาลบัดนี้เถิด

๘. ขอขมาพระรัตนตรัยทุกวัน ให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเข้าพระนิพพาน ในชาติปัจจุบัน ณ กาลบัดนี้เถิด

๙. พิจารณา ให้ดูร่างกายของตนว่า สกปรก โสโครก เหม็นเน่า อืดพอง น้ำเหลืองเละเหมือนถุงห่อหุ้มของเน่ามีร่างกายจึงเป็นทุกข์เพราะแก่ เจ็บ แล้วก็ตายสลายหมด อนิจจา... พอหนังกำพร้าฉีกขาด น้ำเลือด น้ำหนองหลั่งไหล เหม็นคาวเน่าคลื่นไส้ อ้วกแตก

๑๐. ทาน ศีล ภาวนา ก็ดีน้อยหรือมาก ทำด้วยความเต็มใจ เพื่อเข้าพระนิพพานชาตินี้

๑๑. ขอยืนยันว่าเราเข้านิพพานชาตินี้ได้เพราะ จิตนึกสิ่งใดตายแล้วจะไปที่นั้นแล

๑๒. พระพุทธเจ้า ๕ แสน ๑ หมื่น ๒ พัน ๒๘ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้านับเป็นล้านๆ พระอรหันต์เป็นแสนๆ โกฏิอยู่ครบ ที่เมืองนิพพานคอยสงเคราะห์คนทำความดีพิสูจน์ได้

๑๓. นิพพานสูญ สูญแปลว่าว่างจากกิเลสทั้งหมด มีแต่สภาพเป็นทิพย์พิเศษบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ที่นั่นเป็นอมตะ ถ้าปฏิบัติกับครูผู้ทำได้ทำถึงปัญหาไม่มี อย่าห่วงตำราอย่าบ้าความรู้ปริยัติ จงถอดหัวโขนสักครู่ แล้วไปฝึกกับครู ลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีลิงดำวัดท่าซุง

๑๔. คบผู้รู้นิพพาน สอนนิพพาน ทำทุกๆ อย่างเพื่อพระนิพพานชาตินี้ จะมีผลแก่ตนแล แต่ถ้าคบนักเปรต ปฏิเสธเมืองนิพพาน อเวจีครับท่านแย่งกันไปเยอะ

๑๕. แผ่เมตตาปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตาบารมีจิตให้แด่ท่านทั้งหลาย และสรรพวิญญาณทั้งปวง ขอจงอโหสิกรรมซึ่งกัน และกัน จงมีความสุข พ้นทุกข์ในชาตินี้ สู่ที่นิพพานเทอญ

๑๖. คำอาราธนาเจริญกรรมฐาน ลูกขอบูชาและขออาราธนาบารมี พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรมและ พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย บิดามารดาครูบาอาจารย์ พรหมเทวดาทั้งหมด ขอได้โปรดสงเคราะห์ให้ได้รู้ ได้เห็นพระนิพพาน ตามความเป็นจริง ณ กาลบัดนี้เถิด

๑๗. อุทิศส่วนกุศล ขออุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญเพียรมาแล้วนี้ ถวายแด่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ พรหมเทวดา มนุษย์ทั้งหลาย อบายภูมิทั้ง ๔ เจ้ากรรมนายเวร สรรพวิญญาณทั้งหมด จงโมทนา จงมีความสุข พ้นทุกข์ทั้งปวง ก้าวล่วงถึงพระนิพพานขอพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานการเข้านิพพานของข้าพเจ้าด้วยเถิด...

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 16/9/08 at 09:59


พลอากาศเอก อาทร โรจนวิภาต และ คุณสิริรัตน์ (ตุ๋ย) โรจนวิภาต

"พระสุปฏิปันโน"


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเย นะกะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

"........พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานในความรู้สึกของข้าพเจ้าทั้งสอง ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนธรรมดาๆ ที่ไม่ธรรมดา ( เล่นสำนวนอีกแล้ว ฮึ แต่การเล่นสำนวน หรือตีสำนวนนี้ รับรองได้ว่า เป็นการตีสำนวนชวนให้ "...เชื่อผมเถอะ..." ท่านลองพิจารณาตาม ความต่อไปนี้สิครับ)

........นึกย้อนหลังไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ เมื่อข้าพเจ้าย้ายไปรับราชการที่กองบิน ๔ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ภายหลังจากการปฏิบัติราชการที่ค่อนข้างเคร่งเครียด จากฝูงบินรบและฝูงฝึกบินไอพ่นที่กองบิน ๑, กองบิน ๒ เพราะเป็นการถ่ายทอดวิชาการบิน บวกวิธีการฆ่าคนทางอากาศ (นักบินทหารนี่ครับ)

ข้าพเจ้าก็นึกว่า ต่อไปนี้ต้องปฏิบัติราชการตามปกติเสียที และคงมีโอกาสได้ประสบวิถีชีวิตแปลกๆ ใหม่ๆ จากเดิมไปบ้าง เราทั้งสองฝากลูกชายทั้ง ๒ คนไว้กับยายที่กรุงเทพฯ เพื่อการศึกษาของลูกจะได้เป็นที่เป็นทาง เหมือนอย่างกับว่า ข้าพเจ้ามีความสามารถรู้เหตุการณ์ในอนาคตอย่างนั้นแหละ

เพราะเมื่อย้ายไปอยู่กองบิน ๔ ยังไม่ทันถึงเดือน ผู้บังคับบัญชาท่านก็ดำริ ย้ายข้าพเจ้าให้ไปเป็นครูการบินที่โรงเรียนการบิน นครราชสีมาอีกแล้ว เรียกกันว่า หม้อข้าวยังไม่ทันจะดำเลย เก็บของลงกระเป๋า (อะไรกันนักกันหนามิทราบ) แต่ไม่มีปัญหาครับ ย้ายเป็นย้าย ทหารอากาศศตวรรษที่ ๒๐ ซะอย่าง

พอข้าพเจ้าเข้าเขตแดนที่จะพบพระสุปฏิปันโนเข้า ก็ชักได้กลิ่นไอและสัมผัสกับสัจธรรม ความไม่แน่นอน ความทุกข์เข้าจังเลยครับ มีทางใดที่จะทำให้เราสบายใจ และสมความตั้งใจที่เมื่อได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในดินแดนที่สงบ ห่างไกลจากความยุ่งเหยิง วุ่นวายทั้งปวงบ้าง ข้าพเจ้าก็อยากทำอยากหาใส่ตัว

จึงได้ขอร้องเพื่อนนายทหารที่เขาอยู่กองบิน ๔ มานานแล้วให้เขาช่วยพาข้าพเจ้าไปหาอาจารย์เก่งๆ เพราะข้าพเจ้าต้องการของดีจากพระอาจารย์ชื่อดังๆ ในดินแดนแถบนี้ เพียงระยะสั้นๆ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบอาจารย์เก่งสมใจเข้าท่านหนึ่งชื่อ หลวงพ่อสำเภา ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดสะพาน อยู่ที่จังหวัดชัยนาท

หลวงพ่อสำเภาท่านเมตตาข้าพเจ้าและภรรยามาก ท่านให้เครื่องรางของขลังที่ขึ้นชื่อของท่านแก่ข้าพเจ้าทุกชนิด และเป็นพิเศษเสมอ ทำให้ข้าพเจ้าได้ใจ วันหนึ่ง เข้าไปกราบขอของดีจากหลวงพ่อสำเภาเช่นเคย ทีนี้ขอเรียนวิปัสสนากับท่าน เพราะอยากเข้าถึงในสิ่งที่ฝังใจมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยไปอยู่ในป่าตอนเป็นนักเรียนเตรียมทหารบก ได้อ่านหนังสือวิธีปฏิบัติกรรมฐาน ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ อยากฝึก อยากได้บ้าง อ่านแล้วปฏิบัติไม่ได้ เพราะโง่เกินไป

หลวงพ่อสำเภา ท่านก็ดีใจหาย มองหน้าข้าพเจ้าแล้วยิ้มๆ พร้อมกับพูดว่า "ข้าไม่ถนัดทางวิปัสสนากรรมฐานว่ะ แต่เอาเถอะ ถ้าเอ็งต้องการ ข้าฯ จะแนะนำผู้มีความรู้มาฝึกสอนให้ ตอนนี้เขาอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จะนัดมาให้พบกัน" แล้วท่านก็กำหนดวันนัดหมาย ให้ข้าพเจ้าได้พบครูกรรมฐาน

ในอีก ๒ - ๓ วันต่อมา และแล้ววันสำคัญในชีวิตของข้าพเจ้าและภรรยาก็มาถึง บ่ายแก่ๆ วันนัด เราทั้งสองคนเดินทางไปถึงวัดสะพาน รีบเข้ามานมัสการท่านเจ้าอาวาส ไต่ถามความเป็นอยู่ของท่านว่าสุขสบายตามอัตภาพ หรือขัดข้องในเรื่องใดที่เราพอจะช่วยเหลือ แก้ไขให้ท่านได้บ้าง เป็นที่เรียบร้อยพอสมควรแก่ฐานะแล้ว

ท่านก็เอ่ยขึ้นมา "เออ..มหาเขามาแล้วล่ะ อยู่ในห้องนั่นแน่ะ เดี๋ยวก็ออกมาหรอก" ข้าพเจ้ารออีกครู่เดี๋ยว พระรูปหนึ่ง ร่างสันทัด ไม่อ้วนไม่ผอม ผิวค่อนข้างคล้ำ ก็เดินออกมาที่ระเบียง ชานกุฏิ หลวงพ่อสำเภาก็แนะนำว่า "เออ! เสธ์กับคุณนาย นี่..มหาวีระ ที่จะสอนกรรมฐานที่เราอยากฝึกเรียนไงล่ะ..."

ข้าพเจ้ากราบขออนุญาตหลวงพ่อสำเภา เพื่อเข้ากราบมอบตัวเป็นศิษย์กรรมฐานคู่ใหม่ กับหลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อมหาวีระฯ ทักทายข้าพเจ้ากับภรรยาพอสมควร ก็บอกให้เตรียมตัวเข้าโบสถ์เพื่อฝึกทันที ภรรยาข้าพเจ้าชักลังเล เพราะไม่แน่ใจว่าฝึกกรรมฐานนี่จะเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง (กลัวผี!) เลยกล่าวออกตัวไปว่า "...ขอนั่งดูก่อนนะคะ"

หลวงพ่อมหาวีระฯ ตอบว่า "ไม่ต้องนั่งดูหรอก เริ่มฝึกวันนี้เลย...."

ภายในโบสถ์วัดสะพาน วันแรกของการฝึกกรรมฐาน หลวงพ่อมหาวีระฯ (ต่อไปคำว่าหลวงพ่อ หมายถึง พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระมหาวีระ ถาวโร เมื่อปี ๒๕๐๘ เป็นต้นมา จนปัจจุบันคือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)

เริ่มพิธีการ เมื่อเราจะเดินเข้าไปในโบสถ์ ท่านหยุด ชุมนุมเทวดาที่ใต้ต้นโพธิ์สักครู่ แล้วจึงเข้าไปกราบพระพุทธรูปในโบสถ์ สมาทานศีล สมาทานกรรมฐาน แล้วจะแนะนำ พร้อมทั้งอธิบายวิธีปฏิบัติ การฝึกมโนมยิทธิ จำได้ว่า ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่ใจของข้าพเจ้ามีความสุขมาก สุขที่ได้พบของที่ใฝ่ฝันหามานานแสนนานแล้ว ระทึกใจเมื่อได้เห็นและได้ยิน

บรรดาศิษย์ของท่านจำนวน ๘ - ๙ คนที่กำลังฝึกมโนมยิทธิอยู่นั้น กำลังท่องเที่ยวอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กำลังแสดงว่าเล่นน้ำในสระใหญ่(อโนดาต) เก็บดอกบัวสวรรค์ ชื่นชม ความงามของหมู่ดอกไม้ พร้อมกับเรียนถามหลวงพ่อว่าจะขอเก็บเอามาได้ไหม? .... จนสมควรแก่เวลา หลวงพ่อก็ให้หยุดการท่องเที่ยว แล้วกล่าวสรุปผลการฝึก ชี้แจงอานิสงส์ของการฝึก และแนะนำการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ศิษย์ทุกคน เลิกการปฏิบัติ

เมื่อเวลาใกล้ ๒๒ นาฬิกา ท่านเมตตามาส่ง ข้าพเจ้าและภรรยา กลับตาคลี พร้อมกับสัพยอกว่า "เสธ์และคุณนาย กว่าจะถึงบ้านก็ตี ๒ ล่ะ" ข้าพเจ้าก็นึกว่าท่านพูดล้อเล่น เพราะการเดินทางปกติใช้เวลาแค่ ๑ ชั่วโมง เท่านั้นเองก็ถึงกองบิน ๔ แต่เอ! ไม่ล้อเล่นแฮะ มากลางทางรถเกิดขัดข้อง ยางแบนไปเสียข้างหนึ่งงั้นแหละ กว่าจะหาหนทาง ได้ยางมาเปลี่ยนเรียบร้อยกลับเข้าบ้านเวลา ๐๒.๐๐ น.พอดี

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าและภรรยาก็สนใจรับการฝึกอบรม การปฏิบัติ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อเรื่อยมา ความเมตตากรุณาที่หลวงพ่อให้แก่เราทั้งสองมากมายยิ่งและใหญ่ จนไม่สามารถสรรหาคำใดมากล่าวได้

ยามที่เราต้องย้ายไปรับราชการไกลจากเดิม เช่นไปนครราชสีมา จากนั้นก็ไปกำแพงแสน นครปฐม ท่านกรุณาปลีกเวลาของท่านไปแนะนำ สั่งสอนเราเป็นประจำ ทุกครั้งยามว่างหลังการฝึกอบรม ท่านเมตตาเล่าเรื่องชีวิตปัจจุบันชาติบ้าง อดีตชาติบ้างให้เราได้ทราบ และนำเข้ามาเชื่อมโยงกับการปฏิบัติ ให้เรานึกถึงการเปลี่ยนแปลงความไม่แน่นอน และสิ่งพึงละ พึงใคร่ครวญ คำสอนต่างๆ

เหล่านี้ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าและภรรยาซาบซึ้ง ชื่นใจในรสพระธรรมและความเมตตากรุณาของหลวงพ่อมากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าเกิดความศรัทธาและใคร่หาเวลาปฏิบัติธรรมให้ได้มากที่สุด จึงขออุปสมบท เมื่อ ๗ ก.ค. ๒๕๑๑ ณ วัดจันทาราม(ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี รับฉายานามว่า "อาทโรภิกขุ"

ในช่วงเวลานั้น หลวงพ่อได้รับนิมนต์จากเจ้าอาวาสวัดท่าซุง (นามที่ชาวบ้านเรียก) พระครูสังฆรักษ์อรุณ อรุโณ ให้มาช่วยสร้างและต่อเติมอาคารที่ตั้งเสาค้างไว้หลายปี และให้เรียบร้อย เป็นอาคารที่สมบูรณ์เสียที พร้อมทั้งสัญญากับหลวงพ่อหลายประการในการที่จะรับช่วยเหลือ หาที่อยู่พักอาศัยมิให้เป็นที่ลำบาก ...

หลวงพ่อจึงมาอยู่วัดจันทาราม (ท่าซุง) ตามคำนิมนต์ แต่หลวงพ่อไม่ได้รับความสะดวกตามสัญญา เมื่อข้าพเจ้าบวชก็เลยต้องอาศัยครัวที่กุฏิหลวงพ่อ เป็นที่จำวัด เลยสมกับคำที่เคยได้ยินกันมานานแล้ว คือ ศิษย์ก้นกุฏิ ข้าพเจ้าได้อยู่ก้นกุฏิจริงๆ นับแต่นั้นมา จนสึกจากสมณเพศ

เมื่อเห็นพระอาจารย์ต้องลำบากลำบนเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนหลวงพ่อ ถวายกุฏิท่าน ๑ หลัง ซึ่งเป็นกุฏิแรกของหลวงพ่อ ที่วัดจันทาราม (ท่าซุง) นี้ได้สร้างขึ้นใต้ร่มโพธิ์ซึ่งเป็นบริเวณโรงครัวริมน้ำ อยู่ห่างหน้าอาคารเสริมนั่นเอง ปัจจุบันหลวงพ่อได้ย้าย กุฏินี้ไปปลูกไว้ที่กลางสระน้ำทางด้านทิศใต้ของโบสถ์ใหม่ เพื่อเป็นอนุสรณ์ของการเข้ามาสร้างวัดท่าซุงบริเวณใหม่ กับบูรณะบริเวณวัดท่าซุงเดิม (ติดแม่น้ำ) นี่คืออาคารหลังแรกที่หลวงพ่อสร้างวัดนี้

ความเจริญรุ่งเรืองของวัดท่าซุงในปัจจุบัน เป็นที่กล่าวขวัญและยอมรับจากผู้มีธรรมประจำใจว่า ใหญ่โตกว้างขวางเป็นศาสนสถานที่เราชาวพุทธควรปลาบปลื้มและภูมิใจ มิใช่เฉพาะทางรูปธรรม คือตัวอาคาร โบสถ์ วิหาร มณฑปแก้วตระการตาเท่านั้น แต่ในทางนามธรรม หลวงพ่อได้ทุ่มเทชีวิตเพื่อสั่งสอนธรรมะ ทางโทรทัศน์ทุกช่องที่นิมนต์

นับแต่ปี ๒๕๑๐ เป็นต้นมา หลวงพ่อได้สร้างวัดท่าซุงขึ้นอย่างรีบเร่ง ด้วยแรงใจ และศรัทธาของลูกหลานที่มาจากทุกสารทิศ ทั้งในและนอกประเทศเป็นแรงศรัทธาและกำลังทรัพย์นับไม่ถ้วน หลวงพ่อต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ ในการอำนวยการก่อสร้างทำนุบำรุงวัดมากขึ้นๆ แต่ท่านก็มิได้ว่างเว้นที่จะอบรมสั่งสอน สมถะและวิปัสสนากรรมฐานกลับยิ่งเข้มงวดกวดขัน สอนพระ เณร ให้ทุกองค์เป็นพระสุปฏิปันโน ไม่ให้ทำตนเป็นพระวันพุธ สำหรับฆราวาสลูกหลาน ท่านก็พร่ำสอนให้เป็น มนุษย์ อย่างน้อยที่สุดให้มีศีล ๕ บริบูรณ์มีกรรมบถ ๑๐ ครบถ้วน สอนให้หาทางไม่กลับมาเกิด เป็นที่สุด

การตรากตรำทำงานหนักเหล่านี้ของหลวงพ่อก็เพื่อพระศาสนา เป็นเหตุให้หลวงพ่ออาพาธแทบไม่มีวันสบายเลยสักวันเดียว แต่น้อยคนนักจะรู้ ถึงความไม่สบาย หรือการเจ็บป่วยของหลวงพ่อนี้ เห็นท่าน พบท่านครั้งใดไม่ว่าจะที่ไหน จะเห็นแต่ท่านยิ้มแย้มพูดคุย ชวนสนทนาให้กำลังใจแก่บรรดาลูกหลาน สั่งสอนและอธิบายแก้ไขความไม่เข้าใจ ความสงสัยในการปฏิบัติกรรมฐาน แนะนำให้ ทุกคนทำความดีชำระจิตใจให้สะอาดผ่องใส ด้วยกลอุบายนานับการทั้ง ๔๑ วิธี ชี้หนทาง รวมสมถภาวนาให้เข้าวิปัสสนาภาวนา

ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ไปอ่านตำรา สิ้นเวลาอีกหลายชาติ ก็ไม่อาจหาอุบายหรือเข้าใจวิธีอันชาญฉลาดนี้ได้ ใครจะทราบไหมว่าทุกขณะที่เมตตาสั่งสอนอยู่นั้น หลวงพ่อมีทุกขเวทนาทางกายมากเพียงใด ทุกขณะที่เมตตาให้กำลังใจปะพรมน้ำนมต์ก็ดี หรือให้พร ตามที่ลูกหลานขอร้องก็ดี หลวงพ่อของเราท่านต้องอดกลั้นต่อความป่วยไข้ไม่สบาย ความเจ็บปวดของสังขารอยู่ทุกเวลานาที

นี่คือปฏิปทาของพระสุปฏิปันโนธรรมดาๆ ที่ไม่ธรรมดา มหากรุณาธิคุณในอดีต สมัยที่ท่านเป็นพ่อของเรา เป็นที่เชิดชูเคารพของปวงชน ทำทุกอย่างที่ผู้นำที่ดี มีคุณธรรมพึงกระทำที่ได้เสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อความสุขสบายของลูกๆ หลานๆ นับประมาณ พระคุณหาที่เปรียบมิได้ ยามท่านแสวงหาโมกขธรรม ตามรอยพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในปัจจุบันนี้เล่า ท่านก็แผ่เมตตาสงเคราะห์ลูกหลาน ผู้อยู่ในกองทุกข์ ให้รู้จักปฏิบัติหาทางเพื่อพ้นทุกข์ แนะวิธีอันชาญฉลาดให้ปฏิบัติในทางลัด ไม่ต้องตรากตรำเหนื่อยยากเกินไปเยี่ยงที่ท่านได้ประสบมาแล้ว เน้นอยู่อย่างเดียวว่าต้องการคนจริง ปฏิบัติจริง การปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบของหลวงพ่อ อันประกอบด้วยคุณธรรมพิเศษที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำ

ได้สอนธรรมะ ให้คนได้ทิพจักขุญาณ ได้มโนมยิทธินับไม่ถ้วน สอนให้หลายคนตายไปแล้วไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นคน ไม่ต้องเกิดเป็นเทวดา ไม่ต้องเกิดเป็นพรหม สอนให้คนอีกนับไม่ถ้วนละวางกิเลสลงได้ หลวงพ่อต้องเดินทางขึ้นเหนือสุดประเทศ ลงใต้สุดเขตสยาม ข้ามน้ำ ข้ามทวีปไปสอนลูกหลานถึงทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา (เหลือที่ยังไม่ได้ไปอยู่ทวีปเดียวคือทวีปอาฟริกา) เพื่อพระศาสนา เพื่อลูกหลาน นี่คือ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน พระสุปฏิปันโนธรรมดาๆ ที่ไม่ธรรมดาของข้าพเจ้าทั้งสอง ฯ

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 16/9/08 at 12:55


พลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"........เมื่อมีผู้ชักชวนให้พวกศิษย์เขียนประสบการณ์ และความประทับใจในหลวงพ่อ (พระมหาวีระ ถาวโร หรือ พระสุธรรมยานเถระ หรือ พระราชพรหมยาน)ผู้เขียนก็เกิดความรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้อาจเป็นเหตุให้มีผู้ตำหนิว่าอวดอ้างอาจารย์ได้ แต่เมื่อคิดดูแล้วตัด สินใจว่าให้เป็นเรื่องของผู้ชักชวนรับไปก็แล้วกัน

..........โดยธรรมดาคนเราย่อมชอบคนเก่ง ถ้าจะไปหาพระก็ต้องไปหาพระเก่ง ไม่เคยมีใครชักชวนกันไปหาพระไม่เก่งเลย เมื่อพูดถึงพระเก่งก็ยังมีเก่งใน ๒ ทาง คือเก่งทางธรรมะ กับเก่งทางความสามารถพิเศษ เช่นดูหมอ รดน้ำมนต์ รักษาโรคฯลฯ เวลาชวน ไปหาพระเก่งก็มักจะเป็นพระเก่งความสามารถพิเศษเสียมากกว่า หากชวนไปหาพระเก่งธรรม ผู้ถูกชวน ชักจะหน้าเหยเพราะ พื้นความรู้ทางธรรมไม่ค่อยมี คุยกันไม่รู้เรื่อง

ในพ.ศ. ๒๕๑๑ คุณเฉิดศรี ภรรยาของผู้เขียนให้ไปทอดกฐินที่วัดท่าซุง ตามคำชวนของ คุณสุรนุช ภรรยา พล.อ.ต.พะเนียง กานตรัตน์ (ยศขณะนั้น) บอกว่าพระองค์นี้เก่ง ถามเธอว่าเก่งยังไง เธอเล่าว่า ร.อ.มนูญ ชมพูทีป (ยศขณะนั้น) ถามหลวงพ่อว่าสอบเข้าโรงเรียนผู้บังคับฝูงไปแล้วได้เลขคู่หรือเลขคี่ (เพราะเลขคี่ เข้าเรียนก่อน) ท่านตอบว่าได้ที่ ๓ ผลปรากฏว่า เป็นดังนั้นจริงๆ ภายหลังผู้เขียนสอบถามคุณมนูญดูก็ได้รับคำยืนยัน เป็นอันว่าไปกฐิน

เมื่อได้มีโอกาสพบปะเป็นการส่วนตัว ก็เรียนถามท่านว่า นรก สวรรค์มีจริงหรือ ท่านตอบว่ามีจริง เพราะท่านเคยไปมาแล้ว เรื่อง นี้ถ้าอยากพิสูจน์ก็ต้องฝึกกันให้ไปเห็นด้วยตนเอง ผู้เขียนนึกในใจว่าต้องอย่างนี้ถึงจะใช้ได้(ภายหลังหลวงพ่อสอนมโนมยิทธิ คนที่รับการฝึกมีทิพจักขุญาณเห็นสวรรค์ นรกได้จำนวนมากมายเห็นจะหลายหมื่นคน)

ในโอกาสนั้นผู้ใกล้ชิดบอกว่าท่านมักจะพยากรณ์ให้ ๓ ข้อ จึงขอให้ท่านพยากรณ์เมื่อจุดธูปบูชาพระแล้วท่านก็พยากรณ์ (ไม่ใช้ วันเดือนปีหรือลายมือ)

๑. จะปลูกบ้านใหม่
๒. จะเป็นเจ้ากรม
๓. จะได้เข้าวัง

เรื่องปลูกบ้านใหม่นี้ไม่ได้คิดจะปลูก เพราะมีบ้านอยู่แล้วที่สร้างด้วยเงินกู้ธนาคารออมสินฐานะก็ไม่ใช่ร่ำรวย ดังนั้นจึงออกจะคิดว่าพยากรณ์ไม่ถูก แต่ไปๆ มาๆ ก็ปลูกจนได้เรื่องจากลูกสาวแต่งงาน

เรื่องเป็นเจ้ากรมก็ได้เป็นจริง และได้รับแต่งตั้งเป็นราชองครักษ์เวร ซึ่งในภายหลังได้มีวาสนารับพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ และทุติยจุลจอมเกล้า นับได้ว่า "เข้าวัง" ตามที่พยากรณ์

การพยากรณ์ต่างๆนี้ว่ากันตามตำรา ก็เรียกว่าปัจจุบันนังสญาณและอนาคตังสญาณนอกจากฌานเหล่านี้แล้วยังจับได้ว่าเจโตปริยญาณ(รู้ใจผู้อื่น) ของท่านก็มี ยกตัวอย่างผู้เขียนกำลังนึกในใจว่าหลวงพ่อพูดฟังไม่ชัด ขยับไมโครโฟนหน่อยก็จะดีหรอก พอนึกหลวงพ่อก็จับไมโครโฟนขยับทันที

อีกคราวหนึ่งทำกรรมฐานอยู่คนละห้อง พอถึงจังหวะให้พร ผู้เขียนนึกในใจว่า ยถา.... หลวงพ่อพูดมาทางไมโครโฟนทันทีว่า วันนี้เหนื่อยมาก ยถาไม่ไหว เรื่องเช่นนี้มีเล่ามากมาย

นักธรรมบริสุทธิ์มักตำหนิว่าความเก่งอย่างนี้ไม่มีประโยชน์แก่การรู้ธรรม ไม่เป็นปัจจัยแก่การหลุดพ้น แต่ความจริงแล้วทางไปสู่การหลุดพ้นพระพุทธเจ้าแสดงว่ามีมรรค ๘ ทางเดียวทางอื่นไม่มี อันมรรค ๘ นั้น ปฏิบัติแล้วผลสรุปไปลงที่ข้อท้ายสัมมาสมาธิ

ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงขยายความว่าคือการเข้าฌาน ๑ ถึง ๔ จากนั้นจึงไต่ไปสัมมาญาณและสัมมาวิมุติ การได้ญาณต่างๆ จะต้องเป็นผู้ผ่านฌาน ๔ มาก่อน ดังนั้นที่จับได้ว่าหลวงพ่อมีทิพจักขุญาณและญาณอื่นๆ ก็ย่อมแปลว่าได้ปฏิบัติ มรรค ๘ ตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนมาแล้ว ในอุทุมพริกสูตรพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าได้ทิพจักขุญาณ ก็คือได้แก่นไปตามความประสงค์

ผู้เขียนต้องการจะชี้ว่า ที่เลื่อมใสในหลวงพ่อนั้นไม่ใช่ว่าจะหยุดอยู่เห็นแต่ความเก่งแล้วบูชาแต่ตัวหลวงพ่อ ความสำคัญอยู่ที่เป็นการยืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้าตามที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกนั้นว่าเป็นของจริง ปฏิบัติตามเห็นผลได้จริง เป็นการสร้างความเชื่อถือในพระไตรปิฎกอันเป็นหลักฐานอย่างเดียวในพระพุทธศาสนา ทำให้เกิดความมั่นคงยิ่งขึ้น

ในด้านของธรรมแท้ๆ หลวงพ่อได้แสดงธรรมที่เห็นได้ว่าเป็นผู้รู้จริง และสอนให้พยายามปฏิบัติเพื่อพระนิพพานอยู่ตลอดเวลาเรื่องนี้สังเกตว่าที่อื่นไม่ค่อยจะพูด มีแต่การแสดงหัวข้อธรรมเป็นส่วนใหญ่ ไม่เน้นพระนิพพานซึ่งเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา

ยกตัวอย่างด้านธรรม หลวงพ่อสอนถึงอารมณ์ในฌานต่างๆ สอนถึงอารมณ์ของพระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ ซึ่งจะหาองค์อื่นสอนได้อยากขอยกคำพูดสักนิดหนึ่งที่หลวงพ่อพูดคือ ท่านบอกว่าอารมณ์พระอนาคามีนั้นใกล้กับพระอรหันต์มากเหลือเกิน จะเผลอว่าเป็นพระอรหันต์ได้ง่ายๆ แต่นานๆ จะมีอารมณ์บางอย่างปรากฏซึ่งรู้ได้ว่ายังไม่ถึง ดังนี้เป็นต้นเป็นเรื่องที่ท่านรู้แต่ไม่มีในตำรา ท่านสอนมาอย่างนี้ก็ควรรับไว้อย่างนี้ ไม่ควรสันนิษฐานว่าท่านจะเป็นขั้นนั้นขั้นนี้ เดี๋ยวจะพลาด

ในด้านความประทับใจ ขอสรุปเพียงสั้นๆ ว่า

๑. หลวงพ่อรู้จริงทั้งทางปริยัติและทางปฏิบัติ ไม่มีการอับจนในปัญหาธรรมทั้งปริยัติและปฏิบัติ ท่านยืนยันว่าพระไตรปิฎกเชื่อถือ ได้มากกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะหลักสูตรพระอรหันต์มีอยู่ครบบริบูรณ์

๒ หลวงพ่อไม่หวงลูกศิษย์ ใครจะไปหาอาจารย์ไหน พบว่าเก่งยังไงเอามาเล่าให้ท่านฟังได้สบาย ท่านมักจะพูดว่าดีช่วยกันหลายๆ คน นอกจากนั้นไม่พูดด้วยว่าคำสอนของสำนักนั้นๆ ไม่ถูก ไม่ดี หรือที่ท่านสอนจึงจะถูก คนอื่นสอนไม่ถูก

๓. หลวงพ่อมีความเคารพพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เวลามีคนชมว่าได้ผลดี เพราะปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ ท่านจะแก้เสมอว่าไม่ใช่คำสอนของท่าน หากเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

๔. หลวงพ่อเป็นผู้มีพระคุณที่แนะวิธีเข้าพระนิพพานให้กับทุกคน

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 6/10/08 at 11:56

Update 6 ต.ค. 2551

นายแพทย์จรูญ ปิรยะวราภรณ์

"อาการป่วยของหลวงพ่อ"



หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

เรื่องความเจ็บป่วยของหลวงพ่อ กล่าวได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นคู่กันมาตลอดชีวิตของหลวงพ่อ ตั้งแต่วัยเด็กก่อนบวชพระป่วยเป็นอหิวาต์ บวชเป็นพระหนุ่มจนกระทุ่งเป็นพระหนุ่มน้อย ในเวลานี้ก็ยังป่วยเรื่อยมา และขอบอกว่าอาการทุกขเวทนา อาการเสียดแทงต่างๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ถ้าจะสังเกตจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลารับแขกญาติโยมพุทธบริษัททั่วไปก็มักจะไม่ออก

นอกเสียจากว่าจะเป็นพระหรือหมอที่ดูแลใกล้ชิดเท่านั้น สมัยก่อนที่เคยพูดให้พระฟังเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ถึง ๒๕๒๐ ว่าหากจะสังเกตอาการป่วยของหลวงพ่อ ให้สังเกตที่เสียงและสีผิวจะเปลี่ยนไป ต่อมาในช่วงเวลาเทศน์หรือสอนกรรมฐาน พระท่านช่วยควบคุมขันธ์ ๕ ไว้ ถ้าไม่ป่วยหนักจริงๆ แม้แต่เสียงก็สังเกตไม่ออก

แต่หลังจากเสร็จภารกิจสอนกรรมฐานหรือรับแขก ขึ้นพักผ่อนแล้ว เป็นได้เรื่อง ถ้าไม่อาเจียนเป็นกระโถนก็ต้องไอหรือเดินเซเป็นปกติ อาการที่ป่วยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องไข้ สำหรับเรื่องไข้นี้ก็แปลกที่ว่า บางทีมีอาการปวดศรีษะ จับไข้สั่นสะท้านถึงกับต้องใช้ผ้ามาห่ม หมอเอาปรอทมาวัดไข้ องศาของปรอทไม่ขึ้น นอกจากไข้เป็นเป็นเรื่องของระบบลำไส้ ไม่ทำงาน ฉันอาหารแล้วไม่ดูดซึม อาหารบางชนิดฉันเข้าไปแล้วก็แสลง มีอาการทุกขเวทนาเกิดขึ้น

การควบคุมเรื่องอาหารจึงได้อาศัยท่านย่าและแม่ศรี สงเคราะห์ดูแลตลอดมา โดยกำกับบอกให้พรนุชหรือจำปีจัดการให้ตามท่านสั่ง และก็มีบ่อยครั้งที่ต้องอาศัยน้ำเกลือให้ชดเชยอาหารและน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีงาน เครียดจัดหรือต้องล้างท้องตามสั่ง ระบบลำไส้ที่ไม่สามารถทำงานเป็นปกตินอกจากดูดซึมอาหาร แล้วยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง คือ

ระบบขับถ่าย อุจจาระแข็งเป็นดานจนต้องล้างท้องหรือสวนกันเป็นประจำตามสั่ง เรื่องขี้หรือถ่ายอุจจาระไม่ปกตินี่ระยะหลังกลายเป็นเหตุใหญ่ ขณะใดที่ท้องผูก ก็มักจะมีเสมหะพันคอ ไอจนเจ็บคอควบคู่กันไป กลายเป็นว่าเป็นโรคระบบในช่องคอ เพิ่มขึ้นมาอีกระบบหนึ่ง ก็พยายามฉันน้ำและยาซึ่งมีทั้งยาจิบยาพ่นคอหรือแม้แต่รมไอน้ำตามที่คณะแพทย์จัดให้ อาการก็ทุเลาขึ้นเป็นครั้งคราว รวมความว่าป่วยทั้งตัว

ถ้าจะขอดูหลักฐานการป่วยก็ต้องไปถามหมอ ซึ่งหมอที่ทำการรักษาให้ก็ปรารภให้ หลวงพ่อฟังเสมอว่า หลวงพ่อคงต้องฉีดยามานานแล้ว กล้ามเนื้อสะโพก ๒ ข้างแข็งเป็นไต มีพังผิดเต็มไปหมด ปักเข็มเดินยา ฉีดเข้ากล้าม ยาก็ไม่เข้าต้องใช้แรงดันกระบอกฉีดยามากแถมยาที่ฉีดเข้าไปคั่งอยู่ในพังผืดดูดซึมเข้าร่างกายไม่ได้ดี

ครั้นจะให้หมอฉีดยาเข้าเส้นเลือด หมอก็อธิบายว่าเส้นเลือดของหลวงพ่อตีบตันหายไปมากแล้วเหลือเป็นแขนงเล็กๆ ผนังเส้นเลือดก็หนาแข็ง หลวงพ่อคงจะฉีดยาและให้น้ำเกลือมานานแล้วถึงได้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่ทราบว่าจะแทงเส้นได้อีกนานเท่าไหร่ มันคงจะตีบตันไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้ หมอที่ช่วยดูแลให้น้ำเกลือได้ก็เหลือเพียง ๒ คน คือ ลูกหญิง (แพทย์หญิงแสงโสม ปิรยะวราภรณ์) และหมออี๊ด เวลาใดที่หญิงไม่ว่างก็อาศัยหมออี๊ดแทน เรื่องให้น้ำเกลือก็เหมือนกัน

ถ้าสมเด็จท่านไม่ช่วยคุมก็คงแทงเข็มเข้าเส้นได้ลำบาก มีทั้งสมเด็จองค์ปฐม สมเด็จองค์ปัจจุบัน พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร ท่านย่า แม่ศรีฯลฯ บางทีก็มีญาติผู้ใหญ่ หลายท่านพลัดกันช่วย เส้นเลือดก็ปูดขึ้นมาให้เห็นหน่อยหนึ่ง บางโอกาสมีหมอหลายคนเคยมาให้น้ำเกลือก็ต้องแทงถึง ๕ - ๖ ครั้งกว่าจะได้ เป็นอันว่าน้ำเกลือก็เป็นเรื่องใหญ่ สำหรับหลวงพ่อที่ต้องให้ชดเชย ถ้าไม่ได้น้ำเกลือช่วยหลวงพ่อคงไม่ได้อยู่มา ถึงทุกวันนี้

เวลาที่ไปสอนกรรมฐานต่างประเทศ ต้องขอให้ลูกหญิงมันช่วยดูแลตามไปด้วยเพราะการเดินทางไปไหนนานๆ และอากาศร้อนเป็นปฏิปักษ์กับร่างกายหลวงพ่อ ตอนระหว่างให้น้ำเกลือก็เหมือนกันเล่มเอาหมอหลายคนบอกว่าจะเผาตำราทิ้งแล้ว โดยเฉพาะ หมอมนตรี อมรพิเชษฐกุล และหมอชนะ สิริยานนท์ ที่หลวงพ่อชอบเรียกเธอว่าหมอญี่ปุ่น คนนี้มีทิพยจักขุญาณแจ่มใสเป็นพิเศษ

คณะแพทย์ชุดหลังนี่เรียกว่ามาเป็นจังหวะพิเศษที่ร่างกายป่วยมากต้องการให้ช่วย มีหมอจรูญ ปิรยะวราภรณ์ เป็นหัวหน้าชักนำเข้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เป็นช่วงเวลาที่สมเด็จฯและญาติผู้ใหญ่ข้างบนดลใจด้วย ทยอยกันมา นอกจากหมอจรูญ ก็มีหมอมนตรี อมรพิเชษฐกุล ผู้เชี่ยวชาญอายุรกรรมระบบประสาท หมอชนะ สิริยานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบหู คอ จมูก

หมอแสงโสม ภรรยาหมอจรูญ เป็นวิสัญญีแพทย์ มาช่วยให้น้ำเกลือและให้ยานอนหลับ ตามที่สมเด็จฯ สั่งเพื่อให้ร่างกายหลวงพ่อได้พักผ่อน แล้วก็มีหมอพงษภารดี เจาฑะเกษตริน วิสัญญีแพทย์ หัวหน้าหน่วยระงับความเจ็บปวด ร.พ.ศิริราช มาช่วยฝังเข็มรักษาให้ระยะหนึ่ง แล้วก็มีหมอสุชาย สุนทราภา ผู้เชี่ยวชาญด้านผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะ เคยมาดูแล ตอนที่หลวงพ่อปัสสาวะไม่ออก

หมอที่สำคัญอีกท่านหนึ่งคือ นายแพทย์วัฒนะ ฐิตะดิลก ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอจมูก ร.พ.ศิริราช จบจากประเทศเยอรมัน คนนี้เป็นนักบุญที่สำคัญ ถวายยาให้หลวงพ่ออยู่ทุกเดือนหลายปีมาแล้ว

ต่อมาได้ทราบว่าเธอเป็นผู้จัดการหลวงปู่ชัยยะวงศา และยังมีจริยาไม่เหมือนหมอคนอื่นๆ คือ สวดมนต์เป็นชั่วโมงทุกวัน ทำคลินิกได้เงินมาทำบุญหมด ซื้อเทปหลวงพ่อไปเปิดให้คนไข้หนักในโรงพยาบาลฟัง รับดูแลอุปัฏฐากพระอาพาธที่เข้าไปอยู่ใน ร.พ.ศิริราช

ในอดีตเป็นแพทย์ที่ดูแลทำแผลให้หลวงพ่อท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทราวาส หลวงพ่ออุตตมะ หลวงปู่วงษ์ หลวงพ่อบัว วัดป่าบ้านตาดฯลฯ แกเก็บเกี่ยวบุญหมด คือดูแลให้หมด ที่สำคัญคือช่วยดูแลสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธ ตลอดระยะเวลาที่อาพาธจนสิ้นพระชนม์

ครั้งหลังสุดยังช่วยดูแล สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ วัดสามพระยา เมื่อตอนผ่าตัด มีหญิงกับหมอชนะช่วยด้วย หลวงพ่อเลยล้อบ่อยๆ ขนานนามให้ว่า ท่านขุน และเป็นหมอเพชรฆาต คือ ดูแลหลวงพ่อท่านเจ้าคุณนรรัตน์จนมรณภาพ และดูแลสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์) จนสิ้นพระชนม์ แกก็บอกว่าสำหรับหลวงพ่อและสมเด็จฯ วัดสามพระยาคงไม่เป็นอย่างนั้นครับ ยังไม่ถึงเวลาครับ

ทีนี้พูดไว้ว่าหมอเขาจะเผาตำรากันก็มีเรื่องเล่าต่อว่าเวลาร่างกายมันแห้ง ขาดน้ำ ให้น้ำเกลือครั้งละ ๑๐๐๐ ซีซี ทีแรก หมอมนตรี หมอชนะเป็นห่วงว่าให้เร็วๆ น้ำจะท่วมปอดอันตรายต่อร่างกาย ปรับ ให้ช้าลงตามปกติ เผลอสักพักหนึ่งมันก็หยุดจ๊อกๆ เร็วขึ้นมาก หมอแกปรับเท่าไหร่ก็เหมือนเดิมไม่มีผล น้ำเกลือ ๑๐๐๐ ซีซี หมดใน ๑ ชั่วโมง บางทีให้แค่ ๕๐๐ ซีซี นาน ๓ ชั่วโมงก็ไม่หมด หลวงพ่อต้องอธิบายว่า ท่านย่าและแม่ศรีช่วยดูแล ที่สุดหมอแกพิสูจน์แล้วก็ยอมแพ้ เรื่องที่หมอเผาตำราอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การจัดยาถวาย

การป่วยของหลวงพ่อตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๓ มีแพทย์ รุ่นเดอะหลายท่านช่วยดูแลเท่าที่จำความได้ก็มี พล.อ.ต.นายแพทย์โกศล มณีจักร์ ต่อมาก็มี พล.ต.ท.นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน อดีตนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ หมอคนนี้พิเศษกว่าหน่อย ต้องทำหน้าที่ทุกอย่างทั้งติดตามรักษาที่วัด ในเมืองและในป่า ออกแจกของถิ่นทุรกันดาร ท่านก็ตามไปตลอด

รุ่นถัดมาก็มีศาสตราจารย์นาแพทย์ประสิทธิ์ ฟูตระกูล โรงพยาบาลจุฬาฯ ก็มาช่วยดูแลหลวงพ่อตอนมีอาการเรื่องลำไส้ใหญ่ไมทำงาน ปัสสาวะไม่ออก คงจะราวเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๕ หมอท่านนี้ก็ช่วยดูแลอยู่ระยะหนึ่งทั้งในและต่างประเทศ ต่อมาก็มีคณะ หมอจรูญ หมอแสงโสม หมอชนะ หมอมนตรี และหมอวัฒนะ คณะนี้เริ่มเข้ามาราว พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่จริงควรมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๓ เพราะแม่ศรีเริ่มสั่งยาช่วยย่อย (Combizym - co) ให้หมอจรูญจัดหามาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๓ หลวงพ่อฉันมาจนทุกวันนี้

มาใหม่ๆ หมอคณะนี้ ก็เจริญรอยตามลูกพี่ใหญ่ คือ พล ต.ท.นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน ทั้งออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในถิ่นทุรกันดาร ขายก๋วยเตี๋ยว ข้าวผัด เวลาวัดมีงาน คณะหมอชุดนี้ สบายกว่าชุดก่อนๆ คือมีหน้าที่จัดหายาและถวายยาตามคนไข้สั่ง

เริ่มจากปี พ.ศ. ๒๕๒๖ คณะหมอติดตามหลวงพ่อไปบ้านจอมทอง เชียงใหม่ สมเด็จฯ ก็มาสั่งยา ผ่านหลวงพ่อ ไม่รู้จักยาได้แต่บอกชื่อ ให้หมอจดไปหามา ครั้งแรกดูเหมือนจะเป็นยาโปรเท้า ให้แทนน้ำเกลือ หมอแกว่าเป็นสารอาหารโปรตีน (Sohamine - G) ให้กันอยู่ระยะหนึ่งก็เลิกกันไป จากนั้นก็ฉันยาหม้อบ้าง ยาต้มบ้าง สุดแต่สมเด็จฯ ท่านปู่ท่านย่าจะสั่ง

ก็น่าสังเกตว่าส่วนใหญ่ เป็นสูตรยารักษามะเร็ง อาการระบบลำไส้ใหญ่ คือ อุจจาระแข็งเป็นดาน มีเสมหะมากก็เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่เครียดจัด ป่วย มากที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่เดินทางไปสอนกรรมฐานที่สหรัฐอเมริกา ดีที่ท่านย่าและแม่ศรีช่วยจัดการให้หญิง(หมอแสงโสม) ตามไปด้วยได้

ช่วงเวลาที่อเมริกาเธอและพรนุชเฝ้าดูแลหลวงพ่อตลอดเวลา ไม่มีเวลาไปไหนกับเขา เวลาเครียดจัดก็ฉีดยาช่วยหลับ(DORMICUM) เฝ้าไปหญิงก็ร้องไห้ไป เดชะบุญอยู่ได้จนถึงวันกลับประเทศไทย พอกลับถึงซอยสายลม ผิวดำคล้ำ เหมือนคนตาย พูดไม่มีเสียง ร่างกายแห้ง ขาดน้ำมาก รู้ว่าภายในป่วยมาก

คณะหมอชุดนี้รออยู่แล้ว จัดหยูกจัดยาถวายน้ำเกลือ รมไอน้ำ สมเด็จองค์ปฐมฯ ก็มาสั่งยาเขย่า ชูขวดยาให้ดูคณะหมอก็ไปจัดยามาได้ยาฉีดสีขาว(ASPEGIC) ต้องละลายน้ำกลั่น หมอมนตรีอธิบายว่าเป็นยาแอสไพริน ชนิดฉีดแต่ราคาแพง ขวดละ ๒๕ บาท ถามว่าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องฉีดยาตัวนี้ เนื่องจาก เป็นยาแก้ไข้ ตัวอื่นก็มีหลวงพ่อเองก็ไม่ทราบพระพุทธประสงค์ ต่อมาก็ทราบจากหมอว่า มีส่วนช่วยป้องกันเส้นเลือดสมองและ เส้นเลือดหัวใจตีบ

ต่อมาพ้นจากการตายคราวนั้น หมอจรูญก็มาจัดยาขนานนี้เป็นยารับประทานแทน ยาฉีด ก็เอาไว้ฉีดเป็นครั้งคราวตามคำสั่งพระ หมอวัฒนะเป็นผู้สั่งยาฉีดมาสำรองไว้ให้ เพราะปกติเขาไม่ใช้กันทั่วไป นอกจากยาฉีดก็มียาแก้อักเสบ (BIOMOX) ที่หมอจรูญจัดถวาย ไว้ให้ฉันเป็นครั้งคราว

เวลามีอาการเจ็บคอ ไอมาก หมอวัฒนะก็จัดยาบำรุงร่างกายให้เป็นการใหญ่(Z - BEC) มียาละลายเสมหะ (MUCOSOLVAN, FLEMEX) ยาละลายอุจจาระให้นุ่ม (VERACHOLATE, DUPHALAC, DULCOLAX) ถวายเครื่องรมไอน้ำ หมอมนตรีก็รับผิดชอบการฟื้นฟูระบบประสาท ถวายยาขยายเส้นเลือด ในสมอง(SIBELIUM) ยาบำรุงประสาท(ALINAMIN - F) ยากาแฟ(FEACTIVAN) รวมความว่าหมอคณะนี้ช่วยกันปลุก ปล้ำจนหายป่วยหนัก

คราวนั้น ถึงทุกวันนี้ ก็ยังป่วยเป็นครั้งคราว ตามกฏแห่งกรรม การป่วยหลายครั้ง ก็ต้องสรุปได้ว่า ต้องการ อธิบายให้ทราบว่าการป่วย หรือที่ไม่แสดงอาการทุกขเวทนานั้น ได้บารมีพระท่านช่วยมาก ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ก็ยังมีอาการป่วยตกค้าง จากเชื้อไข้มาลาเรียที่ติดมาจากเชียงรายตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๕ ซ่อนตัวไว้นาน จับไข้มาตลอด

ในที่สุดท่านโกมารภัจจ์ ก็มาบอกใบ้ ยาฉีดหลอดสีชาให้หมอจรูญ หมอชนะ และหมอมนตรีไปหามา ทีแรกหาไม่ได้ ต่อมาสมเด็จฯ แสดงภาพให้ดู เป็นเชื้อไข้ วงสีแดงเล็กๆ อยู่ในเม็ดเลือดแดง หมอจึงตีใบ้ออก จัดยาฉีด(QUININE) ตามคำสั่งท่านโกมารภัจจ์ และหมอจรูญได้จัดยาให้ฉันเพิ่มเติม ทำให้โรคไข้มาลาเรียหายขาดไป คงจะเป็นกฎของกรรม ที่ทำให้ไม่แสดงอาการตั้งแต่หลายปีก่อน

เรื่องสั่งยาทาง ไปรษณีย์อากาศก็ยังมีอีก มีคราวหนึ่งประสาทแขนขาตึงไปหมด ลำไส้ใหญ่ไม่ทำงาน ท่านโกมารภัจจ์ ก็มาบอกให้อีก ชูยาฉีด เป็นยาน้ำสีแดง บอกว่าฉีดยานี้ครบ ๒ เดือนแล้วก็จะดีขึ้น ก็ได้หมอชุดนี้ไปหามาจนได้ (NEUROBION)

บางครั้ง หมอเองก็ถูกดลใจ ให้จัดยามาถวายโดยไม่ได้คิดไว้ก่อน ส่วนใหญ่จะเป็น สมเด็จฯ หรือไม่ก็ท่านโกมารภัจจ์ ต้นปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ก็มีคราวหนึ่ง สั่งให้ไปหายาเม็ดเล็กๆ สีขาว กระตุ้นการทำงานกล้ามเนื้อลำไส้ ก็ได้หมอจรูญไปหามา (PLASIL) ต่อมาหมอนพพร ก็หามาถวายอีก (PREPULSID)

ครั้งล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ ท่านลุงใหญ่ และลุงพุฒ ก็มาสั่งยาเม็ดเล็กๆ สีเหลืองส้ม บอกว่า ฉันแล้วทำให้การหลับดีขึ้น ประสาทฟื้นตัวเร็ว ก็บอกหมอมนตรีไป ทีแรกหมอนึกไม่ ออกพอลงจากห้อง หลวงพ่อท่านลุงต้องมาบังคับให้ หมอมนตรีเขียนชื่อยา RIVOTRIL

หมอมนตรีแกไม่แน่ใจ ต้องให้หมอญี่ปุ่นตรวจดู แล้วไปจัดหายามา คืนนั้นเอง พอหมอจรูญ ได้ยามาแล้วยังไม่ทันถวาย ท่านลุงใหญ่ก็มาบอกว่า " เขาหายาที่ว่าได้แล้วนะ ให้ฉันไปเรื่อยๆ" แม่ศรีก็มายืนยันว่า ต่อไปสมเด็จฯ มอบหมายให้ท่านลุง ๒ องค์ ดูแลเรื่องยา ให้หมอจัดยาถวายตามนั้น ร่างกายจะดีขึ้นเรื่อยๆ

ยังขาดยาสมุนไพรอีก ๑ อย่าง ตอนนั้นยังไม่ถึงเวลา ที่หลวงพ่อสั่งให้บันทึกไว้เพื่อเป็นหลักฐานว่า การป่วยหนักแต่ละครั้ง และการได้หมอและยาแต่ละครั้ง ก็เป็นเรื่องกฏของกรรม และเป็นเพราะบารมีพระและญาติผู้ใหญ่ สงเคราะห์ต้องการให้บรรดาลูกหลานและพุทธบริษัทได้ทราบกันไว้

ขอจบเรื่องการป่วยโดยย่อๆ เพียงเท่านี้ และคณะแพทย์ชุดนี้ได้บอกกับหลวงพ่อว่าอานิสงส์ผลบุญจากการดูแลหลวงพ่อจะมีผลเพียงใด ขอให้บรรดาลูกหลานพุทธบริษัทจงร่วมโมทนารับผลบุญร่วมกัน จึงขอแจ้งให้ทราบทั่วกันตามนี้...

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 4/2/09 at 06:12

Update 28 ต.ค. 2551

กิมกี หลากสุขถม
(เจ้าของร้านอาหารเจ๊กิมกี อยู่ข้างโบสถ์วัดท่าซุง)


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"........ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ฉันได้มีโอกาสพบหลวงพ่อครั้งแรกที่วัดท่าซุง หลวงพ่อพักอยู่ที่กุฏิกระต๊อบโคนต้นโพธิ์ ก่อนที่จะเดินทางมาพบหลวงพ่อในครั้งแรกนี้ ฉันตั้งใจไว้ว่าจะมารับทำปิ่นโตถวายท่าน พอพบและกราบท่านครั้งแรก ท่านก็ทักว่า "เจ๊ จะมา รับทำปิ่นโตหรือไง"

.........ฉันจึงตอบว่า "ใช่จ๊ะ ได้ยินคนอื่นพูดว่า หลวงพ่อมาอยู่วัดท่าซุง ต้องซื้ออาหาร (รับปิ่นโต) มาฉัน" หลวงพ่อจึงพูดว่า "ฉันอยู่มาหลายวัดแล้ว ไม่เคยซื้อข้าวเขากิน พอมาอยู่วัดท่าซุงต้องมาซื้อข้าวเขากิน" ฉันจึงบอกว่า "จะมารับทำปิ่นโตถวาย และอยากทราบว่าหลวงพ่อฉันอาหารประเภทไหนบ้าง"

.........หลวงพ่อก็พูดว่า "เจ๊..กินอะไร ฉันก็กินอย่างนั้น" และหลวงพ่อพูดต่อไปอีกว่า "เจ๊ ถ้าเจ๊รับทำปิ่นโตแล้วละก็ ห้ามทำบาปเลยนะ ของเป็นไม่ต้องทำ" ท่านก็ถามขึ้นว่า "เจ๊ จะรับทำปิ่นโตจริงรึ และ จะรับทำไปถึงไหนล่ะ" ฉันจึงตอบไปว่า "จะทำให้ตลอดไป" หลวงพ่อบอกว่า "เออดี โมทนาด้วยนะ" และหลวงพ่อพูดต่อไปอีกว่า "ชาติก่อนนี้ยังกินไม่พอ ชาตินี้ตามมากินอีก"

ฉันก็ทำมาเรื่อยๆ แล้วก็ได้อธิษฐานในใจ ขอให้ได้มาอยู่ใกล้หลวงพ่อ จะได้มาทำอาหารถวายใกล้ๆ ต่อมาฉันก็พูดเปรยๆ กับหลวงพ่อว่า ฉันจะมาอยู่วัด หลวงพ่อก็ถามว่า "จริงรึ" ก็ตอบว่า "จริง" หลวงพ่อก็บอกว่า "ให้มาอยู่ได้เลย" หลวงพ่อจึงได้ให้ความ อุปถัมภ์ตั้งแต่นั้นมาเรื่อยๆ ฉันมาคิดว่า พ้นจากอกพ่อแม่ ก็มีหลวงพ่อเท่านั้นที่ให้การอุปถัมภ์ด้วยความเมตตาอย่างนี้

ตอนมาอยู่วัดท่าซุง มีอยู่คราวเมื่อได้เตาแก๊สใหม่ๆ หลวงพ่อก็เป็นห่วงว่าจะใช้ไม่เป็น พอเช้าก็เดินมาช่วยสอน ทำเช่นนี้จนกระทั่งฉันพอจะทำได้แล้ว ฉันก็เกรงใจท่าน จึงบอกท่านว่าไม่ต้องมาแล้ว เพราะว่าพอทำได้ ท่านก็ยังเป็นห่วง ถามย้ำว่า "แน่ใจว่า ทำเองได้แล้วนะ" บอกว่าแน่ใจ นั่นแหละท่านจึงคลายความเป็นห่วงไปได้บ้าง เพราะทำให้ท่านต้องลำบากมาช่วยสอนแต่เช้า

ความห่วงใยนั้นหลวงพ่อคอยห่วงใยเสมอ เช่นเวลาน้ำท่วม ท่านจะไปกรุงเทพฯ ก็สั่งพระไว้ว่า "คอยดูแลเจ๊ด้วยนะ" (หมายถึง "ฉัน" กลัวว่าฉันจะได้รับภัยจากน้ำท่วมด้วย) หลวงพ่อได้เมตตาอุปถัมภ์ให้ดิฉันมาเปิดร้านค้าขายอาหารในวัด และคอยให้ความ ดูแลเอาใจใส่เสมอมา การอุปถัมภ์และความห่วงใย รวมทั้งความเมตตาที่มีต่อฉันอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งบัดนี้ฉันก็อายุ ๗๑ ปีแล้ว จึงมีความซาบซึ้งใจไม่มีวันลืมเลย

ช่วงที่มาอยู่วัดท่าซุงใหม่ๆ ก็มีคนมาอาศัยอยู่ในวัดเพียงไม่กี่คน ตอนเย็นๆ ก็ไปคุยกับหลวงพ่อนั่งเป็นกลุ่มเล็กๆ คุยที่กุฏิ ท่านก็เล่าเรื่องนรก สวรรค์ให้ฟัง และท่านก็คุยเรื่องอดีตชาติให้ฟัง ฟังแล้วก็ติดใจ การได้พบหลวงพ่อทำให้เบาใจว่า ฉันคงไม่ต้องตกนรกแล้ว เพราะว่าหลวงพ่อสอนให้ทำตัวให้หนีนรก พร่ำสอนอยู่เสมอ ฉันไม่อยากไปนรก เพราะฉันกลัวนรกมาก

การมาเจอหลวงพ่อ ฉันถือว่าเป็นบุญใหญ่ ฉันชอบใจธรรมะและกรรมฐานที่หลวงพ่อนำมาสอน หลวงพ่ออบรมเพื่อปฏิบัติตัวให้เข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ ฉันไม่อยากเกิดอีกแล้ว เพราะลำบากมาตลอดชีวิต ไม่มีสุขเอาเสียเลย จึงพยายามจะปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อเพื่ออยากไปให้ถึงพระนิพพานในชาตินี้

บุญคุณหลวงพ่อ และความเมตตาที่มีต่อฉันนั้นสูงส่งหาใดเปรียบไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่ใช่พ่อแม่ แต่ก็มีความห่วงใยให้ความอุปถัมภ์อย่างดีตลอดมาเหมือนผู้บังเกิดเกล้า ท่านเปรียบเสมือนต้นโพธิ์ต้นไทร ที่ให้ความร่มเย็นและคุ้มครอง ให้ความสะดวกทั้งที่อยู่อาศัย น้ำ ไฟ ถ้าฉันไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหลวงพ่อ ฉันคงจะลำบาก และอยู่ที่นี่มีโอกาสได้ทำบุญทุกวัน ฉันมีความสุขและสบายใจอยู่กับพวกเราไปนานๆ และขอยึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน.."

◄ll กลับสู่ด้านบน




Update 28 ต.ค. 2551

ม.ล. เอื้อมสุขย์ (หนุ่ย) กิติยากร (ศุขสวัสดิ์)
(เจ้าของบ้านสายลม รุ่น 2)


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"........ยังระลึกได้ถึงเมื่อ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว เมื่อครั้งที่พ่อกับแม่พาไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุงในกุฏิไม้หลังเล็กๆ ริมน้ำบรรยากาศเงียบสงบ มีลมพัดผ่านเป็นระยะ (พ่อ - เจ้ากรมเสริม, แม่ - คุณเฉิดศรี (อ๋อย)

........ยังจำได้ถึงเมื่อหลวงพ่อมาโปรดพุทธบริษัทที่บ้าน ท่านเอนอยู่บนตั่งในห้องขนาดไม่กว้างนัก ลูกศิษย์ไม่เกิน ๒๐ คน นั่งฟัง นอนฟัง เอนฟัง หลวงพ่อเล่าเรื่องเก่าๆ เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย แทรกธรรมะและการปฏิบัติไปโดยตลอด ตอบคำถาม ซึ่งบางที ก็เป็นคำถามแบบโง่ๆ ด้วยความอดทน

........ตกค่ำหลวงพ่อสอนกรรมฐาน ลูกเล็กๆ ๓ คน ก็จะนั่งพนมมือ สวดมนต์สมาทานพระกรรมฐานไปด้วย เมื่อถึงเวลาทำสมาธิก็ลงนอนคว้าขวดนมมาดูดจนหลับไป พออุทิศส่วนกุศลเสร็จก็ถูกแบกเข้าห้องนอน พุทธบริษัทผู้ใหญ่ก็สนทนากับหลวงพ่อไปจนดึก

.......มาบัดนี้..เมื่อพุทธบริษัทมาสู่บารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และองค์หลวงพ่อมากขึ้น แม่ผู้เคยเป็นเสมือนหัวหน้าพุทธบริษัทฝ่ายฆราวาสจากไป สภาพข้างต้นเปลี่ยนไป พุทธจักรเล็กๆ ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว พุทธบริษัทต่างจิตต่างใจ ต่างอัธยาศัย ต่างวาสนาบารมี มาประชุมกันมากขึ้น แต่ก็ยังมีความสัมพันธ์ทางจิตใจต่อกันด้วยมีธรรมะร่วมกัน

ไม่ว่ากาลเวลา และวัตถุธาตุจะเปลี่ยนไปตามวัฏจักรอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ ความมุ่งมั่น และเมตตาขององค์หลวงพ่อที่มีให้ลูกศิษย์ทุกคนได้บรรลุถึงจุดหมายปลายทางและความรอบรู้ ซึ่งลูกศิษย์ทุกคนประจักษ์ดีว่า หลวงพ่อไม่เคยจนด้วย

ข้อถามทางธรรม คำสอนของหลวงพ่อฟังเข้าใจง่าย ดูเหมือนปฏิบัติง่าย ซึ่งเป็นกำลังใจในการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่หลวงพ่อให้มิใช่จะวัดได้ในเชิงปริมาณ แต่เราทุกคนก็รู้ว่า ที่เรามีจิตใจสุขสงบ สามารถฟันฝ่าอุปสรรคทางโลกและทางธรรมมาได้ก็ด้วย

ข้อปฏิบัติที่หลวงพ่อพร่ำสอนมา บางทีพวกเราก็เสียใจว่าไม่ได้ปฏิบัติให้ดีได้เท่าที่หลวงพ่อสอน

ในวาระที่หลวงพ่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ในครั้งนี้ ขอตั้งจิตที่ถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งและพระนิพพานเป็นที่ไป อาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ได้โปรดดลบันดาลให้หลวงพ่อมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง สมบูรณ์ เป็นที่พึ่งของลูกๆ ทั้งหลายไปชั่วกาลนาน และด้วยจิตที่มั่นในกตัญญูกตเวทิตา ขอปฏิญาณว่าจะตั้งใจปฏิบัติธรรมตามที่หลวงพ่อสอน เพื่อให้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบัน

◄ll กลับสู่ด้านบน



(Update 4 ม.ค. 2552)

นนทา อนันตวงษ์


จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
........หลังจาก คุณเอก อนันตวงษ์ สามีข้าพเจ้าถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๓ ได้ทิ้งอาชีพ "แพขนานยนต์" รับส่งรถข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่าง อุทัย - มโนรมย์ นับว่าเป็นงานหนักและเสี่ยงอันตราย ความหนักใจก็มีอยู่บ้างเป็นธรรมดา

.........โดยเฉพาะเรือยนต์โยงแพที่เป็นอุปสรรคอยู่เสมอ เพราะเสียอยู่บ่อยครั้ง อาจารย์ต่อม ช่างฟิตเรือ ได้แนะนำให้ไปหาหลวงพ่อ ซึ่งเวลานั้นประจำอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า บอกว่าท่านเป็นพระที่ดูหมอแม่น ข้าพเจ้าดีใจ จึงรีบไปกราบท่าน จึงเป็นครั้งแรกที่รู้จักหลวงพ่อในฐานะ "พระหมอดู"
จากซ้ายมือ ครูนนทา หลวงพ่อฯ และ ครูยุ้ย (อ.สบสุข ประกอบไวทยกิจ)

ท่านทำนายว่า "เคยเลี้ยงหมู และหมูได้มาทวงหนี้"

(ซึ่งเรื่องนี้ก็ทายถูก เพราะแต่ก่อนสามีมีอาชีพเป็นข้าราชการอยู่ที่สหกรณ์ เคยเลี้ยงหมู ๔ - ๕ ตัว แต่ไม่ได้เลี้ยงเป็นอาชีพ ก็ช่วยกันเลี้ยง แต่เลี้ยงแบบเล่นๆ เท่านั้น)

หลวงพ่อจึงแนะนำให้ตั้งเครื่องสังเวย โดยให้มีหัวหมู ๓ หัว บายศรีและเครื่องเซ่นอื่นๆ ครบเครื่อง ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามนั้น ตั้งแต่นั้นมาเรือก็ทำงานเป็นปกติ ข้าพเจ้าจึงยึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งมาเรื่อยๆ เวลามีทุกข์ ก็ไปกราบท่านเป็นประจำจนรู้จักชอบพอกับ พล. อ.อ. อาทร (ยศปัจจุบัน) และ ศิริรัตน์ โรจนวิภาต , พิมพา, วาสนา, สิริรัตน์, ฉลวย และอีกหลายๆ ท่าน

จึงชวนกันไปกราบหลวงพ่อเป็นประจำ ท่านโปรดเมตตาสอนธรรมและบันทึกเทปธรรมะให้ฟัง มีความรู้สึกว่า ไม่เคยพบพระที่ประเสริฐสุดที่สอนธรรมได้ประทับใจและซาบซึ้งมาก่อน จึงติดธรรมของหลวงพ่อ จนภายหลังมีความเบื่อความวุ่นวายกับอาชีพที่ทำอยู่ และเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง จึงตัดสินใจลาออกจากอาชีพครูก่อนเกษียณ ๕ ปี

ต่อมาก็เลิกอาชีพ "แพขนานยนต์" เมื่อวางอาชีพ และสละลูกสาวคนเดียวที่มีครอบครัวเป็นหลักฐานแล้ว โดยให้เธออยู่อิสระกับครอบครัวของเธอตามลำพัง ส่วนข้าพเจ้าก็เข้าวัดเต็มตัว โดยย้ายเข้ามาอยู่ที่วัดท่าซุงเลย

สมัยนั้นมี พี่วงศ์ พี่เฟือง อาจารย์สบสุข (เวลานี้เสียชีวิตไปแล้ว - ท่านไปสบายแล้ว) เป็นเพื่อนเข้าวัดปฏิบัติธรรม หลวงพ่ออบรมสั่งสอนเพื่อให้พ้นทุกข์ทั้งสามโลก และทางธรรมในหลายรูปหลายแบบตามจริตของคน แล้วแต่ใครจะเลือกปฏิบัติตามปฏิปทาของตน รายละเอียดและคำสอนมีอยู่ในหนังสือ - เทปคำสอน เป็นจำนวนมากมาย

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเป็นนิ่ว คุณหมอวีวรรณ คำนวณกิจ แนะนำให้ผ่าตัดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ จำได้ว่าป็นวันอาทิตย์ นอนที่โรงพยาบาล ๑ คืน คืนนั้นไม่ได้ให้ใครไปนอนเป็นเพื่อน เพื่อต้องการอยู่ตามลำพัง ฟังเทปวิปัสสนาญาณ ๙ ของหลวงพ่อจนหลับ

รุ่งขึ้นหมอพาไปเอกซเรย์ ปรากฏว่าก้อนนิ่วหลุดไป เป็นเพราะบารมีหลวงพ่อและเทพเจ้าทั้งหลายตามที่อธิษฐานจิตไว้ก่อน จึงปลอดจากการผ่าตัด ข้าพเจ้าดีใจในความมหัศจรรย์ครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะกลัวเจ็บจากการผ่าตัดเป็นที่สุด นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์อีกหลายๆ อย่าง จะไม่นำมากล่าวในที่นี้ เพราะเกรงจะเป็นเรื่อง "นอกเหตุเหนือผล"

เนื่องจากพระคุณความดีอันล้นพ้นของหลวงพ่อ ที่มีต่อข้าพเจ้ามากจนสุดที่จะพรรณนาได้หมด ประกอบด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า และความเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อมีอยู่มาก จึงได้มอบกายถวายชีวิตรับใช้ในกิจของพระพุทธศาสนาด้วยความเต็มใจและจริงใจในทุกๆ ด้านที่มีความสามารถจะทำได้



ตามหา "ลูกสาว" ของหลวงพ่อ ๒ คน


ขออนุญาตเล่าเสริมความเป็นมาลูกศิษย์หลวงพ่อคนนี้ ซึ่งนับว่าเป็นรุ่นแรกๆ ที่อยู่ในจังหวัดอุทัยธานี ทั้งๆ ที่สมัยก่อนนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้มาอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ มักจะถูกต่อต้านจากเจ้าถิ่น ทั้งที่รอบวัดท่าซุงและเข้าไปถึงในตัวจังหวัด มีทั้งผู้ว่าฯ นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ และบรรพชิตด้วยกัน

แต่การที่จะนำเรื่องนี้มาอธิบายสักเล็กน้อย เพราะเหตุว่า คุณครูนนทา เป็นคนอุทัยธานีนั่นเอง ที่แปลกไม่เหมือนคนอื่นๆ การที่ครูนนทาเข้ามาเลื่อมใสหลวงพ่อนั้น มันมีเหตุที่มาที่เจ้าตัวไม่ยอมเข้า ข้าพเจ้าจึงขอเล่าแทนก็แล้วกัน

ในที่นี้จึงต้องขออภัยที่จะต้องนำเรื่องส่วนตัวของท่านมาเล่าสักเล็กน้อย เพราะจะได้มีความรู้แก่ลูกศิษย์รุ่นหลังๆ ถ้าหากใครได้เคยอ่านหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน" มาแล้ว คงจะจำได้ว่าตอนที่หลวงพ่อบวชใหม่ๆ แล้วนั่งพิงตุ่มน้ำขึ้นไปบนดาวดึงส์ แล้วไปเทศน์โปรดท่านปู่พระอินทร์ ท่านย่าและท่านแม่ศรี ท่านได้เล่าไว้ดังนี้

"..มีอยู่คนหนึ่งที่ท่านบอกว่าเป็น "ภรรยาเอก" ที่เคยอยู่ร่วมกันมาหลายแสนชาติ คนนี้ชื่อว่า พรรณวดีศรีโสภาค คุณเรียกแกสั้น ๆ ว่า "แม่ศรี" แกเข้ามาหา แกแต่งตัวสวยกว่านางฟ้าอื่นทั้งหมด ทรวดทรงสวยมาก ท่านทางมีอำนาจ ท่านบอกเขามีอำนาจควบคุมเวชยันตวิมานของโยม ท่านแนะนำตัวท่านว่าเคยเป็นพ่อฉันมาหลายแสนชาติ ท่านออกปากอนุญาตในการทัศนาจรดาวดึงส์ บอกว่ามาเมื่อไรก็ได้ โยมอนุญาตทุกสถานที่

ฝ่าย "แม่ศรี" แกก็บอกว่า ลูกแกลงมาเกิด ๒ องค์ ให้ฉันติดตามสอนจะได้กลับมาที่เดิมหรืออาจไปสูงกว่าเดิม พระอินทร์ท่านเตือนแม่ศรีว่า พระยังหนุ่มอยู่ยังไม่ควรพบลูก รอเมื่อถึงกาลอันสมควรจะพบกันเอง เมื่อท่านแนะนำแล้วก็ถามแม่ศรีว่าเธอทำไมไม่มาเกิด เธอตอบว่าท่านจะลงไปบวช ถ้าฉันไปเกิดด้วยท่านก็ทนบวชไม่ไหว.."

คำว่า "ลูกลงมาเกิด ๒ องค์" นี้ ท่านไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเป็นใคร แต่ภายในจะรู้ว่า ลูกสาวคนโตของท่านแม่ศรีนี้ คือ ครูนนทา อนันต์วงศ์ และลูกสาวคนที่สองคือ คุณศิริรัตน์ โรจนวิภาต หรือ "คุณตุ๋ย" นั่นเอง ภรรยาของท่านเจ้ากรมอาทร โรจนวิภาต ที่ได้มาพบหลวงพ่อเป็นรุ่นแรกๆ แล้วก็สนิทสนมกันมาก เหมือนกับเคยเป็นพี่น้องกันมาก่อนจริงๆ

ฉะนั้น สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ ครูนนทาจะเป็นผู้จัดเตรียมอาหารถวายหลวงพ่อทุกวัน และเป็นผู้ทำบัญชีคนที่ทำบุญกับหลวงพ่อ นับว่าได้ปฏิบัติหน้าที่สมกับที่เป็นลูกสาวคนโต แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ท่านเจ้ากรมอาทรเสียชีวิตไปแล้ว แต่ทางคุณศิริรัตน์ก็ยังนิมนต์ท่านพระครูปลัดอนันต์ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงองค์ปัจจุบันไปฉันเพลที่บ้าน ก่อนที่จะเดินทางเข้าบ้านสายลมเป็นประจำทุกเดือน จึงขอเล่าเสริมไว้เพียงเท่านี้.

◄ll กลับสู่ด้านบน



Update 14 ม.ค. 2552

จันทร์นวล นาคนิยม

"ณ ที่ที่พระเดชพระคุณท่านหลวงพ่อลาพุทธภูมิ"



(๑ คนจากลูกศิษย์ ๖ คน รุ่นแรก วัดโพธิ์ภาวนาราม อ.เมือง จ.ชัยนาท)


ผู้เขียนเป็นข้าราชการอยู่จังหวัดชัยนาท วันพระผู้เขียนจะไปทำบุญที่วัดโพธิ์ฯ เป็นประจำ พบหลวงพ่อที่วัดโพธิ์ ตอนนั้นหลวงพ่อเป็นพระลูกวัดอยู่ที่ วัดโพธิ์ภาวนาราม มีกุฏิหลังเล็กๆ ปลูกอยู่ใกล้ต้นโพธิ์ใหญ่ ตอนเช้าหลวงพ่อจะออกบิณฑบาตโปรดสัตว์เป็นประจำทุกวัน

ณ ต้นโพธิ์ต้นนี้แหละที่หลวงพ่อลา พุทธภูมิ ไม่กลับมาเกิดอีก เพราะเห็นทุกข์มากเหลือเกิน เมื่อหลวงพ่อไม่มาเกิดอีก ลูกหลานบริวารทั้งหลายก็จะพาไปด้วยจะหมดหรือไม่หมดหรือมากน้อยแค่ไหน ก็จะพยายามจนถึงที่สุด

ผู้เขียนพบหลวงพ่อที่วัดโพธิ์นี่เอง ไปวัดทำบุญได้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อบ่อยๆ ฟังแล้วรู้สึกเข้าใจง่ายและปฏิบัติตามได้ และไปรับฟังธรรมะจากหลวงพ่อบ่อยๆ เข้า ตอนเย็นเลิกจากทำงาน อาบน้ำทานข้าวก็ชวนกันไปวัดกราบหลวงพ่อขอฟังธรรมะ หลวงพ่อสอนจากศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ประการ ตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่รับลูกศิษย์เรียนสมถะ - วิปัสสนากรรมฐาน

ต่อมาท่านหลวงปู่ปาน ท่านสั่งให้หลวงพ่อรับลูกศิษย์กรรมฐานได้ หลวงพ่อเมตตารับผู้เขียนเป็นลูกศิษย์ รวมทั้งหมด ๖ คน วิธีกรรมการรับลูกศิษย์ครั้งนั้นมีดังนี้ หลวงพ่อพาพวกเรา ๖ คนนั่งเรือไปที่วัดงิ้ว ให้ไปรับต่อหน้าพระประธานในโบสถ์ วัดงิ้ว เวลานั้นที่วัดโพธิ์ยังไม่มีโบสถ์ ผู้ที่จะไปรับเรียนกรรมฐาน ต้องเตรียมของดังนี้

๑. เทียนแท้หนัก ๑ บาท ๕ เล่ม
๒. ดอกไม้ ๕ กระทง
๓. ข้าวตอก ๕ กระทง
๔. ถาด ๑ ใบ


เริ่มจุดเทียนตั้งในถาดทั้ง ๕ เล่ม รอบล้อมด้วยกระทงข้าวตอกและดอกไม้ พร้อมแล้วหลวงพ่อ ชุมนุมเทวดา นำนมัสการพระรัตนตรัย รับศีล๕ และสมาทานพระกรรมฐาน ทุกคนนั่งสงบฟังหลวงพ่ออธิบายธรรมะ เรียนแบบสุกขวิปัสสโก ในหมวด อานาปานุสสติ ภาวนาว่า "พุทโธ" เวลานั้นยังไม่มีเรียนแบบมโนมยิทธิ

ลูกศิษย์ทุกคนจะไปรวมกันรับฟังธรรมะจากหลวงพ่อตอนเวลา ๑๘.๓๐ น. ถึง ๒๐.๐๐ น.ก็กลับบ้านเป็นบางครั้งที่จะได้ไปร่วมกันนั่งฝึกสมาธิ เพราะสถานที่ไม่มีที่กุฏิหลวงพ่อก็เล็กมาก ตอนนั้นไม่มีหนังสือคู่ปฏิบัติกรรมฐาน ไม่มีเทปธรรมะ ได้อาศัยไปฟังหลวงพ่อบ่อยๆ แล้วต่างคนก็ต่างไปฝึกนั่งสมาธิกันที่บ้าน หลวงพ่อมีเมตตาเขียนคู่มือการปฏิบัติใส่สมุดเล่มเล็กให้ไปอ่านและศึกษา

พระเดชพระคุณของหลวงพ่อมากมายหาที่เปรียบมิได้ พยายามอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ลูกๆ หลานๆ ทุกคนให้ได้ แม้หลวงพ่อจะลำบากหรือจะเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงพ่อไม่เคยบ่น ใครทำดี ปฏิบัติได้ดีหลวงพ่อก็ชม และให้กำลังใจ ถึงลูกศิษย์ ลูกๆ หลานจะมากแค่ไหน

หลวงพ่อเคยพูดไว้ว่าคนเราจะเหมือนกันทุกคนไม่ได้ คนเรานี้เปรียบเหมือนบัวสี่เหล่า

บัวชนิดที่ ๑ คือบัวที่พ้นน้ำขึ้นมาแล้ว
บัวชนิดที่ ๒ คือบัวที่ปริมผิวน้ำ
บัวชนิดที่ ๓ คือบัวที่อยู่ในน้ำ
บัวชนิดที่ ๔ คือบัวที่อยู่ในดินโคลน


หลวงพ่อมีเมตตามากๆ พยายามสอนแล้วสอนเล่าเขียนคู่มือปฏิบัติ และหนังสืออื่นๆ หลายเล่ม ออกเทปธรรมะให้ทุกคนได้อ่านฟังปฏิบัติได้มรรคได้ผลแล้วจะได้ถึงซึ่งพระนิพพาน

ตัวผู้เขียนมานึกตัวของตัวเอง เรานี้หนอคงจะเป็นเหล่าที่ ๔ ที่อยู่ในดินโคลน แต่มาดีใจที่เห็นพวกน้องๆ ลูกๆ หลานๆ ส่วนมากท่านเก่งๆ กันเกือบทุกคน ไปเที่ยวนรกไปเที่ยวสวรรค์ เห็นผีเห็นเทวดา ส่วนตัวผู้เขียนไม่เห็นอะไรเลย

ถ้าหากท่านไม่จงใจให้เห็น ทั้งหลับตาก็มืดไปหมด จนเวลานี้ไม่ค่อยได้นั่งหลับตาแล้ว ลืมตามองยังจะเห็นอะไรดีๆ ได้ อะไรๆ หมายถึง เห็นคน เห็น
สัตว์ ต้นไม้ เห็นสิ่งต่างๆ ที่รอบตัวเรา ที่เกิดขึ้นมาเป็นเพื่อทุกข์ที่เกิดแก่ เจ็บ ตาย สบายใจไม่เป็นทุกข์ แต่ก็มีเหตุการที่ประทับใจหลายๆ อย่าง เกิดขึ้นหลังจากที่ได้เข้ามาปฏิบัติ ฝึกสมาธิจิต เป็นศิษย์ของหลวงพ่อ

ผู้เขียนจะเล่าให้ฟังสักเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ ได้ติดตามคณะของหลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมชัย วัดทุ่งหลวงไปประเทศอินเดีย คณะทั้งหมดไปพักที่วัดไทยพุทธคยา วันหนึ่งผู้เขียนได้ติดตาม หลวงปู่ธรรมชัย ไปขึ้นเขาคิชฌกูฎ ไปกันหลายคน แต่หลวงพ่อไม่ได้ไป บางคนก็อยู่กับหลวงพ่อ

หลวงปู่พาไปกราบนมัสการ ที่ๆ เคยเป็นกุฏิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และที่ตั้งกุฏิของพระอานนท์ ที่อยู่บนยอดเขาคิชฌกูฎ เมื่อขึ้นไปถึงแล้วทุกคนก็ปลาบปลื้มปิติก้มกราบนมัสการ ส่วนหลวงปู่กราบแล้วก็สวดมนต์ หลงปู่ชอบสวดดังๆ

พวกเราก็พนมมือฟังหลวงปู่สวดมนต์เพลินไป จนตัวผู้เขียนเกิดนิมิต เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลอยมาบนอากาศ มีรัศมีสวยงามมาก ท่านเมตตาให้เห็น เห็นแบบพระพุทธรูปแบบอินเดียที่มีรัศมีรอบพระเศียร เพราะว่าผู้เขียนไม่เคยเห็น จึงประทับใจในเหตุการณ์ครั้งนี้มาก ก็มีความอยากได้พระรพุทธูปอย่างที่นิมิตนั้น

เมื่อรถพาไปนมัสการในที่ต่างๆ ผู้เขียนก็พยายามหาซื้อเผื่อจะมีจำหน่ายบ้างแต่ปรากฏว่าไม่มีจำหน่ายเลย พอใกล้วันจะกลับประเทศไทย พวกเราต่างคนต่างไปหาซื้อของที่ระลึกจากอินเดีย ในวัดที่ไปพักนั้น ตอนกลางคืนจะมีคนอินเดียนำของมาขายหลายอย่างหลายชนิด

ผู้เขียนก็ออกหาซื้อของเช่นกัน แต่ก็ไม่วายที่จะถามหารูปพระพุทธรูปที่อยากได้ ปรากฏว่าไม่มีจำหน่ายเลยหมดหวังก็หอบข้าวของกลับเข้าห้องพัก ตรงทางที่จะขึ้นบันไดนั่นเอง มีรูปพระพุทธเจ้าองค์เล็กเท่าปลายนิ้วก้อย เป็นรูปที่อัดลงหินแบบล็อกเกตห้อยคอ ก็ดีใจมากหยิบขึ้นมาดู เป็นรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง ตามที่นิมิตได้ไว้บูชา..สาธุ..!!!

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 4/2/09 at 06:14


เฉลียว อาณาวรรณ

"๑๐ ชั่วโมง"


...หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑...

".......เมษายน ๒๕๒๓ หลวงพ่อท่านเดินทางไปภูกระดึง มีลูกศิษย์ตามไปหลายสิบคน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสตามไปด้วย
.......วันหนึ่งหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ อีกสิบกว่าคนได้ขออนุญาตพี่แหม่ม ซึ่งเป็นผู้ดูแลผู้ที่เดินทางติดตามหลวงพ่อท่านเดินเที่ยวรอบภูกระดึง เมื่อเดินกลับถึงที่พัก อาบน้ำเสร็จก็ไปกราบหลวงพ่อท่าน หลวงพ่อทักว่า ไงเดิน ๑๐ ชั่วโมง
.......ข้าพเจ้างง...เพราะเดินไปเองยังไม่ทราบว่ากี่ชั่วโมง มองดูว่ามีใครมากราบเรียนหลวงพ่อท่านก่อนหรือเปล่า ก็ไม่เห็นว่ามีพวกเราที่ไปด้วยกัน มาก่อนข้าพเจ้า ข้าพเจ้านับเวลาดู ออกเดินทาง ๘.๐๐ น. กลับถึงที่พัก ๑๘.๐๐ น. ๑๐ ชั่วโมงพอดี ทำให้มั่นใจได้ว่า ไม่ว่าพวกเราจะไปไหนหลวงพ่อท่านทราบอยู่ตลอดเวลา

คอยฟังข่าว

หลวงพ่อท่านเดินทางไปเชียงใหม่ประมาณ ๑๐ ปีก่อน ได้ไปเยี่ยม หลวงปู่คำแสนเล็ก ที่โรงพยาบาลสวนดอก จากนั้นไปวัดดอยแม่ปั๋ง วันนั้นหลวงปู่แหวนท่านป่วย หลวงพ่อท่านไม่ให้พวกเราเข้าไปรบกวนหลวงปู่ท่าน หลวงพ่อท่านนั่งที่ศาลาคุยกับลูกๆ ใครจะไป เดินเที่ยวรอบๆ วัดก็ได้

วันนั้นหลวงพ่อท่านอยู่ที่วัดดอกแม่ปั๋งเป็นชั่วโมงๆ ข้าพเจ้าสงสัยว่าทำไมหลวงพ่อท่านไม่ไปที่อื่น จนกระทั่งมีผู้นำข่าวหลวงปู่คำแสนเล็กมากราบเรียนหลวงพ่อท่านว่า หลวงปู่ท่านมรณภาพแล้ว

หลวงพ่อท่านพูดว่า "ไปได้แล้ว"

ข้าพเจ้าเข้าใจทันทีว่า หลวงพ่อท่านคอยฟังข่าวของหลวงปู่นั่นเอง ทุกคนจึงได้มีโอกาสไปกราบรดน้ำศพหลวงปู่ท่าน..."

◄ll กลับสู่ด้านบน




แพทย์หญิง รำจวน หงสเวส

"คุณวิเศษของหลวงพ่อ"


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

บันทึกนี้จะกล่าวถึงเฉพาะที่เป็นปัจจัตตัง ประจักษ์ชัดแก่ข้าพเจ้า พ.ญ. รำจวน หงสเวส เท่านั้น..

".......ประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๙ หลวงพ่อท่านยังมีสุขภาพดีพอที่จะนำหมู่คณะลูกศิษย์ออกตระเวนเยี่ยมเยือน แจกของกินของใช้แก่ราษฏรที่ยากจนในถิ่นทุรกันดาร และรวมทั้งตำรวจทหารตามชายแดน เพื่อเป็นกำลังขวัญ กำลังใจ

.......ข้าพเจ้าได้เดินทางร่วมไปกับหลวงพ่อ หลวงปู่คำแสน(เล็ก) หลวงปู่ธรรมชัย และคณะอันมีท่านหญิงวิภาวดี รังสิต พร้อมทั้งคุณอ๋อย(เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์) เพื่อเยี่ยมทหารที่อำเภอปัว จังหวัดน่าน อันติดกับประเทศลาว มีแม่น้ำสายนิดเดียวคั่นอยู่ พาหนะที่ใช้เดินทางคือ เฮลิคอปเตอร์ (ฮ.) ๒ ลำ

........คุณอ๋อยให้พวกเก๋ากึกทั้งนั้นไปกับ ฮ. ส่วนพวกเราที่ยังแข็งแรงเดินทางด้วยรถยนต์ มุ่งไปพบกันที่เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก เพื่อค้างคืนที่นั่น จุดเริ่มเดินทางจำไม่ได้ว่าออกจากที่ไหน แต่ได้ลงพักถวายเพลพระและเลี้ยงอาหารแก่คณะที่ค่ายทหารอย่างเร่งด่วน แล้วเดินทางต่อไปที่ปัวเป็น ๒ จุด ด้วยกัน

ซึ่งนายทหารที่ไปกับเรา ได้กราบเรียนหลวงพ่อว่า รถบรรทุกเพื่อขึ้นมาผลัดเปลี่ยนบนเนินถูกซุ่มโจมตีตรงทางขึ้น เสียชีวิตไปหลายสิบคน เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง พวกเราก็พากันอุทิศส่วนกุศลให้แก่ทหารเหล่านั้น ต่อมา ณ บริเวณเหล่านั้น ด้วยพระบรมราโชบายอันสุขุมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงให้สร้างหมู่บ้านอาสาสมัครขึ้น ซึ่งยังผลให้เป็นสถานที่ปลอดภัยได้

ในภายหลัง จุดที่ลึกเข้าไปในป่านั้น ฮ. ต้องผลัดกันลงมาทีละลำ บนยอดเนินเขาลูกหนึ่งต่างหากจากฐานที่ตั้งของทหารอยู่บนเขาอีกลูกหนึ่ง แล้วนัดเวลามารับหลวงพ่อ หลวงปู่ อุตส่าห์ลงจากเนินลานจอด ฮ. ไปเยี่ยมถึงที่ตั้งทหารอีกลูกหนึ่งเพื่อเป็นกำลังใจ และมอบธงชาติอันมียันต์หลวงพ่อปานไว้ให้ประจำฐานเพื่อเป็นมิ่งขวัญ พร้อมกับให้ความมั่นใจว่า ลูกปืนใหญ่หรือระเบิดก็ถล่มฐาน ที่มีธงนี้ไม่ได้ ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเป็นเช่นนั้นจริง ในเวลาต่อมาภายหลัง

จากจุดที่สอง ฮ. จะนำเราไปลงที่เขื่อนก่อนค่ำ เพราะเป็นเส้นทางบินที่ไม่สู้จะปลอดภัยนัก ตอนนี้ หลวงพ่อย้ายจาก ฮ. ตำรวจลำที่ท่านหญิงวิภาวดี คุณอ๋อย คุณน้อย(กานดา) นั่งกัน มานั่งที่ ฮ. ทหาร ซึ่งข้าพเจ้า คุณนนทาและศิษย์คนอื่นๆ ที่ติดตามรวม ๗ คน โดยสาร

โดยหลวงพ่อได้กล่าวว่า ท่านหญิงวิภาวดี มีศรัทธามั่นคงในหลวงปู่ธรรมชัยแล้วคงไม่กลัวอะไร ท่านไม่ได้พูดว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ได้แต่ยินดี พอใจที่ได้นั่งร่วมลำไปกับหลวงพ่อ และหลวงปู่คำแสนด้วยความอบอุ่นใจ ฮ. บินไม่สูงนัก สามารถเห็นบ้าน และผู้คนขนาดเท่าตุ๊กตาได้ ข้าพเจ้านั่งริมสุดด้านขวา ได้เปรยว่า น่าจะนึกถึงมรณานุสสติไว้นะ หลวงพ่อหันมามองอย่างเอาจริง

ผู้เขียนก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ เพราะภาวนาแต่ปาก ใครจะไปนึกกลัว หวั่นไหวล่ะ เมื่อมีทั้งหลวงพ่อ และปู่คำแสนอยู่ตรงหน้านี่เอง พอผ่านเขตอันตราย ผลทหารปืนท้าย ฮ. เขาเปิดประตูด้านที่ข้าพเจ้านั่ง เอาปืนกลตั้งพร้อมที่จะยิงทันที พวกเราก็เบียดกันเข้าไปแน่น แต่ใจไม่กลัวด้วยกันทุกคน เพราะไม่เห็นมีใครแสดงอาการวิตกให้เห็นกันเลย ขณะที่บินตามๆ กันมานั้นเอง อากาศเปลี่ยนเป็นมืดมัวด้วยเมฆอันหนาแน่น ฝนเริ่มตกและเป็นสายๆ พร้อมกันนั้นก็ไม่เห็น ฮ. อีกลำหนึ่งว่าไปทางไหน ตื่นเต้นกันดี แต่ไม่กลัว

แล้วความมหัศจรรย์ก็ปรากฏในสายตา คือฝนแหวกเป็นช่องทางขาวสว่าง ไม่มีฝนมากระทบ ฮ. สักนิดเดียว ยิ่งกว่านั้นนะ เมื่อบินต่อไปพักหนึ่ง ฮ. ต้องดึงสูงขึ้นทันควันผ่านยอดเขาทางขวามือเป็นแนวครึ้มๆ อยู่ในเมฆและฝน คณะนิ่งเงียบกันทุกคน พอพ้นเขาก็เห็นไฟแดงวาบๆ ของ ฮ. อีกลำหนึ่งด้วยความโล่งใจ

ซึ่งคุณน้อยเล่าอย่างสนุกสนานว่า เธอเรียกทุกๆ องค์ไปหมด ขอให้รอดปลอดภัยจนเกือบไม่หายใจ พวกเราใน ฮ. ไม่เห็นมีใครหวาดวิตก กลัวให้เห็นเลย ช่างใจเย็นกันจริ๊ง

ในที่สุดก็มืดสนิท ฮ. นำเรามาลงที่ลานจอดฉุกเฉิน ซึ่งเป็นสถานที่ส่งคนเจ็บป่วยในการรบ ตั้งอยู่ห่างจากเขื่อนหลายสิบกิโลเมตร (นั่งรถประมาณเกือบชั่วโมง) เจ้าหน้าที่ข้างล่าง วิ่งมาถามว่าต้องการเปลหามคนเจ็บไหม? จะให้ช่วยอย่างไร

ปรากฏว่าเขาเห็น แต่หลวงพ่อค่อยๆ ประคองหลวงปู่คำแสน ย่ำพื้นที่เฉอะแฉะเข้าไปในอาคารที่พัก พร้อมด้วยคณะผู้ติดตามด้วยความประหลาดใจ แต่เป็นภาพที่ประทับใจข้าพเจ้าในความอ่อนโยนของหลวงพ่อ ซึ่งไม่ได้เห็นบ่อยนักเป็นอย่างยิ่ง

เจ้าหน้าที่ไม่รู้จักท่านหญิงวิภาวดี ที่ทรงทำงานแทนพระเจ้าอยู่หัว และไม่รู้เรื่อง จึงต้องติดต่อกันเป็นเวลานานกว่าทางผู้ว่าฯ จะส่งรถบัสมารับคณะไปที่เขื่อนได้ แต่พวกเราก็ยังคงเก่ง สดชื่น นั่งรายล้อมหลวงพ่อ หลวงปู่ ฟังท่านคุยต่อไปอย่างสบาย ขอจบแค่นี้เพราะยังมีต่ออีกแยะ ต้องการแสดงเพียงว่า นั่นคือ อิทธิปาฏิหาริย์ที่ข้าพเจ้าจำได้ไม่เคยลืม

ส่วนเจโตปริยญาณ อันเป็นอาเทศนาปาฏฺหาริย์นั้น เป็นที่ประจักษ์แก่บรรดาลูกศิษย์ทุกๆ อยู่แล้ว สำหรับข้าพเจ้าโดยเฉพาะคือเรื่อง "ดื้อ" ไม่ยอมเรื่องง่ายๆ แต่หลวงพ่อท่านก็ กรุณายิ่ง มิได้ฆ่าทิ้งเสีย เพียงแต่ปล่อยให้มัน "ดิ้น" ไปตามอัธยาศัย แถมยังกล่าวทั่วๆ ไปเป็นเชิงปรารภว่า แม้ศิษย์ท่านจะเปะปะปีนคอกไป ในที่สุดก็จะกลับมาปฏิบัติเข้าแนวตามเดิม หลวงพ่อท่าน ก็ยังเป็นที่พึ่งได้อยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าจึงดิ้นรนขวนขวายเพื่อปลดเปลื้อง "ความโง่" อันหนืด เหนียวอยู่ในสันดานได้ตามสบาย

อย่างไรก็ตาม น่าอัศจรรย์ที่ยังไม่เคยคิดปลีกตัว ผละหนีหลวงพ่อเลย ไม่ว่าจะโดน "ตี" อย่างไร เมื่อมานึกทบทวนดูว่าเพราะอะไรหรือ ก็พบว่าเป็นเพราะความกตัญญูรู้พระคุณของหลวงพ่อในอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ซึ่งท่านพร่ำสอนตามที่เป็นจริงให้เห็นจริง

และระบุชี้แนวทางที่ควรปฏิบัติให้ได้ ในชีวิตนี้ คือที่เป็น(ปฏิบัติภาวนา) เป็นจุดมุ่งหมายอันเป็นหัวหาดของการพ้นทุกข์ มิใช่สอนไปๆ แต่หาที่ลง จบลงไม่ได้ ไม่สามารถได้รับผลสมจริงเป็นอัศจรรย์

มโนมยิทธิอันเป็นฤทธิ์ทางใจ ยังผลให้ได้วิชา ๓ วิชชา ๘ ประการนั้น หลวงพ่อท่านย้ำเสมอว่า เป็นฌานโลกีย์ ยังมิใช่ โลกุตรผล พึงรู้จัก และใช้เพื่อเป็นอุปกรณ์เป็นเครื่องมือในการรู้ การเห็น "สิ่ง" ที่มนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ทางกาย แต่สัมผัสได้ทางจิตเท่านั้น

เมื่อสามารถนำมาใช้ได้ ใช้เป็นอย่างถูกต้องตามที่ควรแก่ธรรมนั้นๆ ก็เป็นประโยชน์มหาศาล ดังที่ผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสกับวัจจโคตตปริพพาชก ณ อารามเอกบุณฑริก ความว่า ผู้ที่กล่าวถึงพระองค์ว่า ทรงรู้(สัพพัญญู) ทรงเห็น(สัพพทัสสาวี) ทั่วทุกกาลเวลานั้นเป็นผู้ที่กล่าวตู่ คือไม่ตรงตามที่พระองค์กล่าวไว้ แต่ตู่พระองค์ด้วยคำอันไม่มีจริง ไม่เป็นจริง ส่วนผู้ที่กล่าวถึงพระองค์ว่ามีวิชชา ๓ ซึ่งจะทรงน้อมไปใช้ได้ดังพระประสงค์ทุกเมื่อนั้น เป็นคำกล่าวถึงพระองค์ที่ถูกต้องตามธรรม

หลวงพ่อท่านก็ดำเนินตามรอยบาทพระบรมศาสดา โดยให้ใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณเพื่อรู้ เห็น สภาวะแห่งไตรลักษณ์ จุตูปปาตญาณ เพื่อรู้ เห็น กฏแห่งกรรม กรรมที่เป็นเหตุแห่งวิบากนั้น จะได้ไม่ไปตีโพย ตีพายเอากับสิ่งอื่น ผู้อื่น แต่ยอมรับภาวะนั้นโดยดี

และท่านได้พร่ำสอนโดยยอมตรากตรำสังขาร เพื่อเกื้อกูลประโยชน์สุขแก่บรรดาชาวเรา ชาวเขาอยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดอาสวขยญาณ ถอนรากโคน ตัณหา และเยื่อใยทั้งปวงเสีย บรรลุถึงภูมิพระนิพพาน อันเป็นจุดสูงสุดแห่งการปฏิบัติภาวนาในพระพุทธศาสนา ด้วยอนุศาสนีปาฏิหาริย์ ดังที่กล่าวมาแล้วเป็นสังเขป

ข้าพเจ้าจะดื้อ และดิ้น ไปจากผู้ทรงพระคุณอันใหญ่หลวงด้วยประการเหล่านี้ได้อย่างไรกัน...

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 4/2/09 at 08:45


ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์

"เจ้าคุณพระราชพรหมยาน พระอาจารย์ผู้ประเสริฐ"


ข้าพเจ้าขอนอบน้อมรำลึกถึงองค์พระพุทธ
ที่ได้ทรงแสดงธรรมโปรดให้ข้าพเจ้าได้พ้นทุกข์
อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ภควา พุทธัง ภควันตัง อภิวาเทมิ

ข้าพเจ้าขอน้อมรำลึกถึงพระธรรมด้วยสัมมาคาราวะ
พระธรรมให้รู้แจ้งซึ่งปัญญา แม่บทหลักชี้
ความสว่างให้ข่มมิจฉาทิฏฐิลง
สวากขาโต ภควตา ธัมโม ธัมมัง นมัสสามิ

ข้าพเจ้าขอน้อมรำลึกถึงพระอริยสงฆ์ที่ได้เพยแพร่พระธรรม
ขององค์พระพุทธมายังข้าพเจ้าให้หมดซึ่งวัฏสงสงสาร
และด้วยจิตที่อยู่ในธรรมปิติอย่างอิ่มเอิบเช่นนี้แล้ว
สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ สังฆัง นะมามิ


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

........สมองของข้าพเจ้าได้บันทึกความจำไว้สองอย่าง สิ่งแรกคือประสบการณ์ที่สัมผัสในชีวิตที่ผ่านมาแล้วเมื่อดีตชาติ ประการที่สองคือ เหตุการณ์ที่ได้ผ่านมาแล้วในชีวิตของข้าพเจ้าในปัจจุบันชาตินี้ บางคนอาจจะคิดสมเพชข้าพเจ้าที่ยังมาคิดถึงต่อสิ่งที่ไม่เป็นสาระเหล่านี้ อย่างน่าขบขัน

........ความคิดเหล่านี้เป็นความคิดส่วนตัวของแต่ละบุคคล ไม่มีใครสามารถจะมาบังคับบัญชากันได้ บางครั้งข้าพเจ้าก็อาศัย ความทรงจำเหล่านี้มาทำประโยชน์ให้แก่จิตใจของข้าพเจ้าเอง เวลาใดที่รู้สึกเครียดเบื่อหน่าย หรือมีทุกข์วุ่นวายในอารมณ์ ทางคลายเครียดของข้าพเจ้ามักจะใช้ความทรงจำในเรื่องสนุกในอดีตมาช่วยคลายเครียดให้จิตใจที่เศร้าหมองให้กลับชดชื่นได้ชั่วขณะ

........ทำไม..ข้าพเจ้าถึงกระทำเช่นนั้น มิใช่ใครที่ไหนเลย ท่านที่ได้เมตตาอบรมสั่งสอนให้ศิษย์ของพระคุณท่านได้สัมผัสและรู้สิ่งที่เป็นอดีตเหล่านั้นได้ พระเดชพระคุณองค์ คือหลวงพ่อพระอาจารย์ผู้ประเสริฐของพวกเรา เจ้าคุณพระราชพรหมยานองค์นี้เอง

กาลเวลาผ่านไปนานประมาณ ๒๐ กว่าปี ข้าพเจ้าได้พบเพื่อนรักที่สนิทสนมกันมากคนหนึ่ง คือ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ผู้เป็นเจ้าของ บ้าน สายลมนี้เอง คนที่สองคือคุณเนาวรัตน์ ทีวะเวช และตัวของข้าพเจ้าเอง เราสามคนได้จูงมือกันเข้าวัด ถือศีลกินเพลกันเป็นเวลานาน ที่วัดเบญจมบพิตรฯ ทุกครั้งที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาเสร็จแล้ว เราจะไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันเป็นนิจ

วันหนึ่งข้าพเจ้าจำได้ที่คุณเฉิดศรีชวนข้าพเจ้าไปแวะคุยกันที่บ้านสายลม เมื่อสมัยก่อนนั้นอาคารบ้านของเธอมิได้ใหญ่โตกว้างขวางอย่างปัจจุบันนี้ บริเวณบ้านกว้างขวางร่มเย็น คุณเฉิดศรีได้กระซิบบอกข้าพเจ้าว่า อยากให้ข้าพเจ้าไปพบกับพระองค์หนึ่งซึ่งท่านมาจากจังหวัดอุทัยธานี ท่านเป็นพระอาจารย์ที่ดูหมอแม่นยำมาก หากพบท่านแล้วให้เรื่องซักถามท่านเรื่องอะไรก็ได้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของข้าพเจ้า แม้แต่เรื่องอดีตหรืออนาคตของเราก็ได้

คุณเฉิดศรีพาข้าพเจ้าขึ้นไปบนห้องพระของเธอ ข้าพเจ้าคลานตามเข้าไปในห้องพระนั้น พอข้าพเจ้าเงยหน้ามองขึ้นไปที่มุมหนึ่งของห้องพระ ข้าพเจ้าเห็นพระภิกษุรูปนั้นนั่งบนเก้าอี้ชิดอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องพระนั้น ท่านมีร่างไม่ใหญ่โต ผิวเนื้อสองสี แววตาของท่านที่มองข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความเมตตา ข้าพเจ้ากราบท่านแล้วก็พูดอะไรไม่ออก

คุณเฉิดศรีกระตุ้นให้ข้าพเจ้าถามปัญหาท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมถามอะไรท่านเลย หูได้ยนเสียงมาจากท่านว่า จะถามอะไรก็ได้ เมื่ออ่านเห็นข้าพเจ้ายังเฉยอยู่ ท่านก็เป็นฝ่ายถามข้าพเจ้าว่า เมื่อยังเด็กๆ เราชอบรำละครมากใช่ไหม ข้าพเจ้าตอบท่านว่าใช่ และมีเครื่องแต่งตัวละครเป็นตัวนางด้วย

ท่านบอกว่าข้าพเจ้าลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่เบื้องบนชอบร้องรำทำเพลงทั้งวัน จึงติดนิสัยนั้นลงมาด้วย นี่เป็นชีวิตในอดีตชาติที่ข้าพเจ้าไปทราบเป็ฯครั้งแรก ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้ทราบและรู้สึกภูมิใจที่ได้มาจากที่ดีมาเกิด แล้วมาเป็นมนุษย์ที่ยังรู้จักเข้าวัดศึกษาและปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย

ข้าพเจ้าได้ติดตามหลวงพ่อเพื่อร่ำเรียนธรรมะจากท่านนับ ตั้งแต่ครั้งนั้น ต่อมาหลายสิบปีไม่เคยได้ห่างท่านเลยจนกระทั่งบัดนี้ พระธรรมคำสั่งสอนและวิชาต่างๆ ได้ปฏิบัติมาตามที่ท่านได้อบ รมมาทุกประการ คงไม่ใช่แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น บัดนี้เป็นจำนวนมากมาย ที่ศิษย์ของหลวงพ่อได้ซาบซึ้งถึงคำสั่งสอนของท่านตลอดไป

เวลาผ่านไปข้าพเจ้ายังมีโอกาสฝึกวิชาที่เรียกว่ามโนมยิทธิ ขณะที่ท่านได้เริ่มสอนวิชานี้ บังเอิญเป็นวันที่ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งให้ไปร่วมฝึกซ้อมร้องเพลงทำนองอาเศียรวาทถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันเฉลิมฯ ได้ผ่านไปแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปที่บ้านสายลม ทันใดที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมองเห็นข้าพเจ้า

ท่านถามข้าพเจ้าว่า "ฝึกมโนมยิทธิได้แล้วหรือยัง" ขณะนั้นพอดีศิษย์ของท่านคนหนึ่งที่ฝึกสำเร็จมาแล้วชวนข้าพเจ้าไปฝึกด้วย เป็นบุญของข้าพเจ้าแท้ๆ ที่ได้ไปฝึก ก็ทำได้ในวันนั้นเอง ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ไปเห็นสวรรค์เบื้องบนเหมือนฝัน วิชานี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

มีครั้งหนึ่งที่จะลืมเสียไม่ได้ในชีวิต ข้าพเจ้าได้ทำสมาธิอยู่ที่บ้านโดยกำหนดจิตในสมาธิขึ้นไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน รู้สึกตนได้ไปนั่งบนห้องโถงใหญ่ช่างสวยสดงดงามเสียเหลือเกิน ณ ที่นั้นได้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันประทับบนพระแท่นที่แวววาวภายใต้พระเศวตฉัตร ทรงแต่งพระองค์เยี่ยงกษัตริย์ ทรงพระมงกุฏเพชร ทรงฉลองพระบาททองปลายงอน

ข้าพเจ้าก้มลงกราบถวายบังคมแลัอธิษฐานขอบารมีของพระองค์ท่านให้ข้าพเจ้าได้เห็นชัดเจน ข้าพเจ้ารู้สึกอิ่มเอิบเหลือเกิน ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตั้งแต่พระบาทขึ้นไป พระรูปพระโฉมช่างงดงามสุดที่จะพรรณนา จิตของข้าพเจ้านึกย้อนไปรำลึกถึงเมื่อยังเป็นนักเรียน คุณครูสอนไว้ถึงเรื่องพระรูปพระโฉมของพระองค์ท่านว่า พระองค์ท่านนั้นงดงามด้วยพระพุทธลักษณะของพระมหาบุรุษทุกประการ ข้าพเจ้าพนมมือขึ้นเห็นพระ
พักตร์อย่างชัดเจน

เมื่อเห็นแล้วก็เกิดปิติอิ่มเอิบจนถึงกับร้องไห้ร้องน้ำตาอาบหน้า สะอึกสะอื้นอยู่ตลอดเวลา ภาวนาอยู่ในใจทูลถามท่านว่า ไฉนชีวิตเกิดมาจึงได้มีแต่ความทุกข์ไม่มีสุขอันแท้จริงเลย ข้าพเจ้าได้รับตอบจากพระองค์ท่านอยู่ในจิตว่า

เธอจงอย่าเอาตัวของเธอไปเปรียบเทียบกับผู้ที่เขาสุขกว่า ดีกว่า จงดูคนที่เขามีความทุกข์ ยากไร้กว่าเรา แล้วเธอจะนั่งอยู่บนกองทุกข์นั้นด้วยความสุข

คำรับสั่งเหล่านี้ตรึงอยู่ในใจเสมอมาไม่เคยลืมเลย และก็มิได้เล่าให้ใครทราบเลย แม้แต่หลวงพ่อ เกรงว่าจะไม่มีใครเขาเชื่อเราเป็นแน่ ข้าพเจ้าได้ไปหาหลวงพ่อที่บ้านสายลม พวกเรานั่งกันอยู่มากหลายคน หลวงพ่อท่านเรียกข้าพเจ้าและพูดว่า

เมื่อครู่นี้เององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ปัจจุบันได้เสด็จมา ได้ชี้มาที่ข้าพเจ้าแล้วรับสั่งว่า ศิษย์ของเธอคนนี้ได้ขึ้นไปหาฉัน ไปนั่งร้องไห้ ฉะอ้อนฉันอยู่ข้างบนตั้งนาน ข้าพเจ้าตกใจและแปลกใจว่าไม่เคยเล่าให้ใครทราบเลย แต่เหตุไฉน หลวงพ่อถึงได้ทราบได้

ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าทำได้ก็เพราะพระคุณของหลวงพ่อที่ท่านได้เมตตาสอนวิชามโนมยิทธิให้กับข้าพเจ้า ข้าพ เจ้าขอเทอดพระคุณของหลวงพ่อไว้ตลอดกาลธรรมะ และวิชาอันพิสดารลึกซึ้งนี้แพร่ทั่วไป หากผู้ใดปรารถนาตั้งจิตรับไว้ พระคุณเจ้า ไม่เคยจะปกปิดแต่อย่างใดเลย

เมื่อเจ้าคุณราชพรหมยานยังมิได้เป็นเจ้าอาวาส และเมื่อใดได้เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุงแล้ว พระคุณเจ้าได้ปฏิสังขรณ์วัดท่าซุงนี้ไว้มากมาย บัดนี้วัดท่าซุงได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากอย่างพิสดาร วัดท่าซุงได้มีอาณาเขตเพิ่มขึ้น มีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นและเพิ่มเติมมิได้หยุดยั้ง เดี๋ยวนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่สวยงามและใหญ่ยิ่งจริงๆ โบสถ์ วิหารและศาลา ได้ปรากฏให้เห็นกว้างขวางสามารถรับคนที่มาปฏิบัติธรรมได้มากมาย

งานพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน เมื่อปี ๒๕๑๘

ขอเล่าถึงเมื่อครั้งก่อนที่หลวงพ่อได้สร้างโบสถ์ใหม่ ทางวัดจะจัดงานใหญ่ คือหล่อรูปหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าไปถวายความเห็นแด่หลวงพ่อ ขอให้ท่านอัญเชิญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พระบรมราชินีนาถ ให้ทรงพระราชดำเนินมายังวัดท่าซุง เนื่องในงานเหล่านี้คืองานเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน หลวงพ่อได้ตกลงเห็นด้วยในความคิดนี้

ข้าพเจ้ารับอาสาเป็นผู้ไปทูลเชิญเสด็จ เพราะในขณะนั้นได้เข้าเฝ้าในพระบรมมหาราชวังบ่อยๆ เนื่องด้วยข้าพเจ้าได้เป็นช่างทำพระเกศาถวายสมเด็จพระบรมราชินีนาถเป็นประจำ

เมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้า ข้าพเจ้าได้กราบแทบพระบาทขอพระอนุญาตกราบบังคมทูลเชิญเสด็จ และกราบบังคมทูลประวัติของหลวงพ่อต่อพระองค์ท่าน และขอให้ท่านได้ทรงพระกรุณาไปเททองหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ปาน

สมเด็จฯ ได้รับสั่งว่าจะเสด็จพระราชดำเนินมาวัดท่าซุงให้ได้แน่นอน ช่างเป็นที่น่าปลื้มใจเสียจริงๆ ที่ทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าเช่นนี้ เมื่อวันสำคัญมาถึง พสกนิกรพลเมืองอุทัยธานีได้มาชุมนุมเฝ้าชมพระบารมีกันอย่างเนืองแน่น พระทูลกระหม่อมแก้วได้เสด็จมาทั้งสองพระองค์ พระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์

หลวงพ่อได้เฝ้าอย่างใกล้ชิด ทรงพระมีราชปฏิสันฐานกับหลวงพ่อในพระอุโบสถเป็นเวลานาน และในโอกาสสำคัญต่อมา ปี ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสแต่งตั้งหลวงพ่อเป็นศูนย์แทนพระองค์ ชื่อว่า "ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ้นทุรกันดาร" พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้น้อมรับพระราชดำรัสนี้ และได้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ทุกประการ

คณะของหลวงพ่อฯ ซึ่งมีพระภิกษุสงฆ์ในวัดและบรรดาศิษย์ทั้งหลายได้ติดตามท่านบุกป่าไปในแดนทุรกันดารตามจังหวัดต่างๆ เสมอมา ไม่เคยมีการย่อท้อแต่ประการใดเลย

ท่านเจ้าคุณราชพรหมยานได้สร้างคุณงามความดีให้ประจักษ์แล้วทุกประการทั้งทางโกลและทางธรรม บุคคลทั้งหลายหากมีใจศรัทธาและปรารถนาที่จะพึ่งพระพุทธศาสนาเป็นหลักใจ พระคุณเจ้าจะให้แสงสว่างแก่เราทุกคน ผู้ใดต้องการจะละกิเลสพ้นทุกข์ ก็จะพึงได้รับคำสั่งสอนและทางปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่เป็นศิษย์ท่านมานานหลายปีแล้ว เดี๋ยวนี้ยังยึดมั่นในคำสั่งสอนของท่านเพื่อการดับทุกข์ เพื่อการสำเร็จกิจในชาตินี้ คือพระนิพพานเป็นที่สุด ขอพระคุณเจ้าได้โปรดช่วยให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จสมดั่งความตั้งใจในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด..

คำพยากรณ์ที่เขื่อนยันฮี

ขอเล่าเรื่องคุณหญิงสุวรรณาภาแถมอีกนิด เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ไม่ถือตัว มีจริยานุ่มนวล พูดจาอ่อนหวาน ท่านลืมบันทึกเหตุการณ์ที่สำคัญตอนหนึ่ง ที่หลวงพี่ชัยวัฒน์ท่านได้ประสบด้วยตนเอง ท่านได้เล่าว่า

เมื่อปลายปี 2519 ก่อนที่ท่านจะบวชที่วัดท่าซุง ท่านได้ร่วมเดินทางไปเชียงแสนกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อและคณะศิษย์หลายสิบคน ในจำนวนนั้นก็มีท่านหญิงวิภาวดี รังสิต และคุณหญิงสุวรรณาภารวมอยู่ด้วย แล้วก็ล่องกลับมาพักค้างคืนที่บ้านพักในเขื่อนยันฮี จังหวัดตาก

ตอนบ่ายหลังจากที่หลวงพ่อฯ และหลวงปู่ธรรมชัยและคณะศิษย์ได้ล่องเรือในอ่างเก็บน้ำกลับมายังที่พักแล้ว ตอนหัวค่ำก็มีการสนทนาธรรมที่เรือนพัก คืนนั้นท่านได้เล่าเรื่องเหตุการณ์ในอดีตสมัย พระพุทธกัสสป ว่าได้เคยเสด็จมา ณ สถานที่นี้ สมัยนั้นเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก (ส่วนรายละเอียดจะมีเล่าอยู่ในเทปชุด "เขื่อนยันฮี" ปี 2519)

แต่ในตอนท้ายหลวงพ่อเล่าว่า ขณะนั้นพระได้มาบอกหลวงพ่อว่า ในจำนวนคนทั้งหมดที่เจริญกรรมฐานกันในคืนนี้ มีคนเสื้อดำอยู่คนหนึ่ง ตายแล้วไม่ได้ผุดได้เกิด นั่นหมายความว่า คืนนั้นคุณหญิงใส่เสื้อสีดำคนเดียว จึงมีโอกาสที่จะไปนิพพานในชาตินี้ ซึ่งทุกคนที่รับฟังต่างก็เข้าใจว่าเป็นคุณหญิงอย่างแน่นอน พวกเราจึงขออนุโมทนาความดีของท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย.

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 19/3/09 at 07:56

(Update 19/03/52)


นายดาบตระกูล เปาริก


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

มาเฝ้าวัด

........สมัยก่อนวัดท่าซุงมีขโมยชุกชุม พระพุทธรูปมักจะถูกขโมยลักไปบ่อยๆ สมัยนั้นหลวงพ่อเริ่มมีการก่อสร้างขึ้น พวกเหล็กและวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างก็มักจะถกขโมยเสมอ แม้กระทั่งเรื่องการเงิน ก็ถูกคนมาขู่จะเอาเงินบ่อยๆ จึงมีปัญหาในด้านความปลอดภัย

.........ทางการจึงได้ส่งผมมาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นครั้งแรกในปี ๒๕๑๔ โดยพันตำรวจตรีโกศล สว่างวงศ์ (เป็นผู้บังคับกองสมัยนั้น) เป็นผู้ส่งผมมา สมัยนั้นผมยังมียศเป็น "จ่า" อยู่ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าสายสืบ เป็นสายตรวจพิเศษท้องที่อำเภอเมือง โดยกลางวันผมก็ปฏิบัติหน้าที่ทางราชการ พอกลางคืนผมก็มาดูแลรักษาความปลอดภัยที่วัดท่าซุงประจำ

........ซึ่งสมัยนั้นทางวัดมีกุฏิอยู่เพียงหลังเดียวใต้ต้นโพธิ์ ตอมผมมาใหม่ๆ มาช่วยดูแลความปลอดภัยที่วัดท่าซุง ผมก็รู้แต่เพียงว่าหลวงพ่อเป็น "พระหมอดู" และดูแม่นด้วย และทราบว่าท่านเป็นพระกรรมฐานด้วย คนมาหากันไม่ค่อยขาด กลางคืนหลวงพ่อสอนกรรมฐาน ๒ ทุ่ม เลิกประมาณ ๔ - ๕ ทุ่ม บางคืนก็ถึงเที่ยงคืน บางคราวถึงตี ๒ แล้วหลวงพ่อรู้ว่าพวกผมยังไม่ยอมนอนกันเพราะคุยกันอยู่ ท่านก็ลงมาคุยกับพวกเราอีก

........อยู่กับหลวงพ่อแล้ว จะเห็นว่าหลวงพ่อออกตรวจบริเวณวัดเพื่อดูแลของสงฆ์อยู่เสมอ เมื่อเห็นท่านเดนออกไปหน้าวัดองค์เดียว ก็วิ่งตามท่านไป ผมก็เห็นท่านเดินแบบธรรมดาตามปกติ แต่ผมวิ่งตามทีไร วิ่งไม่ค่อยจะทัน ทั้งๆ ที่ผมอยู่หน่วยตรวจการพิเศษต้องซ้อมวิ่งอยู่เป็นประจำ สมัยเกือบ ๒๐ ปีที่แล้วผมยังกระฉับกระเฉงอยู่ จึงทำให้ผมนึกแปลกใจอยู่เสมอ

วิ่งไล่หลวงพ่อ
อยู่มาวันหนึ่ง ประมาณปี ๒๕๑๗ เวลากลางคืนประมาณ ๔ ทุ่มเดือนหงาย ผมได้ยินสุนัขเห่า บริเวณไม่ห่างจากกุฏิหลวงพ่อ (กุฏิตรงบริเวณตึกริมน้ำ) ได้ยินเสียงสุนัขเห่าตรงหอฉันอาหารที่ใช้อยู่ปัจจุบัน (แต่ก่อนยังเป็นโรงก๊วยเตี๋ยว) ผมคิดว่าขโมยเข้าวัดแน่

จึงเตรียมพร้อมออกไปทางฝั่งตรงข้ามถนน คือฝั่งโบสถ์ใหม่ สมัยนั้นบริเวณแถบนั้นทั้งหมดเป็นป่าตลอดแนว ผมเห็นคนจึงวิ่งไล่ แต่ไล่ไม่ทัน เพราะว่าขโมยวิ่งแยกเข้าป่าไป ผมเดินอยู่พักใหญ่ ตามหาขโมยไม่พบเพราะมันมืด จึงกลับ ก็เห็นหลวงพ่อเดินอยู่บริเวณทางเข้าศาลา ๑๒ ไร่ ขณะนั้นยังเป็นป่า (ซึ่งเข้าใจว่าหลังจากที่ผมไล่ขโมยออกมา หลวงพ่อคงตามผมออกมาทีหลัง)

ผมก็วิ่งตามหลวงพ่อมาแต่ไม่ทัน สงสัยว่าทำไมหลวงพ่อจึงไม่พูดด้วย เลยวิ่งตามไป ส่วนหลวงพ่อก็เดินก้าวไปตามธรรมดา แต่ผมตามไม่ทัน วิ่งมายันหลวงพ่อตรงใกล้ต้นมะม่วงหน้าตึกกองทุน (ซึ่งแต่ก่อนเป็นศาลาดิน มีเสาโด่เด่กับหลังคา) ก็พยายามเอามือคว้าจีวรหลวงพ่อไว้ แต่จับหวิดๆ เห็นหลวงพ่อเดินทะลุประตูเหล็กยืด ซึ่งล็อคกุญแจอยู่ เดินทะลุผ่านเข้าไปเฉยๆ โดยไม่ได้ไขกุญแจ

ผมก็รีบกระโดดข้ามรั้วด้านขวามือ ซึ่งอยู่สูงแค่เอวเพื่อจะไล่ตามให้ทัน ผมก็สงสัยว่าหลวงพ่อคงไม่ใช่พระธรรมดาแน่ๆ ท่านก้าวยาวๆ เท้าไม่ถึงพื้น ผมวิ่งหอบแต่เห็นท่านเดินเฉยๆ ก้าวช้าๆ ผมวิ่งไม่ทัน ผมจึงวิ่งขึ้นตึกพระกรรมฐาน ซึ่งอยู่ติดกับตึกริมน้ำที่หลวงพ่อพักอยู่ ขึ้นไปถึงก็วิ่งไปที่หน้าต่าง ซึ่งหน้าต่างห้องพระกรรมฐานก็ตรงกับห้องหลวงพ่อ ตอนนั้นหลวงพ่อเข้ากุฏิไปแล้ว หน้าต่างห้องในกุฏิหลวงพ่อยังเปิดอยู่ ผมเห็นหลวงพ่อเฉยอยู่หน้าพระพุทธรูป (หน้าโต๊ะหมู่บูชา)

พอตอนเช้า ผมก็ไปถามหลวงพ่อว่า เมื่อคืนหลวงพ่อเล่นอะไรกับผม หลวงพ่อถามว่า "เออ ไล่ทันไหมเล่า" ผมก็ตอบว่า "ไล่ไม่ทัน ผมพยายามคว้าจีวรหลวงพ่อหวิดๆ เห็นหลวงพ่อเดินทะลุประตูเฉย ผมต้องกระโดดข้ามรั้วเพื่อจะตามไปให้ทัน" หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ แต่ไม่พูดว่าอะไร

ทองเคลื่อนที่
อยู่มาอีกวันหนึ่ง ตอนเที่ยงคืน ผมนอนอยู่ได้ยินเสียงดังครืดๆ ดังนานประมาณร่วม ๑ นาที ทำให้คิดว่าต้นยางล้มหรือเจดีย์โค่นหรือเปล่า ผมก็รีบออกไปดูที่โบสถ์เก่า เสียงดังมากจนชาวบ้านแตกตื่นนึกว่าทางวัดมีอะไรเกิดขึ้น ชาวบ้านพายเรือกันมาดูหลายราย ผมก็วิ่งเอาไฟฉายไปส่อง (เดือนมืด) เดินดูรอบๆ ที่โบสถ์เก่า

แต่ก่อนรอบโบสถ์เป็นพื้นดินธรรมดา เดินไปหลังโบสถ์ไปเจอรูกว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เมตร ดินยุบลงไป หลวงพ่อก็ออกตามมาทีหลัง มีพระตามออกมาหลายองค์ "ทิดวี" ก็วิ่งตามออกมาด้วย สุนัขก็วิ่งตามหลวงพ่อมาเป็นฝูง ผมก็บอกหลวงพ่อว่าดินยุบลงไป

หลวงพ่อก็พูดว่าทองเคลื่อนตัวย้ายไปอยู่แถบใต้ห้องพระกรรมฐาน ผมก็เอาเหล็กเส้นยาวประมาณ ๑๒ เมตร แหย่ลงไปยังไม่สุดก้นหลุมเลย ชาวบ้านพากันมาดูด้วยควมแตกตื่น หลวงพ่อบอกว่าถึงเวลาเมื่อไร ทองก็จะขึ้นมาเอง

หลวงพ่อหายตัว
มีอีกเรื่องหนึ่ง ในปี ๒๕๑๗ ตอนนั้นหลวงพ่อเริ่มสร้างโบสถ์แล้ว ฝั่งโบสถ์นั้นประตูใหญ่จะปิดไว้อยู่เสมอจะเปิดประตูบานเล็กเท่านั้น วันนั้นมีผมและตำรวจด้วยกัน มีนายดาบหน่าย(ตอนนั้นมียศเป็น "จ่า")รวม ๕ - ๖ คน ซึ่งทางการสั่งมาคุมดูแลความปลอดภัย

ทางฝั่งโบสถ์ที่กำลังก่อสร้างอยู่ หลวงพ่อเดินถือไม้เท้าข้ามมาจากฝั่งริมน้ำ สุนัขวิ่งตามมาด้วย ท่านไปตรวจงาน พอข้ามมาถึงฝั่งโบสถ์ใหม่ ก็มีคนเดินตาม มีนายดาบหร่ายเดินตามหลวงพ่อ เพราะว่าอยากได้พระ(วัตถุมงคล)จากหลวงพ่อ จึงเดินตามหลวงพ่อไป อยู่ๆ ก็ไม่เห็นหลวงพ่อ วิ่งกลับมาหาผมซึ่งยืนรออยู่ที่ประตูทางออกตรงหน้าวัด

ผมก็บอกว่ายังไม่เห็นหลวงพ่อออกมาเลย นายดาบหร่ายบอกหาแล้วไม่มี ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าเหตุเคยเกิดกับตัวเองมาครั้งหนึ่งแล้ว จึงพูดกับนายดาบหร่ายว่า หลวงพ่อคงอยู่ที่กุฏิแล้วมั้ง นายดาบหร่ายก็เดินข้ามฟากไป ไปเจอคุณเอี่ยม ซึ่งเป็นแม่ครัวอยู่ในโรงครัวของวัดท่าซุง ก็ถามว่าเห็นหลวงพ่อไหม

คุณเอี่ยมบอกว่าหลวงพ่ออยู่ที่กุฏิกำลังคุยกับ พล อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขศวัสดิ์(ยศสุดท้าย) ก็เลยงง เพราะตาก็ไม่ฝาด สุนัขก็วิ่งออกมากับหลวงพ่อเป็นฝูง และสุนัขก็ยังวิ่งกลับมาเป็นฝูงในภายหลังโดยไม่มีหลวงพ่อร่วมมาด้วย ตั้งแต่นั้นมาทำให้เลิกสุราไปได้หลายคนและทำให้เชื่อฟังหลวงพ่อ และคอยระมัดระวังตัวกันมากขึ้น

ผมมีความเคารพและศรัทธาหลวงพ่อ มีความเชื่อว่าหลวงพ่อเป็นพระที่สมควรแก่การกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ ไม่มีข้อสงสัยใดๆ และเกิดความกลัวที่จะทำอะไรผิดพลาด กลัวแม้แต่คำพูดที่หลวงพ่อพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เพราะคิดว่าท่านพูดอะไรมักเป็นไปตามนั้น เพราะพบมากับตัวเองหลายรายแล้ว ที่หลวงพ่อพูดอย่างไร ก็มักเป็นไปตามนั้น

ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อสั่งอะไรมา ผมก็ทำตามนั้น ไม่กล้าทำอะไรเกินเลย ผมจึงถือว่าผมโชคดีที่ได้มีโอกาสพบหลวงพ่อ และมีโอกาสมารับใช้หลวงพ่อตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้...

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 8/4/09 at 15:50


(Update 08/04/52)

บุญถึง สุวรรณวิสิฏฐ์

" ผมกับหลวงพ่อ "




หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑


ก่อนที่ผมจะมอบตัวเป็นศิษย์
ผมขอเล่าเรื่องที่พบกับหลวงพ่อตั้งแต่เริ่มแรกเลย ตอนไปพบกันครั้งแรกๆ ผมเรียกท่านว่า "มหา" แต่ภายหลังก็ค่อยเปลี่ยนคำเรียก จนกระทั่งเรียกว่า "หลวงพ่อ" ซึ่งหลวงพ่อก็พูดเองว่า "เอา เอากับเขาด้วยหรือ" ผมได้พบหลวงพ่อครั้งแรกตั้งแต่ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๐๕

ทั้งนี้เพราะผมได้พบกับพระครูวิชาญชัยคุณ เจ้าอาวาสวัดปากคลองมะขามเฒ่า ปัจจุบัน ท่านดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอที่ อำเภอวัดสิงห์ ซึ่งผมขอเรียกสั้นๆ ว่า "พระครูวิชาญ" ผู้ซึ่งทำให้ผมได้กลายเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ มาจนกระทั่งบัดนี้

เมื่อพบพระครูวิชาญ ท่านบอกผมว่า "ฉันพบพระเก่งอยู่องค์หนึ่ง ชื่อพระมหาวีระ ศิษย์หลวงปู่ปาน คุณลองไปหาซิ อยู่ที่วัดโพธิ์ จ.ชัยนาท" พออีก ๒ - ๓ วัน ผมก็ไปหาแบบมือเเปล่า แบบที่ไปหาพระทั่วๆ ไป ไปถึงก็เอาสตางค์ไปถวายอย่างนั้นแหละ

เมื่อไปถึงก็กราบท่าน กุฏิท่านเล็กนิดเดียว มีชานออกมานิดหน่อย ท่านจะปูเสื่อให้นั่งก็บอกท่านว่า ไม่ต้อง ท่านพูดว่า "เออ..ตรงนี้ เป็นที่หมานอน และที่ฉันข้าวด้วย" หลวงพ่อมีหมาหลายตัว

ก่อนที่ผมจะไปหาหลวงพ่อ ผมตั้งใจไปทดสอบท่านก่อน จึงได้จุดธูปไหว้พระก่อนไป โดยตั้งใจอธิษฐานว่า "อยากจะไปหาพระมหาวีระ และอยากจะไปทดลองท่านด้วย" ปกติหิ้งบูชาพระของผม ผมเรียงพระหันหน้าไปทางเดียวกันทุกองค์ แต่วันนั้นผมจับอีกองค์หนึ่งที่อยู่ข้างหน้าหันหลังออก เพื่อขอทดลองดูว่า พระองค์นี้เก่งจริงไหม พอกราบท่านเสร็จท่านก็ถามว่า

"อ้าว..คุณมาจากไหน" ก็ตอบว่า "ผมมาจากมโนรมณ์" ท่านก็บอกว่า "อ๋อ..คุณบุญถึงหรือ" แน่ะ..รู้จักชื่อผมด้วย ยังไม่ทันบอกเลย ผมก็ทำท่างง ท่านก็บอกว่า "พระครูวิชาญเคยพูดไว้ บอกว่าคุณบุญถึงนะดี ชอบคุยด้วย เพราะคุยดี เคยไปช่วยการงานทางวัดอยู่บ่อยๆ"

ท่านก็อยากรู้จัก ท่านก็ถามถึงการทำมาหากินดีไหม คุยกันอยู่พักหนึ่ง ท่านก็พูดว่า "เออ..คุยกันเสียนานมีธุระอะไรหรือ" ผมก็พูดว่า "ที่มานี่ ก็อยากให้ตรวจดู ก็ไม่ดูอะไรมาก ก็ดูเรื่องการทำมาหากินละอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ อยากให้ดูในบ้านว่าจะมีอะไรไหม เช่นอย่างกับหิ้งพระที่ตั้งไว้ถูกต้องไหม" ก็เน้นเลยนะ

หลวงพ่อก็บอกว่า "เอ้า จุดธูป" ก็เอากระถางธูปมา ตั้งตรงโต๊ะที่ท่านฉันข้าว ผมก็จุดธูป พอจุดเสร็จ ท่านก็นั่งหลับตา พอลืมตาขึ้นมา ท่านก็เอ่ยว่า "แฮะ..อะไรก็ถูกต้องดีแล้ว ไม่มีอะไรหรอก ที่คุณตั้งศาลไว้นั่น" (ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ถามเรื่องศาลมีหรือไม่มี) ก็พูดขึ้นมาเลยว่า

"ที่คุณตั้งศาลไว้นั่นไม่มีเจ้าที่อยู่หรอก ท่านอยู่ที่กกมะขามใหญ่ รูปร่างอ้วนดำใหญ่ พุงพลุ้ย คาดผ้าขาวม้า นุ่งกางเกงขาก๊วย แต่ที่คุณตั้งนะถูกต้อง แต่ข้อสำคัญคุณตั้งพระสำหรับบูชาบนหิ้งนั้น ทำไมคุณตั้งหันหลังออกเสีย ๑ องค์ เล่า ทุกองค์ตั้งถูก คุณไปกลับเสียใหม่นะ ตั้งอย่างนั้นไม่ถูก"

พอผมได้ยินอย่างนั้น ผมก็ยิ้มในใจ จึงกราบ บอกว่าผมอยากเป็นลูกศิษย์ ท่านก็ว่า "เออดีๆ" ผมก็ถามว่าการเป็นศิษย์เขาทำยังไง ท่านก็บอกว่า "นี่ก็ลูกศิษย์แล้ว คุณบอกมา ฉันก็รับ ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์แล้ว" ผมก็พูดไปว่า "ไม่ใช่ครับ ที่เขาเป็นกันที่ถูกต้องจริงๆ นะ"

ท่านก็บอกว่า "นี่ก็ถูกต้องแล้วละ" ผมก็บอกว่า "เมื่อรุ่นหลวงปู่ปานล่ะ เขาทำกันอย่างไร" ท่านก็บอกว่า "มีผ้าขาวปู มีเครื่องบายศรีปากชาม ข้าวปากหม้อ และไข่ลูกยอด ธูปเทียน ข้าวตอก ดอกไม้ ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ไส้กระทงอย่างละ ๖ กระทง ทำกันวันพฤหัส"

คุยกันไปคุยกันมา ผมก็บอกว่า ถ้าอย่านั้นผมจะทำบ้าง ท่านก็บอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นที่ใจ" ผมก็บอกว่า ถึงไม่มีใครทำแต่ผมก็อยากจะทำ ผมจึงเล่าเรื่องที่ทดลองท่าน บอกท่านไปตรงๆ ว่า

"การที่ผมจะเคารพพระองค์ไหนผมก็เลือก ไม่ว่าจะเป็นองค์ไหนก็ตาม ปกติใครมาชวนผมไป อย่างเช่นหลวงพ่อองค์อื่น (นี่ผมไม่ได้ลบลู่ท่าน) ผมไม่ไป เพราะถ้าเกิดผมไปแล้ว มีความศรัทธาเกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่มีเวลาไปกราบท่าน จิตใจผมจะไม่สบายใจ คล้ายๆ กับปากบอกว่าคิดถึง แต่เวลาเป็นปี หรือ ๒ ปี ก็ยังไม่เคยไปเยี่ยมกัน อย่างนี้ผมไม่สบายใจ นี่คือเหตุผลของผมที่ผมเลือกพระ"

ผมจึงถามท่านว่า "วันพฤหัสหน้าท่านจะอยู่ไหม ผมจะมาถวายตัวเป็นศิษย์ในวันนั้น" ท่านตอบว่า "เออ..อยู่" พอถึงวันพฤหัส ผมก็มาแต่เช้าเลย กินข้าวเช้าแล้วก็ไปหา ไปถึงก็เอาเครื่องอะไรต่ออะไรใส่ถุง จะถือไปอย่างนั้นก็อายเขา ใส่ถุงเบ้อเริ่ม กระทงก็เตรียมไปพร้อม ไปถึงหลวงพ่อก็นั่งรออยู่ก่อนแล้ว จึงเข้าไปกราบๆ ท่านก็พูดว่า "เออ..คุณเอาจริงๆ รึเนี่ย" ก็ตอบว่า "เอาจริงซิครับ" จึงเริ่มพิธี

จึงจัดผ้าขาวปูบนโต๊ะฉันข้าว วางเครื่องบายศรีปากชาม ข้าวปากหม้อ และไข่ลูกยอดธูปเทียน ข้าวตอก ดอกไม้ ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ใส่กระทง มีอาหารสำหรับฉันเพลด้วย ไม่มากนัก เรื่องสตางค์ท่านไม่ได้บอก แต่ผมก็ใส่สตางค์ ๒๐ บาท

(สมัยก่อนเงิน ๒๐ บาท เหมารถไปปากน้ำโพได้เลย ผมเคยเหมารถให้หลวงพ่อเป็นประจำ จากมโนรมย์ ไปชัยนาทแค่ ๑๕ บาทเท่านั้น น้ำมันลิตรละ ๒ บาทเท่านั้น)

เวลานั้นหลวงพ่อไม่ค่อยมีรายได้อะไร ผมเองก็ยังจนอยู่ เมื่อจัดอะไรเรียบร้อย ท่านบอกให้ผมจุดธูปเทียนแล้วพูดว่า "เอ้า..คุณอธิษฐาน" แล้วท่านก็บอกนำให้ผมว่าตาม จำไม่ได้ว่าพูดอะไรไปบ้าง พอว่าจนจบ ท่านก็ให้ผมนั่งตรงกับท่าน ท่านก็นั่งหลับตา พอท่านลืมตาขึ้นมา ท่านก็พูดขึ้นมาคำหนึ่งว่า "แหม..เสียท่าคุณเสียแล้ว"

คำพูดอันนี้มันแปลบ..เข้าไปในใจผมเลย และยังติดใจอยู่ไม่รู้หาย ผมนึกตำหนิหลวงพ่อในใจเลย ตำหนิว่า "เอ๊ะ..พระองค์นี้จะเอายังไงกับผม ให้ผมจัดการนำสิ่งต่างๆ มา ผมก็นำมาครบตามคำบอกแล้ว แม้แต่เรื่องสตางค์ไม่ได้บอกไว้ ผมก็ใส่สตางค์ไปด้วย แล้วมาพูดว่าเสียท่าผม

ท่านก็เอี้ยวตัวไปทางซ้ายมือตรงที่วางย่ามของท่าน ท่านก็หยิบผ้ายันต์ผืนใหญ่พร้อมกับพูดว่า "ผ้ายันต์ผืนนี้เนี่ย มีติดย่ามอยู่ผืนเดียว เป็นของหลวงพ่อปาน" ท่านบอกว่า "เมื่อกี้ตอนนั่งอยู่น่ะ หลวงพ่อปานมาบอกว่า ให้มอบผ้ายันต์ผืนนี้ให้กับคุณบุญถึง"

ท่านพูดว่าที่ท่านเสียท่าผมเพราะเหตุนี้ ผมจึงถึงบางอ้อขึ้นมา ท่านบอกให้เอาไปใส่กรอบแล้วแขวนไว้บูชาที่บ้าน ผ้ายันต์นี้ ท่านบอก "ไม่มีแพ้"

ในวันที่ผมถวายตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อนั้น ท่านให้ผมเรียนคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า และใส่บาตรด้วย ผมก็ค้านว่า จะให้ผมใส่บาตรทุกวันนั้น มันมีปัญหา เพราะว่าผมเป็นคนเดินทางบ่อย จึงถามท่านว่า "ผมจะเอาสตางค์มาจบแทนใส่บาตรได้ไหม" ท่านบอกว่า

"เออ..ได้คุณก็ดูว่า ข้าวเปล่าเขาขายราคาจานละเท่าไร คุณใส่สักแค่เท่าลูกไข่ไก่นะ สัก ๓ ลูก" สมัยนั้น ๕๐ สตางค์หรือสลึงเดียวก็ซื้อได้แล้ว เพราะข้าวแกงจานละแค่ ๒ บาทเท่านั้น ผมจึงรับปากว่าทำได้ และตั้งแต่นั้นก็ทำมาทุกวันไม่เคยขาด เงินที่ใส่บาตรนั้น ผมก็จะนำไปถวายหลวงพ่อและพระครูวิชาญ ๒ องค์

แต่เดี๋ยวนี้ก็มีองค์อื่นบ้าง เวลาผมเดินทางไปต่างจังหวัด ผมก็เอาสตางค์ขึ้นมาจบ แล้วก็ห่อไว้ ถ้าไปหลายวันก็จบแต่ละวันแล้วก็ห่อๆ ไว้ทุกวัน ผมและภรรยาทำเช่นนี้ไม่เคยขาดแม้กระทั่งลูก ๔ คนก็ทำตามตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน หลวงพ่อยังเคยพูดกับคนอื่นว่า คุณบุญถึงเขาทำอย่างนี้

ต่อมาภายหลังหลวงพ่อก็เริ่มทำบาตรมาแจก ผมรู้สึกว่าเป็นคนแรกที่ทำสตางค์ใส่บาตร ผมรู้จักท่านตั้งแต่ครั้งท่านเป็นพระมหาวีระ จนกระทั่งถึงแม้ท่านจะเป็นเจ้าคุณอะไร ผมก็ต้องถือเอาแบบตั้งแต่เดิมที่ท่านเคยสอนไว้นำมาปฏิบัติ

นอกจากนี้ท่านยังสอนว่า การถวายตัวเป็นศิษย์ต้องรักษาศีล ๕ ด้วย ผมก็บอกว่าเรื่องศีลนี้ ผมอาจจะบกพร่อง ท่านก็บอกว่า "เออ..ต้องพยายามเข้าเถอะ" การถือศีลของท่านนี้แปลกนะ ท่านแนะว่า

"อย่างการค้า ก็อย่าพูดว่าขาดทุน ถ้าขายไม่ได้ ก็ไม่ขาย บอกเขาเลยว่า ขายไม่ได้ เราก็ไม่โกหก เพราะเราไม่ขาย" อันนี้ก็หมดปัญหาไป "อย่างหมู่พวกมาขอยืมเงิน เราอย่าบอกว่าไม่มี เราก็บอกไม่ได้ จะเอาไว้ใช้" แน่ะ..ท่านก็หาทางออกให้ผม

ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ไปหามาสู่ผมตลอด มาหาผมที่โรงพิมพ์ ส.เจริญกิจ(โรงพิมพ์ของผมเอง) ก็มาหาบ่อย เรื่องที่เล่ามาเกี่ยวกับความเป็นมาของการพบหลวงพ่อ และจนกระทั่งฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อนั้น เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผม และได้จำติดตาติดใจมาจนทุกวันนี้

ความมหัศจรรย์ของพระบรมสารีริกธาตุ(อยู่วัดโพธิ์ จ.ชัยนาท)
จำไม่ได้ว่า ช่วงนั้นเป็นวันมาฆบูชา หรือวันวิสาขบูขา ก่อนจะถึงวันดังกล่าวหลวงพ่อบอกบรรดาลูกศิษย์ให้หาพระพุทธรูปมา ท่านจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุให้แก่บรรดาลูกศิษย์ ผมเองก็เช่นกัน พอฟังแล้วกลับมาบ้าน วันรุ่งขึ้น ก็มีคนลาวเอาพระพุทธรูปมาขายเลยซื้อไว้ ๑ องค์ เอาพระไปไว้กับหลวงพ่อ และได้นอนค้างคืนอยู่กับหลวงพ่อ ๑ คืน

ท่านให้ผมนอนตรงที่หมานอน ลูกศิษย์ลูกหาก็เอาพระมาตั้งไว้บนโต๊ะมากมาย หลวงพ่อก็ยกเจดีย์ทองเหลืองของท่านมาเปิดดู ก็เห็นว่ามีพระบรมธาตุมีอยู่นิดเดียว มีจำนวนไม่พอที่จะบรรจุพระทั้งหมด ท่านก็พูดว่า "ไม่เป็นไร" พอคุยเสร็จท่านก็เข้ากุฏิ ผมก็เตรียมตัวกางมุ้งนอนก่อน พอเข้านอน
ท่านก็ปิดประตู มีหมาเข้ามานอนข้างใน

หลวงพ่อบอกหมาว่า "อย่าไปกวนลุงเขานะ" พอท่านเข้านอนได้เดี๋ยวเดียวก็ได้ยินเสียงในกุฏิดังหวิวๆ เหมือนลมพัด แต่ไม่มีลม ผมก็ฟังอยู่สักครู่ก็หายเงียบไป พอตื่นเข้าขึ้นมาท่านก็ถามว่า "คุณบุญถึง เมื่อคืนคุณได้ยินเสียงพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาไหม" ตอบท่านว่าได้ยินแต่เสียงหวิวๆ จากทางทิศใต้ ตรงบริเวณหน้าต่างของหลวงพ่อ

หลวงพ่อจึงบอกว่า "นั่นแหละท่านเสด็จมาละ" และแล้วพอเปิดเจดีย์ออกก็เห็นพระบรมสารีริกธาตุเต็มเลย ท่านพูดว่า "ถ้ามีพระพุทธรูปมากกว่านี้อีก ๑๐ เท่า ก็ยังบรรจุไม่หมด" ท่านก็ให้ติดตัว ๑ องค์ เอามาบูชาที่บ้านขนาดเมล็ดข้าวสารหัก ปัจจุบันโตขนาดเมล็ดถั่วเขียว และมีเป็นตุ่มๆ งอกเต็มไปหมด

ซื้อแท่นพิมพ์ (อยู่วัดโพธิ์)
ตอนนั้นผมรับพิมพ์หนังสือ จะซื้อแท่นนอน หลวงพ่ออยู่ที่วัดโพธิ์ ก่อนที่ผมจะไปกรุงเทพฯ ก็จัดกระเป๋าไปแวะหาหลวงพ่อด้วย ไปถึงท่านก็ถามว่า "คุณจะไปไหน เห็นเตรียมกระเป๋า" จึงตอบท่านว่า "ผมจะไปกรุงเทพฯ ไปซื้อแท่นนอน อยากให้ช่วยตรวจดูให้หน่อย อย่าหาว่าเป็นการรบกวนเลย การไปซื้อของอย่างนี้ ผมก็ไม่ค่อยสันทัดเดี๋ยวจะโดนเขาต้ม จะได้ของไม่ดีกลับมา" ท่านบอกว่า

"ไปเถอะ ได้แน่ ไปหาเพื่อน ไปหาพวกที่เป็นเจ๊กๆ นะ" คนที่เป็นเจ๊กก็ทำงานตั้งแต่ ๖ โมงเช้าถึง ๖ โมงเย็น ก็ไปกับผมไม่ได้ ผมจึงไปหาคนสูงๆ ดำๆ ไปกัน ๒ - ๓วัน ไปช่วยกันตระเวนหาในกรุงเทพฯ หลายแห่ง แม้กระทั่งฝั่งธนก็หลายที่ เที่ยวตระเวนไป น่าจะได้แต่ก็กลับไม่ได้ จึงชวนคนดำไปหาเจ้าตงเป็นเจ๊กขาวจั๊วะเลย ไปหาตั้งแต่ตี ๕ ตั้งแต่ยังไม่ตื่น จึงไปปลุก และพูดว่า "ตง จะซื้อแท่นนอน"

พูดแค่นี้เท่านั้น ออกไปไม่ถึงชั่วโมงซื้อเสร็จเรียบร้อย ก่อนไปเจ้าตงก็บอกว่า "เวลาไปถึงอย่ากระโตกกระตาก ทำเฉยๆ เพราะเถ้าแก่มีแท่นดีๆ ที่เขาไม่ได้ใช้แล้ว เขาได้แท่นใหม่ทันสมัยมาแทน อันนี้มันล้าสมัยสำหรับเขา แต่ถ้าเอามาใช้ต่างจังหวัดอย่างบ้านเรา มันก็กลายเป็นของดีสำหรับเราและเป็นแท่นที่ตลาดต้องการ แท่นนี้เป็นแท่น ๒๖ นิ้ว หายากพิมพ์หนังสือได้ ถูกรื้อเป็นชิ้นๆ กองอยู่กับพื้น

เจ้าตงจึงพาผมไปหาเถ้าแก่ แล้วถามเถ้าแก่ต่อหน้าผมว่า "แท่นนี้จะขายไหม" ถ้าขายจะบอกขายให้กับผม เถ้าแก่ก็บอกราคามาเลย ๔,๕๐๐บาท คนรวยคงเห็นว่าแท่นถูกรื้อทิ้งเป็นชิ้นๆ ก็เหมือนเศษเหล็ก ไม่มีค่าอะไร จึงขายผมถูกมาก เมื่อซื้อแล้ว เจ้าตงก็ให้ผมขนกลับไปก่อน เขาก็ลางานมาค้างกับผม ๑ คืน มาประกอบให้เสร็จ

หลวงพ่อบอกว่า "เจ๊กนี่..มันไม่กินค่านายหน้า" จึงเล่าให้ฟังว่าจะกินได้ยังไงเจ้าของพูดต่อหน้ากันเลย ปกติเจ้าตงก็ไม่กินค่านายหน้าผมอยู่แล้ว เพราะผมเคยเลี้ยงข้าวปลากันอยู่เรื่อยๆ ผมได้ของมาราคาถูก ตอนที่ตระเวนดูราคาที่ถามมาตั้งแต่หมื่นกว่าบาท สองหมื่นกว่าบาทบ้าง พอติดตั้งเสร็จ หลวงพ่อก็มาเจิมให้พร้อมกับพระครูวิชาญ ท่านเอาผ้าแดงห่อเงิน ๑๐๐ บาท ผูกติดกับแท่น เป็นการผูกทำขวัญให้ เรื่องการซื้อแท่นนอนก็จบแค่นี้

ผ้ายันต์แดง(อยู่ปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท)
เรื่องการทำหนังสือคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ผมกับพระครูวิชาญเข้าหุ้นกันคนละครึ่งโดยทำ ๗,๐๐๐ เล่ม ส่วนหลวงพ่อ ทำผ้ายันต์แดง แบบผืนเล็กๆ สามเหลี่ยมยาวๆ ซึ่งผมติดตัวมาจนทุกวันนี้

หนังสือพระปัจเจกพุทธเจ้า โรงพิมพ์ทำบล๊อคพิมพ์คาถา พิมพ์ไปเถอะพรืดๆ มีแต่กระดาษเปล่าๆ ออกมา ถ้าคนอื่นคงพิมพ์ติด เพราะผมรับคาถามาแล้ว ก่อนพิมพ์ไม่ได้จุดธูปบอก พิมพ์พรืดๆ จึงไม่ติด พอจุดธูปบอกเท่านั้น ติดออกมาแจ๋ว ก็เล่าให้หลวงพ่อฟัง ท่านพูดว่าคุณรับคาถามาแล้ว ไม่จุดธูปบอกจึงเป็นอย่างนี้

พอพิมพ์เสร็จก็มาพิมพ์ผ้ายันต์แดงอีก พิมพ์พรืดๆ ออกมามีแต่รอย ไม่มีสีอีก เพราะว่ากำลังทำอยู่ พอลงมือพิมพ์ ผมก็พิมพ์เลยนุ่งกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้าม ไม่ได้นึก อะไร ไม่ได้คิดว่าจะต้องจุดธูปบอก พอจุดธูปก็ติดอีก ผมนี่ถ้าทำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่บอก พิมพ์ไม่ติด พิมพ์รูปหลวงศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าก็ไม่ติดอีก แปลกดี พอจุดธูปบอกก็ติด ก็ยังคุยกับหลวงพ่อ ท่านก็ว่าเพราะเป็นสิ่งที่ผมเคารพนับถือ ถ้าผมไม่เคารพนับถือก็ไม่มีปัญหาอะไร แค่ผมยังถูกเล่นงานขนาดนี้เลย

ตอนปลุกเสกผ้ายันต์แดงนี่ซิ หลวงพ่อผู้เป็นเจ้าตำรับไม่เป็นอะไร โอ้โฮ..พระครูวิชาญ นี่ท้องเดินไม่หยุดเลย เข้าส้วมมองไปที่ใต้ถุนร้าน เห็นอุจจาระพุ่งเป็นหลาวเลย ส้วมแบบโบราณ เจาะรูเปิดกระดาน ๑ แผ่นแค่นั้น จึงเห็นชัดว่า อุจจาระพุ่งเป็นหลาว พระหรือเณรไปบอกหลวงพ่อๆ ก็บอกว่า "เออ..ทำผิดวิธีบวงสรวง"

หลวงพ่อบอกให้เอาผ้ายันต์แดงนี่ไปต้ม พอเอาผ้ายันต์แดงต้มแล้ว เอาน้ำ จากที่ต้มมาให้ฉัน หายเป็นปลิ้ดทิ้งเลย ผ้ายันต์แดงพิมพ์กันเป็นหมื่นๆผืน ใช้ผ้าเป็นไม้ๆ เลย แผ่นนิดเดียว พิมพ์แจกกัน พวกบ้านดอนก็เอาไปแขวนกับต้นไม้ ไปทดลองยิงกัน ยิงไม่ออก

คนเลยเข้าแถวเวียนเทียนแจกกันไม่หวาดไม่ไหว พระครูวิชาญก็ออกมาช่วยแจกไม่ไหว พอฉันน้ำต้มผ้ายันต์แล้วหาย ก็ออกมาแจกของได้ตลอดงาน งานนี้ไม่รู้ว่าฤทธิ์ของใคร อยากรู้ต้องถามหลวงพ่อเอาเอง

ไปเทศน์งานศพ (วัดปากคลองมะขามเฒ่า)
เจ้าภาพงานศพนิมนต์เจ้าคุณภาวนา เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ไปเทศน์ แต่ท่านให้หลวงพ่อไปแทน ท่านก็ชวนพระครูวิชาญไปเทศน์ด้วยกัน งานศพอยู่แถวๆ หนองสะแก อุทัย ไปตั้งแต่เช้า พอฉันเช้าเสร็จก็นั่งเรือหางยาว ผมขอไปด้วยคน ท่านก็อนุญาต

พอไปถึงอุทัยก็ใกล้เพล จึงนิมนต์ให้ฉันเพลก่อน ก็สั่งข้าวผัดกระเพรา เจอเจ๊กใจดีไม่เอาสตางค์ ใจเราก็นึกว่าโชคดีวันนี้ธรรมดาผมจะเป็นเจ้าภาพก็มีคนเป็นเจ้าภาพแทนเสียแล้ว จากนั้นก็ไปหารถ ได้รถจิ๊บไม่มีหลังคาก็ถามเจ้าของรถว่าจะไปหนองสะแก รู้จักทางไหม

เขาบอกรู้จัก ไปวนหาทางเข้าวัดไม่ได้ วนเถอะวนไป ได้ยินแต่เสียงเครื่องขยายดังอยู่ใกล้ เขาจะให้เทศน์บ่าย ๒ โมงจนบ่าย ๓ โมงแล้ว หนักเข้าบ่าย ๔ โมงยังหาทางเข้าวัดไม่ได้ วนไปวนมาเลยชวนกันกลับ คิดว่าบ่าย ๔ โมง เขาคงเผาศพไปเรียบร้อยแล้ว ก็กลับวัดดีกว่าไม่ต้องเทศน์

พอตัดสินใจจะกลับวัดเท่านั้น รถดับติดหล่ม ผมก็ดันรถ หนักเข้าดันไม่ไหว พระครูวิชาญและหลวงพ่อก็มาช่วยกันดัน ไม่มีละทั้งตัว ขี้โคลน โดนจีวร หน้าตาดูไม่ได้ กว่าจะมาถึง ดันไปล้อก็ตะกุยดินโดน รถจิ๊บติดหล่มมันเหมือนหล่มบ้าจี้ ยิ่งดิ้นยิ่งลึก

เมื่อท่านมาช่วยกันหมด จีวรเปื้อนโคลนไปหมด กว่าจะกลับมาถึงวัดปากคลองมะขามเฒ่า ร่วม ๓ ทุ่ม ถึงวัดตอน ๓ ทุ่มก็ดี ถ้าไปถึงตอนยังไม่มืด ชาวบ้านเห็นเข้าจะหาว่าผมพาพระไปลงหนองจับปลามาหรือไร นี่ดีนะที่ไปฉันเพลเสียก่อน ถ้าไม่ฉันเพลละก็แย่เลย เรื่องนี้พอไปคุยกับหลวงพ่อ ท้าวความกันก็หัวเราะกันไม่หาย

กินข้าวแทนผี(อยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า)
หลวงพ่อและพระครูวิชาญเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งที่จังหวัดลพบุรีเข้าไปเจอหัวกระโหลก เป็นหิน ไม่ใช่เป็นกระดูก หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า พวกนี้เขาหิว เขาตามมาด้วย พอหลวงพ่อและพระครูวิชาญลงมาถึงตลาดลพบุรี ก็มาฉันข้าว เพราะพวกนี้ตามมา เขาหิว จึงยืมปากหลวงพ่อและพระครูวิชาญกินข้าว ๒ องค์ก็ฉันเรื่อย ฉันได้องค์ละเป็นสิบๆ จาน เรียกว่าพวกแม่ค้าข้าวแกงหัวเราะกัน ใหญ่ หัวเราะไป แล้วก็ตักอาหารส่งให้ ๒ องค์ฉันต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจานเทินเป็นกองสูงเลย กระทั่งอยู่ๆ หลวงพ่อนึกขึ้นมาได้

"ร้องเฮ้อ.. ไม่เอา อย่ามายืมปากข้าฯ กิน ไม่ได้ ทำให้ขายขี้หน้าเขาหมด" เลยต้องหยุด

พิมพ์หนังสือ(อยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า)
เวลาหลวงพ่อพิมพ์หนังสือ ท่านเล่าว่า เวลาฉันพิมพ์เรื่องของใคร ฉันก็เชิญท่านผู้นั้นมา ท่านก็นั่งพิมพ์อย่างเดียว เวลาพิมพ์ไปแล้วเรื่องเปลี่ยนไม่ได้ ไปถามท่านตอนนั้น ตอนนี้ท่านบอกไม่รู้ ท่านพิมพ์ไปเรื่อยๆ เมื่ออยากรู้ท่านต้องมาอ่านใหม่ เพราะท่านบอกเวลาพิมพ์ใครเป็นเจ้าตำรับ ก็มาสั่งพิมพ์ ท่านก็นั่งพิมพ์อย่างเดียว

หลวงพ่อย้ายที่อยู่
พระครูวิชาญเห็นว่าผมมีความชอบพอและคุ้นเคยกับหลวงพ่อ พระครูวิชาญจึงชวนผมไปนิมนต์หลวงพ่อจากวัดโพธิ์ให้มาอยู่วัดปากคลองฯ ท่านก็ตอบตกลง พอตอบตกลงเท่านั้นแหละ โอ้โฮ้ พายุ ลมฟ้า ลมฝน แรงขนาดหนักเลย ฝนตกหนักจนเป็นที่น่าอัศจรรย์มาก หลังจากนั้นไม่นานจึงย้ายมาอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า

พออยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่าได้ไม่นาน หลวงพ่อก็ย้ายมาอยู่วัดสะพานอีก เป็นเรื่องของหลวงพ่อที่มีความจำนงอย่างนั้น ผมก็มีหน้าที่ช่วยขนของย้ายของให้จนเสร็จ พอมาอยู่วัดสะพานได้พักหนึ่ง พล อ.อ.อาทร โรจนวิภาต(ยศปัจจุบัน) ก็มาบวชที่วัดสะพาน

ตอนที่อยู่วัดสะพาน วันหนึ่งหลวงพ่อก็มาหาผม วันนั้นท่านมาพร้อมกับมีตำแหน่ง พระครูฐานานุกรม ๔ ตำแหน่งที่จะมอบให้กับใครก็ได้ ได้มาจากเจ้าคุณที่กรุงเทพ(ไม่ทราบว่าองค์ไหน) ผมกำลังพิมพ์หนังสือจั๊กๆ ปกติท่านมาถึงจะฉันโอเลี้ยงเป็นประจำ คราวละเป็นขันๆ

และผมก็ปวารณากับท่านไว้ว่า ขอนิมนต์ตลอด ถ้าแวะมาฉันเช้าฉันเพลมาได้เสมอ ผมบอกไว้เลยว่า ถ้าจะฉัน หมู ไก่ ปลา กุ้ง ของตายทั้งนั้น บอกผมได้ และไม่ต้องกลัวว่าแม่บ้านจะยุ่ง เพราะเตี่ยผมมีร้านอาหารอยู่ที่นี่ทุกร้าน(ผมคุยเล่นกับท่านในทำนอง เตี่ยผมเป็นเจ้าของร้านอาหารทุกร้าน) แต่ท่านก็ยังเกรงใจอยู่เสมอ ท่านมาก็มาฉันข้าวต้ม บางทีก็ฉันข้าวผัดกระเพรา ท่านบอกว่า

"เออ ๗ วันฉันเสียทีก็ดีนะคุณบุญถึง" ทุกครั้งท่านจะเรียกผมว่าคุณบุญถึง ท่านไม่เคยใช้คำหยาบพูดกับผมเลย อย่างน้อยก็เรียกบุญถึง อย่างวันต้อนรับสมณศักดิ์ที่กลับจากกรุงเทพเมื่อ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๒ เขากำลังยกหลวงพ่อนั่งเสลี่ยง แห่ไปรอบๆ โบสถ์ ท่านเห็นผมก็ร้องทักว่า "อ้า..บุญถึง" ท่านพยักหน้าให้ผม ผมยืนประนมมือ มองดูด้วยความปลื้มใจ

เมื่อท่านไปกรุงเทพฯ ทีไร กลับมาก็แวะพัก ท่านแวะมาหาผมเป็นประจำอย่างนี้ ย้อนกลับมาใหม่เมื่อหลวงพ่อฉันโอเลี้ยงเสร็จ ก็พูดกับผมว่า

"เอ้อ..คุณบุญถึง ฉันให้ตำแหน่งพระครูฐานานุกรมคุณ ๑ ตำแหน่ง" ผมก็พูดว่า "ผมไม่ได้เป็นพระ จะเอาตำแหน่งพระครูมาให้ผมทำไมเล่า" ท่านพูดว่า "เออ..พระครูฐานานุกรมนี่ ถ้าหากคุณชอบพระองค์ไหนที่ดีๆ ก็ให้ได้"

ผมก็บอก "เอ๊ะ ให้อาจารย์อรุณ อรุโณ เจ้าอาวาส วัดท่าซุง เห็นกิริยามารยาทท่านนิ่มดี รู้จักคุ้นเคยกันดี" ท่านก็พูดว่า "สุดแท้แต่คุณ คุณจะให้ใครก็ได้" ท่านก็บอกว่ามี ๔ ตำแหน่ง ท่านถามว่า "คุณจะเอาอะไรเล่า" ผมก็ว่า ชื่อพระครูมีอะไรบ้าง ท่านบอกว่า "มีพระครูปลัด พระครูสมุห์ พระครูสังฆรักษ์ พระครูใบฏีกา"

ผมก็ว่าชื่อพระครูสังฆรักษ์ชื่อสวยดี ผมเอาพระครูสังฆรักษ์ "เอาละคุณก็เอาไป" พอตกลงผมก็ไปบอกอาจารย์อรุณ เขาก็ดีใจกัน เขาก็จัดขบวนแห่กันไปรับตราตั้งและพัดจากหลวงพ่อที่วัดสะพาน ไม่นานต่อมาอาจารย์อรุณก็มาหาผม และให้ผมไปนิมนต์หลวงพ่อจากวัดสะพานมาอยู่วัดท่าซุง

ผมเคยเล่าให้คุณนายอ๋อย และคุณหญิง และพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิตฟังว่า เขาแห่กลองยาวมีขบวนยาวเหยียด ไปกันเต็มแม่น้ำ พร้อมด้วยขบวนหมาวิ่งกันเกรียวกราว เขาไปรับกันมาอย่างนี้ ไปนิมนต์มาจากวัดสะพาน ไม่ใช่หลวงพ่อมาเอง

ทำแผ่นยันต์ทำน้ำมนต์ (อยู่วัดสะพาน)
เรื่องนี้มีสาเหตุเนื่องจากหลวงพ่อมาบอกว่าจะย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ ผมได้ยินเข้าก็คิดว่าตายแน่ ต่อไปนี้ถ้ามีความทุกข์ร้อนขึ้นมา จะไปคุยกับใครเล่า จะไปปรึกษากับใคร ท่านบอกไม่ป็นไร ถึงอยู่ไกลถ้าตั้งใจก็ถึงกันได้ ผมไม่อยากให้ไปผลที่สุดหลวงพ่อก็ไม่ไปกรุงเทพ ภายหลังจึงได้ย้ายมาอยู่ที่วัดสะพาน

มีอยู่วันหนึ่งผมก็ไปปรารถกับท่านว่า ถ้าท่านไปอยู่ไกลๆ ผมจะทำยังไง ปกติผมกินน้ำมนต์ที่หลวงพ่อทำให้เป็นประจำ เรื่องอยากให้ทำน้ำมนต์เพราะสาเหตุภรรยาผมเป็นคนคลอดลูกยาก ตอนสมัยที่หลวงพ่อยังอยู่วัดปากคลองฯ นั้น เคยเห็นท่านทำน้ำมนต์ให้หมากิน หมาที่มีท้องแก่ เห็นท่านเอาขันต์น้ำมนต์ตั้งทิ้งไว้แล้วก็บอกกับหมาว่า "เดี๋ยวเอ็งมากินน้ำมนต์นะ จะได้ออกลูกง่ายๆ" ให้ทั้งขันเลย หมามันก็ไปกินของมันเรื่อย

ท่านยังพูดว่า "เออ..หมานี่ดีกว่าคนนะ ลูกมันถ่ายเละเทะ มันกวาดเกลี้ยง มันเลียเสียจนเกลี้ยง กระดานก็เกลี้ยง" บางทีเห็นหมานอนหลับอยู่ ท่านก็พูดว่า "หมานี่ดีกว่าคนนะ ไปดูถูกมันไม่ได้นะ หมาบางตัวเป็นเทวดามาเกิด และมันก็ซื่อสัตย์ เราจากมันไปหลายๆ ปี เคยสั่งอะไรมันไว้ มันยังจำอยู่นั่นแหละ ไม่หมือนคน บางทีบอกให้ทำอะไรเร็วๆ แต่กลับทำช้าๆ"

ท่านก็เปรียบเทียบหลายอย่าง แม้ข้าวของต่างๆ บางตัวแค่ไปจับของไม่ได้เลย มันทำท่าจะกัดเอาเลย เวลาผมไปหาหลวงพ่อจะบอกว่า "เอ้าลุงถึงมา อย่าทำเขานะ เอ้ามันไม่ทำแล้ว" บางทีท่านก็พูดว่า "ลุงถึงมา ลุงมา ลุงมา" อย่างโง้น อย่างงี้

ตอนนั้นผมเลยขอให้ท่านทำน้ำมนต์ ทำให้หม้อเบ่อเริ่มเลย เต็มหม้อเชียว เอาเต็มที่ ท่านบอกว่า เออเอาไปให้ภรรยากิน โอ้โฮ้..กินแล้วลูกคนสุดท้องนี่ ภรรยาผมไม่ต้องไปนอนโรงพยาบาลเลย ขณะกินข้าวอยู่รู้สึกปวดท้อง

พอไปถึงโรงพยาบาลคลอดเลย ลูก ๓ คนแรก ภรรยาต้องนอนค้างอยู่โรงพยาบาลตั้ง ๒ - ๓ คืนจึงคลอด คนที่ ๔ กินน้ำมนต์ ไปถึงโรงพยาบาล หมอแทบจะทำให้ไม่ทัน ตอนนี้ก็เกิดเห็นความสำคัญ และความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำมนต์ จึงคิดว่าว่าจะทำน้ำมนต์ไว้ประจำบ้าน อีกหน่อยถ้าหลวงพ่อท่านสิ้นไป หรือย้ายไปอยู่ที่อื่น จะได้มีน้ำมนต์ไว้เสมอ

หลวงพ่อจึงบอกให้ไปเอาแผ่นเงินแท้หนัก ๑ บาท ตีแผ่ทำเป็นแผ่น พอเข้าพรรษา ผมก็เอาแผ่นยันต์พร้อมโหลใส่น้ำมนต์ไปให้ท่าน ท่านทำให้ผมตลอดไตรมาส พอออกพรรษาท่านก็เอาลงเรือมาส่งให้ผมเลย ทำมาแล้วผมก็ไว้บนหิ้งพระ เมื่อมีบางคนไปขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อ

ท่านบอกโน่นให้ไปเอาที่คุณบุญถึงนั่น แล้วก็เติมไปเรื่อย ไม่ใช่ เอาน้ำเติม เทเอาน้ำออกเอาแผ่นยันต์ออกเติมน้ำใหม่ เอาแผ่นยันต์ใส่ เอาน้ำมนต์ของเดิมที่เทออกมาเติมใส่เข้าไป ท่านไม่ให้เอาน้ำมนต์ใหม่เทรดน้ำมนต์ เวลาลูกผมแต่งงาน ก็เอาน้ำมนต์นี่แหละมาใช้และผสมน้ำ ทำงานอะไรก็เอาน้ำมนต์นี่ไปใช้ นึกอยากอาบน้ำมนต์ก็ใส่ขันราดกันคนละที

ถ้าคนอื่นไปขอท่านๆ ท่านบอกให้ไปเอาที่บ้านบุญถึง บางทีก็ให้ผมเอามาให้คนอื่น น้ำมนต์นี่แม่ยายผมเอาใส่ขวดขนาดแม่โขง วางบนหิ้งรถเมล์ รถเบรคยังไงไม่รู้ ล่วงลงมาชนพื้นเหล็กไม่แตก แม่ยายเห็นว่าศักดิ์สิทธิ์จริงขวดใหญ่ขนาดนี้หล่นไม่แตก

แก้ทุกข์ร้อน
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมมีเรื่องเดือดร้อนที่สำคัญที่สุดเลย จึงนั่งเรือหางยาวไปหาหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ไปเล่าให้ท่านฟัง แต่ไม่ใช่จะไปเอาเงินจากท่านนะ ผมไม่เคยคิดหรอก เพียงแต่ไปปรึกษา ท่านบอกว่า "เออ ไม่เป็นไร กลับไปบ้านเถอะ ไม่ต้องเที่ยวตะลอนๆ ไปไหน ไม่สำเร็จหรอก กลับไปอยู่ที่บ้านนั่นแหละ จะมีเพื่อนมาหาที่บ้าน ก็เล่าปัญหานี้ให้เพื่อนฟังก็แล้วกัน แล้วเขาจะช่วย" พอกลับ

มาถึงบ้านได้เดี๋ยวเดียว ดื่มน้ำยังไม่ทันจะหมดขันเลย เพื่อนเขาก็มาหาผมที่บ้าน ผมก็เล่าปัญหาให้ฟัง เขาบอกไม่เป็นไรเขาจะช่วย แต่ขอตัวกลับบ้านก่อน กลับไปปรึกษากับทางครอบครัว เขากลับไปถึงบ้านไม่เกิน ๒ ชั่วโมงหรอก ก็ฝากรถนำจดหมายตอบตกลงที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้ผม เรื่องก็เรียบร้อยโดยง่าย

ซื้อเก้าอี้ (อยู่วัดปากคลองฯ)
เวลาหลวงพ่อมาหาผมที่โรงพิมพ์ ก็จะมานอนเก้าอี้นอนพับแบบระนาด เป็นเก้าอี้นอนแบบโค้งๆ ผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ธรรมดา ก็นั่งสูงกว่า ผมเลยเอาเก้าอี้ล้างชามมานั่งกับพื้น แล้วคุยกับหลวงพ่อๆ บอกว่าทีหลังให้แม่บ้านซื้อเก้าอี้อย่างนี้มาอีก ๑ ตัว

พอรุ่งขึ้น ก็มีคนแบกเก้าอี้แบบนี้มาขาย ก็ซื้อไว้ ๑ ตัว ซื้อมาแล้วก็ผูกแน่นเลย กะไว้ว่าถ้าหลวงพ่อมาเมื่อไรก็จะได้ถวายท่านเอาไปไว้วัดเลย พอหลวงพ่อท่านมา ท่านเห็นเช่นนั้น ก็บอกว่าที่ให้ซื้อมาอีก ๑ ตัว ก็เพื่อให้คุณบุญถึงนอนคุยกับฉันสบายๆ ต่างหาก ไม่ใช่หลวงพ่อจะเอาไปที่วัด

งานนี้ถูกดีดหู (อยู่วัดท่าซุง)
พระมหาประทวน จากวัดปากคลองฯมานิมนต์หลวงพ่อให้ไปร่วมงานพุทธาภิเษกซึ่งวันที่เจ้าภาพกำหนดพิธีพุทธาภิเษกนั้น หลวงพ่อต้องไปกรุงเทพหรือเชียงใหม่นี่แหละจำไม่ได้ ท่านบอกว่า "เออ..ให้จัดที่ไว้ก็แล้วกัน"

พระมหาประทวนก็แน่เหมือนกันจัดที่อาสนะให้หลวงพ่อเป็นองค์ประธานเลย เมื่อถึงวันพุทธาภิเษก ผมก็ไป ขี่รถเครื่องไป พอไปถึงท่าข้ามเรือจ้าง เขานิมนต์พระสวด ๔ องค์ในพิธีพุทธาภิเษก ได้ยินเสียงพระสวด ก็จะได้ว่าเป็นเสียงหลวงพ่อ เพราะรู้จักกันมานาน ได้ยินเสียงสวดมาจากในพิธีชัดแจ๋ว พอจอดรถก็รีบตรงดิ่งเข้าไปที่โบสถ์โดยไม่แวะทักทายใครเลย ไปถึง มองทางโน้น มองทางนี้ ไม่เห็นหลวงพ่อเลย

ฝ่ายหลวงพ่อรักษ์ (วัดศรีรัตนาราม ที่หนองม่วง จ.ลพบุรี) ก็บอกว่า "เอ้อ..คุณบุญถึง อาจารย์คุณก็มา โน่น อาจารย์นั่งอยู่โน่น" พร้อมกับชี้ไปที่อาสนะที่จัดไว้เป็นองค์ประธานนั่นแหละ ผมมองไปก็ไม่มี

พอหันไปๆ เจอพระมหาชัยสิทธิ์(วัดหนัง หรือวัดวิจิตรการนิมิต กรุงเทพ) ท่านก็บอกว่า "คุณบุญถึง หลวงพี่มหาวีระมา กำลังเคี้ยวหมากจั๊บๆ อยู่นั่นแหละ" ท่านพูดพลางชี้ไปที่อาสนะตรงที่จัดไว้ให้หลวงพ่อเป็นองค์ประธาน

พอเสร็จงานก็กลับ อีกไม่กี่วันที่วัดท่าซุงก็มีงาน งานบวงสรวงที่หน้าโบสถ์ วันนั้นพี่เหม่ พี่ชอ ก็ร้องว่า อ้าวคุณบุญถึงมาช่วยจัดของสำหรับบวงสรวง พอจัดเสร็จหลวงพ่อก็ลงมา มาทำพิธีบวงสรวง ผมก็บอกว่า "แหมวันนั้นผมไปหาที่วัดปากคลองฯ ได้ยินแต่เสียงหลวงพ่อสวดมนต์"

หลวงพ่อเอามือดีดหูเสียนิ้งไปเลย ดีดหูเลยนะ และพูดว่า "คุณหูดี แต่ตาคุณใช้ไม่ได้" (พอถูกดีดหูก็ทำให้นึกถึงตอนที่พระบรมสารีริกธาตุเสด็จที่วัดโพธิ์ในคืนนั้น) หลวงพ่อยังพูดอีกว่า "พระที่ไปวันนั้น ๙ องค์ มีพระตาดีอยู่ ๒ องค์เท่านั้นแหละ" ทำไมท่านจะไม่รู้ละ เพราะพระ ๒ องค์ เป็นคนบอกผมเองตอนที่เข้าไปในโบสถ์

เรื่องสร้างโบสถ์วัดหนองม่วงไม่เสร็จ (วัดหลวงพ่อรักษ์)
เย็นวันหนึ่งผมไปนั่งคุยกับหลวงพ่อที่เมรุวัดท่าซุง ข้างตึกอำนวยการ ท่านชวนไปดูงานบอกไปเถอะไปเดินเล่นกัน พอเดินไปๆ เมื่อถึงบันไดเมรุ ท่านก็นั่งที่ขั้นบันได ผมก็นั่งขั้นบันไดขันรองลงมา คุยไปคุยมาหลวงพ่อก็ถามว่า

"เออ..คุณบุญถึง โบสถ์ของหลวงพ่อรักษ์เสร็จหรือยังล่ะ" ผมก็บอกว่ายัง พระประธานเขาเอามาองค์หนึ่ง เอามาแล้วหลวงพ่อรักษ์ไม่เอา ท่านบอกว่า "คุณบุญถึง คุณเอา ไป เอาไปไหนก็เอาไป" ผมก็เอา และถวายท่านไปสามหมื่นบาท นี่เป็นไงก็ไม่รู้ ท่านไม่ยอมเอา จะสร้างใหม่ ความจริงหล่อเข้าโบสถ์แล้ว ตั้งอยู่ในโบสถ์เรียบร้อยเหลือแต่ยังไม่ได้ปิดทองเท่านั้นแหละ หลวงพ่อจึงบอกว่า "เออ..โบสถ์นี้สร้างเสร็จไม่ได้หรอก

หลวงพ่อรักษ์เอาส้วมไปไว้ใต้โบสถ์นะ" ผมก็บอกหลวงพ่อว่ามีส้วมจริงๆ "คุณบุญถึงไปบอกให้เขาเอาออกเถอะ" ความจริงแล้วหลวงพ่อรักษ์ท่านเจตนาอยากจะให้พวกไปฝึกกรรมฐานสบาย จะได้ใช้ห้องน้ำสะดวก แต่หลวงพ่อบอกว่า "ไม่ได้.. เอาขี้ไปไว้ใต้โบสถ์ สวดญัตติ สวดถอนไม่ขึ้น" ท่านว่าอย่างนั้น "ให้เอาออกเสีย"

พอบอกผมแล้ว ผมก็กลับมาบ้านก็มืด พอวันรุ่งขึ้นตอนเช้า หลวงพ่อรักษ์มาหาผมที่ปั๊มน้ำมันนี่เลยนะ ท่านมาเอง ผมคิดว่าท่านรู้แน่ อยู่ๆก็มาพอดีเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลก ผมก็บอกหลวงพ่อรักษ์ที่หลวงพ่อมหาวีระบอกว่า "ใต้โบสถ์เอาส้วมไว้ไม่ได้ หลวงพ่อไม่รู้รึไง" หลวงพ่อมหาวีระบอกว่า "ใครจะไปสวดถอนขี้ได้ละ ทำอย่างนี้ไม่ได้ จะไปขี้ไปเยี่ยวใต้โบสถ์ไม่ได้ ทำห้องอาบน้ำได้ ล้างหน้าได้ ล้างตาได้ ให้เอาส้วมออกเสีย"

ท่านพูดอย่างนี้ พอฟังปั๊บ..หลวงพ่อรักษ์ก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่เอา เดี๋ยวฉันจะไปพังวันนี้เลย" หลวงพ่อรักษ์กลับไปสั่งช่างรื้อออกคืนนั้นเลยนะ ทุบส้วมเลย ท่านตัดสินใจไม่รอช้าเลย โบสถ์จึงสำเร็จมาได้ เอาขี้ออกก็ฝังลูกนิมิตได้ พอไปทีไร หลวงพ่อรักษ์ร้องโอ้โฮ "แหม... ข้าฯมาติดที่ขี้นี่เอง"

ท่านพูดว่ามันให้มีเหตุขัดข้อง ไม่ว่าจะเป็นบานประตู สารพัดไปทุกอย่าง การเงินก็ดี ไม่ใช่ว่าการเงินไม่ดี ท่านเคารพหลวงพ่อมาก ท่านกลัว กลัวจัง บอกว่า "พระองค์นี้ไม่ได้ คุณบุญถึง ถ้าพูดอะไร แล้วต้องเชื่อ ไม่เชื่อไม่ได้"

งานเปิดป้าย
วัดเปิดป้ายปั้นน้ำมันของผม คือปั้มเจริญกิจบริการ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๒๐ มีการเลี้ยงเพลพระจขำนวน ๑๐๙ องค์ ไม่ได้นิมนต์หลวงพ่อ แต่เอาการ์ดเชิญไปให้ท่าน ที่ไม่กล้านิมนต์ท่านเพราะเห็นป้ายติดไว้ว่า "หลวงพ่อไม่รับกิจนิมนต์"

แต่ท่านได้ถามว่า "นิมนต์ใครบ้าง" ก็บอกท่านว่า มีพระครูวิชาญชัยคุณ, หลวงพ่อรักษ์, พระมหาชัยสิทธิ์, พระมหาประทวน, พระบุญธรรม, และเจ้าอาวาสวัดเหนือ - วัดกลาง - วัดใต้ หลวงพ่อพูดว่า "งานนี้ถ้าใครไม่มาให้เลิกนับถือ" ผมก็งง เพราะผมได้นิมนต์ครบแล้ว ๑๐๙ องค์ แต่ท่านบอกว่า "ฉันก็จะไป แต่จะไปเช้า จะทำการบวงสรวงให้ ไม่ต้องเตรียมอาหาร ขอน้ำเปล่า ๑ แก้วก็พอ"

พอได้เวลาผมก็ให้รถไปรับ คนรถบอกว่าที่วัดมีรถมาคอยหลายคัน มาถวายผ้าป่า และสังฆทาน แต่หลวงพ่อบอกว่าให้คอยประเดี๋ยวจะกลับมา จ่าสายบอกว่า "ไม่รู้หลวงพ่อจะไปบ้านไหน ก็นั่งรถมากับท่าน พอมาถึงปั้ม จึงได้รู้ เพราะจ่าสายกับผมคุ้นเคยกันอยู่ก่อน และหลวงพ่อให้จุดธูปเชิญหลวงปู่เสร็จ ท่านก็ฉันน้ำแล้วก็ลากลับ (จ่าสาย - ทำงานอยู่ที่ บน.๔ ตาคลี)

นับตั้งแต่นั้นผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจากวันแรกสุดจนบัดนี้ การเคารพนับถือนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผมจะระลึกถึงทุกวันและเวลาสวดมนต์เช้า - เย็นก็ระลึกถึงอยู่เสมอไม่เคยขาด และจากความรู้สึกผมนั้น หลวงพ่อก็ยังคงเป็นหลวงพ่อของผมเหมือนเดิมทุกอย่าง มีแต่สมณศักดิ์เท่านั้นที่เปลี่ยนไป จนเดี๋ยวนี้จะเรียกตามพระสมณศักดิ์ใหม่ก็คอยจะลืม จึงเรียกหลวงพ่อตามเดิม

ส่วนศิษย์บางคนจะบอกว่าเดี๋ยวนี้หลวงพ่อไม่เหมือนเดิม ไม่รู้จักเราแล้ว ไปพบยาก ผมว่าท่านคิดผิด หลวงพ่อท่านเป็นพระที่มีระเบียบตรงต่อเวลา และท่านเคยบอกผมว่าท่านชอบทหาร เพราะมีระเบียบวินัยเคร่งครัด ศิษย์ทุกคนควรรู้ว่าหลวงพ่อท่านต้องการให้เราเป็นคนรู้จักเวลากาละและเทศะ หลวงพ่อท่านปิดป้ายไว้ว่าไม่รับกิจนิมนต์ เราก็ไม่นิมนต์ รับแขกเวลาเท่าไร ท่านก็ติดป้ายบอกทุกอย่าง แล้ว

พวกเราทำไมไม่มาหาท่านตามเวลาที่ท่านประกาศไว้เล่า จะให้เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ เพราะท่านแต่ก่อนนั้นยังแข็งแรง และภาระท่านก็น้อยจึงมีเวลาไปมาหาสู่พวกเรามิได้ขาด บัดนี้ภาระท่านมากเหลือเกินและความชราของท่านด้วย ที่แล้วๆมา ท่านให้เรามาก็มากแล้ว เช่นชี้ทางให้เราพ้นทุกข์ ชี้สุขให้เราทำตลอดมา

ขอให้อานุภาพแห่งพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการขอมาดลบันดาลให้หลวงพ่อมีอายุยิ่งยืนนาน และมีสุขภาพและพลานามัยแข็งแรงตลอดไปจนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ด้วยเทอญ.

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 17/4/09 at 14:20


(Update 17/04/52)

แพทย์หญิงวัชรี หิรัญยูปกรณ์

"อภิญญาใหญ่..ของหลวงพ่อ"




จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑


"ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นตถาคต" นั่นเป็นคำกล่าวในสมัยพุทธกาล แต่ในชีวิตของดิฉันกล่าวได้เต็มปากว่า ดิฉันเห็นทุกข์ ดิฉันจึงได้พบพระะเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน ซึ่งพระเดชพระคุณในขณะนั้น (เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ - ๒๕๑๙) ท่านยังเป็นหลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร หรือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำของลูกหลานอยู่ค่ะ

ค่ะ ชีวิตการเป็นแพทย์บนพื้นฐานชาวพุทธของดิฉันและหมอวิสุทธิ์หักเหเมื่อพบทุกข์และพบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่ว่าชีวิตการเป็นแพทย์บนพื้นฐานชาวพุทธเริ่มหักเห เมื่อดิฉันพบทุกข์และพบหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อเมตตาเป็นผู้ชี้แนะจากการเป็นชาวพุทธแบบธรรมดาๆ ที่ดิฉันเคยปฏิบัติ

ซึ่งมีการทำบุญทำทานให้ก้าวไปสู่การปฏิบัติศีล ๕ ที่เคร่งครัดขึ้น ไม่ล่วงละเมิดและก้าวเข้าสู่การภาวนา ทำสมาธิ ปฏิบัติกรรมฐาน แล้วดำเนินไปสู่ขั้นปัญญาตามลำดับ ซึ่งเป็นแนวทางให้เข้าสู่ทางดับทุกข์ จิตใจ สว่าง สงบ สามารถเป็นแพทย์ผู้รักษาคนไข้ทั้งทางกายและใจได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ครอบครัวของดิฉันมี หมอวิสุทธิ์ หิรัญยูปกรณ์ ผู้สามีและนางสาวกษริน (โรส) หิรัญยูปกรณ์ เป็นบุตรสาวคนเดียว กับตัวดิฉันเองได้พบและมามีความผูกพันธ์เคารพในองค์หลวงพ่อ ซึ่งค่อนข้างแปลกว่าคนอื่น เพราะหมอวิสุทธิ์นั้น หลังจากเขาประสบกับทุกข์อย่างใหญ่หลวงในชีวิต เนื่องจากถูกลอบยิงโดยญาติคนไข้ในห้องตรวจขณะตรวจคนไข้

(หมายเหตุ คุณหมอวิสุทธิ์ และคุณหมอวัชรี เปิดคลีนิคอยู่ที่ อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ปัจจุบันคุณหมอวัชรีเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว) - ผู้จัดทำ

สาเหตุนั้นคงเป็นวิบากกรรมหรือกฏแห่งกรรม แต่เมื่อถูกยิงใหม่ๆ ในสมัยนั้น เราไม่ได้คิดถึงวิบากกรรม หรือกฏแห่งกรรม เพราะเราก็คือชาวโลกธรรมดาๆ คนหนึ่งก็คิดถึงแต่การแก้แค้นเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป เมื่อหมอวิสุทธิ์เกิดทุกข์หนัก

ก็อธิษฐานจตขอให้ได้พบพระผู้ทรงปัญญามีจิตเมตตาที่จะสั่งสอนแนวทางปฏิบัติธรรมเพื่อให้พ้นทุกข์ ดับความแค้น ความอาฆาตลงได้ แล้วก็นิมิตเห็นพระองค์หนึ่ง จนกระทั่งนายกยุวพุทธิสมาคมบางมูลนากในพระสังฆราชูปถัมภ์ คุณครูวิเชียร นันทนพบูล ผู้ซึ่งเคยร่วมทีมทำงานสังคมสงเคราะห์ด้วยกัน ได้พามากราบนมัสการหลวงพ่อมหาวีระ (ฤๅษีลิงดำ) แห่งวัดท่าซุง ในขณะนั้นก่อนเข้าพรรษาปี ๒๕๑๘ ซึ่งพอเห็นหลวงพ่อ หมอวิสุทธิ์ก็บอกว่าเป็นพระที่มีลักษณะเหมือนในนิมิตทุกประการ

ธรรมที่หลวงพ่อสอนหมอวิสุทธิ์ครั้งแรกในวันที่มากราบนมัสการวันนั้นคือ ให้รักษาศีล ๕ ให้ครบถ้วน ระยะแรกดิฉันและหมอวิสุทธิ์มิได้ปฏิบัติสมาธิ เพียงแต่มากราบนมัสการหลวงพ่อตามจังหวะและโอกาสที่จะเอื้ออำนวย แต่ได้นำเทปธรรมของหลวงพ่อไปเปิดฟังกัน แล้วหมอวิสุทธิ์ก็เริ่มหัดทำสมาธิจากเทปชุดปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อ

ส่วนดิฉันนั้น เพราะเทปชุดธรรมต่างๆ ของหลวงพ่อที่หมอวิสุทธิ์เปิดกรอกหูอยู่ทุกวันเช้าเย็นโดยเฉพาะเทปชุด "รัชนีท่องสวรรค์" เป็นเทปชุดที่ท้าทายความรู้สึกของดิฉัน ทำให้ดิฉันอยากปฏิบัติ อยากฝึกมโนมยิทธิ เพราะความโง่เขลาและความอวดดี ในความเป็นคนที่คิดว่าเราเป็นคนหมือนกัน มีหัวสมอง มีสองแขน สองเท้า เท่าคุณรัชนี คิดเอาเองว่า ตัวดิฉันต้องทำได้

โดยที่ขณะนั้น ดิฉันเองไม่เคยมีความรู้เรื่องบารมีเก่าคืออะไร? อดีตชาติตัวเองเคยบำเพ็ญมาอย่างไร? มีความรู้สึกแต่เพียงว่า เราก็เรียนเป็นหมอมาได้ มโนมยิทธิเป็นวิชาฝึกจิตวิชาหนึ่ง ถ้าเราได้เรียบกับหลวงพ่อองค์ที่สอนคุณรัชนีแล้วเราจะต้องเรียนวิชามโนมยิทธิได้อย่างแน่นอน

เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า ไม่ว่าจะยากเย็นลำบากแค่ไหนก็จะต้องเรียนมโนมยิทธิกับหลวงพ่อให้ได้ แต่จะต้องเป็นหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ องค์อ่นกลัวไม่พบของจริงอย่างคุณรัชนี ในที่สุดก็ปรากฏว่าหลวงพ่อเป็นพระอาจารย์องค์แรกและองค์เดียวในชีวิตที่สอนพระกรรมฐานให้ดิฉัน

รู้สึกว่าลำบากพอดูสำหรับตัวดิฉันเองในระยะแรกที่เริ่มฝึกพระกรรมฐานที่วัดท่าซุง เพราะลูกสาวยังเล็กอายุประมาณ ๖ ขวบ ต้องหอบลูกมาค้างคืนที่วัด ปิดคลีนิคมากันทั้งสามคน พ่อ แม่ ลูก ยังแถมมีตำรวจ ๒ คนมาคุ้มกันหมอวิสุทธิ์อีก

ระยะแรก การฝึกมโนมยิทธินั้น หลวงพ่อนั่งคุม ให้อาจารย์สิงห์เป็นคนฝึกให้ ต่อมาระยะหลังหลวงพ่อท่านเป็นคนฝึกพระกรรมฐานและฝึกให้เอง

ตลอดเวลาที่ดิฉัน หมอวิสุทธิ์ และลูกสาวได้รับการฝึกมโนมยิทธิกับหลวงพ่อตามวาระและโอกาสต่างๆ หลวงพ่อได้เมตตาให้ธรรมตรงตามวาระจิตและภูมิธรรมที่ดิฉันปฏิบัติได้เป็นขั้นตอนตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์

ธรรมคำสอนต่างๆ ที่ดิฉันได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อตามวาระและโอกาสต่างๆ ติดต่อกันยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นต้นมานั้น ดิฉันได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ ๓ ทางด้วยกันคือ

๑. โดยการเทศน์สอนในเวลาที่มากราบนมัสการหลวงพ่อที่ศาลานวราช ส่วนมากเวลาจะมากราบนมัสการหลวงพ่อที่ศาลานวราช ดิฉันมักจะอธิษฐานจิตจากบ้านมาเลยว่าขอให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อโปรดเมตตาเทศน์ โปรดตรงกับวาระจิตที่ดิฉันจะพึงรับได้

ซึ่งถ้าเป็นวันที่มีคนมานมัสการท่านมาก เราอาจจะไม่มีโอกาสได้กราบถามท่านด้วยวาจาไม่ว่าครั้งใด ท่านก็มักจะเมตตาเทศน์โปรดดิฉันด้วยธรรมต่างๆ ที่ดิฉันกำลังติดข้องอยู่ในเรื่องนั้นให้กระจ่าง หรือไม่ก็เทศน์โปรดธรรมขั้นตอนต่อไปที่เราควรจะปฏิบัติต่อ โดยเพียงแค่เราอธิษฐานจิตเท่านั้นเอง

๒. โปรดเมตตาสอนธรรมในขณะทำมโนมยิทธิที่บ้าน ซึ่งส่วนมากจะเป็นธรรมที่ท่านสอนตามวาระจิตที่ดิฉันควรจะได้รับเป็นขั้น ไปตามภูมิธรรมของดิฉันขณะที่กำลังปฏิบัติอยู่ในเวลานั้น

๓. โปรดเมตตาทางอภิญญาใหญ่ เป็นกรณีพิเศษถึง ๒ ครั้งในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ และ ๒๕๒๗

นับเป็นบุญของดิฉันเอง และเป็นความเมตตาอย่างใหญ่หลวงในชีวิตของดิฉันที่หลวงพ่อท่านเมตตาโปรดดิฉันด้วยการสอนธรรมทางอภิญญาใหญ่ ให้เห็นองค์ท่านอย่างเต็มองค์และเทศน์สอนธรรมอย่างจับใจและตรงกับวาระจิตถึงสองครั้ง

ดิฉันของนำธรรมที่หลวงพ่อสอนดิฉันในทางมโนมยิทธิกับอภิญญาที่ได้บันทึกไว้มาเป็นตัวอย่าง ดังต่อไปนี้ค่ะ



ตัวอย่างหลวงพ่อสอนธรรมในมโนมยิทธิ


บันทึกจากมโนมยิทธิของแพทย์หญิงวัชรี หิรัญยูปกรณ์
วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๖
สถานที่ : ห้องพระที่บ้าน เวลาประมาณ ๖.๐๐ - ๗.๐๐ น.

ทำสมาธิได้ปิติและน้ำตาไหล พอได้ฌานสี่เต็มที่สัมผัสได้ มีมือยื่นมาข้างหน้า ในอุ้งมือมีรูปเหมือนทองคำของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เปล่งประกายสุกปลั่ง มองสูงจากมือขึ้นไปเห็นองค์หลวงพ่อยืนตระหง่านเปล่งประกายในรูปกายสงฆ์ ผ้าจีวรสีเหลือง มีฉัพพรรณรังสี หลวงพ่อหันหน้าเข้าหาข้าพเจ้า ในสมาธิหลวงพ่อบอกได้ยันเสียงชัดเจน "ดูมือหลวงพ่อซิ ดูให้ดีๆ แล้วพิจารณาตามหลวงพ่อ"

หลวงพ่อพูดเสร็จ มือข้างหน้าที่มีรูปเหมือนทองคำของหลวงพ่อที่อยู่ในอุ้งมือ ค่อยๆมีมือเพิ่มขึ้นซ้อนกันและมีรูปเหมือนหลวงพ่อ ที่เป็นทองคำสุกปลั่งนั้นเรียงรายเต็มข้างหน้า ข้าพเจ้านับเป็นสิบๆ ส่งประกายวูบวาบไปหมด และในที่สุดรูปเหมือนทองคำของหลวงพ่อนั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นประกายพรึก เป็นรูปหลบ่อของหลวงพ่อที่เป็นเพชรไปหมดทุกๆ องค์ในฝ่ามือของหลวงพ่อๆ ข้าง แต่ฝ่ามือของหลวงพ่อยังเป็นฝ่ามือของกายเนื้อยู่ หลวงพ่อได้บอกว่า

"ความหลง" ของแม่ให้ถือว่า เป็นความไม่เที่ยงของสังขาร จงอย่าประมาท มือหลายๆ ข้างของหลวงพ่อเปรียบเสมือน "ความหลง" ของแม่ที่จะเพิ่มมากขึ้นๆ ตามเวลาที่จะผ่านเข้ามารูปเหมือนของหลวงพ่อเปรียบเสมือน "ความทุกข์" ของเราที่เกิดจากความหลงของแม่ "ความทุกข์" นั่นมันเป็นเปลือกนอก ข้างในของความทุกข์นั้น ให้พิจารณา พอปัญญาเกิด ความทุกข์ก็จะกลายเป็นก้อนทองและก้อนเพชร ในที่สุดเหมือนรูปเหมือนของหลวงพ่อที่เป็นทองในครั้งแรก แล้วเราสามารถทำให้รูปเหมือนของหลวงพ่อ

จากทองคำกลายเป็นเพชรด้วยกำลังสมาธิในขณะนี้ ฉะนั้นจงพยายามนอกสมาธิ พิจารณาให้เกิดปัญญา เพื่อจะทำให้ความทุกข์จากความหลงของแม่ให้กลายเป็น "ทอง" และเป็น "เพชร" ในที่สุดให้ได้นอกสมาธิ หลวงพ่อขออวยพรให้ทำให้สำเร็จ และให้มีพลังใจที่เข้มแข็งกว่านี้

๗.๓๐ น. บันทึก
๑๓ ธ.ค. ๒๕๒๖






อภิญญาใหญ่ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ อภิญญาใหญ่ครั้งที่ ๑
วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๒๖ เวลา ๖.๐๐ น.
สถานที่ บ้านนายแพทย์ วิสุทธิ์ - แพทย์หญิงวัชรี หิรัญยูปกรณ์
อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร
อภิญญาใหญ่ โปรดเมตตาสงเคราะห์ แพทย์หญิงวัชรี หิรัญยูปกรณ์


เพื่อเฉลยลายแทง "ลายแทง" หรือ "คำสอน" ของหลวงพ่อที่สอนแพทย์หญิงวัชรี หิรัญยูปกรณ์ ไว้ในมโนมยิทธิ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๒๖

เวลาประมาณ ๖.๐๐ น. ข้าพเจ้านั่งอยู่หน้ากระจกข้างเตียงนอน กำลังแต่งหน้า หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้มาปรากฏให้ข้าพเจ้าเห็นด้วยตาเนื้อในรูปพระสงฆ์อยู่บนเตียงนอนของข้าพเจ้า

เมื่อข้าพเจ้าหายตกตะลึงแล้ว ข้าพเจ้ารีบก้มลงกราบหลวงพ่อ หลวงพ่อได้บอกข้าพเจ้า ได้ยินเสียงชัดเจนว่า

"หลวงพ่อมาเพื่อบอกว่า ลายแทง หรือการบ้าน หรือข้อความในกระดาษที่หลวงพ่อให้ไว้ในการทำสมาธิเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๒๘ เดี๋ยวนี้เอ็งได้ค้นพบแล้ว แต่ตัวเองไม่รู้ส่งที่กำลังทำอยู่ในระยะวิกฤตที่แม่เจ็บหน้าอกอยู่นั้นแหละคือ คำสอนของหลวงพ่อในแผ่นกระดาษที่ให้ไว้ในสมาธิ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม

หลวงพ่อบอกต่อไปว่า "การปฏิบัติต่อบุพการีผู้ให้กำเนิดนั้น เป็นสิ่งตอบแทนสูงสุดของผู้เป็นลูก เป็นมงคลยิ่งของชีวิต" การปฏิบัตินี้ทำด้วยใจว่างและมีสติ การปฏิบัติต่อบุพการี คือต่อแม่คราวนี้ จะเป็นเครื่องสกัดกั้น "กรรมเปิด" ที่เข้ามาทดสอบ เอ็งกำลังจะผ่านพ้น "กรรมเปิด" อยู่แล้วให้เร่งบำเพ็ญเพียรพรหมวิหารสี่ต่อไป

ข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อ ถามถึงแม่ว่าจะหมดอายุขัยหรือยัง ท่านบอกว่า "แม่ยังใช้กรรมยังไม่หมด" ข้าพเจ้าก้มลงกราบหลวงพ่อที่เท้าท่าน แล้วท่านก็หายไปจากตาเนื้อของข้าพเจ้าเอง

๖.๔๐ น. บันทึก
๗ ธันวาคม ๒๕๒๖





อภิญญาใหญ่ครั้งที่ ๒
วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ เวลา ๕.๓๐ น.
สถานที่ บ้านนายแพทย์วิสุทธิ์ - แพทย์หญิงวัชรี หิรัญยูปกรณ์ อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร


อภิญญาใหญ่ โปรดเมตตาสงเคราะห์แพทย์หญิงวัชรี หิรัญยูปกรณ์

หลวงพ่อเทศน์สอนว่า
- ใช้สมาธิสงเคราะห์ได้กุศลแรง
- ให้ตัดความสงสัยออก


ในห้องจ่ายยา กำลังจุดธูปจะบูชาหิ้งหลวงพ่อ หิ้งท่านชีวกโกมารภัจจ์ กับพระพุทธรูปสมเด็จพระราชบิดา และหิ้งดาบ กำลังจุดธูปอยู่ ธูปยังติดไม่เสร็จดี หลวงพ่อทรงอภิญญาใหญ่มาให้เห็นเต็มองค์ในรูปกายสงฆ์ยืนอยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้ารีบก้มลงกราบ ท่านพูดว่า

"หมอเอ๋ย...ที่เอ็งคิดอยู่เวลานี้ สิ่งที่เอ็งสัมผัสได้ในโบสถ์วัดใหม่วังตะกู ขณะบวงสรวงนั้นเอ็งยังสงสัยอยู่นั้น เลิกสงสัยได้แล้ว เอ็งเป็นคนอธิษฐานกราบอาราธนาสมเด็จใหญ่องค์ปฐมให้มาสงเคราะห์ พระครูสุรินทร์ตามที่เอ็งอธิษฐานแล้ว เอ็งยังสงสัยอยู่ หลวงพ่อจะบอกให้ว่า เอ็งได้ใช้สมาธิสงเคราะห์นั่นเป็นสิ่งที่ได้กุศลแรง ต่อไปนี้เอ็งจงตัดความสงสัยออกไป และทรงสมาธิไว้ให้ดี" แล้ว

หลวงพ่อก็หายไปจากตาเนื้อของข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้าจะรีบกราบก่อนท่านหายไปจากตาเนื้อก็ยังไม่ทัน

สาธุ...
๖.๐๐ น บันทึก
๗ ก.พ. ๒๕๒๗





บันทึก
วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๒๗ เวลาประมาณ ๑๔.๐๐ - ๑๖.๐๐ น.
สถานที่ ศาลานวราช


เป็นคำสนทนาของหลวงพ่อบางตอนในวันที่ดิฉัน หมอวิสุทธิ์และกษริน(โรส) บุตรสาวได้มากราบหลวงพ่อในวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๒๗ ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ที่มีสาธุชนมากราบหลวงพ่อมากมาย

เมื่อเวลาคนบางตาลง เหลือแต่คณะพวกเราที่ไปจากอำเภอบางมูลนาก อันมีหมอวิสุทธิ์เป็นหัวหน้าคณะ หลวงพ่อท่านเมตตาเทศน์ เรื่องมรณานุสสติ ความทุกข์ และเร่องในนิพพานให้ฟังท้ายที่สุดท่านวกมาถามดิฉันว่า "หมอ ทุกข์ไหม?"

ดิฉันกราบท่านว่า "ทุกข์" ท่านถามต่ออีกว่า "หมอเคยเห็นผีเวลาลืมตาบ้างไหม?" โดยที่ดิฉันเองก็คาดไม่ถึงและยังไม่ได้ตอบท่าน หลวงพ่อหันไปหาหลวงน้าอรุณที่นั่งข้างๆ ท่าน แล้วท่านก็บอกหลวงน้าอรุณว่า "หมอเขาเห็นผีหลวงพ่อ ๒ หนแน่ะ" สาธุ! ข้าพเจ้าถึงกับขนลุกและเมื่อท่านกล่าวคำนี้ "เห็นผีเวลาลืมตา" "เห็นผีหลวงพ่อ ๒ ครั้ง" ข้าพเจ้านึกถึงอภิญญาใหญ่สองครั้งของหลวงพ่อทันที!

เมื่อดิฉันได้รับคำสอนธรรมจากหลวงพ่อถึง ๓ ทาง ดังที่ได้นำบันทึกมากล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ทำให้ดิฉันตระหนักในคำตรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่อง "อจินไตย" ในข้อ "ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน" ซึ่งมีอยู่เต็มเปี่ยมในองค์หลวงพ่อ จากที่ท่านได้แสดงธรรมแจกแจงสอนดิฉันในวาระและโอกาสต่างๆ ตามภูมิจิตและภูมิธรรมของดิฉันที่พึงจะรับได้

เพราะเมตตาธรรม และปัญญาธรรมในฌานอันล้ำลึกต่างๆ ของหลวงพ่อที่เมตตาสอนธรรมแก่ดฉันตามขั้นตอนของภูมิจิตและภูมิธรรมนี้ ทำให้ดิฉันสามารถที่จะปรับจิตของตัวเองเข้าสู่กระแสแห่งรส "พระธรรม" สามารถอยู่ในทางโลกด้วยการดำรงชีวิต ส่วนที่เหลืออยู่นี้ให้อยู่ในความสว่าง สงบ รู้จักคำว่า "พอ" รู้จักคำว่า "ปล่อยวาง" รู้จักว่าชีวิตนี้เดินอยู่บนหนทางของวิบาก คือ "กฏแห่งกรรม"

ความดับทุกข์และวิธีที่จะพ้นทุกข์ก็คือ "ธรรม" ที่หลวงพ่อเป็นผู้เลือกหยิบยื่นให้ดิฉันตาม "ฌานวิสัย" ของท่านตามขั้นตอนความเหมาะสมกับเวลาที่จิตของดิฉันจะสามารถรับได้รวมทั้งความรักความเมตตาปรานีเยี่ยงพ่อพึงมีต่อลูก ที่ท่านปราบกิเลสความพยศของจิตของดิฉันลงได้ และทำให้การปฏิบัติธรรมของดิฉันเจริญในธรรมไปตามกาลเวลาตามที่ท่านได้เมตตาสอนได้อย่างน่าอัศจรรย์

ส่วนในทางโลกนั้น ดิฉันได้ใช้ธรรมที่ได้รับจากหลวงพ่อมาประยุกต์ในการทำประโยชน์ต่อสังคมเช่น ช่วยทางฝ่ายจริยะของโรงเรียน ในการฝึกสมาธิ ในบางครั้งบางจังหวะรวบรวมลูกศิษย์หลวงพ่อตั้งชมรมปฏิบัติกรรมฐานมโนมยิทธิ ในวันอาทิตย์ ณ ห้องจริยะของโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดชัยมงคล โดยใช้เทปกรรมฐานของหลวงพ่อนำ

ครั้งหนึ่งในการรับเชิญไปบรรยายธรรมในการบวชเนกขัมมะ หลังจบคำบรรยาย มีคำถามจากผู้เข้าบวชคนหนึ่งว่าดิฉันเป็นลูกศิษย์ใคร? และฝึกปฏิบัติกรรมฐานจากสำนักไหน?

ดิฉันตอบคำถามนี้ท่ามกลางผู้บวชเนกขัมมะ ๕๐๐ กว่าคน ซึ่งมาจาก ๑๒ จังหวัดว่าดิฉันเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระอาจารย์ใหญ่ของเรา เช่นเดียวกับพวกท่านทั้งหลาย แต่พระอาจารย์ผู้ให้กรรมฐานองค์แรกและองค์เดียว ในชีวิตการปฏิบัติกรรมฐานมโนมยิทธิของดิฉัน คือ ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน หรือ "หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ" แห่งวัดท่าซุง ท่านเป็นผู้ให้ธรรม และให้ความเป็น "พุทธ" เกิดขึ้นในใจของดิฉัน จนดิฉันสามารถที่จะมายืนบรรยายธรรมต่อหน้าท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายได้

ดิฉันมีความปิติ และดีใจที่ได้มีโอกาสใช้ตัวหนังสือบรรยายความรู้สึกส่วนลึกของจิตใจต่อองค์หลวงพ่อแทนดอกไม้ธูปเทียน เพื่อกราบนมัสการบูชาพระคุณท่านด้วยความกตัญญูกตเวทีแทนครอบครัวของดิฉัน เนื่องในวาระที่คณะศิษย์จะทำหนังสือถวายความรู้สึกส่วนตัวต่อองค์หลวงพ่อ

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/4/09 at 15:25


อัญชัน ศุทธรัตน์

"บันทึกของลูก"




ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1


ก่อนปี ๒๕๑๓ ข้าพเจ้าได้เข้าไปกราบหลวงพ่อท่านพระราชพรหมยานที่บ้านสายลม โดยการแนะนำจากพี่อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) พบหน้าครั้งแรกหลวงพ่อท่านบอกออกมาเลย อุปนิสัยของข้าพเจ้าเป็นอย่างไร อยู่บ้านวันๆ ชอบทำอะไร ไม่ชอบอะไร ข้าพเจ้าไม่รู้จักตัวเองดีพอ ก็คิดว่าน่าจะจริง แต่ท่านอ๋อยรับออกมาเลยว่า จริงเจ้าค่ะ ชอเขาเป็นอย่างนี้จริงๆ เลย

เพราะเห็นข้าพเจ้ามาตั้งแต่เกิด หลวงพ่อท่านบอกต่อว่าที่ฉันรู้มานี้พระภูมิเจ้าที่เขาตามมาฟ้องว่าไม่เคยเลี้ยงเหล้าเลย ให้กิน แต่ขนมกับผลไม้ พอนั่งรถกลับบ้าน ข้าพเจ้าเล่าให้คนขับรถฟัง คนขับรถหัวไวกลับบ้านบนเลย ถ้าเขาถูกล๊อตเตอรรี่ เขาจะเลี้ยงเหล้ากับไก่ต้ม แล้วเขาก็ถูกติดๆ กันหลายงวด

เมื่อครบรอบอายุ ๑๐๐ ปี หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค พ.ศ. ๒๕๑๘ หลวงพ่อท่านหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ปาน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในรูปหล่อ ทำพิธีบรรจุที่บ้านสายลมข้าพเจ้าเข้าไปจนสาย หลายคนเล่าให้ฟังว่าเมื่อเช้ามีใครที่มีโชคดีได้พระบรมสารีริกธาตุ เสด็จมาได้กันด้วยวิธีใด บางท่านไว้ที่บนถาดเอาผ้าเช็ดไว้อย่างดี

ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่มีพระบรมสารีริกธาตุไว้บูชาเลย อยากได้มากจึงตั้งใจหาสุดฤทธิ์อยู่พักใหญ่ ไม่สำเร็จ อ่อนใจ เราคงไม่มีบุญวาสนาพอ ตัดใจได้เข้าช่วยกิจงานอื่นไม่กังวลจะหาอีก พบบรรจุครบหมอทุกองค์ หลวงพ่อท่านขึ้นห้องพักข้างบน ข้าพเจ้านั่งอ่อนใจอยู่ข้างล่างพอเพลินๆ ตาเหลือบไปมองเห็นที่พื้นพรมมีอะไรกระทบวูบ หยิบขึ้นมาดู ใช่แน่แล้ว ยังเอาใส่พานขึ้นไปให้หลวงพ่อท่านยืนยัน เพื่อความแน่ใจ

พอได้มาองค์หนึ่งองค์นี้เป็นของเรา ได้อีกสักสององค์ก็ดีจะได้ให้ลูกชายคนละองค์ ประเดี๋ยวก็เห็นอีกในลักษณะเดียวกัน คือมีอะไรให้กระทบใจให้หันไปมอง ทีนี้ได้ครบหมดสามองค์ มีคนอื่นขอบ้าง จึงบอกให้นึกอาราธนาเอานะ ได้อีกก็จะให้ ใครขอก่อนให้ก่อน วันนั้นตลอดวัน ข้าพเจ้าได้เผื่อแผ่ต่อไปให้คนอื่นอีกหลายคน

ที่เห็นกับตามีอีกหลายเรื่องขอยกตัวอย่างมาเพียงสองเรื่อง ขอเอาของ คุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ แถมให้อีกเรื่อง ถึงไม่เห็นกับตาก็เชื่อได้ ๑๐๐% ตอนคุณสมบูรณ์เป็นศิษย์ใหม่ได้เข้าไปปฏิบัติธรรมพร้อมช่วยงามวัดอยู่หลายเดือน มีอยู่วันหนึ่งตอนบายแก่ๆ หลวงพ่อท่านมีธุระให้คุณสมบูรณ์ขับรถไปกันตามลำพังหนึ่งองค์กับหนึ่งคน ขับไปๆ ง่วงนอนจะหลับในเสียหลายหน

หลวงพ่อท่านเห็นอาการขืนปล่อยไว้ท่าจะแย่ ท่านจึงหยิบแม่กุญแจซึ่งปิดอยู่ขึ้นมามองๆดู ประเดี๋ยวเดียวกุญแจลั่นดังแชะ แล้วหลุดออกโดยที่ไม่ต้องใช้ลูกกุญแจไขออก คุณสมบูรณ์เล่าว่าตื่นเต้นมากหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

เรื่องอภินิหารมีมาก แต่ก็พอเขียนได้หมด ส่วนความดีความเมตตากรุณาที่ให้ไว้กับลูกศิษย์นั้น เขียนเท่าไหรถึงจะหมดได้ ยิ่งนานวัดยิ่งงอกเงยออกไปตามวันเวลาที่ยาวนาน ธรรมะที่สอนก็สั้น ตรง เข้าใจง่าย ถูกกับจริตของแต่ละคน เวลาลูกศิษย์กำลังใจอ่อน ก็เสริมให้ทั้งทางตรงด้วยวาจา ทางอ้อมด้วยความฝันหรือนิมิต ไม่ต้องให้ลูกศิษย์ได้แบกทุกข์นานเลย

ข้าพเจ้าไปกราบฝากตัวเป็นลูกศิษย์ด้วยการแนะนำตัวจากท่านอ๋อย พอหลวงพ่อท่านรู้จุดประสงค์ว่าข้าพเจ้าเบื่อเกิด ท่านบอกไม่ยากทำบารมี ๑๐ ให้เต็ม ก็ไปได้ถึงพระนิพพาน แล้วอธิบายให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง เป็นข้อๆ ข้าพเจ้าฟังไปก็นึกวาดภาพตามขึ้นในใจ ถึงแก้วน้ำวางเรียงกัน ๑๐ ใบ บารมีคงเหมือนน้ำที่ต้องใส่ในแก้วให้เต็มทุกๆ ใบ เอะใจถ้างั้นข้อไหนที่เราชอบก็คงทำมาเต็มบ้างแล้ว ทำอีกก็จะล้นเสียทิ้งเปล่า ข้อไหนที่ไม่ชอบไม่บำเพ็ญก็จะยังบกพร่องอยู่

จึงกราบเรียนไปว่าถ้าข้พเจ้าจะไปพระนิพพานในชาตินี้ให้ได้ ควรทำบารมีข้อไหน ที่ยังไม่เต็มก็จะพยายามให้เต็มในชาตินี้ ได้รับคำตอบมาว่าให้ทำขันติบารมี ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าเตือนตนเองมาตลอด ถ้าขันติมันจะแตกก็คิดว่าเดี๋ยวได้กลับลงมาเกิดอีก

มีอยู่วาระหนึ่งข้าพเจ้าจับได้ว่าสามีแอบไปติดผู้หญิงนอกบ้าน ตามธรรมดาของผู้ชายรูปหล่อพ่อรวย ครั้งแรกทุกข์หนักมาก หลวงพ่อท่านทราบจากท่านอ๋อย ท่านให้กำลังใจว่า "เป็นโอกาสดีที่หาได้ยาก ถ้าข้าพเจ้าทำข้อสอบผ่านได้ ต่อไปกิเลสอย่างอื่นเรื่องเล็ก"

ข้าพเจ้ามีกำลังค้นหาความจริง ว่าเราเกิดมานี่อะไรสำคัญที่สุด ไล่ไปตั้งแต่ พ่อ แม่ ลูก สามี ลงมาที่ตัวเราเอง ตั้งแต่ส่วนประกอบของร่างกาย ไล่ไปเรื่อยๆ มาถึงหัวใจ ถ้าไม่มีหัวใจคงตาย อ้าว! หัวใจเทียมเขามีกันแล้ว จึงมาสิ้นสุดจริงๆตรงลมหายใจเข้า - ออกเพื่อที่แท้จริงและสำคัญที่สุดในชีวิตเรา คือลมหายใจที่เข้าๆ ออกๆ นี่เอง เมื่อได้พบเพื่อนคู่ชีวิตที่แท้จริงก็เลยเอาใจเกาะลมหายใจ มีทุกข์ร้อนอะไรก็พึ่งลมหายใจพุทโธๆ เข้า - ออก ก็รอดตัวมาได้ทุกกรณี

สมัยต้นที่หลวงพ่อท่านสอนกรรมฐานที่บ้านสายลม มีคนน้อยบางคืนไม่ถึง ๒๐ คน พอหมดเวลาหลวงพ่อท่านจะไปจี้ทีละคนๆ ใครทำสมาธิได้แค่ไหน ใครทำจิตดี ใครฟุ้งซ่านวางอารมณ์ผิดถูก พอเข้าพรรษาเว้นระยะไปนานที่หลวงพ่อท่านไม่เข้าสายลม ลูกศิษย์ใหม่ห่างครูอย่างข้าพเจ้า ปฏิบัติอยู่บ้านไม่รู้ผลออกมาอย่างไร? ก้าวหน้าหรือถอยหลัง พอหลวงพ่อเข้าสายลมเมื่ออกพรรษาแล้ว

ข้าพเจ้ากราบเรียนถามเลยว่า "ทำอย่างไรเวลาหลวงพ่อไม่อยู่ ลูกจะรู้ผลการปฏิบัติว่าดีขึ้นหรือเลวลง จะเอาอะไรเป็นเครื่องวัด" ได้รับคำตอบว่า "ใช้กิเลสเป็นเครื่องวัดสิ รัก โลภ โกรธ หลง ของเรามันเท่าเก่าหรือลดน้อยลง เขาวัดกันตรงนี้"

ทานที่เป็นยอดทานหลวงพ่อก็ได้อบรมข้าพเจ้า เมื่อเป็นศิษย์กลัวหลวงพ่อท่านจะทิ้งขันธ์ไปก่อน ปล่อยให้ข้าพเจ้าเดินทางโดยลำพังก็กลัวจะเดินหลงทาง จึงกราบเรียนถามไว้เผื่อเหนียวว่า ปฏิบัติธรรมอย่างไรจึงจะไม่หลงทาง ท่านตอบว่า "อภัยทาน" ตัวนี้อย่างเดียวก็กั้นอกุศลกรรมเก่า - ใหม่ได้เกือบหมด

ธรรมทานที่เป็นทานสูงสุดกว่าทานทั้งมวล หลวงพ่อท่านก็ใจกว้างเปิดโอกาสให้ข้าพเจ้าซึ่งเป็นศิษย์ยังเอาดีอะไรไม่ได้เป็นครูช่วยสอนมโนมยิทธิในสังกัดของท่าน ข้าพเจ้ารู้ตัวดี เคยเข้าไปกราบขอรับใช้กิจอย่างอื่นที่เคยทำอยู่ ขอยกเว้นเรื่องเป็นครูสอนมโนมยิทธิ หลวงพ่อท่านไม่อนุญาต บอกว่าที่ฉันให้เป็นครูสอนเพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้สอนตัวเอง

นี่เป็นความกรุณาที่ข้าพเจ้าได้รับประมาณค่าไม่ได้ หากหลวงพ่ออนุญาตตามใจข้าพเจ้าป่านนี้วิชานี้ที่ได้มาก็คงหมดไปนานแล้ว เพราะข้าพเจ้ามักโง่ไม่ยอมเลิก ได้ของดีไม่รู้ค่าคอยจะทิ้งอยู่เสมอ

เรื่องยอมรับกฏของกรรมนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่หลวงพ่อท่านทำองค์เป็นตัวอย่าง ยอมรับความป่วยไข้ไม่สบายปกติ โลกธรรม ๘ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ใครก็ตาม จะมีความสำคัญยิ่งใหญ่ในโลกใกล้ชิดแค่ไหน มีกรณี พิพาทเกิดขึ้น หลวงพ่อท่านจะไม่สนใจตัดสินใครผิดถูกอย่างชาวโลก จนมีลูกศิษย์เก่าใหม่หลายคนที่เข้าใจไม่ลึกซึ้งพากันแคลงใจ

สำหรับข้าพเจ้านั้นคิดเอาเองว่าโลนมันไม่สิ้นสุด หลวงพ่อท่านจึงไม่สนใจ ให้แต่ธรรมะอย่างเดียว จนมาประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๙ มีเด็กคนหนึ่ง เขาอยู่ช่วยกิจการงานในวัด แล้วเกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้น ก็จะขอออกไปอยู่นอกวัด จึงเข้าไปกราบลาหลวงพ่อแล้วร้องไห้เสียใจ คงน้อยใจหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม

หลวงพ่อท่านดุเอาว่า แกมันเลวยิ่งกว่าหมา มโนมยิทธิฉันก็สอนแล้ว ญาณ ๘ แกก็ฝึกมาแล้ว ทำไมจึงไม่ย้อนกลับไปดูอดีตว่า แกเคยทำอะไรเขามาบ้าง ข้าพเจ้าฟังได้ฟังเด็กเล่าแล้ว สาธุในใจ เป็นยอดธรรมที่หลวงพ่อท่านได้ฝากไว้ให้

เมื่อเข้ามาปฏิบัติธรรมใหม่ คิดว่าคนที่จะเดินทางเข้าพระนิพพานได้ต้องทิ้งสมบัติทางโลกหมด อยากไปนิพพานก็อยาก กลัวข้างหน้าจะจนก็กลัว ตัดสินใจจะเลือกอะไร หลวงพ่อท่านรู้ความคิดของข้าพเจ้า ท่านบอกเลยว่าไม่ต้องกลัวจน ใครเป็นพระอริยบุคคลแล้วไม่มีคำว่าจน ตอนที่ได้รับคำสอนที่ยังไม่รู้ว่ารวยของหลวงพ่อท่านนั้น คือรวยทรัพย์ภายในซึ่งมันก็เปรียบเทียบกับทรัพย์ภายนอกประมาณค่าไม่ได้

พระคุณของหลวงพ่อท่านที่ให้ไว้นั้นมาก ให้ข้าพเจ้าเขียนอย่างไรจะหมดได้ จึงยกเฉพาะที่บอกกล่าวได้ ที่ลึกซึ้งเกินที่จะเขียนออกมาไว้นั้นส่วนมากคงได้ประจักษ์แก่ใจกันดี หากไม่มีหลวงพ่อท่านหรือจะรู้จักพระนิพพาน ได้พบพ่อ แม่ ลูก ญาติพี่น้องมิตรสหายเก่า ได้พบเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมแท้ ซึ่งนับเป็นสมบัติที่หายากยิ่งกว่าสมบัติใดๆ ในโลก

สรุปแล้วข้าพเจ้าได้ตัดสินใจแต่ต้น มีบุคคลที่ข้าพเจ้าต้องตอบแทนพระคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งองค์นอกจากพ่อแม่ที่ให้กำเนิด สอน ฯลฯ แล้วก็สอน สอน .... จนข้าพเจ้าคิดว่าอย่างไรเสียก็มีข้าพเจ้าคนหนึ่งที่ตั้งใจจะไปพระนิพพานให้ถึงในชาตินี้ให้ได้ เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณที่ได้เสียสละกำลังกายอยู่เพื่อเคี่ยวเข็ญให้ลูกศิษย์พ้นทุกข์

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 11/5/09 at 06:58


อัญเชิญ มณีจักร

"บังเอิญติดดี"




ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1


“ข้าพเจ้าได้กราบหลวงพ่อท่านครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ ตอนนั้นหายป่วยจากแพ้ยาไข้หวัดเกือบตาย ถึงกับเป็นอัมพฤกษ์ ยังไม่แข็งแรงดี กับได้ยินเขาพูดว่า ถ้าขึ้นครูกรรมฐานวันพระ หรือวันไม่ดีจะเป็นบ้า หรือเห็นผีได้ ข้าพเจ้ากลัวผีมากอยู่แล้ว จึงไม่กล้าเอาธูป ๓ ดอก เทียนหนักบาท ๑ เล่ม ดอกไม้สามสี เงิน ๑ สลึง ไปนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อท่าน เพียงแต่ไปกราบ และทำบุญกับท่าน ท่านคุยอะไรๆ ให้ฟังสนุกดี มีความสุขสบายใจมาก

ตอนนั้นหลวงพ่อท่านยังไม่มาที่บ้านซอยสายลม ทุกเดือนเหมือนเดี๋ยวนี้ ลูกศิษย์ยังมีน้อยไม่กี่คน ดูท่าเก่งกันทั้งนั้น ข้าพเจ้านั่งฟัง และอายุก็น้อยกว่าด้วย นานๆจะมีคำถามถามท่าน ถามทีไรได้หัวเราะกันเกือบทุกที เพราะคำถามไม่เข้าท่า จนผ่านไปเกือบปีเรียนถามหลวงพ่อท่านว่า

"หลวงพ่อเจ้าคะ.. ลูกอยากขึ้นครูกรรมฐาน กับหลวงพ่อ เขาว่าถ้าเป็นวันพระวันไม่ดี จะเห็นผีเป็นบ้าด้วย" เสียงหัวเราะดังขึ้น หลวงพ่อท่านว่า

“ขึ้นไม่ได้หรอก..ครูหนักแย่ เขาเรียกว่าไหว้ครู วันไหนก็ได้ ถ้ายังมีความกลัว เทวดาท่านจะไม่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่ผี ไม่ว่าใครก็ตามถ้ากำลังทำสมาธิ นึกถึงพระพุทธเจ้า หรือ "พุทโธ" จะมีเทวดาอย่างน้อย ๒ องค์คุ้มครอง และภายในรัศมี ๒ วาไม่มีอะไรเข้าถึงตัวได้”

คงหมายถึงผีชั่วๆ หรือมารมั้ง ไม่ได้ถามท่านด้วย พอจะเขียนถึงพูดไม่ถูก จนเดือนมีนา ๒๕๑๓ จึงได้บูชาครูอย่างถูกต้องที่บ้านสายลม คล้ายๆจะมีดอกไม้ ๕ กระทง ข้าวตอก ๕ กระทงด้วย ชักลืมไม่ได้จดไว้

คืนนั้นหลังจากนั่งสมาธิเสร็จแล้ว หลวงพ่อท่านบอกให้ข้าพเจ้าบวชเณรใช้เจ้ากรรมนายเวร ให้งูที่ข้าพเจ้าตีตาย ในห้องน้ำบ้านพักพยาบาล ที่โรงพยาบาลภูมิพล เมื่อ ๑๐ ปีก่อน ที่จะพบหลวงพ่อท่าน ทำไปเพราะความจำเป็น มีแต่เพื่อนผู้หญิงทั้งนั้น ใครก็ไล่ไม่ได้ ตัวใหญ่ขดอยู่ในซอกโถส้วม กับถังน้ำ ข้าพเจ้ายืนอยู่นอกประตู หลับตาตีไปตรงนั้น เพื่อนลืมตาดูให้ คนตีหลับตาเงื้อไม้กระทบพื้น หรือถูกงูทีก็ร้องว้ายๆ ทั้งคนตี และคนดู แบบว่าตีไม่นับเลย ไม้ยาวหลายวา

เคยทราบว่าถ้าตีงูไม่ตายจริง กลางคืนจะมานอนด้วย ตั้งแต่ครั้งนั้นไม่สบายเมื่อไรนึกถึงว่าทำบาป เพราะตีงูทุกที เพราะอย่างอื่นไม่เคยทำ หลวงพ่อท่านบอกว่า

“งูเขาฟ้องท่านว่าตีเขาเละเลย..!”

เจ้าค่ะ..ลูกกลัวจะมานอนด้วย ไม้ยาวยกสุดแขนจนหลอดไฟบนเพดานแตกหมดเลย แล้วลูกคิดถึงบาปอันนั้นเรื่อย ๑๐ปีกว่าแล้วเจ้าค่ะ ครั้งแรกหลวงพ่อท่านรู้แล้วว่าเราทำบาปอะไร ใจข้องอยู่กับงูตัวนั้นด้วยจริงๆ คืนนั้นกำลังนั่งสมาธิยังนึกว่าเราเคยตีงู ตีงูตัวใหญ่สีดำๆ เคยตีงู ตีงู ถ้าสมัยนี้ก็รู้ว่า เขาคงมาอยู่ข้างหน้าเราแล้ว

คืนเดียวกันนั้น คุณนิด (สุภาพ ปุณศรี) ก็ต้องบวชเณรให้เจ้ากรรมเก่า ในอดีตชาติ เคยทำโทษคนรับใช้ผู้หญิง ขโมยเครื่องเพชรทอง เขายังผูกใจเจ็บอยู่ คุณนิดมีลูกชาย เอาลูกชาย หง่าว(พงศธร ปุณศรี) บวช ข้าพเจ้าไม่มีลูกชาย พี่อ๋อย (เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) ภรรยา พล.อ.ท. มรว. เสริม ศุขสวัสดิ์ เจ้าของบ้าน ซอยสายลม จัดการเอาลูกชายคนเล็ก หน่อง (ม.ล. จิรเศรษฐ์) ให้ยืมบวชเณรใช้งูตัวนั้น อีกไม่กี่วันพากันไปบวชเณรน้อยที่วัดท่าซุง กับหลวงพ่อ

ท่านพระมหาวีระ ถาวโรสมัยนั้น ญาติเณรกับพี่น้องเณรเด็กๆไปกันหมด ญาติเยอะ ลูกไปพ่อแม่ก็ไปด้วย ดีว่าบ้านพี่ชุมศรี มีบ้านหลังใหญ่ที่ในเมืองอุทัยให้พัก จึงสะดวกสนุกเหมือนรวมญาติ หลวงพ่อท่านยังอยู่กุฏิริมน้ำหลังเล็กๆ ที่ตั้งตึกเสริมศรียังเป็นศาลาแบบชั่วคราว มีหลังคาสังกะสีกับพื้นไม้กระดานติดดิน ไม่มีฝาโปร่งโล่งดี เณรบวช ๕ วัน โรงเรียนกำลังปิด พี่เลี้ยงเณรน้อยกับกองเชียร์ จึงมีหลายคน เด็กๆสนุก ผู้ใหญ่ก็สนุกชื่นใจ ถามอะไรหลวงพ่อท่านตอบได้หมด

ยังมีเรื่องแปลกๆ เล่าให้ฟังเกือบทุกวัน ตื่นเต้นทั้งเด็กผู้ใหญ่ ขนาดให้ลูกอู๋ ลูกอุ๋ย (กุลรัตน์ และ กัลยาวัชร์ มณีจักร) เลือกว่าไปตากอากาศชายทะเล กับไปวัดท่าซุง จะไปไหน ยังเลือกไปวัดท่าซุงเลย ลงเล่นน้ำ หัดว่ายน้ำหน้าวัดเป็นปีๆ ไม่เห็นชาวบ้านลงเล่นยังนึกว่าเขาโง่ ตักขึ้นไปอาบทำไมให้หนักแรง

วันหนึ่งถามเขา เขาบอกว่า แม่น้ำสะแกกรังนี่ จระเข้มีเยอะหลุดมาจากบึงบอระเพ็ด นครสวรรค์ เคยขึ้นจับเป็ดจับไก่ชาวบ้านกิน มิน่าเขาไม่ลงน้ำกัน เราเองโง่ ถ้าไม่ใช่บารมีหลวงพ่อท่านช่วย คงคาบเอาไปบ้างแล้ว

วันหนึ่งข้าพเจ้าลงเล่น นึกขอเป็นน้ำมนต์ของหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อท่าน ช่วยให้แข็งแรง หายจากขาที่ยังไม่แข็งแรงดีเท่าเดิม กำลังว่ายอยู่หลายคน หลวงพ่อท่านเดินออกไปที่หน้าระเบียงกุฏิ ๒ ชั้น ริมน้ำ เวลานั้นเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ท่านถามว่า

“อัญเชิญลงเล่นหรือเปล่า”

เล่นเจ้าค่ะ อ้อ ! ท่านทำน้ำมนต์ให้แล้ว เสร็จจากนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ตอนกลางคืน หลวงพ่อท่านจะนำกล่าวอุทิศส่วนกุศล เราก็ปลุกลูกๆ ที่หลับอยู่ข้างๆ ให้ลุกขึ้นด้วย แล้วเขาก็ได้ฟังหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องผี เทวดา สุนัข แมว ตายแล้วเป็นเทวดา ตาสว่างหายง่วง

พี่อ๋อย กับ พี่เสริม เกรงว่าต่อไปภายหน้าเรื่องแบบนี้ จะไม่มีใครเล่าให้ฟังอีก เกรงว่าจะสูญไปจึงขออนุญาตหลวงพ่อท่าน จัดพิมพ์เป็นหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน โดย “ฤาษีลิงดำ” หลวงพ่อท่านให้นามปากกา จากที่หลวงปู่ปานเคยเรียกท่าน ตั้งแต่นั้นท่านฤาษีลิงดำจึงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ถ้าเอ่ยพระนามเป็นอย่างอื่นก็ต้องว่า ท่านฤาษีลิงดำด้วยถึงจะอ๋อ! กัน มีองค์เดียวเท่านั้น

วันที่บวชเณรน้อย ๒ เณรแล้ว หลวงพ่อท่านจะนำอุทิศส่วนกุศล และให้พร ท่านบอกข้าพเจ้าว่าท่านพระอินทร์มา เราเคยเป็นหลานท่านให้นึกถึงท่านด้วยนะ เจ้าค่ะ รีบรับปากไว้ก่อนไม่ได้ถามท่าน คิดว่าไม่มีปัญหา เมื่อท่านว่า..ยะถา วาริ วะหา ฯลฯ

ข้าพเจ้านึกอุทิศส่วนบุญให้งูที่ตี ในห้องน้ำแล้ว งูอะไร ตัวผู้หรือตัวเมียก็ไม่รู้ ตัวนั้นน่ะ แล้วอย่ามาทำให้ป่วยให้ปวดเมื่อยอีก ทีนี้นึกถึงพระอินทร์มีหลายองค์ แบบนางฟ้าเทวดาไง้ (โง่ถึงขนาดนั้น) ไม่ได้ถามว่าองค์ไหนซะด้วย เอาองค์นั้นที่หลวงพ่อท่านสั่ง เมื่อกี้นี้ก็แล้วกันเจ้าค่ะ พิธีเสร็จเรียบร้อยแล้วยังนึกข้องใจ ว่ากราบเรียนพระอินทร์ถูกองค์หรือไม่หนอ จึงเรียนหลวงพ่อว่า

เมื่อกี้นี้ลูกบอกพระอินทร์แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นองค์ไหนจึงจะถูกองค์ เลยบอกว่าให้องค์ที่หลวงพ่อสั่งเมื่อกี้นี้เจ้าค่ะ เสียงหัวเราะดังขึ้น พี่โป๋ (พันเอกประวิทย์ ศรลัมพ์) นั่งติดๆ ไม่ฮาเปล่า เอามือตบหลังข้าพเจ้าป๊าบใหญ่ หลวงพ่อท่านหัวเราะด้วยแล้วบอกว่า

“พระอินทร์มีองค์เดียว เป็นใหญ่ในเทวดานางฟ้าทั้งหมด งูเขาเป็นตัวเมีย เวลานี้เป็นนางฟ้าแล้ว ทีนี้ป่วยปวดเมื่อยก็อย่าโทษเขาอีก เขาอโหสิกรรมให้แล้ว เขาเป็นนางฟ้ามีฤทธิ์ ถ้ามีอะไรให้เขาช่วยก็ขอช่วยได้”

ข้าพเจ้าไม่เคยขออะไรเลยเพราะขอไม่เป็น คิดสงสัยอะไรหลวงพ่อท่านทราบหมด และแก้ข้อข้องใจให้ด้วย ทีนี้ก็ไปวัดท่าซุงอีกเรื่อยๆ ไปบ่อย

จากนั้นอีกไม่นานได้ยินคนอื่นเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า เขาอยู่บ้านบางทีฝันเห็นหลวงพ่อไปหาที่บ้าน บางรายได้กลิ่นยานัตถุ์ของหลวงพ่อ แสดงว่าหลวงพ่อไปโปรดเขาถึงโน่น เราไม่เคยสงสัยไม่มีบุญ หรือหลวงพ่อท่านไม่เมตตา คิดในใจคนเดียว กลับจากวัดวันนั้น ก็ไปฟังสวดศพที่บ้านอาจารย์กฤษศิลป์ กำลังนั่งหลับตาฟังพระสวดหน้าศพเพลินๆ กลิ่นยานัตถุ์ฉุนเข้าจมูกแทบสำลัก

เอ๊ะ! ใครนัดยาเวลาพระกำลังสวด ห้องแคบด้วย มองหาไม่มีใครนัดยา หรือมีขวดยานัตถุ์เลย งั้นต้องเป็นกลิ่นยานัตถุ์ของหลวงพ่อท่านแน่ๆ นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อเกือบ ๒๐ ปีก่อน หลวงพ่อท่านสอนแบบสุกขวิปัสสโกเป็นปกติ คืนวันหนึ่งท่านสอนแบบฤทธิ์ มีกระดาษเขียนอักษรบาลีพับเป็นรูปสามเหลี่ยมปิดหน้า มีธูป ๓ ดอก จุดแล้วเสียบที่กระดาษด้วย ลูกศิษย์ก็มีแต่ญาติเณรน้อยทั้งนั้น ข้าพเจ้านั่งข้างหลังริมศาลา หลวงพ่อท่านนำสมาทานกรรมฐานแล้วให้ภาวนา "นะ มะ พะ ทะ"

ถ้าจำไม่ผิดนะ ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ไม่คิดอะไรเลย แม้แต่บุญยังไม่คิด คิดว่านิพพาน คือความว่างที่เขาว่านิพพานสูญ หลวงพ่อท่านก็ไม่บอกว่ามีฤทธิ์ยังไง คนอื่นอย่างพี่อ๋อย คุณเสริมคงรู้แล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ทำตามหลวงพ่อท่าน ภาวนาไปไม่นานมือที่ถือกระดาษปิดหน้าสั่นมากขึ้นๆ เสียงเด็กๆพูดว่า น้าเชิญสั่นแล้วๆ สมาธิยังดี เดี๋ยวหลวงพ่อท่านเอาไฟฉายมาส่องหน้า อ้อ! ท่านพรมน้ำมนต์ให้ก่อนทุกคนด้วย ท่านถาม

“เห็นอะไรไหม” ไม่เห็นเจ้าค่ะ “สว่างไหม” สว่างเจ้าค่ะ ท่านส่องอยู่พักหนึ่ง คงเห็นว่าลูกศิษย์ไม่ได้แน่ ท่านจึงเลิกไปนั่งเงียบๆ

ฝนกำลังตกมากเหมือนกัน อากาศเย็นสบายๆ ทีนี้คางคกกระโดดหนีน้ำฝน เข้าไปอยู่ในเสื้อข้าพเจ้าพอดี เขาจะกระโดดหนีต่อไปก็ติดเสื้อออกไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่รู้นึกว่าข้างบนมือสั่น ข้างล่างก็มือสั่นด้วย นึกว่าได้ฤทธิ์ปล่อยให้โดดอยู่พักหนึ่ง ทีนี้หวนนึกถึงงูที่บวชเณรให้

เฮ้ย! งูหนีน้ำเข้าในเสื้อมั้ง กระโดดพรวดเดียวแทรกเข้าไปกลางวงเลย หันหลังดูเห็นคางคกหล่นอยู่ตัวหนึ่ง ดีว่าคนอื่นกำลังนั่งหลับตาจึงไม่เห็นเรา ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่บอกใครเลย นั่งกลางวงอีกพักหนึ่งเสียงหลวงพ่อท่านคุยแล้ว ข้าพเจ้าถามท่านว่า เลิกได้แล้วยังเจ้าคะ? ท่านตอบได้แล้ว ข้าพเจ้าก็ลืมตาเอามือลง คนอื่นเสร็จกันหมดแล้ว

หลวงพ่อท่านนำถวายกุศล อุทิศส่วนบุญ แล้วกลับไปนอนบ้านพี่ชุมศรี ที่ในเมืองหมด อีกไม่กี่วันไปวัดอีก เห็นหลวงพ่อท่านฝึกให้ทหารอากาศ ๓ นาย ไปจากตาคลี ตอนกลางวันที่หน้าเตียงศาลาริมน้ำ ที่หลวงพ่อท่านฉันเพลเวลานี้ คนหนึ่งกระโดดตัวลอย กระแทกพื้น โครมๆ ทั้งๆที่นั่งขัดสมาธิ ลอยสูงเกือบศอก ว้าย! ได้ฤทธิ์ต้องเป็นแบบนี้ และเห็นผีด้วย ไม่เอาแล้วเรากลัวผี เอา "พุทโธ" ธรรมดาๆ ดีกว่า

นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อก่อน ที่เป็นลูกศิษย์ท่านใหม่ๆ ของพระคุณท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่คนรู้จักนามนี้มากที่สุด หรือ "พระมหาวีระ ถาวโร" แห่งวัดท่าซุงสมัยโน้น แม่นแล้วคือองค์หลวงพ่อของเราแน่ๆ ไม่เป็นองค์อื่นไปได้ เดี๋ยวนี้ท่านเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้น และเปลี่ยนชื่อสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเป็น พระเดชพระคุณ "ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน" ด้วยความชื่นชมยินดีในหมู่ลูกศิษย์ พุทธบริษัทลูกหลานของพระคุณท่าน จึงได้จัดทำหนังสือเล่มนี้ขึ้น

ข้าพเจ้าได้รับใบบอกจากคณะกรรมการจัดทำหนังสือ ให้ร่วมเขียนด้วยผู้หนึ่ง ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง แต่ยังนึกไม่ออกเขียนอะไรดี เก็บไว้หลายวัน จนกระทั่งเช้าวันอาทิตย์ที่ ๒๔ ธันวาคน ๒๕๓๒ กำลังเตรียมตัวจะไปทำบุญที่วัดเทพศิรินทราวาส เนื่องจากงานพระราชทานเพลิงศพ ของ หลวงปู่พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน บุญ-หลง อาภรณเถระ) คณะสงฆ์ และญาติลูกศิษย์หลวงปู่ ส่งบัตรให้หมอโกศล มณีจักร จึงรู้กำหนดการมีอะไรบ้าง

จึงบอกกล่าวพวกเราให้ไปทันเริ่มงานตอนเช้าเลย กำลังเตรียมตัวได้ยินเพลงจากทีวีตอนเปิดรายการ เสียงดังฟังชัด จังหวะเร้าใจแบบวัยรุ่น เขากำลังฮิตกัน “บั๊งเอิ๊น..บังเอิ้น..บัง-เอิญเก่งเอง บังเอิญเหมือนอย่างใคร ใครบังเอิญพอใจ บังเอิญเก่งเอง บั๊งเอิ๊น บังเอิ้น บัง-เอิญเกิดมาได้พร บัง-เอิญพอใจ บังเอิญติดดี บั๊งเอิ๊น..บังเอิ้น..บังเอิญ ฯลฯ”

เนื้อเข้าท่าฟังด้วยความชอบใจ เอ๊ะ! เราเองก็บังเอิญเหมือนกันนะเนี่ย ทำอะไรได้มักจะบังเอิญหลายครั้ง มีเรื่องเขียนเล่าสู่กันฟังลงในหนังสือธัมมวิโมกข์ โลกลี้ลับ โลกทิพย์ นิดๆหน่อยๆ บ้างก็จากประสบการณ์ที่ทำตามคำสอนของหลวงพ่อท่านได้ แบบบังเอิญเหมือนกัน อย่างเช้านี้ได้ยินเสียงเพลง “บังเอิญ” ของอัศนี และวสันต์เข้า นึกอยากขียนขึ้นมาทันที รีบเขียนข้อความสั้นๆไว้ก่อนเลย ว่าเขียนตอนไหนดี

ถ้าเขียนทุกตอน ทั้งเล่มนี้เขียนคนเดียวไม่จบแน่ “บั๊งเอิ๊น..บังเอิ้น..บังเอิญเหมือนอย่างใครๆ บัง-เอิญเก่งเอง บังเอิญเกิดมาได้พร” คงเป็นบุญเก่าของเราที่เคยทำไว้ ในอดีตชาติ “บังเอิญพอใจ” พอใจคำสอนแบบของหลวงพ่อท่าน ของพวกเรา ที่ท่านสอนแบบสายกลางไม่เครียดไม่บังคับจนเกินไป สบายๆ สนุกเบิกบานด้วย “บั๊งเอิ๊น..บังเอิ้น..บังเอิญติดดี” ติดหลวงพ่อท่าน และติดพวกเราลูกศิษย์ของท่านด้วย จึงได้ติดตามร่วมขบวนไปไหนๆกันเรื่อย ไม่ว่าในประเทศไทย และไปเมืองนอก เรียกว่า ตามกันๆ จนติด “ติดดี” ไปที่อื่นก็งั้นๆ

อย่างเมื่อ ๒-๓ วันไปทำบุญครบรอบวันตายผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่วัดอะไรอย่าบอกเลยไม่เหมาะ นั่งฟังพระสวดไม่เห็นพระ เห็นพรหม เห็นเทวดาเล้ย มีแต่ผีลำบากมาขอส่วนบุญบ้าง นิดๆหน่อยๆ นึกในใจตัวเรานี้เสื่อมจากญาณหยั่งรู้หรือไง กำหนดดูเทวดาไม่เห็น เราเสื่อมหรือท่านไม่มาจริงๆ จนเลี้ยงพระเพลทั้งวัดเสร็จหมด จึงไปกินก๋วยเตี๋ยวผัดไทย นั่งคนเดียว คนอื่นกินหมดแล้ว ข้าพเจ้าเขี่ยกุ้งแห้งออก แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวเห็นถามทำไมไม่กิน บอกว่ากินไม่ได้ปวดเมื่อยขา

เขากระซิบกระซาบบอกว่ามียาดีของพระพุทธเจ้า ไม่เคยบอกใครเลย วันนี้จะบอก เพราะความรักนับถือคุณหมอเป็นพิเศษ เขาก็บอกเครื่องยาและวิธีทำ ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านพ่อหมอ ชีวกโกมารภัจจ์ยืนลอยอยู่ข้างหน้า ท่านพยักหน้ารับรอง เลยถามแม่ค้าว่า ของท่านพ่อหมอชีวกโกมารภัจจ์ใช่ไหม

เขารับว่าใช่แล้ว ๆเอามือลูบแขนตัวเองบอกว่าฉันขนลุกเลยทำไมรู้ ก็เห็นท่านยืนอยู่ตรงนี้ แล้วเขาก็ไปทำงานต่อ ข้าพเจ้าแยกเข้าห้องน้ำ นึกในใจตำรายาเมื่อกี้ผิดหรือถูกหนอ ท่านโผล่มาอีก บอกว่ายังขาดเกลืออีกอย่าง บอกมีสามอย่าง มะอึกพริกไทยและเกลือด้วย เจ้าค่ะ ออกจากห้องน้ำ ถามแม่ค้าว่า เมื่อกี้ลืมบอกเกลือด้วยหรือเปล่า รึฉันลืม เขาบอกต้องเกลือด้วย

เป็นอันว่าถูกต้องตรงกัน แสดงว่าญาณหยั่งรู้ยังใช้ได้ ที่ไม่เห็นองค์อื่นแต่แรกท่านคงไม่มากัน เพราะทำบุญไม่ได้บุญ หรือผลบุญมีน้อย ถ้าจะเป็นเพราะเนื้อนาไม่ดี พันธุ์พืชก็ไม่สมบูรณ์ด้วย ทำตามพิธีถึงจะได้บุญ หรือไม่ได้ ต้องไปกับเขาเพื่อความเหมาะสม ของสังคมโลกมนุษย์ เขาเป็นเช่นนั้นเพราะเขาเก่ง ทนทุกข์ในการเกิดอีกได้ ยังไม่เข็ดเกิดนับถือจริงๆ

พระคุณเจ้าหลวงพ่อท่านให้ความรู้ความสว่าง เป็นที่พึ่งของครอบครัวข้าพเจ้าเรื่อยมา ไม่ว่าจะเรียนถามปัญหาด้วยวาจา หรือนึกในใจ ท่านเมตตาตอบได้หมด อย่างเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๒ รู้ว่าท่านสลบในห้องน้ำ ตอนออกไปรับแขกที่ตึก “พระสุธรรมยานเถระ” อีก ข้าพเจ้าใจเสียเกรงว่าท่านจะสิ้นก่อน วิชาที่ท่านเมตตาสอนไว้ยังทำไม่ได้หลายอย่าง

ท่านสอนที่วิหาร ๑๐๐ เมตร เรื่องเพ่งกสิณ พี่น้อยกานดา (นิพัทธา) อมาตยกุล กรุณาเอาเทปคำสอนของหลวงพ่อท่านให้ข้าพเจ้าทุกๆเดือนนั้น ว่าด้วยกสิณหลายกอง สีแดง สีเขียว สีขาว สีเหลืองมีพระพุทธรูปให้ดูเพ่งแล้ว แสงสว่างเพ่งที่แสงเทียนไฟฟ้า วาโยกสิณกสิณลม ดูที่เปลวเทียนดอกใหญ่ เคยเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดท่าซุง แล้วลมพัดเปลวไหวไปมา กำหนดเอาที่นั่น อาโปกสิณ กสิณน้ำมีในแก้ว ซึ่งมีถวายที่โต๊ะหมู่บูชาแล้วทุกวัน

ถ้าเพ่งทีละกองมันช้า บางกองเคยทำได้แล้วแต่ละเว้นไปนาน กลัวว่าหลวงพ่อท่านจะสิ้นไปซะก่อน เพ่งทีละอย่างจะไม่ทันเวลา จึงเอามาวางรวมกันหมดเลย ให้เห็นถนัดๆ เพ่งรวมกันทุกอย่าง มีครั้งหนึ่งสว่างพรึบสีขาวใส พร้อมกันหมดเลยในเวลาเดี๋ยวเดียว ไม่ทันตั้งตัวติด บังเอิญจริงๆ เอ๊ะ.. แบบนี้ถูก หรือผิด ทำพร้อมกันก็ได้เหมือนกัน ยังไม่เคยได้ยินว่าใครเขาสอนให้ทำแบบนี้เลย

ถ้าถูกก็บั๊งเอิ๊น..บังเอิญ ขี้ลงช่องแบบหลวงพ่อท่านว่าข้าพเจ้าเสมอ ยังไม่มีโอกาสเรียนถาม ท่านสักที เพราะเห็นท่านป่วยมาก และเหนื่อยเพลียจากรับแขก และสอนอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะมีเวลาใกล้ชิดกราบเรียนถาม ขอคำชี้แนะจากท่าน ก็ตอนท่านฉันเพลที่บ้านสายลม มีแต่พวกเรา ๒-๓ คนเท่านั้น บางทีโดนดุ ถ้าคำถาม หรือทำผิด ถือว่าท่านเป็นพระอาจารย์ ลูกศิษย์ไม่โดนอาจารย์ดุจะเอาดีได้อย่างไร จริงไหมท่าน?

แต่ส่วนมากยังไม่กล้าถาม นึกในใจ ท่านจะถามเองว่ามีอะไรบ้างก่อน หรือท่านคุยเรื่องที่ตรงกับเรื่องของเรายังไม่เข้าใจ จึงจะกล้าถามท่านได้ หลายคนมีปัญหาไม่กล้าถามเองให้ข้าพเจ้า เสี่ยงโดนดุเหมือนกัน แต่ต้องเป็นปัญหาส่วนรวม หรืองานวัดจึงจะถามให้ ยิ่งพวกติดตามใกล้ชิดยิ่งโดนหนัก ใครบ้างไม่โดน และ ไม่กลัวท่าน กสิณดิน ปฐวีกสิณ กสิณของข้าพเจ้ายังไม่มีดินสีอรุณ ยังขาดอยู่กองเดียว

บังเอิญจะตั้งศาลพระภูมิให้ลูกสาว เขาปลูกเรือนหอหลังบ้าน มีกำแพงกั้น กันสุนัขกัดกัน จึงต้องตั้งศาลอีกศาลหนึ่ง ช่างเขาขุดดินลึกเห็นสีออกแดงๆ สะอาดเหนียวดี จึงปั้นเป็นก้อนกลมๆ เท่ากำปั้น ๑๐ ก้อน หลวงพ่อท่านเข้ากรุงเทพฯ สอนที่บ้านซอยสายลมเมื่อเดือนตุลาคม ข้าพเจ้าเอาดิน ๑๐ ก้อนใส่ถุงพลาสติก ขึ้นไปวางไว้ใต้โต๊ะในห้องนอน โดยไม่ได้กราบเรียนให้ท่านทราบ เพราะเห็นว่าท่านกำลังป่วยมาก พูดคุยสอนข้างล่างก็เหนื่อยมากแล้ว ไม่ควรให้ท่านพูดกับเราอีกจะเป็นบาป

เมื่อเอาถุงดินวางไว้ได้กราบพระบูชาในห้องนอนของท่าน อธิษฐานขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ พรหม เทวดาทั้งหลาย ที่ท่านมาเยี่ยม มาคุย มาอารักขาหลวงพ่อท่าน กับบารมีหลวงพ่อท่านเป็นผู้สอนลูกโดยตรง ขอจงช่วยเสกดินให้ศักดิ์สิทธิ์ ให้ลูกได้เพ่งเป็นกสิณ ก้าวหน้าโดยเร็วด้วยเจ้าค่ะ แล้วบอกตี้ (พรนุช คืนคงดี) ว่าเป็นถุงดินของพี่เอง ไม่ใช่ถุงระเบิดนะ

คืนนั้นยังไม่ถึง ๒ ทุ่ม ข้าพเจ้าหลับด้วยความเหนื่อย เพลียจากที่ไปทำงาน และสอนมโนมยิทธิ ฝันว่าอยู่บริเวณลานวัด มีหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ในจานบินอวกาศลำเล็ก แบบที่ฝันเป็นที่เยอรมัน ครั้งที่ติดตามหลวงพ่อท่านทัวร์ยุโรป เมื่อ มิถุนา ๒๕๓๑ หลวงพ่อท่านนั่งองค์เดียวแต่ในนั้นมีที่นั่ง ๒ ที่ ข้าพเจ้ายืนข้างล่างคอยควบคุมก้อนดินก้อนหนึ่ง คล้ายๆจะเป็นรีโมทคอนโทรล เอามือกดดินจานบินที่หลวงพ่อท่านนั่งลอยขึ้นได้ แต่ไม่สูงแล่นช้าแต่ฉวัดเฉวียนไปมา มีอยู่ทีเกือบชนต้นไม้

หลวงพ่อท่านตะโกนบอกอะไรไม่รู้ ข้าพเจ้ากดใหม่ ทีนี้เหาะขึ้นสูง แล่นเร็วมากด้วย ข้าพเจ้าวิ่งตามดู ใจหนึ่งก็ห่วงว่า ผู้ที่ไม่ประสงค์ดี จะมาแอบกดเครื่องควบคุม ซึ่งวางไว้กลางแจ้งไม่ลับตาอะไร คนมีหลายคน ดูไปๆ นึกสนุกเพลินขี้เกียจเฝ้ากดแล้ว นึกกดในใจก็แล้วกัน ใช้ได้ นึกอยากให้ไปทางไหนก็ได้ แถมนึกว่าอย่าให้คนอื่นมากดด้วย กลัวเขาแกล้งทำพัง สนุกจนตื่นนึกถึงความฝัน

ตีความหมายเองว่า ดินที่เราเอาไปวางไว้เมื่อกลางวัน อธิษฐานขอท่านช่วย ท่านรับทราบแล้วจะช่วยเสกให้ด้วย นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อ ๓ เดือนนี้ ท่านยังไม่ทิ้งข้าพเจ้ายังเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าอยู่เสมอ และจะขอพึ่งท่านอีกตลอดไป

หลวงปู่หลุย แห่งถ้ำผาปิ้งจังหวัดเลย เคยพบกับหลวงพ่อที่บ้านสวน ของคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ จันทบุรี หลวงปู่หลุยท่านขอวันเดือน ปี เกิด ของหลวงพ่อ ท่านผูกดวง ตั้งแต่นั้น ถ้าท่านได้ยินใครว่าหลวงพ่อท่านไม่ดี ท่านจะห้ามทันทีว่าอย่านะ พระองค์นี้สำคัญมากนะ ระวังวิบัติจะถึงตัว หลวงปู่หลุยเคยไปพักกุฏิที่ข้าพเจ้าสร้างถวาย ไว้ให้หลวงพ่อท่านแวะพัก ในบ้านข้าพเจ้า เมื่อปี ๒๕๑๗ ด้วย

สมัยนั้นลูกศิษย์ยังน้อย หลวงพ่อท่านเข้ากรุงเทพฯ หรือกลับวัดท่าซุง ท่านจะแวะฉันเพลที่บ้านข้าพเจ้าก่อนบ่อยๆ หลวงปู่ซามาเพื่อนหลวงปู่หลุย ก็เคยไปพักให้หมอรักษาอาพาธ ๒-๓ ครั้ง ท่านก็นับถือหลวงพ่อของเรามาก ทั้งหลวงปู่หลุย และหลวงปู่ซามาก็ได้สิ้นไปแล้ว พระผู้ใหญ่ที่เคยไปพักที่กุฏินั้นสิ้นหมดแล้ว (ยังมีแต่พระลูกศิษย์ที่ติดตาม) เหลือแต่หลวงพ่อท่านองค์เดียว คือพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน

ซึ่งเป็นที่พึ่งของครอบครัวข้าพเจ้าเสมอมา ๒๐ ปีกว่าแล้ว ได้ยินคนทั่วไปพูดถึงท่านในเรื่องฤทธิ์ สิ่งมหัศจรรย์ที่เขาทั้งหลายประสบ พบเห็นด้วยตนเองบ้าง ได้ยินคนอื่นพูดให้ฟังบ้าง จนเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ถ้าใครพูดว่า หลวงพ่อท่านไม่มีฤทธิ์นั่นถึงจะผิดปกติ หรือไม่พบเห็นเป็นของแปลก พบเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา

นอกจากหลวงพ่อท่านจะสอนวิปัสสนากรรมฐาน ท่านยังเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกศิษย์ด้วยองค์ท่านเอง แล้วท่านยังนำลูกศิษย์ตระเวนไปกราบพระคุณเจ้าองค์อื่นๆ อีกหลายองค์ที่ท่านเห็นสมควรจะให้ศิษย์กราบ และเอาอย่างปฏิปทาของแต่ละองค์ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีต่อไป หนังสือแจกที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่วัดเทพศิรินทร์ฯ



ภาพถ่าย : หลวงพ่อและหลวงปู่ต่างๆ ยืนอยู่หน้าบ้านพักอธิการบดี
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2519


มีรูปหนึ่งถ่ายที่บ้านพักของ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อครั้งไปทำพิธีบวงสรวงเปิด "พระวิหารน้ำน้อย" ที่สงขลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินีนาถ พระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอ ทุกพระองค์ พระองค์ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เสด็จในงานพิธีเปิดด้วย

ข้าพเจ้าเห็นรูปนึกถึงความหลังแล้วชื่นใจว่าเราได้ไปร่วมงานรับใช้ใกล้ชิด และทำบายศรีด้วย ในรูปนั้นพระคุณเจ้ายืนเรียงแถว ที่หน้าเรือนต้นไม้ดอกสวย ๗ องค์ จากซ้ายไปขวาคือ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (ฤาษีลิงดำ) หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร หลวงปู่บุดดา ถาวโร ครูบาชุ่ม โพธิโก ครูบาวงษ์ (พระครูใบฎีกาชัยยะวงษา) พระครูปัญญาภรณ์โสภณ (อำพัน อาภรโณ) หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ธัมมชโย

ตามชื่อในรูปสมัยนั้น ๗ องค์ สิ้นไปแล้ว ๔ องค์ เหลือ ๓ องค์คือ หลวงพ่อท่าน พระราชพรหมยานสมัยนี้ยืนหัวแถว หลวงปู่บุดดา และหลวงปู่ครูบาวงษ์ องค์เว้นองค์ในรูปยังอยู่ สุดท้าย ๒ องค์สิ้นหมดแล้ว เมื่อก่อนที่บ้านเมืองกำลังมีภัยจากผู้ก่อการร้ายบ้าง จากสถานการณ์รอบประเทศไม่ดีบ้าง หลวงพ่อท่านไปเยี่ยม และแจกของวัตถุมงคล นำหลวงปู่อีกหลายองค์ไปด้วยเสมอ

บวงสรวงพระธาตุดอยตุง พิธียกฉัตรที่ยอดเจดีย์คู่ บนพระธาตุดอยตุงด้วย บวงสรวงพระธาตุจอมกิตติ เยี่ยมทหารชายแดนริมฝั่งโขง สมัยที่เวียงจันทร์แตก จนต่างชาติพูดกันว่าพระไทยห้ามทัพได้ด้วย แน่แค่ไหน สงสัยญวนรัสเซียตีลาวแตกแล้วคิดตีไทยเราต่อด้วย ข่าวถึงออกมาแบบนั้น ไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือหนาวเพียงไรถึงเวลาคับขัน หลวงพ่อท่านจะต้องนำไปแจกวัตถุมงคลบำรุงขวัญกำลังใจทหาร ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง อีสาน

ถ้าไปอีสานมีหลวงปู่สิมไปด้วย หลวงปู่สิมพูดว่ายังไม่เคยเห็นใครเก่งเท่าหลวงพ่อท่าน ท่านตอบปัญหาไม่มีติดขัดเลยทั้งทางโลกและทางธรรม ก่อนจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นหลวงพ่อท่านนำคณะไปเยี่ยมก่อน พอกลับมาไม่กี่วันจะต้องถูกโจมตี แล้วท่านไปเยี่ยมอีก ครั้งนั้นทหารก็เล่าให้ฟังถึงความปลอดภัยและชัยชนะ ทหารเชื่อมั่นในผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามมาก ขนาดใครไม่มีไม่กล้าออกรบ เพราะท่านที่ตายกันไม่มีผ้ายันต์ติดตัว

ถ้าไปสงขลาจะไปรถไฟตู้นอนเตียงนอนเรียงกันเป็นแถว เห็นหลวงพ่อหลวงปู่ท่านคุยกันหัวเราะกันเราก็เกิดปีติชื่นใจ ท่านคุยกันคงมีความหมายแต่เราไม่เข้าใจ เสียดายตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก (เดี๋ยวนี้ก็ยังรู้น้อย) ม่ายงั้น ได้ซักหลวงปู่เอาความรู้จากฤทธิ์ของท่านแน่ๆ เลย

บางครั้งอากาศหนาวอย่างเดือนธันวา ไปอีสานพักที่เขื่อนน้ำอูนอากาศหนาวมาก พวกเราเตรียมหมวกถุงเท้าหนาๆ ถวายหลวงพ่อท่านหลวงปู่ด้วย หมากพลูเตรียมด้วย จีบพลูพันสำลีไม่เป็นเอาไม้จิ้มฟันเสียบเรียงแถวเลย ทำอะไรต้องเร็วๆ ไวๆ พระหลายองค์ลูกศิษย์ติดตามไม่กี่คน เพราะว่ารถจำกัดที่นั่ง บางครั้งไปเครื่องบินบางแห่งไปเฮลิคอปเตอร์

ข้าพเจ้าเตรียมยาด้วย พร้อมทุกอย่างยากินยาฉีดรักษาโรค วิตามินบำรุงกำลังอย่างถุงน้ำเกลือขาดไม่ได้ ยามอ่อนเพลียฉีดเข้าเส้นบำรุงกำลัง ยามท้องผูกก็ถุงน้ำเกลือนั่นแหละล้างท้องด้วยเลย มีสายเสร็จ บางครั้งเพลียมากๆ เป็นหวัดหลวงพ่อท่านสั่งให้ข้าพเจ้าฉีดยาหลวงปู่องค์อื่นด้วย เมื่อเรียนท่านว่าหลวงพ่อท่านสั่งแล้ว หลวงปู่ยอมให้ฉีดทุกองค์

ข้าพเจ้าว่าคาถาฉีดด้วยทุกครั้ง และคิดว่าท่านแม่ศรีช่วยฉีดเราไม่ได้ฉีดเอง ม่ายงั้นกลัวมือสั่นฉีดไม่ได้ไม่มั่นใจตัวเองเท่าไร เมื่อเห็นหลวงพ่อท่านป่วยมาก อาการไม่ดีทำท่าจะสิ้นทิ้งขันธ์ไปเลยจริงๆ ข้าพเจ้าเร่งปฏิบัติธรรมพักหนึ่งกลัวไม่ทัน แต่พอสุขภาพของท่านดีขึ้น ข้าพเจ้าก็ขี้เกียจหย่อนยานลงไปอีก ทำตามสบายๆ นึกถึงว่ารับใช้หลวงพ่อท่านด้วยแรงกายแรงใจ ที่ผ่านมาตั้งแต่เป็นลูกศิษย์ท่านแล้ว ๒๐ กว่าปีนี้ ได้ทำอย่างเต็มกำลังความสามารถของเรา ไม่ได้นึกขี้เกียจหรืออู้งานเกี่ยงงานเลย

ทำสุดกำลังไม่ว่างานที่วัด งานที่บ้านซอยสายลม งานสอนแนะนำมโนมยิทธิครึ่งกำลัง เต็มกำลัง รู้ว่าท่านไปไหนมีงานที่ทำได้รับใช้ได้ ข้าพเจ้าไปก่อน ถ้าไม่ป่วยมากจริงๆ งานทางบ้านหรืองานสังคมทิ้งหมดจะได้ไม่นึกกินแหนงแคลงใจทีหลัง ว่ารู้งี้ทำนั่นก็ดี รู้งี้ทำนี่ก็จะดี เสียดายยังไม่ได้ทำอย่างนั้นๆ เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่

ข้าพเจ้ายังจำได้เมื่อครั้งหลวงพ่อ ท่านพาคณะลูกศิษย์ไปเยี่ยมทหารที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ท่านพาไปที่วัดพระแท่น มีพระพุทธรูปเสี่ยงทายด้วย คือถ้าอธิษฐานยกพระขึ้นแปลว่าสำเร็จ ถ้ายกไม่ขึ้นแปลว่าไม่สำเร็จ หลวงพ่อท่านบอกให้ข้าพเจ้ายกก่อนใครหมดข้าพเจ้าก็ต้องยก อธิษฐานเสียงดังฟังชัดเลยว่า เจ้าประคู๊ณ...ถ้าหลวงพ่อท่านสอนวิชาความรู้อะไรให้แล้ว ลูกสามารถทำได้ขอให้ยกองค์พระขึ้น ยกขึ้นได้จริงๆ

หลวงพ่อท่านหัวเราะดูอยู่ใกล้ๆ นั้น พี่ปุ๊ (ท.ญ.ลัดดา จารุวัสตร์) ยังชมว่าเข้าใจอธิษฐานดี ดีว่าหน้าไม่แตก พูดออกมาได้ดังๆ เพราะความตกใจมากกว่า ทีนี้คนอื่นก็เข้าไปอธิษฐานยกกันเป็นแถว ยกคนละหลายครั้งหลายคำอธิษฐาน ไม่เห็นใครอธิษฐานเสียงดังอย่างเราเล้ย

ตั้งแต่ครั้งนั้นข้าพเจ้าจึงมั่นใจว่า คำสอนของหลวงพ่อท่านสอนให้ลูกศิษย์ปฏิบัติธรรม เพื่อหลุดพ้นการเกิด เข้าพระนิพพานชาตินี้โดยตรง ข้าพเจ้าต้องสำเร็จด้วยตายแล้วไปนิพพานได้แน่นอน จึงไม่กลัวตาย แต่กลัวเจ็บกลัวมีเวทนาอยู่นั้นเอง เรียกว่า ตายไม่กลัวกลัวเจ็บเจ้าค่ะ ลูกอยากให้หลวงพ่อท่านอยู่กับพวกเราไปอีกนานๆ แบบมีสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บไม่ไข้ เป็นที่พึ่งเป็นมงคล และเป็นหลักชัยของลูกหลานพุทธบริษัท ตลอดไปด้วยเทอญ” ....

ที่มา - "คนรู้น้อย" โพสต์ใน "เว็บบอร์ดพระรัตนตรัย" โพสเมื่อ 2005-10-21

หมายเหตุ : คุณอัญเชิญ มณีจักร เป็นแฝดผู้น้องกับ คุณอัญชัญ ศุทธรัตน์ เรื่องนี้ "คนรู้น้อย" เป็นผู้ที่โพสต์ในเว็บบอร์ดอื่นๆ อีกมากมาย โดยการนำ "พระธรรม" อันเป็นแนวทางที่ "หลวงพ่อฯ" สั่งสอนไว้ เป็นการปูพื้นฐานไปในเว็บไซด์ ถือว่าเป็นผู้ที่ช่วยทำหน้าที่เผยแผ่คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้นานแล้ว ก่อนที่เว็บวัดท่าซุงจะเปิดมานานหลายปี โดยที่ไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง สมควรยกย่องและอนุโมทนาไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย สาธุ..สาธุ..สาธุ !!!


◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 14/5/09 at 10:08


ครอบครัว ศรีไชยยันต์ ประมุขสรรค์

"ลูกได้อะไรจากหลวงพ่อ"




(ภาพผู้ที่นั่งด้านขวามือหลวงพ่อ คือ คุณหญิงสมสมัย (หมู) ส่วนคนนั่งกลางคือลูกสาว เป็นผู้บันทึก)

ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1


ก่อนหน้าที่จะได้มีโอกาสกราบหลวงพ่อ ลูกมีความสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา แต่เหมือนมีกรรม อ่านหนังสือพระกี่เล่มๆ หลับได้หลับดี ยิ่งกว่ายานอนหลับเสียอีก ฟังเทศน์ก็ไม่ทน เลยเป็นอันว่ายังไม่ทราบซึ้งในธรรมะ

ช่วงที่ลูกไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ คุณแม่ของลูก (คุณหญิงสมสมัย ศรีไชยยันต์ หรือที่หลวงพ่อเรียกติดปากว่า "อ้ายหมู") ได้ถูกชักนำให้ได้มากราบหลวงพ่อ และแม่หมูคงจะได้รับใช้หลวงพ่อบ้างตามโอกาส ครั้นเมื่อลูกกลับมาก็ทำหน้าที่ขับรถบริการแม่หมู เมื่อต้องการมาบ้านสายลม โดยที่ลูกมาส่งไว้แล้ว นัดเวลามารับ ลูกยังไม่มีศรัทธาในองค์หลวงพ่อ แถมยังได้ยินคำครหาจากภายนอก

อยู่ว่าวันหนึ่ง ลูกมาส่งแม่เช่นเคยและระหว่างเดินทางออกจากบ้านสายลม หูก็ได้ยินเสียงเทศน์ ฟังแล้วดูนุ่มนวล ชัดเจน เข้าใจง่ายข้อความที่เทศน์ก็เกิดจับใจลูก เลยลองนั่งฟังต่อดู ในที่สุดก็ฟังจนจบอยู่ในเต็นท์หน้าบ้าน แม่ก็ไม่ทราบว่าลูกอยู่ นึกว่ากลับไปแล้ว

ตั้งแต่นั้นก็ตั้งใจว่า เราจะต้องศึกษาพระองค์นี้ จุดดีที่คนเห็นจึงเกิดศรัทธามากมายเพราะอะไร แม่ของลูกก็ไม่เคยแนะนำหรืออธิบายอะไรให้ลูกฟัง ลูกจึงได้ตามแม่หมูเข้าไปกราบองค์ท่าน และอยู่ด้วยกับแม่ โดยไม่กลับไปก่อนเช่นที่เคย พิจารณาศึกษาวิธีการและคำสั่งสอนของท่าน (จึงทำให้พอทราบถึงเหตุที่ทำให้คนศรัทธาและเหตุใดที่ทำให้คนแย้งท่าน)

นอกจากนั้นก็เริ่มอ่านหนังสือของท่านอ่านแล้วสนุกไม่ง่วงเหมือนที่เคย นอนหัวเราะคิ๊กๆ สามียังเคยถามว่าอ่านหนังสืออะไรนะ พอบอกว่าหนังสือหลวงพ่อ เขาก็ถามว่าอ่านหนังสือหลวงพ่อแล้วทำไมถึงนอนหัวเราะ ขำอะไร ก็ต้องตอบว่า ลองอ่านดูเองแล้วกัน

หนังสือของหลวงพ่อไม่เหมือนของคนอื่น มีทุกรส ท่านกล้าพูดดี บางครั้งอ่านแล้วนึกในใจว่า รุนแรงจัง แต่ตรงดีจุดนี้เป็นจุดหนึ่ง ที่คนไม่เข้าใจหลวงพ่อแล้วคิดไปในทางลบ แต่ลูกเข้าใจดีเพราะพ่อของลูกก็เป็นคนตรงๆ แบบนี้เหมือนกัน

ปัจจุบันนี้เวลาลูกเอาหนังสือของหลวงพ่อให้ใครก็ตามที่สนใจอ่าน ลูกต้องอธิบายให้เขาทราบก่อนอ่านเสมอไปว่า หลวงพ่อไม่เหมือนพระองค์อื่นนะ อ่านในหนังสือแล้วจะเห็นว่าทุกคำถามที่มีผู้ถามท่าน ท่านจะย้อนคำถามของแต่ละคนชนิดหน้าแตกไปตามๆ กัน แล้วท่านจึงจะตอบคำถามนั้นจริงๆ ซึ่งคล้ายกับว่าท่านยวน แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว จะพบว่าท่านสอนเราไปในตัว

ประการที่ ๑ คิดก่อนถาม จะได้ไม่ผิดเป้าหมาย ประการที่ ๒ คำพูดของเรานั้นดิ้นได้ แปลความหมายได้หลายแบบ ที่ถามเพราะตั้งใจจะถามเพื่อความหมายหนึ่ง แต่อาจแปลเป็นความหมายอื่นได้ ซึ่งคำถาม คำตอบแบบนี้ ลูกเคยประสบมากับพ่อของตัวเอง เช่น เราไปในงานเลี้ยงหนึ่ง มีผู้อ่อนอาวุโสกว่าพ่อมาถามพ่อว่า "ท่านสบายดีหรือครับ" คำตอบที่เขาให้รับจากพ่อก็คือ "ถ้าไม่สบายจะมาเดินอยู่อย่างนี้ได้ หรือครับ..ผมสบายดี"

ถ้าคนที่ทักทายไม่รู้จักพ่อดี เขาก็คงจะพกเอาความโกรธกลับบ้านไป เขาไม่รู้หรอกว่า พ่อพูดเล่นด้วย ถ้าคนที่รู้จักว่าพ่อเป็นคนแบบใด เขาก็ไม่ถือซึ่งลูกเกรงว่า คนที่อ่านหนังสือหลวงพ่อจะเข้าใจผิดเลยต้องรีบอธิบายให้เขาเข้าใจเสียก่อน เพราะไม่อยากให้ใครมาว่าคนที่เรารัก

การถือศีล ๕ นั้นแม้เพียง ๕ ข้อเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะปฏิบัติให้ครบทั้ง ๕ ข้อได้ง่ายๆ นัก ต้องการกำลังใจที่เข้มแข็งพอสมควร ในตอนเป็นเด็กข้อที่ถือยากที่สุดคงจะเป็นข้อ ๔ "มุสาวาท" ข้อ ๓ และข้อ ๕ ได้เองโดยอัตโนมัติ ส่วนข้อ ๑ และข้อ ๒ อาจพลั้งเผลอละเมิดได้ไม่ยาก สำหรับลูกถือว่าโชคดีตรงที่ทั้งพ่อและแม่เป็นคนตรง ลูกจึงได้ตัวอย่างที่ดีและได้เลือดมาบ้าง จึงทำให้ลูกถือศีล ๒ - ๕ มาโดยตลอด และเกลียดการพูดปดอย่างมาก

มีอยู่ข้อเดียวคือข้อ ๑ ที่ยังปฏิบัติไม่สำเร็จ ยิ่งตอนมีลูกด้วยแล้ว ยิ่งปฏิบัติยากมาก เห็นยุงเอยมดเอย มารบกวนลูกๆ ก็อดไม่ได้ที่จะฆ่ามันเสียทั้งๆ ที่รู้ว่าบาป แต่ในใจคิดว่า บาปก็บาปเถอะเราจะขึ้นสวรรค์คนเดียว โดยไม่คิดถึงลูกที่เราต้องรับผิดชอบ ดูจะเป็นการเอาเปรียบอยู่สักหน่อย ยอมใช้ชาติยุง แมลงวัน มด แมลงสาปจะดีกว่า แถมยังคิดอีกว่าถ้าเราจะต้องใช้ชาติยุง เราก็อยากจะเป็นยุงชนิดที่พอบินได้ก็มีคนตบให้ตายเร็วๆ จะได้หมดๆ หนี้สินเร็ว

แต่พอได้ฟังคำสอน อ่านหนังสือ และฟังเทปของหลวงพ่อทำให้ลูกตาสว่างขึ้น คำสอนของท่านเข้าใจง่าย มีกำลังใจในการปฏิบัติ ท่านมีจิตวิทยาที่สูงมาก ท่านทำให้ลูกคิดว่า ความดีนั้นก็ต้องมีวิธีที่จะรักษา และวิธีการที่จะทำความดีให้เพิ่มขึ้นจนถึงขั้น ทรงตัว แต่ตำราอื่นๆ ไม่ได้สอนวิธีที่คอยเป็นค่อยไป บอกแต่ว่า รักษาศีล ๕ ให้ได้ จะมีผลอย่างไรบ้าง พูดน่ะง่าย แต่ปฏิบัติยาก

ลูกก็ได้นำวิธีการของหลวงพ่อมาใช้กับตัวเอง รู้สึกว่ามีความปิติและอิ่มเอิบอย่างไรบอกไม่ถูก เดี๋ยวนี้ลูกสามารถดูยุงมันกัดเราได้โดยไม่หงุดหงิด ถ้าไม่พอใจก็ไล่มันไปเสีย แต่กว่าจะทำได้ต้องใช้เวลานานพอสมควร แรกๆ ปล่อยมันไปแต่ใจยังมีความแค้นอยู่บ้าง เดี๋ยวนี้สบายมาก

เรื่องการทำบุญก็เหมือนกัน ที่มีคนกล่าวหาหลวงพ่อ เรื่องเมตตาพิเศษแต่กับคนมีสตางค์ และคนที่ทำบุญมากๆ เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงเลย ทั้งแม่และลูกศิษย์ที่ไม่ค่อยจะได้ทำบุญกับท่านเป็นเรื่องเป็นราวอย่างคนอื่น แถมแม่ยังชอบเถียงหลวงพ่อ แต่ท่านก็เข้าใจและให้ความเมตตาต่อครอบครัวเรามาก ท่านยังพูดให้เราสบายใจอีกว่า ภาระของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน คนอื่นๆ มองดูครอบครัวเรานึกว่ามั่งมี แต่ตัวเรารู้ว่า เรามีภาระอะไรบ้างและก็เป็นอย่างที่ท่านกล่าวจริงๆ

ท่านมีเมตตาสูงเหลือเกิน ศรัทธาที่ลูกศิษย์มีต่อหลวงพ่อ จึงมากมายแทบไม่น่าเชื่อ หลวงพ่อไม่ต้องเรี่ยไรเงินทองก็ไหลมาเทมาเอง ลูกได้สัมผัสและได้รับความชื่นใจกับตัวเอง เช่น ครั้งหนึ่งเมื่อวันมีงาน ลูกและครอบครัวก็ตามญาติผู้ใหญ่(ธรรมญาติ) ไปวัดด้วย คนไปร่วมงานเป็นหมื่น รถติดมากมาย กลับบ้านไม่ได้ ลูกและครอบครัวจึงขึ้นไปหา "ป้านนทา" (นนทา อนันตวงศ์) ข้างบน เพื่อช่วยนับสตางค์เวลาพระท่านนำเงินทำบุญจากศาลาใส่ถุง(กระสอบ) มาเทกองให้พวกเรานับ

ลูกเล็กๆ ของลูกเห็นเข้าวิ่งมาบอกว่า คุณแม่ครับเงินมาเป็นฝูงเลย เขาพูดตามที่เห็น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เงินกองโตเชียว และที่น่าชื่นใจมากก็คือ เงินเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นใบละ ๑๐ บ้าง ๒๐ บ้าง ๑๐๐ บ้าง ๕๐๐ บ้าง ก็มีแต่ไม่มากเท่าใบย่อย แสดงให้เห็นว่าเป็นการทำบุญตามกำลัง จากบุคคลต่างๆ ที่มาร่วมงาน ยอดเงินนับครั้งนั้นถึง ๘ ล้านบาท (ถ้าจะไม่ผิด) ซึ่งจำนวนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากเช็คของเศรษฐี แต่เกิดจากแรงศรัทธา

เมื่อตอนที่ท่านยังแข็งแรงอยู่บ้าง ใครนิมนต์ท่านไปไหน ท่านก็ไป งานแต่งงานลูกท่านก็กรุณามาเป็นศิริมงคลให้กับลูกและครอบครัว (ด้วยบารมีของท่านทำให้ครอบครัวลูกจึงอยู่เย็นเป็นสุขมาจนปัจจุบันนี้) ครั้นเมื่องานพระราชทานเพลิงศพแม่ หลายคนถามว่า ทำไมไม่เห็นหลวงพ่อเลย ลูกก็ต้องชี้แจงให้ทราบว่า ลูกอยากให้ท่านอยู่กับพวกเรานานๆ ไม่ต้องการที่จะบั่นทอนสุขภาพของท่าน

ท่านจะไปไหนก็ต้องเดินทางเหนื่อย ลูกจึงมิได้นิมนต์ท่านเท่าที่ท่านเมตตากรุณาขนาดนี้ พระคุณของท่านก็เต็มอยู่ในหัวใจของลูกแล้ว และก็มีอีกที่บางคนน้อยอกน้อยใจว่าท่านเลือกไป สำหรับลูกอยากจะให้ท่านเลิกไปด้วยซ้ำ เพื่อถนอมสุขภาพของท่านไว้ เพื่อนำทางพวกเราส่วนรวมให้เดินทางไปสู่จุดหมายและพบกับความสุขที่แท้จริง.

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 15/5/09 at 10:20



จำนูน จารุจินดา


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

".....ไม่เชื่อ พี่ไม่เชื่อหรอก พระเยอะแยะในประเทศไทย ทำไมหลวงพ่อฤๅษีลิงดำจะต้องเก่งองค์เดียว

อ้าว! จริงๆ...นะ ถ้าเราปฏิบัติธรรมดาตามที่ท่านสอนเห็นจริงๆ เห็นอะไร?

พี่ไม่เชื่อ คิดเอาเองนะสิ เขาจูงจิตเราให้เราเห็นตามคำที่เขาพูดนะสิ ไม่งั้นก็เพี้ยนไปกันหมดแล้ว

อ้าว! เห็นจริงๆ... นะ ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ ปรามาส...บาปนะ เราต้องปฏิบัติตามคำที่ท่านสอนซิ แล้วเราจะพบความจริง เห็นรู้ของจริงที่พิสูจน์ได้ เช่น พระนิพพาน พรหม สวรรค์ นรก มี หูทิพย์ ตาทิพย์ด้วยละฯลฯ

คนที่อยู่เฉยๆ จะเห็นได้อย่างไร? (แถมมีบาปด้วย)

ไม่ปฏิบัติให้ถูกแล้วเที่ยวพูดให้คนอื่นเสียหายไม่ดี เหมือนมวยไม่หัดจะเป็นเรอะ เป็นแล้วไม่หมั่นซ้อมจะเก่งเรอะ

เออ! แต่พี่ก็ไม่เชื่ออยู่นั่นละ พระในประเทศไทยมีเยอะแยะ ทำไมจะต้องเก่งองค์เดียว องค์อื่นก็เก่งได้.."

พูดจบไม่ทราบว่าเสียงนั้น มาจากไหน เป็นเสียงดังฟังชัดมาก ดุห้าว เด็ดขาด มีอำนาจก้องกังวาลในห้องที่นั่งพูดคุยกันว่า

"ในหลวง..ทำไมมีองค์เดียวละ..?"

ดิฉันตกใจมาก พูดอะไรไม่ออก ได้แต่รู้แล้วๆๆ จริงซิๆๆ อยู่ตั้งนาน เป็นอะไรไปล่ะ? เฮ้ย! เสียงมาจากไหนละหว่า...ว่า "ในหลวง ทำไมมีองค์เดียว" เอ้อ...จริงซินะ ไปๆๆ พี่ไปแน่ๆๆ ดิฉันจึงได้ไปวัดท่าซุงในวันรุ่งขึ้นคือไปวันพฤหัสบดี เดือนมีนาคม ๒๕๒๗ กลับวันอาทิตย์ คือตั้งใจไปฝึกให้จงได้ นี่คือเหตุการณ์สำคัญสำหรับดิฉันที่ทำให้ต้องไปฝึกวิชามโนมยิทธิกับหลวงพ่อ (ก่อนไปหา หลวงพ่อมีเหตุการณ์ต่างๆ กัน)

ส่วนผลการปฏิบัติ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำให้ดิฉันเชื่อ ๑๐๐% เต็มเพราะเหตุเกิดกับตัวดิฉันเอง ถ้าเป็นการบอกเล่า "ต้องคิดดูก่อน" คือเหตุเกิดที่ซอยสายลมซึ่งเป็นสถานที่ๆหลวงพ่อสอนกรรมฐานให้กับทุกคนที่สนใจ เดือนละครั้งในวันต้นเดือน คืนวันนั้นเป็นคืนวันเสาร์เดือนเมษายน ๒๕๓๐

หลังจากหลวงพ่อท่านเทศน์จบแล้ว ทุกคนนั่งสมาธิกันตามอัธยาศัย เพียงดิฉันหายใจเข้า...ออกเท่านั้น มีความรู้สึกว่าหวิวๆ นิดเดียว แล้วไม่รู้สึกตัว เดี๋ยวเดียว..เห็นตัวเองไปนั่งยองๆ พนมมือแต้อยู่ ข้างๆ พระสงฆ์องค์หนึ่งท่านยืนอยู่ ท่านเดินนำทางไปเป็นถนนคอนกรีตเล็กๆ ทางซ้ายมือมีกุฏิเก่าๆ เรียงเป็นแถวมีนอกชานติดกัน ๒ - ๓ หลัง ด้านขวามือเป็นเจดีย์ปูนสีขาวสูงใหญ่ มีสนามหญ้าเขียวขจี สีขาวของเจดีย์ตัดกับสีเขียวของสนามหญ้าดูสดชื่นสวยงามมาก เดินตามท่านเข้าไปในโบสถ์

กราบเรียนถามท่านว่า ที่นี่มีของสวยๆ งามๆ ให้ดูไหมเจ้าคะ ท่านไม่ตอบ แต่ท่านเดินนำออกจากโบสถ์ไปยังศาลาแห่งหนึ่ง ภายในศาลามีพระสงฆ์นอนอยู่องค์หนึ่ง แต่ท่านมรณภาพแล้ว ส่องแสงสุดใสเปล่งปลั่งเหมือนกับ เอาเหล็กไปเผาไฟเพื่อตีให้เป็นมีด เป็นประกายแดงแจ๊ดสว่างจ้า กราบที่องค์ท่านแล้วเดินตามพระสงฆ์เข้าไปในโบสถ์อีก

คราวนี้เห็นหลวงพ่อเดินเข้ามาในโบสถ์ด้วยความดีใจ รีบวิ่งถลาเข้าไปกอดท่านพร้อมกับแนะนำพระสงฆ์ที่ไปด้วยว่า นี่พ่อของฉันนะ พ่อของฉันจ๊ะ รู้จักไหม รู้จักเสียซิ นี่แหละพ่อของฉันละเก่งที่สุดในโลกเลย ยืนเต้นเหยงๆ ไปมาเลยละ ดีใจมากที่สุดเลย แล้วหลวงพ่อก็เทศน์มีเพื่อนๆ นั่งฟังกันเยอะแยะ เทศน์ว่าอย่างไรจำไม่ได้แล้ว เสียงกริ่ง...กริ๊ง หมดเวลาตื่นเต้นจริงๆ

รุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ ไปซอยสายลมหาหลวงพ่ออีก พอถึงเวลานั่งสมาธิ หายใจเข้า...ออกเท่านั้นไปยังที่เดิมอีก (ไม่ได้ตั้งใจ) คราวนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแก้วหมด กุฏิ เจดีย์ โบสถ์ สนามหญ้า ล้วนเป็นแก้วแวววับไปหมด สวยงามมาก รู้สึกอากาศเย็นๆ ครึ้มๆ เบาๆ บอกไม่ถูก เห็นตัวเองเดินตามพระสงฆ์องค์เดิมอีก แต่เดิมอย่างเอ้อระเหยลอยชาย เต้นไปเต้นมาอย่างเบิกบานใจ สบายมาก

เข้าไปในโบสถ์กราบพระประธานแล้ว คิดว่าเราต้องไปหาคุณพ่อของเรา ต้องช่วยคุณพ่อ(คุณพ่อตายนานแล้ว) จะอัญเชิญพระพุทธองค์ไปด้วย คิดเสร็จวิ่งออกจากโบสถ์ทันที พอถึงประตู...ตายแล้วเรา ลืมกราบลาและอัญเชิญพระประธานในโบสถ์ พอหันกลับมา จะกราบลาและอัญเชิญท่าน ไม่เห็นพระประธานในโบสถ์เสียแล้ว ไม่เห็นก็ไม่เห็นไปก่อนละเรา

ตอนช่วงที่ไปหาคุณพ่อของดิฉันมีความมืดปกคลุมไม่เห็นอะไรเลย แต่รู้ตัวเองว่าไป พอกลับเข้ามาในโบสถ์อีกครั้งมีการต่อว่าเกิดขึ้น คือพูดกับพระประธานในโบสถ์ว่า

ไหนใครๆ เขาพูดว่า พระพุทธเจ้าแผ่ฉัพพรรณรังสี แยกกายไปไหนๆ ได้ทุกๆ แห่งไงล่ะ พอจะกราบลาไม่เห็นมี พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ฉันแสดงให้เธอดูว่า ฉันไปกับเธอจริงๆ เธอจะได้หายสงสัยเสียที"

กราบขอขมาพระพุทธองค์และเสียใจตัวเองมากๆ ประโยคนี้ติดตาตรึงใจก้องหู ไม่รู้ลืมจนบัดนี้ แล้วหันไปถามพระสงฆ์ท่านว่า ทำไมลูกถึงได้มาอยู่ที่นี่ เจ้าคะ ท่านตอบว่า เคยเกิดเคยอยู่ที่นี่ งั้นขอดูบ้านที่เคยอยู่ซิคะ ท่านเดินนำออกจากโบสถ์ไปถึงบ้านไม้เล็กๆ เก่าๆชั้นเดียว มีใต้ถุนสูง ขึ้นบันไดไป ๓ ขั้น ตรงเข้าไปเป็นห้องนอนเล็กๆ มีเครื่องนอนเก่าๆ ซ้ายมือเป็นนอกชานยื่นออกไปแคบๆ มีลูกกรงกั้น มีหินสามเส้า มีหม้อดินเก่าๆ ดำๆ มีเขม่าจับเลอะเทอะ มีหยากไย่พาดไปมารุงรัง

ดูแล้วน่าเวทนา ยืนคิดถึงตัวเองในอดีต และเห็นจริง ตามคำที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย หมุนเวียนอยู่ในวัฏสงสารมิรู้จบ จนกว่าจะพ้นทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน(แสดงว่า เราเคยเกิด เคยตายมาแล้วจริงๆ) พลันทันใดนั้นทุกอย่างที่เห็นเปลี่ยนเป็นแก้วใสประกายพรึกหมดเลย รู้สึกว่าตัวเองเบาๆ อธิบายไม่ถูกภาพสุดท้ายที่เห็น เห็นตัวเองแต่งชุดขาวนั่งอยู่หน้าพระประธานในโบสถ์ กริ่ง...กริ๊ง หมดเวลาการนั่งสมาธิพอดีจำภาพนั้นได้ แม่นยำจนบัดนี้

ต่อมาเป็นวันจันทร์ ถามตัวเองและครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งวัน ยกมือขึ้นไหว้ท่วมตัว เจ้าพระคุณวันนี้ขออย่ามีแขกเลย พอช่วงจังหวะว่าง ๑๙.๐๐ น. รีบซิ่งทันทีเลยจอดรถได้รีบวิ่งเข้าไปหอบแฮ่กๆ พอเกือบจะหายเหนื่อย กริ่ง...กริ๊ง หมดเวลาพอดี เสียดายจังเลย วันจันทร์ชวดไปเลยเรา คงตั้งใจมากกระมั้ง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เกิดขึ้นเป็นเพราะพระบารมีท่านสงเคราะห์ต่างหาก

ทั้งหมดที่เล่ามานี้แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งที่มีชีวิตในโลกนี้ ตายแล้วเกิด เวียนว่ายไปตามกรรมของแต่ละผู้แค่ละนาม ซึ่งแล้วแต่บุญกรรมของแต่ละชีวิตที่ทำเอาไว้ เพราะถ้าเราคิดว่าตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ โลกเรามีสิ่งที่มีชีวิตมานานเท่าไรแล้ว ป่านฉะนี้คงไม่ มีสิ่งที่มีชีวิตเหลืออยู่เลย สูญหมด นานไปคงไม่เหลืออะไร (คิดตามความโง่ๆ ของดิฉันเอง) สูญพันธุ์ไปแล้วไม่เกิดอีกแล้ว คงมีแต่ความว่างเปล่า นักวิทยาศาสตร์ (ชื่ออะไรจำไม่ได้ค่ะ) ยังยืนยันเลยว่า "สสารทั้งหลาย ไม่สูญหายไปจากโลก นอกจากแปรสภาพ"

สุดท้ายนี้ดิฉันต้องกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อมา ณ ทีนี้ ที่ได้เมตตาแนะนำฝึก "มโนมยิทธิ" จนลูกสามารถรู้ได้....

หมายเหตุ : คุณหมอจำนูนได้เป็นผู้โชคดีท่านหนึ่ง คือได้มีโอกาสทำฟันให้กับหลวงพ่อฯ ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ คุณหมอก็ยังได้นำคณไปทำฟันให้นักเรียน โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา อยู่เป็นประจำ อีกทั้งยังได้สงเคราะห์พระสงฆ์วัดท่าซุงอีกหลายรูปเช่นกัน

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 15/5/09 at 15:56



จินตนา รังสีธรรม

ประสบการณ์จากการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังของข้าพเจ้า


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑


.......วันอาทิตย์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ออกจากบ้านเวลาประมาณ ๑๐.๓๐ น. ถึงบ้านซอยสายลมเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. ยังได้ทันกราบถวายปัจจัยที่เด็กทำงานที่บ้านฝากมาทำบุญกฐินที่วัดท่าซุง เมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๘

ข้าพเจ้าถวายปัจจัยเสร็จแล้ว จึงหยิบพานใส่ธูป ๓ ดอก เทียนขาวหนัก ๑ สลึง ๑ เล่ม ดอกไม้ ๓ สี อย่างละ ๑ ช่อ (ปกติใช้อย่างละ ๑ ดอกก็พอ) เงิน ๕ บาท (ไม่ต่ำกว่า ๒๕ สตางค์) เพื่อบูชาครู ขึ้นไปชั้น ๒ นั่งเรียงแถวเป็นช่องๆ

พระวิรัช (พระปลัดวิรัชปัจจุบัน) ท่านแจกแผ่นกระดาษป้ายชื่อเป็นภาษาบาลี เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ คือ สมเด็จพระกกุสันโธ สมเด็จพระโกนาคมโน สมเด็จพระกัสสป สมเด็จพระสมณโคดม สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย ผูกยางให้คล้องคอ หรือสวมศรีษะก็ได้ ห้ามวางที่พื้นเด็ดขาด

ถ้าวางต้องขอขมาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ เสร็จแล้วหลวงพ่อกล่าวนำบูชาพระรัตนตรัย สมาทานพระกรรมฐานอยู่รู้สึกมีไม้เท้ามาเคาะที่หัวเบาๆ ทีหนึ่ง รู้สึกหวิว ยิ่งตอนพระท่านพรมน้ำมนต์ให้ทั้งๆ ที่อากาศในห้องค่อนข้างอบอ้าวร้อน แต่กลับขนลุกซู่เย็นวาบไปทั้งตัวเลยทีเดียว

คราวนี้ครูบอกให้ขอบารมีพระพุทธเจ้าแล้วขึ้นไปเอง ไม่กล่าวนำเหมือนเคย ข้าพเจ้าไม่รอช้าขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าที่พระนิพพานเลย เมื่อกราบท่านแล้ว ก็ขอบารมีพระองค์เพื่อไปกราบท่านปู่ ท่านย่าที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่แท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ พบว่ากว้างใหญ่กว่าเดิม มีเสากลมลวดลายเป็นดอกๆ มีม่านย้อยกลมเป็นชั้นๆ ระหว่างเสาพระแท่นมีลวดลายสวยงามมาก

โดยเฉพาะเครื่องทรงของท่านปู่พระอินทร์สวยงามเป็นแก้วผสมทอง รองเท้าปลายงอน มีกำไลข้อเท้า สนับเพลา เสื้อแขนยาว ใส่ทับทรวง สังวาลย์พาดสองข้าง มีอินทรธนูแหลมที่ไหล่ทั้งสองข้าง ใส่ชฏายอดแหลม ท่านย่าก็มีเครื่องทรงสวยงามเช่นกัน ข้างๆ พระแท่น มีสระน้ำ สวนดอกไม้

จากนั้นข้าพเจ้าขอบารมีท่านไปวิมานตนเองและอาราธนาบารมีพระพุทธองค์ พอนึกปุ๊บ ท่านก็เสด็จมาทันที สว่างไสวรัศมีพระวรกายท่านจับตางดงามเหลือเกิน จึงขอพรท่านว่า เมื่อมีร่างกายอยู่ข้างล่าง ต้องประสบความทุกข์ที่มีคนอื่นทำให้ข้าพเจ้าทุกข์ใจนานับประการตั้งแต่เล็กจนโต ทุกข์มาตลอด มีแต่ความเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายก็เสื่อมลงทุกขณะจิต ไม่อยากมีร่างกายอีกต่อไป ชาตินี้ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นชาติสุดท้าย ตายเมื่อไรขออทิสมานกายได้มาอยู่ยังวิมานแก้วบนพระนิพพานนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า (ครูได้แนะนำให้คิดตามตัดสินใจทันที)

พระพุทธเจ้าปัจจุบัน คือ องค์สมเด็จพระสมณโคดม ท่านแย้มพระโอษฐ์ยกพระหัตถ์ ให้พร ท่านตรัสว่า

"เมื่อลงไปข้างล่าง(โลกมนุษย์) ขอให้ ปฏิบัติตนตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าตายไปเมื่อใด ก็จะมาอยู่บนพระนิพพานได้ ทันทีสมความปรารถนา"

จิตข้าพเจ้าเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูกมีความเบามาก ซึ่งครูบอกว่าจิตขณะนั้นบริสุทธิ์เต็มที่ ร่างกายบนพระนิพพานจึงสวยสว่างเต็มที่ในวันนี้ เพราะผลบุญกุศลรวมตัวกันตั้งแต่อดีตชาติทุกๆ ชาติจนถึงวันนี้ และปรากฏว่าบนเพดานวิมานข้าพเจ้ามีโคมไฟประดับเต็มไปหมด ครูบอกว่าเพราะข้าพเจ้าทำบุญด้วยธูปเทียน ค่าไฟฟ้า มาทุกชาติ และเนื่องจากข้าพเจ้าทำบุญด้วยน้ำมาตลอดทุกชาติ ทำมากด้วย จึงบันดาลให้เกิดมีสระน้ำข้างๆ วิมาน

ข้าพเจ้าจึงขอบารมีองค์สมเด็จฯ ขออนุญาตท่านลงไปอาบน้ำในสระ เย็นสบายเมื่อขึ้นมาจากสระตัวก็ไม่เปียกด้วย ในสระน้ำมีทั้งดอกบัวตูม บัวบาน เหมือนแก้ว แต่ไม่แข็ง ปลายแหลม มนโค้งสวยงาม ริมสระก็มีดอกไม้เหมือนแก้วมณีระยิบระยับงดงามเต็มไปหมด ข้าวของบนวิมานมีมากมาย แต่วางเป็นระเบียบสวยงาม บริเวณวิมานข้างในดูกว้างใหญ่กว่าเดิมขึ้นมาก

ข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางองค์สมเด็จฯ ทั้ง ๕ พระองค์ตลอดจนท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ(องค์หลวงพ่อ) ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทุกท่านแล้วรู้สึกตอนนั้นว่าไม่อยากกลับลงมาบนโลกมนุษย์ที่มีแต่ความทุกข์เลย แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็จะเป็นต้องกลับลงมา ท่านแม่ดีใจมากและแปลกที่คราวนี้ข้าพเจ้าน้ำตาไม่ไหลเหมือนครั้งก่อนๆ ที่ขึ้นมากราบท่าน ท่านแม่ดีใจที่ลูกๆ ขึ้นไปได้และถึงแม้จะมิได้เป็นพ่อเป็นแม่ลูกกันอีกในชาตินี้ ดูเอาเถิดท่านยังคอยห่วงใยมีเมตตา คอยตามสงเคราะห์ลูกๆ ทุกคนถึงเพียงนี้

โดยเฉพาะองค์หลวงพ่อซึ่งขณะนี้แม้มีร่างกายที่ร่วงโรยไปมากแล้ว สุขภาพก็ไม่แข็งแรง ในบางครั้งที่ข้าพเจ้าไปกราบท่านที่บ้านสายลม เห็นท่านบอกว่า วันนี้ปวดหัวเป็นไข้ คิดอะไรไม่ออก ก็ยังอุตส่าห์พูดธรรมะหยอกเย้าลูกหลานที่ไปกราบท่านได้ หัวเราะกันทั่ว ท่านต้องนั่งเป็นชั่วโมงเพื่อเป็นกำลังใจให้ลูกหลานได้มีโอกาสได้ทำบุญกับท่านกับมือ เพื่อเกิดปีติกับผลบุญที่ทุกคนทำไป ท่านต้องทรมานสังขารของท่านเพื่อใคร ถ้ามิใช่เพื่อพวกเราหรือ

ข้าพเจ้าได้มีโอกาสฝึกมโนมยิทธิตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๔ เริ่มกระท่อนกระแท่น ขี้เกียจเสียบ้าง ไม่ว่างเสียบ้าง ส่วนใหญ่ (พวกแก้ตัวเข้าข้างตัวเองมักอ้างอย่างข้าพเจ้า) โมเมนอนภาวนาก่อนนอนบ้าง บางครั้งลองฝึกหัดอดข้าวเย็นประมาณอาทิตย์กว่าแล้วค่อย ๆ อดข้าวเช้าอีก เหลือมื้อกลางวันมื้อเดียว

ระหว่างนั้นมีพระมาสอนในฝัน เป็นคำพูดก้องหูคือ ขันติ อดทน เอกคตารมณ์ และเน้น ให้จับลมหายใจเข้าออก เห็นภาพพระมาโปรดบ่อยๆ ชักฮึดขึ้นมา ลืมไปหมดว่าจะต้องปฏิบัติแบบค่อยเป็นค่อยไป เดินสายกลาง อย่าเคร่งเครียดเกินไปเคยมีหน้าที่ในครอบครัว ก็ควรปฏิบัติให้ครบถ้วน

ข้าพเจ้าเคยได้ยินคนพูดและถามข้าพเจ้าว่า บางคนที่ไป ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อแล้วทำให้ผัวเมียแตกกัน เพราะภรรยาเกิดซาบซึ้งในการปฏิบัติธรรมมาก จึงจะขอหย่าสามี ข้าพเจ้าจึง ตอบไปว่า หลวงพ่อไม่เคยสอนให้ใครหย่ากับใคร คนที่กระทำลักษณะนั้นเพราะไม่ปฏิบัติแบบเดินสายกลาง ข้าพเจ้าว่าเราต้องรู้จักแยกแยะ รู้จักแบ่งเวลา กายต้องทำหน้าที่เมีย ลูก และแม่ให้ครบถ้วน อย่าให้บกพร่อง มันจะเกิดเป็นเวรกรรมต่อเนื่องไปอีก

เมื่อเราไม่อยากจะมีภพมีชาติอีก ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งหลวงพ่อเราสู้อุตส่าห์ทรมานสังขารนั่งพร่ำสอนลูกหลานมาเป็นเวลาหลายปี ควรทำแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นดีที่สุด อย่าให้สะเทือนใจกับคนข้างเคียง ซึ่งจะเกิดเป็นบาปเป็นกรรมแก่เขาด้วย ถ้าเขาเกิดคิดปรามาสหลวงพ่อเข้า หมั่นสอนใจตัวเองว่าไม่ยึดติดในบุคคลที่เป็นที่รักของเรา ขอให้เกี่ยวข้องกันชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ถ้าตายเมื่อไรเป็นจบบทบาท จบหน้าที่กันไป ขออโหสิกรรมต่อกันด้วย

สิ่งใดที่เราปฏิบัติไปกับบุคคลที่เขาไม่สนใจในทางนี้ เราก็ไม่ต้องไปคุยให้เขาฟัง เลือกพูดคุยธรรมะกับคนที่ฟังแล้วสนใจและเข้าใจ อะไรๆ นั้นใจเราอยู่ข้างใน ไม่มีใครเห็นเป็นอิสระ ทำแบบสบายๆ เป็นดีที่สุด ไม่เครียดด้วย แต่ที่สำคัญก็คือต้องระวังกาย วาจา ใจ ไม่ให้ ละเมิดศีล ๕ มีพรหมวิหาร ๔ มีกรรมบถ ๑๐ ให้ทานเป็นประจำ มีพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นที่พึ่ง มีพระนิพพานเป็นอารมณ์และคิดว่าเราต้องตายแน่ๆ ถ้าตายเมื่อไร ขอไปนิพพานในชาตินี้ทันที

ข้าพเจ้าเวลานี้รู้สึกมีความสุขใจ ไม่ว้าเหว่ เพราะอย่างน้อยแน่ใจว่ากำลังเลือกทางเดินที่ถูก ไม่หลงทาง การเกาะพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยเจ้ามีแต่ได้กำไร ทำให้เกิดมีสติปัญญาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แก้ปัญหา ฝ่าฟันต่อสู้กับอุปสรรคได้อย่างมั่นใจ ตั้งใจว่าอย่างไรเสีย ก่อนตายขอทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทำประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วยความจริงใจ สม่ำเสมอ ตามความสามารถตามกำลังที่มีอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างขอปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน

ข้าพเจ้าขอแผ่อุทิศส่วนกุศลทั้งหมดตั้งใจทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ให้กับหลวงพ่อและท่านผู้มีพระคุณทุกท่าน ขอให้หลวงพ่อมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน ปราศจากภยันตรายทั้งมวลและขอให้ข้าพเจ้าถึงธรรมะในชาตินี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ..สาธุ !!!

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 18/5/09 at 13:45



จันนง


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

ข้าพเจ้าได้อ่าน หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ราวปี 2518 เมื่ออ่านถึงตอนหลวงปู่จะทิ้งสังขาร เกิดความรู้สึกว่าความตายนี่ไม่น่ากลัว ถ้าเราตายเราจะพยายามทำอารมณ์อย่างนี้บ้าง เมื่อก่อนไม่รู้จักพระนิพพาน เมื่ออ่านจบ เกิดความตั้งใจแน่วแน่ที่จะไปพระนิพพาน รู้สึกถึงพระเดชพระคุณของหลวงพ่อที่ท่านพยายามให้พุทธบริษัทเข้าใจพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ได้ถูกต้อง ให้เราได้รู้จักทางที่จะไปเมื่อร่างกายนี้สลายแล้ว

ซึ่งลูกศิษย์ส่วนใหญ่ก็ปรารถนาพระนิพพาน พยายามละกิเลส ทำจิตให้สะอาดได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตามแต่กำลังใจหรือที่เรียกวา บารมีของแต่ละบุคคล ซึ่งท่านอธิบายว่าเมื่อถึงเวลาตายกุศลจิตที่เคยปฏิบัติมาก็จะรวมตัวกัน อาจตัดกิเลสได้ในตอนนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีกำลังใจจะทำต่อไปจนกว่าจะถึงที่สุด

หลังจาก ท่านอ๋อย ภรรยา "เจ้ากรมเสริม" แห่งบ้านสายลม อนุญาตให้ข้าพเจ้าได้เข้ามารับใช้งานพระศาสนาที่บ้านสายลม ท่านได้กราบเรียนหลวงพ่อท่านว่าข้าพเจ้าเป็นสมาชิกใหม่ หลวงพ่อตอบว่าไม่ใหม่แล้ว! ต่อมาก็ได้ไปช่วยเมื่อมีงานที่วัด เพื่อสนองพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่ท่านได้เมตตาต่อพวกบรรดาศิษย์ทั้งหลายทั้งปวง ให้ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยและรู้จักทางพ้นทุกข์ ตรงไหนที่พอจะเข้าไปช่วยกันได้ ก็ไม่รั้งรอ ตรงไหนเขารังเกียจก็ออกไปเสียจากตรงนั้น ทำใจให้สบาย ๆ เห็นใจคนที่เขารังเกียจเรา เพราะเราเองก็รังเกียจตัวเองเต็มที แต่จนใจที่ยังทิ้งมันไปไม่ได้ ก็ทนต่อไปด้วยการรักษาอารมณ์สบายให้มากที่สุด

ในการฝึกพระกรรมฐาน ข้าพเจ้าเองยังแย่มาก แต่อาศัยที่ได้ฟังผู้ที่ฝึกได้ดี มีผลเล่าสู่กันฟัง ทำให้แน่ใจว่า หลวงพ่อท่านไม่นำพวกเราผิดทางแน่ ๆ ผู้ที่คัดค้านโต้แย้งก็เป็นเรื่องของผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติ เราก็ไม่สนใจเขาโดยเฉพาะองค์หลวงพ่อท่านเอง พวกเราได้ทราบถึงญาณ หรือการรู้ของท่านกันอยู่เสมอ ตัวข้าพเจ้าเองไม่ค่อยได้ประสบเพราะอยู่ไกลท่าน แต่ก็อุตส่าห์มีเรื่องที่ต้องจำอยู่บ้าง เช่น

ข้าพเจ้าเคยทราบจากการไปตำหนักทรงเจ้า ทรงเทวดา พรหม ฯลฯ (เมื่อก่อนชอบไปมาก) ว่ามีพระพาย พระพิรุณ พระแม่คงคา แม่พระธรณี ฯลฯ ก็ค่อนข้างเชื่อ วันหนึ่งหลวงพ่อจะทำพิธีบวงสรวงหน้าโบสถ์ เวลาประมาณ 9 โมง เจ้าหน้าที่จัดที่บวงสรวงมีบายศรี และเครื่องบูชาสักการะตั้งพร้อม ฝนมืดมาทีเดียว เกือบ 8 โมงข้าพเจ้าใจไม่ดีเกรงว่าฝนจะตกเปียกโต๊ะเครื่องบวงสรวง ก็ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ท่านพ่อพระพิรุณ โปรดเมตตาอย่าให้ฝนตกตอนนี้เลย แล้วก็นั่งรอหลวงพ่อท่านอยู่แถวหน้าโบสถ์

สักครู่หลวงพ่อ ท่านก็เดินจากฝั่งตรงข้ามโบสถ์ (ขณะนั้นท่านยังเดินไกล ๆ ได้) พอก้าวเข้าประตูวัดฝั่งโบสถ์เข้ามา ท่านมองมาทางโบสถ์ทางโต๊ะบวงสรวง แล้วทักข้าพเจ้าแต่ไกลว่า เอ๊า... วันนี้ยันฝนให้อยู่นะ! แล้วก็เดินผ่านไป คนอื่นฟังแล้วคิดอย่างไรไม่ทราบ แต่ข้าพเจ้าแน่ใจว่าท่านพูดอย่างนั้นก็เพราะข้าพเจ้าคิดอย่างนั้น..นั่นเอง !

อีกเรื่องหนึ่ง ฟังจากอู๊ดอู๊ดเล่า เขาคงไม่เล่าในหนังสือนี้ เพราะเขาอายว่าท่านผู้อ่านเห็นรูปเขา เดี๋ยวพอเจอตัวจะชี้ให้กันดูและคงจะหัวเราะกันด้วย ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเรื่องที่หลวงพ่อไม่น่าจะทราบเมื่อได้ทราบ ท่านคงจะขันเจ้าอู๊ดอู๊ด..ลูกท่าน ท่านก็เลยล้อเล่น เท่านั้นเอง (ลูกท่านเพราะเรียกหลวงพ่อ พวกเราก็ถือว่าเราเป็นลูกท่านกันทั้งนั้น)

คุณอู๊ดอู๊ดเล่าว่าหลายปีมาแล้ว พวกเรามาวัดพร้อม ๆ กันเป็นประจำ คุณอู๊ดอู๊ดเธอก็ท้องเสีย กางเกงเธอก็เปื้อนของเสีย เมื่อถึงวัดก็รีบไปซักล้าง ไม่บอกใครเลย วันต่อมาคงจะเป็นวันกลับกรุงเทพฯ หลวงพ่อท่านทักว่า อู๊ดอู๊ดเอ๊ย! (ผู้เขียนเดาว่าท่านคงเรียกอย่างนี้) ขากลับนี่ นั่งหลัง ๆ รถนะลูกนะ จะได้ขี้สะดวก ๆ คนอื่นฟังแล้ว ไม่รู้เรื่อง แต่อู๊ดอู๊ดฟังแล้ว... รู้แน่ ๆ !

สรุปแล้ว ธรรมข้อที่ข้าพเจ้าถูกใจที่สุดก็คือ ท่านให้ทำจิตให้เป็นอัพยากฤต เพื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ เมื่อยังไม่ถึงก็รับใช้งานของหลวงพ่อคืองานของพระรัตนตรัย ไปจนกว่าจะหมดวาระ ...


◄ll กลับสู่ด้านบน