คุณอ๋อยกับ "ลูกศิษย์บันทึก" โดย อัญเชิญ มณีจักร (ชาโดว์)
webmaster - 8/10/18 at 09:22

สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)

ตอนที่ ๑ คุณอ๋อยกับความเจ็บป่วย
ตอนที่ ๒ คุณอ๋อยกับความเจ็บป่วย (๒)
ตอนที่ ๓ คุณอ๋อยกับความเจ็บป่วย (๓ จบ)
ตอนที่ ๔ คุณอ๋อยกับ "ลูกศิษย์บันทึก" โดย คุณกานดา อมาตยกุล
ตอนที่ ๕ โดย คุณอัญชัน (ชอ) ศุทธรัตน์ (๑)
ตอนที่ ๖ โดย คุณอัญชัน (ชอ) ศุทธรัตน์ (๒)
ตอนที่ ๗ โดย คุณอัญชัน (ชอ) ศุทธรัตน์ (๓ จบ)
ตอนที่ ๘ คุณอ๋อยไปขุดสมบัติ (๑)
ตอนที่ ๙ คุณอ๋อยไปขุดสมบัติ (๒)
ตอนที่ ๑๐ คุณอ๋อยไปขุดสมบัติ (๓ จบ)

ตอนที่ ๑๑ คุณอ๋อยไปขุดสมบัติ (๔ จบ)
ตอนที่ ๑๒/๑ คุณอ๋อยกับ "ลูกศิษย์บันทึก" โดย อัญเชิญ มณีจักร
ตอนที่ ๑๒/๒ ที่มาฉายา "ฤาษีลิงดำ"
ตอนที่ ๑๒/๓ หลวงพ่อเริ่มสอน "มโนมยิทธิ" แบบเต็มกำลัง
ตอนที่ ๑๒/๔ บังเอิญติดดี
ตอนที่ ๑๒/๕ บังเอิญติดดี
ตอนที่ ๑๓ /๑ คุณเดือนฉาย คอมันตร์
ตอนที่ ๑๓ /๒ ความเป็นมาของมูลนิธิฯ
ตอนที่ ๑๓ /๓ สร้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา
ตอนที่ ๑๔/๑ หลวงพ่อตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ โดย ทันตแพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์
ตอนที่ ๑๔/๒ หลวงพ่อตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ (๒)
ตอนที่ ๑๔/๓ หลวงพ่อตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ (๓ จบ)
ตอนที่ ๑๕/๑ เจ้าคุณพระราชพรหมยาน พระอาจารย์ผู้ประเสริฐ โดย ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์
ตอนที่ ๑๕/๒ ฝึกมโนมยิทธิเป็นครั้งแรก
ตอนที่ ๑๕/๓ งานพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน เมื่อปี ๒๕๑๘
ตอนที่ ๑๕/๔ เกล็ดธรรมปฏิบัติ ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองศ์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต
ตอนที่ ๑๕/๕ เสด็จพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต

ตอนที่ ๑๕/๖ จดหมายถึงคุณอ่อย (ฉบับที่ ๒)

บทนำ

...ขอเชิญอ่านเพื่อเป็นแนวทางของเรา สำหรับผู้ที่เกิดมาแล้วจะต้องพบกันทุกคน ว่าจะต้องทำใจอย่างไรบ้าง...ถ้าเป็นเรา ?

...คุณอ๋อย อดีตเจ้าของบ้าน ผู้อุทิศทั้งชีวิตและ "บ้านสายลม" ให้แก่หลวงพ่อฯ เพื่อสั่งสอนศิษย์ที่ติดตามกันมา ผู้เป็นกำลังหลักสนับสนุนวัดท่าซุง ตั้งแต่เริ่มแรก จนเจริญรุ่งเรืองถึงปัจจุบันนี้ ผู้เขียนคนหนึ่งละ..ที่เป็นหนี้พระคุณของท่านหาประมาณมิได้

...ด้วยหยาดเหงื่อและแรงกาย จึงขอแสดงความกตัญญูรู้คุณต่ออดีตเจ้าของบ้านสายลม ด้วยการนำบทความเหล่านี้มาให้อ่านกัน ซึ่งจะต้องขออนุโมทนา คุณอภิญญา (ติ๋ม) นาคสวัสดิ์ ที่อุตส่าห์นั่งพิมพ์ออกมาเป็นตัวอักษรให้อ่านกัน

...เมื่อตอนที่แล้วผู้เขียนได้นำข้อมูลจากหนังสือ "อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ" คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๒๑ ตั้งแต่เริ่ม "คุณอ๋อยกับธรรมะ" จนจบเรื่อง "พระไตรปิฎก" ไปแล้ว
@ อ่านย้อนหลังได้ที่นี่ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2400

...ตอนต่อไปเป็นเรื่องความเกี่ยวข้องกับ "หลวงปู่" ต่างๆ ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ "พระราชพรหมยาน" เรียกว่า "พระสุปฏิบันโน" นั่นเอง
@ อ่านย้อนหลังได้ที่นี่ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2532


คุณอ๋อยกับความเจ็บป่วย


...เมื่อประมาณปี ๒๕๑๖ คุณอ๋อยบังเอิญคลำพบก้อนเนื้อเป็นไตแข็งที่อกข้างขวา ดังนั้นจึงไปตรวจอาการแล้วให้หมอทำการผ่าตัดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ

คุณหมอบุญเกตุผ่าออกมาแล้วส่งไปตรวจเดี๋ยวนั้น ปรากฏว่ามีเชื้อมะเร็งเลยตัดออกหมดทั้งข้างตามวิธีการของหมอ

ตัดแล้วให้เข้ารับการรักษาด้วยรังสีครบตามขนาด กินเวลาประมาณ ๑ เดือน ต่อจากนั้นหมอสั่งให้ไปตรวจอาการเสมอ ๆ

ต่อมาไม่นานนัก เมื่อเห็นว่าอาการของมะเร็งปรากฏให้เห็นเช่นนี้แล้ว จะปล่อยมดลูกรังไข่ซึ่งมีอาการไม่ดี คือมีโลหิตออกในบางคราว เอาไว้คงจะไม่น่าไว้ใจ

ดังนั้นจึงเข้าโรงพยาบาลเดิมผ่าตัดเอาออกไปเสียอีก คราวนี้สามารถกลับบ้านได้ในเวลา ๓ วัน

หลังจากผ่าตัด อาการอื่น ๆ ก็เป็นปกติ เว้นแต่แขนขวาซึ่งมักจะบวมเป่ง เนื่องจากท่อน้ำเหลืองถูกตัดไป ของเหลวต่าง ๆ ไม่มีทางหมุนเวียน

คงจะคั่งตัวกัน นอกจากนี้แล้วอาการอื่น ๆ ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากว่าถ้าใช้แขนขวาแล้วมักจะเจ็บชายโครง

เวลาผ่านไปประมาณ ๔ ปี พวกที่เข้าผ่าตัดมะเร็งในระยะใกล้เคียงกันต่างก็ตายไปหมด แต่คุณอ๋อยไม่เป็นไร ทำให้ใคร ๆ คิดว่าพ้นเขตอันตราย เขาว่ากันว่าถ้า ๕ ปีไม่เป็นไร ก็แปลว่าปลอดภัย

พอเริ่มวางใจคุณอ๋อยเกิดมีการเจ็บปวดแสบปวดร้อนภายในอก แล้วก็มีตุ่มใส ๆ ที่ผิวหนังอกด้านเดิมที่ตัดออกไป คุณอ่อยคลำไปคลำมาพบก้อนเนื้อแข็งในร่องกระดูกไหปลาร้า

การเจ็บปวดแสบปวดร้อนจากภายใน เหมือนเอาไฟไปเผานี้ ภายหลังจากออกมาเป็นตุ่มแล้วคล้ายกับว่าทุเลาลง เหมือนกับเอาพิษมาทิ้งข้างนอก แต่ความเจ็บเพิ่มขึ้นทุกที จนแทบจะทนไม่ได้

คุณเสริมแอบถามท่านผู้มีฌาน ขอให้ติดต่อ "ลุงพุฒิ" ดูว่าหมดอายุขัยหรือว่าอุปฆาตกรรม ถ้าเป็นอุปฆาตกรรมจะผ่อนกรรมอย่างไร คือเจ้ากรรมนายเวรเขาต้องการอะไร

ท่านตอบว่าเป็นอุปฆาตกรรม หากผ่านคราวนี้ไปได้จะมีอายุต่อไปได้อีก ๔๐ ปี ความจริงเรื่องการเป็นการตายนี้ลุงพุฒิบางทีท่านก็บอกผิด ๆ มาให้ คือบอกมาว่าไม่ตายแต่ตายเสียก็มี

สำหรับคราวนี้สั่งให้ถวายสังฆทานแล้วเผาหุ่นกระดาษชื่อคุณอ๋อย (ซึ่งหลวงพ่อเคยล้อว่าหลอกเทวดา) คราวนี้พอไปที่วัด เรียนหลวงพ่อท่านก็บอกว่า

พระท่านมาสั่งให้ทำพิธีบังสุกุลตายบังสุกุลเป็นด้วย เป็นอันว่าทำพิธีกันเสร็จไป หลวงพ่อบอกว่าต่อไปนี้เทวดาชื่อ "มณีรัตน์" ท่านขอยืมร่างใช้หน่อยนะ จะทำอะไรให้บอกท่านด้วย

พอกลับมาบ้าน รู้สึกว่ามีอาการขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวไข้ร้อนสูงจัดเดี๋ยวก็หาย ลองปรึกษาหลวงตาแสงดู ท่านบอกให้ย้ายไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว

อาจเป็นการทำเคล็ดก็ได้ เลยย้ายไปอาศัยอยู่บ้านคุณอำไพ พวงทอง ที่อยู่ในบริเวณรั้วเดียวกับคุณปิ่น พวงทอง มารดา มีหมอยุวดีอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง

อยู่บ้านนี้ดีเหลือหลาย อยู่ก็ฟรี กินก็ฟรี มีหมอประจำ บางทีคุณปิ่นก็ซื้อรังนกมาช่วยบำรุงเสียอีกด้วย คุณอ๋อยปรารภว่าบ้านนี้มีบุญคุณเท่าชีวิตทีเดียว

อยู่มาได้ ๒ เดือนกว่าโดยคุณอำไพ ช่วยดูแลในเรื่องการรักษาทางพลังจิตด้วย อาการก็ยังทรง ๆ ทรุด ๆ เห็นว่าถ้าอยู่นานเกินไปจะไม่เป็นการสมควร ก็เลยย้ายกลับมาอยู่บ้านตามเดิม

คราวนี้ตุ่มต่าง ๆ มีมากขึ้น แต่ที่ทำความเจ็บปวดจริง ๆ ที่แขนขวาที่บวมเป่ง กับความเจ็บที่ท้องด้านซ้ายบ้างขวาบ้างพอประมาณ ซึ่งทำให้หาท่านอนที่ถนัดได้ยาก

ความเจ็บที่แขนนั้น ในบางคราวมีมากจนขนาดที่ว่าคุณอ๋อยสั่งฝากไปถึงหลวงพ่อ ขออนุญาตให้หมอฉีดยาให้ตายไปเสีย

หลวงพ่อตอบว่า ไม่ได้..ยังไม่จบกิจห้ามหนี แม้พระอรหันต์จบกิจพระศาสนา สามารถหนีได้ ท่านก็ยังไม่หนี อย่างนี้เสียชื่ออาจารย์หมด ให้เอาความเจ็บนั่นแหละเป็นวิปัสสนา พิจารณาความทุกข์ของขันธ์ ๕ ไป

แผลที่หน้าอกในตอนหลังตุ่มต่าง ๆ ก็เป็นสะเก็ด แล้วลามถึงกันหมด ขนาดเท่าฝ่ามือเห็นจะได้ เมื่อหลวงปู่ธรรมไชยมาเยี่ยม ท่านก็พ่นหมากให้และทำแผล ทาขี้ผึ้งให้

รู้สึกว่าอาการเจ็บภายในคลายตัวลงไป ถามหลวงพ่อ หลวงปู่ ท่านก็บอกว่าหาย ไม่เป็นไร หลวงพ่อบอกว่าตายไม่ได้ จะเอาไว้ใช้งาน

เหล่านี้ลูกศิษย์ก็ทราบว่าเป็นคำปลอบใจ เพราะเมื่อคราว "จ่าพัว" ที่เป็นมะเร็งเหมือนกัน ท่านก็ตอบว่า หายไม่เป็นไร แต่แล้วก็ตาย (คุณอ๋อยเองก็ออกปากเรื่องนี้)

แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการช่วยกำลังใจบ้าง ไม่ให้ใจเสียเหมือนคำตอบว่า ตายแน่ ๆ อย่างนี้ท่านไม่ถือว่ามุสาวาท เพราะมุสาวาทต้องมีส่วนที่จะเอาประโยชน์ทางลาภผล หรือตัดประโยชน์ทางลาภผลของผู้อื่นเป็นจุดสำคัญ

ระยะต่อมา อาการหายใจรู้สึกว่าไม่สะดวก หายใจไม่เข้าไม่ออก คือหายใจตื้นมาก หมอกระซิบบอกว่า อย่างนี้เป็นสัญญาณว่าไปถึงปอดแล้ว จะขึ้นสมองในเร็ววัน แล้วก็จะเป็นวาระสุดท้าย

ในตอนนี้มีแขกมาเยี่ยมมากขึ้น เพราะข่าวการเจ็บป่วยค่อย ๆ กระจายออกไปทุกที วันหนึ่งเมื่อช่วยกันหามคุณอ๋อยลงมาข้างล่าง เพื่อให้ชมห้องฟังธรรมที่เพิ่งปูพรมอัดสีแดงเสร็จ

ไหน ๆ ลงมาแล้ว หน่า (ลูกสาว) ก็เลยจัดห้องให้นอนเสียข้างล่าง เรื่องห้องน้ำก็ใช้วิธีต่อที่นั่งส้วมเข้า สะดวกสบายดี

หนุ่ยกับหน่าช่วยกันชะแผลเช้าเย็น ตอนกลางคืนโหน่งกับหน่าผลัดกันนอน ทำหน้าที่พยาบาล นับว่าดีกว่าอยู่โรงพยาบาล ซึ่งคงไม่มีทางทำอะไรดีกว่านี้

ใครต่อใครที่ทราบข่าวก็ช่วยกันเป็นการใหญ่ คุณละม่อม คุณอรรณพ ช่วยพยาบาลด้วยพลังจิต คุณชวาลใช้วิธีกระตุ้นประสาทได้ผลดีเหมือนกัน

คุณหมอวีวรรณ คุณหมอยุวดี คุณหมอแวววิทย์ ช่วยจัดทำน้ำเกลือบ้าง วิตามินและอาหารที่ให้ทางเส้นเลือดบ้าง มาจัดการให้ด้วยตนเอง

บางคนก็บอกยาไทยที่รักษาโรคมะเร็งได้เด็ดขาด มีพยานทุกรายว่าหมอปัจจุบันบอกว่าหมดหวังแล้วทั้งนั้น แต่กลับหายได้ แต่คุณอ๋อยรักษาด้วยยาของหลวงปู่ธรรมไชยอยู่ จึงได้แต่ขอบคุณความหวังดีของท่านเหล่านั้น

คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค สามีของท่านคือ ดร. เดือน บุนนาค ป่วยเดินไม่ได้ จะไปไหนต้องให้นั่งรถเข็น อุตส่าห์จัดการเอารถนั่งเข็นมาให้ สำหรับไปนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์หน้าบ้าน นับว่าเป็นความกรุณาอย่างที่สุด

เมื่ออาการหายใจสั้นเข้า ๆ คราวนี้ก็นับว่าถึงวาระที่จะต้องใช้อ็อกซิเจนช่วย คุณหมอยุวดีจัดแจงหอบมาจากโรงพยาบาลพร้อมมิตรเสร็จสรรพ

ถ้าหมดก็ไปเปลี่ยนมาจากโรงพยาบาลนี้ และในเมื่อต้องฝ่าจราจรเป็นการเสียเวลามาก พล.อ.ต. เทอญ สุขะเนนย์ รองเจ้ากรมแพทย์ทอ. ก็กรุณาให้ยืมมาครั้งเดียว ๗ ท่อ นับเป็นความกรุณาอย่างบอกไม่ถูก

คราวใดที่เข้าคับขันคืออาการหนัก หลวงปู่ธรรมไชย หลวงปู่คำแสน หลวงปู่วงศ์จากเชียงใหม่ ลำพูน ไม่ทราบท่านไปยังไงมายังไง มาถึงเวลาไล่ ๆ กัน

ท่านก็มาช่วยไล่โรคบ้าง เป่าคาถาบ้าง ผูกสายสิญจน์บ้าง ให้ทำพิธีบูชาธาตุบ้าง ทางสายหลวงพ่อท่านก็ขอยาจากท่านหินกองมาช่วยสมทบ นัยว่ายานี้เน่าแล้วยังหาย

แต่พิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ชี้ผลไปในทางไม่ดีเลย เช่น ท่านหินกองส่งผู้แทนลงมาบอกวิธีรักษา หน่ากำลังใช้ปากกาแดงอยู่ ก็จดด้วยปากกาแดง

ปรากฏว่าท่านเสี่ยงทายไว้ว่า สีเขียวรอด สีแดงตาย พิธีบูชาธาตุที่ขอให้หลวงปู่ธรรมไชยทำให้ ตามหลวงปู่คำแสนแนะนำเทียนอายุทางด้านที่คุณอ๋อยนั่ง ไหม้ลงถึงโคนโดยเร็ว

ในขณะที่ด้านอื่นไหม้ไม่ถึงครึ่ง มิหนำซ้ำธงจำนวนเท่าอายุที่ปักในถาด ยังไหม้ไฟเสียอีกด้วย

เดือนธันวาคม คุณอ๋อยหายใจลำบากมาก ก็เลยต้องสูบน้ำออกตามกรรมวิธีของแพทย์


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 8/10/18 at 09:22

คุณอ๋อย..กับความเจ็บป่วย (2)


...ในระยะ ๑ เดือนต่อมา คือเดือนธันวาคม ๒๕๒๐ อาการดีขึ้นบ้าง สามารถถอดอ็อกซิเจนได้ประมาณ ๒ อาทิตย์ และพูดประโยคยาว ๆ ได้ หายใจได้ลึก

คุณเสริมเตือนบอกว่า "หลวงตาแสง" บอกไว้ว่าจะทรุดลงอีกในเดือนกุมภาพันธ์ เพราะฉะนั้น ในตอนที่สบายอยู่นี้ก็ควรรีบพิจารณาตัดไปเสียให้จบกิจพระศาสนา

เพราะถ้าตัดได้แล้วก็ตายในวันเดียว อย่างที่หลวงพ่อบอกจะสบายดีกว่า หากต้องทนทุกข์ทรมานแล้วประเดี๋ยวจะคุมสติไม่ได้

ความจริงเรื่องความเจ็บป่วยนี้ ถามหลวงตาแสงท่านดูแล้ว ท่านบอกว่าถ้าพ้นเดือนกุมภาพันธ์ไปแล้วจะอยู่ได้ แต่ท่านติงว่าเรือมันผุแล้วจะเอาไว้อีกหรือ ทรมานมากนะ

ต้นเดือนธันวาคม หลวงตาแสงให้ย้ายไปห้องหน้าบ้านที่เพิ่งต่อเสร็จ เพราะอากาศบริสุทธิ์กว่า คุณหมอวีวรรณ กรุณาให้ยืมเตียงคนไข้ที่เหลือใช้มา ๑ เตียง

ในตอนนี้คุณอ๋อยยังดูเขาจัดปีใหม่เล็ก ๆ ภายในครอบครัวได้

๖ มกราคม เข้าโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ สูบน้ำออกจากปอดครั้งที่ ๒ คราวนี้ต้องให้ยาระงับหลายเข็ม ต่อจากนั้นมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น

ต้องพยุงนั่ง พยุงนอนตามคำขอตลอดเวลาเพราะหาท่านอนที่สบายไม่ได้ โหน่งหน่ารับไม่หยุดต้องจ้างพยาบาลพิเศษเพื่อผ่อนแรง

เช้าวันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๒๑ หมอวีวรรณมาเยี่ยมตอนเช้าเห็นมีอาการกระดุก บอกว่าจวนแล้ว ยังไม่เคยเห็นคนไข้ฟื้นจากอาการนี้

ดังนั้นพี่น้องทั้งหลายและลูกหลานก็มารวมกันจัดดอกไม้ธูปเทียน ยกพระพุทธรูปมาตั้ง เปิดเทปตอนสวดมนต์ไหว้พระให้ฟัง

(ความจริงเทปคำสอนหลวงพ่อได้เปิดให้ฟังอยู่ตลอดเวลาที่เจ็บป่วยอยู่แล้ว)

คุณอ๋อยที่ดูว่าจะไม่มีสติกลับสามารถสวดตามได้ โดยเห็นริมฝีปากเคลื่อนที่ตาม แต่ไม่มีเสียง ลูกหลานส่วนมากทำใจได้ และมักจะวางใจเป็นปกติ

เพราะรู้ว่าไม่รอดแน่ ถูกภาพนี้เข้าก็ตื้นตันน้ำตาเตรียมจะไหลอยู่แล้ว พอดี "ดาว" (ม.ล. วรีวรรณ กิติยากร) หลานสาวคนโตเข้ามาเยี่ยม มาร้องไห้น้ำตาไหล

คนอื่นเลยสกัดน้ำตาไม่อยู่ คุณอ๋อยกลับได้สติพูดว่า “ ดาว..ยายยังไม่ตายหรอก ” (อันนี้ดูเหมือนจะเป็นคำพูดสุดท้ายที่ได้ความดี)

แล้วปรากฏว่ายังไม่ตายจริง ๆ อาการยังทรงอยู่เช่นนั้น อาการหายใจกระตุกมีน้อยลง


หลวงปู่ธรรมไชยมาสงเคราะห์

...วันอังคารที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๒๑ หลวงปู่ธรรมไชยผ่านมาจำวัดที่บ้าน ๒ วัน ท่านช่วยรักษาเต็มที่ตามเคยของท่าน ช่วยเสกน้ำมนต์ให้กิน ช่วยทำแผล ช่วยป้อนข้าว

“แม่..นี่หลวงปู่ กินเสียนะ อีกคำนะ กินให้หมดนะ ” ฯลฯ ท่านเรียกคุณอ๋อยว่า "แม่" และเรียกคุณเสริมว่า "พ่อ"

จะเป็นธรรมเนียมของท่านหรืออย่างไร ไม่มีใครไล่เลียงดู แต่เห็นท่านเรียกอุบาสิกาที่วัดว่า "แม่" เหมือนกัน

คุณอ๋อยยอมกินจนหมดเหมือนกัน แต่เวลาคนอื่นป้อนแล้วไม่กิน (ใช้กาแก้วป้อนอาหารเหลวและน้ำ)

วันพุธ หลวงปู่ไม่อยู่ไปธุระ ตอนเย็นจึงได้กลับ ท่านกระซิบว่าตอน ๕ ทุ่มคืนนี้คุณอ๋อยจะรู้ตัว ให้ทำพิธีขมากันเสียตอนตี ๓ ครึ่ง ตี ๕ ห้านาที และ ๗ โมงเช้ามีจังหวะที่จะตายได้ทั้งนั้น

แต่ถ้าไม่ตาย ยังไง ๆ ก็ไม่พ้นวันพฤหัสที่ ๑๒ เพราะวันพฤหัสเป็นวันมรณะของคนเกิดวันเสาร์

๕ ทุ่มก็มาทำพิธีกัน หลวงปู่เป็นผู้นำ ทำพิธีขมาเสร็จหลวงปู่ก็เทศน์ ใช้เวลาทั้งหมดชั่วโมงครึ่ง คืนนั้นก็เดินเข้า ๆ ออก ๆ กันอยู่

มั่ม (รัฐฎา ลูกชายคุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค) กับตั้ว (จำชื่อจริงไม่ได้) จะมาค้างด้วย คุณเสริมบอกว่าอย่าลำบากเลย กลับไปนอนบ้านเถอะ คงยังช่วยงานอะไรไม่ได้หรอก


คุณอ๋อย..กับความตาย

...วันพฤหัสที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๑ เวลา ๑๓.๑๕ น. หนุ่ย (ม.ล.เอื้อมสุขย์ กิติยากร) เรียกคุณเสริมบอกว่าไม่ดีแล้ว มีเสียงครอก และตากลับขึ้นข้างบน ต่างก็เข้าไปเฝ้าดูอาการกัน

หนุ่ยบอกว่าหลังจากตากลับขึ้นข้างบนแล้ว ยังกลับมาจับที่ภาพพระอีกทีหนึ่ง แล้วหลับตาลงสนิท ต่อจากนั้นการหายใจก็ห่างออก ๆ

บางคราวเกือบ ๑ นาที จึงหายใจครั้งหนึ่ง ดังนี้สัก ๓ ครั้ง ก็หยุดหายใจไปเฉย ๆ โดยอาการสงบ คือไม่มีดิ้นทุรนทุรายอะไรเลย

คุณเสริมและลูก ๆ บ่นด้วยความหนักใจ และเสียดายว่า ถ้า “ไป” วันอาทิตย์คงจะดีกว่ามาก เพราะวันนั้นมีสติ และจับที่พระตลอดเวลา

แต่วันนี้ไปโดยไม่ฟื้นคืนสติเลย น่าจะทำจิตได้ไม่ถึงที่สุดกระมัง แต่ถึงอย่างไรก็ยังคิดว่า หากไม่ถึงที่สุด ก็คงไปต่อข้างบน ประเดี๋ยวเดียวก็จบได้แน่

ในตอนนี้พี่ ๆ น้อง ๆ ก็เตรียมกันอยู่แล้ว คือ เรื่องเครื่องตั้งศพ ก็เตรียมถามไปแต่เช้า ให้ "พิชิตชัย" ไปติดต่อด้วยตัวเองที่วัดพระศรีฯ เขาก็มาดำเนินการได้ทัน

คุณอำไพช่วยเหลือในโอกาสสุดท้ายนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยกรุณานำเครื่องรดน้ำศพมาให้ใช้ พวกพี่ผู้หญิงและคนอื่น ๆ ช่วยกันจัดดอกไม้

พอถึงเวลาทุ่มครึ่งก็สามารถทำพิธีสวดพระอภิธรรมที่บ้านได้โดยเรียบร้อย

พูดถึงความเจ็บป่วยก็สมควรจะพูดถึง คุณหมอวีวรรณ (พ.อ.วีวรรณ คำนวณกิจ) แห่งโรงพยาบาลพระมงกุฎฯไว้ด้วย คุณหมอเป็นเพื่อนนักเรียนเตรียมรุ่นเดียวกับคุณอ๋อย

คุณอ๋อยเรียกว่า “เบ๊บ” เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยตลอดจนคลอดบุตร หรือลูกหลานเจ็บป่วยก็มักจะได้คุณหมอวีวรรณช่วยเหลืออยู่เป็นประจำ

ในระยะหลังคุณหมอมีความเลื่อมใสในหลวงพ่อก็ไปมาหาสู่กับที่บ้านคุณอ๋อยบ่อยขึ้น ถึงคราวเจ็บป่วยครั้งนี้ก็ได้เทียวไปเทียวมา ดูแลใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลาจนถึงที่สุด

คุณหมอยุวดีอีกท่านหนึ่ง นับได้ว่าเป็นทั้งเพื่อนทั้งหมอช่วยรักษาอย่างเข้มแข็ง ครอบครัวคุณอ๋อยกำชับมาว่า อย่าลืมขอบพระคุณคุณหมอทั้งสองเป็นพิเศษไว้ด้วย.."


...หมายเหตุ - เจ้าของบ้านสายลมทั้งสองนี้ ซึ่งเป็นผู้อุปฐากวัดท่าซุงรุ่นแรกๆ ที่มีส่วนช่วยหลวงพ่อฯ ตั้งพระพุทธศาสนาที่นี่

ตามความประสงค์ที่หลวงพ่อมาลาพุทธภูมิในชาตินี้ ได้เริ่มและได้ลาเป็นวาระสุดท้าย คือหลังจากฝังลูกนิมิตเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ แล้ว

ปลายปีคุณโยมอ๋อยก็เริ่มป่วย จนละสังขารไปในวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๑ เหมือนกับว่าเสร็จภาระหน้าที่พอดี ทิ้งไว้คือความดีในการอุทิศบ้านสายลม เป็นศูนย์การเผยแพร่คำสอน นับตั้งแต่ปี ๒๕๑๖ เป็นต้นมา

โดยเริ่มจัดทำหนังสือ ๕ เล่มที่สำคัญ คือ "ท่านเจ้ากรมเสริม" เป็นผู้คัดลอกจากเสียงเทปก่อน ดังนี้
๑. ประวัติหลวงพ่อปาน
๒. คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน
๓. ไตรภูมิ
๔. เรื่องจริงอิงนิทาน
๕. ล่าพระอาจารย์

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 9/10/18 at 05:32

คุณอ๋อยกับความเจ็บป่วย (3 จบ)


...พูดถึงความเจ็บป่วยก็สมควรจะพูดถึง คุณหมอวีวรรณ (พ.อ.วีวรรณ คำนวณกิจ) แห่งโรงพยาบาลพระมงกุฎฯไว้ด้วย คุณหมอเป็นเพื่อนนักเรียนเตรียมรุ่นเดียวกับคุณอ๋อย

คุณอ๋อยเรียกว่า “เบ๊บ” เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยตลอดจนคลอดบุตร หรือลูกหลานเจ็บป่วยก็มักจะได้คุณหมอวีวรรณช่วยเหลืออยู่เป็นประจำ

ในระยะหลังคุณหมอมีความเลื่อมใสในหลวงพ่อก็ไปมาหาสู่กับที่บ้านคุณอ๋อยบ่อยขึ้น ถึงคราวเจ็บป่วยครั้งนี้ก็ได้เทียวไปเทียวมา ดูแลใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลาจนถึงที่สุด

หมายเหตุ :- ในภายหลังคุณหมอวีวรรณได้กรุณาส่งความระลึกถึงคุณอ๋อยมาอีกดังต่อไปนี้..



"...คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา (หรือคุณอ๋อย) ได้จากพวกเราไป โดยทิ้งผลของความดี และผลของการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไว้ให้พวกเราระลึกถึง และจดจำไว้เป็นตัวอย่าง

เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ได้เห็นคุณอ๋อยอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่เริ่มเจ็บป่วยครั้งแรก จนถึงวันที่เข้าระยะทรุดหนักตราบกระทั่งวันที่จากไป จึงเห็นได้ว่า

คุณอ๋อยมีอาการที่สงบที่สุด ไม่มีอาการกระวนกระวายมากนัก ไม่มีความทุกข์ทรมานกับโรคที่เป็นอยู่เท่าที่ควร อย่างที่คนเป็นโรคนี้พึงเป็น และสามารถที่จะควบคุมสติระงับจิตใจได้อย่างดีจนถึงที่สุดของเธอ

ในขณะที่อาการของเธอทรุดหนักอยู่ เพื่อนฝูงและญาติพี่น้องที่ไปเยี่ยม อดที่จะรู้สึกเศร้าโศกเสียมิได้ บางคนถึงกับน้ำตาไหล

บางครั้งแทนที่ผู้ไปเยี่ยมเยียนจะปลอบโยนคนป่วย กลับได้รับคำปลอบจากคนป่วยให้คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา กับบางทีถึงกับแนะนำวิธีปฏิบัติจิตใจให้เพื่อนฝูงอีกด้วย

และแม้กระทั่งอีกหนึ่งวันสุดท้าย เธอก็ยังมีแก่ใจจับมือข้าพเจ้าไปกุมไว้ พลางมองด้วยสายตาที่ข้าพเจ้าไม่สามารถจะบรรยายได้ก่อนจะบอกว่า “ขอบใจ”

ซึ่งคำนั้นทำให้ข้าพเจ้าตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก เพราะขนาดเธอจะจากไปแล้ว เธอยังไม่เว้นที่จะขอบใจคนที่อยู่เบื้องหลังด้วยมารยาทอันงามยิ่ง ซึ่งแสดงถึงความงดงามแห่งน้ำใจอย่างยากที่จะหาผู้ใดเทียบได้

จากประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้เห็นมาด้วยตนเอง จึงอยากจะเขียนไว้ในที่นี้ว่า เนื่องจากผลบุญกุศลที่คุณอ๋อยได้ทำไว้มาก

และผลของการปฏิบัติจากคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หลวงพ่อ (มหาวีระ) ได้พยายามสอนลูกศิษย์ ได้ให้ผลอย่างชัดเจนแล้วด้วยตัวคุณอ๋อยนี่เอง

จึงเป็นกำลังใจให้พวกนักปฏิบัติทุก ๆ คนจดจำไว้เป็นตัวอย่าง และพยายามที่จะปฏิบัติ ทำความดีและฝึกฝนตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อกันต่อไปไม่หยุดยั้ง

ข้าพเจ้าเชื่อว่าอานิสงส์ที่คุณอ๋อยได้ทำ ได้ปฏิบัติมา จะทำให้เธอมีความสุขในชาติในภพที่เธอได้ไปถึงซึ่งความสุขเช่นนั้น ความสงบเช่นนั้น ยากที่จะมีได้ในชาติในภพนี้

ความตายจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรม หากความตายคือทางไปสู่ความสุขสงบดังเช่นที่คุณอ๋อยเธอประสบมาแล้ว..."


แล้วคุณรัชนี เจนรถา ก็เขียนมาอีกคนหนึ่งว่า....

“...ในฐานะที่ได้เกิดมาพบพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากคำสอนของอาจารย์องค์เดียวกับคุณป้าเฉิดศรี คือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ข้าพเจ้าจึงขอถือโอกาสนี้กล่าวถึงปฏิปทาของท่าน ในสมัยเมื่อมีชีวิตอยู่ ในด้านธรรมปฏิบัติ

ก่อนที่คุณป้าจะล้มเจ็บในบั้นปลายชีวิตนั้น ท่านเคยปรารภถึงอารมณ์ความเบื่อในร่างกาย แล้วพูดกับข้าพเจ้าถึงผลจากการไปเห็นมานั้น นำมาคิดพิจารณาได้ชัดเจนขึ้นกว่าเก่าอย่างไร

ข้าพเจ้าก็กล่าวกับท่านถึงความรู้สึกที่ได้จากพระท่านโปรดเมตตาสอนมา พอฟังจบท่านก็น้ำตาคลอด้วยความปีติ

จากนั้นมา ๓ สัปดาห์ ท่านก็ล้มเจ็บขนาดลุกเดินไปไหนไม่ได้ ได้ถามท่านว่า อาการเจ็บมันเจ็บอย่างไร ก็จะได้รับคำตอบด้วยสีหน้าเฉย ๆ ว่า

“มันเจ็บเสียด ๆ บอกไม่ถูก บางทีนอนเอาหลังแตะพื้นไม่ได้เลย”

ข้าพเจ้าฟังดูแล้วคิดว่า นี่ไม่ใช่เจ็บอย่างเบา ๆ เลยนี่นา คงจะเจ็บปวดมาก แต่กิริยาและแววตาของท่านไม่บ่งบอกเลยจริง ๆ

บ่อยครั้งข้าพเจ้าได้ยินท่านหันมาพูดด้วยว่า “ป้าเบื่อมันเต็มทน มันจะเจ็บป่วยอย่างไรก็คิดว่าช่างมันแล้ว ไม่นึกแล้วว่ามันจะหายหรือไม่หาย”

และแล้วในที่สุดร่างกายของท่านอันมีธาตุทั้ง ๔ ก็สลายมอดไหม้ไปสิ้น ต่อแต่นี้ไปเราจะนึกถึงท่านก็นึกถึงแต่คำพูด และความดีของท่านที่ยังคงสภาพอยู่ โดยมิต้องไปค้นหาคุ้ยเขี่ยเอาจากเถ้าถ่านบนเชิงตะกอนนั้นเลย

จากการเจ็บป่วยและการตายครั้งนี้ของท่าน ทำให้พวกเราหลายคนได้ข้อคิดมาพิจารณาอย่างเห็นชัด ในพุทธดำรัสแห่งองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า

“ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
ชราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
มรณัมปิทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
โสกปริเทวทุกขโทมนัสสุปายาส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์”

เมื่อเขียนจบ ข้าพเจ้าต้องหันมาถามตัวเองว่า อย่างนี้แล้ว เรายังอยากจะเกิดกันอีกหรือ ?

รัชนี เจนรถา


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 21/10/18 at 04:14

คุณอ๋อยกับ "ลูกศิษย์บันทึก"

โดย คุณกานดา อมาตยกุล


"...ปลายปี พ. ศ. 2515 ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ “ประวัติหลวงปู่ปาน” โดยคุณอ๋อย(เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) ให้ข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าอ่านแล้วถูกใจมาก เพราะปกติข้าพเจ้าง่วงเวลาอ่านหนังสือพระ แต่หนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าอ่านได้ตลอดและร้องให้ตอนหลวงปู่สิ้นชีวิต มีความอยากกราบผู้เขียน

ต่อมาจึงได้ไปกราบท่านที่บ้านซอยสายลม เห็นหลวงพ่อขาวและหนุ่มมาก

ปี 2516 ได้มากราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุง โดยที่พี่สาวของข้าพเจ้า (คุณเยาวมาลย์ บุนนาค) ได้อัญเชิญพระประธานมาถวายหลวงพ่อ และข้าพเจ้าได้มาอยู่วัดบ้าง กลับบ้านบ้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เหตุประทับใจหลวงพ่อของข้าพเจ้ามีอยู่เสมอ เหตุเกิดกับผู้อื่นโดยที่ข้าพเจ้าได้รับทราบมากมาย

และที่ข้าพเจ้ามีส่วนอยู่ด้วยคือ ปี 2518 พระครูฐานาฯ ของหลวงปู่กล่อม(เจ้าคุณธรรมวราลังการ) วัดบุปผาราม ฝั่งธนบุรี องค์หนึ่งมาค้างที่วัดท่าซุงเสมอ

เย็นวันหนึ่งหลังจากที่ท่านหายไปหลายเดือน ท่านมาพักที่ตึกเสริมศรีฯ เมื่อท่านมาถึงที่ตึกซึ่งมีหลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ และข้าพเจ้าอยู่พร้อมหน้า

ท่านพูดว่า “ผมฉันเจมา 3 เดือนแล้ว สบายมาก” ท่านพระครูพูดเสร็จก็พอดีระฆังขึ้นกรรมฐาน

พระและข้าพเจ้ารวมทั้งท่านพระครูก็ไปศาลาพระกรรมฐาน โดยขึ้นทางบันไดใหญ่ ส่วนหลวงพ่อท่านมีบันไดเฉพาะของท่านไม่ปนกัน

เมื่อขึ้นเทศน์สอน ท่านเทศน์ว่า “การกินเจนั้นเป็นของดี แต่ลำบากสำหรับผู้ต้อนรับ” เทศน์ถึงความลำบากของผู้ต้อนรับถ้าไม่มีของถวาย รวมทั้งความเศร้าหมองของผู้ต้อนรับด้วย ฯลฯ

เมื่อลงจากกรรมฐานแล้ว ท่านพระครูได้ถามข้าพเจ้าว่า ใครไปฟ้องหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็ตอบท่านว่า ไม่มีใครได้พบกับหลวงพ่อก่อนกรรมฐาน

ขึ้นลงกันคนละบันได ไม่มีทางจะพบกันได้ ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นท่านพระครูออกบิณฑบาตรพร้อมกับพระ และฉันธรรมดากับพระวัดท่าซุงทุกองค์

เมื่อก่อนนี้ตอนเจริญพระกรรมฐาน ส่วนมากหลวงพ่อจะให้ศีลห้า มีอยู่วันหนึ่ง พวกเราไปทำธุระที่นครสวรรค์กลับมาก็ซื้อขนมมามาก

จึงแก้ออกเพราะกลัวขนมเสีย แล้วจึงขึ้นไปหอพระกรรมฐาน คืนวันนั้น หลวงพ่อท่านให้ศีลแปด

พวกเรามองหน้าตามๆ กัน กลับมาต้องปิดห่อขนมใส่ตู่เย็น เลยสมน้ำหน้าตัวเองอยากตะกละนัก

เรื่องทั้งหมดที่ข้าพเจ้าประสบมาเกี่ยวกับหลวงพ่อนั้นมากมาย ที่เขียนมานี้เป็นส่วนน้อยเป็นเหตุทำให้ข้าพเจ้ามีความยึดมั่นในคำสั่งสอนของหลวงพ่อ

และนึกอยู่เสมอว่า เราจะคิดหรือจะทำอะไร ทั้งดีเลว หลวงพ่อทราบทุกอย่าง ท่านจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น

แม้ท่านจะป่วยไข้ไม่สบาย ท่านก็จะเมตตาสั่งสอนพวกเราทุกโอกาสที่สอนได้ และการพูดหรือสอนนั้นจะแทรกธรรมะไว้ทุกตอน

พระคุณของท่านนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะหาอะไรมาทดแทนท่านได้ตลอดชีวิต จะขอยึดมั่นท่านเป็นที่พึ่ง และขอปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อจนถึงซึ่งพระนิพพาน.."


หมายเหตุ

คุณกานดา (นิพัทธา) อมาตยกุล หรือใครๆ ก็เรียกกันว่า "พี่น้อย" เป็นครูฝึกสอนมโนมยิทธิท่านหนึ่งที่ได้ติดตามหลวงพ่อมานาน มีทิพจักขุญาณแจ่มใส

โดยเฉพาะพี่น้อยมีความเคารพ "ท่านกรมหลวงชุมพร" เป็นอย่างยิ่ง เวลาใดที่ได้สัมผัสกับท่าน พี่น้อยจะมีอาการปีติน้ำตาไหลทันที

พี่น้อยได้มีโอกาสใกล้ชิดหลวงพ่อ ได้ฟังธรรมได้ปฏิบัติธรรมมานาน เวลาไปวัด "พี่น้อย" ก็ยังมีโอกาสดีกว่าผู้อื่น

คือได้เข้าไปทำความสะอาดในห้องส่วนองค์ของหลวงพ่อ (ตึกอินทราพงศ์ และ ตึกกลางน้ำ) พี่น้อยเป็นอีกคนหนึ่งที่หลวงพ่อบอกไว้ ในจำนวนผู้ที่มีรายชื่อที่เกิดในยุค "สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น"

แต่จะเป็นใครนั้นคงจะเปิดเผยในที่นี้ไม่ได้ ปัจจุบันพี่น้อยนอนป่วยอยู่กับที่มานานหลายปีแล้ว

ทางทีมงาน "เว็บวัดท่าซุง" จึงขอแสดงความระลึกถึง และขออนุโมทนาความดีที่ "พี่น้อย" ได้อุตส่าห์ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ ได้เสียสละเพื่องานพระพุทธศาสนาตลอดมา

จนกระทั่งล้มป่วยลงไป เวลานี้พี่น้อยก็คงรอคอยเวลาที่จะมาถึง อย่างน้อยที่สุด "พี่น้อย" มีความพอใจใน "พระนิพพาน" ตลอดมา หวังว่า "พี่น้อย" คงจะสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ..


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 8/11/18 at 05:24

คุณอ๋อยกับ "ลูกศิษย์บันทึก"

โดย คุณอัญชัน (ชอ) ศุทธรัตน์ (ตอน ๑)


"...ก่อนปี ๒๕๑๓ ข้าพเจ้าได้เข้าไปกราบหลวงพ่อท่านพระราชพรหมยานที่บ้านสายลม โดยการแนะนำจากพี่อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา)

พบหน้าครั้งแรกหลวงพ่อท่านบอกออกมาเลย อุปนิสัยของข้าพเจ้าเป็นอย่างไร อยู่บ้านวันๆ ชอบทำอะไร ไม่ชอบอะไร

ข้าพเจ้าไม่รู้จักตัวเองดีพอ ก็คิดว่าน่าจะจริง แต่ท่านอ๋อยรับออกมาเลยว่า จริงเจ้าค่ะ ชอเขาเป็นอย่างนี้จริงๆ เลย

เพราะเห็นข้าพเจ้ามาตั้งแต่เกิด หลวงพ่อท่านบอกต่อว่า ที่ฉันรู้มานี้ "พระภูมิเจ้าที่" เขาตามมาฟ้องว่า ไม่เคยเลี้ยงเหล้าเลย ให้กินแต่ขนมกับผลไม้

พอนั่งรถกลับบ้าน ข้าพเจ้าเล่าให้คนขับรถฟัง คนขับรถหัวไวกลับบ้านบนเลย ถ้าเขาถูกล๊อตเตอรรี่ เขาจะเลี้ยงเหล้ากับไก่ต้ม แล้วเขาก็ถูกติดๆ กันหลายงวด

เมื่อครบรอบอายุ ๑๐๐ ปี หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค พ.ศ. ๒๕๑๘ หลวงพ่อท่านหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ปาน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในรูปหล่อ

ทำพิธีบรรจุที่บ้านสายลม ข้าพเจ้าเข้าไปจนสาย หลายคนเล่าให้ฟังว่า เมื่อเช้ามีใครที่มีโชคดีได้พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาได้กันด้วยวิธีใด

บางท่านไว้ที่บนถาดเอาผ้าเช็ดไว้อย่างดี ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่มีพระบรมสารีริกธาตุไว้บูชาเลย
อยากได้มากจึงตั้งใจหาสุดฤทธิ์อยู่พักใหญ่

ไม่สำเร็จ อ่อนใจ เราคงไม่มีบุญวาสนาพอ ตัดใจได้เข้าช่วยกิจงานอื่นไม่กังวลจะหาอีก พบบรรจุครบหมดทุกองค์ หลวงพ่อท่านขึ้นห้องพักข้างบน

ข้าพเจ้านั่งอ่อนใจอยู่ข้างล่างพอเพลินๆ ตาเหลือบไปมองเห็นที่พื้นพรมมีอะไรกระทบวูบ หยิบขึ้นมาดู ใช่แน่แล้ว ยังเอาใส่พานขึ้นไปให้หลวงพ่อท่านยืนยันเพื่อความแน่ใจ

พอได้มาองค์หนึ่งองค์นี้เป็นของเรา ได้อีกสักสององค์ก็ดี จะได้ให้ลูกชายคนละองค์ ประเดี๋ยวก็เห็นอีกในลักษณะเดียวกัน คือมีอะไรให้กระทบใจให้หันไปมอง

ทีนี้ได้ครบหมดสามองค์ มีคนอื่นขอบ้าง จึงบอกให้นึกอาราธนาเอานะ ได้อีกก็จะให้ ใครขอก่อนให้ก่อน วันนั้นตลอดวัน ข้าพเจ้าได้เผื่อแผ่ต่อไปให้คนอื่นอีกหลายคน

ที่เห็นกับตามีอีกหลายเรื่อง ขอยกตัวอย่างมาเพียงสองเรื่อง ขอเอาของคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ แถมให้อีกเรื่อง ถึงไม่เห็นกับตาก็เชื่อได้ ๑๐๐%

ตอนคุณสมบูรณ์เป็นศิษย์ใหม่ได้เข้าไปปฏิบัติธรรม พร้อมช่วยงามวัดอยู่หลายเดือน มีอยู่วันหนึ่งตอนบายแก่ๆ

หลวงพ่อท่านมีธุระให้คุณสมบูรณ์ขับรถไปกันตามลำพัง หนึ่งองค์กับหนึ่งคน ขับไปๆ ง่วงนอนจะหลับในเสียหลายหน

หลวงพ่อท่านเห็นอาการขืนปล่อยไว้ท่าจะแย่ ท่านจึงหยิบแม่กุญแจซึ่งปิดอยู่ขึ้นมามองๆ ดู ประเดี๋ยวเดียวกุญแจลั่นดังแชะ..!!

แล้วหลุดออกโดยที่ไม่ต้องใช้ลูกกุญแจไขออก คุณสมบูรณ์เล่าว่าตื่นเต้นมากหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

เรื่องอภินิหารมีมาก แต่ก็พอเขียนได้หมด ส่วนความดีความเมตตากรุณาที่ให้ไว้กับลูกศิษย์นั้น เขียนเท่าไหรถึงจะหมดได้ ยิ่งนานวันยิ่งงอกเงยออกไปตามวันเวลาที่ยาวนาน

ธรรมะที่สอนก็สั้น ตรง เข้าใจง่าย ถูกกับจริตของแต่ละคน เวลาลูกศิษย์กำลังใจอ่อน ก็เสริมให้ทั้งทางตรงด้วยวาจา ทางอ้อมด้วยความฝันหรือนิมิต ไม่ต้องให้ลูกศิษย์ได้แบกทุกข์นานเลย.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 18/11/18 at 03:59

คุณอ๋อยกับ "ลูกศิษย์บันทึก"

โดย คุณอัญชัน (ชอ) ศุทธรัตน์ (ตอน ๒)


"...ข้าพเจ้าไปกราบฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ด้วยการแนะนำตัวจากท่านอ๋อย พอหลวงพ่อท่านรู้จุดประสงค์ว่าข้าพเจ้าเบื่อเกิด

ท่านบอกไม่ยากทำบารมี ๑๐ ให้เต็ม ก็ไปได้ถึงพระนิพพาน แล้วอธิบายให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง เป็นข้อๆ ข้าพเจ้าฟังไปก็นึกวาดภาพตามขึ้นในใจ ถึงแก้วน้ำวางเรียงกัน ๑๐ ใบ

บารมีคงเหมือนน้ำที่ต้องใส่ในแก้วให้เต็มทุกๆ ใบ เอะใจ..ถ้างั้นข้อไหนที่เราชอบก็คงทำมาเต็มบ้างแล้ว ทำอีกก็จะล้นเสียทิ้งเปล่า ข้อไหนที่ไม่ชอบไม่บำเพ็ญก็จะยังบกพร่องอยู่

จึงกราบเรียนไปว่า ถ้าข้พเจ้าจะไปพระนิพพานในชาตินี้ให้ได้ ควรทำบารมีข้อไหน ที่ยังไม่เต็มก็จะพยายามให้เต็มในชาตินี้ ได้รับคำตอบมาว่าให้ทำ "ขันติบารมี"

ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าเตือนตนเองมาตลอด ถ้าขันติมันจะแตกก็คิดว่าเดี๋ยวได้กลับลงมาเกิดอีก

มีอยู่วาระหนึ่งข้าพเจ้าจับได้ว่าสามีแอบไปติดผู้หญิงนอกบ้าน ตามธรรมดาของผู้ชายรูปหล่อพ่อรวย

ครั้งแรกทุกข์หนักมาก หลวงพ่อท่านทราบจากท่านอ๋อย ท่านให้กำลังใจว่า "เป็นโอกาสดีที่หาได้ยาก ถ้าข้าพเจ้าทำข้อสอบผ่านได้ ต่อไปกิเลสอย่างอื่นเรื่องเล็ก"

ข้าพเจ้ามีกำลังค้นหาความจริง ว่าเราเกิดมานี่อะไรสำคัญที่สุด ไล่ไปตั้งแต่ พ่อ แม่ ลูก สามี ลงมาที่ตัวเราเอง

ตั้งแต่ส่วนประกอบของร่างกาย ไล่ไปเรื่อยๆ มาถึงหัวใจ ถ้าไม่มีหัวใจคงตาย อ้าว! หัวใจเทียมเขามีกันแล้ว จึงมาสิ้นสุดจริงๆ ตรงลมหายใจเข้า - ออก

เพื่อที่แท้จริงและสำคัญที่สุดในชีวิตเรา คือลมหายใจที่เข้าๆ ออกๆ นี่เอง เมื่อได้พบเพื่อนคู่ชีวิตที่แท้จริงก็เลยเอาใจเกาะลมหายใจ

มีทุกข์ร้อนอะไรก็พึ่งลมหายใจ พุทโธๆ เข้า - ออก ก็รอดตัวมาได้ทุกกรณี

สมัยต้นที่หลวงพ่อท่านสอนกรรมฐานที่บ้านสายลมมีคนน้อย บางคืนไม่ถึง ๒๐ คน พอหมดเวลาหลวงพ่อท่านจะไปจี้ทีละคนๆ

ใครทำสมาธิได้แค่ไหน ใครทำจิตดี ใครฟุ้งซ่านวางอารมณ์ผิดถูก พอเข้าพรรษาเว้นระยะไปนานที่หลวงพ่อท่านไม่เข้าสายลม

ลูกศิษย์ใหม่ห่างครูอย่างข้าพเจ้า ปฏิบัติอยู่บ้านไม่รู้ผลออกมาอย่างไร? ก้าวหน้าหรือถอยหลัง พอหลวงพ่อเข้าสายลมเมื่ออกพรรษาแล้ว ข้าพเจ้ากราบเรียนถามเลยว่า

"ทำอย่างไรเวลาหลวงพ่อไม่อยู่ ลูกจะรู้ผลการปฏิบัติว่าดีขึ้นหรือเลวลง จะเอาอะไรเป็นเครื่องวัด ?" ได้รับคำตอบว่า


"..ใช้กิเลสเป็นเครื่องวัดสิ รัก โลภ โกรธ หลง ของเรามันเท่าเก่าหรือลดน้อยลง เขาวัดกันตรงนี้..."

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 27/11/18 at 05:37

คุณอ๋อยกับ "ลูกศิษย์บันทึก"

โดย คุณอัญชัน (ชอ) ศุทธรัตน์ (ตอน ๓ จบ)


"...ทานที่เป็นยอดทานหลวงพ่อก็ได้อบรมข้าพเจ้า เมื่อเป็นศิษย์กลัวหลวงพ่อท่านจะทิ้งขันธ์ไปก่อน

ปล่อยให้ข้าพเจ้าเดินทางโดยลำพังก็กลัวจะเดินหลงทาง จึงกราบเรียนถามไว้เผื่อเหนียวว่า ปฏิบัติธรรมอย่างไรจึงจะไม่หลงทาง ?

ท่านตอบว่า "อภัยทาน" ตัวนี้อย่างเดียวก็กั้นอกุศลกรรมเก่า - ใหม่ได้เกือบหมด "ธรรมทาน" ที่เป็นทานสูงสุดกว่าทานทั้งมวล

หลวงพ่อท่านก็ใจกว้างเปิดโอกาสให้ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นศิษย์ยังเอาดีอะไรไม่ได้ เป็นครูช่วยสอนมโนมยิทธิในสังกัดของท่าน

ข้าพเจ้ารู้ตัวดี เคยเข้าไปกราบขอรับใช้กิจอย่างอื่นที่เคยทำอยู่ ขอยกเว้นเรื่องเป็นครูสอนมโนมยิทธิ หลวงพ่อท่านไม่อนุญาต

บอกว่าที่ฉันให้เป็นครูสอน เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้สอนตัวเอง นี่เป็นความกรุณาที่ข้าพเจ้าได้รับประมาณค่าไม่ได้

หากหลวงพ่ออนุญาตตามใจข้าพเจ้า ป่านนี้วิชานี้ที่ได้มาก็คงหมดไปนานแล้ว เพราะข้าพเจ้ามักโง่ไม่ยอมเลิก ได้ของดีไม่รู้ค่าคอยจะทิ้งอยู่เสมอ

เรื่องยอมรับกฏของกรรมนี้ ก็เป็นอีกเรื่องที่หลวงพ่อท่านทำองค์เป็นตัวอย่าง ยอมรับความป่วยไข้ไม่สบายปกติ

โลกธรรม ๘ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ใครก็ตาม จะมีความสำคัญยิ่งใหญ่ในโลกใกล้ชิดแค่ไหน

มีกรณีพิพาทเกิดขึ้น หลวงพ่อท่านจะไม่สนใจตัดสินใครผิดถูกอย่างชาวโลก จนมีลูกศิษย์เก่าใหม่หลายคนที่เข้าใจไม่ลึกซึ้งพากันแคลงใจ

สำหรับข้าพเจ้านั้นคิดเอาเองว่าโลกมันไม่สิ้นสุด หลวงพ่อท่านจึงไม่สนใจ ให้แต่ธรรมะอย่างเดียว จนมาประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๙

มีเด็กคนหนึ่ง เขาอยู่ช่วยกิจการงานในวัด แล้วเกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้น ก็จะขอออกไปอยู่นอกวัด จึงเข้าไปกราบลาหลวงพ่อแล้วร้องไห้เสียใจ คงน้อยใจหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม

หลวงพ่อท่านดุเอาว่า แกมันเลวยิ่งกว่าหมา มโนมยิทธิฉันก็สอนแล้ว ญาณ ๘ แกก็ฝึกมาแล้ว ทำไมจึงไม่ย้อนกลับไปดูอดีตว่า แกเคยทำอะไรเขามาบ้าง ?

ข้าพเจ้าฟังได้ฟังเด็กเล่าแล้ว สาธุในใจ เป็นยอดธรรมที่หลวงพ่อท่านได้ฝากไว้ให้

เมื่อเข้ามาปฏิบัติธรรมใหม่ คิดว่าคนที่จะเดินทางเข้าพระนิพพานได้ต้องทิ้งสมบัติทางโลกหมด อยากไปนิพพานก็อยาก กลัวข้างหน้าจะจนก็กลัว ตัดสินใจจะเลือกอะไร

หลวงพ่อท่านรู้ความคิดของข้าพเจ้า ท่านบอกเลยว่าไม่ต้องกลัวจน ใครเป็นพระอริยบุคคลแล้วไม่มีคำว่าจน

ตอนที่ได้รับคำสอนที่ยังไม่รู้ว่ารวยของหลวงพ่อท่านนั้น คือรวยทรัพย์ภายใน ซึ่งมันก็เปรียบเทียบกับทรัพย์ภายนอกประมาณค่าไม่ได้

พระคุณของหลวงพ่อท่านที่ให้ไว้นั้นมาก ให้ข้าพเจ้าเขียนอย่างไรจะหมดได้ จึงยกเฉพาะที่บอกกล่าวได้ ที่ลึกซึ้งเกินที่จะเขียนออกมาไว้นั้น

ส่วนมากคงได้ประจักษ์แก่ใจกันดี หากไม่มีหลวงพ่อท่านหรือจะรู้จักพระนิพพาน ได้พบพ่อ แม่ ลูก ญาติพี่น้องมิตรสหายเก่า ได้พบเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมแท้ ซึ่งนับเป็นสมบัติที่หายากยิ่งกว่าสมบัติใดๆ ในโลก

สรุปแล้วข้าพเจ้าได้ตัดสินใจแต่ต้น มีบุคคลที่ข้าพเจ้าต้องตอบแทนพระคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งองค์นอกจากพ่อแม่ที่ให้กำเนิด

สอน ฯลฯ แล้วก็สอน..สอน..จนข้าพเจ้าคิดว่าอย่างไรเสียก็มีข้าพเจ้าคนหนึ่งที่ตั้งใจจะไปพระนิพพานให้ถึงในชาตินี้ให้ได้

เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณที่ได้เสียสละกำลังกายอยู่ เพื่อเคี่ยวเข็ญให้ลูกศิษย์พ้นทุกข์..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 14/12/18 at 05:29

คุณอ๋อยไปขุดสมบัติ ตอนที่ ๑


"...ต้นเหตุของเรื่องนี้เกิดจากคุณแดง (พ.ท.ศรีพันธุ์ วิชชุพันธ์) คุยว่าเมื่อปีมะโว้โน้น เพื่อนชวนไปเที่ยวเขาที่จังหวัดจันทบุรี เรียกว่าเขาถ้ำ

ได้เคยลงไปในปล่องถ้ำ จากด้านบนพบผอบบรรจุกระดูกนิ้วมือ แล้วที่ผนังหินเห็นมีอะไรเขียว ๆ ใส ๆ ฝังปนอยู่ คุณแดงก็เลยเอาเหล็กสกัดที่ติดตัวไปด้วยสกัดออก ปรากฏว่าของเขียวนั้นแข็งมากจนเหล็กสกัดพังไปหมด

เมื่อเล่าแล้วความโลภก็เข้าเกาะกุมพรรคพวกจนตาตั้ง ถามว่ายังจำทางได้ไหม คุณแดงบอกว่าน่าจะได้ เพราะมันเป็นทางรถทางเดียวลัดเลี้ยวไปในป่า

ซักกันไปซักกันมา พรรคพวกลงความเห็นว่าน่ากลัวจะเป็นมรกตเสียละกระมัง ตกลงเลยเชิญ "ท่านวิเชียร" เทวดาผู้ปกครองท้องที่มาประทับทรงลองสอบถามดู

ท่านบอกว่า ท่านไม่หวงจะไปเอาก็ไปซี การเชิญประทับทรงนี้ ใครจะว่าเหลวไหลงมงายก็ช่าง สนุกดีเป็นใช้ได้

ในโอกาสต่อมา ก็เชิญเทวดาองค์นั้นองค์นี้อีกหลายองค์ ท่านก็ช่วยทำพิธีให้ บอกวิธีการบวงสรวง การเซ่นสรวงเจ้าที่เจ้าทาง การขึงสายสิญจน์ยาวเท่านั้นเท่านี้ อะไรก็ว่าไป

แต่การขุดกลับไปกันเสียคนละเรื่อง ว่าจะไปสกัด “มรกต” กัน แต่ท่านให้ไปขุดบนดิน ส่วนจุดที่จะขุดนั้นให้ไปเชิญประทับทรงที่โน่นจะช่วยทำเครื่องหมายให้

เมื่อเตรียมการเสร็จเรียบร้อย ได้ฤกษ์ยามตามกำหนดก็ออกเดินทางกัน (ลาพักร้อนประจำปี) ทีเดียว คุณเสริม คุณอ๋อย คุณแดง คุณเหม่ (เลิศลักษณ์ ศรีสิงหสงคราม)

คุณเอก และคุณอุดม ผู้มี “ตาใน” คุณชอ (อัญชัญ ศุทธรัตน์) ก็ออกเดินทางกันด้วยรถแลนด์โรเวอร์ ๑ คัน

คุณเหม่ ผู้ชำนาญการรถยนต์ คุณเสริม หัวหน้าคณะ คุณอ๋อย คุณชอ การครัว คุณแดง คุณเอก คุณอุดม แผนกใช้แรงและเรดาร์ตาทิพย์

ออกเดินทางไปถึงชลบุรี พาหนะคร่ำคร่าก็ทรยศไม่ยอมวิ่งเสียเฉย ๆ งั้นแหละ เสียเวลาไปตั้ง ๓ ชั่วโมง กว่าจะแก้ตก เล่นเอาเสียกำลังใจไปโข

เพราะแสดงว่าฤกษ์ไม่ดี กว่าจะถึงวัดที่เหม่ (ตัดคำว่าคุณออกเสียจะได้สั้น ๆ ) คุ้นเคยเพื่อขอพักนอนที่จันทบุรีก็ค่อนข้างดึก

รุ่งขึ้น เหม่ไปตามหาพรรคพวกที่รู้จักที่ทาง เพื่อให้หาคนนำทางไปเขาถ้ำ พรรคพวกพาไปสอบถามที่บ้านนายายอาม ซึ่งอยู่ที่ปากทาง

พวกที่รู้จักก็บอกว่า อย่าไปเลยเขาถ้ำดุจะตายไป ถ้าไปที่อื่นเขาจะพาไปเอง ถามเขาว่าดุยังไง เขาบอกว่า

ข้อหนึ่ง ช้าง..ที่นั่นชาวบ้านไปทำไร่มันสำปะหลัง ช้างรังควานเสียอยู่ไม่ได้เลย

ข้อสอง เสือ..เคยมีคนเข้าไปเที่ยวแล้วจอดรถนอน หมวกมันตกออกไปนอกรถจะลงไปหยิบยังไม่กล้าเลย เพราะเสือมันนั่งดูอยู่

ข้อสาม ผี..มีคนเคยเห็นเสือสมิงตัวเบ้อเร่อ กระโจนสามทีถึงยอดเขาเลย

หัวหน้าคณะนึกในใจว่า เรื่องนี้สบายมาก เพราะตกลงกับเจ้าของที่ไว้แล้ว ว่าอันตรายจะไม่มี เลยเคี่ยวเข็ญว่า

เอาเถอะน่า..เอาพวกเราไปปล่อยไว้นั่นแล้วเราจัดการเอง พวกคุณจะกลับมาก็ได้ พวกคนนำทางก็รับคำ

รุ่งขึ้นรถแลนด์ คันหนึ่งกับจี๊บเล็กคนนำทางก็มุ่งไปสู่เขาถ้ำ เข้าไปร่วมชั่วโมง ไปพบหมู่บ้านริมทางเขาบอกว่าทางนี้เข้าไม่ได้หรอก ต้นไม้ใหญ่ล้มขวางทางเยอะแยะ ไปทางโน้นซี มีอีกทางหนึ่ง

แต่เขาว่าสะพานข้ามห้วยมันพังหมด คงเข้าไม่ถึง เลยย้อนมาอีก พอถึงทางแยกเข้า คนนำทางก็ชี้ให้ แล้วพากันขับรถบุกเข้าไป ถ้ากิ่งไม้มากนักก็เอาดาบหวดซ้ายป่ายขวาเข้า จนในที่สุดก็ไปถึงห้วยแรก

จริงของเขา ไม้ซุงมีทอดอยู่ซีกล้อเดียว อีกซีกหนึ่งหักไปเสียแล้ว สะพานนี้พวกรถตัดไม้ รถลากไม้คงจะมาทำเอาไว้

พวกขุดสมบัติมองไปมองมา บอกว่า ห้วยอันนี้มันไม่ลึก เอาไม้พาด ๆ ตรงนี้ ถากดินตรงนี้ ๆ มันก็พอจะเอารถลงไปได้นี่นะ

เลยให้คนนำทางเขาช่วยคือตัดไม้ ขนไม้ ถากดิน กว่าจะเสร็จก็เกือบค่ำ เลยจ่ายเงินให้คนนำทาง แล้วเขาก็ขับจี๊บเล็กกลับไป

คณะขุดฯ เลือกได้เนินเป็นชัยภูมิดีก็กางเต้นท์กัน หุงข้าวกินกันโดยอาศัยน้ำขังในห้วยที่ไหลริน ๆ อาบน้ำอาบท่าเสร็จพอค่ำก็ไหว้พระสวดมนต์ ทำกรรมฐานกันก่อน

ใจไม่นึกกลัวผีป่าผีโป่งอะไรพวกนั้น ตลอดจนเสือสางก็ไม่กลัว เพราะถือดีว่าท่านวิเชียรคุ้มครองให้ จะคร้ามก็คร้ามเสียงปืนที่ดังหลายนัด ฟังดูเหมือนใกล้ๆ เมื่อตอนเย็นมากกว่า

เลิกทำกรรมฐาน เสียงเหม่ถาม “เฮ้ย..อุดม ได้ยินอะไรหรือเปล่า?” ได้ความว่าเหม่ได้ยินคนพูดใกล้ ๆ เต้นท์ เลยออกจากกรรมฐานคอยระวังการอยู่

อุดมตอบว่า “ได้ยินครับ เป็นผู้ชายกับผู้หญิงพูดกัน ผู้ชายบอกว่าจะเข้ามาดู” แต่ผู้หญิงห้ามไว้ “ว่าอย่าเลย”

ปรากฏว่าหลายคนนอนไม่หลับ เพราะต้องแอ่นหลังนอนบนเนินประการหนึ่ง แปลกที่ประการหนึ่ง และมีความหวาดจากเสียงที่อุดมได้ยินประการหนึ่ง

ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นก็หุงข้าวกันเตรียมจะกินด้วย แล้วใช้ในพิธีบวงสรวงด้วย ปรากฏว่าเมื่อข้าวเดือด เห็นมีเมล็ดข้าวสีจำปาอ่อน ลอยปนอยู่มาก

พอสุกแล้วก็เป็นว่าข้าวชนิดนี้มีปนประมาณ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ มีรสหวานปะแล่ม ๆ ออกจะชอบกลอยู่ เพราะว่าเมื่อเย็นวานนี้ ข้าวก็ยังขาวดีไม่มีอะไรปนเลย

ข้าวสารเอาไปถุงเดียว ภาชนะก็อันเดียว น้ำก็แห่งเดียวกัน ทำไมหุงแล้วไม่เหมือนกัน ตอนทำพิธีก็เลยให้อุดมลองตรวจดู

อุดมบอกว่า เห็นคนแก่ ๆ เอาอะไรมาโปรยบนหม้อข้าวที่กำลังหุง แล้วเห็นอีกคนหนึ่งแอบต้นไม้ดูอยู่

เมื่อลองสำรวจดูบริเวณที่พักอีกทีหนึ่งให้ละเอียด (เพราะเมื่อเย็นวานนี้ไม่มีเวลาตรวจ) ก็พบว่ามีทางช้างเดิน และมีกองมูลช้างเก่าอยู่หลายกอง

ส่วนเนินที่เรานอนก็เป็นคล้ายที่พูนดินขึ้น เลยนึกถึงว่าคนนำทางเขาเล่าว่ายิงกันตายตรงนี้ศพหนึ่ง น่ากลัวว่าจะนอนบนหลุมฝังศพกันเสียแล้ว ศพของนายคนที่มาแอบดูนั่นแหละ

กินข้าวเสร็จ คณะขุดฯก็ออกเดินทางต่อไปโดยขับรถไปตามทางรถลากไม้เก่า ไปจนถึงห้วยที่ ๒ เป็นห้วยตื้นมีน้ำไหลตลอดเวลา

รถพอจะข้ามได้ แต่คณะตรวจทาง ตรวจไปถึงห้วยที่ ๓ ปรากฏว่าลึกมากไม่มีทางข้ามได้ จึงตกลงใจตั้งฐานปฏิบัติการที่นั่น

แล้วออกเดินสำรวจเอา เพราะเมื่อวานนี้คนนำทางเขาชี้ทิศคร่าว ๆ ให้แล้ว ตอนนี้แบ่งคนเป็น ๒ พวก พวกตั้งค่ายก็พวกหนึ่ง คือผู้หญิง ๒ คนกับเอก อีก ๔ คน แบ่งเป็น ๒ พวก ไปค้นหาเขาถ้ำใน ๒ ทิศที่เห็นเป็นภูเขาอยู่

เขาถ้ำนี้เป็นเขาหินทั้งภูเขา แต่เขาที่เราเห็นเป็นเขาดินธรรมดาทั้งนั้น สำรวจใกล้ ๆ ที่พักก็ไม่พบร่องรอย พบแต่ปลักช้างเก่า ๆ รอยหมูป่า และรอยเท้ากระทิงโทน ซึ่งแสดงว่าตัวโตมาก

ตอนเที่ยงเมื่อกลับมาสมทบกัน เหม่กับแดงรายงานว่าทางสายเขา เจอะรอยกระทิงสีกับต้นไม้ รอยนั้นอยู่สูงเกินศีรษะขนาดสุดมือเอื้อม แดงปรารภว่า “ไอ้ตัวนี้ น่ากลัวมันกระโดดขึ้นไปสีว่ะ”

ตอนบ่ายกินข้าวกินปลาเสร็จ รวมเป็นคณะเดียวออกสำรวจ ตามทิศที่คนนำทางชี้ให้อย่างคร่าว ๆ โดยบุกไปตามรอยรถลากไม้เก่า ไปจนเกือบออกที่โล่ง ก็ยังมองไม่เห็นเขาถ้ำ

ตกลงหยุดกลางป่า ซึ่งจะมองทิศไหนก็เป็นต้นไม้เหมือนกันหมด จนแต้มเข้าก็ต้องใช้ตาเรดาร์ ให้อุดมนั่ง “ดู” ถามว่าไปทิศไหนจึงจะถูก

อุดมชี้ไปทางขวา บอกว่า “ทางนี้” เลยพากันบุกป่าไปอีก หนามเกี่ยวแทบตาย มากเสียด้วย รกก็รก แต่น่าแปลกที่ไปเจอมูลถ่ายสด ๆ ของเจ้ากระทิงตัวนั้นเข้าได้

เหมือนกับว่ามันจงใจนำทางมาอย่างนั้นแหละ บุกป่าไปพักหนึ่งก็ “ชน” เข้ากับหิน ต้องใช้คำว่า “ชน” ก็เพราะมันมองไม่เห็นจริง ๆ ว่ามีภูเขาอยู่ตรงนั้น ถึงแม้จะห่างสักแค่ ๒๐ เมตรก็ตาม

เมื่อไปถึงเขาถ้ำก็แย่งกันปีนขึ้นไปข้างบน เพื่อหาเครื่องหมายตามที่ได้รับการบอกเล่า ว่าให้ดูหินขาวเหนือยอดไม้ ๒ ต้น ปรากฏว่าไม่เห็นมีอะไร วันนั้นจึงเป็นอันว่าฟาวล์ ต้องกลับที่พักเพราะเวลาเย็นเสียแล้ว

กลับที่พักอาบน้ำ กินข้าวเสร็จก็ค่ำ บังเอิญเป็นคืนเดือนหงาย เลยพากัน ”แหกปาก” ร้องเพลงเป็นการใหญ่ แดงแสดงเป็น”ตาเกิ้น”

เมื่อสนุกกันหอมปากหอมคอก็เชิญประทับทรง ถามปัญหาต่าง ๆ ท่านก็บอกให้ไปเชิญลงประทับจะชี้จุดให้ ใ

นขณะเดียวกันอุดมก็ถามภุมมเทวดาดู ท่านบอกว่า ที่นี่มีช้างอยู่โขลงหนึ่งแต่ไม่ต้องกลัว เพราะให้ “คน” ต้อนไปเสียอีกฟากหนึ่งแล้ว

รุ่งขึ้นคณะฯ ก็หอบสัมภาระต่างๆ ไปที่หน้าเขาเพื่อดำเนินการ ไปถึงก็ทำพิธีตามที่ท่านบอกไว้ แล้วให้แดงเชิญประทับทรง วิ่งไปปักชะแลงฉับเข้าให้ตรงจุด ๆ หนึ่ง

เขาถ้ำนี้ เป็นเขาถ้ำสมชื่อ คือมีถ้ำทะลุหน้าหลัง มีขนาดใหญ่มาก เพดานสูงมาก เอารถใหญ่ ๆ เข้าไปจอดได้ ๔-๕ คัน อย่างสบาย

เพราะพื้นเป็นดินทราย ข้าง ๆ เขามีห้วยเล็ก ๆ มีน้ำพอใช้ได้ เป็นเขาไม่สูงนักเลยมองไม่เห็นจากระยะไกล ๆ

เพราะความสูงเท่า ๆ กับต้นไม้อื่น ๆ เขานี้แปลกเหมือนกันที่เป็นหินทั้งลูก ในขณะที่เขาอื่น ๆ และบริเวณอื่น ๆ แถบนั้นไม่มีหินเลย

พรรคพวกระดมกำลังขุดกันใหญ่ นัยว่าทรัพย์จะเป็นมณีแดงก้อนโต แต่ขุดลงไปก็มีแต่ “แดงลาว” ไม่ใช่แดงสยาม เราเรียกกันว่าแดงลาวเพราะเป็นหินก้อนเล็ก ๆ สีแดงล้วน ๆ มีอยู่มาก

แต่ไม่มีร่องรอยอะไรให้เห็นว่าจะมีพลอยหรือทับทิมเลย มีแต่ผึ้งไม่รู้มันแห่กันมาจากไหน มาถึงก็รุมกันเกาะหัวหน้าคณะและคนที่ขุด

ไต่ตามเนื้อตามตัว คงจะหากินเนื้อเค็ม ๆ ถ้ามุดเข้าไปที่ไหนหาทางเดินไม่ได้ก็ต่อยเอา ต้องก่อไฟรมผึ้งกันอีก

คุณเสริมหัวหน้าคณะ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องช่วยขุด นั่งมองไปมองมา จึงเห็นหินขาวบนภูเขาอยู่ตรงกับยอดต้นไม้ ๒ ต้น ที่ท่านบอกว่าเป็นที่หมายว่ามีอยู่จริง ๆ น่ะแหละ

แต่อย่างไรก็ดีขุดกันไปจนถึงน้ำก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจากแดงลาวเจ้ากรรมนั่น เลยต้องเลิก ขากลับเอกกำลังเดินอยู่ดี ๆ ในถ้ำ ไม่ทราบถูกใครถีบเสียเซออกไปข้าง ๆ บ่นขรมทีเดียว

เมื่อกลับถึงที่พักตอนกลางคืน เลยให้อุดมติดต่อเทวดา อุดมบอกว่าเห็นเจ้าของนั่งหน้าบึ้งอยู่ บอกว่าไม่ให้เสียอย่างจะทำไม

เราก็เถียงว่าท่านวิเชียรให้แล้วนี่ แกก็ตอบว่าให้ก็ให้ไป แต่คนเฝ้าได้รับคำสั่งตรงจากเบื้องบนที่สูงกว่าท่านวิเชียรนี่

รุ่งขึ้นคณะฯ ก็ต้องล่าทัพกลับบ้าน พร้อมกับบ่นในใจว่าเทวดานี่ ยังไงกันแฮะ เดี๋ยวให้เดี๋ยวไม่ให้

ต่อมาเมื่อพบหลวงพ่อ คุณอ๋อยก็ฟ้องหาว่า เทวดาหลอกลวง หลวงพ่อหัวเราะแล้วบอกว่า รู้แล้วว่าไปขุดไม่ได้อะไร แต่จะได้พบสิ่งอัศจรรย์ ก็เลยปล่อยให้ไป

สรุปแล้วคราวนี้ได้เห็นว่า เทวดาเอาข้าวทิพย์มาโปรยสำหรับทำบุญได้ แต่ก็ได้ความสนุกจากการผจญภัยต่าง ๆ ก็ดีเหมือนกัน.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 26/12/18 at 05:53

คุณอ๋อยไปขุดสมบัติ ตอนที่ ๒


"...ต่อมาอีกวาระหนึ่ง เกิดคบคิดกันขึ้นอีกว่า เทวดาไม่ให้ก็ช่างเทวดา เราไปเอาไอ้แก้วเขียว ๆ ที่เป็นของธรรมชาตินั่นดีกว่า ยังไม่ยักเข็ดที่เจ้าเขาแกโกรธเอา

พอปรึกษาและปลุกใจกันนิดหน่อยแล้ว ก็ตกลงไปกันอีกเป็นครั้งที่ ๒ ก่อนไปก็ติดต่อทางเบื้องบนตามระเบียบอย่างคราวก่อน

แต่คราวนี้เอาใหม่คือช่วยกันถางทางไปจนถึงหน้าถ้ำ เอารถไปจอดที่ถ้ำเลยทีเดียว ห้วยต่าง ๆ ก็อยู่ในวิสัยที่รถจะลุยข้ามได้ทั้งนั้น

เมื่อเตรียมการเรียบร้อยดี ถึงวันได้ฤกษ์คณะก็ออกเดินทางแต่เช้า ไปแวะกินข้าวที่บ้านนายายอาม ตรงนี้รู้สึกว่าจะผิดเคล็ดไปเสียแล้ว เพราะมารู้ภายหลังว่าเขาห้ามแวะก่อนถึงที่หมาย

พอถึงทางแยกในป่าที่จะเข้าถ้ำ เกิดพายุเมฆดำพัดมาทางคณะฯ เอ๊ะท่าไม่ดี บางคนก็ร่ายคาถากำจัดพายุ ฝนก็ลงนิด ๆ เข้าไปถึงกลางทางรถติดหล่ม

พอดีใกล้เพล เลยต้องรีบจัดเครื่องบวงสรวง วางเข้าบนหน้าหม้อรถยนต์นั่นเอง ฝนก็กระหน่ำใหญ่ ไม่ลืมหูลืมตา ล่อกันทุลักทุเลกว่าจะถึงถ้ำได้ก็บ่ายมากแล้ว

เลยไม่เป็นอันทำมาหากินอะไร ขึ้นไปดูบนยอดเขาจะหาทางลงปล่องไปสกัดแก้วเขียวนั้น ปรากฏว่า คุณแดงหาปากปล่องไม่เจอะ รู้สึกว่าปล่องถล่มเสียหมดแล้ว เหลือช่องเล็กเกินไป เข้าไม่ได้

รุ่งขึ้นตั้งพิธีทำการขุดใหม่ ที่จุดใหม่ที่ “ท่าน” ชี้ให้ด้วยการประทับทรง คราวนี้ขุดสะดวก ดินก็อ่อน มีกลิ่นหอม คนขุดบอกว่ามั่นใจมากว่าจะขุดได้ ขุดไปจนเย็นมันก็ไอ้ “แดงลาว” อย่างเก่านั่นแหละ

ตอนหนึ่งอุดมเงยหน้าขึ้นมาถามว่า ทำอะไรตกหรือเปล่า คุณเสริมบอกว่าเปล่า อุดมก็บอกว่า ทำไมถึงมีเสียงดังตึง? เสร็จ! รูปนี้แสดงว่าสมบัติเคลื่อนที่เสียแล้ว เพราะหลวงพ่อเคยเล่าว่า

ทรัพย์ที่วัดเคลื่อนที่หนีคนขุดเสียงดังตึงใหญ่ได้ยินไปถึงฝั่งโน้น จนต้องนั่งเรือข้ามมาถามว่ารถชนกำแพงวัดหรือไง

ขุดต่อไปจนเกือบตี ๑ ก็ต้องเลิก แล้วอาบน้ำเข้านอนกัน ทีแรกก็นอนกันอยู่ข้างนอกดี ๆ เสียงอุดมบอกเหม่ว่า

“อาจารย์ ๆ ไปนอนบนรถเถอะ ท่าไม่ดีเสียแล้ว” เลยกลัวกันใหญ่ ปืนเปินอะไรต้องขึ้นนกห้ามไกไว้ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีอะไร

รุ่งเช้าเอกเล่าว่าเมื่อคืนนี้น้ำก็ไม่ได้อาบ เพราะอุดมอาบก่อน แล้วยืนรออยู่ใกล้ ๆ ขณะที่เอกกำลังจะอาบ เสียงอุดมบอกว่า “เอก ๆ กลับเหอะ”

เอกก็พอได้เหมือนกัน เขาบอกว่ากลับก็กลับเลยไม่ต้องซักถามอะไรกันละ เรื่องนี้อุดมอธิบายว่าเห็นตัวอะไรก็ไม่รู้เล็ก ๆ ดำ ๆ เหมือนหมี แต่หน้าขาวจั๊วยืนแอบต้นไม้อยู่ น่ากลัวจะเป็นผี

ฟังเรื่องกันดูแล้ว แดงออกความเห็นว่า “น่ากลัวจะเป็นลูกผีว่ะ เลยยังหลอกไม่เป็น” ส่วนที่เรียกเหม่ให้เข้าไปนอนข้างในนั้น เพราะว่ามีอะไรมาสัมผัสขนลุกซู่ ๆ ผิดปกติ แล้วรู้สึกคล้าย ๆ จะมีงูด้วย

เมื่อพักผ่อนกันดีตอนบ่ายก็เดินทางกลับ มาค่ำเอากลางทาง พบว่าสะพานข้ามห้วยพังไปเสียแล้ว รถลากซุงเขาบุกไปข้าง ๆ ได้เพราะรถสูงมาก และใช้สลิงลากได้

ส่วนของเราไม่มีสลิงอยู่แถวนั้น เลยต้องเอาไม้มาพาด ๆ ต่อกันบนสะพานที่หัก ซึ่งเป็นสะพานเหนือผิวน้ำหน่อยเดียว ให้รถค่อย ๆ ไต่ไป

แต่เมื่อล้อรถต้องเปียกน้ำ และมีโคลนบนกระดาน รถก็ลื่นลงไปติดหล่มในลำธาร เสร็จกัน ในขณะที่ทอดอาลัยตายอยากนึกว่าจะต้องรอจนเช้า

คุณเสริมก็พบว่ารถไม่ได้จมลงไปทุกที ๆ อย่างที่คิด ตรงกันข้ามพื้นลำธารกลับเป็นทรายแน่น คลำ ๆ ดูใต้ท้องรถ ปรากฏว่าแผ่นกระดานไปนอนยันอยู่

ดังนั้นเมื่อรื้อออกเสียได้ ก็ใช้กำลังเครื่องยนต์ประกอบกำลังคนใช้เชือกฉุดก็เลยขึ้นฝั่งได้

การขุดครั้งที่สองนี้ ไม่ได้อะไรมากนอกจากความลำบาก และเมื่อไปรายงานหลวงพ่อท่านก็หัวเราะใหญ่ บอกว่าไอ้ลูกผี หรือไอ้ที่ทำขนลุกซู่ ๆ นั่นคือเทวดาที่เขาคุ้มครองอยู่ เขาเฉียดมาใกล้ ๆ

ส่วนงูนั่นมีมาจริง เป็นงูสีดำใหญ่เท่าต้นขา และมันเลื้อยผ่านปากถ้ำอีกด้านหนึ่ง ส่วนปัญหาว่าเทวดาหลอกไปขุดสมบัติทำไมนั้น

ดูเหมือนท่านบอกว่า “เอามันให้เข็ด มันอยากโลภกันมากนัก” เช่นเดียวกับเลขหวยต่าง ๆ บอกมาทีไรก็ต้องผิดทุกที ท่านบอกแล้วว่า

เรื่องโชคนี้อย่าไปขวนขวาย เพราะเป็นเรื่องของบุญกุศลหรือทานที่ทำไว้ในปางก่อน ถึงเวลาก็มีมาเองไม่ต้องอ้อนวอน ไม่ต้องขอ ไอ้ที่ขอได้นั่นเรื่องเขาจะได้อยู่แล้ว มันก็เลยคิดออก.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 9/1/19 at 05:42

คุณอ๋อยไปขุดสมบัติ ตอนที่ ๓


"...เรื่องโชคนี้อย่าไปขวนขวาย เพราะเป็นเรื่องของบุญกุศลหรือทานที่ทำไว้ในปางก่อน ถึงเวลาก็มีมาเองไม่ต้องอ้อนวอน ไม่ต้องขอ ไอ้ที่ขอได้นั่นเรื่องเขาจะได้อยู่แล้ว มันก็เลยคิดออก

แต่คนโลภนี้จะเข็ดก็หาไม่ เพราะอยู่มาวันหนึ่งเทวดาก็บอกอีกแล้วว่าทางเมืองกาญจน์น่ะ สมบัติเยอะนะแก พวกพม่ามันฝังไว้

ไอ้ที่หมดอายุการเป็นเจ้าของแล้วก็มี ลองไปตรงคุ้งน้ำตรงนั้นซีจะมีที่กำบังตาอย่างดี ลักษณะมองจากข้างบนไม่เห็น มองจากแม่น้ำก็ไม่เห็น

เอาอีกแล้ว คุณเสริมจัดแจงหาแผนที่มาให้ท่านชี้จุด แล้วจัดการไปสำรวจกัน กว่าจะหาจุดในภูมิประเทศได้

กว่าจะยืมเรือ (รั่ว) ของชาวบ้านให้เหม่พายทวนน้ำไปได้ก็หอบ หาไปหามาไปเจอะเข้าจริง ๆ ลักษณะตรงทุกอย่าง

คราวนี้ก็คณะเดิมเป็นส่วนใหญ่ มีคุณเสริม คุณอ๋อย คุณชอ คุณเหม่ คุณแดง ต้อม ทักษิณ สองคนท้ายนี้ ไปแทนอุดมกับเอก ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด มีแพยางไป ๑ แพสำหรับข้ามน้ำ

รถยนต์ไปถึงท่าม่วง ยางแตก ฤกษ์เสียอีกแล้ว (คราวที่ไปเขาถ้ำก็รถเสียที่หนึ่งแล้ว) แต่ก็ไปกันจนถึงจุด จุดที่จะขุดอยู่คนละฝั่งน้ำ ต้องขนของลงแพยางข้ามไป

เมื่อไปถึงก็ตั้งเต้นท์จัดที่พักกัน ถึงกลางคืนก็สวดมนต์นอน ที่จุดนี้เป็นฝั่งแม่น้ำ ไม่มีอะไรน่ากลัวเหมือนเขาถ้ำ น่ากลัวอย่างเดียว

คือนอนกันอยู่ใต้ต้นไม้เอน ซึ่งอาจจะโค่นลงมาทับเอาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่คิดว่าไม่ถึงที่ไม่ตายก็เลยนอนกันไปได้

รุ่งขึ้นบวงสรวงแล้ว ก็หาที่ขุด แล้วขุด ๆ ๆ กันลงไปที่นี่ขุดง่ายเพราะเป็นทราย แต่ขุดแล้วตามกำหนดคือลึกลงไป ๓ เมตร แล้ว

ชอนไปอีกหน่อยก็ไม่เห็นเจออะไร ตกกลางคืนตี ๒ ฝนเทใส่หัวไม่ได้หลับได้นอนกันเลย สนุกพิลึก

ความจริง การขุดสมบัติเที่ยวนี้จะว่าเสียเที่ยวเปล่าก็ไม่เชิง เพราะได้เรียนรู้ชีวิตของคนจนไปด้วยนิดหนึ่ง

ตรงบริเวณที่ขุดนั้นเป็นชานพักของตลิ่ง อยู่ติดกับไร่ของชาวบ้าน และเป็นท่าน้ำที่ชาวบ้านมาลงเรือด้วย

พอคณะฯไปกลางผ้าเต้นท์ทำหลังคา ก็มีเด็กตัวมอม ๆ หลายคนมามุงดู ตัวเล็ก ๆ ทั้งนั้น ได้ความว่าครอบครัวนี้มารับจ้างตัดอ้อย

มีลูกทั้งหมด ๙ คน ก็เลยหาเรื่องให้สตางค์จ้างเขาไปตัดต้นอ้อมาทำโต๊ะวางกับข้าว แกรับเงินแล้วแกก็ชวนไปซื้อน้ำหวานกิน

คณะฯ ได้ยินเรื่องน้ำหวานก็เลยวานเด็กพวกนั้นไปซื้อมากินบ้าง จะให้ค่าเดินแกเป็นเงิน แกก็บอกว่าไม่ต้องหรอก แค่นี้เอง นี่เป็นน้ำใจของคนจน ไม่ใช่แกจะเห็นแก่เงินจนตาลุกเสมอไป

นี่ขนาดเด็กตัวเล็ก ๆ เสื้อไม่ใส่ ตัวดำ พุงปลิ้น เด็กพวกนี้มีพี่สาวคนหนึ่งชื่อแม่สั้น ตอนเย็นลงมาตักน้ำ

คณะฯ ก็บอกว่า เออพวกเราคนนี้ (ต้อม) เขาชื่อ “ยาว” สั้นกับยาวคล้องกันเปี๊ยบเลย ยุเท่าไหร่ ๆ นายต้อมไม่กล้าจีบ

คณะเลยให้สตางค์ไป ๑๐๐ บาท บอกแม่สั้นว่าเอาไปให้แม่นะ ให้ซื้อเสื้อผ้าหรือขนมให้เด็กนะ แกก็ไม่รับ ความจริงเด็กพุงโรพวกนั้นได้ชวนคณะฯ ไปนอนที่บ้านด้วยซ้ำ ไม่มีการปรึกษาผู้ใหญ่ก่อนเลย

ต่อมาในวันรุ่งขึ้นยังเก็บมะเขือ เก็บพริกใส่ตะกร้ามาแจกให้คณะฯ กินเสียอีก บอกว่าแม่เขาปลูกไว้สำหรับเอาไปขายในตลาด จะให้สตางค์แกก็บอกว่าไม่ต้องหรอก

นี่ในชีวิตจริงเป็นอย่างนี้ แต่พวกปลุกระดมแกแหกตาเราเสียแทบตาย ช่องว่างช่องแคบอะไรของแกน่ะแหละ

ไร่ที่นี่เป็นไร่อ้อย ฤดูตัดอ้อยหาคนตัดยาก บางทีคนงานภาคอื่นมา ขอเงินล่วงหน้าบ้าง ได้เงินแล้วหนีไปเลยก็มี

ฉะนั้นเจ้าของไร่มักต้องตระเวนไปหาครอบครัวที่จน ๆ แต่ดี ๆ มาเลี้ยงไว้ แล้วอุปการะโดยให้เซ็นของกินไปก่อนได้

พอได้ค่าจ้างจากการตัดอ้อยก็ค่อยมาเฉ่งกัน ลูกเด็กเล็กแดงอะไร พอทำงานได้ก็ช่วยกันตัดอ้อย บรรทุกรถ ดูเหมือนจะให้ค่าตัดร้อยละสิบบาท

เวลาไม่ได้ตัดอ้อย พวกเด็ก ๆ ก็ไปปักเร้วดักนก (ซึ่งคณะฯ สะดุดหลุดไปเสียหลายอัน) พี่น้องเขารักใคร่กลมเกลียวกันดี

แต่เรื่องความสะอาดแล้วไม่ต้องพูดกันละ มอมแมมทีเดียว คุณชอต้องบอกให้ถอดเสื้อผ้ามาแล้วซักให้เขา

บางคนก็ไม่อาบน้ำ ไล่เลียงไปมาเขาหายไปพักหนึ่งแล้วมายิ้มกะเรี่ยกะราดให้ดูเป็นเชิงว่านี่ไง อาบแล้ว

นี่นิสัยไทยแท้ สู้ไม่ถอย ไม่บ่น กำลังใจดีเสมอ เป็นนิสัยที่ดี แต่พวกปลุกระดมกำลังจะทำลายให้เลิกสู้ ให้เอาแต่ร้องแรกแหกกระเชอไม่ทำงาน

แต่จะเอา ๆ หรือพอมีกินก็ร้องเอามากกว่านี่ ๆ เอาให้นายจ้างพังจนได้ เศรษฐกิจจะได้ล่ม ถ้าไทยเราอยู่อย่างไทย เราก็ไปรอดแน่นอน..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 9/1/19 at 05:42

คุณอ๋อยไปขุดสมบัติ ตอนที่ ๔ จบ


"...เอ้า..เมื่อขุดไม่ได้ก็กลับบ้าน มาต่อว่าเทวดากันใหม่ว่า หลอกกันอีกแล้ว ท่านก็บอกว่าเอ็งขุดเลยไปนี่หว่า มันควรจะขุดชอนตรงนั้น ดันขุดเลยไปเสียได้

พอดีหลวงปู่ธรรมไชยมาที่บ้านเลยขอให้ท่านช่วยดูให้ หลวงปู่องค์นี้เมตตาไม่สิ้นสุด ขอให้ทำอะไรไม่เคยขัด

เวลาทำพิธีอะไรก็ยืดยาว ต้องครบเครื่อง ไปไหนกับหลวงพ่อไม่ค่อยได้ เพราะหลวงพ่อใจร้อน รักษาเวลา บางทีถึงเวลาไป

อ้าว..หลวงปู่ยังทำพิธีให้เขาไม่เสร็จ หลวงพ่อก็เร่งใหญ่ หลวงปู่ท่านพูดอ่อย ๆ อย่างน่าสงสารว่า “หลวงปู่ทำอะไรเร็ว ๆ ไม่เป็น”

น่าสงสารท่านจริง ๆ ไม่ใช่สงสารว่าทำเร็วไม่เป็น สงสารท่านว่าคนกวนมากมาย โดยเฉพาะคนไข้ บางทีท่านเข้านอนตี ๒ ตี ๓ สงเคราะห์คนไข้ ตี ๕ คนไข้มานั่งรออีกแล้ว เรื่องที่จะปฏิเสธใครนั้นหลวงปู่ทำไม่เป็นเลย

คราวนี้ก็เช่นกัน หลวงปู่ก็ดูให้ ดูแล้วท่านก็บอกอย่างเกรงใจ ๆ ว่า “เอ..หลวงปู่ว่าไม่มีนะทรัพย์น่ะ” คณะฯ ก็ไม่เชื่อท่านตามเคย กลับไปขุดอีก

ไปคราวนี้เรือยางที่ยืมมา เอาไปคืนเขาเสียแล้ว ประกอบกับพายทวนน้ำไม่ขึ้น คุณเสริมหัวหน้าคณะหาทางออกใหม่ ไปซื้อเรือพายขนาดนั่ง ๓ คนมาลำหนึ่ง

แล้วขอยืมเครื่องตัดหญ้าเล็ก ๆ ชนิดมีใบพัดอย่างเรือหางยาวมา ทำใบพัดเปลี่ยนเสียใหม่ เอาไปติดเรือพายกลายเป็นเรือหางยาว

ทดลองแล่นในสระใช้การได้ดีเหมือนกัน เอาบรรทุกบนหลังคารถแลนด์ไป เที่ยวนี้เปลี่ยนสมาชิก เหม่ไปไม่ได้ ต้อมไปไม่ได้

เอาหน่อย (ลูกคุณเสริม) กับอู๊ด (รังสิต วัสนชิน) ไปแทน เรือหางยาวนี้ไม่เคยมีใครหัดขับ

ข้ามน้ำเที่ยวแรกแดงขับ พอบ่ายหัวออกสู่กระแส หัวเรือก็ล่องตามน้ำทันที ร้องเฮ้ย ๆ กันเป็นการใหญ่ แต่เรือก็หมุนมาเข้าที่เดิมได้อย่างทุลักทุเล

เปลี่ยนใหม่ให้หน่อยนักบินมือดีลองบ้าง ออกได้หัวเรือก็ตำพรวดเข้าไปในกอไม้ริมตลิ่งโน้น ทำไงล่ะ อู๊ดก็แล้วกันอู๊ดได้ไหม?

“ได้” ก็บรรทุกของแล้วนั่งกันสามคน พอเบนหัวเรือออกก็หมุนคว้างตามกระแสน้ำมาอีกแล้ว กลับมาเข้าที่เดิม ผู้โดยสาร เฮ้ย ๆ กันจนเรือโคลง

โคลงไปโคลงมาน้ำเข้าหนักเข้าเลยจมบุ๋มลงไปเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่เรือไม่ได้พลิก คราวนี้เอาแล้ว เกิดกลียุค ขนมเปี๊ยะบวงสรวงเอย ส้มสูกลูกไม้เอย ลอยกันฟ่องทีเดียว

นายท้ายอู๊ดมือหนึ่งถือเครื่องเรือชู อีกมือหนึ่งพุ้ยน้ำ กว่าจะเข้าฝั่งได้ก็เหนื่อย ขึ้นฝั่งแล้วหัวเราะกันแทบตาย ลงท้ายพายข้ามไปง่ายกว่าตั้งเยอะ

ส่วนคุณเสริมเห็นว่าต้องข้ามหลายเที่ยวเลยลองพุ้ยน้ำดู เอ๊ะ พอไปได้ ไหน ๆ ก็เปียกแล้ว ว่ายข้ามไปอย่างกระดืบ ๆ คงพอไหว

ปรากฏว่าพอออกฝั่งน้ำพัดพรวดไปจนเกือบถึงแก่ง กว่าจะหยั่งถึงดินได้เลือดตาแทบกระเด็น น้ำเชี่ยวจริง ๆ แต่มองไม่ออก

ผลของการข้ามน้ำปรากฏว่ามีการสูญเสียหลายอย่าง คือเครื่องเซ่น เครื่องบวงสรวงกลายเป็นเซ่นแม่พระคงคาไป

แว่นตาราคาแพงของคุณเสริมหลุดหายไปขณะว่ายน้ำ คุณเสริมบอกว่าถ้าจะไล่คว้ากันจริง ๆ ก็คงทัน แต่ก็คงจะจมน้ำตายด้วย เพราะกระแสน้ำแรงจัด

ปืนพก ๙ มม. ของอู๊ดตกหายไป ๑ กระบอก คุณเสริมคุยว่า ผลการว่ายน้ำครั้งนี้แสดงว่าหัวใจยังดี โรคหัวใจไม่ถามหา

ส่วนคุณอู๊ดนั้น คุณเสริมตั้งฉายาให้ใหม่ว่า “เสือปืนหาย” มารู้กันในภายหลังว่าวิธีขับเรือข้ามน้ำนั้น เขาให้หัวเรือโต้น้ำเฉียง ๆ ไว้นิดเดียว มันก็จะข้ามไปเอง ถ้าตัดตรงไป น้ำเชี่ยวอย่างนี้มันก็ต้องหมุนตามน้ำไปทุกที ได้ความรู้เมื่อเรือจม

ไปขุดทรัพย์คราวนี้ก็ไม่ได้ความอีกตามเคย เมื่อถอยทัพกลับมาอย่างมีระเบียบแล้ว ลองเรียนถามหลวงปู่ธรรมไชยดูอีก ท่านบอกว่าเทวดาที่นั่นโกรธมาก ก็ทรัพย์ไม่มี ๆ ยังไปขุดกันอยู่ได้

เอาปืนมันทิ้งน้ำไปมันก็ยังไม่กลัวอีกแน่ะ ขืนไปอีกทีจะฆ่าเสียเลย คณะขุดได้ฟังก็หัวเราะเพราะรู้ว่าเทวดาขู่เล่น เรือพายลำเล็กที่ซื้อมาคุณเสริมก็เลยถวายวัดท่าซุงไปสำหรับพระ จะได้ใช้พายไปบิณฑบาต

ต่อจากนั้นมาไม่นานคุณเสริมก็มีอันเป็นคือ แน่นในท้องอยู่ ๒-๓ วัน จนปวดร้าวไปทั้งตัว ครอบครัวเลยเข็นเข้าโรงพยาบาลไปจนได้ รักษาตัวอยู่ ๒-๓ วันก็กลับบ้าน

หมอสงสัยจะเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี แต่ยังตรวจไม่พบ ขอให้ไปตรวจหลังจากอาการสงบดีแล้ว ซึ่งคุณเสริมยังเกเรอยู่จนบัดนี้ ในภายหลังเทวดาบอกว่าถ้าหากไม่ใช้ให้ไปรับเคราะห์เสียอย่างนี้แล้วก็ต้องผ่าท้องแน่ ๆ

พูดถึงเทวดาที่บอกว่า ท่านพูดอย่างนั้นอย่างนี้นั้น มีวิธีติดต่อสามทางคือ ถามผ่านทางท่านผู้มีฌาน การเข้าทรง และการเดินกระดาน (ถ้วยแก้ว)

เรื่องเช่นนี้ “ผู้ฉลาด” หลาย ๆ คนกล่าวว่าเป็นการงมงาย แล้วมักจะมองดูด้วยความดูถูกหรือเหยียดหยาม แต่คุณอ๋อยและพวกไม่ได้ตกลงไปในความงมงายชนิดนั้น

คือเชื่อกันอย่างหัวทิ่มหัวตำไม่ฟังเหตุฟังผล อย่างน้อยก็สงวนไว้ส่วนหนึ่งคือ เผื่อไว้เสมอว่าอาจจะไม่ใช่เป็นความจริงเสมอไป

สำหรับเรื่องในการไปขุดสมบัตินี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเลื่อนลอยแต่ก็ชวนให้ลึกลับตื่นเต้น มีการผจญภัย จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็คาดว่าคงสนุกแน่ ๆ ก็เลยไปกัน.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 17/1/19 at 04:57

คุณอ๋อยกับ "ลูกศิษย์บันทึก"
โดย อัญเชิญ มณีจักร

"บังเอิญติดดี" ตอนที่ ๑


“...ข้าพเจ้าได้กราบหลวงพ่อท่านครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ ตอนนั้นหายป่วยจากแพ้ยาไข้หวัดเกือบตาย ถึงกับเป็นอัมพฤกษ์ ยังไม่แข็งแรงดี กับได้ยินเขาพูดว่า

ถ้าขึ้นครูกรรมฐานวันพระ หรือวันไม่ดีจะเป็นบ้า หรือเห็นผีได้ ข้าพเจ้ากลัวผีมากอยู่แล้ว จึงไม่กล้าเอาธูป ๓ ดอก เทียนหนักบาท ๑ เล่ม ดอกไม้สามสี เงิน ๑ สลึง ไปนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อท่าน

เพียงแต่ไปกราบ และทำบุญกับท่าน ท่านคุยอะไรๆ ให้ฟังสนุกดี มีความสุขสบายใจมาก

ตอนนั้นหลวงพ่อท่านยังไม่มาที่บ้านซอยสายลม ทุกเดือนเหมือนเดี๋ยวนี้ ลูกศิษย์ยังมีน้อยไม่กี่คน ดูท่าเก่งกันทั้งนั้น

ข้าพเจ้านั่งฟัง และอายุก็น้อยกว่าด้วย นานๆ จะมีคำถามถามท่าน ถามทีไรได้หัวเราะกันเกือบทุกที เพราะคำถามไม่เข้าท่า จนผ่านไปเกือบปี เรียนถามหลวงพ่อท่านว่า

"หลวงพ่อเจ้าคะ.. ลูกอยากขึ้นครูกรรมฐานกับหลวงพ่อ เขาว่าถ้าเป็นวันพระวันไม่ดี จะเห็นผีเป็นบ้าด้วย"

เสียงหัวเราะดังขึ้น หลวงพ่อท่านว่า “ขึ้นไม่ได้หรอก..ครูหนักแย่ เขาเรียกว่าไหว้ครู วันไหนก็ได้ ถ้ายังมีความกลัว เทวดาท่านจะไม่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่ผี

ไม่ว่าใครก็ตามถ้ากำลังทำสมาธิ นึกถึงพระพุทธเจ้า หรือ "พุทโธ" จะมีเทวดาอย่างน้อย ๒ องค์คุ้มครอง และภายในรัศมี ๒ วา ไม่มีอะไรเข้าถึงตัวได้”

คงหมายถึงผีชั่วๆ หรือมารมั้ง ไม่ได้ถามท่านด้วย พอจะเขียนถึงพูดไม่ถูก จนเดือนมีนา ๒๕๑๓ จึงได้บูชาครูอย่างถูกต้องที่บ้านสายลม คล้ายๆ จะมีดอกไม้ ๕ กระทง ข้าวตอก ๕ กระทงด้วย ชักลืมไม่ได้จดไว้

คืนนั้นหลังจากนั่งสมาธิเสร็จแล้ว หลวงพ่อท่านบอกให้ข้าพเจ้าบวชเณรใช้เจ้ากรรมนายเวรให้ "งู" ที่ข้าพเจ้าตีตายในห้องน้ำบ้านพักพยาบาล ที่โรงพยาบาลภูมิพล

เมื่อ ๑๐ ปีก่อน ที่จะพบหลวงพ่อท่าน ทำไปเพราะความจำเป็น มีแต่เพื่อนผู้หญิงทั้งนั้น ใครก็ไล่ไม่ได้ ตัวใหญ่ขดอยู่ในซอกโถส้วมกับถังน้ำ

ข้าพเจ้ายืนอยู่นอกประตู หลับตาตีไปตรงนั้น เพื่อนลืมตาดูให้ คนตีหลับตาเงื้อไม้กระทบพื้น หรือถูกงูทีก็ร้องว้ายๆ ทั้งคนตีและคนดู แบบว่าตีไม่นับเลย ไม้ยาวหลายวา

เคยทราบว่าถ้าตีงูไม่ตายจริง กลางคืนจะมานอนด้วย ตั้งแต่ครั้งนั้นไม่สบายเมื่อไร นึกถึงว่าทำบาป เพราะตีงูทุกที เพราะอย่างอื่นไม่เคยทำ หลวงพ่อท่านบอกว่า

“งู..เขาฟ้องท่านว่า ตีเขาเละเลย..!”

เจ้าค่ะ..ลูกกลัวจะมานอนด้วย ไม้ยาวยกสุดแขนจนหลอดไฟบนเพดานแตกหมดเลย แล้วลูกคิดถึงบาปอันนั้นเรื่อย ๑๐ ปีกว่าแล้วเจ้าค่ะ

ครั้งแรกหลวงพ่อท่านรู้แล้วว่าเราทำบาปอะไร ใจข้องอยู่กับงูตัวนั้นด้วยจริงๆ คืนนั้นกำลังนั่งสมาธิยังนึกว่า เราเคยตีงู ตีงูตัวใหญ่สีดำๆ เคยตีงู ตีงู ถ้าสมัยนี้ก็รู้ว่า เขาคงมาอยู่ข้างหน้าเราแล้ว

คืนเดียวกันนั้น คุณนิด (สุภาพ ปุณศรี น้องสาวพี่อ๋อย) ก็ต้องบวชเณรให้เจ้ากรรมเก่าในอดีตชาติ เคยทำโทษคนรับใช้ผู้หญิง ขโมยเครื่องเพชรทอง เขายังผูกใจเจ็บอยู่

คุณนิดมีลูกชาย เอาลูกชาย หง่าว (พงศธร ปุณศรี) บวช ข้าพเจ้าไม่มีลูกชาย พี่อ๋อย (เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) ภรรยา พล.อ.ท. มรว. เสริม ศุขสวัสดิ์ เจ้าของบ้านซอยสายลม

จัดการเอาลูกชายคนเล็ก หน่อง (ม.ล. จิรเศรษฐ์) ให้ยืมบวชเณรใช้งูตัวนั้น อีกไม่กี่วันพากันไปบวชเณรน้อยที่วัดท่าซุง กับหลวงพ่อท่าน พระมหาวีระ ถาวโร สมัยนั้น

ญาติเณรกับพี่น้องเณรเด็กๆ ไปกันหมด ญาติเยอะ ลูกไปพ่อแม่ก็ไปด้วย ดีว่าบ้านพี่ชุมศรี มีบ้านหลังใหญ่ที่ในเมืองอุทัยให้พัก จึงสะดวกสนุกเหมือนรวมญาติ

หลวงพ่อท่านยังอยู่กุฏิริมน้ำหลังเล็กๆ ที่ตั้งตึกเสริมศรียังเป็นศาลาแบบชั่วคราว มีหลังคาสังกะสีกับพื้นไม้กระดานติดดิน ไม่มีฝาโปร่งโล่งดี

เณรบวช ๕ วัน โรงเรียนกำลังปิด พี่เลี้ยงเณรน้อยกับกองเชียร์ จึงมีหลายคน เด็กๆ สนุก ผู้ใหญ่ก็สนุกชื่นใจ ถามอะไร หลวงพ่อท่านตอบได้หมด.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 27/1/19 at 03:52

ที่มาฉายา "ฤาษีลิงดำ"
โดย อัญเชิญ มณีจักร


“...ยังมีเรื่องแปลกๆ เล่าให้ฟังเกือบทุกวัน ตื่นเต้นทั้งเด็กผู้ใหญ่ ขนาดให้ลูกอู๋ ลูกอุ๋ย (กุลรัตน์ และ กัลยาวัชร์ มณีจักร) เลือกว่าไปตากอากาศชายทะเล กับไปวัดท่าซุง จะไปไหน

ยังเลือกไปวัดท่าซุงเลย ลงเล่นน้ำ หัดว่ายน้ำหน้าวัดเป็นปีๆ ไม่เห็นชาวบ้านลงเล่นยังนึกว่าเขาโง่ ตักขึ้นไปอาบทำไมให้หนักแรง

วันหนึ่งถามเขา เขาบอกว่า แม่น้ำสะแกกรังนี่ จระเข้มีเยอะหลุดมาจากบึงบอระเพ็ด นครสวรรค์ เคยขึ้นจับเป็ดจับไก่ชาวบ้านกิน

มิน่าเขาไม่ลงน้ำกัน เราเองโง่ ถ้าไม่ใช่บารมีหลวงพ่อท่านช่วย คงคาบเอาไปบ้างแล้ว

วันหนึ่งข้าพเจ้าลงเล่น นึกขอเป็นน้ำมนต์ของหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อท่าน ช่วยให้แข็งแรง หายจากขาที่ยังไม่แข็งแรงดีเท่าเดิม กำลังว่ายอยู่หลายคน

หลวงพ่อท่านเดินออกไปที่หน้าระเบียงกุฏิ ๒ ชั้น ริมน้ำ เวลานั้นเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ท่านถามว่า

“อัญเชิญลงเล่นหรือเปล่า”

เล่นเจ้าค่ะ อ้อ ! ท่านทำน้ำมนต์ให้แล้ว เสร็จจากนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ตอนกลางคืน หลวงพ่อท่านจะนำกล่าวอุทิศส่วนกุศล

เราก็ปลุกลูกๆ ที่หลับอยู่ข้างๆ ให้ลุกขึ้นด้วย แล้วเขาก็ได้ฟังหลวงพ่อท่านเล่าเรื่องผี เทวดา สุนัข แมว ตายแล้วเป็นเทวดา ตาสว่างหายง่วง

พี่อ๋อย กับ พี่เสริม เกรงว่าต่อไปภายหน้าเรื่องแบบนี้ จะไม่มีใครเล่าให้ฟังอีก เกรงว่าจะสูญไปจึงขออนุญาตหลวงพ่อท่าน จัดพิมพ์เป็นหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน โดย “ฤาษีลิงดำ”

หลวงพ่อท่านให้นามปากกา จากที่หลวงปู่ปานเคยเรียกท่าน ตั้งแต่นั้น "ท่านฤาษีลิงดำ" จึงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป

ถ้าเอ่ยพระนามเป็นอย่างอื่นก็ต้องว่า ท่านฤาษีลิงดำด้วยถึงจะอ๋อ..กัน มีองค์เดียวเท่านั้น

วันที่บวชเณรน้อย ๒ เณรแล้ว หลวงพ่อท่านจะนำอุทิศส่วนกุศล และให้พร ท่านบอกข้าพเจ้าว่าท่านพระอินทร์มา เราเคยเป็นหลานท่านให้นึกถึงท่านด้วยนะ

"เจ้าค่ะ" รีบรับปากไว้ก่อนไม่ได้ถามท่าน คิดว่าไม่มีปัญหา เมื่อท่านว่า..ยะถา วาริ วะหา ฯลฯ

ข้าพเจ้านึกอุทิศส่วนบุญให้งูที่ตีในห้องน้ำแล้ว งูอะไร ตัวผู้หรือตัวเมียก็ไม่รู้ ตัวนั้นน่ะ แล้วอย่ามาทำให้ป่วยให้ปวดเมื่อยอีก

ทีนี้นึกถึงพระอินทร์มีหลายองค์ แบบนางฟ้าเทวดาไง้ (โง่ถึงขนาดนั้น) ไม่ได้ถามว่าองค์ไหนซะด้วย เอาองค์นั้นที่หลวงพ่อท่านสั่งเมื่อกี้นี้ก็แล้วกันเจ้าค่ะ

พิธีเสร็จเรียบร้อยแล้วยังนึกข้องใจ ว่ากราบเรียนพระอินทร์ถูกองค์หรือไม่หนอ จึงเรียนหลวงพ่อว่า

เมื่อกี้นี้ลูกบอกพระอินทร์แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นองค์ไหนจึงจะถูกองค์ เลยบอกว่าให้องค์ที่หลวงพ่อสั่งเมื่อกี้นี้เจ้าค่ะ

เสียงหัวเราะดังขึ้น พี่โป๋ (พันเอกประวิทย์ ศรลัมพ์) นั่งติดๆ ไม่ฮาเปล่า เอามือตบหลังข้าพเจ้าป๊าบใหญ่ หลวงพ่อท่านหัวเราะด้วยแล้วบอกว่า

“พระอินทร์มีองค์เดียว เป็นใหญ่ในเทวดานางฟ้าทั้งหมด งูเขาเป็นตัวเมีย เวลานี้เป็นนางฟ้าแล้ว

ทีนี้ป่วยปวดเมื่อยก็อย่าโทษเขาอีก เขาอโหสิกรรมให้แล้ว เขาเป็นนางฟ้ามีฤทธิ์ ถ้ามีอะไรให้เขาช่วยก็ขอช่วยได้”

ข้าพเจ้าไม่เคยขออะไรเลยเพราะขอไม่เป็น คิดสงสัยอะไรหลวงพ่อท่านทราบหมด และแก้ข้อข้องใจให้ด้วย.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 7/2/19 at 07:43

หลวงพ่อเริ่มสอน "มโนมยิทธิ" แบบเต็มกำลัง
โดย อัญเชิญ มณีจักร


“...ทีนี้ก็ไปวัดท่าซุงอีกเรื่อยๆ ไปบ่อย จากนั้นอีกไม่นานได้ยินคนอื่นเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า เขาอยู่บ้านบางทีฝันเห็นหลวงพ่อไปหาที่บ้าน

บางรายได้กลิ่นยานัตถุ์ของหลวงพ่อ แสดงว่าหลวงพ่อไปโปรดเขาถึงโน่น เราไม่เคยสงสัยไม่มีบุญ หรือหลวงพ่อท่านไม่เมตตา

คิดในใจคนเดียว กลับจากวัดวันนั้น ก็ไปฟังสวดศพที่บ้านอาจารย์กฤษศิลป์ กำลังนั่งหลับตาฟังพระสวดหน้าศพเพลินๆ กลิ่นยานัตถุ์ฉุนเข้าจมูกแทบสำลัก

เอ๊ะ! ใครนัดยาเวลาพระกำลังสวด ห้องแคบด้วย มองหาไม่มีใครนัดยา หรือมีขวดยานัตถุ์เลย งั้นต้องเป็นกลิ่นยานัตถุ์ของหลวงพ่อท่านแน่ๆ

นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อเกือบ ๒๐ ปีก่อน หลวงพ่อท่านสอนแบบสุกขวิปัสสโกเป็นปกติ

คืนวันหนึ่งท่านสอนแบบฤทธิ์ มีกระดาษเขียนอักษรบาลีพับเป็นรูปสามเหลี่ยมปิดหน้า มีธูป ๓ ดอก จุดแล้วเสียบที่กระดาษด้วย

ลูกศิษย์ก็มีแต่ญาติเณรน้อยทั้งนั้น ข้าพเจ้านั่งข้างหลังริมศาลา หลวงพ่อท่านนำสมาทานกรรมฐานแล้วให้ภาวนา "นะ มะ พะ ทะ"

ถ้าจำไม่ผิดนะ ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ไม่คิดอะไรเลย แม้แต่บุญยังไม่คิด คิดว่านิพพาน คือความว่างที่เขาว่านิพพานสูญ

หลวงพ่อท่านก็ไม่บอกว่ามีฤทธิ์ยังไง คนอื่นอย่างพี่อ๋อย คุณเสริมคงรู้แล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ทำตามหลวงพ่อท่าน ภาวนาไปไม่นาน มือที่ถือกระดาษปิดหน้าสั่นมากขึ้นๆ

เสียงเด็กๆ พูดว่า น้าเชิญสั่นแล้วๆ สมาธิยังดี เดี๋ยวหลวงพ่อท่านเอาไฟฉายมาส่องหน้า อ้อ! ท่านพรมน้ำมนต์ให้ก่อนทุกคนด้วย ท่านถาม

“เห็นอะไรไหม ?”
ไม่เห็นเจ้าค่ะ
“สว่างไหม ?”
สว่างเจ้าค่ะ

ท่านส่องอยู่พักหนึ่ง คงเห็นว่าลูกศิษย์ไม่ได้แน่ ท่านจึงเลิกไปนั่งเงียบๆ ฝนกำลังตกมากเหมือนกัน อากาศเย็นสบายๆ

ทีนี้คางคกกระโดดหนีน้ำฝน เข้าไปอยู่ในเสื้อข้าพเจ้าพอดี เขาจะกระโดดหนีต่อไปก็ติดเสื้อออกไม่ได้

ข้าพเจ้าไม่รู้นึกว่าข้างบนมือสั่น ข้างล่างก็มือสั่นด้วย นึกว่าได้ฤทธิ์ปล่อยให้โดดอยู่พักหนึ่ง ทีนี้หวนนึกถึงงูที่บวชเณรให้

เฮ้ย! งูหนีน้ำเข้าในเสื้อมั้ง กระโดดพรวดเดียวแทรกเข้าไปกลางวงเลย หันหลังดูเห็นคางคกหล่นอยู่ตัวหนึ่ง ดีว่าคนอื่นกำลังนั่งหลับตาจึงไม่เห็นเรา

ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่บอกใครเลย นั่งกลางวงอีกพักหนึ่งเสียงหลวงพ่อท่านคุยแล้ว ข้าพเจ้าถามท่านว่า เลิกได้แล้วยังเจ้าคะ? ท่านตอบได้แล้ว ข้าพเจ้าก็ลืมตาเอามือลง คนอื่นเสร็จกันหมดแล้ว

หลวงพ่อท่านนำถวายกุศล อุทิศส่วนบุญ แล้วกลับไปนอนบ้านพี่ชุมศรี ที่ในเมืองหมด อีกไม่กี่วันไปวัดอีก

เห็นหลวงพ่อท่านฝึกให้ทหารอากาศ ๓ นาย ไปจากตาคลี ตอนกลางวันที่หน้าเตียงศาลาริมน้ำ ที่หลวงพ่อท่านฉันเพลเวลานี้

คนหนึ่งกระโดดตัวลอย กระแทกพื้น โครมๆ ทั้งๆ ที่นั่งขัดสมาธิ ลอยสูงเกือบศอก

ว้าย! ได้ฤทธิ์ต้องเป็นแบบนี้ และเห็นผีด้วย ไม่เอาแล้วเรากลัวผี เอา "พุทโธ" ธรรมดาๆ ดีกว่า.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 17/2/19 at 04:40

"บังเอิญติดดี" ตอนที่ 4
โดย อัญเชิญ มณีจักร


“...นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อก่อน ที่เป็นลูกศิษย์ท่านใหม่ๆ ของพระคุณท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่คนรู้จักนามนี้มากที่สุด

หรือ "พระมหาวีระ ถาวโร" แห่งวัดท่าซุงสมัยโน้น แม่นแล้วคือองค์หลวงพ่อของเราแน่ๆ ไม่เป็นองค์อื่นไปได้

เดี๋ยวนี้ท่านเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้น และเปลี่ยนชื่อสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเป็น พระเดชพระคุณ "ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน"

ด้วยความชื่นชมยินดีในหมู่ลูกศิษย์ พุทธบริษัทลูกหลานของพระคุณท่าน จึงได้จัดทำหนังสือเล่มนี้ขึ้น

ข้าพเจ้าได้รับใบบอกจากคณะกรรมการจัดทำหนังสือ ให้ร่วมเขียนด้วยผู้หนึ่ง ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง แต่ยังนึกไม่ออกเขียนอะไรดี เก็บไว้หลายวัน

จนกระทั่งเช้าวันอาทิตย์ที่ ๒๔ ธันวาคน ๒๕๓๒ กำลังเตรียมตัวจะไปทำบุญที่วัดเทพศิรินทราวาส เนื่องจากงานพระราชทานเพลิงศพของ หลวงปู่พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน บุญ-หลง อาภรณเถระ)

คณะสงฆ์ และญาติลูกศิษย์หลวงปู่ ส่งบัตรให้หมอโกศล มณีจักร จึงรู้กำหนดการมีอะไรบ้าง

จึงบอกกล่าวพวกเราให้ไปทันเริ่มงานตอนเช้าเลย กำลังเตรียมตัวได้ยินเพลงจากทีวีตอนเปิดรายการ เสียงดังฟังชัด จังหวะเร้าใจแบบวัยรุ่น เขากำลังฮิตกัน

“บั๊งเอิ๊น..บังเอิ้น..บัง-เอิญเก่งเอง บังเอิญเหมือนอย่างใคร ใครบังเอิญพอใจ บังเอิญเก่งเอง บั๊งเอิ๊น บังเอิ้น บัง-เอิญเกิดมาได้พร บัง-เอิญพอใจ บังเอิญติดดี บั๊งเอิ๊น..บังเอิ้น..บังเอิญ ฯลฯ”

เนื้อเข้าท่าฟังด้วยความชอบใจ เอ๊ะ! เราเองก็บังเอิญเหมือนกันนะเนี่ย ทำอะไรได้มักจะบังเอิญหลายครั้ง มีเรื่องเขียนเล่าสู่กันฟังลงในหนังสือธัมมวิโมกข์ โลกลี้ลับ โลกทิพย์

นิดๆ หน่อยๆ บ้างก็จากประสบการณ์ที่ทำตามคำสอนของหลวงพ่อท่านได้ แบบบังเอิญเหมือนกัน

อย่างเช้านี้ได้ยินเสียงเพลง “บังเอิญ” ของอัศนี และวสันต์เข้า นึกอยากขียนขึ้นมาทันที รีบเขียนข้อความสั้นๆไว้ก่อนเลย ว่าเขียนตอนไหนดี

ถ้าเขียนทุกตอน ทั้งเล่มนี้เขียนคนเดียวไม่จบแน่ “บั๊งเอิ๊น..บังเอิ้น..บังเอิญเหมือนอย่างใครๆ บัง-เอิญเก่งเอง บังเอิญเกิดมาได้พร”

คงเป็นบุญเก่าของเราที่เคยทำไว้ในอดีตชาติ “บังเอิญพอใจ” พอใจคำสอนแบบของหลวงพ่อท่าน ของพวกเรา ที่ท่านสอนแบบสายกลางไม่เครียดไม่บังคับจนเกินไป สบายๆ สนุกเบิกบานด้วย

“บั๊งเอิ๊น..บังเอิ้น..บังเอิญติดดี” ติดหลวงพ่อท่าน และติดพวกเราลูกศิษย์ของท่านด้วย จึงได้ติดตามร่วมขบวนไปไหนๆ กันเรื่อย

ไม่ว่าในประเทศไทย และไปเมืองนอก เรียกว่า ตามกันๆ จนติด “ติดดี” ไปที่อื่นก็งั้นๆ


เห็นแต่ "ผีลำบาก" มาขอส่วนบุญ

อย่างเมื่อ ๒-๓ วันไปทำบุญครบรอบวันตายผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่วัดอะไรอย่าบอกเลยไม่เหมาะ นั่งฟังพระสวดไม่เห็นพระ เห็นพรหม เห็นเทวดาเล้ย

มีแต่ผีลำบากมาขอส่วนบุญบ้าง นิดๆ หน่อยๆ นึกในใจตัวเรานี้เสื่อมจากญาณหยั่งรู้หรือไง กำหนดดูเทวดาไม่เห็น

เราเสื่อมหรือท่านไม่มาจริงๆ จนเลี้ยงพระเพลทั้งวัดเสร็จหมด จึงไปกินก๋วยเตี๋ยวผัดไทย นั่งคนเดียว คนอื่นกินหมดแล้ว ข้าพเจ้าเขี่ยกุ้งแห้งออก แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวเห็นถามทำไมไม่กิน บอกว่ากินไม่ได้ปวดเมื่อยขา

เขากระซิบกระซาบบอกว่า มียาดีของพระพุทธเจ้า ไม่เคยบอกใครเลย วันนี้จะบอก เพราะความรักนับถือคุณหมอเป็นพิเศษ เขาก็บอกเครื่องยาและวิธีทำ

ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านพ่อหมอชีวกโกมารภัจจ์ยืนลอยอยู่ข้างหน้า ท่านพยักหน้ารับรอง เลยถามแม่ค้าว่า ของท่านพ่อหมอชีวกโกมารภัจจ์ใช่ไหม

เขารับว่าใช่แล้ว ๆ เอามือลูบแขนตัวเองบอกว่า ฉันขนลุกเลยทำไมรู้ ก็เห็นท่านยืนอยู่ตรงนี้ แล้วเขาก็ไปทำงานต่อ

ข้าพเจ้าแยกเข้าห้องน้ำ นึกในใจตำรายาเมื่อกี้ผิดหรือถูกหนอ ท่านโผล่มาอีก บอกว่ายังขาดเกลืออีกอย่าง

บอกมีสามอย่าง มะอึกพริกไทยและเกลือด้วย เจ้าค่ะ ออกจากห้องน้ำ ถามแม่ค้าว่า เมื่อกี้ลืมบอกเกลือด้วยหรือเปล่า รึฉันลืม เขาบอกต้องเกลือด้วย

เป็นอันว่าถูกต้องตรงกัน แสดงว่าญาณหยั่งรู้ยังใช้ได้ ที่ไม่เห็นองค์อื่นแต่แรกท่านคงไม่มากัน เพราะทำบุญไม่ได้บุญ หรือผลบุญมีน้อย

ถ้าจะเป็นเพราะเนื้อนาไม่ดี พันธุ์พืชก็ไม่สมบูรณ์ด้วย ทำตามพิธีถึงจะได้บุญ หรือไม่ได้ ต้องไปกับเขาเพื่อความเหมาะสมของสังคมโลกมนุษย์

เขาเป็นเช่นนั้นเพราะเขาเก่ง ทนทุกข์ในการเกิดอีกได้ ยังไม่เข็ดเกิดนับถือจริงๆ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 26/2/19 at 05:25

"บังเอิญติดดี" ตอนที่ 5
โดย อัญเชิญ มณีจักร


“...พระคุณเจ้าหลวงพ่อท่านให้ความรู้ความสว่าง เป็นที่พึ่งของครอบครัวข้าพเจ้าเรื่อยมา ไม่ว่าจะเรียนถามปัญหาด้วยวาจา หรือนึกในใจ ท่านเมตตาตอบได้หมด

อย่างเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๒ รู้ว่าท่านสลบในห้องน้ำ ตอนออกไปรับแขกที่ตึก “พระสุธรรมยานเถระ” อีก ข้าพเจ้าใจเสียเกรงว่าท่านจะสิ้นก่อน วิชาที่ท่านเมตตาสอนไว้ยังทำไม่ได้หลายอย่าง

ท่านสอนที่วิหาร ๑๐๐ เมตร เรื่องเพ่งกสิณ พี่น้อย กานดา (นิพัทธา) อมาตยกุล กรุณาเอาเทปคำสอนของหลวงพ่อท่านให้ข้าพเจ้าทุกๆ เดือนนั้น

ว่าด้วยกสิณหลายกอง สีแดง สีเขียว สีขาว สีเหลืองมีพระพุทธรูปให้ดูเพ่งแล้ว แสงสว่างเพ่งที่แสงเทียนไฟฟ้า วาโยกสิณกสิณลม ดูที่เปลวเทียนดอกใหญ่

เคยเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่วัดท่าซุง แล้วลมพัดเปลวไหวไปมา กำหนดเอาที่นั่น อาโปกสิณ กสิณน้ำมีในแก้ว ซึ่งมีถวายที่โต๊ะหมู่บูชาแล้วทุกวัน

ถ้าเพ่งทีละกองมันช้า บางกองเคยทำได้แล้วแต่ละเว้นไปนาน กลัวว่าหลวงพ่อท่านจะสิ้นไปซะก่อน เพ่งทีละอย่างจะไม่ทันเวลา จึงเอามาวางรวมกันหมดเลย ให้เห็นถนัดๆ เพ่งรวมกันทุกอย่าง

มีครั้งหนึ่งสว่างพรึบสีขาวใส พร้อมกันหมดเลยในเวลาเดี๋ยวเดียว ไม่ทันตั้งตัวติด บังเอิญจริงๆ เอ๊ะ.. แบบนี้ถูก หรือผิด ทำพร้อมกันก็ได้เหมือนกัน ยังไม่เคยได้ยินว่าใครเขาสอนให้ทำแบบนี้เลย

ถ้าถูกก็บั๊งเอิ๊น..บังเอิญ ขี้ลงช่องแบบหลวงพ่อท่านว่าข้าพเจ้าเสมอ ยังไม่มีโอกาสเรียนถาม ท่านสักที เพราะเห็นท่านป่วยมาก และเหนื่อยเพลียจากรับแขก และสอนอยู่แล้ว

ข้าพเจ้าจะมีเวลาใกล้ชิดกราบเรียนถาม ขอคำชี้แนะจากท่าน ก็ตอนท่านฉันเพลที่บ้านสายลม มีแต่พวกเรา ๒-๓ คนเท่านั้น

บางทีโดนดุ ถ้าคำถาม หรือทำผิด ถือว่าท่านเป็นพระอาจารย์ ลูกศิษย์ไม่โดนอาจารย์ดุจะเอาดีได้อย่างไร จริงไหมท่าน?

แต่ส่วนมากยังไม่กล้าถาม นึกในใจ ท่านจะถามเองว่ามีอะไรบ้างก่อน หรือท่านคุยเรื่องที่ตรงกับเรื่องของเรายังไม่เข้าใจ จึงจะกล้าถามท่านได้

หลายคนมีปัญหาไม่กล้าถามเองให้ข้าพเจ้า เสี่ยงโดนดุเหมือนกัน แต่ต้องเป็นปัญหาส่วนรวม หรืองานวัดจึงจะถามให้

ยิ่งพวกติดตามใกล้ชิดยิ่งโดนหนัก ใครบ้างไม่โดน และไม่กลัวท่าน กสิณดิน ปฐวีกสิณ กสิณของข้าพเจ้ายังไม่มีดินสีอรุณ ยังขาดอยู่กองเดียว

บังเอิญจะตั้งศาลพระภูมิให้ลูกสาว เขาปลูกเรือนหอหลังบ้าน มีกำแพงกั้น กันสุนัขกัดกัน จึงต้องตั้งศาลอีกศาลหนึ่ง ช่างเขาขุดดินลึกเห็นสีออกแดงๆ สะอาดเหนียวดี จึงปั้นเป็นก้อนกลมๆ เท่ากำปั้น ๑๐ ก้อน

หลวงพ่อท่านเข้ากรุงเทพฯ สอนที่บ้านซอยสายลมเมื่อเดือนตุลาคม ข้าพเจ้าเอาดิน ๑๐ ก้อนใส่ถุงพลาสติก ขึ้นไปวางไว้ใต้โต๊ะในห้องนอน

โดยไม่ได้กราบเรียนให้ท่านทราบ เพราะเห็นว่าท่านกำลังป่วยมาก พูดคุยสอนข้างล่างก็เหนื่อยมากแล้ว ไม่ควรให้ท่านพูดกับเราอีกจะเป็นบาป

เมื่อเอาถุงดินวางไว้ได้กราบพระบูชาในห้องนอนของท่าน อธิษฐานขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ พรหม เทวดาทั้งหลาย ที่ท่านมาเยี่ยม มาคุย มาอารักขาหลวงพ่อท่าน

กับบารมีหลวงพ่อท่านเป็นผู้สอนลูกโดยตรง ขอจงช่วยเสกดินให้ศักดิ์สิทธิ์ ให้ลูกได้เพ่งเป็นกสิณ ก้าวหน้าโดยเร็วด้วยเจ้าค่ะ แล้วบอกตี้ (พรนุช คืนคงดี) ว่าเป็นถุงดินของพี่เอง ไม่ใช่ถุงระเบิดนะ

คืนนั้นยังไม่ถึง ๒ ทุ่ม ข้าพเจ้าหลับด้วยความเหนื่อย เพลียจากที่ไปทำงาน และสอนมโนมยิทธิ ฝันว่าอยู่บริเวณลานวัด มีหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ในจานบินอวกาศลำเล็ก

แบบที่ฝันเป็นที่เยอรมัน ครั้งที่ติดตามหลวงพ่อท่านทัวร์ยุโรป เมื่อ มิถุนา ๒๕๓๑ หลวงพ่อท่านนั่งองค์เดียวแต่ในนั้นมีที่นั่ง ๒ ที่

ข้าพเจ้ายืนข้างล่างคอยควบคุมก้อนดินก้อนหนึ่ง คล้ายๆ จะเป็นรีโมทคอนโทรล เอามือกดดินจานบินที่หลวงพ่อท่านนั่งลอยขึ้นได้ แต่ไม่สูงแล่นช้าแต่ฉวัดเฉวียนไปมา มีอยู่ทีเกือบชนต้นไม้

หลวงพ่อท่านตะโกนบอกอะไรไม่รู้ ข้าพเจ้ากดใหม่ ทีนี้เหาะขึ้นสูง แล่นเร็วมากด้วย ข้าพเจ้าวิ่งตามดู ใจหนึ่งก็ห่วงว่า ผู้ที่ไม่ประสงค์ดี จะมาแอบกดเครื่องควบคุม ซึ่งวางไว้กลางแจ้งไม่ลับตาอะไร

คนมีหลายคน ดูไปๆ นึกสนุกเพลินขี้เกียจเฝ้ากดแล้ว นึกกดในใจก็แล้วกัน ใช้ได้ นึกอยากให้ไปทางไหนก็ได้ แถมนึกว่าอย่าให้คนอื่นมากดด้วย กลัวเขาแกล้งทำพัง สนุกจนตื่นนึกถึงความฝัน

ตีความหมายเองว่า ดินที่เราเอาไปวางไว้เมื่อกลางวัน อธิษฐานขอท่านช่วย ท่านรับทราบแล้วจะช่วยเสกให้ด้วย

นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อ ๓ เดือนนี้ ท่านยังไม่ทิ้งข้าพเจ้า ยังเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าอยู่เสมอ และจะขอพึ่งท่านอีกตลอดไป.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 6/3/19 at 06:15

พระคุณท่านมากล้น..รำพัน
ตอน ถวายพระประธาน
โดย เดือนฉาย คอมันตร์


“...ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมากราบหลวงพ่อครั้งแรกกลางปี พ.ศ. 2516 เมื่อเพื่อนข้าพเจ้าประสงค์จะพิมพ์เรื่อง มหาสติปัฏฐาน 4 ของพระมหาวีระ ถาวโร แจกเป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพมารดา

เธอจึงขอให้ข้าพเจ้าพามาบ้านสายลม เพื่อกราบขออนุญาตจากหลวงพ่อ ในตอนนั้นข้าพเจ้าพียงแต่คิดว่าจะไปกราบพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อปานเท่านั้น

เมื่อได้ก้มลงกราบท่าน ท่านทักว่า “เป็นไงโยม..เห็นแล้วผิดหวังไหม..?”

ข้าพเจ้ารู้สึกอยากจะร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ หลังจากท่านทักทายแล้ว ท่านได้โปรดสอนธรรมะเกี่ยวกับขันธ์ 5 ทำข้าพเจ้าสะดุดใจเป็นอันมาก

พอจะเข้าใจก็มองเห็นสภาพตนเองอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้ เราจะมีขันธ์เพิ่มขึ้นเป็น 20 ขันธ์แล้ว ภาระ หน้าที่ และห่วงต่างๆ จะมากขึ้นอีกเท่าไร

ข้าพเจ้าเริ่มศรัทธาในพระองค์นี้ จึงกลับมาอ่าน "หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน" ที่น้าเสริมกับน้าอ๋อย (พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์เสริม และ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์) กรุณาให้มาจนจบเล่มในเวลา 2 วัน

ครอบครัวของข้าพเจ้าคุ้นเคยกับ "น้าเสริม" และ "น้าอ๋อย" ดั่งญาติสนิทมากกว่า 20 ปีแล้ว ตั้งแต่ไปร่วมในการเชิญกระดานที่บ้านอุรุพงษ์




(พระพุทธพรมงคล พระประธานภายในพระอุโบสถ ณ วัดท่าซุง)

การเชิญกระดานนั้นหลวงปู่ศาทมงคล (ภู) ได้แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ (ศาสตราจารย์ ดร. เดือน และคุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค) สร้างพระพุทธรูปทองเหลืองหน้าตัก 55 นิ้ว ขึ้นเป็นพุทธบูชา

ซึ่งได้ฤกษ์เททองเมื่อวันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เวลา 9:29 น. ที่โรงงานหล่อพระของคุณเฉวียง หงส์มณี

ปฏิมากรรมของพระพุทธรูปองค์นี้ มีพระพักตร์แบบพระพุทธชินราชองค์แบบสุโขทัย ขัดสมาธิเพชร และนิ้วพระหัตถ์แบบเชียงแสน

ต่อมาในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2516 คุณแม่, น้าเสริม, น้าอ๋อย, และคณะได้ร่วมกันอัญเชิญพระพุทธรูปไปประดิษฐาน ณ วัดจันทาราม(ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี

โดยได้รับความกรุณาจากหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร อัญเชิญขึ้นเป็นพระประธานของวัดในนาม “พระพุทธพรมงคล”

ในการถวายเป็นบูชานี้ คุณแม่ได้กล่าวสัจจะอธิษฐานไว้ต่อหน้าพระรัตนตรัยว่า “เมื่อผู้ใดได้มาบูชาองค์ท่าน ขอให้ท่านโปรดประทานพร ตามแต่วาสนาบารมีที่เขาจะพึ่งมีพึ่งได้”

ในปี พ.ศ. 2517 บรรดาลูกหลานญาติมิตรได้ร่มสร้างพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร อัครสาวกถวายเป็นพุทธบูชา ตกแต่งผนังเพดานพระอุโบสถ ประดับช่อไฟ

สร้างซุ้มพระอรหันต์ 8 ทิศ ตามลำดับ คณะคุณเดือน บุนนาค ได้สร้างพระพุทธพิมาย เป็นอนุสรณ์เนื่องในการอุปสมบทพระธัมมกโร (รัฐฎา บุนนาค) และพระธนากโร (ธนากร ทับทิมทอง) เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2518

ต่อมาคุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้าถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. 2525 และ พ.ศ. 2527 ตามลำดับ หลวงพ่อยังได้โปรดเมตตาให้ข้าพเจ้านำอัฐิของท่านทั้งสองไปบรรจุไว้ยังฐานพระประธาน “พระพุทธพรมงคล” ในพระอุโบสถอีกด้วย


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 14/3/19 at 05:10

พระคุณท่านมากล้น..รำพัน
ตอน ความเป็นมาของมูลนิธิฯ


“...ข้าพเจ้าได้มากราบหลวงพ่อเกือบทุกครั้ง ที่ท่านมาโปรดสอนธรรมะที่บ้านซอยสายลม

ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณน้าเสริมกับน้าอ๋อยเป็นอย่างมาก ที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสติดตามหลวงพ่อและบรรดาศรัทธาทั้งหลายไปแสวงหาธรรมะ

และกราบนมัสการพระสุปฏิปันโนยังทิศต่างๆ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือเรื่องฤาษีทัศนาจร, ล่าพระอาจารย์, ปักษ์เหนือ, ปักษ์ใต้ และเชียงแสน เป็นต้น)


ในเวลาต่อมาข้าพเจ้าและครอบครัวน้าเสริมก็ได้ไปร่วม “ทรงกระดาน” อีกวาระหนึ่ง เรียกว่า "คณะพรสวรรค์" ซึ่งท่านผู้มาโปรดสงเคราะห์นั้นส่วนมากเป็นพระ และมักจะมีแต่เทศน์เกี่ยวกับธรรมะ (หนังสือพรสวรรค์)

พระเดชพระคุณเจ้าหลวงพ่อท่านมีเมตตาสูง แม้ว่าศิษย์บางคนไปหาหลายอาจารย์ เมื่อไปมาแล้วก็นำมาเล่าให้หลวงพ่อฟัง รวมทั้งเรื่องที่ทรงกระดานด้วยท่านก็บอกว่าดีๆ

ท่านเตือนเสมอว่า ศิษย์พระพุทธเจ้าเหมือนกันทั้งนั้น อย่าอวดว่าอาจารย์นั้นเก่งกว่าอาจารย์โน้น ไม่มีอาจารย์คนไหนจะสอนเก่งกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าได้

ข้าพเจ้ามีความศรัทธาในองค์หลวงพ่อมากขึ้นทวีคูณ ได้เห็นความอัศจรรย์ของหลวงพ่อในการสอนธรรมะ

ความสามารถที่จะชี้ให้ผู้ฟังมีความเลื่อมใสในพระนิพพาน และตั้งใจปฏิบัติเพื่อให้ถึงซึ้งพระนิพพานให้ได้ในชาตินี้ หลวงพ่อท่านจะดูศรัทธาและกำลังใจของศิษย์แต่ละคน

ในบางครั้งเราจะถูกท่านสอนโดยไม่รู้ตัว และในบางครั้งดูเหมือนว่าจะถูกท่านตำหนิเอา แต่นั่นเป็นวิธีหนึ่งที่จะชี้จุดบกพร่องให้เรารู้จักตัด..ละ..ทิ้งไปเสีย

ข้าพเจ้าได้รับความเมตตากรุณาอย่างสูงจากหลวงพ่อทั้งในด้านการเรียนธรรมะ ฝึกมโนมยิทธิ ปฏิบัติพระกรรมฐาน และทำบุญหลายๆ อย่างเกือบทุกรูปแบบ

ข้าพเจ้ามีความปิติสุขอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสทำบุญสนองพระคุณหลวงพ่อตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา โดยได้รับการแต่งตั้งจากหลวงพ่อให้ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร

ความเป็นมาของมูลนิธินี้ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 เมื่อคณะศิษยานุศิษย์ได้ร่วมแรงร่วมใจบริจาควัตถุปัจจัย ตามหลวงพ่อออกเยี่ยมราษฎรยากจนในถิ่นทุรกันดาร ตลอดจนเยี่ยมบำรุงขวัญตำรวจทหารชายแดนในจังหวัดต่างๆ ต่อมา

เมื่อได้รับบริจาคทรัพย์เครื่องอุปโภคบริโภคมากขึ้น หลวงพ่อจึงได้จัดตั้งกองทุนโดยใช้ชื่อว่า “กองทุนหลวงปู่ปาน - พระมหาวีระ ถาวโร (ฤาษีลิงดำ)”

โดยนำทุนที่มีอยู่ออกใช้เพื่อบรรเทาทุกข์ยากของผู้ขาดแคลนในแดนทุรกันดาร เป็นการสงเคราะห์แบบปัจจุบันทันด่วน

ในการเดินทางทุกครั้งพระเดชพระคุณเจ้าฯ เป็นองค์อำนวยการร่วมไปทุกครั้ง ในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จมาทรงประกอบพิธีตัดลูกนิมิตผูกพัทธสีมา พระอุโบสถวัดจันทาราม (ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี


เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2520 นั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อและพระสงฆ์ได้นำราษฎรที่เคยหลงผิดเป็นชอบ และได้กลับใจมาร่วงแรงพัฒนาท้องถิ่นของตนเป็นพลเมืองดีเหล่านั้นเข้าเฝ้า

เมื่อทรงทราบถึงความเป็นไปของคนเหล่านั้น ร่วมทั้งภัยธรรมชาติ นาล่ม ท้องที่อำเภอบ้านไร่ จ.อุทัยธานี พื้นที่ทำการเพาะปลูกพืชผลไม่ได้เลย ราษฎรได้รับความอดอยากขาดแคลน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปรารภขอให้หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร เป็นองค์อำนวยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารขึ้น

และทรงพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 100,000 บาท(หนึ่งแสนบาท) พร้อมกับยาป้องกันรักษาโรคมาลาเรีย 4 หีบใหญ่


ดังนั้น “ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดาร ตามพระราชประสงค์ฯ” จึงจัดตั้งขึ้น ณ วัดจันทาราม(ท่าซุง) และได้เริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือราษฎรตามพระราชประสงค์ฯ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520

เมื่อมีผู้บริจาคทุนทรัพย์เครื่องอุปโภคบริโภคเข้ามาเป็นจำนวนมาก พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เล็งว่างานของศูนย์สงเคราะห์ฯ เป็นงานที่ช่วยเหลือและทำประโยชน์ในเหตุการณ์เฉพาะหน้า ควรจะจัดตั้งมูลนิธิเพื่อเก็บดอกผลไว้ใช้ประโยชน์ในการสงเคราะห์ระยะยาวต่อไป

จึงได้ให้จัดตั้งคณะกรรมการทำตราสาร และจดทะเบียนมูลนิธิ “พระมหาวีระ ถาวโร” ขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2520

ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2524 จาก “มูลนิธิพระมหาวีระ ถาวโร” เป็น “มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร” มีชื่อย่อว่า ม.ป.ร. และชื่อภาษาอังกฤษว่า “VENERABLE – PHRA MAHAVEERA TGAVARO FOUNDATION”

เครื่องหมายของมูลนิธิคือ รูปพระอินทร์ประทับอยู่บนพระแท่น ห้อยพระบาทข้างขวา พระหัตถ์จับคนโฑแก้วหลั่งน้ำ



มีคาถา “สหัสสะเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสธายิ” อยู่ข้างบนของรูป ข้างใต้รูปมีชื่อมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร ทั้งหมดนี้อยู่ในวงกลม

สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่เลขที่ 60/3 หมู่ที่ 1 ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี และมีคณะกรรมการสงฆ์และฆราวาสจำนวน 20 ท่าน มี พระมหาวีระ ถาวโร เป็นองค์ประธานกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิฯ


วัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ คือ ทะนุบำรุงวัดและพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา สงเคราะห์สาธารณประโยชน์ช่วยเหลือผู้ประสบความทุกข์ยากและสาธารณภัย

ส่งเสริมการศึกษาและเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางพระพุทธศาสนาและวิทยาการอื่นๆ ที่ไม่ขัดกฎหมาย

สร้างโรงพยาบาล



...ทั้งยังให้ความร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์เป็นต้น อนึ่งในปี พ.ศ. 2520 หลวงพ่อได้อำนวยการสร้าง โรงพยาบาลแม่และเด็ก มอบให้กับทางราชการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

และต่อมามีผู้มีจิตศรัทธาถวายปัจจัยเพื่อใช้ในการสาธารณกุศลเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อได้เมตตานำทุนทรัพย์นั้นมาสร้างเป็นอาคารเพิ่มเติม ณ โรงพยาบาลแม่และเด็ก วัดท่าซุง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 เป็นตึก 2 หลัง

โดยให้ตึก “ปฐมราชานุสรณ์” ชั้นบนใช้เป็นที่ทำการแพทย์และพยาบาล ส่วนชั้นล่างเป็นห้องผ่าตัดใหญ่ ห้องเอ็กซเรย์ ห้องทำฟัน ห้องรอคลอด และห้องคลอด

ส่วนตึก “ปัญจมราชานุสรณ์” นั้น เป็นตึกพักคนไข้ ในขณะมีเตียงคนไข้ประมาณ 84 เตียง อาคารทั้ง 2 หลังนี้เป็นอาคารที่ทันสมัย

มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ครบ และได้ทำพิธีเปิดตึกมอบอาคารโรงพยาบาลและทรัพย์สินให้กับทางราชการเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2528


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/3/19 at 06:44

พระคุณท่านมากล้น..รำพัน ๓
ตอน สร้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา


“...เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2527 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน ได้โปรดเกล้าฯ ถวายพัดยศและสมณศักดิ์ “พระมหาวีระ ถาวโร” ขึ้นเป็น “พระสุธรรมยานเถระ”

ซึ่งยังความปลื้มปิติให้บรรดาศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง จึ่งใคร่จะสร้างอาคารอนุสรณ์สาธารณูปโภค แสดงมุทิตาจิตระลึกถึงเกียรติคุณของพระเดชพระคุณเจ้าฯ ณ บริเวณเขตมูลนิธิหลวงพ่อปาน - พระมหาวีระ ถาวโร

ซึ่งความคิดนี้ก็ตรงกับความประสงค์เดิมของพระเดชพระคุณพระสุธรรมยานเถระ ที่จะจัดตั้งโรงเรียนของมูลนิธิฯ ขึ้นมา

เพื่อให้ผู้มีความประสงค์เรียน ได้ศึกษาวิชาที่สามารถนำไปประกอบอาชีพที่เหมาะสมแก่ถิ่นที่อยู่ของตน

ซึ่งมีหลักสูตรในการเรียนใช้เวลาตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 6 เดือน หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับวิชาที่เรียน อุปกรณ์ในการเรียน หากไม่เกินวิสัยของมูลนิธิฯ แล้ว ทางมูลนิธิฯ จะจัดหาให้

และได้เปิดทำการสอนในปีการศึกษา 2530 ในชื่อ “โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา” อยู่ในความอุปถัมภ์ของมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร เป็นโรงเรียนเอกชน ประเภทสามัญศึกษา ระดับมัธยมศึกษา

ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2531 พระเดชพระคุณพระสุธรรมยานเถระเห็นว่า ประโยชน์ของงานการศึกษานอกโรงเรียน จะช่วยพัฒนาการศึกษาของประชาชนในชนบทได้เป็นอย่างดี

ทั้งยังประหยัดเวลา เพราะใช้หลักสูตรในการศึกษาน้อยกว่า 2 ปี และสามารถสอบเทียบระดับได้ทั้งมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย

พร้อมกันนี้ได้เปิดสอนวิชาชีพ และให้นักเรียนได้ร่วมกิจกรรมหลายอย่าง รวมทั้งแสดงดนตรีไทย วงโยธวาทิต รำละคร ช่วยทำอาหาร ขายของในวันเทศกาลงานบุญของวัดอีกด้วย


สำหรับนักเรียนที่นี่ทุกคนจะต้องเรียนธรรมะ และผ่านการฝึกมโนมยิทธิจากวัดจันทาราม (ท่าซุง) โดยมีหนังสือรับรองจากครูผู้ฝึกและต้องเป็นผู้มีความประพฤติดีด้วย

อาจกล่าวได้ว่า โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาเป็นโรงเรียนแห่งแรกของจังหวัดอุทัยธานี ที่เปิดการสอนหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนแบบมีชั้นเรียน

โดยมีมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-ม.3) สอนตามหลักสูตรของกรมสามัญศึกษา และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-ม.6) สอนตามหลักสูตรของกรมการศึกษานอกโรงเรียน

ในปีการศึกษา 2532 ทางโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ได้เปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (หลักสูตร 2 ปีได้วุฒิ ม.6 ) โดยใช้หลักสูตรของกรมการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ

สำหรับนักเรียนที่เรียนในระดับดีและประพฤติดีและประพฤติชอบ ทางโรงเรียนจะส่งเสริมให้เข้าสอบแข่งขัน เพื่อจะได้เข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาต่อไป

ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน (ร.9) วันที่ 5 ธันวาคม 2532 ได้โปรดเกล้าฯ ถวายพัดยศและสมณศักดิ์จาก “พระสุธรรมยานเถระ” เป็น “พระราชพรหมยาน” เป็นเจ้าคุณชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ยังความปิติเป็นอย่างยิ่งแก่บรรดาศิษยานุศิษย์

พระเดชพระคุณเจ้าฯ ท่านเป็นผู้มีเมตตาธรรมสูง แม้ว่าท่านจะล้มป่วยหนักมีทุกขเวทนาทางกายอย่างมาก ท่านก็อดทนอดกลั้นที่จะทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

ท่านได้เดินทางมาสอนพระกรรมฐาน และฝึกมโนมยิทธิให้กับผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรมที่กรุงเทพมหานครเป็นประจำทุกเดือน นอกจากนี้ท่านได้ไปเผยแพร่ธรรมปฏิบัติยังต่างจังหวัดและต่างประเทศอีกด้วย

ผลงานของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อมีมากมายเหลือคณานับ พระคุณท่านมีมากพ้นรำพัน สำหรับตัวข้าพเจ้านั้นได้ธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งหลวงพ่อได้ท่านกรุณาชี้ทางให้ไว้เป็นกำลังใจในการดำรงชีพและการทำงาน

พระคุณของหลวงพ่อที่มีต่อข้าพเจ้าและครอบครัวนั้น มีมากพ้นรำพันทับถมท่วมท้นนับเนื่องมาแต่อดีตชาติ จนมิอาจนับได้ว่า อีกกี่กัปกี่กัลป์ ข้าพเจ้าจะตอบแทนพระคุณท่านได้หมด

ข้าพเจ้าได้แต่ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ตราบที่ยังดำรงขันธ์ 5 อยู่นี้ จะช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา ปฏิบัติหน้าที่ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมอบหมายให้ทำนั้นอย่างดีที่สุด และตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อให้ถึงพระนิพพานให้ได้ในชาตินี้.."


หมายเหตุ : โดย แอดมิน
"...สาธุ คำลงท้ายของคุณเดือนฉาย คอมันตร์ หรือที่พวกเราเรียกกันว่า "พี่ต้อย" คงจะเป็นจริงสมดังที่ตั้งความปรารถนาไว้

เพราะในเวลาต่อมา คุณเดือนฉายก็ได้เลื่อนเป็น "ประธานศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ" และในสมัยต่อมาก็ได้รับเลือกเป็น "ประธานมูลนิธิหลวงพ่อปาน - พระมหาวีระ ถาวโร" อีกด้วย

คุณเดือนฉายและครอบครัวได้ช่วยเหลืองานส่วนรวมเป็นอย่างดี นับตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณแม่ (ดร.เดือน - คุณหญิงเยาวมาลย์) ยังมีชีวิตอยู่

โดยเฉพาะได้อุปถัมภ์ผู้ที่บวชในวัดท่าซุง ในจำนวนนี้มี หลวงพี่ชัยวัฒน์ อชิโต รวมอยู่ด้วย ได้ถวายปัจจัยเป็นประจำทุกเดือนจนถึงปัจจุบันนี้

นับเป็นเวลานานกว่า 40 กว่าปีแล้ว จึงขออนุโมทนาความดีที่ "พี่ต้อย" และสืบต่อมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานได้กระทำไว้แล้ว นับตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 30/3/19 at 04:10

หลวงพ่อมีความเมตตาอันหาประมาณที่สุดไม่ได้
ตอน หลวงพ่อตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ (๑)
โดย ทันตแพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์


“...เมื่อกลางปี พ.ศ. 2513 ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ. พระนครศรีอยุธยา ประพันธ์โดย พระมหาวีระ ถาวโร

ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสในเมตตาบารมีของหลวงพ่อปานมาก จึงได้ขอร้องให้ ม.ร.ว.คุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุล ช่วยพาข้าพเจ้าเข้านมัสการหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ที่บ้าน พล อ.ท.ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ ซอยสายลม ถนนพหลโยธิน เพื่อจะได้เรียนและฝึกปฏิบัติธรรมบ้าง

ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่า หลวงพ่อเป็นพระอาจารย์สอนด้านสมถวิปัสสนากรรมฐาน มี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักใหญ่ ณ ศูนย์ปฏิบัติพระกรรมฐาน วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี

ศูนย์ปฏิบัติธรรมนี้ หลวงพ่อสร้างขึ้นเพื่อบูชาพระคุณหลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นพระปรมาจารย์ของหลวงพ่อ ที่ศูนย์นี้มีพระภิกษุสงฆ์ พุทธบริษัท ประชาชน จากจังหวัดต่างๆ มาปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ

นอกจากนี้แล้วหลวงพ่อยังเป็นนักพัฒนาช่วยเหลือผู้ยากจน โดยได้พาพระสงฆ์และคณะศิษย์พร้อมด้วยประชาชนผู้มีจิตเมตตาออกเยี่ยมและบริจาคเครื่องอุปโภคและบริโภค แก่ราษฎรที่ยากไร้ในแดนทุรกันดารทุกภาค

เพื่อให้ผู้ยากจนเหล่านั้นได้มีการกินดีอยู่ที่ดีขึ้น หลวงพ่อช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแก่พี่น้องชาวไทย โดยให้ทั้งวัตถุและกำลังใจด้วยรสพระธรรมที่ง่ายๆ

ฟังแล้วก่อให้เกิดความหวังที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป การช่วยเหลือเป็นไปตามความเหมาะสมและความต้องการของผู้ขาดแคลนในท้องถิ่นนั้นๆ

นอกจากหลวงพ่อจะได้ช่วยเหลือราษฎรแล้ว หลวงพ่อยังได้พาพระภิกษุสงฆ์และคณะศิษย์ออกเยี่ยมมอบอาหาร ยารักษาโรค เครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และวัตถุมงคลแก่ทหารและตำรวจที่ประจำหน้าที่ป้องกันภัยตามชายแดนของประเทศในจังหวัดต่างๆ ทุกภาคเป็นประจำ

การออกไปสงเคราะห์ราษฎรและทหารตำรวจนี้ ได้ดำเนินมาอย่างจริงจังไม่ว่างเว้น โดยทำตามกำลังทุนทรัพย์ที่มีคณะศิษย์บ้าง ประชาชนบ้าง พุทธบริษัทญาติโยมบ้าง

มีศรัทธาเสียสละบริจาคทรัพย์และสิ่งของต่างๆ ถวายหลวงพ่อเพื่อสงเคราะห์ผู้ยากจนเป็นระยะยาวนานสืบมา หลวงพ่อเป็นพระนักพัฒนาทั้งในวัดนอกวัด ทั้งทางโลกและทางธรรมตลอดเวลาที่ผ่านมาประมาณ 30 ปี

เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2519 พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ได้เสด็จมานมัสการหลวงพ่อและทรงศึกษาการปฏิบัติธรรมจากหลวงพ่อ

พระองค์เจ้าหญิงฯ ทรงนิมนต์หลวงพ่อร่วมการเดินทางไปเยี่ยมราษฎร ทหาร ตำรวจชายแดน และช่วยเหลือผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ทุกโอกาสที่เสด็จไป ไม่ว่าจะเป็นภาคใด จังหวัดไหน

นับครั้งไม่ถ้วนตราบจนถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต สิ้นพระชนม์ลง ณ ที่บ้านเหนือคลอง อ.พระแสง จ. สุราษฎร์ธานี

ครั้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงนิมนต์หลวงพ่อเข้าเฝ้าที่พระราชวังสวนจิตรลดา ทรงมีพระราชปรารภเป็นการส่วนพระองค์ให้หลวงพ่อตั้ง "ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดาร" ขึ้น

โดยมีศูนย์กลางปฏิบัติงานอยู่ที่ วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี และทรงรับสั่งให้หลวงพ่อเป็นองค์อำนวยการศูนย์ฯ นี้

ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 100,000 บาท และยาป้องกันรักษาโรคมาเลเรีย 4 หีบใหญ่ให้แก่ศูนย์ฯ นี้อีกด้วย

หลวงพ่อเล่าให้คณะศิษย์ฟังว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงราษฎรในถิ่นทุรกันดารที่ยากจนซึ่งมีจำนวนมากมาย

เนื่องจากในกลางปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา ในจังหวัดต่างๆ ทั่วทุกภาคเกิดภัยธรรมชาติรุกราน ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล พื้นดินแตกระแหงแห้งแล้ง ราษฎรขาดน้ำทำไร่ทำนาปลูกพืชผล

แม้น้ำจะดื่มอุปโภคก็หายาก ผลประโยชน์ที่เคยหาได้เพื่อยังชีพก็ขาดไปถึงกับต้องขุดกลอย ขุดมัน ใช้กินต่างข้าวพอประทังชีวิตไปวันหนึ่งๆ อดอยากยากจนมีทุกข์เดือดร้อนน่าเวทนายิ่งนัก

บางหมู่บ้านถึงกับทิ้งไร่นาบ้านช่องของตนเข้าไปอยู่ในป่าพงดงดิบตามยถากรรม ความทุกข์ของพี่น้องชาวไทยซึ่งมีมากมายทั่วถิ่นทุรกันดารเหล่านั้น เสมือนเป็นความทุกข์ของพระองค์เองด้วย

ควรจะต้องรีบช่วยเหลือในปัญหาเฉพาะหน้าก่อนอื่น ให้เหล่าราษฎรบรรเทาความอดอยากตามสมควร เพื่อจะได้มีกำลงกายกำลังใจค่อยๆ ตั้งตัวทำมาหาเลี้ยงชีพเองต่อไปได้

หลวงพ่อได้เร่งจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ฯ สนองพระราชปรารภทันที โดยมีจุดมุ่งหมายดังนี้

1. ช่วยสงเคราะห์การอยู่กิน การเจ็บป่วย และช่วยเครื่องอุปโภคที่จำเป็นแก่ราษฎรที่ยากจนจริงๆ เป็นครั้งคราว เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

2. ตั้งสาขาของศูนย์สงเคราะห์ฯ ในจังหวัด อำเภอ ตำบลต่างๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อการสงเคราะห์จะได้ดำเนินโดยต่อเนื่องกันไป

3. แนะนำการทำมาหากิน การประกอบอาชีพที่เหมาะสมแก่ท้องถิ่นที่ตนอาศัยอยู่ เช่นการเกษตร การกสิกรรม การพัฒนาท้องถิ่นที่อยู่ ให้เป็นประโยชน์ต่อตนและส่วนรวม ตลอดจนช่วยหาแหล่งน้ำให้

4. ช่วยเหลือการจัดตั้งโรงเรียน เพื่อให้เยาวชนมีการศึกษาตามมาตรฐานที่กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งเป็นหลักเกณฑ์ไว้

5. จัดตั้งธนาคารข้าวทั่วไปทุกท้องถิ่น ให้ราษฎรในท้องถิ่นเป็นผู้จัดการและกรรมการดำเนินการเอง เพื่อให้ราษฎรได้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมถิ่นเดียวกัน ตามระเบียบของธนาคารข้าวที่ศูนย์ฯ ตั้งเป็นกฎระเบียบไว้

6. ตั้งโครงการในการแก้ปัญหาต่างๆ ระยะยาว โดยมีสาขาของศูนย์สงเคราะห์ แทน

7. พัฒนาจิตใจของของราษฎร โดยการพัฒนาจิตใจของของราษฎร โดยการปลูกฝังจริยธรรมให้มีปัญญาในทางที่ชอบ มีสัมมาอาชีวะ รู้จักหวงแหนผืนแผ่นดินไทยที่ตนกำเนิดเกิดมา ได้อยู่อย่างร่มเย็น รู้ตอบแทนและต่อสู้ศัตรูผู้เป็นภัยมารุกรานประเทศชาติ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 7/4/19 at 07:55

หลวงพ่อมีความเมตตาอันหาประมาณที่สุดไม่ได้
ตอน หลวงพ่อตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ (๒)
โดย ทันตแพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์


“...เมื่อหลวงพ่อตั้งศูนย์ฯ นี้ขึ้นมา มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์ สิ่งของ เสื้อผ้า ผ้าห่ม ยารักษาโรค อาหารแห้ง ข้าวสาร อุปกรณ์ในการศึกษา รถยนต์ที่ใช้ในการเดินทาง ฯลฯ

โดยเสด็จพระราชกุศลให้ศูนย์ฯ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชวังสวนจิตรลดา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า..


พระบรมราโชวาท

“...ขอให้ท่านทั้งหลายควรที่จะหาวิธีการช่วยเหลือ หาอาชีพ ให้ราษฎรที่ยากจนในท้องถิ่นทุรกันดารได้ประกอบอาชีพ ตั้งหลักตั้งฐานอยู่ในท้องถิ่นของตน เลี้ยงตนเองและครอบครัวอย่างมีความผาสุกต่อไป

ขอให้ท่านทั้งหลายจงอย่าคิดว่า เมื่อเราช่วยเหลือครั้งนี้แล้วก็หยุด ถ้ามีโอกาสที่เราจะช่วยได้ก็จงช่วยกันต่อๆ ไป และการที่จะช่วยเหลือนี้ก็อย่าคิดว่าเราได้รับผลตอบแทน

ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว การเสียสละของท่านทั้งหลายในส่วนที่เป็นกุศลนี้มีคุณค่ามหาศาล ยากที่จะหาสิ่งตอบแทนใดมาเทียบกันได้ นับว่า การกระทำของท่านทั้งหลายเป็นสิ่งที่น่าชมเชยและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง”


...ต่อมาหลวงพ่อได้เร่งนำพระสงฆ์และคณะศิษย์ออกเยี่ยมบริจาควัตถุสิ่งของต่างๆ ตามรายการที่สำรวจรับทราบว่า มีราษฎรจำนวนเท่าไรที่ขาดแคลนยากจนจริงๆ และตามความต้องการของเขา

ทั้งที่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ทหาร ตำรวจ เจ้าอาวาสในท้องถิ่นนั้นๆ คณะศิษย์และประชาชนผู้มีจิตศรัทธาเมตตาร่วมการสำรวจ และร่วมกำลังกายกำลังใจกำลังทรัพย์ให้ศูนย์ฯ และออกร่วมเดินทางกับคณะ

ซึ่งมีหลวงพ่อองค์อำนวยการศูนย์ฯ เป็นประธานร่วมไปทุกครั้งไม่ขาด การเดินทางเข้าป่าเขาที่แสนทุรกันดาร เต็มไปด้วยความลำบากและอันตรายรอบด้าน

สมชื่อถิ่นทุรกันดารจริงๆ เป็นป่าลึก ภูเขาสูงชันบ้างต่ำบ้าง ที่ราบที่แฉะชื้นดินเป็นโคลนตมเป็นห้วยเป็นลำธาร มีอันตรายทั้งธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากที่สุดที่ไม่เคยคิดมาก่อน

โดยเฉพาะในแดนที่มีฝ่ายตรงข้าม ที่ไม่หวังดีต่อชาติซ่องสุมผู้คนอยู่ ขณะนั้นมีจำนวนไม่น้อย ในแต่ละจังหวัด

ฉะนั้น ทุกคนที่ร่วมมาปฏิบัติงานของศูนย์ฯ นี้ ต้องพร้อมเสมอที่จะสละร่างกายของตนได้ทุกเมื่อ ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย

ต้องอาศัยอยู่ในโรงทหารและตำรวจบ้าง ในวิหารที่เก่าแก่ของวัดบ้าง ต้องกินเพื่ออยู่ท้อง ต้องสามารถช่วยตนเองได้ทุกกรณี


หลวงพ่อได้กล่าวเตือนว่า
“...การเดินทางทุกครั้งของลูกรักทั้งหมดจงอย่ามีความประมาท และก็จงอย่าคิดว่าอันตรายจะไม่มีกับเรา

ถ้าบังเอิญจะพึงมีอันตรายเกิดขึ้น ก็จงคิดว่าเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม เราทำดีที่สุดแล้ว เราเสียสละทุกอย่าง ชีวิตและเลือดเนื้อเราก็ยอม

ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีความสุข ความทุกข์มันจะเบียดเบียนเพราะ การเกื้อกูลบรรดาพี่น้องเจ้าไทยและไม่ใช่ไทยให้เขามีความสุขตามกำลังความสามารถของเราที่จะพึ่งทำได้

เป็นการสนองพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้คณะของเราตั้งศูนย์ขึ้น ในนามของพระองค์เป็นศูนย์สงเคราะห์

ทุกคนที่ร่วมงานของศูนย์นี้ไม่คิดเป็นปรปักษ์กับใคร จิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปราณี ถ้าเป็นเรื่องของประเทศชาติแล้ว

จงสละความสุขส่วนตนเสียแล้วมุ่งหน้าช่วยเหลือกัน โดยกระทำทุกทางเพื่อส่วนร่วมเป็นสำคัญ ด้วยความเข็มแข้งและกล้าหาญจะประมาทเสียมิได้”


...ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดารตามพระราชประสงค์ฯ นี้ หลวงพ่อเรียกว่า “สังคหวัตถุศูนย์ คือ เป็นศูนย์ที่มีการสงเคราะห์คนในด้านวัตถุและกำลังใจ”

ทุกครั้งที่หลวงพ่อพาคณะศิษย์ไปสงเคราะห์ผู้ยากจนก็ดี ไปเยี่ยมและบริจาควัตถุมงคลแก่ทหาร ตำรวจชายแดนก็ดี สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อได้มีเมตตาแก่คณะศิษย์นั้นคือ

ทุกครั้งเมื่อการปฏิบัติงานเสร็จสิ้น หลวงพ่อจะพาคณะศิษย์ไปเคารพนมัสการวัดวาอาราม ปูชนียสถานและอนุสรณ์สถานต่างๆ ในจังหวัดนั้น

หลวงพ่อจะเล่าความเป็นมาและเหตุผลการสร้างวัดและปูชนียสถาน ซึ่งพระมหากษัตริย์และบรรพชนไทยในสมัยโบราณสร้างไว้ ด้วยความรักเทิดทูนหวงแหนประเทศชาติศาสนามากอย่างไร

ท่านเสียสละมากเพียงไหน เพื่อให้ชาติศาสนาดำรงอยู่ให้ลูกหลานรุ่นหลังได้อยู่เย็นเป็นสุข คณะศิษย์และผู้ติดตามต่างซาบซึ้งในความเสียสละของท่าน

พากันบริจาคทรัพย์สินไว้ซ่อมแซมบูรณะบ้าง ปัจจัยสี่บ้าง สร้างถาวรวัตถุเพิ่มขึ้น เพื่อให้เอกลักษณ์และความสำคัญของสถานที่นั้นๆ ยังคงไว้ซึ้งความศักดิ์และความสำคัญในการต่อไป

การบริจาคนี้เป็นวิหารทาน ธรรมทาน สังฆทานโดยสมบูรณ์ คณะศิษย์ผู้ร่วมงานไม่เคยนึกเหนื่อยและท้อถอย ไม่เคยออกกำลังกายกำลังใจ เพื่อช่วยเหลือกิจการในส่วนสาธารณประโยชน์เหล่านี้

เมื่อทราบว่าหลวงพ่อจะนำคณะออกไปเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร ต่างก็พากันมาที่ศูนย์กลางเพื่อจัดการเตรียมของต่างๆ ไว้บริจาค

ซึ่งเป็นงานหนักมาก ใช้เวลาเตรียมล่างหน้าเป็นเดือนๆ เมื่อของที่เตรียมไว้สงเคราะห์พร้อมแล้ว หลวงพ่อก็จะนำคณะออกเดินทาง ซึ่งแต่ละคราวมีจำนวนประมาณ 60-150 คน

ข้าพเจ้าเชื่อว่า คณะศิษย์ที่ติดตามทุกคน มีความประทับใจมากในการเดินทางไปสงเคราะห์ผู้ยากจนทุกครั้ง ต้องผจญภัยไม่รู้จักจบบ้าง สลดใจน่าสงสารในความยากจนของพี่น้องไทยบ้าง

คราวใดในยามค่ำคืนหลังอาหารเย็นแล้ว หลวงพ่อจะมีการสนทนาธรรมและสรุปผลการปฏิบัติงานในแต่ละวันนั้นๆ เป็นปกติ ถ้ามีข้อบกพร่องจะได้แก้ไขให้ดีขึ้น เช่น

แจกของที่แม่ฮ่องสอน
...วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 หลวงพ่อได้พาคณะศิษย์จำนวน 82 คนไปเยี่ยมราษฎรที่ยากจนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน

ในการเดินทางนี้ได้นำข้าว รักษาโรค เครื่องอุปโภคบริโภค ผ้าห่ม ฯลฯ ไปแจกแก่ราษฎรใน อ.แม่ลาน้อย อ.แม่สะเรียง อ.ขุนยวงฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ต.ออบหลวง ฯลฯ

หลวงพ่อและคณะพักที่หน่วยชลประทาน ซึ่งเป็นอาคารสร้างไว้หลายปีแล้ว ในค่ำคืนนั้นหลวงพ่อได้ออกมานั่งอยู่ในกระโจมเล็กๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีไฟฉายอยู่ 1 อัน

ก่อนออกไปนั่งชุมนุมกัน หลวงพ่อเตือนว่าให้ลูกหลาน (คณะศิษย์) ใส่เสื้อกันหนาวให้เต็มอัตรา ผ้าพันคอ ผ้าห่ม หมวก ถุงมือใส่ให้หมด

เพราะศูนย์ชลประทานอยู่บนดอย อากาศตอนนั้นไม่ได้วัดเพราะไม่มีปรอท แต่พอจะคะเนได้ราวๆ 8-10 องศา อากาศแสนจะหนาวเหน็บ นั่งเบียดกันเท่าไรๆ ก็ไม่หายหนาว น้ำค้างหยดพรมลงมากเรื่อยๆ อากาศมืดเพราะค่ำคืนแล้ว


หลวงพ่อให้โอวาทแก่เจ้าหน้าที่ศูนย์สงเคราะห์

...คณะศิษย์นั่งอยู่กลางสนามหญ้ากว้าง บนใบสักที่หล่นทับถมอยู่หนาชั้น ใต้ใบสักนั้นมีมดดำตัวโตๆ เดินเล่นไปมา (เข้าใจว่าคงมีครอบครัวอยู่ข้างล่างใต้ดิน) ธรรมะที่หลวงพ่อสนทนาในคืนนั้นมีใจความสั้นๆว่า

“การเดินทางมาสงเคราะห์ครั้งนี้ลำบากกว่าทุกครั้ง เพราะมาพบอากาศหนาวเย็นเหลือเกิน อีกทั้งมีอันตรายรอบด้าน เราถูกติดตามโดยผู้ไม่หวังดีต่อประเทศไทยคอยตามล่าชีวิตพวกเรา เขามีกันหลายพวกกระจายอยู่ในที่ต่างๆ

การสงเคราะห์บริจาคแก่ผู้ยากจนก็ถูกเขาขัดขวางทุกทางไม่เลือก จนผู้ยากจนจริงๆ อยากได้ยา อยากได้เสื้อผ้า ผ้าห่ม ข้าว อาหาร ก็ไม่กล้าบอกไม่กล้าออกมา เขาผลักไสให้ที่อื่น แต่เราก็ต้องแจกให้กับเขาไป

ขอให้พวกเรานึกว่า การให้ครั้งนี้เป็นทาน อย่านึกว่าเราบริจาคแล้วจะไม่ได้ผล เราได้เสียสละแล้วและไม่โกรธเคืองเขา แม้ชีวิตเราแทบจะเอาตัวไม่รอด ผลที่เราได้ในวันนี้คือ ทานและอภัยทาน อันเป็นปรมัตถทาน”

เรามีความเชื่อมั่นว่า ด้วยพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่แผ่ไปทั่วขอบขัณฑสีมาอาณาจักรไทยนั้น

ปกเกล้าปกกระหม่อมคณะเราทั้งหลายให้แคล้วคลาดจากภยันตรายนานาประการ ให้เราได้ปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นลงด้วยดีแต่ละครั้งเสมอมา

ในการเดินทางไปสงเคราะห์ผู้ยากจน หลวงพ่ออาพาธบ่อยเพราะกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ทำงานตามปกติ หลวงพ่อก็ไม่ได้หยุดยั้งการไปช่วยเหลือตามถิ่นทุรกันดาร

ถ้าหลวงพ่อมีแรงพอไปได้ หลวงพ่อก็จะเดินทางไปโดยมีหน่วยแพทย์นำยาและน้ำเกลือไปด้วย เพื่อถวายการรักษาหลวงพ่อ

เราคณะศิษย์ผู้ร่วมเดินทางไปปฏิบัติงานได้เห็นภาพหลวงพ่อนอนให้นายแพทย์ใส่สายน้ำเกลือในวาระและสถานที่พักที่ออกปฏิบัติงานที่กันดารบ่อยครั้ง

หลวงพ่อมีอายุมากแล้ว หลวงพ่อก็ยังมีเมตตาสูง รักและห่วงใยความเป็นอยู่ที่ยากจนของพี่น้องชาวไทยและเพื่อนร่วมโลก ปรารถนาจะให้เขามีความสุขพ้นทุกข์โดยไม่เลือกชาติ ศาสนา


หลวงพ่อปรารภว่า “เมื่อร่างกายไม่ดี แต่ใจสบายก็จะขอสงเคราะห์พุทธบริษัทและญาติโยมด้วยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมทาน จะไปสนใจกับร่างกายทำไม ถ้ายังไม่ตายเพียงใด เราเลี้ยงมันแล้วเราต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ ” และ

“ขอทุกคนจงนำพระราชจริยานุวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปปฏิบัติตาม ทุกคนจงคิดว่าศูนย์ฯ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมอบให้พ่อมานี้ เป็นศูนย์ฯ ของลูกทุกคนด้วยนะ..ลูกรัก !!

เวลาพ่อแก่ลงไปทำไม่ไหว หรือป่วยมากลงไปทำไม่ไหว หรือพ่อตายแล้วก็ตาม ขอลูกรักจงทำกันต่อไป..”


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 15/4/19 at 08:06

หลวงพ่อมีความเมตตาอันหาประมาณที่สุดไม่ได้
ตอน หลวงพ่อตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ (๓ จบ)
โดย ทันตแพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์


“...การเดินทางระหว่างปี พ.ศ. 2521-2528 หลวงพ่อพาคณะศิษย์ไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ของศูนย์ฯ แทบจะทุกเสาร์-อาทิตย์ทุกเดือน

เว้นระยะเข้าพรรษา ก็ยังไปช่วยเหลือตามตำบล อำเภอต่างๆ ในจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งอยู่ใกล้ศูนย์กลางปฏิบัติการเป็นประจำ

ด้วยการตรากตรำในการเดินทางไปปฏิบัติงานเหล่านี้ ทำให้หลวงพ่อไม่ได้พักผ่อนเท่าที่ควร พอต้นปี พ.ศ. 2528 หลวงพ่ออาพาธหนักบ่อยครั้ง

นายแพทย์แนะนำให้หลวงพ่อพักเพื่อรักษาองค์ท่านให้แข็งแรงก่อน แล้วจึงเดินทางไปสงเคราะห์เป็นครั้งคราว และท่านก็อาพาธหนักเรื่อยมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

แม้กระนั้น หลวงพ่อก็ยังได้มีบัญชาให้ศูนย์ฯกลางได้มอบอาหาร ข้าว เสื้อผ้า ยารักษาโรค และหนังสือเรียนให้แก่เจ้าหน้าที่สาขาของศูนย์ฯ ในจังหวัดต่างๆ ออกเยี่ยมราษฎรแทน

หลวงพ่อมีเมตตาและห่วงใยในงานสงเคราะห์ของศูนย์ฯ มากหลวงพ่อปรารภว่า ถ้าการสงเคราะห์มีแต่เพียงจัดหาทรัพย์สิ่งของต่างๆ

ได้มาแล้วก็บริจาคไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ไม่ช้าจะหมดกำลังงานช่วยเหลือจะต้องสะดุดหยุดอยู่ คนยากจนที่มีจำนวนมากมายจะมีความทุกข์เดือดร้อนเพิ่มขึ้นเพราะขาดที่พึ่ง

ดังนั้น หลวงพ่อจึงวางรากฐานให้แก่ศูนย์สงเคราะห์ โดยให้ตั้ง “มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร” ขึ้น เพื่อนำดอกผลของมูลนิธิมาใช่จ่ายในการช่วยเหลือคนยากจนต่อไปโดยไม่ขัดข้องอีก

มีคณะศิษย์และประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศพากันมาบริจาคทรัพย์ถวายหลวงพ่อ โดยเสด็จพระราชกุศลให้แก่มูลนิธิฯ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นกำลังอันล้ำค่ายิ่งนัก ควรแก่การอนุโมทนา

วัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ ก็คือทำนุบำรุงวัดและพระภิกษุสงฆ์ในพระบวรพุทธศาสนา อุปถัมภ์ศูนย์สงเคราะห์ในงานสาธารณประโยชน์ ช่วยเหลือผู้ประสบความทุกข์ยากและสาธารณภัย

ส่งเสริมการศึกษาเผยแพร่ความรู้ทางพระพุทธศาสนาและวิทยาการอื่นๆ ที่ไม่ผิดกับกฎหมาย ร่วมการกุศลกับองค์กรอื่นๆ ตามความเหมาะสมตามกฎที่ตั้งไว้

ต่อมาหลวงพ่อได้ปรารภว่า ในเขตมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร ได้สร้างอาคารสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว มีโรงพยาบาลแม่และเด็ก

ที่หลวงพ่อเมตตาสร้างตึกอาคารขึ้นมีมูลค่า 35 ล้านบาท มีเตียงคนไข้ 84 เตียง มีอุปกรณ์และห้องผ่าตัด รักษาโรค ทันตกรรม เอกซเรย์ มีนายแพทย์ พยาบาล เป็นโรงพยาบาลที่สมบูรณ์พร้อม

หลวงพ่อทำพิธีมอบให้กับทางราชการกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ พ.ศ. 2526 แล้ว ยังขาดการสร้างโรงเรียนเพื่อช่วยเด็กยากจน

ดังนั้นในปี พ.ศ. 2528 หลวงพ่อองค์ประธานกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิฯ มีความห่วงใยในเด็กที่ยากจนขาดแคลนทุนทรัพย์ที่จะเล่าเรียนต่อในชั้นมัธยม

ซึ่งมีจำนวนมากในที่ต่างๆ มีความทุกข์มองไม่เห็นอนาคตของตน หลวงพ่อมีเมตตาต่อเด็กๆ เหล่านี้หาประมาณมิได้ จึงจัดตั้ง "โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา" ขึ้น

ในเขตของมูลนิธิฯ ต. น้ำซึม อ. เมือง จ. อุทัยธานี เป็นโรงเรียนรัฐบาลระดับมัธยม มีระเบียบการบริหาร โรงเรียนตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการ

การสมัครเป็นนักเรียนประจำและนักเรียนไป-กลับ ต้องสอบเข้าและมีคุณสมบัติตรงตามกฎเกณฑ์ที่หลวงพ่อได้ตั้งไว้

หลวงพ่อมีความเมตตาและปณิธานอันแน่วแน่ ที่จะปลูกฝั่งเด็กให้เป็นคนดีมีศีลธรรม และมีความรู้เพื่อจะได้มีความเจริญก้าวหน้าทั้งด้านวิชาการและคุณธรรมต่อไปในภายหน้า

ฉะนั้น เด็กนักเรียนทุกคนที่สอบเข้าได้จะต้องปฏิบัติตนอยู่ในสังคหวัตถุ 4 มีพรหมวิหาร 4 รักษาศีล 5 และฝึกปฏิบัติธรรมที่จำเป็น เป็นประจำและเรียนดี เป็นต้น

โดยหลวงพ่อได้เมตตาสงเคราะห์ในเรื่องค่าใช้จ่ายทั่วไป ตลอดจนค่าเล่าเรียน อุปกรณ์และเครื่องแบบในการเล่าเรียนทุกอย่าง อาหาร ให้สถานที่พัก (นักเรียนประจำ)

ซึ่งเป็นอาคารปลูกใหม่ 2 หลังใหญ่และยังได้สร้างอาคารเรียนอีก 2 หลังใหญ่ เพื่อบรรจุนักเรียนที่จะศึกษาต่อในชั้นมัธยมตอนปลาย

อีกทั้งได้เสริมการสอนวิชาชีพสาขาต่างๆ เช่นการเกษตร กสิกรรม หัตถกรรม เครื่องจักรยนต์ การก่อสร้าง การเจียระไนอัญมณี ดนตรีไทยและดนตรีสากล ศิลปวัฒนธรรมไทย เป็นต้น

การใช้จ่ายที่สงเคราะห์นักเรียน เป็นจำนวนเงินสูงมาก ขณะนี้โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา มีนักเรียนประจำและไป – กลับรวม 308 คน

ข้าพเจ้าคิดว่า เหล่าสานุศิษย์ทั้งหลายคงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับข้าพเจ้าไม่มากก็น้อย ในเมตตาบารมีอันไพศาลหาขอบเขตมิได้ ที่หลวงพ่อมีต่อบรรดาเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย

โดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา และคิดว่าการเกิดครั้งนี้เป็นบุญเหลือแล้ว ที่มีบิดามารดาเป็นสาธุชน มีญาติมิตรสหายเป็นกัลยาณมิตรมีชาติเชื้อไทยเป็นเอกราช

มีพระมหากษัตริย์มหาราชเจ้าที่ทรงทศพิธราชธรรมประเสริฐสุด มีกำเนิดอยู่ในพระบวรพุทธศาสนา มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเป็นหลักใจ

และได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันเป็นสัจธรรมว่า ความเกิดเป็นทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ทางดับทุกข์

อันเป็นมรรคผลแห่งการไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีก และพบเอกันตบรมสุขเท่านั้นสืบไป..."


...หมายเหตุ : คุณหมอลัดดา จารุวัสตร์ เป็นภรรยานายตำรวจใหญ่ท่านหนึ่งในอดีต แต่มีความศรัทธาพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ จะเห็นได้ว่ามาตาม "ใบสั่ง" อีกเช่นกัน จาก "หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน"

โดยมีหน้าที่ช่วยเหลือ "งานศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดาร" มาตั้งแต่ต้นเริ่มตั้งศูนย์สงเคราะห์ฯ คือช่วยจัดวัตถุสิ่งของที่รับบริจาคแล้วส่งไปให้ทางวัด ซึ่งมีหลวงพี่ชัยวัฒน์ อชิโต เป็นผู้ประสานงานอยู่ทางวัดท่าซุง

นอกจากพี่หมอลัดดาได้ช่วยงานศูนย์สงเคราะห์ฯ แล้วยังได้ทำรายงานการปฏิบัติงานของหลวงพ่อและเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ โดยได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือของศูนย์ฯ ขึ้นมาเผยแพร่อีกด้วย

นับว่าพี่หมอเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังและเบื้องหน้า เพราะบางคราวก็ได้ร่วมเดินทางไปกับหลวงพ่อด้วย ส่วนวัตถุสิ่งของที่รับบริจาคแล้วนำแจกไปทุกครั้งนั้น เป็นผลงานของพี่หมอลัดดาพร้อมคณะฯ จัดช่วยจัดหีบส่งไปให้วัดทุกครั้ง

ด้วยเหตุนี้ คณะทีมงาน "เว็บวัดท่าซุง" จึงขออนุโมทนาและขอนำความดีที่พี่หมอได้กระทำไว้ตลอดชีวิต นับว่าเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนเป็นอย่างยิ่ง

ถือว่าเป็น "บุคคลตัวอย่าง" ที่มีศักดิ์ศรีอีกผู้หนึ่งที่ไม่ถือตัวคือตน ได้อุตส่าห์เสียสละบำเพ็ญคุณประโยชน์ต่อส่วนรวม เพราะพี่หมอเป็นคนรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นที่สุด

อีกทั้งพี่หมอเป็นนักปฏิบัติธรรมที่หวังการพ้นทุกข์เป็นที่สุด จึงหวังว่าพี่หมอคงจะได้ไปสู่ดินแดนที่เป็น "เอกันตบรมสุข" เป็นที่สุดด้วยเช่นกัน..สวัสดี


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 22/4/19 at 05:12


"เจ้าคุณพระราชพรหมยาน พระอาจารย์ผู้ประเสริฐ"
บันทึกโดย ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์


...ก่อนที่จะอ่านเรื่องราวของท่านผู้นี้ ผู้จัดทำใคร่ขอแนะนำสักเล็กน้อยว่า ท่านผู้นี้เป็นช่างทำผมประจำพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และเป็นภริยาของท่าน พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม

ผู้จัดทำก็เพิ่งทราบเหมือนกันว่าท่าน ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินมาวัดท่าซุงในคราวนั้น


ขอเชิญพบกับบันทึกของผู้เล่าเองดีกว่า แล้วจะรู้ว่าท่านทำคุณประโยชน์ให้แก่วัดท่าซุง และลูกศิษย์หลวงพ่อไว้อย่างไรบ้าง..


“...สมองของข้าพเจ้าได้บันทึกความจำไว้สองอย่าง สิ่งแรกคือประสบการณ์ที่สัมผัสในชีวิตที่ผ่านมาแล้วเมื่อดีตชาติ

ประการที่สองคือ เหตุการณ์ที่ได้ผ่านมาแล้วในชีวิตของข้าพเจ้าในปัจจุบันชาตินี้ บางคนอาจจะคิดสมเพชข้าพเจ้าที่ยังมาคิดถึงต่อสิ่งที่ไม่เป็นสาระเหล่านี้ อย่างน่าขบขัน

ความคิดเหล่านี้เป็นความคิดส่วนตัวของแต่ละบุคคล ไม่มีใครสามารถจะมาบังคับบัญชากันได้ บางครั้งข้าพเจ้าก็อาศัยความทรงจำเหล่านี้ มาทำประโยชน์ให้แก่จิตใจของข้าพเจ้าเอง

เวลาใดที่รู้สึกเครียดเบื่อหน่าย หรือมีทุกข์วุ่นวายในอารมณ์ ทางคลายเครียดของข้าพเจ้า มักจะใช้ความทรงจำในเรื่องสนุกในอดีตมาช่วยคลายเครียด ให้จิตใจที่เศร้าหมองให้กลับชดชื่นได้ชั่วขณะ

ทำไม..ข้าพเจ้าถึงกระทำเช่นนั้น มิใช่ใครที่ไหนเลย ท่านที่ได้เมตตาอบรมสั่งสอนให้ศิษย์ของพระคุณท่านได้สัมผัสและรู้สิ่งที่เป็นอดีตเหล่านั้นได้

พระเดชพระคุณองค์นี้ คือหลวงพ่อพระอาจารย์ผู้ประเสริฐของพวกเรา เจ้าคุณพระราชพรหมยานองค์นี้เอง

กาลเวลาผ่านไปนานประมาณ ๒๐ กว่าปี ข้าพเจ้าได้พบเพื่อนรักที่สนิทสนมกันมากคนหนึ่ง คือ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ผู้เป็นเจ้าของบ้านสายลมนี้เอง

คนที่สองคือ คุณเนาวรัตน์ ทีวะเวช และตัวของข้าพเจ้าเอง เราสามคนได้จูงมือกันเข้าวัด ถือศีลกินเพลกันเป็นเวลานาน ที่วัดเบญจมบพิตรฯ

ทุกครั้งที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาเสร็จแล้ว เราจะไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันเป็นนิจ

วันหนึ่งข้าพเจ้าจำได้ที่คุณเฉิดศรีชวนข้าพเจ้าไปแวะคุยกันที่บ้านสายลม เมื่อสมัยก่อนนั้นอาคารบ้านของเธอมิได้ใหญ่โตกว้างขวางอย่างปัจจุบันนี้ บริเวณบ้านกว้างขวางร่มเย็น

คุณเฉิดศรีได้กระซิบบอกข้าพเจ้าว่า อยากให้ข้าพเจ้าไปพบกับพระองค์หนึ่ง ซึ่งท่านมาจากจังหวัดอุทัยธานี ท่านเป็นพระอาจารย์ที่ดูหมอแม่นยำมาก

หากพบท่านแล้วให้ซักถามท่านเรื่องอะไรก็ได้ เกี่ยวกับวิถีชีวิตของข้าพเจ้า แม้แต่เรื่องอดีตหรืออนาคตของเราก็ได้

หลวงพ่อบอกว่ามาจากดาวดึงส์
...คุณเฉิดศรีพาข้าพเจ้าขึ้นไปบนห้องพระของเธอ ข้าพเจ้าคลานตามเข้าไปในห้องพระนั้น พอข้าพเจ้าเงยหน้ามองขึ้นไปที่มุมหนึ่งของห้องพระ

ข้าพเจ้าเห็นพระภิกษุรูปนั้น นั่งบนเก้าอี้ชิดอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องพระนั้น ท่านมีร่างไม่ใหญ่โต ผิวเนื้อสองสี แววตาของท่านที่มองข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความเมตตา ข้าพเจ้ากราบท่านแล้วก็พูดอะไรไม่ออก

คุณเฉิดศรีกระตุ้นให้ข้าพเจ้าถามปัญหาท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมถามอะไรท่านเลย หูได้ยินเสียงมาจากท่านว่า จะถามอะไรก็ได้

เมื่อท่านเห็นข้าพเจ้ายังเฉยอยู่ ท่านก็เป็นฝ่ายถามข้าพเจ้าว่า เมื่อยังเด็กๆ เราชอบรำละครมากใช่ไหม ?

ข้าพเจ้าตอบท่านว่า "ใช่" และมีเครื่องแต่งตัวละครเป็นตัวนางด้วย

ท่านบอกว่า ข้าพเจ้าลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่เบื้องบนชอบร้องรำทำเพลงทั้งวัน จึงติดนิสัยนั้นลงมาด้วย นี่เป็นชีวิตในอดีตชาติ ที่ข้าพเจ้าไปทราบเป็ฯครั้งแรก

ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้ทราบ และรู้สึกภูมิใจที่ได้มาจากที่ดีมาเกิด แล้วมาเป็นมนุษย์ที่ยังรู้จักเข้าวัด ศึกษาและปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย

ข้าพเจ้าได้ติดตามหลวงพ่อเพื่อร่ำเรียนธรรมะจากท่านนับตั้งแต่ครั้งนั้น ต่อมาหลายสิบปีไม่เคยได้ห่างท่านเลยจนกระทั่งบัดนี้

พระธรรมคำสั่งสอนและวิชาต่างๆ ได้ปฏิบัติมาตามที่ท่านได้อบรมมาทุกประการ คงไม่ใช่แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น บัดนี้เป็นจำนวนมากมาย ที่ศิษย์ของหลวงพ่อได้ซาบซึ้งถึงคำสั่งสอนของท่านตลอดไป.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 29/4/19 at 06:21


"ฝึกมโนมยิทธิเป็นครั้งแรก"
บันทึกโดย ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์


“...เวลาผ่านไปข้าพเจ้ายังมีโอกาสฝึกวิชาที่เรียกว่า "มโนมยิทธิ" ขณะที่ท่านได้เริ่มสอนวิชานี้ บังเอิญเป็นวันที่ตรงกับ "วันเฉลิมพระชนมพรรษา" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งให้ไปร่วมฝึกซ้อมร้องเพลงทำนองอาเศียรวาท ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันเฉลิมฯ ได้ผ่านไปแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปที่บ้านสายลม

ทันใดที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมองเห็นข้าพเจ้า ท่านถามข้าพเจ้าว่า "ฝึกมโนมยิทธิได้แล้วหรือยัง ?"

ขณะนั้นพอดีศิษย์ของท่านคนหนึ่งที่ฝึกสำเร็จมาแล้วชวนข้าพเจ้าไปฝึกด้วย เป็นบุญของข้าพเจ้าแท้ๆ ที่ได้ไปฝึก ก็ทำได้ในวันนั้นเอง

ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ไปเห็นสวรรค์เบื้องบนเหมือนฝัน วิชานี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

มีครั้งหนึ่งที่จะลืมเสียไม่ได้ในชีวิต ข้าพเจ้าได้ทำสมาธิอยู่ที่บ้าน โดยกำหนดจิตในสมาธิ ขึ้นไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

รู้สึกตนเองได้ไปนั่งบนห้องโถงใหญ่ ช่างสวยสดงดงามเสียเหลือเกิน ณ ที่นั้นได้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ประทับบนพระแท่นที่แวววาวภายใต้พระเศวตฉัตร ทรงแต่งพระองค์เยี่ยงกษัตริย์ ทรงพระมงกุฏเพชร ทรงฉลองพระบาททองปลายงอน

ข้าพเจ้าก้มลงกราบถวายบังคม แล้วอธิษฐานขอบารมีของพระองค์ท่านให้ข้าพเจ้าได้เห็นชัดเจน ข้าพเจ้ารู้สึกอิ่มเอิบเหลือเกิน

ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตั้งแต่พระบาทขึ้นไป พระรูปพระโฉมช่างงดงามสุดที่จะพรรณนา จิตของข้าพเจ้านึกย้อนไปรำลึกถึงเมื่อยังเป็นนักเรียน

คุณครูสอนไว้ถึงเรื่องพระรูปพระโฉมของพระองค์ท่านว่า พระองค์ท่านนั้นงดงามด้วยพระพุทธลักษณะของพระมหาบุรุษทุกประการ ข้าพเจ้าพนมมือขึ้นเห็นพระพักตร์อย่างชัดเจน

เมื่อเห็นแล้วก็เกิดปิติอิ่มเอิบจนถึงกับร้องไห้ร้องน้ำตาอาบหน้า สะอึกสะอื้นอยู่ตลอดเวลา ภาวนาอยู่ในใจทูลถามท่านว่า

ไฉนชีวิตเกิดมาจึงได้มีแต่ความทุกข์ ไม่มีสุขอันแท้จริงเลย ข้าพเจ้าได้รับตอบจากพระองค์ท่านอยู่ในจิตว่า

เธอจงอย่าเอาตัวของเธอไปเปรียบเทียบกับผู้ที่เขาสุขกว่า..ดีกว่า จงดูคนที่เขามีความทุกข์..ยากไร้กว่าเรา แล้วเธอจะนั่งอยู่บนกองทุกข์นั้น..ด้วยความสุข

คำรับสั่งเหล่านี้ตรึงอยู่ในใจเสมอมาไม่เคยลืมเลย และก็มิได้เล่าให้ใครทราบเลย แม้แต่หลวงพ่อ เกรงว่าจะไม่มีใครเขาเชื่อเราเป็นแน่


หลวงพ่อทักถูก
...ข้าพเจ้าได้ไปหาหลวงพ่อที่บ้านสายลม พวกเรานั่งกันอยู่มากหลายคน หลวงพ่อท่านเรียกข้าพเจ้าและพูดว่า

เมื่อครู่นี้เอง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ปัจจุบันได้เสด็จมา ได้ชี้มาที่ข้าพเจ้าแล้วรับสั่งว่า ศิษย์ของเธอคนนี้ได้ขึ้นไปหาฉัน ไปนั่งร้องไห้ ฉะอ้อนฉันอยู่ข้างบนตั้งนาน

ข้าพเจ้าตกใจและแปลกใจว่า ไม่เคยเล่าให้ใครทราบเลย แต่เหตุไฉน หลวงพ่อถึงได้ทราบได้

ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าทำได้ก็เพราะพระคุณของหลวงพ่อ ที่ท่านได้เมตตาสอนวิชามโนมยิทธิให้กับข้าพเจ้า ข้าพ เจ้าขอเทอดพระคุณของหลวงพ่อไว้ตลอดกาลธรรมะ

และวิชาอันพิสดารลึกซึ้งนี้แพร่ทั่วไป หากผู้ใดปรารถนาตั้งจิตรับไว้ พระคุณเจ้าไม่เคยจะปกปิดแต่อย่างใดเลย

เมื่อเจ้าคุณพระราชพรหมยานยังมิได้เป็นเจ้าอาวาส และเมื่อใดได้เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุงแล้ว พระคุณเจ้าได้ปฏิสังขรณ์วัดท่าซุงนี้ไว้มากมาย

บัดนี้วัดท่าซุงได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากอย่างพิสดาร วัดท่าซุงได้มีอาณาเขตเพิ่มขึ้น มีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นและเพิ่มเติมมิได้หยุดยั้ง

เดี๋ยวนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่สวยงามและใหญ่ยิ่งจริงๆ โบสถ์ วิหารและศาลา ได้ปรากฏให้เห็นกว้างขวางสามารถรับคนที่มาปฏิบัติธรรมได้มากมาย.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 5/5/19 at 06:36


"งานพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน เมื่อปี ๒๕๑๘"
บันทึกโดย ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์


“...ขอเล่าถึงเมื่อครั้งก่อนที่หลวงพ่อได้สร้างโบสถ์ใหม่ ทางวัดจะจัดงานใหญ่ คือหล่อรูปหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อ

ข้าพเจ้าไปถวายความเห็นแด่หลวงพ่อ ขอให้ท่านอัญเชิญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พระบรมราชินีนาถ ให้ทรงพระราชดำเนินมายังวัดท่าซุง

เนื่องในงานเหล่านี้คือ งานเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน หลวงพ่อได้ตกลงเห็นด้วยในความคิดนี้

ข้าพเจ้ารับอาสาเป็นผู้ไปทูลเชิญเสด็จ เพราะในขณะนั้นได้เข้าเฝ้าในพระบรมมหาราชวังบ่อยๆ เนื่องด้วยข้าพเจ้าได้เป็นช่างทำพระเกศาถวายสมเด็จพระบรมราชินีนาถเป็นประจำ

เมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้า ข้าพเจ้าได้กราบแทบพระบาทขอพระอนุญาตกราบบังคมทูลเชิญเสด็จ และกราบบังคมทูลประวัติของหลวงพ่อต่อพระองค์ท่าน

และขอให้ท่านได้ทรงพระกรุณาไปเททองหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ปาน สมเด็จฯ ได้รับสั่งว่า จะเสด็จพระราชดำเนินมาวัดท่าซุงให้ได้แน่นอน

ช่างเป็นที่น่าปลื้มใจเสียจริงๆ ที่ทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าเช่นนี้ เมื่อวันสำคัญมาถึง พสกนิกรพลเมืองอุทัยธานีได้มาชุมนุมเฝ้าชมพระบารมีกันอย่างเนืองแน่น

พระทูลกระหม่อมแก้วได้เสด็จมาทั้งสองพระองค์ พระเจ้าลูกยาเธอ และพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์

หลวงพ่อได้เฝ้าอย่างใกล้ชิด ทรงพระมีราชปฏิสันฐานกับหลวงพ่อในพระอุโบสถเป็นเวลานาน และในโอกาสสำคัญต่อมา

ปี ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสแต่งตั้งหลวงพ่อ เป็นศูนย์แทนพระองค์ ชื่อว่า "ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ้นทุรกันดาร"

พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้น้อมรับพระราชดำรัสนี้ และได้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ทุกประการ

คณะของหลวงพ่อฯ ซึ่งมีพระภิกษุสงฆ์ในวัดและบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ได้ติดตามท่านบุกป่าไปในแดนทุรกันดารตามจังหวัดต่างๆ เสมอมา ไม่เคยมีการย่อท้อแต่ประการใดเลย

ท่านเจ้าคุณราชพรหมยานได้สร้างคุณงามความดีให้ประจักษ์แล้วทุกประการ ทั้งทางโกลและทางธรรม บุคคลทั้งหลายหากมีใจศรัทธาและปรารถนาที่จะพึ่งพระพุทธศาสนาเป็นหลักใจ

พระคุณเจ้าจะให้แสงสว่างแก่เราทุกคน ผู้ใดต้องการจะละกิเลสพ้นทุกข์ ก็จะพึงได้รับคำสั่งสอนและทางปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่เป็นศิษย์ท่านมานานหลายปีแล้ว เดี๋ยวนี้ยังยึดมั่นในคำสั่งสอนของท่านเพื่อการดับทุกข์ เพื่อการสำเร็จกิจในชาตินี้ คือพระนิพพานเป็นที่สุด

ขอพระคุณเจ้าได้โปรดช่วยให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จ สมดั่งความตั้งใจในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด.."


คำพยากรณ์ที่เขื่อนยันฮี
...ขอเล่าเรื่องคุณหญิงสุวรรณาภาแถมอีกนิด เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ไม่ถือตัว มีจริยานุ่มนวล พูดจาอ่อนหวาน

ท่านลืมบันทึกเหตุการณ์ที่สำคัญตอนหนึ่ง ที่พระอาจารย์ชัยวัฒน์ท่านได้ประสบด้วยตนเอง ท่านได้เล่าว่า

เมื่อปลายปี 2519 ก่อนที่ท่านจะบวชที่วัดท่าซุง ท่านได้ร่วมเดินทางไปเชียงแสนกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อและคณะศิษย์หลายสิบคน

ในจำนวนนั้นก็มีท่านหญิงวิภาวดี รังสิต และคุณหญิงสุวรรณาภารวมอยู่ด้วย แล้วก็ล่องกลับมาพักค้างคืนที่บ้านพักในเขื่อนยันฮี จังหวัดตาก

ตอนบ่ายหลังจากที่หลวงพ่อฯ และหลวงปู่ธรรมชัยและคณะศิษย์ได้ล่องเรือในอ่างเก็บน้ำกลับมายังที่พักแล้ว ตอนหัวค่ำก็มีการสนทนาธรรมที่เรือนพัก

คืนนั้นท่านได้เล่าเรื่องเหตุการณ์ในอดีตสมัย พระพุทธกัสสป ว่าได้เคยเสด็จมา ณ สถานที่นี้ สมัยนั้นเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก (ส่วนรายละเอียดจะมีเล่าอยู่ในเทปชุด "เขื่อนยันฮี" ปี 2519)

แต่ในตอนท้ายหลวงพ่อเล่าว่า ขณะนั้นพระได้มาบอกหลวงพ่อว่า ในจำนวนคนทั้งหมดที่เจริญกรรมฐานกันในคืนนี้ มีคนเสื้อดำอยู่คนหนึ่ง ตายแล้วไม่ได้ผุดได้เกิด

นั่นหมายความว่า คืนนั้นคุณหญิงใส่เสื้อสีดำคนเดียว จึงมีโอกาสที่จะไปนิพพานในชาตินี้ ซึ่งทุกคนที่รับฟังต่างก็เข้าใจว่าเป็นคุณหญิงอย่างแน่นอน พวกเราจึงขออนุโมทนาความดีของท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย..สวัสดี


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 11/5/19 at 17:56


เกล็ดธรรมปฏิบัติ ของ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองศ์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต
บันทึกโดย ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์


“...เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อพระองค์ท่านทรงทราบเกี่ยวกับ หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร ซึ่งข้าพเจ้าได้เลื่อมใสศรัทธาในเรื่องธรรมของท่าน

พระองค์หญิงได้ทรงสนพระทัยและให้ข้าพเจ้าพาไปศึกษาธรรมจากหลวงพ่อ ฯ เป็นเวลา ๗ เดือนก่อนสิ้นพระชนม์

จำได้ว่าในวันแรกที่พบกับหลวงพ่อฯ พระองค์ท่านได้ทรงซักถามปัญหาธรรมอย่างมากมาย ด้วยความสนพระทัยยิ่งนัก และรับสั่งว่า

“หลวงพ่อองค์นี้เยี่ยมมาก !”

ครั้งหนึ่งพระองค์หญิงได้ชวนข้าพเจ้าให้ขึ้นไปยังห้องบรรทม และได้ทรงชี้ให้ข้าพเจ้าดูรูปปั้นของหลวงปู่ปานซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อฯ

พระองค์ท่านได้บูชาด้วยดอกมะลิสดอยู่ตลอดมามิได้ขาด ทรงเล่าว่า คืนหนึ่งทรงประชวรปวดพระนาภีมากที่สุดในชีวิตเกือบจะทนไม่ไหว

จึงทรงอุทานขอหลวงปู่ปานให้ช่วย ทันใดนั้นพระองค์ท่านได้ทรงเห็นพระในผ้าเหลือง ซึ่งทรงเชื่อว่าต้องเป็นหลวงปู่ปานแน่ๆ

หลวงปู่ฯ ได้โบกมือปัดเป่ามาทางองค์ท่าน และทรงเห็นว่ามีสัตว์ชนิดหนึ่งมีลักษณะตัวดำๆ (ซึ่งหลวงพ่อฯ เรียกภายหลังว่า “ขันธมาร”) วิ่งออกจากพระองค์ท่านไปทางประตูและออกจากห้องบรรทมไป

หลังจากนั้นอาการปวดพระนาภีก็หายดังปลิดทิ้ง และได้ทรงไปตรวจที่ประตูก็ปรากฏว่ายังปิดสนิทอยู่ นับว่าเป็นเรื่องที่ประหลาดและมหัศจรรย์ที่ได้บังเกิดขึ้นกับพระองค์ท่าน.."


บุคคลตัวอย่างคือ..พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต
โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

"...คุณมาลี ซึ่งเป็นพยาบาลประจำหน่วยของท่านหญิง ผมจึงรู้จักเธอดี และได้ถามคุณมาลีว่า มาลีเมื่อเช้าท่านหญิงรับสั่งกับมาลีว่าอย่างไร

คุณมาลีตอบว่า ท่านหญิงรับสั่งว่า “มาลี คนอย่างฉันหากจะตาย ฉันไม่ขอตายในบ้าน เพราะมันไม่มีเกียรติ สำหรับฉัน ฉันจะต้องตายนอกบ้าน และศพของฉันจะต้องคลุมด้วยธงชาติ”

ท่านหญิงรับสั่งกับมาลีเพียงเท่านี้ แล้วก็ไล่มาลีให้ออกมา

๑. เมื่อผมได้คุยกับท่านทั้งสามแล้ว ผมก็อุทานว่า “งั้นท่านหญิงก็ทรงทราบล่วงหน้าก่อนแล้วซิ ว่าจะต้องจากไป คุณทิพาจึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า

ในคืนสุดท้ายนี้ ท่านหญิงก็ถวายสังฆทานกับหลวงปู่ครูบาธรรมไชย เหมือนกับท่านจะรู้ก่อนจริง ๆ ด้วย

๒. รับสั่งสุดท้ายกับหลวงพ่อและหลวงปู่

ก) โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายก็เป็นทุกข์ หญิงไม่ต้องการมีร่างกายอีก ขอลาหลวงพ่อไปพระนิพพาน

ข) หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและทูลท่านชายด้วยว่า หญิงขอลาไปพระนิพพาน

ค) หลวงพ่อ..หญิงอยากไปพระนิพพาน ช่วยนำหญิงไปพระนิพพานด้วย (ประโยคนี้ผมจำไม่ได้แน่ว่า ท่านอ๋อยเล่าให้ผมฟัง หรือ พ.ต.ท.สุดินทร์)

แสดงว่าในขณะนั้น ท่านหญิงทรงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่แสดงอาการว่าเจ็บปวดแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ควรจะปวดมาก

ง) ท่านเงียบไปสักครู่ แล้วจึงเปล่งเสียงออกมาดัง ๆ ฟังชัดเจนว่า

"โอ... สว่างแล้วๆ ถึงพระนิพพานแล้วๆ สวยจัง..!"

เมื่อท่านหญิงทรงตรัสเองเช่นนั้นแล้ว ก็เงียบสงบ มีพระพักตร์ยิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุขที่สุด

ซึ่งผมได้เห็นอย่างใกล้ชิดตอนรับพระศพ และเคารพพระศพที่คลุมด้วยธงชาติตามที่ท่านได้รับรับสั่งไว้กับคุณมาลีในตอนเช้าวันนั้นทุกประการ..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 16/5/19 at 16:35


คุณอ๋อยกับเสด็จพระองค์หญิง
บันทึกโดย ป่อง โกษา


“...เสด็จพระองค์หญิงวิภาวดีรังสิต เจ้าของนามปากกา ว.ณ. ประมวญมารค อันเลื่องลือ ได้เบนวิถีของท่าน มาพบกับ "คุณอ๋อย"

เมื่อประมาณเดือนเมษายน พ.ศ. 2519 โดย "พี่ปุ๊" หรือ ทันตแพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์ แจ้งมาว่า มีพระประสงค์จะมานมัสการหลวงพ่อที่บ้านคุณอ๋อย

...ความจริงคุณอ๋อย พบกับท่านมานานแล้ว ในทางหนังสือ คือ อ่านหนังสือของท่านแทบทุกเล่ม แต่ไม่เคยพบพระองค์จริง

เมื่อ 1 องค์ กับ 1 คนมาพบกันเข้าก็รู้สึกว่า สัมพันธภาพจะดำเนินไปด้วยดีอย่างรวดเร็ว เพราะช่างพูดด้วยกัน และใจซื่อด้วยกัน

ประกอบกับความไม่ถือพระองค์ของเสด็จ ดังนั้น จึงมักจะแวะมาคุยที่บ้านคุณอ๋อยบ่อย ๆ เวลาคน จะตามหาพระองค์ท่าน

บางทีก็โทรศัพท์มาพบที่บ้านนี้ เสด็จ ฯ รับสั่งว่า พวกนี้ชักรู้แกวเสียแล้วว่า หญิงหลบมุมมาอยู่นี่

บ้านคุณอ๋อยอุทิศเป็นบ้านฟังธรรม ไม่มีห้องรับแขก เพราะสร้างห้องรับแขกทีไร ก็กลายเป็นห้องฟังธรรมเสียทุกที

ดังนั้นเวลาเสด็จมา ก็รับเสด็จกันบนพื้นธรรมดา คือบนเสื่อ หรือบนพรม บางทีก็เลยบรรทมลงไปอย่างนั้นแหละ ทรงเป็นกันเองกับบ้านนี้อย่างรวดเร็ว

บางทีก็ถาม คุณเสริมว่า "พี่เสริม ทำอย่างนี้ได้ไหม" แล้วบรรทมหงายหลังยกพระบาทชี้ฟ้า ทำท่าถีบจักรยาน พวกลูก ๆ ของคุณอ๋อย ก็รักเสด็จกันทุกคน

ในโอกาสหนึ่งทรงพบกับ "หลวงปู่ธรรมไชย" แห่งวัดทุ่งหลวง ท่านก็ทรงขอให้หลวงปู่ตรวจพระโรค หลวงปู่ก็บอกว่า ตาที่เป็นต้อนั้นรักษาหาย ไม่ต้องผ่าตัด จะหายใน 27-28 วัน

แล้วหลวงปู่ก็ให้ยาและน้ำผึ้งมนต์ สำหรับหยอด กับทำยาเพิ่มไฟตา หรืออะไรสักอย่างเสด็จฯ ก็ทรงปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด

จะไปเมืองนอกก็เอาไปด้วย ระหว่างเสด็จประเทศอังกฤษครั้งสุดท้าย ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงคุณอ๋อย 2 ฉบับ ดังนี้







Hotel Zurich
วันที่ 17 มิถุนายน 2519
คุณอ๋อย ที่รัก
...ลูกศิษย์หลวงพ่อคนนี้ (คือหญิง) ออกจะอาการไม่สู้จะดี ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศเมืองฝรั่งเสียเลย เวลานี้อยู่โฮเต็ล ที่หรูที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองซูริค

วิวสวยที่สุด ก็ไม่ชอบ บอกตัวเองว่า "ไม่เที่ยง" ท่าเดียว ห้องหรูหราก็ไม่ชอบ กระจกเดินหันหลังให้ตลอดเวลากลางคืน

ครั้นต้องไปกินเลี้ยงก็กินไม่ลง อย่างดีซุป ก็จะจุกแอ้ดๆ จะถืออุโบสถศีลท่าเดียว เช้าก็ตื่นเสียหัวไก่โห่ ทั้งๆ ที่เมืองฝรั่ง (โฮเต็ลหรูๆ) เขาตื่นสายกัน อาหารเช้าต้องราว 2 โมง

ไอ้เราก็อยากกินแต่โมงเช้า เขาคุยกันว่า หน้าร้อนนี้ต้องไปตกปลาที่โน่นที่นี่ หญิงก็อยากจะห้ามว่า ฆ่าสัตว์บาป..!

แต่ไม่ได้ห้ามดอก เพียงแต่นึกในใจแล้วก็ปลง พรุ่งนี้จะออกเดินทางต่อไปเจนีวา ท่านชายจัดการให้รถยนต์มาคอยอยู่ ในวันที่เราเดินทางมาถึง แล้วต่อไปก็ไปฝรั่งเศสและอังกฤษ

การปฏิบัติไม่สู้จะสำเร็จ มีนายคอยสั่งให้ทำโน่นทำนี่ แล้วแม่หลานยายก็ติด (เอามาด้วย) เรียกยายทั้งวัน

ที่ต้องเขียนถึงคุณอ๋อย ก็เพราะท่านชายอนุญาตให้เงินจำนวนหนึ่ง ไว้สร้างกระต๊อบน่ารักๆ ไว้ที่วัดหลวงปู่ธรรมไชย

คุณอ๋อยกรุณาเรียนหลวงปู่เลย ให้ช่วยสร้างเรือนเล็กๆ แบบพื้นบ้าน ใต้ต้นไม้ใหญ่ใบหนา มีห้อง 2 ห้อง เล็กๆ กับห้องเก็บของเล็กๆ และมีนอกชาน

อ้อ..ถ้ามีห้องน้ำ (มีตุ่มน้ำ ส้วมซึม) สักห้องเป็นพอ หญิงจะไปอยู่กับหลวงปู่ เพื่อเขียนประวัติหลวงปู่ และเวลาว่าง เพื่อความสงบสบายใจ กลับไปนี่จะเอาเงินไปถวายค่ากระต๊อบของหญิง

เฟอร์นิเจอร์ไม่ต้องมี หญิงจะนอนกับพื้น และถ้ามีชั้นไว้ใส่หนังสือก็พอ กลับจากเมืองนอกก็ต้องไปปักษ์ใต้

จากปักษ์ใต้จึงจะขึ้นไปดูการสร้างกระต๊อบ หญิงแดงอยากได้เร็วๆ เดือนพฤศจิกายนจะได้ไปอยู่ คุณอ๋อยต้องมาด้วยกันนะคะ

เรียนหลวงปู่อีกอย่างว่า ตาดีขึ้นมาก อ่านหนังสือ (ข้างที่เคยมัวหนัก) ก็ได้ กำลังรอให้ครบเดือนจะหายตามหลวงปู่สั่ง

วันที่ 23 ยายทิพา จะไปหาหลวงปู่พาคนไข้ไปหา ถ้าคุณอ๋อยมีข่าวอะไรถึงหญิง เขียนฝากมานะคะ แกจะออกเดินทางวันที่ 24 และจะพบกับหญิงที่ลอนดอน ในวันที่ 26 หรืออะไรพวกนี้ แล้วแต่นาย (ม.จ. ปิยะ) จะสั่ง

ฝากกราบหลวงพ่อหลวงปู่ด้วยค่ะ
วิภาวดี

ป.ล. กรุณาพูดกับคนรถที่ขับรถพาเราไปวัดท่าซุงวันก่อนด้วยว่า ช่วยหาคนรถให้ด้วย กลับไปจะขอจ้างเขาเลย


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 21/5/19 at 05:40


คุณอ๋อยกับเสด็จพระองค์หญิง
บันทึกโดย ป่อง โกษา


(อีกฉบับหนึ่ง เขียนจากอังกฤษดังนี้)

23 Walpole St. London S.W. 3
วันที่ 24 กรกฎา 2519
คุณอ๋อย ที่รัก
...ท่านชาย และหญิง พาหลานขับรถมาจากฝรั่งเศส ถึงบ้านเราที่ลอนดอนเมื่อค่ำวันที่ 2 นี้เอง จึงเพิ่งได้รับ จ. ม. ต่าง ๆ ที่ฝากทิพามา ขอบอกด้วยความยินดีว่า หลวงปู่รักษาตาหญิงหายก่อนปลายเดือนจริงๆ พอวันที่ 27 ก็รู้สึกว่า มันใสจ้าขึ้นมา หมอตาต่าง ๆ จะต้องงงเต้กไปหมด

กรุณาเรียนหลวงปู่ด้วยว่า ตาทั้ง 2 ข้าง เห็นดี แต่แสงเป็นสีคนละสีกัน ข้างดี (ข้างซ้าย) เป็นสีขาว ธรรมดา แต่ข้างขวา ออกเป็นสีคล้ายใส่แว่นตาสีชา แต่เมื่อหลวงปู่ให้ยา ซึ่งหลวงปู่เรียกว่า "ยาไฟตา" หญิงก็รีบกินและล้างตามคำสั่ง คงจะเป็นปกติในไม่ช้า

หญิงได้ข่าวว่า หลวงปู่ท่านยังไม่มีกุฏิอยู่เลยที่ วัดทุ่งหลวง ของท่าน ท่านอยู่ในวิหาร หญิงเลยอยากจะสร้างกุฏิถวายท่าน เป็นตึกหรือเรือนไม้ 2 ชั้น ชั้นบนสำหรับท่าน อยู่กับเครื่องยา มีห้องน้ำชั้นล่าง เป็นห้องเปล่า ๆ สำหรับรักษาคนเจ็บ

ส่วนเรือนของหญิงเป็นเรือนเล็ก ๆ ชั้นเดียว นอกนั้นจะชวนพรรคพวกไปด้วย เวลาหญิงไม่อยู่ก็ให้หลวงปู่ใช้ได้ เรือนหญิงขอให้อยู่ใกล้ ๆ กับหลวงปู่ อยากให้สร้างเสร็จที่จะไปเดือนพฤศจิกา

หญิงคิดจะกลับ ก.ท. ราววันที่ 20 พอพักพอหายเหนื่อย อยากจะชวนคุณอ๋อยไปเชียงใหม่ด้วยกัน เพื่อไปดูที่ทางที่จะสร้างบ้าน 2 หลังนี้ งบประมาณเป็นแสนก็ได้

เวลานี้หญิงสนใจแต่จะเข้าทำประโยชน์กับพระอริยสงฆ์ทั้งปวง เพื่อช่วยให้ท่านช่วยคน และทำบุญเมืองฝรั่งนี้ เบื่อแทบสิ้นสติ ทนอยู่เพื่อปลง ๆ ไปงั้นเอง เพื่อนฝูงมีมากมาย จะทิ้งเขาปุบปับก็น่าเกลียด แกรู้ว่าหญิงมา แกก็เลี้ยงกันเสียจริง ๆ ดัทเชสอะไรต่าง ๆ

หนังสือหลวงพ่อ หญิง edit ให้เสร็จไปเล่มแล้ว เล่มที่ยังไม่พิมพ์ คือ กรรมฐาน 40 นี่ก็กำลังทำอยู่ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องก็เอาออกเสียบ้าง และสำนวนคุยก็ไม่น่าจะออกมาเป็นตัวหนังสือเท่านั้น ไม่ยากและชอบทำมาก

ส่วนทางหลวงปู่ หญิงก็วางแผนจะเขียนประวัติท่านนี่แหละ ถึงคิดจะ ไปอยู่วัดเพื่อหาเวลาคุยกับหลวงปู่ (เวลาว่างก็จะปฏิบัติพระกรรมฐานตามที่หลวงพ่อสอน) รับรองว่าเรื่องหลวงปู่จะฮิตใหญ่ คุณอ๋อยจะต้องขายสนุกเทียว

โดยเฉพาะ "ต้อ" จากตาหญิง ซึ่งหมอทั่วโลกรวมทั้งหมออุทัยกับหมอสำราญต่างก็รักษา และก็เห็นว่าต้องรอจนกว่าจะแก่แล้วผ่า นี่กลับไปให้ส่อง คงงงพิลึก ไอ้ขาว ๆ ที่ปิดตาดำอยู่ก็หายไป ทุกคนจะเห็นด้วยตาเปล่าว่า ตา 2 ข้าง เหมือนกันแล้วต้อหายไปเฉย ๆ

คุณอ๋อย ช่วยนัดหลวงปู่นะคะว่า ราววันที่ 24 เราจะไปหา ไม่ต้องให้ท่านลำบาก เราไปอยู่รินคำได้ พอดูที่ทางแล้วก็จะให้ลงมือสร้างได้พร้อมกันทั้ง 2 หลัง ว่าแต่หลวงปู่จะให้สร้างแน่ไหม

หญิงกลับจากเชียงใหม่ ก็จะวิ่งไปเฝ้าที่นราธิวาส และเพื่อตามเสด็จสงขลา หลังวันที่ 12 คือ ทรงบรรจุพระบรมธาตุ อยากจะชวนหลวงพ่อ หลวงปู่ไปทอดผ้าป่าพ่อหลวงจ้อย จะได้หมดหนี้สิ้นเสียที หญิงให้ท่านรองวางแผนเรียบร้อยแล้ว ราวกลางเดือนสิงหา

มีข่าวอะไรตอบด่วนค่ะ ลูกชายคุณยุทธศิลป์เป็นยังไงบ้าง ขอบใจหลานและทุกๆ คนที่ทำยาให้

รักและคิดถึงจาก
วิภาวดี


บทสรุปจาก ท่านป่อง โกษา


(พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์)

...นอกจากที่กล่าวมาแล้ว เสด็จฯ ยังเห็นเรื่องอัศจรรย์อีกสองอย่าง คือ ตอนที่ท่านฝึกนั่งกรรมฐานครั้งแรก ท่านเล่าว่าเห็น หลวงพ่อปาน อยู่ตั้งชั่วโมง เห็นได้ ทั้งหลับตา และลืมตา

ท่านก็เลยมุทำเป็นการใหญ่ ทำไม่ขาดด้วย แม้จะเสด็จไปปฏิบัติภารกิจในแดนกันดาร ต้องเหน็ดเหนื่อย ในเวลากลางวันต้องเขียนรายงาน ในตอนกลางคืนดึกดื่น เสร็จแล้วท่านก็ไม่เว้นที่จะต้องนั่งกรรมฐานอีก

อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องการเดินทาง ในคราวนั้น "คุณอ๋อย" กับลูก คือ "หน่า" กับ "หน่อง" เดินทางไปด้วย ในระยะหลังๆ นี้ จะเสด็จไปไหนมักจะชวนคุณอ๋อย คุณอ๋อยก็ไม่ขัด คราวที่กล่าวถึงนี้ เป็นการเดินทางไป บ้านแม่สาน อำเภอศรีสัชนาลัย

หลวงพ่อเดินเท้าไม่ไหว เพราะเป็นการเดินขึ้นเขาลงห้วย คือ ลุยไปในห้วย หรือไต่ไปตามหินในห้วยจริงๆ ด้วย ดังนั้นจึงจัด ฮ. ให้นำหลวงพ่อไป

หลวงพ่อท่านก็สั่งว่า เวลาเดินทางให้ท่องชื่อ ท่านทรงเดช เทวดาเจ้าของถิ่นไปด้วย จะได้เบาตัวและไม่เหน็ดเหนื่อย คณะเดินก็ปฏิบัติ ซึ่งปรากฏว่าเมื่อเที่ยวก่อน เสด็จฯ เคยใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง คราวนี้กลับใช้เวลาเดินไม่ถึง 3 ชั่วโมง ขากลับก็เช่นกัน

คราวที่ไปสิ้นชีพิตักษัยที่สุราษฎร์ธานีนั้น "คุณอ๋อย" ก็ไปด้วย ข่าว ฮ. ถูกยิงทำเอาพวกที่บ้านใจหาย นึกว่าตามเสด็จไปเสียแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่ได้ไปกับ ฮ. และโดยสารเครื่องบินมากับพระศพ

ซึ่งหลังจากนั้น หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวว่า สัมภาษณ์ นางเฉิดศรี ณ นคร ภรรยา ผบ.ทบ. ผู้มีน้ำตาอันนองหน้าว่าอย่างนั้นอย่างนี้

คุณเฉิดศรีบอกว่า ไม่เห็นมีใครมาถามอะไรนี่ ร้องให้ก็ไม่ได้ร้อง คุณเสริมบ่นว่า ย่องไปเป็นภรรยา ผบ.ทบ. ตั้งแต่เมื่อไหร่ ระวัง "คุณหญิงแสงเดือน" ท่านจะฉีกอกเอานะ


(หมายเหตุ : สมัยนั้น พล.อ.เสริม ณ นคร เป็น ผบ.ทบ โดยมีคุณหญิงแสงเดือน ณ นคร เป็นภรรยา)

ชี้แจงเกี่ยวกับการสิ้นชีพิตักษัย



(สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จรอรับพระศพที่ ร.พ.จุฬาลงกรณ์)

เกี่ยวกับการสิ้นชีพิตักษัยของเสด็จฯ ในครั้งนี้ มีคนต่อว่ามากว่า เสียแรงไปกับหลวงพ่อหลวงปู่ทั้ง 2 องค์ ทำไมเรื่องอย่างนี้จึงเกิดได้

หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า คนจะตายเสียอย่าง จะไปห้ามได้ยังไง ความจริงเรื่องนี้ หลวงพ่อได้รับคำสั่งจากพระว่า อย่าแยกเครื่องนะ หลวงพ่อก็คอยระวังอยู่

แต่สำหรับท่านเอง ในวันนั้นก็เป็นวันมรณะ ท่านบอกว่า วันนั้นถ้าจะยิง แล้วจะยิงออกเสียด้วย จะถูกที่ขา แต่เมื่อนัดกันแล้วก็ไป ตายก็ตาย

ท่านกำชับว่า เมื่อถึงโรงเรียนให้ลงให้หมดนะ ปล่อย ฮ ไปรับคนเจ็บ ส่งโรงพยาบาลก่อน แล้วให้ขากลับมารอที่โรงเรียนอีก

แต่เสด็จฯ แอบไปเสียกับ ฮ. โดยไม่บอกให้ทราบ ก่อนไปฝากโน๊ตถึงหลวงปู่ให้ช่วย หลวงปู่ก็ไม่ได้อ่าน เพราะไม่ได้เอาแว่นไป เลยไม่รู้เรื่องกัน

พวกที่ไปด้วย มาเล่าในภายหลังว่า เมื่อ ฮ. ถูกยิงครั้งแรกก็รู้แล้ว ดังนั้นทุกคนก็เข้าล้อมท่านหญิงไว้ แต่การยิงในระลอกสอง กระสุนสังหารนัดนั้นทะลุท้อง ฮ. ถูกหัวรองเท้านายตำรวจ แล้วแฉลบไปถูกเหล็กพนักที่นั่ง แล้วแฉลบเข้าด้านหลังของเสด็จฯ อีกทีหนึ่ง เรียกว่าป้องกันยังไงก็ไม่ไหว ถ้าหากคนจะตายเสียอย่าง

ที่ว่าคนจะตายเสียอย่างนี้ มารู้ในภายหลังว่า เสด็จทรงจบกิจพระศาสนา ตั้งแต่ตี 2 ของคืนก่อน และเมื่อฆราวาสจบกิจพระศาสนาแล้วก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ ถึงพระอาทิตย์ตกในวันรุ่งขึ้น

ตามคติของชาวโลก การตายเป็นของน่ากลัว น่าเศร้า น่าเสียดาย แต่สำหรับพระแล้ว การตายโดยเฉพาะตายเมื่อจบกิจพระศาสนา ก็ไปเสวยสุขในพระนิพพาน เป็นเรื่องน่ายินดีด้วยซ้ำ ดังนั้นสองฝ่ายนี้ จึงพูดกันไม่รู้เรื่อง เป็นคนละภาษาเลยที่เดียว

เรื่องฆราวาสจบกิจพระศาสนา คือ ตัดกิเลสได้นั้น หลวงพ่อเคยชักตัวอย่างจากพระไตรปิฎกให้ดูหลายองค์ว่า จะมีนางผีเสื้อยักษ์แปลงตัวเป็นโคแม่ลูกอ่อน มาขวิดตายเสียเป็นส่วนมาก

เคยมีผู้ตั้งปัญหาถามหลวงพ่อว่า ทำไมฆราวาสสำเร็จอรหันต์จึงตาย แต่ทีพระทำไมอยู่ได้ หลวงพ่อตอบว่า เพราะเพศฆราวาสบริสุทธิ์ไม่พอ ครองความเป็นอรหันต์ไม่ได้

คำตอบนี้ยังไม่เป็นที่พอใจ เพราะคล้ายๆ กับจะแย้งได้โดยมีเหตุผลว่า ถ้าทำตัวอย่างพระแต่ไม่บวช ก็ควรจะได้อยู่ได้ซี

นึกไปนึกมา แล้วยังมีอีกแง่หนึ่ง ที่น่าจะใช้อธิบายได้ คือ เมื่อบุคคลสำเร็จอรหันต์แล้ว ความจำเป็นที่จะทรงชีวิตอยู่ไม่มี ควรรีบไปอยู่นิพพานตามสภาพทันที หรือโดยเร็วที่สุด

แต่ที่พระยังอยู่ได้นั้นก็เพราะ พระยังทำประโยชน์แก่โลกได้ คืออยู่เพื่อสอน กับอยู่เพื่อให้คนทำบุญ คนที่ทำบุญกับพระอรหันต์นั้น จะได้ผลตอบแทนมากกว่าทำกับคนธรรมดานับล้านๆ เท่า

แต่ฆราวาสที่เป็นพระอรหันต์นั้นสอนใคร เขาก็ไม่ค่อยเชื่อแล้วก็ไม่มีใครเขาทำบุญด้วย เพราะเห็นเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่พระ

ถ้าอยู่ไปกลับจะเป็นอันตรายแก่ชาวบ้าน เช่น ค่อนขอด ด่าว่า ล่วงเกิน ถ้าเป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นนายจ้าง เขาก็จะใช้งานท่าน แล้วเลยลงนรกไปเปล่าๆ

เพราะฉะนั้น ฆราวาสที่เป็นอรหันต์ จึงกล่าวได้ว่าไม่มีประโยชน์กับใครอีกแล้ว ไปนิพพานดีกว่า คำอธิบายนี้รู้สึกว่าพอจะไปได้ แต่จะถูกหรือไม่ถูกไม่ทราบ

สำหรับท่านหญิงนั้น คนที่ไม่ค่อยจะทราบประสบการณ์ทางศาสนาของท่าน อาจจะนึกว่าเป็นไปได้หรือ ที่เสด็จ ฯ จะจบกิจพระศาสนา แต่ตามจดหมายถึงคุณอ๋อยนั้น แสดงว่าท่านก้าวหน้าไวมาก

หลวงพ่อเคยบอกว่า พระอนาคามีนั้น จะถือศีล 8 เองโดยอัตโนมัติ ในจดหมายท่านก็รับสั่งท่านอยากจะถือ 8 ท่าเดียว เช่นนี้ควรแสดงว่า ท่านใกล้แล้ว

นอกจากนี้สำหรับผู้ใกล้ชิดจะเคยได้ยินท่านทรงกล่าวเสมอว่า ทรัพย์สมบัตินั้น ท่านเลิกกังวลมานานแล้ว เมื่อมาได้รับคำสอนถูกทาง ได้มีศรัทธาเพิ่มเติม จากประสบการณ์เกี่ยวกับหลวงพ่อและหลวงปู่ ก็อาจเป็นได้ว่าท่านจะสามารถตัดไปได้เลย

ความจริงจะเป็นอย่างไร คนธรรมดาไม่สามารถทราบได้ แต่อย่างไรก็ดี ขอเตือนให้ระลึกว่า ที่หลวงพ่อชี้แจงมานี้ เป็นการชี้แจงแก่ศิษย์ใกล้ชิด เพื่อการศึกษา

โปรดอย่าเข้าใจว่าหลวงพ่อประกาศแก่คนทั่วไป ประเดี๋ยวจะไปหาว่า ท่านโฆษณาตัวเองเข้าอีก แล้วข้าพเจ้าผู้เขียนจะพลอยเป็นจำเลยไปด้วย

แต่โดยเฉพาะศิษย์วงในแล้ว เสด็จฯ นับเป็นองค์แรกในบรรดาพวกเขา ที่แสดงให้เห็นว่าแนวทางที่หลวงพ่อสอน ให้ทำจิตนี้ทำได้สำเร็จจริง เป็นการเพิ่มพูนกำลังใจแก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังมาก ความมุ่งมั่นในพระนิพพานก็แน่นแฟ้นขึ้นไปอีกมาก..สวัสดี.


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 26/5/19 at 05:43

.


webmaster - 7/2/20 at 06:40

.