"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 2 (ตอนที่ 2)
webmaster - 19/10/11 at 15:09

ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒
จัดพิมพ์โดย..คุณ มาลิดา ปานทวีเดช และคุณทวีทรัพย์ ศรีขวัญ
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )
สารบัญ
17. กิจจา แก้วผดุง
18. แม่เล็ก แซ่เฮ้ง
19. สรรเสริญ รัตนอนันต์
20. คัทริน ตัณฑ์ไพบูลย์
21. จุฑามาศ กัญจนานนท์
22. บูรณะ นุตาลัย
23. พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา
24. พล.ต.อ. น.พ.สมศักดิ์ สืบสงวน
25. มุกดา ภู่นิยม
26. ร้อยตรี ม.ล.วรวัฒน กานดา นวรัตน
27. วันดี เวสารัชชานนท์
28. สมบูรณ์ เวสารัชชานนท์
29. เสงี่ยม สังกรณีย์
30. ศุภสิทธิ์ อารีกุล (ธำรง อารีกุล)
31. แม่ชีชุลี อาตมะมิศร์
32. ลักขณา เศรษฐ์ยานนท์
33. สุนทร หงษ์ยิ้ม
34. ปาริชาติ แสงหิรัญย
35. วัชรีย์ บุนนาค
36. สามารถ ทิพย์รัตน์
37. สุนันท์ เจียรกูล
38. สุนีย์ จิวเฉลิมมิตร
39. ดิรัตน์ นามากุล
17
พระเดชพระคุณหลวงพ่อของลูก
กิจจา แก้วผดุง
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบพบหลวงพ่อเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ พร้อมด้วยพี่วิวัฒน์ และพี่วิชัย โกศล
ข้าพเจ้าทั้งสามคนทำงานอยู่ที่สนามบินอู่ตะเภา อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ก่อนที่จะได้พบกับหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเองนั้นชอบทำบุญใส่บาตรมาตั้งแต่เป็นเด็ก และบุญอื่นๆ
ตามแต่โอกาส โดยที่ไม่เข้าใจว่ามีผลอะไร
เมื่อมีเวลาก็จะไปฝึกสมาธิกับสำนักต่างๆ ตามที่มีคนแนะนำ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่านั่งสมาธิเพื่ออะไร
โดยเฉพาะเรื่องพระสูตรต่างๆ ที่แสดงไว้ก็ไม่เข้าใจและสงสัยอยู่ตลอดเวลา เวลาสอบถามท่านอาจารย์ต่างๆ ท่านก็บอกว่าตำราว่าไว้อย่างนี้
และที่สำคัญท่านเหล่านั้นไม่เคยพูดถึงเรื่องของการใช้ปัญญาว่าถ้ามีอารมณ์ชั่วอย่างนี้ จะต้องแก้ไขอย่างนี้
มีแต่สอนให้นั่งภาวนาอย่างเดียว ทำไปเท่าไหร่อารมณ์ด้านความชั่วก็ไม่เห็นมันลดลงไปสักที ก็เลยมาคิดว่า น่าจะมีครูบาอาจารย์ที่ท่านสามารถนำเราได้ว่า
ถ้าอารมณ์ชั่วต่างๆ เกิดขึ้น ควรจะแก้ไขอย่างไร จนกระทั่ง ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน โดยที่ท่าน น.อ.ชัชวาลย์
รองผู้บังคับการสนามบินอู่ตะเภา สมัยนั้นให้พี่วิวัฒน์ยืมไปอ่าน
ข้าพเจ้าได้ยืมจากพี่วิวัฒน์อ่านบ้าง เพียงแค่ได้อ่านไปเพียง ๑๐ หน้า ข้าพเจ้าบอกกับตนเองว่าเราพบแล้วครูบาอาจารย์ที่เราแสวงหา
พอดีทราบว่าหลวงพ่อมาโปรดที่ซอยสายลม ข้าพเจ้าตัดสินใจว่า เป็นตายร้ายดีอย่างไรต้องไปกราบพบท่านให้ได้ เมื่อไปถึงซอยสายลมก็ได้พบว่าหลวงพ่อกำลังรับแขกอยู่
จนกระทั่งคนที่ไปกราบพบท่านเหลืออยู่ไม่กี่คน
ข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสเข้าไปกราบท่านใกล้ๆ ท่านได้เมตตาถามว่า ไอ้หนูจะถามอะไร ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะตอบ เนื่องจากตอนนั้นในใจมีแต่ความปีติและอิ่มเอิบที่ได้พบกับท่าน หลวงพ่อได้โปรดเมตตาถามถึง ๓ วาระ
ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนถามท่านว่า ก่อนที่ผมจะมาพบหลวงพ่อ ตอนกลางคืนผมนั่งสมาธิปรากฏว่า นั่งๆ ไปลมหายใจมันหายไป
รู้สึกว่าไม่มีลมหายใจ ผมกลัวและเกรงว่าจะตาย
ท่านได้ฟังท่านก็ยิ้ม และบอกว่า ไอ้อาการอย่างนั้น ฉันเคยผ่านมาแล้ว มันเป็นอาการของฌานสี่
จากนั้นท่านได้โปรดเมตตาอธิบายให้ทราบโดยละเอียด
ท่านบอกว่าถ้ายังสงสัยและยังไม่เข้าใจ ให้ศึกษาจากหนังสือที่ท่านเขียนไว้ จากนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็ตั้งใจว่า
ขอยึดหลวงพ่อเป็นสรณะและเป็นที่พึ่งตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ จากนั้นทุกครั้งที่ว่างจากการงาน ข้าพเจ้าก็จะไปที่วัดและติดตามหลวงพ่อไปในที่ต่างๆ
ตามแต่โอกาสจะอำนวย
และข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้รบกวนถามถึงเรื่องของการปฏิบัติอีก เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างท่านก็สอนไว้ในหนังสือและเทปแล้ว
อารมณ์ชั่วกำเริบ
ต่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ หลวงพ่อได้ไปพักผ่อนที่บ้านของโยมป้าเสงี่ยม ที่ จ.ระยอง เช้าวันนั้น หลวงพ่อท่านนั่งพักผ่อนอยู่ที่เตียง พี่วิวัฒน์ และพี่วิชัย
และข้าพเจ้านั่งดูอัลบั้มรูปถ่ายใกล้ท่าน ข้าพเจ้าเป็นผู้ได้ดูอัลบั้มก่อน ปรากฏว่าพี่วิวัฒน์แย่งอัลบั้มไปจากข้าพเจ้า ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้ายังดูไม่เสร็จ
ข้าพเจ้านึกโกรธและนึกในใจว่า ไอ้ห่าเอ๊ย ประเดี๋ยวก็เตะเสียเลย เพียงเท่านั้นเอง
พระเดชพระคุณหลวงพ่อถอดแว่นออก ท่านมองหน้าข้าพเจ้านานพอสมควร จนข้าพเจ้ารู้สึกว่า
ท่านทราบว่าข้าพเจ้ากำลังถูกอารมณ์โทสะครอบงำอยู่ ข้าพเจ้าทั้งกลัวและอาย ที่มีอารมณ์ชั่วเกิดขึ้นต่อหน้าท่าน นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะคิดอะไรที่เหลวไหลต่อหน้าท่าน
ผลจากความกลัวหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้าต้องคอยระวังใจของตนเองว่า ถ้าจะต้องเข้าไปใกล้หลวงพ่อ อย่างน้อยจิตของเราจะต้องปลอดจากอารมณ์ชั่ว
ถ้าจิตยังชั่วอยู่จะไม่เข้าไปเลย
แรงอธิษฐาน
จากปี ๒๕๑๗ ถึงปี ๒๕๒๐ หน้าที่การงานของข้าพเจ้าที่ทำอยู่ มีรายได้พอประมาณมีเหลือทำบุญบ้างแต่ไม่มากนัก
เห็นคนอื่นเขาทำบุญกันได้เต็มที่ ก็มานั่งนึกว่าทำอย่างไรเราจึงจะมีปัจจัยทำบุญได้บ่อยๆ เหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง
สุดท้ายก็เลยจุดธูปขอจากหลวงปู่ปานและหลวงพ่อว่า ขอได้โปรดเมตตาสงเคราะห์ลูกให้ได้มีโอกาสได้ทำงานที่มีเงินเดือนสูงกว่าเดิม
เพื่อที่จะได้มีเงินทำบุญสมความตั้งใจ ประมาณ ๑๐ วันให้หลัง มีเพื่อนที่รู้จักกันชวนไปทำงานที่ประเทศซาอุดิอารเบีย ข้าพเจ้าตัดสินใจสมัครไปทันที
และเงินเดือนก็ได้มากกว่าเดิมถึง ๑ เท่า ข้าพเจ้าเดินทางไปอย่างกะทันหันเพราะไม่คิดว่าเขาจะเรียกตัวเร็ว ไม่มีโอกาสไปกราบลาหลวงพ่อที่วัด
สู่ทะเลทรายพร้อมด้วยธรรมะที่ได้จากหลวงพ่อ
วันเดินทาง สิ่งที่ข้าพเจ้านำติดตัวไปด้วยก็มีพระพุทธรูป ครบรอบร้อยปีหลวงปู่ปาน
และพระรูปของหลวงพ่อและหลวงปู่ใส่ย่ามสะพายติดตัวไป คณะที่เดินทางไปพร้อมกับข้าพเจ้ามีทั้งหมด ๒๒ คน
ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าทีมในฐานะที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง นอกนั้นเป็นคนงานประเภทช่างต่างๆ ตามกำหนดการเครื่องบินจะต้องถึงประเทศซาอุดิฯ ในวันที่ ๑๖ ส.ค.
แต่ทว่า เครื่องเกิดขัดข้องต้องแวะซ่อมที่การาจี ปากีสถาน การเดินทางต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ ๑๗ คณะของข้าพเจ้าถึงซาอุดิฯ ประมาณตี ๒
ปรากฏว่าไม่มีใครไปรับที่สนามบิน ทุกคนต่างเข้าใจว่าถูกส่งมาลอยแพ ข้าพเจ้าเองก็คิดเช่นนั้น
เพื่อรักษากำลังใจของเพื่อนร่วมทางข้าพเจ้าบอกว่าจะไปตามหาบริษัทที่เราจะต้องไปทำงานด้วย ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยไปซาอุฯ เลย
เหมาแท็กซี่ตระเวนหาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ ในใจก็อาราธนาบารมีทั้งหมดมีหลวงพ่อเป็นที่สุด ตามหาบริษัทอยู่ ๒ ชั่วโมงก็พบจนได้
ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับมีคนคอยชี้แนะให้ไปทางนั้นทางนี้ ข้าพเจ้ากลับไปรับเพื่อนๆ ที่สนามบิน ปรากฏว่าไม่ต้องถูกลอยแพ จนกระทั่ง ๖ โมงเช้า
บริษัทได้จัดส่งคนงานชุดนี้ไปทำงานยังกลางทะเลทราย
เนื่องจากหน่วยงานอยู่ที่กลางทะเลทราย พวกคนงานไทยที่ไปทำงานอยู่ก่อนตั้งสมญานามหน่วยงานนั้นว่านรกบนดิน สาเหตุที่ได้ชื่อว่านรกบนดิน
เพราะงานที่ก่อสร้างจะต้องทำอยู่ใกล้กับปล่องแก๊สที่เผาทิ้ง มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา อากาศในเดือนนั้นก็ร้อนถึง ๔๕ ๔๗ องศาเซลเซียส
ความร้อนจากแสงแดด ผสมกับความร้อนจากเปลวเพลิงที่ออกมาจากปล่องเผาแก๊ส ก็ยิ่งทำให้ร้อนเป็นเท่าทวีคูณ พวกคนงานไทยบางคน
ทนความร้อนไม่ไหวก็ขอลากลับเมืองไทยกลางคัน ข้าพเจ้าเอง ความจริงแล้วก็ต้องถูกส่งไปทำงานที่นรกบนดินเช่นกัน แต่บังเอิญข้าพเจ้ามัวแต่เสียเวลาอาบน้ำ
ไปไม่ทัน ทางสำนักงานใหญ่ขาดเจ้าหน้าที่แผนกบุคคล
จึงรับตัวข้าพเจ้าทำงานอยู่ในสำนักงานใหญ่ ข้าพเจ้าจึงไม่มีโอกาสได้ไปเผชิญกับนรกบนดินเช่นเดียวกับเพื่อนๆ ที่ไปพร้อมกัน
บริษัทที่ข้าพเจ้าทำอยู่นั้นมีคนงานไทยประมาณ ๔ พันคน แต่ทว่า ในแต่ละวัน จะมีคนงานไทยขอลาออกก่อนกำหนดวันละหลายสิบคน เพราะสู้กับความร้อนไม่ไหว
ในที่สุดก็เหลือกันไม่กี่คน
ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้อยู่ในตัวเมือง มีห้องพักเป็นสัดส่วนก็เลยจัดห้องพระได้สะดวก
การปฏิบัติพระกรรมฐานก็พยายามเต็มที่ตามที่ได้รับมาจากวัด เพราะทราบดีว่าที่ได้ไปทำงานที่ซาอุฯ ก็เป็นด้วยบารมีของหลวงพ่อ
ดังนั้นจึงสู้และทนกับงานทุกอย่างเพื่อที่จะได้มีปัจจัยส่งมาถวายหลวงพ่อตามที่ได้ตั้งใจไว้ นับจากเดือนแรก ทุกวันที่ ๑๕ ของเดือน
ข้าพเจ้าจะส่งปัจจัยมากราบถวายหลวงพ่อ ข้าพเจ้ามีเพื่อนที่อยู่ร่วมห้องเดียวกัน เขาเห็นข้าพเจ้าสวดมนต์ไว้พระและปฏิบัติพระกรรมฐาน แรกๆ ก็ไม่สนใจอะไร
จนกระทั่งสองปีผ่านไปเขาขอยืมหนังสือไปอ่าน สุดท้ายก็สวดมนต์ไหว้พระปฏิบัติพระกรรมฐานด้วยกัน ในแคมป์ที่ข้าพเจ้าพักอยู่ มีคนงานไทยที่อาศัยอยู่เกือบร้อยคน
แต่ไม่ได้อยู่บริษัทเดียวกับข้าพเจ้า
โดยปกติข้าพเจ้าไม่ค่อยจะไปสังสรรค์กับใคร เช้าไปทำงาน เย็นกลับห้อง ฟังเทปและอ่านหนังสือหลวงพ่อ มีอยู่วันหนึ่ง
มีกลุ่มคนงานไทยคุยกันถึงเรื่องราวในหนังสือหลวงปู่ปาน ต่างก็พูดถึงความวิเศษในหนังสือผิดบ้างถูกบ้าง ข้าพเจ้านั่งฟังอยู่
ก็เลยบอกกับเขาว่าถ้าสนใจอยากจะทราบมากกว่านี้ก็ไปที่ห้องของข้าพเจ้า จะได้ให้ยืมเทปและหนังสือต่างๆ ที่มี
หลายคนตามไปที่ห้อง เมื่อเห็นที่ห้องพระของข้าพเจ้ามีครบแทบทุกอย่างต่างก็ขอยืมไปศึกษา และยิ่งทราบว่าข้าพเจ้าได้พบหลวงพ่อก่อนที่จะไปซาอุดิฯ เพื่อนๆ
เหล่านั้นก็ซักถามเรื่องราวต่างๆ ข้าพเจ้าก็เล่าให้ฟังตามความเป็นจริง ในเวลาเดียวกันข้าพเจ้าก็จะเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวในพระสูตร
ตลอดจนถึงอานิสงส์ในการทำบุญแต่ละอย่าง
เพื่อนๆ คนงานไทยก็เกิดศรัทธาในองค์หลวงพ่อและมีความตั้งใจในการที่จะบำเพ็ญกุศลกับหลวงพ่อ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกๆ วันที่ ๑๕
ของเดือน เพื่อนๆ คนไทยก็จะนำปัจจัยมาให้ข้าพเจ้ารวบรวมส่งมาถวายหลวงพ่อเป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปี มีคนงานไทยบางคนที่ดื่มเหล้า และขายเหล้า
หลังจากได้ฟังเทปและอ่านหนังสือแล้วก็เลิกเหล้าได้เด็ดขาด
และเมื่อถึงเวลากลับมาพักร้อนที่เมืองไทย และต่างก็ได้กราบพบหลวงพ่อสมความปรารถนาและได้ยึดหลวงพ่อเป็นสรณะทั้งตัวเขาเองและครอบครัว
เมื่อข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ได้ร่วมกันส่งปัจจัยมาทำบุญกับหลวงพ่อหลายครั้ง หลวงพ่อก็ได้ส่งใบอนุโมทนาบัตรไปให้ข้าพเจ้า ดังเช่นเมื่อ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๓
หลวงพ่อส่งใบโมทนาบัตรความว่า
ลูกกิจจา และคณะปิยะสหายที่ร่วมกันส่งปัจจัยมาสงเคราะห์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาในการถวายสังฆทานและวิหารทาน เป็นเงิน ๙๐๐ บาท
ขอคณะลูกทุกคน จงมีความปรารถนาสมหวังตามที่ตั้งใจจงทุกประการเถิด และจงมีหวังในพระนิพพานในชาตินี้ทั่วทุกคนตามที่ปรารถนาไว้
พระคิดว่าได้แน่นอนเพราะตั้งใจจริง
พระมหาวีระ ถาวโร
และอีกครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้ส่งใบโมทนาบัตรกลับไปให้ เมื่อ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ คุณกิจจา แก้วผดุง ถวายหลวงพ่อร่วมการกุศล วัดท่าซุง เป็นเงิน ๒,๕๘๐
บาท พร้อมกับใบโมทนาบัตรฉบับนี้แล้ว ด้านหลังของใบโมทนาบัตร หลวงพ่อได้เมตตาพิมพ์เป็นจดหมายถึงข้าพเจ้า ความว่า
๒๗ ก.พ. ๒๕๒๕
ลูกรัก
จดหมายและปัจจัยที่ลูกส่งมา พ่อได้รับแล้ว คณะของลูกเป็นคณะที่มีศรัทธามั่นคงมาก แม้จะมีความยากลำบาก ต้องจากบ้านจากเมือง จากลูกเมียมาหาเงินต่างประเทศ
ซึ่งไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอน ลูกทุกคนก็ยังมีศรัทธาส่งเงินมาร่วมบุญกุศลเสมอมิได้ขาด
อารมณ์อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า เป็นผู้มีฌานในอนุสติ คือนึกถึงเรื่องการส่งเงินมาทำบุญท่านเรียกว่า จาคานุสติ นึกถึงพระสงฆ์ เป็นสังฆานุสติ
นึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นพุทธานุสติ นึกถึงธรรม ส่วนใดส่วนหนึ่ง เป็นธัมมานุสติ อารมณ์ของลูกทุกคนเป็นฌานในอนุสติทั้งสี่ประการ คำว่า ฌาน แปลว่า
นึกถึงจนชิน มีอานิสงส์ดีมาก
หากจะพูดกันเป็นขั้นบารมี ก็ต้องเรียกว่า ปรมัตถบารมี คือมีกำลังใจเป็นกุศลอย่างยิ่ง ด้วยอำนาจความดีนี้ ขอคณะลูกทั้งชายและหญิง
จงมีความสุขสมหวังตามที่ลูกตั้งใจจงทุกประการเถิด
(พระมหาวีระ ถาวโร)
ธรรมะจากแคมป์สู่คุก
มีคนงานไทยบางคนที่หลงผิดคิดรวยทางลัด คือค้ายาเสพติด คนไทยที่ว่านี้เคยอยู่ในแคมป์เดียวกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นเขามีลักษณะดี คือบุหรี่ไม่สูบ
เหล้าไม่กิน และไม่เล่นการพนัน ชอบมาคุยกับข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาค้ายาเสพติด จนกระทั่งเขาย้ายออกไปอยู่นอกแคมป์
และทราบจากเพื่อนด้วยกันว่า เขาร่ำรวยและมีรถใช้ส่วนตัวหลายคัน ข้าพเจ้าก็สงสัยว่าทำไมจึงรวยเร็ว เพราะเงินเดือนก็ไล่เลี่ยกับข้าพเจ้า
เพื่อนบอกว่าเขารวยเพราะค้าของผิดกฎหมาย เมื่อข้าพเจ้าได้ทราบก็บอกกับเพื่อนไปว่า ถ้าพบเขาก็ให้ช่วยบอกด้วยว่า ให้เลิกเสีย ถ้าเขายังไม่เลิก
คิดว่าไม่เกินหนึ่งเดือนเขาอาจจะถูกจับ
ปรากฏว่าหลังจากนั้นประมาณ ๒๐ วัน เขาถูกจับที่สนามบินพร้อมด้วยของกลาง ศาลติดสินจำคุก ๑๕ ปี ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวก็สลดใจ
ต่อมาอีก ๓ อาทิตย์ นักโทษคนไทยผู้นี้ฝากคนมาบอกข้าพเจ้าให้ไปเยี่ยมบ้าง เพื่อนๆ
ของเขาที่รู้จักไม่กล้าไปเยี่ยมกันเพราะเกรงว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเพ่งเล็งว่าสมรู้ร่วมคิดกัน ไม่มีใครไปเยี่ยม
ข้าพเจ้าก็สงสารจึงตัดสินใจไปเยี่ยม แต่ก็กลัวว่าจะถูกหาว่ารู้เห็นเป็นใจด้วย ก่อนจะไปเยี่ยมที่คุก ข้าพเจ้าก็จุดธูปอาราธนาบารมีหลวงพ่อว่า
ขออย่าให้มีอุปสรรคอะไรทั้งสิ้น ข้าพเจ้านำหนังสือและเทปของหลวงพ่อไปให้เขาถึงในคุกและบอกว่ามีอะไรสงสัยก็ให้ถาม ข้าพเจ้าไปเยี่ยมทุกวันศุกร์
และบอกว่าพยายามทำตามหนังสือที่ให้ไว้ ที่มาเยี่ยมก็ไม่ได้หวังอะไร
เพียงแต่ต้องการให้เขาเมื่อพ้นโทษออกไปจะได้เป็นคนดี ข้าพเจ้าแนะนำให้เขาปฏิบัติพระกรรมฐานและท่องคาถาเงินล้าน และคาถาต่างๆ
ที่ได้จากหลวงพ่อ เขาก็ปฏิบัติตาม ในที่สุด เขาก็ได้เลื่อนเป็นนักโทษชั้นดี ได้ย้ายไปทำหน้าที่ในครัว มีเงินเดือนๆ ละ ๓๐๐๐ กว่าบาท
ทุกเดือนจะฝากเงินถวายหลวงพ่อด้วย ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าไปเยี่ยมก็พยายามให้กำลังใจ
ต่อมาจากโทษที่พิพากษา ๑๕ ปี ก็ลดเหลือ ๗ ปีครึ่ง จาก ๗ ปีครึ่ง เหลือเพียง ๕ ปี ช่วง ๓ ปีแรกที่เขาต้องโทษ ภรรยาของเขาที่เมืองไทยก็แต่งงานใหม่
ข้าพเจ้าแนะนำให้เขานึกถึงคำสอนของหลวงพ่อที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเรื่องธรรมดา ในที่สุดข้าพเจ้าก็ครบกำหนดกลับเมืองไทย
และข้าพเจ้าไม่ต่อสัญญาในการทำงานอีก รวมเวลาที่ข้าพเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในซาอุดีฯ ๑๐ ปีเศษ
เมื่อเขาเห็นธรรม
หลังจากที่ข้าพเจ้ากลับถึงเมืองไทยแล้ว ก็เปิดบริษัทส่งของกินไปขายที่ซาอุดิฯ คืนวันหนึ่งมีโทรศัพท์ถึงข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจำเสียงได้ว่าเป็นเสียงของเพื่อนนักโทษที่ต้องโทษอยู่ที่ซาอุดิฯ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าโทรมาจากซาอุดิฯ แต่ไม่ใช่ เป็นการโทรมาจากกรุงเทพฯ
เสียงทางโทรศัพท์บอกว่าคุณกิจจานี่อาตมาเอง อาตมาเพิ่งมาถึงเมืองไทยเมื่อเช้านี้และได้บวชแล้วในวันนี้เอง ขอให้คุณกิจจา
โมทนาด้วยและสาเหตุที่ได้กลับก่อนกำหนด เนื่องจากอาตมาได้ทำความดีความชอบให้กับทางการซาอุดิฯ ทางการได้ปล่อยตัวและมอบเงินติดตัวกลับบ้าน ๒ แสนบาท
(เรื่องที่ท่านช่วยเหลือทางการซาอุดิฯ นั้น ท่านไม่ให้ข้าพเจ้าเปิดเผย)
ท่านบอกว่าต้องการจะไปกราบพบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าบอกว่าหลวงพ่ออยู่ที่ซอยสายลมและถ้าจะไปพบก็ขอให้ไปพบกันที่ซอยสายลมก็แล้วกัน ในที่สุดวันรุ่งขึ้น
ท่านก็ได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อ และถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ท่านบอกกับข้าพเจ้าว่าจะออกธุดงค์ไปทางพม่าและอาจจะเลยไปทางที่อินเดีย
ข้าพเจ้าก็ได้แต่อนุโมทนาและยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ที่ผลจากการที่ข้าพเจ้านำธรรมะที่หลวงพ่อสอนไว้ นำไปมอบให้เขาถึงในคุกไม่สูญเปล่า สมกับที่ข้าพเจ้าคอยให้กำลังใจมาถึง ๕ ปี
จวบจนบัดนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ข่าวคราวของท่านอีกเลย
คำอธิษฐานจากกลางทะเลทราย
ช่วงขณะที่ข้าพเจ้า ยังทำงานอยู่ที่ประเทศซาอุดิอารเบียขึ้นปีที่ ๕ ข้าพเจ้าถูกย้ายไปประจำหน่วยที่อยู่กลางทะเลทรายประมาณ ๕ เดือน
ไม่มีงานที่จะทำมากนัก ว่างๆ ข้าพเจ้าก็ภาวนาและพิจารณาไปตามเรื่องก็มาคิดว่า ตัวข้าพเจ้าเองที่ได้พบกับหลวงพ่อมาหลายปีแล้ว
แต่ไม่เคยปรากฏว่าหลวงพ่อท่านเรียกว่าลูกเพราะเท่าที่ข้าพเจ้าทราบ
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกๆ ของหลวงพ่อมาก่อน ก็คิดว่าถ้าหากเราเคยเป็นลูกของท่านมาในการเดินทางกลับไปพักร้อนที่เมืองไทยคราวนี้
ขอให้หลวงพ่อได้โปรดเรียกว่าลูกให้ชื่นใจสักครั้ง และขอให้หลวงพ่อได้โปรดเรียกต่อหน้าสาธารณชน คือท่ามกลางคนหมู่มาก ข้าพเจ้าอธิษฐานเช่นนี้
ขณะที่ข้าพเจ้ายังอยู่ที่ซาอุดิฯ
เมื่อครบกำหนดพักร้อน ข้าพเจ้าก็เดินทางกลับและตรงไปที่วัดทันทีหลังจากที่ลงจากเครื่องบิน ข้าพเจ้าจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันมาฆบูชา
หลวงพ่อท่านลงเทศน์ที่ตึกพระพินิจอักษร ที่อยู่ด้านซ้ายมือของโบสถ์ หลังจากที่หลวงพ่อท่านเทศน์เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็ตั้งใจที่จะนำปัจจัยที่บรรดาเพื่อนๆ
ฝากมากราบถวายหลวงพ่อประมาณ ๗ พันบาท ขณะที่ข้าพเจ้าเดินเข้าไป
มีข้าพเจ้าคนเดียว ประมาณ อีก ๑๐ เมตรจะถึงที่หลวงพ่อนั่งอยู่ หลวงพ่อท่านมองมาที่ข้าพเจ้าพร้อมกับพูดว่า อ้าวลูกชาย
มาถึงเมื่อไหร่ ลูก เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้น ข้าพเจ้าเกิดความปิติอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากถวายปัจจัยแด่หลวงพ่อเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าเดินกลับมาที่น้าชอ และน้าเชิญ และป้าน้อยนั่งอยู่
ทั้งสามท่านบอกว่า ตุ๋ยทำตัวให้ดีนะ หลวงพ่อท่านโปรดอย่างนี้แล้ว ทำตัวให้สมกับเป็นลูกของท่าน
นี่เป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งในหลายครั้งที่ข้าพเจ้าได้ประสบมา
ชีวิตนี้อุทิศแล้วเพื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
จากสภาพความเป็นอยู่ในซาอุดิฯ มองไปทางไหนมีแต่ทะเลทรายและสิ่งก่อสร้าง ไม่มีสิ่งเริงรมย์ใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้คนไทยหลายคนเป็นโรคประสาทและคลุ้มคลั่ง
บางคนเกิดอาการหลอนทางประสาทถึงกับแก้ผ้าแก้ผ่อน วิ่งไปทั่วแคมป์ก็มี ต้องถูกส่งตัวกลับ มีเพื่อนร่วมงานที่ทำอยู่บริษัทเดียวกับข้าพเจ้า
พอขึ้นปีที่ ๕ คลุ้มคลั่งต้องส่งกลับเช่นเดียวกัน สุดท้ายมีคนไทยเพียงคนเดียวคือข้าพเจ้าที่เหลือยู่กับบริษัทนี้ ข้าพเจ้าเอง ถ้าไม่ได้พบหลวงพ่อก่อน
คงจะมีอาการเหมือนกับเพื่อนเหล่านั้นบ้างเหมือนกัน ช่วงที่ข้าพเจ้าต้องทนกับสภาพเช่นนั้นข้าพเจ้าได้อาศัยคำสอนของหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง
โดยพยายามปฏิบัติตามเท่าที่ตนเองจะสามารถทำได้
ยามปกติ ข้าพเจ้าจะยึดถือด้านสังคหวัตถุ และในด้านอุปกิเลส ก็ไม่พยายามไปยุ่งกับเรื่องของใคร
ถึงจะต้องทำงานกับคนต่างชาติก็อาศัยพรหมวิหารสี่เข้าช่วย เห็นใครเป็นมิตรทั้งหมด ในด้านของศีล ทางซาอุฯ ก็ไม่มีสิ่งยั่วยุอะไร และโดยเฉพาะในด้านของบารมี ๑๐
ข้าพเจ้าจับทานบารมีขึ้นเป็นเบื้องหน้า หลวงพ่อสอนไว้ว่าขณะที่เราสร้างทานบารมีอีก ๙ อย่างก็ตาม
และทุกครั้งที่ทำความดี ก็คิดว่าเราทำเพื่อพระนิพพาน ทุกครั้งที่ต้องทนทุกข์กับสภาพที่เป็นอยู่ ก็คิดว่าไม่ช้าเราก็ตายแล้ว เราอยากโง่เองที่มาเกิด
ฉะนั้นหน้าที่ใดที่เรามีเราจะทำ มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าป่วยหนักอยู่ดีๆ ถ่ายปัสสาวะไม่ออก เป็นตั้งแต่ตอนเช้าจนกระทั่งเย็น อาเจียน ปวดท้องและท้องอืด
ข้าพเจ้านำวัตถุมงคลทั้งหมดที่มีอาราธนาทำน้ำมนต์ดื่ม
จนกระทั่งค่ำก็ยังไม่ถ่ายปัสสาวะ ปวดจนทนไม่ไหว คิดว่าเราคงจะต้องตายคราวนี้แน่ ก็เลยจุดธูปบูชาพระกราบลาทั้งหมด นอนจับลมหายใจ และนึกถึงพระนิพพาน
ใจก็คิดว่าหลวงพ่อสอนว่านิพพานเป็นดินแดนแห่งความสุข ถ้าเราตายเราจะไปที่นั่น ความห่วงใดๆ ไม่มี ใจสบาย พอรู้สึกว่าเคลิ้มได้ยินเสียงบอกที่หูว่า
ไปโรงพยาบาลๆ ความปวดหายไป
แต่ยังถ่ายไม่ออก และอาเจียนอีก ข้าพเจ้าโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลพอถึงโรงพยาบาล หมอเอาเข้าเครื่องเอ๊กซเรย์ ปรากกว่าพบก่อนนิ่วที่ไต
จึงทำให้ปัสสาวะไม่ออก หมอบอกว่าจะต้องผ่าในตอนเช้าตอนเก้าโมง พอรู้ว่าจะต้องผ่า ข้าพเจ้าน้อมจิตอาราธนาบารมีทั้งหมดมีหลวงพ่อเป็นที่สุดว่า
อย่าให้ลูกต้องผ่าเลย อย่างไรแล้วขอให้ปัสสาวะออก
เมื่อลูกกลับถึงเมืองไทยแล้วจะไปถวายสังฆทานที่วัดทันที ข้าพเจ้าถูกให้น้ำเกลือหลายขวด ปรากฏว่าตกตอนกลางคืน
ประมาณเที่ยงคืนข้าพเจ้าฝันเห็นหลวงปู่ปานและหลวงพ่อ และตกใจตื่น รู้สึกปวดปัสสาวะและสามารถถ่ายปัสสาวะออกไปตามปกติ ตอนเช้าหมอเอ๊กซเรย์อีก
หาก้อนนิ่วไม่เจอ ข้าพเจ้าโชคดีที่ไม่ต้องผ่าท้อง
ก็เนื่องด้วยบารมีพระทุกๆ องค์และหลวงพ่อเป็นที่สุด ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้พบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าอาจจะตายไปแล้ว หรือไม่ก็อยู่ในคุก
เพราะข้าพเจ้าเป็นคนใจร้อนคำสอนต่างๆ ที่ได้รับจากหลวงพ่อ ทำให้ข้าพเจ้าเลือกจุดหมายปลายทางว่าเมื่อสิ้นลมแล้วจะไปที่ไหนและมั่นใจว่าทานมัย ศีลมัย
และภาวนามัยเท่านั้นที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เกิดอีกก็ทุกข์อีก
เป็นเทวดาก็ดี พรหมก็ดีก็ยังไม่สิ้นทุกข์ ขอติดตามหลวงพ่อดีกว่า ดังนั้นสิ่งใดที่ข้าพเจ้าจะกระทำได้เพื่อเป็นการสนองพระคุณท่าน
ข้าพเจ้าก็พร้อมเสมอที่จะกระทำ ทุกวันนี้ พี่วิวิฒน์ พี่วิชัย และข้าพเจ้าต่างก็ได้ถวายการนวดแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ อันเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงกตเวทิตา
นอกเหนือจากการปฏิบัติตามคำสอนของท่าน หลวงพ่อเคยถามข้าพเจ้าว่า เอ็งไม่เหนื่อยหรือ
เพราะบางครั้งข้าพเจ้าจะติดตามไปถวายการนวดที่วัดพร้อมด้วยพี่วิวัฒน์และพี่วิชัยแล้วกลับมาที่ซอยสายลม ข้าพเจ้ากราบเรียนให้ท่านทราบในใจว่า
ไม่เหนื่อยหรอกขอรับ เพราะลูกทั้งสามได้มอบกายถวายชีวิตแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อแล้ว
ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 10/11/11 at 12:46
18
ปลูกมะม่วงในโอ่งซิ
แม่เล็ก แซ่เฮ้ง
ดิฉันเป็นคนจังหวัดอุทัยธานี แต่ก่อนญาติดิฉันชื่อ คมสัน กิจสะอาด หรือเปี๊ยก อยู่อำเภอมโนรมย์ (ปัจจุบัน ย้ายไปขายผักอยู่ จ.เชียงใหม่
เวลาวัดท่าซุงมีงาน เขาก็จะส่งผักมาถวายหลวงพ่อเป็นคันๆ รถเสมอ) เปี๊ยกได้มาบอกดิฉันว่า เจอหลวงพ่อ ดูหมอแม่นมาก
ก็เลยพากันไปหาท่าน ตอนนั้นเป็นปี พ.ศ.๒๕๐๕ หลวงพ่ออยู่วัดโพธิ์ศรี
ดิฉันศรัทธาท่านที่เป็นพระหมอดูทางใน น้ำมนต์ท่านก็ศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้หลายอย่างและสำหรับค้าขายดีอีกด้วย
จึงพากันไปให้ท่านดูทางในให้ ท่านบอกว่า ชีวิตจะลำบากหน่อย แต่ไปสบายทีหลัง ต่อมาได้นิมนต์หลวงพ่อมาฉันเพลที่บ้าน
ขณะนั้นเป็นห้องเช่าเล็กๆ อยู่ ค่าเช่าสมัยนั้นเดือนละ ๕๐ บาทเท่านั้นเอง ต่อมาก็นิมนต์หลวงพ่อมาฉันเพลอีก
เมื่อท่านฉันเสร็จแล้วขณะนั่งสนทนากันอยู่ ท่านก็มองไปทางฝั่งตรงกันข้ามกับบ้านที่ดิฉันอยู่ ก็คือบ้านเจ้าของบ้านที่ดิฉันเช่าเขาอยู่
ท่านมองไปเห็นโอ่งมังกร เขาตั้งขายเป็นแถว หลวงพ่อก็เอ่ยขึ้นว่า โยมเป็นเถ้าแก่ไม่ดีนะ ปลูกมะม่วงในโอ่งซิ มีกินทั้งปี
พอได้ฟังก็สะดุ้ง เพราะตอนนั้นดิฉันมีหุ้นโรงสีและโรงไม้
คำพูดที่ได้ยินจากหลวงพ่อ ทำให้อดคิดแปลกใจไม่ได้ว่า ที่หลวงพ่อพูดเป็นนัยๆ เช่นนี้ คงจะมีเหตุอะไรไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่า
จึงคิดว่าโรงสีอาจจะเจ๊งก็ได้ จากนั้นอีกปีกว่าเท่านั้นกิจการก็เจ๊งหมด แทบไม่มีอะไรติดตัวเลย หลวงพ่อพูดให้ฟังภายหลังว่า ท่านรู้มาก่อนว่ากิจการจะเจ๊ง
แต่ไม่อยากบอกดิฉัน พอดิฉันเจ๊งหมดตัวแล้ว
หลวงพ่อบอกว่า บ้านที่เช่าเขาอยู่นั้น เจ้าที่แรง ถ้าไม่ตั้งศาลจะขาดทุน หาได้จะไม่เหลือ เวลามาอยู่ทีแรกไม่ได้บอกเจ้าที่เขา
ดังนั้น หลวงพ่อท่านได้เมตตามาตั้งศาลพ่อปู่ ให้ดิฉันทำเป็นหิ้งให้ท่านอยู่ในบ้าน ตั้งไว้ในห้องพระ ท่านบอกว่าให้ถวายบุหรี่พ่อปู่
และถ้าร่ำรวยขึ้นมา ให้ถวายหมูหันพ่อปู่ นอกจากนี้หลวงพ่อได้ทำน้ำมนต์ใส่โอ่งใหญ่ให้เลย
ทำให้มีน้ำมนต์ไว้ใช้ได้ตลอด เมื่อชีวิตตกยากเช่นนี้ ก็มาคิดใคร่ครวญคำพูดหลวงพ่อว่า ปลูกมะม่วงในโอ่งซิ จะมีกินทั้งปี
ก็นำมาคิดว่า จะปลูกมะม่วงยังไงจึงจะมีกินทั้งปี ก็มาคิดว่าต้องดองมะม่วงใส่ไหไว้ให้เต็ม เมื่อเต็มก็ย้ายใส่ในโอ่ง ก็เลยดองมะม่วงทั้งปี ดองไว้ขาย
ก็มีมะม่วงกินทั้งปีตามคำที่หลวงพ่อพูดไว้
จึงเริ่มมีอาชีพขายมะม่วงดอง จากคำแนะนำที่หลวงพ่อได้ชี้ช่องทางให้ไว้ และก็ทำตลอดมาจนถึงบัดนี้
ตอนนั้นถ้าไม่ได้หลวงพ่อเมตตาสงเคราะห์ต้องแย่เลย เพราะเมื่อกิจการเจ๊งหมด แม้แต่ข้าวสารก็ต้องซื้อมาทีละลิตร ต้องต้มเป็นข้าวต้มกิน
เพื่อจะได้มีกินไปได้หลายๆ วัน ต้องอยู่อย่างแร้นแค้น ปีแรกก็ดองมะม่วง ๓๐ ไหก่อน ผลปรากฏว่าขายดีมาก
ก็เลยดองให้มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมา ไปขอให้หลวงพ่อตั้งชื่อร้านให้ หลวงพ่อบอกว่า หลวงปู่ปานท่านมาบอกให้ชื่อร้านว่า มะม่วงเศรษฐี
หลวงพ่อยังเจิมป้ายให้อีกด้วย เมื่อมาแล้วก็ไม่กล้าไปติดที่หน้าร้าน เพราะว่าฐานะดิฉันยากจนมาก มันตรงข้ามกับป้าย ดิฉันอายคนอื่นเขา
จึงเอาป้ายไปตั้งไว้ในห้องพระที่บ้าน
ดิฉันจัดห้องพระโดยเฉพาะ ๑ ห้อง ในนั้นมีแต่พระและวัตถุมงคลของหลวงพ่อ ปรากฏว่ามะม่วงขายดีมาก จนไม่พอขาย และก็ขายดีเพิ่มขึ้นทุกปี
เมื่อครอบครัวดิฉันมีปัญหาอะไรก็มักจะไปหาหลวงพ่อบ่อยๆ ท่านก็ให้คำแนะนำที่ดีเสมอ และให้แสงสว่างแก่ครอบครัวดิฉันเสมอมา
หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสะพาน จังหวัดชัยนาท
ดิฉันก็ตามไปหาหลวงพ่ออีก พอดิฉันกลับจากไปพบหลวงพ่อไม่กี่วัน หลานสาวของดิฉันก็ป่วยเป็นไข้เลือดออก ไข้เลือดออกได้ระบาดทั่วจังหวัดอุทัยธานี มีเด็กๆ
ตายกันหลายคน ดิฉันก็นำหลานสาวไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด รักษาอยู่หลายวัน อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย ดิฉันก็นั่งปรึกษากับลูกสาว
ซึ่งเป็นแม่ของเด็กว่า จะเอาอย่างไรกันดี
ดิฉันก็นึกถึงหลวงพ่อขึ้นมาได้ ก็จัดแจงให้ป้าของเด็กซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของดิฉันมาเฝ้าหลาน ดิฉันก็ไปหาหลวงพ่อที่วัดสะพาน จังหวัดชัยนาท
สมัยนั้นทางสัญจรไปมาก็ยังไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ พอไปถึงหลวงพ่อก็ถามว่า มาอย่างไรเล่าโยม
ดิฉันก็ก้มลงกราบท่านแล้ว ก็เล่าให้ท่านฟังว่า หลานสาวของดิฉันป่วยเป็นไข้เลือดออก รักษาเท่าไรอาการก็ไม่ดีขึ้นเลย
แล้วหลวงพ่อท่านก็นั่งหลับตาอยู่สักครู่หนึ่ง ท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไร เอาน้ำมนต์ไปกินก็หาย พอท่านบอกอย่างนั้น
ดิฉันก็ลาท่านกลับ แล้วเอาน้ำมนต์ที่ท่านให้มาให้หลานสาวกิน หลังจากกินน้ำมนต์ที่หลวงพ่อให้มา อาการไข้เลือดออกของหลานสาวก็ดีขึ้น
และต่อมาก็ออกจากโรงพยาบาลได้ หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ย้ายวัด
จนกระทั่งผลที่สุดมาอยู่ที่วัดท่าซุง สร้างเสียใหญ่โตดังที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ก่อนดิฉันไม่มีรถยนต์เป็นของตนเอง
หลวงพ่อเอ่ยปากบอกให้ยืมรถวัดมาขนของไปขายที่หน้าวัดท่าซุง ดิฉันก็ไม่กล้า หลวงพ่อบอกดิฉันว่า ปีหน้าจะมีรถเป็นของตนเอง
พอปีนั้นได้กำไรแสนสองหมื่นบาท ก็ซื้อรถยนต์เป็นของตนเอง สมจริงตามที่หลวงพ่อพูดไว้
ดิฉันเช่าบ้านราคาถูกๆ อยู่ ไม่คิดจะมีบ้านเป็นของตนเอง คิดว่าจะซื้อรถสิบล้อ แล้วขายมะม่วงดองเร่ร่อนไปเรื่อยๆ แต่หลวงพ่อเตือนว่า แม้นกยังมีรังอยู่เลย เราจะไม่มีรังอยู่จะได้หรือ เมื่อประมาณ ๙ ปีที่แล้วดิฉันจึงซื้อที่ดินแสนสองหมื่นบาท
และปลูกบ้านรวมแล้วประมาณหกแสนบาท จึงทำให้มีบ้านเป็นของตนเองขึ้นมา
ถ้าดิฉันไม่เจอหลวงพ่อ ก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปในรูปไหน ก็ติดตามหลวงพ่อมา ๒๘ ปี เพราะได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อ จึงยึดอาชีพมะม่วงมาตลอด
และก็พบความเจริญก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ เสาร์อาทิตย์ก็ให้ลูกและหลานสาวนำมะม่วงดองมาขายหน้าวัดท่าซุงเป็นประจำ พอหลวงพ่อเข้าไปสอนพระกรรมฐานที่ซอยสายลม
ก็เอามะม่วงเข้าไปขายตรงปากซอยเข้าบ้านซอยสายลม (บ้านพล อ.ท.ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์) มีลูกและหลานสาวไปช่วยกันขาย มีหลานสาวคนนี้คนเดียวชื่อ อ้อย
หลวงพ่อพูดว่า อ้อย ขายข้าวแกงก๊อกแก๊กรวยนะ จากนั้นอีกหกเดือน เวลาหลวงพ่อเข้ามาสอนพระกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม
ก็เอาข้าวแกงมาขายดังที่หลวงพ่อเคยแนะนำไว้
ซึ่งขายดีทุกเดือน เมื่อหลวงพ่อเข้าไปสอนพระกรรมฐานที่นั่นเดือนละ ๔ วัน ดิฉันก็ตามไปขายของที่ปากซอยบ้านสายลมรายได้ตกประมาณคราวละ ๒ ๓ หมื่นบาท
และลูกน้องไปช่วยกันประจำคราวละ ๑๐ กว่าคน ขายดีทั้งมะม่วงดองและข้าวแกง เมื่อคราวที่หลวงพ่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น
พระราชพรหมยาน เมื่อวันที่ ๕ ธ.ค. ๒๕๓๒ นั้น
หลวงพ่อพักอยู่ที่บ้านซอยสายลม ลูกดิฉันก็เข้าไปขายของที่นั่นอีกตามเคย วันที่ ๗ ธ.ค. ๒๕๓๒ ตรงกับวันพฤหัส ลูกและหลานกำลังตั้งเต็นท์ขายของอยู่ อยู่ๆ
หลวงพ่อก็ออกมาเยี่ยมที่ร้าน ไปถึงท่านก็พูดกับพระครูปลัดอนันต์ว่า เอาตรงไหนดี แล้วหลวงพ่อก็พูดว่า
เอาตรงนี้ดี (ตรงเสาไฟ) แล้วหลวงพ่อก็ยืนหลับตาสักครู่หนึ่ง
พอลืมตาขึ้นมา ก็พูดว่า ต่อไปนี้รวย แล้วหลวงพ่อก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ เดินออกกำลังเท้าเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย
ตั้งแต่วันนั้นมาที่ร้านขายของดีมากตลอดมา นับได้ว่า หลวงพ่อได้แนะนำและให้ความเมตตาอย่างสูงต่อดิฉันตลอดมา
ตั้งแต่ดิฉันยากจนถึงขนาดหมดเนื้อหมดตัวต้องซื้อข้าวเขากินทีละลิตร มาทำเป็นข้าวต้มกิน เพื่อให้กินได้หลายๆ วัน
จนเดี๋ยวนี้มีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ขึ้น มีรายได้ดีจึงมีเงินมาทำบุญกับหลวงพ่อเรื่อยๆ ปีแรกๆ ดองมะม่วงแค่ปีละ ๓๐ ไห
เดี๋ยวนี้ก็ดองมะม่วงไว้ตลอดปี ประมาณ ๑,๒๐๐ ๑,๕๐๐ ไห ปริมาณก็นับว่าสูงขึ้นมาก เสาร์อาทิตย์ก็มาขายที่หน้าวัดท่าซุง
เวลามีงานเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุง ดิฉันให้ลูกและหลานสาวมาขายได้คราวละ ๔ ๕ หมื่นบาท
และที่วัดท่าซุงก็มีงานที่มีผู้คนเยอะแยะอยู่เสมอ จึงทำให้ชีวิตครอบครัวดิฉันมีกินมีใช้จ่ายคล่องตัวขึ้นเรื่อยๆ
นี่เป็นเพราะพระคุณหลวงพ่อที่มีความเมตตาต่อครอบครัวดิฉันจริงๆ นับจากความไม่มีอะไรจนกระทั่ง บัดนี้มีชีวิตสบายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เวลานี้ดิฉันก็อายุ ๗๕
ปีแล้ว ดิฉันภูมิใจที่ได้พบหลวงพ่อ และได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อเสมอมาเป็นเวลาเกือบ ๓๐ ปี
หลวงพ่อแนะนำว่าให้ทำอย่างไร ก็ทำไปตามนั้น และก็ได้ดีก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นจริงตามที่หลวงพ่อเคยบอกไว้ตั้งแต่แรกพบว่า
ชีวิตจะลำบากก่อน แล้วจะสบายทีหลัง ทุกคนในครอบครัวก็เคารพศรัทธาในองค์หลวงพ่อ ถือว่าท่านมีพระคุณต่อทุกคนในครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง
อยากให้หลวงพ่อมีอายุยืน เพื่อเป็นร่มโพธิ์แก้วไปได้อีกนานๆ
ดิฉันถือว่ามีบุญที่ได้พบหลวงพ่อและได้เป็นลูกศิษย์ผู้หนึ่งมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ll กลับสู่สารบัญ
19
พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีพระคุณเป็นที่หนึ่งในโลกของลูก
สรรเสริญ รัตนอนันต์
ตอนที่คณะจัดทำหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก ถวายบูชาพระคุณเนื่องในงานสมโภชน์สมณศักดิ์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๓
ดิฉันอยู่ต่างจังหวัด จึงพลาดโอกาสเขียนความประทับใจ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีความเมตตามหากรุณาธิคุณ ต่อดิฉันในเล่มแรก
ดิฉันได้เป็นลูกศิษย์ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ปี ๒๕๑๓ ได้มีโอกาสนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อแทบทุกครั้งที่ พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม
ศุขสวัสดิ์ และคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา นิมนต์มาที่บ้านของท่าน ที่ซอยสายลม เนื่องด้วยเรารักใคร่นับถือสนิทสนมกันมาตั้งแต่เกิด
นับว่าดิฉันเป็นผู้มีโชคดีที่มีกัลยาณมิตรโดยกำเนิด
วันแรกที่นมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้ขึ้นพระกรรมฐานและปฏิบัติธรรมเลย เมื่อออกจากกรรมฐานแล้ว
พระเดชพระคุณหลวงพ่อถามดิฉันว่า ป้าเห็นอะไรไหม
ดิฉันนมัสการว่า เห็นพระสงฆ์เจ้าคะ แต่เกรงว่าจะเป็นอุปาทาน
พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้กำลังใจว่า นั่นแหละของจริงละ ห้ามสงสัย ความสงสัยเป็นความเลวระยำทำให้ตัดรอนความดี
ดิฉันเคยร้องไห้ต่อหน้าพระพุทธรูปเสียใจที่เกิดมาเป็นหญิง ไม่มีโอกาสได้บวชได้เรียนเหมือนผู้ชาย เมื่อได้เป็นลูกศิษย์พระเดชพระคุณหลวงพ่อแล้ว
ทำให้ดิฉันเข้าใจความจริงว่า
ไม่ว่าผู้ชายผู้หญิงมีโอกาสทำความดีความเพียรให้พ้นทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้เหมือนกันหมด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ขอเพียงมีครูดีรู้จริงสอนตรงจุดศิษย์ตั้งใจจริง คำสอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ให้ดิฉันภาวนาว่า พุทโธ และพิจารณาว่าต้องตายแน่ๆ
๑ ปี พอครบ ๑ ปี ดิฉันได้นมัสการว่า ครบปีแล้วเจ้าคะ
พระเดชพระคุณถามว่า รู้ว่าตายแน่หรือยัง พอดีก่อนที่จะไปนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อวันนั้นดิฉันไม่สบายเกือบตาย
ตั้งสติว่าจะตายก็ไม่ว่า ขอได้นมัสการก่อน นอนภาวนาไปจนมีแรง จึงได้มานมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จึงนมัสการว่า
ลูกก่อนที่จะมานี้ก็เกือบตายแล้วเจ้าคะ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่า ดี ต่อไปให้ภาวนา นิพพานังๆ
นานมาแล้วเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาที่บ้านซอยสายลม ดิฉันนั่งฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อคุยธรรมะกับลูกศิษย์ในห้องรับแขก ดิฉันฟังด้วยการรักษาใจไม่ให้ออกนอก
ตั้งใจฟังด้วยความเคารพยิ่ง
พระเดชพระคุณหลวงพ่อหันมาทักดิฉันว่า ป้านั่งเป็นฤาษีเชียวนะ ท่านยิ้มแล้วบอกว่า อารมณ์สบายๆ
อย่างนี้แหละไปนิพพานได้ ดิฉันจึงชอบรักษาอารมณ์อย่างนี้ไว้เสมอ เพราะขอไปแค่พระนิพพานไม่เลยไปกว่านั้น
เมื่อรู้อารมณ์พระนิพพานแล้ว ดิฉันยังร้องไห้ต่อหน้าพระพุทธรูปอีกว่า ทำไมจึงโง่เง่าอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เคยเกิดในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม
ทำไมดิฉันจึงยังมาเกิดอยู่อย่างนี้ โง่มากก็ร้องไห้บ่อย ทางครอบครัวไม่มีปัญหาทำให้คับแค้นใจถึงร้องไห้
ตอนที่ดิฉันไปเที่ยวยุโรปเลยไปอยู่กับลูกสาวที่สวีเดนหลายเดือน ได้ขอยืมเทปธรรมของน้องอัญเชิญ มณีจักรไปฟัง
ชุดปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ฟังถึง ตอนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อลาพุทธภูมิ
ดิฉันร้องไห้เป็นการใหญ่ ดีใจที่จะได้ติดตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ ที่คิดว่าตัวเองโง่เง่านั้นหายไป
เพราะที่ยังเวียนตายเวียนเกิดอยู่นี้ เป็นว่าได้เคยปรารถนาที่จะเป็นพุทธสาวกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ความเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อมากมายพรรณนาเท่าไรไม่จบ แม้ลูกศิษย์จะไปอยู่ที่ไหนไม่ว่าไกลใกล้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อส่งโทรจิตติดตามสั่งสอนสม่ำเสมอ
ครั้งหนึ่งที่สวีเดนดิฉันนิมิตเห็นงูตัวใหญ่มากซึ่งเกิดมาไม่เคยเห็นใหญ่อย่างนี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่า นั่นแหละพญานาคเป็นเทพประเภทหนึ่ง
คนไม่มีตาทิพย์จะมองไม่เห็น
เมื่อปี ๒๕๑๕ คืนหนึ่งก่อนปฏิบัติพระกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม ขณะนั้นลูกศิษย์ยังไม่มากเหมือนทุกวันนี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อถามดิฉันว่า ป้าแหวดช่วยสร้างบ่อน้ำเป็นทานสักบ่อหนึ่งไหม ที่บางสะพานใหญ่ขัดสนน้ำจืดไว้ดื่มไว้ใช้ บ่อละ ๒,๐๐๐ บาท ดิฉันขอถวาย ๑
บ่อ ในวันนั้นมีผู้ถวายทั้งหมด ๑๘ บ่อ
ท่านอ๋อยบอกว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อต้องมีอะไรพิเศษกับพี่แหวดแน่ๆ เลย พอออกจากพระกรรมฐาน บอกว่า
อานิสงส์ที่ป้าแหวดสร้างบ่อน้ำเป็นทานในวันนี้นั้น ทำให้ไฟนรกดับเชียวนะ ถ้าป้าแหวดตายในวันนี้ ลูกหลานไม่นำเงินมาให้ก็ไม่เป็นไร
เพราะอานิสงส์ของป้าแหวดได้เต็มแล้ว
การที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อชักชวนให้ดิฉันสร้างบ่อน้ำเป็นทานนั้น ดิฉันคิดว่าคงจะเป็นการปิดอบาย
เพราะตอนหลังพระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกดิฉันอบายปิดแล้ว ดังนั้นเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อชักชวนผู้ใดทำบุญอะไรก็ตาม อย่าได้ลังเลใจ ขอให้รีบทำตามดีที่สุด
บางครั้งฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูดเหมือนเล่นๆ แต่ละคำพูดที่ออกมานั้นเป็นความจริงที่ต้องจดจำ และทำตามด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นห่วงลูกหลานลูกศิษย์ทั้งหลายทั้งมวลนี่แหละ พระคุณท่านจึงเหนื่อยยากลำบากสร้างวัดใหญ่โตทุกวันนี้นั้น
แม้พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ็บป่วยสู้ทน เพราะความเมตตาที่มีต่อพวกเรา เพื่อให้พวกเราเข้าถึงพระนิพพานกันสบายๆ
อีกหลายปีต่อมาดิฉันนัดน้องให้มารับที่บ้าน จะไปสำนักปฏิบัติที่ลำปาง เวลา ๑ ทุ่ม พอดีมีคนนำกระเทียมสดมาให้ก่อน ๖ โมงเย็น
จำเป็นต้องตัดต้นตัดรากแช่น้ำปูนใสทิ้งไว้ ๑ คืน จึงจะดองได้กรอบ
ความรีบเร่งเพื่อจะให้เสร็จทันตามที่นัดไว้ กระเทียม ๕ ๖ ก.ก. ดิฉันเสร็จก่อนเวลาทำให้มือร้อนจัด ล้างทายาว่าคาถาอย่างไรก็ไม่หาย
ไปถึงสำนักนั้นแล้วจึงนึกได้ว่า ความร้อนแค่พิษกระเทียมแค่นี้จะแค่ไหนเชียว อานิสงส์ที่เคยถวายบ่อน้ำกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานไฟนรกยังดับเลย
จึงตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์และพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า ถ้าอานิสงส์ที่ลูกได้ถวายบ่อน้ำเป็นทางทำให้ไฟนรกดับมีจริง
ขอให้ไฟพิษของกระเทียมจงหาย พอสิ้นคำอธิษฐานความร้อนที่มือหายทันที เหมือนปลิดทิ้ง
ผู้มีพระคุณต่อดิฉันนั้นมีมากมายตั้งแต่เกิดยังเป็นรอง พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ดิฉันจึงพูดได้เต็มปากว่า
พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีพระคุณเป็นที่หนึ่งในโลกของลูก
ll กลับสู่สารบัญ
20
อารมณ์พระนิพพาน
คัทริน ตัณฑ์ไพบูลย์
ดิฉันได้เข้ามาศึกษา ฝึกสมาธิและทำบุญในพระพุทธศาสนาหลายปี ก่อนได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร)
วันหนึ่งมีความรู้สึกว่า จิตใจสดชื่นเบิกบานเป็นพิเศษตลอดวัน จึงได้พิจารณาว่า ได้รับหรือได้พบผู้ใดที่เป็นต้นเหตุ ก็ไม่มี
ในตอนบ่ายมีเพื่อนรุ่นพี่มาพบที่บ้านและชวนไปถวายสังฆทานเนื่องในวันขึ้นบ้านใหม่
และพระที่จะมารับสังฆทานในวันพรุ่งนี้นั้น คือ หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร
ก็เลยถึงบางอ้อเพราะหลังจากที่ดิฉันได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานแล้ว อธิษฐานก่อนนอนทุกคืน
หากหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ขอให้ได้พบสักครั้งเถิด หลังจากที่ได้พบหลวงพ่อที่บ้านพี่ไพฑูรย์แล้ว ดิฉันจึงได้มาฝึกสมาธิ
และทำบุญกับหลวงพ่อท่านตลอดมา
และยังได้มีโอกาสพาลูกติดตามหลวงพ่อ ไปกราบพระสุปฏิปันโนทางภาคเหนือ ในสายของหลวงพ่ออีกหลายครั้ง นับเป็นบุญของดิฉันและลูกๆ
อย่างยิ่ง และพวกเราที่เป็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ต่างก็พูดเหมือนๆ กันว่า
ความรู้สึกเคารพและประทับใจของพวกเราที่มีต่อหลวงพ่อนั้นเกินกว่าจะหาคำมาบรรยายได้หมดสิ้น
ครั้งหนึ่งหลานโทรศัพท์มาบอกว่า ไฟไหม้บ้านคุณแม่สามี แต่ยังไม่ถึงเรือนครัว ดิฉันจึงรีบเอาผ้ายันต์แดงของหลวงพ่อมาจบ
นึกเอาผ้ายันต์เป็นผืนใหญ่คลุมเรือนครัวไว้ ขอบารมีคุณพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ และบารมีของหลวงพ่อ ขอให้ไฟหยุดแค่เรือนครัว
เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งที่ไฟหวนกลับไปทางต้นเพลิง เหลือครัวไว้ให้จริง
อีกครั้งหนึ่งมีพระทำนายว่า ลูกชายคนโตจะได้รับอุบัติเหตุจากการขับรถ ให้ระวังให้ดี และควรไปตัดวิบากเสีย แต่ลูกชายไม่ยอมทำอะไรทั้งสิ้น
ดิฉันเป็นทุกข์มาก ในที่สุดจึงได้ไปพึ่งบารมีหลวงพ่อ ถวายสังฆทานพร้อมกับอธิษฐานว่า หากยับยั้งอุบัติเหตุไม่ได้ ก็ขออย่าให้ลูกได้รับบาดเจ็บและบุคคลอื่นๆ
ด้วย ถ้าจะต้องเสียของไม่เป็นไร
หลังจากนั้น ๑ เดือน ลูกขับรถขึ้นฟุตปาท ตรงป้ายรถเมล์พอดี ชนถูกเก้าอี้หินสำหรับคนรอรถประจำทาง ล้อรถหน้าแบะพับลงทั้งสองข้าง หน้าหม้อพัง
ประตูปิดไม่ได้ แต่ตัวลูกชายไม่บาดเจ็บเลย และที่ป้ายรถก็ไม่มีใครสักคน พระคุณครั้งนี้ดิฉันจะไม่ลืมเลย นับแต่ได้มาเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ
มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากหลาย ล้วนเป็นพระคุณและประทับใจทุกเรื่อง
เพื่อนๆ พี่ๆ น้องที่เป็นศิษย์เดียวกัน ต่างก็จะพูดเหมือนกันทุกคนว่า ความประทับใจและความเคารพของพวกเราที่มีต่อหลวงพ่อนั้น
ไม่สามารถจะหาถ้อยคำมาบรรยายได้ แต่ที่ประทับใจที่สุดคือ เมื่อข้าพเจ้าป่วยหนัก ใครๆ คิดว่าไม่รอดแล้ว เวลานั้นหายใจลำบาก เหนื่อยมาก
ได้แต่กำหนดลมหายใจและภาวนาพุทโธเท่านั้น จิตอยู่กับการหายใจแนบแน่นมาก
ไม่คิดถึงใครเลยและไม่สามารถพิจารณาธรรมะข้อใดๆ ได้เลย คุณหมอได้พยายามรักษาดิฉันสิบกว่าวันจึงค่อยสบายขึ้น
แล้ววันหนึ่งดิฉันเห็นหลวงพ่อนั่งอยู่ตรงหัวนอนของดิฉัน ในชุดพระนิพพานสวยมาก ข้างหน้าดิฉันมีพระอีกหลายองค์ ล้วนอยู่ในชุดพระนิพพานสวยงามทุกองค์
ในใจดิฉันขณะนั้นมีความสุขอย่างยิ่ง ไม่มีเยื่อใยในโลกมนุษย์
พร้อมกับคิดว่าวันนี้เวลานี้ ถ้าหมอฉีดยาให้ดิฉันเกินขนาดก็ดี จะได้ไปเสียเลยในวันนี้ แต่ดิฉันได้รู้และเห็นตัวอย่างเท่านั้น ดิฉันยังใช้กรรมไม่หมด
และยังทำบุญไม่พอ สักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลา เหตุการณ์นั้นคงจะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ถ้าดิฉันไม่ตั้งอยู่ในความประมาท
หมายเหตุ จากหนังสืองานศพ ท่านคัทริน ตัณฑ์ไพบูลย์
ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 21/11/11 at 14:22
21
บุญใหญ่ที่ได้พบหลวงพ่อ
จุฑามาศ กัญจนานนท์
ดิฉันโชคดี ที่เกิดมาในแวดวงของพระพุทธศาสนา แต่น่าเสียดายที่ดิฉันรู้จักศาสนาพุทธแค่เพียงสวดมนต์ไหว้พระใส่บาตรตอนเช้า
ทำบุญในวันพระและวันสำคัญเท่านั้น การรักษาศีลยังไม่ปรากฏในความคิด มีเพียงจำได้ว่าศีล ๕ มีอะไรบ้าง
ยิ่งคำว่าพระอรหันต์ยิ่งแทบจะกล่าวได้ว่าไม่เคยได้ยินเลย
รู้จักแต่พระโสดาบัน เพราะมีคนเขาพูดกันบ่อย ดิฉันยังคิดว่าพระโสดาบัน ก็คือพระอรหันต์ด้วยซ้ำไป ในช่วงที่ดิฉันทำงานเอกชน ดิฉันมีความทุกข์มาก
ทุกข์จากความอิจฉาริษยาของเพื่อนร่วมงาน ทุกข์จากนายจ้างคอยจับผิด ทุกข์จากสุขภาพไม่ค่อยดี ความทุกข์มันประดังเข้ามาจนทรงตัวแทบไม่ไหว
ดิฉันเที่ยวแสวงหาพระเพื่อดับความทุกข์
หาหมอดูเพื่อความสบายใจ แต่ดิฉันไม่เคยสมความปรารถนาดังที่ตั้งใจไว้ ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยนงาน ในปี พ.ศ.๒๕๑๗
ดิฉันเข้ารับราชการเป็นครั้งแรกที่จังหวัดนครราชสีมา และในปีนี้เองประมาณเดือนพฤษภาคม คนข้างบ้านดิฉันได้นำหนังสือ
ประวัติหลวงพ่อปาน มาให้ดิฉันอ่าน ดิฉันบอกเขาว่าขอเวลาอ่าน ๑ เดือน
เพราะหนังสือพระดิฉันมักจะอ่านแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่เสมอ แต่ดิฉันก็ต้องประหลาดใจที่หนังสือเล่มนี้อ่านแล้วไม่อยากวาง
มีเรื่องราวชวนให้ติดตามอย่างน่าทึ่งมาก ดิฉันใช้เวลาอ่านเพียง ๒ วันเท่านั้นก็จบ เมื่ออ่านจบแล้วอยากโลดแล่นไปกราบหลวงพ่อ
อยากเห็นองค์ท่านและเกิดความรู้สึกขึ้นมาเองว่า หลวงพ่อผู้เขียนหนังสือนี้เป็นพระอรหันต์
แต่ท่านจะเป็นหรือเปล่าดิฉันก็ไม่ทราบ ดิฉันเกิดความปิติ อยากทำความดีทุกอย่าง เกรงกลัวความชั่ว และอยากฟังธรรมะของท่าน
และแล้วความคิดของดิฉันก็เป็นความจริง ดิฉันได้มีโอกาสกราบท่านคครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๑๗ ที่ซอยสายลม นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ดิฉันก็ได้ฟังธรรมและทำบุญกับท่านตลอดมาจนทุกวันนี้
ปกติดิฉันเป็นคนชอบพิสูจน์ ก่อนจะปักใจเชื่อสิ่งใดต้องมั่นใจว่าถูกต้องจึงจะเชื่อ และถ้าเชื่อแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนใจไม่เชื่อ
ดิฉันได้คำสอนของหลวงพ่อมาปฏิบัติปรากฏว่าบังเกิดผลอย่างอัศจรรย์ ทำให้ความทุกข์ที่ค้างอยู่ในใจสลายตัวเอง และพร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาต่างๆ
ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ยังได้พิสูจน์บุญที่ทำกับหลวงพ่อด้วย
ครั้งแรกที่ดิฉันทดลอง คือ มีเพื่อนร่วมงานชายรุ่นพี่คนหนึ่งกับเพื่อนของเขาอีกหนึ่งคน เป็นบุคคลที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องผู้หญิงมาก จนได้สมญาว่า
เสือผู้หญิง ดิฉันเป็นเหยื่อรายหนึ่งที่เขาหมายจะขย้ำ แต่มีคนเตือนดิฉันก่อนแล้ว ถึงแม้ดิฉันจะทราบเรื่องราวของเขา
แต่ดิฉันก็ไม่เคยแสดงออกให้เขารู้ว่าดิฉันรู้เรื่องความประพฤติของเขา
วันหนึ่งเขาชวนดิฉันไปรับประทานอาหารกลางวัน ดิฉันปฏิเสธเพราะรับประทานเรียบร้อยแล้ว เขาขอเปลี่ยนเป็นอาหารเย็น ดิฉันก็ปฏิเสธอีก
เพราะไม่ได้รับประทานอาหารเย็น ดิฉันเกรงว่าเขาจะจับได้ว่าดิฉันไม่ต้องการไปกับเขา ดิฉันจึงขอเป็นโอกาสหน้า
ด้วยความกลัวว่าถ้าโอกาสหน้ามาถึงดิฉันจะปฏิเสธอย่างไร
จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์จริง บุญที่เราทำกับหลวงพ่อแม้จะน้อยนิด แต่ก็ได้มากและคงจะช่วยเราได้
เมื่อสวดมนต์ไหว้พระดิฉันอธิษฐานว่า ขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และหลวงพ่อ
ตลอดจนบุญกุศลที่ได้ทำมาแล้วในอดีตและกับหลวงพ่อในปัจจุบัน
จงช่วยดลใจให้ชาย ๒ คนนี้เกิดความเมตตาสงสารลูก ที่ลูกพลัดถิ่นมา ขอให้รักลูกอย่างน้องสาว และอย่ามายุ่งเกี่ยวกับลูกอีกเลยด้วยเถิด
เป็นที่น่าอัศจรรย์ ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งชาย ๒ คนย้ายไปอยู่ที่อื่น เป็นเวลา ๕ ปี เขาทั้งสองไม่เคยเข้ามาข้องแวะดิฉันอีกเลย มีอีกเรื่องหนึ่ง
เพื่อนสหายธรรมคนหนึ่งซึ่งทำบุญร่วมกับดิฉันเพียงแค่เดือนละ ๒๕ บาท
เมื่อคราวที่หลวงพ่อกรุณาให้แหนบทองไปแจกกับพวกสหายธรรม เพื่อนผู้นี้รับไปติดที่เสื้อด้วยความเคารพ
และติดเสื้ออยู่เป็นประจำทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งเธอมาเล่าให้ดิฉันฟังด้วยความตื่นเต้นว่า เมื่อคืนเธอนอนหลับไป
แต่ในความรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นไม่ใช่ฝัน เธอเห็นพี่สาวพี่เขยที่ตายไปแล้วมาหา มาชวนให้เพื่อนไปอยู่ด้วย
เพราะบ้านที่สร้างไว้ปลูกเสร็จแล้ว เธอจัดแจงเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋ากำลังจะเดินตามไป พอดีเห็นหลวงพ่อมายืนอยู่ ท่านถามว่า จะไปไหน
เธอบอกว่าจะไปอยู่กับพี่สาว ท่านบอกว่าอย่าไปเลย อยู่ที่นี่ดีแล้ว เพื่อนก็เชื่อท่านเก็บกระเป๋าไว้ที่เดิม แล้วสะดุ้งตื่น รู้สึกใจหาย
คิดว่าถ้าเมื่อคืนนี้ไปกับพี่สาวคงตายแน่ ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อที่มาห้ามไว้ จึงทำให้รอดมาได้
เธอซาบซึ้งในพระคุณและทึ่งในสิ่งที่ได้พบ เธอคิดว่าหลวงพ่อต้องมีอะไรพิเศษในองค์อย่างแน่นอน จึงมั่นใจในการทำบุญมากขึ้น
และเพิ่มการทำบุญกับหลวงพ่ออีก ๑๐ บาท เป็น ๓๕ บาท นี่เป็นเพียงเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ
จากประสบการณ์ที่ดิฉันได้ประสบพบมาจากการที่ได้ทำบุญกับหลวงพ่อแล้วมีอานิสงส์เพียงใด
และเมื่อดิฉันนำคำสอนของหลวงพ่อมาปฏิบัติ ทำให้ดิฉันคลายความทุกข์ลงไปมากและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจศาสนามากขึ้นด้วย ดิฉันรู้สึกปลื้มที่เกิดมาชาตินี้ แม้จะบุญน้อยในเรื่องทรัพย์สิน แต่ก็มีบุญใหญ่ที่ได้พบหลวงพ่อ
ซึ่งท่านได้โปรดเมตตาชี้ทางสว่างคือพระนิพพานแก่ดิฉัน
ll กลับสู่สารบัญ
22
หลวงพ่อคุ้มครอง
บูรณะ นุตาลัย
ดิฉันเป็นคนเกิดใกล้วัด และอยู่ใกล้วัดมาตลอดจนทุกวันนี้ เมื่อเด็กๆ เห็นแม่ใส่บาตรทุกวัน
วันพระเข้าพรรษาถ้าตรงกับวันอาทิตย์หรือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา โรงเรียนหยุดก็ถูกบังคับให้ไปเลี้ยงพระที่วัดกับแม่
คุณพ่อจะตามไปทีหลังเพื่อฟังเทศน์แล้วอยู่วัดจนเย็น หรือถ้ามีเทศน์กลางคืนก็จะอยู่ค้างที่วัดเลย
เมื่อโตขึ้นคุณพ่อก็ถือศีล ๘ ทุกวันพระ ต่อมาก็แยกบ้านไปปลูกหลังเล็กๆ ท้ายสวนอยู่คนเดียวและถือศีล ๘ ทุกวันมาจนถึงแก่กรรม
ความรู้สึกของดิฉันมีเพียงว่าเกิดมาเป็นคนไทย ต้องนับถือพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี รู้สึกว่าตอนเด็กๆ จนโตนั้น มีจิตใจอิจฉาริษยา
อยากมีอยากเป็นเหนือเพื่อนรุ่นเดียวกันทุกอย่าง
แล้วก็โชคดีหรือกุศลกรรมเก่าก็ยังไม่รู้ ได้มีโอกาสเท่าเทียม บางครั้งดีกว่าเพื่อนอยู่เสมอ เพราะพ่อแม่มีลูกผู้หญิงคนเดียว
และมามีอาชีพเป็นครูจึงต้องรักษาตัวให้ดูเสมือนเป็นคนดี ความจริงแล้วก็เหลวไหลไปตามโลกตามอารมณ์ คุณพ่อชอบไปเที่ยววัดที่มีพระดีๆ
ตามต่างจังหวัดกับคณะอุบาสก อุบาสิกาของท่าน
จนได้ไปเป็นศิษย์ของหลวงปู่เภา พุทธสโร วัดเขาวงกฎ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ได้พบท่านอาจารย์สงฆ์ พรหมสโร และหลวงปู่บุดดา ถาวโร
ตอนปลายชีวิต คุณพ่อนัยน์ตามืดมาก หลวงปู่สงฆ์กับหลวงปู่บุดดาก็ได้มาเยี่ยม มาพักสอนธรรมะคุณพ่อที่บ้านคราวละหลายๆ วัน ดิฉันก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง
บางทีบังอาจเถียง (หลวงปู่บุดดา) ด้วย
จนคุณพ่อถึงแก่กรรมแล้วรู้ดีรู้ชั่วขึ้นมาบ้าง จึงชวนคุณดำรงไปขอขมาท่านที่วัดบุญทวี (ถ้ำแกลบ) จ.เพชรบุรี
ด้วยเมตตาธรรมของท่าน ท่านบอกว่าท่านไม่รู้ท่านไม่ได้จำ ถ้าดิฉันยังจำได้ท่านก็ โหสิ โหสิ ท่านพูดหัวเราะๆ
รู้สึกว่าคราวนั้นลูกปานขับรถพาไปมองตัวเองแล้วน่าเกลียด และสกปรกเหลือเกิน
แม้อย่างนี้เมื่อหลวงปู่สงฆ์มรณภาพแล้ว หลวงปู่บุดดาก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมเสมอ ในที่สุดคุณดำรงก็ถือศีล ๘ ทุกวันมาจนบัดนี้
ดิฉันก็ทำมาหากินเลี้ยงลูกต่อมาจนลูกจบทุกคน เมื่ออายุ ๖๐ ปีพอดี จึงเลิกกิจการเกษียนตัวเอง ในปีนั้นเองลูกปริญญาได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เชียงใหม่
(ตอนที่ลูกเขียนไว้ในเล่ม ๑)
ได้เขียนจดหมายมาเล่าให้ฟังด้วยความปิติยินดีอย่างยิ่ง และพิมพ์หนังสือ คู่มือปฏิบัติ พระกรรมฐาน
ของหลวงพ่อมาให้ถวายพระในวันทำบุญวันคล้ายวันเกิด และแจกญาติมิตรในวันนั้น ต่อมาลูกก็พาพ่อแม่ไปวัดท่าซุง เพื่อถวายหนังสือจำนวนหนึ่งแก่ท่าน
แต่หลวงพ่อไม่อยู่ คุณครูนนทาฯ ได้จัดให้พักที่เรือนขาว
ต่อจากนั้นเมื่อหลวงพ่อมากรุงเทพฯ ลูกก็พาไปกราบที่บ้านซอยสายลม หลังจากกรรมฐานแล้ว เรายังอยู่จนแขก
ศิษย์ทั้งหลายกลับเกือบหมดแล้ว ลูกจึงพาดิฉันเข้าไปกราบท่าน ดิฉันได้กราบเรียนท่านว่าดิฉันยังเข้าวัดไม่ได้ เพราะโลภ โกรธ หลง ยังอยู่สมบูรณ์ทุกอย่าง
ท่านหัวเราะ แล้วบอกให้กำลังใจว่า ถ้าดีครบถ้วนแล้วก็ไม่ต้องเข้าวัด รู้ว่าบกพร่องก็นับว่าถูกแล้ว คนรู้ตัวนั้นยังมีทางแก้
และสอนอะไรๆ อีกหลายอย่างซึ่งดิฉันยังจำใจความได้ว่า ให้มีมรณานุสติ และ ให้รู้ว่าสุข ทุกข์ สมหวัง หรือผิดหวังนั้น มาจากกุศลกรรม
และอกุศลกรรมของตัวเองทั้งนั้น ดิฉันรู้สึกปิติเป็นพิเศษและคำสอนนั้นเป็นสิ่งที่ดิฉันระลึกอยู่เป็นประจำจนทุกวันนี้
และได้พยายามใช้สติแก้ความชั่วของตัวอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่หมดค่ะ
หลังจากนั้นก็ได้ไปวัดท่าซุงเสมอมา ได้อยู่นานวันบ้างน้อยวันบ้าง ได้อ่าน ได้ฟังคำสอนของท่านมากมาย แต่ก็รู้ตัวว่าไม่ได้ดีเท่าที่ควร
ในด้านกุศลจิตแล้วยอมรับว่าสู้ลูกก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้รับจากบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และคำสอนของท่านนั้นมากมายหาที่สุดมิได้
และบรรยายไม่ถูกไม่จบเลย
นั่นคือทุกชีวิตในครอบครัวของเรา นับแต่ตัวเอง ลูกหลาน มีความสุข ไม่มีทุกข์ภัยเดือดร้อน
เช่นเพื่อนร่วมชาติร่วมโลกได้รับกันเลย เมื่อไรเกิดโลภะ โทสะ โมหะ (ซึ่งยังไม่หมด) เมื่อระลึกถึงหลวงพ่อก็ลดถอยไป
เอาใจยับยั้งตัวเองให้ลดถอยไปด้วยสติที่ได้รับจากคำสอนของท่าน ดิฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าเป็นบุญตัวเหลือเกินที่ได้มีชีวิตอยู่จนได้พบหลวงพ่อ
มิฉะนั้นจะไปตกอยู่นรกขุมไหนก็ไม่รู้ สิ่งที่ได้รับจากโอวาทของท่านบรรยายไม่จบถ้วน แม้จะรับและปฏิบัติไม่ได้แม้ ๑ ใน ๑๐๐
แต่ส่วนที่ซึมซาบเข้ามาโดยไม่รู้ตัวโดยตรงนั้น มีค่ามากประมาณไม่ถูก เวลาอยู่ในหมู่เพื่อนฝูงต่างก็พากันพูดว่าอิจฉาเหลือเกินที่เป็นคนไม่มีทุกข์
เวลาพบกันไม่เคยได้ยินบ่นว่ากลุ้มใจ หรือเดือดร้อนเลย
มีหรือคนที่มีลูก ๗ คน เขย ๒ สะใภ้ ๒ หลาน ๑๒ ถ้ารับทุกข์แบกทุกข์แล้วจะรับไหว
เพราะพระเดชพระคุณคำสอนและบารมีของหลวงพ่อต่างหากที่ทำให้มีชีวิตอยู่อย่างปกติมีความสุขตามควรแก่อัตภาพ ทั้งๆ ที่ไม่มีอาชีพ ไม่มีบำนาญ ไม่ใดๆ ทั้งสิ้น
นอกจากลูกทุกคนแบ่งรายได้ให้พอได้กิน เที่ยว และทำบุญตามสมควร
ความที่รู้ตัวว่า ยังสกปรกอยู่มาก จึงไม่เคยอวดใครเลยว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อ หรือใกล้ชิดพระเดชพระคุณท่าน ทั้งๆ ที่เมื่อ ๗ ๘
ปีก่อนเคยไปค้างวัดบ่อยๆ และหลายๆ วัน เพราะร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ แต่ในใจนั้นความระลึกถึงพระเดชพระคุณอันใหญ่ยิ่งของท่านเสมอมา
และยิ่งกว่านั้นเวลามีทุกข์ หรือเดือดร้อนฉุกเฉินอะไรก็ยกมือ ๑๐ นิ้ว
หลวงพ่อช่วยลูกด้วย ทุกคราว แล้วก็ได้ผลมาตลอด แม้บางคราวไม่สมบูรณ์ ก็นึกเสียว่าเจ้ากรรมนายเวรไม่โมทนาอโหสิ
แต่เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี่เอง ดิฉันจะไปงานศพมารดาของน้องเขยคนหนึ่งที่วัดลาดพร้าว รถเกิดกระแทกกับรถที่กำลังแซงเข้ามา ปรากฏว่ารถฝ่ายนั้นบุบนิดหน่อย
แต่ความที่รถสองคันจอดขวางทางอยู่ รถจะเข้า ออกไม่ได้และเริ่มติด
ลูกจึงถอยรถมาจอดปากซอย แล้วลูกก็ไปโทรแจ้งเองที่สถานีตร.พหลโยธิน ทั้งนายประกันและตำรวจมาพร้อมกัน ดูรอยบุบนิดเดียว ก็มาพูดเหมือนๆ
กันว่าเรื่องนิดเดียวน่าจะตกลงกันได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอม ในใจดิฉันก็ได้แต่ หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยลูกด้วยๆๆๆ ฯลฯ ตลอดเวลา
ดิฉันจึงบอกว่าเราก็พร้อมจะตกลง และไม่อยากรบกวนตำรวจเลย
ในที่สุด ฝ่ายตรงข้ามต้องขอโทษลูก และนายประกันเป็นผู้ซ่อมรถ ถูกยุงกัดอดนอนหน่อยเดียว เงินก็ไม่ต้องจ่าย สาธุ! หลวงพ่อช่วยลูกอีกครั้งแล้ว
ขอกราบมาแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วย ลูกสัญญาว่าจะใช้สติเตือนตัวเองให้ดีขึ้นตลอดไป
ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 28/11/11 at 14:28
23
หลวงพ่อ
พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา
เมื่อประมาณปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๓ ผมได้รับข่าวจากตำรวจที่ดูแลรักษาความปลอดภัยวัดท่าซุง จดหมายมาบอกเล่าเก้าสิบว่า หลวงพ่อ
(พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน) รับนิมนต์ไปประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปพระประธานที่ วัดเขาไผ่ จังหวัดระยอง ระยะนั้นจะจำวัดอยู่ที่บ้าน พี่สมบูรณ์
จังหวัดจันทบุรี
บอกมาด้วยว่า หลวงพ่ออยากให้ผมไปพบ แต่ไม่ยักกะบอกว่า เรื่องอะไร ผมก็เลยต้องเดาว่า หลวงพ่อคงอยากไปเยี่ยมทหารและตำรวจ
ที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ทั้งนี้เพราะเมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๓๒ หลวงพ่อได้เดินทางไปประกอบพิธีให้ทหารเรือ ที่อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด
ซึ่งในขณะนั้นผมรับราชการอยู่ที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด
จึงได้มีโอกาสไปดูแลให้ความสะดวกเล็กๆ น้อยๆ และในโอกาสนี้เอง หลวงพ่อได้ปรารภกับผมว่า ปีหน้าจะมาอำเภอคลองใหญ่ (ตอนปรารภนั้นปลายปี ๒๕๓๒
ตอนที่เขียนถึงนี้ปี ๒๕๓๓) และผมก็เดาถูกนิดหน่อยเพราะมาทราบภายหลังว่า หลวงพ่อมีรายการไปบวงสรวงที่บ่อพลอยของศิษย์ที่อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด
แต่ไม่ได้ไปเยี่ยมทหาร
เพราะเมื่อผมเดินทางไปพบก็เป็นวันสุดท้ายของกำหนดการแล้ว และได้ทราบจากหลวงพ่อภายหลังว่า ท่านมีเจตนาจะไปเยี่ยมทหารและตำรวจจริงๆ
แต่เมื่อผมไปถึงนั้นเลยเวลาแล้ว และผมก็ได้ย้ายมาที่อำเภอบางคล้าแล้ว จึงไม่สะดวก ที่ผมเดาได้ถูกนั้น เพราะหลวงพ่อนั้นไม่เคยทอดทิ้งทหารและตำรวจ
โดยเฉพาะพวกที่ไปปฏิบัติหน้าที่ตามชายแดน
หลวงพ่อได้กรุณาอนุเคราะห์และเอื้อเฟื้อมาโดยตลอดไม่ว่าดินแดนนั้นจะอยู่ห่างไกลเท่าไร ทุรกันดารเพียงไหนหรืออันตรายปานใด
หลวงพ่อได้เคยพากเพียรดั้นด้นไปเยี่ยมเยียนมาแล้ว นับครั้งไม่ถ้วน ระหว่างที่เดินทางไปสงเคราะห์ ก็มิใช่จะสะดวกสบายพูดอย่างภาษาชาวบ้านว่า
ต้องกินอยู่หลับนอนเหมือนกับพวกเขาที่เราไปสงเคราะห์
หลายครั้งที่หลวงพ่อ ต้องกินข้าวลิง เพราะระว่างเดินทางอยู่นั้น ไม่มีร้านรวงหรือบ้านเรือนให้นิมนต์ฉันได้
สองข้างทางเป็นป่าทึบ นอกจากนั้นก็เป็นพื้นที่สู้รบอีกด้วย เวลาก็จะเลยเพลแล้ว ลูกศิษย์ที่ไปด้วยจำต้องถวายกล้วยและผลไม้อื่นๆ บ้างเป็นภัตตาหารมื้อเพล
เพราะไม่มีอย่างอื่น ฆราวาสไม่เดือดร้อน เพราะจะกินเมื่อไรก็กินได้
แต่พระไม่ได้ แล้วพวกเรารู้ไหม คำน้อยสักคำหนึ่ง หลวงพ่อไม่เคยบ่น ท่านกลับคุยจ้อพออกพอใจ ท่าทางยิ่งแช่มชื่นอะไรจะปานนั้น ท่านพูดว่า ไอ้เป๋เอ๋ย ไม่เป็นไรน่ะ เอ็งรู้ไหมข้าฯ อดข้าวสบายมาก การที่ข้าฯ ต้องอดข้าว เพราะเพื่อมาสงเคราะห์ลูกๆ ของข้าฯ
ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละอยู่ที่ชายแดน คนเหล่านี้ยอมสละชีวิตเลือดเนื้ออวัยวะ
ความสุขส่วนตัว เพื่อปกปักรักษาชาติ รักษาในหลวงของเราและพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เขาต้องอดยิ่งกว่าเรา ถึงแม้ว่าข้าฯ
จะต้องอดข้าวตลอดชีวิตเพื่อให้ได้มาสงเคราะห์ให้กำลังใจพวกเขา ข้าฯ ก็จะทำ ผมไปพบหลวงพ่อที่จันทบุรี
ช้าไปจนหลวงพ่อไม่อาจไปสงเคราะห์ทหารและตำรวจที่อำเภอคลองใหญ่ได้
ผมก็เลยนิมนต์อาราธนาหลวงพ่อมาเยี่ยมอำเภอบางคล้า ที่ผมเป็นสารวัตรใหญ่อยู่ เพราะเป็นเส้นทางผ่าน
และอยากให้คณะศิษย์ของหลวงพ่อได้มีโอกาสมานมัสการหลวงพ่อพระพุทธโสธร ว่ายังงั้นเถิด หลวงพ่อก็รับนิมนต์คงจะเพื่อสงเคราะห์คณะศิษย์ เมื่อ ๑๕ ปีมาแล้ว
หลวงพ่อเคยพาคณะศิษย์มานมัสการหลวงพ่อพระพุทธโสธร
หลวงพ่อว่า เทพ (หมายถึงเทวดาหรือพรหม) องค์ที่ดูแลรักษาหลวงพ่อพระพุทธโสธร ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้
เป็นเทพที่มีบุญบารมีทางโชคลาภสูงมาก แล้วในวันที่หลวงพ่อมาโรงพักบางคล้า ก็พูดอีก ผมฟังไม่ถนัด แต่ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นท่าน
สหัมปติพรหม แน่ๆ
พบหลวงพ่อ
ผมถือกำเนิดมาในตระกูลพ่อค้าใหญ่ ผู้คนในตระกูลของผมส่วนใหญ่ไม่มีใครนับถือเจ้าอย่างจริงจังอะไร
คุณก๋งผมเป็นพ่อค้าข้าวมีโรงสีหลายโรง สมัยก่อนแถวถนนสาธรยันถนนตกข้ามเจ้าพระยาไปจนถึงบางอ้อ ไม่มีใครไม่รู้จัก เจ้าสัวกอเป็งเชียง หรือ
เจ้าสัวเจียร ร่ำลือกันว่า ร่ำรวยกว่าใครๆ ในย่านนี้
บ้านที่พักอาศัยเรียกว่า บ้านสามภูมิ ประกอบด้วยบ้านของ ๓ ตระกูลคือ กอวัฒนา พยัคฆาภรณ์ และ ทวีสิน
มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ใครจะจัดงานแต่งงาน ลูกหลาน มักจะมาขอยืมสถานที่เพื่อจัดงานพิธีและงานเลี้ยง เดือนๆ หนึ่งมีงานหลายงาน ผมจำได้เพราะถือว่าเป็นลาภปาก
มีงานทีไรอิ่มสบายทุกที เขาเล่ากันว่า
สมัยหนึ่งที่รัฐบาลไทยห้ามส่งข้าวออกนอกประเทศ คุณก๋งของผมตกงาน ไม่มีอะไรจะทำ จึงจัดตั้งสมาคมขึ้นมา ไม่ใช่สมาคมอั้งยี่ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ
เลี้ยงดูปูเสื่อกันทั้งวันทั้งคืน คุณก๋งทิปนักร้องครั้งละ ๑ บาทเชียวครับ โชคดีที่รัฐบาลห้ามเพียง ๓ เดือนก็อนุญาตให้ส่งข้าวออกได้
คุณก๋งก็ยุบสมาคมตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินต่อไป
คนเก่าๆ แถวนั้นจึงเรียกสมาคมนี้ว่า สมาคมสามเดือน แต่ถึงจะไม่นับถือพระนับถือเจ้า คุณก๋งของผมก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อค้าที่ซื่อตรงที่สุด
ผมเองนั้นเมื่อสมัยเด็ก เขาลงในทะเบียนว่า นับถือพุทธ ผมก็นับถือสักแต่เพียงกราบไหว้บูชา แต่ผมไม่เคยรู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร เขาให้กราบผมก็กราบ
เขาให้ไหว้ผมก็ไหว้ แต่ผมไม่เคยเข้าใจว่า
หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร ยิ่งต้องไปเรียนในโรงเรียนฝรั่งก็โรงเรียนอัสสัมชัญ นั่นแหละครับยิ่งไม่มีโอกาสศึกษาเรียนรู้
แม้จะผ่านโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมก็ไม่รู้เรื่องศาสนาพุทธเอาจริงๆ ว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร
สมัยเป็นเด็กมัธยมก็ดอดไปโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่วัดมหาธาตุ ก็ไม่รู้อะไร
ได้ทุนไปเรียนเมืองนอก ก่อนไปก็พยายามศึกษาก็ไม่รู้อีก ฝรั่งถามทีไรก็จนมุมมันทุกที กลับมาออกไปรบทางชายแดน ก็ห้อยพระห้อยเจ้าไปตามเรื่อง
พอไปเจอพวกนิยมของขลัง คุยกันแต่เรื่องอยู่ยงคงกระพัน ก็เลยเลิกห้อยพระไปเลย เพราะหมดความเชื่อถือ เนื่องจากพวกเขาคุยอวดกันว่า
พระเครื่องของพวกเขาคุ้มครองพวกเขาได้ตลอดกาล
ผมนึกค้านว่า ถ้าไอ้โจรห้าร้อยระยำอัปรีย์มันห้อยพระเครื่องดีๆ เกิดปะทะกัน ผมใส่มันเข้าไปเปรี้ยง! ไม่เข้า! เพราะมันมีพระดี แต่พอมันใส่ผมตูม! ผมตาย!
เพราะผมไม่มีพระดีๆ จะใส่ เอ..พระท่านน่าจะคุ้มครองคนดีมากกว่านะ อย่ากระนั้นเลย ห้อยไปก็หนักเปล่าๆ ผมจึงออกรบโดยไม่เคยห้อยพระเครื่อง
และผมก็แคล้วคลาดมาโดยตลอด เพราะผมเอาพระไว้ที่ใจ
ในหมวด ต.ช.ด. ที่ผมบังคับบัญชาอยู่ตอนออกรบมีกำลังตำรวจ ๑ หมวด แต่ห้อยพระไป ๑ กองพล เวลาออกลาดตระเวนเสียงพระเครื่องที่ห้อยอยู่กระทบกันดังพิลึกดี
จนกระทั่งต่อมาผมถูกยิงได้รับบาดเจ็บ เพราะปากไม่ดี ไปด่ามารดาฝ่ายตรงข้ามเข้า หนังยุ่ยทันตาเห็น ต้องนอนขี้เยี่ยวอยู่บนเตียง ๙๖ วัน หัดเดินอยู่อีก ๒ ปี
ช่วงระยะเวลานั้นเอง
ผมจึงได้มีโอกาสหวนกลับมาศึกษาเรื่อง พระพุทธศาสนาอีก ตื่นตั้งแต่ตี ๔ เปิดวิทยุฟังธรรมะ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องอภิธรรมและปริยัติธรรม ฟังไปจดไปนะครับ
จดไม่ทันเอาเทปมาอัด ซื้อตำรับตำรามาเต็มบ้าน เต็มช่อง ไม่รู้เรื่องอีกเช่นเคย เลิกครับเลิก คราวนี้หันมาสนใจพระเกจิอาจารย์ เขาว่ามีพระอาจารย์ที่ไหนดี
เฮโลสาระพา
ตามไปนมัสการกลับบ้านได้มาแต่พระเครื่องแหละครับ ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร จนวันหนึ่งเพื่อนต่างวัยมีอาวุโสกว่าผม
เขาเอาหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค บันทึกโดย ฤาษีลิงดำ มาให้อ่านก็เลยสนใจ แต่ผมกับเพื่อนสนใจกันคนละอย่าง
เพื่อนเขาสนใจจะนำพระเครื่องไปให้ท่านปลุกเสก
ส่วนผมสนใจว่า ฤาษีลิงดำ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นพระหมด คงจะรักษาขาที่พิการได้ เอาละครับ มีประโยชน์ร่วมกัน จึงพากันออกตามหาหลวงพ่อ จนทราบว่า
อยู่ที่วัดท่าซุง ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี จึงมานมัสการหลวงพ่อ
อะไรทำให้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ
อย่างที่เล่ามาแล้วข้างต้น เพื่อนผมเขาจะสร้างพระ มาขอให้หลวงพ่อปลุกเสก ผมก็ไม่ขัดศรัทธา ระหว่างเดินทางพวกเราปรึกษากันเรื่องทำพระ และตกลงกันว่า
จะให้ผมเป็นคนพูดขอกับหลวงพ่อ ผมก็เออๆ คะๆ ไปตามแกน นึกในใจว่า เขาให้พูดก็จะพูดได้หรือไม่ได้ผมไม่สนใจมาก คิดแต่เพียงว่า ถ้าท่านมีฤทธิ์เดช
เราก็จะขอให้ท่านช่วยรักษา ก็แค่นั้น
เพราะผมนั้นเคยขนข้าวขนของไปถวายวัดหนึ่งมากมายก่ายกอง พยายามดักพบท่านเจ้าสำนัก ท่านก็ไม่ให้พบ เขียนจดหมายถามท่านระบายความในใจว่า
ผมอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรจริงๆ ท่านก็ไม่ยอมตอบ ส่งเงินไปก็หลายครั้ง ก็ไม่ยอมพบ ไม่ยอมตอบ เสียทั้งของ หมดทั้งเงิน แต่ยังเป็นควายเหมือนเดิม
พวกเราสามคนมาถึงวัดเวลาอะไรจำไม่ได้ รู้แต่ว่าไม่ใช่เวลารับแขก จึงไปนั่งรออยู่ที่หอกรรมฐานขาว รอเวลาที่หลวงพ่อจะลงมารับแขก เผอิญไม่มีแขก
พวกเราจึงถือโอกาสงีบหลับตามอัธยาศัย เพราะยังอีกนานโขกว่าจะได้เวลา และทั้งเหนื่อยและหิว แต่ก็ยอมอดข้าวด้วยเกรงจะไม่ได้พบ ครั้นแล้วก็ได้พบหลวงพ่อ
เมื่อผ่านพ้นระบบทักทายและรายงานตัวกันแล้ว
พวกเราก็นั่งเลิกลั่กไม่ทราบว่าจะสานเรื่องต่อไปได้อย่างไรดี เพราะทั้งดีใจที่ได้พบ และทั้งงัวเงียเพราะเพิ่งจะตื่น แต่ก่อนหน้าที่เราจะได้พบ
ต่างก็อาราธนาบารมีของหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ แล้วว่า ขอให้การที่คิดเอาไว้สำเร็จ หลวงพ่อนั้นครั้นเมื่อเห็นพวกเราเงียบอึกอัก จู่ๆ
ท่านก็พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า เออหลวงพ่อแดงนี่ท่านเป็นพระดีนะ
พวกเราตะลึงเพราะว่าเมื่อเหยียบย่างเข้ามาในวัด ไม่มีใครพูดถึงหลวงพ่อเลย เราพูดกันในรถปรึกษาหารือกันในรถเท่านั้น หลวงพ่อรู้ได้อย่างไร
แล้วท่านก็พูดต่อไปอีกว่า พวกคุณจะสร้างพระผงกันหรือ มีเจตนาดีนะ จะสร้างแบบไหน ฉันอนุญาต
ความรู้สึกของผมในตอนนั้นบอกไม่ถูก เหมือนคนเป็นหูหนาตาเร่อ รู้สึกตัวชาหน้าชาแบบเห่อๆ
บรรยากาศรอบตัวมันหนาวๆ ร้อนๆ วูบๆ วาบๆ บอกไม่ถูก ปากปิดสนิท แต่ในใจร้องว่า อัศจรรย์ๆ จริง แล้วก็ต่างมองหน้ากัน
เข้าใจว่าทุกคนคงมีความรู้สึกแบบเดียวกัน หลวงพ่อรู้จิตพวกเราได้ไงแฮะ ไปทำตัวอย่างมาให้ดู มีเจตนาดีอย่างนี้ ฉันอนุญาต
หลวงพ่อพูดย้ำอีก คนหนึ่งในจำนวนพวกเรา จึงรีบกราบเรียนรับคำว่า จะไปทำตัวอย่างให้สวยให้ดีมาถวายภายหลัง เพราะเราเพียงแต่เคยปรึกษากันว่าจะสร้างพระผง
แต่ยังไม่ได้ตกลงกันว่า จะสร้างแบบไหน จำนวนเท่าใด ครั้นแล้วเพื่อนผมอีกสองคนก็กราบลา เพราะเขาสมประสงค์แล้ว ผมก็จำใจเข้าไปกราบลา
หลวงพ่อเอามือตบศีรษะของผม
พูดว่า เออดีๆ คุณเสียสละเพื่อประเทศชาติ พระท่านสอนว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นเป็นทุกข์ ร่างกายของเราก็ดี
ทรัพย์สมบัติของเราก็ดี อะไรๆ ต่างๆ ในโลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์และบังคับไม่ได้ ถ้าไม่ต้องเกิดก็ไม่ต้องทุกข์
ถ้าคุณปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คุณก็จะไม่ต้องเกิดอีก
มีอยู่หลายวิธี ไปหาหนังสืออ่านเอานะ ค่อยๆ ศึกษาไปนะ ถ้ามีโอกาสก็มาฝึกกรรมฐาน ที่นี่ก็ได้ ที่บ้านสายลมก็ได้ เจ้าประคุณเอ๋ย
ผมดีใจจนบอกไม่ถูก แม้ในขณะนั้นผมจะยังเข้าใจคำว่า กรรมฐานน้อยมาก แต่ในใจก็คิดว่า เออเข้าเค้าๆ แล้ว มีหลัก มีเกณฑ์นี่ แล้วก็กราบลา พากันกลับ
สรุปว่าผมศรัทธาหลวงพ่อเพราะท่านรู้ภาวะจิตนั่นเอง
จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็พยายามหาโอกาส มารับการสอน มาฟังการเทศน์ของหลวงพ่อบ่อยๆ พยายามทำความเข้าใจจนผมหายสงสัย
สมัยนั้นหลวงพ่อจะสอนกรรมฐาน เน้นมากเรื่อง อานาปานัสสติ เพื่อโยงจิตให้เป็นสมาธิ คำภาวนา ไม่จำกัด แต่นิยมคำว่า พุทโธ
เพ่งอะไรไม่จำกัดแต่นิยมให้เพ่งพระพุทธรูป สอนเรื่องจิต สอนเรื่องอิริยาบถ
สอนให้รู้ว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิในระดับไหนแล้วมีอาการเป็นอย่างไร จะใช้สมาธิทำอะไรได้บ้าง แต่ในที่สุดก็สอนให้พิจารณา บางครั้งว่า กรรมฐาน ๔๐
เป็นเดือนๆ ต่อด้วยมหาสติปัฏฐานอีกเป็นเดือนๆ แล้วมาสรุปด้วยอารมณ์ของพระอริยบุคคล วนเวียนอยู่เป็นปีๆ ไม่มีการเรียนลัด นี่ผมว่าโดยย่อนะครับ
ความจริงท่านแจงละเอียดให้ความรู้ไม่มีปิดบัง ผมอยากรู้อะไรท่านก็ยินดีสอนให้ ในที่สุดผมก็เลือกเอาไม่ต้องเกิดอีก
ออกทัศนาจรกับฤาษี
ผมได้เล่าเรื่องมายืดยาวตั้งแต่เหตุผลว่า ทำไมจึงเขียนเรื่องอะไรๆ นี่เนื่องด้วยหลวงพ่อของเรา การเริ่มต้นที่ได้มาพบหลวงพ่อ อะไรที่ทำให้ผมเกิดศรัทธา
จนถึงการได้มาฝึกกับหลวงพ่อ ความจริง ถ้าจะเขียนให้ละเอียดก็จะยืดยาวมากกว่านี้มาก ได้พยายามย่นย่อพอสังเขปแล้วนะครับ ต่อไปก็จะเป็นเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ
เมื่อครั้งที่ได้มีโอกาสไปทัศนาจรร่วมกับหลวงพ่อเอาพอหอมปากหอมคอนะครับ
เรื่องยาวไปหาอ่านเอาจากหนังสือเรื่อง ฤาษีทัศนาจร และ ล่าพระอาจารย์
จากนี้ไปถ้าผมจั่วหัวข้อเป็นชื่อหลวงพ่อหรือหลวงปู่องค์ไหน ก็หมายความว่า ผมจะเขียนถึงท่านเหล่านั้นในเหตุการณ์ที่ผมได้ประสบ
ขณะเดินทางไปทัศนาจรกับหลวงพ่อของเรา โดยที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการได้รู้ ได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส ในเวลาและโอกาสนั้น
หรือในกาลถัดมา
หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร
หรือพระครูสันติวรญาณ แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ผมไม่เคยพบท่านมาก่อนหน้านั้น
แต่ทราบจากการบอกเล่าของผู้อื่นว่าท่านเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จาริกมาแสวงหาความสงบวิเวกอยู่ที่ถ้ำผาปล่องท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดอโศการาม
อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ แต่ท่านเบื่อคน จึงหนีมาอยู่ถ้ำ
กระนั้นก็ยังมีผู้เสาะแสวงหาท่านจนพบ เขาว่าท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูงมาก ผมเคยคิดจะไปนมัสการท่านอยู่แล้ว แต่ล้มเลิกไป เพราะได้มาพบหลวงพ่อเสียก่อน
มีอะไรให้ต้องเรียน ต้องศึกษามากมายไม่รู้จบจากหลวงพ่อ จึงไม่คิดจะไปหาอาจารย์องค์ไหนอีก เผอิญหลวงพ่อท่านชวนว่า คณะของท่านจะไปนมัสการหลวงพ่อสิมฯ
และจะเลยไปนมัสการหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ด้วย
อ๊ะ ได้การ ผมคิดในใจ เพราะว่าหลวงปู่แหวนฯ นั้น ผมก็เคยได้ยินกิตติศัพท์มาจากรุ่นพี่และเพื่อนๆ ทหารอากาศว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์
แต่ก็ไม่เคยได้ไปนมัสการสักที ฮ้า เหมาะเลย จึงกราบเรียนรับปากว่าจะไป แต่ผมขอไม่ไปพร้อมคณะ จะไปสมทบที่เชียงใหม่เลย
เพราะตอนนั้นผมถูกยิงแข้งขาไม่ค่อยจะดี นั่งรถนานมันปวด จึงเดินทางไปโดยเครื่อง บดท.
แล้วตามไปสมทบที่น้ำตกแม่สา ตอนนั้นผมช่วยราชการอยู่ที่กองอำนวยการเคลื่อนย้ายทหารจีนชาติ หรือ บก.๐๔ ซึ่งมีหน่วยงานอยู่ที่เชียงใหม่
ทหารมารับผมจากสนามบิน แล้วร่วมกับขบวนลูกศิษย์ของหลวงพ่อแวะชมถ้ำเชียงดาวแล้วขึ้นไป นมัสการหลวงพ่อสิมฯ บนถ้ำ
อันว่าทหารคนขับรถนี้ไม่ใช่คนเดิมที่เคยขับรถให้ผมเสมอๆ
แต่เขามีหน้าที่ดูแลบ้านพักของนายทหารระดับผู้ใหญ่มากๆ ท่านหนึ่งที่นั่น เขาอยากจะได้พระเครื่องของหลวงพ่อสิมฯ จึงอาสาขับรถแทนให้
ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้องเพราะเห็นว่าหน่วยก้านพอไปไหว แม้จะอ้วนไปสักหน่อย เป็นทหารอากาศ แต่ไม่เคยขึ้นเครื่องบินหรอกครับ อยู่ภาคพื้นดินมาโดยตลอด
โดยผมชี้แจงว่า ที่เรามานี้เรามากับคณะนักบุญ
ซึ่งมีหลวงพ่อเป็นผู้นำ กำหนดจะพักค้างคืนบนถ้ำ พวกนักบุญเหล่านี้เขาไม่มีอาวุธอะไรติดตัวมา
แต่เราก็ทราบดีอยู่แล้วว่าบริเวณดังกล่าวนั้นเป็นที่เปลี่ยวมีโจรผู้ร้ายชุกชุม เราจะต้องทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองปลอดภัยกับพวกเขาด้วยนะ ไม่ใช่มาเที่ยว
เขาบอกว่า เขาเต็มใจตกลงเบิกเอ็ม ๑๖ ไป ๒ กระบอก นอกจากนั้น ผมมีปืนพกไปอีก ๑ กระบอก
เมื่อเดินทางไปถึงเชิงเขา เวลายังไม่ทันพลบค่ำ ผมกับเขาเดินตามคณะขึ้นไปที่ถ้ำผาปล่อง โดยเขาอาสาจะเอาเอ็ม ๑๖ ทั้ง ๒ กระบอกขึ้นไปด้วย
โดยจะห่อให้มิดชิด ไม่ให้ประเจิดประเจ้อ และอาสาว่า เมื่อมืดแล้วเขาจะลงมานอนเฝ้าทรัพย์สินในรถของคณะใหญ่ซึ่งจอดอยู่ที่เชิงเขา
ส่วนผมนั้นจะดูแลด้านบนถ้ำเอง เขาลงมาเมื่อมืดแล้ว
หลังจากรับพระเครื่องมาจากหลวงปู่สิมฯ เอาปืนพกของผมไปด้วยเพราะระหว่างทางลงเขาสภาพก็ไม่น่าวางใจ ตอนดึกระหว่างคณะกำลังนอนพักผ่อน
ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด บริเวณที่จอดรถ ชายฉกรรจ์ทั้งหลายพากันกรูลงไปดูเหตุการณ์ พบว่าเขาถูกคนร้ายยิงที่บริเวณท้องถึงไส้ทะลัก
พวกนักบุญช่วยกันพาเขาไปส่งอนามัย
และต่อมาตำรวจนำไปส่งโรงพยาบาลสวนดอก ผมว้าวุ่นมาก ไหนจะห่วงคนเจ็บ ไหนจะห่วงคนเป็น เพราะหวั่นไหวกันไปหมดด้วยเกรงภัยจากโจรร้าย
ต่อมาตำรวจท้องที่ทราบเหตุนำตัวเขาส่งโรงพยาบาลสวนดอก ที่เชียงใหม่ ผมนั้นคิดว่าเขาไม่น่าจะรอดเพราะบาดแผลฉกรรจ์มาก ผมขอให้คุณหมอชุติ เนียมสกุล
ขับรถพาผมไปดูเขาที่โรงพยาบาล
เพราะผมขับรถเองไม่ได้ หลังจากที่ได้นมัสการกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบแล้ว
แต่ได้ติดต่อขอให้ตำรวจท้องที่มาดูแลให้ความปลอดภัยคณะใหญ่เป็นที่เรียบร้อยหมดกังวลไปเปลาะหนึ่ง หมอชุติฯ ท่านก็แสนดี คำน้อยสักคำก็ไม่ปริปากบ่น
ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ นะครับ แถมยังคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปตามภูเขา ขนาดคนเป็นยังแย่
แล้วคนเจ็บจะเป็นอย่างไรผมไม่อยากคิด เพราะผมเองก็เคยมาแล้ว เมื่อครั้งถูกยิงที่ชายแดน นอกจากนั้นผมก็ยังกังวลใจว่า จะรายงานผู้บังคับบัญชาอย่างไรดี
เพราะคนที่ถูกยิงไม่มีชื่ออยู่ในคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ ขอแทนกันเอง อุบา! ปัญหาร้อยแปดพันเก้าแต่แล้วทุกอย่างก็คลี่คลาย เขาปลอดภัย
เรื่องทางวินัยก็ไม่โดนได้อาศัยท่านโกษาป่อง กรุยทาง
ผู้บังคับบัญชาที่นั่นให้ผมแก้ปัญหาจนเสร็จสรรพจึงได้วกกลับมายังถ้ำผาปล่อง คณะใหญ่กลับไปแล้ว หลวงพ่อสิมฯ
ท่านกรุณาให้ผมกับลูกน้องชุดใหม่พักผ่อนหลับนอนในถ้ำที่ท่านจำวัดอยู่ ผมจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับหลวงพ่อสิมฯ อย่างใกล้ชิด
โดยในขณะนั้นผมเกิดความลังเลสงสัยในตัวหลวงพ่อ เพราะในวันที่เกิดเหตุก่อนเกิดเหตุ
หลวงพ่อได้พูดกับศิษย์ลูกหาว่า มีเทวดามากันมาก ท่านแม่ศรีฯ ก็มา ท่านพ่อพระอินทร์ก็มา ท่านท้าวมหาชมพู วู้ย! เยอะแยะ
ไม่น่าเชื่อ.. ก็จะไปให้เชื่อได้ยังไง ถ้ามีจริงและมากันจริง ทำไมจึงปล่อยให้ลูกน้องของผมถูกคนร้ายยิงเอาเกือบตาย ไม่จริงละมั้ง
ขอเรียนให้ทราบเสียก่อนนะครับ ในสมัยที่เกิดเหตุนั้น ผมเพิ่งจะหัดภาวนา พุทโธ เท่านั้นเอง
ลืมตาหลับตาได้แต่ภาวนาพุทโธ ไม่รู้ไม่เห็นอะไรพิสดาร แต่เอาละ ไอ้เรามันก็ชายชาตินักรบ ไม่ชอบทำอะไรคลุมเครือ เราไม่เห็นเองและไม่เชื่อ
อย่ากระนั้นเลยเราถามหลวงพ่อสิมฯ ดีกว่า ผมตัดสินใจถามหลวงพ่อสิมฯ เลยครับ ถามว่าเทวดามีจริงหรือ หลวงพ่อฤาษีท่านติดต่อกับเทวดาเห็นเทวดาได้จริงหรือ
เทวดาเหล่านั้นเป็นใคร มีความผูกพันอย่างไรกับหลวงพ่อฤาษี
ท่านแม่ศรีคือใคร ท่านท้าวมหาชมพูคือใคร เทวดานักรบมีจริงหรือใครเป็นหัวหน้า ทำไมปล่อยให้ลูกน้องผมถูกยิง
เรียกว่าผมระดมคำถามแบบกระหน่ำยิงไม่เลี้ยงเลยครับ คิดในใจว่าถ้าหลวงพ่อสิมฯ ตอบไม่ตรงกับที่หลวงพ่อเคยพูด หรือแม้เพียงลังเลบิดพลิ้ว ผมก็จะเลิกนับถือ
ทั้ง ๒ องค์ นั่นแหละครับ พ่อแม่พี่น้องรู้ไหม หลวงพ่อสิมฯ มิได้ลังเลเลย
ท่านตอบทันทีว่า เทวดามีจริง มาจริง ท่านแม่ศรีเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านท้าวมหาชมพูเป็นใคร ใครเป็นใคร
หลวงพ่อแจง ๑๕๐ เบี้ยเลยครับคือแถมให้อีก ๑๔๖ เบี้ย กระเซ้าผมว่าถ้าอยากรู้เองเห็นเองให้หมั่นฝึกตามที่หลวงพ่อพระมหาวีระฯ สอนเถิด
แล้วจะได้รู้ความจริงไม่ต้องถามใคร ส่วนเหตุที่บังเกิดนั้นเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม
โยมอย่าไปโกรธอย่าไปโทษเทวดา แน่ะ รู้อีกแน่ะ ว่าผมเคืองเทวดา ก็ผมคิดเอาไว้ในใจว่า
ถ้าเทวดามีจริงและมาจริงต้องถูกลงโทษเพราะดูแลรักษาพุทธบริษัทไม่ดี ปล่อยให้เกิดเหตุร้ายในพื้นที่อันเป็นเขตนิวาสสถานของพระอริยบุคคล เอาละครับหลวงพ่อสิมฯ
ท่านไม่ได้เทศน์โปรดผม ท่านเล่าไปเรื่อยๆ แบบตามสบาย ท่านว่าเป็นกฎแห่งกรรม
คนทำตำรวจจะจับไม่ได้ แต่เขาจะต้องเสวยผลกรรมอันนั้นไม่เกิน ๓ วัน ๗ วัน น่าสงสารเขานะ เขาติดยาเสพติดคิดว่า คณะของหลวงพ่อมหาวีระฯ
มีทรัพย์มามากจึงมาขโมยของเอาไปซื้อยาเสพติด เขากำลังงัดแงะรถที่จอดอยู่ พอมีคนลงไปเขาก็โดดหลบอยู่ที่กอไม้ นายคนนั้นก็บังเอิญปวดทุกข์
ถอดเสื้อถือปืนเดินตรงไปที่เขา เขาคิดว่าเห็นเขาจะมาจับเขา
เขาก็เลยยิงเอาแล้วหนีไป คนถูกยิงมีกรรมเก่า คนยิงมีกรรมใหม่หนักมาก น่าสงสารคนยิง แน่! เป็นงั้นไป! แทนที่จะสงสารคนถูกยิงหลวงพ่อสิมฯ กลับไปสงสารคนยิง
ท่านย้ำว่าเป็นกรรมหนัก ผมถามท่านอีกว่า ตำรวจท้องที่เขาขึ้นมารายงานท่านหรือ ท่านยิ้มหัวเราะตอบว่าเปล่า ผมถามว่า แล้วหลวงพ่อรู้ได้อย่างไร
ท่านย้อนถามผมว่า แล้วโยมว่าอย่างไร
ผมตอบว่าจริงครับ คนของผมไปสืบมาแล้วเหตุการณ์เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตรงกับที่หลวงพ่อพูดทุกอย่าง แล้วหลวงพ่อรู้ได้อย่างไรครับ เฮ่ย รู้ก็แล้วกันน่ะ โยมน่ะ มีครูดี แล้วหลวงพ่อมหาวีระฯ ไม่ใช่พระธรรมดานะ สร้างบารมี ปรารถนาพระโพธิสัตว์เชียวนะ
แต่เลิกได้ก็ดีลูกศิษย์เยอะแยะ ตามสร้างบารมีมานาน แต่นั่นแหละ พอหัวหน้าเลิก
ลูกน้องก็จะเลิกตามบ้าง เหนื่อยๆ เหนื่อยแทนนะ แบกๆ ไปไว้ที่กามาวจร สวรรค์ก่อนก็ยังดี ลูกน้องยังตั้งตัวไม่ทัน เออ โยมนอนเสียเถิด หลับให้สบาย
ไม่ต้องกลัวอะไร เหนื่อยมามาก นอนอยู่กับหลวงพ่อนี่ เย็นใจ สบายใจ เก็บปืนเสีย ไม่ต้องใช้ หลวงพ่อจะเจริญกรรมฐาน มีอะไรเกิดขึ้นในถ้ำนี้
ไม่ใช่กิจของโยมเป็นเรื่องของอาตมา หลับเถิด หลับให้สบาย สิ้นเสียงหลวงพ่อสิมฯ พวกผมก็หลับปุ๋ยโดยพลัน (ยังก๊ะโดนยานอนหลับ)
ผมมาะสดุ้งตื่นตอนราวๆ ตีสอง มองไปไม่เห็นหลวงพ่อสิมฯ ที่ที่นอนของท่าน เหลือบไปอีกที โอ้โฮ อะไรกันนะ
มีคนเต็มถ้ำจนเรียกได้ว่าแออัด รูปร่างเหมือนคน แต่ตัวโปร่งใส แต่งตัวเหมือนพวกเล่นลิเก ทุกคนสำรวมและเคร่งขรึม หลวงพ่อสิมฯ นั่งอยู่บนอาสนะ
ท่าทางเหมือนกำลังเทศน์ เพราะนุ่งห่มพาดสังฆาฏิเรียบร้อย พอผมผลุดขึ้นนั่ง
คนตัวใสๆ ก็หันมามองผมเป็นตาเดียว ทุกคนที่มองมาที่ผมมีพลังออกมาให้ผมรับรู้ว่าพวกเขากำลังไม่สบายใจ จิตของผมรับสื่อที่เขาส่งออกมาว่า
เขาขอโทษผม ผมเริ่มจะตื่นเต็มตัวอยากลุกขึ้นมาพูดจาด้วย แต่แล้วทันใดนั้นเสียงของหลวงพ่อสิมฯ ก็ลอยมา โยม นอนเสียเถิด นอนให้สบาย
ไม่ต้องกังวล ที่นี่ปลอดภัย ไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่กิจของโยม นอนเสียเถิดนะ อาตมาดูแลเอง เท่านั้นเอง ผมก็หลับผล็อย
ครูบาพรหมจักรสังวร (วัดพระพุทธบาทตากผ้า)
ก่อนหน้านี้ผมพอทราบเลาๆ ว่า พระเดชพระคุณเจ้าเป็นพระที่สำรวมอย่างยิ่ง ท่าทางติ๋มๆ หนิมๆ แต่ไม่ทราบว่าท่านดีกว่านั้นอย่างไร
ก่อนที่ผมจะได้ไปพบ มีลูกศิษย์หลวงพ่อมาเล่าให้หลวงพ่อฟังว่าไปนมัสการท่านแล้วมีคนถามท่านว่า เขารู้ว่าท่านทรงอภิญญา และจะไม่ต้องเกิดแล้ว
(หมายถึงเป็นพระอรหันต์แล้ว) แต่ท่านไม่ยอมพูดด้วย
หลวงพ่อของเราจึงยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ท่านวัดพระบาทตากผ้าทรงคุณธรรมอย่างนั้นจริงๆ
ต่อมาเมื่อหลวงพ่อของพวกเราพาพวกเรามานมัสการ ก็ได้มีการถามไถ่ไล่เลียงกันอย่างมีชั้นมีเชิง
ใครอยากรู้ว่าท่านถามไถ่กันอย่างไรให้ไปหาอ่านเอาจากหนังสือ ฤาษีทัศนาจร หรือล่าพระอาจารย์
สรุปได้ว่าหลวงพ่อของเราก็ไม่ได้ถามโต้งๆ แต่ถามอย่างมีชั้นมีเชิงว่างั้นเถิด ท่านก็ตอบโครม ๆ
ผู้ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อของเราในวันนั้นที่ได้ยินได้ฟังอยู่ บ้างก็เข้าใจ บ้างก็ไม่รู้เรื่องว่าท่านทั้งสองโต้กันว่าอย่างไร แต่หลวงพ่อของเราซิครับ
ถึงจะเรียกได้ว่าแน่จริง ถามประโยคหนึ่งแล้วก็หันมาอธิบายขยายความให้ลูกศิษย์ทุกคนได้เข้าใจในทันทีทันใดนั้นเอง
แล้วยังหันกลับไปถามท่านพระบาทตากผ้าอีกว่า จริงไหมขอรับ ถูกต้องไหมขอรับ ที่กระผมได้อรรถาธิบายให้ลูกศิษย์ของกระผมได้เข้าใจ ท่านพระบาทฯ ท่านก็ว่าถูกๆ
พอรับปากว่าถูกๆ ไปเรื่อยๆ หลวงพ่อของเราก็หันขวับกลับไปประจันหน้าทันทีว่า เอ๊ะ พระคุณก็ยอมรับสิขอรับว่า พระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์แล้วคราวนี้สิขอรับ
ญาติโยมทั้งหลาย มือไม้ของท่านพระบาทตากผ้าฯ ไม่ได้หยุดอยู่นิ่งแล้ว จับโน่นจับนี่ให้วุ่นวายไปทีเดียวเชียวขอรับ มองคนนั้นที คนโน้นสองที
ค้อนหลวงพ่อของเราอีกห้าที มองฟ้ามองดินอีกยี่สิบทีกว่าจะวางลายด้วยการแกล้งทำเป็นครางว่า อือๆ ฮือๆ แท้จริงก็เป็นการยอมรับ ยอมแพ้นั่นเอง
แต่ต้องสงวนท่าทีเอาไว้ ของสวยของงามของมีสกุลมีศักดิ์ศรี
จู่ๆ จะมายอมกันง่ายๆ ได้ก็เสียเชิงพระอรหันต์น่ะซี้ หลวงพ่อของเราสำทับไปอีกสองครั้ง ก็ยังวางมาดร้องครางว่า อือๆ อีกทั้งสองครั้ง
หลวงพ่อของเราจึงกล่าวขอขมาว่า ลูกศิษย์ของกระผมนั้นยังมีความสงสัยข้องใจว่าในยุคนี้ยังจะมีพระอรหันต์หลงเหลืออยู่อีกหรือ
กระผมจึงจำเป็นที่จะต้องแสดงความจริงให้ปรากฏ คราวนี้ก็ฮากันทั้งวงน่ะสิขอรับ ว่ากันงอหาย
ชื่นอกชื่นใจกันไปทั้งหมด เมื่อยอมเปิดแล้ว ดูท่านพระบาทตากผ้าสบายอกสบายใจเป็นอันมาก สรวลเสเฮฮา เออออห่อหมกดีไปหมด หายเคร่งคลายเครียด
กระผมเองนั้นก็บอกแล้วว่าเพิ่งจะภาวนาพุทโธเป็นก็รู้สึกสนุกสนานเป็นที่ยิ่งนัก ยิ่งได้เห็นพระคุณเจ้าทั้งสองกอดไม้กอดมือกันสนิทสนมกันผมงี้ น้ำตาแทบร่วง
ไอ้เราก็ว่าเรานี้เป็นคนใจอ่อนแล้ว
หันกลับมาดูพี่ป้าน้าอา โอ้โฮ..ร้องไห้กันกระจองอแง อะไรกันนักกันหนา เอาเถิดนี่มันเป็นปิติน่ะ หันกลับมาอีกที เอ้า ท่านพระบาทตากผ้าเทศน์เสียแล้ว
คราวนี้ว่าตั้งแต่ พระโยคาวจร พระโสดาปฏิมรรค ผล สกิคาทาปฏิมรรค ผล อนาคามีมรรค ผล พอจบแล้วยถาสัพพีทันที
คราวนี้ก็จะขอเก็บเกร็ดจากการซักการถามบ้างเท่าที่จะพอจำได้ และเห็นสำคัญนะครับ ท่านพระบาทตากผ้า ท่านเล่าว่า ท่านบิดาชื่อ
ครูบาพ่อเป็ง โพธิโก (พิมสาร) บวชเมื่ออายุมากแล้ว ท่านแม่ชื่อ บัวถา ได้นุ่งขาวห่มขาวรักษาอุโบสถศีลทุกวันพระตลอดอายุท่าน มีพี่ชายบวชเป็นพระ ๑
องค์
ชื่อท่าน วัดน้ำบ่อหลวง หรือ ครูบาอินทจักรรักษา ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่พระสุธรรมยานเถระ เมื่อท่านมรณภาพแล้ว
หลวงพ่อของเราก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้ต่อและมีน้องชายบวชเป็นพระอีกหนึ่งองค์ ชื่อครูบาคัมภีระ หรือพระครูสุนทรคัมภีรญาณ วัดดอยน้อย อำเภอจอมทอง
จังหวัดเชียงใหม่
ต่อมาหลวงพ่อวัดพระบาทตากผ้าได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระสุพรหมยานเถระ ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๒๗
พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราได้ปรารภถึงท่านไว้ในหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพของท่านดังนี้
ปรารภถึงท่านผู้มีความดี
เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๐ อาจารย์ปฐม มาแจ้งให้ทราบว่า เธอมีหน้าที่จัดทำหนังสือ เนื่องในงานถวายเพลิงศพ
หลวงพ่อวัดพระบาทตากผ้า ขอเรียกท่านอย่างนี้ เพราะได้เรียกท่านมาอย่างนี้เป็นปกติ วันนั้นเป็นวันเป่ายันต์เกราะเพชร และอาตมาเองก็กำลังป่วยหนัก
แต่เมื่อถึงวาระทำงานเพื่อท่านพุทธศาสนิกชน ก็ทำด้วยความเต็มใจ
มันจะเป็นจะตายเรื่องของร่างกาย เมื่ออาจารย์ปฐมเธอมาขอให้เขียนคำปรารภก็ไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี แต่ก็ขอเขียนตามความรู้สึกตามที่ได้พบกับท่านมา
เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ หรืออาจจะไม่ตรงนัก เพราะนานมาแล้ว เวลานี้กำลังป่วยไม่แน่ใจเรื่อง พ.ศ. ที่จะพูดถึงในปีนั้น คุณแม้นเทพ ศุภนคร มาเป็นสรรพากรจังหวัดลำพูน
อาตมามีโอกาสมาเยี่ยมเธอ
ต่อมาวันรุ่งขึ้น ได้ถามเธอว่า ที่จังหวัดนี้มีพระที่ปฏิบัติธรรมชั้นดี พอมีไหม ขณะนั้นอาตมาเองยังเป็นเด็กที่เพิ่งจะลืมตาเห็นโลกได้ในระยะใกล้
มองไกลไม่เห็น เพราะยังต้วมเตี้ยมในธรรมปฏิบัติ จึงสนใจพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อความรู้คำแนะนำจากท่าน คุณแม้นเทพ ศุภนครก็บอกว่า
เห็นจะมีก็วัดพระบาทตากผ้า ตามความรู้สึกว่าท่านปฏิบัติดีมาก
ก็บอกเธอว่าอยากไปนมัสการท่าน ภรรยาคุณแม้นเทพได้ยินเข้า เธอก็ค้านว่าไม่ไหวแล้ว ท่านดีแต่ท่านไม่พูด เคยเอาผ้าป่าไปถวายตั้งหมื่นบาท ท่านออกมานั่งเฉย
เราพูดคำท่านก็ตอบคำ ไม่พูดต่อไป อาตมาก็คะนองปากพูดล้อเธอว่า ถ้าไม่พูดก็เอาไม้ทิ่มปากเสียก็แล้วกัน จะได้พูดเป็น เป็นอันว่า
ตกลงกันว่าวันรุ่งขึ้นไปวัดพระบาทตากผ้า
เมื่อไปถึงแล้วคณะที่ไปด้วยก็เข้าไปหาท่าน อาตมาก็ชมสถานที่ ดูการก่อสร้างที่มีอยู่แล้ว ซึ่งคนนำทางบอกว่าส่วนนี้ ท่านครูบาศรีวิชัยท่านสร้างไว้
บ้างดูรอยเท้าที่ผู้แนะนำบอกว่า เป็นรอยพิเศษที่ท่านผู้มีฤทธิ์แสดงรอยไว้ เป็นเวลาพอดีที่คุณแม้นเทพออกมาจากที่รับแขก มาบอกว่านิมนต์เข้าไปได้แล้วครับ
หลวงพ่อท่านออกมาแล้วครับ
วันนี้ดีกว่าวันก่อนเพราะวันก่อนที่ผมมา ผมพูดคำท่านก็ตอบคำ วันนี้ดีกว่าวันนั้นมาก เพราะออกมาแล้วนั่งหลับตาปี๋เลย ไม่พูดไม่จากับใครทั้งหมด
อาตมาฟังแล้วก็มีความรู้สึกว่า วันนี้คงพบละครโรงใหญ่ แสดงบทพิเศษแน่ ด้วยพระขนาดนั้นไม่รู้อะไรเลยไม่มี เว้นไว้แต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น
เมื่อคุณแม้นเทพเตือน ก็เดินเข้าไป
และนมัสการท่านด้วยความเคารพด้วยความจริงใจ ไม่ใช่กายเคารพแต่ใจต่อต้าน เมื่อนมัสการท่านแล้ว ท่านก็ทักทายปราศรัย คราวนี้พูดเก่งมาก
พูดกับคนโน้นคนนี้ไม่หยุดปากเลย ขณะที่ท่านพูดอยู่ อาตมาก็คิดในใจว่า ท่านบรรลุขั้นไหน ที่คิดอย่างนี้ไม่ใช่อวดวิเศษ
คิดด้วยความชื่นชอบในปฏิปทาของท่าน
เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วอารมณ์ใจที่ใช้เป็นปกติก็อยากรู้กำลังใจ แต่ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน เป็นเรื่องจริงที่หาได้ยาก นั่นก็คือ มองใจท่านไม่เห็น
มืดตื๋อไปหมด ที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ท่านมืด แต่เป็นเพราะอาตมาพบของจริงเข้า นั่นคือ เด็ก ไม่สามารถเสมอผู้ใหญ่ได้ หรือคนตามัวไม่สามารถเห็นอณูเล็กๆ ได้
นั่นก็คือ อาตมามีอารมณ์ใจเลวกว่าท่านมาก
จึงไม่สามารถเห็นอารมณ์ใจของท่านได้ ทันทีที่ต้องการรู้อารมณ์ใจของท่าน ท่านก็หันมา พูดทันทีว่า คนเรานี่แปลกนะ เห็นคนอื่นเขาได้
ก็คิดว่าตนเองจะได้บ้าง ท่านพูดตรงกับอารมณ์ที่นึกอยู่พอดี จึงแน่ใจว่าท่านองค์นี้เป็นพระที่ควรบูชาอย่างยิ่งองค์หนึ่ง
คุยกันตามลำพัง
เมื่อถึงเวลาพอสมควร ทุกคนก็อำลาท่านเพื่อกลับ ก่อนกลับก็ชมสถานที่ก่อน ตอนนั้นอาตมาขออนุญาตคุยกับท่านตามลำพัง เมื่อปลอดคน ก็เรียนถามท่านว่า ท่านปรารถนาพุทธภูมิ หรือตัดตรงไปเลย ท่านตอบว่า ตัดตรงไปเลยดีกว่า เป็นอันทราบว่า ท่านมุ่งอะไร
จึงถามท่านต่อไปว่า
(คำถามตอนนี้ ฟังดูแล้วเหมือนถามแต่พระที่ท่านปฏิบัติได้แล้วท่านจะทราบว่า ไม่ได้ถามเพื่อต้องการศึกษา เป็นการถามถึงผลที่ได้แล้ว)
ได้เรียนถามท่านถึงสังโยชน์สิบ บอกท่านว่า ต้องการศึกษา ท่านยิ้ม แล้วท่านก็อธิบายย่อสังโยชน์ถึงข้อห้า แล้วกลับต้นใหม่ รวม ๓ รอบ ท่านบอกว่า ผมเข้าใจจริงๆ เท่านี้เองครับ
ฟังแล้วเมื่อเทียบกับตำราที่เคยรับทราบมา ถ้าตำราไม่โกหก ก็ต้องยอมรับว่าท่านบรรลุพระอนาคามี เมื่อคิดว่าเวลานี้ท่านทรงอนาคามี
และกำลังอยู่ในอรหัตมรรค มองหน้าท่านไม่ได้พูดด้วยวาจา ท่านมองหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ท่านพูดออกมาโดยที่ไม่ได้ถามว่า ใช่แล้ว
เมื่อหมดความข้องใจแล้ว ก็คุยวิธีการปฏิบัติ
ด้วยเวลานั้นอาตมาก็มีความรู้แค่งู ไม่ถึงปลาทั้งนี้หมายถึงความรู้ในด้านปฏิบัติธรรม มีความรู้กระจุ๋มกระจิ๋มจริงๆ แล้วขณะนั้นก็ไปอยู่ในสำนัก
ของปาดที่อยู่ในถ้วยน้ำพริกครอบ จึงก้าวหน้าได้อย่างเชื่องช้า เพราะเพื่อนช่วยกันต้านทานทุกวิถีทางแต่ก็ไปได้เรื่อยๆ เมื่อขอศึกษากับท่าน
ท่านก็แนะนำสังโยชน์สิบ อธิบายสั้น แต่หมดข้อข้องใจ
แล้วท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไรนะ จากนี้ไปไม่กี่ปี อาจไม่เกินสี่ปีก็เข้าใจหมดทุกอย่าง พยายามท่องจำไว้ก็แล้วกัน
เมื่อหมดภารกิจก็ลาท่านกลับ ก่อนจะกลับท่านจับมือสองมือไปกำแน่นแล้วท่านก็บอกว่า ดีใจมากนะ ที่เราได้พบกันและเข้าใจในกัน
อย่าลืมนะไม่เกินสี่ปีท่องจำให้ดีจะเข้าใจสังโยชน์ทั้งสิบ ในที่สุดก็ลาท่านกลับ
เมื่อพบพระดี ดีทั้งปริยัติและดีทั้งปฏิบัติ ท่านมีวิริยะ และอุตสาหะ เป็นพิเศษ ท่านบอกว่าตั้งแต่บวชท่านธุดงค์ตลอดมา
เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษาอยู่ใกล้วัดไหน ก็อาศัยวัดนั้นจำพรรษา ออกพรรษาก็อำลาจากวัดนั้นอยู่ป่าอยู่เขาธุดงค์ต่อไป ต่อเมื่ออายุ ๕๕ ปี
ญาติโยมอาราธนาให้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบาทตากผ้า ท่านก็สงเคราะห์พุทธศาสนิกชนตลอด
เวลานี้ท่านมรณะแล้ว คือกายดับ ประสาทดับ การท่องเที่ยวคงดับด้วย ข้อนี้ช่วยกันดูด้วยนะ ท่านดับการท่องเที่ยวด้วยหรือไม่ อาตมาไม่ทราบตามที่พูดกับท่าน
แต่ตามความรู้สึกทางใจคิดว่า ท่านยอมแก่ด้วยประการทั้งปวงแล้วท่านคงขี้เกียจเที่ยวต่อไป อาตมาขออนุโมทนา ที่ท่านทั้งหลายพบพระดี
แต่ละท่านก็เก็บความดีของท่านมาใช้มากบ้างน้อยบ้าง
ตามกำลังใจที่จะพึงรับได้ ก็ต้องถือว่าทุกคนมีโชคดีที่พบพระสุปฏิปันโนแท้ๆ ไม่ใช่ยัดไส้ หรือไม่มีอะไรปลอมไว้ภายใน เมื่อท่านพบพระดี ได้ของดีไว้ใช้
จะมากน้อยเพียงใดนั้นไม่แปลก ต้องถือว่าทุกคนมีดี จงพยายามรักษาความดีนั้นไว้อย่างให้สลายตัว สำหรับอาตมาเอง ต้องถือว่าท่านเป็นพระอาจารย์ที่ชี้ทางตรงให้
และก็ตั้งใจเคารพท่านตลอดเวลา ขอท่านพุทธศาสนิกชนโดยถ้วนหน้า จงบูชาความดีของท่านด้วยการปฏิบัติตาม ทุกท่านจะไม่พลาดจากผลของความดี
คือความสุขตลอดกาล
(พระสุธรรมยานเถร)
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 28/11/11 at 14:32
ครูบาอินทจักรรักษา (วัดน้ำบ่อหลวง)
พวกเราเสร็จจากนมัสการเยี่ยมที่พระบาทตากผ้า ก็เดินทางไปวัดดอนมูล สันกำแพง จะไปนมัสการกราบเยี่ยมพระอริยะที่จนเกือบจะที่สุด แต่ไม่เจอะเจอ ท่านทุกขะตะ หรือหลวงปู่คำแสนน้อย พวกเราก็เลยเบนเข็ม ไปนอนก่อนสักวัน วันพรุ่งนี้จะไปนมัสการ ท่านวัดน้ำบ่อหลวง
ดังนั้นครั้นพอเช้ามืดเราก็ปลุกพรรคพวกออกไปช้อปปิ้งกันก่อนไป ส่วนท่านวัดน้ำบ่อหลวง พอตื่นจากจำวัด
ก็สั่งให้มรรคทายกจัดเตรียมศาลาและอาหาร บอกว่าจะมีศรัทธาจากกรุงเทพฯ มากันมาก ไวยาวัจกรว่าไม่มีใครมาบอกอะไรไว้นะหลวงพ่อ ท่านก็ว่า เหอะ
เดี๋ยวจะมีมาละก็จะไม่ทัน ปรากฏว่าพอรถเลี้ยวเข้าวัดถามไถ่ได้ความว่า
ท่านวัดน้ำบ่อหลวงรอรับอยู่ที่ศาลาก็พากันนมัสการ แหมแทบไม่น่าเชื่อ สำรับอาหารคาวหวานพร้อมยังกับรู้ล่วงหน้า พอลงจากรถมาก็ได้กินได้ฉันทันเพลพอดี
เมื่ออิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว หลวงพ่อของเราฯ ก็พาพวกเข้าไปกราบนมัสการทันที สอบถามเลยว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกกระผมจะพากันมาหาขอรับ
ท่านก็ว่า มีคนบอก หลวงพ่อของเราซักอีกว่า ใครบอก ท่านก็ไม่ยอมพูดถึงว่าใครบอก ตอบสั้นๆ ว่า รู้ แล้วมองหน้าหลวงพ่อของเราพูดกันด้วยภาษาสายตา
ที่ผมขอเดาเอาเองว่า แหมท่านก็แกล้งทำเป็นมาถาม แกล้งทำเป็นไม่รู้ อะไรต่ออะไรมันก็เหมือนไก่เห็นไข่พญานาคา เอ๊ย ไม่ใช่ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่นั่นแหละ
หลวงพ่อของเราจึงขออภัยนมัสการกราบเรียนว่า กระผมนั้นทราบดี แต่ทว่าลูกศิษย์ที่ติดตามมาล้วนเป็นนักบุญก็จริง
แต่ยังมีความสงสัยจึงเป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่จะต้องทำให้ข้อสงสัยข้องใจนั้นปรากฏความจริงออกมา หาได้มีจิตคิดจะลบหลู่ครูบาไม่ ท่านก็หัวเราะและอมยิ้ม
กิริยามารยาทที่พระสุปฏิปันโนสององค์ท่าน
น้อมคารวะปฏิสันถารกันอย่างน่าจดจำไว้เป็นตัวอย่าง สร้างความประทับใจให้กับเหล่าศิษยานุศิษย์ยิ่งนัก เมื่อหลวงพ่อ ปฏิสันถารโต้ตอบกับท่านวัดน้ำบ่อหลวง
จนกระทั่งท่านยอมรับแล้วว่า สำหรับท่านนั้น สังขารมันป่วย แต่ใจไม่ป่วย แล้วพวกเราต่างก็ชื่นอกชื่นใจได้ฟังสองท่าน ปุจฉา วิสัชนา
กันจนสิ้นสงสัยชื่นอกชื่นใจ
แหมองค์ปุจฉาก็ฉลาดลึก ส่วนองค์วิสัชนาก็ฉลาดล้ำ บัวก็ไม่ช้ำ น้ำก็ไม่ขุ่น ผู้เห็นผู้ได้ยินได้ฟังต่างบังเกิดปีติ
เมื่อสนทนากันเสร็จสิ้นกระบวนความแล้วก็ถึงพิธีการแจกเครื่องรางของขลัง สำหรับผมเองนั้นบอกแล้วไงครับว่า สมัยนั้นน่ะอยู่หางแถว ผมนั่งอยู่ไกลกว่าใครเขา
ไม่ว่าใครจะมาจากไหน ท่านก็แจกพระรอดให้คนละองค์
ใครตื๊อดีก็ได้เพิ่มไปฝากลูกฝากหลานอีกคนละองค์สององค์ ผมนั้นตั้งจิตอธิษฐานว่าเครื่องรางของขลังนั้น
กระผมอยากที่จะได้นำไปฝากพวกที่กำลังรบหนักอยู่ที่ชายแดน ผมมาเจ็บป่วยถูกยิงเสียก่อนทิ้งพวกทิ้งเพื่อนรบราอยู่ ไม่ได้อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา
จึงอยากจะได้เพื่อนำไปช่วยเป็นกำลังใจ เออแน่ะ ได้ผลแฮะ
พอผมเข้าไปรับปุ๊บ พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราว่าให้เองเลย ไอ้นี่มันเป็นนักรบอยากได้เครื่องรางไปให้พวกของมัน ขอให้มันเยอะๆ เถิดขอรับ พวกมันมีมาก
ปรากฏว่ามีพระเหลืออยู่สิบกว่าองค์ ท่านก็ให้หมดและยังบอกว่าวันหลังมาเอาใหม่ พวกเราว่าหลวงพ่อของเราท่านรู้วาระจิตไหมขอรับ
ท่านวัดน้ำบ่อหลวงนั้น ก่อนหน้าที่พวกเราจะพากันไปนมัสการ ท่านป่วยเป็นมะเร็งหมดเขาให้นำกลับมาที่วัด จะได้ทำศพกันสะดวก แล้วท่านก็ตายไปจริงๆ
ตายไปกี่วันผมจำไม่ได้ ดี๊ ที่เขาไม่จับท่านฉีดยากันเน่า ไม่อย่างนั้นท่านก็คงจะต้อง เน่าเพราะยา ดูเหมือนจะเป็นสามวันที่ท่านตายไปพอวันที่สามท่านก็ฟื้น
โชคดีอีกที่เขาไม่เอาท่านใส่โลงปิดฝา
ไม่งั้นไม่ฟื้นดีกว่าเพราะจะต้องมาตายซ้ำเพราะขาดอากาศ ไปหาหนังสืออ่านเอาเองนะครับว่าตอนที่ท่านตายท่านไปเที่ยวที่ไหนมา มีพระหมอประสาน เหตระกูล
ลูกศิษย์ของท่านเขียนเล่าไว้ละเอียดแล้ว ท่านที่ไม่เคยอ่านลองไปเที่ยวที่วัดน้ำบ่อหลวงแล้วไปดูเจดีย์ครอบพระพุทธบาทจำลอง
จะเห็นการจำลองพระจุฬามณี นรก สวรรค์ เพียบตามที่ท่านไปมาแล้วกลับมาสร้างเลียนแบบ มีการรับรองอย่างนี้แล้ว ท่านว่า นรก สวรรค์ พระจุฬามณี มีไหมครับ
พวกเราจะไปดูของจริงก็ได้นะครับ มโนมยิทธิ ไง้ พ่อคุณแม่คุณ อยากเห็นปุ๊บ ได้ดูปั๊บ
พอวันหลังผมก็ไปหาท่านอีก ท่านก็ให้พระรอดมาถุงใหญ่ เรียกให้ไปเอาที่กุฏิ ได้พบได้คุยเป็นส่วนตัวอยู่นาน แหม ไม่เห็นคุยเรื่องอื่น
ชมหลวงพ่อของเราตลอดเวลา ตักเตือนผม ให้หมั่นปฏิบัติธรรมและดูแลหลวงพ่อฯ ให้ดี ท่านว่าหลวงพ่อฯ ของเรานั้น ลาพุทธภูมิแล้ว และมีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งหลวงพ่อฯ
ให้ผมไปขอ สังฆาฏิ จากท่านๆ ก็ไม่ขัดข้อง
ให้ไปรับที่กุฏิ ก่อนท่านจะมอบท่านก็ยกขึ้นบรรจบหลับตาอธิษฐาน ผม ก็ไม่ถามไถ่ ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นถ่ายหมับ ปรากฏว่าแฟล็ชช็อตร้อนวาบจนต้องโยนทิ้ง
ทั้งกล้องทั้งแฟล็ช ท่านก็ลืมตาขึ้นมาแล้วร้องห้ามว่า เดี๋ยวจบก่อน พอท่านจบเสร็จท่านก็ว่า เอ้า ถ่ายได้แล้ว ลูกน้องผม ก็รายงานทันทีว่าถ่ายไม่ได้แล้วครับ
ท่านถามว่าทำไม เรียนท่านว่า พังครับ พังทั้งกล้องทั้งแฟล็ช ถามอีกว่า แพงไหม ตอบไปว่าไม่ทราบครับ (กล้องผมขอยืมเขาไปครับ
แพงหรือไม่ผมจะไปรู้เหรอหลวงปู่) ท่านว่าอีกว่า ดูใหม่ซิ ผมก็เอามาลูบๆ คล้ำ ใจนั้นคิดว่าจะทำพอเป็นพิธีเพราะก่อนที่จะรายงานว่าพังนั้น
เห็นว่ามันพังแล้วจริงๆ กลไกมันติดขัดไปหมดแล้วมันจะไม่พังได้อย่างไร
เอ๊ะ พอลูบๆ คลำๆ อ้าว ไหงไอ้บรรดากลไกต่างๆ กลับทำงานได้ตามปกติ (ตอนนั้นใช้แฟล็ชหลอด จานไหม้ไปนิดหนึ่ง ราคาไม่กี่สตางค์) เก่งจริงๆ หลวงปู่ฯ นี่
ถามอีกว่าห้อยพระอะไร ตอบท่านห้อยลูกแก้วราหู ของ หลวงปู่ชุ่ม ท่านก็ว่า ศักดิ์สิทธิ์นะแล้วเจ็บบ้างหรือเปล่า เรียนท่านว่า ไม่เจ็บแต่มือชาไปหมด ท่านขอดู
ลูบคลำ ไม่เสกไม่เป่าแพล็บเดียวก็หายเป็นปกติ ความจริงก่อนจะถ่ายรูปนั้น ผมอวดดีระแวงอยู่แล้วว่าจะต้องเจอดี
เพราะเคยฟังคนรู้เขาเล่าถึงประสบการณ์แบบนี้กับพระที่ทรงอภิญญา แต่มันอยากลองดี แอบอธิษฐานกับลูกแก้วขอให้ช่วยคุ้มครองขณะลองดี แล้วก็เจอดีสมใจปรารถนา
แต่ว่าก็ว่าเถิดนะครับ ถ้าตอนนั้นผมไม่ยอมเสี่ยงก็คงจะไม่มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ จริงไหมขอรับ สังฆาฏิ ผืนที่ว่านี้ ยังมีเหลืออยู่
จะเอาไปสร้างพระ เก็บหอบหิ้วมา ๑๓ ปีแล้วนะจะบอกให้
หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร (วัดดอนมูล)
องค์นี้ภายหลังหลวงพ่อฯ ของเราเปิดเผยว่า เคยเป็นพี่ชายของท่านมาหลายชาติแล้ว ท่านเป็นคนใจบุญ ได้ทรัพย์ได้สมบัติมาเท่าใดก็ไม่สะสม
เทออกทำบุญจนหมดสิ้น ทำบุญหมดตัวเหมือนท่าน มหาทุกขตะ ยังไงยังงั้น เพราะฉะนั้น เมื่อประสบพบกัน ทั้งสององค์ก็คุยกันโน่น เรื่องราวสมัย พระเจ้าพรหมมหาราช
มีโต้มีเถียงกันบ้างเรื่องยุทธการสมัยนั้น
แล้วพวกผมจะไปรู้เรื่องเรอะ ตอนที่กำลังคุยกันเรื่องนี้ หลวงพ่อของเราท่านหันกลับมาพูดขอเวลานอกกับพวกเรา แล้วหันไปคุยรู้เรื่องกันเพียง ๒ องค์
ต่างก็แสดงทัศนะในเรื่อง รายละเอียดของมหายุทธวิธีในยุคที่ว่า หลวงปู่ว่าถ้าหลวงพ่อเชื่อท่าน ทำตามที่ท่านติดเหตุการณ์จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หลวงพ่อฯ
ก็ว่าท่านมีเหตุผลที่ดีกว่านั้น
ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นไปอย่างโน้น เอ้อ ดี รู้เรื่องกันเพียง ๒ คน ตาเถนเณรยายชีไม่มีใครรู้เรื่อง บางตอนหลวงพ่อฯ ก็หันมาถาม ท่าน พล.อ.ท. ม.ร.ว. เริม
ศุขสวัสดิ์ ที่พวกเรามักจะเรียกท่านว่า ท่านเจ้ากรมเสริมหรือลุงเสริมฯ นั่นแหละ ท่านนี้หลวงพ่อฯ ว่าเป็นเพื่อนเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านมาทุกยุคทุกสมัย
สมัยนั้นหลวงปู่ฯ ท่านกำลังหนีคนไปสร้างวัดใหม่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวัดเดิม ซึ่งเริ่มไม่สงบท่านเรียกว่า วัดป่าดอนมูล
ผมเคยถามท่านว่าด้านหลังวัดอยู่ติดลำห้วย มีป่าอยู่นิดหน่อย ไหงหลวงปู่ตั้งชื่อเสียน่ากลัวว่าวัดป่า
ท่านว่าป่าที่เอาเป็นชื่อวัดนั้นไม่ได้หมายความตามอย่างที่ผมเข้าใจ ท่านหมายถึงป่าช้าต่างหาก
เพราะเดิมที่ตรงนั้นเป็นป่าช้า เป็นอันว่าที่ท่านตั้งชื่อว่า ป่า ไม่ใช่เพื่อความขลัง ให้กับสถานที่ แต่ ได้ตัดคำว่า ช้า
ออกไปเพราะเกรงว่ามันจะน่ากลัวเกินไปต่างหาก พอรู้แล้วผมก็หมดกังขาว่าเวลาวิกาลหลวงปู่ฯ ต้องได้ความสงบวิเวกอย่างเต็มที่
เพราะจำวัดอยู่ในป่าช้าไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนหรอก
และแล้ววันหนึ่งกรรมของผมก็มาถึง จำไม่ได้ว่าหลวงพ่อใช้ให้ไปหาเรื่องอะไร ก็ไปกันหลายคนกับน้องๆ นี่แหละครับ กำลังหนุ่มแน่น
แทนที่จะรีบไปทำธุระให้หลวงพ่อ แวะโน่นแวะนี่ไม่เห็นเจ้าเห็นหลังคาบ้านเจ้าก็ชื่นใจแท้ เที่ยวกันจนดึกดื่นเลี้ยวควับเข้าไปที่วัดนอก กะนอนวัด
ตาย...แล้วหลวงพี่ก็ไม่อยู่หลวงปู่ก็ไปจำวัดอยู่ที่ป่า
หาข่าวได้มาอีกว่ารุ่งขึ้นแต่เช้าหลวงปู่ก็จะไม่อยู่จะเข้ากรุงเทพฯ แต่มืดทำไงดี เอาละวาสู้ตายมากันหลายคนนี่หว่าจะไปกลัวอะไร เอ็ม ๑๖
ในรถก็มีหลายกระบอก ผมเป็นหัวหน้ารับผิดชอบอยู่แล้วใครๆ ก็เชื่อมือ หลับกรนครอกๆ กันทุกคน ผมก็เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาด้วยความชำนาญ ป่าจะมีอะไร
ไม่พอมือพอขี้ยา
ป่าดงดิบกับระเบิด พ่อยังฝ่ามาเสียหลายสมรภูมิ ป่าใกล้ๆ แค่นี้ไม่พอมือพอตีน ขับอยู่นาน เอ๊ะ ไหงมันนานนักไม่ถึงเสียที มันน่าจะถึงตั้งนานแล้วนี่นา
ง่วงก็ง่วง ??? รำคาญเสียงกรนก็รำคาญเพราะอยากจะนอนเต็มแก่เหมือนกัน แต่เอ๊ะ นั่นรอยรถบนถนนข้างหน้าทำไมมันถึงได้เหมือนกับรถเรา จอดลงไปดู จะไม่เหมือนได้ไง
มันก็คือรอยล้อรถของเราเอง ตาย..หลงว่ะ หลงทางรู้ไปถึงไหนอาย ตาย..พวกมันยังหลับไม่รู้ว่าเราพาหลงทาง จอดรถข้างทางคว้าปืนคว้าไฟฉายลงไปดูลู่ทาง
มองไปแต่ไกลเห็นหลอดไฟแดงๆ สูงระดับยอดตาลอยู่ ๒ หลอดไม่ไกลนัก เออค่อยยังชั่วน่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่มนุษย์ทำขึ้น
ถ้าไปที่ตรงนั้นก็คงจะได้พบคนจะได้ถามทาง
กลับมาขึ้นรถอีกคราวนี้ไม่ไปตามทางแล้ว เอาทิศทางจับทิศทางที่เห็นหลอดไฟแดงมุ่งตรงเข้าไปหา พอเข้าไปใกล้ เอาไฟหายไปอีกแล้ว ลงจากรถอีก
ไฟฉายท่านก็ไม่เป็นใจเหลือไฟอยู่ริบหรี่ นี่ขนาดเป็นไฟฉายในรถของท่านนายพลเอกในอนาคตนะ (รถขอยืมไปจากท่าน พล.อ.ชวาล กาญจนกูล สมัยนั้นเป็น พ.อ.)
เดินเข้าไปสำรวจ
เห็นลำตาลคู่ทะมึนอยู่ตรงหน้า คะเนว่าต้องเป็นเสาที่เขาแขวนหลอดสีแดงที่เห็นมาก่อน เดินเข้าห่างซัก ๕ วา เอาไฟฉายดู ใจหายแว้บ
ไอ้เวร ไม่ใช่ลำตาลนี่หว่า ดูๆ มันคล้ายกับหน้าแข้งคน ถอยห่างมาอีก ๕ วา กลั้นใจส่องไฟฉายไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ กูว่าแล้ว เปรตโว้ย
ยืนทะมึนนัยน์ตาแดงโร่คร่อมทางอยู่ตรงหน้า
โกยแน่บกลับมาที่รถแหกปากร้อง เรียกน้องๆ ให้ตื่น เปรตมันจะมาเหยียบกบาลพวกมึงแล้วไม่รู้หรือ ชุลมุนกันไปหมด นึกขึ้นมาได้สองมือประนมขอให้พระช่วย
แล้วตัดสินใจหันหัวรถเอาไฟรถส่องดู อ้าวหายไปแล้ว เอ๊ะ แล้วไอ้ตรงที่ขามันยืนคร่อมอยู่ถัดออกไปหน่อยคือประตูเข้าวัดป่านั่นเอง รอดตายแล้วกู
กระทืบคันเร่งเลี้ยวควั้บเข้าไปเลย
จอดลงตรงหน้ากุฏิ หลวงปู่ยิ้มเผล่รอรับอยู่ที่ระเบียบ ไอ้ทโมนทั้งสี่ตัวเผ่นผลุงเข้าไปในกุฏิ จับกลุ่มนั่งกอดเข่าตัวสั่นงันงก
ไม่พูดไม่จากว่าจะตั้งสติได้จึงหันไปกราบหลวงปู่ ท่านถามว่าไปทำอะไรมา หนาวเหรอ หลวงปู่นะหลวงปู่แกล้งทำเป็นมาถาม ไม่เห็นเรอะ ขี้อยู่บนหัวขมองกันทุกคน
คราวนี้ต่างคนก็ต่างอ้อนซิ คนโน้นก็เห็น กูเห็นมึงเห็น เห็นกันทุกคน
ชิงกันเล่าน้ำไหลไฟแลบ ตกลงนอนกันในกุฏิหลวงปู่ฯ กันทุกคน ภายหลังหลวงปู่ฯ ท่านก็เล่าให้หายสงสัยว่า ที่เห็นนั้นน่ะ ไม่ใช่เปรต แต่เป็นยักษ์
เอาเถิดครับหลวงปู่ไม่ว่าจะเป็นเปรตไม่เปรต พวกผมก็ไม่อยากได้ทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ โปรดเอาคืนไปให้หมด ในส่วนลึกผมคิดเอาเองนะครับว่าหลวงปู่ฯ
จะต้องมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นเป็นใจอย่างแน่นอน บางทีอาจจะเป็น ตัวการ ส่ง คุณตาแดง ตนนั้นออกไป ดัดสันดาน พวกผม
ครูบาบุญทึม พรหมเสโน (วัดจามเทวี)
ด้วยกายเนื้อ หลวงพ่อเคยนำพวกเราไปพบและนมัสการพระคุณเจ้าศิษย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย องค์นี้มาแล้ว ๒ ครั้ง
ครั้งแรก ที่วัดจามเทวี หลังจากที่ไปนมัสการหลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร (วัดป่าดอนมูล)
และได้รับคำแนะนำให้มาพบให้ได้ เป็นพระเฉยๆ ไม่เอาไหน พระที่วัดก็ไม่มีใครรู้ ชาวบ้านก็ไม่รู้ แต่เป็นพระแท้ ไปหาให้พบให้ได้
หลวงปู่คำแสน เล่าพลางหัวเราะ หลวงพ่อฯ รีบพาพวกเราไปพบ
หลังจากนมัสการกราบลาหลวงปู่คำแสน ท่านเตือนมาก่อนแล้ว ผมจะไม่เล่าตอนนี้เพราะรายละเอียด โกษา ป่อง
เล่าอย่างละเอียดเอาไว้แล้วในหนังสือเรื่องล่าพระอาจารย์
ครั้งที่ ๒ ที่วัดจามเทวี หลวงปู่ทึมฯ ได้นิมนต์หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก
ศิษย์ครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นพระสุปฏิปันโนอีกองค์หนึ่งมาคอยรับอยู่ด้วย
ครั้งที่ ๓ ที่วัดพระธาตุจอมกิตติ พร้อมกับหลวงปู่ครูบาชุ่ม
ครั้งที่ ๔ รับนิมนต์หลวงพ่อของเรา ไปแจกพระเครื่องและผ้ายันต์ให้กับ ตชด. ที่ค่ายดารารัศมีพร้อมกับหลวงปู่คำแสน
วัดดอนมูล (พวกเรารับท่านออกมาจากโรงพยาบาลเพราะหลวงปู่ท่านอยากจะมา)
ครั้งที่ ๕ ไปเยี่ยมหลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโกที่วัดวังมุยพร้อมกับหลวงพ่อ
ครั้งที่ ๖ หลวงพ่อพาพวกเราไปเยี่ยมหลวงปู่ ที่วัดนาเลียง พระพุทธบาทห้วยต้ม
ซึ่งทำให้พวกเราได้รู้จักหลวงปู่ครูบาวงษ์
หลวงปู่บุญทึม เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ชื่อว่าเป็น พระสุปฏิปันโน โดยแท้
เป็นพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนาที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว หลวงพ่อของพวกเราเป็นองค์รับรองอย่างแข็งแรง และสุปฏิปันโนทุกๆ องค์ที่หลวงพ่อพาพวกเราไปนมัสการมา
ก็รับรองเช่นนั้น...
ผมนั้นทั้งรักทั้งสงสารท่านเป็นนักหนา เมื่อเห็นท่านป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งในตับ เคยใช้กลอุบายต่างๆ นานาเพื่อที่จะให้ท่านอยู่กับพวกเรานานๆ
แต่แล้วก็ไม่ไหว สงสารท่าน ปล่อยให้ท่านไม่ต้องทรมานสังขารจะดีกว่า ผมเคยเห็นท่านเรียกพระรอดมหาวันหรือพระเครื่องสมเด็จหรือของหลวงปู่ปาน
ออกมาให้ดูหลายครั้งเหมือนกับแขกเล่นกล
ผมสนิทสนมกับท่านจนบางครั้งกล้าพูดเล่นหยอกล้อกัน เมื่อท่านทำให้ดูแล้วท่านก็กำชับผมนักหนาว่าอย่าไปเล่าให้ใครฟัง เขาจะหาว่าเอ็งบ้า
เหมือนกับเรื่องยักษ์หรือเปรตที่วัดหลวงปู่คำแสน ก็กำชับไม่ให้ผมเล่าเช่นเดียวกันว่าเขาไม่เชื่อเขาจะหาว่าเราบ้า แต่บัดนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึง ๑๓ ปีแล้ว
ผมก็เริ่มมีอายุมากแล้วอีกทั้งสุขภาพไม่ค่อยดี
ผมระลึกอยู่เสมอว่า ความตายไม่มีนิมิตหมาย วันเวลาล่วงเลยไป บัดนี้เธอทำอะไรอยู่ ถ้าผมไม่บอกไม่เล่าเสียตอนนี้ถ้าผมตายไปแล้ว
ใครเขาจะมารู้เรื่องเหล่านี้ กลับมาเรื่องหลวงปู่บุญทึมฯ ดีกว่า เรื่องราวของท่านก็พื้นๆ ไม่มีอะไรโลดโผนพิสดาร ในวัดท่านก็เป็นเพียงพระปลัดฯ
ของท่านเจ้าคุณธรรมฯ เจ้าอาวาส นอกจากเครื่องอัฏฐบริขารแล้ว
หลวงปู่ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของตนเองเลยก็ว่าได้ ท่านเคยเล่าให้ผมฟังสมัยท่าน ครูบาศรีวิชัย ดังๆ
หลวงปู่ท่านยังเป็นเณรอยู่ทางภาคเหนือนี่เขาเรียกเณรว่า น้อย แต่พอโตเป็นพระกลับเรียกว่า ตุ๊เจ้า ถ้าเป็นที่เลื่อมใสเคารพสักการะก็เรียกว่า
ครูบา สำหรับหลวงปู่ทึม พวกกระเหรี่ยงนับถือมาก
สมัยที่ยังหนุ่มแน่น ท่านก็ออกจาริกธุดงค์ไปทั่ว พะม่งพม่าท่านเดินไปมาหมด ท่านเคยเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับจังหวัดลำพูนหรือเมืองหริภุญชัย เกี่ยวกับ
พระนางจามเทวี มาจนถึงสมัยวัดจามเทวีเมื่อครั้งเจ้าจักรคำฯ มาบูรณะวัด
เล่าถึงเชื้อสายของเจ้านายทางเหนือพระองค์ซึ่งเป็นพระภิกษุที่ทรงบุญญฤทธิ์บอกชื่อแซ่มาเสร็จ
ให้เหรียญมา ๑ เหรียญ พร้อมกับรอยขมิ้นประทับรอยเท้าบนผ้าขาวมา ๑ ผืน ไม่รู้ไปทำหายที่ไหน แถมยังจำชื่อท่านก็ไม่ได้ เชื่อว่า พี่แดง (พ.อ.ศรีพันธ์)
น่าจะจำได้ เพราะท่านชอบประเภทกำลังภายในอยู่แล้วนี่ครับ ตอนที่หลวงปู่ป่วยมากใกล้จะตาย พวกเราเอาท่านไปไว้ที่โรงพยาบาลลำพูนอยู่ติดกับวัดนั่นแหละ
เพราะพี่ชวาล (ท่านพล.อ.ชวาล กาญจนกูล)
ท่านมีพรรคพวกคอยดูแลอยู่ หลวงปู่นั้นป่วยเป็นมะเร็งที่ตับ เรารู้ว่าท่านจะอยู่ได้ไม่นาน ก่อนหน้านั้น
กะเหรี่ยงก็มาเอาท่านไปนอนรับการรักษาอยู่ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ท่านก็ตั้งใจจะไปตายที่นั่น แต่ผมไปกราบเรียนท่านว่าพวกเราจะ ทอดกฐิน ที่วัดจามเทวี
ท่านถึงยอมมารอรับกฐินอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนนั้นท้องของท่านป่องเหมือนลูกบอลลูน
[color=brown]น้ำเต็มช่วงอกทำให้ปอดชื้นด้วย หมอเขาเอาเข็มแทงเจาะเอาน้ำออกได้วันสองวันก็ป่องขึ้นมาอีก เหมือนคนท้อง ๙ เดือน
ท่านเคยเรียกผมเข้าไปพูดตรงๆ ว่า ท่านขอตายเถิดนะ ผมไม่ยอม
ท่านเอามือผมเข้าไปกอดพูดไปหอบไปแต่หน้ายิ้มแย้มตาใสแจ๋วแฝงความจริงจังขอฝากผมเรื่องกฐินวัดจามเทวี ผมดึงมือของผมออกจากฝ่ามือหลวงปู่
และกราบเรียนท่านว่าเสียใจหลวงปู่ ถ้าหลวงปู่ตาย กฐินไม่มา ท่านทอดถอนใจมองหน้าผมตาแป๋วจนผมนั้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ร่ำๆ จะใจอ่อนพูดว่า
จะตายก็ตายเถิดครับ อย่าห่วงอย่าทรมานอยู่เลย แต่ในตอนนั้นผมยอมรับครับว่า โหดจริงๆ ผมนี่ ผมให้เอาเหรียญครูบาศรีวิชัยที่หลวงปู่ฯ
แอบไปสร้างมาไว้ที่โรงพยาบาล
ขอร้องว่า ถ้าหลวงปู่ ฝากเหรียญชุดนี้มาให้ผม ขอพี่ชวาลฯ อย่าได้รับปาก
เพราะผมทราบดีว่าเป็นเหรียญรุ่นสุดท้ายที่หลวงปู่สร้างเตรียมเอาไว้แจกงานกฐินและงานศพ
ตอนหลังหลวงปู่เอาเหรียญชุดนี้ไปไว้ที่พระอุโบสถวัดจามเทวีให้พระที่วัดโยงสายสิญจน์มาที่เตียงที่ท่านนอนอาพาธ ปลุกเสกตลอดพรรษา
เหรียญชุดนี้ตอนหลังท่านฝากพี่ชวาล เอามาให้ผม
พี่ชวาล แกล้งทำลืมที่ผมสั่งรับเอามา ซึ่งผมเองก็รู้ทันว่าพี่ชวาล คงทนสงสารหลวงปู่ไม่ไหว ยินยอมพร้อมใจให้ท่านพ้นจากความทรมาน ทั้งๆ ที่พี่ชวาลฯ
ก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้ผมอาราธนาหลวงปู่ให้อยู่ต่ออย่าพึ่งทิ้งขันธ์ ๕
หลวงปู่ท่านพูดทำนองปรึกษาหารือกับผมว่าสังขารของท่านนั้นภายในมันเน่าหมดแล้วนะ ผมถามว่าแล้วหลวงปู่ทำอย่างไร
ท่านว่า ธาตุไฟก็เอาเตโชมาหล่อเลี้ยง ดินก็เอาปฐวี ที่เป็นน้ำก็เอาอาโป ที่เป็นลมก็เอาวาโย วิญญาณเอาอากาสะ
ทุกอย่างเอากสิณมาหล่อไว้ ท่านว่านานไปคนเขาจะจับได้ ผมก็ย้อนถามท่านไปว่า แล้วหลวงปู่ถามพระบ้างไหม พระท่านว่าอย่างไร
ท่านว่า พระว่าแล้วแต่ปู่ ผมบอกว่าไม่เชื่อ หลวงปู่ขี้เกียจ หลวงปู่ว่าเปล่าไม่ได้ขี้เกียจ มันเหนื่อย กลัวบาป
ผมก็เลยบอกว่า ถ้างั้นเป็นอันว่าเราปู่หลานไม่ได้พบกันจนกว่าจะถึงวันกฐิน ถ้าเสร็จรับกฐินแล้วแขกจากกรุงเทพฯ กลับหมดแล้ว นิมนต์ตายตามสบาย
หลวงปู่พอฟังคำนี้นอนหลับตาไปเลย
ไม่รับปากแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ผมก็กลับกรุงเทพฯ ทันทีเหมือนกัน ในใจนั้นภาวนาขอพรพระ (ผมว่าพระนี่ขอได้โปรดเข้าใจนะครับว่าผมหมายถึง พระพุทธเจ้า)
ขอฉันทานุมัติสั่งไม่ให้หลวงปู่ตาย แต่แล้วเช้าวันหนึ่ง ขณะที่ผมอยู่ที่วัดท่าซุง หลวงพ่อของเราเรียกผมเข้าไปหา ท่านว่า ไอ้เป๋
ปู่เอ็งมาหาข้าฯ เมื่อคืนที่แล้ว เอาไม่ไหวจะตายวันนี้
ฟังคำหลวงพ่อผมก็งงเหมือนโดนระเบิด แต่ก็ไม่นานจนเกินรอ พอตอนกลางวันโทรเลขด่วนจี๋จากพี่ชวาลก็มาถึงวัดท่าซุง หลวงปู่มรณภาพแล้ว
ขนาดที่ผมรู้จากปากของหลวงพ่อของเรามาก่อน ผมยังทำใจไม่ได้
ระยะหลังผมเรียนรู้จากหลวงพ่อมากจนมีความรู้สึกกับความตายเหมือนกับเดินออกจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งเท่านั้น
และห้องใหม่ก็ดีกว่าห้องเก่าทุกทีไป คนที่สร้างความดีไม่เคยกลัวตาย คนกลัวตายเป็นผู้ที่ไม่แน่ใจว่าจะลงอเวจีมหานรกหรือไม่
ความตายนั้นสำหรับพระอรหันต์นั้นท่านปรารถนาทุกลมหายใจเข้าออก ท่านไม่ได้ห่วงอะไร เหมือนหลวงปู่ทึม ผมอยากจะถามทุกท่านที่กรุณาอ่านข้อเขียนของผมว่า
ท่านห่วงกฐินหรือ ท่านห่วงวัตถุเงินทองหรือ สมมุติอย่างท่านอย่างหลวงพ่อของเรา ท่านจะเอาเงินเอาทองไปทำอะไรส่วนตัว
หรือว่าท่านอยากจะให้เราสร้างถาวรวัตถุจะได้สร้างชื่อเสียงของท่านว่าสร้างวัตถุใหญ่โตมโหฬาร ผมคิดของผมอย่างนี้นะ
หลวงพ่อหลวงปู่มีหรือท่านจะไม่รู้ว่าไม่วัตถุอะไรในโลกนี้หรือโลกไหน มันย่อมจะอยู่ในกฎ
อนิจจัง ทุกขํ อนัตตา สมบัติใดๆ ไม่ว่าจะในโลกมนุษย์ ในสวรรค์ แม้ในชั้นพรหมก็ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์อันนี้ อย่างนั้นก็จะมีคนถาม
ว่ากระนั้นแล้วจะไปสร้างเอาไว้ทำไม ผมว่าประการที่หนึ่ง ท่านต้องการให้เรารู้จัก จาคะ คือ ความเสียสละ หรือ ให้ รู้จัก ทานํ ทานหรือการให้
เพื่อเอาตัวนี้ไปตัดตัว โลภะ
ประการที่สองการที่เสียสละเพื่อตัดความโลภแล้ว
ให้ยังประโยชน์แก่ตัวของผู้บริจาคถ้าพลาดพลั้งเขายังไม่บรรลุอรหัตผลของเหล่านี้ก็จะบังเกิดอยู่เป็นสวรรค์วิมานของเขา อยู่ในสุคติของเขา
ในประการเดียวกันถ้าไม่ต้องบังเกิดในกามาวจรอีก ของเหล่านี้จรรโลงพระศาสนา ศิษย์ของพระตถาคตมีหน้าจรรโลงพระศาสนานี้
ไม่ว่า พระศาสดา จะเป็นพระองค์ใดก็ในกัปนี้เป็นหน้าที่ของ พระสมณโคดม ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ว่ากัปไหน พระพุทธเจ้าพระองค์ไหน เป็น พระพุทธศาสนา หรือไม่
พวกเราควรจะจรรโลงเอาไว้หรือไม่ ประการต่อไปมีบางท่านที่ปรารถนาพระพุทธภูมิ ย่อมจะต้อง บารมี น้อยสุดก็ต้องสิบทัศ หลวงพ่อหลวงปู่
ท่านไม่มาห่วงสมบัติเหล่านี้หรอกครับ
ท่านอยากลากเราเข้าไปเสวยโลกุตตรธรรมสมบัติมากกว่าน่ะ ในที่สุดหลวงปู่ฯ ก็ถึงกาลมรณภาพ พวกเราไปดูแลไม่ได้หลวงพ่อฯ มอบหมายให้พี่ชวาลดูแล
เพราะพวกเราติดงานวัดฉลองวันครบรอบ ๑๐๐ ปี เกิดของหลวงปู่ปานปรมาจารย์ของพวกเรา เสร็จแล้วเราก็รวมสมัครพรรคพวกไปกัน งานศพของหลวงปู่ ไปทอดกฐินกันจนได้
ได้เงินเท่าใดผมไม่ทราบเพราะไม่ได้เป็นคนเก็บเงิน ทราบว่าในวันเผาศพของหลวงปู่ฯ มีทั้งพระทั้งคนมากมายจนเดินแทบจะไม่ได้ นรชาติวางวาย
มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ก่อนหน้านั้น
ผมยอมงัดเอาพระเครื่องสมบัติส่วนตัวของผมออกมาให้ทำบุญเพื่องานกฐินและงานศพของหลวงปู่ฯ เช่นพระรอดเณรจิ๋ว
หรือ ที่เซียนพระเขาเรียกกัน พระรอดครูบาศรีวิชัย พระชุดนี้นั้นหลวงปู่เป็นคนแกะพิมพ์เมื่อครั้งยังเป็นเณร ถวายให้ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย
นำให้ครูบาศรีวิชัยปลุกเสก ราคาพระในตลาดตอนนั้นประมาณองค์ละ ๕๐๐ บาท ผมลงทุนทำกล่องเอง แล้วมอบให้กับที่บ้านสายลมออกให้บูชา จำนวนหลายร้อยองค์ๆ ละ ๕๐๐ บาท
พรึบเดียวหมด แถมด้วยพระรอดพรหมเสโนอีกหลายพันองค์ หลายพันพรึบยังไม่หมด ยังเหลืออยู่ที่บ้านสายลมทุกวันนี้ ราคาเท่าเดิมเท่ากับให้บูชาเมื่อ ๑๓ ปีก่อน
บัดนี้หลวงปู่ได้มรณภาพลงแล้ว พวกเราอยากจะใช้คำว่า นิพพานแล้ว หลวงปู่บุญทึมฯ นิพพานแล้ว ปู่นิพพานแล้ว ปู่นิพพานแล้วครับ... อย่างโดดเดี่ยว
ไม่มีผู้ใดได้ทันเห็นใจท่านในวาระที่กายสังขารแตกดับ เพราะพวกเราต่างก็มีภาระมากมายระยะทางหรือก็ไกลกัน
แม้จะไม่ประมาทในเรื่องของสังขารร่างกายว่าความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย
แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าวาระแตกดับแห่งกายสังขารของหลวงปู่จะรวดเร็วถึงปานฉะนี้...ก็พรรษาเพียง ๖๐ ปี
เปรียบเทียบกับบรรดาพระคุณเจ้าพระสุปฏิปันโนที่พวกได้เคยไปนมัสการมานับได้ว่าหลวงปู่พรรษาเยาว์กว่าทุกองค์ ก็แล้วนี่เมื่อถึงวาระ
หลวงปู่ก็เดินทางล่วงหน้าไปสู่แดนพระนฤพานแล้วแต่เพียงองค์เดียว... ที่เหลือไว้ก็คือซากกายสังขารที่ยังรอให้พวกเราดำเนินการ
และเรื่องราวแต่หนหลังอันเป็นอนุสรณ์แห่งคุณความดีอนุสรณ์แห่งความเป็นผู้ให้
ผู้แจก แจกยัน...แจกทั้งวัตถุ แจกทั้งบุญกุศล หลวงปู่ช่างเป็นผู้ให้เสียจริงๆ แจกเป็นกอบเป็นกำเป็นถุง เรื่องลาภเรื่องยศสักการะไม่เอาไหนสักอย่าง
เกิดมาเพื่อให้ประการเดียว แบบฉบับเดียวกันกับหลวงพ่อของพวกเรา... ทำเป็นตีหน้าเซ่อ...ทีจริงละก็ตัวร้ายกาจเชียวละ
หลวงพ่อเล่าพลางหัวเราะ มิน่าเล่า สมเด็จฯ จึงทรงสั่งนักหนาว่า เดินทางไปทางภาคเหนือต้องไปพบพระที่ชื่อทิมฯ ให้ได้ (ทิม
เป็นสำเนียงทางภาคกลาง สำเนียงทางภาคเหนือออกเสียง ทึม หรือ ทืม) ความตายแม้จะไม่มีนิมิตเครื่องหมาย แต่ก่อนหน้าที่กายสังขารของหลวงปู่จะแตกดับนั้น
มีสิ่งบอกเหตุอยู่หลายประการ เพียงแต่ว่าไม่มีใครสังเกตหรือคอยจับตาดู ใครจับทันหลวงปู่ได้ก็นับว่าเป็นยอดแห่งยุค
พ้นจากหลวงพ่อแล้วคนอื่นเห็นที่จะไล่ทันยาก ขนาดหลวงพ่อยังไล่กันเสียแทบตาย ทุกขเวทนาจากอาการอาพาธกำเริบหนักหนาแต่หลวงปู่ก็ไม่เคยปริปากบ่น
ยิ่งเป็นระยะที่พวกเราทั้งหลายกำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมงานครบรอบร้อยปีเกิดหลวงปู่ปาน หลวงปู่กลับแสดงอาการให้เห็นว่าไม่น่าต้องเป็นห่วง
ปรากฏอาการทางร่างกายให้เห็นเป็นว่าทุเลาลงแล้ว การแสดงออกภายนอกของท่านเป็นลักษณะพิเศษประจำตัวของท่านคือทำไม่รู้ไม่ชี้ตีหน้าตาย
เมื่อพวกเราถามท่านว่าจะอยู่จนถึงวันรับกฐินไหม ท่านก็ว่าจะพยายามอยู่ เมื่อเคี่ยวเข็ญให้ท่านฉันโอสถท่านก็ฉันให้ตามใจพวกเรา พวกเราว่าหลวงปู่หายนะ
ท่านว่าหายก็หาย แต่พอพวกเราเผลอหลวงปู่ไม่ฉันเสียแล้ว ไม่ฉันทั้งอาหารทั้งโอสถ ระหว่างอาพาธอยู่อย่างหนักทุกขเวทนากำเริบหนักถึงเข้าขั้นตรีทูต ๒ ครั้ง
ก็ฝืนกลับมาทรงอาการอยู่ ไม่เคยร่ำร้องไม่เคยบ่นไม่เคยทุรนทุรายในเมื่อทุกขเวทนากำเริบ
อย่างมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นก็เพียงเอามือตบที่หลังร้องบอกว่าอึดอัด พวกเรามาทราบกันภายหลังว่าอวัยวะภายในของหลวงปู่ท่านแทบจะไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว
มันเน่าไปหมดด้วยโรคมะเร็งที่ตับ
ศรัทธาทายกทายิกาไปเยี่ยมท่านก็ไม่เคยแสดงอาการเบื่อหน่าย ลุกขึ้นนั่งรับได้ก็จับลุก
ลุกไม่ไหวเขาไม่ยอมให้ลุกก็นอนยิ้มอยู่บนเตียง สังขารแม้อ่อนระโหยโรยแรงร่างกายซูบซีดเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ประกายตายังคงใสสด แวววาว บริสุทธิ์
และเจิดจ้า ตาพระอริยะ พระอรหันต์เป็นอย่างนี้นี่เอง
อายุขัยแห่งสังขารของหลวงปู่บุญทึมฯ หมดสิ้นลงไปนานแล้ว หลวงปู่ครูบาธรรมชัยฯ สุปฏิปันโนอีกองค์หนึ่งซึ่งพวกเรารู้จักท่านดีได้พยากรณ์ เมื่อตอนที่
พ.อ.ชวาล ไปนิมนต์ให้ท่านรับรักษาให้หลวงปู่ทึม อาการอาพาธของหลวงปู่ทึมนี้หลวงปู่ครูบาธรรมชัยซึ่งเคยรักษาหลวงปู่ครูบาอินทจักรรักษาวัดน้ำบ่อหลวง
เมื่อครั้งอาพาธเป็นมะเร็งที่กระดูกสันหลังจนแพทย์ขอให้กลับมาตายที่วัด และหลวงปู่ครูบาธรรมชัยฯ รักษาจนหาย ไม่รับรองว่าจะหาย
แลได้พยากรณ์เพิ่มเติมอีกว่าสำหรับหลวงปู่ทึมฯ วันเสาร์เป็นวันอุบัติเหตุและวันอาทิตย์เป็นวันมรณะ
ต่อมาในวันเสาร์ที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๑๘ หลวงปู่ทึมหงายหลังศีรษะฟาดขอบเตียง และนิพพานในวันอาทิตย์รุ่งขึ้น ตรงตามคำพยากรณ์ทุกประการ...เล่ามาถึงตรงนี้
น่าคิดไหมว่าก็ในเมื่ออายุขัยท่านหมดลงนานแล้ว แต่ที่ท่านยอมทนรับทุกขเวทนาจากความอาพาธแห่งกายสังขารรอจนมามรณภาพเอาเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๑๘ นั้น
เพราะอะไรหนอ..
มันเป็นกรรมเก่าของปู่ หลวงปู่เล่าพลางยิ้มเห็นฟันหลอ มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที แล้วตีหน้าเหรอหราตามแบบฉบับ วัดจามเทวีนี้กษัตริย์ทรงสร้าง เป็นพระอารามหลวงรุ่งเรืองมาแต่อดีตครั้งสมัยพระนางจามเทวี ปฐมบรมกษัตรีแห่งนครหริภุญชัย
ตกมาถึงสมัยครูบาเจ้าศรีวิชัยหมู่ศรัทธาทายกทายิกามีเจ้าจักรคำ ขจรศักดิ์เจ้าผู้ครองนครนครลำพูนเป็นหัวหน้าก็ได้ไปนิมนต์ครูบาเจ้าฯ
มาช่วยบูรณะซ่อมแซมพระวิหาร สร้างองค์พระประธานและซ่อมกำพงรอบวัด งานแล้วเสี้ยวพรรษา ครูบาเจ้าฯ ป่วยก็มาป่วยอยู่นี่ หมู่ทายกทายิกามาเชิญไปบ้านปาง
ตายที่นั่น มาเผาศพที่นี่ อยู่นั่นไงอัฐิครูบา
หลวงปู่ชี้มือไปทางพระสถูปอันเป็นอนุสรณ์ของครูบาเจ้าศรีวิชัยซึ่งบรรจุอัฐิเอาไว้ นี่ หีบศพ หลวงปู่หันไปชี้ที่หีบบรรจุศพครูบาเจ้าฯ
ตามบันทึกพวกเราพอจะทราบกันมาแล้วว่า วัดจามเทวีแห่งนี้เป็นวัดที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยรักมากที่สุด หลังจากครูบาเจ้ามรณภาพแล้วได้ ๓ ปี
ได้เชิญศพมาตั้งไว้ที่วัดจามเทวี
เพื่อรอให้บรรดาศิษยานุศิษย์ได้มีโอกาสเดินทางมานมัสการได้อย่างทั่วถึงเป็นเวลาอีก ๔ ปี
และก็ที่วัดจามเทวีแห่งนี้นี่เองที่ใช้เป็นสถานที่ประชุมเพลิงถวายครูบาเจ้าศรีวิชัยฯ... ทั้งครูบาเจ้าฯ
และหมู่ทายกทายิกาได้ไว้วางใจให้ปู่เป็นผู้ดูแลวัดนี้สืบต่อมา แต่ปู่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำไม่ได้มาก เราเป็นพระธรรมดาๆ ยศศักดิ์หรือก็ไม่มี
เขาให้เป็นรองเจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาสก็ดีอยู่นะ แต่พูดไปก็พูดยาก วัดก็ยังทรุดโทรมอยู่ นี่โบสถ์ก็ยังสร้างไม่แล้ว ยังต้องใช้เงินอีกมาก
หน้าบันอุโบสถเป็นไม้สักแกะลายลงรักปิดทอง ใช้ไม้หนาสามนิ้วแกะ เอาไปจ้างครูบาวงษ์ฯ ทำให้ ปู่เสี้ยงเงินไปสองหมื่นป่ายตุ๊วงษ์ฯ
ท่าจะเสี้ยงหลายเสี้ยงสี่หมื่นมั้ง?
มุขตลกเด็ดขาดของหลวงปู่ก็คือเรื่องหน้าบันพระอุโบสถท่านเอาไปจ้างครูบาวงษ์แกะด้วยไม้หนาสามนิ้วลงรักปิดทอง หลวงปู่ผู้ว่าจ้างหมดเงินไปสองหมื่นบาทเศษ
แต่หลวงปู่ครูบาวงษ์ผู้รับจ้างขาดทุนไปอีกสี่หมื่นบาทเศษ นับตั้งแต่พบกับหลวงพ่อเป็นต้นมาแล้ว หลวงปู่ดูสดใสและกำลังใจดีขึ้น งานเพิ่มขึ้น
มีคนไปรบกวนมากขึ้น
แต่เป็นสุขมากขึ้นที่ได้เห็นศรัทธาของบรรดาลูกหลานที่มีต่อพระศาสนาและต่อสาวกขององค์สมเด็จพระศาสดาฯ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดจะได้ยินหลวงปู่พูดถึงหลวงพ่อฯ เสมอๆ เป็นต้นว่า