กลับสู่สารบัญ
webmaster - 4/1/11 at 14:06
27
หลวงพ่อกับเหตุการณ์ ระหว่างปี พ.ศ. 2518 2520 ตอนที่ 1
พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
... พอเริ่มต้นจะเขียนต่อจากตอนที่ 1 ในลูกศิษย์บันทึกเล่ม 2
ผมก็เห็นความเลวของผมแล้วว่า ความจริงเป็นเหตุการณ์ระหว่างปี 2517 ถึง 2520 ผมลดไปเสีย 1 ปี เพราะสัญญา (ความจำ) ของผมเป็นอนิจจังจริงๆ
ตามที่ผมได้บอกไว้แล้วในตอนแรก คนเราหากพยายามหา ความผิด ความเลว ความชั่วที่ตนเองอยู่เสมอ ย่อมพบมันได้เสมอ
แล้วก็พยายามแก้ไขมันเสียในที่นั่น คือเกิดที่ไหนก็ดับมันที่นั่น
...กิเลสหรือความชั่วมันไม่ได้อยู่ที่อื่นนอกตัวเรา หากอยู่ที่ใจของเราทุกคน จึงต้องแก้มันที่ใจเช่นกัน หากผู้ใดยังไม่เข้าใจสัจธรรมข้อนี้
ก็ไม่มีทางละความชั่วของตนเองได้ ดังที่หลวงพ่อท่านพูดอยู่เสมอๆ ว่าให้ใช้ อัตนา โจทยัต ตานัง เป็นหลักในการปฏิบัติ ก็คืออันนี้แหละ
แต่คนส่วนใหญ่มักสวนทางกับสัจธรรมข้อนี้คือ คิดว่าตนเองเก่ง ตนเองดี ตนเองแน่ ตนเองฉลาด ซึ่งล้วนเป็นมานะกิเลส มาปิดกั้นความดี ของดีตนเองไว้ทั้งสิ้น
ดังนั้น เมื่อคิดว่าตนเองดีจึงหาความดีไม่พบ พบแต่ความเลวที่ตนคิดเอาเองว่าดี และเก็บความเลว ยึดความเลวไว้อย่างเหนียวแน่น
เพราะเป็นมิจฉาทิฐิ ซึ่งเป็นอารมณ์สวนทางกับพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้มีความว่า ผู้ใดก็ตามที่คิดว่าตนเองยังเลวอยู่ (โง่อยู่) ผู้นั้นยังมีโอกาสเป็นบัณฑิต
(คนฉลาด) แต่ผู้ใดที่คิดว่าตนเองเป็นบัณฑิต (คนฉลาด) ผู้นั้นคือคนโง่อย่างแท้จริง
ผมเขียนธรรมะข้อนี้ขึ้นมา ก็เพื่อเตือนตนเองเท่านั้น เพราะใจผมมันก็อดเผลอไม่ได้ อยากเป็นคนโง่อยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ต้องคอยปรามบ้าง ปราบบ้าง
ไม่ให้มันล้ำเส้นอยู่ทุกๆ วันเกือบตลอดเวลา
หลวงพ่อไม่ตาย แต่หมอตกใจเกือบตาย
หน้าร้อนปี 2517 หลวงพ่อส่งท่านอ๋อย (ภรรยา พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) ซึ่งเป็นแม่งานของหลวงพ่อ ให้จัดรถทัวร์หลายคัน พร้อมลูก หลานของท่าน
ขึ้นไปกราบพระสุปฏิปันโนที่ภาคเหนือหลายครั้ง แต่ที่ผมเขียนนี้ เป็นครั้งแรกหรือครั้งที่ 2 ผมจำไม่ได้ การไปแต่ละครั้งหลวงพ่อเหนื่อยมากๆ
เพราะเกือบไม่มีเวลาพักเลย
ผมในฐานะแพทย์ประจำองค์ท่าน (ท่านอ๋อยขออนุญาตหลวงพ่อแต่งตั้ง) แต่ผู้เดียว จึงต้องอยู่ใกล้ชิดท่านเกือบตลอดเวลา จึงทราบเรื่องดี ต้องฉีดยาบำรุงให้ท่านเกือบทุกวัน หากท่านมีเวลาว่างนานหน่อย ก็ให้น้ำเกลือ และทั้งๆ ที่กำลังให้น้ำเกลืออยู่นี้ ท่านก็ต้องรับแขกไปด้วย
เพราะมีบรรดาพุทธบริษัททางจังหวัดเชียงใหม่ที่ศรัทธาในท่าน มารอกราบและทำบุญกับท่านจำนวนมาก
สถานที่พักก็ใช้บ้านของ ดร.ปริญญา นุตาลัย ซึ่งขณะนั้นเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และบ้านเพื่อนๆ อาจารย์ของท่านเป็นที่พัก
(อยู่ในเขตรั้วของมหาวิทยาลัย) ส่วนคณะใหญ่ก็อาศัยวัดในเมืองเป็นที่พัก ในการไปครั้งนี้ ผมสังเกตว่า หลวงพ่อท่านไอมากผิดปกติ ได้ถวายยาแก้ไอกับท่าน
ก็ระงับได้ชั่วคราว เพราะหลอดลมท่านอักเสบมาก จากการที่ท่านต้องใช้เสียงพูดเกือบทั้งวัน
ส่วนใหญ่จะออกตั้งแต่เช้า 7.00 น. เป็นอย่างช้า กลับมาก็ประมาณ 18.00 น. หรือกว่านั้น ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกำหนดการที่วางไว้ อากาศก็ร้อน
ถนนก็ไม่ค่อยดี ระยะทางก็ไม่ใกล้ต้องทำเวลาให้ทันตามจุดที่กำหนดไว้ ท่านเหนื่อยมาก จะห้ามท่านไม่ให้พูด ก็ไม่ได้
ความทุกข์จึงตกอยู่กับหมอ (ทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจ) ส่วนหลวงพ่อท่านทุกข์แต่กาย ใจท่านเลิกทุกข์มานานแล้ว มันต่างกันตรงนี้
ทั้งๆ ที่ท่านไข้ขึ้นสูง ไอมาก แต่ใบหน้าท่านยังยิ้มแย้มเป็นปกติ และพูดเกือบตลอดเวลาที่พาลูก หลานไปกราบพระสุปฏิปันโน ตามวัดต่างๆ
ซึ่งอยู่ห่างกันมาแต่ละวัด ขันธ์ 5 ของท่านทนมาได้จนถึงวันสุดท้าย ท่านพาลูกหลานให้ได้บุญ ครบตามที่ท่านกำหนดไว้และรถทัวร์เหล่านั้นก็มุ่งกลับ กทม. หมด
คงเหลืออยู่เพียงประมาณ 10 คน ที่จะเดินทางขึ้นไปเชียงรายในวันรุ่งขึ้น
เพื่อให้หลวงพ่อท่านได้พักผ่อนสัก 2 3 วัน ในตอนเย็นวันนั้นเอง คงจะประมาณ 18.30 น. ผมกำลังคุยอยู่กับ ดร.ปริญญา และเพื่อนๆ อยู่ข้างล่าง
เห็นพี่นนทาวิ่งลงมาจากชั้นบน ตรงมาจับข้อมือผมแล้วดึงขึ้น จนตัวผมลอยตามมือพี่นนทา พร้อมกับร้องอย่างตกใจว่า หมอ เร็วเข้า
หลวงพ่อกำลังแย่แล้ว พี่นนทาลากผมลอยขึ้นบันไดไปอย่างอัศจรรย์ จำไม่ได้ว่าเท้าของผมติดพื้นหรือเปล่าไม่ทราบ
เพราะพี่นนทาท่านมีกำลังภายในมากเหลือเกิน สุดที่ผมจะขัดขืนท่านได้
มารู้สึกตัวและได้สติก็ตอนเห็นหลวงพ่อ กำลังอาเจียนอย่างหนัก ผมเห็นอาเจียนที่ท่าน ทั้งไอและอาเจียนออกมาเป็นหนองล้วนๆ เกือบ 2
กระโถน ผมเองตั้งแต่จบแพทย์มากว่า 20 ปีแล้ว ยังไม่เคยพบคนไข้มีอาการหนักขนาดนี้ ขอรับตามตรงว่า ตกใจมากในขณะนั้น ทำอะไรเกือบไม่ถูก
สิ่งแรกก็คือตรวจหัวใจ ปอด และความดันโลหิตของท่านก่อน
ท่านเองคงทราบว่าหมอนั้นเกือบช็อคแล้ว ท่านก็ยิ้มเหมือนปกติและพูดกับผมว่า หมอ หัวใจเต้นกี่ครั้ง ผมก็ตอบว่า 80 ครั้งต่อนาทีครับ
ท่านก็ตอบว่า ถูก ท่านก็ถามผมต่อไปว่า แล้วความดันโลหิตล่ะ เท่าใด ผมก็ตอบท่านว่า 120 กับ 80 ครับ ท่านก็ตอบว่าถูกอีก และเสริมต่อไปว่า หากหมอไม่ตอบตามนี้
หมอก็โกหก เพราะท่านโกมารภัจท่านก็บอกว่าเท่านี้เหมือนกัน
พอผมได้ยินชื่อท่านหมอโกมารภัจเท่านั้น ผมก็หายจากอาการช็อคโดยสิ้นเชิง เพราะผมไม่ได้อยู่คนเดียว
หากมีหมอชั้นยอดของโลกอยู่ผมด้วย ผมรีบเปิดกระเป๋าหยิบหลอดยาขึ้นมาอธิษฐานถามพระพุทธเจ้า และท่านหมอโกมารภัจว่า จะใช้ได้ไหม ท่านก็ตอบว่าได้
ผมก็รีบฉีดให้หลวงพ่อทันที แล้วจับยาแก้หลอดลมอักเสบขึ้นมาอธิษฐานอีก ท่านก็บอกว่าใช้ได้ ผมก็จัดถวายท่านไป
พอหลวงพ่อรับยาที่ผมจัดให้ ท่านก็พูดว่า หมอไม่ต้องเป็นห่วง 2 วันก็หาย ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น
เพราะรุ่งขึ้นคณะของหลวงพ่อก็เดินทางไป จ.เชียงราย พักที่วัดเม็งราย ซึ่งอยู่บนยอดเขาไม่สูงและอยู่ในตัวเมืองเชียงราย ที่พักและอากาศดีมาก
หลวงพ่อท่านก็แจ่มใส และหายเป็นปกติตามที่ท่านบอกไว้ สำหรับตัวผมขอเล่าความในใจซึ่งเก็บไว้กว่า 10 ปีดังนี้
เดิมผมเองไม่ได้คิดจะเดินทางร่วมไปกับหลวงพ่อด้วยที่เชียงราย ได้วางแผนจะขอแยกกับท่านในตอนเช้า โดยส่งท่านและคณะไปเชียงราย ส่วนผมขออยู่ที่เชียงใหม่ต่อ
เพราะได้นัดให้ภรรยา และบุตรสาวอายุ 6 ปี (ในขณะนั้น) ขึ้นมาพบกันที่เชียงใหม่ และอยู่เที่ยวเชียงใหม่อีก 3 4 วัน ตอนนั้น
คิดมากจริงๆ ระหว่างหลวงพ่อ กับ ลูก-เมีย แต่โชคดีที่คิดถูกคือเลือกเอาหลวงพ่อก่อน เพราะทิ้งท่านไม่ได้
แม้ท่านจะพูดว่าไม่เป็นไร 2 วันก็หายให้ผมฟังก็ตาม เรื่องนัดลูกเมียไว้นี้ผมไม่ได้เรียนให้หลวงพ่อทราบ แต่ผมก็ทราบว่าท่านรู้ โดยไม่ต้องบอก
มันเป็นการทดสอบอารมณ์ของผมไปในตัว รายละเอียดในอารมณ์ของผม จะไม่เขียนเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว
ผมจึงแก้ปัญหาโดยเขียนจดหมายฝากเจ้าหน้าที่ของธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ สาขาท่าแพ ซึ่งมีบ้านรับรองอยู่ ให้ช่วยคอยรับลูกเมียผมแทน พร้อมทั้งจดหมายของผม
และโชคดีอีกตามเคยที่ภรรยาผมไม่โกรธ จึงต้องนับว่าเป็นความดีของเธอและบุญของเธอด้วย
หลวงพ่อถูกเทวดาแบกขึ้นดอยตุง
การขึ้นดอยตุง จังหวัดเชียงรายครั้งแรกนี้ คงอยู่ระหว่างปี 2517 และ 18 ผมต้องขอโทษที่จำวัน เดือนและปีที่แน่นอนไม่ได้ ได้พยายามถามผู้ไปด้วย
ก็ปรากฏว่า สัญญาเป็นอนิจจาเหมือนกับผม ในเมื่อมันจำไม่ได้ เราก็ไม่ควรเอาจิตไปผูกพัน เพราะหากเราเอาจิตไปผูกพันสิ่งใดก็ตาม
มันก็เกิดความทุกข์ขึ้นกับใจเราเอง
และพระท่านสอนเราว่า โลกนี้เป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นไม่ควรยึดถือว่า มันเป็นเรา เป็นของเรา
เพราะยิ่งยึดก็ยิ่งทุกข์ ยึดมากทุกข์มาก ยึดน้อยทุกข์น้อย ไม่ยึดมันเสียก็ไม่ทุกข์
ในโลกนี้เห็นจะมีความตาย (และสิบเอ็ดนาฬิกาหกสิบนาที) เท่านั้นที่เที่ยง เพราะเกิดมาครั้งใดก็ตายทุกทีทั้งคนและสัตว์
พระองค์จึงสอนให้เราอยู่ในความไม่ประมาท ให้รู้ตนเองอยู่เสมอว่าจะต้องตาย แม้พระองค์เองก็เคยตรัสไว้กับพระอานนท์
ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพระโสดาบันอยู่ (นึกถึงความตายวันละ 7 ครั้ง) ว่า อานนท์ ยังน้อยเกินไป ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าและออก
พอเขียนมาถึงตอนนี้ ก็เกิดปัญญาขึ้นว่า ความจริง พอปฏิบัติมาถึงพระโสดาบันแล้ว (พระโสดาปฏิผล) ความเที่ยงจะเกิดขึ้นกับท่าน 2
ข้อทันที คือ
1. เที่ยงจากการที่จะไม่ต้องตกนรกอีก (พ้นนรก)
2. เที่ยงจากการเข้าสู่พระนิพพานได้แน่นอนในอนาคต ตามบารมี คือ 7 ชาติ 3 ชาติ หรือ 1 ชาติ แต่หากท่านปฏิบัติเอาจริงจังมุ่งตัดอวิชชาเลย (สังโยชน์ข้อที่ 10)
ท่านก็อาจไปนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้
นี่ก็เช่นกัน ผมเขียนไว้เพื่อเตือนตนเอง ปลอบใจตนเอง และก็เร่งรัดตนเองด้วย
การขึ้นดอยตุงครั้งแรกนี้ใช้รถ 2 คัน ทางขึ้นเขายังไม่ได้ทำให้เรียบร้อย เพียงกรุยทางไว้เท่านั้น
รถที่จะขึ้นไปถึงพระธาตุได้จึงเป็นรถจิ๊บหรือแลนด์โรเวอร์ ที่มีเกียร์พิเศษเท่านั้น แต่หลวงพ่อท่านจะขึ้น
ดร.ปริญญาถามว่า ขึ้นดีหรือหลวงพ่อ
ท่านตอบว่าได้ เพียงเท่านี้ ดร.ปริญญาก็หมดสงสัย ตกลงใจทันที
รถคันแรก เป็นรถโฟล์คตู้สีเหลือง หลวงพ่อนั่งกับพี่นนทา และคณะอีก 3 4 คน (จำไม่ได้ว่าใครบ้าง) คนขับดูเหมือนจะเป็นพี่เหม่ รถคันนี้
ผมฟังเสียงเครื่องยนต์แล้ ผมว่า มันเดินแค่ 3 สูบเท่านั้น ส่วนรถคันที่ 2 เป็นรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้าของด็อกเตอร์ ซึ่งเป็นรถเก่า เรานั่งกันเต็มอัตรา
คือ 7 คน ข้างหน้า 3 ข้างหลัง 4 ผมเองน้ำหนักน้อยที่สุดคือ 60 กิโล นอกนั้นก็กว่า 60, 70 กว่า, จนถึง 80 กิโล รวมแล้วก็ข้าวสารประมาณ 5 กระสอบ
แล้วมันขึ้นไปได้อย่างไร (ในเมื่อหลวงพ่อว่าได้มันก็ต้องได้)
รถของท่านนำหน้าเราทั้งๆ ที่วิ่งแค่ 3 สูบ ปรากฏว่าหายวับไปกับตา รถเราควรจะขับตามทันแต่กลับไม่ทัน พอถึงทางชัน พวกเราก็ลงหมด ยกเว้นคนขับคือด๊อกเตอร์
ช่วยกันเข็น 6 แรง (ลูกม้า) พอพ้นก็ขึ้นนั่งวิ่งต่อ ทำไปแบบนี้ตลอดทาง มีบางตอน ทางมันชันชนิดที่มองแล้วลมจะใส่เอา เพราะทั้งชันทั้งยาวเหยียด หลายรอยเมตร
แต่มันก็แปลกที่เข็นขึ้นไปได้ทุกที ทางขึ้นเป็นฝุ่นทั้งนั้น ยาวราวๆ 12 กม.
ดังนั้น หน้าตาเสื้อผ้า และผมพวกเรา ก็เหมือนสีฝุ่นทุกคน เมื่อขึ้นไปจวนถึง ปรากกว่าเกิดมีทางแยกไปซ้ายกับขวา ไม่รู้จะไปทางไหนดี ผมจึงวิ่งขึ้นไปดู
เพื่อสังเกตรอยยางรถของหลวงพ่อท่านแต่ต้องผิดหวัง เพราะไม่มีรอยยางรถให้เห็นเลย อัศจรรย์ยิ่งนัก ผมเลยต้องขอพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
พร้อมทั้งพรหมและเทวดาให้ช่วยบอกทาง รถเราจึงไปได้ถึงยอดดอย
พอไปถึงต่างคนต่างก็เข้าไป รายงานตัวกับหลวงพ่อ พวกที่ถึงก่อน เขาเห็นพวกเราหน้าตา ผมเป็นลูกครึ่งหมด จึงแจกผ้าเย็นคนละผืน เช็ดหน้าตาและผม
รวมทั้งคณะที่ไปถึงก่อนด้วย และถวายให้หลวงพ่อท่านเช็ดหน้า ตา และศีรษะ เมื่อเช็ดเสร็จ ต่างคนก็ต่างเอามาอวดกันว่าใครจะมีสีแดงมากกว่ากัน
ทุกคนต่างหัวเราะชอบใจที่ฝุ่นมันมาก ขนาดผ้าเกือบไม่มีสีขาว มีแต่สีแดงเท่านั้น
ส่วนผมได้สังเกตผ้าของหลวงพ่อ ปรากฏว่าไม่มีฝุ่นสีแดงติดเลยแม้แต่นิดเดียว จึงพูดขึ้นและชี้ให้ทุกคนดูสิ่งอัศจรรย์ที่เห็น
ผมจึงรายงานท่านว่า ผมสงสัยว่ารถของหลวงพ่อนี่ไม่ควรจะขึ้นมาได้ เพราะเป็นรถตู้และเครื่องทำงานแค่ 3 สูบเท่านั้น
และผมคิดว่ารถคันนี้น่าจะลอยมามากกว่า เพราะรอยยางรถไม่มีเลยที่พื้นถนน และเล่าถึงทาง 3 แพร่ง ที่ผมต้องอธิษฐานถามพระว่าไปทางไหนดี เพราะไม่เห็นรอยยางรถ
หลวงพ่อท่านก็ได้แต่หัวเราะและยิ้ม ผมก็เลยพูดต่อว่า ผมอัศจรรย์ใจจริงๆ ที่รถของผมนั่งมา 7 คน แต่ละคนน้ำหนักมากๆ ทั้งนั้น ผมเองตัวเบาที่สุด
เวลาขึ้นทางชันต้องช่วยกันเข็นทุกทีไม่รู้มันขึ้นมาได้อย่างไร หากมากันเองโดยไม่มีหลวงพ่อมาด้วย แม้รถเปล่าๆ ไม่มีคนนั่งเลย ก็ไม่มีทางขึ้นมาได้
หลวงพ่อท่านจึงพูดว่า คนช่วยเข็นบานเลย
ผมก็ยังโง่ตามเคย ตอบว่า ครับ ต้องลงมาช่วยกันเข็นทุกที
ท่านก็บอกว่าไม่ใช่ เทวดาทั้งนั้น
ผมจึงถึงบางอ้อตอนนี้เอง หมดสงสัยว่าเหตุใดรถ 2 คันนี้จึงขึ้นมาได้
ผมจึงขอสรุปว่า รถของหลวงพ่อนี่ เทวดาท่านต้องช่วยกัน แบกขึ้นมาตลอดทางแน่ๆ หลวงพ่อท่านเล่าให้ผมฟังในวันต่อมาว่า ขาลงจากดอย รถท่านเวลาวิ่งลงล้อหน้า 2
ล้อมันลอยอยู่ตลอดเวลา จนถึงตีนเขา ก็แสดงว่า เทวดาท่านแบกรถของท่านลงมาอีกเช่นเคย เรื่องอย่างนี้ท่านเคยเห็นที่ไหนบ้าง ถ้าเคยพบเคยเห็นที่ไหน
กรุณาเล่าให้ผมฟังบ้าง
อีสานแดน ผกค.
ในระหว่างปี 2517 ถึง 2519 นี้ ผกค. ในภาคนี้กำลังดังมาก เขาสามารถยึดเทือกเขาทั้งแถบ
และหมู่บ้านบริเวณนั้นเป็นฐานของเขาได้เกือบทั้งหมด ตำรวจและข้าราชการตกอยู่ใต้อิทธิพลของเขาเกือบหมด ด้วยความกลัว
รัฐบาลจำเป็นต้องใช้ทหารเข้าปราบปราม แต่ก็ค่อนข้างจะช้าไป เพราะนอกจากเขาจะไม่กลัวทหารแล้ว เขายังท้าทายให้พวกทหารโจมตีเขาด้วย เช่น ที่ภูพาน เป็นต้น
และอำเภอที่เขามีอิทธิพลมากคือ อำเภอนาแก
ใครจะผ่านเข้ออกต้องระวังตัวให้ดี ส่วนเวลากลางคืนแถบนั้นจะไม่มีรถกล้าวิ่งผ่านเลย ตลอดแนวถึงจังหวัดนครพนม
แต่หลวงพ่อท่านก็พาคณะของท่านวิ่งผ่านมาแล้วในเวลากลางคืน พวกที่ไม่รู้เรื่องหรือไม่รู้เลยก็สบายใจ แต่พวกรู้มากนี่มันยากนานจริงๆ
รู้มาก็อุปาทานมาก ทุกข์มาก กลัวมาก ส่วนหลวงพ่อท่านกลับเฉยๆ เราก็เลยต้องทำกายเราให้เฉยตามท่าน แต่ส่วนใจนั้นมันไม่ยอมเฉยตามกาย
ฟุ้งซ่านตลอดทาง
พวกที่ไม่รู้เรื่องนี่ดีมาก เพราะเขานั่งหลับตลอดทาง ดังนั้นจึงต้องใช้ที่พึ่งอันสุดท้าย คือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
โดยจับอานาปานุสสติเพื่อให้หายฟุ้ง ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ จับภาพกสิณพระไว้ในอกบ้าง บนศีรษะบ้าง หรือภาวนาไปบ้าง ว่าคาถาต่างๆ ไปบ้าง
พิจารณามรณานุสสติและอนุสติอื่นๆ ไปบ้าง มันก็ช่วยให้หายฟุ้ง หายกลัวไปได้ในที่สุด
ผมสังเกตดูว่า จะมีรถคันอื่นตามมาบ้างไหม ปรากฏว่าไม่มี มีแต่รถของเราคันเดียวจริงๆ ที่วิ่งมาจนพ้นเขตอันตราย คือเข้าสู่ตัวเมืองต้องใช้เวลาวิ่งผ่านดง
ผกค. เป็นเวลาหลายชั่วโมง และหากจำไม่ผิด ท่านสั่งให้รถวิ่งผ่าน ตอนกลางคืนนี้ 2 หรือ 3 ครั้ง ในสมัยนั้นไม่มีรถเป็นขบวนแบบนี้ โดยมากมีแค่คันเดียว
(เช่าเขามา) อย่างมาก็ 2 คัน
หลวงพ่อถูกพวก ผกค. ล้อม
มีอยู่คราวหนึ่ง หลวงพ่อได้พาพระสุปฏิปันโนหลายองค์ ไปเป็นกำลังใจให้กับทหารที่อยู่ประจำการอยู่แถบเทือกเขาภูพาน ใช้ ฮ. ถึง 3 ลำ เพราะท่านมาหลายองค์
หลวงพ่อให้แยกกันนั่งลำละ 2 3 องค์ เพราะมีนายทหารชั้นบิ๊กๆ ติดตามมาด้วยหลายคน แต่คนที่ใกล้ชิดหลวงพ่อมากที่สุด คือ พล.ท.ยุทธศิลป์ เกสรสุข
(ยศในขณะนั้นเป็น พล.ต.) การบินบินระยะยาว จำเป็นต้องหยุดลงเติมน้ำมันก่อน 1 ครั้ง จุดนัดพบคือสนามโรงเรียนแห่งหนึ่งของอำเภอนาแก
ปรากฏว่า ฮ.ทั้ง 3 ลำลงแล้วตั้งนาน รถน้ำมันยังไม่มา ทุกคนยกเว้นพระต่างกระสับกระส่าย เพราะมีคนหน้าตาแปลกๆ ออกมาจากบริเวณนั้นจำนวนมากขึ้นๆ จนล้อม
ฮ.ทั้ง 3 ลำไว้หมด หลวงพ่อท่านก็สั่งผมว่า ให้ทุกคนที่ร่วมโดยสารไปด้วยลงจาก ฮ. และเอาของที่จะไปแจกทหาร ออกมาแจกชาวบ้าน
ให้เอาพวกขนมก่อน และพยายามชวนพวกชาวบ้านคุยไว้
ทุกคนเมื่อเข้าใจคำสั่ง ก็โดดลงคว้าถุงขนมปังบ้าง ขนมอื่นบ้าง มาม่าบ้างติดมือลงไป เดินเข้าไปหาชาวบ้านชวนเขาคุยตามอัธยาศัย
พร้อมกับแจกขนมไปด้วยกับพวกเด็กๆ ที่มีอยู่ไม่น้อย และชี้ให้พวกผู้ใหญ่ดูพระว่า พระท่านโดยสารมาด้วย ให้พยายามหาเรื่องคุยไว้ เมื่อเราคุยกันไปสักพักใหญ่ๆ
จึงมีรถทหารลากถังน้ำมันมา แล้วรีบเติมให้กับ ฮ.ทั้ง 3 ลำ
ผมก็เลี่ยงไปฟังข่าวว่าเพราะอะไรจึงมาช้า ทั้งๆ ที่วิทยุนัดกันอย่างดีแล้ว คำตอบก็คือ เมื่อคืนนี้ฝนตก ถนนลื่น ขับรีบร้อนไปหน่อยจึงไหลลงไปอยู่ในคู
กว่าจะเอาขึ้นมาได้เลยช้าไปหน่อย (ช้ามากๆ ทีเดียว) เหตุการณ์ครั้งนี้หวาดเสียวมาก เพราะอยู่ในถิ่นของ ผกค.
ที่เขาระบายสีแดงสดไว้ในแผนที่ และเมื่อเร็วๆ นี้เขาก็จัดการกับพวกตำรวจ ทหารโดยการโยนระเบิดมือใส่ ทำให้มีการเสียชีวิตกันหลายคน ยิ่งรู้มากก็เสียวมาก
ผมยังเดาไม่ถูกว่า หากไม่มีหลวงพ่อท่านมาด้วยอะไรจะเกิดขึ้น เวลาที่ ฮ.บิน ก็บินแบบยุทธวิธี คือ 3 ลำไม่บินเป็นหน้ากระดาน แต่ให้ทิ้งระยะกันพอเห็นลำ
และเวลาบิน ก็ให้บินเปลี่ยนระดับกันอยู่เสมอคือ เดี๋ยวลำหนึ่งขึ้นสูง อีกลำหนึ่งลงต่ำ สลับกันตลอดทาง เพราะข้างล่างที่บินผ่านมีแต่พวกเขาทั้งนั้น
หลวงพ่ออยู่กลางดง ผกค.
ที่ผมไม่ลงวันเดือนปีนั้น เพราจำไม่ได้แน่นอน เนื่องจากเวลาผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว และไปหลายครั้งเหลือเกิน การบินด้วย ฮ. ก็บินเข้าเขตนั้น
เข้าจังหวัดนี้ จนงงไม่รู้ว่าอยู่ในเขตของจังหวัดอะไรแน่ จึงขอเล่ารวมๆ ว่าเป็นจังหวัดภาคอีสานก็แล้วกัน
การบินไปด้วย ฮ. ครั้งนั้น เป็น ฮ. ของตำรวจ บินไปลำเดียว มีพระ 2 องค์ คือหลวงพ่อกับหลวงปู่ธรรมชัย และผม
ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม ฮ. จึงบินลงไปอยู่กลางดงของ ผกค. อาจเป็นไปได้ว่าในช่วงนั้นเป็นเวลาเพลพอดี นักบินท่านรู้ว่าพระจะต้องฉันเพล
เลยหาที่บินลงสักครู่เพื่อให้ท่านฉัน พอ ฮ. จอด ผมก็โดดลงให้ตำรวจที่มาด้วย ปูเสื่อแล้วผมก็นิมนต์ให้หลวงพ่อกับหลวงปู่นั่ง
และถวายปิ่นโตอาหารที่เตรียมมาด้วย
เมื่อเสร็จภาระของผมแล้ว จึงหันมาดูสถานที่รอบๆ บริเวณที่ท่านฉัน ก็ตกใจเพราะไม่ทราบว่าคนมาจากที่ไหน ตอน ฮ.ลงไม่เห็นมีคน
แต่ชั่วประเดี๋ยวเดียว มันแห่กันมาจากไหน ชักใจไม่ดี แต่สังเกตดูหลวงพ่อกับหลวงปู่ ก็เห็นท่านนั่งฉันกันอยู่เป็นปกติ ผมจึงบอกตำรวจที่มาด้วย
ให้คอยดูแลพระแทนผมที แล้วผมก็เลี่ยงออกมายืนดูสถานการณ์อยู่รอบนอก
พอเดินห่างออกมาจากที่ๆ หลวงพ่อท่าน กำลังฉันเพลอยู่ประมาณ 30 เมตร ผมก็ต้องสะดุ้งตกใจอีกเป็นครั้งที่ 2 เพราะมีกลุ่มคนจำนวนมากมายืนออกันอยู่อีก 1 วง
ล้อมเป็นวงที่ 2 ขณะนั้นบังเอิญเหลือบไปเห็นตำรวจที่มาด้วยกันคนหนึ่งยืนอยู่ในที่นั้น จึงเดินเข้าไปถามเขาว่า ที่นี่มันที่ไหน
แล้วทำไมคนจึงมาล้อมพวกเราไว้แบบนี้
ตำรวจผู้นั้นคงรู้เรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาดี อธิบายว่า ที่ลงมานี้เป็นหมู่บ้านของพวก ผกค. ซึ่งกำลังมีใจรวนเร คือ
ไม่แน่ใจว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลดี หรือฝ่าย ผกค. ดี เนื่องจาก สถานการณ์ในตอนนั้นสับสน อเมริกาแพ้ญวน ญวนรุกเอาเขมรและลาวไว้ได้หมด
พวกลาวซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็หนีข้ามมาอยู่ฝั่งไทยเป็นจำนวนมาก
ผมเข้าใจว่าหลวงพ่อท่านมาลงจุดนี้ เพราะเหตุนี้เอง ตำรวจผู้นั้นได้อธิบายว่า พวกนี้เขาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามกำลังใจ
กลุ่มที่ 1 ที่อยู่รอบๆ หลวงพ่อนั้น ไม่มีอันตราย เพราะเขาเคารพพระอยากกราบพระจึงไม่ใช่ ผกค. แน่
ที่ต้องมาอยู่ก็เพราะสถานการณ์บังคับหรือจำใจ
กลุ่มที่ 2 ห่างออกมา 30 เมตร กลุ่มนี้พวกลังเลไม่แน่ใจ หรือสองจิตสองใจ ใครจะพูดอะไรให้ฟัง ก็มักจะคล้องตามเขา ขาดการพิจารณาหรือปัญญา
เป็นพวกแนวร่วม
กลุ่มที่ 3 ยังมีอีก ตำรวจชี้ให้ผมดูอยู่ห่างออกไปประมาณ 60 เมตร ไม่ค่อยจะเห็นตัวเขา เพราะมีจำนวนน้อย เป็นพวกอุดมการณ์ซึ่งมาคอยยุแหย่ชาวบ้าน
หรือตัวแสบนั่นเอง
เมื่อได้รับข้อมูลจากตำรวจแล้ว ก็ใจชื้นขึ้นมาก รีบกลับไปหาหลวงพ่อ ก็พอดีท่านฉันเสร็จ หลวงพ่อท่านไม่ปล่อยให้เวลาว่างเลย ท่านขอโต๊ะ 1 ตัว
(ให้ตำรวจขอจากชาวบ้าน) ท่านขึ้นยืนบนโต๊ะจับไมโครโฟนแบบมือถือ (ใช้ถ่านไฟฉาย) มีลำโพงในตัว ขึ้นปราศรัยกับชาวบ้านที่มาล้อมท่านอยู่ ท่านพูดได้จับใจจริงๆ
เราฟังแล้วยังขนลุกด้วยปีติ ผมจึงขอเอาแต่ใจความมาเล่าให้ฟังต่อดังนี้
พี่น้องชาวไทย และชาวลาวที่รักทุกท่าน ที่อาตมามาหาพวกท่านในวันนี้ จุดประสงค์เพื่อจะชี้แจงข้อเท็จจริง ให้กับพวกท่าน
ทราบถึงลัทธิที่ใช้หลอกลวงชาวบ้าน คือ พวก ผกค. เขาพยายามมาพูดหลอกพวกท่านว่า รัฐบาลกดขี่ท่าน เอาเปรียบท่าน ส่วนเขาเป็นพวกมาช่วยเหลือท่านให้ออกจากแอก
หรือปลดแอกให้กับพวกท่าน
โดยให้สัญญากับพวกท่านว่า เขาจะให้ที่ดินท่านทำกิน คนละเท่านั้นเท่านี้ มีกินมีใช้อย่างสมบูรณ์ แต่ขณะนี้เขากำลังดำเนินการ
จึงต้องขอให้พวกท่านช่วยพวกเขาก่อน ขอให้พวกท่านแบ่งข้าว หมู ไก่ และอาหารอื่นๆ ของพวกท่าน ไปเกือบทุกๆ เดือนเพื่อพวกเขา เขาทำอย่างนี้มากี่ปีแล้ว
พวกท่านยังจำได้ไหมว่า เขาเอาของท่านเป็นจำนวนเท่าใดแล้ว
หากคิดเป็นเงินก็นับว่ามากโข แล้วเขาเคยนำอะไรมาให้กับท่านบ้าง เคยบ้างไหมที่เขานำมาให้ท่าน ถ้าคนไหนขัดขืน เขาก็ว่าเป็นคนโง่ไม่มีอุดมการณ์
แล้วหาทางทำร้าย หรือฆ่าทิ้งเสีย ท่านลองใช้ปัญญา พิจารณาดูว่าอาตมาพูดนี้จริงไหม เขาโกหกหลอกลวงพวกท่านมาตลอดเวลา
ข้อเท็จจริงที่พวกท่านเห็นๆ อยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือ พวกชาวลาวพี่น้องของเราก็ถูกเขาหลอกแบบนี้มาตลอด พอเขายึดลาวได้แล้ว
เขาให้ตามที่เขาสัญญาหรือเปล่า ไม่เชื่อให้ถามชาวลาว ที่หนีความตายข้ามมาอยู่ฝั่งเราว่า เป็นจริงตามที่อาตมาพูดหรือเปล่า ถ้าอาตมาพูดไม่จริง
ชาวลาวก็คงไม่หนีตายมาอยู่ฝั่งไทย
เท่าที่อาตมาทราบเขากดขี่ข่มเหงชาวบ้านหนักขึ้น เขาต้องการอะไรเขาก็หยิบเอาไป ข้าว หมู ไก่ เป็ด พืชผักที่เราปลูก เราเลี้ยงเกือบตาย
เขาก็มาเอาไปเกือบหมด อ้างอุดมการณ์อันอุบาทว์ของเขาบังหน้า เราทำเท่าใดเขาก็มาบังคับเอาไปหมด คนลาวจึงต้องหนีตายมาอยู่ฝั่งไทย ท่านถามพวกเขาได้ว่าจริงไหม
ผมสังเกตว่าขณะที่หลวงพ่อท่านพูด ตามใจความที่ผมพอจะจำได้ข้างบนนี้ (ส่วนของจริงนั้น เพราะจับใจและมีมากกว่านี้มากนัก) ผลก็คือพวกกลุ่มที่ 2 (30 เมตร) ก็เข้ามารวมกับกลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 3 ซึ่งเข้ามาแทนกลุ่มที่ 2 แล้วก็สบายตัวหมดมาเหลือกลุ่มเดียว คือ
หมดสงสัยในตัวท่าน หมดสงสัยว่าถูกพวก ผกค. หลอกลวงมานาน ตาเพิ่งจะสว่างวันนี้เอง เพราะมีหลวงพ่อมาโปรด ให้ทราบความจริง
ผมอยากจะตั้งคำถามว่า มีพระองค์ใดบ้างในประเทศไทยนี้ที่กล้าทำ กล้าเสี่ยง แบบนี้ หากผมไม่นำมาเล่า พวกท่านก็คงไม่รู้
ส่วนองค์หลวงพ่อท่านเป็นพระเต็มองค์ ท่านทำอะไรก็เพื่อส่วนรวม เพื่อพี่น้องชาวไทย ชาวลาวที่กำลังมีปัญหา (ทุกข์) และเพื่อชาติ ศาสนา
และพระมหากษัตริย์ ท่านไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวท่านเอง
ไหนก็พูดกันเรื่อง ฮ. และการเสี่ยงตายของหลวงพ่อท่าน ผมก็นึกถึงเหตุการณ์ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (ไม่ใช่เขตอีสาน) ซึ่งติดกับเขตด้านพม่า
หากไม่รีบเขียน ประเดี๋ยวก็คงเป็นอนิจจาไป จึงขออนุญาตมาเล่าให้ฟังเสียเลย
หมู่บ้านที่ไม่มีคน
การสร้างทางจากแม่สอด เพื่อจะไปทะลุกาญจนบุรีนั้นจำเป็น เพราะเป็นทางยุทธศาสตร์ พวก ผกค. เขาจะเดินทางสันเขา คณะของหลวงพ่อซึ่งอาศัย ฮ.
ของทหารได้บินสำรวจทางเดินของ ผกค. ทหารชี้ให้ดูว่าพวกเขาเดินมา โดยไม่ต้องลงที่ราบเลย จากลาวข้ามมาพม่า
เพราะอาศัยสันเขาที่เชื่อมต่อกันมาตลอด ถ้าไม่ได้เห็นเองด้วยตาแล้วก็คงไม่เชื่อ เราใช้ ฮ. บินลงไปใกล้ๆ สันเขา
จะเห็นทางเดินซึ่งเดินกันประจำเป็นปกติจนต้นไม้และหญ้าตาย ทำให้เกิดเป็นทางเท้าขึ้นอย่างถาวร ถนนยุทธศาสตร์จึงจำเป็นต้องสร้าง
คนที่ไม่เข้าใจก็คิดว่าเป็นการทำลายป่า
ในตอนนั้น สถานการณ์แบบนั้น เราจะรักษาป่าไว้เพื่อให้ ผกค. อยู่ หรือเราจะยอมสูญชาติ คิดแค่นี้ก็ได้คำตอบ ดังนั้น
การสร้างทางจากแม่สอดไปกาญจนบุรีจึงเริ่มขึ้นด้วยชีวิต และเลือดเนื้อของตำรวจ และทหาร
หน้าที่สร้างทางเป็นของหน่วยทหารช่างโดยตรง จุดนี้แหละที่หลวงพ่อท่านมุ่งตรงไปให้กำลังใจ คณะของหลวงพ่ออาศัยวัดเป็นที่พัก ผมจำได้ว่าเที่ยวนั้น
ผมนอนมุ้งเดียวกันกับ พล.ร.ท.จินดา วุฑฒกนก (อดีตเจ้ากรมอู่ทหารเรือ) ซึ่งติดตามหลวงพ่อบ่อยๆ ตอนที่ท่านพอปลีกตัวมาได้ (เพราะมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมาก)
ในเที่ยวนั้น ผมเองก็ไม่ทราบรายละเอียดนัก เขาให้ขึ้น ฮ. ไปกับหลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมชัยกับคณะทหาร บินตรงไปยังจุดที่ไม่เปิดเผย (โดยติดต่อกันทางวิทยุ)
เมื่อ ฮ. บินไปยังจุดนัดพล ก็ลงจอดที่กลางหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งผมเองแม้ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ทราบว่าชื่ออะไร เมื่อ ฮ. จอดสนิท หลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมชัยก็ลง
แล้วเดินไปนั่งอยู่บนศาลาพักที่ค่อนข้างจะใหญ่โต มีที่นั่งจุคนได้หลายสิบคน
แต่ผมสังเกตว่า ทำไมจึงไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว พยายามเดินหาจนถึงขนาดวิ่งหารอบๆ บริเวณก็ยังไม่พบ แม้แต่ หมู หมา กา ไก่ ก็ไม่พบ
เห็นบ้านอยู่หลายบ้านติดต่อกันมีรั้ว มีสวนครัว แต่หาคนไม่ได้ ชักใจไม่ดี บังเอิญตาไปเห็นบั้นท้ายขอบคนๆ หนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้
ก็เลยวิ่งตรงไปจับบั้นท้ายนั้น (ผู้ชายครับ ไม่ใช่ผู้หญิง) แล้วถามขาว่า คุณ ๆ ทำไมคุณจึงต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ ตัวอยู่แบบนี้
เขาหันมาเห็นผม เขาก็ยิ้มแยกเขี้ยว (ยิ้มแหงๆ หรือจะเรียกว่ายิ้มแห้งๆ ก็ได้)
ผมก็พูดขึ้นว่า พระท่านอุตส่าห์มาเยี่ยมพวกคุณจนถึงบ้านแล้ว ทำไมจึงปล่อยให้ท่านนั่งรอ เขาหน้าตาดีขึ้น พูดกับผมว่า
ผมไม่ทราบว่า ฮ. ฝ่ายไหนมาลง ผมเลยถามว่า นี่แสดงว่าเคยมี ฮ. ฝ่ายตรงข้ามมาลงด้วยใช่ไหม เขาตอบว่าครับ ผมเลยบอกเขาว่า เร็วๆ เข้า คุณรีบไปตามชาวบ้านมา
ช่วยบอกเขาด้วยว่าหลวงพ่อท่านมาเยี่ยม มีของดีมาแจกด้วย เท่านั้นเองได้ผล ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ไม่ทราบว่าคนมาจากไหนเต็มศาลาเลย
หากเอาเหตุการณ์นี้มาพิจารณา ก็จะพบว่า การมาครั้งนี้ของหลวงพ่อท่านเสี่ยงจริงๆ แต่ที่ท่านกล้ามาก็เพราะท่านรู้ว่าไม่มีอะไร
และมาแล้วจะได้ประโยชน์ ท่านจึงมา (ด้วยปฏิสัมภิทาญาณ) ส่วนตัวผม คิดแล้วเสียวสันเหลัง คือตอนที่ผมเดินบ้าง วิ่งบ้างไปตามหาคน
คนที่แอบซุ่มอยู่บริเวณนั้นเขาเห็นผม แต่ผมไม่เห็นเขา หากเขาคิดไม่ดีกับผม ผมก็คงสบายใจแล้วตอนนั้น
หลวงพ่อท่านไปไหน ก็มีแต่เมตตากับกรุณาชาวบ้าน พูดให้กำลังใจแก่เขา ให้เขาเกิดความรักชาติ บ้านเมือง ไม่หลงตามคำโฆษณาของพวก ผกค.
และก็แจกเหรียญแจกพระ หรือวัตถุมงคลให้กับพวกเขาไว้เป็นกำลังใจโดยทั่วกัน หากมีของอื่นมาแจกก็เอามาด้วย หรือฝากพวกทหารให้ช่วยมาแจกแทนท่านในภายหลัง
ท่านทำงานแบบนี้มาโดยตลอดในระยะ 3 4 ปีติดต่อกันนี้ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อเขียนเกี่ยวกับ ฮ. ความจำในอดีตเกี่ยวกับ ฮ. ก็ปรากฏกับจิต จึงขอเล่าเรื่อง ฮ. ต่อไปอีก
ฮ. บินตอนกลางคืน
ความจริงเป็นกฎตายตัว ของทหารและตำรวจ เขาห้าม ฮ. บินตอนกลางคืน หากไม่ใช่เหตุสุดวิสัย เรื่องโดยย่อมีดังนี้ :- หลวงพ่อ หลวงปู่ธรรมชัย
และท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ไปเยี่ยมตำรวจ-ทหารภาคเหนือ ตามแนวเขตแดนเชียงราย ต่อกับพม่าและลาว ขากลับพวกมารถให้กลับทางรถไปก่อน ส่วนหลวงพ่อ-หลวงปู่ธรรมชัย
ท่านหญิงกับผม กับผู้ติดตามท่านหญิง กลับทาง ฮ. โดยบินยาวจากเชียงรายมาจังหวัดตาก และจะแวะพักตามจุดนัดพบ (พร้อมกับพวกที่มาทางรถยนต์ก่อน)
ที่เขื่อนภูมิพล ผมคุยกับนักบิน ฮ. ของตำรวจว่า ระยะบินนี้ไกลพอดู จะใช้เวลาสักกี่ชั่วโมง เขาตอบว่า 2 ชั่วโมง เพราะเราบินตัดตรง
ผมถามเรื่องน้ำมันต้องแวะเติมไหม เขาบอกว่าไม่ต้องแวะ คณะของหลวงพ่อและท่านหญิงจะต้องถึงสนามบิน จ.ตาก ก่อน 18.00 น. เพราะสนามบินจะปิดเวลา 18.00 น.
คือปิดการสื่อสารทั้งหมด เมื่อเราออกบินก็เผื่อไว้แล้ว 30 นาที คืออก 15.30 น.