ท่องเที่ยวไทย..นำเที่ยววัดท่าซุง จาก travelthai-by-hunny.blogspot.com
webmaster - 4/4/16 at 10:07

วัดท่าซุง ไหว้พระขอพรบันดาลโชคลาภ แสวงบุญในดินแดนสรวงสวรรค์ ณ.ปราสาททองคำ สักการะหลวงพ่อฤษีลิงดำ

......วันนี้เราเดินทางออกจากบ้านกันแต่เช้า มีเป้าหมายคือ "วัดจันทาราม" หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม "วัดท่าซุง" แต่ก็ใกล้จะ 7.00 น. แล้วล่ะ ก่อนออกจากบ้านช่างภาพของเราก็ทำการตรวจเช็คสภาพรถยานพาหะคู่ใจก่อนออกเดินทางเพื่อให้การเดินทางได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย วันนี้อากาศยังเย็นอยู่นิดหน่อยและไม่มีหมอกเหมือนทุกวันที่ผ่านมา นับว่าวันนี้อากาศดีจริง ๆ แต่ก็ยังไม่สว่างมากนัก เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหน้าร้อนกำลังจะมาเยือนเราแล้ว

...... วันนี้เราตั้งใจมุ่งหน้าไปแสวงบุญที่ วัดจันทราม หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "วัดท่าซุง" เคยเป็นที่พำนักของเจ้าอาวาสชื่อดัง นั่นก็คือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เพื่อมุ่งหน้าไปชมปราสาททองคำ สักการะหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ขอพรบันดาลโชคลาภจากหลวงพ่อเงินไหลมาเทมา ก่อนอื่นเรามาทราบประวัติ "วัดท่าซุง" พอสังเขปกันก่อนดีกว่า ว่ามีความเป็นมาอย่างไร

ประวัติวัดท่าซุง หรือ วัดจันทาราม

.......หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร ปธ. 4) หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำเล่าว่า วัดนี้มีมานาน สมัยพุทธกาลได้ พระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกฝ่ายซ้าย มาเผยแพร่คำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา อันมีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น ตั่งแต่อดีตมา วัดท่าซุงมีพระอรหันต์ 70 องค์ เคยรุ่งเรืองมา 8 สมัย หมายความว่าตั่งแต่สมัยพุทธกาลมารุ่งเรื่องบ้าง ทรุดโทรมบ้าง สลับกันไป ลุล่วงมาถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ วัดทรุดโทรมจนกลายเป็นวัดร้าง หลวงปู่ใหญ่ (ชื่อเดิม หลวงปู่ ปาน) ธุดงค์มาถึงเมื่อวันที่ 11 กรกฏาคม พ.ศ. 2332 ท่านได้ปักกลดรับการใส่บาตรของชาวบ้าน ชาวบ้านนิมนต์ขอให้ท่านอยู่เพื่อบูรณะวัด เวลานั้นตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ครองราชย์ได้ปีที่ 7

......ท่านเริ่มจากการบูรณะพระอุโบสถและวิหารที่อยู่คู่กัน โดยมีพ่อค้าชาวจีนเร่ขายของมาทางเรือ ชื่อเจ็กเส็ง มาช่วยก่อสร้างด้วย ซึ่งต่อมาท่านได้บวช และเป็นเจ้าอาวาสต่อจากหลวงปู่ใหญ่ ความที่ท่านชอบฉันขนมจีนเป็นประจำ ใคร ๆ ก็เรียกท่านว่า "หลวงปู่ขนมจีน" ปัจจุบันนี้มีรูปปั้นและมณฑปอยู่บริเวณหลังพระอุโบสถใหม่ ใครจะมาบนบานท่านก็ต้องใช้ขนมจีนน้ำยามาถวาย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้กล่าวไว้ว่า ให้บนคู่กับหลวงปู่สีวลี เพราะทั้ง 2 องค์ มีลาภมาก หลวงปู่สีวลี ให้ใช้ข้าวหม้อ แกงหม้อ ไหว้ในตอนเช้า เมื่อเสร็จแล้วให้ลาของถวายเหล่านั้นนำไปถวายเพลพระภิกษุอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้อนิสงค์สังฆทานไปด้วย จะทำให้ได้บุญมากขึ้น


หลังจากตรวจสอบความพร้อมของยานพาหนะคู่ใจแล้วเราก็เริ่มออกเดินทาง พอเดินทางมาได้สักพักท้องก็เริ่มมีปัญหาส่งเสียงร้องโครกคราก เราเลยตกลงปลงใจว่าจะแวะกินต้มเลือดหมูกัน "ร้านเล็กต้มเลือดหมู"

เย้ !!!! ถึงแล้ว "ร้านเล็กต้มเลือดหมู" เห็นหลังคาสีฟ้าเขียนด้วยตัวหนังสือสีขาวว่า "เล็กต้มเลือดหมู" มาแต่ใกล้


เลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ลานจอดรถ พระเจ้า!!! เราจะได้กินไหมเนี่ย ขนาดที่จอดรถเยอะขนาดนี้เราจะจอดตรงไหนเนี่ย ทันใดนั้นก็มีรถถอยออกทันที ถือว่าวันนี้เราโชคดีมาก อาจเป็นเพราะเรากำลังจะไปแสวงบุญที่วัดท่าซุง (วันจันทาราม) มั้ง ค่าอาหารมือนี้ ต้มเลือดหมูชามละ 40 บาท ข้าวเปล่า 10 บาท และน้ำเปล่า 10 บาท อาหารเช้ามื้อนี้ของเราคนละ 60 บาท อิ่มและอร่อย


หลังจากที่เราจัดการต้มเลือดหมูจนราบคาบแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อ โดยเราเลือกทางข้ามโป๊ะเพื่อย่นระยะทาง โป๊ะสามารถรับรถได้แค่ 8 คัน ไปกลับจะใช้เวลา 20 นาทีต่อเที่ยว สำหรับคนที่เคยไปครั้งแรกหากเห็นรถคันหน้าจอดดับเครื่องแล้ว ให้ต่อคิวได้เลยค่ะ ไม่ต้องขับไปเพื่อหวังไปแซงข้างหน้า เพราะว่าเจ้าหน้าที่ที่ดูแลโป๊ะจะมาแจ้งให้เราไปต่อคิวอยู่ดี ทำให้เราต้องต่อแถวยาวออกไปอีก สำหรับค่าโดยสารขึ้นโป๊ะนั้น คันละ 30 บาท


หลังจากที่เราขึ้นจากโป๊ะแล้วให้ขับรถตรงไปเรื่อง ๆ ตามเส้นทางจะมีป้ายบอกค่ะว่าอีกประมาณกี่กิโลจะถึงวัด และแล้วเราก็มาถึงวัดจนได้ เราใช้เวลาในการเดินทาง 2.30 ชม. (ขับ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ประหยัดน้ำมัน หลังจากที่เข้ามาในวัดแล้วเราหาที่จอดรถหลังจากนั้นก็ชมความงามของปราสาททองคำกันค่ะ

ปราสาททองคำ (กาญจนาภิเษก) สร้างเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวาระที่ทรางเสวยราชย์เป็นปีที่ 50 ทางสำนักพระราชวังได้ให้ชื่อปราสาททองคำใหม่ว่า ปราสาททองคำกาญจนาภิเษก ก่อสร้างด้วยการก่ออิฐฉาบปูน ประดับด้วยลวดลายไทยปิดทองคำเปลวและติดกระจกด้วยฝีมืออันปราณีตงดงาม ใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ญาติโยมถวาย และสิ่งของสำคัญต่าง ๆ













หลังจากที่เราเก็บภาพปราสาททองคำกันจนหนำใจ เราก็ขับรถตามเส้นทางในวัด และแล้วเราก็มาพบกับจุดไฮไลน์ที่เราหวังไว้ว่าต้องมาที่นี้เพื่อขอพรบันดาลโชคลาภนี้ล่ะค่ะ

หอพระไตรปิฏก และพระยืน 30 ศอก (หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา)



และสาเหตุที่ทำให้เราตั้งอกตั้งใจเดินทางไปที่วัดนี้คือ ก่อนหน้านี้เราอ่านพบว่าอินเตอร์เน็ตว่า "แม่ชีทศพร วัดพิชัยญาติ บอกว่า หากผู้ใดปารถนาจะได้ลาภเงินทอง และความร่ำรวยให้ไปที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เพื่อไปสักการะ พระพุทธรูปองค์หนึ่งที่อยู่ภายในวัด ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร พระพุทธรูปองค์นี้มีชื่อว่า "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา" โดยมีขั้นตอนในการสักการะดังนี้

1. ให้น้อมเคารพ สักการะพระพุทธรูปองค์นี้

2. ให้นำผ้าไตรจีวรของวัดมาห่มคลุมองค์พระพุทธรูปนี้

3. ให้สวดพระคาถาสำหรับบูชาพระพุทธรูปองค์นี้ จากทางวัด

4. ให้อธิฐานขอพรจากพระพุทธรูปองค์นี้ (ขอเพียงข้อเดียวเท่านั้น อย่าขอพร่ำเพรื่อ เช่น ขอให้ร่ำรวยเป็นแสน เป็นล้าน ก็ว่าไป)

5. ให้กลับมาสวด "พระคาถาเงินล้าน" ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ (สวดทุกวัน วันละ 9 จบ)

6. เมื่อสิ่งที่ร้องขอนั้นได้ส่งผลกับคุณแล้ว อย่าลืมทำบุญและอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล บูชาคุณพระรัตนตรัย และบูชาองค์พระพุทธรูป "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา" ด้วย

นี่แหละคือ สิ่งที่แม่ชีทศพร ชี้บอกทางบุญให้สำหรับคนที่อยากมีทรัพย์ เงินทอง อย่างร่ำรวย ในหนังสือ แม่ชีได้บอกว่ามีผู้ที่ไปหา แม่ชีเพื่อให้ดูกรรมเป็นนักธุรกิจ แต่ผู้นั้นมีปัญหาหนี้สินนับสิบล้านบาท และต้องการเงินภายในสิบวัน และคนผู้นี้ได้ไป สักการะ พระพุทธรูปองค์ที่กล่าวมานี้ จากนั้น คนผู้นี้ได้เงินสิบล้านบาทมาภายใน 7 วัน

และอีกคนหนึ่ง แม่ชีบอกว่าคนนี้ได้ไปสักการะ พระพุทธรูปองค์นี้ และญาติ ๆ พวกเขาก็ได้ไปสักการะด้วย ปรากฏว่าคนเหล่านั้นทั้งหมดได้เงินเป็นล้านเลย

ตามที่ได้อ่านมา ฟังดูแล้วเหมือนเหลือเชื่อ แต่ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะ ใครอยากร่ำรวย มีเงินทอง หากมีโอกาสก็ลองไปสักการะ พระพุทธรูปองค์นี้ และทำตามขั้นตอนที่แม่ชีบอกไว้ดู พระพุทธรูป "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา"

หลังจากที่เราได้สักการะ "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา" เรียบร้อยตามขั้นตอนที่แม่ชีทศพรชี้บอกทางบุญเรียบร้อยแล้ว เดินไปบริเวณที่ไม่ไกลจาก หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา เราแวะทางด้านซ้ายก่อน คือ

วิหารสมเด็จองค์ปฐม
เช้าเปิด 09.00 - 10.30 น. บ่ายเปิด 13.00 - 16.00 น.
เสาร์อาทิตย์และวันหยุดราชการ เปิด 09.00 - 16.00 น.
(ห้ามจอดรถไว้ในวิหาร)










หลังจากที่เราสักการะ "สมเด็จองค์ปฐม" และเก็บภาพจนจุใจ เราก็ลงมาเพื่อไปฝั่งตรงกันข้าม ซึ่งเป็น

มณฑปพระศรีอารีย์
เช้าเปิด 09.00 - 10.30 น. บ่ายเปิด 13.00 - 16.00 น.
เสาร์อาทิตย์และวันหยุดราชการ เปิด 09.00 - 16.00 น.
(ห้ามจอดรถไว้ในมณฑป)






หลังจากที่เราสักการะ "พระศรีอารีย์" และเก็บภาพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ขับรถไปตามทางในวัด และเราก็มาถึงจุดที่สำคัญอีกจุดของวัด คือ วิหาร 100 เมตร ซึ่งเป็นที่

วิหารแก้ว 100 เมตร
วิหารหลังนี้เริ่มสร้างเมื่อกลางปี 2530 แล้วเสร็จเมื่อกลางปี 2532 รวมใช้ระยะเวลาในการสร้างประมาณ 2 ปี ภายในอาการประดับด้วยกระจกเงาทั้งหมด มีห้องสำหรับเจรญกรรมฐานทั้งหมด 10 ห้อง มีพระพุทธรูปจำลองของพระพุทธชินราช หน้าตัก 9 ศอก 1 องค์ มีห้องบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มีรูปพระอรหันต์ที่สำคัญ 7 องค์















การเดินทางไปวัดท่าซุง

1. รถส่วนตัว มุ่งหน้าขึ้นเหนือ เข้าสู่ป้ายยินดีต้อนรับสู่จังหวัดอุทัยธานีวิ่งตามถนนเข้าเมืองจนสุดทางเจอสี่แยกบ้านหางน้ำให้เลี้ยวซ้ายตามป้ายนั้น ขับตรงไปเรื่อย ๆ จะผ่านตัวอำเภอมโนรมย์ ขับตรงไปเรื่อย ๆ จะเจอท่าแพข้ามฝาก "แพขนานยนต์ศรีประเสิฐ" เมื่อข้ามฝากแล้วขับรถตรงไปเรื่อย ๆ มีป้ายบอกตลอดทาง

2, รถสาธารณะ นั้งรถตู้ไปอุทัยธานี (ค่ารถประมาณ คนละ 180 บาท) ถึงตลาด บขส.อุทัย ให้ขึ้นรถสองแถวที่เขียนว่า "ท่าซุง - มโนรมย์" (ค่ารถประมาณ คนละ 8 บาท) รถหมดเวลาบ่าย 2 โมง หรือเหมาสามล้อนั่งได้ 2 คน (ราคาประมาณ 70 บาท)


ที่มา - http://travelthai-by-hunny.blogspot.com/