เรื่องจริงอิงนิทาน หลวงพ่อฯ เทศน์ในซ่องเสือดำ จ.สุพรรณบุรี
webmaster - 19/12/18 at 16:26

[ ตอนที่ 1 ]
(Update 19 ธันวาคม 2561)


เรื่องจริงอิงนิทาน
หลวงพ่อฯ เทศน์ในซ่องเสือดำ จังหวัดสุพรรณบุรี


"...ความจริงเรื่องนี้โด่งดังมากเมื่อหลายปีก่อน นั่นก็คือหลวงพ่อทวีศักดิ์ (เสือดำ) เสือใบ และเสือมเหศวร ได้ออกรายการทีวีหลายช่อง จนกลับมาเป็นที่รู้จักกันอีกครั้งหนึ่ง

ทั้งๆ ที่เรื่องราวผ่านมานานหลายสิบปีแล้ว คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เสียชีวิตไปเกือบหมดแล้ว ส่วนผู้ที่ยังอยู่ต่างก็ยังมีข้อกังขากันอยู่บ้าง

โดยเฉพาะผู้ที่ชื่อว่า "เสือดำ" ใครเป็นตัวจริงตัวปลอมก็ยากที่จะหาข้อยุติกันได้ บังเอิญผู้เขียนไปบูรณะที่ "รอยพระพุทธบาทหินดาด" อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี จึงมีโอกาสได้ไปพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง

แต่ก็คงจะสรุปลงไปไม่ได้ ได้แต่นำเรื่องเก่าๆ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เล่าไว้ที่บ้านสายลม พร้อมกับเรื่องเล่าที่ลงในหนังสือ "เรื่องจริงอิงนิทาน"

นั่นก็เป็นเรื่องที่นานจนเป็น "ตำ..นาน" ไปแล้ว ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เพราะส่วนใหญ่ล่วงลับดับขันธ์กันไปเกือบหมดแล้ว

สำหรับคลิปวีดีโอเป็นการเล่าไว้ในชุด "ฤาษีทัศนาจรภาคใต้" แถมท้ายด้วยเสียงหลวงพ่อทวีศักดิ์พูดถึงหลวงพ่อฯ แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ คงต้องนำไปพิจารณากันเอง

จึงขอขอบคุณภาพประกอบบางภาพในเพจของ "คุณเจริญ ตันมหาพราน" ด้วยที่ได้นำเรื่องนี้ไปเผยแพร่ ส่วนหลวงพ่อท่านเล่าไว้ดังนี้



"...เรื่องนี้ขอให้ชื่อว่า "เทศน์ในซ่องเสือดำ" สมัยนั้นเสือดำใครๆ ก็รู้จัก สมัยเสือฝ้าย เสือดำ เสือมเหศวร เสือย่อม เสือครื้ม เสืออะไรต่ออะไรเยอะแยะ

เสือดำก็เป็นเสือคนหนึ่งในบรรดาเสือและโจรทั้งหลายที่มีชื่อเสียงมาก เสือดำนี่มีดีอยู่อย่างหนึ่ง คือ ปกติไม่ยอมต่อสู้เจ้าหน้าที่ แม้แต่ลูกน้องจะต่อสู้เจ้าหน้าที่ เสือดำก็บังคับไม่ให้สู้

ถ้าบังเอิญเจ้าหน้าที่จะไปจับ เสือดำก็จะยิงปะทะไว้เพียงไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าใกล้ได้ เมื่อได้จังหวะก็จะหนีเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น

เสือดำจึงทรงชีวิตอยู่ได้ แล้วต่อมาเมื่อเขาประกาศว่า เสือดำตายแล้วด้วยมือเจ้าหน้าที่ แต่คนที่รู้ความจริงดีเขาบอกว่า

คนนั้นไม่ใช่เสือดำ เป็นแต่เพียงลูกน้องของเสือดำเท่านั้น เสือดำเอาตัวรอดไปได้ แล้วก็เลิกจากการเป็นเสือ เพราะว่าชื่อมันตายเสียแล้ว

เสือดำคนนี้เคยทราบข่าวมา เพราะว่าในสมัยหนึ่งเวลานั้นอาตมายังอยู่กรุงเทพฯ เป็นนักเทศน์ ได้ถูกอาราธนาไปเทศน์ที่ตำบลหนองนา อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี

ตำบลหนองนานี้ ต้องเดินจากตำบลโพธิ์พญา คือ ประตูน้ำโพธิ์พญา ผ่านตำบลไร่รถ แล้วหลังจากนั้นก็เดินลัดทุ่งไป ใช้เวลาเดินทาง เดินบ้างพักบ้าง ๕ ชั่วโมงกว่าจึงไปถึง

สมัยนั้นนักเทศน์เต็มไปด้วยความยาก เต็มไปด้วยความลำบาก ต้องใช้วิริยะอุตสาหะจริงๆ ถ้าไม่มีความอดทนจริงๆ แล้วก็เป็นนักเทศน์กันไม่ได้

พบอดีตเสือเก่า

...อาตมาไปเทศน์ที่หนองนา เจ้าภาพที่เชิญไปเทศน์ก็คือ "ลุงเชย" ลุงเชยคนนี้เป็นเศรษฐีใหญ่ คือ เป็นราชาที่ดิน มีเนื้อที่นาเป็นพันไร่ แล้วลูกเขยก็มีเนื้อที่นาถึง ๒๐๐๐ ไร่เศษ

บ้านของแกใหญ่โตมโหฬารมาก แกสร้างวัด ๑ วัด เรียกว่ารวมทั้งวัดแกสร้างให้หมด ตั้งแต่ส้วมขึ้นมาถึงกุฏิถึงหอสวดมนต์ ศาลาการเปรียญ พระอุโบสถ

แกลงทุนสร้างแต่ผู้เดียว ไปถามแกเข้าว่าทำไมไม่บอกบุญชาวบ้านบ้าง แกบอกไม่อยากบอกบุญมันครับ ขออภัย...แกใช้ศัพท์สูงไปหน่อย

บอกอีดอก…พวกนี้ไม่อยากจะบอกบุญมัน พอบอกบุญมันหันหลังให้ เจ็บใจเลยไม่อยากบอกบุญใคร ทำมันแต่ผู้เดียวหมดเลย ก็น่าคิดเหมือนกัน

เวลาเดินมาถึงหนองนามาพบแกเข้าถามว่า“นี่พระเทศน์ใช่ไหม?” ก็บอกว่าใช่ “นิมนต์ไปบ้านก่อน” แหม..พูดสามหาวน่าฟัง ก็เลยบอกว่าจะไปวัดก่อนโยม

บอกไปวัดทำไม น้ำท่าไม่มีอาบ คนเยอะไปที่บ้านก่อน น้ำท่ามีอาบ แกพูดห้วนๆ ก็นึกว่าตาคนนี้มันใครหนอ เพราะตัวแกไม่ได้นิมนต์เอง ให้คนอื่นนิมนต์แทน

ในที่สุดคนที่นำทางไปเขาบอกว่าคนนี้แหละ "ลุงเชย" แกเป็นเจ้าภาพก็เลยเดินตามแกไป พอไปถึงบ้านแล้ว แกก็ให้ลูกน้องตักน้ำตักท่ามาให้อาบ

ดูบริเวณคอกวัวคอกควายมันใหญ่โตมาก ถามว่าวัวควายของโยมมีเท่าไหร่ แกบอกว่ามีสามร้อยตัวเศษๆ น่าคิด รวยมาก

จึงถามว่าเวลานี้พวกเสือพวกโจรมีมาก โยมไม่กลัวอันตรายรึ บ้านก็อยู่ไกลมาก ตำรวจก็มาไม่ถึง แกบอกไม่เป็นไรหรอกครับ ไอ้เรื่องโจรผู้ร้ายที่จะมาปล้นผมไม่หนักใจ

ถ้ามาเมื่อไร ถ้าจะยิงกันละ ผมจะต้องเข้าจี้พุงยิงเลย ถามว่าทำไมล่ะโยม โยมไม่กลัวปืนรึ ตอบว่าไม่กลัวครับ ที่ต้องจี้พุงยิง เพราะเวลานี้ตาผมไม่ดี ยิงไกลๆ เกรงจะผิด ถึงต้องวิ่งเข้าไปจี้พุงยิงครับ

ก็ชักแปลกใจเหมือนกัน เอ๊ะ..ลุงเชยทำไมกล้าแบบนี้ แกก็แก่แล้ว แล้วดูบริวารของแกหลายสิบคนที่เป็นลูกจ้างทำนาและอยู่ประจำ สะพายปืนกันทั้งปืนยาวและปืนพกมีคนละ ๒ กระบอกทุกคน

แกเลยบอกว่าอาศัยพวกนี้แหละครับ เขาเป็นหูเป็นตา มองดูกำลังของแกแล้วก็รู้สึกหนักใจ ถ้าโจรพวกไหนจะเข้ามาปล้น ถ้าพวกนี้เขาสู้จริงๆ ก็ย่ำแย่เหมือนกัน

เพราะปืนที่สะพายอยู่นั้นเป็นสะเต็นบ้าง ทอมสันบ้าง สมัยนั้นเขานิยมกันแบบนั้น ปืนสหประชาชาติ แล้วปืนพกก็มีพาราเบลลั่มกับเมาเซอร์ต่อด้ามเป็นส่วนมาก

จัดว่าเป็นปืนสำคัญ ทุกคนมีคนละ ๒ กระบอก แกบอกว่าเวลาที่จะไปเกี่ยวข้าวก็ดี ไถนาก็ดี ลูกจ้างผมต้องสะพายปืนทุกวัน เพราะไม่แน่ว่าไอ้เหล่าร้ายมันจะมารุกรานเมื่อไหร่

ท่านขอรับ มันจะเอาทรัพย์สมบัติผมไปได้ต่อเมื่อข้ามศพผมไปแล้ว ฟังแกแล้วก็รู้สึกหนักใจ เลยคุยถึงประวัติของแก

สมัยเมื่อเป็นหนุ่มแกก็เป็นนักเลงปล้นเขาเหมือนกัน นี่ซิไอ้เกลือมันจิ้มเกลือนี่มันยุ่งเหมือนกัน ทีแรกคิดว่าตายเลยแกเป็นคนดี แกมีศรัทธาสร้างวัด ที่ไหนได้ พ่อเทวดาเป็นนักปล้นมาก่อน

แกว่าเขตปล้นของแกน่ะ ไม่อยู่ในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี ไม่มีใครจับหาความผิดกับแกได้ เพราะอะไร เพราะก่อนที่แกจะปล้น แกไม่ปล้นในเขตบ้าน

รวมความว่าในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี เขตจังหวัดนครปฐม จังหวัดใกล้เคียงรอบๆ จังหวัดสุพรรณน่ะ แกไม่ปล้น แกไปปล้นที่ไกลๆ แสนไกล

แล้วแกเลยบอกว่า ไอ้คนที่ผมฆ่าตายมาแล้ว ถ้าจะตัดเฉพาะหัวใส่พ้อมลูกแกะ มันก็ไม่พอใส่ขอรับ คำว่าพ้อมลุกแกะก็เป็นพ้อมขนาดย่อม

พ้อมจริงๆ จะได้ประมาณ ๕๐ หรือ ๔๐ ถัง แต่นี่สำหรับพ้อมลูกแกะเป็นพ้อมขนาดย่อม จะข้าวได้ประมาณ ๑๐ ถังหรือ ๒๐ ถัง

เขาเรียกว่า "พ้อมลูกแกะ" พ้อมขนาดนี้แกบอกว่าใส่หัวคนที่แกฆ่ามาแล้วมันไม่พอใส่ แสดงว่าแกฆ่าคนมามาก ใจแกเหี้ยม.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 20/12/18 at 08:03

[ ตอนที่ 2 จบ ]
(Update 3 มกราคม 2562)


หลวงพ่อฯ เทศน์ในซ่องเสือดำ


"...ที่นี้ เมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาเทศน์ อาตมาก็เทศน์ บอกเพื่อนว่าคุณเทศน์ให้ดีนะ วันนี้จะเทศน์อะไรกันดีล่ะเรา เพื่อนก็เลยบอกว่า ถ้าเทศน์ปาณาติบาตละก็เสร็จละ เราตายกันแน่วันนี้

ต้องหาทางเลี่ยงว่า คนที่จะเป็นหัวหน้าคนได้ต้องอาศัยบุญเก่าเป็นสำคัญ ก็เลยเทศน์ "ปุพเพ กะตะ ปุญญะตา" หมายถึงบุญที่ได้สร้างมาในกาลก่อน ส่งผลให้คนเป็นหัวหน้าคนได้

ก็ว่ากันไปได้จนหมดเวลาเป็นที่ชอบใจมาก แกติดกันเทศน์คนละ ๒ หมื่นบาท แล้วพวกโจรทั้งหลายแกก็เอาถ้วยโถโอชาม มีพวกขันเงิน พานเงิน โตกเงิน อะไรเป็นต้น มาติดกัณฑ์เทศน์

ก็เลยบอกกับ "เสือดำ" ว่าของสิ่งนี้เอาไปไม่ได้ ถ้าขืนเอาไปเมื่อไรติดตะรางเมื่อนั้น แกทั้งหมดผู้เป็นเจ้าของก็เลยเอาเงินมาไถ่เป็นตัวเงินไป

คราวนั้นเทศน์กันมาได้ประมาณคนละ ๓ หมื่นบาทเศษ แต่เงินจำนวนนี้กลับมาถึงวัดไม่ยอมใช้เลย ไปให้อาจารย์ท่านสร้างมณฑปหมด

ไม่เอา เงินโจรนี่ไม่ใช้แน่ แกปล้นมาติดกัณฑ์เทศน์ เลยไปทำบุญต่อ ถ้าขืนใช้เงินโจรก็จะกลายเป็นโจรไปด้วย

เมื่อเทศน์จบก็ยังกลับไม่ได้ ปี่พาทย์ ลิเก ละคร เขากลับกัน เขาส่งถึงที่ๆ ลงเรือเลย รู้สึกว่ากล้ามาก รู้สึกว่าเขาให้ความปลอดภัยดีจริงๆ

ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ดีอย่างคาดไม่ถึง เราคิดว่าในซ่องของเสือ ในเขตของเสือนี่จะเอะอะโวยวาย ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น

แต่ก็มีเรื่องอัศจรรย์อยู่ ปรากฏว่าปี่พาทย์วงหนึ่งอยู่ทางอำเภอสามชุก เสือดำให้คน ๗ คน ม้า ๗ ตัว นำปี่พาทย์วงนั้นมาส่ง ปี่พาทย์มาด้วยเกวียน

พอมาถึงตำบลหนองผักนาก (อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี) ที่เล่าผ่านมาแล้ว พวกปี่พาทย์ก็บอกให้ลูกน้องเสือดำกลับ เพราะเป็นเขตที่เขาบรรเลงปี่พาทย์อยู่

พอลูกน้องเสือดำกลับ ตอนเย็นก็ปรากฏว่าพวกปี่พาทย์ไปถึงซ่องเสือดำเหมือนกัน วิ่งกันกระหือกระหอบ ทุกคนมาแต่กางเกงในคนละตัวเท่านั้น

เสือดำจึงได้ถามว่า ทำไมจึงได้กลับมาอีก แล้วทำไมผ้าผ่อนท่อนสไบไปไหนหมด มีแต่กางเกงใน แกก็บอกว่า โจรพวกหนึ่งมันมาปล้น มันมา ๗ คนเอาเครื่องปี่พาทย์ไป เอาเงินไป แล้วมันให้ถอดเสื้อถอดกางเกงหมด

ทีแรกมันจะเอาแม้แต่กางเกงใน แต่ขอร้องมันไว้ เสือดำเริ่มหน้าเสีย เรียกลูกน้อง ๗ คนมาถาม ว่าฉันให้แกไปส่งเขาให้ถึงบ้านเพื่อรักษาความปลอดภัย แกทำไมถึงปล่อยให้เขาถูกปล้น

ลูกน้อง ๗ คนก็บอกว่า เขาให้ผมกลับครับ พอดีพวกปี่พาทย์ก็แจ้งตามนั้น บอกว่าเมื่อถึงตำบลหนองผักนาคแล้ว

ผมเห็นว่าเป็นเขตบ้านผม ผมเคยมาบรรเลงปี่พาทย์อยู่เสมอ ไม่เคยมีอันตราย จึงบอกให้เจ้านายพวกนี้กลับ

เมื่อกลับมาแล้วสักครู่เดียวก็ปรากฏว่าถูกโจรปล้น เสือดำจึงได้ถามว่าจำหน้าได้สักคนไหม บอกลักษณะได้สักคนไหม

พวกที่มาปล้น พวกนั้นบอกว่าจำได้ทุกคน แล้วบอกลักษณะทั้ง ๗ คนให้ทราบ เพราะมันเป็นกลางวัน เสือดำก็ส่งลูกน้องกลุ่มละ ๗ คน สามกลุ่ม

บอกไปสกัดไอ้พวกนี้ มันหนีไปไม่พ้นหรอก มันอยู่ที่นั้นที่นี่ มันเอาไปแล้วมันอาจจะเอาไปซุกที่จุดใดจุดหนึ่ง แต่รู้สึกว่าเขารู้ที่กันดี เขาบอกจุดให้ไปหาทันที

ตกเวลากลางคืนประมาณ ๓ ทุ่ม ก็ปรากฏว่าลูกน้องทั้งหมดนำโจรทั้ง ๗ คนที่ปล้นพวกปี่พาทย์มาได้ พร้อมทั้งเงินและเสื้อผ้า

แต่ว่าเครื่องปี่พาทย์ฝากไว้ที่หนองผักนาค มาถึงแล้วก็คืนเงินให้ คืนเสื้อคืนผ้าให้ เสือดำจึงได้เรียกพวกโจรทั้ง ๗ คนมาสอบสวน

ถามว่าเอ็งปล้นเขาเพื่อประโยชน์อะไร เอ็งรู้หรือเปล่าว่าเขามางานนี่เขามางานใคร แล้วการให้ความปลอดภัย ฉันรับรองเขาว่าจะให้ความปลอดภัย

ในเมื่อเขาไม่ปลอดภัยความเสียหายมันขึ้นอยู่กับใคร เอ็งจงตอบาทีรึว่า เอ็งปล้น น่ะ เอ็งมีความประสงค์ยังไง อยากจะรวยหรืออยากจะหักหน้าฉัน ทำลายชื่อเสียงของฉัน

เจ้า ๗ คนรู้ตัวว่ามีความผิด ไม่มีใครตอบเลย นิ่งเงียบหมด ในเมื่อแกถาม ๒-๓ ครั้ง พวกนั้นไม่ตอบ เสือดำก็บอกว่า เป็นเรื่องจนใจนะน้องชาย ที่เราจะต้องลงโทษกัน

เพราะเธอทำแบบนี้ เธอไม่ได้เห็นแก่หน้าเลย เธอไม่ได้ทำกับพวกปี่พาทย์นี่ เธอทำกับฉัน ที่นี้ต่อไปใครเขาจะเชื่อฉันล่ะ จะไปหาปี่พาทย์ลาดตะโพน หาลิเก ละคร จะไปพูดกับใครๆ เขาจะเชื่อฉัน

เอ้า..พวกเรา ลงอาญาป่า คำว่า “ลงอาญาป่า” นี่ท่านผู้อ่าน เขาไม่ได้ใช้ลูกปืนฆ่านะ เห็นมาทำนองเดียวกับที่เขมรหรือลาว

หากคนที่ทำงาน ทำไม่เป็นไปตามประสงค์ของผู้บังคับบัญชา ก็ใช้ก้านตาลเชือดคอให้ตาย นี่เป็นลัทธิคอมมิวนิสต์

แต่ว่าลัทธิเสือดำไม่ใช่ยังงั้น ก้านตาลมันหายาก แกใช้ผูกมือโยงขึ้นไปกับต้นไม้ ปล่อยให้ขาพ้นดินไปหน่อยๆ เรียกว่าขาทอดหวิดๆ กับดิน ปลายเท้าจี้กับดิน หวุดหวิดๆ แล้วก็สั่งลงอาญา คือ ตีให้ตาย ไม่ได้ใช้ลูกปืน

เมื่อเขาออกคำสั่งแล้ว ลูกน้องก็นำไปปฏิบัติ ซึ่งมันเป็นระยะใกล้ๆ มองเห็นได้ถนัด แล้วเขาหันมายกมือไหว้อาตมากับเพื่อน

บอกขออภัยเถิดครับ ไอ้การเป็นโจรนี่ มันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละขอรับ ต้องมีความเด็ดขาด แต่ความจริงผมไม่อยากจะทำ

แต่ถ้าไม่ทำ ไอ้เราก็จะอาศัยชาวบ้านไม่ได้ การที่ให้ชาวบ้านเขามาเป็นพวกน่ะ ความจริงไม่ต้องการเอามาใช้ ที่เอาใจเขาเพราะว่าจะได้เขาเป็นหูเป็นตา เจ้าหน้าที่มาจะได้รู้น่ะอย่างหนึ่ง

แล้วอีกอย่างหนึ่ง เวลาจะต้องการจะกินอะไรขึ้นมา เอาสตางค์ไปฝากชาวบ้าน เขาก็จะซื้อมาให้ แต่พวกผมก็ไม่เคยเอาเปรียบชาวบ้านแถวนี้เลยครับ ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเขาให้ผมไม่ยอมรับ ผมต้องซื้อเขา.."


◄ll กลับสู่ด้านบน



.


webmaster - 3/1/19 at 08:10

.