.หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 21 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ
webmaster - 14/9/13 at 15:14

<< เล่ม 1 เล่ม 2 เล่ม 3 เล่ม 4 เล่ม 5 เล่ม 6 เล่ม 7 เล่ม 8 เล่ม 9 เล่ม 10 เล่ม 11
เล่ม 12 เล่ม 13 เล่ม 14


หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๒๑

(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดยพระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )



เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๒๑

1.
ตอนที่ ๑ ไปเมืองจันทบุรี
2. ตอนที่ ๒ บ้านหน้าถ้ำที่อีสาน .
3. ตอนที่ ๓ ถ้ำศรีฐาน
4. ตอนที่ ๔ ไปเที่ยวภูกระดึง .
5. ตอนที่ ๕ ไปพักที่ดงพระยาเย็น
6. ตอนที่ ๖ ไปพักที่ภูเขาภูกระดึง
7. ตอนที่ ๗ ไปสายเมืองกาญจนบุรี
8. ตอนที่ ๘ ขึ้นเขาพระสุเมรุ



คำนำ


หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๒๑ นี้ เอาเรื่องที่ประสบมาเอง มาเล่าสู่กันฟัง แต่ไม่ได้เอามาทั้งหมด เพราะกำลังป่วย พูดเสียงแหบ และเหนื่อยมาก จึงเอามาพูดเฉพาะบางจุด เพื่อเป็นเครื่องบันเทิงของผู้อ่าน จะบันเทิงหรือรำคาญ ก็ยังไม่แน่ใจนัก ทั้งนี้ก็สุดแล้วแต่ผู้อ่านจะเห็นสมควร สำหรับทุนการพิมพ์นั้น คงเป็นทุนของ ชาลินี เนียมสกุล ๒๘,๐๐๐ บาท ตามเคย เกินอีกนิดหน่อย

เอาเงินที่จำหน่ายได้ออกเพิ่มเติม แต่ก็เป็นเงินจากผลได้ของชาลินีนั่นเอง ที่จำหน่ายหนังสือ เป็นอันว่า ทุนการพิมพ์เป็นของชาลินี แต่ผลได้ทั้งหมด ไม่มีการหักทุนชำระเจ้าของทุน เพราะเธอถวาย ไม่ใช่ให้ยืม เป็นของวัดท่าซุงไม่ใช่เป็นของหลวงตา ที่พูดให้พระอภิชัย ถอดเทปเรื่องหาเนื้อนาบุญ

ขอพูดนอกเรื่องสักหน่อย ทั้งนี้เพราะ ลูกหลานชอบล่าพระที่มีคุณสมบัติดี ตายแล้วลืมที่เคยเกิด เลยกลับมาเกิดไม่ได้ เคยบุ้ยใบ้มาหลายคราว คราวนี้ไม่ใช่แล้ว ขอแนะนำไว้ประจำเลย คือ
๑. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา
๒. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม

ทั้ง ๒ องค์นี้ ถ้าตายก็ไม่ได้กลับมาเกิด คุณสมบัตินี้ท่านได้มาหลายปีแล้ว

๓. สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดปทุมคงคา
๔. สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ

ทั้ง ๒ องค์นี้ พระท่านยืนยันว่า ถ้าตาย ไม่ได้กลับมาเกิด และยังมีอีกหลายองค์ ที่นั่งบนอาสน์สงฆ์ ที่นิมนต์มา แต่เก็บไว้ก่อน เพราะจะวุ่นวายเกินไป ดีไม่ดีจะถวายผิดตัวเข้าอีก เป็นอันว่าต่อไปไม่ต้องใบ้ ไม่ต้องชี้ เอา ๔ องค์นี้เป็นเป้าทำบุญก็แล้วกัน

องค์ต่อ ๆ ไป ที่นั่งบนอาสน์สงฆ์ จะบอกภายหลัง เมื่อถึงเวลาสมควรอาหารพระที่ท่านชอบ และพระทุกองค์ที่นิมนต์มางานประจำปี(เดือนมีนาคม) ที่คิดว่าท่านพอใจและฉันง่าย ไม่แข็งสำหรับพระแก่และไม่แก่ คือ ต้มยำพุงกับไข่ปลา ที่หาซื้อได้ในตลาด ไม่ต้องทอดแหลงข่ายดัก เพราะพุงกับไข่จากแม่ลา เขาขายปลาวันละ ๒๐๐ ตันกว่า พุงกับไข่มากมาย ทำก็ง่าย พระฉันก็สะดวก ไม่ต้องระวังก้าง

หากลูกหลาน อยากให้พระที่ตายแล้วไม่กลับมาเกิด ฉันสะดวก ก็รวมทุนกัน ต้มมาถวายพระทั้งหมด รวมทั้งผู้เขียนด้วย เพราะชอบเหมือนกัน ที่สุดนี้ ขอผู้ถวายทุน คือ ชาลินี เนียมสกุล และท่านผู้อ่านทุกท่าน จงเป็นผู้มีโชคดี มีความสุข และร่ำรวย ทุก ๆ ชาติ เทอญ

พระราชพรหมยาน
๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๔



1
ไปเมืองจันทบุรี


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้ก็ต้องขออภัยบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ต้องนำเรื่องที่ ไปจังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่๑๗ มิถุนายน ๒๕๓๔ มาเล่าตัดหน้าเรื่องธุดงค์ สำหรับเรื่องธุดงค์ในหนังสืออ่านเล่น จะต่อจากตอนนี้ไป การไปจันทบุรีคราวนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก่อนจะไป พันเอกสถาพร พงษ์พิทักษ์ ถวายค่าน้ำมัน ๓,๐๐๐ บาท และก็ที่ซอยสายลม จำชื่อไม่ได้ ถวายค่าน้ำมัน ๒,๕๐๐ บาท แล้วก็ คุณน้อย เรียก ป้าน้อย ก็แล้วกันนะ นึกชื่อไม่ออก ถวาย ๕๐๐ บาท ค่าน้ำมันเมื่อไปถึงกรุงเทพฯ

คุณบังเอิญ ได้ถวายค่าเดินทางอีก ๑๐,๐๐๐บาท และให้นที ถวายอีก ๑,๐๐๐ บาท แล้วต่อมา เมื่อเธอตามไปถึงจันทบุรี ก็ถวายอีก ๑,๐๐๐ บาท รวม คุณบังเอิญ อ่องคล้าย ถวาย ๑๒,๐๐๐ บาทการไปคราวนี้ก็เป็นเคราะห์หนัก เพราะไปถึงวันแรก ก็ปรากฏว่า เป็นโรคพิเศษ นั่นคือ ท้องถ่ายอย่างหนัก คืนนั้นถ่ายประมาณ๑๐ ครั้ง เพลียมาก แต่ว่าขอย้อนหลังนิดหน่อย ในเมื่อไปถึงบ้าน นั่งเรียบร้อยแล้ว

คุณวันดี เวสารัชชานนท์ ในนามของคณะลูกทั้ง ๙ ของพ่อปิยะ แม่ส้มจีน ได้นำปัจจัยมาถวายอาตมา ๑๐๐,๐๐๐ บาท บอกว่า ขอถวายเป็นส่วนตัวของหลวงพ่อ จึงได้บอกเธอว่า การถวายเป็นของส่วนตัวเป็นของดี ฉันยอมรับ แต่ว่าถ้าจะให้ดีที่สุดก็คือ เป็นทุนซื้อเพชรประดับเรือนแก้วขององค์ปฐมจะดีมาก ขอให้เธอตัดสินใจตามนั้น เธอก็ตัดสินใจตามนั้น

เป็นอันว่า เงินหนึ่งแสนบาทที่เขาถวายมาเป็นส่วนตัว ก็ขอโอนเข้าเป็นค่าเพชรประดับเรือนแก้วขององค์สมเด็จองค์ปฐม และหลังจากนั้น เธอก็ถวายอีก ๔๐,๐๐๐ บาท เป็นการสร้างองค์ปฐมกับวิหารองค์ปฐม นี่สำหรับท่านเจ้าของบ้านนะ และสำหรับ คุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ น้องชาย ได้สร้างวิหารสำหรับองค์ปฐม ๕๐,๐๐๐ บาท และสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอีก ๕๐,๐๐๐บาท และในนามคณะลูกทั้ง ๙ ถวายสังฆทานอีก ๔๕,๕๖๐ บาท

และคุณสมบูรณ์ ถวายค่าน้ำมันรถมาอีก ๓,๐๐๐ บาท เมื่อไปถึงเขาเติมให้แล้วนะ ก็ยังถวายมาอีก แต่ก็เป็นการบังเอิญ ขณะที่เดินทางมาคุณบังเอิญ ก็ถวายค่าน้ำมันเสียเองอีก ๑,๘๐๕ บาทเป็นอันว่า เงินของคุณสมบูรณ์ ๓,๐๐๐ บาทนี่ ขอแยกเป็น๓ ส่วน ส่วนที่หนึ่ง สร้างองค์ปฐม ส่วนที่สอง ซื้อเพชรประดับเรือนแก้วองค์ปฐมส่วนที่สาม สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วก็สำหรับคุณวันดี เวสาวัชชานนท์ นี่ยังถวายประจำวันอีก วันละไม่เท่ากันรวมแล้วทั้งหมดเป็นเงินทั้งสิ้น ที่เธอถวายประจำวัน ๒๓,๖๐๐ บาท

เมื่อรวมแล้วจริง ๆ เจ้าของบ้านถวาย เท่าที่ทราบ ๓๑๒,๑๖๐ บาทและก็บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำบุญใส่ขันอีก ๑๓๕,๒๑๘ บาท รวมทั้งสิ้นที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทำบุญที่บ้านนั้น ๔๔๗,๓๗๘บาท ค่าวัตถุมงคลที่นำไป มีญาติโยมทำบุญอีก ๑๗๕,๐๗๓ บาท รวมรับที่บ้านคุณสมบูรณ์จริง ๆ ๖๒๒,๔๕๐ บาท ที่วัดเขาไผ่ ที่วัดเขาไผ่นี่ ความจริงเจ้าของวัด ไม่ได้ถวายเงินแต่ว่าถวายน้ำปลามาเป็นร้อยกล่อง แต่ว่าที่นั่น ได้เนื่องในการทำบุญที่ผู้ใหญ่จุ๋ม รับวัตถุมงคลไป ได้ถวายมา ๕๙,๐๐๐ บาท

และมีผู้ที่สร้างองค์ปฐมอีก ๔,๕๖๐ บาท และบรรดาลูกหลานทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกหลานบ้านฉาง เป็นกำลังใหญ่ที่นั่น ถวายใส่ย่ามอีก และรวมคนอื่นด้วยนะ ใส่ย่ามอีก ๗๒,๔๑๖ บาท และก็มีพระมาถวายเงินชำระหนี้สงฆ์อีก ๕๐๐ บาท รวมรับที่วัดเขาไผ่จริง ๆ ก็ ๑๓๗,๔๗๖ บาทและก็มา ที่บ้านบึง คณะปั๊มชนะใจ มี พัชรี เป็นหัวหน้านำคณะมาถวายอีก ๕๔,๗๔๐ บาท และก็มีท่านทั้งหลาย ที่ถวายกระจุ๋มกระจิ๋มอีกหลายรายด้วยกัน

เมื่อกลับมาถึงวัดแล้ว รวมยอดจริง ๆ ที่รับมาจากบ้านคุณสมบูรณ์ และก็ที่วัดเขาไผ่ รวมแล้วทั้งหมด ๙๑๙,๐๕๕ บาทก็เป็นอันว่า ท่านเต็มใจทำบุญกันเอง การไปคราวนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าตั้งใจจะไปเอาเงินเอาทอง ทั้งนี้ก็เพราะว่า ที่นั่นมีศรัทธาดีมาก เมื่อไม่ไป ท่านก็นำมาถวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถึงปีก็นำทุเรียนบ้าง เงาะบ้าง มังคุดบ้าง ลางสาดบ้าง มาถวายเป็นคันรถ ทำให้พระเณร เด็ก และคนในวัด โรงเรียนทั้งสองโรงเรียน อิ่มหมีพีมันบริบูรณ์ไปด้วย ทุเรียน ผลไม้ สำหรับปีนี้ก็มีโชคดีพิเศษ

นั่นคือคณะสมบูรณ์นำมาแล้ว ๑ คันรถ พอหมด หมายความว่า โรงเรียนทั้งสองโรงเรียนเขาช่วยกันกินด้วย พระด้วย คนในวัดด้วย คนงานด้วย แจกกันเป็นสาธารณประโยชน์ กินหมดไป ๑ คันรถหกล้อ พอหมดวันนี้ วันรุ่งขึ้น คุณนิตยา ธรรมสันติ ก็นำมาอีก๑ คันรถ ก็เลยกินต่อกันไปอีก พอกินหมดไม่กี่วัน ก็ไปบ้านคุณสมบูรณ์ กลับมาคราวนี้ คุณสมบูรณ์ก็นำมาอีก ๑ คันรถ กับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทหลายคนนำมาถวาย นำมาคนละลูกบ้างสองลูกบ้าง บางคนก็มาทุกวัน วันละลูกบ้าง

โดยมากจะเป็นหมอนทอง รวมแล้ว ได้ ๑ คันรถ ก็รวมความว่า ปีนี้มีโชคดีได้กินทุเรียน ๓ คันรถ นี่ความจริงท่านมีศรัทธาขนาดนี้ ที่ไป ความจริงไม่ได้หวังเงินไม่ได้หวังทอง คิดว่าแค่ทุเรียนที่ท่านมาถวาย ก็เกินทุนที่จะพึงจ่ายไปแล้ว ทุนที่จ่ายไปจริง ๆ นอกจากน้ำมันที่เติมไปจากวัด ไม่ทราบว่าเท่าไร เพราะเป็นปั๊มของวัด และก็จ่ายเงินจริง ๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ ที่ติดตามก็ ๑๖,๐๐๐ บาท นี่เป็นค่าใช้จ่าย เท่านั้นเอง แต่รับมาจริง ๆถึง เก้าแสนเศษ

แล้วก็ปีต่อไป ก็ไม่มีความจำเป็นว่า ปีนี้เก้าแสนเศษปีหน้าต้องเก้าแสนเศษ ก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับบ้านนี้ถ้าไป ไม่ถวายเลยก็ไม่เป็นไร พร้อมที่จะไป เพราะว่าทุกคนมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาจริง ๆ การจะทอดกฐินก็ดีการจะทอดผ้าป่าก็ดี ถวายกันอย่างหนัก ปกติก็ส่งมาถวายกัน นั่นเป็นที่พอใจแล้ว เมื่อเวลาไปที่บ้านจริง ๆ จะถวายหรือไม่ถวายก็ไม่สำคัญ แต่ว่าขออย่างเดียว ขอข้าวกินก็แล้วกัน

ทีนี้มันมีเรื่องอยู่ว่า ในเมื่อไปถึงที่นั่น ท้องเดินหนัก ก่อนที่จะลงสอนกรรมฐานท้องถ่าย ๒ ครั้ง หนักมาก รู้สึกโผเผ ต้องมานั่งพักอยู่ชั่วคราว ต้องฉันยากระตุ้นประสาท ก็ลงไปแนะนำกรรมฐานตามสมควร พอขึ้นมา ถ่ายอีก ๘ ครั้ง ก็พอดีไปในงานคราวนี้ ก็มีวัดอะไร วัดหนองกุย วัดหนองกุยนี่ความจริงท่านให้โยมเสงี่ยมพามา นิมนต์ไปวัดหนองกุย ความจริงอาตมาก็ไม่ทราบว่าวัดหนองกุยอยู่ที่ไหน ตามปกติแล้วไม่รับนิมนต์ภายนอก ก็ปิดป้ายไว้แล้ว

ไม่รับกิจนิมนต์ภายนอกและโยมเสงี่ยมก็พามา อาตมาก็บอกว่า ถ้าหากว่าไปที่บ้านคุณสมบูรณ์ที่ห้วยสะท้อน อำเภอท่าใหม่ ถ้ามีความสบายดี และมีความสะดวกก็จะไป ถ้าไม่สบาย ก็ไม่ไป ตกลงไว้ตามนี้ครั้นเมื่อไปบ้านคุณสมบูรณ์จริง ๆ เกิดถ่ายจริง ๆ ตั้ง ๑๐ ครั้งมันก็ไปไม่ไหว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรถเลี้ยวเข้าห้วยสะท้อนเห็นป้ายเขาเขียนบอกว่า ที่วัดหนองกุย จะมีเทศน์ภาณยักษ์ทรงเครื่องและมีการเป่ายันต์มหาเกราะเพชร โดยฤาษีลิงขาว ฤาษีลิงดำ และสามเณรน้อย จังหวัดอ่างทอง

เมื่ออ่านป้ายเข้าแล้วก็ตกใจ การเป่ายันต์เกราะเพชร บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เขาเป่ากันอย่างไร ถ้าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานจริง ๆ จะเป่าได้เฉพาะเสาร์ห้า เท่านั้น คำว่า เสาร์ห้า ก็หมายความว่า ขึ้น ๕ ค่ำของเดือนนั้น จะเดือนอะไรก็ได้ ไม่ใช่เดือนห้าต้องเป็นข้างขึ้น และก็ ๕ ค่ำ จึงเป่าได้ ฉะนั้นการไปคราวนั้นมันไม่ใช่เสาร์ห้า ถ้าอาตมาไปในงานนี้ ถ้าบังเอิญไม่ป่วยนะ ความจริงที่ไม่ไปเพราะป่วย และก็ถ้าหากว่าไม่ป่วย ก็คงไปไม่ได้เหมือนกัน

เพราะการเป่ายันต์ฯ ไม่ใช่เสาร์ห้า อาตมาไป อาตมาก็เสีย ก็ถือว่า เป็นคนลบหลู่ครูบาอาจารย์ที่สอนมา โดยเฉพาะหลวงพ่อปานเอง ท่านก็เป่าเฉพาะเสาร์ห้าเท่านั้น วันอื่นท่านไม่เป่าหลังจากนั้น วันรุ่งขึ้น วันที่ ๑๙ ไปที่วัดเขาไผ่ วัดเขาไผ่นี่ไปได้เพราะอะไร เพราะว่าผู้ใหญ่จุ๋มนี่รู้เรื่องกันดี เพราะว่าไปที่นั่น ไม่มีงานทำ เพราะว่าไปถึงแล้วก็นั่งที่เดียว และก็มีคนมาทำบุญกัน ผู้ใหญ่จุ๋มก็ไม่รบกวนว่า หลวงพ่อต้องไปทำโน่น ต้องไปทำนี่

ไม่อย่างนั้นเราจะนั่งตรงไหน เราก็นั่งของเรา ผู้ใหญ่จุ๋มก็ไม่กวน ตามใจทุกอย่างฉะนั้นเมื่อไปนั่งอย่างเดียวก็ไปได้ แต่หนองกุยนี่ คงไม่ได้นั่งอย่างเดียวแน่ เพราะท่านจะเกณฑ์ให้เป่ายันต์เกราะเพชร การเป่ายันต์เกราะเพชรบรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องมีกำลังดี ร่างกายดี มีจิตใจดี ต้องใช้สมาบัติขั้นสูง ทีนี้ก็มาคุยถึง เรื่องยันต์เกราะเพชร ยันต์เกราะเพชรนี่ ความจริงอาตมาเรียนตรงมาจากหลวงพ่อปาน เมื่อเรียนตรงมาแล้ว ก็ไม่เคยเป่าให้ใครเลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเกรงว่า จะเป่าไม่ออก

ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ อาตมาป่วยอยู่ที่บ้าน ฉวีวรรณ สรรพกิจ ที่กรุงเทพฯ คุณหมอประสิทธ์ ฟูตระกูล กำลังให้น้ำเกลืออยู่ ขณะที่นอนให้น้ำเกลืออยู่ ขณะที่เขาจะแทงเข็ม ก็คิดว่า เข็มย่อมเป็นอันตราย อาจจะถึงชีวิตได้ ฉะนั้นจึงภาวนา จับอารมณ์ถึงขั้นสูงสุดคิดว่า ถ้าตายเพราะเข็มเราก็จะไปนิพพาน กำลังใจก็เป็นสุข ขณะที่หมอประสิทธ์ ฟูตระกูล เธอให้น้ำเกลือแล้ว เธอก็ออกไป ก็นอนภาวนาอยู่ ขณะนั้นก็เห็นภาพหลวงพ่อปานท่านมา

ท่านบอกว่าต่อนี้ไปเธอต้องเป่ายันต์เกราะเพชร เพราะว่าเธอเรียนมาแล้ว เวลานี้ไม่มีใครเป่าได้ ลูกศิษย์ที่เรียนมาจริง ๆ ก็เหลือเธอเท่านั้นที่เรียนมาโดยตรง แต่ว่าที่เขาเรียนมาจากคนอื่น ก็เป็นเรื่องต่างหาก เรื่องคาถาอาคมจำกัดกันไม่ได้ เพราะเขาอาจจะไม่เรียนที่เรา เขาอาจจะเรียนที่อื่นเป็นของธรรมดา ก็จะถือว่า การเป่ายันต์เกราะเพชร คนอื่นเป่าไม่ได้ ไม่จริง ใครก็เป่าได้ ถ้าเขาเรียนมาแล้ว ทีนี้มีปัญหาอยู่ว่า จะต้องเป่าเฉพาะวันเสาร์ห้า เลยกราบเรียนท่าน

บอกว่า ผมเป่าได้แต่ว่าเกรงว่ายันต์จะไม่ออก ทั้งนี้เพราะว่าตั้งแต่เรียนมาผมยังไม่เคยทำเลย
ท่านบอกว่า มันถึงวาระที่จำเป็นจะต้องทำ เธอต้องทำ
ก็ถามท่านว่า ทำอย่างไรถึงจะเป่าออกขอรับ

ท่านบอกว่า เธออย่าเป่าเองซิ ให้พระท่านเป่า ฉันเอง ในสมัยที่ฉันเป่า ก็เช่นเดียวกัน ฉันไม่ได้เป่า ฉันก็ทำตามพระท่านสั่ง ท่านสั่งให้เขียนยันต์เกราะเพชร และยืนอยู่หลังกระดาน แล้วท่านสั่งภาวนาอย่างไร เราก็ภาวนาอย่างนั้น แล้วท่านก็เป่าของท่านเอง เราก็ดูภาพว่ายันต์เกราะเพชรเข้าเกาะตัวคนทุกคนแล้วหรือยัง ถ้ายันต์เกราะเพชรเข้าเกาะตัวทุกคนแล้ว และพระท่านบอกว่า เต็มแล้ว ครบถ้วนแล้ว เลิกได้ เราก็สั่งเลิก

ก็เป็นอันว่ารับปากท่าน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ จึงเริ่มเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นครั้งแรก นี่ว่าถึงยันต์เกราะเพชร สำหรับ คุณสมบัติของยันต์เกราะเพชรนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท หลวงพ่อปานท่านบอกแต่เพียงว่า กันคุณผี คุณคน แต่ความจริงยันต์เกราะเพชรนี่ เป็นยันต์ยอดธงมหาพิชัยสงคราม ในสมัยสุโขทัย เวลาที่เขาจะรบ เขาใช้ธงมหาพิชัยสงครามด้วย และใช้ยันต์เกราะเพชรอยู่ข้างบนยอดธงมหาพิชัยสงคราม

ต้องถือว่าเป็นยันต์ที่มีความสำคัญมาก แต่อาตมาจะไม่อธิบายคุณสมบัติ เพราะจะออกนอกคอกเกินไป ครูไม่อธิบายก็ไม่อธิบายทีนี้มาว่ากันถึงว่า ยันต์มหาพิชัยสงครามมีอยู่ที่ไหน ก็ขอบอกว่า ยันต์แดง ยันต์ผ้าแดง นั่นคือผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม เรื่องมีอยู่ว่า ในขณะที่อาตมาออกไปจากกรุงเทพ ฯ มาเรียนบาลีที่กรุงเทพ ฯกลับไปที่วัด เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ ในตอนนั้น พระอาจารย์เจิมเป็นเจ้าอาวาส และท่านก็บังเอิญตาย เขาก็บังคับให้อาตมาเป็นเจ้าอาวาส อาตมาก็เป็นเจ้าอาวาสจำเป็น

จำใจที่จำจะต้องเป็นเจ้าอาวาส ก็ช่างเขา ในเมื่อเขาให้เป็น ก็เป็นไปตามเรื่อง และก็ประชุมพระ มีพระผู้ใหญ่มากกว่า ก็บอก ท่านก็บอกว่า งานทุกอย่างขอให้ร่วมกันทำ ผมคนเดียวทำไม่ไหว ก็เป็นอันว่า พระท่านก็ร่วมกันทำต่อมาคืนหนึ่ง ปิดไฟ ดับไฟเรียบร้อย ฟังข่าวจากสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย เพราะวิทยุนี่ชอบฟังเฉพาะข่าว เรื่องเพลง เรื่องละคร เรื่องอะไรนี่ มันฟังไม่ค่อยได้ ฟังได้เหมือนกัน แต่ไม่รู้เรื่องเพราะเป็นคนแก่ ตอนนั้นก็แก่ไม่มาก แก่แค่อายุ ๓๒ ปี แต่แก่โขแล้ว ๓๒ ปี เด็ก ๆ ก็ไม่รักแล้ว

ขณะที่นอนฟังสถานีวิทยุอยู่ เสียงวิทยุก็ได้ยิน ก็มีเสียงคนเดิน ยวบ ๆ ๆ ความจริงกุฏิแน่นหนามาก ไฟก็ดับมองไปเห็นคนนุ่งขาวห่มขาว เดินเข้ามา และก็มานั่งบนเตียง นั่งปุ๊บบนเตียง เตียงยวบ
ถามว่า ท่านเป็นใคร
ท่านก็บอกว่า ฉันเป็นพรหมชั้นที่ ๘ เป็นเจ้าของตำราของท่านปาน เวลานี้ท่านปานตายแล้ว และมอบตำราให้แก่เธอ แล้วเธอทำไมจึงไม่ใช้ตำรา ทำยันต์บ้าง ทำตะกรุดบ้าง ทำพระบ้าง แจกชาวบ้าน

ก็เลยกราบเรียนท่าน บอกว่า ผมทำไม่ได้ขอรับ เพราะว่าหลวงพ่อปานดีกว่าผมมาก คนที่รับไปยังมีความอกตัญญู ไม่รู้คุณท่าน ผมดีไม่ถึงท่าน คนที่รับไปจะมีผลเป็นประการใด
ท่านก็บอกว่าเธอต้องทำ
ถามว่า ทำไมจึงต้องทำ
ท่านก็บอกว่า ตำราท่านปานคนที่สืบตระกูลกันมา เธอเป็นคนสุดท้ายนะ ฉันเป็นต้นตระกูลต้นตำรา เจ้าของตำรา และตระกูลของฉันก็มีคุณเป็นคนสุดท้ายของตระกูล ถ้านอกจากคุณแล้ว ใครจะนำตำรานี้ไปใช้ จะมีผลไม่ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะฉันไม่ช่วย

และท่านก็บอกคาถาโน่น คาถานั่น คล้าย ๆ กับหยิบตำรามาอ่านให้ดู
ในที่สุดก็บอกว่า ผมไม่เอา อย่างไรก็ไม่เอา เพราะว่าหลวงพ่อปานดีกว่าผม ยังถูกคนนินทา ผมดีไม่เท่าหลวงพ่อปาน ผมไม่เอาแน่ ท่านก็นั่งนิ่งไปพักหนึ่ง

แล้วท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันอย่างอื่นไม่ทำก็ไม่เป็นไร ให้ทำยันต์ธงมหาพิชัยสงคราม เพราะยันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ใช้ได้ทุกอย่าง ทั้งป้องกันด้วย ทั้งมีลาภสักการะด้วย สถานที่มีเสนียดจัญไรทั้งหลายก็ตาม ถ้ามีอยู่ อย่างบ้านถูกฟ้าผ่าก็ตาม ปลูกบ้านคร่อมป่าช้าก็ตาม คร่อมตอก็ตาม ถ้าเอายันต์ไปแล้ว เสนียดจัญไรจะคลายตัว จะไม่มีอันตรายจากเสนียดจัญไรทั้งหลายเหล่านั้น

เมื่อท่านเขียนยันต์ให้ดูเยอะแยะ ก็บอกว่า ไม่เอาหรอกท่าน ผมไม่เอา
ท่านบอก เธอต้องเอา ยันต์นี้ต้องทำ
ก็บอก ไม่ทำ เพราะมันมาก ทำไม่ไหว อ่านไม่ไหว
ท่านบอก คุณมันโง่ เขาก็ใช้คาถา ๔ คำ ตอนท้ายนี่แหละ

ท่านก็บอกคาถา ๔ คำให้ ให้เขาพิมพ์ผ้ายันต์มาให้เสร็จ เธอก็เสกด้วยคาถา ๔ คำ เมื่อท่านบอกอย่างนั้นแล้ว
อาตมาก็บอกว่าไม่เอา คาถา๔ คำ ก็ไม่เอา
ท่านถามว่า ทำไม
บอก ไม่แน่ใจในตนเอง

ท่านก็นิ่งไปประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็หันมาพูดบอกว่า ไอ้สันดานของคุณนี่ มันดื้อมาตลอดกาล ตั้งแต่สมัยไหน ๆ มันก็ดื้อ มาชาตินี้ชาติสุดท้าย มันก็ดื้ออีก
ก็เลยกราบเรียนท่าน บอกว่า ในเมื่อดื้อมาแล้ว จะมาเลิกดื้อได้อย่างไร ต้องรักษาความดี คือ ความดื้อเข้าไว้ก่อน

ในที่สุดท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ของนี้จะสลายตัวเสีย ต่อนี้ไปถ้าเธอจะทำอะไร จะสร้างพระก็ดี จะทำตะกรุดก็ดีจะทำผ้ายันต์ก็ดี จะทำผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามก็ตาม ทุกอย่างให้เธอเอาผ้าขาวปูบนโต๊ะ และเอาของวางไว้ ให้จุดธูปจุดเทียนอาราธนาพระไตรสรณาคมน์เสร็จ ระลึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บวงสรวงเสร็จ เชิญเทวดา เชิญพรหม เชิญครูบาอาจารย์ให้ครบถ้วน หลังจากนั้น ฉันจะมาทำให้เอง แล้วก็เธอนั่งอยู่ ว่าคาถาตามฉันบอก ฉันบอกให้ว่าคาถาอะไร เธอก็ว่าคาถาอย่างนั้น ว่าไปเฉย ๆ ไม่ต้องทำ ฉันบอกให้เปลี่ยน เธอก็เปลี่ยนตามฉันสั่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นหน้าที่ของฉันโดยตรง

ก็รวมความว่า ผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามก็ดี ยันต์เกราะเพชรก็ดี และพระต่าง ๆ ก็ดี บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ที่อาตมาทำความจริงญาติโยม และลูกหลานทั้งหลายคิดว่า อาตมาทำ แต่ความจริงอาตมาไม่ได้ทำ นี่บอกกันตรงไปตรงมา เพราะว่าสันดานคนดื้อมันเป็นอย่างนั้น เมื่อถึงวาระเข้าจริง ๆ ก็จุดธูปจุดเทียนเสร็จ บวงสรวงเสร็จ ก็อาราธนาตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงมาทั้งหมดในตอนต้น ๆ ท่านพรหมชั้นที่ ๘ และท่านท้าวมหาชมพูบ้าง ท้าวผกาพรหมบ้าง และพระอินทร์บ้าง

ต่อมาช่วงระหว่างนี้ ก็อาราธนาตั้งแต่พระพุทธเจ้า ทุก ๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ทุก ๆ พระองค์ พรหมทุกท่าน พระอริยเจ้าทุกท่าน เทวดาทั้งหมด ครูบาอาจารย์ทั้งหมด ช่วยกันทำแล้วก็นั่งฟังคำแนะนำของพระผู้ควบคุม จะมีพระองค์หนึ่งเข้ามาควบคุมมายืนใกล้ ๆ บอกว่า เวลานี้เธอว่าคาถาบทนี้ และจับอานาปานสติให้ทรงตัว ขณะนั้นจิตจะเคลื่อนนิดเดียวไม่ได้เลย จิตเคลื่อนนิดท่านบอก จิตเคลื่อน ใช้ไม่ได้ เริ่มต้นใหม่ ต้องทำจิตให้ทรงตัวจริง ๆ นิ่งอยู่ตลอดเวลา

จนกว่าท่านจะบอกเลิกก็รวมความว่า การเป่ายันต์เกราะเพชรก็ดี อาตมาก็ไม่ได้เป่าพระท่านเป่า การทำผ้ายันต์ก็ตาม ทำพระก็ตาม อาตมาไม่ได้ทำ พระท่านทำ เทวดาท่านทำ พรหมท่านทำ ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย และลูกรักทุกคนโปรดทราบตามนี้ว่า คนที่คิดว่าอาตมาเก่งความจริงไม่ใช่เก่งน่ะ เก่งจริง ๆ แต่ว่าเก่งในทางดื้อ คือว่า ยอมรับคำสอน ไม่ยอมรับคำแนะนำของครูบาอาจารย์ ในที่สุดก็เดือดร้อนครูบาอาจารย์ต้องมาทำให้เองฉะนั้น การที่วัดหนองกุยเขียนป้าย มีชื่ออาตมาไปเป่ายันต์เกราะเพชร ไม่ใช่วันเสาร์ห้า อาตมาก็ไปไม่ได้

ถึงแม้ว่าไม่ป่วย ก็ไปไม่ได้ ทั้งนี้เพราะว่า ไม่ใช่วันเสาร์ห้า และอีกประการหนึ่งการเป่ายันต์เกราะเพชร ตั้ง ๓ องค์ นี่ จะเป่ากันอย่างไร ฤาษีลิงขาวอยู่หน้า ฤาษีลิงดำรอง แล้วเณรเล็กรอง ถ้าว่ากันทางโลกแล้ว ทางอาวุโสก็ไม่ถูกต้อง อาตมามีอาวุโสมากกว่าฤาษีลิงขาว ฤาษีลิงขาวนี่ก็คนละฝูง ไม่ใช่ฝูงเดียวกัน ไม่รู้ว่าท่านเกิดมาจากป่าไหน แต่ลิงขาวที่เป็นเพื่อนอาตมานั่นยังอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ ยังอยู่ในป่าไม่ได้ออกมา แต่ลิงขาวองค์ที่เป่ายันต์เกราะเพชรนี่คนละฝูง แต่ว่า ขึ้นชื่อว่าความสามารถ บรรดาท่านพุทธบริษัท จะเหยียดหยามกันไม่ได้

และความสามารถของท่านอาจจะมี และก็ต้องมีด้วย ถ้าไม่มี ท่านก็ทำไม่ได้ ถือว่า ในเมื่อไม่ใช่วันเสาร์ห้า อาตมาก็ต้องไม่ไป ถ้าไปก็เสียแน่นอน เพราะว่าใคร ๆ ก็ทราบว่าการเป่ายันต์เกราะเพชร ต้องเป็นวันเสาร์ห้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาตมาก็เป็นพระ ที่ท่านตั้งให้เป็นพระราชาคณะ ถ้าเสีย ก็เสียมากกว่าพระสามัญชนธรรมดาก็รวมความว่า บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทโดยทั่วหน้า ที่มีความสงสัยว่า อาตมาทำไมจึงไม่ไปวัดหนองกุย

ก็โปรดทราบตามนี้และในที่สุดนี้ อาตมาภาพก็ขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ทั้งสามประการ จงอภิบาลทุกท่าน ท่านเจ้าของบ้านก็ดี ท่านที่มาร่วมทำบุญก็ดี และลูกสาวที่บ้านคลองน้ำใส อำเภออรัญประเทศ อุตส่าห์มาตั้งร้อยกิโลกว่าเอาเทียนมาถวาย เอาทองมาถวายก็ดี

และลูกหลานที่รัก ลูกแก้วทางบ้านฉางก็ดี และทุกท่านก็ตามขอทั้งหมด จงมีแด่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล ปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาทุกประการอาตมาพูดมา ก็หมดเวลาพอดี ขอลาก่อน บรรดาท่านพุทธบริษัท

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 22/9/13 at 22:36

2

บ้านหน้าถ้ำที่อีสาน


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย มาตอนที่ ๒ นี้ ก็มาคุยกันเรื่องธุดงค์ เมื่อเล่มก่อนมาค้างธุดงค์ในภาคอีสาน ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นจังหวัดอะไร ในตอนนั้น ปรากฏว่าท่านอินทกะ ท่านพาเดินมาพบภูเขาลูกหนึ่ง ใหญ่ยาวมาก และก็มีถ้ำ มีหน้าผาสูง มีถ้ำลึก ด้านหน้าถ้ำก็เป็นเชิงออกมายาวกว้างขวาง เป็นที่นอนสบาย ๆ เป็นธรรมดาของนักธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ ย่อมชอบที่สงัด คือว่า ในสถานที่ใด กลางคืนไม่ได้ยินเสียงสุนัขของชาวบ้านเห่า ที่นั่นอยู่ได้ ถ้าได้ยินเสียงสุนัขของชาวบ้านเห่า ต้องไปให้ไกลกว่านั้น

นั่นหมายความว่าไม่ต้องการพบคน ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทอยากจะถามว่า ถ้าไม่พบคน กินอะไร ก็ขอตอบว่า กินข้าว ถามว่า หาข้าวจากไหน ก็ตอบว่า หาข้าวจากเทวดา หากว่าท่านจะถามว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่คุยมากเกินไปหรือ ก็ต้องขอตอบว่า คุยไม่มาก คุยคนเดียว แล้วก็คุยตามความเป็นจริง ความสามารถอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่มีแต่คณะของอาตมาคณะเดียว หลาย ๆ คณะท่านก็ทำกันอย่างนั้น ท่านทำกันมาก่อน ครูบาอาจารย์ทำมาก่อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนหลังก็มี คณะอาจารย์สร้อยจังหวัดสระบุรี ท่านก็ทำเป็นปกติ และมีคณะ ไม่ใช่คณะ มีองค์เดียว อาจารย์สำราญ ที่ภูเขาภูกระดึง ภูเขาภูกระดึง บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท คนที่จะขึ้นไป ต้องเดินถึง ๕ ชั่วโมงเศษ และต้องเดินจากที่ขึ้นไปถึงแล้ว ไปอีก ๘ กิโลเมตร จึงจะถึงที่อาจารย์สำราญอยู่ท่านอยู่องค์เดียว อยู่เป็นปี เข้าใจว่าอยู่ถึง ๓ ปี โดยไม่มีที่จะบิณฑบาต ท่านก็ใช้วิธีนี้เหมือนกัน ที่นำเรื่องนี้มาพูด ก็เพราะว่า บางท่านคิดว่า มันจะเกินพอดีไป

ความจริงไม่เกินพอดี อาตมายังไม่เก่งพอเสียอีก ในเมื่อธุดงค์อุกฤษฏ์ อาศัยข้าวจากเทวดา ก็มีความดีอยู่อย่างหนึ่ง บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าวันไหน ถ้าจิตใจของเราเลว จิตใจเข้าไปยุ่งกับโลภะ ความโลภ ราคะ ความรัก โทสะ ความโกรธ โมหะความหลง แค่อารมณ์คิด ถ้าปรากฏมีกับจิตของเราในวันนี้ วันพรุ่งนี้เทวดาไม่ใส่บาตร ถ้าวันใด จิตใจปลอดโปร่งจากอารมณ์ทั้ง ๔ ประการนั้น เทวดาใส่บาตร นางฟ้าใส่บาตรให้ ก็เป็นการระมัดระวังตัวไปในตัวเสร็จ

ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะถามว่า ถ้าอย่างนั้นท่านเป็นพระอรหันต์แล้วใช่ไหม ก็ตอบว่า ไม่ใช่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ต้องเดินธุดงค์ จะเดินไปทำไม พระอรหันต์อยู่ที่ไหนก็สงัด การออกธุดงค์ในป่า ก็เป็นการหาที่สงัด พระอรหันต์ท่านอยู่ที่ไหน ท่านก็สงัด พราหมณ์เคยถามพระพุทธเจ้าว่าพระอริยเจ้าทั้งหลาย ต้องการอยู่ป่าช้า ต้องการอยู่ป่าชัฏ ต้องการอยู่บ้านร้าง ต้องการอยูที่สงัดใช่ไหม

พระพุทธเจ้าตอบว่า พราหมณะ ดูก่อนพราหมณ์ ไม่ใช่อย่างนั้น พระอริยเจ้า จะอยู่ป่าช้าก็ดี จะอยู่ป่าชัฏก็ดี จะอยู่ในบ้านเปล่าก็ดี ก็สงัด จะอยู่ในบ้านในเมืองก็สงัด เพราะจิตท่านสงัดจากกิเลสเสียแล้ว รวมว่า จิตสงัดจากกิเลส นี่พูดกันยาวเกินไปนะ ก็หวนกลับเข้ามา เมื่อเข้าถ้ำ ท่านอินทกะท่านก็หายไป ท่านไม่ได้มายืนเฝ้าหรอก บรรดาท่านพุทธบริษัท เทวดาท่านไม่ได้มายืนป๋อเฝ้า มายืนยามแบบนั้น ท่านมาส่ง แล้วท่านก็หายไป

พวกเราก็ปัดกวาดสถานที่ แต่สถานที่ไม่ต้องทำอะไรมาก เหมือนกับมีคนมาจัดสถานที่ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ในที่นั้นมีธารน้ำไหล ก็นอนกันอย่างเป็นสุขเป็นสุขอย่างพระธุดงค์ มีผ้านุ่งหนึ่งผืน มีผ้าจีวรหนึ่งผืน มีสังฆาฏิหนึ่งผืน มีผ้าอาบหนึ่งผืน มีอังสะหนึ่งตัว มีบาตร มีธัมมกรกสำหรับกรองน้ำ มีกลด สมบัติมีเพียงเท่านี้ อากาศก็รู้สึกจะเย็น ๆ แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อจับ อานาปานสติ กับเตโชกสิณ ความอุ่นก็เกิดขึ้นนอนแบบสบาย ๆ ตามแบบฉบับของพระ

ในเมื่อนอน ๆ ไปแล้ว ก่อนจะนอนก็เจริญกรรมฐาน นี่เป็นของธรรมดา ไม่ต้องเล่ากันดีกว่ามั้ง เป็นอันว่า นอนอย่างเป็นสุขพอตื่นเช้าขึ้นมา บรรดาท่านพุทธบริษัท ตั้งใจจะออกบิณฑบาตตามแบบฉบับเดิม นั่นก็คิดว่า ตั้งใจว่า เราจะเดินจากต้นไม้ต้นนี้ ไปถึงต้นไม้ต้นโน้น ถึงแล้วก็เดินกลับมาถึงต้นไม้ต้นนี้ ถ้าไม่มีใครใส่บาตรเราจะอยู่ด้วยธรรมปีติ คำว่า ปีติ คือ ความอิ่มใจ ท่านทั้งหลายอาจจะสงสัยว่า อยู่ด้วยธรรมปีติจะไม่อดตายหรือ ต้องตอบว่า ไม่อดร่างกายจะไม่ทรุดโทรม ข้าวไม่กิน น้ำกิน น้ำก็กินตามธรรมดา ๆ แต่ใจมันอิ่ม แต่จิตต้องคุมอารมณ์ไว้อย่างน้อยแค่ อุปจารสมาธิ เป็นอย่างเบา

ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องเล่น ฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ กันไปเลยจิตจะเป็นสุข ร่างกายจะสบายถ้าถามว่า สมาบัติ ๘ ทำได้หรือ ก็ตอบว่า เป็นของไม่ยากสมาบัติ ๘ หรือฌาน ๔ ก็อันเดียวกัน สมาบัติ ๘ ก็คือฌาน ๔ ฌาน ๔ ในรูปฌาน จับรูปเป็นสำคัญ สมาบัติ ๘ ก็ใช้ฌาน ๔ จับสิ่งที่ไม่มีรูป ก็ไม่มีอะไรยาก ก็เหมือนกับบุคคลคนเดียวกัน มองดูวัตถุ กับมองดูอากาศ เวลานี้เรามองดูวัตถุ จิตใจจับที่วัตถุ จิตทรงอารมณ์อยู่เวลานี้เราเลิกจากวัตถุ จับอากาศ มองที่ว่าง ก็เห็นที่ว่าง ไม่เห็นวัตถุก็แค่นั้นแหละ

ก็ใจของบุคคลคนเดียวกัน เป็นคน ๆ เดียวกัน ฌาน ๔ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อจับรูป ก็เรียกว่า รูปฌาน เมื่อไม่จับรูป ก็เรียกว่า อรูปฌาน คือ ฌานที่ไม่มีรูป เอาละคุยพอเข้าใจทีนี้เมื่อออกมาจากถ้ำก็ตกใจ ตกใจเพราะอะไร เพราะว่าเมื่อวันวานนี้ การเดินทางมาที่ถ้ำนี้มีป่าเปลี่ยว มีรอยเสือ มีขี้ช้าง มีฝูงลิง แสดงสัญลักษณ์ แต่ว่าเวลานี้ ขณะที่ออกมาจากถ้ำ ห่างจากถ้ำไปประมาณ ๑๐ วา มีหมู่บ้านเต็มไปหมด ประมาณ ๑๐๐ หลังคาเรือน

มีทั้งเด็ก มีทั้งผู้ใหญ่ คนสาว คนแก่ ยุ่มย่ามไปหมด ต้นไม้สวย ๆ ลูกไม้สุกอร่าม อย่างลูกมะปรางนี่ เหลืองอร่าม ลูกมะม่วงก็เหลืองอร่าม ลูกมะเฟืองก็เหลืองอร่าม มันเหลืองไปหมด ผิดปกติก็หันมาปรึกษากัน ๓ องค์ว่า มันอย่างไรกันแน่นี่ เมื่อวานนี้เรามาไม่มีบ้าน มันเป็นป่าเปลี่ยว แต่บ้านพวกนี้ยกกันมาได้อย่างไร คืนเดียวตั้งร้อยหลังคาเรือน แล้วคนจริง ๆ ก็เกือบจะเป็นพันคน สององค์บอกว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า ลำพังกำลังใจของเรามันดีไม่พอ ดีไม่ดีจะเป็นอุปาทาน เราถามท่านอินทกะดีกว่า

ในฐานะที่ท่านคุมพวกเรามา เป็นพี้เลี้ยง ก็นึกถึงท่านอินทกะ ท่านอินทกะท่านก็มา
ถามท่านอินทกะว่า เมื่อวานนี้ ตรงนี้มันไม่มีบ้านนี่ แล้วบ้านมันมาอย่างไร หรือภูเขาเดินเข้าไปหาบ้าน
ท่านอินทกะท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า คุณสังเกตดูให้ดีซิว่า คนทุกคนที่นี่ จะไม่กระพริบตา
พอท่านพูดอย่างนี้ก็นึกได้ว่า อ้อ…ต้องเป็นเทวดาแปลงแน่ เราเกือบจะถูกตุ๋น แต่ความจริงเทวดาเริ่มตุ๋นแล้ว นักธุดงค์นี่ต้องถูกตุ๋น ทั้งนี้เพราะอะไร

เพราะว่า พระมหากัสสป ท่านเป็นคณาจารย์ใหญ่ฝ่ายธุดงค์ในพระพุทธศาสนา เป็นหัวหน้าใหญ่ในสมัยพระพุทธเจ้าก็ถูกเทวดาตุ๋นนับครั้งไม่ถ้วน ในฐานะที่พวกเราเป็นลูกศิษย์ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าไม่ถูกตุ๋นมันก็ซวย ถูกตุ๋นมาไม่รู้กี่วาระ ตั้งแต่เขตอำเภอศรีประจันต์ ก็ถูกตุ๋นมาแล้ว ทีนี้มาภาคอีสานก็ถูกตุ๋นอีก เลยถามท่านอินทกะว่า ถ้าอย่างนั้น จะบิณฑบาตที่ไหนล่ะ ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บ้านที่มาตั้งนี่ เป็นคนสองพวก พวกหนึ่งเป็น ภุมเทวดา อยู่แถบโน้น

พวกแถบทางด้านนี้ คือ แถบทางขวามือนี่ เป็นพวก รุกขเทวดา ทั้งหมดนี้เขาต้องการทำบุญกับท่าน เพื่อสร้างสม ต่อบุญบารมีของเขา ท่านก็เดินเข้าไปบิณฑบาตตามทางที่เขาจัดไว้ ระหว่างหมู่บ้านมันมีทางเดิน ทางสะอาด ก็เดินเข้าไป ตอนนั้นท่านอินทกะก็หายไปแล้ว ท่านบอกเสร็จ ท่านก็หายไป ก็เดินไปตามทาง ก็มีชาวบ้านเรียกกันโว้กเว้ก บอก พวกเราโว้ยเวลานี้พระท่านมาโปรดแล้ว มาใส่บาตรกันเร็ว เสียงคำพูดขาดจบ ทุกคนนั่งเรียงเป็นแถว สองข้างทาง

ซึ่งตามธรรมดาแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องเดินมาค่อย ๆ เดินมาหรือวิ่งมาก็ได้ ถึงแม้จะวิ่งมา มันก็ไม่เร็วขนาดนั้น หมู่บ้านตั้งประมาณร้อยหลังคาเรือน พอคนหัวหน้าพูดจบ ทุกคนนั่งพรึ่บ สองข้างทาง แต่ว่าการแต่งตัว บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็แต่งตัวแบบชาวป่าธรรมดา ๆ ท่านหัวหน้าเข้ามายกมือไหว้ บอกว่า พวกผมเป็นชาวป่าขอรับและก็เป็นชาวป่าที่ไม่ใช่พรานป่า ไม่ฆ่าเนื้อ ไม่ฆ่าสัตว์ รักษาศีล ๕ บางคนก็รักษาศีล ๘ พอบอกรักษาศีล ๘ ก็ตกใจ

แค่รักษาศีล ๕ ก็ตกใจแล้ว เพราะคนที่ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ นี่ต้องเป็นพระโสดาบัน ท่านที่ทรงศีล ๘ บริสุทธิ์ ต้องเป็นพระอนาคามี นี่ตามแบบฉบับนะ แต่เมื่อท่านพูดอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องของท่าน ก็นึกว่า ท่านพวกนี้ไม่ใช่น้อย ในเมื่อท่านบอกว่า ท่านทรงศีล ๕ กันบ้าง ทรงศีล ๘ กันบ้าง การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจึงไม่มี ฉะนั้น การใส่บาตรของพวกท่าน กับข้าวจึงไม่มีเนื้อสัตว์ ไม่มีต้ม ไม่มีแกง มีแต่ข้าว ผสมกับน้ำมันบ้าง น้ำมันอะไรของท่านก็ไม่ทราบ

น้ำมันบ้าง น้ำตาลบ้าง กินหวาน ๆ เค็ม ๆ อร่อย ๆ พอกินกันไปได้ อยู่แบบนี้มา อยากกินผลไม้ ก็กินผลไม้ ใครเบื่อข้าว ก็กินผลไม้ เบื่อผลไม้ ก็มากินข้าว ความจริงข้าวก็ไม่ได้หว่าน ไม่ได้ปลูกมันขึ้นเอง ท่านอธิบายแบบนั้น ก็เดินเข้าไปบิณฑบาต ทุกคนใส่บาตรเต็มทัพพี ถ้าจะว่ากันจริง ๆ แล้ว บาตรลูกเล็กนิดเดียว คนเป็นร้อยคน ใส่บาตรมันต้องล้น แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ทุกคนใส่บาตรเต็มทัพพี บางคนถึงกับเอามือประคองใส่บาตร และเดินไปตลอดแถวข้าวไม่เต็มบาตร มันมีข้าวเพียงแค่ครึ่งบาตร

ที่พอจะฉันอิ่มสบาย ๆ เท่านั้นเองเมื่อสุดแถวแล้วก็เดินทางกลับมาฉันข้าวที่ถ้ำ เมื่อขณะที่เดินกลับมา ก็มีชาวบ้านตามมาด้วย มานั่งในถ้ำบ้าง นั่งนอกถ้ำบ้าง คณะของอาตมาก็นั่งฉันข้าวตามปกติ ก่อนจะฉันก็ใช้ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ก่อน ขณะที่ใจนึกถึงอาหาเรปฏิกูลสัญญา หัวหน้าก็ยกมือไหว้แล้วกราบ ทุกคนก็กราบ เราก็นึกว่า แกกราบใครกัน

ก็ถามว่า โยมกราบอะไร
ท่านหัวหน้าก็บอกว่า ท่านนึกอะไร
ก็บอกว่า นึกถึงอาหาเรปฏิกูลสัญญา
ท่านก็เลยบอกว่า พระอย่างนี้ซิครับ ผมต้องการ ฉะนั้น บรรดาพวกผมเห็นท่านมาพักที่นี่ จึงยกบ้านมาตั้งอยู่หน้าถ้ำ เพื่อไม่ให้ไกลท่าน

ถามว่า หมู่บ้านของโยมเดิมอยู่ที่ไหน
ท่านบอก ทุกคนแยกกันอยู่ครับ อยู่คนละทิศคนละทาง แต่ว่าเมื่อตอนเย็นวานเห็นท่านมาพัก ก็เลยพร้อมใจกัน ยกบ้านเข้ามาปลูกหน้าถ้ำ จะได้ไม่ลำบากในการพบกับท่าน ฟังท่านพูด บรรดาท่านพุทธบริษัท มันของง่ายเหลือเกิน แค่จะเดินก็ไม่ไหว เมื่อฉันข้าวเสร็จก็ให้พร ให้พรตามปกติ ยถาสัพพีตามธรรมดา ๆ แล้วก็คุยกัน คุยกันไปคุยกันมา ก็นั่งมองทุกคนที่คุยไม่มีใครกระพริบตาสักคน

ในที่สุด ไอ้ปากมันก็ทนไม่ไหว บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ก็คิดในใจว่า ท่านพวกนี้ ท่านเป็นเทวดาบ้าง ท่านเป็นนางฟ้าบ้าง ทำไมท่านจึงต้องมาหลอกเรา พอคิดเท่านี้ ท่านหัวหน้าก็ยิ้ม
ท่านบอก ผมไม่ได้หลอกขอรับ ผมต้องการทำบุญ
ถามว่า โยมรู้อารมณ์อาตมานึกหรือ
ท่านบอกว่า ท่านรู้

ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้น โยมเป็นเทวดาใช่ไหม
ท่านบอกว่า ใช่
ถามว่า เทวดา ทำไมต้องปลูกบ้านอยู่
ท่านบอก ถ้าไม่ปลูกบ้านอยู่ ท่านจะเห็นบ้านได้อย่างไร ก็ต้องปลูกบ้าน แต่ผมขอพรท่านสักอย่างหนึ่ง คือว่าขอให้ท่านอยู่ที่นี่ ๗ วัน อย่างน้อย ๗ วัน เพื่อพวกผมจะได้ทำบุญ และเวลาตอนกลางคืน เวลา ๒ ทุ่ม ขอฟังเทศน์สัก ๑๐นาที

เลยตกลงถึงเวลากลางคืน เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม หลังจากเลิกกรรมฐานแล้ว ก็มีเทวดามาชุมนุมกัน ก็เลยบอกท่านว่า ในเมื่อท่านทั้งหลายเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า ก็เลิกแต่งตัวเป็นคนธรรมดาเสียได้ไหม ท่านบอกว่า ได้ หลังจากคำว่า ได้ ทุกคนก็เป็นหนุ่มเป็นสาวหมด ที่เป็นเด็ก ก็เป็นหนุ่มเป็นสาว ที่เป็นคนแก่ ก็เป็นหนุ่มเป็นสาว ที่เป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่แล้ว ก็เป็นหนุ่มเป็นสาว แต่ผิวพรรณดีกว่าเดิม มีแสงสว่างออกจากกาย แต่ว่าไม่มีเครื่องประดับ ไม่สวมชฎา

ถามว่า ทำไมไม่มีเครื่องประดับ ไม่สวมชฎา
ท่านบอกว่า เวลานี้กำลังฟังธรรม ต้องการจะฟังเทศน์ ทำไมจะต้องใช้เครื่องประดับด้วย ทำไมต้องใช้ชฎาด้วย ชฎามันเป็นหมวก ถ้าใส่หมวก ก็เป็นการไม่เคารพในธรรม ถามท่านว่า ท่านต้องการจะฟังเทศน์เรื่องอะไร
ถามหัวหน้าท่านบอก อริยสัจ

ก็เลยเทศน์อริยสัจให้ท่านฟัง ตามที่จะพึงเข้าใจ พอฟังจบท่านก็สาธุกัน แล้วท่านก็ลากลับ แล้วท่านก็บอกว่า วันพรุ่งนี้ขอนิมนต์บิณฑบาตตามเดิมนะครับ ก็อยู่ที่นั่นมา จนกระทั่งอยู่ครบ ๗ วัน บรรดาท่านพุทธบริษัทก่อนจะกลับ อำนาจขอเทวดา ถ้าจะถามว่า ในเมื่อท่านเป็นเทวดาแล้ว บ้านเป็นวิมานไหม ก็ขอบอกว่า บ้านตามเดิม คนเลิกหลอกเทวดาเลิกหลอก แต่บ้านของเทวดายังหลอกอยู่ เป็นบ้านไม้ธรรมดา ๆอยู่กันอีโหลกโขลกเขลก ฟันฟืนบ้าง ขุดหลุมบ้างทำอะไรบ้าง ตามเรื่องตามราวไป

เป็นเรื่องของท่าน เป็นการบริหารกายตอนจะกลับ ท่านหยิบเอาลูกมะปรางเข้ามา เหลืองอ๋อยเหมือนทองคำ มาให้องค์ละ ๑๐๐ ลูก ท่านบอกว่า ลูกมะปรางนี้ถ้าหากว่า เดินออกไปพ้นจากที่นี้แล้ว จะเป็นทองคำ

ก็เลยบอกว่า โยม พระธุดงค์หยิบทองคำไม่ได้ หยิบเงินไม่ได้นะ แม้จะมีทองคำเปลว เพื่อจะปิดพระพุทธบาท มดยังขึ้นกลดเลย เพราะเป็นอาบัติ การธุดงค์แบบอุกฤษฏ์อย่างนี้ จะต้องไม่ประสงค์ในลาภและพระธุดงค์ทุกองค์ก็ต้องไม่ประสงค์ในลาภ ถ้าประสงค์ในลาภ ก็ไม่ต้องมาธุดงค์ เพราะการมาธุดงค์ ต้องการตัดโลภะ ความโลภโทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง ราคะ ความรัก ต้องการตัด ในเมื่อไปรับทองเข้า โลภะ ความโลภมันก็เกิด เมื่อความโลภเกิดขึ้นมาแล้ว ความรักมันก็มี เมื่อความรักในทองมีขึ้น ความโลภอยากได้ ก็อยากมีอีก เมื่อได้มาคนละร้อยลูก ก็อยากจะได้พันลูกหมื่นลูก แสนลูก แล้วจะไม่จบกัน

ท่านก็ยกมือโมทนา ท่านบอกว่าหายากครับ
ถามว่า ทำไมจึงหายาก พระธุดงค์ทุกองค์เหมือนกันหมด
ท่านบอก ไม่เหมือนกันครับ มีบางราย มาที่เขานี้ ที่ตรงโน้นมีแร่ที่มีความสำคัญ คือ แร่ที่มีความสำคัญก็ไม่ใช่แร่ยูเรเนี่ยม เป็นแร่เงินแร่ทอง เป็นทองคำธรรมชาติ ท่านก็ชี้ให้ดู ท่านก็พาไปดู ตรงนี้เป็นทองคำธรรมชาติครับ ท่านเปิดหินพั้บเข้าไป โอ้โฮ...ทองคำเหลืองอร่าม เต็มถ้ำหมด

แต่ว่าจะมองเป็นถ้ำไม่ได้ เพราะเป็นภูเขาปิด ท่านบอก นี้เป็นทองคำมีพระหลายองค์มาธุดงค์แล้วมาค้นคว้าแถบนี้ คงจะทราบจากใครมา หรือได้ลายแทงจากใครก็ไม่ทราบ เวียนหาไป เวียนหากันมาบางทีก็ตั้งพิธีบวงสรวงบ้าง อะไรบ้าง พวกผมก็เลยไม่สนใจ เพราะพระพวกนั้นไม่ตั้งใจมาตัดกิเลส มาเพื่อสั่งสมกิเลส มาเพื่อความโลภแต่คณะของท่านนี่ ขนาดให้ยังไม่รับ ไม่รับแล้ว มือก็ไม่หยิบ บาตรไม่เปิดด้วย ผมขอกราบเป็นครั้งสุดท้ายครับ และต่อนี้ไป ท่านจะไปไหน

ก็บอกว่า ยังไม่แน่ สุดแล้วแต่ท่านอินทกะ ท่านอินทกะพาไปที่ไหน ก็จะไปที่นั่น ถ้าอินทกะท่านไม่พาไป ก็ไม่ไป จะอยู่แถวนี้อยู่ใกล้ ๆ บ้านโยม
เธอก็บอก ก็ดีซิครับ ก็นึกถึงท่านอินทกะ ท่านอินทกะท่านก็มา เมื่อท่านมาแล้ว
ท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่อนี้ไปก็ลาญาติโยมพวกนี้เสีย บรรดาญาติโยมทั้งหลายนี้ ก็เป็นลูกศิษย์ผมทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ใคร ก็ขอทุกคนรื้อบ้านให้หมด มันรกป่าเขา

พอสั่งคำว่า รื้อบ้าน บ้านหายเลย แล้วขอแสดงบ้านให้ปรากฏ บ้านใครอยู่ที่ไหนบ้าง ปรากฏว่า ภุมเทวดาก็มีวิมานอยู่ภาคพื้นดิน แต่ว่าสูงกว่าดินหน่อย รุกขเทวดาก็มีวิมานแปะต้นไม้ สวยสดงดงามมาก ทั้งภุมเทวดา และรุกขเทวดา แต่งตัวเต็มที่ มีชฎาหมด สวยสดงดงามมาก แพรวพราวเป็นระยับ พวกที่รักษาศีล ๕ คือ พระโสดาบันพวกที่รักษาศีล ๘ คือ พระอนาคามี แล้วท่านอินทกะก็บอกว่า ท่านทั้งหมดที่มานี่ เป็นพระอริยเจ้าทั้งหมด ที่มาใส่บาตร

ก็นึกในใจว่า ๗ วันนี้ เรากินข้าวของพระอริยเจ้า ถ้าจิตใจของเราเลว มันก็จะต้องลงนรกกันแน่ พอคิดในใจเพียงเท่านี้ ท่านเจ้าของคณะก็บอกว่า ไม่เป็นไรครับ จิตใจของมนุษย์ เป็นของธรรมดามันก็ดีบ้าง เลวบ้าง เป็นของธรรมดา แต่ขอให้ดีเป็นส่วนใหญ่ก็แล้วกัน ตั้งเวลาดีเข้าไว้ เวลาไหน ถ้ามันดี ถ้าตั้งเวลาไว้ เวลาเท่านี้ถึงเท่านี้ เราจะทรงความดีไว้ ไม่ยอมให้ความชั่วเข้ามารบกวนใจ ในเมื่อกิเลสมันยังไม่หมดเพียงใด นิวรณ์มันก็กวนใจเพียงนั้น เป็นของธรรมดา แต่จงอย่าลืมว่า อย่าสนใจกับ ราคะ ความรักโลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง ถ้าสนใจเมื่อไร่ เทวดาทั้งหมดเขาจะไม่ใส่บาตรให้

เลยถามว่า ท่านรักษาศีลอะไรเป็นปกติ
หัวหน้าท่านก็บอกว่า ผมรักษาศีล ๘ เป็นปกติครับ ศีล ๘ แบบละเอียด คำว่า ละเอียด นี่หมายความว่าเป็นพระอนาคามีแบบละเอียดใกล้จะเป็นพระอรหันต์บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ขึ้นชื่อว่า เทวดาหรือภุมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็ดี บางคนก็นึกว่า เป็นเทวดากระจ้อยร่อย ความจริงไม่ใช่ ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็มาก

ท่านบอกว่า ท่านจะไปพักที่ไหนก็ตาม ในจักรวาลนี้ทั้งหมด คณะผมจะไปใส่บาตรที่นั่น ท่านไม่ต้องกลัวอด เว้นไว้แต่ว่า ถ้าวันไหนจิตใจของท่านมั่วสุมกับ ราคะ โลภะโทสะ โมหะ วันรุ่งขึ้นจะไม่ใส่บาตรถวาย เพราะจิตใจของท่านสกปรก บรรดาท่านพุทธบริษัท ผู้รับฟัง หรือผู้อ่าน ทำให้พวกเรา คณะของอาตมา ดีขึ้นมาก คำว่า ดี หมายความว่าอะไร เพราะกลัวอดตายเดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปเจอะพระอริยเจ้าเข้า

และพระอริยเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นเทวดา ถ้าเป็นอนาคามี ท่านไม่มีทางกลับ มีทางเดียวไปพระนิพพาน ถ้าเป็นพระโสดาบัน ก็ไม่แน่ ในเมื่อท่านทำบุญต่อ เมื่อเดินทางออกมาจากท่าน ลาท่านมาแล้ว มาปรึกษากันบอกว่า พวกเราต้องระวังตัวให้มาก นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขึ้นชื่อว่า มรณัสสติกรรมฐาน จะพ้นจากจิตใจของเราไปไม่ได้ ประการที่สอง อานาปานสติ พ้นใจไม่ได้ และประการที่สาม พุทธานุสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ พ้นใจไม่ได้ จะต้องทรงอารมณ์อยู่

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทวตานุสสติ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ท่านเป็นผู้มีคุณกับเรา เราต้องนึกถึงท่าน สององค์ก็บอกว่า ลื้อไม่ต้องสอนหรอกโว้ย อั้วปกติอยู่แล้ว สำคัญแต่ลื้อเท่านั้นแหละเพราะลื้อปรารถนาพุทธภูมิ ยังกอกแกก ๆ อยู่นะ อั๊วสองคนไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ ที่ท่านพวกนั้นพูด อั๊วมีพร้อมแล้ว แต่ลื้อปรารถนาพุทธภูมิ ก็จริงแล แต่ว่าก็ถือว่า คนปรารถนาพุทธภูมิย่อมเป็นหัวหน้า ก็ถือว่า ลื้อเป็นหัวหน้า ต้องปฏิบัติตัวให้ดีก็แล้วกัน

ลื้ออย่าเผลอลงนรกก็แล้วกันเป็นอันว่า เดินกันไปไม่ช้านัก ก็ไปเจอะภูเขาลูกย่อม ๆ แต่ก็เป็นการบังเอิญ มีถ้ำ ๆ หนึ่ง ถ้ำลึก มีธารน้ำไหลใสสะอาด หน้าถ้ำเตียนกวาดโล่ง บริเวณต้นไม้ พุ่มไม้ดี ต้นไม้เป็นดงเต็งรัง ร่มรื่นมองดูไกลตา ก็อยากจะพักที่ตรงนั้น ก็นึกถึงท่านอินทกะ ท่านอินทกะก็ปรากฏตัว ก็เรียนท่าน
บอกว่า จะพักตรงนี้ไหม
ท่านบอก ควรพักครับเพราะว่าที่ตรงนี้ก็มีความสำคัญมาก เพราะว่าที่ตรงนี้ แหล่งนี้เป็นแหล่งที่มีทรัพย์มาก เทวดาชั้นจาตุมหาราชมาเฝ้าที่นี่เยอะ จะได้ป้องกันอันตรายให้กับท่าน ท่านไม่ต้องกลัวสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย เพราะว่าเทวดาชั้นจาตุมหาราชจะต้องอารักขาท่าน แล้วเทวดาที่พบวันนั้น เขาก็จะมาใส่บาตร

เลยถามว่า จาตุมหาราชใส่บาตรเป็นไหมล่ะ
ก็บอกว่า เป็น คอยดูก็แล้วกัน ถ้าพวกไหนตาใส พวกนั้นเป็นรุกขเทวดาบ้าง ภุมเทวดาบ้าง พวกไหนตาแดง พวกนั้นเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อท่านบอกอย่างนี้แล้ว ก็เข้าถ้ำพัก ที่สบายมาก ไม่ต้องกวาดมันก็เตียนอยู่แล้ว ในเมื่อเข้าที่พักแล้วมองดูนาฬิกา บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า หมดเวลาพอดี ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 16/10/13 at 14:26

3

ถ้ำศรีฐาน


สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ตรงกับ วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันนี้ก็จะคุยกันถึงเรื่องธุดงค์ ในตอนก่อนได้อำลาบรรดาเทวดาทั้งหลาย เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นพระอริยเจ้า นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท บางท่านเห็นว่าเทวดาไม่มีความหมาย นางฟ้าไม่มีความหมายนั่นไม่จริง หรือบางราย ก็ไม่รับรองเทวดานางฟ้าเสียเลย เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า เทวดามี นางฟ้ามี พรหมมี นรกมี สวรรค์มี แต่ว่าบางท่านที่บวชเข้ามาแล้ว ก็ลืมคำสอนตอนนี้ คิดว่าตัวเองเป็นศาสดาเสียเอง สร้างศาสนาใหม่ คัดค้านความมีเทวดา ความมีนางฟ้า ถือว่าไม่มีที่สุดในโลกก็เป็นอันว่า อาตมาเองก็พบเทวดา พบนางฟ้ามาแล้ว แล้วก็เดี๋ยวนี้พบทุกวันด้วย ทำไมต้องพบทุกวัน เพราะมันใกล้ตาย ถ้าเราใกล้ตาย เราพบเทวดา พบนางฟ้า พบพรหม พบพระอรหันต์อย่างน้อยที่สุด เวลาจะตาย เราก็เลือกทางไป จะไปสวรรค์หรือไปพรหมโลก หรือไปนิพพาน

ตามกำลังของเราที่พึงไปได้ ถ้ากำลังของเรามีสูง เราก็ไปนิพพาน กำลังอย่างกลาง เราก็ไปพรหม กำลังอย่างต่ำ เราก็ไปสวรรค์ ก็รวมความว่า หลังจากนั้นแล้วก็พบเขา ๆ หนึ่ง เป็นเขาที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางป่าชัฏ ป่าก็เป็นป่าเต็งรัง ตอนโคนโปร่ง ใบมีตอนยอด เหมือนกับใครเอาเสาไปตั้งไว้ เมื่อเข้าไปในถ้ำนั้นแล้ว ก็ปรากฏว่า เป็นสถานที่น่าอยู่มาก มีความรื่นรมย์ ถ้ำกว้าง ปากถ้ำเล็ก แต่ว่าไม่เล็กมากนัก กว้างประมาณสัก ๔ ศอก สูงประมาณสัก ๖ ศอก

แต่เข้าไปในบริเวณในถ้ำ ปรากฏว่า กว้างขวางมาก เป็นที่สำหรับนอน ๓ ที่ เป็นแท่นหิน และก็มีธารน้ำไหล มีบ่ออาบน้ำ มีห้องลับ ลับจากหิน เลี้ยวซ้ายเข้าไปจะมีฐานเป็นส้วม ส้วมนั่นก็มีธารน้ำไหล ถ่ายไปแล้วก็ไหลไปตามกระแสน้ำ เหมือนกับว่า ถ้ำนี้มีใครมาสร้างไว้เพื่ออยู่ อากาศดีมาก ในเมื่อเข้าไปในสถานที่นั้นเสร็จ วางของเสร็จ ก็ไม่มีสมบัติมาก มีบาตรหนึ่งใบ ย่ามหนึ่งลูก กลดหนึ่งชุด ผ้าสบงหนึ่งตัว ผ้าอาบหนึ่งผืน จีวรหนึ่งตัว สังฆาฏิหนึ่งตัว ผ้ารัดอกหนึ่งผืน ผ้าเช็ดปากอีกหนึ่งผืน มีเท่านี้เอง

สมบัติอย่างอื่นไม่มีอีก เมื่อนั่งกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ปรึกษากันว่า เวลานี้เป็นเวลาใกล้กลางเดือนหก เราจะกลับวัดกันเมื่อไร เราจะขออยู่ที่ตรงนี้ จะอยู่ที่ตรงนี้ จนกว่าจะถึงวันกลับ ทั้ง ๓ องค์ก็ตัดสินใจเห็นพ้องกันว่า ควรจะอยู่ที่นี่ การมาธุดงค์ไม่ใช่มาเดิน การเดินไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหาที่อยู่ ที่นี้เหมาะสม เสียงสุนัขเห่าหอนก็ไม่ได้ยิน คนเดินให้เห็นก็ไม่มี และเป็นป่าโปร่งมาก น่าอยู่มาก เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ถามท่านอินทกะ

เมื่อนึกถึงท่านอินทกะ ท่านอินทกะก็ปรากฏองค์ ถามท่านว่า เวลานี้จะอยู่ที่นี่ดีไหม ท่านบอกว่า ดีขอรับ ที่ผมพามา เพื่อต้องการให้มาอยู่ที่ตรงนี้ ที่นี้ไกลบ้านมาก สัตว์ร้ายมีเยอะ ผีร้ายก็มีมาก เทวดาที่เป็นอันธพาลก็มีมาก ของท่านมากทุกอย่าง ก็เลยถามว่า ในเมื่อของร้ายมีมาก ๆ ทำไมจึงน่าอยู่ ท่านก็บอกว่า มันน่าอยู่ซิขอรับ เพราะจะได้ เจริญมรณัสสติกรรมฐาน เป็นปกติ หรือว่าใช้ สักกายทิฏฐิ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

เห็นเสือมันมา ก็คิดว่า ร่างกายเป็นอาหารของมัน ก็ช่างมันเถอะ มันจะกินร่างกายก็กินไป แต่กินใจเราไม่ได้ ใจเราจะไปสวรรค์ ใจเราจะไปพรหมโลก ใจเราจะไปนิพพาน เราตั้งใจไว้ว่า ถ้าเสือกัดเมื่อไร ไปเมื่อนั้น อย่างนี้จะมีความไม่ประมาท หรือว่าเห็นผีร้ายมาเมื่อไร ก็ตั้งใจนึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน อย่างน้อยที่สุด ตายก็ไปสวรรค์ ต่อจากนั้นไปก็ตั้งใจใช้สมถะบ้าง วิปัสสนาญาณบ้าง

ก็เลยถามว่า ท่านอินทกะมีความรู้มาก เวลานี้ท่านอยู่ระดับไหน
ท่านอินทกะท่านบอกว่า เวลานี้ผมเป็น พระอนาคามี
ท่านเป็นเทวดา ท่านกล้าพูด จึงได้บอกท่านว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีอะไรขัดข้อง จะถามท่านได้ไหม

ท่านก็บอก พร้อมจะบอกเสมอ ถ้าอะไรก็ตาม ถ้าไม่เกินวิสัยของผม ผมพร้อมบอก แต่ท่านที่จะบอกได้ มีอีก ๔ องค์คือ ท้าวมหาราช โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท้าวเวสสุวัณ ก็เป็นพระอนาคามี อีก ๓ องค์ก็เป็นพระอนาคามี เหมือนกันและนอกจากนั้น ก็ยังมี พระอินทร์ โยมของคุณ ท่านเป็นพระอนาคามีเหมือนกัน ท่านฟังเทศน์

จากพระพุทธเจ้าเป็นพระโสดาบัน คน หรือเทวดาที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่มีใครโง่ปล่อยอยู่แค่นั้น ท่านก็ฝึกฝนกำลังใจของท่านจนกระทั่งเป็นพระอนาคามี ท่านพร้อมจะบอก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรหมชั้นที่ ๘ ที่เป็นต้นตระกูลของท่าน ท่านก็พร้อมที่จะแนะนำ ท่านสหัมบดีพรหมก็ดีท่านพร้อมจะแนะนำ และมีพระอริยเจ้าทั้งหลายพร้อมจะแนะนำ

การอยู่ที่นี่ดีมาก เราจะตัดโลภะ ความโลภได้ จากการไม่อยากได้ทรัพย์สินต่าง ๆ ถามว่าทรัพย์สินคืออะไร ท่านก็ชี้ให้ดู นี่ทองคำมันดาดาษไปทั้งหมด ทองคำธรรมชาติ ดาดาษไปเต็มพื้นที่ และนี่เพชรด้านหลังเป็นเพชร ด้านใต้นั้นลงไปเป็นน้ำมัน ถ้าเจาะตื้นจะพบก๊าซ ถ้าเจาะลึก จะพบน้ำมัน เป็นฐานน้ำมันใหญ่ ใหญ่ที่สุดของโลก ต่อไปถ้าคนไทยมีความฉลาด นั่นก็หมายความว่า เลิกโกงเลิกกินกัน มีความฉลาดขึ้นมา มีความรู้ขึ้นมา

สามารถจะเจาะได้ จะสามารถเจาะน้ำมันใช้ได้แบบสบาย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทองคำนี่ถ้าเทวดาให้ท่านบอกว่า ถ้าเทวดาให้ ก็หมายความว่า ถ้าคนดีพอที่จะรับได้ เทวดาก็จะเปิดทางให้ เมื่อเทวดาเปิดทางให้ ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศที่มีทองคำมาก จะเป็นประเทศที่มีแต่ความร่ำรวยถามว่า เขานี้ เขาเรียกเขาอะไร หรือถ้ำอะไร ท่านบอก เราตั้งชื่อกันเองก็แล้วกัน มันไม่มีชื่อ ให้ชื่อว่า ถ้ำศรีฐาน

คำว่า ศรีฐาน คือ เป็นที่ตั้งแห่งมิ่งขวัญ แห่งความดี ฉะนั้นการอยู่ที่นี่จะพบแต่ความดี ท่านจะพบครูบาอาจารย์ เวลานี้เป็นเวลาข้างขึ้นเดือนหก อีก ๓ วัน ก็จะถึงวันวิสาขบูชา วันนั้นตั้งใจให้ดี จะพบของดี เมื่อท่านแนะนำแล้ว ท่านก็กลับ คำว่า กลับของท่าน ก็หมายความว่าหายไป หลังจากนั้นพวกเราก็อาบน้ำ น้ำเย็นสบาย ไม่เย็นมากเกินไป ถ้าต้องการอุ่น น้ำก็อุ่น ต้องการเย็น น้ำก็เย็น เหมือนกับใครมาตั้งเครื่องทำความเย็นความร้อนไว้ให้

น้ำใสสะอาดมาก มีบ่อ ๆ หนึ่งเขียนหนังสือเป็นภาษาไทยอยู่ที่ปากบ่อว่า น้ำสำหรับดื่ม สำหรับในธารหรือในบ่อใหญ่ เขียนไว้ว่า น้ำสำหรับอาบ แต่ว่าน้ำไม่หยุดนิ่งไหลเรื่อย น้ำไหลซึมมา แต่สำหรับที่ถ่าย มีอีกทางหนึ่งต่างหาก เป็นธารเล็ก ๆ ไม่ใช่ธารใหญ่ไหลผ่าน มีเหมือนกับใครเอาไม้มาวางไว้สองแผ่นกระดานใหญ่สองแผ่น ถ่ายลงร่อง แล้วก็ไหลไปตามกระแสน้ำ แต่กระแสน้ำนั้นจะไม่ไปรวมกัน

รู้สึกว่า มีความสุขมาก หลังจากจัดสถานที่เสร็จ ก็เริ่มบวงสรวง และชุมนุมเทวดา เมื่อเสร็จแล้วก็ทำวัตรสวดมนต์ บทที่ลืมไม่ได้ก็คือ กะระณีย์บทเล็กได้แก่ เมตตัญ จะ สัพพะโรฯ พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมานั่งเล่นข้างนอก มองดูต้นหญ้าต้นไม้ ต้นเต็งต้นรัง มีแต่เต็งรังทั้งนั้นดาดาษไปหมด มองไปทางไหนเห็นไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีป่ารก เตียนหมด แต่ว่าสิ่งที่มองไม่เห็นคือ เสือ กับช้าง แต่ความจริง เสือนี่ไม่อยากเห็น

เพราะเห็นทีไร เสืออาละวาดทุกที แต่บางครั้งเสือก็ดี แต่ความดีของเสือ อีตอนเสือหัวเราะนี่น่ากลัว เห็นฟันขาว ก็ไม่แน่ใจว่าแกจะหัวเราะดีใจ เพราะว่าจะได้กินเรา หรือว่าหัวเราะชอบใจก็ไม่ทราบแต่สำหรับช้างนี่ดีมาก จึงได้นึกในใจ แล้วพูดกันทั้ง ๓ องค์ว่า เอ...แถวนี้มีพวกพ่อปู่หรือเปล่านะ ถ้ามีคณะพ่อปู่อยู่ เราจะสบายใจมาก เพราะอย่างน้อยที่สุด พ่อปู่เคยป้องกันอันตรายให้กับเรา

อีกองค์หนึ่งในคณะก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้าพ่อปู่มีในสถานที่นี้ ก็ขอเชิญให้พบหน่อยก็นั่งคุยกันไปสัก ๕ นาที เสียงใบไม้ เกร้า ๆ ๆ ๆ ข้างหลัง หันไปดูปรากฏ มีพ่อปู่มาประมาณร้อยเชือกเศษ ๆ เป็นช้างสีดอนำหน้า นอกนั้นก็เป็นช้างพังบ้าง ช้างพลายบ้าง อยู่ข้างหลัง พอหันไปดูก็บอกว่า ขอบใจพ่อปู่ที่เมตตา ท่านหัวหน้าก็คุกเข่าลง ชูงวงขึ้น แสดงความเคารพ ทั้งฝูงก็ทำเหมือนกันหมด ก็เลยบอกท่าน

บอกว่า ถ้าจะมีอันตราย ขอคณะพ่อปู่มาช่วยด้วยนะ มาช่วยป้องกันปากถ้ำด้วย ฉันจะอยู่ในถ้ำ ถ้าหากว่ามีอะไรขัดข้อง ก็ขอโปรดให้สงเคราะห์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลไม้นี้ไม่ต้องการ เพราะต้องการกินข้าวกับเทวดา ถ้าเทวดาไม่ให้กิน ก็ยอมอดตาย

พ่อปู่ท่านยืนฟังหูผึ่ง อีกสักประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็เทาลง ชูงวงขึ้น ท่านหันหลังกลับ ลูกน้องท่านทั้งหมดก็เทาลงไป แล้วก็ชูงวงขึ้น หันหลังกลับ ต่างคนก็ต่างเดินไป พ่อปู่ใหญ่เดินคุมหลัง สักครู่ก็หายไป หลังจากนั้นมา พอค่ำก็เข้าเจริญกรรมฐาน จิตใจเงียบสงบดีมาก การเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่พระพุทธเจ้าเคยบอก อันดับแรก ให้แผ่เมตตาจิตก่อน แผ่เมตตาจิตไปทั่วจักรวาลทั้งปวง ว่า

เราจะไม่เป็นศัตรูของใคร ใครเขาจะเป็นศัตรูของเรา นั่นเป็นเรื่องของเขา เราจะเป็นมิตรที่ดีของคน และสัตว์ทั้งโลกแล้วแผ่เมตตาไปทั่วหมด จิตใจก็สบาย หลังจากนั้นก็เริ่มระงับนิวรณ์
นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ คือ
๑. กามฉันทะ
๒. พยาบาท
๓. ความง่วง
๔. จิตฟุ้งซ่าน
๕. สงสัย


ทั้ง ๕ ตัว นี่ต้องไม่มีในใจ ถ้ามีตัวใดตัวหนึ่งเข้ามาสิงใจ เช้าอดข้าว ก็เป็นอันว่า เราก็ต้องคุมอารมณ์นี้ไว้ไม่ให้มันปรากฏขึ้น วิธีคุมอารมณ์ก็ไม่ยาก ก็จับอานาปานสติ ก็ไม่แน่นอนนักอานาปานสตินี่ ดีไม่ดี เดี๋ยวก็เผลอ ทางที่ดีที่สุด ก็หาเพื่อนคุยเพื่อนจะมาคุยกับเรา มีหรือไม่มี บางท่านบางคราวก็มีมา ในเมื่อท่านไม่มาหาเรา เราก็ไปหาท่านเพื่อนคุยอันดับแรกที่เคารพที่สุดก็ คือ พระยายม อันดับแรกลงไปหาพระยายมก่อน

คุยกับท่าน ถ้าท่านว่าง และก็นายบัญชีและไปดูการตัดสินของท่าน ดูคนที่คอยการลงโทษ หรือว่าคอยการพ้นโทษ ดูไว้เพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่อเราจะไม่ต้องไปอย่างเขา ถ้าบุคคลใดถูกตัดสินให้ลงโทษ มีเจ้าหน้าที่คือนายนิรยบาลนำไป ก็ตามไปด้วยดูว่า เขาพวกนั้นไปลงนรกขุมไหน มีสภาพเป็นอย่างไร และกลับมาดูบุคคลที่พ้นโทษ ไม่ต้องถูกลงโทษ ไปสวรรค์ ไปสวรรค์ชั้นไหน มีสภาพเป็นอย่างไร และเขาให้การกับพระยายมว่าอย่างไร

จึงไม่ต้องโทษรวมความว่า อันดับแรกสำนักพระยายม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะท่านท้าวมหาราช หรือบริวารของท่าน ว่าง ๆ เห็นท่านอยู่ใกล้ ๆ ก็เรียกมาคุยกัน การคุย ทำให้ลืมนิวรณ์ ๕ ประการ หรือบางทีก็ย่องไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไปคุยกับโยมบ้าง ไปพรหม ก็ไปคุยกับโยมบ้าง ครูบาอาจารย์บ้าง อย่างนี้เป็นต้น รวมความการว่า หาเรื่องคุย จิตก็ไม่คบกับนิวรณ์ แม้จะไปพบนางฟ้าที่สวย ๆ ก็ไม่ลืมตัวว่าเราเป็นมนุษย์ เขาเป็นนางฟ้า

มันแต่งงานกันไม่ได้ นางฟ้าแต่ละคนท่านก็ดี มีลีลาน่ารัก ไปถึงก็แสดงความเคารพ ในเมื่อเขาเคารพแล้ว เราก็รักเขาแบบชู้สาวไม่ได้ อันนี้เป็นวิธีการหนึ่งที่เราจะระงับนิวรณ์ หรือถ้าหากว่าจะมีคนถามว่า ถ้าไปไม่ได้ตามนั้นจะทำอย่างไร อันนี้ก็ขอตอบว่า ถ้าไปไม่ได้มันก็ต้องเป็นเหยื่อของนิวรณ์บ้าง เป็นบางเวลา บางเวลาก็ชนะ บางเวลาก็แพ้ ถ้าไปได้ คุยได้ตามนี้ละก็ ไม่มีทางแพ้แน่ ความจริงถ้าเราอยู่เฉย เราแพ้ ถ้าเราหาเพื่อนคุยนี่เราไม่แพ้

ถามว่าจะคุยเรื่องอะไร ก็ตอบว่า ถ้าไปสวรรค์ เราก็เรียกเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้าง ทีละองค์สององค์ หรือท่านมาหลายองค์ มานั่งคุยกัน ถามว่า เวลาท่านเป็นมนุษย์ท่านทำอย่างไร ถึงมาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าได้ ท่านก็ให้ดูภาพเดิม แต่ละองค์ก็มีบาป เคยทำบาปมามากเหมือนกัน แต่ในเวลาเดียวกัน ทำบุญทำกุศล เหมือนกับบรรดาประชาชนทั้งหลายเดี๋ยวนี้เหมือนกัน ความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ ความชั่วคือ บาป ความดี คือ บุญ

แต่ว่าเวลาจะตาย จิตนึกถึงบุญก่อน นึกถึงทานการบริจาคบ้าง นึกถึงพระที่เคยบูชาบ้าง นึกถึงการใส่บาตรกับพระสงฆ์บ้าง นึกถึงการไหว้พระบ้าง นึกถึงงานการก่อสร้างบ้าง อะไรก็ตาม อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เป็นบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่งที่เป็นบุญก็เข้าสิงใจ เมื่อสิ่งที่เป็นบุญเข้าสิงใจ ตอนนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านก็เลยบอกว่า เมื่อตายแล้ว บุญก็พามาก่อน แต่ว่าถ้าผมเผลอ ไม่ทำบุญต่อ เมื่อหมดบุญแล้ว ผมต้องลงนรกขุมนั้นขุมนี้ แต่ผมไม่ยอมแล้ว

ก็รวมความว่า เป็นวิธีการหนีนิวรณ์ นี่เล่ากันอย่างย่อ ๆ นะเวลาเหลืออีก ๑๐ นาที ต่อมาอีก ๒ - ๓ วัน ทุกวันก็ออกเดินจงกรมเดินจงกรม ก็คือ เดินธรรมดานี่เอง ป่ามันร่มรื่น มันน่าเดินเที่ยว เดินไปไกล ๆ เดินแก้เมื่อย เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป จากต้นไม้ต้นนี้ถึงต้นโน้น ต้นโน้นถึงต้นนั้น จะไกลแสนไกลขนาดไหน ก็ไม่มีการรกรุงรังไม่มีป่าชัฏ มีแต่ต้นเต็งรัง ยืนเป็นแถวเต็มไปหมด

ปรากฏว่ามาวันหนึ่ง อยู่ได้ประมาณ ๕ วัน เมื่อขณะที่เดินจงกรมไป คำว่า จงกรม ก็เดินแบบธรรมดา ๆ ไม่ใช่ค่อย ๆ ยกค่อย ๆ ย่าง ไอ้แบบ ค่อย ๆ ยก ค่อย ๆ ย่าง เขาเป็นเกณฑ์บังคับถือว่าเป็นการฝึกเบื้องต้น ทีนี้การฝึกขั้นปลาย เขาใช้เดินธรรมดา เดินธรรมดา ให้ใจมันพร้อมไปกับเท้า ใจคิดถึงด้านของความดี ไปพร้อมกับเท้าที่ลงเมื่อเดินไป ก็ปรากฏว่า พบพระองค์หนึ่ง สูงใหญ่ ห่มจีวรสีกรัก มีย่ามหนึ่งลูก มีบาตรหนึ่งลูก มีไม้เท้าหนึ่งอัน

ไม้เท้า ก็คือ ไม้ท่อน ท่านเดินสวนทางมา ไอ้ความรู้สึกมันจะหลอก หรือไม่หลอกก็ไม่ทราบ ความรู้สึกก็นึกว่า พระองค์นี้คงเป็น พระมหากัสสป จิตมันมีความรู้สึกขึ้นเอง พอจิตนึกอย่างนั้น เสียงท่านบอกมา บอก ใช่แล้ว คิดถูกแล้ว ตกใจ เพียงแค่เราคิด ท่านบอกว่า ใช่แล้ว ถูกแล้วก็นั่งลงกราบท่าน ท่านก็นั่งลง

ถามว่า พระคุณเจ้ามาอย่างไรขอรับ
ท่านก็บอกว่า ที่มานี่ ก็จะมาเตือนน่ะซิ เห็นมาธุดงค์แบบฉัน ฉันก็พระชอบธุดงค์ เธอก็ชอบธุดงค์ จะได้เล่าเรื่องธุดงค์ให้ฟังสักหน่อยหนึ่ง เลยให้ท่านเล่าให้ฟัง แต่ว่าท่านไม่เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง
ท่านบอกว่า การธุดงค์ต้องฝึกเข้านิโรธสมาบัติ พอใช้คำว่า นิโรธสมาบัติ เราก็ตกใจคิดว่า คนอย่างเราไม่สามารถจะทำได้

ท่านบอกว่า คุณอ่านแต่หนังสือไม่เข้าใจ อาจารย์คุณก็ไม่สอน สอนแต่ผลสมาบัติ แต่ความจริง ผลสมาบัติ กับนิโรธสมาบัติมันก็คล้ายคลึงกัน แต่ว่านิโรธสมาบัติ เราจะกำหนดเวลายาวหน่อย ผลสมาบัติเข้าตามเวลา ออกตามเวลาเล็กน้อย นิโรธ แปลว่า ดับ สมาธิ แปลว่า เข้าถึงเข้าถึงความดับทุกขเวทนา นิโรธสมาบัติ เขามีเขตบังคับว่า ต้องใช้ฌาน ๔ เป็นพื้นฐาน แต่พวกคุณเองก็ชำนาญในฌาน ๔ มาแล้วก็ไม่มีอะไรหนักใจ

แต่ที่ผมพูดนี่ คุณหนักใจ เพราะว่าคุณไม่เคยทำไม่เข้าใจมาก่อน แต่ใช้เวลาน้อย ใช้เวลาเพียง ๑๐ นาทีบ้าง ๒๐ นาทีบ้าง ๓๐ นาทีบ้าง ขณะที่นั่งไป มันไม่รู้สึกปวดรู้สึกเมื่อย จิตสว่างโพลง อย่างนี้ก็เป็นนิโรธสมาบัติ จิตต้องตั้งไว้เพื่อนิพพานโดยเฉพาะ คือว่า จิตตั้งไว้โดยเฉพาะ ที่ใดที่หนึ่ง จิตแยกจากประสาทเด็ดขาดไม่รู้เรื่องของร่างกาย เป็นฌาน ๔ อย่างนี้ เป็นนิโรธะอย่างหนึ่ง

และอีกอย่างหนึ่ง เมื่อจิตเข้าถึงฌาน ๔ แยกออกจากกายแล้ว จิตอารมณ์มีความสงัด หลังจากนั้นก็ท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ ไปสวรรค์บ้าง ไปพรหมโลกบ้าง ไปนิพพานบ้าง พ้นไปเสียจากร่างกาย ไม่รู้สึกปวดรู้สึกเมื่อย มันก็เป็น นิโรธสมาบัติเหมือนกัน ทั้ง ๒ อย่างนี้จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ว่ากำหนดเวลาว่า เราจะใช้เวลาสัก ๓ วันหรือ ๕ วัน หรือ ๗ วัน หรือ ๙ วัน หรือ ๑๕ วัน ก็ตามใจชอบเลย

ถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น เวลาออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว จะต้องเหาะไปบิณฑบาต ท่านบอกว่า ไม่จำเป็น พวกคุณยังเหาะไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเหาะ ถึงแม้ว่าเหาะได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเหาะ ที่เขาเหาะไปแบบนั้น เขาจะโปรดคนจน คนไหนที่ยากจนมาก แต่ว่ามีศรัทธา ถ้าใส่บาตรกับพระที่ออกจากนิโรธสมาบัติ เพียงครั้งเดียวในชีวิต เขาจะเป็นมหาเศรษฐีในวันนั้น แต่นี่เราเข้าเพื่อเราเอง ไม่จำเป็นต้องเหาะไป พอหลังจากคุณออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว

เทวดา นางฟ้าก็จะเลี้ยงเอง เวลานี้เทวดา นางฟ้าท่านพร้อมแล้วตั้งแต่พรหมลงมา ก็หวังในบรรดาพวกคุณทั้ง ๓ องค์ หวังว่า ต้องการให้คุณทั้ง ๓ องค์ เข้านิโรธสมาบัติ
ถามว่า ท่านทำบุญแล้ว ท่านจะมีผลเป็นอย่างไร
ท่านบอก ถ้าทำบุญกับพวกคุณแล้ว จะมีรัศมีกายสว่างขึ้น เทวดา กับนางฟ้า หรือพรหมก็เช่นเดียวกัน ใครมีรัศมีกายสว่างมาก คนนั้น เรียกว่า มีบุญมาก มีบุญญาธิการมาก

ก็เป็นอันว่า ท่านก็แนะนำว่า วิธีการไม่มีมาก ใช้ตามแบบที่คุณทำอยู่แล้ว อันดับแรก คุณซ้อมน้อย ๆ ก่อน จับตั้งแต่หัวค่ำ ยันสว่างว่า เราจะไม่ถอนสมาธิ ตั้งใจไว้ กำหนดเวลาไว้ ถ้าแสงอรุณขึ้นเมื่อไร ให้จิตตกทันที หรือว่าเราจะใช้ ๒ วัน ๓ วันก็ได้ ทีแรก ๆ เอาแค่น้อย ๆ ก่อน เข้ากันทุกวัน พอถึงตอนเย็นปั๊บ อาบน้ำอาบท่าเสร็จเข้านิโรธสมาบัติ เป็นอันว่า ใช้นิโรธสมาบัติตอนกลางคืน กลางวันนอน กลางวันกินข้าวเวลาเดียว เทวดาเลี้ยงแล้ว เราก็นอน ใช้อย่างนี้สะดวกดี หรือถ้านาน ๆ หนัก ๆ เข้า ถ้ารำคาญ วันเดียวไม่เอาลอง ๒ วัน ลอง ๓ วัน ลอง ๔ วัน ลอง ๕ วัน ลอง ๗ วันก็ได้ ตามใจชอบ

ก็ยอมรับท่านว่า อย่างพวกผม ๓ องค์นี่ทำได้นะขอรับ
ท่านบอกว่า อย่าย้ำซิ ฉันพูดแล้ว ต้องเป็นไปตามนั้น
ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะกลับละนะ ฉันหมดห่วง ที่มานี่ห่วงเพียงเท่านี้สงสารเทวดา นางฟ้าท่าน ท่านพร้อมอยู่แล้ว

พวกเราก็มีความรู้ใหม่ว่า การเข้านิโรธสมาบัติ ก็ไม่จำเป็นต้อง ๗ วัน ๑๕ วันเสมอไปก็เรียกว่า เข้ากันทุกวัน และมันก็ดีที่สุด พอพลบค่ำปั๊บ อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ทำวัตรสวดมนต์ก็ใช้เวลาไม่มาก ก็เริ่มเข้านิโรธสมาบัติ จับพั้บ จับอานาปานสติ ก็ไม่ต้องใช้เวลามาก ใช้เวลาเพียงครึ่งนาที จิตก็เข้าถึงฌาน ๔ เต็มกำลัง ในตอนต้น ก็ตั้งอารมณ์เฉพาะจุดก่อนหลังจากนั้น ก็ท่องเที่ยวไปตามภพต่าง ๆ ตั้งใจว่า ถ้าสว่างจะให้จิตตกจากสมาธิ บางทีเราเที่ยวเพลินไป พอจะสว่าง เทวดาก็เตือนว่า สว่างแล้วครับ

หลังจากนั้นลงมา เทวดา นางฟ้าก็มาใส่บาตร คราวนี้ท่านไม่แต่งตัวเป็นคนแล้ว ท่านมาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า มีเครื่องเต็มยศออกมาเลย ท่านมากันมาก ข้าวที่ท่านใส่ รู้สึกว่ามาก แต่ก็กินพอดีหมดไม่เหลือก็รวมความว่า ทำแบบนี้ตลอดมา ตั้งแต่เดือน ๖ ข้างขึ้นจนกระทั่งถึงเดือน ๘ ข้างขึ้น พอถึงขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๘ ก็เดินทางกลับการเดินทางกลับ บรรดาท่านพุทธบริษัท เขตนี้ทราบภายหลังว่าเป็นเมือง ขอนแก่น จากเมืองขอนแก่น มาถึง อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยานี่ เวลานี้ถ้าเดินกัน จะต้องถึงหนึ่งเดือน

แต่ว่าพวกเราใช้เวลาเดินแค่ ๓ วัน วันแรกรู้สึกว่าเดินมาเรื่อย ๆ ในป่า วันที่สองก็เดินมาเรื่อย ๆ ตามธรรมดา ๆ กลางคืนก็หลับตามทาง ปักกลด พอคืนที่สาม ปรากฏว่าตื่นขึ้นมาอยู่หลังวัด ไม่ทราบว่ามาได้อย่างไรก็ตกใจ
ถามท่านอินทกะว่า ทำไมถึงมาถึงได้เร็วอย่างนี้ มันมาอย่างไรเมื่อคืนนี้หลับ
ท่านบอกว่า โยมคุณ ท่านเกรงว่า คุณจะเข้าพรรษาไม่ทัน ท่านเลยใช้อำนาจเทวานุภาพ บันดาลให้มาอยู่หลังวัด

ก็กราบท่าน เมื่อกราบในที่ว่าง ก็ปรากฏภาพองค์ท่านขึ้นมาพอดี ท่านบอกว่าคุณทำอย่างนี้ให้ดีทุกปีนะ โยมจะดีใจมาก เทวดา และนางฟ้าก็ดีใจมาก เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอันว่า เมื่อกลับถึงวัดแล้วก็เข้าพรรษา เวลานี้ เวลาเหลือเพียง ๔๐ วินาที ขอลาก่อน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 23/10/13 at 14:16

4

ไปเที่ยวภูกระดึง


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย มาตอนนี้ไม่ใช่ตอนธุดงค์ เป็นการเดินทาง ไปเดินเที่ยว เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ตอนนั้นมาพักอยู่ที่วัดชิโนรส พักฟื้นจากไข้ ป่วยไข้ไม่สบายที่กรมแพทย์ทหารเรือ อยู่ ๒ปี และก็มีญาติโยมที่นั่น เขาชวนไปทอดกฐินที่ วัดหนองเขียด อำเภอชุมแพ อยู่ปลายเขตแดนของจังหวัดขอนแก่น ทางไปก็ลำบากมาก ก็มีโต๊ะหมู่ทองไป มีระฆังไป เป็นของแปลกของเจ้าของถิ่น เพราะที่นั่นเขาไม่เคยมี

ที่นั่นเขาใช้ไม้ขุด และก็เอาเลื่อยโกรกตรงกลาง ตรงข้าง ๆตีแทนระฆัง ในเมื่อเรานำระฆังทองเหลืองไป เขาก็แปลกใจว่า สวยสดงดงาม เขาก็แห่กัน โต๊ะหมู่ก็แห่กัน รวมความว่า ทอดกฐินเสร็จ เจ้าอาวาส และชาวบ้านเขาชวนเวลานั้นมีพระติดตามไปประมาณสัก ๔ - ๕ องค์ด้วยกัน ก็ชวนไปเที่ยวภูเขาภูกระดึง คำว่า ภูเขาภูกระดึง นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาก่อน

เขาบอกว่า ในสมัยก่อน ถ้าวันดีคืนดี เดือนหงาย จะได้ยินเสียงฆ้อง และมีคนทอหูก มีคนฝัดข้าว มีคนตำข้าว ซ้อมข้าวบนยอดภูเขา นี่เป็นเรื่องราวเก่า ๆ ที่บรรดาญาติโยมเก่า ๆ เล่าให้ฟังว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และก่อนหน้าที่อาตมาจะไป ก็พระที่มีความสำคัญองค์หนึ่ง ชื่ออาจารย์สำราญ ไปอยู่ที่ยอดเขาภูกระดึง ๓ ปี เวลาปี อาตมาอาจจะจำไม่แม่นนะ แต่มั่นใจว่า ๓ ปี เมื่อขึ้นจากทางเดินไปแล้ว ก็ต้องเดินไปจากที่ขึ้นยอดเขาได้

ไปอีก ๘ กิโลเมตร จึงจะถึงที่อาจารย์สำราญอยู่ ท่านอยู่ที่นั่น ท่านไม่มีหม้อข้าว ไม่มีอาหารทั้งหมด และก็ไม่เคยเก็บผลไม้กิน ท่านอยู่ด้วยอำนาจธรรมปีติ ถ้าวันใด ถ้าญาติโยมพุทธบริษัทนำอาหารไปถวายท่านก็รับ ท่านก็ฉัน ถ้าไม่มีใครนำอาหารไปถวายท่านก็ไม่ฉัน หรือว่าอย่างน้อยที่สุด อาจจะฉันอาหารเทวดา เพราะมีบาตรรวมความว่า ไม่นานเอง พระที่มีความสำคัญก็มีอยู่ ที่ภูเขาภูกระดึงนี่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก

เขาเล่าความเป็นมาของภูเขาภูกระดึง อาตมาก็ชวนคณะไป ไปด้วยกัน ก็มีเจ้าของถิ่นไปด้วย รวมแล้วทั้งหมดประมาณ ๓๐ มีพระที่วัดหนองเขียดตามไปทั้งหมดประมาณ ๑๐ องค์ มีฆราวาสด้วย รวมแล้ว ๓๐ คน เมื่อไปถึง นั่งรถสองแถวไปถึงที่ศรีฐาน ใกล้ ๆ ภูกระดึงก็เพล ลงไปที่โรงสี เขาพาเข้าไปในโรงสี เจ้าของโรงสีก็เลี้ยง เลี้ยงทั้งพระ เลี้ยงทั้งคน โรงสีนี่โรงใหญ่มาก มีความกว้างประมาณสัก ๒๐ เมตร ยาวประมาณ ๔๐ เมตร

มุงสังกะสีและมีไม้กระดานหนานิ้วครึ่ง หน้า ๘ ยาว ๔ วา กองอยู่กองใหญ่มากเครื่องโรงสี ก็เป็นเครื่องเล็ก ๆ คือ เครื่องโรงสีสมัยแรก เครื่องย่อม ๆ ที่สีแกลบเป็นรำ ปรากฏว่าเจ้าของที่เป็นสามี เป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรีแต่ว่าภรรยา เป็นคนขอนแก่น ในเมื่ออาตมาไป มองเห็นโรงสีเข้า เห็นไม้เข้า เห็นเครื่องต่าง ๆเห็นโรงสี กับไม้ ก็ถามว่า โรงสีนี่สร้างสักสองหมื่นได้ไหม เราถามอย่างราคาถูกที่สุด เพราะบ้านเราสร้างไม่ได้ ภรรยาแกหัวเราะเอาเงินที่ไหนมาสองหมื่นเจ้าคะ ไม่ถึงหรอก ทั้งหมดนี่สร้าง สามพันกว่า ๆ ตกใจสามพันกว่า ๆ นี่ รวมไม้ที่กองด้วย แค่ไม้ที่กอง

ถ้าเป็นบ้านเรา เวลานั้นก็หลายหมื่นบาท ถามว่า ไม้ที่นี่ราคาถูกหรือ ที่นั่นเป็นดงเต็งรัง ที่วัดหนองเขียดก็เป็นดงเต็งรังทั้งหมด แต่เดี๋ยวนี้ไปเที่ยวไม่มีแล้ว มันเป็นดงเต็งรังหนาทึบ เต็มไปหมดทั่วบริเวณ แต่ว่าตอนหลังนี่ไป เมื่อ ๔ -๕ ปีที่แล้วมา ไม่เหลือเลยสักต้น เขาบอกว่า ถ้าหากว่าเขาเลื่อยในป่าเราไปเอาเอง หน้ากว้าง ๘ นิ้ว หนานิ้วครึ่ง ยาว ๔ วา เราไปเอาเองเขาเอาแผ่นละ ๔ บาท ถ้าให้เขามาส่งที่บ้าน เขาเอาแผ่นละ ๕ บาทเพิ่มค่าขนอีก ๑ บาท เจ้าของโรงสีบอกว่า เมื่อมีสตางค์ก็ซื้อไว้แบบนั้นเอง เผื่อว่าจะมีโอกาสขายได้กำไรได้บ้าง

เมื่อฉันอาหารเสร็จ คุยกันเสร็จ เวลาหลังจากเที่ยง ก็นั่งรถต่อไปที่เชิงเขาภูกระดึง เดินขึ้นไปทีแรก ประมาณสัก ๒๐๐ เมตร ทางขึ้นนะ และก่อนที่จะขึ้น พวกชาวบ้านบอกว่า ไปดูต้นตะไคร้กันครับ ถาม ตะไคร้ที่ไหน ตะไคร้ไปดูทำไม ที่บ้านฉันก็มีเยอะ แกก็บอก ไม่เหมือนกัน แกลากลู่ถูกัง ก็ต้องไปดูแก ปรากฏว่า เป็นไม้แก่น โอบแล้วถึง ๒ โอบ ต้นใหญ่มาก พอเขาฉีกเปลือกดู มันฉุนเหมือนตะไคร้ธรรมดา ๆ เรา แต่ฉุนมากกว่า

แกบอก ถ้าชาวบ้านต้องการตะไคร้ก็เอาเปลือกไม้ที่นี่ไปใช้แทนต้นตะไคร้ต้นเล็ก ๆหลังจากนั้นก็เดินขึ้นไป เมื่อเดินขึ้นไป พระก็บอกว่า อยากน้ำ อาตมาก็ใช้วิธีโกหกบอกว่า ประเดี๋ยวก็มี ประเดี๋ยวเราก็จะเจอะต้นมะขามป้อม อีกสักครู่หนึ่งก็ถึงต้นมะขามป้อม ถึงลานข้างบน ความจริงไม่เคยไปเลย ก็พูดส่งเดชไป บอก จากนี้ขึ้นไปจะมีลานกว้างบริเวณนั้นมีลานกว้างอยู่ จะมีต้นมะขามป้อมมาก ลูกมะขามป้อมตกเกลื่อน เราก็กินมะขามป้อมกัน

และจะมีกล้วยไม้สวย ๆ ไอ้ที่พูดนี่ไม่จริง ไม่รู้เรื่อง โกหกพระ พอขึ้นไปถึงจริง ๆ แล้ว มันปรากฏว่า มีจริง ๆ ลูกมะขามป้อมเกลื่อน เดินเหยียบ เกลื่อนถึงขั้นเดินเหยียบไม่ใช่ก้าวไปเหยียบลูกโน้นลูกนี้บ้าง ไม่ใช่ วางเกลื่อนเต็มพื้นที่ กล้วยไม้ก็สวยแสนสวย มีดอกสวย ๆ มาก พระก็ฉันมะขามป้อม พอบอกว่ามีมะขามป้อมเธอก็มีน้ำลาย มีแรงเดินไปเมื่อขึ้นถึงลานนั้น ก็พักกันชั่วคราว นั่งกินมะขามป้อมบ้างคุยกันบ้าง หลังจากนั้น เดินไปสักครู่หนึ่ง พระบอกว่า อยากน้ำ ไอ้ในใจก็นึก เอ้า…โกหกต่อไปก็แล้วกัน

ว่า ต่อไปข้างหน้าจะมีซำ เขาจะเขียนว่า ซำ ๆ ๆ ซำ คือ บ่อน้ำ มันใช่ หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้ พูดมันส่งไปแบบนั้น ถ้าเขาเขียนว่า ซำ ที่ไหน ให้ไปทางลูกศรชี้ จะมีบ่อน้ำขึ้นไปสักครู่หนึ่ง ก็พบซำที่หนึ่ง เอาเข้าแล้ว ชักดีใจ นึกว่า ผลการโกหกของเรานี่ มีผล ก็เดินไปตามลูกศรชี้ ก็พบน้ำใส ไหลเย็น น้ำจากยอดเขาลงมา พระก็ดื่มกัน กระติกก็ไม่มีไป กระบอกก็ไม่มีไป เพราะไม่รู้ว่าเขาสูงขนาดไหนต่อไปก็พบ ซำที่สอง ซำที่สาม ซำที่สี่ ต้องเดินกัน ๕ ชั่วโมงครึ่ง จึงถึงยอด

พอถึงใกล้ยอดเขา มีบันไดขึ้นไปสัก ๑๐ ขั้น ขึ้นไม่ไหว อาตมา กับสมภารวัดหนองเขียด ต่างคนต่างแก่ อาตมาน่ะป่วยด้วย ทั้งหมดก็ขึ้นไปแล้ว นิมนต์ขึ้นมาครับ ๆ บอกขึ้นไม่ไหวจริง ๆ หมดแรง หยิบนาฬิกาขึ้นมาดู เห็นเวลา ๕ โมงเศษ ก็นึกในใจว่า นึกในใจเอานะ ว่า ที่นี่ถ้ามีความศักดิ์สิทธิ์จริง ถ้ามีเทพเจ้าทั้งหลายที่มีฤทธิ์ ขอให้ช่วยสงเคราะห์ ให้มีแรงขึ้นให้ได้ด้วย และพาเดินด้วยเพียงเท่านั้น ทั้งสององค์ก็มีกำลังขึ้นยอดเขาได้

และก็เดินไปอีกประมาณ ๔ กิโลเมตร ตัดทางตรง บอกเขาบอกว่า ถ้าทางตรงนี้จะพบ สระอโนดาต โกหกอีกถ้าถามว่า รู้หรือ ก็บอกว่า โกหกเหมือนกัน เดามันส่งเดชไปก็เป็นความจริงประมาณ ๔ กิโลเมตร ก็เจอะสระอโนดาต สระเล็ก ๆ น้ำเต็มสระ ใสมาก เย็นมาก พวกที่นั่นบอก ที่นี่มีเต่า แกหาเต่า ถามว่า หาทำไมเต่า บอก เต่าที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น คอมันเข้ากระดองไม่ได้ มันมีหาง แล้วก็ร้องเหมือนแมว หาไปหามา

แกบอกว่า พบเต่าตัวหนึ่ง ตัวเล็ก ๆ จับขึ้นมา แกร้องเหมือนแมว ขึ้นมา ท่าทางแสดงความกลัว ก็ให้เขาวาง เอามือลูบ ๆ เลยบอก พูดดัง ๆ ว่า ผลบุญใดที่ฉันทำแล้ว ตั้งแต่ต้น จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ถ้าผลบุญนี้จะพึงมีประโยชน์ความสุขกับฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนา และจงเป็นผู้มีความปลอดภัย มีความอุดมสมบูรณ์ อยู่ตลอดอายุขัยของเธอให้เธอมีความสุขตลอดไป เธอแหงนหน้าดู ร้อง แม้ว ๆ ๆ เหมือนกับแมว เหมือนกับรู้เรื่อง

และพอเดินไปสักประเดี๋ยวหนึ่ง เจ้าเต่าก็เดินตาม ไปไหนมันก็เดินตาม พอจะเดินออกจากที่นั่น มันก็เดินตาม บอก เต่า ไปไม่ได้ฉันจะไปไกล แกบอกว่า จะไปส่ง แกร้อง แม้ว ๆ ๆ เหมือนแมวก็เดาเอาว่า แกบอกจะไปส่ง บอก อย่าไปเลย เธอเดินช้า กลับที่เดิมก็แล้วกัน ก็เลยจับไว้ที่เดิม บอก ฉันลานะ อยู่ให้เป็นสุขนะ หลังจากนั้นก็ค่ำ เป็นวันกลางเดือนสิบสองพอดี เห็นพระจันทร์ใกล้มาก แต่ว่าจีวรเริ่มเปียก น้ำค้างลง ยังไม่รู้ว่าจะนอนที่ไหน

ไอ้ความโง่ ก่อนที่ไปไม่ได้ถามเขาว่า เขามันสูงขนาดไหน คิดว่าเป็นเขาธรรมดา ๆ ทีนี้มันสูงตั้ง ๑ กิโลเมตร ต้องเดินอย่างเก่ง คนเก่ง ๆ ต้องถึง ๕ ชั่วโมง พวกเราไป ๕ ชั่วโมงครึ่ง พอเดินไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะไป เสียงเต่าร้อง แม้ว ๆ ๆ ก็ตีความหมายว่า ให้เดินตรงไปทางด้านทิศเหนือ เดาภาษาเต่านะ ความจริงนี่ไม่ได้รู้นะ เดา เอาสัญญาณที่แกร้อง ก็คิดว่า ให้ไปทางด้านทิศเหนือ จะมีที่พัก ก็บอก ทุกคนไปตรงทิศเหนือ ทางพระจันทร์ขึ้น เป็นทิศตะวันออก

ไปสักครู่หนึ่งปรากฏว่า บนนั้นมีต้นหญ้ามันตาย เหมือนกับเดินบนฟูกเดินนิ่ม มีกระต่ายตัวหนึ่งสูงประมาณแค่เข่า นั่งอยู่เฉย ๆ พวกพระ พวกชาวบ้านก็ล้อมเข้าไป ๆ จนกระทั่งขาติดกัน พอเข้าประชิดตัว ตะปบกระต่ายปั๊บ กระต่ายไม่ได้โดด หายไปในดิน เลยบอก พวกคุณทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ถ้าทำแบบนี้ จะมีภัย เรามาเที่ยวกัน อย่าคิดทำร้ายคนอื่นเขา ควรจะมีเมตตาจิต หลังจากนั้นต่อมา ก็ปรากฏว่าเดินไปอีก อาตมาก็เดินล้าหลังสององค์กับสมภารวัดหนองเขียด เดินล้าหลังแล้ว ไม่ไหวแล้ว น้ำค้างก็ตก จีวรก็เปียก

คณะกลุ่มใหญ่เดินข้างหน้า ไปถึงก็หยุด ถามว่าทำไมจึงหยุด บอก งูใหญ่ ปรากฏว่า งูใหญ่เอาหางพันต้นไม้ ตัวขนาดเสาได้ หัวส่ายไปส่ายมา และก็มีหงอน ก็เลยเข้าไปยืนใกล้ ๆ บอก พี่ชาย ขอบคุณนะ มีอะไรผิดไปบ้างก็ขออภัยด้วย เพราะคนพวกนี้เขาไม่รู้เรื่อง อันตรายก็ไม่มีกับกระต่าย เพราะเขาเป็นคนไม่รู้ต้องขออภัยด้วย เพียงเท่านี้ เขาก็ปล่อยหางจากต้นไม้ เลื้อยหายไป เดินต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ปรากฏว่า มีคนสองคนเดินสวนทางมา

แกมา แกก็บอกว่า แกเป็นเจ้าหน้าที่ก่อสร้างที่นี่ สร้างอาคารที่พักเพราะว่า พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ แต่อาคารยังไม่เสร็จ เวลานี้คนงานว่าง คนงานลงไปข้างล่างหมด ขอนิมนต์ไปพักที่นั่นครับ ก็เลยบอกว่า หลายคน ที่พอหรือ แกบอกว่า พอ ในที่นั้นคนงานมาก มีผ้าห่มมาก เขาก็แจกผ้าห่มให้ ทุกคนก็นอนกันแบบเป็นสุข คิดว่า ตอนเช้า เราควรจะลงแต่เช้า ขาขึ้น ๕ ชั่วโมง ขาลงถ้าเราลงแต่เช้าตรู่ ก็ประมาณ ๒ ชั่วโมง ถึง ขาลงมันง่าย คงจะกินข้าวที่บ้านศรีฐานได้

ซื้อข้าวเขากิน ก็เลยบอกเจ้าของบ้าน บอกว่าเรื่องอาหารไม่ต้องเป็นห่วงนะ เพราะหลายคนด้วยกัน ตั้ง ๓๐ คนท่านเลี้ยงไม่ได้ เจ้าของบ้านบอก ไม่เป็นไรครับ อาหารคนงานไม่อยู่นี่มีเยอะ พรุ่งนี้ผมจะหุงข้าวให้ ก็เลยบอกว่า อย่ากังวลเลยโยม แกก็ยืนยันบอกว่า ขอให้ผมมีโอกาสทำบุญเถอะครับ ให้มีโอกาสได้ทำบุญบ้าง ก็เป็นอันว่า ตกลง เขาจะทำก็ไม่เป็นไร ก็นั่งคุยกันไปถึงประวัติความเป็นมาของภูกระดึง แกก็เล่าสภาวะต่าง ๆ ของอาจารย์สำราญให้ทราบ

ก็เล่าความเป็นมาของภูกระดึงว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางทีก็ได้ยินเสียงฆ้องบ้าง ระฆังบ้าง บางทีได้ยินเสียงผู้หญิงคุยกันบ้าง บางคราวเห็นคนทอผ้าบ้าง ตำข้าวบ้าง อย่างนี้เป็นต้น บางคราวจะเห็นเป็นหมู่บ้านใหญ่ ๆ บางทีก็เห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ บางทีก็เห็นแต่คนแก่ ก็ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของแกแล้ว แต่มาพอรุ่งเช้า ทีนี้เมื่อคืนก็คุยกันดึกไป ต่างคนต่างตื่นสาย เจ้าของบ้านก็ตื่นพร้อม ๆ กันประมาณโมงเช้า เมื่อตื่นขึ้นมา แทนที่เจ้าของบ้านจะหุงข้าว กลับมีคนประมาณสัก ๕๐ คน นำข้าวปลาอาหารมาพร้อม แต่งตัวเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ

นุ่งผ้าขาดบ้าง นุ่งผ้าเก่าบ้าง เหมือนชาวบ้านธรรมดา ๆ นำอาหารมาถวาย มีต้ม มีแกงเสร็จ ถามว่า โยม โยมมาจากไหน โยมก็เลยบอก อยู่แถวนี้เจ้าค่ะ เลยหันไปถามเจ้าของถิ่น นายช่าง นายช่างบอก บ้านบนนี้ไม่มีครับ แกก็เลยบอก นายช่างไม่เห็นเอง บ้านฉันอยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ ไม่ไกล ทราบว่าท่านมากัน และมากันมากตอนเช้าไม่มีอะไรจะฉัน ไม่มีอะไรจะบริโภคกัน เลยชวนพวกชาวบ้านนำอาหารมาถวายพระบ้าง เลี้ยงคนบ้าง ต่างคนต่างกินกันอิ่มหนำสำราญ เหลือให้เจ้าของบ้านไว้เยอะ

เมื่อ ยถาสัพพีฯ เสร็จ ญาติโยมก่อนจะไป ก็คุยกันนิดหน่อย แต่ว่าสังเกตแล้ว ทุกคนไม่กระพริบตาสักคน นั่งตาแข็งทื่อเหมือนกันหมด ทั้งผู้หญิงผู้ชาย แต่แต่งตัวแบบชาวบ้านธรรมดา ๆ ไอ้อย่างนี้ก็เข้าใจว่า เป็นเทวดาแน่ เป็นนางฟ้ากันแน่ ก็รวมความว่า หลังจากญาติโยมลาไปแล้ว ก็ลาเจ้าของถิ่นเดินทางกลับ ขณะที่เดินทางกลับลงมา ก็ใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงก็ลงถึงเชิงเขา แล้วก็เดินไปที่ร้านอาหารบ้านศรีฐาน ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ เข้าไปถึงเวลา ๕ โมงพอดี

พอดีเจ้าของโรงสีเห็นเข้า บอกว่า ท่านกลับแล้วหรือ ก็บอก กลับแล้วโยม โยมไม่ต้องเป็นห่วง อาตมาจะซื้อข้าวเอง ท่านบอก ไม่ต้อง ๆ ผมหุงไว้แล้วครับ ถามโยมรู้ได้อย่างไรว่า อาตมาจะลงมา บอกว่า เมื่อตอนเช้า มีคนแก่บอก บอกว่า มีคณะชาวบ้าน ลูกบ้านของแก นำอาหารไปเลี้ยง และตอนเพล ทั้งคณะจะมาที่นี่ แล้วแกก็นำหมู นำเนื้อ นำอะไรต่ออะไรมาให้ไว้ ให้ทำอาหารถวายพระด้วย แต่ปรากฏว่า ไอ้หมู ไอ้เนื้อต่าง ๆ นี่ มันไม่มีคาว

เจ้าของโรงสีก็สงสัยเหมือนกันว่า ทำไมจึงไม่มีคาว หมูก็มี เนื้อก็มี ปลาทูก็มี ปลาทูนี่ ความจริงมันเหม็นคาวมาก แต่ปลาทูตัวใหญ่ ๆ แต่ไม่มีคาว เขาก็ทำอาหารไว้เสร็จ พวกเราก็เข้าที่ กินกันตามเดิม เมื่อกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เล่าความเป็นมาว่า ขึ้นไปข้างบน ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บ้าง บังเอิญไปเจอะกระต่ายเข้า พวกนี้จะจับกระต่าย เมื่อพ้นจากเขตกระต่าย ก็ปรากฏว่าเจอะงูใหญ่

เจ้าของโรงสีศรีฐานก็บอกว่า ข้างบนมีความศักดิ์สิทธิ์มาก แต่ความจริงท่านพุทธบริษัท อาตมาไปนั่งดูในสถานที่นั้นว่าภูเขาภูกระดึงนี่ ทีแรกทีเดียว อยู่ใต้ทะเลลึก เพราะมีรอยคราบน้ำ รอยคราบน้ำยังปรากฏชัด สีขาว และก็มีหอย หอยเล็ก ๆ เกาะอยู่แน่น แสดงว่า สมัยก่อนในดินแดนแห่งนั้นเป็นทะเล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นไม้ปลูกเป็นระเบียบ ต้นไม้สีเขียวก็เขียว แดงก็แดงเหลืองก็เหลือง เป็นตับ เหมือนกับใครไปปลูกไว้ แสดงว่า เป็นดินแดนที่มีคน มีบ้านมีเมืองอยู่ เฉพาะบริเวณที่เตียนแล้ว พันไร่เศษเป็นพื้นที่ราบ

และพื้นที่เป็นป่า อีกมากกว่ามาก ภูกระดึงนี่ เป็นดินแดนน่าเที่ยว ถ้าขึ้นง่ายนะ แต่ว่าอาตมาไปตอนหลัง เสร็จ ไอ้ขึ้นไป ๒๐๐ เมตร ที่มีฐานกว้าง มีที่ราบ ที่ว่ามีต้นมะขามป้อม ไปคราวหลังนี่ ต้มมะขามป้อมสักต้นก็ไม่มี จะมีรอยตัด ก็ไม่มีรอย ต้นไม้ก็ตามเดิม ต้นไม้ต่าง ๆ สมัยนั้นมันเป็นมะขามป้อม ยังจำภาพได้ แต่ไปตอนหลังนี่ ไม่ใช่มะขามป้อมเสียแล้ว กล้วยไม้ที่มีดอกสวย ๆ ก็ไม่มี มันกลายไปได้อย่างไรก็ไม่ทราบ ห่างกันเวลาไม่กี่ปีนัก

ถ้าจะใช้เวลาปลูก ก็ปลูกไม่ทัน เพราะต้นมันใหญ่ก็รวมความว่า การไปคราวนั้น ก็มีความรู้สึกว่า ดินแดนแห่งนี้ เราเคยมาในสมัยที่ไปธุดงค์ แต่ไม่เคยขึ้นทางชัน ขึ้นทางด้านทิศตะวันตก เพราะทิศตะวันตกมันเป็นที่ลาด ค่อย ๆ ขึ้นมา ก็มีป่าชัฏค่อย ๆ เดินขึ้นมา ปรากฏว่า ไม่รู้สึกว่าเป็นเขา คิดว่าเป็นเนิน เดินขึ้นมา เดินทีละน้อย ๆ มันค่อย ๆ สูงขึ้น ๆ ทีนี้คนที่เขาไม่ขึ้นทางนั้นเพราะทางมันยาวมาก ต้องใช้เวลาเป็นวัน หนึ่งวันนี่ เดินไปตลอดทางแน่

เวลานั้นก็เป็นป่า เสือช้างก็มาก มีทั้งเสือ ทั้งช้าง เวลานี้ช้างก็ยังมีอยู่ ก็รวมความว่า การไปเที่ยวภูกระดึงคราวนั้น ก็มีความรู้ว่าที่นั่นเป็นถิ่นศักดิ์สิทธิ์จริง และเป็นดินแดนที่พระเคยมีความอัศจรรย์อยู่พระที่มีความอัศจรรย์ นอกจากอาจารย์สำราญแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็มีญาติโยมเล่าให้ฟังว่า มีพระองค์หนึ่ง ท่านไปอยู่ที่เชิงเขาแล้ววันหนึ่ง ต่างคนต่างนัดกัน บอกว่า จะไปที่อำเภอหล่มเก่า และญาติโยมก็มีรถสองแถว

พอวันรุ่งขึ้น ก็ไปนิมนต์ท่านขึ้นรถ เวลานั้นท่านกำลังบิณฑบาต ท่านก็บอกว่า โยมไปก่อนเถอะ เวลานี้อาตมากำลังบิณฑบาตอยู่ ถ้ารออาตมาก็สาย ญาติโยมก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมรอท่านดีกว่า ผมมีรถ ท่านบอก ไม่ต้องคอย อาตมารู้ทางลัด เป็นอันว่า ในที่สุด ญาติโยมก็ต้องไปก่อน เพราะท่านให้ไปก่อน ท่านรู้ทางลัด เมื่อพระยังไม่กลับจากบิณฑบาต โยมก็ออกรถ มาอำเภอหล่มเก่า แต่ว่าพอถึงที่วัดที่นัดกันไว้ว่าจะไปวัดไหน

พระองค์นั้นไปนั่งที่หน้าอาสน์สงฆ์แล้ว ญาติโยมก็ไปถามว่า ท่านมาอย่างไรครับ นี่ทางมันไกล ท่านก็เลยบอกว่า อาตมาบอกแล้วว่า อาตมารู้ทางลัด นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ทางลัดของท่าน ก็คือ เหาะ นี่พระที่ทรงอภิญญาสมาบัติ เวลานี้ยังมีอยู่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย บางคนเขาว่า อาตมานี่เก่งกาจ แต่ความจริงไม่ใช่ พระที่เก่งกว่าอาตมา เวลานี้มีเยอะ มีอยู่มาก และพระที่รู้จักทางลัด เวลานี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ทราบว่าอยู่วัดไหน

และสำหรับอาจารย์สำราญนี่ก็ยังไม่ตาย แต่ไม่ทราบว่า อยู่ที่ไหนเหมือนกัน เพราะอะไรรู้ไหม เพราะท่านไม่ยอมให้บอก ถ้าไปบอกเข้า ท่านรำคาญ ท่านบอก ท่านรำคาญคน คนที่ไปหาท่าน โดยมากจะไม่ไปหาความดี มักจะไปหาหวย ก็เลยบอก ถ้าอย่างนั้น เราไม่รู้จักคนเลยเสียดีกว่า อยู่เป็นหลวงตาธรรมดา ๆ มีความสุขกว่ามาก ก็เป็นอันว่า ก็บอกกันไม่ได้ ทั้งสององค์นี่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากนี้ไป เหลือเวลาประมาณ ๔ นาที

ก็คุยกันว่า ความจริงบนภูกระดึง ทำไมจึงมีคน คนที่ไม่ปรากฏตัว คนประเภทนี้ชาวบ้านเขาเรียกว่า พวกลับแล คำว่า ลับแล หมายความว่า แลไม่เห็น ถ้าเขาต้องการให้เห็น เราก็เห็น เขาไม่ต้องการให้เห็น เราก็ไม่เห็น บางครั้งที่เจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่า บางครั้งมีหมู่บ้านใหญ่ ตั้งใกล้ ๆ มีเด็กเล็กมาก มีคนเยอะ เสียงเจี๊ยวจ๊าวเกรียวกราว มีสวนดอกไม้ มีสวนลูกไม้ มีผลไม้ต่าง ๆ มากมาย มีอยู่เป็นวัน ๆ บางทีก็มีอยู่ถึง ๗ วันก็มี

เคยคุยกันแต่อยู่ ๆ บ้านทั้งหลายเหล่านั้นก็หายไป เวลาที่มีบ้านทีไรก็ปรากฏว่า มีคนทอหูกทุกที เห็นคนทอหูก เห็นคนเย็บจักร เห็นคนเย็บเสื้อผ้าด้วยมือ มีเครื่องมือพร้อม แต่ว่าทุกคน ไม่มีใครไปหาปลา หาเนื้อ กินแต่ผลไม้ เท่าที่กินให้เห็นนะ เขาบอก เขาไม่กินปลากินเนื้อกัน เขากินแต่ผลไม้ และอยู่ ๆ มา บ้านก็หายไปหมด บ้านก็หาย คนก็หาย อย่างนี้เขาเรียกว่า เมืองลับแล ฉะนั้น ที่อาจารย์สำราญท่านอยู่ที่นั่น อาตมาก็มีความรู้สึกว่า

ชาวลับแลพวกนี้ต้องใส่บาตร ชาวลับแลเป็นใคร ก็ตอบได้ว่า ชาวลับแล คือ ภุมเทวดากับรุกขเทวดา นอกจากนั้น พระที่มีความดีขนาดนั้น พวกอากาศเทวดาก็ทำบุญ อากาศเทวดาที่ต้องการความดีก็มีมาก เขาก็ทำบุญกับพระที่มีความดี จะเห็นว่า อาจารย์สำราญนี่ ท่านอยู่ตั้ง ๓ ปี ทางขึ้นไปตั้ง ๕ ชั่วโมง คนเดินเก่งนะ ๕ ชั่วโมง ทีนี้มีบางคราว ไปถามคนว่า เคยนำอาหารไปถวายไหม บอกว่า เคย บางครั้งบางคราว นาน ๆ ครั้งเดือนไปสักครั้งบ้าง

ถามว่า เอาข้าวสารไปให้ท่านไหม บอก เคยนำไปให้ แต่ท่านไม่ยอมรับ ถ้านำข้าวสุกไปถวายท่านไปได้ แต่ว่าต้องไปแต่ตอนดึก ถ้าไปตอนเช้าก็ถึงเลยเที่ยง เพราะเดินไป ๕ ชั่วโมงครึ่ง และเดินจากที่นั้นไปอีก ๘ กิโลเมตร ก็เลยเที่ยง ท่านไม่ยอมรับ ท่านฉันหนเดียว ก็ต้องไปกันตั้งแต่ตอนดึก ก็รวมความว่า อาจารย์สำราญท่านกินอะไร ท่านอยู่ได้อย่างไรก็ต้องตอบว่า อาจารย์สำราญ เป็นพระที่บรรดาบุคคลทั้งหลายคิดว่า พระประเภทนี้ในโลกนี้ไม่มีแล้ว นั่นคือ พระอรหันต์

อาตมาคิดเอาอย่างนี้นะ แล้วพระที่ว่าเดินรู้จักทางลัดก็เช่นเดียวกันพระองค์นี้ก็ไม่ใช่ธรรมดา ต้องเป็นพระอรหันต์ ที่ทรงอภิญญาสมาบัติ เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เหลือเวลาอีก ๓๐ วินาที ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 18/11/13 at 19:23

5

ไปพักที่ดงพระยาเย็น


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๔ ก็จะขอคุย เรื่องธุดงค์ แต่ก่อนจะคุยเรื่องธุดงค์ ก็ขอเล่าความเป็นมาก่อน บรรดาท่านพุทธบริษัท เดือนนี้ป่วยมาก อาการป่วยเครียด ป่วยติดต่อกัน วันนี้ลิ้นก็ยังแข็งมาก เพิ่งเริ่มสอนกรรมฐานวันนี้ หลายปีมาแล้ว เริ่มสอนก็ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง

เป็นอันว่า เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๔ ได้เข้าไปในพระราชนิเวศน์ คือที่ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ความจริงก็ตรงกับ วันพระราชสมภพของพระบรมราชินีนาถ แต่ว่าทุกปีเคยไปที่ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ แต่ว่าปีนี้เข้าไปในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ก็รู้สึกแปลกใจ เพราะว่าในสถานที่นั้น เป็นสถานที่แต่งตั้ง คือมีการเลื่อนยศ มีการแต่งตั้งอะไรเกิดขึ้น มักจะทำที่นั่น เลื่อนยศพระ ตั้งยศพระ ก็ตั้งที่นั่น เลื่อนยศ ก็เลื่อนที่นั่น แต่คราวนี้เป็นการเลื่อนยศพระองค์เจ้าโสมสวลี เป็น พระวรราชาทินัดดามาตุ

และการไปคราวนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากว่าไปนั่งคอย คอยเวลา ก่อนจะถึงเวลา ๑๖.๓๐ นาที เมื่อได้เวลา ก่อนเวลานั้นเล็กน้อยก็เข้าวัง วันนั้นฝนตกหนัก เป็นธรรมดางานของสมเด็จพระบรมราชินีนาถนี่ทุกปี ฝนตกหนักทุกปี พระข้างในเย็นสบาย แต่คนข้างนอกบอก หนาวจัด ต้องหลบฝนไปตาม ๆ กันก็ดีเหมือนกัน เรียบร้อยดี กลับออกจากพระที่นั่งก็ ๖ โมงเศษ ๆ หลังจากนั้นก็ไปที่ วัดโพธ์ ท่าเตียน

ท่านเจ้าคุณธรรมราชานุวัตร เจ้าคณะตรวจการภาค ๓ นิมนต์ให้ไปปลุกพระกริ่ง สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ความจริงพระที่ปลุกนี่ เขาทำดีแล้ว นั่งหลับตาปั๊บ เริ่มภาวนา ก็เห็นแสงปรากฏชัด แสงสวยมาก ก็เป็นอันว่า พระที่เขาทำ ทำดีแล้ว ก็ทำทับต่อไป เรียกว่า ช่วยกันทำให้ดี การที่ไม่มีพระสวด นั่งทำเฉย ๆ นี่ดีมาก จิตสงัดดีมากหลังจากนั้นก็กลับ กลับมาถึงซอยสายลม ก็นั่งคุยกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทตามสมควร มียกทรงเป็นหัวหน้า

ยกทรงก็เล่าความเป็นมาของน้ำมันชาตรีว่า น้ำมันชาตรีนี่ มีเด็กคนหนึ่งป่วยไม่สบาย ที่ก้นแดงจัด และมีความร้อนมาก ทีนี้พ่อของเด็ก ซื้อไปประมาณสัก ๓ ขวด หรือ ๓๐ ขวด ไม่ทราบ ทีนี้คนรับใช้ในบ้านของเธอ ลูกจ้าง เรียกคนรับใช้ก็ไม่ถูก ลูกจ้างเป็นโรคทางท้องมา ๖ ปีเศษ แต่ว่ารักษาหลายโรงพยาบาลแล้วก็ไม่หาย เมื่อเห็นนายจ้างวางไว้ เมื่ออ่านดู

เขาว่า แก้โรคต่าง ๆ ครั้นจะขอเจ้านาย ก็เกรงว่าเจ้านายจะว่าเอา ก็เลยเปิดกิน แบบที่เรียกว่าเป็นกันเอง กินเข้าไปหนึ่งช้อน หลังจากนั้นมา ๒ - ๓ วัน อาการต่าง ๆ ก็ไม่ปรากฏ เมื่อไปตรวจโรค ก็ปรากฏว่าโรคนั้นหาย แพทย์บอกว่า หายไปแล้ว ความจริงแกป่วยมา ๖ ปี และนายจ้าง เมื่อทราบว่าลูกจ้างกินแล้วก็หายโรค คิดว่า เราลองทาก้นลูกชายดูทีซิ ทีแรกก็คิดว่าน้ำมันชาตรีเป็นของสูง ของเสก ทาก้นจะเป็นของต่ำ แต่ความจริงไม่เป็นไร เป็นที่ไหนก็ทาได้ ก็ทาลงไป

วันแรกหายไปประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็นต์เศษ วันที่สองก็หายทันทีทันใด นี่เป็นรายการหนึ่ง ในหลาย ๆ รายการต่อนี้ไป ก็มาคุยกันถึงเรื่องธุดงค์ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจะรำคาญ เพราะเวลาสิ้นไปประมาณสัก เกือบ ๑๐ นาที ธุดงค์คราวนี้ ขอเล่าธุดงค์ภาคอีสานต่อไป เพื่อให้จบเรื่องภาคอีสาน และภาคเหนือ แต่ว่าหนังสืออ่านเล่น บรรดาท่านพุทธบริษัท เล่มนี้ถือเป็นเล่มสุดท้าย เพราะทำไม่ไหวแล้ว เสียงไม่มี วันนี้ก็ย่ำแย่ ลิ้นก็แข็ง

เป็นอันว่า เมื่อถึงเวลาธุดงค์ เวลานั้นเป็นพรรษาที่ ๔ หลวงพ่อปานมรณภาพแล้ว เมื่อหลวงพ่อปานมรณภาพแล้ว ท่านสั่งว่า ถ้าฉันตาย เธอก็ไปขึ้นธุดงค์กับหลวงพ่อจงก็แล้วกัน ท่านเรียก หลวงพ่อจง แต่ว่าหลวงพ่อจงเรียกหลวงพ่อปานว่า ท่านปาน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าหลวงพ่อปานอ่อนกว่าหลวงพ่อจง ๑๐ ปีเศษนิดหน่อย เมื่อไปถึงหลวงพ่อจง ไปขอขึ้นธุดงค์กับท่าน ไปกราบ ๆท่าน

ท่านถามว่า เตรียมกลดไปไหน
ก็กราบเรียนบอกว่า จะมาขึ้นธุดงค์ครับ
ท่านหัวเราะ ฮิ ๆ ตามนิสัยของท่าน บอก จะขึ้นไปถึงไหนล่ะพ่อคุณ ไอ้การขึ้นธุดงค์ ก็คือการเรียนวิชาการธุดงค์ ไม่ใช่จะมาขึ้นแบบต้นไม้ ปีนตรงนั้น ปีนตรงนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น เขาขึ้นกันทีเดียว ทีหลังไปไหนก็ไปเองได้

ก็เลยบอกว่า เวลานี้หลวงพ่อปานตายแล้วครับ ไปเองก็ไปได้ แต่ว่าผมก็ต้องพึ่งหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อก็ดี หลวงพ่อปานก็ดี เคยสงเคราะห์ผมในป่าอยู่เสมอ
ท่านก็ยิ้ม ไม่พูดว่าอย่างไร ก็เลยถามท่านบอกว่า วันไหนเป็นวันดีครับ
หลวงพ่อจงบอก วันจริง ๆ มันดีทุกวัน ของฉันฤกษ์ดีทุกวัน และทุก ๆ เวลา เวลานี้ก็ดี เธอจะขึ้นธุดงค์เวลานี้ไหมล่ะ

ก็บอก ขึ้นครับ ท่านก็นำสมาทานกรรมฐาน และแนะนำแนวเดียวกับหลวงพ่อปาน เพราะท่านเรียนมาด้วยกัน
ท่านบอกว่า ท่านปาน กับฉันนี่ เรียนกรรมฐานมาด้วยกัน จากหลวงพ่อสุ่น และก็หลวงพ่อปั้นแต่ว่าหลวงพ่อปานแยกไปทำการก่อสร้าง ฉันไม่เอา ฉันทำกรรมฐานอย่างเดียว
ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้น หลวงพ่อก็จบแล้วใช่ไหมครับ
ท่านบอกว่า จบ ฉันจบมานานแล้ว

ถามว่า จบอะไร
ท่านบอกว่า ทีแรกก็เรียนจบ ก.ไก่ ข.ไข่ ต่อมาก็จบ ก.กา ข.ขา
ก็ถามว่า เวลานี้หลวงพ่อจบอรหันต์แล้วหรือยังครับ
ท่านบอก ข้าจะไปรู้หรือโว้ย ก็ในเมื่อไม่มีคนอื่นพยากรณ์ ข้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ข้าไม่รู้เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขึ้นธุดงค์กันดีกว่า

แล้วท่านก็นำกรรมฐาน ท่านนำกรรมฐานเสร็จ ก็นั่งกรรมฐานกันประมาณ ๑๐ นาที ลืมตามาท่านหัวเราะ ฮิ ๆ ๆ ท่านบอก ไปคราวนี้ดีนะ อันดับแรก ไปดงพระยาเย็น เวลานั้นยังเป็นป่าทึบ ที่ปากช่องเป็นป่าทึบมาก ที่นั่นจะพบผีมาก เพราะ ผีสมัยกบฎบวรเดช รบกันตายที่นั่นมาก เขาจะมาเยี่ยมเธอ ความจริงเป็นญาติกัน เป็นญาติร่วมชาติกัน และหลังจากนั้น เธอก็ไปที่โน่น ภูเขาภูกระดึง ด้านทิศตะวันตก ที่นั้นเป็นดินแดนที่มีความสำคัญมาก เธอต้องไปตามนี้นะ เธอต้องไปตามฉันพูด ที่ไหนมีอันตรายมาก จงไปที่นั่น ที่ไหนมีอันตรายน้อย หลบไปพักชั่วคราว แล้วก็ไปเสีย ทั้งนี้เพราะ เราต้องการไปเอาดีกัน

ก็กราบเรียน ถามท่านว่า อันตรายจะมากขนาดไหนครับ
ท่านเลยบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อไปถึงแล้วจึงค่อยรู้กัน
เป็นอันว่า วันพรุ่งนี้เช้า หลังจากฉันเช้าเสร็จ เธอออกเดินทาง คืนนี้นอนที่นี่หนึ่งคืน ก็เป็นอันว่า นอนอยู่กับท่าน ท่านจัดที่หอสวดมนต์ให้นอน ตอนเช้าไปบิณฑบาต ฉันข้าวเสร็จ ก็ออกเดินทาง กราบลาท่าน

ท่านบอกว่า เดี๋ยวก่อนจะไปก้มหัวมาซิ ท่านก็เป่ากระหม่อมคนละ ๓ พรวด ทั้ง ๓ องค์ ท่านบอกว่า เธอจงเดินเหมือนฉันนะ คำว่า เดินเหมือนฉัน พวกเราเองก็สงสัย บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ว่า เดินเหมือนท่าน มันเดินอย่างไร แต่ความจริงท่านเดินช้า ๆ แต่เร็วมาก ถ้าท่านเดิน รู้สึกเดินเนิบ ๆ ก้าวช้า ๆพวกเราต้องวิ่งตาม เป็นอันว่า ตั้งแต่ไปจนกระทั่งกลับ เธอจงเดินเหมือนฉัน

เมื่อสมัยก่อนฉันไปเดินธุดงค์ ถ้าไปที่ภูเขาภูกระดึง นี่เป็นจุดหมายปลายทางจุดหนึ่ง ท่านปานก็เคยไป เพราะที่นั่นต้องต่อสู้อันตรายหนัก ที่ไหนหนัก เราต้องไปที่นั่น ฉันไปวันแรกก็ถึงดงพระยาเย็น และพักที่ดงพระยาเย็น ๓ คืน หลังจากนั้นแล้วก็เดินตรงไปทางด้านจังหวัดเลยด้านขอนแก่น มุ่งหน้าตัดลงหาจังหวัดเลย และก็ไปอยู่ที่ภูเขาภูกระดึงและก็อยู่ที่นั่นตลอดกาล จนกว่าจะถึงเวลากลับ ที่นั่นมีของดี ๆ เยอะคือ ๑. ช้าง ช้างก็เยอะ พอพูดถึงช้าง พวกเราก็ชอบใจ

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเจอะช้างที่ไหนสบายใจที่นั่น ประการที่สอง เสือก็เยอะ สัตว์ต่าง ๆ เยอะแยะมาก น่าชม น่ารักมาก แต่ทว่าพระธุดงค์ตายมาหลายองค์แล้ว นี่ท่านลงท้าย พวกอาตมาก็ยิ้ม เรื่องตายเป็นของเล็ก เพราะทราบอยู่ว่า ความตายมีกับเราทุกขณะ ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้าตายเมื่อไร ก็ไปพรหมเมื่อนั้นก็รวมความว่า ตั้งใจตัดสินใจเดินทางไป ความจริง จากวัดหน้าต่าง ไปปากช่อง วันเดียวไม่น่าจะถึง

ก็เดินไปเรื่อย ๆ คุยกันไปเรื่อย ๆ ตามสบาย ๆ แต่ว่าสิ่งที่เราทิ้งไม่ได้ นั่นคือ ท่านอินทกะนึกถึงท่าน เมื่อชุมนุมเทวดาเสร็จ นึกถึงท่าน ท่านก็มา ท้าวมหาราชท่านก็มา ท่านมอบหมาย ท่านอินทกะ ท่านอินทกะท่านก็มา บอกว่า [color=navy] ไม่เป็นไรครับ ไป วันนี้เดินตามแบบหลวงพ่อจง ท่านว่าอย่างนั้น เมื่อเดินไปสักครู่หนึ่ง เวลาประมาณ ๓ โมงเย็นเศษ ๆ ต้องเริ่มปักกลดเพราะป่าทึบมาก น้ำค้างเริ่มตก

ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่ที่ไหน
ท่านบอก ที่นี่คือที่เขาเรียกกันว่า ดงพระยาเย็น หรือ ดงพระยาไฟ ตามธรรมดาแล้ว เดินธรรมดา วันหนึ่งจะไม่ถึงที่นี่ ต้องเดินถึง ๓ วัน แต่นี่หลวงพ่อจงท่านบอกให้เดินแบบท่าน ก็ต้องเดินตามท่าน
ก็ถามว่า ที่มาถึงไวนี่อาศัยอะไร อาศัยท่านอินทกะช่วย ใช่ไหม
ท่านบอก ไม่ใช่ หลวงพ่อจงช่วย

ในที่สุดก็หาที่ปักกลด ก็ได้ภูเขาลูกหนึ่ง มีเงื้อมชะโงกออกมาข้างในเป็นถ้ำเล็กน้อย พอที่จะบังน้ำค้างได้ดี อาศัยร่มบังน้ำค้าง ก็ปักกลดใต้เงื้อมเขานั้น พอปักกลดเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งสงสัยว่า เราจะมีน้ำที่ไหนกิน น้ำที่ไหนใช้ ท่านอินทกะก็บอกว่า ในสถานที่ปักกลดนี่ น้ำใช้น้ำกินไม่ยาก อยู่ใกล้ ๆ ท่านก็ชี้ให้ดู ก็เดินไปตามมือท่านชี้ ก็เจอะบ่อน้ำใส เป็นลำธารน้ำตก ธารน้ำตก และเป็นอ่างน้อย ๆ น้ำขังอยู่ น้ำตกก็ไม่แรงนัก อาบกินกันแบบสบาย ๆ ก็มีความสุข

พอถึงเวลาก็เข้าที่พัก ท่านอินทกะท่านก็หายไป ความจริงเทวดาท่านจะมาแสดงอยู่เสมอก็ไม่ได้ เพราะว่างานของท่านก็มี เมื่อถึงเวลาใกล้ค่ำ ความจริงเวลาก็ไม่นาน ประมาณสัก ๔ โมงเย็นกว่า ๆก็เริ่มค่ำ เพราะตะวันลับยอดไม้ เวลานั้นต้นไม้สูงมาก ต้นไม้มีเยอะเป็นป่ารกชัฏ จุดภายในโปร่งบ้าง รกบ้าง ตามสภาพของป่า ไม่ใช่ป่าเต็งรัง เมื่อปักกลดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งกรรมฐานกัน อาบน้ำเสร็จก็นั่งกรรมฐานกัน พอนั่งกรรมฐานกันเรียบร้อยดี ใช้เวลาประมาณ ๑๕นาที

ก็รู้สึกว่า มีคนจำนวนมาก แบกปืนมา แต่เป็นปืนเล็กยาวของทหาร แต่งตัวเหมือนทหาร ทุกคนมาเป็นจำนวนร้อย มาด้วยกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายทางเหนือก็มา ฝ่ายทางใต้ก็มา มาถึงเข้า ต่างคนต่างปะทะกัน ยิงกันขนาดหนัก และหูเราก็ได้ยินเสียงปืนขนาดหนัก แต่ก็ไม่ตกใจ ถือว่า ภาพ ก็คือ เป็นภาพ เราจะห้ามภาพไม่ให้เกิดไม่ได้ ในเมื่อเขาอยากจะยิง ก็ยิงกันก็ถือว่า โลกนี้เป็นของธรรมดา ก็นึกในใจเวลานั้นตามแบบฉบับกรรมฐาน ตามแบบฉบับกรรมฐานมี ๒ อย่าง คือ มีอารมณ์ทรงตัว กับอารมณ์คิด

ก็มีการใคร่ครวญว่า การเกิดเป็นคนนี่มันไม่ดี คนทั้งสองฝ่ายที่ยิงกันเวลานี้ ไม่รู้จักกันเลย ไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยโกรธเคืองกันมาก่อน ต่างฝ่ายก็ต่างมายิงกัน เพราะตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และก็มีการล้มตายกันหลายคนในที่สุด ภาพนั้นก็หายไป กว่าภาพจะหายไป บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาก็เกือบจะตีสอง ในเมื่อภาพนั้นหายไปเรียบร้อยแล้วก็ปรากฏภาพ เป็นภาพอีกภาพหนึ่ง เป็นภาพคนเจ็บ คนตาย เดินเข้ามาหา

ก็ถามว่า พวกเธอทำไมถึงยิงกัน
เขาก็บอกว่า เพราะเขาสั่งให้ยิง
ถามว่า ใครสั่งให้ยิง คนหนึ่งบอก ผู้บังคับหมู่สั่งให้ยิงครับ อีกคนหนึ่งบอก ผู้บังคับกองสั่งให้ยิงครับ
ถามว่า ยิงกันทำไม

เขาก็บอกว่า อาศัยในการรบ เมื่อสมัย พ.ศ. ๒๔๗๖
ถาม พวกเธอตายไปหลายปีแล้วนี่ ยังไม่ไปไหนหรือ
เขาบอก พวกผมเป็น สัมภเวสี ครับ
ถาม เวลานี้เธอมาทำไม

บอก มาขอส่วนบุญ
ขอส่วนบุญ แล้วทำไม ต้องทำท่าแขนร่องแร่งกันบ้างแผลเลือดไหลบ้าง อะไรบ้าง
เธอก็บอกว่า ในลักษณะการตายของผม ผมตายแบบนี้ครับ บางคนก็หูขาด บางคนก็ตาทะลุไปข้างหนึ่งลูกปืนเข้าลูกตา บางคนก็ขาเป๋ ขาโขยกเขยก ถูกยิงขาบ้าง ถูกยิงแขนบ้าง ถูกยิงตามตัวบ้าง
นึกสังเวชสลดใจก็เลยถามว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เธอต้องการบุญอะไร เท่าที่ฉันมีอยู่นี่ ฉันไม่ปิด ฉันไม่ขัดข้อง ให้หมดทุกย่าง

เขาบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บุญใดที่ท่านบำเพ็ญมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันจะพึงมีผลแก่ท่านเพียงใด ผมขอโมทนาบุญนั้นครับ
บอก เออ…ถ้าอย่างนั้นก็สบาย ง่าย ๆ สั้น ๆ ดีนะ ก็บอกว่า เธอจงตั้งใจนะ เขาก็นั่งพนมมือ ก็อธิษฐานว่า ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้าทำมาแล้ว ตั้งแต่ชาติในอดีต ชาติต้นที่ทำบุญ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ สะสมตัวกันมากแล้วเพียงใดนี้ จะพึงให้ประโยชน์ความสุขกับข้าพเจ้าเพียงใด ขอบุญนี้จงได้แก่พวกเธอทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด ขอเธอจงโมทนา

เธอโมทนา เธอกราบไปครั้งหนึ่ง รูปร่างก็เหมือนเดิม กราบเป็นครั้งที่สอง รูปร่างก็เหมือนเดิม กราบเป็นครั้งที่สาม รูปร่างเป็นเทวดาหมด ปรากฏว่า ที่เป็นเทวดาเวลานั้นจริง ๆ ๖๐ คนเศษ ก็เป็นเทวดาทั้งหมด แต่ว่าเทวดาพวกนั้นท่านก็แน่เหมือนกัน เมื่อเป็นเทวดาแล้ว สภาพต่าง ๆ ก็ค่อยหายไป คือเป็นภาพเดิม ย่องไปอีกสองกลดไปขอตามเดิม เขาก็ให้เหมือนกัน เป็นอันว่า ยิ่งให้ก็ยิ่งสวยขึ้น ยิ่งให้ก็ยิ่งสวยขึ้น ถึงกลดที่สาม สวยสดงดงามมาก

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ใครเขาบอก ตายแล้วสูญ ๆ นี่มันก็ต้องสงสัยเหมือนกัน เป็นอันว่า กว่าจะหมดเวลาจริง ๆ หยิบนาฬิกาขึ้นมาดูเป็นเวลาตี ๔ ทุกคนก็ออกจากกลด มานั่งพบกัน เล่าความเป็นมาก็เหมือนกันหมด ทั้งสององค์ก็บอกก่อนที่เขาจะมาหาท่าน ผมก็เห็นว่าเขายิงกัน แล้วเขาก็มาหาท่าน และในที่สุดเขามาหาผม และไปหาอีกองค์หนึ่ง ก็รวมความว่า เขาขอบุญทั้ง ๓ องค์

คือ ตาคนนี้ได้กำไรมาก นั่งคิดดูอีกที ก็น่าคิดเหมือนกัน บรรดาท่านพุทธบริษัท ปัตตานุโมทนามัย นี่แหละ บรรดาญาติโยมทั้งหลาย จงอย่าทิ้งการโมทนาความดีของคน คนที่เขาทำความดี ที่เขาใส่บาตรก็ดี เขาให้ทานก็ดี เขารักษาศีลก็ดี เขาฟังเทศน์ก็ดี เขาเจริญกรรมฐานก็ตาม เขาทำงานก่อสร้างก็ตาม ขึ้นชื่อเป็นความดี ถึงแม้ว่าเป็นความดีที่ทำกับพ่อ กับแม่ ที่เขามีความกตัญญูรู้คุณ เราพลอยยินดีกับเขา ความดีนั้นก็สนองตัวเรา

ดูตัวอย่าง เทวดาทั้ง ๖๐ คนเศษ อาตมามานั่งคิดว่าแกได้เปรียบกว่าเราเสียอีก เขาเอาอาตมาไปหมดทุน และขออีก ๒ องค์อีกองค์ละหมดทุน แกได้สามหมดทุน ก็ลืมถามว่า เป็นเทวดาชั้นไหนและก่อนจะไป แกหันกลับมาบอกว่า ผมขอลาละครับ เมื่อกี้ลืมลาไป ไปขออีก ๒ องค์เป็นอันว่า ทั้ง ๓ องค์ก็คุยกัน คุยไปคุยมา ก็เวลาใกล้สว่าง ก็เป็นอันว่า คืนนั้นไม่ได้นอนกัน นั่งกรรมฐานคุยกับผี ให้ผลกับผีเวลาใกล้สว่าง ก็ปล่อยให้สว่าง

นั่งคุยกันประเดี๋ยวหนึ่ง นั่งทำจิตสงบเลิกคุยกัน ทำกรรมฐานอีกนิดหนึ่ง นั่งให้ใจสบาย ๆ พออารมณ์สบาย ๆ จิตสงบดีแล้ว ปรากฏว่าหลังจากพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นใหม่ ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา ลืมตาพร้อมกันถอนกรรมฐานพร้อมกัน คิดว่า จะไปบิณฑบาตทางไหนก็เป็นอันว่า เห็นบรรดาเทวดาทั้ง ๖๐ องค์เศษ ท่านมาในภาพเทวดาเลย ท่านมาถึง กราบ ๆ ท่าน

บอกว่า ท่านขอรับ ไม่ต้องไปบิณฑบาตที่ไหน พวกผมได้รับผลบุญความดีจากท่าน มีความสุข เดิมทีเดียวผมมีความทุกข์มาก ผมตายเป็นสัมภเวสี การรบราฆ่าฟันนี่เป็นของไม่ดี แต่จำเป็นจะต้องรบ เพราะเราอยู่ใต้บังคับบัญชา
เลยถามว่า เท่าที่มากันเมื่อคืนนี้ มาฝ่ายเดียวหรือสองฝ่าย
บอก มาทั้งสองฝ่ายครับ ต่างคนต่างตาย

ต่างคนก็ต่างมาถามว่า ตายเวลานั้นจริง ๆ เท่าไร
ท่านบอกว่า เห็นจะเป็นร้อยคน เพราะต้องปะทะกันมาก แต่ก็บางส่วนเขาไปที่อื่น แต่พวกผมทราบว่าท่านจะมา ผมเลยดักอยู่ที่นี่
ก็ถามว่า วันนี้มีอะไรมาถวายบ้างละ
บอก มีข้าวมาถวายครับ

ต่างคน ไม่มีขันทองคำ มีเป็นขันแก้วสวยมาก แพรวพราวเป็นระยับ ตักข้าวใส่บาตรใส่ทั้ง ๖๐ คน แต่บาตรไม่เต็ม ได้ประมาณครึ่งบาตร เวลาใส่ก็เต็มทัพพี ตักเต็มที่ใส่เต็มที่ เมื่อใส่เสร็จ พวกแกก็นั่งอยู่ที่นั่น มาเต็มอัตราของเทวดานะ มีชฎาแหลมเปี๊ยบ สดชื่นมาก แต่ว่าขาดนางฟ้า ที่ขาดนางฟ้า เพราะว่าการรบกัน เขาไม่ได้เอาผู้หญิงไปรบด้วย ฉะนั้นเมื่อเธอใส่บาตรเสร็จ พวกเราก็ฉัน ฉันเสร็จก็โมทนา เมื่อโมทนา เธอทั้งหลายก็ตั้งใจรับโมทนาอีกครั้งหนึ่ง

บรรดาท่านพุทธบริษัท พอโมทนาจบ ภาพเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นผ่องใสกว่าเดิมขึ้นมาก มีแสงสว่างขึ้นมาก ท่านก็เลยบอกว่า นิมนต์อยู่ที่นี่ ๓ คืนครับ ผมขอรับเลี้ยง
ถามถึงอันตราย บอก ไม่มีครับ ไม่มีแน่นอน พวกผมทั้ง ๖๐ นี่ขอยืนยันว่า จะไม่มีอันตราย พอดีท่านอินทกะก็โผล่

ท่านอินทกะก็บอกว่า พวกนี้เขาจะป้องกันได้ดีครับ เพราะเขาเป็นลูกน้องผม ในเมื่อเขาเป็นสัมภเวสีอยู่ เขาก็เป็นลูกน้องผม ในเมื่อผมมา เขาก็มากับผม แต่เขาไม่ให้ท่านเห็น เวลานี้เขาเป็นเทวดาแล้ว เขามีอานุภาพมากขึ้น เขาก็ต้องเลี้ยงชดใช้ท่านบ้าง แล้วก็ต้องติดตามท่านไปด้วย ในเมื่อผมไป เขาก็ต้องไปด้วย

ก็ถามเทวดาองค์นั้น ถามว่า ไปไหม
ท่านบอกว่า ไป ในเมื่อฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่รู้จะไปเดินเที่ยวที่ไหนดี
ถามท่านอินทกะบอกว่า จะไปเดินที่ไหนให้มันหายเมื่อย
ท่านอินทกะบอก เมื่อคืนนี้ไม่ได้หลับทั้งคืนนะครับ นิมนต์จำวัดดีกว่า

ก็เลยนอนใต้กลด นอนใต้ชะโงกเขา มีความเย็นดีมาก นอนไปนอนมาปรากฏเจ้านกยูง ๒ - ๓ ตัว มันเดินเข้ามาหา มาถึงก็มองหน้า พอจ้องหน้าก็รำแพนป้อ อวดความสวยของเธอ นึกในใจ เจ้านกยูงนี่ไม่รู้จักคนนะ ถ้าไปเจอคนจริง ๆ เข้า นกยูงก็นกยูงเถอะ จะเหลือแต่ขนหางเท่านั้นแหละ ขนหางเท่านั้นที่เหลือ นอกนั้นนกยูงจะไม่เหลือ แม้แต่เนื้อหรือกระดูก ในที่สุด ก็นอนอยู่ที่นั่น ๓ คืน เทวดาคณะนั้นก็ใส่บาตรทั้ง ๓ วัน

เธอมาปฏิบัติ แม้แต่น้ำก็ไม่ต้องไปตัก ท่านไปตักให้ท่านทำทุกอย่าง ให้ความสะดวกทุกอย่างเมื่อออกจากดงพระยาเย็นแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็มุ่งหน้าเดินทางต่อไป ถามท่านอินทกะว่า เราจะไปไหน
ท่านอินกทะก็วางแผนที่ วางทิศทาง มุ่งหน้าตัดตรงตามนี้ครับ ไปภูเขาภูกระดึง ตามที่หลวงพ่อจงสั่ง ก็เดินทางจากดงพระยาเย็น ไปประมาณครู่เดียวประมาณสัก ๓ โมงเย็น ก็ถึงภูเขา เป็นเขาลาด ลาดมากมีป่าทึบ ยอดเขามองไม่เห็น ต้นไม้มากเหลือเกิน

ท่านบอก ที่นี่เขาเรียก ภูกระดึง ด้านทิศตะวันตกครับ ถ้าทิศตะวันออกจะเป็นที่ชัน ขึ้นยากแต่คนจะขึ้นทางนั้น เวลานั้นไม่มีคนขึ้น ยังไม่มีคนไปถึงภูเขาภูกระดึง จะมีบ้างก็พรานป่า ท่านอินทกะก็บอกว่า ภูเขาภูกระดึงลูกนี้ เดิมทีเดียวอยู่ในทะเล จมอยู่ในทะเลหลายล้านปีมาแล้วครับ ต่อมาน้ำเหือดแห้งไป เวลานี้ ถ้าเราจะพิสูจน์กัน เอาไว้วันข้างหน้า หากว่ามีโอกาสผมจะพาท่านขึ้นไปยอดเขาภูกระดึง ท่านจะได้ชมหลักฐานว่า ไอ้ภูเขาลูกนี้เคยเป็นทะเล มันเป็นจริงหรือเปล่า จะมีรอยคราบน้ำทะเล จะมีหอย จะมีปู เป็นต้น จะเป็นคราบหมด มันตายแล้ว

ก็รวมความว่า วันนั้นก็นอนที่นั่น ไปหาที่ภูเขาภูกระดึง ก็ไปพบผา ๆ หนึ่ง เป็นผาชะโงก เป็นที่น่าอยู่ รื่นรมย์ดีมาก ผายาว ยาวแล้วก็สวย ร่มรื่นดีมาก มีความสุข ฝนตกก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นผาสูงหน้าผาสูง
ท่านอินทกะก็บอกว่า นิมนต์อยู่ที่ตรงนี้นะครับ อยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลากลับ แต่ว่าการอยู่ที่นี่ ถือว่าเป็นที่อยู่ที่เราตั้งทีแรกต่อไปผมจะพาเที่ยวในที่ต่าง ๆ ในที่นี้มีพระหลายองค์ ไม่ใช่มีแต่พวกเรา เวลานี้ ปัจจุบันก็มีพระกำลังอยู่ที่ภูเขาภูกระดึงนี่หลายองค์ด้วยกันครับ แต่ว่าหลายองค์ที่ก่อนมาแล้วก็ตายเยอะเหมือนกัน เพราะมีความประมาทในชีวิต

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท มองดูนาฬิกา เหลือเวลาอีกไม่ถึงนาที ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 24/11/13 at 17:46

6

ไปพักที่ภูเขาภูกระดึง


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ ๑๔ สิงหาคม ตามเดิม เพราะบันทึกหน้าที่ ๒ ก็ขอคุยถึงเรื่องภูเขาภูกระดึง เสียงแย่นะ บรรดาญาติโยม ลิ้นก็แข็งมากก็เป็นอันว่า หลังจากปักกลดเสร็จ ที่นี่ไม่ควรจะใช้ คำว่าปักกลด คือ กางร่มกันน้ำค้าง และก็เป็นภูเขาลึก เป็นถ้ำลึกเข้าไปหน่อยสบายมาก มีธารน้ำเย็นไหลผ่าน มีความสะดวก ธารน้ำใสไหลยาว และมีเป็นห้องเป็นหับ น่าอยู่มาก

ท่านอินทกะท่านก็บอกว่า ที่นี่กำลังมีพระธุดงค์อยู่ ท่านบอกว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้ามีความจำเป็น ผมจะมาหาท่าน ถ้าไม่จำเป็น ผมก็จะไปทำงานของผม
ก็บอกว่า ตามสบายเถอะ หลังจากท่านไปแล้ว พวกเราก็เข้าเจริญกรรมฐาน การเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัทถามว่า ทำอะไรบ้าง ก็ขอตอบง่าย ๆ ว่า ๑. อานาปานสติ ๒. มรณัสสติ

คำว่า มรณัสสติ หมายความว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เราอาจจะตายที่ตรงนี้ก็ได้ นึกถึงความตายไว้เสมอ หลังจากนั้นก็มี พุทธานุสสติ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธัมมานุสสติ นึกถึงพระธรรมเป็นอารมณ์ สังฆานุสสติ นึกถึงพระสงฆ์เป็นอารมณ์ หลังจากนั้นก็ อุปสมานุสสติ นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ก็รวมความว่ากรรมฐานทุกบท ก็ทำกันหมด กายคตาสติ ก็ต้องทำ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เป็นวิปัสสนาญาณข้อต้น เป็นสังโยชน์ข้อต้น ต้องทำเป็นประจำ

ถ้าถามว่า คิดอย่างนี้เป็นพระอรหันต์หรือยัง ก็ต้องตอบว่า ถ้าเป็นอรหันต์ก็ไม่ต้องมาธุดงค์กัน อย่านึกว่า เป็นผู้เลิศ ผู้ประเสริฐมากเกินไป เห็นว่า ทำผีเป็นเทวดาได้ นี่เป็นของธรรมดา ๆ ญาติโยมทุกคนที่อ่านหนังสืออยู่นี่ก็ดี หรือที่ฟังเทปก็ตาม ก็เคยทำให้คนเป็นเทวดามาแล้วนับไม่ถ้วน โดยที่ท่านไม่รู้ นั่นหมายความว่า เวลาที่พระมาบิณฑบาต ท่านไปใส่บาตรพระ เป็นทาน เป็นการถวายทานกับพระสงฆ์ เป็นสังฆทาน บุญใหญ่มาก บางท่านใส่บาตรพระเสร็จก็กรวดน้ำที่ตรงนั้น พระเดินไปแล้ว บางท่านก็กลับบ้าน มากรวดน้ำ

ขณะกรวดน้ำ หรืออุทิศส่วนกุศล บรรดาท่านพุทธบริษัท บุญใหญ่ของท่าน มีบรรดาพวกเปรตก็ดี อสุรกายก็ดี สัมภเวสีก็ตาม มาโมทนากันเป็นอันมาก เมื่อมาโมทนาแล้ว พวกที่มีบุญญาธิการมากหน่อย คือ บาปน้อยหน่อย กรรมเหลือน้อย เขาก็เป็นเทวดาทันทีทันใด เป็นเทวดาเป็นนางฟ้า กรรมเหลือมากนิด กรรมก็ผ่อนคลายไป เขาก็มีความสุข การทำผีให้เป็นเทวดานี่ ทำกันเป็นทุกคน คนที่อ่านหนังสือนี่ ทำมาแล้วทั้งหมด แต่ก็น่าเสียดาย ที่บางท่านไม่เคยเห็นผีที่ท่านให้ และหลาย ๆ ท่านที่ได้กรรมฐาน ได้ทิพพจักขุญาณ ก็สามารถเห็นได้

เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ของแปลก อย่าไปคิดว่า พวกอาตมานี่วิเศษวิโสกว่าใคร ไม่ใช่อย่างนั้น ยังก่อน ดูก่อนหลังจากฉันข้าวเช้าเสร็จ ตามเทวดาสัญญา ตอนนี้มีนางฟ้ามาด้วย นางฟ้าก็ไม่แปลง เทวดาเขาไม่แปลง เขามาเป็นเทวดาชัด นางฟ้าก็เป็นนางฟ้าชัด ๆ ถ้าถามถึงความรู้สึกว่า เห็นสาวนางฟ้าเป็นอย่างไร ก็ต้องตอบว่า อย่าลืมว่า เธอเป็นผี เธอจะเป็นอย่างไรนั่นไม่สำคัญ สำคัญเรา นึกถึงตัวเราเองเป็นสำคัญว่า ตัวเราจะตาย เวลานี้เรากำลังจะตาย ความตายมีอยู่แค่ปลายจมูก เมื่อเลิกลมหายใจเมื่อไร ก็ตายเมื่อนั้น

เสือกัดเมื่อไรก็ตาย ช้างกระทืบก็ตาย ขาดอาหารก็ตาย ขาดลมก็ตาย รวมความว่า เราก็นึกถึงแค่ตัวเราว่า ทุกท่านที่มานั่งทั้งหมดนี่ เป็นคนมาแล้วทั้งหมด แต่อาศัยที่เป็นคนที่สร้างความดี จึงเป็นเทวดาได้ เป็นนางฟ้าได้ ถ้าญาติโยมจะย้อนถามว่า บรรดาเทวดาที่มานั่งทั้งหมด ๖๐ องค์กว่า มีความดีจากพวกท่านใช่ไหม ก็ต้องตอบว่า ใช่ แต่ต้องถือว่า เป็นความดีของเขาด้วย ถ้าเขาไม่ดี เขาก็ไม่มาขอโมทนา เพราะบุญเดิมของเขาดีมีอยู่แล้ว แต่กรรมบางอย่าง คือ กรรมปาณาติบาตเป็นต้น เป็นเหตุให้เขาต้องมาฆ่ากันตายในระหว่างชีวิต

ชีวิตยังไม่ถึงอายุขัยก็ฆ่ากันตายเสียแล้ว และต้องรอทนมาจนกว่าจะพบคณะอาตมา เมื่อรับบุญจากคณะอาตมาไปแล้ว บุญเก่าของเขาก็เกิดขึ้น ของเขาก็รวมตัวกัน เขาก็ต้องเป็นคนมีบุญ รวมความว่า ที่เขาเป็นเทวดาได้เพราะความดีของเขาด้วย ของเราด้วย รวมกัน ถ้าเขายังไม่มีดี หรือดียังไม่ถึงเขา เขาก็ไม่มาหาพระ เขาก็ต้องเร่ร่อนต่อไป ก็รวมความว่า ที่มาหาพระได้ เพราะว่าเขามีดีแล้ว ดีมาถึงเขาแล้ว

ทีนี้ถ้าจะนึกว่า นึกถึงภาพเทวดา นางฟ้า เทวดาไม่เป็นไร นางฟ้าสวย ๆ เห็นหน้าเธอแล้ว ก็มีความรู้สึกว่า สมัยเมื่อเป็นมนุษย์เธอมีรูปร่างอย่างไร ก็เห็นภาพเดิมของเธอ บางคนก็แก่ตายบ้าง บางคนก็สาวตายบ้าง บางคนก็ตายสมัยเป็นเด็กบ้าง แต่เวลาเป็นนางฟ้า ก็เป็นสาวเหมือนกันหมด เมื่อฉันข้าวเสร็จ โมทนาให้พวกเธอ เธอรับโมทนา มีความสว่างมากขึ้น เธอก็กลับไป

หลังจากนั้นแล้ว ก็ชวนกันเดินเที่ยว จำทิศทางไว้ว่า ป่ารกชัฏขนาดนี้ เราไม่เคยมา เป็นป่ารกมาก เวลานี้ภูกระดึงด้านนั้นก็เป็นป่ารกชัฏมาก แต่ว่าจะบางไปมากแล้ว ยังมีเสือ ยังมีช้างอยู่ เวลานั้นมีสัตว์ทุกอย่าง สิ่งที่น่ารักจริง ๆ ก็คือ กล้วยไม้ กล้วยไม้สวยมาก เกาะอยู่ตามต้นไม้ เดินไปทางทิศตะวันออก สูงขึ้นไปนิดหน่อยไปเจอะถ้ำ ๆ หนึ่ง มีพระองค์หนึ่ง ท่านนั่งอยู่ที่นั่นองค์เดียวพอเข้าไปใกล้ท่าน ท่านก็ลืมตาขึ้น ท่านกำลังนั่งกรรมฐาน

ก็นั่งลงกราบท่าน ก็เลยบอกว่า ขอประทานอภัยขอรับ กระผมมารบกวนท่าน
ท่านบอก เปล่า ฉันนั่งคอยเธอ
ถามว่า คอยทำไม
ก็บอกว่า คอยเธอตั้งแต่ก่อนมา ฉันมาคอยอยู่ที่นี่ บอกหลวงพ่อจงแล้ว บอกให้ส่งเธอมาที่นี่
มองไปมองมาท่านก็ยิ้ม ๆ ทีแรกจำไม่ได้แน่ชัด เป็นพระหนุ่มมาก ยิ่งมองไป ๆ แก่ลงไปทุกที ๆ ๆ เป็นหลวงพ่อปาน หลวงพ่อมาคอยผมที่นี่หรือขอรับ

บอก ใช่ ป่านี้สำคัญมากเป็นป่าตัดเชือกชีวิตของพวกเธอ เธอรอดจากป่านี้ไปได้ ก็หมายถึงว่าต่อไปข้างหน้าเธอเอาดีได้ ถ้าเธอรอดไปไม่ได้ เธอไปตามกรรมของเธอตั้งใจไว้ให้ดีนะว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง การเกิดเป็นมนุษย์ มันเต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ จงอย่าอาลัยในชีวิต มันจะตายเมื่อไร ก็ช่างมัน เอาดีเข้าไว้ ดีนั่นคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ให้คิดว่า ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกายร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ เข้ามาประชุมกันมีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มันปั้นเป็นก้อนขึ้นมา เขาแยกเป็นอาการ ๓๒ ในไม่ช้าก็ตาย ฉันเป็นอาจารย์ของเธอ ฉันก็ตายมาแล้ว

ถามว่า หลวงพ่อเวลานี้อยู่ที่ไหนครับ
ท่านบอกว่า เธอถามทำไม เวลานี้ฉันนั่งคุยกับเธอ
บอก ไม่ใช่ครับ ชั้นที่หลวงพ่ออยู่
ท่านบอก เธอก็รู้แล้ว อยู่ชั้นดุสิต ที่เธอไปหาฉัน เธอไปหาฉันอยู่ที่ไหน ฉันก็อยู่ที่นั่น แต่วันนี้ฉันมาคอยเธอที่นี่ เพราะจะบอกเรื่องให้ฟัง
ถามว่า เรื่องอะไรขอรับ

ท่านบอก เรื่องอนิจจังของดินแดนนี้มันมีมาก เดิมทีเดียว ในที่นี้เป็นทะเลลึก ภูเขาลูกนี้จมอยู่ก้นทะเลลึกมาก ต่อมาน้ำค่อย ๆ แห้งไป ๆทีละน้อย ๆ นับเป็นเวลาล้านปี ยอดเขาลูกนี้ก็โผล่ขึ้นพ้นจากน้ำ บนยอดลูกนี้ในที่โล่งที่ราบจริง ๆ ที่ไม่มีต้นไม้ คือ ต้นไม้ห่าง ๆ นาน ๆ ต้น มีประมาณพันไร่เศษ แต่ว่าที่ที่เป็นป่ารกชัฏ นี่สามพันไร่เศษ ถ้าเธอเดินขึ้นไปข้างบน เธอจะพบว่าต้นไม้ที่เขาปลูกไว้ มันเป็นระเบียบ นั่นคือคนปลูก ต้นไม้ดอกสีเขียว พันธ์เดียวกัน อยู่เป็นแถว แต่ละแถว ๆ สวยมาก และก็ยังมีต้นสน ต้นไม้ต่าง ๆ จะมีสระโบกขรณี คำว่า สระโบกขรณี นี่มันเป็นสระที่เขาสมมติขึ้น มีธารน้ำตก ไหลไปทางด้านทิศตะวันออก เป็นต้นของแม่น้ำพอง หรือแม่น้ำอะไรไม่ทราบ อาจจะเป็นที่มาของแม่น้ำพองก็ได้นะ

ถ้าจำไม่ผิดนะ ท่านก็เล่าความเป็นมาให้ฟังในที่สุดท่านก็สรุปว่า เธอจงคิดว่า เวลาหลายล้านปี สัตว์นับจำนวนไม่ถ้วน อยู่บริเวณนี้ ตายหมด ตายไม่เหลือ ถูกเขาฆ่าตายก็ตาย ที่ไม่ถูกฆ่าตายก็หมดชีวิตตาย ต่อมา เมื่อสถานที่นี้เป็นดินแดนของคน คนชาวเกาะ คือ เป็นเกาะใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นพ่อค้าชาวเรือ ต่างคนต่างก็มีความสุข ไปหากินทางเรือกัน เขากลับมาถึงที่เดิม อาหารการบริโภคก็มีความสุขมาก ผลหมากรากไม้ก็มีผักปลาไม่ต้องหามาก เพียงแค่ถือสวิง ถือแห ไปตักเอาข้าง ๆ ชาย ๆเขา ก็ได้กิน มีความสุข และเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็ตายหมด สุขของเขาไม่สุขจริง สุขในสมัยที่มีชีวิต คือ เอาชีวิตของผู้อื่นมาเป็นชีวิตของตน แต่ในที่สุด ตนเองก็ต้องตาย ตายแล้วก็ต้องไปชดใช้หนี้ชีวิตของเขา แต่ที่เป็นเทวดา ที่เป็นนางฟ้าก็มี ขอเธอจงอย่าลืมว่า ที่นี่เขาตายกันมามากแล้ว และเราเอง เราก็ต้องตายตามเขา อย่าลืมความตายเป็นสำคัญ

ท่านบอกว่า หลังจากนี้ไป ภัยอันตรายทั้งหลายไม่มีแน่ เพราะว่าเทวดาเขาคุม พวกบรรดาสัตว์ทั้งหลายเห็นเธอ เขาจะทำเป็นไม่เห็น บางทีเขาก็ไม่เห็นจริง ๆ เพราะว่าเทวดากันหน้า แต่ที่นี่มีพระสำคัญ ๆ อยู่หลายองค์ ที่ท่านตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ อยู่ถึง ๒ - ๓ พรรษาก็มี
ถามว่า ท่านอยู่อย่างไรขอรับ
ท่านก็เลยบอกว่า บางองค์ก็อยู่อย่างเธอ กินข้าวกับเทวดา บางองค์ก็อยู่ด้วยธรรมปีติ เธอจงอย่าประมาท ถ้าพบพระทุกองค์ ให้เคารพท่าน ถือว่าท่านเป็นรุ่นพี่ ถ้าหากว่าท่านสอน ถือว่าท่านเป็นครู

ถามท่านบอกว่า พระที่จะสอนผิดมีไหม
ท่านบอก ไม่มีหรอก พระที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด ฉันขอบอกให้พวกเธอทราบว่า เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ตายจริง เรานึกในใจว่า ตายจริง มาเจอแดนพระอรหันต์เข้าแล้ว ก็ดีแล้ว
หลวงพ่อปานบอก ฉันบอกเธอเท่านี้นะ ฉันจะลากลับ แล้วท่านก็กลับไป พวกเราก็กราบแล้วก็ตามท่านไป ไปถึงวิมานของท่าน เมื่อถึงวิมานของท่าน ท่านเข้าที่แล้ว ก็กราบลากลับ

ก็นึกในใจ มาปรึกษากัน ๓ องค์ว่า เวลานี้เราเจอะของดีแล้ว เจอะพระอรหันต์ทั้งหมด พระอรหันต์จริง ๆ ท่าทางน่าจะเรียบร้อย คิดในใจนะเ ป็นพระที่มีความสงบเสงี่ยม ห่มผ้าห่มผ่อนต้องเรียบร้อย พูดจาเรียบร้อยแต่ทว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า กิเลสนั่นตัดได้ แต่นิสัยตัดไม่ได้ เรื่องนี้ พวกอาตมาเวลานั้น พลาดไปไม่ได้คิดถึง คิดถึงว่า พระทุกองค์ต้องเรียบร้อย ก็กลับมาที่เดิม เมื่อกลับมาที่เดิม ก็มาถึงที่พักใต้ต้นไม้ นั่งกรรมฐานแบบสบายใจ

เวลาประมาณบ่ายสัก ๒ โมงเศษ ๆ นาฬิกาต้องคอยไขตามเวลา ไม่อย่างนั้นเวลาจะพลาด บ่าย ๒ โมงเศษ ๆ ก็มีพระองค์หนึ่ง ถือต้นไม้ต้นใหญ่ ถือมาทั้งราก ทั้งโคนเสร็จ แบกเดิน เทิ่ง ๆ ๆ เข้ามา ตัวใหญ่มาถึงใกล้
ท่านถามว่า แถวนี้ใครเป็นนักเลงบ้างโว้ย ถ้าเก่งจริงมาตีกับกูซิหว่า มึงจะเอาต้นไม้ต้นไหนมาตีกับกูก็ได้ กูใช้ต้นนี้ต้นเดียว ทั้ง ๓องค์ก็พากันมองหน้า ต่างคนก็ต่างยิ้ม ที่ยิ้มนี่ไม่ใช่อะไร

บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ลองคิดดูว่า คนตัวเล็กนิดเดียว แบกต้นไม้ขนาดต้นยางมาหนึ่งต้น แล้วก็เอามาทั้งราก เหมือนกับถอนรากถอนโคนมาเลยแล้วก็มาท้าตีกัน ถ้าเราจะคิดว่า สุครีพ เวลานั้นที่รบกับกุมภกรรณก็ไม่ผิด ถ้าหากว่าเราจะคิดถึง สุครีพ ก็เป็นอันว่า สุครีพนี่โง่กว่ากุมภกรรณเพราะว่ากุมภกรรณเวลานั้น รู้ว่าสุครีพมีฤทธ์ิมาก มีกำลังมากหลอกให้ถอนต้นพญารัง เมื่อถอนต้นพญารังมาแล้ว กุมภกรรณเห็นว่า สุครีพอ่อนเพลียก็เลยเข้าโจมตีทันที

ในที่สุดก็จับสุครีพไป ข้อนี้ฉันใดพระองค์นี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าจะถือว่า เป็นคนเก่ง ก็ต้องเก่ง เพราะถอนต้นพญารังได้ ความจริงไม่ใช่ต้นพญารัง เป็นต้นพญายางไป ต้นยาง ต้นใหญ่มาก ทั้งที่ตัวเล็กนิดเดียว แบกต้นไม้ใหญ่ได้ ถ้าคิดไปทีหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ หรือขั้นอภิญญา แต่พวกอาตมาก็โง่อีกแหละว่า อรหันต์ทำไมต้องมาท้ากันแบบนี้อีกละ ลืมอดีต อดีตที่เคยถูกพระท้ามาแล้ว เมื่อท่านท้า ๒ - ๓ คำท่านเห็นพวกเรายิ้ม ท่านก็วางต้นไม้

ถามว่า พวกมึงหาว่ากูบ้าหรืออย่างไรวะ ก็เลยยกมือขึ้นกราบท่าน ไหว้ท่าน
แล้วก็กราบ บอก ผมยังไม่เคยคิดเลยครับ คิดแต่เพียงว่า สุครีพโง่กว่าพระยากุมภกรรณ แต่ว่าเวลานี้พวกผมไม่ใช่พระยากุมภกรรณครับ เป็นพระธุดงค์เดินมาเพื่อหาความสุข ทราบข่าวจากหลวงพ่อปานว่า ที่นี่ มีเฉพาะพระอรหันต์ แต่พระแบกต้นไม้ หลวงพ่อปานไม่ได้บอกไว้

เลยถาม อรหันต์แบกต้นไม้ไม่ได้หรือวะ
ก็บอกว่า การถอนไม้ ทำต้นไม้ให้พรากจากกัน เช่น ตัดกิ่ง ตัดใบ เป็นต้น พระพุทธเจ้าปรับเป็น อาบัติปาจิตตีย์
ท่านบอกว่า นี่กูไม่ได้พรากต้นไม้นี่หว่า กูเอามาทั้งราก ทั้งโคนเสร็จ เอากับท่านซิ กูจะเป็นอาบัติได้อย่างไร

ก็ตอบว่า ถึงอย่างไรผมก็ไม่รู้หรอกครับ ในเมื่อพระคุณเจ้าเก่งขนาดนี้ ผมไม่สู้ ต้นยางนี่ผมก็ยกไม่ไหว
ท่านบอกว่า เพราะพวกมึงยกไม่ไหว กูจึงมา ถ้าพวกมึงยกไหว กูก็ไม่มา ก็เลยกราบนิมนต์ให้ท่านนั่ง ท่านเห็นท่าพวกเราไม่เถียงท่านด้วยวาจาหยาบ ท่านก็นั่ง ก่อนจะนั่งก็ห่มผ้าเรียบร้อยและก็ยิ้ม
ก็ถามท่านว่า ขออภัยครับ ท่านอยู่ที่ไหนครับ

บอก เออ…ไอ้เรื่องบ้านอย่าถามกันเลยวะ พวกที่อยู่บ้านโน่น เขานั่งแถวโน้น เขามีบ้านอยู่กัน ข้าไม่มีบ้านอยู่หรอก
ถามว่า อยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีบ้านอยู่ อยู่กับอะไร อยู่กับต้นไม้
ท่านบอก ไม่ใช่ ต้นไม้ก็ไม่ใช่
ถามว่า เพราะอะไร

ข้าตายก่อนพระพุทธเจ้าตั้งหลายปี เอาแล้ว พอฟังเท่านี้ก็เริ่มตกใจ นึกแปลก เอ๊ะ พระตายก่อนพระพุทธเจ้าตั้งหลายปีนี่มาได้อย่างไร
บอก เท่าที่มานี่ เธอจำได้ไหมว่าการเดินทางที่เร็วนี่ ใครสอนเธอ
ก็บอก ไม่มีใครสอนครับ หลวงพ่อจงเป่าหัว ๓ ครั้ง
ท่านถามว่า การท่องเที่ยวไปภพต่าง ๆ ได้ ที่เธอทำได้ เพราะอาศัยใครรู้ไหม

บอก รู้ครับ
ท่านถามว่า อาศัยใคร
ก็บอกว่า อาศัยหลวงพ่อปานหนึ่ง เป็นองค์ต้น ประการที่สอง เข้าถึงพระพุทธเจ้า ประการที่สาม เข้าถึงพระอรหันต์ องค์ที่สอนให้ไปเที่ยวภพต่าง ๆ ได้จริง ๆ นั่นคือ พระโมคคัลลาน์
ท่านก็เลยหัวเราะ รูปทั้งกายเป็นพระโมคคัลลาน์ทันที

บอก นี่จำไว้นะว่าลีลาพระอรหันต์ เมื่อกี้เธอคิดผิด ฉันมาสอนเธอ อย่าไปคิดซิว่าพระอรหันต์จะต้องเรียบร้อยทุกองค์ ดูตัวอย่าง พระสารีบุตร พระสารีบุตรท่านเคยเป็นลิงมาก่อน ขนาดเป็นอัครสาวก เจอะลำราง ยังขัดเขมรกระโดดข้าม ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า พระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา แต่ว่าเคยเป็นลิงมาก่อน และนิสัยลิงก็ติดมานี่ก็เช่นเดียวกัน พวกเธอก็มานั่งวาดภาพ พอหลวงพ่อปานบอก มีพระอรหันต์มาก ก็คิดว่าต้องเรียบร้อย มันไม่ใช่อย่างนั้น

ก็ถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ผมอยากจะเป็นพระอรหันต์บ้าง
ท่านบอกว่า เป็นได้ จะเป็นอะไรไป ถ้าเธออยากจะเป็นจริง ๆ เว้นไว้แต่ว่า เธออยากจะไม่เป็น เธออยากเป็นพระครูไหม
บอก ไม่อยากเป็นครับ
อยากเป็นเจ้าคุณไหม

ไม่อยากเป็นครับ
อยากเป็นสมเด็จไหม
ไม่อยากเป็นครับ
อยากเป็นสังฆราชไหม
ไม่อยากเป็นครับ

ท่านถามว่า ทำไมจึงไม่อยากเป็น
ก็บอกว่า ที่ไม่อยากเป็นไม่ใช่ไม่มีใครเขาตั้ง เขาจะตั้งหรือไม่ตั้ง ผมก็ยังไม่ทราบ เพราะว่าเกณฑ์วิชาความรู้ความสามารถผมไม่ถึง เอาเป็นแต่เพียงว่า ถ้าเป็นก็ตาย ไม่เป็นก็ตาย เวลานี้มาคิดอย่างเดียวว่า เราจะตาย แล้วเราจะไปไหนกัน

บอก เออ…ดีแล้ว เธอคิดว่าจะไปไหน
ก็กราบเรียนท่านบอกว่า เวลานี้กำลังผมอยู่แค่พรหมครับ ผมก็อยากจะไปพรหม
ท่านบอก ดี ไปพรหมก็ดี ตั้งใจต่อนิพพานเลยก็แล้วกันนะ
ก็ถามท่านว่า จะตั้งใจต่อได้อย่างไรครับ ในเมื่อผมปรารถนาพุทธภูมิ

ท่านบอก เรื่องพุทธภูมิ ก็เรื่องพุทธภูมิซิ นิพพานก็นิพพานซิ ถ้าเราบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็เป็นพระอรหันต์ไป มันไม่มีการจำกัดจำเขต ไม่มีการบังคับอย่าง พระมหากัจจายนะ ท่านก็มาจากพุทธภูมิ ท่านมีบารมีเต็มแล้ว แต่ความจริงท่านไม่อยากจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าใหม่ ท่านก็ตัดสินใจลาพุทธภูมิ เป็นสาวกภูมิไป ก็เป็นอาจารย์ของเธอใช่ไหม

ก็ตอบว่า ใช่ครับ นี่ท่านสอนด้านปฏิภาณแล้ว
ท่านก็ถามใหม่ว่า พวกเธอต้องการอะไรอีก
บอก ไม่ต้องการครับ มีความต้องการอย่างเดียวว่า พระที่นี่มีอรหันต์กี่องค์
ท่านบอก ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ๑๖ องค์ เป็นอรหันต์ทั้งหมด ทั้ง ๑๖ องค์

ถาม จริยา ท่านบอก ที่ฉันมานี่ เพื่อจะให้พวกเธอรู้นะ ถ้าไปพบท่านบางองค์ ท่านแสดงอะไรผิดปกติ อย่าไปนึกแปลกใจนะ ให้เข้าใจว่า ทุกองค์เป็นพระอรหันต์ พร้อมใจไหว้ไว้ และไม่ใช่อรหันต์ปกติ เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมด เธอมานี่ทุกองค์รู้ พร้อมที่จะสอนเธอ ทุกองค์ตั้งใจสอนพวกเธอทั้งหมด ฉันจึงมาก่อน มาบอกเธอไว้ อาจารย์ปานท่านไม่ได้บอกให้ครบ ฉันมาบอกเธอ
ถามว่า ต้นไม้ต้นนี้ละครับ

ท่านบอก ไม่ยาก เดี๋ยวฉันจับโยนไว้ที่เดิมก็แล้วกัน แล้วท่านก็จับปั๊บ โดยไปปักที่เดิม ตามรูปเดิม ไปหารอยดินก็ไม่ได้ก็รวมความว่า หลังจากนั้น ท่านก็ลากลับไป เวลากว่าที่ท่านจะกลับก็ค่ำ ค่ำพวกเราก็จำวัดอีก นอนตามสบาย เช้ากินข้าวเทวดา หนังสือเล่มนี้ควรจะจบ เพราะคนพูดไม่ไหวแล้ว กินข้าวจากเทวดา ตอนสายก็เดินไป เดินไปประมาณสักชั่วโมงเศษ ๆ ก็พบถ้ำ ๆ หนึ่ง พบพระองค์หนึ่ง สวยมาก องค์นี้พระจริง ๆ ยังเป็นมนุษย์อยู่ คือว่าพระโมคคัลลาน์ ท่านบอก เป็นอรหันต์หมด หลวงพ่อปานก็บอกเป็นอรหันต์หมด และเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณเสียด้วย

เมื่อเข้าไปใกล้ท่าน ท่านก็นั่งเรียบร้อย องค์นี้เรียบร้อยมาก เหมือนผู้หญิง ท่าทางคล้ายผู้หญิง ผ้าผ่อนเรียบร้อยดี เข้าไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า มากราบทำไม
ก็บอกว่า สุปฏิปันโนครับ พระคุณเจ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ผมก็อยากจะไหว้ อยากจะดีเหมือนพระคุณเจ้า

ท่านบอก ก็ดีได้ไม่เป็นไร วิธีปฏิบัติก็ง่าย ๆ นะ ไม่ยากนะ ครูก็สอนมาหมดแล้วนี่นะ ไม่ต้องเรียนกันอีกก็ได้มั้ง ที่มาหาแก้ข้อข้องใจนิดหน่อย ฉันก็สอนตามเดิม พวกเธอนี่สนใจอย่างเดียวว่าอรหันต์เขาเป็นกันอย่างไรใช่ไหมล่ะ
บอก ใช่ครับ
ท่านบอก อรหันต์ไม่ได้หมายความว่าต้องเหาะได้ทุกองค์ ไม่ต้องหายตัวได้ทุกองค์ ไม่ต้องแปลงตัวได้ทุกองค์ อรหันต์มีตั้ง ๔ อย่าง สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
ก็ถามท่านบอกว่า พระที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด เป็นปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมดใช่ไหม
ท่านบอกว่า ใช่

ถามว่า พระคุณเจ้าฉันข้าวกับอะไรครับ กับเทวดา หรืออยู่ด้วยธรรมปีติ
ท่านบอก อยู่ด้วยธรรมปีติ
ถามว่า ไม่ไปสงเคราะห์คนในบ้านในเมืองหรือครับ
ท่านบอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ หน้าที่ของฉันคือ บรรลุแล้วก็อยู่ในป่า คอยพระที่มาในป่า เมื่อไรพระเข้ามาในป่า พวกฉัน ฉันก็สอน

ก็เลยบอกว่า เวลานี้ผมต้องการรับคำสอนครับ รับคำสอนอย่างที่ชอบใจมากที่สุด
ท่านถามว่า ชอบใจใคร
บอก ชอบใจพระคุณเจ้าครับ ดูท่าทางยังหนุ่มมาก ยังไม่แก่
ท่านก็ยิ้ม บอก ชอบใจฉันนะ
บอก ครับ

ท่านเลยบอก เธอจงอย่าสนใจในรูป ขึ้นชื่อว่ารูปทั้งหมดเป็น อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง รูปทั้งหมดเป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ เป็น ทุกขัง เป็นทุกข์ทั้งหมด รูปทั้งหมดเป็น อนัตตาตายทั้งหมด พังทั้งหมด อย่าสนใจในรูป จะเป็นคนก็ดี จะเป็นสัตว์ก็ดี จะเป็นนางฟ้า จะเป็นเทวดา จะเป็นพรหมก็ดีมีสภาพจุติทั้งหมด ไม่มีการทรงตัว สภาพที่ทรงตัวมีที่เดียวคือ นิพพาน จงจำไว้ว่า

นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จงอย่าสนใจในรูป เห็นรูปแล้วจงคิด ไม่ใช่เอาตาหลบรูป เอาตาสู้รูป ตาสู้รูป ใจก็สู้รูปตาสู้รูป ก็หมายความว่า ตาเห็นรูป จงคิดว่า รูปนี้มันเป็นธาตุ ๔แล้วแบ่งเป็นอาการ ๓๒ เต็มไปด้วย ความสกปรกโสโครก ต้องมีความทุกข์เพราะรูป ต้องหาเลี้ยงรูป ในที่สุด รูปก็ตาย ตายแล้วก็มีสภาพเป็นผี เมื่อสภาพเป็นผีแล้ว ไม่สามารถจะเอารูปไปได้ ทิ้งรูปไว้ ไปเสวยสุข เสวยทุกข์ ตามธรรมดา ถ้าเธอไม่สนใจในรูปเธอก็เป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าเธอยังสนใจในรูปอยู่ เธอก็เป็นอรหันต์ไม่ได้

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาเหลืออีก ๓๕ วินาที ก็จะหมดเวลา ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 1/12/13 at 22:31

7

ไปสายเมืองกาญจนบุรี


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๔ อาการทางร่างกายวันนี้ ป่วยมาก เพราะว่าขาบวม หน้าบวม มือบวม บวมทั้งตัว รู้สึกไม่ไว้ใจในชีวิต ก็มานั่งคิดว่า คืนวันนี้ ถึงแม้เสียงจะไม่ดี ก็จะพยายามพูด พูดเรื่องการไปธุดงค์ แต่ความจริง วันนี้ก็มีเรื่องพิเศษ ที่ ท่านปลัดวิรัช ได้นำเอาประวัติการก่อสร้างต่าง ๆ หลังจากที่รับสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช รวมเล่ม ๑๙-๒๐-๒๑ หนังสืออ่านเล่น หน้า 311 มาแล้ว

ถึงวันนี้สิ้นค่าใช้จ่ายไป ๓๐๓ ล้านเศษ ก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ผลที่เกิดขึ้นมาอย่างนี้ ก็เป็นเพราะบรรดาญาติโยมทั้งหลายสงเคราะห์ นี่เขาคิดเพียงค่าก่อสร้าง ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นยังไม่ได้คิดวันนี้เราก็มาคุยกัน เพราะว่าตอนหลังนี่ เล่มนี้เป็นเล่มตัดเชือก ขอหยุดชั่วคราว สำหรับหนังสืออ่านเล่น เพราะว่าร่างกายทนไม่ไหว มันบวมทั้งร่างกาย ครั้นจะไม่พูดให้จบ ก็เหลือคาสเซ็ทเดียวก็ต้องพูดให้จบ

รวมความว่า เล่มที่ ๒๑ นี่ ตอนที่แล้ว มาหยุดที่ภูเขาภูกระดึง ตอนที่อยู่ภูเขาภูกระดึงนั่น ก็ปรากฏว่า มีพระอรหันต์ที่มีเนื้อมีหนัง ๑๖ องค์ เป็นปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมด ก็มีโอกาสได้ศึกษาธรรมะจากท่าน วิธีปฏิบัติจากท่าน ทั้ง ๑๖ องค์ แต่ความจริง พระอรหันต์ท่านอยู่แบบสบาย ๆ ไม่ต้องนั่งเครียด นั่งเคร่ง อย่างพวกเรา พวกเราต้องเครียด พวกเราต้องเคร่ง ท่านอยู่แบบเป็นสุข เดินไปเดินมาบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง ตามสบาย ๆ ของท่าน แล้วท่านก็ไม่กวนใคร จะหาว่าเป็นการรังแกสังคม เขาเรียกกันว่าอะไร กินของสังคมเปล่า ๆ ท่านก็ไม่ได้กิน พวกท่านกินข้าวจากเทวดาบ้าง แต่บางองค์ก็อยู่ด้วยธรรมปีติ สิ้นเวลา ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง แล้วก็ออก ก็ได้ศึกษาความรู้จากท่าน และวิธีปฏิบัติ แต่ความจริง วิธีปฏิบัติแต่ละท่านที่สอน ไม่ยากเลย ท่านสอนแบบง่าย

ท่านบอกว่า การปฏิบัติที่เป็นแบบยาก ๆ น่ะมันไม่ถูก ทำแบบนี้ ๆ เหมือนกันหมด องค์ไหนก็องค์นั้น สอนเหมือนกันหมด
ถามว่า ถ้าจะเป็นปฏิสัมภิทาญาณจะทำอย่างไร
ท่านก็บอกว่า ไม่ยาก ก็ทำตามนี้แหละ อย่างที่พวกเธอทำนี่ ก็เดินแนวเข้าหาปฏิสัมภิทาญาณเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้ถามท่านว่า ชาตินี้เราจะเป็นอรหันต์หรือเปล่า ไม่ได้ถามท่าน ท่านอาจจะรู้

ท่านบอกว่า ถึงแม้ว่าเธอไม่ถาม ฉันก็ทราบ ถ้าเธอถาม ฉันก็ไม่ตอบ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าก็สุดแล้วแต่คน ทางถึงแม้ว่าจะไม่ไกล ท่านบอกว่า ไปประเดี๋ยว ใจก็ถึง แต่คนนั้นเขาไม่ไป อีกกี่วันก็ไม่ถึง กี่ปีก็ไม่ถึง ทางถึงแม้ว่าจะไกลแสนไกล ถ้าตั้งใจไป หรือไปจริง ๆ เดินไปทุกวัน ก็ใกล้เข้าไปทุกที การบรรลุอรหันต์ผลถึงขั้นปฏิสัมภิทาญาณก็ไม่ใช่ของยาก เป็นของง่าย ๆ

ท่านว่าอย่างนั้นนะ เลยถามท่านองค์หนึ่ง ถามท่านว่า ที่พระคุณเจ้า หรือพระเดชพระคุณบอกว่า มันง่าย เคยนำวิชาความรู้นี้ไปสอนชาวบ้านบ้างหรือเปล่า ใน ๑๕ องค์เงียบ นั่นแสดงว่าทั้ง ๑๕ องค์ไม่เคยไปสอนใคร
อีกองค์ยกมือขึ้น ฉันเคยไปสอนแล้ว เมื่อฉันได้อรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ แต่ความจริง เวลานั้นฉันได้แค่เพียงนักธรรมตรี เพราะฉันอยู่ที่วัด ได้แค่นักธรรมตรี และออกธุดงค์ การธุดงค์ก็มาขึ้นกับหลวงพ่อปานเหมือนกัน ไปเจอะลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันเข้า หลวงพ่อปาน ท่านก็แนะนำให้ฝึกธุดงค์อยู่ ๓ เดือน อย่างพวกเธอนี่แหละแบบอุกฤษฏ์ การฝึก ๓ เดือนนั้น ท่านฝึกแผนกปฏิสัมภิทาญาณโดยตรง ความจริงฉันก็ไม่รู้ เมื่อครบ ๓ เดือน ท่านมั่นใจแล้ว ท่านก็ปล่อยออกปฏิบัติ

เมื่อมาปฏิบัติธุดงค์ อยู่จริง ๆ ได้ ๓ ปี อยู่ในป่าเลยไม่กลับบ้านไม่กลับเมือง ๓ ปี จึงได้บรรลุอรหันต์ พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ หลังจากเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วก็คิดว่า ที่สำนักของเราก็เป็นนักบุญ นักศึกษา นักปฏิบัติ อยากจะบรรลุมรรคผลกัน แต่ว่าหลักสูตรที่สอนกัน มันไม่เข้าขั้นการบรรลุมรรคผล เพราะคนแต่ละคนที่มาทำ ต้องพอใจเรื่องยาก ๆ และครูสอนก็ต้องสอนแบบยาก ๆ อารมณ์ด้านจิตใจไม่ค่อยสนใจกันนัก จึงได้กลับไปสำนักของท่าน เมื่อไปถึงแล้ว ก็ไปอธิบายให้เขาฟัง พออธิบายเสร็จ บรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้นบอกว่า

ท่านออกไปจากวัดนี้ จบแค่นักธรรมตรี พวกผมเป็นนักธรรมเอกบ้าง กำลังเรียนอภิธรรมบ้าง จบอภิธรรมบ้าง จะเอาควายมาสอนม้า มันสอนไม่ได้หรอกคุณ กลับเข้าป่าไปตามเดิมเถอะ เมื่อโดนเข้าแบบนี้ ก็เลยต้องกลับ สอนไม่ได้
ก็ถามท่านว่า ในฐานะที่ท่านเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ท่านไม่รู้ก่อนหรือว่า ไปแล้วเขาจะไม่รับ

ท่านบอก ท่านรู้ แต่อยากจะลองดูว่า ความรู้ของเราจะตรงตามความเป็นจริงไหม อาจจะเป็นอุปาทานก็ได้ แต่เมื่อเอาเข้าจริง ๆ ความรู้สึกของเราก็ตรงตามความเป็นจริงก็พอใจ มีความพอใจเกิดขึ้น ก็กลับมาที่เดิม มาอยู่ที่ตรงนี้ ฉะนั้นถ้าเธออยากจะเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ จะเป็นชาตินี้ หรือชาติไหนก็ตาม เพราะการปฏิบัติความดี มันสืบเนื่องกันทุกชาติ ไม่ใช่ทำชาตินี้ ตายแล้วหายไป ชาติหน้าเกิดใหม่ทำใหม่ เริ่มต้นใหม่ไม่ใช่อย่างนั้น มันต่างคนต่างติดต่อกันทุกชาติ ที่เรียกว่า ติดต่อสร้างบารมีต่อกัน

ก็เป็นอันว่า ได้รับการศึกษาแล้ว ก็อยู่กับท่านในสถานที่นั้น คราวนั้นอยู่จริง ๆ ๔ เดือน ปฏิบัติร่วมด้วย ฟังคำอธิบายด้วย รู้สึกชื่นใจมาก และการปฏิบัติก็ไม่มีการเคร่งเครียด เพราะท่านคอยเตือน อารมณ์ใดที่ท่านให้ตั้งใจทำ ก็ทำตามนั้น เมื่อเป็นที่พอใจของท่านแล้วก็ย้ายไปสู่อารมณ์อื่นที่ท่านต้องการอีก เมื่อย้ายไปแล้ว ความจริงอารมณ์แรก ถ้าทำได้จริง ๆ และมีอาการทรงตัว อารมณ์ภายหลังก็ไม่หนักนัก เพราะใช้อารมณ์อย่างเดียวกัน เปลี่ยนแต่ลีลาเท่านั้น

หากว่าท่านทั้งหลายอยากจะถามว่า ที่ท่านสอนนั้น สอนอย่างไร ก็ขอตอบว่า ไม่ตอบให้ทราบทั้งนี้เพราะอะไร เพราะมันจะไปขัดกับคนหลายคน ที่เขากำลังสอนกัน ก็มีสำนัก หลาย ๆ สำนัก ที่กำลังปฏิบัติอย่างเคร่งเครียด เขาทำถูก ไม่ใช่เขาทำผิด แต่ว่าอารมณ์เท่านั้นแหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท อารมณ์ที่ปฏิบัติเท่านั้นเอง ที่ตึงเกินไป หรือว่าหย่อนเกินไป ใช้อารมณ์ถูกต้อง หรือไม่ถูก ตรงเป้าหมายไหม หรือว่าเฉียดเป้าหมายเป็นอันว่า อยู่กับท่าน ๔ เดือนเศษ ก็จะลาท่านกลับ

ท่านก็บอกว่า ฉันรู้สึกพอใจมาก ที่คุณทั้ง ๓ ทำทุกอย่างตามที่ฉันสอน และก็มีผลทุกอย่างตามที่ฉันสอน แต่ว่าจงอย่าลืมตัว จงอย่าคิดว่าเราเป็นพระอรหันต์ เวลานี้ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เป็นแต่เพียงว่า เรียนรู้วิธีการพระอรหันต์เท่านั้น ให้กลับไปวัด ไปทำเสมอ ๆ ไปสู้กับคน คำว่า สู้กับคน ก็หมายถึงว่า สู้กับอารมณ์ กลับไปถึงวัด พวกคุณจะถูกชาวบ้านโจมตี พระด้วยกันจะโจมตี จงทำอารมณ์ให้สบาย

ขณะที่อยู่ในป่า มีอารมณ์เยือกเย็นฉันใด เมื่อเข้าไปถึงอารมณ์ที่ไม่ต้องการ ไม่ต้องใจของเรา ให้มีอารมณ์เยือกเย็นฉันนั้น ทำให้เหมือนกับอยู่ในป่า ป่า หรือบ้าน ให้มีสภาพเหมือนกัน ป่าสงัดแต่อยู่ในวัด ก็ต้องสงัดเหมือนป่า อยู่กับชาวบ้าน ก็ต้องสงัดเหมือนป่า คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรเหลือ คนที่พูดให้ขัดคอเรา ไม่ถูกใจเรา เขาเหล่านี้ก็ตาย เขาเคยพูดอย่างนี้มานับอสงไขยกัปไม่ถ้วน และเขาก็ลงนรกนับไม่ถ้วน เขาไม่เข็ด ปล่อยเขาไป อย่าไปโต้เถียงเขา ถ้าโต้เถียงเขา เขาจะโกรธมาก เขาจะบาปมากขึ้น เราก็ทำเฉย ๆ เสีย

บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอันว่า ขอลาท่านกลับ เวลากลับ ก็เดินทางแค่ ๓ วัน ก็ถึงวัดหน้าต่างนอก ขาไป ๒วัน ขามา ๓ วัน จากวัดหน้าต่างนอก พอเข้าไปถึง ก็ไปหาหลวงพ่อจง กราบท่าน พอเห็นหน้า ท่านก็ยิ้ม พอกราบ ท่านลืมตาขึ้นมาบอกว่า อย่างไรล่ะ ฉันว่าแล้ว ไปต้องเจอะของดี สิ่งที่ดุ ๆ ทั้งหมด นั่นก็คือ พระอรหันต์ พวกเสือสางนางไม้ ไม่น่ากลัว พวกที่น่ากลัวคือ พระอรหันต์ การที่ไปอยู่ที่นั่นดีไหม พวกเราคิดอะไรไม่ได้เลย คิดนอกลู่นอกทาง รุ่งเช้าพบหน้ากัน ท่านยิ้ม ท่านบอกเมื่อคืนนี้พลาดไปหน่อยนะ แต่ไม่เป็นไร เป็นของธรรมดา

ก็กราบท่าน บอก จริงขอรับ คิดนอกลู่นอกทางไม่ได้
หลวงพ่อจงเลยบอกว่า การปฏิบัติ ถ้าอยู่กับคนรู้ เราจะมีความระมัดระวังมากขึ้น ถึงแม้ว่าเราจะไม่บรรลุมรรคผลแบบท่าน ถึงท่านก็ตาม แต่ว่าอย่าลืมว่า เชื้อสายเก่าท่าน ที่เราได้มา ก็เหมือนกับอาหารหล่อชีวิต เราค่อย ๆ คิดตามท่าน ค่อย ๆ ปฏิบัติตามท่าน ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า มันต้องถึง
ท่านเลยบอกว่า ฉันคิดว่า อาจจะเป็นชาตินี้มากกว่า ถ้าเธอไม่เลิก

แต่บรรดาท่านพุทธบริษัท ฟังตรงนี้แล้วก็อย่าเพิ่งคิดนะ ว่าอาตมาเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ยังไม่ได้บอก เพราะว่าการกลับมาวัด กลับมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ภาระอื่นก็หนัก กรรมฐานก็อ่อนไปหน่อย หย่อนไปนิด แต่ไม่เลิก เวลาที่ทำได้จริงก็คือ เวลานอน กับเวลาทำวัตร เวลานอน ว่างจากการดูตำรา ก็ใช้อารมณ์พิจารณา เวลาทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น เวลานั้นใช้กำลังเต็มที่ ปากก็สวดไป ใจก็นึกไป ตามภาษาบาลีที่สวด ภาษาบาลีที่สวด

ถ้าแปลได้ มีประโยชน์มาก เป็นวิปัสสนาญาณเยอะแยะ สอนไว้ได้ดีมาก ก็รวมความว่า หลังจากนั้นมา รุ่งอีกปีหนึ่ง ก็นัดกันว่า หลังจากสอบไล่เสร็จ เดือน ๔ แล้ว เดินทางเข้าป่าต่อไป การไปเป็นเปรียญของเราไม่มีประโยชน์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าการเรียนเปรียญ ไม่ใช่หมายถึง มรรคผล พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแนะนำว่าเป็นเปรียญชั้นนั้น ชั้นนี้ จะมีมรรคผลเท่านั้น เท่านี้ ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเราเป็นเปรียญ ๙ ประโยค เราก็ไม่ใช่พระอรหันต์

ถ้าบังเอิญไม่ได้ปฏิบัติ และแถมไม่ใช่ผู้ทรงฌานเสียด้วย ดีไม่ดี จะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิไป เอาอย่างนี้ดีกว่า เราเรียนกันแค่พอรู้ภาษาบาลี พอรู้บ้าง เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้รู้ว่าภาษาบาลีเป็นอะไร มุ่งมั่นปฏิบัติดีกว่าก็ชวนกันออกเดินทางธุดงค์ต่อไปหลังจากกลางเดือน ๔ เสร็จแล้ว พอแรมค่ำหนึ่งเดือน ๔ ก็เดินทางเข้าหาหลวงพ่อจง ขึ้นธุดงค์ใหม่ หลวงพ่อจงหัวเราะ ฮิ ๆ ๆ

ท่านถามว่า จะไปไหนปีนี้
บอก ปีนี้จะไปทิศตะวันตกครับ
ท่านบอกว่า เออ...ก็เจอะอีกแบบหนึ่งนะ คราวนี้ไปเจอะ ๒ แบบ
ถามว่า แบบอะไรครับ

ท่านบอก ฉันไม่บอกหรอก เธอไปก่อนก็แล้วกัน เธอรู้เอง ตอนนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าลืมว่า ผู้พูดกำลังป่วยมาก ร่างกายก็บวม ขาก็บวม มือก็บวม หน้าก็บวม ปากก็บวม มันอาจจะตายขณะที่พูดนี้ก็ได้ แต่ขอยืนยันว่า ถ้ายังไม่สิ้นลมปราณเพียงใด ปากพอใช้ได้ แต่เสียงไม่เป็นเรื่องแล้ว คนคัดลอกคาสเซ็ทนี่คงจะแย่เต็มที ก็ตัดสินใจว่า ต้องไป จะพบแบบไหนก็เอากัน ก็ลาท่านไป เดินออกไปทางจังหวัดสุพรรณบุรี

ไปข้ามที่ประตูน้ำบางยี่หน และเดินเลาะคลองไปถึง จำชื่อไม่ได้ ใกล้ ๆ บางใหญ่ก็ข้ามฟาก ตัดไปพระแท่นดงรัง ระหว่างไปที่พระแท่นดงรัง ก่อนที่จะถึง ก็ไปถึงศาลาหลังหนึ่ง เขาปลูกอยู่กลางทุ่ง มันเป็นป่าละเมาะก็ปักกลด เมื่อปักกลดเสร็จมองบนศาลา เห็นกลดเยอะ มีกลดตั้ง๑๐ กลดกว่า มีบาตร มีกลดเยอะแยะวางอยู่ ก็สงสัยว่า ที่นี่คงมีพระธุดงค์มาพักมาก และเวลานี้ท่านไปไหน อาจจะเข้าไปอาศัยวัดต่าง ๆ เพื่อพักอาศัยชั่วคราวก็ได้ จึงทิ้งกลด ทิ้งบาตรไว้

แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น พอปักกลดเสร็จ ตามระเบียบของการธุดงค์ ปักกลดแล้วห้ามถอน จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ตาม ห้ามถอนเด็ดขาดก็เป็นอันว่า เมื่อปักกลดเสร็จ อาบน้ำเสร็จ บ่อน้ำอยู่ใกล้ ๆก็มีชาวบ้าน ๓ - ๔ คนมา ยกมือไหว้ด้วยความเคารพ
บอก ท่านขอรับ อย่าปักกลดที่นี่เลยขอรับ ถ้าปักกลดจริง ๆ นิมนต์ไปปักกลดใกล้ ๆ บ้านผม หมู่บ้านผมอยู่ที่โน้น ห่างจากนี่ไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร เป็นหมู่บ้านหลายหลัง

ถามว่า ทำไมล่ะ โยม เพราะตามธรรมดาพระปักกลดแล้วถอนไม่ได้ โยม มันเป็นระเบียบ
โยมก็เลยบอกว่า อย่างนี้หลายองค์มาแล้วครับ ท่านเห็นกลดบนศาลาไหม
บอกว่า เห็น ถามว่า พระไปไหน
เธอก็บอกว่า พระนี่ เสือกินหมด

ถามว่า เสือกินที่ไหน
บอกว่า ปักกลดที่นี่แหละครับ ที่ท่านปักนี่แหละ เสือก็มาลากพระไปกิน พวกผม ตอนเช้ามาใส่บาตรไม่เห็นพระ เห็นแต่รอยเลือด และรอยเสือ ก็เข้าใจว่า เสือเอาไปกิน ก็เอากลดเอาบาตรไปเก็บไว้ และพระคุณเจ้าก็เช่นเดียวกัน ทั้ง ๓ องค์เกรงว่าจะไม่พ้นความเป็นเหยื่อเสือ
ก็บอกว่า โยม ไม่เป็นไร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อาตมาปักแล้วถอนไม่ได้ ก็ขอยอมตายอย่างพระพวกนั้น ถ้ามันจะตาย ถ้ามันจะไม่ตาย ก็ไม่ตาย ถ้ามันตายก็ตาย ตามใจชอบ

เมื่อโยมเห็นว่าไม่ถอนจริง ๆ โยมก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คืนนี้พวกผมจะมาประมาณ ๑๐ คน จะนอนอยู่ป่าละเมาะโน้น ถ้าบังเอิญเสือมาจริง ๆ ให้ท่านเคาะฝาบาตร ผมจะจัดการกับเสือเอง แล้วญาติโยมก็กลับ หลังจากนั้นก็เอาน้ำมะตูมมาถวาย ถึงเวลาหัวค่ำ ญาติโยมกลับแล้ว ก็เจริญกรรมฐาน ก็ไม่มีอะไร เดือนหงายจัด เพียงแค่แรม ๒ ค่ำเดือน ๔ เดือนยังหงายอยู่ แต่ว่าเวลาตอนตี ๒ บรรดาท่านพุทธบริษัท นอนตื่นขึ้นมา ตามเวลาเจริญพระกรรมฐาน ปรากฏว่า เจ้าเสือใหญ่ขนาดม้า มันยืนขาวสง่าอยู่ใกล้กลด มันก็ดม ฟุดฟิด ๆ ไปรอบ ๆ กลด มันจะหาทางเข้าในระหว่างกลด

แต่เข้ามาไม่ได้ ผ่านสายอัพโภกาศไม่ได้ มันเดินรอบ ๆ ไปสัก ๒ - ๓ รอบ แล้วมันก็เดินออกไป แล้วก็กลับมาใหม่ ทำอย่างนี้ ๓ ครั้งถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย อยากจะถามว่า เวลานั้นมีความรู้สึกอย่างไร ก็ขอตอบว่า ความรู้สึกเวลานั้น ก็คือ ตั้งเมตตัญ จะ สัพพะโรฯ นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหมด แผ่เมตตาจิต และคิดว่า ถ้าเสือกัดเราคราวนี้เสือกัดปั๊บทันที เราขอไปนิพพาน ร่างกายมันจะตาย หรือไม่ตายก็ตาม ขอไปนิพพานอย่างเดียว ก็ภาวนานิพพานะ สุขัง จิตเป็นสุข เสือทำท่าอย่างไรก็ช่าง หลับตาไปเลยไม่ยอมมองเสือ ใจไปโน่น ใจไปทอดท้ายอยู่พรหม ไปมองดูภาพเสือมันฟุดฟิดโฟไฟของมัน ตามเรื่องตามราว

ในที่สุด เสือก็กลับไป พอตื่นขึ้นเช้า อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ญาติโยมก็นำภัตตาหารมาถวาย ญาติโยมเห็นเข้าก็ดีอกดีใจบอกว่า เจ้าประคุณเอ๊ย หลายองค์แล้วไม่พ้นจากเขตเสือ
ญาติโยมก็ถามว่า เมื่อคืนเสือมาหรือเปล่า
บอก มา แต่มันไม่ทำอะไร มันเดินวนมาวนไป วนไปวนมา มันดูดกลิ่นฟิด ๆ แล้วมันก็กลับไป โยมก็ดีใจ คิดว่าเป็นพระที่มีดี เมื่อถวายข้าวเสร็จ ก็นิมนต์อยู่ ๓ วัน ขอทำบุญ ๓ วัน ก็รับโยม แต่ว่า ก็มีคืนแรก คืนเดียว ที่เจ้าเสือมากวน คืนที่ ๒ คืนที่ ๓ ไม่มีหลังจากวันที่สามแล้ว ตอนบ่ายก็ถอนกลด เดินไปอีกพักหนึ่ง ก็เจอะลาน ๆ หนึ่ง

มีหมู่บ้านไม่ไกลนัก ตอนนี้ยังไม่พ้นหมู่บ้านเห็นเป็นบริเวณดี ก็เลยปักกลด มีหนองน้ำใกล้ ๆ ปักกลดเสร็จ อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ญาติโยมก็มา ปรากฏว่า ที่นี่ คนเก่งภาษาบาลีมาก ญาติโยมที่มาคุยเรื่องของพระ รู้เรื่องดีทั้งหมด ญาติโยมผู้ชายญาติโยมผู้หญิง รู้ดีหมด จนกระทั่ง ญาติโยมสาว ๆ ที่ยังเป็นโสดก็รู้เรื่องพระดี แต่ว่า มีแปลก ในสถานที่อื่นไม่เหมือนที่ตรงนี้ คือญาติโยมสาว ๆ เวลาคุย แกใช้ตาแบบเจ้าชู้ ไอ้ลีลาแบบนั้น ใช้เป็นปกติ เผลอไม่ได้ เผลอเป็นใช้ แกตั้งใจมาหลายสาว

ก็นึกในใจว่าที่นี่มันเป็นอย่างไรก็หันไปถามท่านอินทกะ ถามว่า ที่นี่ทำไมสาว ๆ พวกนี้ จึงสนใจแสดงท่าทางแบบนี้
ท่านก็เลยบอกว่า คนผู้ชายที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นพระธุดงค์ และก็มาที่นี่ มาสึก เพราะสาว ๆ ประเภทนี้ มากมายเหลือเกิน ไม่ว่าชุดไหนก็ชุดนั้น สึกแน่ เหลือแต่พวกท่านอีก ๓ องค์เท่านั้นแหละ จะสึก หรือไม่สึก
ก็เลยบอกว่า ยังไม่สึก เพราะว่าที่นี่ไม่มีแม่น้ำ ตามปกติชอบอยู่ใกล้แม่น้ำ ถ้าที่นี่มีแม่น้ำ มีเรือจอด มีเรือพายแจวก็จะสึก นี่หาแม่น้ำไม่ได้

ท่านอินทกะท่านก็ยิ้มท่านบอกว่า น้ำใจอย่างไรเล่า เขามีน้ำใจตั้ง ๔ - ๕ คน นั่งเพ่งมองแล้วก็ช้อนตามอง ตะแคงมอง มองแล้วก็ยิ้มให้ ทำไมไม่สนใจกับเขา
ก็บอกว่า สนใจแล้ว ตั้งแต่เห็นเธอเดินมาก็สนใจ
ท่านอินทกะก็ถามว่า สนใจแบบไหน
ก็เลยบอกท่าน บอกว่า สนใจแบบคนพวกนี้ไม่ช้าก็แก่ เมื่อยังไม่แก่ก็มีทุกข์ ทุกข์อารมณ์ที่ไม่รักทุกข์จากอารมณ์ที่รัก ทุกข์จากความเหนื่อยยากจากการงานทุกข์ในอาชีพต่าง ๆ ทุกข์ทุกอย่างที่มันเข้ามาถึง และร่างกายมันก็ไม่เป็นสาระ มีอาการ ๓๒ สกปรกโสโครก ข้างนอกถึงแม้จะขัดสีฉวีวรรณอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่สะอาดพอ

ฝุ่นละอองก็แปดเปื้อน ถึงแม้จะทาขมิ้นให้เหลือง โดยมากสมัยนั้น เขาชอบทาขมิ้น กับแป้งผสมกัน มันทั้งขาว ทั้งเหลือง ความจริงก็น่าดูเหมือนกัน ก็รวมความว่า พักอยู่ที่นั่น ๒ คืน เป็นอันว่า หลุดจากเปลาะที่นั่นไป ตามคำอาราธนา เมื่อหลุดไปแล้ว ก็เข้าพระแท่นดงรัง เข้าไปมนัสการพระพุทธเจ้าที่นั่น ที่เขาบอกว่า พระพุทธเจ้านิพพานที่นั่นแต่ความจริงไม่ใช่ ใช่ หรือไม่ใช่ก็ไม่สำคัญ เราถือว่า ที่ตรงนี้ เป็นที่ชาวบ้านยอมรับนับถือว่าพระพุทธเจ้านิพพานที่ตรงนี้ เมื่อเรากราบลงไป เราก็กราบพระพุทธเจ้า เราไม่ได้กราบหิน

นึกถึงพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าท่านดีขนาดไหน เป็นอัจฉริยมนุษย์ เป็นลูกกษัตริย์ และเป็นผู้เลิศในการบรรลุมรรคผล ไม่สามารถจะมีบุคคลใดสามารถสู้ได้ มนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ไม่สามารถแตะต้องได้ ความรู้ดีเลิศ ตัดกิเลสได้อย่างประเสริฐมีความสามารถเป็นพิเศษ ยัง นิพพานแล้วเราล่ะ เรา ไม่ช้าเราก็ตาย ที่พูดนี่นึกถึงตอนนั้นนะ นึกตอนนี้ ยิ่งใกล้หนักเข้าไป เพราะตอนนี้มันบวมทั้งแขน ทั้งขา ทั้งตัว ทั้งหน้า และอาจจะตายภายในวันสองวันนี้ก็ได้ หรือยังไม่ตายก็ไม่ทราบ รับรองไม่ได้นะ ก็ต้องรีบพูดไว้ ทั้ง ๆ ที่กำลังป่วย

เกรงว่าถ้ามันจะตายเสีย ประเดี๋ยวเล่ม ๒๑ มันจะไม่จบก็เป็นอันว่า ไปไหว้ท่าน แล้วก็ปักกลดที่นั่นหนึ่งคืน หลังจากนั้นก็เดินเข้าดงต่อไป เดินเข้าดงต่อไปก็เข้าป่า คราวนี้ไม่พบใครแล้วเข้าป่าชัฏ ตามที่มีความต้องการ ก็ไปเจอะภูเขาลูกหนึ่ง สูงมาก แต่ความจริง เมืองกาญจน์นี่ ภูเขาเยอะแยะบอกไม่ถูก แต่เขาลูกหนึ่งแปลก สูงหน่อยหนึ่งและก็มีแสงสีเขียวออก ก็แปลกใจ ก็คิดว่า ที่นี่อาจจะมีอะไรดีพิเศษ ก็เลยพากันปักกลด

ถ้าถามว่าในฐานะที่เรียนกับพระปฏิสัมภิทาญาณแล้ว ทำไมไม่ใช้ญาณเป็นเครื่องรู้ ก็ขอตอบว่า ญาณเป็นเครื่องรู้เขาใช้เฉพาะเวลากัน เวลาที่มีความจำเป็นจริง ๆเขาไม่ใช่กัน ดูตัวอย่าง พระมหากัสสป ที่เสียท่าพระอินทร์ ก็เพราะไม่ได้ใช้ พระอรหันต์ เขาไม่ใช้กันป้วนเปี้ยนไปหรอก ไม่เหมือนพวกทรงฌานโลกีย์ พวกทรงฌานโลกีย์ คล้าย ๆ กับเด็กรุ่นหนุ่ม หรือนักมวยหัดใหม่ อยากจะเก่งไปไหน ก็ทำท่าจะชกอยู่ตลอดเวลา พระอรหันต์ ก็เหมือนกับแชมป์โลก ไปไหนก็เดินเฉย ๆ

สำหรับคณะอาตมานั้น ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ว่าเป็นลูกศิษย์ของพระอรหันต์ ก็ทำลีลาคล้าย ๆ กับอาจารย์ อาจารย์สอนมาแบบไหน ทำแบบนั้นตามปกติ คือ ไม่ฝ่าฝืนคุณงามความดีของอาจารย์อาจารย์ ก็คือ หลวงพ่อปานด้วย หลวงพ่อจงด้วย หลวงพ่อเนียมด้วย หลวงพ่อโหน่งด้วย อย่างนี้เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ อาตมาก็เคยไปเรียนกับท่าน ท่านก็สอนดี ความเข้าใจของท่านถูก ท่านสอนถูกตามความเป็นจริง

แต่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง สำคัญผู้รับเท่านั้นแหละ รับไปแล้วจะเข้าใจถูก หรือเข้าใจผิด อันนี้ไม่ทราบเป็นอันว่า ปักกลดเสร็จ ก็ถึงเวลาพอดีเข้าพักผ่อน นอนเริ่มนอน ในตอนต้น พักผ่อนอาการเหนื่อย ถึงเวลาหัวค่ำก็เจริญกรรมฐานก็ไม่มีอะไร บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ขณะที่เจริญกรรมฐาน ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติหมด ไม่มีอะไรน่าหนักใจ เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ดูเวลา เหลือเวลาอีก๕๐ วินาที ขอลาก่อน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 17/12/13 at 15:37

8

ขึ้นเขาพระสุเมรุ


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ยังเป็น วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๔ ก็ขอต่อ ตอนที่แล้วมาพักปักกลดเสร็จ เจริญกรรมฐานตอนต้น แต่ว่าสงสัยว่า ทำไมมีแสงเขียวจากภูเขาลูกนี้ ก็ไม่มีใครใช้กำลังใจดู ถ้าดูเสียก็หมดเรื่อง แต่ความจริง เราเป็นคนต้องการหาเรื่อง ไม่ต้องการให้หมดเรื่อง ต้องการรู้ของจริง สิ่งที่รู้จากจิตถ้าไม่มีใครยืนยัน เช่น หลวงพ่อจงก็ดี หลวงพ่อปานก็ดี และอาจารย์ทั้ง ๑๖ องค์ก็ดี ท่านไม่ยืนยัน เราก็ไม่ยอมเชื่อตัวเองเหมือนกัน

ไม่อย่างนั้น ก็ต้องท่านอินทกะยืนยัน ถ้าถามท่านอินทกะ ท่านอาจจะบอก หรือไม่บอกก็ได้ เพราะว่าท่านรู้นิสัยว่า ถึงบอกก็ต้องเข้าไปไม่บอกก็เข้าไป ตั้งใจว่า ตอนเช้าจะเข้าไปดู ในนั้นจะมีอะไรบ้าง มีถ้ำไหม มีอะไรไหม แสงเขียวมาได้อย่างไร หลังจากตี ๒ ทำกรรมฐานเสร็จ ก็นอนต่อไป ตอนตี ๔ นอนพอตื่นมาใกล้สว่าง มีคนนอนสองข้าง คิดว่าเพื่อนสององค์มานอนด้วย แต่ความจริงไม่ใช่ กลายเป็นคนนุ่งโสร่งแดง ผ้าพันคอแดงเสื้อแดง นอนข้าง ๆ

พอลุกขึ้นมาถามว่า ว่าอย่างไร เพื่อนเอ๊ย มานอนอย่างไรเล่า
สองคนลุกขึ้นมาบอก มานอนกันผีน่ะซิ ที่นี่ผีมันดุ
ถามว่า แกไม่ใช่ผีหรือ
บอก ผมก็ผี เขาเรียก ผีเทวดา อีกสองกลดก็มีสภาพเหมือนกัน

ก็ถามว่า ในภูเขานี่มีอะไรหรือ จึงมีแสงสีเขียวออกมา
เขาบอกว่า ที่นี่มีเหล็กไหล ตอนเช้าท่านฉันข้าวเสร็จ ผมจะนำท่านไปไปดูเหล็กไหลกัน ผมเป็นเจ้าของถิ่นแถวนี้
ก็ถามว่า ที่นี่มีแต่เหล็กไหลหรือ ทองคำมีไหม
ท่านบอก เยอะ ทองคำธรรมชาติก็เยอะ ทองคำที่เป็นแท่ง เขาหลอมแล้วก็เยอะ จะเอาไหมล่ะ จะให้

บอกว่า อย่าเลยพ่อคุณ อย่าให้ฉันตกนรกเลย ฉันมาธุดงค์นะ ฉันไม่ได้มาหาเงิน หาทอง แต่ต้องการเหล็กไหล ทองนี่เคยเห็น แต่เหล็กไหลไม่เคยเห็น ตอนเช้า บิณฑบาตกับเทวดาเสร็จ แต่ความจริงไม่ได้ไปก็มีเทวดา มีนางฟ้า ท่านมาใส่บาตรให้ ทีนี้ท่านแต่งตัวสวย ๆ แต่ไม่ได้ใส่ชฎานะ ไม่มีเครื่องประดับ แต่งตัวเรียบร้อย เหมือนคนสวยของเรา ๆ ใส่บาตรเสร็จ ฉันข้าวเสร็จ ยถาสัพพีฯ เสร็จ ท่านรับพรแล้วท่านก็หายไป

ท่านทั้ง ๔ องค์ ที่นอนกับอาตมา ๒ องค์ อีก๒ องค์ คนละองค์ ๔ องค์ก็เดินนำหน้า เข้าไปดูข้างใน ไปถึงหน้าถ้ำเขาบอก มีถ้ำ ไปเจอะเถาวัลย์มันก่ายกัน เข้ายากเหลือเกิน ไม่มีมีด ไม่มีขวาน เป็นอันว่า ต้องขอแรงเทวดา ดึงเถาวัลย์ให้พอเป็นช่องลอดตัวเข้าไปได้ เมื่อเลยเถาวัลย์ไปแล้ว ก็เจอะถ้ำใหญ่มาก ด้านหน้าสูงพอสมควร เข้าไปมีถ้ำลึก เพดานสูงมาก ต่อไปตอนหลังก็มีถ้ำหลังคาเตี้ย ๆ มีเหล็กไหล เหล็กไหลนี่สวยจริง ๆ สีดำขลับเป็นมันวับ ก้อนใหญ่มาก โตกว่าบาตร

และก็มีหลายจุดท่านเทวดาก็บอก ลองจุดไฟขึ้น จุดเทียน ก็จุดเทียน จุดเทียนไขแล้วก็ลน พอลนเข้าไปแล้ว รู้สึกเหล็กไหลย้อยลงมา ย้อยลงมาจนแหลมเปี๊ยบ เส้นเล็ก จากเส้นใหญ่เป็นเส้นเล็ก พอมือไปแตะพั้บรัดพึ้บ เข้าที่เดิมตามเดิม เทวดาท่านก็เลยบอกว่า ให้ดูได้แต่เอาไม่ได้นะ
ก็เลยบอก ไม่เอาหรอก ให้ก็ไม่เอา การให้ การรับของ เป็นกิเลส ไม่ต้องการ

เป็นอันว่า กลับมาอยู่ที่ ถึงเวลากลางวัน ก็นอนโคนต้นไม้ ขณะที่นอนโคนต้นไม้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาประมาณบ่ายสัก ๒ โมงเศษ เกือบ ๓ โมง หันไปทางด้านขวา มีพระองค์หนึ่ง นุ่งผ้าสบง เอาผ้าอาบคาด เอาจีวรเคียนศีรษะ และมีอังสะตัวเดียว มีส้อมเหล็ก แล้วก็มีเถาปลาไหล ลากมาเป็นพรวนแทงส้อมเหล็กลงไปในหิน แล้วก็ได้ปลาไหลขึ้นมา แล้วก็ร้อยพวงปลาไหลก็ดิ้นปั้บ ๆ ๆ ท่านก็แทงเรื่อยไป ท่านได้ปลาไหลเรื่อยไป

พวกเรามองดูก็แปลกใจว่า ถ้าพระจริง ๆ ไม่มีใครเขาทำ และอีกประการหนึ่ง หินนี่เหล็กมันแทงไม่ไหว แทงบนหินนะ มีปลาไหลขึ้นมา เจ้าปลาไหลถูกร้อยก็ไม่ยอมตาย ดิ้นไปดิ้นมา ดิ้นมาดิ้นไปมันดิ้น มันช่วยกันดิ้นพวงใหญ่ ท่านก็แทงหินหน้าตาเฉย เรื่อยมาใกล้ ๆ ห่างประมาณสัก ๔ วา ท่านแทงวนรอบ ๆ จึงคุยด้วยกันทั้ง๓ องค์ทั้ง ๓ องค์มองดูหน้ากัน ก็ทราบกำลังใจว่า ทุกองค์ทราบแล้วว่า พระองค์นี้เป็นใคร คำว่า เป็นใคร นั่นหมายถึงว่า ผลของท่านนะ พูดถึงมรรคผล ไม่ใช่ชื่อเสียง

และทำอย่างไรจึงคุยกันได้ ท่านไม่ยอมคุยด้วย ท่านแทงแต่ปลาไหล ที่รอบตัวเราปลาไหลก็ชุมอีกเหมือนกัน มันก็เป็นหิน ก็เลยพูดขึ้นมาระหว่างเพื่อน บอก เพื่อนเอ๊ย คนเรานี่ ถ้าบ้าจริง ๆ นะ มันรักษาหาย คนแกล้งบ้านี่ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ถ้าไม่เลิกแกล้งเมื่อไร ก็ไม่หายเมื่อนั้น พอพูดจบ ท่านก็หยุด ท่านร้องตะโกนถาม มึงว่าใครวะ

ก็เลยบอกท่านบอกว่า ผมไม่ได้ว่าท่าน ผมว่าคนแกล้งบ้า ไม่ทราบว่า แถวนี้มีใครแกล้งบ้าบ้างหรือเปล่า หากว่าท่านบ้าจริง ๆ ก็เป็นเรื่องของท่านไป ผมไม่ว่าหรอก ว่าแต่คนแกล้งบ้า คนดี แต่แกล้งทำเป็นคนบ้า

ท่านยืนนิ่งสงบประเดี๋ยว ประมาณอึดใจ กูเลิกบ้าก็ได้วะ เสียงร้องตะโกนเข้ามา จึงโยนส้อมทิ้ง ไอ้ส้อมที่ถือมาน่ะ เป็นเรียวไม้ไผ่ และโยนพวงปลาไหลทิ้ง พวงปลาไหลทั้งพวงเป็นรากไม้ทั้งหมด นี่หลอกกันขนาดนี้ แล้วท่านก็เปลื้องผ้า ห่มผ้าเรียบร้อยเข้ามานั่งใกล้ พอท่านเข้ามานั่งใกล้ ก็กราบท่าน ก็ทราบว่าท่านเป็นใคร

ท่านถามว่า ที่ผมทำอย่างนั้น พวกคุณมีความรู้สึกอย่างไร
ก็ตอบว่า ตั้งแต่แรกเห็น ผมก็มีความรู้สึกแล้วครับว่า ท่านองค์นี้ต้องเป็น อรหันต์ อย่างน้อย อภิญญาหก หรือปฏิสัมภิทาญาณ
ท่านก็เลยถามว่า พวกท่านเคยเดาแบบนี้เสมอหรือ
บอก ไม่ได้เดาครับเท่าที่เห็นมา เขาไม่ทำอย่างนี้ ยังเป็นอรหันต์ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครจะเอาเหล็กมาแทงหินลง และในหินจะมีปลาไหลได้อย่างไร นี่เหตุผลครับ และประการที่สอง ปลาไหลตั้งเยอะ เอาไปทำไมกัน มันเหลือกินเหลือใช้ ประเดี๋ยวก็เน่าหมด หม้อข้าวหม้อแกงก็ไม่มี

ท่านฟังแล้วท่านก็หัวเราะ ท่านบอกว่า เออ…ดี ใช้สมองแบบนี้เสียบ้างก็ดีเหมือนกัน อาจารย์สอนมาแล้วซิ อาจารย์ ๑๖ องค์นะ สอนมาแล้วใช่ไหมล่ะ
บอก ใช่ครับ
แล้วหลวงพ่อจงก็สอนมาแล้วใช่ไหม บอกมาแล้วใช่ไหม
บอก ใช่ครับ แต่ไม่ได้บอกลีลา บอกว่าจะพบของดี

ท่านก็บอกว่า ก็พบเหล็กไหลแล้วใช่ไหม ของดี
บอก นั่นไม่ดีพอ มันเป็นวัตถุ ที่ดีจริง ก็คือบุคคล คือ พระคุณเจ้า
ท่านถามว่า เธอรู้ได้อย่างไรว่า ฉันดี
ก็บอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมยอมรับว่าท่านดีก็แล้วกัน

ก็กราบท่าน กราบท่านที่ตัก เท่านั้นแหละ รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนทันทีเลย จากผิวคล้ำ ผิวดำ รูปร่างใหญ่โต กลายเป็นเพรียว ผอมทรงโปร่งใส ผิวเหลือง สวยสดงดงามมาก และก็สอนกรรมฐานแบบง่าย ๆ เหมือนกับพระอรหันต์ ๑๖ องค์ เหมือนกันไม่ผิด เหมือนกันเปี๊ยบเลย

ท่านก็เลยบอก พระทั้ง ๑๖ องค์ ก็เรียนไปจากฉันเหมือนกัน ฉันไปสอนที่ภูกระดึง ในฐานะที่พวกเธอมีวิสัยอยากจะเป็นอย่างเขา ฉันก็มาสอนบ้าง จะได้ หรือไม่ได้ ไม่ใช่อยู่ที่คำสอนของฉันนะฉันมีหน้าที่แต่เพียงบอกอย่างเดียว บอกแล้ว เธอต้องจำ จำแล้วปฏิบัติตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุมอารมณ์ให้ถูก จงอย่าสนใจในจริยาของคนอื่น อย่างเมื่อกี้นี้ถูกต้อง ใครเขาจะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา เราก็เรา เขาก็เขา เขาไม่ใช่เรา เราก็ไม่ใช่เขา

เราตาย เขาไม่ได้ตายด้วย เขาอยู่ เราไม่ได้อยู่ด้วย เขาอิ่ม เราไม่ได้อิ่มด้วย เขาหิว เราไม่ได้หิวด้วย เรียกว่า ต่างคนต่างอิ่ม ต่างคนต่างหิว ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างตาย อย่าไปสนใจเรื่องของเขาเรื่องของคนอื่นทั้งหมด อย่าสนใจ ร่างกายเราก็เหมือนกัน อย่าสนใจมัน สนใจเฉพาะกำลังใจอย่างเดียว ร่างกายมีสภาพผิดปกติมันจะเปลี่ยนแปลงเสมอ

อย่างเวลาพูดเวลานี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็โดนเข้าแล้วปากก็บวม เสียงก็ไม่ค่อยออก แต่ยอมตายเพราะการพูด วันนี้ต้องล้างท้อง พอล้างท้องก็รู้สึกบวมยุบไปนิดหนึ่ง เช้าพรุ่งนี้จะบวมใหม่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะไปเล่นของแสลงอีกแล้ว นั่นหมายความว่ามานั่งพูด เป็นของแสลง แต่ต้องทำ เกรงว่ามันจะตายเสียก่อนก็เป็นอันว่า ท่านก็สอนกรรมฐาน แล้วท่านก็จำวัดอยู่ด้วย พอตกขึ้นมาเช้า

ท่านบอกว่า วันนี้ฉันจะไปบิณฑบาตที่ จังหวัดสมุทรสาคร ไปกับฉันไหม
ก็บอก ไม่ไปขอรับ
ท่านบอก เธออย่าเพิ่งฉันข้าวนะ เทวดาเขามาถวาย ก็รอก่อน ฉันจะเอาปลาทูต้มยำมาให้คุณ เพราะ แม่พ่วง ที่นั่น เขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน เขารู้ว่าพวกคุณชอบปลาทูสดต้มยำ พวกคุณเข้าป่า อดแห้งอดแล้งมานานแล้ว

ก็เป็นอันว่า ยอมรับท่าน ท่านไปประเดี๋ยวเดียว ประมาณสักครึ่งชั่วโมงก็กลับ มีหม้อเคลือบเขียว ใส่ปลาทูต้มยำ ร้อนโฉ่ มาถวายให้ แล้วก็ฉัน เมื่อฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันกับข้าวของเทวดา รุ่งขึ้นเช้า
ท่านบอก ฉันจะเอาหม้อเขียวไปส่งแม่พ่วง แต่ฉันไม่บิณฑบาตวันนี้นะ จะเอาไปส่งเขาเฉย ๆ ในที่สุดท่านก็ไปส่ง แล้วท่านกลับมาหลังจากนั้น

ท่านก็แนะนำบอกว่า อย่าลืมนะ เท่าที่ฉันบอกแบบง่าย ๆ แบบนี้ ปฏิบัติตามนี้นะ และในที่สุด หลวงพ่อจงอาจารย์ของเธอ ก็เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชอบเล่นฤทธิ์ ฤทธิ์นี่ชอบมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤทธิ์ในการเดิน ใช้ วาโยกสิณ เป็นปกติ คำว่า ใช้วาโยกสิณไม่ได้หมายความว่า ต้องเข้าวาโยกันเรื่อย ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นของมันเอง เวลาจะออกเดินทางปั๊บ วาโยเข้าอารมณ์ใจทันที จึงเดินเร็ว

และพวกเธอก็ได้ขี้วาโยไปหน่อยหนึ่ง ใช่ไหมล่ะ ที่ไปภูเขา ภูกระดึงกันแค่ ๒ วันก็ถึง และกลับมา ๓ วันก็ถึง แต่ความจริง เขาเดินกันเป็นเดือนต่อนี้ไป เธอจะพบของดี ฉันจะลานะ เป็นหน้าที่ของเธอ ถ้าเธอรักษากำลังใจดี เธอก็ดีได้ ถ้ารักษากำลังใจไม่ดี คราวนี้พังแน่ แต่ขอบอกว่า ไม่ใช่เสือ ไม่ใช่ช้าง ไม่ใช่หมี ไม่ใช่เก้ง ไม่ใช่แรด ไม่ใช่อะไรทั้งหมด แต่เป็นของที่จะทำให้เธอพังได้แบบง่าย ๆแบบนิ่มนวล

แล้วท่านก็ลาหายไป หลังจากนั้น พวกเราก็เดินธุดงค์เรื่อยไป ก็มีผู้ชายสองคนเป็นชาวป่า มีมีดเหน็บขัดหลัง บอก ท่านครับ ตามผมมาซิครับ ผมจะพาดูของสวย ๆ เดินไปเจอะจุดหนึ่ง บริเวณกว้าง กว้างกว่าสนามหลวง มีต้นตะไคร้เต็มหมด เหมือนใครมาปลูกไว้ แล้วเข้าป่าไป โผล่ไปก็เจอะอีกบริเวณหนึ่ง มีต้นข่าเต็มหมด ต่อไปก็มีต้นพริกพริกสวย ๆ มีเยอะ สีเป็นมุก เป็นฟักทองบ้าง เป็นน้ำเต้าบ้าง เป็นพริกธรรมดาบ้าง เป็นเหมือนลูกฟักบ้าง เม็ดสวย ๆ ใบสวย ๆ มีมากแพรวพราวเหมือนกับมุกหมด

เดินต่อไป ก็เจอะต้นไม้หลากสี ต้นไม้แต่ละอย่าง แต่ละจุด จะเป็นต้นไม้อย่างเดียว ดอกไม้อย่างเดียว คือไม่ปนกับอย่างอื่น ไม่มีผสมกัน จะเป็นกุหลาบ ก็กุหลาบ ดาวเรืองก็ดาวเรือง โดยเฉพาะในที่สุด เดินไป ๆ ก็ชักขึ้นสูงไป ทีละน้อย ๆ มองดูข้างหลังเห็นป่าอยู่ข้างล่าง เราก็เดินในป่าเหมือนกัน แต่มันเป็นเนินขึ้น บรรดาท่านพุทธบริษัท นึกอัศจรรย์ใจว่า ที่นี่มันอะไรกันหนอ ก็ถามโยม ที่นี่เขาเรียกอะไร
โยมก็บอกภูเขาครับ แต่เป็นภูเขาที่บนยอดมีความสวยสดงดงาม เป็นที่มาเล่นน้ำของเทวดา และนางฟ้า

ถามว่า คนมาเล่นได้ไหม
โยมก็บอก คนมาเล่นไม่ได้ครับ เพราะภูเขาลูกนี้ ตามปกติจะไม่มีคนเห็น และจะไม่เป็นที่กีดขวางทางเดินของใคร ก็เว้นไว้แต่พวกท่านเป็นชุดที่สอง ชุดแรกน่ะผ่านไปแล้ว สอบได้ สอบไม่ตก ภูเขาลูกนี้ เป็นภูเขาที่ทดสอบพระธุดงค์ ขั้นสุดท้าย ถ้าใครสอบได้ ก็หมายถึงว่า ชาตินี้ได้ดีกันแน่ ถ้าใครสอบตก ก็ไม่ต้องไปแล้ว ก็หมายความว่า ไม่ต้องบวช สึกไปเลย

ก็เดินตามโยมเรื่อย ๆ ขึ้นไป มันก็สูงขึ้นไปทีละน้อย ๆ ในที่สุด เหลียวมาอีกที เมฆลอยต่ำกว่าตัวเรา เราอยู่เหนือเมฆมาก สูงกว่าเมฆมาก เดินเร็วเหลือเกิน เดินเฉย ๆ ช้า ๆ ค่อย ๆ เดิน แต่รู้สึกไปไวมาก ในที่สุดก็ถึงยอดเขา ยอดเขาราบเรียบ บริเวณรอบ ๆมีต้นไม้ ตรงกลางไม่มีอะไร บริเวณกว้างใหญ่ หลายกิโลเมตร มีต้นไม้เป็นจุด ๆ และก็มีถ้ำ เป็นถ้ำ ๆ และมีสระใหญ่ สระใหญ่มากน้ำใสแจ๋ว เหมือนน้ำตา มองเห็นก้นสระ เหมือนกับใครเขาแกว่งสารส้มไว้ ลองเอาหินเล็ก ๆ โยนลงไป เห็นหินก้อนนั้นลอยลงไป ก่อนจะถึงก้นสระ

แล้วโยมทั้งสองคนก็บอกว่า ท่านครับ มาทางนี้ซิ ที่พักพระธุดงค์ พระธุดงค์ที่สอบได้ สอบตก เขาอยู่ตรงนี้กัน พระที่เคยสอบตกก็อยู่ตรงนี้ พระที่เคยสอบได้ก็อยู่ตรงนี้
ก็ถามว่า คนที่ขึ้นมาบนนี้สอบตกมีไหม
ท่านบอก ไม่มี ผู้ที่สอบตก ผมไม่พามาขอรับ เห็นท่าว่าจะสอบได้ ถึงจะพามา
ถามว่า บ้านอยู่ที่ไหน

แกบอก บ้านผมอยู่ไม่ไกลครับ
ถามว่า ไม่ไกล บนนี้มีบ้านหรือ
แกบอก ไม่มี
ก็บอกว่า โยม คำว่า ไม่ไกล นี่มันเดินมาหลายกิโลแล้วนะ

โยมก็บอกว่า หลายสิบกิโลครับ ไม่ใช่หลายกิโล
ถามว่า ภูเขาลูกนี้ เขาเรียกว่า เขาอะไร
ท่านบอกว่า ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าสระนี้ เขาเรียกว่า สระอโนดาต ที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ชอบมาสรงน้ำตรงนี้ และพาบริวารมาด้วย ดีไม่ดี นางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็มา แต่คนไม่เคยมีใครมา

โยมก็เลยบอก ชี้ถ้ำให้อยู่คนละถ้ำ ถ้ำเล็ก ๆ แต่ไม่เล็กมากนัก กว้างหลายวา แต่ถือเป็นถ้ำเล็ก ๆมีที่สะอาด มีแท่นสำหรับนอนเสร็จ มีน้ำไหลผ่าน มีความสุขมาก ตอนเย็น เมื่อโยมชี้ให้อยู่ แล้วก็ลากลับไป พอถึงเวลากลางคืน ก็นั่งเจริญกรรมฐานบนแท่นหิน บนแท่นหินที่กลางแจ้ง แสงพระจันทร์สว่างจ้า เห็นแต่แสง ไม่เห็นพระจันทร์ ความจริง สงสัยจะขึ้นไปเลยพระจันทร์ ไม่เห็นพระจันทร์ แต่เห็นแสงสว่าง สว่างคล้าย ๆ กับตอนกลางวัน ประมาณสัก ๓ โมงเย็นอากาศเย็นสงัด ความร้อนจากแสงแดดก็ไม่มี

ครั้นเมื่อนั่งกรรมฐานเสร็จ ก็มานั่งคุยกัน นั่งพิงแท่นหินคุยกัน ความจริง เวลานั่ง นั่งคนละแท่น นี่มันพูดไม่ค่อยจะไหวนะ โยมนะ คาสเซ็ทนี้ เป็นคาสเซ็ทหยุด หมายความว่า หยุดหนังสืออ่านเล่นชั่วคราวขณะที่คุยกันเสียงเบา ๆ ก็ได้ยินเสียงมาแต่ไกล เป็นเสียงดนตรีเพลงไทยเราชัด ๆ เสียงเหมือนเครื่องสาย ไม่ใช่ดนตรี แว่วมาแต่ไกล ใกล้เข้ามา ๆ พวกเราก็แอบดูที่ข้างแท่นหิน ใกล้เข้ามาเสียงก็ดังชัดเข้ามา

พอใกล้เข้ามา เห็นเป็นหมู่สาว ๆ ประมาณสัก ๒๐๐ กว่าคน แต่งตัวสวย แบบแพรวพราวเป็นระยับ เข้ากับแสงจันทร์สวยงามมาก เห็นชัด และกลางหมู่สาว ๆ ก็มีสาว ๔ สาวหามเสลี่ยงเสลี่ยงก็สวยมาก ประดับประดาสวยสดงดงาม พอวางปุ๊บลงไป สาวที่ก้าวออกมาจากเสลี่ยงสวยกว่าทุกคนหมด แต่งตัวสวยกว่ามาก ทุกคนเมื่อเสร็จ พร้อมแล้ว ก็พากันเปลื้องผ้าออก เปลื้องเครื่องแต่งกายออก เหลือแต่ชุดอาบน้ำ เดินนวยนาดไปทางขอบสระต่าง ๆ หัวเราะต่อกระซิก หยอกล้อกันไป หยอกล้อกันมา เหมือนกับพวกเธอเห็นพวกเรา

แต่เราคิดว่า เธอไม่เห็นเรา เธอ ต่างคนต่างมองมาทางก้อนหินที่เรานั่ง แล้วก็ยิ้ม ก็ชายตาให้บ้าง อะไรบ้างตามเรื่องตามราว พวกเราก็เฉย ก็คิดในใจว่า พวกนี้คือผี คนจะมาในอากาศได้อย่างไร ต้องเป็นผี จะเป็นผีนางฟ้า ผีเทวดา ผีพรหมก็ผีทั้งนั้น เป็นคนที่ตายไปแล้วทั้งนั้น แต่เขามีความดีเมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ก็ต่างคนต่างลงเล่นน้ำ เขาลงเล่นน้ำเสียงเฮฮาเกรียวกราวไปพักใหญ่ พวกเราในจำนวน ๓ องค์ มีองค์หนึ่งไอขึ้นมา มันคันคอ พอเสียงไอ แค้กเดียว พวกนั้นหยุดพั้บ

คนหนึ่งประกาศ บอก มนุษย์ พอบอกมนุษย์ หายแว้บ ก็คิดว่าเธอดำน้ำ แต่ไม่เห็นโผล่มาอีกเลย หายไปเลย ก็นึกในใจว่า พวกนี้หายไปแล้ว แต่เครื่องแต่งตัวแพรวพราว ไม่ได้เอาไปด้วย ก็เลยย่องไปดู ไม่มีแล้ว มีแต่ก้อนหิน เสลี่ยงก็หายไป เป็นอันว่า เมื่อเธอไปแล้ว ก็นั่งกรรมฐานกันใหม่ ทีนี้เรื่องเช็คละ มีความจำเป็นต้องรู้ นึกถึงท่านอินทกะ ท่านอินทกะก็ไม่มา นึกถึงใคร ใครก็ไม่มา เงียบหมด นึกถึงท้าวมหาราช ก็ไม่เห็นท่าน ท่านอาจจะมา แต่เราไม่เห็นท่าน ก็ปรึกษากัน เอาอย่างนี้ดีกว่า ขึ้นไปหาพระอินทร์

ขึ้นไปหาโยม ๓ องค์ก็ตัดสินใจไปหาท่าน เมื่อไปถึงท่านแล้ว ก็กราบท่าน ถ้าถามว่า เป็นพระทำไมจึงกราบ อย่าลืมว่า ท่านก็เป็นพระเหมือนกันนะ ท่านเป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานี้ท่านเป็นเทวดา หรือใครว่าเทวดาไม่มี ก็ตามใจแต่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องเทวดา อาตมาผู้พูด ผู้เขียนก็ยกย่องเทวดาเหมือนกัน ขอยอมรับนับถือว่า เทวดามีความดีมาก

ก็ถามท่านว่า เมื่อสักครู่นี้ หญิงสาวประมาณ ๒๐๐ คนเศษ และมีเสลี่ยงนั่งไปด้วย คนในเสลี่ยง สวยกว่าทุกคนหมด ไปอาบน้ำที่สระเขาเรียกว่า สระอะไร
ท่านบอกว่า ที่นั่นเขาเรียกสระอโนดาต ไม่ใช่สระโบกขรณี
ถามว่า หญิงสาวพวกนั้นไปไหน เวลานี้ ท่านก็ชี้ให้ดูข้างหลังท่าน
บอก นี่ นั่งอยู่ข้างหลังนี่เต็มไปหมด และคนนั่งเสลี่ยง ท่านก็ชี้ให้ดู ไม่ใช่ใครเลย แม่ศรี เอง

เธอก็ยิ้ม เธอถามว่า จำได้ไหม
ถามว่า จำใคร
บอกว่า จำฉัน
บอก ไม่รู้ ฉันไม่จำผู้หญิงทั้งหมด จะเป็นผู้หญิงคนก็ดี จะเป็นผู้หญิงนางฟ้าสวรรค์ก็ตาม ฉันไม่จำ ถ้าขืนจำเมื่อไร ฉันเจ๊งเมื่อนั้น คือ ไม่ยอมจำภาพของใครทั้งหมด

เธอก็บอก นึกถึงเบื้องหลัง
บอก เบื้องหลังเบื้องหน้า ฉันไม่คิด อดีตที่แล้วมา ฉันก็ไม่คิดถึง อนาคตต่อไปข้างหน้า ฉันก็ไม่คิดถึง คิดถึงเฉพาะปัจจุบัน
เธอถาม ปัจจุบันทำอะไร
บอก ปัจจุบันต้องการอย่างเดียว คือ ตัดกิเลส แล้วเธอก็ยิ้ม แล้วหันมาหาโยม
โยมก็บอกว่า ศรีเอ๊ย…หลวงพี่เขาพูดถูกแล้วนะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ นี่เขาสอบได้แล้วนะ เขาสอบไม่ตก เธอไปอย่างนั้น คิดว่าเขาจะนึกถึงความสวยสดงดงาม

เธอก็บอกว่า ต้องทดลองดูก่อน ไม่อย่างนั้นก็เชื่อใจไม่ได้เหมือนกัน คนต้องการจะเอาดี มันต้องดีกันจริง ๆ ต้องพบดีกัน เมื่อพบดีแล้ว ไม่ติดดี ใช้ได้ เมื่อทราบความเป็นมาเสร็จ ก็ลาโยมกลับ ลาทุกคนกลับ ก็กลับมาที่เดิม เมื่อมาที่เดิม ก็พบสองโยมตามเดิม
บอกว่า โยมสบายดีหรือ บ้านอยู่ตรงไหนล่ะ มาเร็วเหลือเกิน
บอก บ้านผมอยู่ใกล้ ๆนี่แหละครับ อยู่ไม่ไกลหรอก

ถามว่า อยู่ตรงไหน เธอก็ชี้ส่งเดช พอชี้ดูมันกลายเป็นวิมานไป
โยมก็เลยบอก ที่นี่ เป็นพื้นที่ของจาตุมหาราชเขานะ ที่เห็นเป็นภูเขานี่ ผมลวงตาท่าน ความจริงเขาไม่มี เขาที่มนุษย์จะเดินได้ไม่มี เขาประเภทนี้เป็นเขาที่พวกมีกายทิพย์เดินได้เท่านั้น มนุษย์มาก็ไม่ขวางทางใคร เหมือนเขาพระสุเมรุ นี่เขาเรียกว่า เขาพระสุเมรุ จำให้ดีนะ ในช่วงนี้ เป็นช่วงกลางเขาพระสุเมรุ ที่ดาวดึงส์นั่น เป็นยอดเขาพระสุเมรุ

ที่ท่านไปเมื่อกี้นี้ก็เป็นอันว่า ถูกเทวดาต้ม ท่านเลยบอกว่า ดีแล้ว สอบได้ไม่ตก
เลยถามว่า ถ้าสอบไม่ตก ชาตินี้จะเป็นอรหันต์ได้ไหม
ท่านบอก ไอ้นั่นผมไม่รู้ ไม่ใช่หน้าที่ของผม เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าองค์เดียว ที่จะพยากรณ์ หากว่าท่านได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเมื่อไร ท่านก็เป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น ถ้าหากว่ายังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า จงอย่าคิดว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ประเดี๋ยวจะหลงผิด

ในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ ก็มีพระบางองค์ ได้แค่ฌานโลกีย์ แต่มีความเข้าใจเองว่า ตัวเป็นพระอรหันต์ เพราะกิเลสสงบ เพราะเข้าฌาน จึงประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ ต่อมาอารมณ์กำเริบขึ้น จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถามว่า มีความผิดตามวินัยไหม ที่ประกาศตัวเป็นพระอรหันต์ เพราะไม่ได้เป็น พระพุทธเจ้าบอกว่า การหลงผิดมีอยู่ ไม่ถือว่าเป็นโทษ เมื่อโยมอธิบายให้ฟังเสร็จ ท่านก็พากลับ ท่านบอก วันนี้ผมจะพากลับส่งถึงวัดเลย ไม่ต้องเดินลำบาก แต่ก็ต้องเดินไปตามผมนี่แหละ เดี๋ยวเดียวก็ถึง แล้วท่านก็เดินนำหน้า

ขอโทษนะญาติโยม ตอนนี้ท่านเลิกเป็นชาวป่าแล้วนะ ท่านเป็นเทวดา แต่งตัวสวยมาก ท่านทั้งสองนั่นก็คือ ท้าวมหาราชนั่นเอง คือ ท่านท้าวเวสสุวัณ กับท่านวิรุฬหก สององค์ เดินประเดี๋ยวเดียวก็ถึงวัดบางนมโค แล้วก็เลยไปวัดหลวงพ่อจง แล้วท่านก็ลากลับ เข้าไปหาหลวงพ่อจง
หลวงพ่อจงถามว่า อย่างไรล่ะ เจอะดีแล้วใช่ไหม
บอก เจอะแล้วครับ

เป็นอย่างไร สอบได้ หรือสอบตก
ก็บอกว่า พระอินทร์บอกว่าสอบได้ ท่านท้าวเวสสุวัณ กับท้าววิรุฬหก ก็บอกว่า สอบได้
เออ…ถ้าสอบได้แบบนี้ไม่เป็นไรนะ สาว ๆ เมืองมนุษย์ไม่มีใครสวยเท่าพวกนั้น ฉะนั้น พวกคุณคงจะไม่แพ้เขาต่อไป เพราะพวกนั้นเขาไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีป่วย ไม่มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย สาว ๆ เมืองมนุษย์มีการแปรปรวนเป็นธรรมดา ฉะนั้น ต่อไปนี้ไม่มีใครสามารถชนะใจคุณได้

ระวัง โทสะ อย่าให้มันเกิดขึ้น กับ โมหะ ตัวหลง อย่าให้เกิดขึ้น มันก็เหลือสองตัว โทสะ กับโมหะ แต่มันก็เบาแล้วนะ ไม่เป็นไร ต่อไปก็พักธุดงค์ได้นะ ให้ถือเป็นการจบกิจแห่งการธุดงค์ เพราะว่าการธุดงค์ถึงที่สุดกันแค่นี้ อันดับแรก คุณก็พบพระที่ภูกระดึงแล้ว นั่นยอดของอาจารย์ ประการที่สอง ส่วนที่จะประกอบเรื่องโลกีย์วิสัย คือ กามคุณ เธอก็พบแล้ว เธอไม่ติดใจในกามคุณ ใช้ได้ ก็เป็นอันว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องธุดงค์ซักซ้อมอารมณ์ที่พระท่านสอนมา ซ้อมอยู่ที่วัด จะเรียนหนังสือ ก็เรียน จะสอนหนังสือ ก็สอน แต่ว่าธุดงค์อย่าทิ้งเราทำของเราคนเดียวในกุฏิ เราทำของเราคนเดียวในใจ เดินไปที่ถนนก็ให้เป็นป่า เดินไปในบ้าน ก็นึกว่าป่า

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า เมื่อป่าจะหมดไป ที่บ้านก็ป่า ที่เมืองก็ป่า เวลาก็หมด ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้นะ สำหรับหนังสืออ่านเล่น ก็ขอหยุดแค่นี้ไว้ก่อน สวัสดี.

จบเล่มสุดท้าย เล่มที่ ๒๑


ll กลับสู่สารบัญ