สามีดิฉันอยากเห็นหลวงพ่อในช่วงสุดท้ายมาปรารภอยู่ ๒ หรือ ๓ ครั้ง แต่ก็ไม่ได้มาพบ ทุกอย่างที่หลวงพ่อพยากรณ์ไว้ ก็เป็นจริงทุกอย่าง กระทั่งปัจจุบัน
ดิฉันก็นับถือหลวงพ่อตลอดมา ในเมื่อมีความทุกข์ร้อนอะไรก็กราบไหว้นึกถึงพระคุณท่านก็ได้สมความปรารถนาทุกประการ
ดิฉันก็จะไม่ลืมบุญคุณของหลวงพ่อที่มีต่อดิฉันนี้ตลอดไป
◄ll กลับสู่ด้านบน
webmaster - 7/10/10 at 11:04
พลอากาศตรีมนูญ ชมพูทีป
อภินิหารของหลวงพ่อ
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒
.......การที่ข้าพเจ้าได้ย้ายไปรับราชการอยู่ที่กองบิน ๔ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๓
และประจำการอยู่ ณ ที่นั้นเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๕๓๐ ซึ่งเป็นระยะเวลาอันยาวนานถึง ๑๗ ปีนั้น
ทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นบุคคลผู้โชคดีคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสได้พบหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (พระราชพรหมยาน
ในปัจจุบัน)
ตั้งแต่ในสมัยที่หลวงพ่อยังจำพรรษาอยู่ ณ วัดสะพาน จ.ชัยนาท หากจำไม่ผิดก็ประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๘ และแม้เมื่อหลวงพ่อได้รับนิมนต์จากพระอรุณ อรุโณ
อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง (วัดจันทาราม) ให้ไปอยู่ ณ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เพื่ออาศัยบารมีของหลวงพ่อในการช่วยบูรณะวัดแล้วก็ตาม ข้าพเจ้าและคณะศิษย์รุ่นนั้น
ก็ยังได้ติดตามไปปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่ออยู่ตลอดมามิได้ขาด
จากช่วงระยะเวลาอันยาวนานมาก ที่ข้าพเจ้าและภรรยาได้มีโอกาสปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่ออย่างใกล้ชิด
โดยที่หลวงพ่อในขณะนั้นมีลูกศิษย์ที่ไปมาหาสู่อยู่เพียงไม่กี่คน จึงทำให้ข้าพเจ้าได้พบได้เห็นเหตุการณ์แปลกๆ และสิ่งที่อาจเรียกว่ามหัศจรรย์ต่างๆ หลายครั้ง
ซึ่งไม่อาจสามารถพิสูจน์และอธิบายได้ในโลกของวิทยาศาสตร์ อันก่อให้เกิดความฉงนสนเท่ห์แก่ข้าพเจ้า
ซึ่งเป็นผู้มีมิจฉาทิฐิอย่างแรงกล้าและเชื่อมั่นในตนเองมาแต่กำเนิดเป็นอย่างยิ่ง ดังที่ข้าพเจ้าจะได้เขียนเล่าให้ท่านทั้งหลายได้อ่านเป็นบางเรื่อง
(ความจริงมีเรื่องมากมายไม่สามารถนำมาเขียนได้ทั้งหมด หากท่านผู้ใดสนใจก็คุยกันเป็นส่วนตัวได้)
และเมื่อได้อ่านแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้พึงเก็บไว้เป็นข้อสงสัยภายในใจเฉพาะตนเองเถิด อย่าได้กล่าวปรามาสหรือลบหลู่เป็นอันขาด
ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของท่านเองและวิธีที่จะแก้ข้อสงสัยได้ดีที่สุดก็จะต้องพิสูจน์กันด้วยวิธีฝึกตนเอง
ให้ได้วิชชาสามเป็นอย่างน้อยเสียก่อนแล้วท่านจะรู้ได้เองว่าจริงหรือไม่จริง จะได้ลงความเห็นกันด้วยการใช้เหตุผลของมนุษย์สามัญไม่ได้
ดังนั้นเมื่อท่านผู้อ่านได้เข้าใจดังนี้แล้ว ก็ขอได้โปรดติดตามเรื่องราวต่างๆ ที่ข้าพเจ้าได้ประสบมาดังต่อไปนี้
หลวงพ่อบอกลำดับที่สอบ
เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๐ ข้าพเจ้ามียศเป็นเรืออากาศเอกและมีขั้นเงินเดือนอยู่ในเกณฑ์ที่จะมีสิทธิสอบคัดเลือกเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นผู้บังคับฝูงได้
ข้าพเจ้าจึงไปสมัครสอบและทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปในการดูหนังสือเตรียมสอบ
ในใจนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าต้องสอบเข้าได้อย่างแน่นอน เพราะข้าพเจ้าเป็นคนเรียนหนังสือเก่งและสอบได้ที่ ๑
ในระดับชั้นมัธยมศึกษามาโดยตลอดและในระหว่างที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ก็ถูกจัดอยู่ในประเภทนักเรียนที่เรียนเด่น เล่นดีด้วย
แต่เนื่องจากทางโรงเรียนผู้บังคับฝูงจะแบ่งผู้ที่สอบได้เป็น ๒ ชุด คือผู้ที่สอบได้เลขคี่
(๑,๓,๕,๗,๙,...ฯลฯ) จะได้เข้าเรียนเป็นชุดที่ ๑ และผู้ที่สอบได้เลขคู่ (๒,๔,๖,๘,๑๐...ฯลฯ) จะได้เข้าเรียนเป็นชุดที่ ๒
ดังนั้นแม้คิดว่าต้องสอบได้ แต่ก็ไม่ทราบว่าจะได้เลขคี่หรือเลขคู่อยู่ดี ปัญหาก็อยู่ตรงที่ว่า ภรรยาของข้าพเจ้ากำลังตั้งครรภ์
หากไม่ทราบแน่ชัดว่าจะได้เข้าเรียนเมื่อไรแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะไปฝากครรภ์และเตรียมคลอดที่ใด เพราะบ้านพักในขณะนั้นอยู่ที่กองบิน ๔ ตาคลี
แต่ถ้าเข้าเรียนก็จะต้องไปเรียนที่ดอนเมือง และครอบครัวของข้าพเจ้าก็ไม่มีผู้ใด นอกจากทหารรับใช้เพียงคนเดียว
จึงทำให้ข้าพเจ้าหนักใจเพราะไม่สามารถวางแผนการณ์ในภายหน้าได้
บังเอิญวันหนึ่งข้าพเจ้าและภรรยาได้นำภัตตาหารไปถวายหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสเรียนถามว่า
ในการไปสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนผู้บังคับฝูงครั้งนี้ข้าพเจ้าจะสอบได้เลขคี่หรือเลขคู่ หลวงพ่อได้หยุดมองข้าพเจ้าอยู่ชั่วอึดใจก็ตอบว่า
คุณไปสอบครั้งนี้ จะสอบได้ที่ ๑ ที่ ๓ หรือที่ ๕ ใน ๓ ที่นี้น่ะ แต่จะแน่นอนจะรดน้ำมนต์ให้
ต่อจากนั้นหลวงพ่อ ก็ให้ข้าพเจ้าเอาถังไปตักน้ำในแม่น้ำมาเทใส่บาตร เพื่อทำน้ำมนต์ เมื่อทำเสร็จก็รดน้ำมนต์ให้ข้าพเจ้า (น้ำในแม่น้ำ ที่ข้าพเจ้าไปตักมานั้น ก่อนตักข้าพเจ้าเอามือจุ่มน้ำไล่เศษละออง รู้สึกว่าอุ่นมาก
แต่เมื่อหลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้นั้นเย็นจับจิตจนข้าพเจ้าสะดุ้ง และน้ำมนต์ของหลวงพ่อจะเป็นเช่นนี้เสมอ (ขอทุกท่านจงโปรดสังเกตด้วย)
แล้วพูดให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินโดยทั่วถึงกัน ที่จำได้ก็มีภรรยาของข้าพเจ้า, ร.อ.พนม นามประสิทธิ์ (ปัจจุบันยศ น.อ.) ร.ท.ไพศาล ศุภพงษ์ และ พ.อ.อ.กริช
บำรุงพงษ์ ว่า ตำแหน่งที่ ๑ และที่ ๕ จางหายไป คุณมนูญ เขาไปสอบในครั้งนี้ไดที่ ๓ นะ
ข้าพเจ้าเองในขณะนั้นแม้รู้สึกดีใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยจะมั่นใจนักว่าจะสอบได้ที่ดีถึงที่ ๓ ทั้งนี้เพราะทราบดีว่า
พรรคพวกเพื่อนฝูงที่ดอนเมืองเขามีการเตรียมการกันเป็นการใหญ่ เช่นจัดตั้งกันเป็นกลุ่มดูหนังสือร่วมกัน และจัดเชิญอาจารย์จากโรงเรียนผู้บังคับฝูงบางท่าน
มาช่วยติว อีกทั้งโรเนียวบรรดาข้อสอบเก่าๆ มาประกอบเป็นแนวทางในการดูหนังสือและติวอีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีการหาข่าวและจัดชุดเข้าตีสนิทกับอาจารย์ที่มีหน้าที่ออกข้อสอบแบบประกบตัวกันเลย (ข้อสอบในสมัยนั้นจึงรั่วกันมาทุกปีด้วยวิธีการนี้)
ดังนั้น แม้ข้าพเจ้าจะเป็นคนเรียนดีสักเพียงไรก็ตาม แต่เมื่อต้องดูหนังสืออยู่คนเดียวที่ต่างจังหวัด
ขาดแคลนทั้งตำราและไม่รู้แนวทางในการออกข้อสอบเช่นผู้อื่น จะให้ข้าพเจ้ามีความหวังหรือเชื่อได้อย่างไรว่า
จะสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนผู้บังคับฝูงได้ที่ ๓ ตามที่หลวงพ่อบอก นอกจากคิดว่าหลวงพ่อคงเพียงบอกเป็นเลาๆ ว่าข้าพเจ้าไปสอบครั้งนี้ได้เลขคี่
คือจะได้เข้าเรียนในผลัดแรกแน่นอนเท่านั้น ซึ่งข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว
แต่ครั้นเมื่อการสอบเสร็จสิ้น และทางราชการได้ประกาศผลการสอบคัดเลือกในครั้งนั้นออกมา ก็ปรากฏว่าข้าพเจ้าสอบเข้าได้เป็นที่ ๓ จริงๆ ตามที่หลวงพ่อบอก และข้าพเจ้าก็ได้เป็นนายทหารนักเรียน
โรงเรียนผู้บังคับฝูงรุ่นที่ ๑๘ โดยได้เรียนก่อนเป็นผลัดแรกเพราะได้เลขคี่
(นายทหารนักเรียนรุ่นข้าพเจ้าในครั้งนั้น ปัจจุบันมีชื่อเสียงมากหลายท่าน เช่น พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล, พล.อ.อ.กันต์ พิมานทิพย์, พล.อ.อ.อนันต์ กลินทะ,
พล.อ.อ.เริงชัย สนิทพันธุ์ และพล.อ.อ.ดนัย โมรินทร์ เป็นต้น) ส่วนผู้ที่สอบได้เลขคู่ก็ต้องไปเรียนผลัดหลัง เป็นนายทหารนักเรียนโรงเรียนผู้บังคับฝูงรุ่นที่
๑๙ ต่อไป
การที่ข้าพเจ้าสอบได้ที่ ๓ จริงๆ ตามที่หลวงพ่อบอกล่วงหน้าให้นั้น ก่อให้เกิดความฉงนสนเท่ห์ใจแก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้คำทำนายทายทักของหลวงพ่อมิได้เป็นแบบหมอดูทั่วๆ ไป ไม่ได้มีการผูกดวง, ไม่ได้ดูลายมือ, ไม่ได้ดูโหงวเฮ้งหรือเข้าทรง
เพียงแต่มองหน้าและรดน้ำมนต์ให้ก็บอกบ่งชัดเจนไปจนถึงลำดับที่ที่จะสอบได้เช่นนี้
หมอดูให้ดูแม่นอย่างไรก็ย่อมทำไม่ได้ และหมอดูเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาตัวเข้าไปผูกมัดขนาดนั้น
เพราะข้าพเจ้าผู้ถามได้เปิดกว้างให้ตอบเป็นสองนัย ว่าจะสอบได้เลขคี่หรือเลขคู่เท่านั้น การทายถูกหรือผิดจึงเป็น ๕๐ ๕๐
แต่การพูดบอกของหลวงพ่อซึ่งบ่งชัดเจนไปจนถึงลำดับที่เช่นนี้ หากมีผู้เข้าสอบ ๑,๐๐๐ คน ความถูกต้องก็จะมีได้เพียง ๑ ใน ๑,๐๐๐ เท่านั้น
อีกทั้งเป็นการทำนายถึงอนาคตอันใกล้ ซึ่งใครเลยจะกล้าเสี่ยงทำนายได้หากไม่ได้อนาคตังสญาณหรือรู้จริงเช่นหลวงพ่อ
หลวงพ่อบอกถึงการได้บำเหน็จ ๒ ขั้น
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๑ (ข้าพเจ้าเรียนจบจากโรงเรียนผู้บังคับฝูงแล้ว) ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าและภรรยาได้นำอาหารไปถวายหลวงพ่อ โดยมีเรืออากาศโทธานินทร์ กลิ่นศรีสุข
(ปัจจุบันยศ นาวาอากาศเอก) และภรรยาร่วมไปด้วย
ในวันนั้นหลวงพ่อได้เอ่ยทักว่า ปีนี้คุณมนูญได้ ๒ ขั้นนะ
ซึ่งข้าพเจ้าก็รีบพนมมือกล่าวรับแต่ในใจก็ยังคิดว่า ปีนี้เราไม่น่าจะได้ ๒ ขั้น เพราะเรียนจบกลับมา
ผลงานในรอบปีก็ไม่มีอะไรน่าประทับใจนัก ในขณะกำลังคิดอยู่นั่น ร.ท.ธานินทร์ ก็ถามว่า
หลวงพ่อครับแล้วผมล่ะจะได้ ๒ ขั้นด้วยไหม?
หลวงพ่อมองหน้า เรืออากาศโทธานินทร์ สักอึดใจก็ตอบว่า ปีนี้ไม่ได้หรอกนะ ต้องปีหน้าจึงจะได้
เรืออากศโทธานินทร์ ได้ฟังคำตอบจากหลวงพ่อก็หัวเราะก๊าก แล้วเล่าให้หลวงพ่อและทุกคนในที่นั้นฟังว่า
เสียใจครับหลวงพ่อ ปีนี้ผมได้ ๒ ขั้นแล้วอย่างแน่นอน ผู้พันเพิ่งให้ผมดูผลการพิจารณาบำเหน็จเมื่อวานนี้เอง ผมนะได้ ๒
ขั้นอันดับ ๑ ของกองพันอากาศโยธินด้วย และทุกปีกองพันจะมีโควตา ๒ ขั้น สำหรับนายทหารสัญญาบัตรของกองพันถึงปีละ ๓ คน ดังนั้นผมซึ่งอยู่ในอันดับ ๑
จึงไม่พลาด ๒ ขั้นแน่ในปีนี้
หลวงพ่อได้มองหน้าเรืออากาศโทธานินทร์ อีกแล้วตอบอย่างเมตตาว่า ปีนี้คุณไม่ได้หรอกนะ อย่าเสียใจ แต่ปีหน้าจะได้แน่
ในวันนั้น เรืออากาศโทธานินทร์ก็ลาหลวงพ่อกลับไปด้วยความหงุดหงิด บ่นกับข้าพเจ้าในทำนองว่า หลวงพ่อจะรู้ดีไปกว่าตนหรือผู้พันได้อย่างไรกัน
ต่อมาอีกไม่นานผู้บังคับการกองบิน ๔ ก็เชิญหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงเข้าประชุมเพื่อพิจารณาบำเหน็จประจำปี ผลปรากฏว่า เรืออากาศโทธานินทร์ ก็ได้ ๒ ขั้นจริงๆ
และอันดับ ๒, ๓ ของกองพันก็ได้ด้วย
รวมความว่านายทหารสัญญาบัตรของกองพันอากาศโยธิน กองบิน ๔ ได้ ๒ ขั้นทั้ง ๓ คน เต็มตามโควตาของกองพันจริงๆ
ตามที่เรืออากาศโทธานินทร์อธิบายให้หลวงพ่อฟังทุกประการ
ส่วนข้าพเจ้านั้นไม่ได้ เนื่องจากนายทหารสัญญาบัตรภายในหน่วยน้อย จึงไม่มีโควตา ๒
ขั้นของหน่วยเองต้องอาศัยโควตาของหน่วยอื่นมาร่วม ซึ่งเป็นการยากมาก และข้าพเจ้าก็คาดคิดอยู่แล้วว่าข้าพเจ้าคงไม่ได้ จึงไม่ได้เสียอกเสียใจแต่อย่างใด
และในตอนเย็นวันนั้น เมื่อข้าพเจ้าพบเรืออากาศโทธานินทร์ บนสโมสรก็ได้แสดงความยินดี และร่วมเล่นบิลเลียดกันเหมือนเช่นเคยจนถึง ๓ ทุ่ม
ข้าพเจ้าจึงได้ขอแยกตัวกลับบ้าน ส่วนเรืออากาศโทธานินทร์ยังอยู่เล่นต่อ โดยบอกข้าพเจ้าว่า พี่กลับไปก่อนเถอะ
วันนี้ผมขออยู่ฉลอง ๒ ขั้น จนกว่าสโมสรจะปิด
ครั้นวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าไปถึงที่ทำงาน เห็นเพื่อนร่วมงานหลายคนกำลังจับกลุ่มวิจารณ์กันถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่อย่างตื่นเต้นสนุกสนาน
จึงเข้าไปร่วมฟังด้วย ก็ได้รับทราบว่า เมื่อคืนนี้ผู้บังคับการกองบิน ๔ ไปเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานที่จังหวัดชัยนาท กลับมาถึงกองบิน ๔ เวลา ๕ ทุ่มเศษ
เห็นไฟบนสโมสรเปิดสว่างไสวและยังมีข้าราชการเล่นบิลเลียดกันอยู่อย่างสนุกสนาน ก็โมโหมาก ขับรถจี๊บเข้าเทียบสโมสรแล้วเข้าไปในห้องบิลเลียด สั่งปิดสโมสรทันที
พร้อมกับให้นายทหารผู้หนึ่งโทรศัพท์เชิญผู้พันฯ มาพบ และสั่งการให้งดบำเหน็จ ๒ ขั้นนายทหารสัญญาบัตรของกองพันอากาศโยธินทั้ง ๓
คนที่ฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งผู้บังคับการกองบิน ๔ โดยเล่นบิลเลียดบนสโมสรเกินเวลาปิดสโมสร (ในระเบียบให้ปิดสโมสรเวลา ๒๒.๓๐)
ด้วยเหตุนี้เอง เรืออากาศโทธานินทร์ และนายทหารสัญญาบัตรของกองพันอีก ๒ คนจึงไม่ได้ ๒ ขั้นทั้ง ๓ คน และโควตา ๒ ขั้นทั้ง ๓
ที่ของกองพันอากาศโยธินจึงต้องตกไปเป็นของส่วนกลาง ทำให้ข้าพเจ้าได้ ๒ ขั้นในปีนั้น ส่วนเรืออากาศโทธานินทร์ไม่ได้ และไปได้
๒ ขั้นชดเชยในปีต่อไป ตามที่หลวงพ่อบอกทุกประการ
การยืนยันของหลวงพ่อต่ออนาคตอันใกล้กับผู้ที่เขารู้และมั่นใจอย่างเต็มที่ต่อเรื่องที่ไม่น่าพลาดเช่นนี้นับเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่ง
ซึ่งใครเลยจะกล้าเสี่ยงทำนายหากไม่ได้อนาคตังสญาณหรือรู้จริงเช่นหลวงพ่อ
หลวงพ่อรู้ทั้งอดีตและอนาคต
มีอยู่วันหนึ่ง เรืออากาศตรีชัยชนะ จั่นบำรุง (ยศในขณะนั้น) ซึ่งได้สมัครไปบินรบในสมรภูมิลาว (ขณะนั้นกำลังมีการรบกันอยู่อย่างรุนแรงมาก)
ได้ขอติดตามข้าพเจ้าและภรรยาไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุงด้วย ความตั้งใจก็เพื่อไปสอบถามหลวงพ่อถึงความปลอดภัยของตนในการตัดสินใจไปบินรบในลาวนั่นเอง
ซึ่งหลวงพ่อก็ได้เมตตาบอกว่า
ความจริง คุณชัยชนะ ไปคราวนี้ต้องตายนะ แต่บังเอิญเมื่อตอนอายุ ๙ ขวบไปพุ่งหลาวโดดน้ำ
ศีรษะด้านหลังไปเจอไม้ไผ่ที่เขามัดกันพงผักบุ้งเสียบเอาถึงเลือกตกยางออกมาแล้ว จึงนับเป็นการชดใช้กรรมไปแล้วส่วนหนึ่ง
ดังนั้นการไปบินรบในครั้งนี้แม้เครื่องบินจะถูกยิงตกก็จะไม่ถึงตายนะ จะช่วยทำพิธีแก้ให้เพื่อผ่อนหนักให้เบา
ต่อจากนั้นหลวงพ่อก็ให้คุณชัยชนะ จัดการปล่อยนก, ปล่อยปลา, ถวายพระพุทธรูป และรดน้ำมนต์ให้ (เท่าที่ข้าพเจ้าพอจะจำได้)
เรื่องที่น่าแปลกใจในตอนนั้นก็คือ
ข้าพเจ้าและบรรดาผู้ที่ติดตามไปในครั้งนั้นแม้จะนั่งอยู่ข้างหลังจนเกือบชิดและช่วยกันมองหาแผลเป็นบนศีรษะของเรืออากาศตรีชัยชนะ สักเพียงใดก็หาเห็นไม่
เพราะผมแกหนาและดกมากปิดบังไว้หมด ต่อเมื่อคุณชัยชนะยอมรับว่า ตอนอายุ ๙ ขวบผมกระโดดน้ำแล้วถูกไม้ไผ่เสียบจริงๆ
และบัดนี้แผลเป็นนั้นก็ยังอยู่ ว่าแล้วก็แหวกผมดกหนาที่ปิดบังแผลเป็นออกให้ทุกคนดู
ต่อมาเรืออากาศตรีชัยชนะ ก็จากกองบิน ๔ ไปปฏิบัติภารกิจการบินรบในลาวและใน ๒ ๓ เดือนต่อมา
ข้าพเจ้าก็ได้ทราบข่าวว่าเครื่องบินของคุณชัยชนะถูกยิงตกแต่คุณชัยชนะปลอดภัย เพียงแต่แขนเดาะต้องเข้าเฝือกอยู่ระยะหนึ่งเท่านั้น
และที่น่าแปลกใจมากก็คือ ทางคณะกรรมการที่ไปสอบสวนเครื่องบินตกได้เล่าว่า เครื่องบินของเรืออากาศตรีชัยชนะ
นั้นมันน่าที่จะต้องตกเหวอย่างยิ่งเพราะหัวเครื่องพ้นปากเหวไปเกินครึ่งลำแล้ว แต่เคราะห์ดีที่ไปพาดบนต้นไม้ใหญ่
การที่หลวงพ่อล่วงรู้ไปถึงอดีตของเรืออากาศตรีชัยชนะ เมื่อตอนอายุ ๙ ขวบและล่วงรู้ถึงอนาคตอันใกล้ว่าเครื่องบินจะต้องตก
อีกทั้งทำพิธีแก้เพื่อผ่อนหนักเป็นเบาให้เช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่าหลวงพ่อต้องได้ อตีตังสญาณ และอนาคตังสญาณอย่างแน่นอน
หลวงพ่อทรงอภิญญา
เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ตอนต้นๆ ปี ญาติของ พ.อ.อ.ชลอ ผาสุข ได้เสียชีวิตลง และ พ.อ.อ. ชะลอ ผาสุข ก็ได้ตัดสินใจนำศพของญาติ
(ข้าพเจ้าต้องขออภัยที่จำไม่ได้ว่าญาติที่ตายมีศักดิ์เป็นอะไรกับ พ.อ.อ.ชลอ) ไปเผาที่เมรุเผาศพของวัดท่าซุง อุทัยธานี
โดยเชิญข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาไปร่วมเป็นเกียรติในพิธีเผาศพด้วย
เมรุเผาศพของวัดท่าซุงนั้นเป็นเมรุแบบโบราณ เผาศพด้วยฟืนตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ (ในปัจจุบันทางวัดยังคงอนุรักษ์ไว้
หากท่านผู้อ่านได้ไปวัดท่าซุงก็คงจะได้เห็น) พิธีเผาศพก็ทำกันแบบพื้นบ้านง่ายๆ โดยยกศพลงไปวางในเมรุเหนือกองฟืน แล้วก็จุดไฟเผา
โดยมีหลวงพ่อเป็นประธานในพิธี ส่วนข้าพเจ้า, พ.อ.อ.ชลอ ผาสุข และญาติๆ ของผู้ตายก็ยืนกันอยู่ด้วยอาการอันสงบข้างๆ เมรุ
ในขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้ศพและทุกคนกำลังยืนสงบอยู่นั้น ก็มีคนมาบอกหลวงพ่อว่า มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่จากกรุงเทพฯ เดินทางมาหาและรอหลวงพ่ออยู่ที่กุฏิ
หลวงพ่อหยักหน้ารับทราบแล้วก็หันมาสั่งข้าพเจ้าว่า คุณมนูญ ช่วยไปรับแขกแทนฉันก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะตามไป
ข้าพเจ้าเมื่อรับคำสั่งจากหลวงพ่อก็เดินจากเมรุ ผ่านศาลาเก่าๆ ที่เสาโย้เย้ริมแม่น้ำ ลัดเลาะไปตามทางเดินที่สองข้างทางมีแต่หญ้าคาสูงๆ ปกคลุม
ผ่านโบสถ์, วิหาร ที่ชำรุดทรุดโทรมปราศจากหลังคา แล้วก็หยุดหันกลับไปมองที่เมรุ เห็นหลวงพ่อยังยืนเด่นเหลืองอร่าม
ปลงอสุภอยู่อย่างสงบ ก็มีความหนักใจ
เพราะความจริงแล้ว ข้าพเจ้าไม่ชอบที่จะไปพูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่นัก โดยเฉพาะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่มาจากกรุงเทพฯ
และก็ไม่ทราบว่าจะต้องคุยรับหน้าแทนหลวงพ่ออีกนานสักเท่าไร เพราะมองดูรูปการแล้ว หลวงพ่อยังไม่มีทีท่าจะละจากเมรุง่ายๆ เลย
อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ค่อยๆ เดินไปจนถึงกุฏิเล็กๆ ของหลวงพ่อริมแม่น้ำจนได้ และแล้วสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดฝันมาก่อนก็เกิดขึ้นจนทำให้ข้าพเจ้าตกใจ
เพราะข้าพเจ้าได้เห็นหลวงพ่อกำลังนั่งพูดคุยกับนายทหารผู้ใหญ่ท่านนั้นอยู่แล้วบนกุฏิ
ท่านผู้อ่านที่รักทางเดินจากเมรุเผาศพมายังกุฏิหลวงพ่อนั่นมีเส้นทางเดียวที่ลัดตรงที่สุดและไม่มีหญ้าคาปกคลุม
ซึ่งก็เป็นเส้นทางที่ข้าพเจ้าเดินและข้าพเจ้าก็ได้เดินมาแล้วเกินกว่าครึ่งทาง ในขณะที่หลวงพ่อยังยืนอยู่ที่เมรุ ดังนั้นจู่ๆ
หลวงพ่อมาถึงกุฏิก่อนข้าพเจ้าได้เช่นนี้ หากข้าพเจ้าจะคิดว่าหลวงพ่อทรงอภิญญาก็น่าจะได้จริงไหมครับ?
หลวงพ่ออยู่รอสงเคราะห์ลูกหลาน ญาติมิตร
เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ในวันหนึ่งหลังจากที่หลวงพ่อฉันอาหารเพลในแพริมแม่น้ำของวัดท่าซุงเสร็จ ก็ชวนข้าพเจ้าและผู้ติดตามเคลื่อนย้ายจากแพไปกุฏิ
ระหว่างทางหลวงพ่อได้หยุดยืนใต้ร่มไทรต้นหนึ่งริมแม่น้ำ แล้วพูดบอกข้าพเจ้าว่า
ณ ที่แห่งนี้ บริเวณนี้ ต่อไปในอนาคตอันใกล้ จะมีลูกหลานและญาติสนิทมิตรสหายของฉันในอดีตชาติ
จะกี่ภพกี่ชาติมาแล้วก็ตาม ที่มาเกิดทันฉันในชาติปัจจุบันนี้ จะพากันมาชุมนุม ณ ที่แห่งนี้เป็นหมื่นๆ แสนๆ คน
ข้าพเจ้าในขณะนั้นได้ฟังหลวงพ่อพูดแล้วก็ให้นึกสงสารหลวงพ่อสุดหัวใจและรำพึงอยู่ในใจว่า โถ!
จะมีใครมาเป็นหมื่นเป็นแสนคน ทุกวันนี้ก็ดูเหมือนจะมีแต่ผู้คนในชุดของข้าพเจ้าเท่านั้นเอง
และข้าพเจ้าก็เชื่ออย่างเหลือเกินว่าหากผู้ใดเป็นข้าพเจ้าในขณะนั้น ก็คงจะคิดเช่นเดียวกับข้าพเจ้า
เพราะรอบกายที่ยืนอยู่ไม่ว่าจะเหลียวไปด้านใดก็เห็นแต่ความรกร้างว่างเปล่า และสิ่งปรักหักพังทั้งสิ้น ถาวรวัตถุอันเป็นหลักของวัด อาทิเช่น โบสถ์, วิหาร
ก็ชำรุดทรุดโทรมไปหมดไม่มีแม้แต่หลังคา, ศาลา ๑ หลังก็ตั้งอยู่บนเสาที่โย้เย้ มีสภาพเอียงกระเท่เร่ พร้อมที่จะล้มพังลงเมื่อไรก็ได้ ส่วนหอไตรเล็กๆ อีก ๑
หลัง ก็มีแต่โครง
ส่วนเมรุโบราณที่เผาศพด้วยฟืนนั่นก็มีคราบตระใคร่น้ำจับดำไปหมด คงมีแต่กุฏิเจ้าอาวาสเก่าๆ ๑ หลัง กุฏิเล็กๆ ของหลวงพ่ออีก ๑ หลัง
และแพริมฝั่งแม่น้ำเท่านั้นที่พอใช้การได้บ้าง ทั้งหมดที่กล่าวนี้ก็คือวัดท่าซุงในขณะนั้นจริงๆ ส่วนฝั่งวัดตรงข้ามถนนที่เป็นโบสถ์ใหม่ หรือศาลานวราชก็ดี,
ศาลา ๒ ไร่ ๔ ไร่ หรืออาคารอื่นใด ทั้งหลายก็ดีหามีไม่ คงมีแต่ป่าไผ่ดงดิบตลอดแนว สรุปความว่าวัดท่าซุงในตอนที่หลวงพ่อพูดกับข้าพเจ้านั่นอยู่ในสภาพของวัดร้างจริงๆ
หลวงพ่อเห็นอาการอันเงียบสงบและแววตาของข้าพเจ้าก็คงจะทราบว่าในใจข้าพเจ้านึกคิดอย่างไร ท่านก็ได้เมตตาพูดต่อไปว่า
ฉันนั้นได้เคยปรารถนาพุทธภูมิไว้ แต่หากดำรงเจตนาเดิมก็จะต้องมาเกิดอีกถึง ๗ ชาติ จึงจะได้พบและอุปการะลุกหลาน,
ญาติมิตร ที่เคยเกี่ยวข้องผูกพันกับฉันมาในอดีตชาติได้ทั้งหมด ซึ่งนับเป็นภาระที่หนักมาก และฉันก็เบื่อหน่ายโลกมนุษย์นี้เต็มทน จึงได้ขอลาพุทธภูมิ
และขอเอาชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของฉัน
ดังนั้น ภาระในชาตินี้ของฉันจึงมีมาก เพราะจะต้องอยู่ช่วยลูกหลานญาติมิตร ที่เคยเกิดร่วมภพร่วมชาติกับฉันมาในอดีตชาติ
และมาเกิดทันฉันในชาตินี้ทั้งหมด ให้พ้นจากอบายภูมิด้วย หากผู้ใดมีบุญบารมีก็จะได้ไปถึงพระนิพพาน หากผู้ใดบุญบารมียังน้อย
ก็จะพยายามให้สร้างบุญกุศลเพื่อไปพักในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไว้ก่อน
เมื่อพระศรีอาริย์มาตรัสรู้ ก็จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในสมัยของพระศรีอาริย์พอดี
ด้วยวิธีนี้ก็จะช่วยให้เขาเหล่านั้นพ้นจากอบายภูมิไปได้ แต่กุศลผลบุญหลักที่จะช่วยให้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็คือ การถวายสังฆทาน
และการสร้างวิหารทานนั่นเอง ดังนั้นต่อไปในอนาคตที่นี่จะมีการก่อสร้างวิหารทานมาก บริเวณวัดท่าซุงในขณะนี้จะไม่พอ
จะต้องขยายวัดไปทางดงไผ่ฝั่งตรงข้ามวัดท่าซุงด้วย
ในขณะนั้น แม้หลวงพ่อจะได้เมตตาบอกข้าพเจ้าโดยละเอียดแล้วเช่นไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็หาได้เข้าใจไม่ ด้วยไร้ปัญญา คงคิดอยู่แต่ในใจว่า
คนจะมาเป็นหมื่นเป็นแสนคนได้อย่างไร? และการก่อสร้างที่จะต้องขยายไปถึงดงไผ่ฝั่งตรงข้ามยิ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ใหญ่ เพราะเอาแต่บูรณะโบสถ์, วิหาร, ศาลา,
หอไตร และกุฏิเดิมในวัดเก่าที่มีอยู่ก็ใช้เงินมหาศาลอยู่แล้ว จะทำได้อย่างไร
ผิวกายของหลวงพ่อเปลี่ยนสีได้
เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๓ ข้าพเจ้าซึ่งเป็นหัวหน้าสถานีวิทยุกระจายเสียง ๐๔ ตาคลี จ.นครสวรรค์
ได้เริ่มจัดแบ่งเวลาให้หลวงพ่อแสดงธรรมะออกอากาศทางสถานีเป็นประจำเรื่อยมา ซึ่งหลวงพ่อก็ได้เมตตามาแสดงธรรมออกอากาศให้ด้วยตนเองเป็นการประจำ
เว้นไว้แต่ในบางครั้งที่หลวงพ่อป่วยหรือติดกิจจำเป็นก็จะอัดเป็นเทปส่งให้ สำหรับรายการของหลวงพ่อที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบนี้
นอกจากจะเป็นการแสดงธรรมะโปรดพุทธศาสนิกชนแล้วก็มีการเล่าเรื่องประวัติหลวงปู่ปาน, ไตรภูมิ, มหาสติปัฏฐาน ๔ และอื่นๆ อีกมากมาย (ต่อมา พลอากาศโท
ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ได้ขอเทปไปถอดฟัง และจัดพิมพ์เป็นหนังสือ ดังที่ลูกศิษย์รุ่นหลังๆ ได้อ่านกันอยู่ทุกวันนี้)
และในการมาเป็นผู้จัดรายการก็จะคอยอยู่รับใช้และอำนวยความสะดวกให้หลวงพ่อโดยตลอด จนกว่าหลวงพ่อจะกลับ
สิ่งมหัศจรรย์ที่ข้าพเจ้าและพ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ได้พบเห็นก็คือ หลวงพ่อเดินเข้าไปในห้องส่งและพูดออกอากาศโดยมิได้มีข้อเขียนใดใด
แม้แต่กระดาษที่จะจดหัวข้อ หรือข้อความสั้นๆ เพื่อกันลืมเลยแม้แต่น้อย (แม้แต่ผู้ประกาศและโฆษกอาชีพ ซึ่งหากินทางวิทยุกระจายเสียงเองก็ทำไม่ได้)
โดยเฉพาะเรื่องยาวๆ ยากๆ เช่นการเล่าประวัติหลวงปู่ปานก็ดี การเล่าถึงนรกแต่ละชั้น สวรรค์แต่ละชั้นในไตรภูมิก็ดี หรือมหาสติปัฏฐาน ๔ ก็ดี
ย่อมเป็นการสุดวิสัยที่จะพูดออกอากาศได้โดยไม่มีข้อเขียนหรือหัวข้อย่อๆเป็นหลัก