ขอเชิญร่วมถวาย "บทความ" หรือ "บทกลอน" บูชาหลวงพ่อฯ มรณภาพครบรอบปีที่ 30
webmaster - 1/8/17 at 14:46

สารบัญ

(เลือกคลิกที่รายการ)

[01]
ตอนที่ ๑ ขอเชิญร่วมถวายคำบูชาหลวงพ่อ
[02] ตอนที่ ๒ หลวงพ่อเล่าเรื่อง "วิมานในนิพพาน"
[03] ตอนที่ ๓ งานครบรอบ ๓ ปี หลวงพ่อมรณภาพ
[04] ตอนที่ ๔ ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
[05] ตอนที่ ๕ ราชพรหมยานบูชา
[06] ตอนที่ ๖ คำสดุดีเทิดพระคุณ
[07] ตอนที่ ๗ คำสดุดีเทิดพระคุณ (ต่อ)

[08] ตอนที่ ๘ คำสดุดีเทิดพระคุณ (ตอนจบ)


ขอเชิญร่วมถวาย "บทความ" หรือ "บทกลอน"
บูชาแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ มรณภาพครบรอบปีที่ 30

เนื่องในงานพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน ณ วัดท่าซุง
วันที่ 24-25 กันยายน 2565




สมเด็จองค์ปฐมทองคำ วัดท่าซุง



ขบวนอัญเชิญพระศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ
จากตึกขาวกลับสู่วิหารแก้วร้อยเมตรตามเดิม
เมื่อวันที่ 28-29 มกราคม 2555





...ท่านที่มีความประสงค์เขียนคำไว้อาลัยถวายบูชา หากไม่ถนัดในการแต่งบทกลอน จะโพสต์เป็นข้อความธรรมดาก็ได้ (ถ้าเป็นสมาชิกเว็บวัดท่าซุงก็โพสต์ในเว็บได้เลย หรือจะโพสต์ในเฟสบุคก็ได้)

เพื่อเป็นการน้อมรำลึกนึกถึงพระคุณความดีของท่าน เป็นการแสดงความกตัญญู และเพื่อเป็นการแสดงความรักและอาลัยของลูก ที่มีต่อ "พ่อ" ผู้มีพระคุณใหญ่ของเรา

ในเมื่อพ่อไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จำต้องสอนลูกให้ตามไปอยู่ด้วย เวลานี้หลวงพ่อมีวิมานทั้งหมด 37 สาย วิมานของหลวงพ่อตั้งนำอยู่ด้านหน้าในระดับเดียวกับพระพุทธเจ้า

ระหว่างวิมานของสมเด็จพระพุทธกัสสปกับสมเด็จองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้ามีแสงรัศมี 6 สี แต่หลวงพ่อมีแค่ 4 สี (หนังสือหลวงพ่อปานออกมา ปี 2515 ตอนนั้นมีวิมานเพียงแค่ 8 หลังเท่านั้น ขณะนี้ปี 2562 มีนับแสน)

หลวงพ่อบวชเมื่อ 16 กรกฎาคม 2480 ลาพุทธภูมิเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2506 ขณะจำพรรษาที่ วัดโพธิ์ภาวนาราม จ.ชัยนาท แล้วท่านได้จบกิจภายในพรรษานั้น เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2506 ขณะที่มีอายุ 47 ปี มีพรรษาที่ 27

แต่ก่อนที่จะถึงที่สุดแห่งทุกข์นั้น ยังมีคำสอนอันเป็นหัวใจของความหลุดพ้น ตั้งแต่วันที่ 1, 2, 3, 4 สิงหาคม พ.ศ. 2506 จึงมีความสำคัญเช่นเดียวกัน




ท่านทรงขันธ์ในความเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ ปี 2506 - 2535 เป็นระยะเวลา 29 ปี จึงเข้านิพพาน ที่เรียกตามศัพท์พระศาสนาว่า "อนุปาทิเสสนิพพาน" ดับกิเลส ไม่มีขันธ์ห้าหรือเบญจขันธ์เหลือ คือ สิ้นทั้งกิเลสและชีวิตนั่นเอง

เพราะฉะนั้น คำว่า "ลูก" จะเป็นได้สมจริงนั้น จะต้องทำจิตให้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน ผู้นั้นจึงได้ชื่อว่าเป็นบุตรธิดาของท่านอย่างสมภาคภูมิ สมเกียรติสมศักดิ์ศรีของความเป็นพ่อแม่ ตามหลักฐานที่หลวงพ่อเจ้าคุณฯ ได้นำมาบอกเล่าว่า

ในโลกมนุษย์ ลูกหญิงมี 300,000 คน, ลูกชายมีไม่กี่พันคน (ในเมื่อท่านเจ้าคุณฯ ไม่บอกตัวเลข ในฐานะที่เป็นผู้ชายเด้วยกัน เราก็เหมาเอาว่า 9,999 คนก็แล้วกัน) ที่ไปนิพพานได้หมด เราก็ถือว่าเป็นลูกของท่านในจำนวนนั้นก็แล้วกัน (รีบๆ นะเดี๋ยวหมดโควต้าเสียก่อน)

แต่ทั้งนี้ต้องดูลายมือที่ท่านเขียนไว้ก่อนมรณภาพเพียงเดือนเดียว คือวันที่ 22 กันยายน 2535 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดและไม่ควรประมาทอีกด้วย ควรเร่งทำความดีสร้างบารมีตามที่พระมาบอกหลวงพ่อไว้ก่อนมรณภาพ จะเป็นการดีที่สุด



22 ก.ย. 35 ไปเที่ยวเมืองนิพพาน

(1) เข้าสมาบัติบนวิมาน
(2) ไปวิมานพระพุทธกัสสป
(3) ไปวิมานสมเด็จพระทีปังกร
(4) ย้อนมาวิมานองค์ปฐม
(5) กลับเข้ากาย ภูมิเทวดาอุ้มเด็กมาขอส่วนบุญ

มีศิษย์เป็นแสน 10% ไปนิพพานได้
เหลือจากนั้นให้เร่ง โดยเสด็จพระราชกุศล เพื่อ
ให้บารมีเต็มเร็วๆ


จึงขอให้เริ่มเขียนคำไว้อาลัยตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม เป็นต้นไป อันเป็นวันที่ท่านจบกิจในพระพุทธศาสนา จนถึงวันที่ 30 ตุลาคม เป็นวันที่ท่านละสังขารเข้าสู่พระนิพพาน พร้อมกันนี้ขอฝากคำของแม่อวยพรถึงลูกทุกคน ส่วนในตอนหน้าหลวงพ่อบอกเล่า "สภาพของเมืองนิพพาน" ด้วย

คำอวยพรของท่านแม่ศรี

"...แม้แต่แม่รักลูกเหมือนแก้วตา ก็ต้องอยู่ห่างจากลูก ลูกเป็นมนุษย์ แม่เป็นเทวดา ที่ต้องแยกกันอย่างนี้ ก็เพราะเราหลงว่าโลกเป็นของดี ลูกอย่าหลงโลกมันต่อไปเลยนะ มุ่งเอาพระนิพพานเป็นที่ตั้ง ปลดความรัดรึงในโลกเสียให้หมด ความสบายใจจะมีแก่ลูก

เดิมแม่คิดไม่ออกว่าลูกจะมีโอกาสหรือ... เพราะเห็นภาระหนัก เมื่อลูกตัดสินใจเด็ดขาด ตามแบบฉบับเดิมได้ แม่ดีใจมาก...แม่ดีใจด้วยกับลูก..ขอลูกของแม่...จงสุขสบายในธรรม ของพระพุทธเจ้าตลอดชีวิตเถิด...!"


ที่มา - บันทึกพิเศษของท่าน

** อย่าลืม.. ถวายคำบูชา 1 ครั้ง และแชร์ ธรรมทาน 1 ครั้ง ** ทุกท่านสามารถนำรูปเข้า "อัลบัมหลวงพ่อวัดท่าซุง" ใน https://www.facebook.com/tamroi.phrabuddhabat ขอเชิญอัพโหลดเข้าไปรวมกันได้ เพื่อแบ่งปันกันชมทุกๆ อิริยาบทของท่าน

จึงขออนุโมทนาทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย.

ทีมงาน "ผู้จัดทำเว็บไซด์"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 3/8/17 at 11:58

[ ตอนที่ 2 ]

(Update 12 สิงหาคม 2560)


หลวงพ่อเล่าเรื่อง "วิมานในนิพพาน"


(ขอบคุณภาพ - forum.apinya.com)


"....วันหนึ่งสมเด็จท่านพามาที่วิมาน นิพพานที่มันกว้างลิ่ว และบ้านนี่นะนานๆ จะได้ไปสักที ส่วนมากก็ไปนั่งป๋อ..อยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้า ถ้าเราไปอยู่ที่นั่นแล้ว เวลาเราตายมันจะไปไหน อาตมาเป็นคนเกาะ "พุทธานุสสติกรรมฐาน" เป็นอารมณ์ตลอดเวลา

ถ้าวันไหนไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าวันนั้นตายดีกว่า มันจะเป็นยังไงก็ตาม ยิ่งป่วยยิ่งไข้ยิ่งหนัก ป่วยนิดเดียวจิตจะไม่ยอมคลาดพระพุทธเจ้า เราถือว่าถ้าเราเกาะพระพุทธเจ้าอยู่ มันจะตายลงนรกก็ยอม ท่านคงไม่ยอมให้ลง แล้วท่านก็พาไปดูที่วิมาน ชี้ให้ดูบอกว่า...

"...คณะของคุณมันมาก เพราะคุณใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง 16 อสงไขยกับแสนกัป และเป็นฝ่ายวิริยาธิกะ..."

เป็นอันว่า คณะของเราที่ตามกันมาเป็นระยะ ไอ้ที่เขาหนีไปนิพพานแล้วนับไม่ถ้วน พวกนั้นขี้ขลาดสู้เราไม่ได้ ไอ้เราต้องมาตกระกำลำบาก ช่วยกันวิ่งโน่นวิ่งนี่ ไอ้ที่จะกินก็ยังไม่มี แต่ยังพยายามหาเลี้ยงคนอื่น ใช่ไหม...

วันนี้มีเวลาลองสอบดูนิดหนึ่ง ถามว่า "คณะของข้าพระพุทธเจ้ามีกี่สาย จากหลังบ้านไปนี่..?"
ท่านบอกว่า "มี 37 สาย"

ถามว่า "สายหนึ่งมีระยะยาวเท่าไร..?"
ท่านบอกว่า "สองแสนโยชน์ของนิพพาน"

แล้วก็ไปดูเห็นหมดทั้ง 37 สาย สองฝั่งของถนนวิมานเต็มหมด มันไม่มีจุดพร่อง สายหนึ่งประมาณ ๒ แสนโยชน์ แต่ละสาย 37 คูณด้วย 2 วิมานมันจะตั้งสายละสองฝั่งถนน 37 ถนนยาวเหยียด

ถนนกลายเป็นแก้วแพรวเป็นประกายสวยสดงดงามไปหมด บอกไม่ถูก วิมานแต่ละหลังก็แพรวพราวหาที่ติไม่ได้เลย หัวหน้าทีมตั้งบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อไปก็มีถนนซอยเข้าไป

วิมานของพระพุทธเจ้าเรียงแถวเป็นกลุ่มๆ

ทางด้านของนิพพานนี่ เขาอยู่กันเป็นกลุ่มๆ อย่างกลุ่มของ พระกกุสันโธ ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าก็ตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็นสายอยู่ข้างหลัง พระโกนาคม ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง พระพุทธกัสป ก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง ของ สมเด็จพระสมณโคดม ท่านก็ตั้งอยู่จุดหนึ่ง

ตอนนี้ของอาตมาก็เป็นจุดที่แปลก วิมานตั้งอยู่ในเกณฑ์เรียงของพระพุทธเจ้า ใหญ่คล้ายคลึงกัน แต่สวยสู้ของท่านไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ในฐานะที่ปรารถนาพุทธภูมิมาสิ้นระยะเวลา 16 อสงไขยกับแสนกัปพอดี

แต่ว่าต้องเกิดไปอีก 7 ที ทนไม่ไหว..ไม่เอา แค่นี้พอ รอเกิดอีก 7 ครั้ง ก็ในกัปนี้แหละ และต้องไปรอองค์ที่ 22 หลังจากพระศรีอาริย์ ต้องไปนั่งรออยู่ชั้นดุสิต ไม่ไหวเปิดดีกว่า

ฉะนั้น กลุ่มของพวกเราจึงมีวิมานตั้งอยู่ในระหว่างกลุ่มของ "พระพุทธกัสสป" และกลุ่มของ "พระสมณโคดม

เป็นอันว่า หาจุดพร่องไม่ได้ตามสายของพวกเรา วิมานสวยไม่เต็มที่มีอยู่มากพอสมควร แต่ก็ไม่เต็มสาย ที่วิมานสวยไม่มากก็เพราะว่า จิตของบุคคลใดถ้ารักพระนิพพาน วิมานจะปรากฎที่นั่น

แต่ถ้าจิตใจของท่านผู้นั้นยังไม่ถึงอรหัตผลเพียงใด วิมานจะสวยไม่เต็มที่ ไอ้จิตกับวิมานมันสวยเท่ากัน เดินไปจึงรู้ เป็นอันว่าวิมานมันนั่งคอยอยู่

เป็นอันว่า คนที่ติดตามมาไม่พลาดพระนิพพาน สมเด็จท่านตรัสต่อไปว่า

"...ทุกคนที่เอาจริง ที่ตามแกมาตั้ง 16 อสงไขยกับแสนกัป มันมีที่อยู่กันหมดแล้ว คำว่าถอยหลังไม่มี

ประการที่สองให้เตือนไว้ว่า ในระหว่างชีวิตที่ยังไม่ตาย ใครจะปฏิบัติดีบ้างปฏิบัติชั่วบ้าง ขณะใดที่เราสร้างความดีเพราะจิตมันดี แต่บางครั้งจิตมันจะเศร้าหมองลงไปให้มีแต่ความวุ่นวาย

นั่นต้องถือว่าเป็นเรื่องของกรรมที่เป็นอกุศลของชาติก่อนเข้ามาบันดาล แต่เรื่องนี้เราจะแพ้มันในระยะต้น เวลาตายน่ะไม่มีหรอก มันจะทำร้ายได้ชั่วคราวเท่านั้น

เราจะให้มันในขณะที่มีชีวิตทรงอยู่เท่านั้น ถ้าใกล้ตายจริงๆ ไม่สามารถจะสังหารจิตเราได้ เมื่อใกล้จะถึงความตาย พอจิตเข้าถึงจุดนั้น ไอ้กิเลสไม่สามารถเข้ามายุ่งได้เลย เพราะว่ากรรมที่เป็นกุศลใหญ่ที่บำเพ็ญมาแล้วจะเข้าไปกีดกันหมด กรรมที่เป็นอกุศลเข้าไม่ถึง

"...อาตมารับรองผลว่าทุกคนไม่ไร้สติ และไม่ไร้ความดีที่ปฎิบัติ..."

เพราะอะไร เพราะไปตรวจบ้านมาแล้วสบายใจ หมดเรื่องหมดราวเสียที ตามธรรมดาเราจะตำหนิกัน บางคนเราก็เห็นว่ามานั่งกรรมฐานกัน มาศึกษากัน กลับไปก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง เอะอะ..โวยวาย ก็ถือว่าเป็นการชำระหนี้ชำระสินกันไป ถือว่าช่างมันไว้ ท่านบอกว่าไปบอกเขานะ เพื่อความมั่นใจ

เป็นอันว่า ทุกคนที่มีวิมานอยู่ที่นิพพานละก็ ควรจะภูมิใจว่าเราเข้าถึงกิจสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้ว ขึ้นชื่อว่าการถอยหลังกลับไปสู่อบายภูมิย่อมไม่มี

ถึงแม้ว่าในชาตินี้ เราจะประมาทพลาดพลั้งในด้านอกุศลกรรมเป็นธรรมดา ก็แต่ว่าจิตเราก็ต้องหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ ถือว่าขันธ์ 5 ไม่มีความหมายสำหรับเรา ว่าช่างมันๆ เอาไว้ อารมณ์ดีก็ช่างมัน เวลาคันก็ช่างเผือก หมดเรื่องหมดราว อย่างนี้สลับกันไปสลับกันมา

คำว่า "ฌาน" ก็คือ "อารมณ์ชิน" จิตมันชินอยู่อย่างนั้น จิตมันก็ตั้งอยู่ในอารมณ์พระนิพพานโดยเฉพาะ จิตก็เข้าถึงพระโสดาบัน เรื่องสกิทาคา อนาคา อรหันต์ เป็นของไม่ยาก ยากอยู่ที่พระโสดาบันเท่านั้น


คลิปวีดีโอ "กวนอิมน้อยท่องโลกทิพย์"



สมเด็จท่านตรัสเรื่องพระศาสนาว่า

"...การขึ้นคราวนี้กว่าจะลงของพระพุทธศาสนา คนที่จะบรรลุมรรคผล คราวนี้นับโกฏิเหมือนกัน และจะไปโทรมเอา พ.ศ. 4500 ช่วงนี้จะขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปไม่ช้าคำว่า "พระนิพพาน" จะพูดกันติดปาก ชินเป็นของธรรมดา จะเห็นเป็นเรื่องปกติ..."

ถ้าเราจะถอยหลังไปจากนี้ 20 ปี จะเห็นว่าจิตใจของคนเวลานี้ต่างกันเยอะ พูดถึงด้านความดีนะ เวลานี้ฟังแล้วทุกคนอยากไปนิพพาน สังเกตที่จดหมายมาบอกอยากจะไปนิพพานทั้งนั้น

และจากนี้ไปอีกไม่ถึง 20 ปี จะมีพระอริยเจ้านับแสน ไม่ใช่ฉันสอนเป็นผู้เดียวหรอกนะ คือว่าเขาสอนกันโดยทั่วๆ ไป แต่ว่ากลุ่มเราจะมาก หมายถึงว่าอาจจะไม่มีตัวมาแต่มีหนังสือมีเทป กาลเวลามันเข้ามาถึง

เวลานี้คนที่เข้าถึงมุมง่ายแล้ว กำลังใจมันตีขึ้นมา ถามว่าตอนก่อนทำไมไม่ให้สอนแบบนี้ ท่านบอกว่า คนมันหาว่าง่ายเกินไป มันเลยไม่เอาเลย จะต้องยากๆ แต่พวกของแกไม่มีใครเหลือ ท่านชี้จุดเลย ก็เลยดีใจ

แล้วท่านก็บอกว่า "ต่อไปภาระมันจะหนัก ต้องวางพื้นฐานไว้"
ก็ถามว่า "พื้นฐานจากพระองค์อื่นไม่มีหรือ?"

ท่านก็บอกว่า "พระองค์อื่นเขาก็มีความสามารถ..ไม่ใช่ไม่มี แต่สงสัยว่าคนที่เรียนกรรมฐาน 40 กับมหาสติปัฏฐานจนครบกันนี่มีกี่องค์ หมายถึงว่าทำได้ฌาน 4 หมด"

บอก "ไม่เคยถามชาวบ้านเขาเลย"
ท่านบอก "ไม่มีหรอก..ปัจจุบันนี้ ไม่มีใครเขาจบ มันเหลืออยู่แกคนเดียว ท่านปานก็ตายเสียแล้ว"

ท่านบอกว่า "ผู้ที่จะทรงกรรมฐาน 40 นี่ ต้องเป็นฝ่าย "พุทธภูมิ" ถึงขั้นปรมัตถบารมี ถ้ายังไม่เต็มปรมัตถบารมีนี่..ยังไม่ได้กรรมฐาน 40 ครบ พระโพธิสัตว์ต้องเรียนวิชาครู"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 5/8/17 at 03:46

[ ตอนที่ 3 ]

(Update 19 สิงหาคม 2560)



งานพิธีบำเพ็ญกุศลหลวงพ่อมรณภาพ ครบรอบ ๓ ปี
เมื่อวันที่ ๒๘ - ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๘
โดย..พระชัยวัฒน์ อชิโต

...ครั้นถึงกำหนดงานครบรอบ ๓ ปีพอดี ที่พวกเรารอคอยต่างก็มารวมกันที่วัดท่าซุง ในวันเสาร์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๘ อันเป็นเวลาที่วัดกำลังประสบชะตากรรมอย่างหนักที่สุด คือ อุทกภัย ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ในพื้นที่บางแห่งของวัด น้ำได้ท่วมสูงถึง ๓ เมตรทีเดียว ทำลายสถิติที่วัดเคยถูกน้ำท่วมมาก่อนแล้วในปี ๒๕๒๓ อย่างสิ้นเชิง ถือว่าทำสถิติใหม่ก็ว่าได้

ผลเสียหายได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย เช่น กำแพงข้างศาลานวราชด้านทิศเหนือ และต้นไม้หลายร้อยหลายพันต้น ทั้งที่เพิ่งปลูกใหม่และที่ปลูกไว้นานแล้ว อย่างเช่น ต้นกล้วย และ ต้นมะม่วง หน้าวิหารสมเด็จองค์ปฐม เป็นต้น

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ด้วยกำลังใจที่มีความเคารพนับถือ และศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อของลูกหลานและคณะศิษย์ทั้งหลาย ต่างก็มุ่งมั่นที่จะมาร่วมงานพิธีอันสำคัญในครั้งนี้ให้ได้ เพราะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ร่วมกันจัดขบวนอัญเชิญ ฐานแก้ว และ ผ้าห่มทองคำ ซึ่งเริ่มสร้างมาตั้งแต่หลวงพ่อมรณภาพ นับเป็นเวลา ๓ ปี จึงจะแล้วเสร็จ จึงต้องจัดงานในปีนี้เป็นกรณีพิเศษ

ครั้นถึงวันเสาร์ที่ ๒๘ ต.ค. ๒๕๓๘ เวลา ๑๖.๐๐ น. ทุกคนต่างก็มีนัดกันไว้ว่า จะต้องมาร่วมขบวนอัญเชิญ ฐานแก้ว และ ผ้าห่มทองคำ มาเพื่อประดิษฐานเป็นที่รองรับสรีระศพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แม้จะต้องลุยน้ำเข้ามาทางหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตรก็ตาม พวกเราต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกันอัญเชิญมาได้ เป็นผลสำเร็จเรียบร้อยทุกประการ

ในระหว่างนั้น ก็ได้เกิดปรากฏการณ์พิเศษ คือมีผู้ที่เห็นเหตุการณ์ได้เล่าให้ฟัง บางคนก็บันทึกภาพวีดีโอไว้ได้ทัน เมื่อนำมาเปิดให้ดูปรากฏเห็นเป็นลำแสงสีรุ้งหลายหลากสีพาดโค้งบนท้องฟ้าเหนือ มณฑปหลวงปู่ปาน ด้านทิศตะวันตกของวิหาร ๑๐๐ เมตร มีลักษณะเป็นแสงสีสวยสดงดงามมาก จึงเป็นที่น่าแปลกใจ ว่าทำไมถึงเกิดขึ้นระหว่างที่อัญเชิญ “ฐานแก้ว” เข้าไปในวิหาร ๑๐๐ เมตรพอดี

เรื่องนี้คงไม่เป็นที่สงสัยสำหรับคนที่เข้าใจ เพราะหลายท่านคงจะจำได้ คราวงานพิธีถวายพระราชทานเพลิงศพ พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดสามพระยา ในขณะที่จะทำพิธีที่ วัดเทพศิรินทร์ อยู่นั้น มีหลายคนที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นแสงหลายหลากสีปรากฏขึ้นสวยงามมาก คล้ายกับปรากฏการณ์ที่วัดพระพุทธบาทสระบุรี และทั้งที่เวลานั้นมิใช่เป็นเวลาฝนตก เพราะอากาศยังแจ่มใสเป็นปกติ แสงสายรุ้งนี้ขึ้นอยู่สักครู่หนึ่ง ก็หายลับไปกับตา

คราวนี้กลับมาว่าต่อถึงเรื่องงานครบรอบ ๓ ปีที่วัดท่าซุง หลังจากอัญเชิญ “ฐานแก้ว” เข้าไปแล้ว พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เย็น เมื่อเจ้าภาพถวายไทยทานแล้ว จึงเป็นพิธีถวายเครื่องสักการะแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ อันมีตัวแทนฝ่ายคณะสงฆ์และตัวแทนฝ่ายฆราวาส ต่อไปก็จะเป็นกล่าวถึงประวัติของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ จึงขอให้ติดตามกันในตอนต่อไป..สวัสดี

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


[ ตอนที่ 4 ]

(Update 26 สิงหาคม 2560)

ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


...พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ (ท่านเคยบอกเป็นนัยๆ ว่าแจ้งเกิดช้า) เดิมชื่อ สังเวียน เป็นบุตรคนที่ ๓ ของ นายควง และ นางสมบุญ สังข์สุวรรณ เกิดที่ตำบลสาลี อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี เมื่ออายุ ๖ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียน ประชาบาล วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ ๔

เมื่ออายุ ๑๕ ปี จึงเข้ามาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้า วัดเรไร อ.ตลิ่งชัน จ.ธนบุรี ในสมัยนั้น และได้ศึกษาวิชาการแพทย์แผนโบราณ ครั้นถึงอายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ พออายุครบบวชอุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดบางนมโค โดยมี พระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อปาน และ หลวงพ่อเล็ก เป็นพระคู่สวด

คำสั่งพระอุปัชฌาย์


ในตอนนี้ อยากจะขอแทรกเรื่องนี้ไว้สักนิดว่า ท่านที่อ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน แล้วคงจะจำได้ที่หลวงพ่อท่านได้เล่าถึงตอนที่อุปสมบทแล้ว พระอุปัชฌาย์ท่านพูดว่า

“สามองค์นี้ไม่สึก สององค์นี้.. (หลวงพ่อลิงเล็ก และ หลวงพ่อลิงขาว) พอครบ ๑๐ พรรษาต้องเข้าป่า เมื่อเข้าป่าแล้วห้ามออกมา ยุ่งกับชาวบ้านจนกว่าจะตาย เพราะจะพาพระ และชาวบ้านที่อวดรู้ตกนรก จงไปตามทางของเธอ

ท่านปานช่วยสอนวิชาเข้าป่าให้หนักหน่อย ส่วนท่านองค์นี้.. (หมายถึงฉัน) จงเข้าป่าไปกับเขา แต่ห้ามอยู่ในป่าเป็นวัตร เพราะเธอมีบริวารมาก ต้องอยู่สอนบริวารจนตาย พอครบ ๒๐ พรรษา จงออกจากสำนักเดิม..เจ้าจะได้ดี.. จงไปตามทางของเธอ...”

การที่นำคำของท่านมาย้ำเตือนใจกันอีกครั้ง ก็เผื่อลูกศิษย์ของหลวงพ่อบางคน อาจจะลืมไปว่า คำสั่งของครูบาอาจารย์นั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ไม่มีใครเขากล้าขัดคำสั่งครูบาอาจารย์กัน หลวงพ่อและเพื่อนของท่านทั้งหมด ก็ปฏิบัติไปตามคำบัญชานั้นทุกประการคือ...

ต่อมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ต้องมารอลูกหลานอยู่ที่วัดท่าซุง ส่วนเพื่อนของท่านอีก ๒ องค์ หลวงพ่อก็ไม่เคยบอกว่าออกมาอยู่ในบ้านในเมืองหรือในที่ชุมนุมชน นอกจากจะมาโปรดคนที่เนื่องถึงกันในอดีตบ้างเป็นบางครั้ง

ส่วนใหญ่หลวงพ่อจะบอกว่าท่านอยู่ในป่า เพราะพระอภิญญาท่านจะไปที่ไหนก็ได้ เนื่องจากท่านมีหน้าที่ช่วยสอนพระที่ธุดงค์อยู่ในป่า ก็อาจจะพบท่านได้ในบางครั้ง

ต่อไปตามประวัติได้เล่าว่า หลังจากที่หลวงพ่ออยู่กับ หลวงปู่ปาน จนท่านมรณภาพแล้วปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ก็เข้ามาจำพรรษาที่ วัดช่างเหล็ก เพื่อเรียนบาลี ต่อมาได้ย้ายไปอยู่ วัดอนงคาราม และ วัดประยุรวงศาวาส ตามลำดับ

ในตอนนี้ ท่านได้เคยเล่าให้ฟังว่า ในสมัยที่ท่านอยู่กับหลวงปู่ปาน ท่านฝึกพระกรรมฐานจนได้ถึงสมาบัติ ๘ เรียกว่าออกมาจากวัดบางนมโค ท่านได้เสาไว้ ๘ ต้น

ครั้นเมื่อออกจากวัดนี้แล้ว ใคร่ที่จะแสวงหาความรู้เพิ่มเติม จึงได้ออกไปพบผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน ดังที่เล่าไว้ใน หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคาราม และ หลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นต้น

แต่ก่อนที่หลวงพ่อจะได้พบครูบาอาจารย์ที่รู้จริงนั้น ก็ต้องพบของปลอมบ้างเป็นธรรมดา เพราะบางท่านก็สอนนิพพานสูญ บางท่านก็สอนจนความดีที่มีอยู่เสื่อมสูญไปเลย

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้ยินมาเอง ท่านบอกว่าเพราะการพบอาจารย์ที่ไม่ได้จริง จึงสอนให้เราผิดทาง จากที่เคยอยู่กับหลวงพ่อปาน เราได้ถึงสมาบัติ ๘ คือเสา ๘ ต้น ท่านบอกว่า เขาสอนให้เราจนเหลือแค่เสาต้นเดียว คือเหลือแค่ ปฐมฌาน เท่านั้น หลวงพ่อท่านย้ำอีกนะ ว่าเป็น “ปฐมฌานอย่างหยาบ” อีกด้วยนะ

เรื่องนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ นับว่าเป็นอุทาหรณ์สอนใจสำหรับพวกเราที่เป็นศิษย์ภายหลัง คือหลังจากครูบาอาจารย์สิ้นไปแล้ว เราก็อยากจะหาผู้ที่จะสอนเราเช่นนี้อีก ดังที่หลวงพ่อเคยมีประสบการณ์มาแล้ว

ท่านจึงได้นำมาเล่าไว้เป็นตัวอย่าง และมิใช่เป็นเรื่องเสียหาย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเองเช่นนั้น จึงได้นำมาเล่าเพื่อเป็นการตักเตือน ลูกศิษย์ไว้ด้วยความหวังดี มิใช่ถือเป็นการหวงลูกศิษย์แต่อย่างใด

ฉะนั้น เพราะเป็นผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วด้วยดี จึงทำให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่ดีที่แท้จริง เมื่อหลวงพ่อเป็นนักเทศน์และได้เป็นเปรียญธรรม ๔ ประโยคแล้ว เห็นว่ามีความรู้เรื่องนี้พอสมควรแล้ว จึงต้องกลับมาเป็นเจ้าอาวาสที่ วัดบางนมโค โดยการอาราธนาของผู้ที่เกี่ยวข้องกับวัด

ครั้นครบ ๒๐ พรรษา ตามคำบัญชาของพระอุปัชฌาย์ว่า ออกไปอยู่ที่อื่นแล้วจึงจะได้ดี ท่านก็มีอันจะต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นอีก หลายวัดที่จังหวัดชัยนาทแล้วก็ได้ดี..คือ “การเข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์” จริงตามคำพยากรณ์ของพระอุปัชฌายะทุกประการ เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๐๖ อันเป็นวันจบกิจในพระพุทธศาสนาของท่าน

จนกระทั่งถึง พ.ศ.๒๕๑๑ เจ้าอาวาสองค์เก่าได้นิมนต์มาบูรณะวัดท่าซุง อีกทั้งท่านก็ได้ทราบว่า ในอดีตวัดนี้ได้เคยบูรณะมาถึง ๓ วาระแล้ว ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายในการเกิด ทั้งที่รู้ว่าจะมีอุปสรรคก็จำเป็นต้องตัดสินใจมา

ท่านจึงได้เริ่มทำการปฏิสังขรณ์ฝั่งโบสถ์เก่า โดยเริ่มงานเมื่อ วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๑๑ และสร้างขยายพื้นที่ใหม่ฝั่งตรงข้าม จนกระทั่งมีความเจริญสวยสดงดงามดังที่เห็นในปัจจุบันนี้

ครั้นเมื่อถึงปี พ.ศ.๒๕๒๗ ท่านจึงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ “พระสุธรรมยานเถระ”

ต่อมา พ.ศ.๒๕๓๒ ท่านก็ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราชที่“พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี”

เมื่อถึงปี ๒๕๓๕ หลังจากวันรับกฐิน เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคมแล้วท่านก็ป่วยมาตลอด จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๘ จึงได้นำท่านส่งโรงพยาบาลศิริราช แล้วท่านก็ได้มรณภาพไปในที่สุด เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.

จากเรื่องข่าวการมรณภาพนี้ เป็นเวลาเดียวกับที่มีข่าวจากผลการประชุมของ มหาเถรสมาคมว่าจะมีการขอพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาชั้นเทพ ซึ่งจะมีพระราชทินนามว่า “พระเทพพรหมยาน”

แต่ก็ต้องมายับยั้ง เนื่องจากการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ในขณะที่ท่านมีอายุ ๗๖ ปี มีพรรษาได้ ๕๕ พรรษา เป็นพระอรหันต์มาได้เกือบ ๓๐ ปี รวมเวลาที่ท่านมาสงเคราะห์ลูกหลานและพุทธบริษัททั้งหลายอยู่ ณ ที่นี้ เป็นเวลานานถึง ๒๔ ปี

ฉะนั้น จึงนับเป็นบุญวาสนาของพวกเราทุกคน และที่ได้มาภายหลังก็ตาม สมกับถ้อยคำที่ท่านเคยพูดไว้ในประวัติหลวงพ่อปานว่า

“....ผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีมาดีแล้ว ย่อมได้พบกับครูบาอาจารย์ที่ดีด้วยเช่นกัน...”


[ ตอนที่ 5 ]

(Update 2 กันยายน 2560)

.....เป็นอันว่า งานครบรอบ ๓ ปีนี้จึงมี งานพิธีเป็นกรณีพิเศษ ทั้งเป็นการจัดงานเพื่อสมโภช “ฐานแก้ว” ที่วางอยู่บนบุษบก อันเป็นที่ประดิษฐานร่างกายของท่านที่เป็นอมตะ คือยังไม่ตาย ด้วยการที่ท่านอธิษฐานทิ้งร่างไว้ไม่ให้เน่าเปื่อย โดยที่มิได้ฉีดยา “ฟอร์มาลีน” เข้าไปแต่อย่างใด

เพราะฉะนั้น คำที่ท่านเล่าไว้ในตอนใกล้จะมรณภาพว่า ท่านขอพรแด่องค์สมเด็จพระ ผู้มีพระภาคเจ้าไว้ว่า เมื่อตายแล้ว ๗ วัน ขอให้เป็นอย่างนั้น ๑๕ วันให้เป็นอย่างนี้ แต่ท่านก็มิได้บอกรายละเอียดว่าท่านขอไว้อย่างไร

ครั้นถึงกาลมรณภาพของท่าน จึงได้จัดงานบำเพ็ญกุศล ณ ศาลา ๑๒ ไร่ วันเวลาได้ผ่านพ้นไปจนครบ ๗ วัน พวกเราทุกคน เห็นสภาพศพของท่านแล้ว เหมือนกับคนนอนหลับ ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะเน่าเปื่อย จนข่าวนี้ถึงกับเล่าลือไปในจังหวัดอุทัยธานีว่าหลวงพ่อฟื้นแล้ว ต่างก็พากันมาที่วัดนับร้อยคน

หากเป็นเพราะว่า หลวงพ่อเคยตายแล้วฟื้นมาหลายครั้งแล้ว พวกเราจึงมีความหวังว่า ครั้งนี้หลวงพ่ออาจจะฟื้นคืนกลับมาเล่าให้ฟังกันอีก มีบางคนถึงกับย้ายมานอนที่ศาลา ๑๒ ไร่กันเลย รอเวลาผ่านไปจนถึง ๑๕ วัน ร่างของหลวงพ่อยังคงนอนสงบเงียบอยู่ในหีบศพ ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาอีก

ความหวังของทุกคนเริ่มเลือนลาง แล้วร่างของท่านก็เริ่มแห้งลง จีวรที่ห่อหุ้มชุ่มไปด้วยน้ำที่มีกลิ่นคล้ายเหงื่อเท่านั้น ไม่มีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลออกมาจากทวารทั้งหลาย อันมีตา หู จมูก ปาก เป็นต้น

เวลาผ่านไปเป็นเดือนจนถึงกำหนดทำบุญครบ ๑๐๐ วัน จึงทำให้นึกถึงคำของท่าน ที่ได้เล่าไว้ก่อนตายว่าได้ขอพรแด่องค์สมเด็จฯ ไว้ ครั้นท่านสิ้นไปแล้วจึงได้คำตอบว่า ท่านคงขอพรไว้ให้ร่างคงสภาพเดิมไม่เน่าเปื่อยไปจนครบ ๗ วัน ถึง ๑๕ วัน ให้เหมือนกับคนนอนหลับไป นับเป็นที่อัศจรรย์ใจจริงๆ

เพราะฉะนั้น งานนี้จึงได้มีพิธีกล่าวคำสดุดีเทิดพระคุณของท่าน โดย ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย ได้กล่าวนำเป็นบทกลอน โดยมีผู้ร้องตามก้องพระวิหาร เสียงร้องพ้องกับเสียงสะอื้นตื้นอุรา เหมือนนกกาที่ขาดพ่อแม่เหลียวแลดูบทประพันธ์ที่ประทับใจในครั้งนั้นมีว่าดังนี้

ราชพรหมยานบูชา


พระเอยพระพ่อเจ้า จอมใจ ลูกเอย
พระจากเหล่าลูกไป ก่อนแล้ว
ลูกเหลือหักอาลัย สลัดโศก
ระลึกพระคุณพ่อแก้ว จากแล้วสามปี

มีธูปบุปผมาศพร้อม เทียนถวาย
ประณตหัตถ์ระยอบกาย กราบไหว้
วจีมุ่งมโนหมาย บูชิต พระพ่อ
พระราชพรหมยานไท้ ท่านผู้เพ็ญบุญ

ผองคุณพระท่วมท้น ดวงใจ
ลูกตระหนักพระคุณใน พ่อแก้ว
จักเอื้อนเอ่ยคำไข มิจบ
นับพระคุณฤาแล้ว ยิ่งพ้นประมาณ

ประสานกรจรดเกล้า อัญชลี
ด้วยมนัสกตเวที เปี่ยมร้อย
ลูกถวายสัตย์วจี สนองบาท พ่อนา
จักประพฤติตามถ้อย ที่ให้สัญญา

จะรักษาคำสอนบวรสวัสดิ์
จะปฏิบัติกายใจให้ผ่องศรี
จะเทิดทูนคุณงามและความดี
จะเพิ่มพูนสามัคคีมีเมตตา
จะทรงอภิญญาจารวัตร
จะปกป้องสมบัติพระศาสนา
จะสืบทอดสาธารณะปฏิปทา
จะยังประโยชน์ปวงประชาสืบไป

ขอพระไตรรัตน์ผู้ เพ็ญคุณ
ขอพระโปรดการุณย์ แก่ข้า
ขอพระประทานพรหนุน สำเร็จ ประสงค์นา
ขอพระเพิ่มพละห้า แก่ข้าโดยธรรม์

สัญญาวาระนี้ ถวายสนอง พระคุณเอย
ลูกจักทำตามลอง แบบถ้วน
ขอพ่อจุ่งคุ้มครอง กายจิต ลูกนา
ให้อยู่ในดีล้วน ตราบเข้านิพพาน ฯ


ครั้นสิ้นเสียงร้องพรรณนาเทิดพระคุณความดีของท่านแล้ว ทุกคนก็กราบพร้อมกัน ๓ ครั้ง พร้อมกับได้นำเอาเครื่องบูชาของตนที่ถือไว้ในมือ ลุกเดินออกมาข้างหน้าบุษบก แล้ววางไว้บนโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ จิตใจต่างก็มีความอาลัยรักและคิดถึงท่านอย่างมิรู้ลืม แล้วกลับมานั่งฟัง “ผู้เขียน” กล่าวคำสดุดีต่อไปอีก แต่คงต้องรอตอนต่อไปนะ..สวัสดี

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน

[ ตอนที่ 6 ]

(Update 9 กันยายน 2560)



คำสดุดีเทิดพระคุณ


“...ตามที่ได้ทราบกันแล้วว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน นับตั้งแต่สมัย สมเด็จองค์ปฐมฯเป็นต้นมา เมื่อเห็นว่าองค์สมเด็จพระพุทธบิดาเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงเป็นอัจฉริยมนุษย์ที่เลิศประเสริฐกว่าใครในโลก ทรงมีพระรูปพระโฉมงดงามสมพระพุทธลักษณะมหาบุรุษ พระพุทธองค์ทรงประดับประดาด้วยฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ พวยพุ่งออกมาจากพระวรกาย เมื่อเสด็จไปที่ใดจะมีเหล่าพระสาวกทั้งหลายแวดล้อมเป็นบริวาร

ด้วยเหตุนี้เอง หลวงพ่อจึงได้บำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ประเภทวิริยาธิกะ ต้องใช้ความเพียรตลอด ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นับชาติไม่ถ้วน ซึ่งกำลังจะเต็มครบถ้วนในชาตินี้

แต่ด้วยน้ำใจอันเสียสละของท่าน จึงได้อธิษฐานลงมาเพื่อขอลาจากพุทธภูมิ หวังที่จะช่วยสืบสานต่ออายุพระพุทธศาสนา ในระยะเวลากึ่งพุทธกาล ณ บัดนี้ พระพุทธศาสนาได้รุ่งเรืองอีกวาระหนึ่ง ท่านได้ทำให้ชาวพุทธทั้ง หลายได้รู้จักคำว่า “พระสุปฏิปันโน” “การถวายสังฆทาน”และ “ชำระหนี้สงฆ์” เป็นต้น

ทั้งได้ยืนยันด้วยตัวของท่านเองว่า “นรกสวรรค์ มีจริง นิพพานไม่สูญ” ดังที่เขาสอนกัน พร้อมกับวางหลักสูตรไว้เพื่อปฏิบัติ ซึ่งจะสามารถพิสูจน์จากวิชา “มโนมยิทธิ” นี้ได้

นอกจากจะสงเคราะห์พระภิกษุสามเณรและญาติโยมพุทธบริษัทในด้านธรรมะ ทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้ว ในทางโลกท่าน ก็ได้สร้างสาธารณประโยชน์นานัปการ เช่น สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน ขุดบ่อน้ำ ตั้งธนาคารข้าว สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร และเยี่ยมเยียนทหารตำรวจชายแดน

ท่านได้ปฏิบัติศาสนกิจอันเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมานานนับสิบปี จนถึงวาระสุดท้ายของสังขาร ท่านก็ได้จากลูกหลานอันเป็นที่รักยิ่งทั้งหลาย ไปสู่ดินแดนที่เป็นเอกันตบรมสุข

เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตของท่าน ทั้งในชาติปัจจุบันนี้ หรือที่จะย้อนกลับไปถึงในอดีตชาติ ท่านก็ได้สร้างชาติสร้างแผ่นดิน หวังให้ชาวไทยที่เป็นลูกหลานทั้งหลายได้อยู่อย่างสงบสุข ไม่เป็นข้าทาสของชาติใด ได้สละเลือด เนื้อและชีวิตเพื่ออุทิศให้ นับตั้งแต่สมัยโยนกบุรีศรีเชียงแสนมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์นี้

ครั้นมาถึงชาติปัจจุบัน อันเป็นชาติสุดท้ายนี้ พระพรหมโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง ผู้ประทับนั่งอยู่เหนือบัลลังก์ในวิมานแก้ว อันสถิตแล้วอยู่ในพรหมโลก เมื่อเห็นว่าพระพุทธศาสนาในระยะนี้ จำต้องมีพระโพธิสัตว์ลงมา ช่วยกอบกู้สถานการณ์

พระองค์จึงได้รับอาสา พร้อมทั้งกับได้รับการอาราธนาจาก ท้าวผกาพรหมจุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์อีก เพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา และหวังที่จะลาพระโพธิญาณ ปรารถนาช่วยนำบรรดาลูกหลานทั้งหลายในอดีต ที่ได้เคยร่วมทัพจับศึกและบำเพ็ญบารมีติดตามกัน มานานนับ ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัป ให้ได้ พบหนทางอันเป็นแดนอมตมหานฤพาน

พระพรหมโพธิสัตว์พระองค์นี้ เป็นผู้ ที่ได้สร้างสมอบรมบารมีมาดีแล้ว จนกระทั่งจวนจะเต็มครบถ้วนทั้ง ๓๐ ทัศ จัดอยู่ในระดับปรมัตถบารมี หวังที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ในอนาคตกาลพระองค์หนึ่ง จนได้รับพระพุทธพยากรณ์ในสำนักพระพุทธเจ้ามาแล้ว หลายพระองค์ อันปรากฏอยู่ในบันทึกพิเศษของท่านตอนหนึ่งว่า

“ถ้าเธอยังไม่ละพุทธภูมิ จะได้เป็นพระพุทธเจ้า มีนามว่า “พระพุทธอริยมุนี” ต่อจากพระศรีอาริย์ไปเป็นองค์ที่ ๒๐ แต่สงสัย ว่าจะคลายตัวเสียตั้งแต่พระสมณโคดม

ถ้าคลายตัวตอนนั้น ก็จะเป็นกำลังใหญ่ของลูกหลาน ให้เข้าถึงธรรมได้อย่างแน่นแฟ้น คือ “พระโสดาบัน” เป็นต้น ทั่วกันทุกคน เพราะผลที่ตนบรรลุ...”

ผลสุดท้ายการลาพุทธภูมิก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้วท่านก็เร่งรัดปฏิบัติตน จนสามารถจบกิจในพุทธศาสนา ตามที่ท่านบันทึกไว้เมื่อ วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๐๖ ว่าองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาแจ้งว่า

“...เจ้าเจริญธรรมให้แจ้ง ถึงไม่รัก..ในฐานะที่ควรรัก ไม่เกลียด..ไม่โกรธ..ในฐานะที่ควรโกรธ ไม่ขัดเคือง.... ในฐานะที่ขัดเคือง อย่างนี้ชื่อว่า.. ได้อริยผลบริบูรณ์แล้ว เจ้าเป็น “พระขีนาสพ” ตั้งแต่เวลา ๔ นาฬิกา..วันนี้ ซึ่งตรงกับกลางเดือน ๙ พอดี...”

ท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะในที่สุด สมความปรารถนาที่ได้อธิษฐานลงมา การออกบวชของท่านในชาตินี้ จึงถือว่าได้เลือกทางเดินเป็นพระอริยสาวกอย่างแน่นอน ด้วยการกำจัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน


[ ตอนที่ 7 ]

(Update 16 กันยายน 2560)

.....แต่ถึงจะหมดภาระสำหรับตนเองแล้ว ท่านก็ยังต้องมีภารกิจสำหรับลูกหลานที่ติดตามกันมา ที่เรียกว่า “เป็นผู้ที่เคยช่วยสนับสนุนพระโพธิญาณกันมาในกาลก่อน” จึงมีข้อแม้ว่าจะต้องอยู่เพื่อทำกิจของพระโพธิญาณต่อไปอีก ๑๒ ปี ครั้นถึงปี พ.ศ.๒๕๑๕ หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ก็ปรากฏออกมาพร้อมกับอาการป่วยหนักของท่าน เมื่อจะขอลาเข้าสู่แดนพระนิพพาน ท่านปู่พระอินทร์ ก็มายับยั้งว่า

“ก่อนลงมาเกิด คุณตั้งใจจะมาช่วย บรรดาลูกหลาน อย่างน้อยก็ไปสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ เวลานี้คนของคุณก็ยังมาไม่หมด คนของโยมก็ยังไม่ครบ แล้วยังมีคนของสมเด็จองค์ปัจจุบัน และของหลวงพ่อปานอีก...”

หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ก็รอมาตั้งนานแล้ว ทำไมถึงยังไม่มาอีกล่ะ นับตั้งแต่นั้นมา การหลั่งไหลมาตาม “ใบสั่ง” ก็เกิดขึ้นอย่างมากมายดังที่เห็นในปัจจุบันนี้ (แต่ก่อนมรณภาพ พระศรีอาริย์มาแถมฝากไว้อีกไม่มาก ประมาณ ๓ แสนคน เวลานี้มีคนมาเล่าให้ฟังหลายรายว่า หลวงพ่อไปเข้าฝันให้มาวัด ทั้งที่ไม่เคยรู้จักวัด และไม่รู้จักหลวงพ่อมาก่อน)

ครั้งนั้นจึงมีการต่อสัญญาอีก ๑๐ ปี เพื่อใช้หนี้ลูกหลานที่ติดตามกันมา จนถึงเวลา ครบ ๑๐ ปีตามสัญญา ท่านก็ต้องมาตายชั่วคราวในปี พ.ศ.๒๕๒๓ เพื่อตัดตอนก่อนที่จะครบในปี พ.ศ.๒๕๒๕ ซึ่งมีการยืดเวลาไปอีก ๑๐ ปี ถึงปี พ.ศ.๒๕๓๕ ท่านก็ได้ทำกิจพระศาสนาครบถ้วนตามมโนปณิธาน จนถึงวาระสุดท้ายของสังขาร

เป็นอันว่า หน่อเนื้อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์พระองค์นี้ ที่ได้จุติลงมาเพื่อปฏิบัติภารกิจพระศาสนา หวังที่จะได้สนองคุณองค์สมเด็จ พระบรมศาสดา ท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกตัญญูเป็นเลิศ ในระหว่างที่ทรงชีวิตอยู่ ท่านก็มีความเคารพต่อบิดามารดา ดังที่ท่านเล่าไว้ในเทปชุดสุดท้ายเรื่อง “โปรดโยมบนสวรรค์” เป็นต้น

ส่วนครูบาอาจารย์นั้น หลวงพ่อท่านมความเคารพหลวงปู่ปานเป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นป้ายที่ซุ้มประตูทางเข้าพระอุโบสถ ซึ่งเป็นการสร้างวัดครั้งแรก ท่านก็ยังตั้งชื่อไว้ว่า “ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค”

เพราะการสร้างคุณประโยชน์ต่อชาวโลกเป็นอันมาก ท่านจึงเป็นที่รักและเคารพของ เหล่ามนุษย์และเทวา โดยเฉพาะเหล่าเทพเจ้า ทั้งหลายต่างขนานนามท่านว่า“พ่อปู่” ทั้งองค์สมเด็จพระบรมครูทรงตรัสเรียกหน่อเนื้อพุท ธางกูรพระองค์นี้ ตามที่พวกเราได้ทราบกันดี แล้วว่า “ท่านสัมพเกษีพรหม”นั่นเอง...”

ครั้นจบการกล่าวคำ“สดุดีเทิดพระคุณหลวงพ่อ”ดังนี้แล้ว ชุดฟ้อนรำ“สัมพเกษีพรหม”ก็ได้ร่ายรำออกมาในชุดสวยงาม ฟ้อนรำไปตามเสียงเพลง “สัมพเกษีจุติกาล”จึงทำให้ผู้ชมบางท่าน ถึงกับน้ำตาไหลลงมาอาบ แก้ม เพราะมีผู้แต่งกายสมมุติเป็น “สัมพเกษีพรหม”ร่ายรำออกมานั่งอยู่ตรงบัลลังก์ ซึ่งได้ จัดเตรียมไว้หน้าบุษบกของหลวงพ่อ

ผู้ร้องได้ขับร้องไปตามทำนองเพลงไทยเดิม ได้เอื้อนเอ่ยบรรยายความไปตามประวัติ ผสมผสานกับการบรรเลงของปี่พาทย์ สร้างความประทัใจไปกับการฟ้อนรำ จบแล้วจึง เป็นการฟ้อนรำชุดที่หลวงพ่อเคยโปรดปรานมากที่สุด นั่นก็คือชุด“พุทธานุภาพ”ทั้งหมด เป็นการแสดงของคณะ “นกยูง”จากหาดใหญ่ ซึ่งเคยเป็นศิษย์เก่า ร.ร.พระสุธรรมยานฯ

หลังจากการฟ้อนรำจบลงแล้ว ท่านพระครูปลัดอนันต์ จึงได้กล่าวอนุโมทนากถาแด่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ที่ได้อุตส่าห์ร่วมแรงร่วมใจกันสมทบทุนสร้าง “ฐานแก้ว” และ “ผ้าห่มทองคำ”เพื่อเป็นที่ประดิษฐานรองรับสรีระศพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ ๑๑ ล้านบาท ทั้งนี้ ด้วยความสามัคคีและความกตัญญูที่มีต่อท่านการจัดสร้างและการจัดงานครบรอบ ๓ ปี ในครั้งนี้ จึงสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

อนึ่ง การอัญเชิญมานั้น ก็ได้จัดขบวนแห่อย่างสมเกียรติยศ ถึงแม้จะยากลำบากเพียงใด จากกระแสน้ำที่ยังท่วมท้นอยู่ พวกเราก็สามารถอัญเชิญมาสู่พระวิหารแก้วได้เป็นผลสำเร็จ นับว่าลูกศิษย์หลวงพ่อทุกคน ต่างมีความรักและเคารพท่านอย่างจริงใจ แม้ท่านจะจากไปแล้ว พวกเราก็ยังมาร่วมแรงร่วมใจกันด้วยความมีน้ำใจที่ดีต่อกัน

ท่านก็ได้กล่าวเนื้อความอีกหลายประการ นับเป็นที่ปลาบปลื้มปีติยินดีแก่ผู้รับฟัง ในวันนั้นอย่างมากมาย จึงเป็นการสร้างขวัญสร้างกำลังใจให้ตั้งมั่นอยู่ในความดีตลอดไป เพราะท่านมีภาระหน้าที่แทนหลวงพ่อต่อไป เพื่อรักษาสมบัติของพระศาสนาที่หลวงพ่อสร้างไว้ โดยมีพวกเราเหล่าพุทธบริษัท ต่างก็ได้ช่วยกันบริจาคทรัพย์ตามกำลังศรัทธา ร่วมกันบูรณะปฏิสังขรณ์ให้วัดมีสภาพสวยสดงดงามต่อไป

ต่อมาเวลา ๒๑.๐๐ น. พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม เมื่อเจ้าภาพถวายผ้าบังสุกุลแล้ว จึงถวายไทยทาน เสร็จแล้วถวายพระกุศลแด่หลวงพ่อฯ พระสงฆ์ให้พร เป็นเสร็จพิธี

(โปรดติดตามตอนจบ)


◄ll กลับสู่ด้านบน

[ ตอนที่ 8 ]

(Update 23 กันยายน 2560)


คำสดุดีเทิดพระคุณ (ตอนจบ)

.....ก่อนที่จะจบเรื่องของท่าน ผู้เขียนขอนำคำบันทึกส่วนองค์ของท่านมาไว้เป็นอนุสรณ์ในตอนสุดท้าย เหมาะสำหรับท่านที่มีความประสงค์จะทรงอารมณ์สูงสุด ท่านได้บันทึกไว้ว่า

“....สมเด็จพระพุทธกัสสปทรงสอนพระกรรมฐาน และให้องค์ภาวนาว่า “สิตะมหา นิพพานัง” ว่ารวมญาณเห็นแจ่มแจ้งหมดทุกญาณ เป็นบทภาวนาสุดท้าย

ก่อนภาวนา ให้เจริญวิปัสสนาของสมเด็จพระสมณโคดมก่อน “โลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยง” เมื่อแจ่มใสแล้วให้ภาวนา “สิตมหานิพพานัง” จะแจ่มแจ้งทุกอย่าง

ถ้าประสงค์จะใช้ญาณให้ภาวนาเลย เราจะตายกับอรหัตมรรค เราจะตายอยู่กับความดี เราจะไม่ทำความชั่ว เราจะตายอยู่กับนิพพาน เราจะตายกับความดี เราจะตายไม่ทำความชั่ว

คำนี้สมเด็จประทาน เวลา ๒๐.๐๐ น. เศษ เมื่อเจริญวิปัสสนาร่วม “สิตมหานิพพานัง”(เราสำเร็จวันนี้) คืนนี้ได้จบกิจแล้ว ควรเจริญเพื่อความเป็นสุขต่อไป” (จากบันทึกพิเศษ หน้า ๓๗)

คำปรารภก่อนจัดงานที่วัดท่าซุง

.....ก่อนที่จะติดตามรอยพระพุทธบาทไปที่ วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรี ในปี ๒๕๓๙ ยังมีงานสำคัญอีกงานหนึ่งที่ยังมิได้เล่า..นั่นก็คือ งานครบรอบ ๓ ปี ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมรณภาพ ซึ่งทางวัดได้จัดงานตรงกับ วันที่ ๒๘ - ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๘ คือหลังจากจัดงานย้อนยุคที่จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๘ แล้วนั่นเอง

โดยก่อนที่จะเดินทางกลับจากวัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในวันนั้น ก็แจ้งให้ญาติโยมทั้งหลายทราบว่า งานต่อไปจะเป็นงานครบรอบ ๓ ปีที่วัดท่าซุง และวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๙ จะเป็นงานรวมภาคที่วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรี

หลังจากนั้นทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับ แต่ในขณะนั้นบางคณะยังยืนถ่ายรูปตรงบันไดนาคทางขึ้นพระมณฑปครอบรอยพระพุทธบาท ทุกคนหันหน้าไปทางทิศตะวันตก พอดีเป็นเวลาเย็นประมาณ ๑๗.๓๐ น. มองไม่เห็นพระอาทิตย์แล้ว เพราะเมฆฝนเริ่มตั้งเค้ามา

แต่ในขณะที่ยืนให้ช่างกล้องถ่ายภาพนั้น สายตาของทุกคนเหลือบขึ้นมองท้องฟ้าเห็นปรากฏการณ์พิเศษ คือมีแสงสว่างเป็นลำพุ่ง กระจายหลังก้อนเมฆก้อนหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนคนนอนหงายคล้ายมีหมอนหนุนอีกด้วย ดังที่นำรูปภาพมาเป็นตัวอย่างนี้

 

ภาพแสงรุ้งขึ้นหลังก้อนเมฆเป็นรูปสรีรศพองค์หลวงพ่อฯ หลังจากจัดงานที่วัดพระพุทธบาท สระบุรี เสร็จแล้ว

......ลักษณะของแสงสว่างที่พุ่งขึ้นมานี้ มองดูแล้วไม่ใช่แสงของพระอาทิตย์ เพราะขณะนั้นมองไม่เห็นพระอาทิตย์แล้ว แต่ท้องฟ้าก็ยังพอสว่าง ไม่มืดเสียทีเดียว แสงสว่างกระจายหลังก้อนเมฆสักครู่ ก็มีแสงเป็นสีหลายสีค่อยๆ เคลื่อนตามขึ้นมาช้าๆ หลังก้อนเมฆก้อนนั้นอีก สีที่เห็นเป็นเหมือนสีรุ้ง สวยสว่างงดงามตามาก

แต่ภาพที่ลงให้เห็นนี้เป็นสีขาวดำ ถ้ามองจากภาพสีจะเห็นแสงหลายหลากสีชัดเจนสีเหล่านี้จะเคลื่อนอย่างช้าๆ ตามลักษณะของก้อนเมฆ คือก้อนเมฆตรงศีรษะโค้งลงมาตามส่วนลำตัว แต่ที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งคือ ก้อนเมฆโค้งลักษณะไหน แสงสีรุ้งนี้ก็จะโค้งตามก้อนเมฆได้ ถ้าสังเกตตามภาพนี้แล้ว จะเห็นมีช่องว่างที่ลำตัวเป็นสีขาว นั่นคือแสงสีรุ้งดังกล่าวนั้น (ขณะที่ถ่ายภาพนี้ แสงยังขึ้นไม่เต็มที่ ต่อมาจะค่อยๆ ขึ้นให้เห็นชัดเจน)

ในขณะนั้น มีคณะรถบัสเห็นกันหลายคน ส่วนผู้ที่มากับรถตู้หรือรถส่วนตัว จะไม่ทันได้เห็น เพราะออกรถกันไปเสียก่อน ส่วนพวกที่มากับรถบัสยังต้องรอคนให้ครบ จึงจะออกรถได้ เลยทำให้ได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ คือแสงหกสีนี้ค่อยๆ เคลื่อนขึ้นเหนือก้อนเมฆ เปล่งแสงสวยสดงดงามมาก แล้วจึงเลือนหายไปในที่สุด รวมเวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง

แต่ที่น่าแปลกใจก็คือว่า ก้อนเมฆก้อนนี้ มีลักษณะเหมือนคนนอนหลับ หรือคนนอนตาย เพราะบังเอิญพวกเราต่างก็นัดกันไว้ว่า งานต่อไป จะต้องมา งานครบรอบ ๓ ปีที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมรณภาพ และในปีถัดไป พ.ศ.๒๕๓๙ จะต้องไปงานที่วัดพระแท่นดงรัง ซึ่งมีประวัติเกี่ยวพันกับการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า

สำหรับเรื่องราวเหล่านี้ จะเป็นปรากฏการณ์พิเศษอย่างไรก็ไม่ทราบได้ เพราะทุกคนที่พบเห็นเป็นพยานหลายร้อยคน ไม่เฉพาะคณะของพวกเราเท่านั้น ยังมีคนที่ขายของอยู่หน้าวัดพระพุทธบาท เช่นผู้หญิงที่ขายนกสำหรับปล่อย เป็นต้น

เมื่อได้เห็นเป็นเหมือนเช่นพวกเราแล้วก็ได้เล่าให้ฟังว่า ตนเองได้เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ แล้ว โดยเมื่อประมาณ ๓๐ กว่าปีก่อน ก็เคยมีเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นทางวัดกำลังจัดงานที่สำคัญเช่นกัน เธอผู้นั้นเล่าไปด้วยความปลื้มใจ

สำหรับพวกเราก็ประทับใจเหมือนกัน แต่ก็ต้องรีบกลับเพราะฝนเริ่มจะตกมาแล้ว จึงขอเล่าไว้เพียงแค่นี้ ยังมีผู้ที่เห็นอย่างอื่นอีกหลายลักษณะ จะไม่ขอนำมาเล่าในที่นี้ เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีคนเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจก็ถือว่านำมาเล่าเป็นเรื่องสนุกก็แล้วกัน..จึงขอจบเพียงเท่านี้..สวัสดี

******************************


◄ll กลับสู่สารบัญ


kitti - 5/8/17 at 10:32

ธรรมใดที่องค์หลวงพ่อได้เห็นและได้บรรลุแล้ว ขอให้ลูกให้เห็นธรรมโดยฉับพลันนั้นเถิด เจ้าข้า
สาธุ สาธุ สาธุ นิพพานัง ปรมัง สุขัง


minya - 6/8/17 at 10:28

"...เมื่อลูกใหญ่ วัยถึง ควรศึกษา
พ่อก็พา ธรรมะ มาฝากไว้
ต้องทรงขันธ์ อัดเสียง วิชชาไป
เพื่อหวังให้ รู้ทุกข์ พบสุขเอย.."

ด้วยความเมตตาธรรมอันหาประมาณมิได้

กราบนอบน้อมบูชา และ กราบนมัสการหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(วีระ ถาวโรมหาเถระ)

...ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง...

นายศิริศักดิ์ สงครามสุข และครอบครัว


minya - 11/8/17 at 19:43

"พ่อ" คำนี้ที่ยิ่งใหญ่
"พ่อ" คำนี้มีแต่ให้
"พ่อ" คำนี้ที่คอยห่วงใย
"พ่อ" คือกำลังใจที่ลูกหาได้ตลอดเวลา

รักพ่อของลูกสุดหัวใจค่ะ

"มากะลอง อร่อย"


kanokwan - 12/8/17 at 02:03

ถึงแม้ว่าร่างกายของหลวงพ่อจะไม่แข็งแรง หลวงพ่อยังเมตตา อดทน อัดเทปเสียงเพื่อลูกจะได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อเปรียบเสมือนกับพ่อที่เสียสละทุกอย่างทำทุกอย่างให้ลูกได้พ้นทุกข์ ใช้เวลาที่ควรจะต้องพักผ่อนมาอัดเสียงให้ลูกๆที่ไม่มีโอกาสที่จะเจอหลวงพ่อ ได้มีโอกาสฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า เขียนหนังสือมากมายเพื่อให้ลูกๆได้ศึกษาธรรมะแล้วนำไปปฎิบัติ สร้างวัด สร้างวัตถุมงคลให้ลูกได้มีกำลังใจ มีทุนเพื่อเป็นปัจจัยในการพ้นทุกข์

ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

กนกวรรณ กลิ่นเอี่ยม


ภาวกุล - 12/8/17 at 12:43

น้อมรำลึกนึกถึงพระคุณพ่อ
ร่วมถักทอร้อยรักภักดีถวาย
พ่อเหน็ดเหนื่อยมาแล้วทั้งใจกาย
หวังเพียงลูกหญิงชายได้พบธรรม

ธรรมใดใดที่พ่อได้รู้แจ้ง
พ่อแสดงให้รู้ผลกฎแห่งกรรม
สอนทุกอย่างที่รู้พร้อมชี้นำ
แสงสว่างทางธรรมนำจิตใจ

๒๕ ปีที่พ่อละสังขาร
สู่วิมานแดนนิพพานสว่างใส
แต่ใจพ่อยังรักและห่วงใย
หวังเพียงให้ลูกพ้นทุกข์สู่นิพพาน

ปฏิบัติตามคำที่พ่อสอน
ความผิดพลั้งครั้งก่อนอย่าไปสาน
ให้หยุดกรรมทำดีมิประมาณ
พบนิพพานชาตินี้ทุกท่านเทอญฯ

กราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ภาวกุล นพรัตน์


teepsa - 12/8/17 at 22:44

พ่อชี้ทางสว่างให้ลูกให้เห็นถึงธรรม
ลูกกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ
ธรรมใดที่หลวงพ่อปฏิบัติถึงแล้วลูกขอถึงธรรมนั้นด้วยเทิดขอรับ


krit2822 - 13/8/17 at 13:35

“ขอตามรอย” ความดี ที่ยิ่งใหญ่
“หลวงพ่อไป” สู่ดินแดน อันปราศขันธ์
“เข้าสู่ห้วง” ความสุข เป็นนิรันดร์
“แดนนิพพาน” รอรับอยู่ ทุกผู้คน

“ลูกขอกราบ” ในเมตตา ที่เปี่ยมล้น
“ลูกขอกราบ” ในพระธรรม ที่พ่อสอน
“ลูกขอกราบ” ด้วยใจภักดิ์ ไม่สั่นคลอน
“ลูกขอกราบ” ในอาทร ด้วยศรัทธา

ขอกราบท่านหลวงพ่อพระราชพรหมยานด้วยความเคารพอย่างสูงสุด

ลูกศิษย์ จ.ประจวบคีรีขันธ์


webmaster - 19/8/17 at 19:01

ลูกขอกราบนมัสการ กราบบูชาหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วัดท่าซุง) ผู้เป็นที่สุดบูชาของลูก

ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่กลับมาเกิดแล้ว ขอให้ได้ไปนิพพานชาตินี้ด้วยเถิด

ธรรมใดที่หลวงพ่อบรรลุแล้ว ขอให้ลูกได้บรรลุในชาตินี้ด้วยเถิด เจ้าค่ะ

ลูกรักหลวงพ่อ ลูกจะอดทน เพื่อรอเข้านิพพานในชาตินี้เจ้าค่ะ
ขอหลวงพ่อได้โปรดเมตตาคุ้มครองลูก อย่าให้อกุศลกรรมทั้งหลายตามมาริดรอนใจ กาย วาจา ลูกได้เลยเจ้าค่ะ ขอบารมีหลวงพ่อเป็นที่พึ่งตลอดไป

ลูกรุ่งนภา วงศ์หงษ์


minya - 26/8/17 at 09:25

ขอน้อมจิต ก้มกราบ แทบเท้าพ่อ
สำนึกต่อ พระคุณ คำสั่งสอน
คติธรรม บันทึกไว้ ทุกช่วงตอน
อึกคำสอน ของพ่อ หล่อชีวี
ยี่สิบสาม ปีแล้วหนา พ่อลาจาก
เหลืองเสียงฝาก จากพ่อ อันผ่องศรี
ทำทุกอย่าง เพื่อเจ้า ก้าวให้ดี
มุ่งไปที่ จุดเดียว คือนิพพาน

***ขอกราบพ่อ ด้วยความรักและเคารพเป็นที่สุด***

ทับทิม


ภาวกุล - 29/8/17 at 12:55

๒๕ ปีพระราชพรหมยาน
สู่วิมานแดนทิพย์แก้วผ่องใส
บนนิพพานไกลห่างพ้นผองภัย
สถิตย์ในดวงธรรมพระนิพพาน

ย้อนรำลึกคำสอนอันก่อนเก่า
เป็นสมบัติให้เราได้สืบสาน
ตามรอยพ่อเข้าสู่พระนิพพาน
พ้นวัฏสงสารสิ้นทุกข์ภัย
*กราบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน*
ภาวกุล นพรัตน์


ท่าจีน - 6/9/17 at 16:16

ยี่สิบห้าปีบรรจบครบรอบวันมรณภาพ หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
ร่างของพ่อยืนยันคำสอนสมศักดิ์ศรี สรีระพ่อนี้ใส่โลงแก้วให้โลกรู้ระบือนาม
พ่อไปแล้วอยู่เมืองแก้วเมืองนิพพาน ลูกขออภิวันท์น้อมบูชาคำสอนพ่อ
สังขารนี้แค่บ้านเช่าอย่าไหลหลง จะมั่นคงในคำพ่อสอนไว้ไม่สงสัย
ตามพ่อเข้าสู่นิพพานพ่อสอนไว้ ให้พ่อมั่นใจรอรับลูกแก้วนี้สู่แดนนิพพานเทอญ

กราบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
นางจุฑาทิพย์ สิมกิ่ง และครอบครัว


ท่าจีน - 12/9/17 at 14:42

ยี่สิบสี่ กันยายน มาบรรจบ พ่อข้ามภพ จบกิจเข้า วิมานแก้ว
พ่อไปแล้ว แดนนิพพาน อันเพริศแพร้ว วิมานแก้ว เก้าประการ งามวิจิตร
ลูกขอน้อม คำสอนพ่อ เข้าดวงจิต ขอตามติด พ่อไปยัง วิมานสวย
ขอพ่อนี้ โปรดปราณี รับลูกนี้ ไปอยู่ด้วย วิมานสวย แดนนิพพาน

กราบเท้าหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระด้วยเศียรเกล้า
นางจุฑาทิพย์ สิมกิ่ง และครอบครัว


RATT-12-RAI - 18/9/17 at 16:47

.
~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

*สิบประนมก้มเกศเศวตฉัตร
ตรีสวัสดิ์กราบองค์ดำรงศรี
ยี่สิบห้าครบวงค์ทรงบดี
อมรทวีวันทาพระฯ ณ นิพพาน

*สมเด็จทรงองค์ปฐมบรมพุทธ
เอกวิมุตติประทับกลางสว่างฐาน
ประทานพรไสวสรรพฉัพฯ วิมาน
รังสีสารแพรวระยับนับอนันต์

*บังเกิดสายประกายแสงเป็นแท่งหก
พระชนกแย้มพระโอษฐ์เรืองโรจน์ขวัญ
หทัยถ้วนล้วนปรีดาวิลาวัณย์
ทั่วสวรรค์แผ่นพรหมฟ้าสาธุการ

*จุดเทียนใสในดวงจิตลิขิตพร้อม
อธิษฐานสัจจะน้อมล้อมประสาน
จะรักษาวัดท่าซุงให้สืบนาน
บำรุงการณ์ศาสนาค่าแผ่นดิน

*แทนพระคุณด้วยลำนำของคำพ่อ
ชาติสุดท้ายลูกจักขอร่วมถวิล
แม้นอินทรีย์จะเหือดแห้งแห่งกายิน
ขอตามรอยพระบดินทร์ตราบสิ้นเทอญฯ
.
~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~*~

น้อมกราบแทบพระบาททุกๆ พระองค์
โดยมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นที่สุดพระเจ้าค่ะ

รัตน ณ นิพพาน
18 กันยายน 2560
.


webmaster - 23/9/17 at 05:34

....ทีมงานฯ ขออนุโมทนาทุกท่าน ที่ร่วมกันถวายบทกลอนแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ มีความไพเราะทุกท่านเลยครับ จึงขออนุญาตนำไปลงเฟซบุคด้วยนะครับ

https://www.facebook.com/tamroi.phrabuddhabat/photos_albums

ทีมงานฯ


kssljto - 24/10/17 at 12:03