"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 4 (ตอน 2 )
webmaster - 2/3/11 at 14:58
ลูกศิษย์บันทึก เล่ม๔
...ในหนังสือเล่มนี้มีภาพเหตุการณ์หลังจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ มรณภาพได้เพียงวันเดียว คือหลวงพ่อมรณภาพเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม
2535 แล้วอัญเชิญจากโรงพยาบาลศิริราชมาที่วิหารแก้วร้อยเมตร
วันรุ่งขึ้นคือ วันที่ 31 ตุลาคม 2535 จึงได้จัดขบวนแห่เคลื่อนย้ายศพของท่านออกจากพระวิหารร้อยเมตร เพื่ออัญเชิญไปจัดงานพิธีสรงน้ำและบำเพ็ญกุศลที่ศาลา 12
ไร่ นับเป็นเวลา 100 วัน ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์ไว้อย่างละเอียด โดยท่าน ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย และคณะ พร้อมกับพิมพ์ภาพประกอบลงในหนังสือ
ซึ่งในขณะนั้นกำลังจัดพิมพ์หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๔ พอดี
ซึ่งพระมหาเถระหลายรูปที่เคยเดินทางไปในคราวนั้น ท่านได้มรณภาพไปแล้วหลายรูป เช่น หลวงปู่บุดดา ถาวโร เป็นต้น ท่านได้มาร่วมงานบำเพ็ญกุศลครบ 100
วันเท่านั้น หลังจากนั้นท่านก็ได้อาพาธที่โรงพยาบาลศิริราชแล้วได้มรณภาพไปในที่สุด เหตุการณ์เหล่านี้เป็นความทรงจำที่ผ่านมานาน 18 ปีแล้ว
ทีมงานเวปวัดท่าซุงจึงได้นำมาย้อน เพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านอีกครั้งหนึ่ง.
สารบัญ
25. "หงษ์ แซ่ลิ้ม"
26. "เสาวนีย์ กีรติพิชญ์ ตรีกุลรัตน์"
27. "ชาติชาย ชินวร"
28. "จารุพรรณ จันทรพิทักษ์ (ประไพ สืบสงวน)"
29. "สุวิทย์ สวรรค์กสิกร"
30. "นายแพทย์สบสันต์ วงษ์ภักดี"
31. "ชาญชัย วงศ์หลี"
32. "เรืออากาศเอกเวียด วิไล โบสถ์ทอง"
33. "พรรณงาม รื่นบันเทิง"
34. "แต๋ว และจอห์น โอดริสคอล"
35. "ลำดวน บุปผา"
36. "เอื้อมจิตร์ กลั่นจัตุรัส"
37. "บุญสม ทรัพย์กล้า"
38. "สุนันทา สุขธยารักษ์"
39. "ทนงฤทธิ์ สีทับทิม"
40. "วันเพ็ญ แพร้วรุ่งเรือง"
41. "นันทวัน จุลกนิษฐ์"
42. "ลักษมี วิไลวรรณ"
43. "นที ธนะวัฑฒโก"
44. "วีรวรรณ มูลต้น"
45. "พ.ต. ทันตแพทย์หญิง เตือนใจ กลั่นสุภา"
46. "วิลาวัณย์ ตัณฑเจริญรัตน์"
47. "บันทึกการรายงานผลการฝึกมโนมยิทธิ"
48. "อำไพ สุจนิล"
49. "นฤมล ว่านเครือ"
50. "เด็กหญิงไพลิน บุญมา"
25
โง่นั่นแหละดี ฉลาดมาทีหลัง
หงษ์ แซ่ลิ้ม
.......... วันที่ ๑๙ พ.ย. ๒๕๓๔
...คนโง่ได้อ่านหนังสือหลวงปู่ปาน เพราะในปีนั้นคิดแต่เรื่องอยากทำบุญ และอยากไปแต่ป่า แล้วมันมีจิตใจชุ่มชื่น
เมื่ออยู่บ้านและออกเรือนไปเดินขายของ แต่งงานออกเรือนแล้วก็มีแต่ความทุกข์ ก็คิดว่าคนเราเกิดก็ต้องมีทุกข์ และดิฉันมีจิตใจรักงาน รักเพื่อน และพ่อแม่
เป็นคนรู้คุณคน รักสงบ รักความซื่อตรง มารู้เอาต่อเมื่ออ่านหนังสือหลวงปู่ปาน
...แล้วยังมารู้ว่าดิฉันมีศีล ดิฉันเป็นคนโง่ คือไม่รู้อะไร แต่การทำความดีและหมั่นเพียรในการเป็นคน
อ่านหนังสือแล้วดิฉันรู้สึกมีปีติมากๆ เลย พอถึงพุทโธ แล้วในเรื่องหลวงพ่อเล่ามานี้ อ่านแล้วก็ดู เอ...นี่หรือธรรมะ เอ...นี่หรือเขาเรียกว่าศาสนา โอ้ย
ดีใจพบธรรมเป็นอย่างนี้หรือ เพราะดิฉันแต่งงานมาอยู่ ย่าก็เป็นคนจีน ดิฉันก็เป็นจีนครึ่ง แต่เป็นเด็กไปวัดกับเขาบ้าง
แต่ก็ไปๆ อย่างนั้น และเพราะมันโง่รู้แต่ได้บุญเป็นอย่างไร บาปเป็นอย่างไรไม่รู้ และไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นอะไรและอยู่ที่ไหน นี้มันโง่อย่างนี้แหละ
แต่ว่าพอมาอ่านหนังสือหลวงปู่ปานเข้าเท่านั้นแหละ โอ้โหไม่รู้ว่าดีใจขนาดไหนละหนอ ดิฉันได้ปฏิบัติตามที่คำว่า
พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ นี้นะช่างว่าดีไปทุกอย่างที่ดิฉันปฏิบัติมาตามหลวงพ่อสอน ด้วยการทำใจและสมาธิ ดิฉันมีจิตสงบดีมาก เป็นด้วยบุญจริงๆ
ที่ดิฉันได้พบหนังสือที่ค้นพบที่ตู้หนังสือ ดลอกดลใจให้ดิฉันไปเห็นหนังสือนี้เข้าก็คือ หนังสือธรรมะนั้น
และดิฉันดีใจจนไม่รู้ว่าจะพรรณนาว่าอย่างไรจึงจะสมกับที่พบธรรมะนั้น เปรียบเสมือนดวงแก้วอันสวยงามดวงนั้น สามารถสาดแสงมาถึงดวงจิตดวงใจของดิฉัน
ใครได้เข้าถึงธรรมะและปฏิบัติตามมีศีลสะอาดมีจิตสงบแล้ว และได้ทำสมาธิแล้วดวงปัญญาเกิด ดิฉันรอดตายไปครั้งนั้นก็เพราะได้เข้าถึงธรรม
คนเราก็มีการงานหน้าที่กันคนละอย่างไป ดิฉันเป็นคนโง่ ถ้าไม่ได้ธรรมมาช่วยควบคุมจิตอาจจะเป็นบ้าไปก็ได้ รอดพ้นมานี้เพราะธรรมแท้ๆ
ความดีอันนี้ก็เกิดจากหลวงพ่ออีก ช่วยเพราะโง่ ถ้าไม่ได้หันมาปฏิบัติในทางทำความดีตามหลวงพ่อสอนหลวงปู่สอนไว้ก็จะอย่างไร
ดิฉันมากราบหลวงพ่อที่ตอนแรก กลัวหลวงพ่อก็กลัว แต่แข็งใจเข้าไปกราบท่าน
บอกท่านไปว่า ดิฉันเป็นคนโง่
ได้ยินหลวงพ่อว่า โง่นั่นแหละ มาฉลาดทีหลัง
ดิฉันดีใจมาก ได้ยินหลวงพ่อพูดกับดิฉัน หมูอ้วนมาจากโคราชหรือราชสีมานั้น ไปวิ่งอ้อมโบสถ์ซะไป ๓ รอบนะ
หลวงพ่อหยอกเล่น คือ ดิฉันอ้วนค่ะ ดิฉันบอกหลวงพ่อไปว่า หลวงพ่อ ดิฉันเป็นคนโง่ หลวงพ่อได้พูดออกมาว่า โง่นั่นแหละ ฉลาดมาทีหลัง
คนที่ไม่รู้ศาสนาก็ไม่รู้ความหมายว่าอะไร และมาคิดว่าคำว่าสมาธินั้นคืออะไร กรรมฐานคืออะไร
จนมาได้อ่านธัมมวิโมกข์นั้นแหละจึงได้เรียนรู้กับหลวงพ่อมาเรื่อยๆ
คือดิฉันสงสัย หลวงพ่อมักจะบอกมากับหนังสือธัมมวิโมกข์ทุกที ดิฉันดีใจมาก
ว่าการรู้ทางธรรมกับหลวงพ่อนี่นะดิฉันได้รอดตายและการเป็นบ้าด้วย การเกิดมาเป็นคนดีคือการรู้เท่าไม่ถึงการณ์
๑. มาฆ่าตัวตาย
๒. คิดจนเป็นบ้า
และพอได้ธรรมแล้วมีการคิดไปแต่ทางที่ดี จิตนั้นคิดไปในทางที่ไม่ดีนั้นก็มีจิตอีกจิตหนึ่งนั้นก็คอยแต่คักเตือนอยู่เสมอมา
ธรรมได้มาแล้วให้พิจารณาดูว่าคนได้ธรรมควรปฏิบัติอย่างไร จนได้เห็นเทวดามา และดิฉันได้ถามไปว่าใครมานั่งอยู่นี่นะ ดิฉันทำสมาธิแล้วก็ถามดู
และดิฉันได้ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์
ผู้ที่มานั่งอยู่ก็บอกดิฉันว่า ท่านชื่อว่าท้าวสักกะเทวราช
และมาประสงค์อันใดพระพุทธเจ้าข้า
ท่านก็บอกดิฉันว่า ท่านมาช่วย
และดิฉันก็ได้ถามไปว่า ถ้าท่านเป็นท้าวสักกะเทวราชขอให้ข้าพเจ้าได้เห็นกายในด้วยเถิดพระเจ้าข้า
ท่านให้ดิฉันได้เห็นกายในท่านเป็นพระอินทร์ และยังองค์พระสยามเทวาธิราชยืนอีกองค์หนึ่ง และท่านมายืนทางหน้าพระอินทร์ด้วย
ต่อมาดิฉันก็ได้ถามท้าวสักกะเทวราชว่ามีอะไร ก็ขอบารมีพระพุทธองค์ แล้วก็ท่านท้าวสักกะเทวราชทุกทีไป
ตอนนี้ขอต่อจากการเล่าตกไปนิดหนึ่งตรงที่ว่า ท้าวสักกะเทวราชมานั่งให้ดิฉันเห็นทุกวันเลย ดิฉันก็ไม่รู้ว่าใครมาจากไหน มานั่งอยู่นี้ทุกวันเลย
จะถามก็ไม่รู้จะถามอย่างไร จึงได้ไปตลาดขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ดิฉันออกขายของทุกวัน เอ๊ะ เห็นจะไม่ได้การ เราต้องไปถามผู้รู้เสียก่อน
เพราะท่านผู้ที่มานั่งนั้นน่ะใหญ่ออกทุกวันเลย รู้สึกกลัวมากเพราะท่านใหญ่ออกทุกวัน ทุกวันเลย
เขาบอกว่าขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึงได้บอกชื่อว่า ท้าวสักกะเทวราชนั้นแหละ หลวงพ่อบอกว่าเมื่อเห็นอย่าไปเชื่อ
ต้องพิจารณาดู และให้ขอดูกายในท่านก่อน เมื่อขอดูแล้วท่านให้เห็นกายในของท่านเป็นพระอินทร์ มีองค์เขียวและสวยมากเป็นเหมือนเทวดา แต่ตัวท่านเขียวเหมือนมรกต
มีรองเท้าปลายงอนๆ ด้วย
ตอนแรกๆ ก็ไม่รู้ท่านชื่อท้าวสักกะเทวราชคือใคร โง่ยังไงไปเที่ยวถามเขา ใครรู้บ้างไหมว่าชื่อท้าวสักกะเทวราชคือใคร คนก็บอกว่าไม่รู้จักบ้าง
บางคนบวชพระแล้วยังไม่รู้ ดิฉันเล่าไปมากประสบการณ์ทุกเวลาเมื่อปฏิบัติ คือการปฏิบัติจึงได้รู้บุญและบาป มาดีใจและมีปีติมากๆ ตรงนี้ คือการทำสมาธิ
พอจิตสงบลง ดิฉันเห็นตัวดิฉัน และจะพูดเอาตรงที่สำคัญนะ
คือนั่งจิตสงบ และดิฉันได้แต่งตัวชุดขาว คือดิฉันนั่งอยู่ นุ่งผ้าถุงธรรมดา แต่จิตมันออกไปแต่งเป็นชุดขาว ดิฉันเห็นว่าเอ๊ะ
นั่นตัวเราทำไมจึงได้เดินออกไป ดิฉันตั้งจิตคอยดูมันอีกนิดหนึ่งไปถึงเขาอังคาร (ภูพระอังคาร) แล้ว เขาอังคารนี้อยู่ที่นางรอง
ดิฉันได้เห็นตัวดิฉันไปถึงเขาอังคาร ก้าวเข้าไปในโบสถ์ ดิฉันได้คุกเข่าลงกราบพระ ๓ ครั้ง แล้วดิฉันได้เงยหน้าขึ้น แบบเงยหน้าอย่างช้าๆ
ดิฉันเห็นพระลุกออกจากพระประธานองค์ใหญ่นั้นด้วย การเดินของท่านช้าๆ มาทางที่ดิฉันนั่งกราบพระ ท่านได้เดินมาแบบช้าๆ
และพระท่านสวยมาก และท่านมีย่ามที่แขนของท่านด้วย และประมาณห้าหรือหกก้าวที่ท่านจะถึงดิฉัน ท่านก็วกเดินไปทางซ้ายมือของที่ดิฉันนั่งอยู่
ดิฉันได้แต่ดูและพลางก็คิดว่าดิฉันจะตามท่านไป และการดูดิฉันยังหมอบกราบท่านอยู่นะ ดูแบบเอาหางตาดูนิดๆ เป็นแบบว่ากลัวจะไม่สุภาพนั้นแหละค่ะ
ดิฉันเล่ามาก็ต้องเป็นปีเพราะดิฉันได้ปฏิบัติมากก็มีประสบการณ์มาก ถ้าเล่าไปก็คงไม่ได้ส่งหนังสือไปสักที ด้วยการเขียนหนังสือไม่เก่ง ดิฉันจึงขอให้ทุกท่านได้เกิดมาแล้วอย่าให้เสียชาติเกิด จงปฏิบัติความดีความชอบเสียที่เราได้เกิดมาเป็นคนไทย สมกับเราได้อยู่ในประเทศไทย
และมีพุทธศาสนาของเราที่ท่านสอนไว้ดีแล้ว และไม่ควรจะช้าเกินไป เมื่อเกิดมาเจอแก้วดวงงามแล้วคิดว่าเป็นบุญอันยิ่งใหญ่
ถ้าได้ปฏิบัติแล้วจะรู้ว่าการปฏิบัตินั้นดีอย่างไร จะได้รู้ว่าบุญบาปนั้นมีจริงหรือไม่ และสวรรค์มีจริงหรือไม่ บาปบุญคุณโทษมีจริงหรือ นรกสวรรค์ คนโง่ๆ
อย่างดิฉันไปเห็นมาด้วยตัวเอง พระพุทธานุภาพที่ดิฉันได้ปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอน คนเราเกิดมาก็ตายไปเสียเปล่าๆ ดิฉันคิดว่าตัวดิฉันเองยังไม่สายเกินไป
แต่เกือบจะตายเสียก่อน ดิฉันจะบอกคนเราเกิดมาขอให้มีศีลอย่าโง่เหมือนดิฉันเลย
ดิฉันได้ทำปฏิบัติตามหลวงพ่อ ดิฉันขอกราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพรักและบูชาในหลวงพ่อ ดิฉันคือลูก หลวงพ่อได้ให้แสงสว่างกับลูกให้รู้
แสงสว่างทางธรรมและทางโลก เมื่อเข้าถึงธรรมหลวงพ่อสอนให้รู้ทางมืดและทางสว่างในธรรม ทางมืดในทางธรรมนั้นเป็นอย่างไร ในทางโลกนั้นเป็นอย่างไร
เพราะฉะนั้นเมื่อได้อ่านแล้วจงรู้ไว้เถอะ สวรรค์ นรก นิพพานมี ตายแล้วต้องมาเกิดอีก จงอย่าทำบาป จงรักษาความดี และมีศีลมีธรรม จงกลัวบาป
และจงทำบุญและมีเมตตาไว้ให้มากเถิด คนเรา
๑. ต้องมีศีลสะอาด
๒. มีจิตสงบ
และปฏิบัติตามหลวงพ่อสอนแล้ว ก็จะได้เห็นอะไรตามที่ท่านสอนมาสนุกมากๆ เลย จะไปที่ไหนก็ได้ ไปที่เขายังไม่ได้เห็น เราได้เห็นบุญบาป สวรรค์มีจริง
นรกและนิพพานมีจริง ดิฉันจะพูดอะไรไปก็จะเป็นการโอ้อวดเกินไป ขอให้ท่านปฏิบัติตามหลวงพ่อเถิดค่ะ ใครๆ ว่าบุญ บาป สวรรค์ นรก นิพพานไม่มี แต่ดิฉันเป็นคนโง่
ได้เห็นและไปเที่ยวสนุกๆ มาก แปลกๆ มาก
ลงท้ายด้วยการกราบขอขมาหลวงพ่อด้วย และอย่าเป็นการอวดดีอะไรเลย ดิฉันได้เล่าไปตามความเป็นจริง
และยังมีอีกมากทีเดียวที่ดิฉันยังไม่ได้เล่าเป็นอันมาก เพราะดิฉันปฏิบัติมาหลายปี ดิฉันจะขอรักษาไว้ที่ดิฉัน
ได้เรียนรู้มาเปรียบเสมือนได้ดวงแก้วอันล้ำค่าหาที่เปรียบมิได้ จะขอยกมาประดับไว้ในดวงจิต จะขอยกมาทูนไว้อยู่ ณ ที่สูง อันไม่รู้จะไว้อย่างไร
จึงสมความรักในลูกแก้วอันล้ำค่านั้นด้วยประการทั้งหมดทั้งสิ้น จึงจะสมกับความรักในพระพุทธองค์ซึ่งท่านสอนไว้ดีแล้ว
หนังสือใบนี้สำหรับอธิษฐานจิต เมื่อเวลาจะทำการนี้ให้จุดธูป ๙ ดอก แล้วออกไปกลางแจ้ง คุกเข่าลงไป และยกธูปที่จุดแล้วนั้น ให้ว่า สาธุ สาธุ สาธุ
ข้าพเจ้าได้นำธูป ๙ ดอก ขออธิษฐานจิต เพื่อจะขอพระบารมีต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดาเทพพรหม และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
และครูบาอาจารย์ เมื่อข้าพเจ้าได้ประมาทพลาดพลั้งไป ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี หรือได้ล่วงเกินตั้งแต่อดีตชาติและปัจจุบันชาติก็ดี
เมื่อข้าพเจ้าได้ทำผิดไป ข้าพเจ้าจึงได้นำเอาธูป ๙ ดอก มากราบขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวร หรือเทวดาพรหม หรือครูบาอาจารย์ก็ดี ข้าพเจ้ารับผิดแล้วนี้
ขอให้ท่านจงอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วยเถิด อโหสิกรรมแล้วก็ให้ผู้ที่ประสบกับความเป็น คือป่วยหรือได้รับทุกขเวทนาในร่างกายทุกส่วน เช่น ได้การเจ็บป่วย
หรือมีอาการงงซึม หรือสติไม่ได้ หรือมีอาการนอนไม่หลับ หรือกินไม่ได้ก็ดี ขอให้ท่านจงอโหสิกรรมให้ด้วยเถิด
เมื่ออาการทุกอย่างของข้าพเจ้าดีทุกส่วนแล้ว ข้าพเจ้าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับท่าน เช่น
(อันนี้ขอให้ท่านจงอธิษฐานด้วยจิตของท่านเอง คือจะทำบุญอะไร ก็ให้ท่านอธิษฐานออกจากจิตของท่านเอง) เช่น
๑. บวชพระ ๑ ๓ องค์
๒. ถวายสังฆทาน ๑ กอง
๓. สร้างพระองค์ใหญ่หรือเล็ก ก็แล้วแต่จิตของท่าน
๔. บวชพราหมณ์ เป็นต้น บวชพราหมณ์ก็บอกด้วยว่า ๑๐ ๑๕ วัน
แต่ต้องหายเสียก่อน คือ มีอาการต่างๆ ที่ตัวท่านเป็นอยู่ ต้องทำกันจริงๆ คือเราให้สัจจะไว้แล้ว และผู้อธิษฐานจิตนั้นต้องมีศีลสะอาด จิตสงบ
จะเห็นผลได้ง่าย และดีมากๆ เลย
ดิฉันขอแนะนำให้ท่านจงทำแต่ความดีนั้นเถิด อันบาปนั้น บุญนั้น และสวรรค์นรกนั้นมีจริง และทุกคนจะต้องรู้กฎแห่งกรรมด้วย
เรานั้นก็เกิดมาก็ไม่รู้มีกี่ชาติ บางคนก็เป็นพันชาติ แสนชาติ และเคยทำกรรมอะไรเอาไว้ เช่น เคยทุบตี และฆ่าเขาตาย และเอาเงินทองข้าวของๆ เขามา
และได้พรากลูกนกลูกกา และฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
กรรมอันนั้นก็เมื่อเรามาเกิดอีกชาติหนึ่ง กรรมนั้นก็ตามมา เช่น จะรู้ได้ในการดำรงชีวิต ทุกวันและเวลา จงสังเกตดูแล้วกัน
มีทุกลมหายใจรู้เข้าออก ร่างกายและในครอบครัวทั้งเมียและลูกหลานและคนอื่น ก็แล้วแต่ มันจะดลบันดาลมาให้เราได้ประจักษ์ทุกขเวทนานั้น
จงโปรดมีจิตรู้ก็แล้วกัน
ท่านจะรู้ดีก็ให้ทำบุญไหว้พระ สวดมนต์ ทำสมาธิ และมีศีลสะอาด มีจิตสงบ และกำหนดจิตอยู่เสมอ ตั้งแต่ลมหายใจจนไปถึงทุกระดับ จงกำหนดรู้ไว้เถิด
เมื่อมีสมาธิจิตสงบแล้วจะรู้ทุกอย่างได้ ถ้าท่านไม่ปฏิบัติด้วยตนเอง แล้วจะรู้ได้อย่างไร
แล้วถ้าไม่รู้ก็จะไปคิดในสิ่งที่ไม่ดีเข้าก็จะเป็นบาปเป็นกรรม เมื่อมีคนมาเล่าให้ฟังก็จะไม่เชื่อเท่ากับตัวเราปฏิบัติด้วยตัวเราเอง
ผู้ใดได้ปฏิบัติแล้วรู้แล้ว ขอให้ท่านจงประสบกับความสำเร็จ ให้การปฏิบัตินั้นจงรู้ได้เห็นได้ และอธิษฐานจิตไปในทางที่ดี จงสำเร็จด้วยดีทุกประการเถิด
สาธุ สาธุ สาธุ
◄ll กลับสู่สารบัญ
26
หลวงพ่อ...พระผู้เมตตาเปี่ยมล้น...จวบจนนิรันดร์
เสาวนีย์ กีรติพิชญ์ ตรีกุลรัตน์
...เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว คุณแม่ผู้เป็นสุดที่รักและสุดบูชาของลูกๆ
ได้จากไป...ความว้าเหว่ วิเวกวังเวงจับหัวใจตลอดมา และแล้วกาลเวลา ก็ช่วยทำให้พวกเราดีขึ้นตามลำดับ แต่เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๓๔
ก็ถึงวาระที่พวกเราได้รับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ...คือคุณพ่อของพวกเราก็ได้จากไปอีกท่านหนึ่ง
...สูญสิ้นแล้วร่มโพธิ์แก้ว...ของพวกลูกๆ ...กำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตอ่อนล้าลง
...ท่ามกลางงานบุญงานกุศลที่ จ.ระยอง ซึ่งลูกๆ ต่างบำเพ็ญอุทิศให้คุณพ่อ... ข้าพเจ้าผู้มีจิตจดจ่ออยู่กับหลวงพ่อตลอดเวลา
ได้รีบจดหมายมากราบเรียนหลวงพ่อถึงวัตถุประสงค์ในการส่งเงินมาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อที่ จ.อุทัยธานี และแล้วโดยมิได้นึกฝัน ข้าพเจ้าได้รับจดหมายด่วนที่สุด
จากวัดท่าซุง ใบอนุโมทนาบัตรจากหลวงพ่อ
...หลวงพ่อได้เมตตาต่อลูกอีกแล้ว ...หลวงพ่อได้จัดการให้ตามวัตถุประสงค์โดยมิได้รอช้าแม้แต่น้อย
แล้วหลวงพ่อยังได้ประทานลายเซ็นให้กับลูกอีกด้วย ...ความอบอุ่นวิ่งเข้าจับหัวใจแล้วเกิดพลังขึ้นมาอย่างประหลาด
...รู้ได้ในทันทีนั้นว่า...แม้จะสิ้นคุณพ่อแล้ว แต่ลูกก็ยังมีหลวงพ่ออยู่
...แม้ยามลูกทุกข์หลวงพ่อก็จะปลอบประโลม หลวงพ่อจะเป็นขวัญและกำลังใจให้ในการดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมั่นใจและมีความสุข
...นี่เป็นความเมตตาของหลวงพ่อโดยแท้...
แต่แล้ว...หลวงพ่อพระผู้ดุจดวงประทีปแก้ว...ผู้ซึ่งเป็นขวัญและกำลังใจ และเป็นเสมือนพ่อของลูก ...และของพวกเราก็ได้ละสังขาร ณ
วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕! ...นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แห่งชีวิตและแห่งชาติ!
แต่ด้วยความที่เป็นพระผู้มีเมตตาต่อลูกๆ เสมอมา... หลวงพ่อก็ได้ประทานคำพูดที่มีค่ายิ่งที่จะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจของลูกๆ
ให้ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างดีที่สุดก็คือ
ธรรมใดที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ ...พ่อได้ถ่ายทอดให้กับลูก ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ
ขอทุกคนจงทรงธรรมนั้นไว้ จนกว่าจะเข้านิพพานในชาตินี้ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจและไม่เกินวิสัยของลูก ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้
ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ จงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก
ลูกจะไปไหนก็ขึ้นชื่อว่าพ่อไปด้วยช่วยลูกทุกประการ
...โอ้...หลวงพ่อ...พระผู้เมตตาเปี่ยมล้น...จวบจนนิรันดร์
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 12/3/11 at 15:38
27
หลวงพ่อพาท่องไตรภูมิ
ชาติชาย ชินวร
......กระผมเป็นเจ้าของบริษัททวีการเดินรถจำกัด อยู่ที่จังหวัดนนทบุรี
ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสาร เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙
หลังจากที่ได้รับสัมปทานการเดินรถยนต์โดยสารประจำทางแล้วไม่เคยมีความสุขเลย พี่น้องที่กระผมเคยให้ความช่วยเหลือก็คิดแต่จะโกงเอาไปดำเนินกิจการเดินรถคนเดียว
มีเหตุถึงกับจะเอาตัวของกระผมไปฆ่าทิ้ง
...และก็มีข้าราชการกังฉินกลั่นแกล้งต่างๆ นานา เพราะเขาเหล่านั้นอยากจะได้เงินไปบำเรอความสุขให้กับครอบครัวของเขา
โดยไม่มีจิตเมตตาสงสารต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็ทำบาปขึ้นเสียด้วย โดยจะนำเรื่องไม่จริงไปกล่าวให้บรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ฟัง
เพื่อจะได้เกลียดชังในตัวกระผม เพราะเขาทราบว่ากระผมได้ทำหนังสือร้องเรียน และแล้วเธอเหล่านั้นก็ต้องย้ายตัวเองออกจากพื้นที่ไป
แล้วก็มีคนใหม่เข้ามารับตำแหน่งแทนคนเก่า ทำการกลั่นแกล้งต่อจากคนเก่าที่ถูกย้ายไป เป็นทำนองลูกโซ่
ซึ่งคนทั้งสองเก่งมากในการสร้างเวรสร้างกรรมให้กับคนทั่วไป ที่ใดไปสัมผัสกับคนทั้งสองที่ถูกย้ายออกจากนนทบุรีทั้งคู่
กระผมเองยอมรับนับถือที่เขาทั้งสองสามารถหลอกผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาให้หูหนวกตาบอด
ทั้งๆ ที่เขาได้สร้างแต่ความเลวร้าย แต่ก็ได้ดีพร้อมกับตำแหน่งหน้าที่ (ปัจจุบันนี้ บริษัทฯ รถเมล์ของกระผมก็ถูกญาติของกระผมคดโกงไปหมดสิ้น
เพราะพวกญาติหน้าเนื้อใจเสือ ซึ่งไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษว่า ตัวบาปตัวบุญเป็นอย่างไร)
นี่คือประวัติย่อของกระผมเอง ก่อนที่กระผมจะได้รับการสงเคราะห์จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ (วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี)
เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๑ ตรงกับวันอังคารขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ เวลา ๐๙.๐๐ ๑๐.๐๐ น. โดยประมาณ รู้สึกตัวอีกทีเป็นเวลา ๑๔.๐๐ น.
ถึง ๑๕.๐๐ น. เห็นจะได้ (ได้เดินทางไปเที่ยวสวรรค์ ได้นมัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ท่องแดนนรกกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ)
ตอนเช้าของวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๓๑ กระผมได้ไปที่บริษัทฯ รถเมล์ เพื่อทำการตรวจเช็คบัญชีเงินรายรับรายจ่ายของบริษัทฯ
แต่ปรากฏว่าภายหลังจากที่ทำการเช็คบัญชีแล้ว มีแต่ตัวเลขไม่มีตัวเงินเหลืออยู่เลย จึงได้เรียกเด็กเสมียนพนักงานของบริษัทฯ มาสอบถามว่า
ผู้ใดมาเอาเงินรายได้ของบริษัทฯ ไปใช้จ่ายในสิ่งใดหมด
แต่ภรรยากระผมไม่ตอบ (ด้วยความโมโหจึงเอาบัญชีตบหน้าไป ๑ ครั้ง) และได้ขับรถยนต์ส่วนตัวออกจากบริษัทฯ
เพื่อไปหาสุราดื่มให้หายกลุ้มที่ตัวของกระผมได้ภรรยาเป็นคนไม่ดี (เป็นคนไม่รู้จักคำว่าพอเป็นอย่างไร)
แทนที่กระผมจะได้ดื่มสุราตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่ทีแรก (กลับขับรถเข้ามาจอดที่บ้านมากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ)
นี่คือเวรกรรมอย่างไรที่กระผมได้สร้างมาตั้งแต่เมื่อใด เพราะตั้งแต่จำความได้ กระผมจะทำแต่ความดี
เพราะว่าคุณยายที่ได้เลี้ยงดูกระผมมา พร่ำสั่งสอนอยู่ตลอดเวลาว่า บาปบุญคุณโทษมีจริง (กระผมได้พูดบ่นอยู่คนเดียวต่อหน้าพระพุทธรูป) และกระผมก็ก้มลงกราบ ๓
ครั้ง และได้เริ่มทดลองนั่งวิปัสสนาดูบ้าง เพราะเห็นคนอื่นๆ เขาทำ (พอกระผมนั่งสมาธิได้สักประมาณ ๕ นาที มีความรู้สึกตัวเริ่มชาที่หูและเริ่มอื้อ
ช่วงที่นั่งสมาธิเป็นเวลาระหว่าง ๐๙.๐๐ ๑๐.๐๐ น.)
แต่ตอนที่หูอื้อตัวชา กระผมได้ใช้คำภาวนาว่า พุทโธ สัมมาอะระหัง และนะมะพะธะ สลับกันไป ช่วงที่กระผมจะได้ไปเที่ยวในเมืองสวรรค์นั้น
จิตของกระผมเองก็ได้หยุดอยู่ที่ (คำว่า พุทโธ) ได้เห็นรูปภาพที่ติดบูชาไว้ที่บริษัทฯ ลอยมาติดกับจิตของกระผม (หรือที่หน้าของกระผม
จิตของกระผมช่วงนี้วูบและมีความสบายอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน)
กระผมได้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งก้มลงกราบ ๓ ครั้ง และกระผมได้หันหน้ามาด้านข้าง ก็แลเห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
กระผมก็เข้าไปหาเพื่อที่จะถือย่ามให้ แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกว่าไม่ต้อง ในช่วงนี้เองที่กระผมและพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เดินตามเสด็จฯ
ก่อนอื่นกระผมขอบอกก่อนว่า การเสด็จขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จโดยการลอยองค์อยู่บนอากาศ มีความสูงประมาณหน้าอก
พระเดชพระคุณหลวงพ่อและตัวของกระผมได้เดินตามเสด็จห่างจากพระพุทธเจ้าเพียง ๑ วา ซึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จลอยเข้าไปภายในกุฏิไม้แบบโบราณ
โดยกระผมเดินตามเข้าไปด้วย
ปรากฏว่าภายในกุฏิมีไอเหมือนหมอกสูงประมาณ ๑ ศอก (แต่ช่วงที่กระผมเดินตามเสด็จ พระเดชพระคุณหลวงพ่อรออยู่ภายนอกกุฏิ) และพอองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าหยุด กระผมก็ได้ก้มกราบขอพร ๓ ครั้งพร้อมกับเงยหน้า
มองเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกพระหัตถ์ประทานพรให้กระผมเป็นละอองเหมือนละอองฝน พอพระพุทธเจ้าทรงให้พรกระผมเสร็จ พระพุทธเจ้าก็ได้เสด็จออกจากุฏิ
ลอยนำหน้าไป
โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อและกระผมเดินตามห่างกันเพียงวาเดียว (ช่วงที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จนำไปข้างหน้า
กระผมจะแลเห็นเพียงแต่ด้านหลังองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านมีสีขาวคล้ายกับแสงนีออนที่เปิดเอาไว้ สะอาดสวยงามมาก ) พระพุทธเจ้าได้เสด็จนำหน้าไปเรื่อยๆ
โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อและกระผมเดินตามไปพักหนึ่ง ก็มีเชิงบันไดประมาณ ๕ ขั้น
พอขึ้นไปสุดบันได ก็ปรากฏเป็นทางเหมือนคอนกรีตบ้านเรา มีมณฑปทั้งซ้ายและขวาสองข้าง ตรงกลางเป็นทางเดินถนนคอนกรีต
พอถึงมณฑปห้องแรก กระผมมองเห็นพระองค์หนึ่ง กระผมจำได้และได้ยกมือขึ้นไหว้นมัสการพร้อมทั้งคิดไปว่า
ทำไมพระองค์ที่กระผมกล่าวนี้ถึงได้มีโอกาสมาเสวยความสุขอยู่บนสวรรค์ (พระองค์นั้นคือหลวงปู่แหวน สุจิณโณ) นั่งห้อยเท้าอยู่ที่หน้ามณฑป (หลวงปู่แหวน
ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ กระผมเองไม่ใคร่จะนับถือ เพราะคิดว่าท่านเป็นพระประเภทนำพระมาเร่ขาย)
หลังจากที่ได้พบแล้ว กระผมก็ได้นำรูปหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่ได้เช่าไว้นานมาแล้ว นำมาบูชา ตอนนี้กระผมกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็เดินตามเสด็จไปจนสุดมณฑป
(มองเห็นพระ ชี เหลืองขาวเต็มไปหมด) ที่มาคอยรับโอวาทจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะหยุด
กระผมได้มองเห็นคุณแม่ของกระผมเองท่านอยู่บนสวรรค์ด้วย
กระผมก็ก้มลงกราบ โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อยืนอยู่ข้างหลัง
หลวงพ่อถามกระผมว่า ใคร
กระผมก็ได้บอกกับหลวงพ่อว่า เป็นบุพการีสมัยที่อยู่เมืองมนุษย์
หลวงพ่อยิ้มแล้วบอกกระผมว่า เร็วนะ
กระผมได้ถามคุณแม่ว่าสบายดีหรือ คำตอบคือการพยักหน้า แล้วกระผมได้เดินเข้าไปอยู่ข้างหลวงพ่อ (เป็นความประหลาดใจที่แปลกคือ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีฐานะเท่ากับ ท.ส. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) พอสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้โอวาทเสร็จเสียงดังอึงๆ บอกไม่ถูก
เพราะไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้ากล่าวให้โอวาทอะไรบ้าง
ช่วงที่พระพุทธเจ้าให้โอวาท กระผมมองเห็นนางฟ้า เทวดา พระ ชี เต็มไปหมด แต่กระผมขอเรียนว่า พระ ชี, เทพ, พรหม
คนที่อยู่ในเมืองสวรรค์มีระเบียบเหมือนกับเป็นผู้ดีเก่าที่เรียบร้อย และองค์สมเด็จก็ได้เสด็จกลับโดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อเดินตามไปพร้อมกับกระผม
การเสด็จกลับพระพุทธเจ้าได้กลับตามทางเดิม แต่ในระหว่างเสด็จกลับ มณฑปทั้งสองข้างปิดหมด (หลวงปู่แหวนฯ ก็ไม่พบ นี่คือการเดินตามเสด็จอยู่บนสวรรค์)
พอมาถึงตรงบันได พระพุทธเจ้าก็ได้เสด็จลอยนำหน้าเหมือนเดิม แต่ช่วงที่เสด็จลงมา องค์สมเด็จฯ ไม่ได้เลี้ยวขวา เสด็จตรงมาเลย กระผมนึกแปลกใจในช่วงนี้มาก
คือ เป็นทางเดินเล็กๆ เหมือนทางเดินในวัดบ้านนอก ท้องฟ้าครึ้มฟ้าครึ้มฝน มีต้นไม้ใหญ่สองข้างทางคือ ต้นยาง หรือต้นตะเคียน
(เรื่องชื่อต้นไม้ใหญ่ไม่แน่ใจว่าจะพูดถูกหรือไม่ เพราะไม่ใคร่จะทราบเรื่องต้นไม้)
พอเดินตามเสด็จมาอีกประมาณ ๑๐๐ เมตร กระผมก็ได้ยินเสียงดังออกมาว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาแล้ว ก็ปรากฏว่ามีที่พักเหมือนกับโรงทาน
หรือโรงปั่นไฟฟ้าของหลวงพ่อ โดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จลอยเข้าไปข้างใน และก็ได้เสด็จหายเข้าไปไม่ออกมาอีก จึงคงเหลือพระ ผม
และพระเดชพระคุณหลวงพ่อเท่านั้น
พอกระผมเดินตามหลวงพ่อเข้าไปสักประมาณ ๑๐ ก้าว ก็มองเห็นคนที่โดนทรมานมัดไว้กับเสาล่ามด้วยโซ่เส้นโตเท่ากับข้อมือเด็ก น่าสงสารมาก
พอกระผมเดินตามหลวงพ่อเข้าไปอีก ก็พบกับผู้หญิงหน้าตาดี กำลังโดนนายนิรยบาลจับแขนจุ่มลงไปในกระทะ จุ่มลงไปแค่ไหนก็เป็นกระดูกแค่นั้น
ช่วงที่ถูกจับมือจุ่มลงไป ผู้หญิงคนนั้นก็พยายามขัดขืน แต่สู้แรงของนายนิรยบาลไม่ได้ เวลาโดนจุ่มจะร้องโหยหวนมาก นายนิรบาลจะทำอย่างนี้ตลอดเวลา
กระผมเองก็ไม่ทราบว่า เขาไปทำบาปกรรมอย่างไร ถึงได้รับการทรมานอย่างที่เห็นมา ช่วงที่มองดูการถูกทรมานจากนายนิรยบาลอยู่นั้น
ก็ได้มีคนเต็มไปหมดมาล้อมรอบที่ตัวของกระผม กระผมเองไม่รู้จะทำอย่างไร และพอมาล้อมมากเข้าๆ ทุกที ก็ได้สวดมนต์แบบกรวดน้ำว่า อิทัง เมญาตีนังโหนตุ
สุขิตาโหนตุ ญาตะโย เท่านั้น กระผมได้บอกว่า ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้ ก็ขอยกให้ทั้งหมดสิ้น
พอกระผมกล่าวเสร็จ พวกที่มารุมล้อมรอบทั้งหมดได้ก้มลงกราบและถอยห่างออกไปกันหมด กระผมเองก็ได้เดินตามหลวงพ่อเข้าไปอีก
ก็มีท่านยมทูตแต่งชุดถกเขมรไม่ใส่เสื้อ แต่มีเอี๊ยมรัดดึงไว้เหมือนสายสะพายแล่งสีแสดอมเหลือง ถือไม้กระบองท่านละ ๑ อัน
ซึ่งพอกระผมเดินตามหลวงพ่อเข้าไปสุดห้องก็มองเห็นโต๊ะทำงานของท่านยมบาลใหญ่ยาวร่วม ๒ วา ช่วงที่เขาเข้าไปตามท่านยมบาล
กระผมได้ถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า จะให้กระผมเรียกท่านว่าอย่างไร (หลวงพ่อให้กระผมเรียกว่าลุง)
พอท่านลุงยมบาลมาถึงก็ไม่ได้คุยกับท่าน เพราะว่ามองไม่ใคร่เห็นหน้า เพราะตัวของท่านดำ และใส่ชุดเขียวอีก เลยมองไม่เห็น
กระผมไม่ได้ยินหลวงพ่อกับท่านลุงยมบาลคุยอะไรกัน
พอได้สักพักหนึ่งหลวงพ่อก็ถามกระผมว่า จะไปไหนอีก
กระผมตอบว่า ไม่ทราบ
หลวงพ่อจึงพากระผมกลับมาตามทางเดิม ส่วนตอนขากลับผิดกับตอนขามาคือ ช่วงแรกได้พบกับผู้หญิงชรากับผู้ชายชรา เหมือนกับไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่มทั้งสองคน
พอกระผมมองไปก็โดนหลวงพ่อดุว่า อย่าไปมองเขาเสียมารยาท ก็เลยไม่ได้มอง กระผมได้แต่แปลกใจว่า
เขาไปทำกรรมอะไรมาถึงไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ และมีรูปร่างหนังหุ้มกระดูกน่าเวทนามาก
กระผมได้เดินตามหลวงพ่อไปอีกก็ได้พบเปรตมีร่างกายสูงเท่าต้นมะพร้าวหรือต้นตาล กระผมจำไม่ถนัด เปรตผู้หญิงสวมใส่โจงกระเบนสีเหลืองอมดำ
ส่วนเปรตผู้ชายสวมใส่โจงกระเบนเหมือนกันแต่สีไม่เหมือนกัน คือสีเขียวแบบใบตอง
ดูท่าทางได้รับความทุกข์ทรมานมาก และก็ถูกหลวงพ่อดุอีกว่าอย่าไปมองเขา ตอนท่านบอกกระผมก็เชื่อตามหลวงพ่อบอก
แต่พอเดินต่อมาอีกก็พบว่าด้านล่างไม่ทราบว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ถูกมัดด้วยโซ่เส้นใหญ่กว่านักโทษในเมืองมนุษย์ ๑ ถึง ๒ เท่าตัว
และพอมองข้างบนต้นไม้ใหญ่ขนาด ๓ คนโอบไม่รอบนั้น ตามกิ่งก้านของต้นไม้ มีผู้หญิงนั่งคร่อมอยู่และร้องขอความช่วยเหลือแบบโหยหวน ชวนให้น่าสังเวชใจ
(ไม่ทราบว่าเขาไปสร้างกรรมอะไรไว้ ถึงได้นั่งทรมานอยู่บนกิ่งไม้สูงประมาณ ๓๐ เมตร เพราะต้นไม้ที่กระผมว่านี้สูงมาก)
การนำข้อความตามที่เขียนมานี้ กระผมได้ไปขออนุญาตจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เพื่อนำมาเผยแพร่ให้ทราบทั่วกัน
ทุกท่านที่ทำความเดือดร้อนแก่มนุษย์สัตว์ย่อมได้รับกรรมนั้น ส่วนท่านที่ได้กระทำแต่ความดีอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าสิ่งที่ท่านได้กระทำแล้วจะสูญ
กระผมผู้เขียนมิได้แต่เติมข้อความใด ที่ได้พบเห็นให้เกินเลยไปกว่าที่ได้ไปพบเห็นมา
หลวงพ่อได้พากระผมไปส่งที่บ้านพร้อมทั้งบอกกระผมว่า เชื่อหรือยังถึง ๓ ครั้ง กระผมบอกว่าเชื่อและก้มลงกราบ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็เริ่มเปลี่ยนจากร่างที่ห่มจีวรสีเหลืองเป็นสีขาวเหมือนแก้ว เริ่มตั้งแต่หน้าจนถึงเท้า พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นแก้วใสทั้งองค์
กระผมเริ่มรู้สึกตัวว่ามันเป็นไปได้อย่างไรทั้งๆ ที่เราเองเพิ่งจะเริ่มหัดนั่งวิปัสสนาได้ไม่เกิน ๑๐ ครั้ง
ซึ่งเราสามารถถอดจิตได้ เพราะบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อแท้ๆ มองดูนาฬิกาปรากฏว่าได้ท่องเที่ยวเมืองสวรรค์และแดนนรกกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ๔ ชั่วโมงกว่าๆ
(เหตุที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อถามว่าเชื่อหรือยังถึง ๓ ครั้ง ก็เพราะกระผมเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้ มีแต่ความเคารพนับถือพระพุทธรูปเท่านั้น)
และหลังจากที่กระผมได้นั่งเห็นแล้ว กิจการต่างๆ ที่มีอยู่ เช่น บริษัทรถเมล์ ได้ถูกทางญาติโกงไปทั้งหมด แต่ที่กระผมไม่เป็นบ้าจนถึงทุกวันนี้
ก็เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกกับกระผมว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นมันเป็นของเล่น หรือภาพลวงตาเท่านั้น
ปัจจุบันนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สงเคราะห์ให้อาชีพใหม่กับตัวกระผมแล้วคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัดกนกอรการช่าง ซ่อมติดตั้งเครื่องปรับอากาศและตู้เย็น
ปัจจุบันเริ่มฟื้นตัวตามที่หลวงพ่อบอกว่าดี
◄ll กลับสู่สารบัญ
28
บัวใต้น้ำ
จารุพรรณ จันทรพิทักษ์ (ประไพ สืบสงวน)
........ก่อนอื่น ลูกขอกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระราชพรหมยาน ผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของลูก ที่ท่านได้ช่วยชี้แนะแนวทางเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง นั่นคือ ทางสายเข้าสู่พระนิพพาน
...ซึ่งความรู้ความคิดความเข้าใจดั้งเดิม เคยมีความเข้าใจว่า พระนิพพานนั้นเป็นสิ่งสูงสุดเอื้อม สำหรับคนธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ไม่สมควรแม้เพียงคิดถึง
หรือแตะต้อง
...หลวงพ่อท่านได้เป็นผู้เปิดทางสว่างไสวคือพระนิพพาน ให้แก่บรรดาลูกหลานทุกคนสามารถแตะต้องได้ สัมผัสได้ สุดแต่ใคร
จะก้าวเดินไปตามทางนั้นด้วยพระเมตตาคุณอันสูงสุด
ดิฉันเป็นคนจังหวัดนครราชสีมา (โคราช) โดยกำเนิด แต่คุณพ่อเป็นชาวชลบุรี
การที่ดิฉันได้เข้ามากราบหลวงพ่อครั้งแรกนั้นค่อนข้างจะแตกต่างจากลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่อ่านพบในหนังสือลูกศิษย์บันทึก
แต่ก็พอจะอนุโลมเข้าในศิษย์ประเภทที่ ๑ ซึ่งท่าน ดร.ปริญญา นุตาลัย ได้เขียนไว้ในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๒
หนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มนี้ให้ประโยชน์มาก ทำให้ลูกศิษย์ทราบข่าวคราวเรื่องราวที่น่าสนใจซึ่งกันและกัน
ข้อเขียนของแต่ละท่านล้วนมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่ได้อ่าน มีการไปมาหาสู่กัน
ช่วยกันสร้างกุศลสาธารณประโยชน์เผยแพร่เกียรติคุณของหลวงพ่อให้ไพศาลยิ่งขึ้น ทวีความสามัคคีกลมเกลียวกัน
อย่างเช่นเมื่อดิฉันได้ไปทำบุญสร้างมหาวิหาร ที่สำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรม ข้างวัดใหม่คลองยาง ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ของคุณแม่ชีประทุม
โชติอนันต์ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวัดหลวงพ่อของเรา ก็ได้พบกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อมากมายหลายคนที่นั่น ซักถามกันแล้วได้ความว่า
มาตามหนังสือลูกศิษย์บันทึกทั้งนั้น
และยังมีอีกข้อความหนึ่งที่ท่าน ดร.ปริญญา ได้เขียนไว้ว่า ลูกศิษย์ของหลวงพ่อทุกคน เมื่อได้ฟังเทศน์จากท่านแล้ว
จะไม่ชอบฟังเทศน์จากพระองค์อื่นอีก อันนี้เป็นความจริง เพราะกระทบใจอย่างจังเลย (รวมทั้งหนังสือของท่านด้วย)
ครั้งแรกคิดว่ารู้สึกอยู่คนเดียวนะนี่
สาเหตุที่ดิฉันได้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อก็เนื่องมาจากพี่สาว ชื่อคุณอัมพร พรหมโยธิน ได้นำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคจากบ้านท่านชำนาญ ยุวบูรณ์
มาถวายหลวงพ่อ เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่ทหาร ตำรวจ และประชาชนตามชายแดน ได้มาเห็นหลวงพ่อเลี้ยงสุนัขไว้มากมาย และมีเมตตาต่อสุนัขเหล่านั้นอย่างเหลือล้น
พี่สาวเขานึกถึงดิฉันทันที เพราะดิฉันเป็นคนที่รักและเมตตาต่อสัตว์ โดยเฉพาะสุนัขมาก พอพี่สาวกลับจากวัดท่าซุงก็มาเล่าให้ฟัง และชักชวนให้มากราบหลวงพ่อ
จึงได้ตกลงนัดหมายกันเมื่อประมาณปี ๒๕๑๗ เมื่อมาพบหลวงพ่อแล้ว ยังโชคดีได้พบญาติ คือพี่หมอสมศักดิ์ สืบสงวน ซึ่งเป็นลูกของคุณลุงอีกด้วย
ทำให้เกิดความดีใจและมั่นใจว่าได้มาถูกทางแล้ว
ซึ่งต่อมาภายหลังก็ได้รับความเมตตาจากพี่หมอ คอยช่วยแนะนำชักจูงให้เดินถูกต้องตรงทาง แม้ในด้านปัจจัยก็ได้ช่วยเหลือตลอดมา
ซึ่งนับว่าเป็นพระคุณอย่างยิ่ง และเมื่อดิฉันไปศรีราชา ก็ได้รับหนังสือประวัติของหลวงพ่อปาน จากคุณหมอจรูญ และคุณประสม กุลสุวรรณ
ซึ่งเป็นน้องเขยและน้องสาวของพี่หมอสมศักดิ์ มาอีก ๑ เล่ม
เมื่ออ่านแล้วก็ติดใจมาก ได้ให้เพื่อนครูที่โรงเรียนวัดสระแก้วอ่านต่อ ก็เลยได้ติดตามกันมาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออีกหลายคน
เรื่องของคนโง่ไม่เสร็จ หรือบัวใต้น้ำมีดังนี้ เมื่อแรกๆ ที่ดิฉันมาวัดท่าซุง (ปี ๒๕๑๗) ตอนนั้นคนมาวัดยังไม่มาก
จึงมีโอกาสได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อเสมอๆ แม้ในการฝึกมโนมยิทธิหลวงพ่อก็ฝึกให้เอง
แต่ด้วยความโง่ ขณะที่ทำการฝึกอยู่รู้สึกว่าได้เห็นหลวงพ่อนั่งอยู่บนแท่น ไม่เห็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่เข้าใจ
บางครั้งฝันเห็นหลวงพ่อแต่งกายเป็นพระฤาษี ทำพิธีครอบให้พร้อมกับพี่สาว ก็ยังไม่เข้าใจในความเมตตา บางทีฝันเห็นหลวงพ่อนั่งรถบัสผ่านไป
ท่านเรียกให้ขึ้นรถจะพาไปนิพพาน หนอยแน่เล่นตัวไม่ยอมขึ้น อ้างว่ารถท่านเก่า เดินไปดีกว่า หลวงพ่อท่านทนความดื้อด้านไม่ไหว
จึงลงจากรถมาเดินด้วยจึงยอมขึ้นรถไปกับท่าน
นี่ก็ยังไม่เข้าใจอีก มีครั้งหนึ่งที่ศาลานวราช หลวงพ่อท่านเอ่ยปากชวนพวกเราให้เข้าไปที่กุฏิริมน้ำของท่าน (ปกติไม่กล้าเข้าไปเลย) ก็พากันตามเข้าไป
หลวงพ่อก็ให้คุณรัชนี เจนรถา ช่วยดูให้ว่าใครเคยเป็นลูกหลานของท่านอย่างไรบ้าง คุณรัชนี ก็ช่วยดูให้ว่าคนนั้นเป็นลูกแม่ชื่อนั้น คนนี้แม่ชื่อนี้
พอมาถึงดิฉันหลวงพ่อบอกคุณรัชนีว่า เอ้า ช่วยดูให้ไอ้คนนี้มันหน่อยซิ มันจะได้อะไรกับเขาบ้างไหม
แล้วหลวงพ่อก็หันมาสั่งว่ากราบลง นี่พระพุทธองค์ทรงมาพยากรณ์ให้นะ ท่านพยากรณ์ให้ว่า จะได้ธรรมะระดับนั้น... ภายในปีนั้น...
หลวงพ่อท่านซักถามให้ว่า มันยังติดขัดอะไรอยู่ ใจเราก็นึกว่าคงเป็นศีล หลวงพ่อท่านถามให้เลยว่า ศีลใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่
กลายเป็นอิทธิบาท ๔ ก็ยังโง่ไม่เสร็จอีกตามเคย เพราะขณะนั้นใจมุ่งไปอยู่ที่ว่าตัวเองเป็นลูกหลานของท่านหรือไม่เท่านั้น
เมื่อไม่ได้รับการพยากรณ์ในเรื่องนี้ จึงรู้สึกเสียอกเสียใจอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งต่อมาหลวงพ่อท่านเขียนในใบโมทนาบัตรไปให้ ความว่า
- ลูกจารุพรรณ จันทรพิทักษ์ ถวายค่าอาหารและวิหารทาน ขอให้ลูกจงมีความสมหวังตามที่ตั้งใจนะจ๊ะ และ
- ปีเก่าผ่านไปปีใหม่เข้ามาถึง ขอลูกรักจงหมดทุกข์ มีความสุขและปลอดภัยจากอันตรายทั้งมวล
มีความอุดมในทรัพย์สินด้วยประการทั้งปวงเถิด
ฯลฯ
สาธุ สาธุ สาธุ ชื่นใจจริงๆ ทีนี้ค่อยหายโง่และบ้าลงหน่อยนึง
ความเมตตาของหลวงพ่อมีมากมายไม่มีที่สิ้นสุด ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ได้ซื้อเต่ามา ๑ ถัง เพื่อจะปล่อย วางไว้บนศาลานวราช
แล้วเข้าไปกราบหลวงพ่อขอความเมตตาให้ท่านช่วยทำพิธีปล่อยให้ หันกลับมาดูอีกที ปรากฏว่าเต่าคลานยั้วเยี้ยเต็มศาลาเลย ต้องวิ่งจับกันจ้าละหวั่น
หลวงพ่อท่านบ่นว่า ไอ้พวกนี้ปล่อยอะไรก็ไม่ปล่อยๆ เต่า ได้เรียนท่านว่า เต่าก็เต่าอัจฉริยะนะคะ หลวงพ่อท่านว่า เออจริง
แล้วท่านก็เมตตาเล่าเรื่องเต่าอัจฉริยะให้ฟังกันเป็นที่สนุกสนาน
วันหนึ่งได้นัดหมายกับพรรคพวกที่โคราช ว่าจะนำสิ่งของมาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ดิฉันมีพระ ภ.ป.ร. อยู่ ๒ องค์ อยากถวายหลวงพ่อท่าน ๑ องค์
ถึงวันนัดหายตัวกันหมด ต้องหอบหิ้วของทุลักทุเลมากับหลานชายชื่อ กิตติพล สืบสงวน กว่าจะถึงวัดแทบแย่ สมัยก่อนไม่สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้หลวงพ่อท่านเมตตาสงเคราะห์อนุเคราะห์ลูกหลานให้ได้รับความสะดวกสบายในการทำบุญกุศล ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยหงุดหงิดบุญจึงเต็มเปี่ยม
วันนั้นพอมาถึงวัดก็ขึ้นไปบนศาลานวราช ไม่มีคนอื่นเลย มีแต่เราสองคนป้าหลาน เข้าไปกราบแจ้งความประสงค์กับท่าน
หลวงพ่อท่านสั่งให้จุดธูปทำพิธีถวายเลย นึกสงสัยว่า เอ๊ะ ไม่รอให้มีผู้อื่นมาร่วมถวายด้วยหรืออย่างไร แต่ก็ทำตามที่ท่านสั่ง
พอถวายเสร็จหลวงพ่อท่านบอกว่า นี่เพิ่งกลับมาจากแม่ฮ่องสอนเดี๋ยวนี้เองนะ แล้วกำลังจะเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปงานสมเด็จพระสังฆราชเดี๋ยวนี้อีกด้วยเช่นกัน
จึงถึงบางอ้อ นับว่าเป็นโชคดีและน่าอัศจรรย์ยิ่งที่ทำเวลาได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้
เกี่ยวกับพุทธานุภาพและอานุภาพของวัตถุมงคลของหลวงพ่อ เมื่อ ๒๕๑๘ มีงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเททองหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ปาน
ได้มาช่วยจำหน่ายวัตถุมงคลที่หน้าศาลานวราชตลอดงานเกือบสิบวัน เสร็จงานได้รับแจกเสื้อยันต์เกราะเพชรสีแดงไป ๑ ตัว พอเพื่อนทราบมาขอไปให้ลูกชายที่เป็น
น.น.ร. เพื่อใส่ป้องกันอันตรายตอนไปฝึกภาคสนามที่กาญจนบุรี
ปรากฏว่าตรงที่ตั้งแคมป์พักมีลูกระเบิดฝังอยู่ แต่ลูกระเบิดด้านทุกคนจึงปลอดภัย สำหรับน้ำมันชาตรี ได้เอาใส่ให้สุนัขที่ถูกรถชน
อาการหนักคิดว่าคงไม่รอด ปรากฏว่าหายและวิ่งได้เหมือนเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ เอาใส่ให้หลายตัวด้วย ทั้งที่วัดและที่บ้าน
เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๔ เป็นวันที่มีความปีติอย่างยิ่งอีกวันหนึ่ง ในตอนแรกคิดว่าจะเดินทางมาวัด เพื่อร่วมงานอุปสมบทถวายกุศลแด่หลวงพ่อ
ชักชวนเพื่อฝูงไว้หลายคนว่าจะมาวัดก่อนวันงาน คอยจนเกือบถึงวันงานล้มเหลวกันหมด (บุญไม่ถึง) รอเก้อเลยตัดสินใจมาวัดคนเดียวในวันที่ ๒๔
พอถึงวัดเข้าพักกับคุณน้าสมบุญที่เรือนกะเหรี่ยง
แม่ชีกิมฮวยมาบอกว่า พรุ่งนี้เขาจะบวชชีพราหมณ์กันด้วยนะ ทำไง เราไม่มีชุดสีขาวกับเขาด้วย
แม่ชีรีบจัดแจงไปหายืมรถให้ไปหาซื้อชุดสีขาวที่จังหวัดอุทัยธานีในเย็นวันนั้นเอง ทำให้พลอยได้ร่วมบุญใหญ่กับบรรดาศิษยานุศิษย์หลายร้อยคน
ขอขอบคุณแม่ชีกิมฮวยอย่างมากที่เมตตาสงเคราะห์ วันบวช (๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๔) พระครูอุทัยธรรมโกศล ท่านเรียก ชีกล้วยน้ำว้ากับชีกล้วยไข่ (แหม น่ารักจัง)
เมื่อสึกเรียบร้อยแล้ว ตอนเย็นไปนั่งสมาธิที่วิหารร้อยเมตร ปกติเป็นคนที่ไม่ค่อยจะรู้จะเห็นอะไรกับเขาเลย ทึบมาก
ก็เลยนั่งปลงทำใจสบายๆ สักครู่ก็เห็นขบวนแถวยาวเหยียดเดินไหลเข้ามาในวิหารผ่านหน้าเราไป ดูแล้วปรากฏว่าร่างดำๆ เหล่านั้นไม่มีหัว
ก็นึกว่า เอ๊ะ อะไรจะมากันมากมายขนาดนั้น จะเอาบุญที่ไหนให้ ตัวเราเองยังเอาตัวไม่รอด
แต่จะชักช้าก็ไม่ได้เดี๋ยวจะเหมือนที่หลวงพ่อเคยบอกว่า พวกนี้บางทีเขามีเวลาไม่มากนัก จึงต้องเสี่ยงดวง ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลแบบที่หลวงพ่อสอน
พออุทิศแล้วก็นึกว่า เอ เขาจะได้รับกันไหมหนอ ถ้าได้รับโปรดแสดงภาพให้ดูด้วยเถิด ปรากฏว่าแพรวพราวระยิบระยับพรึ่บไปหมด
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อ พอรุ่งเช้าจึงเรียนถามพี่หมอสมศักดิ์ว่า เป็นไปได้อย่างไร บุญอะไรจะมากมายขนาดนั้น พี่หมอตอบสะใจไปเลยว่า
ก็บุญหลวงพ่อไง โอ หายโง่เซ่อไปเลยหลงกระหยิ่มใจนิดๆ (จริงๆ ๆ) พุทโธ ธัมโม สังโฆ
เมื่อคราวที่หลวงพ่อสร้างเจดีย์พุดตานและหล่อพระรูปสมเด็จองค์ปฐม ได้มีโอกาสถวายแหวนแบบโบราณ
คือแหวนยอดและสายสร้อยคอที่พี่สาวและสามีมอบให้ในวันเกษียณอายุราชการ ไม่ได้บอกให้เจ้าของให้ทราบก่อน จึงขอบอกไว้ตรงนี้เพื่อจะได้ช่วยโมทนาด้วยกันไปเลย
หลังจากที่ได้มาฝึกมโนมยิทธิได้พอเตาะๆ แตะๆ เหมือนเต่าเดินยังไงยังงั้น แล้วได้เหินห่างวัดไปสิบกว่าปี
คงจะเนื่องจากบุญมีแต่กรรมบัง หรือวิบากกรรมก็ไม่ทราบได้ มาบัดนี้ ให้รู้สึกเสียดายวันเวลาที่ล่วงไปเป็นที่สุดซึ่งไม่สามารถที่จะเอากลับคืนมาได้
พอเกษียณอายุราชการแล้วก็ยังบ้าต่อไปอีก ยังอยากทำโน่นทำนี่ซึ่งเป็นงานทางโลก เพราะผิดหวังในชีวิตราชการ
จึงอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาชนะชีวิตให้ได้ แต่หยิบจับอะไรเกิดอุปสรรคไปหมดเหมือนกับจะห้ามว่า อย่าทำเลย เลิกทำเสียเถอะ จึงค่อยๆ ได้คิด
หันกลับมาเข้าวัดอีกครั้งหนึ่ง
พอดีก่อนกลับมาได้พบกับหลวงพ่อที่วัดโพธิ์เมืองปัก ได้เรียนท่านว่าไม่ได้ไปกราบท่านนานแล้ว
ท่านตอบว่า นึกว่าชาติดนี้จะไม่ได้เจอกันอีกซะแล้ว
จึงกลับหลังหัน ทิ้งงานที่คิดว่าจะทำต่อ หันหน้ามาวัดอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งแรกนึกอายเหมือนกันว่า เอ เรากลับไปครั้งนี้คงอายเด็กแย่ละนะ เพราะคงต้องมาคลานต้วมเตี้ยมๆ ตามเด็กๆ รุ่นหลัง
แล้วก็เป็นจริง เพราะผลของการฝึกไม่ค่อยคืบหน้าอะไร สงสัยจะถูกเทวดาลงโทษเป็นแน่ (นั่นแน่ บังอาจไปเที่ยวโทษเทวดาเข้าให้อีก แทนที่จะโทษตัวเอง)
เวลาว่างๆ เลยต้องหาโอกาสไถ่บาปด้วยการช่วยงานวัด เช่น ไปช่วยขัดตกแต่งพระเครื่องและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ปัดกวาดบันไดรับแขกที่หลวงพ่อขึ้นลงประจำ
ล้างห้องน้ำห้องส้วม เก็บพานดอกไม้ที่วิหารร้อยเมตร เป็นต้น
ก่อนจบบันทึก ลูกนี้มีบุญน้อยไม่ทราบว่าจะหาสิ่งใดมามอบถวายทดแทนบุญคุณของหลวงพ่อได้ จึงต้องขออาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้าทุกๆ
พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายและบารมีของลูกๆ หลานๆ
ทั้งหลายที่มีบุญหนัก
จงมารวมตัวกันเป็นพลังอันมหาศาลปกป้องผองภัยที่จะมาบังเกิดกับชื่อเสียงเกียรติคุณ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพรักของเรา
ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องพิทักษ์รักษาประเทศชาติอย่างแท้จริง ให้แคล้วคลาดจากผองภัยพาลทั้งปวง
ธรรมใดที่หลวงพ่อบรรลุแล้ว ขอให้ลูกหลานทุกคนได้บรรลุธรรมนั้น และลูกขอติดตามหลวงพ่อไปนิพพานในชาตินี้ด้วยเถิด
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีวิมานอยู่ใต้แท่นประทับของหลวงพ่อก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ กราบขอประทานอภัยหลวงพ่อที่จนบัดนี้ลูกก็ยังโง่ไม่เสร็จ
◄ll กลับสู่สารบัญ
29
อาลัยเคารพรักบูชา
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ (พระราชพรหมยานเถระ)
ผู้มีพระเมตตาคุณอันสูงยิ่ง
สุวิทย์ สวรรค์กสิกร
......การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของลูกๆ หลวงพ่อทุกท่าน
เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าหลวงพ่อที่เคารพรักศรัทธาจะจากไปรวดเร็วถึงเพียงนี้ จึงสร้างความเศร้าโศกเสียใจอาลัยรักด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
ต่อไปนี้คงจะเหลือเพียงธรรมะของพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อนำมาสอนไว้เป็นอนุสรณ์แก่ลูกๆ และเป็นมรณานุสสติเตือนใจแก่บรรดาสานุศิษย์ที่ยังประมาทอยู่ทั้งหลายว่า
ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ชีวิตที่เกิดมาในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน จะต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย
เป็นธรรมดา การสูญเสียหลวงพ่อผู้ประดุจร่มโพธิ์แก้วของพวกเราบรรดาลูกๆ ที่ศรัทธาในองค์หลวงพ่อ เป็นการสูญเสียอันยิ่งใหญ่เพราะท่านเป็นดวงใจและฐานอันสำคัญ
เป็นอาจารย์ประเสริฐสุด
เพราะท่านสอนธรรมให้ลูกๆ และพุทธบริษัท เพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสารเข้าสู่พระนิพพาน
ส่วนข้าพเจ้านั้นมีความอาลัยรักเคารพบูชาหลวงพ่ออย่างสูงสุด และเป็นการสูญเสียหลวงพ่อที่ไม่มีสิ่งอันใดจะให้สูญเสียยิ่งกว่านี้อีกแล้วในชีวิตนี้
ปัจจุบันจึงได้คิดว่า เวลาที่ผ่านมาหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ เราได้ประมาทในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อได้เรียกให้ข้าพเจ้าบวชเป็นพระหลายครั้งหลายหน
เรียกข้าพเจ้าตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๕ ครั้งสุดท้ายเมื่อ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๔ ได้บวชเป็นพระถวายกุศลต่ออายุให้หลวงพ่อ (มีผู้บวชพระทั้งหมด ๑๘๐ องค์ เป็นเวลา ๕ วัน)
หลวงพ่อได้เรียกข้าพเจ้าอยู่ต่อเป็นพระโดยไม่ต้องสึก
หลวงพ่อถาม สุวิทย์จะสึกหรือจะลาสิกขา
ตอบสึกครับ
ท่านบอกไสหัวสึกไปเลย
ข้าพเจ้าดื้อไม่เชื่อฟังหลวงพ่อ ไม่ยอมอยู่ต่อ คิดว่าหลวงพ่อจะมีชีวิตอยู่กับเราอีกนาน บวชใหม่เมื่อไรก็ได้
นี่แหละคือความประมาทของเราในชีวิตของหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่น่าให้อภัยแก่ศิษย์ดื้ออย่างข้าพเจ้าเลย
เนื่องในการที่หลวงพ่อได้เพียรพยายามสอนธรรมะให้ข้าพเจ้าตลอดมา
มีอยู่ช่วงหนึ่ง พ.ศ.๒๕๒๘ หรือ ๒๕๒๗ จำไม่ได้แน่นอนนัก ท่านสอนกรรมฐานตอนหัวค่ำที่บ้านสายลม เมื่อเสร็จญาติโยมกลับไปหมดแล้ว
เหลือลูกศิษย์บางท่านอยู่ช่วยทำงาน หลวงพ่อขึ้นไปชั้นบนแล้วลงมาอีก เพื่อคุยกับลูกๆ ที่ช่วยทำงานเป็นการให้กำลังใจเป็นประจำ
ข้าพเจ้าอยู่ช่วยนับเงินในตู้บริจาค นั่งนับเงินอยู่กับพื้นพรมตรงทางเดินหน้าพระพุทธรูป
ท่านลงมาจากชั้นบนตรงมาที่ข้าพเจ้า แล้วหลวงพ่อนั่งลงกับพื้นพรมด้านซ้ายมือที่ข้าพเจ้านั่งอยู่แล้วจับหัวเข่าของข้าพเจ้า
พร้อมกับพูดว่ามาหันหน้ามาคุยกัน แล้วท่านก็พูดสอนคุยเรื่อยไป เวลานั้นข้าพเจ้าไม่รู้นี่คือลีลาการสอนของหลวงพ่ออีกแบบหนึ่ง คิดว่าท่านคุยแบบธรรมดา
แต่เป็นการทรงอารมณ์ปฏิบัติที่ได้ผลดีมากโดยไม่รู้ตัว
เวลาช่วงนั้นมีอารมณ์ศรัทธาเคารพรักบูชาหลวงพ่อสูงมาก ทรงอารมณ์ปีติและนิพพิทาญาณตลอดทุกวัน
แต่ที่หลวงพ่อลงมานั่งกับพื้นด้วยกันก็ไม่ได้คิดอะไร มีความรู้สึกดีใจธรรมดา แต่อารมณ์ศรัทธาเคารพรักหลวงพ่อสูงอยู่แล้ว ท่านสอนธรรมอะไรก็ทำได้
(ช่วงนั้นนะ) ท่านเทศน์สอนบนธรรมาสน์ก็สอนข้าพเจ้า ยังลงมานั่งกับพื้นพรมด้วยกันแล้วสอนอีก
เวลานั้นข้าพเจ้ามีอารมณ์ซื่อแบบบริสุทธิ์จริงๆ ไม่ได้คิดอะไร โธ่หลวงพ่อ เวลานั้นศิษย์โง่ไม่รู้คุณค่าความเมตตาของหลวงพ่อจริงๆ
รู้อยู่อย่างเดียวคือเคารพรักหลวงพ่อ กว่าจะรู้เวลานี้ล่ะครับหาไม่ได้อีกแล้วในความเมตตาอันสูงส่งอย่างนั้นจากหลวงพ่อ
เวลาท่านพูดคุยให้ฟัง ก็เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง อย่างท่านเล่าเรื่องเทวดาว่า พระอินทร์กับพระศิวะ พระอิศวร คือองค์เดียวกัน
เสด็จย่าชายาพระอินทร์กับเสด็จแม่อุมาเทวีคือองค์เดียวกัน พระนารายณ์กับท่านมเหสักขาองค์เดียวกัน (ข้าพเจ้าฟังแล้วก็งง เอ้าแล้วองค์เดียวกัน
แล้วทำไมต้องแยกเป็นลีลาแขกกับไทยกับจีนล่ะงงอีก ได้แต่ฟังไม่กล้าถาม แล้วก็งงต่อไปจนกว่าจะรู้เอง)
แล้วท่านก็เล่าเรื่องสะเดาะกุญแจ เอากุญแจแขวนล็อคไว้ที่ราวเส้นลวด ฝึกจนแตะราวเส้นลวด กุญแจก็หลุดหมดทุกตัวพร้อมกัน
ท่านเล่าต่อว่าเอากระดาษตัดชิ้นเล็กๆ ใส่ในขันน้ำเสกให้เป็นกุ้งฝอย ข้าพเจ้าคิดทันทีจะเอาขวดโหลน้ำมนต์หน้าพระพุทธรูปให้หลวงพ่อเสกให้ดู
หลวงพ่อรู้ทันบอกว่า เดี๋ยวนี้ไม่ทำแล้ว แก่แล้ว เราก็เลยอดดูไป ก็เลยคิดว่าต่อไปเราฝึกทำเองก็ได้ คิดโม้อยู่ในใจคนเดียว ก็บอกแล้วว่าข้าพเจ้าซื่อ
โง่อย่างบริสุทธิ์เวลานั้น
การปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุธรรมนั้น ถ้าเรามีจิตใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ละความชั่วทั้งหมด ละความชั่วทั้งกาย วาจา ใจ ทำแต่ความดี
ทั้งกาย วาจา ใจ
ทรงอารมณ์อานาปานุสสติกรรมฐาน อย่างน้อยตั้งแต่อุปจารสมาธิหรือปฐมฌานขึ้นไป หรือทรงอารมณ์ในสมถกรรมฐานกองใดกองหนึ่งให้เป็นฌาน
เจริญอารมณ์วิปัสสนาญาณให้รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง ยอมรับนับถือตามความเป็นจริง พิจารณาตามแบบวิปัสสนาญาณ ทำใจให้สบายเบาๆ ให้มีความสุข
วางเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มากระทบและได้สัมผัส
เห็นว่ามันเกิดขึ้นตามธรรมดาและธรรมชาติตามสภาวธรรม เราจะไปยึดมั่นถือมั่นมันทำไม
ในไม่ช้าทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ตายสลายพังไปในที่สุด แม้ร่างกายเราก็ต้องตายสลายไป
ถ้าเราไม่มีมานะทิฐิและความยึดมั่นถือมั่นในสภาวธรรมทั้งหลายมันก็จบกัน
แต่จะทำให้เป็นอย่างนี้ได้ต้องฝึกจิตฝึกใจของเราเองให้มีความเชื่อง ไม่มีความดุร้ายเสียก่อน ถ้ายังมีมานะทิฐิอยู่ก็ได้ชื่อว่ายังมีความดุร้ายอยู่
ส่วนจะมากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับความเห็นแก่ร่างกายสังขารด้วยตนของตนเอง (ที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัว) หรือที่เรียกว่าอุปาทาน
ความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายตัวตน
ท่านว่าจะต้องแก้ไขอนุสัยสันดานเลวๆ อย่างนี้เสียก่อน ด้วยการเจริญพรหมวิหาร ๔ มีความรัก เมตตาต่อคนและสัตว์เสมอด้วยตนเอง
กรุณาคิดช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ แล้วตั้งจิตปรารถนาไว้ว่า เราจะทำแต่ความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนเพื่อพระนิพพาน
มีความจริงใจ มีความถูกต้องในเหตุและผล มีสัจจะ จิตใจมีความซื่อสัตย์ ซื่อตรง สะอาด บริสุทธิ์ ยุติธรรม
และมีความกตัญญูรู้คุณความดีของผู้อื่น ไม่มีอคติ ๔ ไม่อมภูมิ ไม่วางภูมิ คิดอยากให้ผู้อื่นได้ดีมีสุขอยู่เสมอ ไม่ดูถูกดูแคลนดูหมิ่น
เยาะเย้ยถากถางเสียดสีผู้อื่นโดยทางตรงและทางอ้อม ไม่อิจฉาริษยาว่าคนอื่นได้ดีหรือได้ดีเกินกว่าตน ไม่คิดทำลายผู้อื่นทุกกรณี ฯลฯ
ต่อจากนี้ก็ยกจิตขึ้นสู่โลกุตรธรรม คิดถึงความตายว่าร่างกายของเรานี้จะต้องตาย มันอาจจะตายเดี๋ยวนี้
เมื่อมันตายก็จะเป็นซากศพขึ้นอืดเน่าเหม็น เนื้อหนังต่างๆ ที่จะเน่าสลายละลายไป เหลือแต่โครงกระดูก ถ้าเขานำไปเผาก็จะเหลือแต่ขี้เถ้ากลายเป็นดินไป
กลายเป็นความว่างเปล่า เราไปยึดมั่นถือมั่นอะไรกับร่างกาย มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราสักหน่อย
ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา มัวหลงไปยึดมันอยู่ได้ เพราะห่วงมันจะลำบาก ห่วงมันจะไม่มีความสุข ห่วงมันจะไม่มีกิน
ห่วงมันจะไม่มีคู่ สารพัดห่วง ที่จริงห่วงใจเราเองต่างหาก แล้วก็ระลึกนึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ (หลวงพ่อ)
ระลึกถึงศีล ๕ ว่าเราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ระลึกถึงพระนิพพานว่าพระนิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง เราต้องการพระนิพพาน
ชาตินี้ตายเมื่อไรขอไปนิพพาน
การเจริญอารมณ์ ๑ มรณานุสสติกรรมฐาน ๒ พุทธานุสสติกรรมฐาน ๓ ธัมมานุสสติกรรมฐาน ๔ สังฆานุสสติกรรมฐาน ๕ สีลานุสสติกรรมฐาน ๖
อุปสมานุสสติกรรมฐาน
หรือเจริญกรรมฐานกองใดกองหนึ่งใน ๖ กองนี้ ให้เข้าถึงอุปจารสมาธิ หรือปฐมฌาน คือระลึกนึกถึงอยู่ตลอดเวลา หรือบ่อยๆ
จนเกิดอารมณ์ปีติ เมื่อปีติเกิดบ่อยๆ เข้าจนอารมณ์ทรงตัวเข้มข้นดีแล้ว เมื่อเจริญกรรมฐานทั้ง ๖ กองนี้ให้อารมณ์เต็มทั้งหมด
และทรงตัวก็ได้ชื่อว่าตัดสังโยชน์ ๓ ได้ เป็นอารมณ์ของพระโสดาปัตติผล
อารมณ์ของพระโสดาบันจะมีความรู้สึกทรงฌานเบาๆ ตลอดเวลา จิตใจสมองเบา มีความสุข (สุกขวิปัสสโก) ท่านที่ได้รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ อภิญญาโลกีย์
ฌานที่ได้มาก่อนก็จะเป็นโลกุตรฌานไป ไม่มีทางเสื่อม อารมณ์จะเดินขึ้นเรื่อยๆ
ท่านที่ทำอารมณ์พระโสดาบันได้ในที่นั่งใด ให้ทำอารมณ์พระอรหันต์ให้ได้ในที่นั่งนั้น หมายความว่า
อารมณ์ปีติที่เกิดขึ้นในอนุสสติกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง หรือเกิดขึ้นในหลายกองพร้อมกันก็ดี เวลานั้นให้พิจารณาวิปัสสนา
เพื่อให้อารมณ์นิพพิทาญาณเกิดพร้อมกับอารมณ์ปีติควบคู่กันไปบ่อย เพื่อให้อารมณ์และจิตใจสงบนุ่มนวลและเชื่องลง
จะเกิดปัญญาจะเห็นธรรมะชัดเจนตามความเป็นจริง และสติสัมปชัญญะจะค่อยๆ สมบูรณ์เองตามผลที่พึงได้ (หรือท่านใดจะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานเลยก็โมทนาสาธุ)
เมื่ออารมณ์ปีติในอนุสติกรรมฐานเกิดขึ้น ให้ใช้ปัญญาพิจารณาทุกข์ในอริยสัจ (อารมณ์ปีติ นิพพิทาญาณจะเกิดขึ้นได้ในทุกอิริยาบถ
ทุกเวลาทุกสถานที่อารมณ์ปีติในระดับนี้เป็นปีติของอารมณ์โพชฌงค์ ๗)
คือทุกข์ในขันธ์ ๕ ว่า การมีร่างกายในขันธ์ ๕ นี้มันไม่มีความหมาย มีร่างกายแล้วก็มีแต่ความทุกข์ การเกิดมาแล้วก็ต้องมีความหิว
ความกระหาย ต้องกระทบกับความร้อน ความหนาวก็เป็นทุกข์ ต้องกระทบกับความไม่พอใจ ความโกรธ ความไม่สบาย ใจก็เป็นทุกข์ มีความแก่ การเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นทุกข์
แล้วก็ต้องตายไปในที่สุด
ทรัพย์สินเงินทองบ้านช่องที่ดิน ญาติมิตรก็ไม่มีความหมาย ต้องจากกันไปในที่สุด การมีชีวิตอยู่ก็ประกอบกิจการงาน มีความยากลำบาก
มีแต่ความทุกข์ ในที่สุดก็ต้องเหนื่อยยากลำบากและความทุกข์ มาเป็นทาสของร่างกายในการเกิด เป็นทาสของชาวโลกแล้วก็เหนื่อยฟรี ทุกข์ฟรีทุกชาติ
ถ้าเรายังไม่เข้านิพพาน เพราะเหตุแห่งการหลง
เมื่อจิตใจเกิดวางเฉยในร่างกายขึ้นมาว่า ร่างกายอย่างนี้ถ้ามันจะตายเมื่อไรก็เชิญตาย ฉันจะไปนิพพาน
ถ้าเรายังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแบบนี้ เกิดกี่ชาติก็ทุกข์ทุกชาติ ก็ตัดสินใจว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดอย่างนี้ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
ต่อไปไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน
แล้วก็ตัดอวิชชาต่อ คิดว่าการเกิดเป็นมนุษย์เราไม่ต้องการ ร่างกายมนุษย์มีกายเนื้อ ธาตุ ๔ มีความไม่เที่ยง มีการแปรปรวน
มีแต่ความทุกข์ แล้วก็ตายในที่สุด ในเมื่อร่างกายในโลกมนุษย์มีการตายแล้วก็เน่าเปื่อยผุพัง เป็นซากศพอสุภ มีแต่ความสกปรก
ธาตุทั้งสี่สลายตัวเหลือแต่โครงกระดูก การทรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ต้องมีการหาเลี้ยงชีพด้วยความยากลำบากเราไม่ต้องการ
โลกมนุษย์จะสวยงามเพลิดเพลินเพียงใดเราไม่ต้องการ การเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมเราไม่ต้องการ เพราะเทวดา นางฟ้า
หรือพรหมยังต้องจุติ การเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมมีความสุขเพลิดเพลินสวยงามเพียงใดเราไม่ต้องการ เราต้องการนิพพานเพียงแห่งเดียว
แล้วก็ถึงอารมณ์อรหันต์
แล้วก็ทรงอารมณ์พระนิพพานเอาไว้ ท่อง นิพพานังปรมังสุขขัง อารมณ์พระอรหันต์มีความรู้สึกเหมือนกับไม่ได้อะไรเลย ไม่มีอะไรเลย
อารมณ์ฌานก็ไม่ใช่ อารมณ์พิจารณาวิปัสสนาญาณก็ไม่ใช่ มีความรู้สึกว่าเหมือนไม่ได้อะไรเลย
สุดยอดแห่งความว่าง ความเบา และความสุข ต่อจากนั้น อารมณ์ทรงสังขารุเบกขาญาณ
วางเฉยในความรู้สึกส่วนลึกของอารมณ์จิตภายในได้ทั้งหมด เมื่อมีสิ่งมากระทบและสัมผัสในด้านของความรัก โลภ โกรธ และหลง
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 12/3/11 at 15:49
30
สนทนากับหลวงพ่อหลังนิพพาน
นายแพทย์สบสันต์ วงษ์ภักดี
........วันที่หลวงพ่อมรณภาพ
เป็นวันที่ข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมากสุดที่จะพรรณนาได้
...วันนั้น ข้าพเจ้าจำได้ดีมีโทรศัพท์ปลุกแต่เช้า ปรากฏว่าพี่โต (คุณสุภรณ์ แทนศิริ) โทรศัพท์มาพูดว่า หลวงพ่อสิ้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ถามว่า อะไรนะพี่โต
แล้วพี่โตก็ย้ำว่า หลวงพ่อของเราท่านสิ้นแล้ว
...พอได้ยินเป็นครั้งที่สองว่า หลวงพ่อของเรามรณภาพแล้ว เท่านั้นแหละ ข้าพเจ้าก็รู้สึกตัวชาไปหมด มึนงงบอกไม่ถูก มือ เท้ามันอ่อน แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา
แล้วก็คุยกับพี่โตต่อไปว่า หลวงพ่อเป็นโรคอะไร ซึ่งพี่โตเองบอกว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดนัก
...ขณะที่คุยกันไปต่างคนต่างก็หยุดพูดกันเป็นระยะ เพราะทั้งข้าพเจ้าและพี่โตต่างก็ร้องไห้ขณะคุยกันทางโทรศัพท์ ข้าพเจ้าบ่นกับพี่โตว่า
ไม่นึกเลยว่าหลวงพ่อจากพวกเราเร็วเหลือเกิน มากราบท่านเมื่อ ๕ เดือนที่แล้วก็ยังแข็งแรงดีอยู่
ขณะที่ข้าพเจ้ายังคุยโทรศัพท์กับพี่โต จิตใจก็ยังไม่สบายใจนัก หลวงพ่อท่านก็มาทันที มายืนอยู่ใกล้ๆ ข้าพเจ้า แล้วท่านก็พูดว่า หมอ
อย่าเสียใจเลย ทำใจให้ดีไว้ เมื่อหลวงพ่อพูดจบ ข้าพเจ้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า ท่านเมตตามาเตือนสติให้เรา
ข้าพเจ้าคลายความเศร้าโศกเสียใจได้บ้าง บอกกับพี่โตว่าถ้ามีข่าวคืบหน้าอย่างไรกรุณาโทรศัพท์มาบอกผมอีก
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ข้าพเจ้าได้เสียใจและสะเทือนใจ ครั้งแรกเป็นการสูญเสียคุณพ่อของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นการจากไปไม่ใช่ปัจจุบันทันด่วน
เพราะข้าพเจ้าทราบว่าท่านเป็นมะเร็ง
สักวันหนึ่งท่านจะจากเราไปแต่ก็อดเสียใจไม่ได้ เพราะข้าพเจ้ายังเป็นปุถุชน ย่อมมีความเศร้าโศกเสียใจเป็นธรรมดา
วันนี้ทั้งวันข้าพเจ้าทำงานไม่เป็นสุขเลย จิตใจมันหดหู่บอกไม่ถูก แต่ก็พยายามทำจิตใจให้สบายอยู่เสมอ ก็โดยอาศัยการทำวิปัสสนาขณะทำงาน
ที่หลวงพ่อเคยสอนลูกๆ ไว้
มาคิดได้ว่าหลวงพ่อจากเราไปแล้ว สักวันหนึ่งเราก็ต้องตายเหมือนหลวงพ่อของเรา คิดไปคิดมาแบบนี้ก็ช่วยทุเลาการกลุ้มใจได้บ้าง
ข้าพเจ้ากลับมาบ้านหลังเลิกทำงานแล้ว ดูอากาศภายนอกบ้านครึ้มมัวไม่มีแดด ก็ยิ่งทำให้จิตใจหดหู่เพิ่มขึ้นอีก ข้าพเจ้าได้คุยกับพี่อัญเชิญ (คุณอัญเชิญ
มณีจักร) ทางโทรศัพท์ทางไกล
พี่บอกว่าเมืองไทยก็มีอากาศปรวนแปรเหมือนกัน วันที่หลวงพ่อนิพพานอากาศมืดมัว ฝนตกทั้งวัน บางแห่งมีน้ำท่วม
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงตามที่พวกลูกๆ เห็นในมโนมยิทธินานมาแล้วว่า วันนิพพานของหลวงพ่อจะมีอากาศมัว มืดครึ้ม ตรงตามความจริงที่เห็นในวันนั้น
ตกกลางคืนข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ที่จะเอาจิตมากราบหลวงพ่อ เพื่อถามเรื่องราวการเจ็บป่วยของหลวงพ่อที่เป็นเหตุให้หลวงพ่อมรณภาพ
ข้าพเจ้าได้เอาจิตมากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบารมีเพื่อทำจิตมากราบหลวงพ่อ ตามแบบฉบับที่หลวงพ่อได้สอนไว้
มาถึงก็พบว่าหลวงพ่อนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงพอสมควร บัลลังก์ก็มีลายสลักเป็นสีทองงดงามมาก ท้องพระโรงใหญ่โตมาก ทำด้วยแก้วสวยมาก
หลวงพ่อเองก็แต่งทรงแบบเทวดา มีเครื่องประดับมากมาย แพรวพราวไปหมด แต่เห็นไม่นานหลวงพ่อก็เปลี่ยนรูปมาเป็นรูปพระภิกษุทันที
ข้าพเจ้าก็รู้สึกแปลกใจมาก หลวงพ่อมองมาทางข้าพเจ้าแล้วก็ยิ้ม ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าท่านจะคุยกับข้าพเจ้า ท่านก็เลยกวักมือให้ข้าพเจ้าเข้าไป
แล้วท่านก็พูดว่า เข้ามาลูก สบายดีหรือ ขณะที่เข้าไปกราบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเห็นมีญาติโยม และลูกศิษย์ของหลวงพ่อมากราบหลวงพ่ออยู่แล้วหลายท่าน
เลยทำให้ข้าพเจ้าไม่กล้ารบกวนหลวงพ่ออีก
ท่านเลยพูดว่า พ่อแยกจิตคุยได้ ขอให้มานิพพานนะ ข้าพเจ้าฟังหลวงพ่อพูดและให้พรแล้วก็ลาท่านกลับลงมาจากนิพพาน
จะมากราบหลวงพ่ออีกวันหน้าต่อไป
ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่สำรวมจิตให้สงบ เพื่อจะไปหาหลวงพ่ออีกดังที่เคยปฏิบัติมา ทำให้จิตสงบสักพักแล้วก็ผ่อนลงมา เพื่อจะเอาจิตขึ้นนิพพาน
ขณะที่ผ่อนจิตลง ข้าพเจ้าตกใจที่มีเสียงขึ้นว่า หมอ จะถามอะไรก็ถามมา
ก็ทราบทันทีว่าหลวงพ่อมาหาข้าพเจ้า นั่งบนเก้าอี้ข้างหน้าของข้าพเจ้า หลวงพ่อยิ้มใหญ่เลย แต่งตัวเป็นพระภิกษุ ข้าพเจ้าก็เอาจิตก้มลงกราบทันที
แล้วก็พูดกับหลวงพ่อ ขอบพระคุณหลวงพ่อที่มีเมตตาต่อลูก อุตส่าห์มาหาลูกถึงบ้าน และคิดว่าคืนนี้จะคุยกับหลวงพ่อนานๆ
เพราะไม่มีคนอื่นที่จะแย่งคุยกับหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีโอกาสแบบนี้เลยที่จะคุยกับท่านตัวต่อตัว
ข้าพเจ้าเริ่มถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ หลวงพ่อเป็นโรคอะไรถึงได้มรณภาพอย่างรวดเร็วครับ
หลวงพ่อตอบ เป็นโรคหัวใจวาย มีโรคปอดบวมแทรก
ก่อนทำสมาธิเพื่อจะเอาจิตมาคุยกับหลวงพ่อ ได้ตั้งใจจะถามหลวงพ่อว่า ทำไมหลวงพ่อด่วนจากเราไปเร็วนัก
หรือว่าหลวงพ่อมีเหตุบางอย่างที่จะต้องจากไปคราวนี้
ข้าพเจ้าถามหลวงพ่อ หลวงพ่อครับ ทำไมหลวงพ่อไม่กลับเข้าร่างอีกครับ
หลวงพ่อตอบ กลับเข้ามาแล้ว มันไม่มีความรู้สึกเลย มันตื้อไปหมด รับอะไรไม่ได้เลย
ข้าพเจ้าถามหลวงพ่อต่อไปอีก หลวงพ่อคงจะกลับเข้าร่างหลายครั้งใช่ไหมครับ
หลวงพ่อตอบ ใช่พยายามเข้าหลายครั้ง ทุกครั้งก็มีความรู้สึกเหมือนเดิม
หลวงพ่อเล่าว่า เมื่อรู้ตัวว่าตายแน่แล้วก็มากราบพระพุทธองค์ว่า กลับเข้าร่างไม่ได้
พระพุทธองค์ก็บอกว่า ถ้ากลับมาไม่ได้ก็มาอยู่เสียข้างบนก็แล้วกัน
หลวงพ่อยังเล่าต่อไปว่า เอาจิตมาวนเวียนดูหมอกับพยาบาลเขามารักษาหลวงพ่อและลูกศิษย์รอบๆ ข้างหลวงพ่อ
ข้าพเจ้าสนทนากับหลวงพ่อเพียงเท่านี้ ใจหนึ่งก็ยังอาลัยถึงหลวงพ่อ นึกไม่ถึงว่าท่านจะจากพวกเราไปเร็วเหลือเกิน ถ้าหลวงพ่อยังอยู่พวกเราก็อบอุ่น
พร่ำสอนลูกๆ อยู่เสมอ ท่านสอนได้ทั้งทางโลกและทางธรรม พวกลูกๆ ทราบอยู่เสมอว่า หลวงพ่อป่วยหนักทุกครั้ง
บางครั้งลูกๆ เป็นห่วงมากเหมือนกับท่านจะไม่กลับมา แต่ท่านก็หายดีและปลอดภัยทุกครั้ง ทั้งนี้เพราะบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยการบอกเล่าของหลวงพ่อเอง ถ้าข้าพเจ้าจะไปถามพระพุทธองค์เรื่องนี้ ก็คงจะได้ความกระจ่างอย่างแน่นอน
ตามธรรมดาข้าพเจ้าก็ได้รับความเมตตาจากพระพุทธองค์อยู่เสมอ เพราะข้าพเจ้าจะขึ้นไปเฝ้าพระพุทธองค์เกือบทุกวัน
เพื่อขอพรและขอบารมีเพื่อนำมารักษาคนไข้ บางครั้งก็เป็นปัญหาธรรมะ ที่ข้าพเจ้าอ่านจากหนังสือแล้วไม่เข้าใจ พระองค์ก็อธิบายให้ฟัง
เมื่อข้าพเจ้ามาถึงพระพุทธองค์แล้วก้มลงกราบ ๓ ครั้ง แล้วก็เริ่มถามพระองค์เกี่ยวกับการมรณภาพของหลวงพ่อว่า พระพุทธองค์ครับ
ทำไมพระองค์ไม่ช่วยให้หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ต่อไปล่ะครับ
พระพุทธองค์ตอบ เธอจะเอาอะไรกันมากมายนัก ไม่สงสารพ่อเธอหรือ การงานสงฆ์ก็เกือบเสร็จหมดแล้ว
ข้าพเจ้าพอได้ยินพระพุทธองค์ตรัสแบบนี้ ข้าพเจ้าเลยนิ่งเงียบทันที ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ยินพระองค์ตอบด้วยเสียงหนักแน่น
แต่ใจหนึ่งก็ทราบว่าพระองค์มีเมตตาต่อข้าพเจ้าเลยยังนั่งต่อพระบาทของพระองค์ยังไม่ลากลับ เพราะข้าพเจ้ายังต้องการถามพระพุทธองค์ต่อไปอีก
แล้วข้าพเจ้าก็ถามอีกแบบตาละห้อยว่า ทุกครั้งหลวงพ่อเจ็บไม่สบาย พุทธองค์ช่วยไว้เสมอ
แต่คราวนี้ก็พระพุทธองค์จะช่วยอีกครั้งไม่ได้หรือครับ
พระพุทธองค์ตอบ ทุกครั้งที่พ่อเธอรอดชีวิตมาได้เป็นกำลังใจของพ่อเธอต่างหาก ฉันเพียงแต่ช่วยนิดหน่อยเท่านั้น
พอพระพุทธองค์พูดจบ ข้าพเจ้าก็เข้าใจต่อการเมตตาของพระพุทธองค์แล้วก็กราบลาท่านกลับลงมา
คราวหนึ่งข้าพเจ้าและภรรยาได้เดินทางโดยรถยนต์ไปอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งก็มีเวลานั่งคุยกันนาน เรื่องที่คุยกันก็เป็นเรื่องการจากไปของหลวงพ่อ
เพราะท่านได้มรณภาพไปไม่นานกี่วันนัก
ภรรยาของข้าพเจ้าเป็นห่วงเกี่ยวกับวัดท่าซุง คิดว่าต่อนี้ไปคงจะมีลูกศิษย์ไปทำบุญที่วัดน้อยลงกว่าสมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ เขาก็เลยนึกขึ้นมาเองว่า
ถ้าหลวงพ่อแสดงปาฏิหาริย์หรือแสดงฤทธิ์ ประชาชนเขาทราบก็คงจะมาทำบุญที่วัดกันมากๆ ทีเดียว
ภรรยาของข้าพเจ้าก็พูดขึ้นมาดังๆ เพื่อให้หลวงพ่อได้ยิน หลวงพ่อคะ หลวงพ่อต้องทำให้ผมยาว เล็บยาวออกมา
พอเขาพูดจบสักครู่หนึ่งหลวงพ่อก็ตอบมาทันที แต่ภรรยาของข้าพเจ้าไม่ได้ยิน
ท่านบอกว่า แล้วจะมาตัดให้หรือ สักพักท่านพูดอีก แต่ข้าพเจ้ารับไม่ได้
ภรรยาของข้าพเจ้ารับได้ ท่านบอกว่า แล้วจะมีดีกว่านี้อีก พอภรรยาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าท่านตอบแบบนี้ก็แปลกใจมาก
และก็ดีใจมาก หลวงพ่อของเราคงจะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ลูกๆ เห็นแน่ แต่ก็ต้องติดตามข่าวทางเมืองไทยต่อไป
สองสามอาทิตย์ต่อมา ข้าพเจ้าก็ติดต่อกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อ เพราะอยากทราบว่าอะไรจะเกิดกับตัวของหลวงพ่อซึ่งบรรจุไว้ในโลงแก้ว ผลที่สุดก็ได้รับจดหมายจากคุณเดือนฉาย (คุณเดือนฉาย คอมันตร์) ว่าเล็บและผมของหลวงพ่อเริ่มยาวเหมือนยังมีชีวิตอยู่
พอข้าพเจ้าอ่านจบก็ดีใจมากว่า หลวงพ่อของเราได้แสดงฤทธิ์ให้ลูกดูแล้ว ตรงกับที่หลวงพ่อได้บอกไว้
ข้าพเจ้าได้อ่านจดหมายยังไม่จบก็ดีใจเสียก่อนแล้ว ตอนสุดท้ายคุณเดือนฉายบอกว่า ผิวหนังของหลวงพ่อเริ่มมีสีขาวนวล บางท่านกล่าวว่าเป็นเพราะมีเชื้อรามาเกาะ
คุณเดือนฉายกล่าวต่อไปว่า พยายามเอาน้ำยาพวกฆ่าเชื้อรามาเช็ดก็ยังไม่ออก พี่สมศักดิ์ (พล ต.ท. นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน) บอกว่า
ผิวของหลวงพ่อกำลังจะแปรสภาพเป็นพระธาตุ พออ่านจบก็ตรงกับความคิดของข้าพเจ้าทันที
เพราะข้าพเจ้าเคยเห็นหางพลูที่หลวงพ่อโยนมาให้กับภรรยาของข้าพเจ้าเมื่อ ๔ ปีมาแล้ว
ก่อนจะเริ่มเป็นพระธาตุเห็นมีขุยเหมือนเชื้อรามาเกาะก่อน ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนปูนขาวมาจับ แล้วก็จะแข็งเหมือนปูนขาวเลย ข้าพเจ้ามาคิดว่า
ที่หลวงพ่อพูดว่า แล้วจะมีดีกว่านี้อีก อาจจะเป็นปรากฏการณ์เกี่ยวกับผิวหนังขาวนวลนี้ก็ได้
วันหนึ่งก็มีโทรศัพท์มาหาข้าพเจ้า เขาบอกว่ามีข่าวด่วนจากเมืองไทย และเขาได้โทรศัพท์บอกถึงลูกๆ ของหลวงพ่อทุกๆ คนว่า หลวงพ่ออาจจะยังไม่ตาย
ท่านจะกลับเข้าร่างอีกภายในระยะเวลาอีก ๑ อาทิตย์ ข้าพเจ้าจำวันที่ไม่ได้ ถ้าเลยวันนี้แล้วก็จะไม่กลับมา
และขอให้ลูกทุกๆ คนตั้งจิตให้สงบ และส่งจิตสู่พระพุทธองค์ เพื่อให้ท่านประทานพุทธานุภาพช่วยให้หลวงพ่อกลับมาอีก
ข้าพเจ้าเต็มใจทำจิตให้สงบทุกอย่างที่แนะนำมา ไม่เพียงทำสมาธิ จะเป็นวิธีอะไรที่จะช่วยให้หลวงพ่อฟื้นขึ้นมาได้ ข้าพเจ้าจะทำทุกอย่าง
แต่มาคิดอีกทีว่าหลวงพ่อได้สิ้นชีวิตไปแล้วตามหลักการแพทย์
และแพทย์ก็ได้พิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วว่าร่างกายของหลวงพ่อไม่มีชีวิตแล้ว ทำงานไม่ได้แล้ว เซลล์ของหัวใจและของสมองก็ตายแล้ว
หลวงพ่อจะกลับมาได้อย่างไร ดังนั้น ถ้าจะให้แน่นอนว่าหลวงพ่อจะกลับเข้าร่างหรือเปล่าก็ไปคุยกับหลวงพ่อดีกว่าจะได้รู้เรื่องจริงเสียเลย
ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตตามแบบหลวงพ่อสอนมา แล้วก็มาถึงชั้นนิพพานทันที แล้วก็กราบหลวงพ่อและถามท่านว่า หลวงพ่อครับ ลูกๆ
เขาพูดกันว่า หลวงพ่อจะกลับเข้าร่างอีก จริงหรือเปล่าครับ
พอหลวงพ่อได้ยินข้าพเจ้าถาม ท่านนิ่งเงียบ ไม่ยอมตอบอะไรเลย จากนั้นข้าพเจ้าไม่กล้ารบกวนถามอะไรอีก
ก็กราบลาท่านกลับลงมา
ท่านผู้อ่านก็คงจะเดาได้ว่าข้าพเจ้าจะไปถามใครอีกเรื่องของหลวงพ่อ ก็คงจะไม่พ้นพระพุทธองค์อีก เพราะพระพุทธองค์เท่านั้นที่เป็นพระสัพพัญญู
รู้หมดทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม
แล้วข้าพเจ้าก็เข้ามากราบพระพุทธองค์บนพระนิพพาน
ข้าพเจ้ากราบเรียนถามว่า พระพุทธองค์ครับ หลวงพ่อจะกลับเข้าร่างอีกใช่ไหมครับ
พระพุทธองค์ตอบว่า เป็นไปได้ยาก
เมื่อข้าพเจ้าได้ยินพระองค์ตอบเช่นนี้ข้าพเจ้าก็เข้าใจแล้ว และไม่ถามอะไรอีก สักพักพระองค์ก็ตรัสเสริมมาอีกว่า
เรื่องไม่ใช่เรื่องของฉัน ไปถามสมเด็จองค์ปฐมก็แล้วกัน
คุณสมคิด วงศ์วาน ลูกศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่ง เคยเล่าเรื่องของหลวงพ่อ ให้ข้าพเจ้าฟังว่า
ครั้งหนึ่งหลวงพ่อมาอเมริกาที่เมืองชิคาโก ได้พูดกับคุณสมคิดว่า ถ้าฉันตายแล้ว จะมาช่วยพวกเธอได้มากกว่าที่ฉันยังมีชีวิตอยู่
เรื่องนี้เห็นจะจริงดังหลวงพ่อพูดไว้ เพราะลูกศิษย์ของหลวงพ่อมากมายเป็นหมื่นเป็นแสน ถ้าจะมากราบเรียนหลวงพ่อทุกคน หลวงพ่อคงจะรับแขกไม่ไหวแน่
ถ้าหลวงพ่อเอาจิตมาช่วยก็คงจะได้ครบทุกคนเพราะหลวงพ่อแยกจิตได้
เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่หลวงพ่อมีจิตเมตตา มาช่วยข้าพเจ้าได้ทันเหตุการณ์ที่เกิดแก่ข้าพเจ้า
วันหนึ่งข้าพเจ้าเดินทางรถยนต์ไปเรียนหนังสือที่ประเทศแคนาดา ซึ่งข้าพเจ้าจำเป็นต้องไปเดือนนั้น กำลังมีหิมะตกมากพอสมควร
ขณะที่กำลังขับรถยนต์อยู่ก็มีรถบรรทุกขนาดใหญ่มากแซงขึ้นหน้าไป เพราะเขาเห็นว่าข้าพเจ้าขับรถยนต์ช้า ซึ่งวันนั้นข้าพเจ้าขับรถยนต์เร็วไม่ได้
เพราะมีรถกวาดหิมะอยู่ข้างหน้า จะแซงรถยนต์กวาดหิมะก็ไม่ได้ รถบรรทุกก็เลยแซงรถยนต์ของข้าพเจ้าทันที
แล้วมาเบียดรถรถยนต์ของข้าพเจ้าเกือบตกถนน โดยข้าพเจ้าเหยียบเบรกเบาๆ แล้วในใจก็พูดให้หลวงพ่อช่วยด้วย เป็นอันว่า
รอดจากอุบัติเหตุได้อย่างหวุดหวิด
วันต่อมาข้าพเจ้าได้นั่งสมาธิคุยกับหลวงพ่อ เล่าเรื่องเกี่ยวกับรถยนต์เกือบตกถนน ท่านเล่าว่าท่านนั่งอยู่เบาะหลัง
ท่านบอกว่ารู้แล้วจะเกิดอุบัติเหตุ ท่านเป็นผู้ปัดรถยนต์ออกไป ถึงได้แคล้วคลาดมาได้
เรื่องความเมตตาของหลวงพ่อนั้นเป็นหนึ่งเสมอ จะพยายามช่วยลูกๆ อยู่เสมอ โดยใช้ทิพยจักขุญาณและพลังอำนาจของหลวงพ่อ คอยสอดส่องดูแลทุกๆ ทุกคน
ข้าพเจ้าออกกำลังโดยวิ่งตามถนนใหญ่เกือบทุกวัน ข้าพเจ้ามักจะฝึกทำสมาธิขณะวิ่งไปด้วย เพราะเคยฝึกมาแล้วขณะเดิน, ยืน, นั่งและนอน
เลยอยากรู้ว่าขณะวิ่งจะทำสมาธิได้ไหม ปรากฏว่าทำได้เหมือนกัน
ข้าพเจ้าเอาจิตออกมาดูรอบๆ ตัวเห็นพวกผีวิ่งตามกันเป็นพรวนเลย ก็มารู้ทีหลังว่าเขามาขอส่วนกุศลหรือมาขอส่วนบุญนั่นเอง
เมื่อข้าพเจ้าวิ่งเสร็จแล้ว ก็ต้องมาแผ่เมตตาทุกครั้งที่ข้าพเจ้าวิ่งเสร็จ โดยแผ่ให้ทุกๆ ท่านรวมทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของข้าพเจ้าในชาตินี้ด้วย
และท่านทั้งสองจะมาเสมอ ขณะที่ข้าพเจ้าแผ่ส่วนกุศลให้
ข้าพเจ้าวิ่งทุกเย็น ขณะที่วิ่งอยู่หลวงพ่อก็ลอยตามข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าเลยหยุดวิ่งแล้วเอาจิตกราบท่าน
ขอบพระคุณหลวงพ่อที่ยังอุตส่าห์มาคุ้มครองข้าพเจ้าถึงแม้ขณะออกกำลัง แล้วหลวงพ่อท่านก็หายไป
เมื่อข้าพเจ้าวิ่งเสร็จ ข้าพเจ้าก็แผ่ส่วนกุศลอีกเป็นปกติ แผ่ให้คุณพ่อและคุณแม่ ท่านทั้งสองก็มาตามเคย
แต่คราวนี้พิเศษกว่าธรรมดาๆ ขณะที่ข้าพเจ้าแผ่ส่วนกุศลให้คุณพ่อและคุณแม่เสร็จ หลวงพ่อท่านมาทันที มายืนอยู่ แล้วท่านทั้งสองก็กราบหลวงพ่อทันทีพร้อมๆ กัน
เป็นอันว่าหลวงพ่อมาให้พร แผ่บารมีและเมตตาต่อผู้บังเกิดเกล้าของข้าพเจ้า
การสูญเสียหลวงพ่อครั้งนี้ทำลูกๆ เสียใจเศร้าโศก ร้องไห้ไปตามๆ กัน รวมทั้งข้าพเจ้าและภรรยาของข้าพเจ้าด้วย เพราะได้โทรศัพท์ไปหลายบ้านที่สหรัฐอเมริกา
ทุกท่านก็คุยกันแบบไม่ปิดบังกันเลยว่า น้ำตาซึมกันทุกคน มีอยู่วันหนึ่งภรรยาของข้าพเจ้าได้โทรศัพท์บอกข่าวการมรณภาพของหลวงพ่อ ให้ลูกสาวของข้าพเจ้าทราบ
ซึ่งอยู่อีกเมืองหนึ่ง พอเขาทราบเขาก็ตกใจ และคุณแม่ของเขาพูดไปก็ยังมีเสียงสั่น ยังไม่สร่างจากการร้องไห้
พอลูกสาวรู้ว่าคุณแม่ของเขาเสียใจและไม่สบายใจ เขาก็เลยปลอบใจคุณแม่ของเขาว่า คุณแดง (เขาเรียกคุณแม่ว่าคุณแดง) เสียใจไปทำไม หลวงพ่อท่านไปอยู่ที่ดีแล้ว
สบายแล้วบนพระนิพพาน แม่กับลูกคุยกันสักพักแล้วก็วางโทรศัพท์
วันต่อมาลูกสาวข้าพเจ้าโทรศัพท์มาหาคุณแม่ของเขาอีก โดยเขาเองก็ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องขำของคุณแม่และข้าพเจ้าด้วย
เขาบอกว่าเขาต้องเอาจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน เพื่อไปกราบขอขมาหลวงพ่อเรื่องที่เขาทำผิด ที่ไม่ได้เคารพหลวงพ่อ โดยเขาไม่ได้ร้องไห้เลย
คราวเมื่อหลวงพ่อได้มรณภาพครั้งนี้ เขาบอกว่าหลวงพ่อยิ้มแล้วบอกเขาว่า อีหนู ทำดีแล้ว ทำใจให้สบายนั้นถูกต้องแล้ว
เรื่องการเสียใจจากการที่หลวงพ่อได้จากพวกเราไปก็เรื่องธรรมดา เกิดได้ทุกท่าน ทั่วทุกหนทุกแห่ง มีคราวหนึ่งพอคุยกับหลวงพ่อเสร็จ
ท่านก็สั่งว่า หมอช่วยไปบอก...(ลูกศิษย์หลวงพ่อที่เป็นพระภิกษุองค์หนึ่ง และโยมอุปัฏฐากหญิงท่านหนึ่ง) ว่าอย่าให้เสียใจมากนัก
โดยเฉพาะโยมผู้หญิงอาจจะไม่สบายก็ได้
และข้าพเจ้าก็ได้เขียนจดหมายไปบอกท่านทั้งสองตามที่หลวงพ่อสั่งมาแล้ว
ก่อนนอนข้าพเจ้ามักทำสมาธิเกือบทุกวัน บางคืนก็ทำไม่ได้ เพราะทำงานเหนื่อยเหลือเกิน พอข้าพเจ้าเริ่มมีจิตสงบพอสมควร ก็เห็นในจิตว่า
หลวงพ่อมาทันทีและก็พูดกับข้าพเจ้าว่า หมอ ออกมาคุยกันดีกว่า ข้าพเจ้าก็ดีใจเพราะวันนี้หลวงพ่อมาชวนข้าพเจ้าคุยด้วย
แล้วท่านก็เดินออกมาที่ห้องรับแขก นั่งบนเก้าอี้ แล้วข้าพเจ้าก็ตามท่านมา แต่ไม่ได้เอาตัวเนื้อออกมา เพียงเอาแต่จิตออกมา แล้วก็ก้มลงกราบต่อหน้าท่าน
ท่านก็ยิ้ม หลวงพ่อแต่งตัวเป็นพระภิกษุตามเคย
ข้าพเจ้าก็พูดกับหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ หลวงพ่อมาหาผมบ่อยๆ คนอื่นเขาก็ไม่ได้คุยกับหลวงพ่อใช่ไหมครับ
หลวงพ่อตอบว่า ลูกคนไหนขี้เกียจก็ไม่ไปหา ความจริงหลวงพ่อท่านพูดเล่นเท่านั้น
เพราะหลวงพ่อท่านแยกจิตมาหาลูกทุกคนได้อยู่เสมอแล้ว
ข้าพเจ้าก็หาเรื่องต่างๆ มาถามหลวงพ่อเท่าที่จะนึกได้ เพราะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้คุยกับหลวงพ่อได้นาน
เพราะสมัยที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ไม่มีโอกาสจะได้คุยมากนัก เพราะข้าพเจ้าไม่มีเวลามากนักที่จะมาเที่ยวบ้านเกิดของข้าพเจ้า
หลวงพ่อเคยสอนว่า ความตายนั้นมีหลายชนิด เช่น ตายเพราะหมดอายุ ตายเพราะหมดกรรม ตายเพราะมีกรรมมาตัดรอน
พอนึกมาได้ก็เลยถามหลวงพ่อ หลวงพ่อครับ การตาย (มรณภาพ) ของหลวงพ่อจัดอยู่ในประเภทไหนครับ
ท่านตอบว่า หมดกรรม
หลวงพ่อท่านอธิบายต่อไปว่า กรรมดีของหลวงพ่อมีมากเกินจะอยู่เป็นมนุษย์ ควรจะเสวยสุขในพระนิพพาน หลวงพ่อยังบอกต่อไปว่า
สมเด็จท่านต่ออายุให้พ่อมาหลายหนแล้ว ข้าพเจ้าก็พอจะเข้าใจบ้าง หลวงพ่อหมายถึงว่า ถ้าหลวงพ่อยังไม่มรณภาพหรือนิพพาน ท่านจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีก
ข้าพเจ้าก็เลยถามหลวงพ่อเรื่องอื่นต่อไป ข้าพเจ้าเป็นห่วงวัดของเรา เลยถามหลวงพ่อเกี่ยวกับเจ้าอาวาสของวัด ถ้าไม่ใช่พระที่หลวงพ่อแต่งตั้งก็คงจะลำบาก
ถ้าได้เจ้าอาวาสไม่ดีมาอยู่ก็ยุ่งทีเดียว ข้าพเจ้าถามหลวงพ่อว่า