"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่มพิเศษ (ตอนที่ 5 )
webmaster - 18/10/11 at 15:44
ลูกศิษย์บันทึก เล่มพิเศษ
จัดพิมพ์โดย..คุณ อินทิรา สังขพิทักษ์ และคุณ มาลิดา ปานทวีเดช
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )
☺....ทางทีมงานฯ ขอเสนอข้อมูลที่นับวันจะหายาก นั่นก็คือ "จดหมายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ" ที่ท่านได้ตอบกับบุคคลต่างๆ
ที่เคารพนับถือท่าน สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่เจริญ จำเป็นต้องอาศัยการโต้ตอบทางจดหมาย นับว่าดีที่สุดในสมัยนั้น ซึ่งจะเป็นการตอบด้วยตนเองของหลวงพ่อฯ
ต้นฉบับจะเป็นการพิมพ์ดีดของท่านเอง สมัยก่อนในห้องส่วนองค์ของท่านที่วัดท่าซุง จะมีเครื่องพิมพ์ดีดวางอยู่ นั่นคือเป็นแหล่งที่มาของหลักฐานต่างๆ เหล่านี้
......ด้วยเหตุนี้ ทางทีมงานฯ ขอขอบคุณและอนุโมทนาในความวิริยะอุตสาหะของ คุณ อินทิรา สังขพิทักษ์ และคุณ มาลิดา ปานทวีเดช
ที่ได้ใช้เวลาว่างจากงานประจำ แล้วช่วยพิมพ์ส่งมาให้ลงให้อ่านกันเป็นตอนๆ หวังว่าผู้ชมทางเว็บไซด์วัดท่าซุงทุกท่าน
คงจะได้ความรอบรู้และเข้าถึงลีลาการตอบจดหมายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้เป็นอย่างดี
จดหมาย จาก หลวงพ่อ รวบรวมโดย พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ (30 ม.ค. 2535)
หนังสือ จดหมายจากหลวงพ่อ นี้ท่านเขียนถึงข้าพเจ้าบ้าง ถึงภรรยาของข้าพเจ้า (คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา
หรือคุณอ๋อย) บ้าง ถึงบรรดาศิษย์ทุกคนบ้าง มีข้อความบอกให้ทราบกิจกรรม และอุปสรรคในการสร้างวัดท่าซุง (การสร้างเพิ่มเติมจากของเก่า) เป็นบางตอน
บางฉบับก็เป็นคำสอน
นอกจากพิมพ์ขึ้นเพื่อให้เป็นหลักฐานในทางประวัติแล้วยังมีความประสงค์ให้จัดจำหน่ายเป็นรายได้สำหรับทำนุบำรุงวัดจันทาราม (ท่าซุง)
ให้ยั่งยืนต่อไปสมกับที่หลวงพ่อได้ลงทุนลงแรงในการสร้างเพื่อส่งเสริม และดำรงพระพุทธศาสนาไว้ ขออนุโมทนากับท่านผู้บริจาคเงินซื้อด้วย
พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์
30 ต.ค. 2535
หมายเหตุ บางคนเคยกล่าวหาว่าหลวงพ่อเป็นคอมมิวนิสต์บ้าง ค้าไม้เถื่อนบ้าง ข้อความในจดหมายจะแสดงให้เห็นว่าความจริงเป็นอย่างไร
สารบัญ
98. จดหมายวันที่ 16 กรกฎาคม 2506
99. จดหมายวันที่ 16 พฤษภาคม 2516
100. จดหมายวันที่ 17 กรกฎาคม 2516
101. จดหมายวันที่ 12 สิงหาคม 2516
102. จดหมายวันที่ 17 สิงหาคม 2516
103. จดหมายวันที่ 7 ตุลาคม 2516
104. จดหมายวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2517
105. จดหมายวันที่ 14 มีนาคม 2517
106. จดหมายวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2517
107. จดหมายวันที่ 22 สิงหาคม 2517
108. จดหมายวันที่ 19 สิงหาคม 2517
109. จดหมายวันที่ 24 กรกฎาคม 2518
110. จดหมายวันที่ 31 ธันวาคม 2518
111. จดหมายวันที่ 30 เมษายน 2523
01. พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโน
02. พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร
03. พระปลัดวิรัช โอภาโส
04. สุวิทย์ สวรรค์กสิกร
05. สงกรานต์ สมบูรณ์ศฤงค์ ( ตอน 1 )
สงกรานต์ สมบูรณ์ศฤงค์ ( ตอน 2 )
สงกรานต์ สมบูรณ์ศฤงค์ ( ตอน จบ )
98
16 กรกฏาคม 2506
วันนี้ พบท่านมหากัจจายนะ แล้วพบพระกาฬ ถามว่า ท่านเป็นพระกาฬใช่ไหม
ท่านตอบว่าใช่
บอกว่าเอาชีวิตฉันออกจากร่างทีได้ไหม ฉันเกลียดกายฉัน
ท่านหัวเราะแล้วพูดว่าเรื่องเกิดเรื่องตายเป็นกฎของกรรม พระกาฬไม่เกี่ยว แล้วท่านก็หลีกไป
เมื่อกลับไปพบท่านมหากัจจายนะใหม่ ท่านสอนให้ทำจิตให้มั่นคง ถามท่านว่า วันนี้จะได้พบสมเด็จไหม
ท่านบอกว่าประเดี๋ยวรออยู่ครู่หนึ่งก็ได้พบท่าน ทรงสอนว่า เพื่อความเป็นพระโสดาบันของเธอจงปฏิบัติตามนี้
1. ก่อนฉันอาหารให้พิจารณาอาหารให้เห็นเป็นของน่าเกลียด
2. ให้เจริญอสุภกรรมฐานให้มาก เพื่อตัดราคะ
(จบแค่นี้ คงจะหายไปเสีย 1 หน้า)
99
16 พฤษภาคม 2516
วันนี้ได้ทราบจากคนให้บวชพระว่า คนที่จะให้บวชที่อยู่ อ.สรรค์บุรี แกบวชเสียแล้วและจะขอมาอยู่ที่วัดตามที่ตกลงไว้ก่อนบวช
อาตมาเลยบอกปฏิเสธไม่ยอมรับ เพราะแกมาบอกให้บวช และก็จัดหาเจ้าภาพให้ แต่แกกลับหาทางบวชตัวเอง โดยไม่แจ้งให้ทราบก่อน รวมทั้งผู้ปกครองก็ไม่ดี
เมื่อลูกจะละเมิดสัญญา พ่อแม่ควรยับยั้งหรือมาแจ้งให้ทราบ แต่แกไม่ได้ปฏิบัติอะไรสักอย่าง เห็นว่าแกไม่เป็นเรื่องทั้งชุด จึงบอกปฏิเสธ ไม่ยอมให้มาอยู่ร่วม
ขอท่านเจ้ากรมกรุณาบอกบรรดาท่านเจ้าภาพบวชพระด้วยว่า คนที่จะบวชเป็นพระที่ว่ามีไว้ 6 รายนั้น บัดนี้เหลือ 5 ราย แต่ทว่า 5 รายนี้
ยังไม่ได้เข้าวัดเป็นนาค จะเข้าต่อเมื่อถึงวันที่ 1 มิถุนายน ฉะนั้นขอให้บรรดาเจ้าภาพทุกท่าน อย่าเพ่อซื้ออุปกรณ์บวช
ขอให้รอจนกว่าบรรดาพวกที่จะบวชเข้าวัดครบตัวแล้วจึงค่อยซื้อด้วยถ้าซื้อแล้วถ้าบังเอิญโดนนาคเบี้ยวแบบนายคนที่บอกมาจะกลายเป็นซื้อเหลือไป
วันนี้ ผู้จัดการธนาคารออมสินมาหา ถามว่า ฤาษีลิงดำ คนเดียวกับท่านหรือเปล่า แกแจ้งด้วยว่าทางออมสิน อ.เสนาเขาถามมา
เลยบอกว่า ลิงดำก็ลิงดำ ฉันก็ฉัน ไม่เกี่ยวกัน แต่รู้จักกันดี
เขาจะแจ้งไปทางเสนาเวลานั้น ที่ไม่บอกความจริงก็เพราะว่า ทางวัดเดิมมันไม่รู้จักรักษาความดีของหลวงพ่อปาน ปล่อยของดีทั้งหมด เมื่อทราบว่ามีดี
มันก็จะทำให้เหนื่อย คนพวกนี้เข็ดความประพฤติของมันมาแล้ว เลยไม่อยากให้ทราบความจริง
ถ้าเขามาถามหรือถามมาทางนี้ ก็ตอบว่า ถามท่านเองก็แล้วกันขี้เกียจไปยุ่งกับมัน เพราะมันกำลังหาเงิน
เกรงว่าเงินจะละลายไปไม่มีประโยชน์กับพระศาสนาตามควร ด้วยเขาจะตั้งมูลนิธิ
เรื่องมูลนิธินี้หลายวัดมาแล้ว ตามหัวเมือง เงินละลายหายสูญหาที่ไปไม่ได้หลายวัดแล้ว จึงไม่อยากสนับสนุนเรื่องนี้ สู้มีแล้วสร้างให้หมดดีกว่า
ไม่ช้ำใจเรื่องเงินสงฆ์หาย และก็พวกบางนมโค อ.เสนานี่แหละ ที่มันจะฮุบเงินสมัยหลวงพ่อปาน ครั้นไปทวงถามเขา มันก็ประกาศตนเป็นศัตรู คนเช่นนั้น
สมัยนี้ยังมีตัวตนอยู่
ถ้ารวมเงินเป็นก้อน สมภารปัจจุบันอยู่ในอำนาจของนายก เรื่องการเงินในรูปเดิม อาจกลับมาอีก คือเป็นเงินสงฆ์ไม่นานเงินส่วนนี้ก็จะกลายเป็นเงินชาวบ้านไป
เมื่อพามาถามจึงปฏิเสธส่งไปเลย เพื่อป้องกันการรบกวน
◄ll กลับสู่สารบัญ
100
17 กรกฎาคม 2516
เมื่อวันเดินทางกลับตั้งใจจะลงมาพบก่อนออกเดินทาง แต่ทว่าอาการทางกายมันคงไม่ดีด้วยได้ยินเสียงตีระฆัง ครั้งแรกตื่น แต่ฟังเพลินไปหน่อย หลับอีก
และแถมหลับตอนเช้าอีกวาระหนึ่ง คือเวลาที่ให้ศีลแก่ประชาชนที่มาทำบุญเขาอาราธนาศีลอุโบสถให้เพียงมุสาเลยหลับไปอีกหน่อย พอรู้สึกตัวให้ต่อไป ไม่ให้สุราฯ
มาจับเอาตอนวิกาลฯ เลย ชาวบ้านหัวเราะชอบใจกันใหญ่
ตอนบ่ายพอพวกกรุงเทพฯ กลับหมด เวลาประมาณ 15 น. พอล้มตัวลงก็หลับต่อไปถึง 17 น. เป็นเวลาที่นัดกับพระว่าจะอธิษฐานพรรษาพอดี ทั้งนี้
เพราะรู้สึกตัวว่าเพลียมาก ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้ลงมาพบ และปรึกษาเมื่อก่อนออกรถมา
เรื่องที่จะหารือก็คือเรื่องเครื่องขัดหิน ไม่ทราบว่าคุณพูลสุขจัดหาแล้วหรือยัง ด้วยขณะนี้ทางช่างจะลงมือใช้แล้ว ถ้าหาได้กรุณาส่งมาด่วนด้วย
ถ้าหาไม่ได้จะได้จัดหาซื้อที่นี่ แต่ทราบว่าราคาแพงกว่าที่กรุงเทพฯ เมื่อไม่มีก็จำต้องซื้อ เพราะถ้าเช่ามีหวังขาดทุนนี้ด้วยคนให้เช่าเขาคิดราคาวันละ 100
บาท
งานของเราทำมีเวลาจำกัด เพราะพระทำ กว่าจะลงมือทำก็สาย และอาจจะเลิกเร็วด้วย ต้องทำวัตรสวดมนต์เย็น ใช้ของเขาวันละร้อย
กว่าจะเสร็จงานก็เห็นจะซื้อเครื่องได้ค่อนเครื่องหรือเต็มเครื่อง จึงตัดสินใจหาเอง
เรื่องอาคารสื่อสาร จะรื้อภายในไม่ช้านี้ ด้วยช่างบอกว่าจะว่างงานอีกไม่เกิน 15 วัน
คงทำรูปตามที่สมเด็จสั่งความจริงอาตมาลืมไปแล้วเมื่อท่านเจ้ากรมพูดอีกก็นึกได้ และเมื่อคืนวันที่ 16 ท่านเตือนว่า ต้องทำตามนั้น
ความประสงค์ของท่านมีอย่างเดียว คือไม่ให้ใครเหมือน และร้อนน้อย ด้วยหลังคาสูงไม่ใคร่ร้อน
ถามช่างแล้วทำได้ การออกมุขเป็นไปตามแบบไทยแท้ แต่ไม่มีมุขยื่นมากนัก ท่านบอกส่วนของท่านมาพร้อม สวยหรือไม่เป็นเรื่องของท่าน
ทำแบบครึ่งไม้ครึ่งตึก
ท่านบอก ว่างานเร็ว ราคาถูกกว่าตึกล้วน ท่านกะราคาประมาณ 2 แสนเศษ หรือ 3 แสน จะทำแบบค่อย ๆ ย่ำเท้า
ไม่เร่งให้เสร็จเรียบร้อยเร็ว ประเภทเป็นหนี้มาก แต่อาจจะทำเกินทุนไปบ้างพอไม่ลำบากใจ กำหนดเวลาแล้วเสร็จ ทำบ้างหยุดบ้าง คงไม่เกิน 24 เดือน เป็นอย่างช้า
ท่านว่าอย่างนั้น อย่างเร็วกี่เดือนท่านไม่ได้บอก
ไม่ทราบใครบอกว่า คุณอ๋อยจะตัดมดลูก อาตมาเห็นชอบด้วย ถ้าตัดมดลูกยาที่ให้มาก็ไม่ต้องใช้ เพราะยาที่ท่านให้มา เพื่อใช้กับมดลูก
ตัดเสียไม่ให้มันเป็นเลยก็ดีเหมือนกัน หมดเรื่องยุ่งยากภายหลังไม่ต้องนั่งคิดนอนคิดว่าเมื่อไรจะเป็น และไม่ต้องเสวยทุกขเวทนาเมื่อมันเป็นหมดห่วงไป
เมื่อตัดมดลูกแล้ว เรื่องสอบใหม่คงจะมีแต่การเป็นลมในบางโอกาส สบายกว่าปล่อยให้สอบทางมดลูก
101
12 สิงหาคม 2516
คุณอ๋อย
จดหมายที่ฝากคุณแป๋ะมาได้รับ และทราบความแล้ว เห็นใจคุณนะที่ยังจะต้องรักษาตัว และถูกเกณฑ์ให้เข้าสมาบัติบริดจ์
เป็นอันว่าเล่นไพ่แบบนี้ก็เอามันเป็นสมาธิ คือ ทรงอารมณ์อยู่ในตัวไพ่ แล้วเอาเป็นวิปัสสนา ที่ไพ่มันขึ้นมาแล้วทิ้งลงไปเล่นแล้วก็เลิกกลับบ้าน
ไม่มีไพ่ติดมือมาเลย มันเป็นอนิจจังที่ไม่คงอยู่บนมือตลอดกาล
ทุกขังต้องคอยจังหวะที่จะชนะ แล้วก็มีอาการเครียดทางกาย ต้องทนเมื่อย อนัตตาในที่สุดก็หาอะไรคงอยู่ไม่มีเลย เลิกแล้วต่างคนต่างไป ดีไม่ทะเลาะกัน
ก็เหมือนไปสู่สุคติไปแล้ว ทะเลาะกันก็เหมือนไปทุคติ ถ้าไม่มี ไม่เล่นเลยไม่มีทุกข์ เหมือนเรา ถ้าไม่เกิดเสียอย่างเดียว เรื่องยุ่งอย่างนี้ไม่มีเลย
แล้วจะเกิดมันทำอะไรต่อไปอีก
เรื่องพระ ไม่ขัดที่จะถวาย เต็มใจรับด้วยเจ้าของหวังบุญ เรื่องพิธีกรรมเป็นเรื่องของเจ้าภาพ ชอบอย่างไรควรทำอย่างนั้น มิฉะนั้นจะเกิดไม่สบายใจ
บุญอยู่ที่ทำแล้วสบายใจเรื่องของพระ ถ้าพิธีกรรมไม่เกณฑ์ให้ออกงิ้วเห็นว่าได้รับแล้ว จะเอาไปไว้ที่ไหนต้องพิจารณาภายหลัง เพราะพระโลหะหายง่าย
ถ้าไม่มีการระวังรักษาที่สมควร ในวาระแรกจะเอาเป็นพระประธานในหอกรรมฐานใหม่ก่อน ต่อเมื่อเห็นที่ใดควร จะพิจารณาทีหลัง
ตอบปัญหาท่านเจ้ากรม
ข้อหนึ่งถามมาไม่ชัด
ขอเดาตอบดังนี้ ผู้ที่จะโมทนาบุญได้โดยที่เจ้าของบุญไม่เจาะจงต้องเป็นปรัตทัตตูเปรต ที่มีกรรมเป็นอกุศลบางจ๋อยจริง ๆ
คือเกือบจะเป็นอสุรกายแล้ว จึงจะมีโอกาส ถ้าหากว่าจะขี้เกียจทำบุญ แล้วเที่ยวคอยโมทนา เห็นจะอานกันแน่ ด้วยต้องไปดักแด้ดักดานอยู่ในนรก และเปรตนานเกินพอดี
เมื่อโผล่ขึ้นมาเมืองมนุษย์ ถ้าไม่เคยมีศีลเลยก็เป็นคนไม่ได้ ต้องเป็นสัตว์ไปตลอดกาล ถ้าเคยมีศีลบ้างก็พอปะทัง เป็นคนประเภทไม่ใคร่เต็มบาทเมื่อเป็นคน
ไม่เคยมีทานบารมีมาเลยก็อดขนาดอาน หากินเองไม่ได้กิน มีทานบารมีบ้างพอเอาน้ำหล่อท้องบ้างพอควรอด ๆ อยาก ๆ ไม่เคยมีภาวนา อบรมใจบ้าง ก็โง่ดักดาน
ไม่เห็นมีอะไรดี ข้อนี้ความจริงหาคำถามไม่พบ เขียนลอย ๆ มาอย่างนั้นเอง
ข้อสอง สงสัยเรื่องเทวดาบริวาร
ข้อนี้ไม่ยาก เขาทำบุญประเภทเดียวกัน แต่ขาดวิหารทานที่อารมณ์เต็ม คำทำบุญสร้างวิหารทานเหมือนกัน แต่ทำประเภทเสียไม่ได้
ท่านบอกว่าเหมือนบอกบุญกฐินผ้าป่าที่ถวายพระจริง แต่คนถูกชวนจำใจทำมา อย่างนี้เป็นบริวารประเภทที่กล่าวมา มีบุญถึง แต่ขาดบ้านอาศัย ถ้าไม่เข้าใจถามมาใหม่
คำถามฉบับก่อนยังหาเวลาตอบไม่ได้ ด้วยยุ่งจิปาถะ รออีกนิด จะตอบให้ หรือจะลืมไปเลยก็ไม่ทราบ
◄ll กลับสู่สารบัญ
102
17 สิงหาคม 2516
เรื่องคุณเชิดพันธ์ (บุลสุข) ได้ยินคนเล่าว่าอย่างนั้น ก็ว่าไปตามเขา ไม่มีอะไรพิเศษ
เรื่องคุณวินัย สมเด็จท่านบอก ล่วงหน้ามาสามวันแล้วว่าจะมีคนหาเงินมาให้สองแสนบาท แต่ท่านไม่ได้บอกว่าจะให้เพื่อทำอะไร
ก็เลยเฉยไว้
พอคุณวินัยมา ก็เลยเดาเอาว่า คงเป็นคนคณะนี้ที่จะหาเงินสองแสนบาท เป็นเรื่องของการเดาปกติแล
เรื่องพระที่คุณอ๋อยส่งข่าวมา เมื่อจดหมายมาถึงสมองกำลังมั่ว อ่านไม่ถนัด วันนี้ทรงพระขี้จัด ท้องถ่ายไม่มีแรง เลยเอามาอ่านใหม่ ทราบว่าหน้าตักประมาณ 3
ศอก เอาเข้าสำนักใหม่ไม่ได้ คงต้องโชว์ไว้ที่ศาลาก่อน จะให้วัดเสริมศรีหรือ จดหมายถามไปว่าจะสร้างอาคารเพิ่มเติมให้เขาจะเอาไหม มันยังไม่ตอบมา
เวลาผ่านไป 2 อาทิตย์แล้วต้องดูไปก่อน ด้วยมันทราบว่า เมื่อเข้าไปทำ เกรงว่าจะไปไล่เบี้ยเรื่องผลรายได้ของวัด เจ้าพวกนี้ไว้ใจยากจะให้พระไป
ดีไม่ดีมันอาจร่วมมือกับขโมยตัดคอพระขายเสียก็ได้ ต้องดูพระที่ดีมาอยู่ก่อนจึงจะให้ไป และมีโบสถ์เรียบร้อยแล้ว คนเฝ้าดีก็ควรให้ไป
เรื่องคำถาม ขอตอบตามนี้ สมองงง อาจจะเฝือไปบ้าง จะลองตอบดู
1. ทานที่ส่งให้ปรัตทัตตูปชีวีเปรตนั้น แปลก่อน ปะระ หรือปะรัง (ซ้อน ต. เข้ามาตามแบบบาลี) แปลว่า ผู้อื่น ปชีวี แปลว่า
มีความเป็นอยู่เนื่องด้วย (คนอื่น) รวมปะระเข้ามา เปรต แปลว่าผู้ละไปแล้ว รวมความว่า คนที่จะไปแล้วและทรงความเป็นอยู่ด้วยผู้อื่น พวกนี้มีดี
แต่ดียังมาไม่ถึง และมีอกุศลบางมากแล้ว
จึงมีโอกาสที่จะโมทนา เพื่อความอยู่เป็นสุข เปรตฉลาดกว่าคนตรงที่รู้ผลที่ให้ว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป ใครให้บาปไปแก่ไม่รับ ด้วยแกกำลังมีบาป
ทำให้เป็นทุกข์ และบาปก็ยังไม่หมดตัว เหมือนคนที่กินยาพิษ แรงยาพิษให้โทษ ยังไม่หมดฤทธิ์ใครให้กินยาพิษอีกก็คงไม่ยอมกิน
ตัวอย่างที่ข้างวัดปากคลองมะขามเฒ่า เขาทำบุญให้คนตาย ออกไปเที่ยวเดินเล่น เห็นพระภูมินั่งเต๊ะท่าอยู่บนที่สูง (แท่น) ลูกน้องล้อมรอบสักสี่ห้าสิบคน
เสียงพระภูมิถามว่า บ้านโน้นเขาทำบุญกัน ใครไปมาบ้าง
เจ้าพวกผีทั้งหลายสัก 20 คน บอกว่า พวกผมไปมาครับ
พระภูมิถามว่า ได้อะไรมาบ้าง
พวกนั้นบอกว่า ไม่ได้อะไรเลย มันกินเหล้ากันทั้งบ้าน พระขึ้นบ้านมันก็ไม่สนใจ คนอาราธนาธรรมก็เมาเหล้าแห้ง เขาจะรับแต่บุญ ไม่ยอมรับบาป
การที่จะเหมาเอาว่าเขาไม่เคยทำดีเลยแล้วคอยนั่งรับดีจากคนอื่นสบายโดยไม่ต้องลงทุนนั้นยังไม่ตรงกับความจริง
คนที่เกิดมาแล้วยังไม่ทำดีเลยไม่มี ด้วยแม้แต่ชี้บอกทางแก่คนที่หาบ้านเพื่อนไม่พบก็ชื่อว่าเป็นความดี เอาเศษอาหารที่เหลือกินให้สัตว์เดรัจฉาน
แม้แต่จะไม่คิดว่าให้ทาน ให้เพราะไม่ต้องการก็จัดว่าเป็นความดี ทำไมความดีเพียงเท่านี้ คนที่เกิดมาในโลกจะไม่เคยทำบ้างหรือ ถ้าเคยทำบ้าง ชื่อว่าเขามีดี
แต่จะดีมาก ดีน้อยนั้นเป็นเรื่องของปริมาณหรือคุณภาพ
2. ปรัตทัตตูปชีวีเปรต เหตุที่มีโอกาสมโทนาก็เพราะมีความดีตามที่กล่าวมาแล้ว แม้ไม่เจาะจงก็มีโอกาสโมทนา
ถ้าอกุศลกรรมบางพอควรจะทำได้ ด้วยเปรตพวกนี้มีเวทนาเบา พอมีอารมณ์ที่จะโมทนาได้ ขอรวมข้อ (4) เข้าด้วยว่าใช่ตามที่ถามมา และข้อ (4) ที่ว่าจะผิดหรือตรงที่ใด
คงผิดไม่ได้เพราะเป็นพุทธพจน์
แต่อย่าลืมว่าต้องมีกรรมที่เป็นอกุศลบางแจ๋วจวนจะเป็นเทวดาอยู่แล้วเหลือเวลาอีกไม่นาน ถ้าไม่มีใครให้คงอดมาอดไป อีกไม่เกินสิบกัปก็เป็นเทวดาได้
ไม่เห็นมีอะไรยุ่ง เหมือนคนติดตารางมหันตโทษ คนเยี่ยมไม่ได้ ส่งอะไรให้ไม่ได้ ต่อมาโทษเบาลง เขาให้ออกมาเดินเพ่นพ่านด้านนอกห้องพิเศษ ญาติ
และเพื่อนเยี่ยมได้ เขาให้ของโดยตรงก็พอได้กิน
ทีนี้โทษเบามากใกล้จะออกจากเรือนจำ เป็นนักโทษชั้นดี พัสดีให้ออกมาทำงานภายนอกได้ คราวนี้แกก็มีโอกาสรับการสงเคราะห์ได้โดยไม่เลือกบุคคล
ใครก็ได้ที่ให้ของ แม้ไม่เจาะจง บอกว่าพวกนี้ทำงานดีมาก มากินของที่วางไว้ได้ แกก็มีโอกาสกินได้อย่างสบายโดยไม่ต้องออกชื่อแก
ตึกเสริมศรี ทำไปทำมา น่ากลัว 4 แสนไม่เสร็จ เพราะข้าวของมันแพงจัด แต่ว่าไม่เป็นไร ตกลงกับเจ๊กเจ้าของวัตถุก่อสร้างแล้ว
(เฉพาะของที่สั่งเป็นสินเชื่อได้) ตกลงว่า ถ้าชำระไม่หมด ห้ามทวง ห้ามถาม ห้ามปรารภ เขาตกลงทุกรายเสร็จแล้ว
คงเป็นอาคารแปลกสักหลังหนึ่งที่แบบไม่ใคร่เหมือนที่ชาวบ้านเขาทำ
◄ll กลับสู่สารบัญ
103
7 ตุลาคม 2516
คุณนาย
วันนี้ท่านเจ้ากรมคงเดินทางไปต่างประเทศแล้ว และคิดว่าปลอดภัยตลอดกาล จนกว่าจะกลับวันที่ 5 คุณเสริมศรี และส่งศรีพร้อมด้วยคณะมาค้างที่วัด 1 คืน
(ม.ร.ว.เสริมศรี เกษมศรี ม.ร.ว.ส่งศรี เกตุสิงห์) คุณอะไรจำชื่อไม่ได้ สนมคู่ใจของท่านผาเมืองมาด้วย คนนี้ตาดีมาก แกสามารถเห็นท้าวมหาชมภู
ซึ่งยืนคุมฉันอยู่บอกลักษณะ และทรวดทรงเครื่องอาภรณ์ได้ถูกต้อง และเห็นสมเด็จองค์ปฐมท่านคุมอยู่
แกบอกว่า เวลาพูดอะไร หลวงพ่อไม่ได้พูด สมเด็จพูดองค์เดียว จัดว่าแกเก่งมากควรสรรเสริญ
และน่าจะเป็นที่พึ่งของใครต่อใครได้เป็นอย่างดี ถ้าใช้อารมณ์ถูกต้อง
เมื่อคณะคุณเสริมศรี กลับตอนสาย ต่อมาเวลา 10 น. คณะวัดปากน้ำมาอีกพวกหนึ่ง พวกนี้เอาเงินมาเข้าโบสถ์ด้วย 10,850 บ. สุวิมลก็มา
แกมาต่อว่าเรื่องไม้ที่บอกว่าอีกนานจะใช้ และไม้ลงมือเลื่อยแล้ว เลยบอกแกว่าไม้ของแก คิดว่าจะเอาทำกุฎีมหาเศรษฐี แกดีใจใหญ่ เลยตกลงตามนั้น
และแกมีไม้ท่อนคิดว่าพอจะทำเครื่องบนโบสถ์ได้ครบ
แกให้และจะเลื่อยให้เสร็จ ขอให้บอกตัวไม้ไปว่าจะเอาไม้ขนาดไหน อย่างละกี่อัน (ไม้แปรรูป) คุณนายกรุณาบอกคุณศรศรี (หนุ่ย)
ด้วยเรื่องแบบโบสถ์อย่างอื่นยังไม่เสร็จไม่เป็นไร ขอให้คิดตัวไม้เครื่องบนทั้งหมด เว้นไว้แต่ไม้ระแนงมาให้ก่อนว่าใช้ไม้ขนาดไหน ยาวเท่าไร อย่างละกี่ชิ้น
เจ้าภาพจะรีบจัดการให้โรงเลื่อย เลื่อยให้ โปรดทราบด้วยว่า ยายคนนี้แกธุระมาก นาน ๆ จะพบแกสักครั้งหนึ่ง เมื่อมีโอกาสแล้วก็ต้องรีบบอกแก
มิฉะนั้นแกแช่อิ่มจะเลยเวลา บอกคุณหนุ่ยว่ากรุณาเขียนเรื่องไม้มาให้ก่อน เรื่องรูปสำเร็จเอาไว้ทีหลัง
104
12 ก.พ. 2517
อ๋อย
เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น อีก 2-3 วันก่อน ถ้าไม่หมดไปจึงมารับฉัน ขณะนี้ขอให้จุดธูปบอกพระรัตนตรัย พ่อปู่ และเกตุแก้วมณี พรสวรรค์
พวงทิพย์ พรทิพย์ หลวงพ่อปาน (ท่านเกตุแก้วมณี พรสวรรค์ พวงทิพย์ พรทิพย์ เป็นลูกหลวงพ่อชาติก่อน ๆ จับผีเก่ง)
โดยเฉพาะหลวงพ่อปาน พวงทิพย์ พรทิพย์ เกตุแก้วมณี พรสวรรค์ ขอให้จัดการจับมัดพวกเหล่าร้ายเอาไปให้หมอ คิดว่าปลอดภัย ฉันจะช่วยจัดการทางนี้ด้วย
ปูผ้าขาวให้ทั้ง 4 ประจำอยู่
พวกนี้ไม่ใช่ผีธรรมดา ขณะเขียนนี้มันก็ท้าฉัน คืนนี้จะลองรับมือกับมันก่อน ถ้าหากมันยังกวนอีก วันที่ 15 ให้รถมารับก็แล้วกัน
ขอให้แดง (พล.ต.ศรีพันธุ์ วิชชุพันธุ์) ทรงหลวงพ่อปาน จะจัดการได้เด็ดขาด ที่มันเข้ามาได้เพราะเกาะคนเข้าไป วันนี้จะลองจัดการที่วัดก่อน
เชิญเกตุแก้วมณี พรสวรรค์ พวงทิพย์ พรทิพย์เข้าด้วยก็ได้ คิดวาเหตุการณ์ร้ายไม่มีแล้ว ด้วยยกกำลังใหญ่มาแล้ว (เรื่องมีว่าผีเข้าสาวใช้)
105
14 มีนาคม 2517
เมื่อวันที่ 3 พบของดีเข้าแล้วคือยายอรพิน คนที่ติดต่อเมื่อคราวไปเผาคุณสนั่นที่วัดธาตุทอง แกรับอาสาจะทำผ้ายันต์ให้
แกพูดเหมือนกับจะทำถวาย คิดว่าราคาอย่างมากก็เพียงผืนละ 1 บาท จะทำสัก 1 หมื่นผื่น เมื่อวันที่ 4 แกมาเสนอราคาผืนละ 8 บาท
เลยบอกว่าไม่เอาราคาขนาดนี้ไม่รู้ว่าจะเอามาทำอะไร บอกแกแล้วว่าเวลานี้ทำเหรียญ และอย่างอื่นแล้ว มีคนเขาถวายพิเศษไม่ต้องเสียเงิน ด้วยที่นี่มีพิธีแจกฟรี
แกก็ยืนยันว่าผูกดวงให้แล้ว แกจะเอารูปอาตมากับรูปหลวงพ่อปาน แกอวดสรรพคุณว่าของแกไม่ต้องจ่ายเงินสด แจกได้เงินแล้ว จึงจะเอาเงิน จอมตื้อสะเด็ดยาดเลย
เลยบอกว่าให้ติดต่อทางด้านเจ้ากรม ด้วยการสร้าง และการเงินท่านเจ้ากรมเป็นผู้จัดการใหญ่ ท่านเจ้ากรมช่วยติดต่อให้ด้วย
และช่วยอธิบายด้วยว่าราคาแบบน้ำมันปัจจุบันไม่เอา ราคาผืนละ 1 บาท ยังคิดว่าแพง และเวลานี้มีของแจกที่เขาทำถวายพอแล้ว
เรื่องผ้ายันต์ขอให้ไปติดต่อทางวัดบางนมโค ด้วยทางนั้นเขาจัดทำงานใหญ่อาจจะต้องการ อาตมาคิดว่าราคาบ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้ ทางวัดบางนมโคก็ไม่ต้องการ
เรื่องดวงอาตมา และดวงหลวงพ่อปานที่แกผูกแล้ว บอกแกด้วยว่าอาตมาเห็นว่าไม่สำคัญ เรื่องการผูกดวงไม่ใช่ของยาก ผูกเองก็ได้ และไม่มีการลงทุนอะไร
ถ้าแกเห็นว่าราคาค่าผูกแพง ก็ให้บังสกุลเผาไฟไปเลย เป็นอันว่าอาตมาไม่รับ และรูปก็ไม่ส่งให้ เรื่องผ้ายันต์งดเลย
คนนักบุญแบบนี้หาไม่ยาก มาติดต่อเข้าใจว่าเป็นนักบุญ เอาจริงเข้ากลับเป็นนักฉวยโอกาสแบบอะไรไม่ทราบ
106
9 กุมภาพันธ์ 2518
เรื่องคนเก่าที่แตกออกไป ข่าวซู่ซ่าเหลือเกิน แต่ฉันปกติ ด้วยทราบแล้ว พระท่านบอกก่อนสิ้นปี 16 แล้ว อย่าวิตก ทำทุกอย่างด้วยจิตเป็นกุศลใครมาก็รับ
เขาอยากไปก็ไปท่านบอกไว้แล้วว่าจะมีทั้งคนมาเอาจริง และมาดูมาลอง รวมความว่ามีทั้งคนมาชม และคนมาเพื่อเอาเรื่องไปด่า แกด่าแกก็เหนื่อยเอง ปล่อยตามสบาย
เรื่องอย่างนี้อย่าถือเป็นสาระ มีหลายเรื่องที่ทราบ เห็นเป็นเรื่องปกติ
งานที่มีการทรงตัว และก้าวเร็ว ผู้หวังทำลายย่อมมีมากเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าเองก็โดนยิ่งกว่าฉัน ถ้าได้ยินข่าวประเภทนี้ ทำเฉย ๆ เสีย อย่าไปโกรธเขา
เวลานี้กำลังมาชักชวนที่มาสายเราให้ไปเข้าสายที่เขาเคารพกัน และบอกว่าทำบุญกับมหาวีระเสียเงินเปล่า ไม่มีประโยชน์ อย่าโกรธเขานะ เราไม่ได้บังคับให้เขาทำบุญ
และทำลาย เขาทำของเขาเอง ถ้าเขาพังเราไม่มีโทษ ถ้าโกรธเขา เราจะมัวหมอง
107
22 ส.ค. 2517
มีเรื่องกวนใจ ที่มีคนอ้างชื่ออาตมาเที่ยวทำการเรี่ยไร และออกอากาศในกรุงเทพฯ มีคนฟังได้ยินว่าอาตมาจะทอดผ้าป่าที่วัดมงคลสถิตย์
อ.บรรพพิสัย จ.นครสวรรค์ และวัดหนองกระโดน อ.เมือง จ.นครสวรรค์ จนทางจังหวัดถามมาด้วยตนเอง ซึ่งผู้ไปประกาศ และแจ้งทางวัด ใช้ชื่ออาตมา
ตามที่แจ้งมาในหนังสือที่ส่งมาพร้อมกันนี้ ท่านเจ้ากรมมีทางที่จะออกข่าวทางสถานีวิทยุ ทอ. ในกรุงเทพฯ เพื่อแก้ข่าวบ้างไหม
ถ้าหากมีใครพอที่จะติดต่อทางท่านหลวงปู่ธรรมาได้ก็ดี ด้วยรายการหลวงปู่ธรรมาท่านมีคนฟังมาก เพราะเล่าประวัติหลวงพ่อปาน
จนมีคนมาขอรับหนังสือไปหลายรายแล้ว ขอให้ท่านช่วยประกาศให้ ทั้งนี้ เพื่อแก้ข่าวที่ไร้ความจริง และเป็นโทษแก่ประชาชนผู้มีศรัทธา หากไม่เกินวิสัย
ขอท่านเจ้ากรมช่วยจัดการให้ด้วย (ต่อไปเป็นบันทึกของหลวงพ่อ กับจดหมายถาม)
◄ll กลับสู่สารบัญ
108
19 ส.ค. 2517
นายประจวบ ช้างน้อย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 4 ต.บางตาหงาย
นายเช้า ศรีเรืองไพร
นายเกษม บางเหลือง
กรรมการวัดมงคลสถิตย์ ต.บางหาย อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ มาแจ้งว่า มีคนไปแอบอ้างชื่ออาตมา (ใช้ชื่อ พระมหาวีระ
หรือพระครูสถิตย์วีรธรรม อยู่วัดมณีสถิตย์ หรือทุ่งแก้ว มาสร้างวัดท่าซุง) จะมาถวายผ้าป่าวัด
ฯ มีเงินมาถวาย 150,000 บาท จะมีทหาร ตำรวจใหญ่ ร่วมขบวนมาด้วย
คนผู้นี้ไปที่วัดมงคลสถิตย์ อ้างชื่อว่าพระมหาวีระ หรือพระครูสถิตย์วีรธรรม กำลังสร้างอยู่ที่วัดท่าซุง
ซึ่งออกหาเงินร่วมกับพระมณีซึ่งเป็นศิษย์คนโปรดของพระมหาวีระ ไปที่วัดเขามโน หนองกระโดน อ้างตัวว่าชื่อพระมณี เป็นศิษย์พระมหาวีระ
พระมณีเคยหากินทำนองนี้มาแล้ว [/color]
นมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง
เกล้ากระผมได้เขียน จ.ม. มานมัสการเรียนถามหลวงพ่อที่ให้พระมณีไปบอกเกล้ากระผมไว้ที่หลวงพ่อจะจัดผ้าป่าสามัคคีไปทอดที่วัดเขามโน ตำบลหนองกระโดน อ.เมือง
จ.นครสวรรค์นั้น กระผมได้ให้โยมกลับมาเรียนถามหลวงพ่อเพื่อให้ชัดเจน เพื่อจะได้ทำการต้อนรับหลวงพ่ออันสมควรหรืออย่างไร ขอได้โปรดกรุณา
หลวงพ่อแจ้งให้กระผมทราบด้วยครับ เพื่อจะได้ทราบกำหนดหลวงพ่อให้แจ่มแจ้ง
โดยความเคารพอย่างสูง
พระครูสุภัทร์ อังคุโร วัดเขามโน
109
24 กรกฎาคม 2518
คุณอ๋อย
ช่วยบอกคุณหญิง (เยาวมาลย์ บุนนาค) ให้ทราบด้วยว่า พระพุทธรูปเขาทำแท่นต่ำไป ดูไม่สวย ทางที่จะดูสวย และสวยมากกว่าที่คิดไว้ก็คือ
ทำเรือนแก้ว เป็นพระพุทธชินราช ฉันตัดสินใจแล้วว่าทำแน่ ไม่ใช่จะทำ ขอให้คุณหญิงช่วยติดต่อกับช่างด่วน ขอให้ทำเรือนแก้วมาให้
ถ้ามีอยู่แล้วที่บ้านช่าง หรือมีที่อื่นขนาดได้กัน ขอให้ช่างช่วยส่งมาด่วน
ขอให้ช่างทำเท้ายันกันล้มมาให้ด้วย ขนาดความสูงของเรือนแก้ว จะสูงขึ้นไปอีกเท่าไร ขอให้ช่างบอกมาด้วยจะได้ตัดโซ่ฉัตรให้ยาวให้เหมาะสม
การเงินที่เพิ่มเป็น พระพุทธชินราช นี้ ฉันไม่รบกวนคนอื่นจะออกถวายเอง เว้นไว้แต่จะมีคนมีศรัทธารับ ทันงานวันที่ 6 จะดีมาก
(พระองค์นี้ คือพระประธานในโบสถ์วัดท่าซุง)
110
31 ธันวาคม 2518
เรื่องตำรวจที่อำเภอตาพระยาชักยุ่ง มีข่าวมาว่าทางนั้นยังไม่ได้รับผ้ายันต์ สงสัยว่าทางกองกำกับอาจจะยังไม่ได้ส่งไป
ผู้แจ้งข่าวอาจจะบอกมานานแล้ว แต่ข่าวเพิ่งจะถึงก็ได้มีอีกข่าวหนึ่งบอกมาว่าตำรวจภูธรก็ร่วมรบ ทำไมจึงไม่มีส่วนได้รับ
มีผู้มาจากทางนั้นมาขอร้องว่า ทางตำรวจที่นั่นอยากจะพบตัวด้วย เรื่องของแกคงต้องการกำลังใจ อาตมาจึงตัดสินใจไปหาตำรวจที่นั่นวันเสาร์ที่ 17 ม.ค. 19
เอาธงมหาพิชัยสงครามไปด้วย คราวนี้ท่านทำมหาอำนาจให้ด้วย และย้อนให้ด้วย (ภัยย้อนไปหาศัตรู)
ฉะนั้นการมาคราวนี้ ท่านเจ้ากรมกรุณาบอกคุณอ๋อยด้วยว่าไม่รับนิมนต์ฉันเพลบ้านใครทั้งหมด เพราะวันที่ 16 ออกเดินทางมานี่ ออกจากวัดประมาณ 10 น.
กว่าจะถึงก็เย็นวันที่ 17 ไปตาพระยา วันที่ 18 ให้โอกาสคนที่จะมาพบตั้งแต่ 10 น. จนถึง 17 น. วันที่ 19 เวลา 9 น.
ต้องไปบวงสรวงที่วัดภาวนาแล้วอยู่ถึงกลางคืน จึงไม่ควรรับฉันเพล ไม่ว่าบ้านใครทั้งหมด
การไปตาพระยา ถ้าไปไม่ใช้เวลามากนัก และกลับทัน เอารถใหญ่ไปก็ดี คนจะไปได้หลายคน เพื่อเป็นกำลังใจแก่ตำรวจทหาร แต่ถ้ารถใหญ่จะช้าเกินไป ก็เอารถเล็กไป
ตามแต่จะสะดวก
(ไม่มีวันที่)
หนุ่ย (มล.เอื้อมสุขย์ กิติยากร)
เรื่องมโนมยิทธินี้ เสียงที่ว่าใครมีผลพลอยได้ในด้านทิพย์จักษุญาณนั้น ยังไม่ตรงตามความเป็นจริง ที่ถูกแล้ว
เมื่อได้มโนมยิทธิซึ่งเป็นอภิญญาแล้ว ผลของวิชชาสาม คือ
1. ทิพยจักขุญาณ เห็นอทิสสมายกายได้
2. จุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนที่เกิดมาแล้ว ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน
3. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์กิเลสของตน และคนอื่น ตามที่ดูใจตนเองได้
4. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ตามชอบใจ
5. อตีตังสญาณ รู้อดีตของคน สัตว์ และวัตถุ
6. อนาคตังสญาณ รู้อนาคตของคน สัตว์ และวัตถุ
7. ปัจจุปันนังสญาณ รู้ปัจจุบัน คือใครอยู่ไหน ทำอะไรอยู่
8. ยถากัมมุตาญาณ รู้กฎของกรรมที่ให้มีความสุข ความทุกข์ของตนเอง และคนอื่น ตลอดจนสัตว์
ทั้งหมดนี้เป็นผลของสองในวิชชาสาม ผู้ได้มโนมยิทธิได้ไปเองหมด แต่มโนมยิทธิยังมีการถอดกายในออกไปสู่ภพต่าง ๆ ได้ เป็นทางที่วิชชา 3 แท้ทำไม่ได้
รวมความแล้ว ที่มีเสียงว่า มีผลพลอยได้ นั้นไม่ถูก ต้องพูดว่า เป็นวิสัยของอภิญญามโนมยิทธิ ที่มีความสามารถคลุมวิชชา 3
เพื่อผลที่ถูกต้องเมื่อต้องการรู้อะไรที่ไม่ขัดต่อธรรมวินัยขอจงอย่าใช้กำลังสมาธิของตนเอง จงถามพระพุทธเจ้าเสมอ จะถูกต้องดี
ไม่มีอุปาทาน รบกวนหลอกหลอน และจะมีโอกาสเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ในที่สุดก็หลุดพ้นแบบสบาย ๆ
◄ll กลับสู่สารบัญ
111
30 เมษายน 2523
เจริญพรท่านเจ้ากรมที่นับถือ
เรื่องการเดินทางแต่ละคราว จะเป็นงานเทศกาลหรือเยี่ยมทหาร สงเคราะห์ผู้ยากจน และไปพักผ่อน
แต่ละคราวปรากฏว่ามีบุคคลที่ไม่เหมาะสมร่วมไปด้วยเสมอ เป็นการสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นแก่หมู่คณะ และอาตมา
ความเสียหายนั้นอาจพาดพิงไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะศูนย์นี้เป็นศูนย์ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงให้ตั้งขึ้น
ต่อไปนี้ การเดินทางแต่ละคราว ขอให้ท่านโปรดกรุณาจัดกรรมการพิจารณาคนที่จะไปด้วยขึ้นคณะหนึ่ง ช่วยคัดเลือกผู้จะเดินทางร่วมโดยมีกำหนดการดังต่อไปนี้
1. การไปพักผ่อน ขอให้มีผู้ติดตามไปไม่มาก เพราะถ้าไปมากอาตมาก็ไม่มีโอกาสพักผ่อน เพราะต้องเป็นกังวลในผู้ติดตาม
ให้เลือกเฉพาะผู้ที่ร่วมงามปกติ มีมารยาทดีไปด้วยเท่านั้น ทั้งนี้ต้องอาศัยบ้านเป็นที่พักต้องไม่ทำให้หนักใจเจ้าของบ้าน ควรเลือกไปเฉพาะครูสอนมโนมยิทธิ
2. ไปเยี่ยมทหารตำรวจ ต้องเลือกเฉพาะคนที่รู้จักจริง ๆ และเคยปฏิบัติงานร่วมกันมาก ถ้าไม่เคยปฏิบัติงานร่วมภายนอก ก็เคยช่วยงานภายใน
เป็นที่ไว้วางใจได้ว่าไม่ใช่ข้าศึกของท่าน
3. งานเทศกาล ต้องรับเฉพาะผู้เคยรู้จัก และเป็นนักบุญจริง ๆ ไม่ใช่คนไปเที่ยวสนุก
จริยาผู้เดินทางร่วม
1. ต้องเป็นคนทำตนเสมอกันทุกคน ไม่วางตนเป็นนายใคร อยู่ร่วม และปฏิบัติงานร่วมกันได้ทุกอย่าง มีจริยาสุภาพ และอ่อนโยน
2. ไปในรถ ไม่นำของกินของใช้วางไว้บนที่นั่งเป็นการกันท่าคนอื่น เคยมีมาแล้วเอาของวางกันท่าที่ ควรจะนั่งได้ 2 คน ก็นั่งได้คนเดียว
3. จะต้องนั่งรถได้ตามที่เจ้าหน้าที่จัดให้ ไม่เลือกตามชอบใจตนเอง และเตรียมตัวพร้อมเมื่อจะไปไหน เมื่อจะออกเดินทาง
4. เมื่อถึงสถานที่พัก ให้พักร่วมกันได้ ไม่เลือกตามใจชอบ และให้ปฏิบัติตนตามผู้ควบคุมสั่ง
5. ต้องช่วยค่าอาหาร ค่าพาหนะพอสมควร
6. ต้องช่วยทำอาหาร และล้างภาชนะครัว เพราะคนทำครัวไม่ใช่ลูกจ้างคนครัวที่แล้วมา นอกจากทำครัวแล้ว ทุกคนก็จ่ายค่าอาหาร และค่าพาหนะ
และช่วยหาเงินจัดทำอาหาร และค่าพาหนะ ฉะนั้นผู้เดินทางร่วมต้องไม่มองคนครัวว่าเป็นคนรับใช้
7. เวลารับประทานอาหาร ต้องรับประทานพร้อมกันเพื่อสะดวกแก่การเลี้ยง และเก็บ ถ้าใครไม่รับประทานอาหารนั้น ให้ถือว่าหมดสิทธิในอาหารมื้อนั้น
ถ้าไปขอหลังคนอื่นรับประทานแล้ว ห้ามคนครัวจ่ายอาหารให้
8. เมื่ออยู่ที่พัก เรื่องน้ำ ห้ามเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ เปิดแล้วปิด ส้วมให้หาผงซักฟอกไว้ประจำตัว ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะแล้ว
ให้ทำความสะอาดทันที ไม่ทำให้ส้วมเหม็นอย่างที่เชียงราย
9. เครื่องดื่มที่ดื่มแล้ว ห้ามทิ้งถ้วยไว้ไม่ล้าง อย่างที่คลองวาฬ
10. เวลานอน ห้ามเดินออกนอกสถานที่ นอกจากไปถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ เช่น สงขลา คลองวาฬ เพราะทำความลำบากให้แก่ผู้รักษาความปลอดภัย
11. รสอาหาร ขอให้กินเพื่ออยู่ ห้ามบ่นเรื่องรสอาหารว่าไม่อร่อย
นอกจากนี้ ถ้าคณะกรรมการผู้จัดคน และควบคุมเห็นสมควรจะเพิ่มเติมก็เพิ่มเติมได้ ถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนให้ตัดสิทธิ์การเดินทางร่วมตลอดไป
หมายเหตุ ควรลงชื่อผู้ขอร่วมเดินทาง ห้ามรับผู้ไม่เคยรู้จักหรือรู้จักแล้วแต่มีจริยาไม่เหมาะสม
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 29/10/11 at 18:05
1
พระคุณของหลวงพ่อ
พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ
วัดท่าซุง ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี ๖๑๐๐๐
ท่านพุทธบริษัทที่อ่านหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มนี้ ขอได้โปรดทราบว่า วาระที่หนังสือเล่มนี้ออกมา ก็เพราะเป็นวาระครบรอบที่หลวงพ่อของเรา คือหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ หรือในนามปากกาที่ท่านได้เขียนหนังสือไว้คือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ท่านได้มรณภาพจากลูกศิษย์พุทธบริษัทไปครบวาระ ๑๐ ปี
คราวนี้พวกเราที่เป็นลูกศิษย์ที่เคารพรักท่านยิ่งชีวิต ได้จัดงานทำบุญครบรอบ ๑๐ ปี เพื่อจะถวายกุศลแด่องค์หลวงพ่อที่เป็นที่เคารพของเรา
การทำบุญนั้นก็มีท่าน ดร.ปริญญา นุตาลัย ท่านได้รวบรวมให้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อของเราได้จัดพิมพ์หนังสือ
ลูกศิษย์บันทึกออกมาหนึ่งเล่ม เพื่อจะได้ระบายความระลึกนึกถึงผู้มีพระคุณยิ่งชีวิตของเรา ออกมาเผยแพร่เกียรติคุณความดีของท่านที่มีต่อพวกเรา
ส่วนตัวของอาตมาเองนั้นได้มีชีวิตอยู่ร่วมกับหลวงพ่อประมาณ ๒๐ ปี เพราะว่าอาตมามาอยู่วัดท่าซุงนั้น ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๖ เมื่อถึง พ.ศ.๒๕๓๕
หลวงพ่อก็มาละสังขารจากพวกเราไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ความว้าเหว่ ความหมดที่พึ่ง ความไม่มีทางไป ความเศร้าโศกสลดใจ
แต่ตัวอาตมาเองมีมากสุดจะพรรณนาให้สมกับใจได้ ความที่ได้อยู่ร่วมกับท่านมา ๒๐ ปีนั้น
มีความลึกซึ้ง มีความอบอุ่น มีความสุขใจ สุขจิตสุขกาย ที่ได้ร่วมรับคำสอนจากท่านผู้ที่ประเสริฐ มีอุบายในการอบรมลูกศิษย์ทุกคนที่เคารพท่าน
เป็นอุบายที่ลึกซึ้ง ไม่สามารถจะหาครูบาอาจารย์ที่ไหนมาสอนเราได้ หลวงพ่อนั้นท่านเปรียบเสมือนผู้ประเสริฐเลิศจิต
ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่าความที่เราเป็นคนดื้อด้าน หยาบ จิตโลภโมโทสัน ความชั่วปรากฏมาก ความดีไม่ปรากฏ
หลวงพ่อท่านได้มีวิธีอบรมสั่งสอนทุกคนให้อยู่ในศีล ให้อยู่ในการภาวนา ให้อยู่ในการเจริญวิปัสสนา
จนมีจิตใจเคารพซึ่งพระรัตนตรัยด้วยความจริงใจ ชีวิตนั้นไม่มีอะไรที่จะประเสริฐเลิศเลอไปกว่าการเข้าถึงซึ่งพระรัตนตรัย
อาตมาก็พอรู้ว่าพระรัตนตรัยนั้น ให้ความบริสุทธิ์แกมวลมนุษย์ทุกหมู่เหล่า ไม่เลือกเชื้อชาติ วรรณะ ผิวพรรณ ฐานะยากดีมีจน ไม่เลือกบุคคลใกล้ชิดหรือห่างไกล
ธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สว่างบริสุทธิ์ทุกเวลา การที่จะเคารพพระรัตนตรัยด้วยความบริสุทธิ์ใจนั้น หลวงพ่อของเรานั้นเป็นผู้ขวนขวาย เป็นผู้อบรมสั่งสอนด้วยวิริยะ อุตสาหะ ด้วยความเมตตาบารมีของท่าน ด้วยความเหนื่อยยาก
ขันธ์ห้าของท่าน สังเกตเราจะพบว่าท่านป่วยตลอด แม้แต่เวลาป่วยของหลวงพ่อท่าน พอจะทำอะไรที่จะเป็นสารประโยชน์ได้
ท่านก็อัดเทป อบรมเป็นธรรมะ เผื่อไว้ว่าเมื่อท่านละขันธ์ห้าไปแล้ว ก็สามารถจะเอาคำสอนนั้นมาอบรมพุทธบริษัท มีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกาได้
ด้วยความลึกซึ้งส่วนตัวนั้น สุดจะบรรยายออกมาจากใจได้ทุกคำ เพราะอาตมาอยู่กับท่านด้วยความใกล้ชิด
และดูปฏิปทาของท่านนั้นเป็นผู้ที่แสดงถึงประโยชน์ต่อมวลชนทุกหมู่เหล่า
บุญคุณนั้น ถ้าจะบรรยายในการที่ท่านทำให้พวกเราทุกคนนั้น ถ้าจะบรรยายเป็นตัวหนังสือ กี่ปีกี่ชาติก็คงไม่หมด เรามีคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่เราให้ชีวิต
ให้ร่างกาย ให้การศึกษา ให้ทรัพย์ นี่ก็หาประมาณไม่ได้แล้ว แต่ทรัพย์ก็ดี ปัญญาความรู้ก็ดี ก็ใช้กันหมด
หรือใช้กันในสังสารวัฏฏะนี้เท่านั้น ส่วนทรัพย์ของครูบาอาจารย์ที่ให้เราใช้ไม่หมด ใช้ได้ตลอด ใช้ออกจากวัฏฏสงสารได้
ทรัพย์นี้เป็นทรัพย์อันประเสริฐ เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่มีคุณอเนกอนันต์ ฉะนั้น บุญคุณของพ่อแม่ก็หาประมาณไม่ได้อยู่แล้ว
แต่บุญคุณของหลวงพ่อพระราชพรหมยานนั้น สุดยิ่งใหญ่หาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้เลย เพราะท่านได้อบรมสั่งสอนให้เราเข้าใจในการประพฤติปฏิบัติให้ออกจากวัฏฏสงสาร
ท่านพร่ำสอนให้รู้โทษของการเกิดมาเป็นมนุษย์
ให้รู้การเกิดมาเป็นเทวดา ให้รู้การเกิดมาเป็นพรหม ว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง เมื่อเป็นอนิจจังแล้ว อารมณ์ก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะมันไม่เที่ยง
เมื่อไม่ถูกใจอารมณ์ก็เป็นทุกข์ เพราะอยากให้เที่ยง ขัดอารมณ์ ผลสุดท้ายก็ต้องเคลื่อนออกไปจากสิ่งที่อยู่ เรียกว่า อนัตตา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ยอมรับตามความเป็นจริงว่า
ผู้ที่อยู่ในโลกทั้งสามนี้ คือเป็นผู้อยู่ในโลกแห่งอนิจจัง ความไม่เที่ยง โลกแห่งความทุกขัง คืออารมณ์ไม่ถูกใจ อยู่ในโลกแห่งอนัตตา คือ
ต้องเคลื่อนสลายตัวไป ไปจากสิ่งที่ครองอยู่ ฉะนั้น ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนพึงรู้เท่ากัน ความเป็นไปของชีวิต ความเป็นไปของวัฏฏสงสาร
รู้แล้วก็ให้ทำใจละวาง เกิดนิพพิทาญาณจากวัฏฏะนี้เสีย
ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ความวางเสียซึ่งวัฏฏสงสารได้ ก็จะเป็นผู้ไม่มีอะไรในไตรภพนี้ คือผู้ถึงซึ่งความสุขอันหาประมาณไม่ได้
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อของเรานั้น พร่ำสอนทุกวัน ทุกเวลา ว่าการยอมรับตามความเป็นจริงเสียได้ ไม่อาลัยอาวรณ์เสียได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นเสียได้
รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงเสียได้ ผู้นั้นก็จะถึงซึ่งความสุขอันหาประมาณไม่ได้
กว่าท่านจะสอนให้เราเข้าใจ รู้แจ้งเห็นจริงได้อย่างนี้ ท่านต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี ที่ทรมานพวกเรา ทรมานคือฝืนใจให้พวกเราปฏิบัติความดี
จนพวกเรามีความมั่นใจในคุณของพระรัตนตรัย เมื่อเรามีความมั่นใจ มีความเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ
ไม่เคลือบแคลงสงสัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนของพระองค์ และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
เราก็มีความสุขในจิต ตามลำดับ เมื่อจะมองไปแล้วก็จะเห็นว่า คุณของพระรัตนตรัย คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม
พระอริยสงฆ์นั้นหาประมาณไม่ได้จริงๆ พุทโธ อัปปมาโณ ธัมโม อัปปมาโณ สังโฆ อัปปมาโณ จริง หลวงพ่อนั้นได้อบรมสั่งสอนพวกเรามาด้วยความลึกซึ้ง
ควรที่พวกเราอยู่ภายหลังจะทดแทนความดีของท่าน ที่เหนื่อยมาตลอดชีวิตนั้นได้
ท่านสั่งสอนให้เรารวบรวมกำลังใจ ปฏิบัติซึ่งความดี มีงานสาธารณประโยชน์ เป็นต้น ท่านสั่งสอนให้เราเข้าใจและปฏิบัติตามให้จิตเป็นกุศล
และทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น งานปฏิบัติธรรม งานปฏิบัติสาธารณประโยชน์ ท่านจึงสั่งสอนว่า
ขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย จงรักษาความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ งานใดที่พ่อนำลูกทั้งหลายทำ
งานทั้งหลายเหล่านั้น ขอลูกรักทั้งหมดจงรักษางานนั้นไว้ด้วยหัวใจของลูกเอง คือรักษาไว้ด้วยชีวิต
เพราะงานสาธารณประโยชน์เป็นกิจอันหนึ่งที่ทำให้คนไทยรวมตัวกัน มีความรัก มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน และทุกคนก็จะมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้
ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี่ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ
ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้
ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป
แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ
ท่านสั่งสอนให้เราปฏิบัติตัวเอง ปฏิบัติตัวต่อสังคมให้เป็นประโยชน์ ให้เป็นที่ชื่นใจชื่นจิตเท่านี้ งานอย่างนี้ที่เราร่วมกันทำ
ก็จะพอเป็นแนวทางให้เห็นว่า ท่านสั่งสอนแล้วไม่เหนื่อยเปล่า ท่านก็คงจะดีใจ แม้ท่านจากเราไปสิบปี งานทุกส่วนที่หลวงพ่อสั่งสอนไว้
พวกเราก็ได้น้อมนำมาปฏิบัติกันอย่างสม่ำเสมอ เสมือนว่ารวมจิตหรือรวมใจของหลวงพ่ออยู่ในใจของเราเหมือนกัน
สังเกตงานของเรามีตลอดปี ส่วนใดที่เป็นสาธารณสมบัติ พวกเราก็ร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์ให้ความสะอาด แข็งแรง เจริญตา ส่วนไหนที่จะช่วยสาธารณประโยชน์ได้
พวกเราก็ร่วมใจกันทำ งานศูนย์สงเคราะห์แจกของในถิ่นทุรกันดาร ช่วยเหลือสังคม พวกเราไม่ลืมคำสอนที่พ่อแม่ได้มอบไว้ให้ เพื่อขัดเกลาความเห็นแก่ตัว
ให้เป็นสาธารณประโยชน์
เพื่อขัดเกลาจิตใจของเราให้เอื้ออารี อ่อนโยน เราก็ฝึก เราก็ทำ ฉะนั้นความดีที่เราร่วมกันทำนั้น เรามีใจเสมือนว่ารวมกันทำ ตามที่พ่อแม่สั่งสอนทุกประการ
การทำงานทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงพ่อสั่งสอนไว้ ก็ทำกันด้วยความเต็มใจ ก็ทำด้วยความรัก ความสามัคคี สังเกตดูงานแต่ละงานต่างๆ เราได้ช่วยเหลือกัน
ขณะนี้พ่อแม่คือหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านเป็นเหมือนทั้งพ่อ ท่านเป็นทั้งแม่
ท่านอบรมสั่งสอนเรา ท่านได้จากขันธ์ห้าไปครบสิบปีเหมือนกับเดี๋ยวเดียว แต่พวกเราอยู่ภายหลังเสมือนมีขันธ์ห้าของพ่อของแม่อยู่ ได้ดูแลพวกเราด้วยขันธ์ห้า
เห็นด้วยตากับเราแล้ว เหมือนท่านได้ทิ้งสมบัติอันล้ำค่าไว้ให้ลูกๆ ทุกคน พวกเรายังอยู่ภายหลังที่เป็นลูกที่เคารพ เป็นลูกที่ดี
ก็สมควรรักษาสมบัติของพ่อไว้ให้อยู่ได้ตลอดไปตามอายุ
ถ้าลูกที่เลว ก็เป็นผู้ที่ผลาญสมบัติ เป็นผู้ที่ทำลายสมบัติ ทั้งทางธรรม ทางวัตถุ เป็นผู้ที่อกตัญญูต่อผู้มีคุณ ก็จะหาความเจริญไม่ได้ ทั้งชาตินี้
และชาติหน้า ฉะนั้น เมื่อเราเป็นลูกที่ดี ก็ควรช่วยกันสร้างสรรค์ความดี ความสามัคคีให้เกิดปรากฏแก่มวลลูกศิษย์ทุกคน เสมือนทำตัวรู้คุณพระรัตนตรัย
มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด
ฉะนั้นวาระนี้ ลูกศิษย์บันทึกเล่มนี้ก็อาจจะมีผู้แสดงความคิด ความรู้ ช่วยกันสร้างสรรค์หลายคน ส่วนอาตมานั้นหวังว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อของเราทุกคน
ควรสร้างสรรค์ความสุข ความสามัคคี ให้เกิดแก่ครอบครัว แก่เพื่อนร่วมชีวิต แก่เพื่อนร่วมศาสนา แก่เพื่อนร่วมชาติ หวังว่าทุกท่านคงมีความจดจำ
ระลึกถึงคำสอนของหลวงพ่อที่ว่า
พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป
แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก
ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วยช่วยลูกทุกประการ
นี่ขอให้เป็นอาขยานเอกที่จับจิตจับใจ ไปไหนก็เหมือนพ่ออยู่กับลูก ให้มีความระลึกถึงท่านอยู่เสมอ จิตใจเราก็จะมีพลัง
มีกำลังใจสร้างความดีต่อ มีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมต่อ ผลสุดท้ายก็จะสู่ที่ซึ่งสิ้นจากวัฏฏสงสารได้ทุกคน
ll กลับสู่สารบัญ
2
ร่างกายอันนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด
พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร
วัดท่าซุง ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี ๖๑๐๐๐
ในขณะที่กำลังเขียนบันทึกอยู่นี้ อารมณ์จิตมันเบื่อ ยิ่งเจ็บป่วยก็ยิ่งนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เจ็บไข้ได้ป่วยก็นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นที่สุด
เห็นบุญคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เทศน์อบรมสั่งสอนให้ไปนิพพาน ให้เราเบื่อร่างกาย เบื่อโลก แม้มีใครเอาเงินทองมาให้หมื่นล้าน
แสนล้าน ก็ไม่มีความหมาย แม้จะมาให้เป็นจักรพรรดิ หรือเป็นมหากษัตริย์ก็ไม่เอาแล้ว
คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อมีค่ามากกว่า ทำให้รักพระนิพพานมากขึ้น ซึ่งบุญคุณอันนี้ก็ไม่สามารถจะทดแทนพระศาสนา
และคำสอนของพระพุทธเจ้า และคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ ที่ท่านได้อบรมสั่งสอนมา ที่สุดแห่งทุกข์
คือร่างกายอันนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด น่าเบื่อหน่าย ทำดีเท่าไหร่มันก็ไม่เคยดีกับเราเลย คิดว่าบั้นปลายชีวิต
ข้าพเจ้าขอกราบลาหลวงปู่ปาน เพื่อไปพระนิพพาน
ll กลับสู่สารบัญ
3
หลวงพ่อยังอยู่กับเรา
พระปลัดวิรัช โอภาโส
วัดมหาธาตุ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์
ถ้ากล่าวกันตามสมมติทางโลกนั้น ก็เข้าใจกันว่า หลวงพ่อได้ละทิ้งสังขารจากพวกเราไป ๑๐ ปีแล้วในปีนี้ แต่ถ้าตามความหมายแห่งธรรมแล้ว
หลวงพ่อไม่ได้จากพวกเราไป ธรรมที่หลวงพ่อเคยพร่ำสอนอบรมบ่มนิสัยพวกเราไว้เป็นเวลาสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปีมานี้นั้น จนสิ้นอายุขัยของหลวงพ่อ หากพวกเราเข้าใจธรรมและเสพธรรมตามที่หลวงพ่อเคยสั่งสอนเราไว้เสมอ จะน้อยก็ตาม หรือจะมากก็ตาม
ตามกำลังสติปัญญาของพวกเราแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ก็ถือว่าหลวงพ่อยังคงอยู่กับเรา หรืออยู่กับผู้นั้นตลอดเวลาเหมือนเดิม ทั้งนี้เพราะว่า
ธรรมที่หลวงพ่อนำมาสอนพวกเราก็คือ โลก โลกก็คือธรรม โดยหลวงพ่อสอนเสมอให้เราจับตัวทุกข์ตัวเดียว ให้เห็นทุกข์ตลอดเวลา
ถ้าเรายึดโลก คือ คน สัตว์ วัตถุ ต้นไม้ ภูเขา สิ่งทั้งหมดในโลกนี้ เราก็ทุกข์ตลอดเวลา
ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะโลกทั้งหมดมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หลวงพ่อเน้นอยู่เสมอว่า ถ้าเราเห็นทุกข์ เราก็เห็นธรรม และ ธรรมนี้แหละ ที่หลวงพ่อนำมาอบรมสั่งสอนเราเป็นข้อสรุปโดยตรง เมื่อเราเสพธรรมตามนี้ ก็เท่ากับเราได้ฟังธรรมจากหลวงพ่ออยู่
และหลวงพ่อยังคงอยู่กับเราทุกเวลา ไม่ได้จากไปไหน ขอยกตัวอย่างบางเรื่องมากล่าวไว้คือ
ช่วงที่หลวงพ่อไปสอนพระกรรมฐานในต่างประเทศ คณะศิษย์จะนำหลวงพ่อพาไปชมสถานที่ข้างนอก ส่วนใหญ่หลวงพ่อไม่ค่อยอยากออกไปข้างนอกเท่าไหร่ ท่านไปเป็นบางแห่ง
บอกว่าไปเพื่อยืดเส้น คลายเส้น ให้เท้ามีกำลัง ขณะเดินไปเห็นอะไร หลวงพ่อก็จะสอนให้คิดตามเสมอ อย่างเช่น ตอนไปประเทศแถบยุโรป ตัวอย่างคือ
ที่ประเทศอังกฤษ เข้าไปชมในพิพิธภัณฑ์ ขณะที่ผู้คนเดินมาดูสุสานกษัตริย์ที่ตกแต่งไว้สวยงาม ต่างก็พากันไปถ่ายรูปด้วยความชื่นชมยินดี หลวงพ่อพูดว่า
คนมันโง่ มาที่นี่เห็นศพกษัตริย์ น่าจะเอามาคิดเป็น มรณานุสสติ ว่า แม้เป็นถึงกษัตริย์ มีอำนาจวาสนาบารมีสูงส่งขนาดไหนก็ตาม
สุดท้ายตายไปแล้วไม่เหลือ สมบัติสักชิ้นก็เอาติดตัวไปไม่ได้
แล้วควรหันมามองดูตัวเรา ว่าสักวันหนึ่ง เราก็ต้องเป็นอย่างนี้เช่นเดียวกัน มาเห็นแล้วต้องรู้จักคิด รู้จักมามองย้อนกลับดู ให้เห็นเป็น มรณานุสสติ
พวกนี้มันโง่ ไม่เห็น มรณานุสสติ ไม่เห็นไตรลักษณ์ ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เดินไปตลาด ผู้คนพลุกพล่าน
มีเสื้อผ้าแขวนแบบตลาดโบ๊เบ๊บ้านเรา หลวงพ่อเรียกว่าตลาดโบ๊เบ๊ เพราะผู้คนเดินขวักไขว่ ต่างคนต่างรีบเดิน
หลวงพ่อถามข้าพเจ้าว่า แป๊ะ แกเห็นทุกข์ไหม ก็ยังไม่ทันจะตอบว่าอะไร
หลวงพ่อก็พูดว่า แกไม่ต้องไปดูอะไรมาก มองดูแค่ขาของทุกๆ คนที่กำลังเดินกันอยู่ขวักไขว่ก็พอ ขาคนนี้กำลังรีบไปทำงาน
ขาคนนี้รีบไปซื้อของ ขาคนนี้จะไปหาเพื่อน พอไปหาเพื่อนไม่เจอก็ผิดหวัง มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น
จากนั้นแวะเข้าร้านขายเครื่องปั้นดินเผา เป็นร้านค่อนข้างกว้างขวาง เครื่องปั้นดินเผาล้วนๆ ตั้งเรียงรายมากมาย คนขายก็หลายคน ต่างนั่งท่าทางซึมๆ
เพราไม่ค่อยมีใครเข้าร้าน
หลวงพ่อถามข้าพเจ้าว่า แป๊ะ แกเห็นทุกข์ไหม ตอบว่า เห็นครับ
หลวงพ่อถามว่า ทุกข์ยังไง ตอบว่า เขานั่งเซ็งกันเป็นแถว
หลวงพ่อพูดว่า นั่นมันปลายเหตุ ต้นเหตุมันเป็นยังไง
แล้วหลวงพ่อก็พูดว่า กู้เงินมาเท่าไร ดอกเบี้ยต้องส่งธนาคารเท่าไร นี่ต้นเหตุของทุกข์มันอยู่ตรงนี้ อย่างเรื่องการปฏิบัติตัวของพระภิกษุในวัดท่าซุงนั้น หลวงพ่อท่านสอนเน้นให้พระภิกษุว่าต้องมีจาคะด้วย คือให้มีการเสียสละแรงกาย
ร่วมกันทำงานเพื่อส่วนรวมด้วย
ท่านว่าถ้าทำกรรมฐานอย่างเดียว อารมณ์จะฟุ้ง ให้ถือว่าทำงานเป็นกรรมฐานด้วย
ท่านสอนว่า การทำงาน ทำเพื่อปล่อย ปล่อยตัวเกาะ ตัวที่เกาะความโลภ เกาะความโกรธ เกาะความหลง
ขณะนี้ข้าพเจ้าเองกำลังฝึกฝนตนเองอยู่ ข้าพเจ้าระลึกถึงธรรมที่หลวงพ่อนำมาอบรมพร่ำสอนอยู่เนืองนิตย์ เพื่อมาค่อยๆ ขัดเกลาจิตใจตนเอง
และแก้ไขความมัวเมาในจิตใจของข้าพเจ้าทีละนิด โดยไม่ท้อแท้อะไร ข้าพเจ้าถือว่าข้าพเจ้าฟังธรรมจากหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา
และมีความรู้สึกว่าหลวงพ่ออยู่กับข้าพเจ้าตลอดเวลา หากท่านทั้งหลายระลึกถึงธรรม เสพธรรมตามที่หลวงพ่อได้เคยอบรมพร่ำสอนไว้
เสพไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเสพธรรมบางส่วน เสพธรรมเล็กน้อย หรือเสพธรรมได้มากแค่ไหน
ก็ถือว่าท่านทั้งหลายยังฟังธรรมอยู่กับหลวงพ่อ และหลวงพ่อก็อยู่กับเราทุกขณะจิต ทุกเวลา แม้ขณะนี้ด้วย ท้ายที่สุด เนื่องในวาระครบ ๑๐ ปีแห่งการละขันธ์ของหลวงพ่อนั้น พระคุณอันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อยังคงสถิตฝันแน่นอยู่ในดวงใจของข้าพเจ้าอย่างเปี่ยมล้น
บุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่อดีตชาติมาจนถึงบัดนี้
ข้าพเจ้าขอเจาะจงถวายแด่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรมทั้งหลาย และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง และครูบาอาจารย์ทุกๆ พระองค์
มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคและหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด ธรรมใดที่ทุกๆ พระองค์ และหลวงพ่อพระราชพรหมยานบรรลุแล้ว
ขอให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ
ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 25/11/11 at 13:52
4
ประสบการณ์ของข้าพเจ้า
สุวิทย์ สวรรค์กสิกร
๑๔๑/๑ หมู่ ๑ ถ.เพชรเกษม ๑๐๒ แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพฯ ๑๐๑๖๐
ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการหลวงพ่อ (พระราชพรหมยานมหาเถระ) ด้วยความเคารพรักอย่างสูงยิ่ง หลวงพ่อท่านเมตตา เทศน์ สอนธรรม เมื่อวันที่
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ที่บ้านซอยสายลม (ของท่าน พล.อ.ท. หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เวลาหัวค่ำ ท่านเล่าเรื่อง ตัมพทาฐิกโจร ว่า
ท่านเป็นโจรมาตั้งแต่เด็ก อย่างของเราจะเทียบบาปกับท่านตัมพทาฐิกโจร เราเทียบกันไม่ได้
ท่านเกิดมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยพบกับคำว่า ทำความดี และต่อมาเมื่ออายุ ๑๖ ๑๗ ปี ก็เข้าไปในสำนักของโจร ปล้นเขาบ้าง ฆ่าเขาบ้างตลอดเวลา
ต่อมาเมื่อออกจากความเป็นโจร ก็มาเป็นเพชฌฆาต ก็ฆ่าพวกกันเอง ๕๐๐ คน เขาให้เป็นเพชฌฆาตฆ่า ถ้าใครเป็นเพชฌฆาตฆ่าโจร ๕๐๐ ได้ เขาจะไม่เอาโทษกับคนนั้น
ให้เป็นเพชฌฆาตฆ่าต่อไป ตอนหลังท่านแก่มากแล้ว มีลูกสาวโตแล้ว
พอดีฟังเทศน์จากพระสารีบุตรครึ่งจบเป็นพระโสดาบัน ทำไมจึงฟังครึ่งจบ ครึ่งจบแรก พระสารีบุตรท่านเทศน์เรื่องปาณาติบาต แกเหงื่อแตกพลั่ก
เพราะว่าพระสารีบุตรเทศน์ตรงกับความเป็นจริงที่แกทำมาทุกอย่าง ต้องลงนรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง พระสารีบุตรท่านเป็นพระฉลาด
เห็นว่าตัมพทาฐิกโจรไม่สบายใจ ท่านก็หยุดเทศน์ ถามว่า โยมไม่สบายรึ ท่านบอกไม่สบายใจ
ท่านก็หยุดเทศน์ ต่อมาท่านหานโยบายเทศน์ใหม่ ในที่สุดตัมพทาฐิกโจรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบันก็เป็นอันว่าบาปเก่าทั้งหมดทีทำแล้วในชาตินี้ก็ดี
ชาติก่อนก็ดี ไม่สามารถให้ผลได้ เพราะว่าพระโสดาบันเขาแปลว่า เป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน คนที่เข้าถึงพระนิพพานแล้ว อบายภูมิลงโทษไม่ได้
ทีนี้ญาติโยมพุทธบริษัทก็ยังมีบาปไม่เท่าตัมพทาฐิกโจร
คุณสุวิทย์ เป็นพระโสดาบันหรือยัง (งง เราเป็นพระโสดาบันหรือยังก็ไม่รู้ คิดในใจ) ฉันว่าบางเวลาคุณเป็นพระอรหันต์นะ (ญาติโยมหัวเราะ ฮา กันทั้งห้อง) บางเวลานะ เป็นอรหันต์เพราะอะไร
อรหันต์มีอย่างเดียวคือ สังขารุเบกขาญาณ อย่างที่วัดพระบาทตากผ้า (หลวงพ่อครูบาพรหมจักรสังวร พระสุพรหมยานเถระ) ท่านบอกว่า อรหันต์ชั่วคราว
ขณิกอรหันต์ หรือ ขณิกนิพพาน แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นบ่อยๆ อารมณ์มันชินนะคุณ
อย่าลืมนะ บางครั้ง เราอาจเห็นว่าร่างกายของเราไม่เป็นเรื่อง มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนในท่ามกลาง
มีการสลายตัวในที่สุด มีชีวิตอยู่ก็ประกอบกิจการงาน มีความลำบาก ในที่สุดก็ต้องตาย ถ้ายังเวียนว่ายตายเกิด มันก็ต้องเกิดแบบนี้ต่อไป
จิตใจเกิดวางเฉยในร่างกายขึ้นมาว่า ร่างกายอย่างนี้ ถ้ามันจะตายเมื่อไรก็เชิญตาย ฉันจะไปนิพพานอย่างนี้เคยมีไหม
(ตอบในใจว่ามี เคยคิดอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน เหมือนที่หลวงพ่อเทศน์เลย) หลวงพ่อเห็นว่าไม่ตอบออกเสียง ท่านหยุดเทศน์นิดหนึ่ง กำหนดดูคำตอบจากวาระจิตของข้าพเจ้าแล้วค่อยเทศน์ต่อ การรู้วาระจิตของหลวงพ่อ
รู้รูปธรรม นามธรรมของผู้อื่นในปัจจุบัน จนถึงในอดีต กี่ภพ กี่ชาติ หรืออสงไขยกัป ท่านก็สามารถรู้ได้
ยิ่งกว่านั้นอนาคตของผู้ใดจะเป็นอย่างไร ท่านก็สามารถรู้ได้ อย่างการปฏิบัติธรรมผลจะเกิดอย่างไร ท่านพยากรณ์ล่วงหน้าไว้ให้ได้เลย
และยังสอนธรรมล่วงหน้าไว้ให้เกิดอารมณ์ธรรมในวันข้างหน้าได้อีกด้วย เมื่อถึงวันเวลานั้นเรานำไปปฏิบัติ
(ท่านมีวิธีลีลาในการสอนลูกศิษย์แต่ละท่านที่ไม่เหมือนกัน แล้วแต่โอกาสและอนุสัย วาสนา บุญบารมีของแต่ละท่านที่แตกต่างกัน)
นี่แหละจิตใจแบบนี้ มันเป็นอรหันต์บางครั้ง อรหันต์ชั่วคราว แต่ในขณะที่เป็นอรหันต์ชั่วคราว ใครจะมาด่าที่หลังบ้านไมได้นะ เดี๋ยวอรหันต์ลากลับ
หนักเลยมาแทน ก็ไม่แน่นะ จิตใจมันมีอารมณ์หนักกว่า คำว่าหนักในที่นี้คือบุญมากกว่า ฯลฯ หลังจากเลิกกรรมฐานแล้ว จิตใจข้าพเจ้าก็พองฟู ร่าเริง
เหมือนกับมีความรู้สึกโอ้อวด หลวงพ่อกำลังรับสังฆทานอยู่
เสียงดังออกมาทางเครื่องขยายเสียงว่า อย่าโอ้อวด อย่าเหลิงหลงระเริงว่าเราดีแล้ว ใจข้าพเจ้าแฟบเหมือนลูกโป่งหมดลม
แฟบติดดินปานนั้น ท่านเคยสอนไว้ว่า ถ้าเรายังไม่เข้านิพพานเพียงใด อย่าคิดว่าเราดี พระอรหันต์ท่านไม่เคยคิดว่าท่านดี
ช่วงก่อนเวลานั้นข้าพเจ้าป่วย ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ทุกวัน ร่างกายทรุดโทรม
กลางเดือนเมษายน เวลาเที่ยงวัน ออกไปนอกบ้านกลางแจ้ง โดนแดดร้อนยังต้องใส่เสื้อกันหนาวไหมพรมออกไป ชาวบ้านเห็นแล้วก็งง ต้องให้แพทย์ฉีดยาแก้ไข้ทุกวัน
และกินยาทุกวัน ตลอดมาเป็นเวลาหลายปี และจำเป็นต้องทำงานขับรถสิบล้อไปเอาถ่านไม้ไผ่มาขายเป็นอาชีพ ที่ จ.อุทัยธานี แถวๆ หลังวัดท่าซุง ใช้เส้นทางกรุงเทพ
นนทบุรี สุพรรณบุรี ขับรถอยู่ระหว่างทาง
ร่างกายก็ป่วย ป่วยมากๆ แรงๆ เข้า ร่างกายก็มีอาการทุกข์หนักมาถึงใจ ทำท่าว่าจะขับรถไปไม่ไหว (หลวงพ่อบอกว่า ทุกข์เสียจนชิน
เลยไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์) ก็จำเป็นต้องหาเงินเพื่อเลี้ยงชีพ เป็นภาระในโลกมนุษย์ที่จะต้องทำ (ก็เพราะความเสือกของเรา เสือกมันทุกอย่าง
ถ้าเราไม่เสือกก็ไม่ต้องทำใช่ไหม ไปนิพพานได้โดยง่าย ไม่ต้องเสียเวลามาทนทุกข์ดิ้นรนอย่างนี้)
เป็นอันว่าก็ทนทุกข์สู้ขับรถและทำต่อไป ถ้าร่างกายเอ็งจะตายเมื่อไร ข้าขอจอดรถไว้ข้างทางแล้วให้เอ็งตาย ข้าจะได้ไปนิพพาน
จะได้หมดทุกข์ หมดภาระที่จะต้องอยู่ทรมานในโลกมนุษย์ ส่วนซากศพของตัวเอ็ง ตายแล้วก็ช่างมัน ญาติหรือภรรยาทางบ้านจะรู้หรือไม่รู้ก็ช่าง เราไปนิพพานแล้วสบาย
ไปห่วงร่างกายมันทำไม ส่วนรถจะเป็นอย่างไร ทางบ้านรู้หรือไม่รู้ก็ช่าง
ร่างกายมันป่วยจะหมดแรง ทรมานมันทุกข์ และภาระต่างๆ ในโลกมนุษย์ก็มาก ตายแล้วเราไปนิพพาน ไม่ห่วงใครอะไรทั้งนั้น อารมณ์ก็วางเฉยขึ้นมา
(ที่หลวงพ่อบอกว่า เป็นอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ ที่หลวงพ่อเทศน์แล้วถามว่า อย่างนี้เคยมีไหม) อารมณ์อย่างนี้มีเป็นประจำ คิดอย่างนี้อารมณ์ปีติ
และนิพพิทาญาณต้องทรงตลอดจึงจะมีผล ทำให้เกิดปัญญา ความรู้สึก และอารมณ์
เข้าถึงสภาวธรรม เห็นสัจธรรมอันแท้จริงได้ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฎ์ แห่งวัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย ท่านบอกว่า
ถ้ายังไม่ได้ก็ร้องไห้อยู่นั่นแหละ นั่งสมาธิ มารก็มาชวนให้เลิกนั่ง ก็ใจเรานั่นแหละชวนให้เลิก ขันธมารก็บอกว่า ปวดเมื่อย เลิกก่อนเถอะ มันก็ไม่สำเร็จสักที
เมื่อได้แล้วก็เลิกร้องไห้) ขับรถไป ภาวนาบ้าง พิจารณาอริยสัจ
และวิปัสสนาญาณบ้าง ขับรถไปคนเดียวแหละ จะพิจารณาได้ผลดี มาพบหลวงพ่อที่บ้านสายลม ท่านก็สอนและเคี่ยวอารมณ์ต่อให้อีกเป็นประจำ
บางครั้งท่านสอนเราก็ได้ผลตามที่สอนเดี๋ยวนั้น ต่อหน้าท่าน (ได้อารมณ์ธรรม) บางครั้งไปได้เอาวันหน้า ได้พบพระอาจารย์สอนธรรมเก่งแลยอดเยี่ยมอย่างนี้
เราก็สุดยอดแห่งความโชคดีและสบายไป
อันที่จริง หลวงพ่อท่านเทศน์ย้ำการคิดพิจารณาวิปัสสนาญาณ และอารมณ์ธรรมที่เราได้ เพื่อยืนยันให้เราทราบว่าเป็นผลของความถูกต้อง และให้คิดพิจารณาต่อไป
ให้รักษาและทรงอารมณ์ให้ได้ต่อไป คือจะได้คล่องและชินต่ออารมณ์นี้ เมื่ออารมณ์แก่กล้าแล้ว บารมีเต็มก็จะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน
บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ต่อไป
เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ ได้อารมณ์แล้วใหม่ๆ ยังมีอารมณ์สงสัยไม่แน่ใจอยู่ว่าใช่หรือไม่ใช่ หลวงพ่อบอกว่า ทุกคนที่ได้อารมณ์ธรรมใหม่ๆ
ก็สงสัยกันทั้งนั้น ท่านบอกว่า ตัดเล็กตัดน้อย ตัดๆ ให้มันขาดหมดไปเสีย ไปได้ไปเลย อยู่ทำไม มันทรมาน ช่วงนั้นมาพบหลวงพ่อใหม่ๆ ไม่นานนัก
คิดว่าหลวงพ่อจะให้เราไปไหน ให้ไปบวชเป็นพระหรือให้เราไปนิพพาน ให้ไปบวชก็ยังมีภาระต้องห่วง (ก็เรามันเสือกห่วงเอง)
ให้ไปนิพพานอารมณ์ก็ยังอ่อนไปหน่อย ไปไม่ได้ เลยต้องอยู่ทรมานต่อจนถึงทุกวันนี้ หลวงพ่อสอนว่า ต้องทรงอารมณ์ให้เข้มแข็ง เข้มข้น
เคี่ยวอารมณ์วิปัสสนาญาณให้อารมณ์นิพพิทาญาณแก่กล้า ทรงฌานสมาบัติให้แก่กล้า จึงจะตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้ง่ายขึ้น
และการจะตัดขันธ์ห้าร่างกายให้ขาดได้ ต้องประกอบด้วยมีจิตใจแกล้วกล้า ร่าเริง องอาจ กล้าหาญ
ถึงจะตัดขันธ์ห้าให้ขาดว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายมันไม่มีในเรา มันคือมัน เราคือเรา ร่างกายมันเป็นเพียงธาตุ ๔
ประชุมกันขึ้นมาเป็นร่างกาย ไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องตาย มันตายเมื่อไร เราขอไปนิพพาน แล้วก็ตัดอวิชชาในสังโยชน์ ๑๐ ต่อว่า มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก
เราไม่ต้องการ จะสวยงามเพลิดเพลินเพียงใด เราไม่ต้องการ เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน
แล้วท่อง นิพพานัง ปรมัง สุขัง พร้อมกันนี้ต้องทรงอารมณ์ปีติในโพชฌงค์เจ็ด และอารมณ์นิพพิทาญาณ ในวิปัสสนาญาณเก้า และฌานสมาบัติ
ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปมาก่อน จึงจะตัดกิเลส ตัณหา อุปาทาน ให้สิ้นไปจากอนุสัยสันดานได้
สัมโพชฌงค์เจ็ด คือองค์แห่งการตรัสรู้ หรือธรรมเป็นเครื่องประกอบการตรัสรู้ (ผู้เขียน: อารมณ์ (สัมโพชฌงค) เป็นเครื่องประกอบการตรัสรู้
ถ้าผู้เขียนเข้าใจผิด กราบขอขมาโทษต่อองค์พระรัตนตรัย และขออภัยต่อท่านผู้อ่านทุกท่าน)
สัมโพชฌงค์ คือองค์แห่งการตรัสรู้ ๗ ประการเหล่านี้คือ
๑. สติสัมโพชฌงค์ ตามระลึกรู้ ในการพิจารนา ใคร่ครวญในธรรม (ตามระลึกรู้ในสติปัฏฐาน ๔)
๒. ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ความใคร่ครวญในธรรม (ใช้ปัญญาคิด วิจัยธรรม) ปัญญาที่รู้ตามความเป็นจริงรู้อริยสัจสี่
๓. วิริยสัมโพชฌงค์ ความเพียรในการคิดใคร่ครวญในธรรม เพียรในการปฏิบัติธรรม วิปัสสนาสติปัฏฐาน เพียรเพื่อไม่ให้อกุศลจิตเกิดขึ้น
เกิดขึ้นให้ดับเสีย เพียรให้กุศลจิตเกิดขึ้นเจริญบริบูรณ์ (ปธาน ๔)
๔. ปีติสัมโพชฌงค์ ความอิ่มใจ (ปีติในนิพพิทาญาณ) ไม่ใช่ปีติในอุปจารฌาน หรือ ปฐมฌาน
๕. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ความสงบ (หลังจากอารมณ์และอาการของปีติและนิพพิทาญาณสงบลง)
๖. สมาธิสัมโพชฌงค์ ความตั้งใจมั่น (ในไตรลักษณญาณ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา)
๗. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ความวางเฉย (ในไตรลักษณญาณ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ว่าเป็นธรรมดาของสัจธรรม จนเป็นอารมณ์ สังขารุเปกขาญาณ)
สติ ตามระลึกได้ ในวิริยะ ความเพียร ในธรรมวิจยะ คิดใคร่ครวญในธรรมทั้งหลาย มีวิปัสสนาญาณเก้า อริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕ และข้อธรรมอื่นๆ
จนเกิดอารมณ์นิพพิทาญาณ และปีติ เมื่ออารมณ์และอาการของปีติ และนิพพิทาญาณหยุดลง จะเกิดผลเป็นปัสสัทธิมีความรู้สึกในอารมณ์ มีความรู้สึกว่า
อารมณ์ จิตใจ สมอง ว่างเบาสบาย มีความสุข แล้วทรงสมาธิ
ตั้งใจมั่นไว้ในไตรลักษณญาณ ว่าธรรมทั้งหลายมีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อุเบกขา อารมณ์วางเฉยในสัจธรรมทั้งหลายว่า เป็นธรรมดา
มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จนเป็นอารมณ์ สังขารุเบกขาญาณ เห็นว่าความเกิด ความแก่ ความป่วย ความตาย เป็นธรรมดา มันจะเกิด จะแก่ จะป่วย จะตาย
ก็ช่างมัน เราก็บริหารรักษาร่างกายให้มันเป็นไปตามธรรมดา
มันจะตายก็ตาย จะอยู่ก็อยู่ ตายเมื่อไรเราก็ไปนิพพาน การนินทา สรรเสริญ กระทบกระทั่ง ความไม่พอใจ ก็ช่างมัน
คือไม่สนใจในโลกธรรมแปดประการ เราไม่สนใจ มีอารมณ์ความรู้สึกเห็นว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่วัตถุ สัตว์ บุคคล ตัวตนเรา เขา ไม่มีชื่อ (สมมติ)
เป็นเพียงสภาวธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามธรรมชาติที่มีมา
(มีมาเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครรู้ หรืออาจจะมีผู้รู้ก็ได้ มันเป็นของแปลกมากที่มีมาได้อย่างไร) หลวงพ่อบอกว่า ในเมื่อมันมีมาแล้ว
สิ่งที่สำคัญคือ ทำจิตวิญญาณที่ (สมมติ) ว่าเป็นของเรา ชำระให้มันสะอาดสมควรอย่างยิ่ง (ท่านทั้งหลายมีใครบ้างที่ยังมิได้เริ่มทำ เริ่มทำวันนี้
จะถึงจุดหมายคือนิพพานในวันหน้า)
สัมโพชฌงค์ องค์แห่งตรัสรู้ ๗ ประการนี้ เป็นธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
เป็นผู้เห็นธรรมทั้งปวงได้ตรัสไว้ชอบแล้ว ซึ่งตัวบุคคลเจริญให้มากแล้ว จนบารมีแก่กล้า อารมณ์สัมโพชฌงค์เสมอกันทั้ง ๗ ประการตามสมควร จะขาดธรรม ๗
ประการนี้ข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ ต้องอาศัยธรรม ๗ ประการนี้ ให้อารมณ์เสมอพร้อมกัน จึงจะตรัสรู้ได้
ธรรม ๗ ประการนี้ย่อมทำให้ผู้ปฏิบัติได้เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อพระนิพพาน และเพื่อตรัสรู้ในการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
ผู้ปฏิบัติควรต้องศึกษาให้รู้จักสัมโพชฌงค์ ๗ นี้เสียก่อน เพราะการปฏิบัติธรรม วิปัสสนา และได้บรรลุถึงขั้นมรรคผลนั้น
ต้องอาศัยสัมโพชฌงค์ทั้งเจ็ดเป็นเครื่องเจริญมรรค พึงเป็นผู้ทำให้สัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์ขึ้นเสมอกัน
อ่านหนังสือธรรมะ เข้าใจไม่ถึง ๒ เปอร์เซ็นต์
ข้าพเจ้าหลังจากอ่านหนังสือพรสวรรค์แล้ว พบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม ท่านบอกว่า ผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าทำยังไม่ถึงอารมณ์ธรรมเพียงใด
อ่านหนังสือธรรมจะเข้าใจไม่ถึง ๒ เปอร์เซ็นต์ เปรียบเหมือนคนเดินผ่านบ้านหลังใหญ่ สวยงาม เห็นแต่ภาพนอกบ้าน ไม่มีโอกาสที่จะเห็นส่วนที่อยู่ภายในบ้าน
เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมถึงอารมณ์อยู่ในระดับหนึ่ง พอดีได้อ่านหนังสือพรสวรรค์ฉบับรวมเล่ม หน้า ๓๐๘ (ปีที่อ่านเป็นฉบับแยกเป็น ๓ เล่ม)
อ่านแล้วอารมณ์ความรู้สึก ปัญญา เห็นชัดเจนตามธรรมเหล่านั้น อารมณ์ทรงอยู่ระดับเดียวกันกับหนังสือที่อ่าน (เวลาที่อ่านปีนั้นนะ ไม่ใช่เวลาที่เขียนนี้)
ท่านเทศน์สอนไว้เมื่อ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๓ ไม่ได้บอกพระนาม (เป็นการทรงกระดานในการสอนธรรม)
๒ กรกฎาคม ๒๕๒๓
ตั้งใจไว้เสมอนะ เวลาพิจารณาหรือใคร่ครวญในทุกอารมณ์จิต ข้อธรรมต่างๆ ก็รู้ซึ้งกัน จะมีก็การทรงอารมณ์ของจิตอยู่ในทุกวันนี้ จงเห็นทุกข์ รู้ทุกข์
แต่อย่าไปติดในทุกข์ บางคนรู้ เบื่อนำไว้ในจิตและใคร่ครวญจนทุกข์กินใจ จิตจะหมกอยู่ในความเศร้าหมอง มองอะไรดูน่าชัง น่าเบื่อ น่าขยะแขยงไปหมด
นั่นไม่ถูก ประการเช่นนี้จะทำให้จิตขุ่นอยู่ตลอดเวลา อาการเครียดทางสมองจะทำลายจิต พวกหนึ่งจะเห็นโลกนี้มีความสุข จะทำให้จิตหลง จะมีความโลภ
ละโมบในสุขนั้น สิ่งที่ดีที่ควร คือตั้งจิตไว้ให้อยู่ตรงกลาง คือรู้ในสภาวะของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สามสิ่งนี้จะข่มใจไม่ให้ฟุ้ง
จงรู้ว่าเหล่านี้ที่มันเกิดขึ้นกับตัวเรานั้น มันเป็นของธรรมดาโลก
ปกติโลก อย่าให้ทุกข์ส่วนหนึ่ง สุขส่วนหนึ่งมากินใจ ทำให้ใจไม่เสมอด้วยธรรม เช่นนี้แล้วเธอจะหาสุขทางคติได้ รู้ไว้เถอะ ความวุ่นวายเป็นนิสัยของปุถุชน
จงอย่าใส่ใจ พิจารณานำมาแค่สาระในปัญหาที่ผจญเท่านั้น เราอยู่กับโลก ต้องมีกลุ่มชนในขณะที่ดำรงฆราวาสอยู่ จงทำใจในสิ่งที่สะอาด
ความสะอาดของจิตจะเกิดขึ้นได้ โดยจิตปราศจากความเศร้าหมอง จิตไม่หลงละโมบ กิเลส ตัณหา
นั่นคือจิตจะต้องทรงอารมณ์กลางสบายๆ นี่แหละคือ อุเบกขาของจิต ที่จะบังคับอารมณ์ให้รู้สภาพของกาย ของขันธ์ จึงเป็นญาณที่เรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ
รู้จุดเล็กๆ น้อยๆ ไว้หลายทางแล้ว ก็ควรจะหาจุดที่ตรงอุปนิสัยของแต่ละคนกันได้แล้วนะ ที่ยังไม่เจอะเพราะทิฐิและมานะ สองตัวนี้ปิดกั้นตนเองให้ผิด ให้ถือ
ตัวฉัน ของฉัน อยู่ ฉันดีแล้ว ฉันไม่ผิด ฉันรู้แล้ว
นี่แหละที่จะทำให้เธอไม่สามารถหาจุดอ่อนของจิตเจอ จะไม่เจอเพราะคิดว่าตนเองทำแล้ว ทั้งๆ ที่ยังมิได้ลงมือทำ ขอติงกันไว้เท่านี้
สำหรับหลวงพ่อของเรา จะทำหรือคิดอะไร ที่ไหน เวลาใด ท่านจะรู้หมดทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเล็กน้อย ถ้าเป็นประโยชน์ท่านก็จะบอก จะสอน แนะนำ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางโลก หรือทางธรรมก็ตาม หรือเรื่องประกอบสัมมาอาชีพ
เพื่อความคล่อง ความราบรื่นของอารมณ์จิตในการปฏิบัติธรรม แต่การปฏิบัติของทุกท่านย่อมมีอุปสรรค และมารผจญทุกประการ และเจ้าหนี้นายเวรคอยจองล้าง
และคอยขัดขวาง มารสำคัญคือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมของตนเอง มารหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้คือ กิเลสมาร ขันธมาร สังขารมาร เทวบุตรมาร และมัจจุมาร
การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ยาก แต่จะต่อสู้กับมารผจญและอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปได้ยากกว่า ต้องใช้วิริยะ ความเพียร ขันติ ความอดทนของจิตใจที่มีความเข้มแข็ง
และเด็ดเดี่ยว เข้าต่อสู้จนกว่าจะชนะ หลวงพ่อท่านมีญาณหยั่งรู้ได้ชัดเจนและกว้างขวาง ยาวไกลมาก หลายครั้งข้าพเจ้าอ่านหนังสือธรรมที่บ้าน พบท่านที่บ้านสายลม
ท่านจะอธิบายเรื่องธรรมในหนังสือที่เราอ่าน
ส่วนที่เรายังไม่เข้าใจ หรือเพิ่มเติมให้ โดยที่เราไม่ต้องเรียนถามท่าน หลายครั้ง อ่านหนังสือยังไม่ถึงช่วงนั้น
ท่านอธิบายเรื่องราวธรรมไว้ล่วงหน้าก่อนที่เราจะอ่านถึง พบหลวงพ่อใหม่ๆ ที่บ้านสายลม กลับมาบ้านนั่งสมาธิ คิดแปลตามหนังสือที่เราอ่านว่า กิเลสคือพอใจในรูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา คือความอยากมี อยากเป็น อยากปฏิเสธ ฯลฯ
พอพบหลวงพ่อที่บ้านสายลม ท่านดุเอาว่า ไปแปลทีละคำอย่างนั้นไม่ได้กินหรอก แล้วท่านก็ได้อธิบายให้ว่าต้องคิดพิจารณาธรรมอย่างไร
ขนาดเราคิดปฏิบัติอยู่ที่บ้าน ไม่ได้บอกท่านๆ ก็รู้ หลบท่านไม่ได้เลย ไม่ว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในการกระทำหรือความคิดของเรา แล้วจะให้เราพิจารณาธรรมอย่างไร
เราก็ยังไม่รู้เรื่อง ก็เลยใช้วิธีปฏิบัติมั่วไปมั่วมา บังเอิญไปตรงเป้าหมาย
เส้นทางวิถีอารมณ์กระแสพระนิพพานพอดี ตามวิธีการสอนของหลวงพ่อท่าน ทั้งเฉียบ คม และโลดโผนในการสอนของท่าน เวลาท่านสอนเราทำได้ ก็มีความสุข และสนุกดี
ถ้าไม่พบหลวงพ่อท่าน เราคงหมดสิทธิ์เหมือนกัน เพราะความดื้อรั้น มานะ ทิฐิ ถือดี ฉันไม่ผิด ความโง่และความเลวระยำอันใหญ่หลวง ไม่ยอมแพ้ใครเหมือนกัน
สรุปว่าเรายกสุดยอดของคุณความดี ความเก่ง อันยอดเยี่ยมแห่งยุคนี้ ที่หาที่สุดมิได้ ให้กับหลวงพ่อ พระอาจารย์ของเรา
ด้วยการกราบนมัสการ ด้วยเคารพรักอย่างสูงสุดที่หาประมาณมิได้ มา ณ โอกาสนี้ หลวงพ่อบอกว่า ปกติให้คิดถึงพระนิพพาน แบบเล่นๆ คิดเล่นๆ นั่นแหละคือคิดจริงๆ
(ระลึกนึกถึงพระนิพพานบ่อยๆ แล้ว นานเข้าอารมณ์ก็จะชินไปเอง
แล้วจะเกิดศรัทธาเข้าไปสู่กรรมฐานกองอื่นๆ จนเกิดเป็นวิถีอารมณ์ของกระแสพระนิพพาน) พ.ศ.๒๕๒๕ ไปบ้านสายลมใหม่ๆ หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้มาฟังอย่างนี้บ่อยๆ
แล้วจะสำเร็จพระอรหันต์ได้ ข้าพเจ้าหาโอกาสไปฟังหลวงพ่อพูดธรรมะทุกวันที่ท่านมาบ้านสายลม ทั้งกลางวันและกลางคืน หวังจะให้บรรลุธรรม
(แต่จนเวลานี้ยังไปไม่ถึงไหน)
เวลานั้นเราก็โง่บริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าท่านเทศนาธรรมให้พุทธบริษัทฟัง ก็มีผู้บรรลุธรรมบ้าง ไม่บรรลุบ้าง การจะบรรลุธรรมนั้น
ต้องมีบารมีเต็มมาในอดีตชาติ จึงจะบรรลุธรรมได้ง่าย อย่างเช่น ท่านพระพาหิยะ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านพระยส และอีกหลายๆ ท่าน ท่านฟังเทศน์ครั้งเดียว
ท่านสามารถบรรลุธรรมได้
หลายปีต่อมา ข้าพเจ้าเล่าให้ทหารที่ติดตามหลวงพ่อฟัง เวลาที่หลวงพ่อพักผ่อนเวลาเย็นว่า มาฟังอย่างนี้บ่อยๆ จะสำเร็จพระอรหันต์ได้
จนถึงเวลานี้ยังไม่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พอหัวค่ำท่านลงมาจากชั้นบนลงมาสอนกรรมฐาน พอนั่งลงท่านมองหน้าแล้วบอกว่า สำเร็จพระอรหันต์
ไม่ใช่สำเร็จต่อหน้าพระ
ท่านพูดซ้ำๆ กันหลายครั้ง ท่านบอกว่า แล้วค่อยๆ ทำไป (ค่อยๆ ทำไปก็หมายความว่าต้องอีกนานนะซิ) มีเณรน้อยองค์หนึ่ง
อายุประมาณ ๑๐ ๑๒ ปี มากราบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม ท่านบอกเณรอย่าสึกนะ บวชให้เป็นอรหันต์เลย
◄ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 11/12/11 at 16:14
05
พระคุณพ่อไม่สิ้นสุด
สงกรานต์ สมบูรณ์ศฤงค์
ยอวาที อัญชุลี พระคุณ พ่อ
สายพระเนตรคมปลาบลูกวาบหวิว ให้ละลิ่วสู่อดีตหาใครเหมือน
พระเมตตาสุดซึ้งไม่ลืมเลือน ภาพพระเตือนให้สะดุ้งมุ่งบำเพ็ญ
สะดุดใจในลีลาสังฆานุภาพ ดังได้อาบอมฤตเมื่อแรกเห็น
พระสุดที่รักสุดบูชาสงบเย็น พระองค์เป็นสรรพสิ่งมิ่งขวัญชน
พระผู้พาชีพชื่นระรื่นจิต พระสถิตในจิตขลังหลั่งกุศล
พระพาลูกตัดสังโยชน์ไม่วกวน พระพาพ้นห้วงโอฆะตลอดกาล
พบหลวงพ่อครั้งแรกดังภาพนี้ บาปที่มีมานานช้าอวสาน
ชุบชีวิตที่ยากเข็ญให้เย็นสราญ สุดประมาณพระคุณพ่อ ขอเทิดทูน
*********************************
หากไม่มีหลวงพ่อ ใครหนอจะนำมาบอก
สอนลูกเพียรสำรอก บอกลูกว่า องค์ปฐม
พระพุทธเจ้าองค์แรก เรื่องแปลกทั้งเทพอินทร์พรหม
ภุมมาเทวดาพระยายม หลวงพ่ออบรมบอกเรื่องจริง
เพราะลูกเป็นลูกหลวงพ่อ ปฏิบัติพบข้ออ้างอิง
รู้แจ้งในสรรพสิ่ง ยอดยิ่งให้ไปพระนิพพาน
*********************************
องค์ปฐมทรงเมตตามาสวมกาย พระเพริศพรายสวมกายเข้า
มาโปรดเทศนา ณ ขันธา ให้พบธรรม
ดับทุกข์ภัยนานา ยกจิตตา มิให้ตกต่ำ
หยุดเจ็บหยุดจองจำ เมื่อน้อมนำย้ำลีลา
ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ซ้อนประทับนับคณา
ณ จิต ณ วาจา และกายา อณูกาย
พระองค์ทรงเสด็จ ให้สำเร็จสิ่งมั่นหมาย
ชีวิตมิเดียวดาย ฉัพพรรณฉายตลอดเวลา
*********************************
พระเอยพระล่วงพ้น อมตา
พระพร่ำสอนปวงประชา ทั่วหน้า
แดนไกลถิ่นโจรา ไปโปรด
พระคือดวงประทีปหล้า สว่างแท้ส่องทาง
พระอาทรสอนลูกรู้ ธรรมตาม
พระเหนื่อยฝากธรรมงาม อดกลั้น
พระผจญหมู่ใจทราม ส่อเสียด
พระสู่นิพพานนั้น ลูกล้วนมุ่งตาม
*********************************
แก้วส่องโลกวิโมกข์วิมุตติ์วิสุทธิ์วิเศษ พระเคยเทศน์ให้ลูกฟังไม่กังขา
พระรินธรรมป้อนลูกปลูกมรรคา พระเมตตาให้ลูกรู้สู่นิพพาน
พระพาลูกสร้างบุญการุณย์สัตว์ สารพัดชี้แนะล้วนแก่นสาร
การบรรลุหลักธรรมพระชำนาญ ไม่คัดค้านหลักอุดมบรมไตร
พระพาลูกส่งสู่ฝั่งหลั่งสุขให้ เคารพวินัยทำลายวัฏฏ์ขจัดสงสาร
ละกิเลสตัดตัณหาฆ่าหมู่มาร มุ่งนิพพานเป็นที่ไปใจสราญ
พระสอนลูกอยู่ทุกวันมันไม่เที่ยง จงหลีกเลี่ยงจากโลกสามตามตถา
ไล่ลูกไปพระนิพพานทุกเวลา อย่ากลับมาสู่โลกนี้มีอันตราย
พระเกิดมาเพื่อขนสัตว์และตัดภพ สอนให้จบพรหมจรรย์ที่มั่นหมาย
พระสอนให้หมั่นนึกถึงความตาย หมั่นทำลายตัดขันธ์ ๕ ฆ่านิวรณ์
*********************************
อัปปมัญญาเกิดหามากล่าวได้ กว่าสิ่งใดบริสุทธิ์ประเสริฐศรี
ที่สุดของลูกหลานบรรดามี ไม่เสียทีลูกเกิดมาพบพระเอย
มีหลวงพ่อก็เหมือนมีแก้ววิเศษ ไม่มีเขตหวงห้ามธรรมเปิดเผย
เปิดสวรรค์เปิดพรหมนิพพานเอย ไม่หวงเลยไม่ห้ามไว้ ว่าไม่มี
มีแต่ชี้สอนให้ไม่ต้องเกิด ช่างประเสริฐเลิศล้ำธรรมวิถี
เป็นที่สุดของความวนพันโลกีย์ พระคุณนี้หลวงพ่อมีฝากทุกคน
พระจอมใจไอยศูรย์พระทูลกระหม่อม พระเนื้อหอมห่างเศร้าไม่เหงาหงอย
พระทุ่มเทเสน่ห์เนื้อนาบุญคอย ให้ลูกน้อยได้เบิกบานสราญรมย์
แสนประเสริฐล้ำฟ้าดวงตาโลก พระคือโชคคือขุมทรัพย์มหาศาล
พระเมตตาลูกนี้มาช้านาน พระนิพพานแล้วลูกรักจักหาใคร
ยิ้มพิมพ์แก้วแวววับกับเสียงใส ประโลมชีวีประโลมฤทัยไม่มัวหมอง
ไม่มีแล้วในโลกนี้อย่าใฝ่ปอง พระเหนือหัวผูกใจครองนิรันดร
สุดพรรณนาอาลัยเสียดายนัก สุดจะหักห้ามจิตเฝ้าคิดถึง
สุดอาวรณ์สะท้อนจิตคิดคำนึง ภัยมาถึงได้ทุกข์ร้อนใครผ่อนปรน
*********************************
พระสราญปานอาทิตย์พิชิตมืด พระไม่ฝืดเคืองธรรมนำมาสอน
ดุจใบในป่าพระชินวร นำมาสอนให้โลกรู้คู่ความดี
พระเบิกบานปานเดือนเพ็ญที่เด่นสรวง ธรรมทะลวงทะลุใจในวิถี
ธรรมบันเทิงเริงรื่นชื่นชีวี ในโลกนี้มีพระคุณเจ้าไม่เหงางัน
พระไม่ปกปิดธรรมนำมาไข น้อมนำใจบริสุทธิ์แสนเฉิดฉัน
แก้วพระคุณอุ่นทรวงดวงชีวัน สุขนิรันดรทั่วดั่งบัวบาน
*********************************
พระสง่างามราวดุจเจ้าโลก พระวิโมกข์วิมุติซ้อนล้ำพรสวรรค์
พระขจัดปัดภัยทั่วชั่วนิรันดร์ พระวรพรรณวรลักษณ์สลักฤทัย
พระพาฝันฝันฉายหมายเมืองแก้ว พระเพริศแพร้วพราวพร่างกระจ่างใส
พระเนื้อหอมจอมบุญการุณย์กะไร ดุจสุรีย์ใสส่องฟ้าสง่าอัมพร
พระยาใจสลายร้อนพรสวัสดิ์ พระสุทธิรัตน์จอมใจเวไนยศรี
พระจอมบุญอุ่นเกล้าเหล่ารักดี จอมชีวีให้ธรรมคุณอบอุ่นใจ
ยิ้มพระงามหวามหวานใจไทยทานเลิศ ปีติเกิดสุขซ่านซ่าน้ำตาไหล
นิโรธะสมาบัติขจัดภัย พระทรงชัยมิ่งขวัญลูกปลูกบุญญา
พระสุทธิลักษณ์พิทักษ์ธรรมประจำจิต พุทธนิมิตประจำใจใฝ่ฝันหา
พุทธศาสตร์ประจำองค์ทรงศักดา เพราะพระบิดาลูกทำได้ใฝ่พระนิพพาน
สุขสนองคลองพระสุคตโอสถวิเศษ ชำระกิเลสตัณหาจิตกล้าหาญ
ทิ้งทุกข์ถมตรมใจให้สราญ ละเหตุพาลงดเว้นสิ เย็นใจ
*********************************
รักเหมือนญาติร่วมใจมิให้เก้อ เสมอภาคเสมอจิตจากใจใส
สนุกสนานเป็นกันเองเคร่งวินัย รักใครใครคือรักลูกทุกทุกคน
ปิยพากย์พจนาให้ผาสุก ยิ่งสนุกยิ่งศรัทธาพาเกิดผล
เปล่งวาจาปัญญาล้ำฉ่ำกมล เป็นมงคลอุดมธรรมคำวจนา
สนิทสนมกลมเกลียวไม่เหี่ยวแห้ง พระไม่แล้วน้ำใจประจักษ์รักถ้วนหน้า
ไม่ให้ใครผิดหวังหลั่งน้ำตา ไม่ฉินทาไม่ลำเอียงรักเพียงใจ
ใครใกล้ชิดใครห่างไกลเพียงปลายเหตุ สายพระเนตรพ่อปกป้องเอาใจใส่
ในอดีตใครเชื่อฟังไม่ห่างไกล ชีวิตไหนใครเริดร้างห่างไกลกัน
ธรรมของพ่ออยู่ไม่ห่างกลางใจลูก ธรรมพ่อปลูกกลางใจไม่แปรผัน
พ่อรักลูกทุกทุกคนพูดทุกวัน ความผูกพันลูกรู้ได้ในพระธรรม
ในพระธรรมคือใจพ่อรอลูกอยู่ ลูกได้รู้สัจจะนั้นอันชื่นฉ่ำ
สอนสิ่งใดเป็นจริงยิ่งทุกคำ ลูกได้ทำได้พบแล้วตามแนวทาง
สายพระเนตรพ่อปกป้องและมองหา ลูกหรรษาพระชี้ความกระจ่าง
สายพระเนตรอาทรไม่จืดจาง สายพระเนตรลบล้างความมืดมน
*********************************
สายตาอาทร คือพรสวรรค์
ให้รักผูกพัน ในทางกุศล
รักไม่ลำเอียง ไม่เลือกรักคน
ให้ความหลุดพ้น เป็นสิ่งจริงใจ
สายตาอาทร อาวรณ์ยิ่งนัก
พระสุดที่รัก พระแก้วแววใส
พระบริสุทธิ์ รัตนตรัย
สู่สิวาลัย วิสุทธิเทพ