หลวงพ่อลาพุทธภูมิ ณ สถานที่นี้ โดย ครูจันทร์นวล นาคนิยม
webmaster - 2/5/19 at 09:23

สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)

ตอนที่ 1 หลวงพ่อลาพุทธภูมิ ณ สถานที่นี้
ตอนที่ 2 หลวงพ่อออกบิณฑบาต
ตอนที่ 3 ท่านแม่ศรีมาบอกให้หลวงพ่อตามหาลูกสาว
ตอนที่ 4 เหตุการณ์ที่พระธาตุจอมกิตติ
ตอนที่ 5 เรื่องของทางภาคใต้
ตอนที่ 6 พบพระบรมสารีริกธาตุในห้องหลวงพ่อ
ตอนที่ 7 กรมหลวงชุมพรมาแสดงปรากฏการณ์ให้ทราบ
ตอนที่ 8 อานุภาพมหาพิชัยสงคราม


[ ตอนที่ 1 ]
(Update 5 กรกฎาคม 2562)


หลวงพ่อลาพุทธภูมิ ณ สถานที่นี้
บันทึกโดย ครูจันทร์นวล นาคนิยม


"...เมื่อตอนที่แล้วได้นำเรื่อง "ครูจันทร์นวล" เล่าเรื่องพระบรมสารีริกธาตุที่พระธาตุจอมกิตติ จึงอยากจะนำบทความที่เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ มาให้อ่านกันต่อ

โดยเฉพาะเรื่องสำคัญที่เล่าไว้ ในขณะที่หลวงพ่อยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดท่าซุง นับเป็นเรื่องที่นอกเหนือจากศิษย์รุ่นหลังจะรู้ได้ แม้ผู้เขียนเองก็ยังไม่ทราบ จึงขอนำเรื่องที่ครูจันทร์นวลบันทึกไว้ดังนี้


"...ผู้เขียนเป็นข้าราชการอยู่จังหวัดชัยนาท วันพระผู้เขียนจะไปทำบุญที่วัดโพธิ์ฯ เป็นประจำ

พบหลวงพ่อที่วัดโพธิ์ฯ ตอนนั้นหลวงพ่อเป็นพระลูกวัดอยู่ที่ "วัดโพธิ์ภาวนาราม" มีกุฏิหลังเล็กๆ ปลูกอยู่ใกล้ต้นโพธิ์ใหญ่ ตอนเช้าหลวงพ่อจะออกบิณฑบาตโปรดสัตว์เป็นประจำทุกวัน

ณ ต้นโพธิ์ต้นนี้แหละที่หลวงพ่อลาพุทธภูมิ ไม่กลับมาเกิดอีก เพราะเห็นทุกข์มากเหลือเกิน เมื่อหลวงพ่อไม่มาเกิดอีก ลูกหลานบริวารทั้งหลายก็จะพาไปด้วยจะหมดหรือไม่หมดหรือมากน้อยแค่ไหน ก็จะพยายามจนถึงที่สุด

ผู้เขียนพบหลวงพ่อที่วัดโพธิ์นี่เอง ไปวัดทำบุญได้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อบ่อยๆ ฟังแล้วรู้สึกเข้าใจง่ายและปฏิบัติตามได้ และไปรับฟังธรรมะจากหลวงพ่อบ่อยๆ เข้า

ตอนเย็นเลิกจากทำงาน อาบน้ำทานข้าวก็ชวนกันไปวัดกราบหลวงพาอขอฟังธรรมะ หลวงพ่อสอนจากศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ประการ ตอนนั้นหลวงพ่อยังไมรับลูกศิษย์เรียนสมถะ - วิปัสสนากรรมฐาน



(หนึ่งในจำนวนลูกศิษย์ ๖ คนรุ่นแรก วัดโพธิ์ภาวนาราม อ.เมือง จ.ชัยนาท)

...ต่อมาท่านหลวงปู่ปาน ท่านสั่งให้หลวงพ่อรับลูกศิษย์กรรมฐานได้ หลวงพ่อเมตตารับผู้เขียนเป็นลูกศิษย์ รวมทั้งหมด ๖ คน

วิธีกรรมการรับลูกศิษย์ครั้งนั้นมีดังนี้ หลวงพ่อพาพวกเรา ๖ คนนั่งเรือไปที่วัดงิ้ว ให้ไปรับต่อหน้าพระประธานในโบสถ์วัดงิ้ว เวลานั้นที่วัดโพธิ์ยังไม่มีโบสถ์ ผู้ที่จะไปรับเรียนกรรมฐาน ต้องเตรียมของดังนี้

๑. เทียนแท้หนัก ๑ บาท ๕ เล่ม
๒. ดอกไม้ ๕ กระทง
๓. ข้าวตอก ๕ กระทง
๔. ถาด ๑ ใบ

เริ่มจุดเทียนตั้งในถาดทั้ง ๕ เล่ม รอบล้อมด้วยกระทงข้าวตอกและดอกไม้ พร้อมแล้วหลวงพ่อชุมนุมเทวดา นำนมัสการพระรัตนตรัย รับศีล ๕ และสมาทานพระกรรมฐาน

ทุกคนนั่งสงบฟังหลวงพ่ออธิบายธรรมะ เรียนแบบสุกขวิปัสสโก ในหมวดอานาปานุสสติ ภาวนาว่า "พุทโธ" เวลานั้นยังไม่มีเรียนแบบมโนมยิทธิ

ลูกศิษย์ทุกคนจะไปรวมกันรับฟังธรรมะจากหลวงพ่อ ตอนเวลา ๑๘.๓๐ น. ถึง ๒๐.๐๐ น.ก็กลับบ้านเป็นบางครั้งที่จะได้ไปร่วมกันนั่งฝึกสมาธิ เพราะสถานที่ไม่มีที่กุฏิหลวงพ่อก็เล็กมาก

ตอนนั้นไม่มีหนังสือคู่ปฏิบัติกรรมฐาน ไม่มีเทปธรรมะ ได้อาศัยไปฟังหลวงพ่อบ่อยๆ แล้วต่างคนก็ต่างไปฝึกนั่งสมาธิกันที่บ้าน หลวงพ่อมีเมตตาเขียน "คู่มือการปฏิบัติ" ใส่สมุดเล่มเล็กให้ไปอ่านและศึกษา

พระเดชพระคุณของหลวงพ่อมากมายหาที่เปรียบมิได้ พยายามอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ลูกๆ หลานๆ ทุกคนให้ได้ แม้หลวงพ่อจะลำบากหรือจะเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงพ่อไม่เคยบ่น

ใครทำดี ปฏิบัติได้ดีหลวงพ่อก็ชม และให้กำลังใจ ถึงลูกศิษย์ ลูกๆ หลานจะมากแค่ไหน หลวงพ่อเคยพูดไว้ว่าคนเราจะเหมือนกันทุกคนไม่ได้ คนเรานี้เปรียบเหมือนบัวสี่เหล่า

บัวชนิดที่ ๑ คือบัวที่พ้นน้ำขึ้นมาแล้ว
บัวชนิดที่ ๒ คือบัวที่ปริมผิวน้ำ
บัวชนิดที่ ๓ คือบัวที่อยู่ในน้ำ
บัวชนิดที่ ๔ คือบัวที่อยู่ในดินโคลน

หลวงพ่อมีเมตตามากๆ พยายามสอนแล้วสอนเล่าเขียนคู่มือปฏิบัติ และหนังสืออื่นๆ หลายเล่ม ออกเทปธรรมะให้ทุกคนได้อ่านฟังปฏิบัติได้มรรคได้ผล แล้วจะได้ถึงซึ่งพระนิพพาน

ตัวผู้เขียนมานึกตัวของตัวเอง เรานี้หนอคงจะเป็นเหล่าที่ ๔ ที่อยู่ในดินโคลน แต่มาดีใจที่เห็นพวกน้องๆ ลูกๆ หลานๆ

ส่วนมากท่านเก่งๆ กันเกือบทุกคน ไปเที่ยวนรกไปเที่ยวสวรรค์ เห็นผีเห็นเทวดา ส่วนตัวผู้เขียนไม่เห็นอะไรเลย

ถ้าหากท่านไม่จงใจให้เห็น ทั้งหลับตาก็มืดไปหมด จนเวลานี้ไม่ค่อยได้นั่งหลับตาแล้ว ลืมตามองยังจะเห็นอะไรดีๆ ได้อะไรๆ

หมายถึง เห็นคน เห็นสัตว์ ต้นไม้ เห็นสิ่งต่างๆ ที่รอบตัวเรา ที่เกิดขึ้นมาเป็นเพื่อทุกข์ที่เกิดแก่ เจ็บ ตาย สบายใจไม่เป็นทุกข์

แต่ก็มีเหตุการที่ประทับใจหลายๆ อย่าง เกิดขึ้นหลังจากที่ได้เข้ามาปฏิบัติฝึกสมาธิจิต เป็นศิษย์ของหลวงพ่อ


ไปอินเดียกับหลวงพ่อ


(หลวงพ่อกับหลวงปู่ธรรมไชยไปอินเดีย ที่เห็นผู้ชายข้างหลังมีหนวดไม่ใช่แขกนะ นั่นคือ คุณประพัฒน์ ทีปะนาถ ส่วนผู้หญิงเสื้อสีขาวด้านหน้าหลวงพ่อ คือ คุณสมจิตร สาริกานนท์)

...ผู้เขียนจะเล่าให้ฟังสักเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ ได้ติดตามคณะของหลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมไชย วัดทุ่งหลวงไปประเทศอินเดีย

คณะทั้งหมดไปพักที่วัดไทยพุทธคยา วันหนึ่งผู้เขียนได้ติดตามหลวงปู่ธรรมไชย ไปขึ้นเขาคิชฌกูฎ ไปกันหลายคน แต่หลวงพ่อไม่ได้ไป บางคนก็อยู่กับหลวงพ่อ

หลวงปู่พาไปกราบนมัสการ ที่ๆ เคยเป็นกุฏิขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และที่ตั้งกุฏิของพระอานนท์ ที่อยู่บนยอดเขาคิชฌกูฎ

เมื่อขึ้นไปถึงแล้วทุกคนก็ปลาบปลื้มปิติก้มกราบนมัสการ ส่วนหลวงปู่กราบแล้วก็สวดมนต์ หลงปู่ชอบสวดดังๆ พวกเราก็พนมมือฟังหลวงปู่สวดมนต์เพลินไป

จนตัวผู้เขียนเกิดนิมิต เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลอยมาบนอากาศ มีรัศมีสวยงามมาก ท่านเมตตาให้เห็น เห็นแบบพระพุทธรูปแบบอินเดียที่มีรัศมีรอบพระเศียร

เพราะว่าผู้เขียนไม่เคยเห็น จึงประทับใจในเหตุการณ์ครั้งนี้มาก ก็มีความอยากได้พระรพุทธูปอย่างที่นิมิตนั้น

เมื่อรถพาไปนมัสการในที่ต่างๆ ผู้เขียนก็พยายามหาซื้อเผื่อจะมีจำหน่ายบ้าง แต่ปรากฏว่าไม่มีจำหน่ายเลย พอใกล้วันจะกลับประเทศไทย

พวกเราต่างคนต่างไปหาซื้อของที่ระลึกจากอินเดียในวัดที่ไปพักนั้น ตอนกลางคืนจะมีคนอินเดียนำของมาขายหลายอย่างหลายชนิด

ผู้เขียนก็ออกหาซื้อของเช่นกัน แต่ก็ไม่วายที่จะถามหารูปพระพุทธรูปที่อยากได้ ปรากฏว่าไม่มีจำหน่ายเลยหมดหวังก็หอบข้าวของกลับเข้าห้องพัก ตรงทางที่จะขึ้นบันไดนั่นเอง

มีรูปพระพุทธเจ้าองค์เล็กเท่าปลายนิ้วก้อย เป็นรูปที่อัดลงหินแบบล็อกเกตห้อยคอ ก็ดีใจมากหยิบขึ้นมาดู เป็นรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง ตามที่นิมิตได้ไว้บูชา..สาธุ..!!!


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 5/7/19 at 05:33

[ ตอนที่ 2 ]
(Update 12 กรกฎาคม 2562)


หลวงพ่อออกบิณฑบาต


"...ข้าพเจ้าอายุมากแล้ว ปีนี้ก็อายุ 70 ปี เหตุการณ์ที่ผ่านมาก็นับว่านานแล้ว ถ้ามีสิ่งใดผิดพลาดไป ก็ขออย่าเป็นโทษแก่ข้าพเจ้าเลย

เมื่อตอนที่แล้ว เป็นตอนข้าพเจ้าพบหลวงพ่อที่ "วัดโพธิ์ภาวนาราม" จ.ชัยนาท เช้าๆ จะเห็นหลวงพ่อออกบิณฑบาต ข้าพเจ้าก็ใส่บาตรท่านเป็นประจำ

นอกจากกิจวัตรที่หลวงพ่อพึงทำในกิจวัตรต่างๆ ของสงฆ์พึงกระทำแล้ว มีพิเศษที่ท่านทำอีกคือ เลี้ยงสุนัข

ท่านเลี้ยงอาหารสุนัขเป็นฝูงใหญ่หลายสิบตัว ที่อยู่เฝ้าหน้ากุฏิท่านประจำ 5 – 6 ตัว แต่ท่านเลี้ยงอาหารสุนัขทั้งหมดที่มาจากที่อื่นด้วย

เวลาตอนเย็นไปวัดมักจะเห็นหลวงพ่อเดินจงกรมอยู่ใกล้ๆ กุฏิของท่าน ที่นั่นมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ตรงข้ามกับกุฏิ ดังนั้นท่านจะเดินไปเดินมา ระหว่างกุฏิกับต้นโพธิ์ใหญ่

ณ ต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่อยู่หน้ากุฏินี้แหละ ที่หลวงพ่อเคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง โดยท่านพูดว่า “คุณนาย..ฉันลาพุทธภูมิแล้วนะ ลาที่กกต้นโพธิ์นี้แหละ”

เวลาท่านเดินจงกรมอยู่ ใครไปใครมาผ่านมาเจอท่าน ท่านก็ทักทายด้วย เมื่อมีคนมาหาท่าน โดยมีปัญหาชีวิตก็พากันมาหาท่าน

ส่วนใหญ่ก็มาโดยคิดว่าท่านเป็น "พระหมอดู" ธรรมดาๆ แต่ท่านไม่ใช่ธรรมดา เพราะท่านพยายามเอาความรู้ของท่านออกมาใช้ และเพื่อพิสูจน์ว่ารู้จริงหรือไม่

โดยมาก ท่านจะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้แก่ผู้ที่มาให้ท่านช่วยสงเคราะห์ ซึ่งท่านมักจะทักทายในเชิงแบบหมอดู ซึ่งทักทายไปแล้วมีผลแม่นยำ ทำให้คนเล่าลือกันไปไกล

แม้เด็กนักเรียนก็พากันมาถามว่าจะสอบได้หรือไม่ ใครมาหาท่านก็มีเมตตา มีความเป็นกันเองและรับแขกสงเคราะห์เท่าที่จะทำได้

บางวันไปหาท่านในตอนเย็น ท่านก็เล่าเรื่องอะไรให้ฟังเสมอมากมาย อย่างเช่น ท่านเล่าว่า

"เมื่อตอนกลางวันนี้ขณะจำวัดอยู่ ลุงปรั่ง...นี่ (เป็นเจ้าที่เฝ้าทรัพย์อยู่เขาพลอง จ.ชัยนาท) มานวดให้”

บางครั้งท่านจำวัดอยู่ ประตูห้องเปิดอยู่ ท่านเป็นห่วงย่ามท่าน ลุงปรั่งก็จะบอกหลวงพ่อว่า

“ใครลองกล้าหยิบซิ..จะได้เห็นดีกัน” อย่างนี้เป็นต้น



ศิษย์หลวงพ่อรุ่นแรก
...สมัยนั้น ที่อยู่วัดโพธิ์ภาวนาราม หลวงพ่อได้รับศิษย์รุ่นแรก เพื่อฝึกพระกรรมฐาน 6 คน โดยให้ไปขึ้นกรรมฐานต่อหน้าพระประธานในโบสถ์วัดงิ้ว เนื่องจากเวลานั้น วัดโพธิ์ภาวนายังไม่มีโบสถ์ ลูกศิษย์ 6 คนมีชื่อดังนี้คือ

1. ป้าแป้งร่ำ บัวเผือก
2. จ่าสง่า บัวเผือก ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว (สามีป้าแป้งร่ำ)
3. นางจันทร์นวล นาคนิยม (ตัวข้าพเจ้า)
4. นางสมบูรณ์ (น้องสาวป้าแป้งร่ำ)
5. สำลี (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว)
6. นางกิมลุ้ย เป็นคนทรง (สมัยก่อนไปอยู่รับใช้หลวงพ่อที่วัดสะพาน)

การขึ้นครูฝึกพระกรรมฐานที่วัดงิ้วนั้น เป็นการฝึกแบบสุกขวิปัสสโก การไปวัดงิ้วไปครั้งเดียว เพื่อเป็นการรับพระกรรมฐานต่อหน้าพระประธานในโบสถ์

ฝึกมโนมยิทธิที่วัดสะพาน
...ต่อมา เมื่อคราวหลวงพ่อย้ายไปอยู่วัดสะพาน จ.ชัยนาท หลวงพ่อก็สอนฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง ไปสอนกันในโบสถ์

ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่คอยช่วยหลวงพ่อ แจกธูปและหน้ากาก (หรือกระดาษปิดหน้า ซึ่งหลวงพ่อทำด้วยตนเองทั้งนั้น) มีฆราวาสและพระที่วัดสะพานเข้าฝึกหลายราย

ที่เป็นฆราวาสที่จะเล่าพอเป็นตัวอย่างสัก 3 ราย มีป้าสะอาด (แม่คุณเอี่ยมศรี), จ่าถาด, และ ป้าแป้งร่ำ เป็นต้น

พอเริ่มพิธี ก็ปิดกระดาษหน้ากากที่หน้าผู้ฝึก จุดธูปแล้วปักไว้ที่หน้าผากตรงหน้ากากแล้วก็ภาวนา เริ่มแรกผู้ฝึกเริ่มมีอาการยกมือ 2 ข้างตบที่เหนือศีรษะ ตบมือตัวเองเรื่อยๆ เสียงดัง

บางรายก็ตบขาทั้ง 2 ข้าง บางรายตบหน้าตัวเองก็มี แต่ละคนแต่ละองค์ทำท่าไม่เหมือนกัน แม้พระภิกษุก็นั่งเต้นจนจีวรหลุดลุ่ย แต่ว่าวิธีนี้ออกไปได้เร็ว

มีป้าสะอาดก็ฝึกไปได้ ปกติป้าอาดจะมีตะกร้าใส่หมาก กับกระโถนบ้วนน้ำหมาก เป็นกระโถนใบใหญ่เสียด้วย พอป้าอาดไปได้ ก็ออกไปเที่ยวสวรรค์ดาวดึงส์ เห็นสระอโนดาต แกอยากว่ายน้ำ

มือก็ไปปัดกระโถนบ้วนหมากหกเรี่ยราด ข้าพเจ้าขำจนทนไม่ได้ ต้องวิ่งออกไปหัวเราะข้างนอก พอเลิกฝึกแล้ว ป้าสะอาดตัวเปื้อนน้ำหมากเต็มไปหมด

หมวดถาด (เป็นคนขับรถของ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต ยศปัจจุบัน กับคุณสิริรัตน์ โรจนวิภาต) ตอนแรกไม่เชื่อจึงไปนั่งไกลอยู่ที่ประตูโบสถ์จะไม่ยอมฝึก จะเฝ้าเจ้านายเขา

หลวงพ่อก็แจกธูปและกระดาษปิดหน้าให้หมวดถาดด้วย แกก็รับเลยต้องเข้าฝึกกับเขาด้วย พอแกรับเท่านั้นแหละ หมวดถาดจะขึ้นไปพระจุฬามณี บนสวรรค์ดาวดึงส์ แกว่ายยังกับปลา..ว่ายอยู่นั่นแหละ...!

ขณะว่ายอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อก็ถามแกว่า หมวดถาดจะไปไหน?
หมวดถาดตอบว่าจะไปพระจุฬามณี ขึ้นแล้วขึ้นไม่ได้ !!

หลวงพ่อก็บอกว่า บนซิ..บนตอนนี้เลย บนปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยไก่ แล้วหลวงพ่อก็แนะนำแกว่า ตรงข้างๆ ตัวมีอะไร ก็เหนี่ยวเลยซิ

หมวดถาดตอบว่า เห็นหัวพญานาคอยู่ตรงบันไดพระจุฬามณี บอกทำยังไงก็ขึ้นไม่ได้

หลวงพ่อจึงบอกหมวดถาดว่า ให้ทบทวนศีล 5 ตั้งใจว่าต่อนี้ไปจะขอรักษาศีล 5 ให้ครบ แล้วก็ตั้งใจบนปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยไก่ แล้วแกก็ขึ้นได้ ขึ้นไปทางหัวบันได ไปไหนไม่ได้ ได้แต่มองไปมองมา

หลวงพ่อบอกให้แกมองดู ว่ามีใครอยู่ใกล้ๆ บ้าง หมวดถาด ก็เจอเทวดาอยู่ที่หัวบันได หลวงพ่อให้ถามว่า ชื่ออะไร ?

หมวดถาด ไม่รู้ (จริงๆ แล้วเทวดาองค์นั้นคือท่านมเหสักขา) แกก็นั่งกราบอยู่ตรงนั้น

พอแกกลับลงมา ตอนเลิกฝึกแล้ว หมวดถาดสลบเลยเพราะหมดแรง เพราะแกไปทั้งตัว และแกทำท่าว่ายน้ำตลอด ว่ายไปเรื่อยๆ แบบว่ายบกก็เหนื่อย

ส่วนป้าแป้งร่ำนั้น สามารถขึ้นไปสวรรค์ดาวดึงส์ได้ เข้าไปพระจุฬามณีแต่มองไม่เห็น ตาไม่ดี แกรู้ว่าแกไปได้ แกเดินข้ามเทวดานางฟ้าไปหมด

หลวงพ่อพูดว่า พอขึ้นไปที่พระจุฬามณีบนสวรรค์ดาวดึงส์ ก็เห็นป้าแป้งร่ำขึ้นไป หลวงพ่อก็ร้องว่า “มาอีกแล้ว ยายคนนี้มันตาไม่ดี มองไม่เห็นแต่พอมาได้”

แกขึ้นมาบนสวรรค์ก็ขึ้นมากราบพระอยู่ตรงนั้น กราบด้วยความเคารพ แต่ตัวแกไม่เห็น หลวงพ่อต้องบอกเทวดานางฟ้าว่า

“ช่วยหลบๆ ยายคนนี้หน่อย ตาแกไม่ดี มองไม่เห็น แต่แกขึ้นมาได้” เทวดา นางฟ้าก็พากันหลบๆ ทางให้แกเข้าไปกราบพระ !!

ต่อมา หลวงพ่อก็ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังเป็นประจำ ที่วัดสะพานก็ฝึกกันได้ทั้งนั้น วิธีนี้เหนื่อยมากเพราะต้องเต้น เรียกว่าเต้นจนเหนื่อย.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 5/7/19 at 05:46

[ ตอนที่ 3 ]
(Update 22 กรกฎาคม 2562)


ท่านแม่ศรีมาบอกให้หลวงพ่อตามหาลูกสาว


"...หลวงพ่อเล่าว่า ที่หลวงพ่อมาอยู่ จ.ชัยนาท แล้วไม่ยอมกลับไปกรุงเทพฯ เช่นเดิม เพราะว่าหลังจากหลวงพ่อลาพุทธภูมิแล้ว

ท่านแม่ศรีมาบอกให้หลวงพ่อตามหาลูกสาว 4 คน มีคุณสิริรัตน์ (ตุ๋ย) โรจนวิภาต, คุณนนทา อนันตวงษ์, คุณระพี เลขะกุล และอีกคนจำไม่ได้

คุณสิริรัตน์ เป็นโยมอุปัฏฐากอยู่กับหลวงพ่อสำเภาที่วัดสะพาน จ.ชัยนาท บังเอิญหลวงพ่อไปที่วัดสะพาน ไปเจอคุณสิริรัตน์ที่นั่น พอกลับมาถึงวัดโพธิ์ภาวนาก็เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เจอลูกสาวแล้ว 1 คน อยู่ที่วัดสะพาน

ต่อมา มีคนนิมนต์หลวงพ่อมาที่ จ.อุทัยธานี หลวงพ่อก็มาเจอ คุณนนทา อนันตวงษ์ พอกลับมา จ.ชัยนาท ก็เล่าให้ข้าพเจ้าฟังอีกว่า ไปเจอลูกสาวอีก 1 คนแล้ว

ส่วนคุณระพีนั้น จำไม่ได้ว่าหลวงพ่อเจอกันยังไง แต่หลวงพ่อมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เจอลูกสาวอีกคนอยู่ จ.ยะลา ชื่อ "ระพี" ส่วนคนที่ 4 นั้นหลวงพ่อไม่ได้เล่าให้ฟัง

เมื่อหลวงพ่อลาพุทธภูมิแล้ว และตัดลัดไปนิพพานในชาตินี้เลย พระท่านก็มาบอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อต้องเก็บลูกๆ ทั้งหมด หลานๆ ทั้งหมด

ตลอดจนญาติและบริวารที่เคยติดตามกันมา ตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตชาติ ทั้งที่เคยร่วมออกรบทัพจับศึก ร่วมทุกข์ร่วมสุขทั้งหมดไปด้วย

รวมทั้งเก็บบริวารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ยังตกค้างอยู่, เก็บบริวารของท่านปู่พระอินทร์ ท่านย่า ท่านแม่ศรี, และบางส่วนที่เป็นบริวารของหลวงปู่ปานที่ต้องการตัดลัดไปในชาตินี้ ก็เก็บไปด้วย

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ปัจจุบันนี้ ลูกๆ หลานๆ บริวารทั้งหลาย ที่จะขอติดตามหลวงพ่อ และยึดแนวการปฏิบัติและปฏิปทาของหลวงพ่อ เพื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ มีจำนวนนับแสนขึ้นไป

หลวงพ่อเคยพูดว่า อุตส่าห์ยอมทนทุกขเวทนาอยู่กระทั่งทุกวันนี้ เพื่อรอโปรดลูกหลานให้ทั่วหน้ากัน อุตส่าห์ปักหลักรออยู่

แต่บางคนมาถึงแล้วแทนที่จะรีบๆ แต่กลับค่อยๆ เดินกระย่องกระแย่งอีก กว่าจะเข้ามาถึงก็เล่นให้รอเสียเหนื่อยเลย

นี่แหละ..ที่หลวงพ่อยอมอดทดทุกขเวทนา ทั้งๆ ที่สุขภาพย่ำแย่เหลือเกิน เพื่อรอโปรดลูกๆ หลานๆ ไปด้วยกันให้หมดนั่นเอง

สมัยก่อนนั้น หลวงพ่อมักจะพาคณะศิษย์ไปแจกของสงเคราะห์คนจน ในถิ่นทุรกันดารบ้าง ไปเยี่ยมตำรวจ ทหาร ตามชายแดนบ้าง ไปบวงสรวงพระธาตุที่มีความสำคัญบ้าง ไปเป็นหมู่คณะใหญ่ๆ เสมอ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 12/7/19 at 04:05

[ ตอนที่ 4 ]
(Update 1 สิงหาคม 2562)


เหตุการณ์ที่พระธาตุจอมกิตติ


"...ประมาณปี 2517 หลวงพ่อได้ยกกองทัพธรรมขึ้นไปทางเหนือสุดที่ จ.เชียงราย หลวงพ่อบอกว่า

ประเทศชาติอยู่ในกาลคับขัน เราชาวกองทัพธรรมต้องไปช่วยประเทศชาติในทางธรรมะ เพราะว่าที่เชียงราย เป็นเมืองที่มีพระมหากษัตริย์ที่เป็น “มหาราช” องค์แรกของประเทศไทย

หลวงพ่อก็พากองทัพธรรมไปที่ อ.เชียงแสน ที่นี่มีพระธาตุจอมกิตติ ที่ดอยนี้มีพระธาตุที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระธาตุชำรุดผุพังมาก

หลวงพ่อคิดจะบูรณะซ่องแซม แต่ทางเจ้าอาวาสที่อยู่บนนั้นไม่ยอม หลวงพ่อก็เลยสร้างพระธาตุจำลองขึ้นองค์หนึ่งไม่ใหญ่โตเท่าไร ตั้งไว้ในบริเวณนั้น

พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาเอง
...ต่อมาอีกปีหนึ่ง หลวงพ่อพร้อมกับกองทัพธรรม ก็ขึ้นไปฉลองและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมสารีริกธาตุที่จะมาบรรจุที่พระธาตุใหม่นี้ ท่านเสด็จมาเอง เสด็จมาอยู่ที่กุฏิที่หลวงพ่อพักอยู่ (กุฏิริมชายน้ำ)

พอวันรุ่งขึ้นเช้า หลวงพ่อก็นำพระบรมสารีริกธาตุออกมาจากห้องของหลวงพ่อ มาให้ข้าพเจ้า, คุณนนทา, ย่าเสือ (ย่ายุ้ย หรือ ครูสบสุข ประกอบไวทยกิจ) ดู บอกว่าท่านเสด็จมาเอง

พอข้าพเจ้าเห็นก็คิดว่า เป็นหัวแหวนทับทิมที่เจียระไน หัวใหญ่น้ำสวยมาก เกิดมายังไม่เคยเห็น ซึ่งดูแล้วคล้ายกับทับทิมสยามแต่สีอ่อนกว่า

ถ้านับเป็นกะรัตคงไม่ต่ำกว่า 10 กะรัต องค์ท่านใสมาก (ไม่ขุ่นเลย) ถ้าวางบนจานแก้วจะมองเห็นทะลุกระดานเลย


ท่านย่าอินทิรามาประทับทรง
...การไปบวงสรวงนี้ ก็มีพวกฟ้อนรำไปด้วยเพื่อไปรำถวายพระธาตุ เวียนเทียนรอบๆ พระธาตุ ปรากฏว่าอยู่ดีๆ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกตัวผิดปกติ

แบบครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ออกไปรำถวายองค์พระธาตุกับเขาด้วย โดยไม่รู้ตัวเพราะปกติรำไม่เป็น แต่ว่าวันนั้นคนอื่นบอกข้าพเจ้ารำได้นาน และต่างพูดว่าข้าพเจ้ารำได้สวย

แต่ตัวข้าพเจ้าเองกลับไม่รู้ว่า ตนเองได้ทำอะไรลงไปบ้าง เพราะมีความรู้สึกคล้ายกับว่า ตนเองอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น

มารู้ตัวตอนหลังเมื่อมีคนเล่าว่า รำสวยหาที่ติดมิได้ รำแบบรำคาบอ้อมข้ามหัวเอี้ยวตัวไปข้างหลัง แล้วกลับมาข้างหน้า ซึ่งปกติข้าพเจ้าเป็นโรคหืดหอบทำไม่ได้หรอก

หลวงพ่อบอกว่า ท่านย่าท่านมาเอง จับให้รำ ท่านย่าชื่อ "อินทิรา" ย่าใหญ่เป็นแม่ของพระเจ้าพังคราช เป็นย่าของพระเจ้าพรหมมหาราช

ทุกคนไปที่นั่นในวันนั้น ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย ไม่ว่าเด็กเล็ก ร้องไห้กันทุกคน ยกเว้นหลวงพ่อองค์เดียวที่ไม่ร้องไห้

คุณอรอนงค์ (นิด) คุณะเกษม พูดกับ พล.ต.ศรีพันธุ์ วิชพันธุ์ (หรือพี่แดง) (ยศปัจจุบัน) ว่าเรา 2 คน ปรารถนาพุทธภูมิ เราไม่ร้องๆ ๆ ๆ

ปรากฏว่า พล.ต.ศรีพันธุ์ เดินอ้อมไปหลังพระพุทธรูป แล้วร้องอื้อๆ ๆ ๆ ดังลั่นกว่าเพื่อน


ที่ต้องร้องไห้กันนั้นเพราะเหตุไร?
...หลวงพ่อบอกให้ฟังว่า ท่านได้บอกพรหม เทวดาว่าจะทำอย่างไร เพื่อจะแสดงให้พวกลูกหลานรู้ว่า เหล่าพรหมเทวดาก็พากันมาร่วมพิธีกับพวกเราเยอะแยะ ควรทำปรากฏการณ์อะไรสักอย่างหนึ่งให้เขาเชื่อ

ปรากฏว่าร้องไห้กันทุกคน (ยกเว้นหลวงพ่อ) ส่วนข้าพเจ้านี่ท่านย่ามาเข้าทรง บังคับให้ข้าพเจ้าพูด แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรไปบ้าง เขาเล่าให้ฟังภายหลังว่า (ตอนท่านย่ามาเข้าทรงข้าพเจ้า) ได้พูดว่า

“...ตอนสมัยนั้น (อดีต) ลำบากมากต้องต่อสู้กับขอมดำ ผู้หญิงก็ต้องออกรบร่วมกับพวกผู้ชาย ไหนผู้หญิงยังต้องเลี้ยงลูก ทำกับข้าวอีก มือก็ไกว (เปล) ดาบก็แกว่ง ต้องลำบาก กว่าจะได้แผ่นดินมาแต่ละฝ่ามือต้องเอาเลือดล้างทุกตารางนิ้ว

ตอนที่แพ้ขอม ขอมก็ไล่ไป ต้องหนีไปซุกตัวอยู่ตามป่าตามเขาที่รกร้าง แล้วไปสร้างเมืองกันใหม่ และต้องส่งส่วยทุกปี”

พอทุกคนได้ยินท่านย่าเล่าให้ฟังเช่นนั้น ก็ยิ่งพากันร้องไห้หนักเข้าไปอีก คิดถึงคนที่ทรยศแผ่นดิน กว่าจะได้แผ่นดินคืนแต่ละตารางนิ้ว ต้องแลกด้วยเลือด แล้วยังมีคนคิดทรยศต่อชาติอีก

พอร้องไห้ ก็พากันทำบุญกับท่านย่ากันเป็นแถว ให้เอาเงินนี้บูรณะพระธาตุจอมกิตติ คนเล่าให้ฟังว่าท่านย่า (คือตัวร่างทรงของข้าพเจ้าเอง) ก็เดินงกๆ แบบคนแก่ นำปัจจัยที่ข้าพเจ้ารับมาไปถวายหลวงพ่อ นี่ก็จบเรื่องพระธาตุจอมกิตติ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 22/7/19 at 04:52

[ ตอนที่ 5 ]
(Update 7 สิงหาคม 2562)


เรื่องของทางภาคใต้ (ปี พ.ศ.2519)


"...หลวงพ่อได้ยกกองทัพธรรมไปภาคใต้ เพราะเป็นปีที่ประเทศไทย ถูกผู้ก่อการร้ายแทรกแซงมาก (พวกคอมมิวนิสต์) หลวงพ่อได้ไปพักที่ จ.สงขลา หรือหาดใหญ่ (ตอนนี้จำไม่ได้ว่าพักที่ไหน)

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า มีเทวดามาหาหลวงพ่อในที่พักมากมายหลายองค์ แต่มีอยู่องค์หนึ่งแปลกกว่าเพื่อน เทวดาองค์นั้นมีพระพุทธรูปทองคำไว้บนศีรษะ

หลวงพ่อท่านก็ถามเทวดาองค์นั้นว่า ท่านทำไมต้องแบกพระพุทธรูปไว้บนศีรษะอย่านั้น

เทวดาท่านก็ตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเป็นเทวดาเฝ้าพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ อยู่ที่ในสวนเงาะระหว่างหาดใหญ่ไปสงขลา ขอความกรุณาต่อหลวงพ่อท่าน ให้ไปช่วยทำศาลาครอบองค์พระพุทธรูปทองคำนี้ให้ด้วย

เวลานี้คนเดินข้ามไปข้ามมา สงสารเขาจะตกนรกกันหมด หลวงพ่อท่านก็รับรองว่าจะสร้างศาลาครอบให้ แต่ที่ตรงนั้นเป็นของชาวบ้าน ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าชื่ออะไร ทราบแต่ว่าเป็นตำรวจ

หลวงพ่อก็ส่งคนไปสำรวจก็พบที่เป็นสวนเงาะ พบเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านเมื่อทราบเรื่องราว ก็มีความปลื้มปิติและเกิดศรัทธา ก็เลยยกที่ตรงนั้นถวายหลวงพ่อเพื่อเป็นพุทธบูชา

เมื่อหลวงพ่อได้ที่ดินเรียบร้อยแล้วก็ป่าวประกาศพวกลูกศิษย์ลูกหา ว่าจะไปสร้างศาลา ครอบองค์พระพุทธรูปทองคำ

ต่างคนต่างก็มีศรัทธา ร่วมทำบุญตามกำลังของตน ผลสุดท้ายก็ สร้างเสร็จเรียบร้อยสวยงามมากเป็นแบบตรีมุข

เมื่อมีศาลาแล้ว ถ้าไม่มีพระพุทธรูปก็จะไม่ทราบว่าเป็นศาลาอะไร หลวงพ่อท่านต้องการหาพระพุทธรูปไปประดิษฐานไว้บนศาลา

มี พล.อ.บุญชัย บำรุงพงศ์ เป็นผู้มีศรัทธาสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ประมาณ 52 นิ้ว ประจำศาลานั้น หลวงพ่อท่านต้องการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บนพระเศียรพระพุทธรูป

จึงปรึกษากับท่านหญิงวิภาวดี รังสิต กราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อแผ่พระบารมีปกปักรักษาคุ้มครองชาวภาคใต้ ให้อยู่ร่มเย็นปราศจากภัยจากศัตรูมารุกราน ตอนนั้นยังไม่มีพระบรมสารีริกธาตุ

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะหลวงพ่อเดินไปเดินมาแบบออกกำลังขาอยู่ภายในกุฏิ ท่านก็มองไปที่หิ้งพระบรมสารีริกธาตุ ก็พบห่อผ้าห่อหนึ่งผูกด้วยริบบิ้นสีเหลือง หลวงพ่อก็หยิบห่อนั้นออกมา แล้วถามข้าพเจ้า, คุณนนทา, ย่ายุ้ย, คุณสมจิตต์,

ถามว่าใครเอาห่อผ้าขาวนี้ไปไว้บนหิ้งพระบรมสารีริกธาตุ ?

ทุกคนก็เงียบ ตอบท่านว่าไม่ทราบ แปลว่าไม่มีใครเอาไปวางไว้ แสดงว่าท่านเสด็จมาเองทั้งกรุ (ทั้งห่อ)

ภายหลังเปิดออกมาดูเป็นตลับเงินอยู่ภายในห่อ ตลับเป็นรูปเหลี่ยมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 นิ้ว เป็นทรงกลมคล้ายนาฬิกาใส่กระเป๋าแบบคนโบราณ

มีหูและห่วงแบบต่อกับสายสร้อยห้อยคอได้ แต่ตรงกลางเป็นหินใสทั้งสองข้าง มองทะลุพายในได้ชัดเจน

ในนั้นมีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ 10 องค์ มีอยู่ 3 – 4 องค์เป็นสีทับทิม นอกนั้นเป็นสีต่างๆ กัน สีใส สีงาก็มี พระบรมสารีริกธาตุชุดนี้เล็กกว่าที่ไปบรรจุที่พระธาตุจอมกิตติ องค์ใหญ่ที่สุดขนาดเมล็ดถั่วเขียว

หลวงพ่อถวายพระบรมสารีริกธาตุแด่สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เพื่อถวายแด่ในหลวง เพื่อทรงเสด็จบรรจุที่พระเศียรพระพุทธรูป ที่ศาลาครอบองค์พระพุทธรูปทองคำที่ จ.สงขลา

ในการเสด็จคราวนั้นพระเจ้าอยู่หัว และพระราชินีกับพระโอรสและพระธิดาทุกๆ พระองค์ทรงเสด็จร่วมพิธี สร้างความปลาบปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง มีแม่ชีผู้ทรงศีลเป็นผู้คอยดูแลรักษาศาลานั้นเป็นประจำ จึงจบเรื่องภาคใต้เพียงแค่นี้.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 1/8/19 at 04:18

[ ตอนที่ 6 ]
(Update 16 สิงหาคม 2562)


พบพระบรมสารีริกธาตุในห้องหลวงพ่อ


"...ปี 2524 – 2525 ข้าพเจ้า, คุณนนทา, สมจิตต์, ย่ายุ้ย, วิชัย, วิวัฒน์, เอี่ยม, อาศัยอยู่ในบริเวณกุฏิ กุฏิชายน้ำหลวงพ่อ

ตอนนั้น วิชัย – วิวัฒน์ เคยเป็นหมอนวดหลวงพ่อ (ปัจจุบันงด) คุณนนทาทำบัญชี ย่ายุ้ยทำกับข้าวถวายหลวงพ่อ คุณสมจิตต์เลี้ยงสุนัขให้หลวงพ่อ คุณแม่อาดเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ คุณเอี่ยมเป็นคนจ่ายกับข้าว ถูกุฏิและงานอื่นๆ

ตัวข้าพเจ้าทำงานทุกอย่าง คือจเรทั่วไป เช่นล้างส้วม กวาดกุฏิ และทำความสะอาดทั่วไป ถ้าหลวงพ่อท่านไม่อยู่ก็เข้าไปทำความสะอาดภายในกุฏิ

บางครั้งก็ถูกหลวงพ่อบ่นเอาว่า “ลูกอีแม่ช่างเก็บ เก็บเสียจนหาไม่เจอ” ต่อมาเราทำความสะอาดข้าวของหลวงพ่อปล่อยไว้ในสภาพเดิมไม่แตะ

อยู่มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้ารับอาสาคุณนนทาเข้าไปทำความสะอาดในห้องหลวงพ่อ เวลาท่านไม่อยู่ (ตอนไปรับแขก) อยู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นแสงอะไรแว้บๆ

ข้าพเจ้าเก็บขึ้นมาเป็นองค์เล็กมาก เป็นสีทับทิม มีแสงแว้บๆ มองไปมองมาพบอีกเก็บขึ้นมาอีก เก็บได้หลายองค์มีหลายสี แต่องค์ไม่โต องค์เล็กๆ ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร เก็บได้จำนวนเกินสิบ ก็นำไปถามหลวงพ่อ

หลวงพ่อบอกว่า "นั่นแหละ...พระบรมสารีริกธาตุ...!"

พอพวกเพื่อนๆ ทราบก็พากันเข้าไปหาในกุฏิหลวงพ่อๆ บอกว่าถ้าพระพุทธเจ้าท่านให้ก็จะพบ ถ้าไม่ให้ก็ไม่พบ เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าท่านให้ข้าพเจ้าๆ จึงได้เก็บไว้บูชา

ต่อมาเมื่อเร็วๆ นี้ คุณนนทาเล่าว่ามีคนที่ จ.สุโขทัย เป็นชาวบ้านซึ่งได้บูชาพระคำข้าว และพระหางหมากของหลวงพ่อไว้ ปรากฏว่าพระหางหมากมีปุ่มขึ้นเยอะแยะ

เขาไม่ทราบว่าเป็นอะไรก็เอาแปรงปัด ขัดล้าง เขาว่าพระดีๆ ขัดล้างแต่ก็ออกไม่หมด ต่อมาเขามาหาคุณนนทาและเล่าให้ฟังว่า พระเขาเป็นปุ่มขึ้นมา

คุณนนทาก็บอกว่า นั่นแหละพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา เจ้าของจึงรู้ว่าพระของตนมีพระบรมสารีริกธาตุ และว่า

ศุภชัย (จ่าตุ๋ย) เลิศมงคล ทหารที่อารักขาหลวงพ่อก็มีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จที่พระอีก นี่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 9/8/19 at 04:17

[ ตอนที่ 7 ]
(Update 25 สิงหาคม 2562)


กรมหลวงชุมพรมาแสดงปรากฏการณ์ให้ทราบ
(ตอนไปเขาพลอง จ.ชัยนาท)


"...ตอนนั้นหลวงพ่ออยู่ จ.ชัยนาท ก่อนจะย้ายไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อได้พาไป เขาพลอง อ.เมือง จ.ชัยนาท

พาลูกศิษย์ลูกหาไปกันเยอะ ข้าพเจ้าก็ไปด้วย ไปดูที่ฝังทรัพย์ของหลวงพ่อ สมัยที่หลวงพ่อเกิดเป็นลูกเจ้าเมืองอยู่ที่ จ.ชัยนาท เป็นทรัพย์เดิมของหลวงพ่อ

หลวงพ่อก็พาลูกศิษย์ขึ้นไปดู แต่ไม่ได้คิดจะไปเอาสมบัติอะไร ไปดูเฉยๆ ปีนเขาขึ้นไปกันหลายคน เอาอาหารขึ้นไปฉันเพลข้างบน

หลวงพ่อให้เอาเหล้าไปด้วย เพราะว่าข้างบนมี 'ลุงปรั่ง' เป็นเจ้าที่เฝ้าเขา (ทรัพย์) อยู่ หลวงพ่อบอกว่า 'กรมหลวงชุมพร' ก็ร่วมมากับคณะเราด้วย

หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าถือเหล้าไป 1 แบน ข้าพเจ้ามีถุงย่ามแบบกระเหรี่ยงสะพายขึ้นหลัง ก็เอาเหล้าแบนใส่ในย่ามนั้น

พอขึ้นเขา ก็รู้สึกมีอะไรมาทิ่มท้ายทอยข้าพเจ้า พอขยับย่ามก็หาย พอขึ้นไปๆ ก็มีอะไรมาทิ่มที่ท้ายทอยข้าพเจ้าอีก พอขยับย่ามก็หาย เป็นเช่นนี้ตลอดทางที่ขึ้นไป

พอขึ้นไปถึงยอดเขาก็ปลดย่ามลง ก็มีไม้ท่อนยาวประมาณ 1 ศอก (เป็นไม้ไผ่) อยู่ในย่ามก็สงสัย จึงสอบถามว่าพวกที่ไปด้วยกันมีใครมาแกล้งหรือเปล่า?

ข้าพเจ้าเป็นคนอาวุโส มีอายุมากกว่าใครในคณะลูกศิษย์ พวกนั้นก็พูดว่า “ผมไม่กล้าทำกับคุณนายอย่างนั้นหรอก”

งั้นใครล่ะที่เป็นคนทำ หลวงพ่อก็บอกว่า จะมีใครเสียอีก..ก็กรมหลวงชุมพร บอกว่า ท่านมาล้อเล่นเพื่อให้ทราบกันว่า ท่านก็ร่วมเดินทางมาด้วย


(ก่อนที่หลวงพ่อจะย้ายไปอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อเคยคิดจะย้ายมาอยู่ที่เขาพลอง เพราะว่ามาสำรวจที่ไว้ก่อนแล้ว แต่ภายหลังมีผู้นิมนต์ให้มาอยู่วัดท่าซุง ก็เลยมาอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้)

ตอนหลวงพ่อย้ายไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า
"...ตอนนั้น หลวงพ่ออยู่วัดโพธิ์ภาวนาราม จ.ชัยนาท ท่านกรมหลวงชุมพรสมัยมีชีวิตอยู่ เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

พวกชาว จ.ชัยนาท เคารพนับถือกรมหลวงชุมพร มีเรื่องอะไรก็มักจะบนถึงกรมหลวงชุมพร แล้วโดยมากจะได้ผล รู้สึกหลวงพ่อและกรมหลวงชุมพร มักจะติดต่อกันทางจิตเสมอ

พอใครมีปัญหาไปถามหลวงพ่อๆ มักบอกให้ไปบนกรมหลวงชุมพร เป็นอันว่า หลวงพ่อและกรมหลวงชุมพรมักติดต่อกันอยู่เสมอ

ต่อมา หลวงพ่อย้ายไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระครูวิชาญนิมนต์ไปช่วยก่อสร้างบูรณะ ซึ่งเป็นวัดอาจารย์ของกรมหลวงชุมพร

ปรากฏว่ากรมหลวงชุมพรท่านก็มาร่วมส่งหลวงพ่อด้วย มีคนไปส่งเยอะ สุนัขหลวงพ่อทั้งฝูงก็เอาลงเรือไปด้วยทั้งหมด ทั้งคนก็เยอะ สุนัขก็มาก ลงเรือที่หน้าตลาด จ.ชัยนาท เรือทุกลำจะขึ้นจอดลงตรงแพท่าน้ำแห่งนี้ มีคนมากมาย

เรือหลวงพ่ออกจากแพหน้าตลาด ไปยังวัดปากคลองมะขามเฒ่า พอมาถึงวัด ก็ขนของหลวงพ่อขึ้นกุฏิ พอเรียบร้อยแล้ว พักหนึ่งก็มีคนมาตามหาสุราของเขา หายไปจากท่าแพหน้าตลาดชัยนาท

พวกที่มาด้วยกันในคณะหลวงพ่อ ก็ช่วยกันค้นหา ก็เจอสุราบรรจุอยู่ในลังแบบลังเป๊ปซี่ มีผ้าขาวม้ายัดกลาง ก็เอาคืนเจ้าของเขาไป

ก็โทษกันว่า ใครคงไปหยิบของเขามาใส่ไว้ในเรือ แต่ทุกคนต่างปฏิเสธว่าไม่มีใครยกมา หลวงพ่อจึงพูดว่า จะมีใครเสียอีกก็กรมหลวงชุมพรนั่นแหละเป็นคนยกมา

หลวงพ่อบอกว่าท่านมาล้อเล่น ท่านมาแสดงให้พวกเรารู้ว่า ท่านก็ร่วมมาส่งหลวงพ่อจนถึงวัดปากคลองมะขามเฒ่า ถ้าไม่แสดงอย่างนี้ก็จะมีแค่หลวงพ่อเพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่รู้ว่าท่านมาส่งหลวงพ่อด้วย.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 9/8/19 at 04:19

[ ตอนที่ 8 จบ]
(Update 3 กันยายน 2562)


อานุภาพมหาพิชัยสงคราม


"...ตำราทำธงมหาพิชัยสงคราม เป็นตำราของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เมื่อหลวงปู่ปานมรณภาพ ตำราก็เก็บไว้ที่นั่น หลวงพ่อเล่าว่า

ถ้าใครเอาตำราไปใช้ต่อ คนนั้นต้องรำดาบเข้าไปในที่ๆ ไว้ตำรา และจะต้องมีปรากฏการณ์เกิดขึ้น คือฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ฝนตก แล้วจึงจะเอาไปใช้เป็นตำราได้ จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีใครมีความสามารถที่จะไปเอาตำรามาได้ จนประเทศชาติมีภัยคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้น

หลวงปู่ปานมาบอกให้หลวงพ่อไปเอาตำรานี้ เพื่อมาทำแจกพวกทหารตำรวจ ที่รักษาประเทศตามชายแดนได้ใช้กัน

สำหรับพระสงฆ์ถือดาบเข้าไป ไม่ต้องรำดาบ หลวงพ่อก็ยกพวกไป มีข้าพเจ้า, ป้าอาด, คุณพวง, คุณดำรง นุตาลัย (คุณพ่อของ ดร.ปริญญา) ยกขบวนไปกันเยอะ

ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้หมด ไปถึงไปกินข้าวกินปลาเสร็จ พอตกบ่ายหลวงพ่อก็ถือดาบเข้าไป ตอนนั้นท้องฟ้ายังอยู่ในสภาพปกติยังไม่ผ่า

พอหลวงพ่อถือดาบฟ้าก็ร้อง ฟ้าผ่า ลมแรง ฝนตกใหญ่ พอตอนกลับลงเรือฝนก็ตก ฟ้าร้อง ลมแรง มาตลอดทางที่นั่งเรือกลับมาวัดท่าซุง

เมื่อได้ตำรามาแล้ว หลวงพ่อก็ทำผ้ายันต์ (แดง) พิชัยสงคราม ออกแจกทหารและตำรวจชายแดนตามภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคใต้

แต่มีที่ภาคใต้พวกนับถือศาสนาอิสลามหลายคน เขาไม่ขอรับแจก ต่อมาพวกนายทหารออกตรวจเยี่ยมลูกน้อง ก็ถูกคอมมิวนิสต์ยิงรถ ก็ต่อสู้กัน

พวกก่อการร้ายก็หนีเข้าป่า พวกที่นับถือศาสนาอิสลาม ที่ไม่ยอมรับธงพิชัยสงครามตาย ส่วนพวกมีธงพิชัยสงครามรอดตัวไม่เป็นไร

หลวงพ่อบอกว่า ใครได้ธงนี้ไป ถ้าคิดคดทรยศต่อชาติ จะมีอันเป็นไปภายใน 3 วันหรือ 7 วัน หรือทำให้สมองเสื่อม คิดไม่ออก นี่คืออานุภาพธงพิชัยสงคราม

เหตุการณ์ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้ ข้าพเจ้าประสบมาด้วยตนเองทั้งสิ้น ข้าพเจ้ามีความเคารพ และมีความเชื่อมั่นในคำสั่งสอน ตลอดจนปฏิปทาของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง

ข้าพเจ้าเล่าถวายเป็นการบูชาคุณครูบาอาจารย์ คือหลวงพ่อที่ข้าพเจ้าเคารพเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าขออวยพรให้หลวงพ่อได้อยู่เป็นร่มโพธิ์แก้ว ปกปักรักษาข้าพเจ้าและลูกหลานไปนานแสนนานเทอญ

ข้าพระพุทธเจ้าขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทุกๆ องค์ มีหลวงพ่อเป็นที่สุด จงมาดลบันดาลให้ข้าพระพุทธเจ้ามีปัญญาเขียนเรื่องที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ประสบมานี้ได้สำเร็จด้วยเทอ.."


บันทึกปิดท้าย
หมายเหตุ - จากทีมงานฯ

...หากใครได้อ่าน "หมายเหตุ" คงจะรู้ได้ว่ามีการเพิ่มเติมภายหลัง เพื่อให้ "ลูกศิษย์บันทึก" ทุกเล่มมีความพิเศษกว่า

ทั้งนี้ เนื่องจากเจ้าของหรือผู้จัดทำเวปไซด์วัดท่าซุงนี้ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเกือบรุ่นแรกๆ เหมือนกัน จึงรู้จักลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นแรกเกือบทุกคน

จนสามารถบันทึกเพิ่มเติมได้ในเวปไซด์วัดท่าซุง นับว่าเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านรุ่นหลังเป็นอย่างมาก ถ้าจะให้ดีที่สุด ท่านผู้อ่านที่เคยอ่านผ่านไปแล้ว

ท่านจะต้องตรวจสอบย้อนหลังไว้เสมอ เพราะ "หมายเหตุ" เหล่านี้ ถ้าเจ้าของเวปไซด์ว่าง ท่านก็จะมาเล่าต่อให้ฟังเป็นรายๆ ไป

สำหรับ "คุณครูจันทร์นวล" ทำไมจึงเรียกว่าคุณจันทร์นวลว่า "คุณครู" เป็นเพราะเหตุว่าเป็นคนแม่ฮ่องสอนมาก่อน แล้วมาแต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่จังหวัดชัยนาท บุญวาสนาบารมีแต่ปางก่อน จึงเป็นเหตุให้พบหลวงพ่อในยุคต้นๆ

บุคคล 3 คนนี้ ที่เป็นผู้อุปฐากหลวงพ่อรุ่นแรกหลังจากเกษียณอายุราชการครูแล้ว ได้แก่ ครูยุ้ย, ครูนนทา และ ครูจันทร์นวล

สองท่านแรกเป็นชาวอุทัยธานีโดยกำเนิด ถึงแม้จะเกษียณแล้ว แต่สุขภาพยังแข็งแรง จึงได้มีโอกาสร่วมเดินทางกับหลวงพ่อหลายครั้ง

ฉะนั้นตามที่ครูจันทร์นวลได้เล่าถึงการเดินทางไปที่ "พระธาตุจอมกิตติ" และไปที่ "หาดใหญ่" ถึงแม้ผู้เขียนจะไม่ได้ไปในครั้งแรกๆ

แต่ก็มีโอกาสติดตามไปกับหลวงพ่อในครั้งต่อๆ ไป จึงได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ และสามารถยืนยันได้ว่าเป็นการบันทึกได้ถูกต้องอย่างแท้จริง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ "ท่านย่าอินทิรา" มาเข้าทรงครูจันทร์นวลที่บนพระธาตุจอมกิตตินั้น ผู้เขียนได้เห็นกับตาจริงๆ

ตามธรรมดาผู้เขียน (ผู้หมายเหตุ) ไม่ค่อยสนใจเรื่องรำไทยเท่าไร แต่เมื่อได้เห็นท่ารำในขณะเข้าทรงนั้น รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ท่ารำนั้นอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยความเข้มแข็งและเด็ดขาด

ความจริงครูจันทร์นวลเล่ายังไม่ครบถ้วน เพราะเหตุการณ์ที่ "ท่านแม่ย่าสุโขทัย" มาเข้าทรง ณ ศาลแม่ย่า (ศาลเก่า) ที่จังหวัดสุโขทัย

สมัยนั้นเดินทางไปกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ด้วยจำนวนรถบัสมากมายสิบกว่าคัน มีท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ร่วมเดินทางไปด้วย

ในขณะนั้น "ท่านแม่ย่าสุโขทัย" ได้เข้าประทับทรงครูจันทร์นวลแบบไม่ทันรู้ตัว เมื่อออกมาร่ายรำคล้ายกับว่ารำด้วยดาบคู่อยู่ในมือทั้งสอง ท่าร่ายรำนั้นอ่อนช้อยสวยงามจริงๆ

ครูจันทร์นวลหลับตาพริ้ม คงปล่อยให้ท่านย่าเข้ามาอาศัยร่าง เพื่อให้พวกเราได้เห็นว่า สมัยก่อนนั้นคนไทยทุกคนจะต้องจับดาบลุกขึ้นต่อสู้กับอริราชศัตรู แม้หญิงก็เก่งไม่แพ้ชาย

โดยเฉพาะทุกคนต้องมีหน้าที่กู้ชาติกลับคืนจากพวกขอมอีกเช่นเคย เหมือนกับสมัยโยนกนครเชียงแสนนั่นแหละ

เรื่องการศึกสงครามนี้ แม้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังพูดไว้เสมอว่า ไม่รู้เป็นยังไง เกิดมาแต่ละชาติ ต้องรบเกือบทุกชาติ

แม้ชาติสุดท้ายของท่านนี้ กว่าจะมาตั้งหลักสร้างวัดท่าซุงนี้ได้ ถ้าหากได้อ่านประวัติการสร้างวัดตั้งแต่ต้น จะเห็นว่าหลวงพ่อต้องต่อสู้ทุกรูปแบบ เพื่อจะสร้างวัดแห่งนี้ให้เจริญมั่นคง

ท่านต้องพันฝ่ากับอุปสรรคทุกอย่าง ความสำเร็จทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาถึงทุกวันนี้ จึงได้มาจากหยาดเหงื่อแรงใจของท่านอย่างแท้จริง

ขอย้อนเล่าเหตุการณ์ที่ "พระธาตุจอมกิตติ" ตามที่ครูจันทร์นวลเล่า นับว่าพวกเราโชคดีที่อาศัยการเล่าเรื่องราวเหล่านี้ เพราะเหตุการณ์ผ่านมานานนั่นเอง

ด้วยอาศัยวิญญาณอดีตคุณครูมาก่อนนั่นเอง จึงทำให้จดจำภาพเหตุการณ์ และเก็บมาเล่าให้อนุชนรุ่นหลังได้ฟังอย่างครบถ้วน

ผู้เขียนขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง กรณีที่ทุกคนในวันนั้นได้ร้องไห้ออกมาโดยไม่ได้นัดหมายมาก่อน เรียกว่า "ร้องไห้พร้อมกัน" โดยไม่มีสาเหตุมาก่อน

ผู้เขียนเองก็ร้องเสียงดังเหมือนกัน ร้องแบบออกมาจากข้างใน จะมีน้ำตาหรือเปล่าจำไม่ได้ แต่ระหว่างที่ร้องไห้อยู่นั้น ได้เงยหน้ามองไปที่หลวงพ่อ ปรากฏว่าทุกคนร้องไห้เสียงดังระงมไปหมด ส่วนหลวงพ่อท่านนั่งเฉยๆ

(ภายหลังจึงได้รู้ว่าหลวงพ่อท่านขอพรพระและเทวดาไว้ให้ทำนิมิตหมายอะไรสักอย่าง เพื่อให้พวกเราได้รู้ประวัติความเป็นมาว่า พวกเราเสียชาติเสียอิสรภาพให้พวกขอมนั้น ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส)

การร้องไห้ออกมาด้วยไม่มีเหตุ หรือร้องไห้ออกมาพร้อมๆ กันนับสิบๆ คน ที่เป็นด้วยอานุภาพของท่านนั้น ท่านคงจะแสดงเหตุการณ์ในอดีตชาติที่ผ่านมานั่นเอง

โดยเฉพาะผู้เขียนเองก็มีความซาบซึ้ง เมื่อได้ไปยืนอยู่บนลานพระธาตุจอมกิตติในครั้งแรก ในสมัยก่อนต้นไม้ยังไม่ใหญ่โต จะมองเห็นแม่น้ำโขงได้ เวลามองออกไปไกลๆ เหมือนกับว่ามีอดีตกาลที่ฝังอยู่ในใจมานานแสนนาน

จนกระทั่งหลังจากเช็ดน้ำตากันแล้ว หลังจากร้องไห้สะอึกสะอื้นกันไปนั้น พี่แดง (พล.ต.ศรีพันธุ์) กับพี่อู๊ด (คุณรังสิต สามีพี่แดง ลูกกรอก) ขณะกำลังนั่งกินกล้วยหอม หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการร้องไห้

แต่พอแหงนมองขึ้นไปบนยอดพระธาตุจอมกิตติ พี่แดงและพี่อู๊ดร้องไห้ออกมาเป็นครั้งที่ 2 ผู้เขียนหันไปมอง ปรากฏว่ากล้วยหอมคาปากอยู่นั่นเอง เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้

นี่เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมานานแล้ว คนบันทึกคือ ครูจันทร์นวล หรือพี่แดง แม้ครูยุ้ย และป้าอาด คุณเอี่ยม คุณละเมียด แม่ครัวของวัดรุ่นแรกๆ ก็ลาจากโลกนี้ตามหลวงพ่อไปหมดแล้ว

เหลือแต่ครูนนทาและพี่ตุ๋ย (สิริรัตน์) ลูกสาวสองคนของหลวงพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้เขียนโชคดีที่ได้เห็นภาพครูจันทร์นวลออกมาร่ายรำทั้งสองแห่ง คือที่บนพระธาตุจอมกิตติ และที่ศาลแม่ย่าสุโขทัย ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ ยังฝังอยู่ในความทรงจำตลอดไป

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากผู้เขียนได้อุปสมบทเมื่อปี 2520 แล้ว ท่านเจ้าอาวาสจึงได้มอบหมายให้ดำเนินการซ่อมแซมพระเจดีย์ (องค์เล็ก) ที่พระธาตุจอมกิตติ จ.เชียงราย

และซ่อมแซมวิหารน้ำน้อย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพราะท่านทราบว่าผู้เขียนได้เดินทางไปกับหลวงพ่อตอนที่ยังไม่ได้บวชนั่นเอง

หลังจากซ่อมแซมสถานที่ทั้งสองแห่งเสร็จแล้ว ผู้เขียนก็ได้เชิญครูจันทร์นวลไปเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ทั้งที่พระธาตุจอมกิตติและที่วิหารน้ำน้อย หลังจากเสร็จงานเรียบร้อยแล้ว

ภายหลังครูจันทร์นวลก็เริ่มป่วย เพราะมีอายุมากขึ้น ด้วยโรคหืดหอบประจำตัวมานาน แต่ก่อนนี้เวลาท่านย่ามาเข้าทรงทีไร จะร่ายรำด้วยท่าทางองอาจสง่าผ่าเผย

แต่พอท่านย่าออกไปแล้ว จะต้องมีคนเข้าไปหิ้วปีกครูจันทร์ออกมา พร้อมกับเอาหลอดยาดมที่จมูกทุกครั้ง เรื่องนี้ทำให้ครูจันทร์นวลเข็ดขยาด

ภายหลังเวลาเดินทางไปกับหลวงพ่อ มักจะหลบออกไปนั่งไกลๆ คิดว่าท่านย่าคงจะรู้ว่าสุขภาพไม่ค่อยดี จึงไม่เข้าทรงครูจันทร์นวลอีกเลย คงจะมีแค่ครั้งแรกๆ เท่านั้นเอง

เวลานี้ครูจันทร์นวลสบายไปแล้ว คงไปพบท่านย่าและไปอยู่กับท่านอย่างเป็นสุข คิดว่าอานิสงส์การได้พบหลวงพ่อเป็นรุ่นแรก อีกทั้งได้ออกจากครูมาปรนนิบัติรับใช้ท่าน ได้มีโอกาสติดตามท่านไปหลายแห่ง

บุญกุศลทั้งหมดที่ได้บำเพ็ญนี้ ผู้เขียนหรือผู้อ่านคงไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนี้ คงจะต้องถือโอกาสอนุโมทนาความดีของครูจันทร์นวลทั้งหมด

ที่ชีวิตบั้นปลายได้พบกับพระอรหันต์อย่างหลวงพ่อ ได้เชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน ได้เกิดความศรัทธาพระผู้หมดกิเลสแล้ว ได้มีโอกาสรับใช้ถวายงานแด่ท่าน

แล้วยังได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ มาเล่าให้พวกเราฟัง ทำให้เกิดความศรัทธาปสาทะยิ่งขึ้น นับว่าบุญกุศลมหาศาลมากมายอย่างนี้

หากครูจันทร์นวลไม่ไปนิพพานตามหลวงพ่อไป แล้วคนอย่างเราจะมีโอกาสได้อย่างไรกัน ใช่ไหมล่ะ..ท่านผู้อ่านทั้งหลาย..?


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



webmaster - 16/8/19 at 05:11

.


webmaster - 25/8/19 at 06:12

.


webmaster - 3/9/19 at 04:52

.