"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 ( ตอน 3 )
webmaster - 9/3/11 at 14:24
ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๓
สารบัญ
40. เกศริน ภู่กร
41. ร.ต.นที (บัง) ทนุวงษ์
42. ชัยสิทธิ์ ยาวะโนภาส
43. วัชรพงศ์ ศรีหนองห้าง
44. นพดล (เอี้ยง) นาควิเชตร์
45. ส.อ.วิชัย ศิลปศร
46. ระพี เลขะกุล
47. จตุรงค์ จารุพันธ์พานิช
48. วนิดา ตันติประภาส
49. ทนงฤทธิ์ สีทับทิม
50. สมบูรณ์ ทรัพย์กล้า
51. เกตุ อารีรักษ์
52. ละเมียด (ละไม) เขมาสวิน
53. ปราณี แสงเดือน
54. สมจิตต์ แก้วนันทวัฒน์
55. สุชาดา ศรีประศาสตร์
56. คณิชา สิทธิดำรง
57. วีระ งามขำ
58. นายแพทย์ปัญจะ ไม้เกตุ
59. ศศิธร วรรธนะกุล
60. สมทรง หิรัญเกตุ
40
ความเมตตาของหลวงพ่อ
เกศริน ภู่กร
...หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน
เปรียบเสมือนหมายเกณฑ์ผู้ที่มีสายใยแห่งความสัมพันธ์กับหลวงพ่อในอดีตขาติ เมื่ออ่านหนังสือนี้แล้วต้องมารายงานตัวทันที
ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับหมายเกณฑ์ มีความร้อนใจอยากมากราบหลวงพ่อ จึงรวบรวมพรรคพวกได้ 8 คนเป็นหญิงทั้งนั้น ซึ่งแต่ละคนมีวัยรุ่นลูก
...ดังนั้น ในวันที่ 3 มกราคม 2519 จึงได้เดินทางมาวัดท่าซุง รู้สึกตื่นเต้นในการเดินทาง เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มาถึงวัดท่าซุงได้
เมื่อเวลาประมาณบ่ายสองโมง พวกเราหิ้วกระเป๋าขึ้นศาลานวราชกองไว้ข้างๆ ประตู มองเห็นหลวงพ่อนั่งเป็นสง่าอยู่ข้างหน้า
ดิฉันยังจำความรู้สึกในวันนั้นได้ไม่ลืม
ทันทีที่เห็นหลวงพ่อรู้สึกรักและดีใจมาก เกิดปีติ น้ำตาไหล เนื่องจากวันนี้เป็นวันเด็ก มีนักเรียนมาเต็มศาลา
หลวงพ่อกำลังพรมน้ำมนต์ให้นักเรียน ดิฉันได้ตามเด็กเข้าไป เพื่อรับน้ำมนต์จากหลวงพ่อ
หลวงพ่อเห็นดิฉัน ได้พูดกับคุณเอี่ยมซึ่งนั่งอยู่ใกล้หลวงพ่อว่า เอี่ยมพาโยมพิษณุโลกไปพักที่อาคารเสริมศรี และบอกดิฉันว่าให้เอาของไปไว้ที่ห้องพัก
อาบน้ำให้สบายแล้วค่อยมาคุยกัน
ดิฉันและพรรคพวกหิ้วกระเป๋าไปห้องพัก ด้วยความปลื้มใจที่ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ และก็อดคิดไม่ได้ว่า
หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าเรามาจากพิษณุโลก
หลังจากเก็บของไว้แล้ว พวกเราก็ไปกราบหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง พวกนักเรียนกลับกันหมดคงมีแต่พวกเรา 8 คนเท่านั้น ที่อยู่คุยกับหลวงพ่อจนถึง 4 โมงเย็น
ดิฉันมีความสุขใจมาก กล้าพูด กล้าถาม (ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่กล้า) ตอนนั้นยังไม่ทราบว่า หลวงพ่อเป็นพระระดับไหน หลวงพ่อก็เมตตาอธิบายให้และชี้ให้เห็นทุกข์
ดิฉันประทับใจอีกอย่างหนึ่งคือ เวลาประมาณ 1 ทุ่ม ได้ไปนั่งที่หอกรรมฐานโดยมีหลวงพ่อเป็นประธาน ตอนนั้น ทางวัดมิได้จัดชุดสังฆทานไว้ให้ผาติกรรม
และพวกเราก็ไม่มีความรู้ และไม่เคยถวายสังฆทานอย่างนี้มาก่อนเลย แต่ด้วยการแนะนำของผู้หวังดีท่านหนึ่ง ซึ่งมาค้างที่วัดเหมือนกัน
จึงได้ผ้าไตรพร้อมด้วยพระพุทธรูป โดยคุณนนทาให้การอนุเคราะห์
ดิฉันนำผ้าไตรพระพุทธรูปและพานใส่เงิน จำได้ว่าพวกเราทำบุญเพียง 66 บาทนั้น ไปวางไว้ข้างหน้าหลวงพ่อ พอถึงเวลา
พระภิกษุในวัดและศรัทธาที่มานอนค้าง ได้ขึ้นไปเพื่อนั่งกรรมฐาน ดิฉันได้เห็นพระภิกษุทุกรูปเดินไปใส่เงินในพาน เสียงเงินกระทบกันดังกิ๋งๆๆ
ด้วยความประทับใจยิ่งและโมทนาสาธุกับท่าน ที่ท่านได้ลาภ แล้วก็ทำบุญไม่ติดในลาภ
เมื่อถวายสังฆทานเสร็จ หลวงพ่อได้เมตตาเรียกพวกเรา พร้อมกับกล่าวว่าเจ้าภาพนับเงินในพาน และลงบัญชีเงินไว้ เพื่อเป็นค่าภัตตาหาร
พวกเราก็ช่วยกันนับ เงินส่วนมากจะเป็นเหรียญบาท และต้องอุทานด้วยความดีใจ ที่ได้เงินถึง 900 กว่าบาท
หลวงพ่อยังเมตตาอธิบายให้ฟังว่า การถวายสังฆทาน หลังจากนั่งกรรมฐานได้บุญกุศล ยิ่งกว่าทำบุญธรรมดา เป็นพันๆ เท่า
เพราะผู้รับและผู้ให้ต่างก็มีจิตใจบริสุทธิ์
ดิฉันปลื้มใจเป็นที่สุด ในการถวายสังฆทานครั้งแรกในชีวิต ที่ทำด้วยความยากจน
เมื่อจะกลับ พวกเราก็เข้าไปกราบลาหลวงพ่อ หลวงพ่อกำลังให้คนนวดอยู่ ดิฉันคลานเข้าไปเป็นคนสุดท้าย หลวงพ่อเมตตาบอกว่า
เป็นหัวหน้าพาคนมาอีกนะ และในเดือนมีนาคม จะมีงานยกช่อฟ้าโบสถ์ มีพระสุปฏิปันโนมากันหลายองค์ พากันมานะ ขอให้โชคดีมีความสุข เดินทางปลอดภัย
ดิฉันได้ยินหลวงพ่อพูดกับคนที่นวดว่า ต่อไป คณะนี้จะพาคนพิษณุโลกมาเป็นรถบัส คำพูดนี้ยังก้องอยู่ในโสตประสาทดิฉัน
และก็เป็นจริงตามหลวงพ่อพูด นับตั้งแต่นั้นมา พวกเราก็ยึดมั่นในองค์หลวงพ่อและปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ ทำให้ครอบครัวมีความสุข
และมีความเป็นอยู่คล่องตัวขึ้น สามารถทำบุญได้โดยไม่หนักใจ แต่ก็มีบางครั้งที่มีความขัดสน
หลวงพ่อก็โปรดเมตตา (ทางฝัน) ก็ได้ลาภ ทำให้ไม่เดือดร้อน หลวงพ่อให้กำลังใจ ทั้งทางโลกและทางธรรม
บางครั้งดิฉันสงสัยอะไรไม่กล้าถาม หลวงพ่อก็เมตตาบอก (ทางฝัน) ทำให้ดิฉันซาบซึ้งในความเมตตายิ่งนัก
หลวงพ่อได้ให้กำลังใจในการปฏิบัติและให้แนวทางที่เข้าใจง่ายดังจดหมายนี้
ลูกรัก
ลูกมีเจตนาน่ารัก มีอารมณ์หวังผลพระนิพพาน ถ้าลูกตั้งใจไว้อย่างนี้จะตายเมื่อไร ไปนิพพานเมื่อนั้นลูก
คนจะไปนิพพานได้เพราะเบื่อโลก และวางเฉยไม่ยินดียินร้ายในเรื่องของโลก ไม่สนใจมันเลย แต่ทำงานตามหน้าที่ ไม่บ่นและไม่กลุ้ม แต่ไม่ต้องการมันอีก
เท่านี้ก็นิพพานแน่
(พระมหาวีระ ถาวโร)
19 มิ.ย. 24
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
24 ธันวาคม 2524
ลูกรัก
พ่อไม่ได้ตอบจดหมายใครๆ มานานแล้ว ทั้งนี้เพราะพ่อป่วยมาก ขนาดออกรับแขกก็ซวนคล้ายล้ม แต่อาการนี้แขกผู้มาคงไม่เห็น เพราะพ่อต้องใช้กำลังใจช่วยเสมอ
มาตอนนี้พอมีแรงบ้าง จึงตอบตามที่มีแรงเพื่อสนองเจตนาดีของผู้สงเคราะห์
ปัจจัยที่ลูกส่งมา เพื่อสร้างห้องกรรมฐาน จำนวน 1,600 บาท สมทบมูลนิธิหลวงพ่อปานอีก 100 บาท เป็นค่าภัตตาหารอีก 100 บาท พ่อได้รับแล้วลูก ลูกฉลาดทำบุญมากนะ เพราะห้องกรรมฐานเป็นวิหารทาน มีอานิสงส์สูง เป็นเลิศกว่าอามิสทานทุกประการ
ค่าอาหารเป็นสังฆทานก็ได้ มูลนิธิเป็นหมดทุกทานคือ วิหารทานก็ได้เมื่อเอาดอกไปซ่อมหรือสร้าง
เป็นสังฆทานก็ได้เมื่อเอาไปใช้ในส่วนรวม เช่น ค่าอาหาร ยารักษาโรค ค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำประปาเป็นต้น เป็นสาธารณทานก็ได้ เพราะช่วยสงเคราะห์ รวมความว่า
ลูกทำทานยกยอดทุกประการ ผลนี้คงได้ถึงนิพพานแน่นอน
(พระมหาวีระ ถาวโร)
จดหมายทั้งสองฉบับนี้ มีค่ายิ่งสำหรับดิฉัน ยามใดที่รู้สึกท้อแท้ ก็ได้จดหมายนี่แหละเป็นสังฆานุสสติ
ทำให้มีกำลังใจสู้ต่อไป
ในอดีตชาติ ดิฉันละเมิดศีลข้อปาณาฯ ไว้มาก มาในชาตินี้ทำให้เจ็บป่วยอยู่เสมอๆ แต่ด้วยความเมตตา ของพรหม เทวดา หลวงพ่อ และท่านผู้มีพระคุณ สงเคราะห์
(ทางฝัน) จึงทำให้ดิฉันไม่เป็นอะไรมากถึงเข้าโรงพยาบาล
ครั้งหลังสุดนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2534 ดิฉันรู้สึกปวดไหล่ข้างขวา ยกมือขึ้นสุดมือไม่ได้ และยกของหนักก็ไม่ได้ นอนตะแคงข้างขวารู้สึกเจ็บไหล่
ดิฉันก็ทนทำงานบ้านทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ตอนแรกไม่ยอมไปรักษา คิดว่าเป็นการชดใช้กรรม พอนานวัน แทนที่จะหายกลับเป็นมากขึ้น
ดิฉันกลัวว่า แขนจะพิการจึงเริ่มรักษาทั้งหมอไสยศาสตร์ หมอแผนปัจจุบัน อีกทั้งกายภาพบำบัด ก็หมดเงินไปเป็นพันๆ บาท ก็พอบรรเทาแต่ไม่หาย
ดิฉันรู้สึกท้อแท้คิดว่าปล่อยตามกรรมดีกว่าจึงงดรักษา
หลวงพ่อคงรู้สึกว่า ดิฉันใช้กรรมมานานพอสมควรแล้ว จึงเมตตาดิฉันอีกครั้งหนึ่ง ดิฉันจำได้ไม่ลืมว่า เป็นคืนวันที่ 17 มิ.ย. 2534
ดิฉันฝันว่า ได้มากราบหลวงพ่อพร้อมด้วยพรรคพวกอีกหลายคน ดิฉันนั่งหน้าสุด เห็นหลวงพ่อห่อยาผงสีขาวๆ ลงในขันน้ำมนต์
แล้วหลวงพ่อก็ลุกขึ้นเดินมาที่ดิฉันนั่งอยู่ แล้วใช้ที่พรมน้ำมนต์ตีที่ไหล่ของดิฉันแรงๆ 3 ครั้ง
จากนั้น หลวงพ่อก็ประพรมน้ำมนต์ให้คนอื่นๆ ต่อไป ดิฉันตื่นขึ้นกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ รู้สึกสดชื่นน่าอัศจรรย์จริงๆ
ดิฉันมีความรู้สึกว่าหายเจ็บปวด ได้ทดสอบด้วยการหิ้วของหนัก และยกมือขึ้นก็ทำได้ตามปกติ จนถึงทุกวันนี้ที่ดิฉันหายนี้ด้วยความเมตตา
อันหาที่สุดมิได้ของหลวงพ่อ
พระคุณของหลวงพ่อใหญ่หลวงนัก ดิฉันจะจดจำไว้จนตลอดชีวิต และจำตอบแทนพระคุณของหลวงพ่อ ด้วยการทำความดี และปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ
ยึดหลวงพ่อเป็นสังฆานุสสติ
ดิฉันมีความรู้สึกว่า เป็นผู้ที่โชคดีที่หลวงพ่อโปรดเมตตาไปที่บ้าน ในเดือนมิถุนายน 2532, 2533 และ 2534 รวม 3 ครั้งติดต่อกัน
ทำให้มีความสุขใจ และภูมิใจเป็นที่สุดที่หลวงพ่อได้เมตตา สงเคราะห์ครอบครัวของดิฉัน จากการไปบ้านดิฉัน เป็นการชี้ให้เห็นว่า หลวงพ่อได้เมตตาต่อลูกๆ
โดยมิได้เลือกชั้นวรรณะและฐานะ ท่านที่ติดตามหลวงพ่อไปคงได้เห็นแล้ว
คุณเจี๊ยบ (ขออภัยที่กล่าวนามท่าน) ได้กล่าวกับดิฉันว่า หลวงพ่อเมตตาคุณป้ามาก ซึ่งแต่ละบ้านที่หลวงพ่อไปนั้นราวกับพระราชวัง
ทำให้ดิฉันรู้สึกภูมิใจ และซาบซึ้ง ในความเมตตาของหลวงพ่อยิ่งขึ้น
ขอกราบบูชาความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทุกพระองค์ ตลอดจนพรหม เทวดา และท่านผู้มีพระคุณทุกท่าน
และขอกราบที่เท้าของหลวงพ่อ ด้วยความเคารพรักเป็นอย่างยิ่ง ที่ทำให้ดิฉันถึงวันนี้ได้ ขอบารมีแห่งพระรัตนตรัย จงช่วยให้หลวงพ่อมีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนนาน
อยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกหลานต่อไปอีกนานๆ เถิด
◄ll กลับสู่สารบัญ
41
พ่อปู่ที่นั่น ท่านไม่ชอบนะ
ร.ต.นที (บัง) ทนุวงษ์
...ผมนับถือศาสนาอิสลามมาแต่กำเนิด มีความเคร่งครัดต่อศาสนาอิสลาม ตั้งแต่เด็กๆ
เป็นต้นมา (เกิดปี 2492) ครั้นอายุได้ 18 ปี จิตใจเริ่มค่อยๆ หันเหไปสนใจเรื่องการไปดูการเข้าทรงเจ้า แต่ก็ยังเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเช่นเดิม จวบจนได้พบหลวงพ่อแล้วได้เกิดความศรัทธามั่นคง จึงได้หันมานับถือศาสนาพุทธ
...และเมื่อคราวที่มีการอุปสมบทพระภิกษุจำนวน 180 รูปที่วัดท่าซุง เพื่อถวายกุศลให้แก่หลวงพ่อในคราวนั้น
ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมการอุปสมบทในครั้งนั้นด้วย ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่า ผมมีความเคารพศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
การพบหลวงพ่อในชีวิตนี้ ถ้าดูผิวเผินคล้ายกับเป็นการบังเอิญ แต่ถ้าพูดกันตามหลักแล้ว คิดว่า
เป็นเพราะเคยได้ร่วมบุญกับหลวงพ่อมาแต่ปางก่อน จึงส่งผลให้ผมโชคดีที่ได้เกิดมาพบหลวงพ่อในชาตินี้
และคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เกิดมาร่วมบุญกับหลวงพ่อ
กาลในตั้งแต่ในอดีตชาติทุกๆ ชาติมาจนถึงปัจจุบันนี้ หากผมได้เคยได้ล่วงเกินหลวงพ่อ หรือได้ล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย
มีหลวงพ่อปู่ปานและหลวงพ่อเป็นที่สุด ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดยกโทษให้แก่ผม
จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานเทอญ
ผมต้องขอขอบพระคุณ และจารึกพระคุณของ พล.อ.ทวนทอง สุวรรณทัต นายเก่าของผม และ พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา
ที่ทำให้ผมได้เข้ามาพบแสงสว่างจากหลวงพ่อ
ต่อไปนี้ผมขอเล่าเหตุการณ์บางตอนเมื่อผมได้พบหลวงพ่อ
ประมาณปี 2519 พล.อ.ทวนทอง สุวรรณทัต นิมนต์หลวงพ่อไปที่ บก. สน. สนามเสือป่า ตอนนั้นหลวงพ่อจะไปทุ่งสง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
นิมนต์หลวงพ่อไปร่วมพิธีเปิดอนุสาวรีย์พระเจ้าตาก ที่ค่าย ตชด.
ขณะที่หลวงพ่อไปฉันเพล ช่วงที่หลวงพ่อเดินผ่านหน้าผมไป พอท่านเดินผ่านหน้าผมไปแล้ว (ผมเป็นจ่าทหารอยู่ที่นั่น) ผมก็นึกในใจว่า
เอ๊ะ พระองค์นั้นถูกชะตา
ผมก็ไปถาม ร.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา (ยศขณะนั้น) ปัจจุบันคือ พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา ว่า พระองค์นี้...เป็นใคร?
แล้วท่านจะเดินทางไปไหน?
ตอนนั้น เรื่องพระกับผมไม่ค่อยถูกโฉลกกันเท่าไร (แต่ผมก็มีใจรักทางนี้อยู่บ้าง) เพราตอนนั้น ผมไปหลงการเข้าทรงเจ้าอยู่ พอผมถามพี่อรรณพแล้ว
พี่อรรณพบอกว่า หลวงพ่อจะไป ตชด. ที่ทุ่งสง
ผมเลยถามพี่อรรณพว่า ผมจะติดตามหลวงพ่อไปได้ไหม
พี่อรรณพบอกว่า ให้ไปขออนุญาตจากนาย คือ พล.อ.ทวนทอง สุวรรณทัต
ผมก็เข้าไปขออนุญาต (ระหว่างคอยนาย ผมก็เตรียมเสื้อผ้าพร้อมปืนทุกอย่างเรียบร้อย พร้อมที่จะร่วมออกเดินทางได้เลย)
นายบอกอนุญาตให้ไปได้ และสั่งเลยว่าให้ผมติดตามหลวงพ่อไปตลอด เมื่อติดตามไปตลอดแล้ว ต่อมานายคือ พล.อ.ทวนทอง
ก็อนุญาตให้ผมไปอยู่วัดท่าซุงได้ ให้ไปเฝ้าหลวงพ่อ
ตอนไปอยู่ที่วัดท่าซุง ช่วงที่หลวงพ่อฉันเพลแล้ว พอฉันเพลเสร็จ หลวงพ่อก็เข้าพักในห้องทำงาน (จำวัด) ที่ข้างวัดคือโรงเรียนซึ่งอยู่ติดกับวัดท่าซุง
มีเสียงปืนดังขึ้น
ผมก็ออกไปห้ามเขา บอกเขาว่าหลวงพ่อกำลังพักผ่อน พอไปห้ามเขาแล้ว ผมก็เดินกลับมานั่งพักที่หน้าห้องพักหลวงพ่อ สักพัก เขา (คนที่ยิงปืน) ก็มาหาพี่สมนึก
ถามว่า คนใส่แว่น (คือตัวผม) นี่เป็นใคร? เพราะเขารู้จักพี่สมนึกดี พี่สมนึกก็โทรศัพท์มาตามผมว่า เฮ้ย บัง มีคนมาตามหาต้องการพบอยู่ที่หน้าวัด
ระหว่างนั้น ผมก็เตรียมปืนอยู่ หลวงพ่อกำลังนอนพักอยู่ในห้องส่วนตัวของท่าน อยู่ๆ ท่านก็เดินออกมาลักษณะคนเพิ่งตื่นนอนใหม่ๆ หน้าตายังบวมอยู่
ท่านมาหาผมแล้วพูดว่า เฮ้ย พวกเดียวกัน
แล้วท่านก็พาผมไปรู้จักกับเขา จับมือกัน ไม่มีเรื่องกัน เพราะพวกนั้นกำลังเมาเหล้ากันอยู่ ผมไปห้ามพวกนี้ เขาท้าผมไปยิงกันหน้าวัด (ตอนที่ท้านั้น
ท้าตอนผมไปห้ามเขาครั้งแรกที่โรงเรียน)
เมื่อจับมือกันแล้วหมดเรื่องหมดราวกัน ก็ได้เข้าใจกัน ตอนนั้นผมมีความมั่นใจอยู่ว่า หลวงพ่อต้องเก่ง คุ้มครองผมได้
ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจเรื่องนรก สวรรค์ เทวดาเท่าไร เพราะยังมีความคิดเก่าๆ อยู่ ช่วงนั้นเริ่มมีความคิดค่อยๆ เปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ เกิดความศรัทธาหลวงพ่อ
แต่ก็ยังมีออกนอกลู่นอกทาง แต่ผมก็เริ่มมั่นคงขึ้น
ประมาณปี พ.ศ.2520 2521 หลวงพ่อเดินทางไป จ.ยะลา น้าเหม่เป็นผู้ควบคุมการเดินทางของคณะศิษย์หลวงพ่อที่ติดตามขบวนของหลวงพ่อไป
ระหว่างเดินทางกลับจากยะลา ลงมาพักที่โรงงานปลาป่น ที่ จ.ชุมพร ช่วงเย็น หลวงพ่อนัดเวลาว่าจะลงมาเดินเล่น และรับแขกคุยกับลูกหลาน ท่านก็บอกว่า จะลงมาประมาณ
6 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม
พวกผมก็นั่งอุดประตูบันได ไม่ได้ไปไหน มีผม มีนายดาบตระกูล มีจ่าสาย พี่เฮี้ยง ก็นั่งคุยจุกกันอยู่ตรงบันไดทางเดิน บ้านนั้นมีบันไดลงข้างเดียว
ต้องลงทางบันไดที่พวกผมนั่งกันอยู่เพียงทางเดียว พวกผมอาบน้ำอาบท่า ไปนั่งรอหลวงพ่ออยู่ตรงนั้น ตั้งแต่ประมาณบ่าย 4 โมงครึ่ง นั่งคอยตรงที่นัดกัน
ตรงประตูบันได
ระหว่างคุยกันอยู่ ได้ยินเสียงหลวงพ่อหัวเราะอยู่ที่โรงครัว ที่แม่ครัวทำกับข้าวกันอยู่ พวกเราก็หน้าตาตื่นกัน
ก็แปลกใจว่าพวกเรานั่งกันอยู่ที่นี่ หลวงพ่อไปที่ครัวได้ยังไง ถ้าลงบันไดมาก็ต้องเจอพวกผมก่อน นี่แสดงว่า หลวงพ่อท่านแสดงอะไรให้ดูเป็นแน่
ช่วงนั้นผมยังมีความสงสัยอะไรอยู่ ท่านคงแสดงให้ผมหายสงสัยแน่ๆ ว่า ท่านเป็นพระที่พวกเราทิ้งท่านไม่ได้ ไม่ต้องไปหาใครอีกแล้ว
พอไปเจอหลวงพ่อ ก็ไปถามท่านว่าท่านลงมาได้ยังไง
ท่านตอบว่า พวกมึงนั่งหลับกันเองแหละ เลยไม่เห็นกูลงมา
ก็หัวเราะกันแบบงงๆ
ผมมาประทับใจหลวงพ่ออีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้ผมรักท่านมาก เรื่องหลวงพ่อห่วงคณะที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน
ใครก็ตามที่เดินทางร่วมคณะกับหลวงพ่อๆ ท่านจะไม่นอน ตอนนั้นท่านยังแข็งแรงกว่าตอนนี้ ท่านห่วงทุกคนที่เดินทางร่วมคณะว่า จะกินยังไง นอนยังไง
จะมีอันตรายหรือเปล่า
เพราะช่วงนั้นการเดินทางไปใต้ พวก ผกค. กำลังเผาสถานี อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี มีอันตรายมาก หลวงพ่อคอยสอดส่องดูแล
เป็นห่วงเป็นใยทุกๆ คนว่า นอนกันยังไง กินกันยังไง แทนที่ท่านจะอยู่ในห้องพักผ่อนนอนสบายเมื่อถึงที่พัก ไม่มี ไม่ทำอย่างนั้น ท่านจะออกเดินตรวจดูทุกๆ คนว่า
ได้พักอยู่กินกันแล้ว ท่านจึงจะยอมไปพัก
จนกระทั่งปัจจุบันนี้ท่านชราภาพและป่วย ท่านก็ยังทำเช่นนี้อยู่ เป็นห่วงลูกหลานไม่คิดถึงตัวท่านเอง
ห่วงที่จะสงเคราะห์ผู้อื่นจนวินาทีสุดท้าย
สมัยก่อนเวลาเดินทาง ผมจะคำนวณว่าระยะการเดินทางควรใช้เวลาเท่าไร เพื่อกะให้ท่านฉันเพลทันเวลา
ครั้งแรกผมขับรถเหยียบประมาณไม่เกิน 120 กม. ต่อชั่วโมง จากกรุงเทพฯ อุทัยธานี ผมจะเหยียบ 120 กม.ต่อชั่วโมง จะมาฉันเพลที่กรุงเทพฯ ที่บ้านซอยสายลม
มาถึงเพลพอดี
อีกคราวหนึ่ง พอขึ้นรถมาท่านก็บอกผมว่า เฮ้ยไปแค่ 80 ก็พอ
ระยะทางเท่ากัน ระยะเวลาออกจากวัดเท่ากัน แต่มาถึงบ้านซอยสายลมเวลา 10.00 น. ถนนโล่งเหมือนกัน ก่อนหน้านั้น
ท่านคุยเรื่องการย่นระยะทาง ตอนที่ท่านร่วมเดินทางกับหลวงปู่ปาน ท่านคุยให้ฟังว่า หลวงปู่เดินแป๊บเดียวถึงวัดแล้ว
ผมก็นึกในใจว่า แล้วหลวงพ่อจะย่นระยะทางได้หรือเปล่า?
หลังจากที่ผมนึกเช่นนั้นแล้ว อีกประมาณ 1 เดือน ผมก็มาเจอเรื่องนี้ (เพราะงวดแรกที่ผมขับรถให้ท่านก็ขับเร็วฉิว พองวดหลังท่านมาสั่งว่าไปแค่ 80 พอ)
ก็นึกในใจว่า จะไปทันฉันเพลหรือ? ขนาดขับ 120 กม./ชั่วโมง ยังไปถึงเพลพอดี
ผมก็นึกในใจอย่างนั้น ปรากฏผมขับมาแค่ 80 กม./ชั่วโมง มาถึงบ้านซอยสายลมประมาณ 10 โมง 15 นาทีเท่านั้น
เลยเชื่อว่าหลวงพ่อสามารถสอนผมแบบเอาอยู่หมัดเลย เพราะผมก็ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เจออย่างนี้ก็ต้องเชื่อ
มีอีกคราวหนึ่ง หลวงพ่อไปทอดกฐินที่วัดโขงขาว ประมาณปี 2529 พอทอดกฐินที่วัดโขงขาว (จ.เชียงใหม่) เสร็จ ก็เดินทางต่อไปยังสถานีวิทยุทหารอากาศ เชียงราย
ไปพักที่นั่น ท่านจะเดินทางไปบวงสรวงพระธาตุจอมกิตติ พระธาตุดอยตุง ที่ จ.เชียงราย ก่อนที่ท่านจะป่วยหนัก (กลับมาท่านก็ป่วยหนักเลย)
ระหว่างทาง อ.งาว กับศาลเจ้าพ่อประตูผา (อยู่ที่ อ.งาว) สองข้างทางจะเป็นภูเขากับเหว ทางก็คดเคี้ยว แต่ไม่ถึงกับคดเคี้ยวมากนัก ขบวนก็ผ่านเจ้าพ่อประตูผา ระหว่างที่จะผ่าน หลวงพ่อเคยสอนว่า ให้คนขับรถนึกขอท่าน ให้รถทุกคันเดินทางโดยปลอดภัย
พวกเราก็ทำตามกันหมด ทั้งนึกในใจและบีบแตร 3 ครั้ง ตามที่หลวงพ่อบอก คันที่ 1 ผ่าน คันที่ 2 ผ่าน คันที่ 3 ยางแตก ยางหน้าขวาแตก
รถใหญ่ (เป็นรถบัส) ยางหน้าขวาแตก ปกติยางหน้าขวาแตกรถจะต้องลงเหว หน้ารถจะต้องเบนหัวรถไปทางขวา (ขวามือเป็นเหว) แต่แปลก พอยางแตกปั๊บ
หัวรถเบนซ้ายหันหลังเข้าภูเขา
หักซ้ายไปเกยกับหินที่ภูเขา รถจอดนิ่งอยู่พอดี พี่สมนึกเป็นคนขับ พี่สมนึกไม่ทันระวัง ยางนั่นเพิ่งซื้อใหม่ทั้ง 2 เส้นหน้า ปรากฏว่าถึงที่พักเชียงราย
ก็นั่งคุยกันที่วง พี่แดง (พล.ต.ศรีพันธุ์ วิชชุพันธ์) ก็บอกว่า ผมแค่นึกแค่นั้นว่า ไอ้ห่า กูแค่นึกเท่านั้นนะ
ว่าจะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน เอาเสียเลย ช่วงเหวลึกเสียด้วย พี่แดงเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ผมแค่นึกเท่านั้นเอง
หลวงพ่อก็พูดว่า ไอ้แดง (พล.ต.ศรีพันธ์) มันอยากลอง
ตั้งแต่นั้นมา พอผ่านที่ตรงนั้น ลงจอดจุดประทัดกันเลย
ปกติผมห้อยวัตถุมงคลชุดใหญ่ มีผ้ายันต์แดง ผ้ายันต์เกราะเพชร ลูกแก้ว พระตะกั่วที่หลวงพ่อทำกับมือ และรับกับมือท่าน
ผมอัดกรอบเป็นอันเดียวกัน ไปไหนก็พกติดตัวตลอด
ผมเป็นคนขับรถเร็ว ผมขับไม่ต่ำกว่า 120 ในช่วงที่ผมไม่ได้เดินทางกับหลวงพ่อ
ช่วงเช้าผมจะขับรถไปทำงาน จะส่งลูกไปทำงาน ออกจากบ้านสายก็ต้องใช้ความเร็ว ช่วงจากบางกะปิมาแฮปปี้แลนด์ มีสะพานอยู่สะพานหนึ่ง
พอเลยสะพานจะเป็นช่วงกลับรถได้ ผมขับรถมา รถข้างขวาติด มีช่องซ้ายไปได้
ผมก็แซงซ้ายออก ข้างหน้ามีรถบัส พอแซงซ้ายออกก็เจอรถบัส ซึ่งผมไม่รู้ว่ามีรถบัส ผมก็หักขวาออกมาเลนขวาสุด
พอพ้นตัวเห็นทางข้างหน้ามีรถจอดเบรกอยู่จะยูเทิน ผมก็หักซ้ายมาอีก ผมก็คิดว่าเอาไม่อยู่ล่ะ ช่วงนั้นผมเร่งหนีรถบัส พอผมรู้ว่า
ไม่พ้นก็เหยียบเบรกเปลี่ยนเกียร์เอาด้านผมชน ไม่เอาด้านลูกชน (กลัวลูกเป็นอันตราย)
ปรากฏว่าประตูยุบไปถึงคนขับ เบาะหน้าของคนขับ เบาะยุบไปครึ่งหนึ่ง ลูกชายหัวเข่าแตกหน่อย แฟนผมไม่เป็นอะไร ผมไม่เป็นอะไรเลย
มันน่าจะเจ็บเพราะชนช่วงแข็งของรถคันอื่น (มุมรถเขาพอดี) แต่ไม่เป็นอะไร
ลูกชายเจ็บนิดเดียว หัวเข่าเป็นแผลเพราะไปโดนตู้แอร์ นี่ผมก็เชื่อว่าเครื่องราง วัตถุมงคลของหลวงพ่อสามารถคุ้มครองผมได้
เวลาเดินทางไปกับหลวงพ่อ ท่านจะบอก เราไปเหนือ ท่านจะบอกเลยว่า ข้างหน้ารถกำลังชนกันนะ ชิดซ้ายไว้นะ
ตอนนั้นยังไม่มีรถนำ รถเพิ่งชนกันใหม่ ช่วงระหว่างนั้นผมก็ลองของ ผมกดคันเร่ง ระดับความเร่งที่ผมวิ่งไปนี่จะประมาณ 110 กม./ชั่วโมง
แต่ผมดูเข็มไมล์มันขึ้นแค่ 70 ทั้งๆ ที่เข็มไมล์ก็อยู่ในสภาพที่ดี ปกติมันน่าจะต้องขึ้น 110 กม./ชั่วโมง เหตุการณ์ล่วงหน้า ทิพยจักขุญาณ พอรถชนกันปั๊บ
ท่านก็บอกผม
การเดินทางของท่าน ตัวท่านต้องเตรียมพร้อมเต็มอัตราศึก มีเหตุการณ์อะไรล่วงหน้า ท่านจะต้องรู้ ไม่ได้ปล่อยอารมณ์ไปธรรมดา
นี่แสดงว่าหลวงพ่อท่านมีสายตายาว
เรื่องการเดินทางของหลวงพ่อนั้น การตรงต่อเวลาสำคัญมาก
ตั้งแต่รู้จักกับท่านมา สมัยก่อน การเดินทางนั้น กลางคืนก่อนเดินทาง ผมจะเรียนถามว่าจะเดินทางออกกี่โมง ท่านจะบอกว่า ประมาณตี 5 ผมขับรถให้ท่านประมาณตี
3 ครึ่ง ผมต้องตื่น อาบน้ำอาบท่า เตรียมพร้อมที่หลวงพ่อจะลงมา
ทุกครั้งที่เดินทาง หลวงพ่อจะต้องตื่นก่อนผม และท่านจะนั่งคอยอยู่ที่เตียง (ตึกริมน้ำ) ผมอาบน้ำอาบท่านเสร็จ ท่านนั่งคอยญาติโยมกินข้าวก่อนเดินทาง
มีอยู่วันหนึ่ง มีคนแก่อยู่คนหนึ่งช้าและตื่นสาย
ผมเตรียมตัวมานั่งกับท่านแล้วก็กราบเรียนท่านว่า ผมพร้อมแล้วครับ ของเอาขึ้นรถและมัดเรียบร้อยแล้ว
ท่านก็หันมาพูดกับผม มึงไปทำอะไรมา มึงไม่รู้หรือไง?
ผมก็นั่งนึกในใจว่า เอ๊ะ ผมก็ตื่นตี 3 ครึ่ง ท่านก็เห็นผมอาบน้ำไม่ถึง 5 นาที ผมก็แต่งตัวเสร็จออกมา แล้วท่านมาพูดกับผมอย่างนี้
ผมก็นึกว่า เอ๊ะ ท่านจะเอายังไงนะ
ผมก็นึกว่า มีใครไม่เสร็จบ้าง
ก็มาทราบภายหลังว่า คนแก่คนนี้ยังไม่ได้อาบน้ำแต่งตัว หลวงพ่อก็นั่งคอย ท่านสอนให้เรารู้ว่า กำหนดการเดินทางของหลวงพ่อต้องแน่นอน ทุกคนต้องคอยพร้อมกัน
ก่อนเวลาเดินทาง ท่านบอกตี 5 เป๊ะ ก็ต้องตี 5 เป๊ะเลย เพราะสมัยก่อนออกบ่อยและออกแต่เช้า ตี 4 บ้าง
นี่แสดงว่าเวลาหลวงพ่อจะเตือนท่านเตือนแบบอ้อมๆ
มีอยู่คราวหนึ่ง ไปเชียงใหม่กับหลวงพ่อ ปกติผมเป็นคนชอบทำอะไรนอกทางบ่อยๆ ในบรรดาลูกๆ ของหลวงพ่อ ก็มีอยู่วันหนึ่งไปเชียงใหม่ วันที่หลวงพ่อพัก
ผมก็หนีออกไปเที่ยว (หนีเวรยาม) เข้าไปในเมือง พอดีวันนั้นเป็นวันขึ้นบ้านใหม่ของคนที่รู้จัก ผมก็ไปแวะเยี่ยมเขา
พอนั่งโต๊ะอาหาร อาหารเต็มโต๊ะ เขาเตรียมเอาไว้ให้เราก็มีเป็ดอยู่ 1 ตัว (ในวงอาหาร) เฉพาะวันนั้น ผมเลือกกินเป็ดอยู่อย่างเดียวเพราะมันนุ่มหวานอร่อย
ผมนั่งอยู่ในงานวันเกิดเพื่อนประมาณ 1 ชั่วโมง ผมก็กลับมาวัดโขงขาว ผมก็ปิดหลวงพ่อทำเป็นปกติ ลงไปตรวจเวรยามปกติ แล้วก็เดินขึ้นไปพบหลวงพ่อที่ห้องนอน
ขึ้นไปเจอคนกำลังนวดให้หลวงพ่ออยู่ ท่านก็คุยกับญาติโยมพวกเราหลายคน ท่านก็คุยเรื่องราวของท่าน คุยไปเรื่อยๆ แล้วก็วกกลับมาหาผมแล้วพูดว่า ไอ้พวกเห็นแก่แดกเป็ด
ผมนั่งมองหน้าหลวงพ่อ 1 ครั้ง แล้วรีบก้มหน้าแล้วรีบออกเลย เข้าห้องน้ำ เวลาผมไปเชียงใหม่อีก ใครชวนผมกินเป็ดอีก
ผมไม่ยอมกินอีกเลย
เวลาเดินทางไปต่างจังหวัด ปกติเมื่อเข้าพักแล้ว พอถึงที่พักหลวงพ่อ ถ้าผมอยู่ในห้องท่านก็จะคุยสั่งงาน
ปกติท่านก็รู้ว่าผมชอบทำอะไรออกนอกลู่นอกทางเสมอๆ ท่านก็เมตตาผม คอยห้ามความคิดที่กำลังจะทำ
มีอยู่วันหนึ่งท่านก็เรียกผมเข้าไปพบแล้วพูดว่า พ่อปู่ที่นั่น ท่านไม่ชอบนะ
ความคิดช่วงเช้า ผมนึกว่า คืนนี้ผมจะเดินทางรอบๆ ห้องพักแล้วจะไปจีบผู้หญิงในหมู่บ้าน
ตอนหัวค่ำ พออาบน้ำอาบท่านเสร็จ ผมก็เตรียมอาราธนาวัตถุมงคลทั้งหมดเลย พระหลวงพ่อทั้งหมดเอาขึ้นคอ
ที่ขาดไม่ได้คือสีผึ้งสีปาก เพราะใช้ได้เห็นผลมาแล้ว แต่งตัวเสร็จ ผมก็เดินเตร่อยู่แถวที่หลวงพ่อพักคอยฟังข่าวว่า หลวงพ่อจะใช้ให้ทำอะไรหรือเปล่า
ท่านก็เรียกผมเข้าไปในห้อง ผมก็เข้าใจว่า ท่านจะเรียกไปสั่งงาน หรือว่าจะให้ผมไปหยิบของ หรือหยิบโน่นหยิบนี่
ท่านก็พูดขึ้นมาเลยว่า พ่อปู่ที่นี่ ท่านไม่ชอบนะ
พูดแค่นี้แล้วไม่พูดอีก พอหลวงพ่อพูดจบ ผมก็เดินออกมานอกห้อง เปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านตามเดิม
ที่ผมเล่ามาทั้งหมด เป็นประสบการณ์เพียงส่วนน้อยที่ผมได้พบมา มีเรื่องอื่นเยอะที่ประสบมาด้วยตัวเอง ที่เล่ามาเพียงแต่พอสังเขปเท่านั้น
นี่แหละ ผมจึงมีความเคารพหลวงพ่อ และทุ่มเททั้งชีวิตเลยให้ท่าน ทั้งด้านการเดินทาง ทั้งการถวายอารักขา การดูแลท่าน ถ้าผมมีโอกาส
ผมก็ทำอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และผมก็ทำตามที่ท่านสอน ถึงแม้บางครั้ง ก็มีแหวกนอกลู่นอกทางบ้าง แต่ผมก็ค่อยๆ ละไปทีละอย่าง
เพื่อปฏิบัติตามแนวคำสอนของหลวงพ่อให้ถึงที่สุด
◄ll กลับสู่สารบัญ
42
ซาบซึ้งในพระคุณหลวงพ่อ
ชัยสิทธิ์ ยาวะโนภาส
...คำสอนในพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้าก็สนใจพอรู้บ้างนิดหน่อย
ได้ฟังจากคนเฒ่าคนแก่พูดสั่งสอนมาว่า บุญ บารมี ผีมีจริง เทวดามีจริง ทำบุญกับพระสงฆ์ก็ได้บุญ ผลของบุญ ผลของบาปมีจริง
แต่ความลึกซึ้งในคำสอนของพระพุทธเจ้า ยังไม่มีใครอธิบายได้ชัดเจน
...อย่างชีวิตของสัตว์ที่มนุษย์กินเป็นอาหาร เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา และสัตว์ที่ไม่มีประโยชน์ เช่น งูพิษ หนู เลือด ยุง มด ปลวก
เหล่านี้เขาบอกว่าฆ่าแล้วไม่บาป ถึงแม้ว่า จะเคยสวดมนต์ทำวัตรอยู่บ้าง แต่ก็ยังฆ่าสัตว์ที่เป็นอาหาร กินเหล้าอยู่
...ข้าพเจ้าได้พบหลวงพ่อและได้ฟังเทศน์ของหลวงพ่อเมื่อปี 2520 ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้น
ข้าพเจ้าเรียนหนังสืออยู่วิทยาลัยเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เทคนิคโคราช) ปีนั้น หลวงพ่อไปเทศน์โปรดลูกศิษย์ที่นั่น แรกๆ ก็มีคนเข้านั่งฟังอยู่ประมาณ 20
คน
ได้ยินหลวงพ่อพูดว่า มีคนฟังน้อยแต่ไม่เป็นไรประเดี๋ยวก็มากันเต็ม
พอหลวงพ่อเทศน์ไปได้สัก 10 นาที ปรากฏว่ามีนักเรียนทยอยกันมานั่ง จนเต็มห้องประชุม พอหลวงพ่อเทศน์จบ
ท่านก็แจกพระทุ่งเศรษฐีเนื้อดินเผา ข้าพเจ้าก็ได้รับแจกมา 1 องค์ (แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เพราะตอนนั้นไม่ค่อยซึ้งในหลวงพ่อ) หลังจากนั้น
ข้าพเจ้ายังปฏิบัติตนเหมือนเดิม
จนกระทั่งปี พ.ศ.2524 ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ไปทำบุญถวายอาหารเพลพระวัดคลองเตยใน (กรุงเทพฯ) ขณะที่รอพระอยู่นั้น
ท่านก็บอกว่า โยมเอาหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปานไปอ่านฆ่าเวลาก่อน
ข้าพเจ้าก็รับมาอ่าน อ่านๆ ไปชักสนใจ เลยถือโอกาสยืมท่านไปอ่านที่บ้าน ท่านก็อนุญาต
พออ่านจบก็ถึงบางอ้อ ว่าเราเลวมาตั้งแต่เล็กจนโต คำที่หลวงพ่อบอกว่า หากคนใดไม่มีศีล 5 อย่านึกเลยว่า จะได้กลับมาเกิดเป็นคนอีก
ไม่รู้ว่า อีกกี่ภพกี่ชาติกี่กัลป์ถึงจะได้กลับมาเกิดเป็นคน คำสอนหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่าตัวเองทำบาปมาหลายปีแล้ว ข้าพเจ้าจึงอยากจะตามหาหลวงพ่อ
เลยโทรศัพท์ไปที่ซอยสายลม ขอพูดกับคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ก็หน้าแตกเย็บไม่ติด ในเมื่อได้รับคำตอบว่า ท่านเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว
ข้าพเจ้าก็พยายามไปหาบ้านซอยสายลม ตามที่อยู่ในหนังสือก็พบ และได้ถามเจ้าของบ้านคือท่านเจ้ากรมฯ ก็ได้รับความกรุณาบอกเล่าเรื่องหลวงพ่อมาสอนกรรมฐาน
ที่บ้านซอยสายลม และถึงวันเวลาที่หลวงพ่อมาสอนกรรมฐาน ข้าพเจ้าก็ไปหาหลวงพ่อ
หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน ประกอบกับธรรมะขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ที่หลวงพ่อนำมาสอนให้กระจ่าง ละเอียด และง่าย
กระผมซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อมาก
หลวงพ่อเปรียบเสมือนเข็มทิศ ที่ชี้ดี ชั่ว ประโยชน์ โทษ ทุกข์ สุข ในชาตินี้ ชาติหน้า และเปรียบเสมือนผู้ถือแสงสว่าง
คือประทีปแก้วจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาส่องสว่างในความมืดของชีวิตของลูกๆ ทุกคนให้เห็นการปฏิบัติถึงการพ้นทุกข์
หลวงพ่อเป็นพ่อที่มีพระคุณต่อลูกๆ มากมาย ยากที่จะหาอะไรมาเปรียบเทียบได้ ข้าพเจ้าเริ่มเป็นคนมานิดๆ ก็เพราะฟังธรรมจากหลวงพ่อ
ซึ่งแสดงให้ได้เห็นหนทาง แนวทางว่า การปฏิบัติตามพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่ได้ยากเหมือนที่เคยได้ยินได้ฟังมา จะยากจริงๆ
ก็คงจะเป็นคนที่ไม่คิดที่จะปฏิบัติเท่านั้น
หลวงพ่อไม่เคยขาดแม้แต่สักครั้งเดียวในการสอนธรรม ถึงแม้ว่าร่างกาย ขันธ์ 5 ของท่านเจ็บไข้ได้ป่วยสักเพียงใด หากยังพอเดินได้
พูดได้ หลวงพ่อเป็นต้องสอนอบรมลูกๆ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ข้าพเจ้าซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อ จนบางครั้งนึกถึงท่าน น้ำตาจะไหลให้ได้
และการได้ทำบุญกับหลวงพ่อ ไม่ว่าจะที่ซอยสายลม หรือที่วัดท่าซุง ทำให้มีจิตใจชุ่มชื่นเบิกบาน
ขอให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายในการเกิดเถิด นั่นคือความปรารถนาของข้าพเจ้า
เท่าที่ข้าพเจ้าได้ทราบ หลวงพ่อท่านเป็นพระที่มีญาณแจ่มใสชัดเจนมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้กราบเรียนถามหลวงพ่อเรื่องแม่ยายของข้าพเจ้า
เป็นโรคปวดหัวเป็นพระจำมานานหลายปี
รักษาอย่างไรก็ไม่หาย กินยาแก้ปวดพอทุเลาบ้าง แต่ก็ไม่หาย ต้องกินยาอย่างน้อยวันละ 2 เม็ด (ยาแก้ปวดซาริดอน) ติดต่อกันมา 30 กว่าปีไม่เคยขาด
ตอนหลังเวลานอน จะมีเลือดสดๆ ไหลออกมาตามรูหู ทำให้ปวดทรมานมาก
ข้าพเจ้าก็เลยกราบเรียนถามหลวงพ่อ ผ่านทางคุณยกทรง
พออ่านปัญหายังไม่ทันจบ หลวงพ่อก็บอกว่า มันเป็นโรคเวรโรคกรรม รักษาไม่หายหรอก เพราะว่าเมื่อก่อนเคยทำบาปทุบหัวปลาช่อนไว้มากมาย
ท่านบอกว่า ปลาช่อนเหล่านั้น มาแสดงให้เห็นว่าเขาโดนทุบหัวดิ้นปั้บๆ พอมีทางทุเลาได้บ้าง ก็แต่ทำบุญสังฆทาน
แล้วอุทิศเจาะจงให้ปลาช่อนเขาไป
ข้าพเจ้ากลับไปบ้าน ถามแม่ยายว่า เคยทุบหัวปลาช่อนบ้างหรือเปล่า
เขาบอกว่าเมื่อตอนสาวๆ เขาอยู่บ้านกับพ่อที่อยุธยา วิดบ่อปลาปีละ 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งๆ ได้ปลาช่อนเป็นลำเรือเลย (เรือพายเล็กๆ) ต้องทุบหัวปลา
ส่วนมากเป็นปลาช่อน ครั้งละเป็นร้อยๆ ตัว (เก็บตากแดดเอาไว้กินได้นาน) ใช้ไม้สะแกที่มีตุ้มๆ ทุบ จนกว่าจะตายก็ประมาณ 3 ถึง 4 ครั้ง
นี่ก็แสดงว่า หลวงพ่อท่านมีญาณแจ่มใสมาก รู้อดีต อนาคต ปัจจุบันได้ดีและรวดเร็วมาก หลวงพ่อท่านจะถึงขั้นไหนนั้น
ข้าพเจ้าไม่ติดใจอะไร แต่ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า จิตของหลวงพ่อไม่มีความทุกข์ฝังอยู่เลยแม้แต่น้อย
และมีสุขใจในทุกสถานที่ถึงแม้สถานที่นั้นจะเป็นป่าหรือบ้าน
หลวงพ่อไม่ห่วงดี ไม่ห่วงชั่ว ไม่ห่วงทุกข์ แม้แต่ร่างกายขันธ์ห้าของท่านเอง เพราะฉะนั้นหากแม้ว่าหลวงพ่อละขันธ์ห้าแล้ว
หลวงพ่อต้องถึงซึ่งความสุขอันเป็นเอกันตบรมสุขอย่างแน่นอน
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 26/3/11 at 14:20
43
มโนมยิทธิไม่ใช่การสะกดจิต
วัชรพงศ์ ศรีหนองห้าง
...ลูกศิษย์บันทึกที่ผมเขียนนี้ ทีแรกว่าจะไม่เขียน
เพราะผมคิดว่าตัวเองยังมีความดีไม่พอที่จะประกาศตนเองว่า เป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เพราะเกรงว่า
เมื่อเขียนลงไปแล้วจะเป็นการแอบอ้างหรืออวดตัวเองไป และต่อไปภายหลัง ถ้าตนเองทำไม่ดีไม่งาม ก็อาจเสื่อมเสียมาถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้
...และอาจเป็นการเกินหน้าเกินตาศิษย์รุ่นพี่ๆ ไป เพราะบางท่านก็ไม่ได้เขียนมาลง และหากการเขียนครั้งนี้ผิดพลาดล่วงเกินประการใด ก็ขอให้พี่ป้าน้าอา
อภัยให้ผมด้วย เพราะผมเองเพิ่งได้มารู้จัก และศึกษาธรรมจากหลวงพ่อประมาณปี 2520 หรืออาจเกินกว่านั้นบ้าง ซึ่งถ้านับแล้วประมาณ 10 ปี
แต่ก็ยังเอาดีไม่ใคร่ได้เลย นับว่าเป็นความเลวอย่างยิ่งของผม
...ต่อมา ผมมีโอกาสได้บวชในวันที่ 25 ธันวาคม 2534 เพื่อถวายกุศลให้หลวงพ่อท่านที่วัดท่าซุง โดยมีท่าน ดร.ปริญญา นุตาลัย เป็นหัวหน้า มีอยู่วันหนึ่ง ผมและพวกพี่ น้า อา ที่บวชด้วยกันได้มีโอกาสพูดถึงการเขียนหนังสือเล่มนี้กับพระ ดร.ปริญญา
ซึ่งท่านก็ได้กรุณาอธิบายให้ฟังว่าการเขียนหนังสือเล่มนี้ เพื่อเป็นการช่วยยืนยันในคำสอนของหลวงพ่อ
และเป็นการประกาศคุณความดีของท่าน ไม่ใช่ว่าปล่อยให้หลวงพ่อท่านทำของท่านอยู่เพียงลำพัง ซึ่งท่านทำมาองค์เดียวนานมากแล้ว
และก็จะช่วยเป็นตัวเพิ่มความเข้าใจให้กับพี่ๆ น้องๆ หรือศิษย์รุ่นหลังที่อาจเกิดไม่ทันเลยก็ได้ ที่มีความข้องใจในธรรมะบางอย่าง
ซึ่งอาจตรงกับที่ได้เขียนไว้ ผมจึงได้ติดสินใจและรับปากกับพระ ดร.ปริญญา ท่านว่าจะเขียนลงด้วย
และที่จะเขียนนี้ก็เป็นเพียงประสบการณ์บางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงพ่อท่านกับวิชามโนมยิทธิ ตลอดจนคำสอนที่ได้รับโดยตรงจากท่านบ้างเท่านั้น
เพราะถ้าเขียนมากเกรงว่า จะเยอะและฟุ้งจนเกินไป และการเขียนในบางครั้งอาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เพราะนานมามากแล้ว ก็มีการลืมบ้าง
แต่ก็เป็นไปในทำนองนั้น
ก่อนอื่นผมขอตั้ง นะโมฯ 3 จบ บูชาพระรัตนตรัย บิดามารดา และครูบาอาจารย์ทุกท่าน รวมทั้งพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานด้วยก่อน
เพราะวิชาความรู้ต่างๆ ผมได้มาจากท่านทั้งสิ้น หากมีการล่วงเกินทั้งทางกาย วจา ใจ ทั้งเจตนาหรือไม่ก็ตาม กระผมก็ขอขมาโทษมา ณ ที่นี้ด้วย
และขอให้ท่านทั้งหลาย อดโทษให้ข้าพระพุทธเจ้านับแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
ผมได้มีโอกาสพบหลวงพ่อครั้งแรกในตอนอายุ 7 ขวบ ซึ่งเป็นวันเกิดของผม เพราะเนื่องจากว่า วันเกิดทุกปี ผมจะได้ใส่บาตรตอนเช้าเสมอ
แต่ในปีนั้นใส่บาตรไม่ทัน พ่อของผมจึงบอกว่าไม่เป็นไร ใส่ตอนเช้าไม่ทันก็ไปใส่ตอนกลางคืนกัน ทีแรกผมก็งงว่าตอนกลางคืนจะไปใส่บาตรที่ไหน
พอตอนเย็นพ่อผมก็ได้พาไปทำสังฆทานที่ซอยสายลม ซึ่งในสมัยนั้นเป็นปี 2520 หลวงปู่มหาอำพันท่านก็ยังรับแขกอยู่ที่ซอยสายลมกับหลวงพ่อเช่นกัน
แต่เนื่องจากเป็นตอนเด็กอยู่จึงจำได้เพียงคลับคล้ายคลับคลาเท่านั้น
ในตอนที่ผมยังเล็กมานั้น คงประมาณ 3 4 ขวบ ผมเคยมีความรู้สึกว่าตนเองขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคาโรงรถ ซึ่งยาวมาก เพราะเป็นโรงเก็บรถของทหาร และก็มีท่าน 2
ท่านมายืนขนาบผมอยู่ เมื่อมองลงมาผมก็เห็นแม่กับพ่อ อุ้มเด็กเดินมาคนละคนและก็มีเด็กจูงมาด้วยคนหนึ่ง ซึ่งถ้าดูไม่ผิดเด็กที่เดินจูงมาคือพี่ชายของผม
และที่พ่อผมอุ้มอยู่คือน้องสาวผม
กำลังจะเดินขึ้นแฟลตซึ่งเป็นบ้านพักข้าราชการทหาร เป็นแฟลตนายสิบ ต่อมาผมก็มารู้สึกตัว และเริ่มจำความได้อีกทีก็ตอนเรียนอยู่ชั้นอนุบาลแล้ว
ซึ่งเหตุการณ์ในตอนนั้น ทำให้ผมสงสัยมากว่าเป็นอะไร และเมื่อโตขึ้นมาเรียนอยู่ในระดับ ป.5 ป.6 ก็มีความรู้สึกแปลกอีก นั่นคือ
เมื่อผมเรียนอยู่ก็ดี ทำอะไรอยู่ก็ดี ผมมีความรู้สึกว่า มีอีกตัวหนึ่ง มันชอบไปเที่ยวดูโน่นดูนี่ตามที่ต่างๆ
โดยมีความรู้สึกคล้ายกับตัวเนื้อนี้มา เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่ผมยืนอยู่บนรถเมล์ซึ่งกังติดไฟแดงอยู่ อยู่ดีๆ
ก็มีความรู้สึกเหมือนกับตัวเองไปยืนอยู่บนหลังคารถ สามารถมองไปได้รอบบริเวณ มองเห็นสี่แยกได้ชัดเจน
ขยับท่าทางได้ตามอัธยาศัยผลุบเข้าผลุบออกขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้อยู่หลายครั้ง ทดลองทำอีกมันก็ได้ทุกครั้ง
เสร็จแล้วผมก็เอาเจ้าตัวนั้นเล่นมวยจีนอยู่บนหลังคา ซึ่งตอนเด็กๆ ผมบ้ามวยจีนมากทีเดียว แต่สักเดี๋ยว ผมก็รู้สึกอายคนข้างๆ ที่อยู่ในรถ
เพราะมีความรู้สึกเหมือนกับว่า กายเนื้อมันทำท่าทางไปด้วยจริง เกรงว่าเมื่อเขาเห็นผมทำท่าทางแล้ว จะหาว่าไอ้เด็กคนนี้มันบ้าไป
จึงลงมาอยู่ในความรู้สึกธรรมดา ซึ่งเมื่อมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นมีใครสนใจอะไร ความรู้สึกนี้เอง เป็นอีกอย่างที่ทำให้ผมสงสัยว่ามันเป็นอะไรกันแน่
และคนอื่นจะมีความรู้สึกเหมือนผมหรือไม่ ตลอดจนสงสัยไปถึงเรื่องโลกในทำนองไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน และสภาวะต่างๆ ของโลกด้วย
ต่อมา ผมได้ถูกพ่อพามาฝึกมโนมยิทธิที่บ้านซอยสายลม แต่ก็ฝึกไม่ได้ เพราะไม่รู้เรื่องเลยว่าเขาทำอะไรกัน ตอนฝึก ผมกับพี่และน้องลืมตามองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เพราะไม่รู้เรื่องจริงๆ ไม่ได้เตรียมตัวกันมามากพอ จึงทำให้ขาดความเข้าใจ ผมได้ฝึกมโนมยิทธิอีกครั้งที่วัดท่าซุง ที่ตึกธัมมวิโมกข์ ในตอนฝึกสมัยนั้น
ผู้ชายมีพระท่านเป็นครูฝึกให้ ก็นั่งกันเป็นวง ประมาณ 5 6 คน
ในวงนั้นผมอายุน้อยที่สุด ในขณะที่ฝึกมีอยู่ช่วงหนึ่งครูฝึกท่านให้ไปดูพระจุฬามณี แล้วท่านก็ถามคนข้างๆ ผมว่าเห็นว่าเล็กหรือใหญ่
คนข้างๆ แกก็ตอบว่าเล็ก แล้วท่านก็ถามทีละคนไล่ไป แต่ละคนก็ตอบว่าเล็ก จนกระทั่งผมเป็นคนสุดท้าย ท่านก็ถามผมว่า เห็นว่าเล็กหรือใหญ่อีก ใจผมนั้น
เห็นว่าใหญ่
แต่เห็นคนข้างๆ ตอบว่าเล็กกัน ผมเลยบอกว่า เล็กบ้าง เท่านั้นเอง ท่านก็เอามือมาจับที่ตักผมแล้วบอกว่า เฮ้ย
เห็นใหญ่อย่าว่าเล็กสิ นั้นเป็นผลจากที่ผมตามผู้ใหญ่ แล้วตอบผิด นั่นแสดงว่า ครูฝึกสมัยนั้นท่านรู้ท่านเก่งสมกับเป็นครูจริงๆ แต่ผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร
เพราะว่าไม่ได้ลืมตาดู เพราะท่านสั่งว่าไม่ให้ลืมขณะฝึก
เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเห็นด้วยใจไม่ใช่ด้วยตา ซึ่งผมก็ยังระลึกถึงพระคุณของครูฝึกท่านนั้นเสมอ ทั้งที่ไม่มีโอกาสทราบว่าท่านเป็นใคร
และถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งของผมเหมือนกัน
ทำให้ผมเริ่มเข้าใจว่าความรู้สึกต่างๆ ที่เคยมีมา นั่นก็คือมโนมยิทธิ หรือที่ท่านเรียกว่าของเก่าที่ได้มาจากอดีตชาตินั่นเอง
และมโนมยิทธินี้ ผมก็เคยพิสูจน์มาหลายครั้ง และที่เห็นได้ชัดก็คือ ในครั้งหนึ่งผมได้ไปเป็นลูกศิษย์พระที่เป็นญาติผู้พี่ ซึ่งบวชอยู่ที่จังหวัดตาก
และจากนั้นพระท่านก็ย้ายจากวัดดอยเชียงทอง ไปยังวัดบางจักร จังหวัดอ่างทอง ซึ่งผมก็ตามไปเป็นลูกศิษย์ด้วย และก่อนวันที่จะย้ายไปนั้น
ผมคิดจะทดสอบมโนมยิทธิของผม ที่ญาติๆ บางท่านบอกว่าเป็นวิชาสะกดจิตให้หลวงพี่ดู
ผมจึงหากระดาษกับดินสอหรือปากกามา แล้วเขียนรูปร่างผังของวัดว่าโบสถ์อยู่ตรงนี้ เมรุอยู่ตรงนี้ ศาลา กุฏิอยู่ตรงนั้น ด้านหน้าเป็นลานกว้าง
และมีโรงเรียนในวัดตามตำแหน่งต่างๆ ที่เห็นให้หลวงพี่ท่านดูต่อหน้า ซึ่งเมื่อเขียนเสร็จ หลวงพี่ถึงกับออกปากว่า ตั้งเคยไปแล้วนี่ ทั้งๆ
ที่ถึงแม้ว่าผมเคยไป แต่ก็เป็นสมัยที่ยังเด็กอยู่มาก ผมเองก็จำไม่ได้
เพียงแต่ได้ยินจากพ่อและแม่ว่า เคยไปเมื่อตอนยังเด็กๆ เท่านั้น และก็ไปแค่บ้านญาติแถวนั้น วัดผมจะได้เข้าหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมจึงบอกกับหลวงพี่ว่า นี่แหละวิชาที่ผมเรียนมาที่ญาติบางท่านหาว่าสะกดจิต และเมื่อถึงวันที่จะย้ายจริงๆ แล้วในขณะที่นั่งไปในรถ
ผมก็อยากดูว่า หน้าบันโบสถ์มีรูปร่างเป็นอย่างไร ผมก็เห็นเป็นรูปเทพพนม
และเมื่อไปถึง ผมก็เห็นหน้าบันโบสถ์ว่าเป็นรูปเทพพนมเรียงเป็นแถวตามที่เห็นจริงๆ ซึ่งถ้าใครบอกว่าเป็นวิชาสะกดจิต ผมก็จะขอยืนยันว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน
เพราะในตอนนั้นก็ไม่เห็นมีใครมานั่งสะกดผม และถ้ามีวิชาสะกดจิตแล้ว สามารถเห็นได้ตามความเป็นจริงแบบนี้ ผมก็ยอมให้สะกดละครับ
หากท่านใดยังสงสัยก็ขอเชิญกันมาพิสูจน์กัน ไม่ใช่ว่าพอเห็นแกงก็บอกแล้วเผ็ด ทั้งที่อย่าว่าแต่กินเลย ดมก็ยังไม่เคย
ก็ตีโพยตีพายไปแล้ว และถ้าฝึกไม่ได้ ก็จงคิดเถิดว่า ข้าวเมื่อท่านปลูกวันนั้นก็จะกินวันนั้นได้เลยหรือ
ผมได้มีโอกาสไปช่วยงานที่วัดบ้างในบางครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อท่านลงรับแขกที่ศาลานวราชใหม่ ก็มีคนเข้าไปถวายสังฆทาน พอว่างจากคน
ก็มีคนชวนหลวงพ่อท่านคุย บางคนก็มาขอหวยบ้าง มาพูดในสิ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัวบ้าง ผมกับพี่เจี๊ยบ (ผู้หญิง) จึงปรึกษาว่าทำอย่างไรหลวงพ่อท่านจึงจะพูดธรรมะ
หรือเล่าเรื่องอะไรสนุกให้ฟังบ้าง
จึงคิดกันด้วยปัญญาตื้นๆ ว่าจะถามหลวงพ่อว่า ทำไม คาถาสัมปะติจฉามิจึงเป็นพุทธานุสสติ
เผื่อว่าเป็นคำถามนำเพื่อให้หลวงพ่อท่านเทศน์ต่อ เมื่อปรึกษากันแล้ว ผมจึงหาโอกาสเข้าไปถามหลวงพ่อท่าน แต่เมื่อเข้าไปถามแล้ว
หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า ไอ้ระยำ พระพุทธเจ้าให้ ก็เป็นพุทธานุสสติสิวะ
แล้วท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ ทำให้ผมรู้ตัวว่า ที่ถามอย่างนั้นเป็นการโง่จริงๆ และนับเป็นเมตตาของท่านเป็นอย่างมาก
ที่แม้ท่านจะว่ามาแต่ท่านก็ยังตอบให้กับผม ซึ่งคำว่า ไอ้ระยำ ผมจะจำไว้เป็นระยำนุสสติไปจนตลอดชีวิตเลยทีเดียว
ซึ่งต่อมาตอนเย็นผมกับพี่เจี๊ยบก็ไปขอหลวงพี่ดูโทรทัศน์ที่ตึกธัมมวิโมกข์ และที่ปรึกษาข้อธรรมและคุยกับหลวงพี่ เพื่อเป็นการคลายอารมณ์
สักเดี๋ยวหลวงพี่นันต์ (พระครูปลัดอนันต์ พุทธญาโณ) ท่านก็พูดออกมาว่า เออ หลวงพ่อนี่ถ้าถึงเวลาที่ท่านจะพูด ท่านก็จะพูดเองละนะ
ซึ่งผมกับพี่ก็มองหน้ากันอย่างแปลกใจในคำพูดของหลวงพี่นันต์ ท่านและผมก็ได้กราบขอบคุณหลวงพี่นันต์
ที่ท่านเมตตาสงเคราะห์พวกผมในครั้งนั้นด้วย
และในการที่ผมได้มีโอกาสได้บวชให้หลวงพ่อในวันที่ 25 ธ.ค.2534 ครั้งนี้ ผมก็ยังได้มีโอกาสได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านอีกครั้ง
กล่าวคือ เมื่อผมบวชเป็นพระเสร็จในวันที่ 25 แล้ว ผมก็กลับไปที่กุฏิห้องพัก ก็มีญาติโยมตามไปส่ง และได้ทำบุญกันตามอัธยาศัย
และโยมแม่ได้ฝากชุดนาคของหลวงลุงสมบูรณ์ สุมาลีไว้ที่ผม ผมจึงรับเป็นธุระนำไปคืนให้ และเมื่อตอนกลางคืนก่อนจำวัดนั้น ผมก็จัดของให้เรียบร้อย
พอจัดเสร็จก็ไหว้พระ ทำกรรมฐานบ้างพอสมควรก่อนจำวัด เพราะง่วงและเพลียมาก
แต่พอนอนลง ของก็ยังเกะกะอยู่ ผมจึงลุกขึ้นมาจัดอีก ตอนที่จัดก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอจัดเสร็จ ก็มีความคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่า
ถ้าเราต้องการของลุงสมบูรณ์มาเป็นของตนล่ะ เพียงคิดแค่นั้นเอง ยังไม่ทันนึกอยากได้หรือต้องการมาเป็นของตนเลย ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นตัวอุปาทาน
คือคิดขึ้นมาลอยๆ เอง เพียงเท่านั้น ผมมีความรู้สึกว่าขนลุกจากหัวลงมาแล้ว รู้สึกร้อนวูบวาบไปหมดทั้งตัว
ประกอบกับความกลัว อาจเพราะความระมัดระวังในศีลเกรงว่าตนเองจะอาบัติปาราชิก ทำให้ผมกลุ้มใจมาก แทบจะครองผ้าเหลืองไว้ไม่อยู่ทีเดียว
เพราะเป็นการบวชครั้งแรกในชีวิตของผม อีกทั้งมีการเตรียมตัวมาน้อยอีกด้วย แต่ผมก็พยายามทำใจและพิจารณาตามความเป็นจริงว่า เราไม่ผิดเพราะเจตนาไม่มี
แต่ก็ยังมีความรู้สึกคล้ายกับมีอีกตัวหนึ่ง มาแย้งใจว่าจะให้ผิดให้ได้ แต่ผมก็พยายามไม่สนใจเสีย และต่อมาผมก็หลับ
ทั้งที่ใจยังมีความกลุ้มอยู่บ้างเพราะความที่เพลียมาทั้งวัน พอวันรุ่งขึ้นผมก็ยังกลุ้มใจอยู่ แต่ก็พยายามข่มใจไม่คิดอะไร พยายามทำจิตใจให้ผ่องใส
แล้วขึ้นไปกราบเรียน ถามพระท่านว่า ผิดหรือไม่
พระท่านก็ทรงเมตตาตรัสตอบว่า ถ้าลูกผิด ลูกก็มองไม่เห็นพ่อแล้วละ เพราะศีลไม่บริสุทธิ์
แต่ผมก็ยังคงมีอารมณ์ข้องใจอยู่เพราะเกรงว่า จะอุปาทานคิดเข้าข้างตัวเองไปเอง จนกระทั่งวันที่สามของการบวช พระทุกรูปบวชเสร็จแล้ว
ตอนเช้าผมก็ไปบิณฑบาตทางสายใต้
ในขณะที่เดินไปก็สวดอิติปิโสฯ และเมื่อคนใส่บาตรก็อธิษฐานขอให้ท่านผู้มีคุณ จงมีความเป็นอยู่คล่องตัว
ปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้ผลยิ่งใหญ่ ตามที่หลวงอาบรรจงท่านแนะนำ ผมก็ทำตามและผมดีใจมากที่มีคนมาใส่บาตรให้ผม มีทั้งคนแก่ คนหนุ่มสาว และเด็กๆ น่ารักจริงๆ
และเป็นการบิณฑบาตครั้งแรกของผมด้วย
ในตอนบิณฑบาต ผมก็ยังจับภาพพระให้ลอยอยู่ตรงหน้า ทำอารมณ์ให้เป็นสุข แต่ในบางครั้ง ความคิดที่คิดว่า ตนเองอาบัติก็คอยจะมาแทรกอยู่เสมอ
ซึ่งผมก็พยายามไม่ตามนึกถึง จนกระทั่งตอนบ่าย พระทุกรูปที่บวชใหม่ก็ได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ที่ศาลานวราชใหม่ ผมจึงอธิษฐานว่า ถ้าผมผิดจริง
ขอให้หลวงพ่อเทศน์เรื่องอทินนาทาน
แต่ผมก็คิดได้ว่า ถ้าอธิษฐานอย่างนั้น ถ้าหลวงพ่อจะเทศน์โปรดบุคคลอื่น ในเรื่องนี้ก็ไม่สามารถเทศน์ได้
ผมจึงอธิษฐานใหม่ว่า ถ้าผมผิดจริงแล้ว เมื่อผมเข้าไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อท่านทัก
แต่เมื่อผมเข้าไปถวายสังฆทาน หลวงพ่อกลับเงียบไม่พูดอะไรเลย ทำให้ผมรู้สึกเบาใจและสบายใจขึ้นมากทีเดียว
และเมื่อพระทุกรูปถวายสังฆทานเสร็จแล้วหลวงพ่อท่านก็เทศน์ถึงการระมัดระวังในศีลของพระ โดยเฉพาะเรื่องอทินนาทาน ซึ่งในขณะที่ท่านกำลังเทศน์
หลวงพ่อก็มองมาที่ผมเสมอ คล้ายกับเป็นการบอกว่า หลวงพ่อท่านเทศน์โปรดเราโดยเฉพาะทีเดียว
ท่านบอกว่าการเคลื่อนย้ายของ เพื่อการจัดให้เรียบร้อยไม่เป็นไป หากอยู่ที่เจตนาคือความตั้งใจว่า เราต้องการจะเอาหรือไม่
ถ้าตั้งใจแม้ของมีราคาเพียง 1 บาท เพียงหยิบให้เคลื่อนไปเท่านั้นก็อาบัติแล้ว
และท่านยังเมตตาเทศน์ถึงเรื่องของพระนางมัลลิกาเทวี ที่ท่านมีอารมณ์กลุ้มที่ไปสะดุดเท้าพระสวามีทั้งที่ตัวเองไม่ตั้งใจ
เป็นเหตุให้ต้องหย่อนเท้าลงไปในอบายภูมิ สิ้นระยะเวลา 7 วันมนุษย์ ทำให้ผมทราบว่า ท่านเจาะตรงมาที่ผมเลยทีเดียว ทำให้ผมสบายใจและคลายตัวจนหมดสิ้น
ซึ่งถ้าไม่ได้ความเมตตาจากหลวงพ่อในครั้งนั้น ผมคงกลุ้มใจไปจนตายเลยทีเดียว และคงมีอบายภูมิเป็นที่ไปแน่ๆ ผมจึงคิดได้ว่าการบวชพระนี้
คล้ายกับการฝึกมโนมยิทธิมากเลยทีเดียว นั่นคืออย่าสงสัย และที่สำคัญคือระวังอุปาทาน
ผมได้มีโอกาสได้ร่วมงานเป็นเจ้าหน้าที่คุมรถ ที่ไปวัดท่าซุงที่ทางซอยสายลมจัด โดยมีพี่นราธิป (สมชาย) เย็นทรวง เป็นหัวหน้าทีม และพี่ๆ อาๆ อีกหลายท่าน
ในการคุมรถแต่ละครั้ง ให้ประสบการณ์ในแต่ละครั้งแตกต่างกันออกไป แทบทุกงานจะมีเรื่องมาเล่ากันสนุกๆ เสมอ ถ้าให้คนคุมรถแต่งเป็นหนังสือ
ผมว่าคงเป็นเล่มที่หนามากทีเดียว
ผมมีโอกาสคุมรถครั้งแรก เมื่อตอนอายุประมาณ 15 16 ปี ถ้าผมจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะเป็นงานเป่ายันต์เกราะเพชร ซึ่งตอนนั้นคนคุมรถขาด เนื่องจากรถมาก
พี่สมชายเลยบอกให้ผมไปช่วยลองคุมรถดู ผมก็ตกลงรับอาสา เพราะใจอยากอยู่แล้ว ในสมัยนั้น การจัดที่นั่งเป็นแบบฟรีสไตล์ คือเมื่อขึ้นแล้ว
ก็เลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ ใครอยากจะนั่งตรงไหนก็ได้ ถ้าที่ว่าง
ผมได้คุมรถธรรมดาคันหนึ่ง ตอนขาไปผมก็เช็คคนขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว นั่งไปกับรถจนถึงวัด ตอนนั้น
คนคุมจะต้องนั่งที่หน้ารถตรงฝาเครื่องเพรายังไม่มีการจัดที่นั่งสำรอง หรือที่นั่งของคนคุมเหมือนสมัยหลัง ซึ่งถ้าง่วงละก็ต้องนั่งหลับกันอย่างระวังทีเดียว
เพราะถ้าเผลอละก็หล่นลงมาแน่ๆ ส่วนตอนขากลับนั้น รถจะออกตามเวลาปกติคือ 3 โมงเย็น
ในวันนั้น พอผมมาเช็คคนบนรถขากลับ ก็ปรากฏว่ามีป้าคนหนึ่งมาหาผม แล้วบอกว่ามีคนแย่งที่นั่งของแก ให้ผมไปดูให้หน่อย ผมก็ไปดู ปรากฏว่าเป็นชายหนุ่ม 2 3
คน มานั่งแทน ผมจึงขอดูบัตร ปรากฏว่าเขาก็มีบัตรเหมือนกัน ซึ่งผมก็จะจัดหาที่นั่งใหม่ให้ก็ไม่มี แสดงว่าตีตั๋วเกิน ซึ่งอาจผิดพลาดกันได้เพราะคนมาก
หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะรถที่จัดมามีที่นั่งไม่พอซึ่งมีบ้างเป็นบางครั้ง ผมจึงขอให้คนที่ขึ้นมาใหม่ ลงไปรออยู่ข้างล่างก่อนแล้วจะจัดหาที่ให้
แต่แกไม่ยอมอ้างว่ามีบัตรเหมือนกัน (แสดงว่าขาไปไม่ได้ไปกับรถ แต่ขากลับจะกลับด้วย) จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น
ผมก็ใจไม่ดีเพราะคุมรถครั้งแรก ไม่เคยเจออะไรมาก่อนเลย บังเอิญพี่สมชายเดินผ่านมาจึงขอให้ช่วยไกล่เกลี่ย แต่รู้สึกว่าต่างคนต่างไม่ยอม
ผมจึงฉุนพี่ผู้ชายที่มานั่งที่ของป้าเพราะแกหนุ่มกว่า แต่ไม่ยอมเสียสละให้คนแก่ ผมจึงพูดตะโกนประชดไปว่า เสียดายที่ไม่มีเสื่อ
ถ้ามีผมก็จะปูให้ป้าแกนั่งกับพื้นแล้ว
พอพูดจบผมก็คิดขึ้นได้ว่า พูดไม่สมควรออกไป พี่ชายก็หันมาบอกว่า ไม่สมควรและให้ใจเย็นๆ แล้วให้ผมลงไปรอข้างล่างรถ
ผลสุดท้ายพี่ชายก็หาที่ว่างบนรถคันอื่นให้ป้าแกได้ ซึ่งนับว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น เป็นความเลวอย่างยิ่งของผมทีเดียว
และพอลงจากรถ เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ ผมก็หาโอกาสไปขอโทษพี่ผู้ชายที่มานั่งทีหลังแต่ก็ไม่พบกัน จนกระทั่งบัดนี้ผมก็ไม่มีโอกาสได้พบเพื่อขอโทษแกเลย
และตอนนี้ก็นึกหน้าไม่ออกแล้วด้วย เพราะนานมาแล้ว
พอกลับถึงบ้าน พ่อผมก็เทศน์มหาชาติกัณฑ์ใหญ่เลยทีเดียว แต่ก็มีประโยชน์มาก เพราะพ่อผมบอกว่า การเป็นคนคุมรถ
อย่านึกว่าตนเองดีเด่นอะไร ไม่ใช่ว่าได้คุมรถแล้วจะเป็นเจ้านายเขา แต่กลับตรงกันข้ามเสมือนกับเป็นคนใช้เขาดีๆ นี่เอง
ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปว่าผู้โดยสารถึงขนาดนั้น
เพราะไปวัดก็ไม่ต้องเสียเงินค่ารถ ไปได้เพราะผู้โดยสารแท้ๆ จึงควรไปเพื่อทดแทนคุณท่านตามหน้าที่ เพราะถ้าผู้โดยสารมีระเบียบวินัยแล้ว
ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีคนคุมรถอยู่เลย และในตอนหลังพวกพี่ๆ อาๆ ก็พูดกับผมในทำนองนี้เช่นกัน แต่ก็ยังกรุณาปลอบผมว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมีอุปสรรคบ้าง
เพราะเราทำงานกับคนมากๆ
จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ผมเจอปัญหาที่เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ถือซะว่าใช้หนี้กันไป และการคุมรถใครว่าสบายนั้น ถ้าคนที่เขารู้จักคุ้นเคยกับพวกผมดี
ก็จะทราบว่าลำบากและเหนื่อยพอดู เพราะจะไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตนเองเหมือนกับผู้โดยสาร
จนในบางงานโอกาสที่จะไปกราบทำบุญกับหลวงพ่อ ทั้งๆ ที่ตนเองอยู่ที่วัดก็ยังไม่มีเลย
แต่ผมก็ชอบงานนี้เพราะสนุกและพบอะไรที่เป็นประสบการณ์ชีวิตหลายแบบทีเดียว
ประสบการณ์ที่ผมได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผมขอเล่าให้ฟังอีกเรื่องคือ ครั้งหนึ่งที่วัดท่าซุง หลวงพ่อลงรับแขกที่ศาลานวราชใหม่
ผมมีความคิดสับสนว่า จะปรารถนาพุทธภูมิต่อดีหรือจะลาไปกับหลวงพ่อดี เพราะถ้าจะลาก็เป็นห่วงพวกเพื่อนฝูงอีกหลายคน
และถ้าจะอยู่ต่อผมก็คิดดูแล้วว่ามันทุกข์เหลือเกิน และผมก็ยังมั่นใจว่า ถ้าผมลา ผมก็สามารถที่จะไปนิพพานกับหลวงพ่อได้อย่างแน่นอน
ผมจึงได้อธิษฐานในใจว่า ลูกเจ้าไปปรารถนาพระโพธิญาณต่อหลวงพ่อแล้ว ถ้าหลวงพ่อเห็นว่า สมควรจะไปกับท่านก็ขอให้ท่านห้าม
หรือทักให้ไปนิพพานกับท่าน แม้เพียงสักนิด ผมก็จะลาทันที ซึ่งในขณะที่ผมอธิษฐานอยู่นั้น ท่านก็ได้มองมาทางผม และเมื่อผมหาโอกาสเข้าไปแล้ว
ทำบุญกับท่านแล้ว เปล่งวาจาว่า ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ลูกได้สำเร็จพระโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีวิริยาธิกะพิเศษ
ในอนาคตด้วยเทอญ ซึ่งในตอนนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คำว่า วิริยาธิกะพิเศษ เป็นอย่างไร แต่ใจมันก็ชอบแบบนั้น จึงพูดไปแบบนั้น
หลวงพ่อท่านก็ได้เมตตาตอบบอกว่า เออ พ่อไม่ห้ามนะลูก พ่อโมทนาด้วย เท่านั้นเอง ผมมีความดีใจเหมือนกับว่า
ตนเองจะได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแน่นอนเลยทีเดียว ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้มากยิ่งขึ้น และเป็นข้อพิสูจน์ว่า
หลวงพ่อท่านสามารถรู้ใจบุคคลอื่นได้จริง
สุดท้ายนี้ เนื่องจากผมปรารถนาพุทธภูมิ ผมจึงขอกล่าวถึงประสบการณ์และความรู้บางอย่างสำหรับผู้ที่สนใจบ้าง
ก่อนอื่น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราปรารถนาพุทธภูมิและเป็นแบบใด คือปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ หรือวิริยาธิกะ ข้อนี้อยู่ที่ความชอบของใจ
ถ้าเราเคยบำเพ็ญแบบไหนมาใจก็จะชอบแบบนั้นเอง
ผมทำความคิดตามที่ได้ศึกษามาจากตำราบ้าง และจากการได้ยินได้ฟังบ้างว่า การที่เราจะไปนิพพานเพียงลำพังคนเดียว ไม่เป็นประโยชน์ที่สูงสุด
การที่ได้นำบุคคลเป็นอันมากไปได้ด้วยกับเรานี้สิ จึงเป็นประโยชน์สูงสุด และพึงพิจารณาถึงความทุกข์ที่จะพึงได้รับในการบำเพ็ญบารมี ว่าจะยอมทนไหม
ยกตัวอย่างเช่น
ท่านเปรียบไว้ว่า บุคคลใดสามารถใช้เท้าเหยียบย่ำห้องจักรวาลหมื่นห้อง ซึ่งดาดาษไปด้วยคมมีดโกน ไปจนถึงฝั่งโน้นได้
บุคคลใดสามารถใช้กำลังแขนของตน ว่ายข้ามห้วงจักรวาลหมื่นห้อง ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำร้อนคล้ายกับในโลหกุมภีนรก ไปจนถึงฝั่งโน้นได้
บุคคลนั้นย่อมบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้
ซึ่งหลวงพ่อท่านเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าบารมีขั้นอุปบารมีขึ้นไปแล้ว เมื่ออธิษฐานจะต้องทราบด้วยว่า ตนเองบำเพ็ญมาแบบใด (ซึ่งอาจสามารถรู้ด้วยวิชาของตน)
หลวงพ่อท่านบอกว่า พุทธภูมิจะต้องเป็นทุกอย่าง คือในกรรมฐาน 40 ต้องได้หมด
ผมเคยถามหลวงพ่อท่านว่า หลวงพ่อครับ พุทธภูมิจะต้องลง (ผ่าน) นรกทุกขุมหรือครับ
หลวงพ่อท่านก็ได้เมตตาตอบว่า นรกมีไว้สำหรับคนชั่วนะลูก
และสำหรับมโนมยิทธิ ถ้าขึ้นนิพพานได้
หลวงพ่อท่านบอกไว้ว่า อย่างน้อยต้องอุปบารมีจึงจะเข้าได้ และพุทธภูมิก็ต้องการนิพพาน ถ้ายังไม่ต้องการ
หลวงพ่อท่านบอกว่ายังอีกนาน
และความรู้พิเศษที่ผมได้จากหลวงลุงพระราชกวี (วัดโสมนัส กรุงเทพฯ) ท่านได้กล่าว ท่านที่ได้บำเพ็ญปรมัตถบารมีแบบอุกฤษฎ์
คือถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา เช่น ในสมัยหนึ่ง พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตตรัยท่านทรงตัดพระเศียรถวายพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์รามเจ้า
ได้ทรงเผาตัวเองด้วยผ้าชุบน้ำมันสองผืนถวายเป็นพุทธบูชา เป็นต้น ซึ่งนั่นเป็นการเร่งรัดบารมีอีกแบบหนึ่ง
นั่นคือ อัตราคือผลที่ได้เท่าเดิม แต่ระยะเวลาสั้นลงเหมือนกับทำงานหนักไม่กี่วัน แต่ได้ค่าจ้างเท่าคนทำงานเรื่อยๆ มาทั้งเดือน ยกตัวอย่าง เช่น หลวงลุง
(วัดโสมนัส) (ซึ่งหลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นช้างปาลิไลยกะมาเกิด) ท่านเคยบอกผมกับเพื่อนๆ ว่า ท่านเหลือการบำเพ็ญอีก 5 อสงไขย (แบบวิริยาธิกะ)
แต่ท่านจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าภายในกัปนี้ ตามพุทธพยากรณ์ ก็คิดดูเอาก็แล้วกันว่า จะช่วยย่นระยะเวลาได้มากเพียงใด
แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของแต่ละท่านด้วยว่า พร้อมหรือไม่ ซึ่งผมเชื่อว่าแต่ละท่านย่อมต่างก็ทราบกำลังใจของตนดี เพราะถ้าทำไปแล้ว
ก่อนตายจิตเศร้าหมองก็มีทุคติเป็นที่ไป
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ก่อนตายจิตเศร้าหมองย่อมไปสู่ทุคติ นะครับ
และการบำเพ็ญแบบอื่นที่มีผลสูงก็ยังมีอีกหลายอย่าง
หลวงพ่อเคยบอกว่า ความเข้มแข็ง ความเด็ดขาด การปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นตัวบังคับไปเอง
ส่วนเรื่องเวลาที่นับเป็นอสงไขย มหากัป กัป นั้น ก็จะไม่ขอนำมากล่าวว่ามากเพียงใด เพราะเกรงว่าเนื้อหามันจะมากเกินไป
เท่าที่เขียนมานี้ ก็ไม่ใช่ว่าผมจะมายุให้บุคคลอื่นมาปรารถนาพุทธภูมิแบบผม หรือมาบำเพ็ญหนักๆ แบบที่ได้กล่าวไว้นะครับ เพราะผมพอจะทราบว่ามันทุกข์มาก
เพราะผมอยู่มาทุกวันนี้ ก็ไม่อยากจะเกิดอยู่แล้ว แต่มันก็จำเป็น ผมเห็นคนไปนิพพานเยอะ ผมก็ดีใจครับ แต่ผมขอบอกท่านที่บอกว่าจะไปนิพพานในชาตินี้
บางท่านนะครับว่า ถ้าทำตัวไม่เหมาะสมละก็ ระวังจะไปเจอพวกผมอีกในชาติหน้า หรืออาจพบกันในอบายภูมิก็ได้ สงสารหลวงพ่อท่านบ้างเถิดครับ ท่านสอนมามากขนาดนี้
ยังเอาดีไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว
ในโลกนี้ ดอกมะเดื่อหาได้แสนยากฉันใด ความเป็นพระพุทธเจ้าหาได้แสนยากยิ่งกว่านั้น
หลวงพ่อท่านบำเพ็ญพุทธภูมิแบบวิริยาธิกะ ถ้านับรวมบารมี 30 ทัศแล้วจะได้เป็น 80 อสงไขย
ท่านลาพุทธภูมิมาเป็นสาวกภูมิ ทั้งที่บารมีมีท่านเต็มในชาตินี้ ตามพุทธพยากรณ์มาในอดีตชาติว่า ท่านจะลาพุทธภูมิในสมัยนี้
อย่าให้หลวงพ่อท่านเหนื่อยใจกับลูกหลานไปมากกว่านี้เลยครับ
ท่านที่ทำดีแล้ว ผมก็ขอเคารพนับถือในความดีและตัวของท่านอย่างเต็มใจ เพราะผมมันก็เป็นได้เพียงแค่ปุถุชนที่มีความเคารพในพระรัตนตรัยเท่านั้น
สุดท้ายนี้ หากคุณความดีจะพึงมีต่อการเขียนเรื่องนี้เพียงใด ขอส่งผลให้หลวงพ่อท่านจงมีความสุขกาย สุขใจ ปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียน
เป็นที่รักของลูกหลานและพุทธศาสนิกชนทุกท่านตลอดไป และหากมีความบกพร่องผิดพลาดประการใด กระผมก็ขออภัยในความโง่ของผม ที่ยังไม่แน่ว่าจะพ้นนรกหรือไม่
และขอรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว
สมัคคานัง ตโป สุโข ความเพียรของหมู่ชนผู้พร้อมเพรียงกัน (ความสามัคคี) ก่อให้เกิดความสุข (พุทธสุภาษิต)
ขอทุกท่านจงมีนิพพานเป็นที่ไปเทอญ
◄ll กลับสู่สารบัญ
44
ไอ้หนู มานี่ซิ
นพดล (เอี้ยง) นคาวิเชตร์
...ตั้งแต่เด็ก ผมมีนิสัยชอบไปหาพระภิกษุที่มีอายุมากๆ แก่ๆ แบบหลวงปู่ต่างๆ
ซึ่งพ่อกับแม่มักจะพาไปหาพระตามต่างจังหวัด ผมก็ชอบไปทำบุญ ผมชอบพระที่ดังๆ เกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะเรื่องอยู่ยงคงกระพันนั้น ผมชอบเป็นพิเศษ
...เพราะผมเป็นคนชอบพิสูจน์ ยิ่งบอกว่า รดน้ำมนต์แล้ว สามารถจะคุ้มครองอะไรได้ หรือวัตถุมงคลที่ได้รับมาสามารถป้องกันอาวุธ ชนิดยิงไม่เข้าหรือแทงไม่เข้า
อย่างนี้เป็นต้น ผมมีความสนใจมาก ผมชอบไปดูด้วยตาตนเอง ไม่ได้ไปศึกษาหาธรรมะอะไร ผมชอบไปเสาะหาดูทางอิทธิฤทธิ์มากกว่า
...ต่อมา ผมเริ่มจะมีนิสัยเกเรมากขึ้น พี่สาวและพี่ชายเป็นห่วง กลัวว่าผมจะเสียคน จึงชวนผมไปวัดท่าซุง
ซึ่งการไปวัดท่าซุงในครั้งแรกของผมนั้น ผมไปกับพี่สาวและพี่ชาย ซึ่งเป็นโอกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จมางานฝังลูกนิมิตโบสถ์วัดท่าซุง ในปี
2520
งานฝังลูกนิมิตนี้มีการอุปสมบทหมู่พระภิกษุประมาณ 42 รูป ซึ่งพี่ชายผมชื่อ อเนก ก็ร่วมอุปสมบทในคราวนั้นด้วย
ตอนผมไปวัดท่าซุงครั้งแรกนั้น ผมยังไม่เคยรู้ประวัติเกี่ยวกับหลวงพ่อเลย แต่เมื่อพบหลวงพ่อครั้งแรก มีความรู้สึกว่า
พระองค์นี้แน่ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
แต่กลัวๆ หลวงพ่อ มองๆ ลีลาของท่านว่า เป็นยังไง คล้ายจะคอยจับผิดเพราะอยากพิสูจน์ ชอบลีลาหลวงพ่อ
ที่ท่านเป็นพระที่ชอบพูดอะไรตรงๆ ถ้าจะด่าท่านก็ด่าเลย (แต่การด่านั้นไม่ใช่ด่าแบบพวกเรา ท่านมีเหตุผลที่ลึกซึ้งมาก)
การที่ผมได้มีโอกาสมาพบหลวงพ่อ ในงานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มางานฝังลูกนิมิต
และมีพระสุปฏิปันโนมาร่วมนับสิบองค์ขึ้นไป เป็นต้นว่า หลวงปู่สิม หลวงปู่คำแสนใหญ่ หลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่บุดดา หลวงปู่ชุ่ม เป็นต้น
ทำให้ผมมีอารมณ์ฟู มีความประทับใจมาก ทำให้อยากมาอยู่และมาช่วยงานที่นี่
ครั้นเมื่อผมกลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ ใจก็หันกลับมาทางโลกอีก ก็เริ่มเกเรอย่างเดิม ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ผมไม่มีอะไรทำ ก็เอาหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมาอ่าน ซึ่งผมไม่เคยอ่านมาก่อน พออ่านหนังสือเล่มนี้ใจก็เกิดศรัทธา หนังสือที่หลวงพ่อเขียนขึ้น มีกี่เล่ม
ก็เอามาอ่าน เช่นหนังสือฤาษีทัศนาจร พระเมตตา เป็นต้น
เวลานั้น ผมยังเรียนหนังสืออยู่ชั้น ม.ศ.2 3 ผมเกิดศรัทธาหลวงพ่อถึงขนาดนั่งรถเมล์ไปวัดท่าซุงคนเดียว ทั้งๆ
ที่ไม่รู้ว่าจะไปยังไง แต่ก็ไป ซึ่งพี่ๆ ผมก็แปลกใจ ผมไปลงมโนรมย์แล้วก็ข้ามโป๊ะไป จากนั้นก็ยืนโบกรถกระบะไปลงหน้าวัด
เมื่อผมมาถึงวัด ผมยังไม่รู้จักใครเลย แต่อยากช่วยงานวัด คิดว่ามีงานอะไรที่จะช่วยทำได้ผมก็จะทำ เมื่อมองดูแล้วมีงานที่ง่ายที่สุดคือ
ช่วยล้างชามในครัวกับคณะครัวกองทุน ตั้งแต่นั้นมา เมื่อมีงานที่วัดท่าซุง ผมก็ไปช่วยแม่ครัวล้างชาม ติดไฟหุงข้าว
ซึ่งกลุ่มแม่ครัว มีป้าชอ (หรือป้าอัญชัน) แม่ปิ่น พี่ตี้ (พรนุช) ป๊ะ สมชาย เป็นต้น
ผมก็มาช่วยเวลาหลวงพ่อเข้ามาสอนพระกรรมฐานที่กรุงเทพฯ บ้านท่านเจ้ากรมฯ เสริม (ซอยสายลม) ผมก็มาช่วย ใครใช้ทำอะไรผมก็ทำ
พี่แดง (ดาบตระกูล) สอบถามผมไปยังไงมายังไงจึงมาช่วย แล้วก็บอกให้ผมมานอนค้างที่บ้านซอยสายลม และเป็นผู้ที่คอยชี้แนะผมเสมอ
จากนั้นผมก็มาช่วยงานหลวงพ่อเป็นประจำ
ต่อมาหลวงพ่อได้นำวิชาฝึกมโนมยิทธิมาสอนที่บ้านเจ้ากรมฯ เสริม (บ้านซอยสายลม) ผมก็ฝึกกับเขา แต่ฝึกไปไม่ได้ก็รู้สึกเสียใจ คิดว่าความดีเราไม่ถึงหรือ
พอดีมาเจอพี่ตี้ (พรนุช) บ้านอยู่ซอยเดียวกัน พี่ตี้แนะนำให้ไปหาที่บ้าน บอกว่าจะสอนให้ จึงนัดให้ผมไปหาที่บ้าน และสั่งให้ผมเตรียมธูปเทียนดอกไม้ไปด้วย
วันรุ่งขึ้นผมก็ไปตามนัดไปหาพี่ตี้ ก็พากันเข้าห้องพระที่บ้านพี่ตี้ ฝึกกัน 2 คน
ผมก็ฝึกได้จึงดีใจมาก ผมนอนไม่หลับถึง 3 วัน เพราะรู้สึกมีปีติมากตลอดทั้ง 3 วัน พี่ๆ ที่บ้านกลัวผมจะเครียดเห็นนอนไม่หลับ
เพราะผมออกไปเดินเล่นในซอย เดินไปเดินมาอยู่นั่น เขาเป็นห่วงกลัวฟิวส์ผมจะขาด แต่ผมก็สามารถควบคุมตัวเองได้
หลังจากนั้น ผมก็ไปช่วยงานวัดเป็นประจำ พอหลวงพ่อมาสอนกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม ผมก็มาช่วยที่บ้านซอยสายลม มาที่นี่ก็จับจุดไม่ถูก ไม่รู้จะช่วยตรงไหนดี
เจอพี่สั้นก็บอกให้ผม ช่วยจัดวงสอนกรรมฐาน จัดพานดอกไม้ธูปเทียนบูชาครูก่อนฝึกแก่ผู้ที่จะมาฝึกมโนมยิทธิ
ผมก็คอยสังเกตว่าครูฝึกเขาสอนกันยังไงบ้าง ก็จับจุดได้ว่าการสอนแบบนี้ก็เป็นการแนะนำ ซึ่งคิดว่า ผมก็น่าจะทำได้เหมือนกัน
ผมจึงเริ่มเป็นครูฝึกมโนมยิทธิกับเขาบ้าง
เมื่อผมเป็นครูฝึกมโนมยิทธิได้ไม่ถึงปี วันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อไปสอนกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม ขณะที่หลวงพ่อนั่งเป็นประธานอยู่
ท่านก็พูดขึ้นต่อหน้าญาติโยมพุทธบริษัทในวันนั้นว่า ไอ้ครูที่ยังเลวอยู่ ถ้าไม่ดีก็อย่าเสือกไปเป็นครูเขา
พอผมได้ยินเช่นนั้น ตั้งแต่วันนั้นผมก็เลยหยุดสอน เพราะมีความรู้สึกตัวว่า เรายังเลวอยู่
เพราะว่าบางครั้งสอนคน บางคนก็แก่ มีอายุเป็นรุ่นพ่อ รุ่นปู่ เป็นผู้ใหญ่ก็มาก เขายกมือไหว้ผม ในฐานะครูฝึกกรรมฐาน
บางครั้งเจอผมบนถนน ก็ยังยกมือไหว้อีก เมื่อคิดได้เช่นนี้ผมหยุดสอนเด็ดขาด
จากนั้น ผมก็หันมาช่วยงานด้านอื่น ทุกครั้งที่ช่วยงานวัด ทุกครั้งที่เจอหลวงพ่อ ผมมีความรู้สึกขึ้นมาเองว่า (ขอประทานอภัยด้วย
ที่ผมพูดตามความรู้สึกและความเห็นของผมโดยไมได้มีความเกลียดชังใครเป็นการส่วนตัว) บางคนที่ทำหน้าที่รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ
น่าจะมีความรอบคอบกว่านั้น มีความระมัดระวังมากกว่านั้น ผมไม่มีความพอใจ ไม่สบอารมณ์ ซึ่งสมัยก่อนเหตุการณ์ที่วัดสถานการณ์มันรุนแรง
มีภัยจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งจ้องจะปองร้ายหลวงพ่อ ฉะนั้น ผู้รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อ (หน่วยรักษาความปลอดภัย) น่าจะมีความรอบคอบ
ใจผมก็คิดอยากเข้าไปอยู่ใกล้หลวงพ่อบ้าง ตั้งแต่ผมไปช่วยงานที่วัดท่าซุงมา ผมก็ไปช่วยอยู่แผนกครัวมาตลอด อยู่กลุ่มแม่ครัว ผมจึงสนิทกันมา
รู้อุปนิสัยกันดีหมด เวลาหลวงพ่อแจกของมาผ่านหัวหน้า ผมก็ได้รับด้วยก็มีความภูมิใจ
ช่วงหลวงพ่อไปภูกระดึง พอขึ้นภูกระดึง จำได้ว่า พอขึ้นถึงฐานภูกระดึง หลวงพ่อนั่งเสลี่ยงขึ้นภู เหมือนกับเป็นสัญชาติญาณของผม
ที่ผมหาไม้ไผ่ 1 อัน พอขบวนเริ่มออก ผมก็เอาไม้ไผ่คอยฟาดไปข้างหน้า เคลียร์พื้นที่ (ผมก็ทำไปแบบอารมณ์เด็ก)
พอไปถึง ซำแฮก หลวงพ่อก็นั่งพักที่เรือนพัก พวกคณะติดตามก็พักดื่มน้ำกัน ปกตินั้นเวลาผมติดตามหลวงพ่อไปที่ไหน
ผมจะคอยมองดูหลวงพ่อไม่ให้คลาดสายตาไปจากผม
ณ ที่นั้น หลวงพ่อพูดกับผมว่า ไอ้หนู มานี่ซิ เอ็งชื่ออะไร (ตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่รู้จักชื่อผม)
ผมก็ตอบว่า ชื่อ เอี้ยง ครับ
ท่านพูดว่า เออ ตั้งแต่นี้ให้เอ็งมาอยู่ใกล้ข้าฯ ตลอด
ตั้งแต่นั้นมา กำลังใจผมเต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ กำลังใจฟูเต็มที่ มีความรู้สึกว่าตัวใหญ่กว่าโลกมนุษย์เสียอีก
พอขึ้นภูไปแล้ว ผมอยู่ยามได้ตลอด พวกพี่ๆ มีดาบตระกูล พี่ประมวล จ่าสาย พี่บัง พี่เฮี้ยง เปิดไฟเขียวให้ผมตลอด ไม่เคยขัดขวางผมเลย ไม่เคยกันผมเลย
ทำให้ผมมีกำลังใจ พี่ๆ ไม่กีดกัน มีแต่ส่งเสริมแนะนำ อันไหนผิดพลาดก็ตักเตือนด้วยความหวังดี ตั้งแต่นั้นมา ผมทำอะไรก็แล้วแต่
ผมทำอย่างเต็มที่ด้วยความเต็มใจ
ช่วงที่ผมฝึกมโนมยิทธิได้ ก็มีอารมณ์ฟิตจัด ผมอยากจะเหาะได้ อยากมีฤทธิ์ อยากเป็นพระอรหันต์ คิดว่าถ้าผมมีฤทธิ์เสียอย่าง
หากมีศัตรูมาทำร้ายหลวงพ่อ ผมจะจัดการให้หมด นี่ผมฝึกเครียด ทำแบบโง่ๆ เพราะใจคิดอย่างนั้น
พอหลวงพ่อไปพักที่คลองวาฬ จ.ประจวบคีรีขันธ์ กลางคืนผมอยู่ยาม กลางวันก็คอยอยู่รับใช้หลวงพ่อ พออยู่ใกล้ๆ ท่าน เห็นชาวคณะที่ไปด้วยกันคุยกับหลวงพ่อ
ก็อยากคุยบ้าง
พอผมอ้าปากจะคุยบ้าง หลวงพ่อก็พูดขึ้นมาว่า มึงอย่าเสือก
ผมกำลังหนุ่ม อายก็อาย ต้องนั่งตัวแข็ง ต้องใช้อารมณ์กด น้ำตาก็จะไหล แต่จะต้องอดทน เพราะต้องอยู่ใกล้หลวงพ่อ อ่อนแอไม่ได้
หลวงพ่อเคยพูดว่า เกิดมามันต้องมีความอดทน อย่าเป็นคนอ่อนแอ ขี้สำออย น้ำตาอย่าให้มันไหลออกมา อายเขา
เพราะฉะนั้น เวลาถูกทำโทษหรือถูกดุต้องอดทน ทั้งๆ ที่อยากจะร้องโฮออกมา บางครั้งเวลาเสร็จงาน ต้องไปแอบร้องไห้เพราะเสียใจ
เพราะผมไม่มีที่ปรึกษา ทุกครั้งที่ถูกดุ หรือถูกเตือน ถูกทำโทษหนักๆ บางครั้ง ถูกดุถูกทำโทษต่อหน้าสาธารณชนในศาลา ต่อหน้าคนเป็นหมื่นๆ
คนก็จำเป็นต้องอดทน
ผมเคยถูกดุที่ศาลา 4 ไร่ ตอนนั้นเป็นงานวัดท่าซุง มีคนมากล้นหลาม งานยุ่งมีคนแหกคอกขึ้นมา ทหารที่ยืนอยู่แถวนั้นก็ไม่กล้า ผมก็เลยลงไป
ก็เกิดผลักอกกันเกือบจะชกกัน
พอหลวงพ่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็เรียกให้ผมขึ้นมา (ขึ้นมาบนเวที)
แล้วหลวงพ่อก็พูดกับโยมที่มาในศาลาว่า (พูดออกไมค์) อาตมาต้องขอโทษนะโยม อาตมาเลี้ยงหมดไว้ตัวหนึ่ง มันดุ ดูแลไม่ทั่วถึง
เที่ยวไปกัดชาวบ้านเขา
แล้วหลวงพ่อก็เอาตะพดตีหัวผม 3 หน เจ็บมาก ผมยืนตัวสั่น เรื่องอายไม่มี แล้วผมก็ทำท่าจะหลบไปที่อื่น
ท่านก็หันมาสั่งผมว่า จะไปไหน ให้ยืนอยู่ตรงนี้
คล้ายกับเป็นการประจานให้คนรู้ ทั้งเจ็บตัว ทั้งอาย ทั้งๆ ที่น้ำท่วมปอดแต่ต้องทำหน้าแข็ง
พอหลวงพ่อตีหัวผมเสร็จ ท่านก็พูดว่า