ย้อนอดีต..เด็กอภิญญา..ปรากฏที่เชียงใหม่
webmaster - 12/5/20 at 09:28

สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)

ตอนที่ 1 คำทำนายโบราณ
ตอนที่ 2 ใครคือผู้ที่อยู่ในคำทำนาย
ตอนที่ 3 บันทึกของ อ.อำไพ สุจนิล
ตอนที่ 4 บันทึกของ อ.นฤมล ว่านเครือ
ตอนที่ 5 บันทึกของ ด.ญ.พัชราภรณ์ ขอดแก้ว
ตอนที่ 6 บันทึกของ ด.ญ.สุมาลี ปัญโญ
ตอนที่ 7 บันทึกของ ด.ญ.อำพร ภูเขา
ตอนที่ 8 บันทึกของ ด.ญ.สุนทรีย์ ชัยดารา
ตอนที่ 9 บันทึกของ ด.ช.ธีรยุทธ จันทร์แดง
ตอนที่ 10 บันทึกของ ด.ช.นพดล ต่อกัน
ตอนที่ 11 บันทึกของ ด.ช.ดนตรี บุญเพิ่มพูน
ตอนที่ 12 บันทึกของ ด.ญ.วิมลศรี เปรมวัฒนะ
ตอนที่ 13 บันทึกของ ด.ญ.จารุณี มณี
ตอนที่ 14 บันทึกของ ด.ญ.ไพลิน บุญมา
ตอนที่ 15 บันทึกของ ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์
ตอนที่ 16 เด็กอภิญญามาวัดท่าซุง 14 มี.ค.2535
ตอนที่ 17 บันทึกของ ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์ (ต่อ)
ตอนที่ 18 เด็กอภิญญามาวัดท่าซุง 25 ส.ค.2535
ตอนที่ 19 เมื่อเด็กอภิญญามาหา
ตอนที่ 20 ชวนลูกศิษย์ฝึกมโนมยิทธิ อ.อุษา ศวิตชาต
ตอนที่ 21 สรุปการฝึกอภิญญาวิชาการต่างๆ
ตอนที่ 22 บันทึกการฝึกวิชาต่างๆ (กันยายน)
ตอนที่ 23 บันทึกการฝึกวิชาต่างๆ (ตุลาคม 1)
ตอนที่ 24 บันทึกการฝึกวิชาต่างๆ (ตุลาคม 2)
ตอนที่ 25 บันทึกการฝึกวิชาต่างๆ (พฤศจิกายน)

[ ตอนที่ 1 ]

คุยก่อนเริ่มเรื่อง


...สำหรับการย้อนเล่าเรื่อง "เด็กอภิญญาปรากฏที่เชียงใหม่" นั้น ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ อันเป็นปีที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานมรณภาพพอดี แต่โชคดีที่เรื่องราวเหล่านี้ ได้เกิดขึ้นในช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น

ถ้าใครที่เคยได้อ่านหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ช่วงนั้น ผู้เขียนได้รวบรวมเรื่องราวไว้ในคอลัมน์ "เริ่มเข้ายุค..อภิญญาใหญ่" จากเด็กนักเรียนชั้นประถมที่เชียงใหม่

ซึ่งเด็กได้รับการฝึกจากครูที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อฯ นำไปฝึกให้จากมโนมยิทธิครึ่งกำลัง แบบที่ฝึกให้กับคนทั่วไป แต่เด็กๆ เหล่านี้กลับฝึกได้เกินจากตำรา คือได้ถึงอภิญญาใหญ่ โดยผ่านการฝึกแบบปกติ ที่จะต้องเพ่งกสิณทั้ง ๑๐ กอง แล้วถึงจะแสดงฤทธิ์ได้

นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนสมัยนั้น จนมีอยู่วันหนึ่งในวันพระ ระหว่างที่หลวงพ่อเทศน์ที่ศาลาพระพินิจฯ หลวงพ่อได้พูดถึงเด็กๆ เหล่านี้ให้พระและญาติโยมทั้งหลายฟังว่า


"..อภิญญาเดี๋ยวนี้เขาได้กันแล้วนะ เด็กที่เชียงใหม่ ๓ คนได้อภิญญา พระที่นั่งอาสน์สงฆ์จะอายเด็กนะ ชาวบ้านเขาได้กันเยอะ ที่นั่งๆ ที่อาสน์สงฆ์นี่จะอายเด็ก เด็กเล็กๆ อยู่ ป.๖ได้อภิญญาเหาะมาเที่ยวเรื่อย

เมื่อคืนวานซืนมา แล้วท้าวมหาราชอนุญาตเข้ามาใกล้ตอนตี ๓ เขากระซิบกันเขาบอก เฮ้ย..เงียบๆ หลวงพ่อหลับ ก็เลยลืมตามาบอก

ฉันไม่ได้หลับ..ฉันจะคอยขนาบแก !!
แล้วเขาถาม ทำไมครับ?

พวกเอ็งมันซนเกินไป ถ้าได้อภิญญา อภิญญานี่ไม่ใช่อรหันต์ เป็นฌาณโลกีย์ ยังไม่สามารถจะคุ้มครองตัวเองได้ ไม่สามารถจะกันนรกได้ จะต้องปฏิบัติตนให้ดีให้เรียบร้อย มุ่งตัดสังโยชน์

อภิญญานี่..เป็นเครื่องมือตัดสังโยชน์ ถึงจะได้อรหันต์เร็วขึ้น นั่นแหละสมควร ดีกว่าเที่ยวแบบนี้ แกเที่ยวไปโน่น..ไปนี่ ไปนี่..ไปโน่น

เดี๋ยวแปลงเป็นเสือบ้าง แปลงเป็นหมาบ้าง แปลงเป็นช้างบ้าง แปลงเป็นวัวบ้าง ชอบเล่ภาษาเด็กนะ ก็ตอนต้นให้เล่นไปพักหนึ่งก่อน พอตอนหลังๆ ก็ต้องปราบกัน..."


เอาละ..ขอเกริ่นกันไปแค่นี้ก่อน เพราะตอนนี้ยังเป็นตอนแรก ตอนหลังค่อยนำบันทึกของครูและเด็กๆ มาให้อ่านกันไปเรื่อยๆ เนื่องจากเพิ่งลงในเฟซบุคเป็นครั้งแรก อาจจะมีคนรุ่นใหม่ที่สนใจกันมาก

คำทำนายโบราณ

.


...จึงขอเริ่มการวิเคราะห์เปรียบเทียบ จากการทำนายโบราณโดย อดีตพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) ท่านเป็นพระสายธรรมยุต เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งได้เรียบเรียงไว้ในหนังสือ "ทิพยอำนาจ" มีใจความว่าอย่างนี้

"...คำทำนายโบราณชิ้นหนึ่ง ได้เป็นที่ตื่นเต้นสนใจกัน เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีมานี้ (ขณะที่เขียน พ.ศ.๒๔๙๓) มีว่า

"เมื่อพระพุทธศาสนาถึงกึ่ง ๕,๐๐๐ ปี นับตั้งแต่พุทธปรินิพพาน พระพุทธศาสนาจะกลับเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุดคล้ายสมัยพุทธกาล จะมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานถึงภูมิพระอรหันต์

พระมหาเถระโพธิสัตว์ ผู้มีบุญญาภิสมภาร มีอิทธาภินิหาร เชี่ยวชาญทางอภิญญาในสุวรรณภูมิ จะได้เป็นผู้ทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก

เริ่มต้นที่อินเดีย ไปยุโรป และอเมริกา ประชาชนชาวโลกจะหันมานับถือพระพุทธศาสนามากมาย คนทั้งหลายจะนิยมในการฝึกอบรมจิตใจ ประเทศชาติบ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข ด้วยร่มเงาของพระพุทธศาสนา" ดังนี้

บัดนี้ก็จวนจะถึงสมัยกึ่งพระพุทธศาสนาแล้ว เงาเจริญแห่งพระพุทธศาสนาเริ่มปรากฏแล้ว ชาวอัศดงคตประเทศ (ชาวตะวันตก) กำลังหันมาสนใจในพระพุทธศาสนามากขึ้น

แต่ใครเป็นตัวการตามคำทำนายนั้น ยังมิได้ปรากฏแก่วงการพระพุทธศาสนา ขอให้คอยดูต่อไปว่า จะจริงเท็จแค่ไหน

ถ้าคำทำนายเป็นจริงขึ้น ก็แปลว่าชาวพุทธผู้ให้คำทำนายนั้น มีทิพจักขุวิเศษที่สุดได้แน่ ๆ ทีเดียว และตัวการในคำทำนายนั้น จะเป็นบุคคลที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของโลกสมัยใหม่ด้วย

ข้าพเจ้า (เส็ง ปุสโส) ได้เรียนถาม พระอาจารย์ภูริทัตตเถระ (มั่น) ว่าคำทำนายโบราณนี้ จะเป็นจริงไหม? ท่านว่า "เจ้าพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันทเถระ จันทร์) บอกว่าจริง!"

เมื่อข้าพเจ้าถามถึงความเห็นเฉพาะตัวของท่าน ท่านก็บอกว่าเป็นจริง เวลาก็จวนถึงแล้ว เราคอยดูกันต่อไป..."

เจ้าคณะจังหวัด แขวงเมืองเวียงจันทน์

..ใจความของเรื่องขอนำมากล่าวไว้เพียงแค่นี้ และเรื่องในทำนองเดียวกันนี้ บังเอิญผู้เขียนได้เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง มีพระองค์หนึ่งท่านเล่าว่า 

ท่านได้เคยธุดงค์ไปเวียงจันทน์ ประเทศลาว ประมาณ พ.ศ.๒๔๙๐ และท่านได้เข้าไปสนทนากับเจ้าคณะจังหวัด แขวงเมืองเวียงจันทน์นั้น

ขณะที่กำลังคุยกันอยู่ปรากฏว่า เสียงของเจ้าคณะจังหวัดองค์นั้นค่อยเปลี่ยนไป จึงได้สอบถามกลับตอบว่า ท่านเป็น “ท้าวมหาพรหม” ต้องการจะมาคุยด้วย เพราะเห็นกำลังคุยกันถึงเรื่องพระศาสนากันอยู่ จึงได้ถามว่า

"ต่อไปพระพุทธศาสนาจะเป็นอย่างไรบ้าง?"

ท้าวมหาพรหมจึงบอกว่า "ต่อไปพระพุทธศาสนาในประเทศไทย จะเจริญรุ่งเรืองมาก พระมหาเถระองค์หนึ่งเป็นผู้ทรงอภิญญา จะสามารถเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้อย่างมั่นคง"

พระธุดงค์องค์นั้น จึงถามต่อไปว่า "จะสังเกตได้อย่างไร ว่าบุคคลที่ท่านหมายถึงนั้น จะมีลักษณะอย่างไร ตามคำพยากรณ์ของท่าน?"

พระพรหมองค์ที่มาประทับทรงเจ้าคณะจังหวัด ได้กล่าวตอบว่า

"ขอให้สังเกตดูว่า พระองค์ไหนที่สามารถไปพบพระพุทธเจ้าได้ ยืนยันว่านิพพานไม่สูญได้ และสามารถสอนคนให้ไปพบนรกสวรรค์ได้ หรือพบพระพุทธเจ้าได้เช่นกัน องค์นั้นแหละที่ตกอยู่ในคำพยากรณ์"

หลังจากท้าวมหาพรหมผู้ที่มาโดยมิได้รับเชิญได้กลับไปแล้ว ได้ถามเจ้าคณะจังหวัดองค์นั้น ปรากฏว่าท่านไม่รู้เรื่องเลย บอกว่ากำลังคุยกันอยู่ดีๆ ก็หมดความรู้สึกวูบไปเลย จึงไม่ทราบว่าพูดอะไรไปบ้าง เพิ่งมารู้สึกตัวตอนนี้แหละ

แล้วพระธุดงค์องค์นั้น ท่านก็เขียนถึงเรื่อง "หลวงพ่อสด" วัดปากน้ำภาษีเจริญ สอนวิชาธรรมกายว่า เป็นที่แพร่หลายเหมือนกัน

ท่านก็เขียนทำนองเป็นที่สงสัยอยู่เหมือนกัน เพราะตอนนั้นหลวงพ่อสดยังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องแปลก จึงได้นำมาเล่าไว้เป็นที่สังเกตต่อไป

แล้วก็มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง เคยบวชช่วงเข้าพรรษาที่วัดท่าซุง ฝึกมโนมยิทธิได้แบบเต็มกำลัง และได้บันทึกเอาไว้นานแล้ว จึงขอคัดลอกเอามาแค่บางส่วน ดังนี้

บรรยากาศชาวโลกก่อนเข้าสู่ยุคศรีวิไล

...นิมิตและสิ่งบอกเหตุอีกหลายอย่าง ที่จะปรากฏก่อนที่จะได้พบผู้มีบุญออกมาทำงานใหญ่ อาทิ

๑) สัตว์จะเริ่มเข้าใจภาษาคนมากขึ้น (เพราะสัตว์จำนวนมากกำลังหมดกรรม หรือเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีต่อ) ส่วนคนจะเริ่มไม่เข้าใจภาษาคน (คนส่วนใหญ่มักจะประกอบกรรมชั่ว ไม่คิดปฏิบัติตามคำสอนที่ดีกัน)

๒) โรคภัยไข้เจ็บชนิดแปลกๆ จะเกิดขึ้นมาท้าทายวงการแพทย์ ซึ่งหมอสมัยใหม่ก็ยากที่จะเยียวยาหรือรักษาให้หายขาดได้ แต่จะมาแพ้ยาโบราณและอภิญญาของพระโพธิสัตว์

๓) สัตว์ชนิดแปลกๆ ที่มนุษย์คิดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว และสัตว์โลกใหม่ๆ ที่มนุษย์ยังไม่เคยเห็นจะออกมาปรากฏ

๔) ยานพาหนะของมนุษย์ที่อยู่ต่างโลกธาตุจักรวาล จะปรากฏเหนือน่านฟ้าโลกเรามากขึ้นในหลายรูปแบบ

๕) ต่อไปชาวธรรมจำนวนมาก จะแยกเดียรถีย์อลัชชีออกจากผู้บำเพ็ญได้ถูกต้อง

๖) ดวงดาวต่างๆ จะค่อยๆ โคจรเข้ามาใกล้ระบบสุริยะเรามากขึ้น

๗) อากาศจะวิปริตแปรปรวน ยิ่งใกล้เวลาที่กำหนดไว้ คือเวลาที่มนุษย์จำนวนมาก ต้องสังเวยชีวิตกับภัยธรรมชาติและภัยสงคราม อากาศจะมืดครึ้มอย่างชอบกล แม้ในวันเดียวกันจะมีอากาศในลักษณะ ๓ ฤดู

Cr. จากคุณ มโนมยิทธิ เมื่อวันที่ 24/10/2548 13:25:27

สำหรับเรื่องคำพยากรณ์ที่ได้เล่าไว้ใน "ทิพยอำนาจ" นั้น ผู้เขียนบังเอิญอีกนั่นแหละ ไปค้นมาได้จากบันทึกเก่า ๆ คนรุ่นเก่าคงจะยังจำได้นะ จึงขอนำมาลงไว้ให้ทราบเป็นบางตอนดังนี้

พระพุทธทำนาย ๓๐ ปีปัจจุบัน

...พุทธทำนายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ ถึง พ.ศ.๒๕๑๕ ซึ่งจารึกไว้ในแผ่นศิลา เขตมหาวิหาร ในสวนมฤคทายวัน แห่งประเทศอินเดีย โดยคณะทูตไทยที่ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระศรีมหาโพธิ์ นำมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๔ ตามคำแปลดังต่อไปนี้

"สาธุ...อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระเมตตากรุณาแก่สัตวโลก ที่เกิดมาแล้วลำบากยิ่งนัก ในคราวที่พระองค์ใกล้ถึงพระชนมายุ ย่างเข้าปรินิพพานตามกาลเวลา จึงตรัสแก่พระอานนท์ว่า

"ดูก่อนอานนท์ สัตวโลกทั้งหลายที่เกิดมาล้วนแต่ลำบากยิ่งนัก โลกจะยิ่งหมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลายมากเข้าทุกที จนถึงสมัยที่ตถาคตนิพพานไปแล้วได้ ๕,๐๐๐ ปีเป็นที่สุด

เมื่อโลกหมุนเวียนไปได้กึ่งพุทธกาล มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจะได้รับภัยพิบัติสารพัดทิศ เสียครั้งหนึ่งเป็นระยะเวลา ๓๐ ปี ในระยะเวลา ๓๐ ปีนี้ สิ่งที่สาธุชนไม่เคยพบเห็นก็จะได้พบเห็น

ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับสนิทก็จะตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งนัก เมื่อใกล้กึ่งพุทธกาลก็จะทวีภัยใหญ่ยิ่งขึ้น มนุษย์นอกศาสนาจะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ แม้ในอากาศก็มีอำนาจภัยจากท้องฟ้า ไฟจะลุกลามเผาผลาญมนุษย์ไม่ขาดระยะ

ต่างฝ่ายต่างทำลายกันจนย่อยยับ เหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินแผ่นน้ำจะเดือดเป็นเปลวไฟ แล้วตายกันไปฝ่ายละครึ่งหนึ่งจึงจะเลิกลา ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังลงด้วยกัน ตามวิสัยของยักษ์ร้ายนอกศาสนา ซึ่งถือกำเนิดมาจากสัตว์ป่าใจอำมหิต

ส่วนศาสนิกชนผู้ขวนขวายบุญ เดินตามคำสั่งสอนของตถาคตก็จะสามารถระงับไม่รุนแรง บ้านเมืองใดที่เคารพสักการบูชาพระศรีมหาโพธิ และกาสาวพัสตร์ ก็จะได้รับความวิบัติเบาบางลง แต่จะหนีธรรมชาติหาพ้นไม่

เริ่มแต่ศาสนาของตถาคตล่วงได้ ๒๔๘๕ ปีเป็นต้นไป ไฟจะลุกลามจากทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม สมณชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ คนบ้านจะเข้าป่า สัตว์ป่าจะเข้ากรุง เมืองหลวงจะร้อนเป็นไฟ

ลูกไฟจะตกจากฟากฟ้าเป็นเพลิงเผาผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานผุดขึ้นจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะเกิดทั่วทิศ ศึกจะติดบ้าน ทหารจะเป็นเจ้า ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแว่นแคว้นจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเมือง ผู้ปราชญ์เปรื่องจะสูญสิ้น

ราชตระกูลและอำมาตย์ราษฎรทุกคน พากันถืออำนาจเป็นธรรม ไม่เคารพหลักธรรม โลกปรวนแปรให้นิยมเชื่อถ้อยคำของคนคดโกง คนกล่าวคำเท็จและคนประจบสอพลอ ย่อมได้รับการเชื่อถือในสังคม

คนดีมีศีลธรรม ประพฤติตรงประพฤติชอบไม่มีเสียง จะเกิดจลาจลวุ่นวาย ลูกจะพลัดพรากจากแม่แม่จะพลัดพรากจากลูก โคกจะเป็นน้ำ ผีโขมดจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองพระทรงเมืองจะเข้าไพร

บุคคลใดเจริญด้วยเมตตากรุณา ไม่เบียดเบียนข่มเหง อิจฉาพยาบาท และประทุษร้ายซึ่งกันและกัน ประพฤติตนในศีลธรรมก็จะพ้นภัยพิบัติ

ดูก่อนอานนท์ ตถาคตสงสารสัตว์เป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ใกล้ยุคกึ่งสมัย ในเวลานั้นจะมี พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง

จะเกิดภายในอุปถัมภ์ของ พระมหาเถระพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์นั้น จะจัดการสถาปนาบำรุงพระศาสนาของตถาคต ในระยะนี้เป็นยุคชาวศรีวิลัย

ทั้งสองพระองค์นั้นสถิตย์อยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ ผู้มีบุญทั้งสองพระองค์ จะเสด็จเข้ามาบำรุงพระศาสนาของตถาคตเป็นเที่ยงแท้ สมณชีพราหมณ์จะตามเสด็จเป็นอันมาก..."

หลวงพ่อเล่า "คำพยากรณ์"

...เรื่อง "พุทธพยากรณ์" ผู้เขียนขอนำมาเปรียบเทียบไว้เพียงแค่นี้ พอที่จะสรุปเหตุการณ์จากคำพยากรณ์ได้ว่า จะมีภัยเกิดจากสงครามและธรรมชาติ แต่พระพุทธศาสนาจะกลับเจริญรุ่งเรืองยึ่งขึ้น

ในข้อนี้หลวงพ่อได้เล่าไว้ใน ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๓๐ เดือนธันวาคม ๒๕๓๔ ในวาระที่มีการต่ออายุอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาพยากรณ์ไว้ว่า

"นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะมีคนบรรลุอรหันต์ถึง ๗ แสนคนเศษ"

แล้วหลวงพ่อท่านได้อธิบายว่า
"..นี่ไม่ได้หมายความวันนี้นะ อาจจะจนกว่าจะสิ้นศาสนาก็ได้ ไม่ใช่เล็กน้อยนะ ขอให้อยู่ช่วยกัน
ปูพื้นฐานก่อน ท่านก็เลยบอกว่า

"ต่อไปให้สอนเฉพาะสังโยชน์ ถ้าจบ ๑๐ ก็ขึ้นต้นใหม่ จบ ๑๐ ก็ขึ้นต้นใหม่ ฟังบ่อยจนกระทั่งรำคาญ
รำคาญหนัก ๆ เข้าก็ไม่ต้องฟัง เป็นอรหันต์ไปเลย"

หลังจากนั้นแล้วหลวงพ่อตอบคำถามที่ว่า "๗ แสนคนนี่ ของหลวงพ่อหรือของใคร?" หลวงพ่อ
ตอบว่า "ท่านไม่บอกจำกัด รวมแล้วก็เป็นสายของพระพุทธเจ้า" ดังนี้

หนังสือ พุทธสาสนสุวัณภูมิปกรณ์

...เป็นอันว่า คำพยากรณ์ที่ได้นำมาเสนอนี้ เป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นในสมัยปัจจุบันนี้ ต่อไปจะขอนำข้อ
มูลที่เกิดขึ้นในครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว ซึ่งได้ปรากฏเป็นหลักฐานในกระเบื้องจาร

ท่านเจ้าคุณพระราชกวี วัดโสมนัส กรุงเทพฯ เป็นผู้อ่านข้อความเหล่านี้ พร้อมกับได้เติมข้อความของท่านไว้ในวงเล็บอีกด้วย

และในหนังสือธัมมวิโมกข์หลวงพ่อเคยบอกว่า ท่านเจ้าคุณองค์นี้ปรารถพุทธภูมิ ในอดีตชาติคือ "ช้างปาลิไลยกะ" ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ ในกัปนี้ จึงขอนำใจความมาจากหนังสือ "พุทธสาสนสุวัณภูมิปกรณ์" ซึ่งท่านได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า

เดือนเด่นฟ้า ลงคำโสณ เมืองกรุงศรีอยุธยา อยู่ ๔๐๐ กว่าปี (พ.ศ.๑๘๙๓-๒๓๑๐) ยอดฟ้าราชา ก่อสร้างกรุงเทพมหานคร ตั้งยืน ๑๕๕๐ ปี ราชาตลอดล้วนมีธรรม (เป็นพุทธศาสนิกตลอด ๒,๕๐๐ ปีเศษมาแล้ว ไม่เคยมีเปลี่ยน)

เมื่อนั้น พุทธพจน์เข้าถึงคนเมืองไทย (อีก) ภิกขุ สามเณร ดีเปน (ตัว) อย่าง คนตลอด (ทั่ว) ทุกเมือง

พุทธกาล ๒๕๐๐ ปี ภูมิพล อุปสมบทแล้ว ฟื้นคนหลับ ปลุกพาเห็นพุทธพจน นำคนข้างนอกนับถือมาก

ในเมื่อพุทธกาล ๒๕๐๘ มีอารามเกิดในอลังกลัฏฐ แม่นางอลิสเบดเป็นอุปถม (ภ) ภูมิพลช่วยแนะอุบาสก อุบาสิกา ภิกขุ สามเณร จานเมื่อ เดือน ๖ ขึ้น ๕ ค่ำ พุทธกาล ๒๖๔

(จากข้อความเหล่านี้ที่นำมาเป็นตัวอย่าง พอจะอ่านเป็นสำนวนในสมัยนี้ว่า)

พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า กษัตริย์แห่งกรุงสุวัณณภูมิ (ราชบุรี) ได้จารึกตามคำของ พระโสณะ (พระเจ้าอโศกทรงส่งมาเป็นสมณทูต พร้อมกับ พระอุตตระ) ได้พยากรณ์พระพุทธศาสนาในอนาคตกาล ในวันที่จะนิพพานว่า

"กรุงศรีอยุธยาอยู่ ๔๐๐ กว่าปี พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสร้างกรุงเทพเป็นเมืองหลวงอยู่นานถึง ๑,๕๕๐ ปี (พ.ศ.๒๓๒๕ - พ.ศ.๓๘๗๕) พระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ล้วนทรงธรรม

เมื่อนั้น พระพุทธพจน์ คือคำสอนของพระพุทธเจ้า จะเข้าถึงชาวไทย อีกทั้งพระภิกษุสามเณร ประพฤติดีเป็นตัวอย่างของคนทั่วไปทั้งประเทศ

พ.ศ.๒๕๐๐ ไปแล้ว หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอุปสมบท จะทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ จะหันมานับถือพระพุทธศาสนากันมาก

พ.ศ.๒๕๐๘ มีอารามเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ พระนางเจ้าอลิซเบททรงเป็นองค์อุปถัมภ์ พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ จะเป็นศาสนูปถัมภกยอยกพระพุทธศาสนา ทั้งอุบาสกอุบาสิกาภิกษุสามเณร" ดังนี้

นี่ก็เป็นการนำข้อมูลต่างๆ มาให้อ่านกันก่อน เป็นการวิเคราะห์เปรียบเทียบในการทำนาย และหลวงพ่อนำมาเล่าให้ฟังบ้าง

แต่ขอย้ำว่าอย่าถือเป็นจริงเป็นจัง เพราะการทำนายหรือว่าพยากรณ์นั้น เราก็เอามาวิเคราะห์กันเล่นๆ ไปก่อน คอลัมน์นี้จึงไม่ถือเป็นเชิงวิชาการเท่าใดนัก นำมาคุยเล่นกันเพื่อผ่อนคลายจากวิกฤตการณ์ของโลกเท่านั้น

ตอนนี้ขอกลับมาเรื่อง "เด็กอภิญญาปรากฏที่เชียงใหม่" กันต่อไป จะขอนำบันทึกของเด็กนักเรียนชั้น ป.๖ โรงเรียนบ้านเตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ จำนวน ๓ คน ซึ่งเป็นตอนเริ่มของการฝึกกันในตอนต่อไป..สวัสดี


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 12/5/20 at 10:23

[ ตอนที่ 2 ]

ใครคือผู้ที่อยู่ในคำทำนาย


...ตามที่ได้เล่าไปแล้วว่า คำทำนายสมัยก่อนปี พ.ศ.๒๕๐๐ สมัยนั้นมีการฉลองอายุพระพุทธศาสนากึ่งพุทธกาล คำทำนายนี้ได้ค้นพบที่พุทธคยา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๔ เป็นที่โด่งดังในวงการชาวพุทธกันมาก

โดยเฉพาะในหนังสือ "ทิพยอำนาจ" เขียนโดยพระสาย "หลวงปู่มั่น" บอกไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ ว่า "พระมหาเถระโพธิสัตว์ ผู้มีบุญญาภิสมภาร มีอิทธาภินิหาร เชี่ยวชาญทางอภิญญาในสุวรรณภูมิ จะได้เป็นผู้ทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก"

"เมื่อพระพุทธศาสนาถึงกึ่ง ๕,๐๐๐ ปี นับตั้งแต่พุทธปรินิพพาน พระพุทธศาสนาจะกลับเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุดคล้ายสมัยพุทธกาล จะมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานถึงภูมิพระอรหันต์"

อีกทั้งมีหนังสือเล่มหนึ่งเล่าไว้ว่า มีท้าวมหาพรหมมาเข้าทรง "เจ้าคณะจังหวัด แขวงเมืองเวียงจันทน์" บอกว่า

"ต่อไปพระพุทธศาสนาในประเทศไทย จะเจริญรุ่งเรืองมาก พระมหาเถระองค์หนึ่งเป็นผู้ทรงอภิญญา จะสามารถเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้อย่างมั่นคง"

พระธุดงค์องค์นั้น จึงถามต่อไปว่า "จะสังเกตได้อย่างไร ว่าบุคคลที่ท่านหมายถึงนั้น จะมีลักษณะอย่างไร ตามคำพยากรณ์ของท่าน?"

พระพรหมองค์ที่มาประทับทรง "เจ้าคณะจังหวัด" ได้กล่าวตอบว่า

"ขอให้สังเกตดูว่า พระองค์ไหนที่สามารถไปพบพระพุทธเจ้าได้ ยืนยันว่านิพพานไม่สูญได้ และสามารถสอนคนให้ไปพบนรกสวรรค์ได้ หรือพบพระพุทธเจ้าได้เช่นกัน องค์นั้นแหละที่ตกอยู่ในคำพยากรณ์"

นี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนปี พ.ศ.๒๕๐๐ สมัยนั้นยังไม่มีข่าวเรื่อง "อภิญญา" เกิดขึ้น แม้แต่ผู้เขียนหนังสือ "ทิพยอำนาจ" ยังกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ว่า

"...ข้าพเจ้า (เส็ง ปุสโส) ได้เรียนถาม พระอาจารย์ภูริทัตตเถระ (มั่น) ว่าคำทำนายโบราณนี้ จะเป็นจริงไหม ท่านว่า "เจ้าพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันทเถระ จันทร์) บอกว่าจริง"

เมื่อข้าพเจ้าถามถึงความเห็นเฉพาะตัวของท่าน ท่านก็บอกว่าเป็นจริง เวลาก็จวนถึงแล้ว เราคอยดูกันต่อไป..."

พระมหาเถระพระโพธิสัตว์
...สำหรับคำทำนายชิ้นนี้ ใครที่เป็นลูกศิษย์พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ มานาน คงจะเคยอ่านเรื่องนี้มาจากหลวงพ่อบ้างแล้ว แต่แปลก..ที่ท่านกลับไม่เคยยกคำนี้มากล่าวไว้เลยว่า

"...พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง จะเกิดภายในอุปถัมภ์ของ พระมหาเถระพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์นั้น จะจัดการสถาปนาบำรุงพระศาสนาของตถาคต ในระยะนี้เป็นยุคชาวศรีวิลัย..."

อนาคตของประเทศชาติ
...แม้แต่การบรรยายเรื่อง "อนาคตของประเทศชาติ" ให้กับทหารที่ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา เมื่อวันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ ท่านก็พูดเพียงแค่นี้เองว่า

“อานันทะ..ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๕) จะมีฝนเหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และสมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก

แต่ว่า..อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่าความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาล

หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นมาอาละวาด สมณะชีพราหมณ์จะล้มตาย

ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก”

ความสงสัยเกิดขึ้นมานานแล้ว
...นี่ก็เป็นที่น่าสงสัยว่า ท่านต้องเคยอ่านพบข้อความทั้งหมดนี้ในคำทำนาย แต่เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไมท่านไม่เอ่ยคำนี้ออกมาด้วย หรือท่านทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ท่านไม่อยากอวดตัวของท่านเอง หรือไม่อยากตอบคำถามที่มีคนสงสัยในเรื่องนี้

เสียดายที่ท่านล่วงลับไปแล้ว ความลับนี้ก็ยังเป็นปริศนากันอยู่ในเวลานี้ ผู้เขียนได้เขียนเรื่องนี้ก็เป็นวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ กาลเวลาล่วงมานานถึง ๗๙ ปีแล้ว จากได้พบคำทำนายนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๔

สำหรับพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) ท่านนำเรื่องนี้มาวิจารณ์เมื่อปี ๒๔๙๓ ด้วยการถามหลวงปู่มั่นว่าจริงหรือไม่ หลวงปู่มั่นก็ยอมรับว่าจริง

ส่วนข้อเขียนของเรานี้ เริ่มหยิบยกมาวิจารณ์อีกครั้งเมื่อปี ๒๕๖๓ กับเลข ๒๔๙๓ เลขก็คล้ายๆ กันนะ (ไม่ได้ให้หวยนะ) แต่สมัยนั้นก็ยังไม่มีคำตอบ เพราะท่านก็มรณภาพไปเสียก่อน

อีกทั้งบุคคลที่ปรากฏอยู่ในคำทำนาย ตามที่คาดการณ์ไว้คือ "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช" ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ และ "พระมหาเถระ" พระโพธิสัตว์ ปัจจุบันทั้งสองพระองค์นี้ ก็น่าจะล่วงลับดับสังขารไปแล้ว

ฉะนั้น บทความที่นำมาวิเคราะห์นี้ ถือว่านำมาเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์กันเท่านั้น ไม่ได้ทึกทักว่าเป็นจริงเป็นจัง เพราะเราก็ไม่ได้ยินจากปากท่านโดยตรง

แต่เท่าที่ค้นคว้าหาหลักฐานมาประกอบกัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่า "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช" และ "พระมหาเถระ" นั้น เป็นใครกันแน่ตามคำทำนายโบราณ หรือ "ใครคือผู้ที่อยู่ในคำทำนาย" ตามที่ตั้งหัวข้อบทความนี้เอาไว้

ประเด็นแรก คำว่า "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช ผู้เป็นพระโพธิสัตว์" เท่าที่มีหลักฐานออกไปเป็นสาธารณะ ตามสื่อต่างๆ ที่นำออกมาเผยแพร่ ดังนี้

ในหลวง ร.๙ ปรารถนาพุทธภูมิ
...พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เคยถวายพระพรไว้ ณ พระตำหนักภุพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ ในตอนหนึ่งที่พระองค์ทรงตรัสถามหลวงพ่อว่า

"เขาพูดกันว่าผมปรารถนาพุทธภูมิเป็นความจริงไหมครับ..?"

หลวงพ่อถวายพระพรว่า...เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ปรารถนามานาน..แต่เวลานี้บารมีเป็น "ปรมัตถบารมี" แล้วก็เหลืออีก ๕ ชาติ และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว..ไม่ใช่ไม่สำเร็จ..!

"พุทธภูมินี่..ต้องบำเพ็ญกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น "วิริยาธิกะ" วิริยาธิกะนี่..ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่บำเพ็ญมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว "แสนกัป" อาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ"

ข้อนี้ก็สมกับคำของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา ได้กล่าวไว้กับลูกศิษย์คนหนึ่ง เมื่อครั้งที่บวชอยู่กับท่านว่า

"...วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก"

พ่อมองหน้าผมแล้วย้ำว่า..."ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ"

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
“..ในหลวงพระองค์นี้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์นะ”

ท่านเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ฯ
“...การที่คุณเอาธนบัตรที่มีรูปในหลวงไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงนั้น ไม่ดีเลย เพราะในหลวงท่านเป็น "พระโพธิสัตว์" การเอาพระรูปของท่านไปไว้ในที่ต่ำอย่างนั้น ย่อมบังเกิดโทษเป็นอันมาก ทีหลังอย่าพากันทำ..”

เท่าที่สรุปคำกล่าวของพระมหาเถระ ที่มีความสำคัญหลายรูป ตามที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้ พอที่จะสรุปได้ว่า "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช ผู้เป็นพระโพธิสัตว์" ตามคำทำนายเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๔ นั้น

ต้องเป็นในหลวง รัชกาลที่ ๙ อย่างแน่นอน แล้วก็มีพบหลักฐานว่า พระโพธิสัตว์ทั้งสองนี้ เคยเกิดร่วมสร้างชาติสร้างแผ่นดิน ในอดีตเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว

พระเจ้าตะวัน และ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า
...โดยเฉพาะคำว่า "สุวรรณภูมิ" ในหลักฐานกระเบื้องจารของ อดีตท่านเจ้าคุณพระราชกวี (อ่ำ) วัดโสมนัสฯ ได้เล่าไว้ว่า

ในสมัยสุวรรณภูมิ พ.ศ.๒๔๖ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ พระองค์ คือ พระเจ้าตะวันอธิราช ผู้เป็นพระราชบิดา กับ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า พระราชโอรส ได้บำเพ็ญทศบารมีร่วมกัน

พระเจ้าตวันอธิราช กษัตริย์ผู้ครองกรุงสุวรรณภูมินี้ ได้วางรากฐานการสร้างพระบารมีไว้ให้พระราชโอรสของพระองค์ ในฐานะที่จะทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปภายภาคหน้า อาทิ

- การสร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ปรับปรุงกองทัพให้เข้มแข็ง ส่งเสริมอาชีพของราษฏร โรงพยาบาลเพื่อสงเคราะห์พสกนิกร ฯลฯ

- ส่วนด้านพระพุทธศาสนา ได้โปรดสร้างวัด โรงเรียนปริยัติธรรมสำหรับพระภิกษุสามเณร โดยมี พระโสณะ กับ พระอุตตระ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีการมอบ "พัศยศ" สำหรับผู้สอบบาลีได้

- ต่อมาก็มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ไทยขึ้นเป็น "สมเด็จพระสังฆราช" เป็นพระองค์แรกของเมืองไทย จนได้สืบต่อวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ มาจนถึงบัดนี้

- อีกทั้งพระองค์ได้เสด็จประพาสไปยังนานาประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และที่อยู่ห่างไกลออกไป ส่วนภายในประเทศอาณาเขตของพระองค์ ก็เสด็จเยี่ยมเยือนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ อีกด้วย

- พระราชจริยวัตรของ พระเจ้าตะวันอธิราชนี้ มีลักษณะที่ทรงปฏิบัติคล้ายกับพระราชจริยวัตรของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ของพระเจ้ากรุงสยาม ทุกประการ

- ฉะนั้น ขนบธรรมเนียมประเพณีในด้านพระพุทธศาสนา เช่น พิธีกวนข้าวทิพย์ การสวดมนต์ หรือ พิธีการนิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้าน ตลอดถึงพิธีกรรมต่างๆ ตามโบราณราชประเพณี เรามีการสืบทอดวัฒนธรรม อันเป็นมรดกไทยมานานนับพันปี

ทั้งหมดนี้เป็นรากฐานที่ "พระเจ้าตะวันอธิราช" วางไว้ให้กับพระราชโอรสคือ "พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า" เพราะทั้ง ๒ พระองค์ต่างก็เป็น "พระมหาโพธิสัตว์" ที่บารมีเข้มข้นมาก่อน

พระโสณะพยากรณ์
...ต่อมา หลังจากพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ก็ทรงมีพระราชหฤทัยที่ดำเนินรอยตามพระยุคลบาทของสมเด็จพระราชบิดา ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็น "พระโพธิสัตว์" เช่นเดียวกัน และก่อนที่ "พระโสณะ" จะนิพพาน ท่านก็ยังได้พยากรณ์ไว้อีกว่า

"พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า จะมาเกิดที่ "กรุงเทพมหานคร" เมื่อนั้น "สุวรรณภูมิ" จะฟื้นชื่อมีคนรู้ทั่ว..."

หนังสือ "พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์" เล่มนี้ ภายหลังได้ทูลถวายในหลวงพ่อ (ตามภาพที่ได้เห็นเมื่อตอนที่แล้ว) ต่อมามีการสร้่าง "สนามบินงูเห่า" ขึ้นใหม่

พระองค์จึงทรงพระราชทานชื่อใหม่ว่า "สนามบินสุวรรณภูมิ" อันเป็นสนามบินนานาชาติ ตรงตามคำพยากรณ์ที่ว่า "เมื่อนั้น "สุวรรณภูมิ" จะฟื้นชื่อมีคนรู้ทั่ว" ถูกต้องทุกประการ

คำว่า "อภิญญา"
...ต่อไปคราวนี้ก็เป็นการวิเคราะห์คำว่า "พระมหาเถระ พระโพธิสัตว์" กันต่อไปว่า ได้แก่..ใครคือผู้ที่อยู่ในคำทำนาย ?

ข้อนี้ก็คงต้องสืบสาวราวเรื่อง ย้อนไปถึงคำว่า "อภิญญา" ส่วนใหญ่เรารู้จักกันแค่ "พระอภิญญา" แต่เพิ่งได้ยินเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๕ ว่ามี "เด็กอภิญญา" เกิดขึ้นด้วยที่เชียงใหม่

แต่ถ้าย้อนไปถึงสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ บวชอยู่กับหลวงปู่ปาน พร้อมกับเพื่อนของท่านอีก ๒ องค์ก็ได้อภิญญา แต่มีคำสั่งให้เข้าป่าเมื่อบวชได้ ๑๐ พรรษาผ่านไปแล้ว ส่วนหลวงพ่อท่านเล่าไว้ดังนี้

หลวงพ่อจงพยากรณ์
...ท่านสาธุชนพุทธบริษัท วันนี้ก็เป็น วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๓ ก็เป็นอันว่าหลังจากนั้นมา หลวงพ่อจงก็พยากรณ์ ท่านก็บอกว่า

"กสิณทั้ง ๑๐ ประการนี่เธอใช้ได้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเธอเอง (หมายถึงอาตมา) คล่องในกรรมฐาน ๔๐ แล้วก็มหาสติปัฏฐานสูตร

ถามท่านว่า "ผมปรารถนาพุทธภูมิ ชาตินี้จะมีบุญวาสนาบารมีเต็มหรือขอรับ?"

ท่านก็นิ่งนิดหนึ่ง สักหนึ่งวินาที ท่านบอกว่า

"พระท่านบอกว่า ถ้าเธอมีอายุถึง ๖๐ ปี บุญวาสนาบารมีปรารถนาพุทธภูมิของเธอก็จะเต็มชาตินี้ แต่ว่าเธอมีอายุแค่ ๒๗ ปี จะต้องแบกบุญวาสนาบารมี ต้องบำเพ็ญบารมีไปอีกหลายชาติ"

ท่านบอกต่อไปอีกว่า "ไม่เป็นไร..เธอก่อนจะเกิดมา เธอมีสัญญา"

ถามว่า "สัญญาอะไร ขอรับ?"

ท่านก็บอกว่า "หลังจากอายุ ๔๐ ปีไปแล้ว เธอต้องลาจากพุทธภูมิ แต่ว่าเวลานี้เธอต้องทำให้เข้ม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อย่าท้อถอยทุกอย่าง

จะประสบกับทุกข์อะไรก็ตาม จะต้องสู้กับทุกข์ ตั้งใจปฏิบัติตามกิจพุทธภูมิทุกอย่าง เมื่อลาจากพุทธภูมิแล้ว สิ่งที่เธอลา เธอขอสัญญากับพระ พระท่านจะให้ แล้วจะได้ตามนั้น แต่ว่าเธอจะต้องทำกิจพุทธภูมิต่อไปจนกว่าจะตาย"

นี่เป็นคำพยากรณ์ของหลวงพ่อจง หลวงพ่อจงนี่เป็น "พระอภิญญา" แต่ก็ไม่ใช่อภิญญาอย่างเดียว เป็นพระปฏิสัมภิทาญาณด้วย ท่านสอนต่อไปว่า

"...แต่ว่าเธอทั้งหลาย จงอย่าลืมนะว่า ต้องยึดอริยสัจเป็นสำคัญ อริยสัจที่จะต้องตั้งใจทำให้มั่นก็คือ ทุกขสัจ เข้าใจในทุกขสัจอย่างเดียว ให้ได้จริง ๆ แล้วเธอจะเข้าใจผลในทุกขสัจ

แต่ว่ากรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง จะต้องซ้อมไว้เป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "อภิญญา" อย่าทำเป็นอันขาด การทำอภิญญาไม่ใช่วิสัยของเธอ เป็นวิสัยของสององค์นี่ ต้องอยู่ป่า ต้องใช้อภิญญา เธอจงเก็บอภิญญาไว้เป็นคู่มือ เป็นคู่ปัญญา เพื่อเข้าใจในการตัดกิเลส

อภิญญาใหญ่อย่าไปสอน ถ้าขืนสอน เธอจะเหนื่อยเปล่า เพราะวิสัยแบบนี้ จะยากสำหรับบุคคลที่จะพึงทำได้ แต่ว่ามีอยู่ แต่ก็ไม่อยู่ในฐานะที่เธอจะต้องเป็นครู ต้องให้คนอื่นเขาเป็นครูกัน เธอเอาเท่านั้นก็พอ เป็นแค่..ปัจจัตตัง.."

พระมหาเถระกล่าวถึงหลวงพ่อ
...ตามที่ได้นำคำบอกเล่าของหลวงพ่อนี้ คิดว่าท่านผู้อ่านคงจะได้คำตอบเอง โดยไม่ได้คิดยกย่องครูอาจารย์ หรือที่เรียกว่าอวย..กันเอง คำว่า "พระมหาเถระ พระโพธิสัตว์" ต้องเป็นองค์หลวงพ่อนั่นเอง โดยเฉพาะพระมหาเถระที่ได้กล่าวถึงหลวงพ่อไว้มีดังนี้

หลวงพ่อดาบส สุมโณ พูดถึงหลวงพ่อฤๅษีว่า

"...พระคุณเจ้าองค์นั้น เป็นอรหันต์องค์เอกองค์หนึ่งของโลกในปลายศาสนา ๕๐๐๐ ปี จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่านหาไม่ได้แล้ว พระคุณท่านองค์นั้นสอนได้คล้ายพระพุทธเจ้าสอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ

ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิหักใจเป็นพระอรหันตสาวกเสียก่อน ท่านเทศน์คราวไร เรา..พวกเรานี้ที่บำเพ็ญบารมีตามท่านมา ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียว ก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้"

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร บอกว่า
"...หลวงพ่อมหาวีระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ท่านเป็นโลกวิทู แจ้งทั้งโลก แจ้งทั้งธรรม"

หลวงปู่บุดดา ถาวโร ยังปรารภถึงหลวงพ่อว่า
"...หลวงปู่น่ะเหมือนหิ่งห้อย หลวงพ่อมหาวีระนั้น เหมือนพระอาทิตย์"

หลวงปู่คำแสน (เล็ก) บอกว่า
“..หลวงปู่บวชมา ๖๐ กว่าพรรษาเข้านี่แล้ว ยังไม่เคยพบพระองค์ไหนเหมือนหลวงพ่อ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)”

หลวงปู่ดู่ กล่าวถึงหลวงพ่อว่า
"...ท่านมหาวีระ ท่านมีบารมีสูง มีข้างบนเป็นกำลังหนุน เป็นอาจารย์ใหญ่สอนคนได้จำนวนมาก ข้าขอโมทนา พวกแกเกิดมาพบพระอรหันต์ที่มีบารมีสูง อย่าให้เสียทีที่ได้พบ เอาสิ่งที่ตนปฏิบัติบัติได้ (ญาณ) มาอบรมตนเอง"

หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย
“...พระเดชพระคุณหลวงพ่อวีระ วัดท่าซุงนี่ ท่านเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอันสูงมาก บารมีสูง ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่าน ท่านจะไม่มาอีกแล้ว จะเข้าสู่พระนิพพาน

เพราะฉะนั้นท่านจึงสั่งสอนให้ลูกหลานและศิษย์ท่านปฏิบัติให้เข้าถึงพระนิพพานกันหมด ขอจงได้ปฏิบัติติดตามคำสอนของหลวงพ่อเถอะ จะได้ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้”

หลวงตามหาบัว กล่าวถึงหลวงพ่อว่า
"..พระดี จะหาอะไรดียิ่งกว่านั้นไปอีก .."

เอาละ..ไล่เลียงเรื่องราวกันมายาวเหยียด เพื่อเป็นการวิเคราะห์เจาะลึกถึง "คำทำนาย" ในอดีต พอที่จะสรุปได้แล้วว่า ใครที่เกิดมาทันชาตินี้ ถือว่าโชคดีจริงๆ ที่ได้ทันการอุบัติของพระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์

อันเป็นกาลสมัยพระพุทธศาสนารุ่งเรืองอีกวาระหนึ่ง จะมีพระอริยเจ้ามากมายคล้ายสมัยพุทธกาล สมดังคำทำนายที่กล่าวไว้ว่า

"..ผู้มีบุญทั้งสองพระองค์ จะเสด็จเข้ามาบำรุงพระศาสนาของตถาคตเป็นเที่ยงแท้ สมณชีพราหมณ์จะตามเสด็จเป็นอันมาก.." ดังนี้แล

หลวงพ่อฝึกอภิญญา

..ลำดับต่อไปนี้ จะเป็นการฟังคำสนทนาเมื่อปี ๒๕๒๑ เรื่องการฝึกอภิญญาของท่าน สมัยที่บวชอยู่กับหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เป็นเทปที่คุยหลังกรรมฐาน ที่ศาลานวราช โดยมีคณะเจ้าหน้าที่กองทุนจากกรุงเทพฯ ร่วมรับฟังอยู่ด้วย

เทปชุดนี้มีประมาณ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที แต่ก็นำมาเพียงแค่ ๑ ชั่วโมงเท่านั้น ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่า เรื่องนี้อยู่ในม้วนนี้ ความจริงเป็นเรื่องยากที่จะค้นหาพบ เหมือนกับหาเข็มในมหาสมุทรนั่นแหละ แต่ผู้เขียนคิดในใจว่า ขอให้พบง่ายๆ ทั้งที่เทปมีนับพันม้วน

แต่ปรากฏว่า พอเริ่มค้นหาก็เจอทันที นี่ก็ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดมาก ขอให้ตั้งใจฟังให้ดีจนจบ แล้วก็จะได้พบกับตอนต่อไป..สวัสดี


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 15/5/20 at 09:50

[ ตอนที่ 3 ]

บันทึกของ อ.อำไพ สุจนิล


...เรื่อง "เด็กอภิญญา" ผ่านไปแล้ว ๒ ตอน แต่ยังเป็นเรื่องของคำทำนายโบราณ ที่กล่าวถึง "พระมหาเถระโพธิสัตว์ ผู้มีบุญญาภิสมภาร มีอิทธาภินิหาร เชี่ยวชาญทางอภิญญาในสุวรรณภูมิ จะได้เป็นผู้ทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก"

ผลจากการคอมเม้นต์ของผู้อ่าน มีหลายคนคาดว่าน่าจะเป็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ของเรา โดยเฉพาะถ้าได้ฟังเทปสนทนาเรื่อง "การฝึกอภิญญา" ของท่าน ตั้งแต่สมัยอยู่กับหลวงปู่ปานแล้ว ตามที่ท่านเล่าไว้ว่า

"...เพื่อน ๒ องค์เมื่อทำกรรมฐานกองต้นจบ แกมีนิมิตกสิณเกิดติดต่อกันหมดทั้ง ๑๐ กอง แกเลยได้อภิญญาไป ส่วนฉันเมื่อกรรมฐานกองต้นจบ นิมิตเตโชกสิณก็ปรากฏ พบกสิณ ๗ กอง ต่อไปกสิณก็ไม่มาอีก กลายเป็นอสุภบ้าง อนุสสติบ้าง เลยเล่นอภิญญากับเขาไม่ได้

ในที่สุดก็ต้องด๊อกแด๊ก ๆ อยู่กับชาวบ้านจนจะแก่ตายอยู่แล้ว และกำลังทำท่าจะตายจะเข้าป่า หลวงพ่อท่านก็ว่าแกมีหนี้มากต้องใช้หนี้กรรมไปก่อน หมดนี้กรรมแล้วไปได้ น่ากลัวป่าที่จะไปคงไม่ใช่ป่าชัฏ อาจจะเป็นป่าช้ามากกว่า เวลานี้ก็เตรียมป่าช้าไว้ในกุฏิแล้ว เห็นป่าคราวใดสบายใจมาก มันสุขใจเหลือเกินที่เห็นป่าช้า.."

ถ้าได้อ่านมาถึงตอนนี้ เราจะเห็นว่าหลวงพ่อท่านไม่ยอมรับว่า ท่านเป็น "พระอภิญญา" แต่เราก็คงรู้ไว้แค่ในใจก็แล้วกัน เพราะท่านก็ล่วงลับไปแล้ว คงเหลือแต่เหตุการณ์ที่บันทึกไว้ อยากจะได้นำมาให้อ่านกันไปเรื่อยๆ จากบันทึกของคุณครู ๒ ท่านก่อน ได้แก่ อ.อำไพ สุจนิล และ อ.นฤมล ว่านเครือ

เริ่มจากหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน"
บันทึกโดย อ.อำไพ สุจนิล
...ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจและซาบซึ้ง ในพระคุณของหลวงพ่อมากที่ให้เขียนเรื่องนี้ เพราะเรื่องราวที่ข้าพเจ้าประสบมานั้นเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากเรื่องหนึ่ง

เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานของน้องชาย พอเริ่มอ่านเท่านั้นแหละ ข้าพเจ้าก็ติดใจในลีลาการเล่าเรื่องของหลวงพ่ออย่างที่ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อนเลย จึงรีบอ่านๆ จนหมดเล่ม และบอกกับตนเองว่า “พบแล้วๆ อาจารย์ของเรา”

ข้าพเจ้าชอบอ่านชอบฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนามาตั้งแต่เล็กๆ แต่ไม่ซาบซึ้งและยังไม่เข้าใจอะไรมาก อ่านหนังสือธรรมะอื่นๆ มามากก็ยังรู้สึกธรรมดาๆ

พออ่านประวัติหลวงพ่อปานเท่านั้นแหละ อะไรๆ ที่มันดูยากแสนยากก็โปร่งใสขึ้นมาทันที อยากพบหลวงพ่อ อยากกราบหลวงพ่อ รู้สึกรักท่าน

ได้วิชาตอนนอน
...ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๒๖ คุณเสน่ห์ เจริญกุล ซึ่งเป็นน้องเขย ได้นำเทปธรรมะต่างๆ ของหลวงพ่อไปไว้ที่บ้าน มีอยู่ม้วนหนึ่งที่สนใจมากๆ คือ ชุด "ท่องไตรภพ"

บันทึกด้วยเสียงของหลวงพ่อเอง ใจนึกอยากฝึกมโนมยิทธิแต่ไม่มีครูฝึกให้ และยังอยู่ห่างไกลหลวงพ่ออีก คิดเองว่าสิ่งใดที่เราตั้งใจทำแล้วต้องได้สิ

จึงนำเทปมาเปิดฝึกเอง เริ่มฝึกตามคำพูดหลวงพ่อ ตั้งใจมาก จะต้องฝึกให้ได้ อยากรู้..อยากเห็นว่า สวรรค์ – นรก เป็นอย่างไร ฝึกได้ ๒ วันไม่เห็นภาพอะไรเลย ได้ยินแต่เสียงของหลวงพ่อ พอวันที่สาม ก้มลงกราบพร้อมกับพูดว่า

“หลวงพ่อเจ้าขา ลูกคงไม่มีวาสนาบารมีทางนี้แน่ๆ เพราะลูกฝึกมา ๒ วันแล้ว วันนี้ลูกขอนอนฟังหลวงพ่อพูดเฉยๆ นะเจ้าคะ”

จึงเปิดเทปและนอนฟังอย่างสบายอารมณ์ พอหลวงพ่อเริ่มถามในเทปเท่านั้นแหละค่ะ ภาพต่างๆ ที่หลวงพ่อถามนั้น ข้าพเจ้าเห็นใสแจ๋ว และยังตอบคำถามในใจได้เร็วกว่าคนอื่นที่หลวงพ่อถามเสียอีก เห็นภาพต่างๆ จนหมดม้วนของหลวงพ่อนั่นแหละค่ะ

"โอ..เราได้แล้ววิชาของหลวงพ่อ ได้ตอนนอนนี่เอง"

ข้าพเจ้ามีอาชีพครู ได้ย้ายโรงเรียนบ่อยๆ แต่ละโรงเรียนที่ข้าพเจ้าสอนก็ยกให้ข้าพเจ้าเป็นครูสอนจริยธรรม จึงถือโอกาสฝึกมโนมยิทธิให้กับนักเรียน ปรากฏว่าเด็กได้กันมากมาย จนผู้ปกครองและครูบางคนว่า ครูคนนี้คงจะบ้า

เริ่มฝึกให้เด็กนักเรียน
...จนกระทั่งข้าพเจ้าได้ย้ายไปสอนที่โรงเรียนใหม่ อยู่ติดถนนและมีจำนวนนักเรียนมากกว่าโรงเรียนที่เคยสอนมา ได้สอนประจำชั้น ป.๒ ข้าพเจ้าเห็นแววอยู่หลายคนจึงได้ฝึกมโนมยิทธิให้ เริ่มฝึกวันแรกที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๕ ฝึกกลุ่มเล็กๆ ก่อน ประมาณ ๗ – ๘ คน ยังเห็นภาพไม่ชัดเจน

พอวันที่ ๓ บอกว่า “วันนี้ครูจะฝึกสมาธิ ใครอยากฝึกก็ขอเชิญนะคะ” ถึงช่วงพักตอนบ่าย มีนักเรียนชายหญิง ๘ – ๙ คน มานั่งล้อม

“คุณครูขา..หนูจะฝึกสมาธิค่ะ”
“คุณครูครับ..ผมจะฝึกสมาธิครับ”

เด็กแสดงฤทธิ์ได้เอง
...จึงบอกเด็กๆ ว่า “ครูให้หนูไปเที่ยวตามอัธยาศัย ใครชอบที่ไหนก็ไปตรงนั้น”

เด็กๆ ก็บอกว่า “ให้ครูพาไปดีกว่าค่ะ”

จึงพาไปตามสวรรค์ชั้นต่างๆ ถึงชั้นพรหมก็กลับ เพราะได้เวลาโรงเรียนเลิกพอดี พอออกจากสมาธิปรากฏว่านักเรียน ๘ – ๙ คน ได้เงิน ๖ คน เป็นเหรียญบาททั้งหมด เด็กบอกว่า

“ตอนจะกลับลงมาพี่นางฟ้า พี่เทวดามาส่งและให้เงินด้วย”

วันต่อมาเขาก็พากันนั่งสมาธิไปกันเอง โดยครูไม่ต้องนำไป พอออกจากสมาธิก็มีคนได้เงินอีก คราวนี้ได้ ๓ คน ถ้าตรงกับวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ข้าพเจ้าสั่งเด็กว่าให้ไปฝึกต่อที่บ้าน

เช้าวันจันทร์ เขาก็มารายงานว่า “ครูคะหลวงปู่ปานให้เงินหนู ๑๐ บาทค่ะ, หลวงปู่ฤาษีให้ ๑๐ บาทค่ะ, ของหนูได้ ๒๐ บาทค่ะ”

ข้าพเจ้าเองได้ยินเด็กพูดนี่ใจเต้นเลย ตื่นเต้นมากที่เด็กตัวน้อยๆ อายุเพียง ๘ ขวบได้อภิญญากัน โดยเฉพาะ ด.ญ.พัชราภรณ์ ขอดแก้ว, ด.ญ.สุมาลี ปัญโญ, ด.ช.วัชชิรพล ทาเบี้ยว ๓ คนนี้ได้เงินทุกวันเวลานั่งสมาธิ บางวันก็ได้เป็นขนม ผลไม้ และสิ่งของบ้าง

เขาได้อะไรมาก็จะมาบอกครูว่าใครให้อะไรบ้าง อย่างเช่น ท่านแม่ศรีให้ดอกไม้ ยังเป็นดอกกุหลาบสดๆ อยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นดอกมะลิ, กระดุมทอง มองดูเหมือนดอกไม้บ้านเราทุกอย่าง แต่มีกลิ่นหอมมาก ผลของต้นนารีผลที่ยังไม่แก่จัด เขาก็ได้มา

เด็กหลายๆ คนที่ฝึกด้วยกันก็พูดเหมือนกันว่า ผลไม้นี้ถ้าแก่จัดเขาจะเกิดออกมาเป็นผู้หญิง ข้าพเจ้าเก็บไว้ในกระเป๋าถือ พอถึงเวลากลางคืน หมาที่บ้านเห่าทั้งคืน เด็กเขาบอกว่า

“ครูคะ..หมาที่บ้านครูเห่านารีผลที่ออกมาเดินเล่นค่ะ”

ต่อมาวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๓๕ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังสอบวิชาพละศึกษาอยู่ ก็มีเด็กมารายงานว่า ด.ญ.พัชราภรณ์ ลอยขึ้นต้นไม้ เอ...ชักปวดหัวแล้วละ เด็กๆ แสดงฤทธิ์กันทุกวัน และในวันที่ ๑๗ – ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๕

เวลาพักช่วงบ่าย ด.ญ.พัชราภรณ์และ ด.ช.วิชชิรพล บอกว่าจะพากันไปเที่ยวบนสวรรค์ ซึ่งกำลังจัดงานฉลองตำแหน่งให้ท่านพรหมองค์ใหม่ที่ได้เลื่อนตำแหน่งจากพระยายมราชมาอยู่ชั้นพรหม พอนั่งสักครู่ ก็พูดว่า “ครูคะ ครูจะทำบุญไหมคะ หลวงปู่ปานมาบอก”

ข้าพเจ้ารีบนำเงินเหรียญบาทใส่มือเขา แว้บเดียวหายไปเลย ข้าพเจ้านำธนบัตรใบละ ๑๐ บาท วางลงไปอีก คราวนี้นาน ๒ – ๓ นาที เงินในมือก็หายไปอีก อัศจรรย์ไหมคะ ทำบุญกับเทวดาบนสวรรค์ก็ได้ ตื่นเต้นอีกแล้ว

“หลวงพ่อเจ้าขา อะไรจะปานนั้น นึกอยากได้ก็ได้ นึกจะทำบุญก็ได้ทำ วิชาความรู้ที่หลวงพ่อให้กับลูกๆ มีอานุภาพขนาดนี้เชียวหรือ อย่างนี้ลูกสู้ตายค่ะ”

สิ่งที่หลวงพ่อถ่ายทอดให้ลูกหลานนั้นถือได้ว่าเป็นมรดกที่ล้ำค่า สมควรที่ลูกหลานจะสืบทอดและรักษาไว้ให้ดี เพราะสามารถพิสูจน์ได้ในสิ่งที่เราเคลือบแคลงสงสัยได้สารพัด อีกทั้งหลวงพ่อยังได้พาลูกหลานเข้าใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์

และอยู่ใกล้กับพระอริยเจ้าทุกองค์อีกด้วย ข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่ามโนมยิทธิ และธรรมะของหลวงพ่อคือสมบัติที่มีค่ายิ่งกว่าอื่นใด เพราะเป็นสูตรสำเร็จเข้าสู่พระนิพพานโดยทางลัดที่สุด

ข้าพเจ้าฝึกเด็กและผู้ใหญ่มาหลายรุ่น เพิ่งจะมาพบรุ่นเก่งมากๆ ในปี พ.ศ.๒๕๓๕ นี่เอง และก็มีอายุน้อยด้วย ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจ พร้อมที่จะช่วยหลวงพ่อฝึกมโนมยิทธิต่อไป แม้ว่าจะต้องผจญกับอุปสรรคหลายๆ อย่างก็ตาม ข้าพเจ้าจะสู้ต่อไป

ด้วยอานิสงส์ที่ข้าพเจ้ากระทำมาแล้วทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศแด่ผู้มีพระคุณทุกๆ ท่าน ครูบาอาจารย์ทุกท่าน พรหมทุกชั้น เทวดาและนางฟ้าทุกชั้น ที่ท่านได้เมตตาสงเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยดีตลอดมา และขอยกยอดคุณงามความดีทั้งหมดแด่หลวงพ่อ ผู้เป็น...ที่สุดของที่สุด..สาธุ !!


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 15/5/20 at 09:51

[ ตอนที่ 4 ]

บันทึกของ อ.นฤมล ว่านเครือ


"...เมื่อตอนที่แล้ว อ.อำไพ สุจนิล ซึ่งเป็นครูสอนอยู่ที่ โรงเรียนแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้เล่าประสบการณ์ในการฝึกสอนเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ จนได้ผลกันหลายคน จากมโนมยิทธิ (ครึ่งกำลัง) จนกลายเป็นแสดงฤทธิ์ได้

สำหรับอาจารย์อีกท่านหนึ่งคือ อ.นฤมล ว่านเครือ ที่ล่วงลับไปตั้งแต่ปีที่แล้ว (๒๕๖๒) สอนอยู่ที่ โรงเรียนแม่เตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ที่ได้รู้จักกับผู้เขียนมานาน

พร้อมกับสามีคือ คุณสุพัฒน์ ว่านเครือ ทั้งสองสามีภรรยาได้ช่วยประสานงานกับ วัดพระพุทธบาทสี่รอย จ.เชียงใหม่ มาตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ เพื่อจัดงานทอดกฐินเป็นครั้งแรก

อีกทั้งอาศัยที่ทั้งสองเป็นข้าราชการ จึงช่วยทำเรื่องติดต่อกับกรมศิลปากรเขต ๖ เชียงใหม่ ให้ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล เพื่อขอบูรณะ "พระธาตุจอมกิตติ" จนสำเร็จมาแล้ว

คุณสุพัฒน์เป็นชาวแพร่โดยกำเนิด แต่ทำงานอยู่ที่ศูนย์วิจัยการเกษตรที่เชียงใหม่ ส่วน อ.นฤมล เป็นคนกาญจนบุรี มีพี่น้องเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์โนรี วัดหนองหญ้าปล้องด้วย นี่คือความเกี่ยวพันกันมานาน

แม้การจัดงาน "ตามรอยพระพุทธบาท" ทางภาคใต้, ภาคอีสาน, ภาคกลาง และ "งานรวมภาค" ที่วัดพระแท่นดงรัง ก็ได้อาศัยกำลังกายและกำลังใจของคุณสุพัฒน์ - อ.นฤมล ว่านเครือ มาโดยตลอด

ฉะนั้น การนำ "เด็กอภิญญา" มากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ถึงวัดท่าซุงก็ดี หรือนำเรื่องราวลงใน "ธัมมวิโมกข์" เมื่อปี ๒๕๓๕ ก็ดี เป็นการประสานงานระหว่างผู้เขียนกับ คุณสุพัฒน์ และ อ.นฤมล ว่านเครือ

บุญบารมีใดที่ได้นำเรื่องนี้มาโพสต์ นับว่าเป็นครั้งแรกในโลกโซเชียลนี้ หลังจากเรื่อง "เด็กอภิญญา" ห่างหายไปนานหลายสิบปี นับตั้งแต่หลวงพ่อฯ มรณภาพไปแล้ว ส่วนใหญ่ลืมเลือนกันไปหมดสิ้น

แม้แต่เด็กๆ เหล่านี้ก็ไม่ได้พบเห็นกันอีกเลย ต่างคนต่างโตเป็นผู้ใหญ่ แยกย้ายกันไปมีครอบครัวตามกระแสโลก แต่ก็ยังดีที่มีการบันทึกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ เพื่อเป็นสักขีพยานในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ นำมาแนะนำสั่งสอน

ผลบุญทั้งหมดที่ได้กระทำในครั้งนี้ หวังว่าคงส่งเป็นกระแสบุญไปถึงวิญญาณของ อ.นฤมล ผู้ล่วงลับไปแล้ว คงจะได้รับทราบถึงความปรารถนาดี ที่จะได้นำเรื่องราวเหล่านี้ย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในผลการปฏิบัติ "สายมโนมยิทธิ" ว่า ยังมีเด็กๆ เหล่านี้ที่สามารถฝึกจาก "ครึ่งกำลัง" ให้เป็น "เต็มกำลัง" จาก "เต็มกำลัง" ก็เป็น "อภิญญาใหญ่" ได้ในที่สุด

ถึงแม้เป็น "ฌานโลกีย์" ที่มีวันเสื่อมถอยได้ แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ บุคคลภายหลังที่ทำไม่ได้ อาจจะโจมตีวิชา "มโมนยิทธิ" ว่าเป็นเรื่อง "มโนๆ ธรรมดาๆ"

จากจำนวนเด็กนักเรียนชั้นประถมทั้งสองโรงเรียน แล้วก็ยังมีโรงเรียนอื่นเพิ่มเติมภายหลังอีก รวมเด็กแล้วประมาณ ๑๐ กว่าคน แล้วก็ได้สิ่งของต่างๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรมจริงๆ จะได้นำมาถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดกันต่อไป


🏵 บันทึกของ อ.นฤมล ว่านเครือ
🌼 การฝึกสอนมโนมยิทธิของข้าพเจ้า
...เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ข้าพเจ้าไปงานพิธีสะเดาะเคราะห์ และปลุกเสกพระคำข้าวที่วัดท่าซุง หลังจากกลับจากวัด วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ไปโรงเรียนวันแรก บอกนักเรียนว่า

ถ้านักเรียนอยากไปเที่ยวสวรรค์ ให้นักเรียนสมาธิดีๆ แล้วครูจะพาไปเที่ยว ก็ให้นักเรียนนั่งสมาธิ เมื่อออกจากสมาธิแล้วถามนักเรียนว่า

“ดีไหม...นั่งสมาธิ สบายดีไหม... ?”
นักเรียนทุกคนตอบว่า “ดี...สบาย มีความสุขดี”

✅ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...เวลา ๑๕.๐๐ น. วันนี้พานักเรียนชั้น ป.๖ จำนวน ๑๒ คน นั่งสมาธิ สมาทานพระกรรมฐานเหมือนที่หลวงพ่อสอน

พอเสร็จแล้วก็เริ่มนั่งสมาธิ และก็คิดว่าจะนั่งสมาธิธรรมดา เพราะใจยังไม่กล้าที่จะสอนนักเรียน และไม่แน่ใจว่าจะสอนได้

แต่ขณะที่นั่งได้ไม่กี่นาที จิตก็จับภาพพระพุทธเจ้าปางนิพพานได้ และมีความรู้สึกว่าจะต้องสอนวันนั้น จึงให้นักเรียนเปลี่ยนคำภาวนาจาก “พุทโธ” เป็น “นะมะพะธะ”

พอนักเรียนภาวนาไปสักพัก ก็ถามนักเรียนว่า “เห็นใครมาอยู่ข้างหน้าของนักเรียนไหม?”

นักเรียนตอบพร้อมกันว่า “มี”

ข้าพเจ้าก็มีความมั่นใจว่า จะต้องพาเขาไปได้ จึงให้นักเรียนบอกภาพที่เห็น เขาบอกเห็นพระพุทธเจ้า ก็ให้บอกถึงลักษณะการแต่งกาย

เขาก็บอกตั้งแต่พระบาทจนถึงพระเศียรเป็นปางนิพพาน จึงขออำนาจบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพานักเรียนไปยังพระจุฬามณี

ถามนักเรียนว่า “เห็นพระเจดีย์ไหม..พระเจดีย์มีกี่องค์?”

นักเรียนตอบหลายองค์ องค์กลางเป็นองค์ใหญ่ บอกเจดีย์มีธงสองแฉก และมีแก้วใสที่ปลายยอดเจดีย์ เจดีย์เป็นองค์แก้วแพรวพราวสวยงาม

แล้วพานักเรียนไปหน้าประตูพระจุฬามณี พบท่านพี่มเหสักขา ก็ให้นักเรียนกราบท่านและขออนุญาตท่านเข้าไปในพระจุฬามณี

ขึ้นบันไดไปกราบพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี แล้วพานักเรียนไปสวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ พี่ที่สวรรค์ชั้นที่ ๕ เสกกระต่ายให้เด็กคนละตัว ดอกไม้คนละดอก

✅ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...เวลา ๑๕.๐๐ น. วันนี้พานักเรียนนั่งสมาธิและสอนมโนมยิทธิ วันนี้พานักเรียนไปพระจุฬามณี แล้วพาไปสวนนันทวัน สระโบกขรณี

นักเรียนพากันลงไปเล่นในสระ ขี่ปลา ขี่เต่า บางคนจับหางปลาแล้วว่ายตามปลาไป ขึ้นจากสระถามนักเรียนว่าตัวเปียกไหม นักเรียนตอบว่าไม่เปียก

แล้วพานักเรียนไปเที่ยวสวนผลไม้ นักเรียนขอผลไม้จากพี่นางฟ้า ไปเที่ยวสวนจิตรลดา แล้วพานักเรียนไปตั้งแต่สวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ และนิพพาน

ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าที่วิมานของท่าน และขออำนาจบารมีพระพุทธเจ้า ไปยังวิมานของทุกคน บอกให้นักเรียนขึ้นไปนั่งและนอนในวิมานของตนเอง

ทุกคนตื่นเต้นดีใจ ที่เห็นวิมานของตนเองได้ ตอนขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นที่ ๕ พี่นางฟ้าเสกลูก...(ลายมืออ่านไม่ชัด) ให้นักเรียนคนละตัว

ดอกไม้คนละดอกและกลับไปพระจุฬามณี กราบลาพระพุทธเจ้าและหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤาษี และกลับลงมา ๑๖.๐๐ น. พอดี

✅ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...เวลา ๑๕.๐๐ น. วันนี้พานักเรียนไปพระจุฬามณี และสวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ วันนี้พี่นางฟ้าสวรรค์ชั้นที่ ๕ เสกผลไม้และดอกไม้ให้นักเรียน พานักเรียนไปกราบท่านพ่อท่านแม่พระอินทร์ ที่วิมานของท่าน

และไปกราบพระศรีอาริยเมตไตรยที่วิมานของท่าน แล้วพาเด็กไปป่าหิมพานต์ด้วย พบพี่ช้างน้อยหลายเชือก พี่กินรี พี่ลิง พี่นกแก้ว พี่ผีเสื้อ พี่แมลงปอ

และพบท่านลุงครุฑ ท่านลุงพาไปเขาพระสุเมรุ แล้วไปนิพพานไปกราบพระพุทธเจ้า และให้นักเรียนเข้าไปวิมานของตัวเอง

วันนี้ให้นักเรียนพบพ่อแม่ในอดีตชาติของนักเรียน ที่วิมานของท่านพ่อท่านแม่พระอินทร์ เด็กหญิงอารีรัตน์ ปีติจนร้องไห้ออกมาดังๆ เด็กหญิงไพลิน น้ำตาไหลเป็นคราบขณะออกจากสมาธิ

เด็กชายบัญชาบอกว่า ท่านเจ้าแม่กวนอิมหอมแก้ม แล้วขอให้เรียกท่านว่า “แม่” แล้วกอด เด็กชายบัญชาร้องไห้ แล้วบอกว่าดีใจที่ได้พบ

เมื่อคืน (๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕) เด็กชายบัญชาบอกว่าไปเที่ยวสวรรค์พบหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานให้นางฟ้าเอาชุดบนสวรรค์มาเปลี่ยนให้ แล้วพาไปสอนเสกของที่เขาวงกต

✅ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...เวลา ๑๔.๓๐ น. พานักเรียนนั่งสมาธิและพาไปพระจุฬามณี พาไปสวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ พาไปพบท่านพ่อท่านแม่พระอินทร์ที่วิมานของท่าน

แล้วพาไปพบหลวงปู่แหวนที่วิมานของท่าน พาไปวิมานของท่านพระศรีอาริยเมตไตรย แล้วพานักเรียนไปพบท่านพ่อท่านแม่ในอดีตชาติ

เด็กชายนรินทร์พบท่านพ่อของเขาแล้ว ถามท่านพ่อว่าอยู่ชั้นใด ท่านพ่อบอกว่าอยู่ชั้นที่ ๒ เขาดีใจมาก เด็กชายชัยวัฒน์ บุญฆาต จะเข้าวิมานของตนเองเข้าไม่ได้ มีหมอกควันดำ

เขาบอกวาเขาท่อง “พุทโธ” ควันดำจางไปแล้วจึงเข้าได้ พาไปป่าหิมพานต์ พบท่านพี่บนป่าหิมพานต์มากมาย

แล้วไปเมืองลับแล ไปเขาพระสุเมรุ ไปนิพพาน ไปกราบพระพุทธเจ้าองค์ปฐม และพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่วิมานของท่าน และไปกราบท่านแม่ศรีที่วิมานของท่าน ไปที่วิมานของตนเองบนนิพพาน

ขอเห็นวิมานข้างเคียง แล้วกลับไปพระจุฬามณีเพื่อลาพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี แล้วกลับลงมา.."

เด็กที่ฝึกได้ คือ เด็กชายบัญชา กันทะวงศ์, เด็กหญิงจารุณี มณี, เด็กหญิงไพลิน บุญมา ซึ่งจะได้นำเรื่องเล่ามาลงให้อ่านกันเป็นลำดับต่อไป..สวัสดี


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 18/5/20 at 16:43

[ ตอนที่ 5 ]

บันทึกของ ด.ญ.พัชราภรณ์ ขอดแก้ว


"...ท่านผู้อ่านคงได้ติดตามเรื่อง "เด็กอภิญญา" มาทุกตอนแล้ว เป็นการเล่าเรื่องการฝึกให้เด็กนักเรียนตัวเล็กๆ จนได้ผลกันหลายคน จากอาจารย์ทั้งสองคนที่จังหวัดเชียงใหม่

ส่วนในตอนนี้ จะนำเรื่องผลการฝึกของเด็กแต่ละคนมาให้อ่านกัน ลงไปตามลำดับของเด็กที่ฝึกได้ เริ่มจาก อ.อำไพ สุจนิล โรงเรียนบ้านแม่โจ้ ฝึกมโนมยิทธิวันแรกที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๕

ส่วน อ.นฤมล ว่านเครือ โรงเรียนแม่เตาไห เริ่มฝึกวันแรกที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๓๕ มีเด็กฝึกได้หลายคนเหมือนกัน จึงขอเริ่มจาก อ.อำไพ สุจนิล ตามที่เล่าไว้เมื่อตอนที่แล้วว่า

“ครูคะ..หลวงปู่ปานให้เงินหนู ๑๐ บาทค่ะ, หลวงปู่ฤาษีให้ ๑๐ บาทค่ะ, ของหนูได้ ๒๐ บาทค่ะ”

ข้าพเจ้าเองได้ยินเด็กพูดนี่ใจเต้นเลย ตื่นเต้นมากที่เด็กตัวน้อยๆ อายุเพียง ๘ ขวบได้อภิญญากัน

โดยเฉพาะ ด.ญ.พัชราภรณ์ ขอดแก้ว, ด.ญ.สุมาลี ปัญโญ, ด.ช.วัชชิรพล ทาเบี้ยว ๓ คนนี้ได้เงินทุกวันเวลานั่งสมาธิ บางวันก็ได้เป็นขนม ผลไม้ และสิ่งของบ้าง.."

นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกจากมโนมยิทธิ แบบครึ่งกำลัง แต่เด็กก็สามารถฝึกได้เกินตำรา คือได้วัตถุสิ่งของมาให้เห็นเป็นสักขีพยานจริงๆ

เอาละ..เมื่อท่านผู้อ่านพร้อมแล้ว (ส่วนผู้เขียนนี่ครั้งแรกยังไม่พร้อม เพราะคอมพ์แฮงค์ไปเฉยๆ ต้องมาทำใหม่เป็นครั้งที่ 2 จึงได้ เห็นไหมว่ามันยากจริงๆ ทั้งๆ ที่เครื่องคอมพ์ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน)

เมื่อเครื่องคอมพ์มันไม่แกล้ง ก็ขอเริ่มตั้งแต่ ด.ญ.พัชราภรณ์ ขอดแก้ว ก่อนแล้วจะเป็นของ ด.ญ.สุมาลี ปัญโญ ในตอนต่อไป


🏵 เมื่อฉันฝึกมโนมยิทธิกับคุณครู
🌼 หลวงปู่ปานและหลวงปู่ฤาษีให้เงิน
...หลังจากที่ฝึกสมาธิกับคุณครูแล้ว ฉันก็ไปเที่ยวดูบนสวรรค์ทุกวันเพราะสนุกดี ฉันไม่ชอบนรก เพราะมันอึดอัดและน่ากลัว

ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า สวรรค์และนรกจะมีจริง นึกว่าครูเล่าเป็นนิทานเท่านั้น แต่พอฉันฝึกสมาธิแล้วฉันเห็นจริงๆ เหมือนฉันอยู่บนโลกเรานี่แหละ

พี่นางฟ้าพี่เทวดาก็รู้จักคุ้นเคยกับฉัน วันที่ฉันได้เงินครั้งแรก พี่นางฟ้าชั้นที่ ๑ ชื่อว่า "กุมารี" ให้เงินฉัน ๑ บาท

วันต่อมาพี่เทวดาชั้นที่ ๕ ชื่อว่า "เทพสุทธิทอง" ให้เงินหลายบาท วันต่อมาหลวงปู่ปานให้ใบสิบบาท ๑ ใบ และหลวงปู่ฤาษีให้อีก ๑๐ บาท

รวมแล้วฉันได้เงินตั้งแต่ฝึกมโนมยิทธิ เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๓๕ จนถึงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ ได้ ๓๐๐ กว่าบาทแล้ว

และฉันยังได้ของเล่นอื่นๆ อีก ฉันนึกอยากได้อะไร พอฉันไหว้พระแป๊บเดียว ฉันก็ได้แล้ว เพราะเทวดานำมาให้ฉัน

ทุกวันนี้ฉันมีความสุข อยากรู้อะไรนั่งสมาธิเดี๋ยวเดียวก็ทราบ บางทีไม่ต้องหลับตาฉันก็รู้ฉันก็เห็น

💐 เมื่อฉันไปวัดท่าซุง
...วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๕ ฉันได้ฝึกสมาธิกับคุณครูอำไพ ฉันเห็นสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ หลายอย่าง น้ำตาฉันไหลออกมามากมาย

แต่ฉันไม่ได้ร้องไห้นะ มันไหลเอง คุณครูว่าไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร ปล่อยให้ไหล และฉันก็เห็นเทวดา นางฟ้ามากมาย

ฉันเห็นพระพุทธเจ้า เห็นหลวงปู่ปาน หลวงปู่ฤาษี ท่านปู่ท่านย่า และแม่ศรี ทุกท่านดีใจหมดเลย คุณครูว่าหลวงปู่ฤาษียังมีชีวิตอยู่ที่วัดท่าซุง

ฉันอยากเห็นตัวท่านจริงๆ แล้วฉันก็ได้ไปวัดท่าซุง เมื่อวันที่ ๑๔ – ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ฉันเห็นคนมากมาย เทวดา นางฟ้า ก็มากเหมือนกัน

ท่านทักว่า "สวัสดี..ทุกๆ คน ดีใจที่พบกันอีก"

คุณครูพาฉันไปกราบหลวงปู่ใหญ่ มีผู้ใหญ่บางคนบอกว่าเป็นรูปปั้น ฉันเถียงเบาๆ ว่า

“ใช่รูปปั้นที่ไหน ดูซิ..หลวงปู่ขยับตัวไปมายิ้มให้ฉัน ยื่นมือมาลูบหัวและพูดว่า ดีใจที่ลูกหลานมากันเยอะแยะ”

แล้วจึงไปกราบหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานใจดีมาก ทักทายฉันกับเพื่อนๆ และพูดอะไรหลายอย่าง แล้วไปกราบหลวงปู่สีวลี ท่านก็ทักทายเหมือนหลวงปู่ปาน

แล้วจึงไปกราบหลวงปู่ขนมจีน ท่านใจดีมาก ให้เงินฉันหนึ่งบาท แต่ก็มีคนขอไป คุณครูขอน้ำมนต์ของหลวงปู่ด้วย

ฉันก็เห็นหลวงปู่พรมน้ำมนต์ให้พวกเราทุกคน จากนั้นก็พากันเดินไปเรื่อยๆ พบพระพุทธรูปในวัดก็เคลื่อนไหวได้ทุกองค์ ทักทายฉันทุกองค์

ฉันยกมือไหว้หมด ฉันไปที่ท้าวมหาราช ท่านก็ทักทายฉัน และให้เงินฉันอีก ๑ บาท ท่านว่าตัวท่านจะไปไหนท่านเดินเสียงดัง เพราะท่านตัวใหญ่

ใครทำอะไรให้ลูกหลานเป็นอะไรได้เห็นดีแน่ๆ ฉันจึงขอบคุณท่าน ต่อมาหลวงปู่ฤาษีลงมารับแขก ฉันได้อยู่ใกล้ๆ หลวงปู่ฤาษี

ฉันเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ด้านซ้ายหลวงปู่ฤาษี แม่ศรีนั่งอยู่ด้านขวา หลวงปู่ปานคอยดูแลหลวงปู่ฤาษี

ตอนที่หลวงปู่ปานให้เงินฉันนั้น ฉันนั่งสมาธิอยู่ หลวงปู่ปานใช้เทวดานำเงินมาให้ฉันครั้งแรก ๑ บาท ครั้งที่ ๒ ได้อีก ๒ บาท

บางคนว่าฉันเสกเงินได้ แต่ฉันว่าไม่ใช่ ฉันนั่งเฉยๆ หลวงปู่ใช้คนมาให้ ฉันขอของอื่นๆ ก็เหมือนกัน มีคนมาให้ฉันเอง ท่านแต่งชุดเทวดา

เรื่องราวของวัดท่าซุงยังมีอีกเยอะแยะ แต่ฉันเล่าไม่หมด ตอนนี้ฉันเมื่อยมือแล้ว ฉันขอจบเพียงเท่านี้ค่ะ

💐 เมื่อฉันลอยได้
...ตั้งแต่ฉันไปกราบหลวงปู่ฤาษีที่วัดท่าซุงมา ฉันทำสมาธิทุกวัน และขึ้นไปฟังเทศน์ข้างบนด้วย พอฟังเทศน์จบก็มีหลวงปู่หลายองค์มาสอนวิชาความรู้ให้

สอนหนังสือที่พระพุทธเจ้าองค์ปฐมให้ ท่านสั่งว่าให้เรียนตั้งแต่หน้า ๑๒ ไปถึงหน้าหนึ่ง วิชาแรกที่ฉันเรียนจบคือ "การเรียกเงิน" สอนโดยหลวงปู่ปาน

วิชาที่สองคือ "การเรียกของต่างๆ" สอนโดยหลวงปู่สด และวิชาที่สามกำลังเรียนอยู่คือ "การลอย" ไปในที่ต่างๆ สอนโดยแม่ศรีกับหลวงปู่ฤาษี

วิชาลอยตัวนี้ ตอนแรกเรียนกันหลายคน ต่อมาเหลือ ๓ คน คือ ฉัน ด.ญ.พัชรภรณ์ ขอดแก้ว, ด.ญ.สุมาลี, ด.ญ.อำพร

ขณะที่กำลังเรียนอยู่ฉันลอยได้เป็นคนที่หนึ่ง ครั้งแรกที่ฉันลอยได้สูงจากพื้นดินประมาณ ๑ เมตร ลอยขึ้นต้นไม้ที่โรงเรียน เพื่อนๆ ของฉันตกใจหมด

ต่อมาครั้งที่ ๒ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ประมาณ ๘ โมงเช้า ฉันกำลังเล่นอยู่ในบ้าน ไม่มีใครเห็น

แต่ฉันเห็นแม่ศรีมาชวนฉันไป และจับมือฉันพาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มองเห็นหมู่บ้านของฉันเป็นหลังเล็กๆ สักครู่แม่ศรีก็พาฉันลงมาที่บ้าน พอดีกับแม่ฉันเรียกกินข้าว

ครั้งที่ ๓ เมื่อเช้าวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๕ ประมาณ ๖ โมงเช้า ฉันกำลังจะลุกจากที่นอนอยู่แล้ว แม่ศรีก็มาหาและพูดว่าไปเถอะ ท่านจับมือฉันแล้วก็พาลอยลิ่วๆ อย่างรวดเร็วขึ้นไปบนท้องฟ้า

คราวนี้ลอยสูงมาก จนเห็นตึกในเชียงใหม่หลังเล็กนิดเดียว และลอยไปเรื่อยๆ จนถึงวัดท่าซุง ลอยอยู่เหนือวัดท่าซุงสักครู่ แม่ศรีก็พากลับบ้าน

พอดีถึงบ้านฉัน มีเพื่อนชื่อว่า "ยุ้ย" ยืนมองฉันอยู่ เขาบอกว่าตอนไปซื้อของเดินผ่านมาเห็นลอยขึ้นหายไปเลย พอซื้อของเสร็จเดินกลับมา ก็เห็นฉันลอยลงมาจากฟ้า แว้บเดียว..ยืนอยู่บนดินแล้ว

เขาก็ไปเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง มีผู้ใหญ่คนหนึ่งขอถ่ายรูปและให้ฉันลอยให้ดู แม่ศรีไม่อนุญาต ถึงแม้จะถ่ายไว้ก็จะไม่มีภาพออกมาให้เห็น และฉันก็ไม่กล้าลอยไปเองไกลๆ เพราะฉันกลัวและยังเรียนไม่จบบทเรียน

แต่ถ้าลอยในระยะใกล้ๆ ก็ได้ เช่น ฉันลองจับมือของ *ด.ญ.อำพร ลอยขึ้นจากพื้นสูง ๑ เมตร แล้วข้ามสระปลาที่บ้านของ ด.ญ.อำพร ไปมา ๒ – ๓ รอบ มีเพื่อนๆ ของฉันยืนดู

ความจริงแล้ว ฉันเห็นคนหลายคนไปฝึกวิชากับหลวงปู่เหมือนกัน แต่ก็เรียนไม่จบเพราะอ่านตำราไม่จำ บางคนก็อ่านผิดๆ ถูกๆ เลยเรียนไม่จบ

อย่างเช่น ด.ช.วัชชิรพล เขาเรียนได้แต่การเรียกเงิน เพราะเรียนง่ายกว่าวิชาอื่น มีคาถาอยู่ไม่กี่คำ พอเขาไปเรียนวิชาอื่น อ่านตะกุกตะกักอยู่นั่นแหละ เขาจึงเลิกเรียนไปเลย

วิชาที่เรียนทั้งหมดจะเขียนด้วยภาษาบาลี หรือภาษาพระตัวงอๆ คดไปคดมา ก็ไม่รู้ว่าฉันอ่านได้อย่างไร

ฉันรู้แต่เพียงว่า พอฉันขึ้นไปข้างบน ตำราอะไรฉันก็อ่านออกหมด บางทีฉันอยากอ่านหนังสือที่พระพุทธเจ้าให้หมดทั้งเล่ม

เรื่องราวของบนสวรรค์นั้นมีมากมาย ที่ฉันเขียนขึ้นนี้เพียงนิดเดียว บางเรื่องก็ไม่สมควรบอกให้ทราบ

เพราะหลวงปู่บอกว่าคนยังมีกิเลสมาก เดี๋ยวเขาจะบาปมากขึ้น ฉันจึงขอจบไว้เพียงเท่านี้ก่อนคะ.."


หมายเหต - *ด.ญ.อำพร ภูเขา ได้เล่าเรื่องการฝึกไว้ด้วยเช่นกัน จะนำมาลงให้อ่านภายหลัง

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 18/5/20 at 16:43

[ ตอนที่ 6 ]

บันทึกของ ด.ญ.สุมาลี ปัญโญ


"...เมื่อตอนที่แล้วเป็นตอนที่เด็กนักเรียน โรงเรียนบ้านแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ฝึกสอนโดย อ.อำไพ สุจนิล ได้เริ่มฝึกมโนมยิทธิกันแล้ว

ต่อมาก็มีเด็กฝึกกันได้หลายคน ตามที่ได้นำบันทึกของ ด.ญ.พัชราภรณ์ ขอดแก้ว มาให้อ่านกันแล้ว

ต่อไปนี้เป็นการเล่าของ ด.ญ.สุมาลี ปัญโญ ซึ่งเป็นการฝึกพร้อมกับ ด.ญ.พัชราภรณ์ ขอดแก้ว และพิสูจน์มาแล้วว่าเป็นเรื่องจริง ดังนี้


🏵 หลวงปู่ฤาษีของฉัน
🌼 เด็กหญิงสุมาลี ปัญโญ
...วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๕ คุณครูอำไพบอกว่าใครอยากไปเที่ยวสวรรค์บ้าง ฉันยกมือทันที เพื่อนอีกหลายคนก็ยกมือ

คุณครูบอกว่า สวดมนต์ไหว้พระก่อน แล้วบอกให้ทุกคนอย่ารังแกคนอื่น ไม่ลักขโมยใคร ไม่แย่งของรักของชอบคนอื่น ไม่พูดโกหก ไม่กินของที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

แล้วคุณครูก็ถามว่า “เห็นใครบ้าง?”
ฉันเห็นหลายๆ คนแต่งตัวแปลกๆ แต่ไม่รู้จัก

...ครูจึงแนะนำว่าองค์ใหญ่คือพระพุทธเจ้า มีหลวงปู่ปาน หลวงปู่สด หลวงปู่ฤาษี ท่านปู่ ท่านย่า แม่ศรี

ทุกท่านมีร่างกายเป็นแก้วหมด ท่านพาเหาะไปตามสวรรค์ชั้นต่างๆ พาไปดูสถานที่ท่องเที่ยวบนสวรรค์ สิ่งที่ไม่ได้พบก็ได้พบได้เห็น

บางวันบนสวรรค์ก็จัดงานสนุกๆ มีของเล่นมากมายเยอะแยะไปหมด ฉันไปเที่ยวทุกวัน บางวันหลวงปู่ฤาษีก็เล่านิทานตลกให้ฟัง หลวงปู่ใจดีมาก

...บางวันหลวงปู่สดก็เล่านิทานให้ฉันฟัง และเสกยาให้ฉันด้วยเวลาไม่สบาย หลวงปู่ฤาษีสอนฉันหลายอย่าง เช่นไม่ให้ทำความชั่วทุกอย่าง เพราะจะทำให้เสียสมาธิ

หลวงปู่พาฉันไปเที่ยวแดนเนรมิตด้วย พอกลับหลวงปู่ก็ยังให้รางวัลเป็นเงินเป็นของบ้าง

ฉันดีใจมากที่สุดที่หลวงปู่สอนฉัน และช่วยเหลือฉันมาตลอดเวลา จะทำอะไรนึกถึงหลวงปู่ก็มาหาทุกครั้ง ฉันรักหลวงปู่มากและจะทำแต่ความดีตลอดไป

💐 หลวงปู่ปานสอนวิชาเรียกเงิน
...ฉันได้ฝึกมโนมยิทธิกับคุณครู ไปเที่ยวภพต่างๆ ตลอดจนดวงดาวต่างๆ ที่อยู่ตามท้องฟ้าจนเบื่อแล้ว หลวงปู่ปานก็บอกฉันกับเพื่อนๆ ว่า

“พวกเธอต้องไปเรียนวิชาความรู้กับฉัน”

แล้วพาไปที่เขาไกรลาส ซึ่งอยู่ห่างจากเขาพระสุเมรุมาก เขาไกรลาสสูงไม่เท่าเขาพระสุเมรุ แต่เขาไกรลาสมีความสวยงามกว่า มีดอกไม้ มีที่เล่นมากมาย เทวดานางฟ้าเต็มไปหมด

หลวงปู่ปานพาฉันเข้าไปในวิหารแก้ว เห็นคนนั่งรออยู่เต็มวิหาร หลวงปู่นำกราบพระ ๓ ครั้ง แล้วให้ทุกคนสวดมนต์ แบบที่พระสวดกันยาวๆ

น่าแปลกมาก ฉันและเพื่อนๆ สวดได้เต็ม และพร้อมเพรียงกันกับคนอื่นๆ ด้วย พอสวดจบหลวงปู่ปานก็แนะนำให้รู้จักคุณครูทั้งหมด

มีมากมาย เช่น หลวงปู่ครูบาศรีวิชัย หลวงปู่ฤาษีของเรา หลวงปู่สด หลวงปู่แหวน หลวงปู่วัดพระบาทตากผ้า หลวงปู่ฤาษีขาว แม่ศรี ทุกๆ ท่าน และอีกหลายท่านบอกไม่หมด

ทุกๆ ท่านเก่งๆ ทั้งนั้นเลย แล้วนักเรียนที่มาเรียน ก็ไม่ได้เป็นเด็ก กลับเป็นผู้ใหญ่ตัวเท่าๆ กันหมด แยกไม่ออกว่าใครเด็กใครผู้ใหญ่

เป็นพระ เป็นคนธรรมดา หรือเทวดาที่มีกายทิพย์ รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายเท่านั้น ตัวฉันเป็นเด็กในโลกมนุษย์ แต่พอขึ้นไปอยู่ข้างบนก็เป็นผู้ใหญ่หมด

ต่อจากนั้นหลวงปู่ปานก็สั่งให้ทุกคนที่มาเรียนทำสมาธิ ภาวนาว่า “นะมะพะธะ” หรือ “พุทโธ” ก็ได้

ด.ญ.พัชราภรณ์ใช้ “พุทโธ” แต่ฉันใช้ “นะมะพะธะ” ภาวนะไปจนใจสงบ หลวงปู่ปานจึงให้อ่านหนังสือวิชาที่จะเรียน เริ่มจากวิชาที่ฝึกง่ายๆ เช่น

วิชาเรียกเงิน และสิ่งของต่างๆ จากครูบาอาจารย์ พอเริ่มอ่านฉันก็อ่านไม่ออกเสียแล้ว หลวงปู่สดจึงมาสอนอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ

พออ่านใหม่บางคำก็ยังติดอยู่ อ่านยาก หลวงพ่อองค์หนึ่งก็มาช่วยสอนอ่านอีก ท่านว่าให้มีสติ มีสมาธิ จึงจะจำได้แม่นยำ

ภาษาที่เรียนเป็นตัวหนังสือโบราณเก่าแก่มาก ดูคล้ายๆ ภาษาจีน ต้องอ่านจากข้างหลังมาหาข้างหน้า หลวงปู่ปานสั่งให้ท่องจนขึ้นใจ

ใครดื้อมากๆ หลวงปู่ก็ใช้ไม้เท้าเคาะหัว ฉันเห็นหลวงปู่ที่เป็นครูสอน เข้าไปประกบนักเรียนคนอื่นอีก บางคนไม่มีความอดทน ก็แอบหนีไปเที่ยวตามที่ต่างๆ

โดยเฉพาะพวกเด็กผู้ชาย พอกลับมาหลวงปู่ก็จะลงโทษ จนบางคนหนีไปเลยเรียนไม่จบ ตามปกติหลวงปู่เป็นคนใจดีมาก แต่ในเวลาเรียนท่านจะดุมาก

💐 หัดทดลองวิชา
...เมื่อทุกคนท่องพระคาถาได้แล้ว หลวงปู่ก็ให้ฝึกทดลองวิชา ตอนทดลองวิชานี่นะคะ คุณครูทุกท่านมาช่วยกันลุ้นให้กำลังใจ

พอไม่สำเร็จท่านก็บอกให้เริ่มต้นใหม่ ให้ตั้งใจ มีสติ ทำใจให้มีสมาธิ อย่าหวั่นไหว อย่ากลัว

ฉันเห็นทุกท่านมีเมตตา คอยเอาใจช่วยอยู่ใกล้ๆ ก็มีกำลังใจอีก ทั้งมีเพื่อนๆ มาช่วยปรบมือเชียร์อยู่ข้างๆ ฉันจึงตั้งใจมากขึ้น และขึ้นไปฝึกอยู่ ๓ วันจึงสำเร็จวิชานี้

ท่องพระคาถายาวตั้ง ๓ หน้า เวลาหลวงปู่นัดให้ไปเรียนต้องให้ตรงเวลา ถ้าผิดเวลาไป ๕ – ๖ นาที ต้องถูกลงโทษไม่มียกเว้น ไม่ว่าคนหรือเทวดา บางวันฉันเผลอลืมขึ้นไป หลวงปู่ยังมาตามถึงบ้านเลย

ต่อมาหลวงปู่ให้ทดลองวิชาในโลกมนุษย์ ฉันทำได้ทุกครั้งที่มีสมาธิดี วันไหนสมาธิไม่ดีก็ไม่ได้ ฉันลองดูแล้วถ้าไม่มีสมาธิ ลองขอเงินหลวงปู่ใช้

หลวงปู่มาเหมือนกัน ก็ขอท่าน พอท่านหย่อนเงินลงมาที่มือฉัน เงินก็เด้งกลับ ท่านให้อีกเด้งกลับอีกอยู่ ๒ – ๓ ครั้ง

หลวงปู่ว่า “อย่าเอาเลย โง่อย่างนี้ ปล่อยให้อดตายไปเลย นี่แนะ... เอาไม้ตะพดไป๊ !” แทนที่จะได้เงิน ฉันกลับได้มะกรูดลูกเบ้อเร่อ..!

ในตอนต่อไปฉันจะเล่าเรื่องเรียนวิชาที่ ๒ วิชาตัวเบา สามารถลอยไปที่ไหนก็ได้ ด้วยตัวดิบๆ ของเรานี่แหละค่ะ

💐 ฝึกเหาะกับหลวงปู่ปาน
...เมื่อเรียนวิชาเรียกเงินเรียกของจบแล้ว หลวงปู่ปานบอกว่า “ยังมีวิชาต่างๆ อีกมากมาย พวกเธอจะเรียนไหม?”

ฉันกับเพื่อนๆ รีบยกมือขึ้นตอบว่า “เรียนค่ะ”

หลวงปู่ว่า “งั้นไปกันเลย จะได้ไม่เสียเวลา”

หลวงปู่พาไปที่ภูเขาหิมาลัย เป็นสถานที่ไกลมากที่สุดที่ฉันเคยไป และอยู่ห่างไกลจากเขาพระสุเมรุกับเขาไกรลาสมาก

เป็นภูเขาแก้วพื้นผิวเรียบ สูงมาก มีสวนดอกไม้เป็นหย่อมๆ สงบเงียบ ไม่มีคนพลุกพล่านเหมือนเขาไกรลาส

พอไปถึงหลวงปู่ก็ให้ทุกคนนั่งลงกราบพระ กราบครูบาอาจารย์ชุดเดิม แล้วสวดมนต์ นั่งสมาธิ ท่องพระคาถา จนจำได้อย่างแม่นยำ ยาวประมาณ ๔ – ๕ หน้า

เมื่อท่องพระคาถาจนจำได้หมดแล้ว จึงเริ่มฝึกกระโดดจากขั้นบันได มีทั้งหมด ๒๕ ขั้น เริ่มกระโดดตั้งแต่ขั้นที่ ๑ ก่อน

ต่อไปก็ขั้น ๒ – ๓ – ๔ – ๕ จากขั้น ๑ – ๕ นี้รู้สึกว่าง่ายมาก กระโดดได้ ๑ ครั้งก็ผ่าน พอขั้นที่ ๖ – ๙ ต้องซ้ำหลายครั้งจึงจะผ่าน

พอขั้นที่ ๑๐ ขึ้นไปเริ่มยากขึ้น ต้องใช้ความอดทนและใช้สมาธิมากขึ้น จนกว่าจะไปถึงขั้นที่ ๒๐ ใครที่ผ่านมาถึงขั้นที่ ๒๐ นี้ได้นับว่าเก่งมาก

เพราะจากจำนวนผู้ที่ไปฝึก ๑๐๐ คน จะผ่านขั้นนี้ได้อย่างมากประมาณ ๑๕ คน ส่วนมากพอถึงขั้นที่ ๒๐ ก็จะถอยกลับกันหมด เพราะฝึกหนักมาก ต้องยอมตายกันเลย

ฉันว่า “เอ้า...ตายเป็นตาย !”
หลวงปู่ก็บอกว่า “ต้องควบคุมกำลังใจให้มีสติอยู่ตลอดเวลา”

จึงไม่มีเวลาคิดถึงอย่างอื่นเลย ไม่สนใจใครทั้งนั้น เหมือนกับว่าเราอยู่คนเดียวอย่างนั้นแหละ ทั้งๆ ที่ผู้คนอยู่รอบๆ ตัวเรามีมากมาย

ถึงเวลาฝึกนี่มันมองไม่เห็นใครเลย ตั้งหน้าตั้งตาฝึกอย่างเดียว พอกลับจากการฝึกทุกครั้ง ฉันจึงนอนหลับปุ๋ย...ไปเลย ด้วยความอ่อนเพลีย

การไปฝึกกับหลวงปู่ในวันธรรมดา ฉันกลับจากโรงเรียนรีบทำการบ้าน รับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ประมาณ ๑ ทุ่ม หลวงปู่มารับ

พอ ๒ ทุ่มหลวงปู่มาส่ง ถ้าเป็นวันเสาร์ – อาทิตย์ ฝึกเกือบตลอดวัน คือตั้งแต่ ๘.๐๐ น. ถึง ๑๖.๐๐ น. แต่พอถึงพักเที่ยง หลวงปู่ก็ให้มารับประทานอาหาร

แม่ฉันยังบอกว่า “ระยะนี้ทำไมกินจุจังเลย”
ฉันบอกว่า “ทำงานหนักจ้ะแม่”

แม่ฉันว่า “เอ๊ะ! วันๆ หนึ่งก็ไม่เห็นทำอะไรนี่นา” ฉันก็ได้แต่ยิ้มลูกเดียว

💐 ทดลองวิชาเหาะ
...ฉันเรียนอยู่ได้ ๑๕ วันก็ผ่านวิชานี้ ฉันภูมิใจมาก นึกไม่ถึงว่าฉันผ่านมาได้อย่างไร ตัวเบามาก

วันต่อมาหลวงปู่ให้เหาะ ระหว่างเขาหิมาลัยกับเขาไกรลาส ได้ ๒ เที่ยว แล้วฉันก็มาทดลองฝึกด้วยตัวดิบๆ ของฉันบนโลกมนุษย์

ฉันฝึกเหาะที่บ่อเลี้ยงปลาของชาวบ้าน เพราะเงียบดีและไม่มีคนเห็น ปรากฏว่าข้ามได้สบายมาก ต่อมาลองนึกดูว่า ถ้าฉันขึ้นบ้านชั้นบนโดยไม่เดินขึ้นบันไดจะได้ไหม

ฉันก็ยืนอยู่สักครู่ กำลังยกขาขึ้นหนึ่งก้าว แว้บเดียว...ฉันก็ยืนอยู่ชั้นบน ฉันนึกจะลงไปชั้นล่าง พอก้าวขาปั๊บ..ก็ลงมาอยู่ชั้นล่างอีก

วันต่อมาเป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ประมาณ ๖ โมงเช้า ฉันตื่นนอนแล้วมานั่งตัดกระดาษเล่น หลวงปู่ปานมาชวนไปเที่ยว ฉันบอกว่า “ไปค่ะ”

ตัวฉันก็ลอยขึ้นในท่านั่งทะลุหลังคาบ้าน ขึ้นไปสูงมาก จนเห็นบ้านหลังนิดเดียว และเห็นเมืองเชียงใหม่หมดเลย ลอยไปพบกับ ด.ญ.พัชราภรณ์ กับแม่ศรี จับมือกันอยู่บนอากาศ

หลวงปู่ปานบอกว่า จะพาไปดูวัดท่าซุง แว้บเดียว... ก็มาถึงเหนือวัดท่าซุง มองลงมาเห็นยอดวิหารลิบๆ ส่องแสงว้อบแว้บๆ เต็มไปหมด

แล้วหลวงปู่ก็พากลับ เกือบจะถึงบ้านอยู่แล้ว หลวงปู่พาฉันลงหลังคาบ้านใครไม่รู้ ฉันบอกหลวงปู่ว่า

“นี่ไม่ใช่บ้านหนูค่ะ”
หลวงปู่ว่า “อ้อ... ลืมไป”

แล้วก็พาฉันลงมาที่บ้านตามเดิม ไปกลับประมาณ ๕ – ๖ นาที แม่ฉันถามว่า

“ตะกี้แม่เรียก..ทำไมไม่ตอบ?”

ฉันเงียบเพราะฉันไม่อยู่ จะตอบได้ยังไง แม่จึงว่า

“ต่อไปให้ตอบดังๆ จะได้รู้ว่าอยู่ที่ไหน !”

วันต่อมาหลวงปู่บอกฉันว่าให้ไปตรงโน้นนะ และเหาะนำไปเห็นหลังไวๆ ระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตร

ฉันก็เหาะตามไป เห็นหลวงปู่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้กวักมือให้ลง พอฉันลงปั๊บ! หลวงปู่ว่า “ไปละนะ ขอให้โชคดี”

ฉันตกใจหมด ตายล่ะ...ทิ้งเราอยู่คนเดียวหรือนี่ ไม่เห็นคนสักคน แล้วเราจะกลับบ้านยังไงฉันจะร้องไห้อยู่แล้ว ก็ได้ยินเสียงแม่ศรี แว่วๆ มาว่า

“ใช้สมาธิสิ...ลูก !”

ฉันได้สติก็นั่งลงหลับตา ทำสมาธิจนนิ่งแล้วนึกถึงบ้าน แป๊บเดียว...ฉันก็ลอยกลับมาลงที่บ้านของฉันได้อย่างปลอดภัยค่ะ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 23/5/20 at 08:57

[ ตอนที่ 7 ]

บันทึกของ ด.ญ.อำพร ภูเขา


เมื่อฉันฝึกมโนมยิทธิ
เด็กหญิงอำพร ภูเขา
...ครูให้ฉันกับเพื่อนๆ ฝึกสมาธิเวลาพักตอนบ่าย คุณครูเล่าเรื่องการทำความดีต่างๆ แล้วให้หลับตาทำสมาธิ

สักครู่หนึ่งครูก็ถามว่า “เห็นใครบ้าง?”

ฉันเห็นหลายคนแต่งชุดแก้วหมด แต่มีอยู่คนหนึ่งตัวใหญ่กว่าใคร และมีแสงออกรอบๆ ตัวมาก คุณครูบอกว่าพระพุทธเจ้า แล้วให้กราบทุกๆ คน

...คุณครูแนะนำให้ฉันรู้จักหลวงปู่ปาน หลวงปู่ฤาษี ท่านปู่ท่านย่า ท่านแม่ศรี ท่านพาฉันไปดูสวรรค์ชั้นต่างๆ ชั้นพรหมและไปเมืองพระนิพพาน

...คุณครูถามว่า “ชอบใจที่ไหนมากที่สุด?”
...ฉันตอบว่า “ชอบพระนิพพาน”

...เพราะฉันดูชั้นต่างๆ ที่ผ่านมาถึงจะสนุกมาก มีสถานที่ท่องเที่ยวมา ก็ยังสู้ที่แดนนิพพานไม่ได้ ดูมีความสงบร่มเย็น มีความสุขกายสุขใจมาก

ทุกๆ ท่านบนนี้ก็ใจดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ศรีของฉัน สวยงามที่สุดไม่มีใครเท่า และยังเก่งอีกด้วย

แม่ศรีแปลงร่างเป็นเจ้าหญิงก็ได้ เวลาแม่ศรีแปลงร่างก็ยืนอยู่บนดอกบัว บางทีแม่ศรีก็มีไม้วิเศษไว้ปราบผีที่ไม่ดี

ส่วนหลวงปู่ฤาษีนั้นบางครั้งก็ใจดี บางครั้งก็ดุ ฉันเห็นหลวงปู่ดุเทวดาแล้ว เสียงดังมาก ฉันตกใจหมดเลย

แต่กับฉันหลวงปู่ยังไม่เคยดุ ท่านสั่งสอนให้ฉันนั่งสมาธิและเล่านิทานของจริงให้ฟัง สนุกมาก นิทานของหลวงปู่เป็นเรื่องจริง เห็นภาพด้วย ฉันรักหลวงปู่มาก

ถึงหลวงปู่จะดุคนอื่นฉันก็ไม่กลัว ฉันจดจำทุกอย่างที่หลวงปู่สอนฉันได้หมด และฉันก็จะทำแต่ความดี เพื่อจะไปอยู่ที่พระนิพพาน ฉันรักพระนิพพาน

แม่ศรีบอกฉันตลอดเวลาว่า “อดทนนะลูกนะ” ฉันยังจำได้ดีและจะอดทนตามที่แม่ศรีบอก.."


💐 เด็กคนนี้พอใจพระนิพพาน
...หากผู้อ่านได้อ่านจบแล้ว จะสังเกตได้ว่า ด.ญ.อำพร เน้นเรื่องพระนิพพานเป็นพิเศษ แปลกมาก..ขอย้ำคำว่า...

"..ฉันก็จะทำแต่ความดี เพื่อจะไปอยู่ที่พระนิพพาน ฉันรักพระนิพพาน.."

คำว่า "ฉันรักพระนิพพาน" นี่ไม่ธรรมดาเลย เพราะเป็นอารมณ์เนื่องในคุณธรรมของพระโสดาบัน ถ้าเด็กยังรักษาอารมณ์นี้ไว้ และมีศีลบริสุทธิ์ตลอดชีวิต คงไม่แคล้วจากสิ่งที่ปรารถนาแน่นอน

เว้นไว้แต่..อะไรรู้ไหม..สิ่งที่น่ากลัวที่สุด..นั่นก็คือกฎของกรรม..ที่ทำให้เบี่ยงเบน เพราะถ้าขาด "อธิษฐานบารมี" กรรมไม่ดีก็ยังสามารถเข้ามาตัดรอนได้อยู่

ในตอนนี้ก็ไม่เคยพบเด็กๆ เหล่านี้อีกเลย เขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ จะมีความสุขหรือทุกข์ก็ดี

แต่ข้อเขียนเหล่านี้ ก็ยังเป็นบทเรียนสำหรับคนรุ่นหลัง ที่จะได้สำเหนียกไว้เตือนตนเองเสมอว่า นี่เป็นแค่ฌานโลกีย์เท่านั้น

ดังสังเกตได้ว่า ด.ญ.อำพร ภูเขา ไม่ค่อยเล่าถึงการฝึกเรื่องวิชาการต่างๆ ไม่เหมือนเด็กหญิงสองคนที่เล่าผ่านไปแล้ว คือ ด.ญ.พัชราภรณ์ ขอดแก้ว ตามที่เล่าไว้ว่า


💐 การเรียนวิชาต่างๆ
"..วิชาแรกที่ฉันเรียนจบคือ "การเรียกเงิน" สอนโดยหลวงปู่ปาน วิชาที่สองคือ "การเรียกของต่างๆ" สอนโดยหลวงปู่สด

และวิชาที่สามกำลังเรียนอยู่คือ "การลอย" ไปในที่ต่างๆ สอนโดยแม่ศรีกับหลวงปู่ฤาษี วิชาลอยตัวนี้ ตอนแรกเรียนกันหลายคน

ต่อมาเหลือ ๓ คน คือ ฉัน ด.ญ.พัชรภรณ์ ขอดแก้ว, ด.ญ.สุมาลี, ด.ญ.อำพร ขณะที่กำลังเรียนอยู่ฉันลอยได้เป็นคนที่หนึ่ง

ครั้งแรกที่ฉันลอยได้สูงจากพื้นดินประมาณ ๑ เมตร ลอยขึ้นต้นไม้ที่โรงเรียน เพื่อนๆ ของฉันตกใจหมด

ขณะที่กำลังเรียนอยู่ฉันลอยได้เป็นคนที่หนึ่ง ครั้งแรกที่ฉันลอยได้สูงจากพื้นดินประมาณ ๑ เมตร ลอยขึ้นต้นไม้ที่โรงเรียน เพื่อนๆ ของฉันตกใจหมด

ต่อมาครั้งที่ ๒ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ประมาณ ๘ โมงเช้า ฉันกำลังเล่นอยู่ในบ้าน ไม่มีใครเห็น

แต่ฉันเห็นแม่ศรีมาชวนฉันไป และจับมือฉันพาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มองเห็นหมู่บ้านของฉันเป็นหลังเล็กๆ สักครู่แม่ศรีก็พาฉันลงมาที่บ้าน พอดีกับแม่ฉันเรียกกินข้าว

ครั้งที่ ๓ เมื่อเช้าวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๕ ประมาณ ๖ โมงเช้า ฉันกำลังจะลุกจากที่นอนอยู่แล้ว แม่ศรีก็มาหาและพูดว่าไปเถอะ ท่านจับมือฉันแล้วก็พาลอยลิ่วๆ อย่างรวดเร็วขึ้นไปบนท้องฟ้า

คราวนี้ลอยสูงมาก จนเห็นตึกในเชียงใหม่หลังเล็กนิดเดียว และลอยไปเรื่อยๆ จนถึงวัดท่าซุง ลอยอยู่เหนือวัดท่าซุงสักครู่ แม่ศรีก็พากลับบ้าน

พอดีถึงบ้านฉัน มีเพื่อนชื่อว่า "ยุ้ย" ยืนมองฉันอยู่ เขาบอกว่าตอนไปซื้อของเดินผ่านมาเห็นลอยขึ้นหายไปเลย พอซื้อของเสร็จเดินกลับมา ก็เห็นฉันลอยลงมาจากฟ้า แว้บเดียว..ยืนอยู่บนดินแล้ว

เขาก็ไปเล่าให้คนอื่นๆ ฟัง มีผู้ใหญ่คนหนึ่งขอถ่ายรูปและให้ฉันลอยให้ดู แม่ศรีไม่อนุญาต ถึงแม้จะถ่ายไว้ก็จะไม่มีภาพออกมาให้เห็น และฉันก็ไม่กล้าลอยไปเองไกลๆ เพราะฉันกลัวและยังเรียนไม่จบบทเรียน

แต่ถ้าลอยในระยะใกล้ๆ ก็ได้ เช่น ฉันลองจับมือของ *ด.ญ.อำพร ลอยขึ้นจากพื้นสูง ๑ เมตร แล้วข้ามสระปลาที่บ้านของ ด.ญ.อำพร ไปมา ๒ – ๓ รอบ มีเพื่อนๆ ของฉันยืนดู

ความจริงแล้ว ฉันเห็นคนหลายคนไปฝึกวิชากับหลวงปู่เหมือนกัน แต่ก็เรียนไม่จบเพราะอ่านตำราไม่จำ บางคนก็อ่านผิดๆ ถูกๆ เลยเรียนไม่จบ.."

ส่วน ด.ญ.สุมาลี ปัญโญ เล่าว่า
ทดลองวิชาเหาะ
...ฉันเรียนอยู่ได้ ๑๕ วันก็ผ่านวิชานี้ ฉันภูมิใจมาก นึกไม่ถึงว่าฉันผ่านมาได้อย่างไร ตัวเบามาก

วันต่อมาหลวงปู่ให้เหาะ ระหว่างเขาหิมาลัยกับเขาไกรลาส ได้ ๒ เที่ยว แล้วฉันก็มาทดลองฝึกด้วยตัวดิบๆ ของฉันบนโลกมนุษย์

ฉันฝึกเหาะที่บ่อเลี้ยงปลาของชาวบ้าน เพราะเงียบดีและไม่มีคนเห็น ปรากฏว่าข้ามได้สบายมาก ต่อมาลองนึกดูว่า ถ้าฉันขึ้นบ้านชั้นบนโดยไม่เดินขึ้นบันไดจะได้ไหม

ฉันก็ยืนอยู่สักครู่ กำลังยกขาขึ้นหนึ่งก้าว แว้บเดียว...ฉันก็ยืนอยู่ชั้นบน ฉันนึกจะลงไปชั้นล่าง พอก้าวขาปั๊บ..ก็ลงมาอยู่ชั้นล่างอีก

วันต่อมาเป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ประมาณ ๖ โมงเช้า ฉันตื่นนอนแล้วมานั่งตัดกระดาษเล่น หลวงปู่ปานมาชวนไปเที่ยว ฉันบอกว่า “ไปค่ะ”

ตัวฉันก็ลอยขึ้นในท่านั่งทะลุหลังคาบ้าน ขึ้นไปสูงมาก จนเห็นบ้านหลังนิดเดียว และเห็นเมืองเชียงใหม่หมดเลย ลอยไปพบกับ ด.ญ.พัชราภรณ์ กับแม่ศรี จับมือกันอยู่บนอากาศ

หลวงปู่ปานบอกว่า จะพาไปดูวัดท่าซุง แว้บเดียว... ก็มาถึงเหนือวัดท่าซุง มองลงมาเห็นยอดวิหารลิบๆ ส่องแสงว้อบแว้บๆ เต็มไปหมด

แล้วหลวงปู่ก็พากลับ เกือบจะถึงบ้านอยู่แล้ว หลวงปู่พาฉันลงหลังคาบ้านใครไม่รู้ ฉันบอกหลวงปู่ว่า

“นี่ไม่ใช่บ้านหนูค่ะ”
หลวงปู่ว่า “อ้อ... ลืมไป”

แล้วก็พาฉันลงมาที่บ้านตามเดิม ไปกลับประมาณ ๕ – ๖ นาที แม่ฉันถามว่า “ตะกี้แม่เรียก..ทำไมไม่ตอบ?”

ฉันเงียบเพราะฉันไม่อยู่ จะตอบได้ยังไง แม่จึงว่า “ต่อไปให้ตอบดังๆ จะได้รู้ว่าอยู่ที่ไหน !”

วันต่อมาหลวงปู่บอกฉันว่าให้ไปตรงโน้นนะ และเหาะนำไปเห็นหลังไวๆ ระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตร

ฉันก็เหาะตามไป เห็นหลวงปู่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้กวักมือให้ลง พอฉันลงปั๊บ! หลวงปู่ว่า “ไปละนะ ขอให้โชคดี”

ฉันตกใจหมด ตายล่ะ...ทิ้งเราอยู่คนเดียวหรือนี่ ไม่เห็นคนสักคน แล้วเราจะกลับบ้านยังไงฉันจะร้องไห้อยู่แล้ว ก็ได้ยินเสียงแม่ศรี แว่วๆ มาว่า “ใช้สมาธิสิ...ลูก !”

ฉันได้สติก็นั่งลงหลับตา ทำสมาธิจนนิ่งแล้วนึกถึงบ้าน แป๊บเดียว...ฉันก็ลอยกลับมาลงที่บ้านของฉันได้อย่างปลอดภัยค่ะ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 23/5/20 at 09:03

[ ตอนที่ 8 ]

บันทึกของ ด.ญ.สุนทรีย์ ชัยดารา


"...ตามที่นำเรื่องเล่าผลของการฝึกมโนมยิทธิของเด็กนักเรียน โรงเรียนบ้านแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ฝึกสอนให้เด็กนักเรียนชายหญิง ประมาณ ๗-๘ คน โดย อ.อำไพ สุจนิล เมื่อปี ๒๕๓๕ ก่อนพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ มรณภาพเพียงไม่กี่เดือน

ในตอนที่แล้วได้นำเรื่องเล่าของ ด.ญ.พัชรภรณ์ ขอดแก้ว, ด.ญ.สุมาลี ปัญโญ, ด.ญ.อำพร ภูเขา ผ่านไปแล้ว ตอนต่อไปจะเป็นของเด็กนักเรียนชายบ้าง

แต่ตอนนี้จะขอนำประสบการณ์ของ ด.ญ.สุนทรีย์ ชัยดารา มาให้อ่านกันต่อ แถมเล่าสนุกๆ อีกด้วย.."


ผลการฝึกมโนมยิทธิ
เด็กหญิงสุนทรีย์ ชัยดารา
...เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๓๕ คุณพ่อของหนูได้พาหนูไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดโขงขาว โดยมีคุณครูอำไพ สุจนิล เป็นผู้ฝึกให้

มีผู้ใหญ่และเด็กๆ ฝึกกันหลายคน หนูฝึกได้ คุณครูพาหนูไปเที่ยวสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น และพรหมอีก ๒ – ๓ ชั้น แล้วคุณครูก็พาขึ้นนิพพาน

จากนั้นมาหนูก็มาฝึกกับคุณครูทุกเสาร์ – อาทิตย์ ผลจากการฝึกมโนมยิทธิ หนูขอเล่ารวมๆ กันเป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ จากที่ไปพบมามากมาย

หนูไปเที่ยวสวรรค์เขตที่ ๑ จาตุมหาราชา หนูได้ไปกราบท่านปู่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านปู่ทั้ง ๔ นี้รูปร่างของท่านออกสีทองอ่อนๆ สวยสดงดงามมาก

เขตที่ ๒ ดาวดึงส์ โดยไปกราบพระพุทธเจ้าที่พระจุฬามณีเจดียสถาน กราบท่านปู่ท่านย่า หลวงพ่อ ท่านแม่ และขอชมพระเขี้ยวแก้วและพระเกศาของพระพุทธเจ้า

ลักษณะของพระเขี้ยวแก้วและพระเกศาเป็นเพชรระยิบระยับสวยสดงดงามมาก พระเขี้ยวแก้วจะมีมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าประสูติมาแล้ว

เขตที่ ๔ ดุสิต หนูไปกราบหลวงปู่ปาน ท่านปู่พระศรีอาริยเมตไตรย (คือองค์เดียวกับท่านปู่ครูบาศรีวิชัย)

ซึ่งจะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ วิมานของท่านปู่ทั้งสองสวยงามมาก เป็นมณฑปประดับด้วยแก้ว

ต่อจากนั้นหนูไปพรหมเขตที่ ๑๖ คือ เขตอกนิษฐสุทธาวาส ไปเที่ยวแดนเนรมิต หนูไปเล่นชิงช้าสวรรค์ทองคำ

ต่อจากนั้นหนูก็ไปที่วิมานของหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่บนพระนิพพาน วิมานของหลวงพ่อท่านสวยสดงดงามมาก มากกว่าที่วิหารร้อยเมตรเป็นล้านๆ เท่า

ต่อจากนั้นหนูก็ไปนั่งสมาธิที่วิมานของหนู และสมเด็จองค์ปฐมท่านบอกว่า อย่าโลภมากเพราะทำให้มีกิเลสมาก และยังทำให้ตกนรก แล้วหนูก็ขอบพระคุณท่าน กราบขอขมาและลาท่านลงมา

💐 หลวงปู่ปานสอนฌาน ๑–๔ และญาณ ๘
...หลวงปู่ได้พาหนูไปฝึกฌาน ๑ – ๘ ที่ป่าหิมพานต์ ซึ่งอยู่ในเขตพรหมชั้นที่ ๕ โดยหลวงปู่ให้หนูไปนั่งสมาธิที่สะดือน้ำตก ใกล้ๆ กับท่านปู่อุปคุต โดยใช้เวลา ๘ วัน

หนูก็ฝึกฌาน ๑ – ๔ สำเร็จ แล้วหลวงปู่ท่านก็ให้หนูฝึกเข้า-ออกฌาน ๑ – ๔ ให้คล่อง เมื่อคล่องดีแล้ว หลวงปู่ท่านก็สอนญาณ ๘ คือ

๑. ทิพจักขุญาณ มีตาทิพย์
๒. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิตของคนและสัตว์
๓. จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายแล้วไปเกิดที่ใด ที่มาเกิดนี้มาจากไหน
๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่เกิดมาแล้วในกาลก่อนได้

๕. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตที่ล่วงมาแล้วได้
๖. อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในกาลข้างหน้าต่อไปได้
๗. ปัจจุบันนังสญาณ รู้เหตุปัจจุบันของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ได้ตามความเป็นจริง
๘. ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของคนและสัตว์ได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต หลวงปู่ให้ทบทวนใช้ให้คล่องอยู่เสมอ

💐 หลวงปู่สอนวิชาอภิญญา
...ต่อมาหลวงปู่ปานได้สอนวิชาอภิญญาให้หนูมากมาย ขอยกตัวอย่างเช่น วิชาเสกของ เหาะ สลาตัน ดำดิน ทะลุกำแพง เป็นต้น

วิชาต่างๆ นี้จะต้องได้รับอนุญาตจากหลวงปู่เสียก่อนจึงจะใช้ได้ หนูขอยุติไว้เพียงแค่นี้ก่อน ไว้คราวหน้าหนูจะเขียนมาอีก

💐 การฝึกวิชาต่างๆ กับหลวงปู่ปาน
...๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ หนูได้ไปเรียนวิชาเหาะกับหลวงปู่ปาน โดยหลวงปู่พาหนูไปฝึกที่ป่าหิมพานต์ โดยหลวงปู่ให้หนูท่องคาถา แล้วหลวงปู่ก็ทำให้ดู

และหลวงปู่ก็บอกว่าให้เอ็งลองไปทำที่บ้านดู หลังจากนั้นหนูได้ลองเหาะ โดยใช้กายเนื้อของหนูเหาะจากที่บ้านไปยังวัดโขงขาว

💐 ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...หนูได้ใช้กายเนื้อของหนูเหาะไปประเทศอินเดีย โดยมีหลวงปู่พาไป ประเทศอินเดีย บางที่ที่หนูไปเจอะสกปรกมาก

หลวงปู่ได้พาหนูเหาะไปลงที่วิหารมหาโพธิ ซึ่งมียอด ๓ ยอด มียอดใหญ่ ๑ ยอด ยอดเล็ก ๒ ยอด และหนูก็เหาะไปชมสถูปชื่อ "ธัมเมกขสถูป" ซึ่งมีลักษณะไม่มียอดแหลมๆ คือยอดข้างบนคล้ายกับบาตรคว่ำ

แล้วหนูก็เหาะไปดูปรินิพพานวิหารที่เมืองกุสินารา แล้วหลวงปู่ก็พาหนูเหาะไปดูประตูเมืองเก่าของเมืองนิวเดลีด้วย

ประตูนี้มีเสาเหล็กสีดำอยู่ใกล้ๆ สุดท้ายหลวงปู่พาหนูเหาะไปที่โคนต้นโพธิ์ที่ลุมพินีที่ประเทศเนปาลด้วย แล้วจึงกลับบ้าน

💐 ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...วันนี้หนูนึกว่าหลวงปู่จะพาไปฝึกวิชาเหาะ แต่หลวงปู่สอนวิชาเสกของให้ โดยหลวงปู่ทำให้ดูซ้ำๆ กันหลายครั้ง แล้วหนูก็ทำได้

มีวันหนึ่งหนูลืมเอาเงินไปโรงเรียน เลยไม่มีค่ากับข้าว หนูเลยเสกเงิน ๓๒ บาท โดยหนูเอาออมทรัพย์ ๒๒ บาท กิน ๕ บาท แล้วเอามาใส่บาตรพระที่บ้าน ๕ บาท แล้วหนูก็ขอบพระคุณหลวงปู่

💐 ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...หลวงปู่พาหนูไปฝึกวิชาดำน้ำที่สระอโนดาต แล้วหลวงปู่ให้นั่งสมาธิ พอนั่งเสร็จหลวงปู่ก็พาเหาะด้วยกายเนื้อไปที่แม่น้ำฮวงโหในประเทศจีน

แล้วหลวงปู่ได้เนรมิตเด็กผู้หญิงตัวขนาดเท่าหนู แล้วหลวงปู่บอกว่า ถ้าใครดำถึงพื้นก่อนกันข้าจะให้รางวัล ปรากฏว่าเสมอกัน หลวงปู่จึงให้พระคำข้าวเป็นรางวัล

💐 ๓ มิถุนายน ๒๕๓๕
...หนูได้ฝึกวิชาดำดินกับหลวงปู่ โดยหลวงปู่พาหนูไปฝึกดำดินที่สวนมิสกวัน และสวนปารุสกวัน เสร็จแล้วหลวงปู่ให้หนูไปลองทำที่บ้าน

หนูได้ลองดำดินดูจากที่บ้านของหนูไปถึงที่แม่น้ำแม่กลาง ซึ่งห่างจากบ้านหนูประมาณ ๑ กิโลเมตร ตอนไปโผล่ตอนแรกหนูไม่รู้ว่าเป็นแม่น้ำ หนูรู้สึกเย็น

พอไปอีกหน่อยก็ถึงแม่น้ำหนูตกใจ จึงกลืนน้ำไป ๓ อึก หลวงปู่หัวเราะและพูดว่า ดูดีๆ สิเอ็ง ก่อนจะโผล่ควรดูให้ดีๆ สิแล้วเอ็งค่อยโผล่

💐 ๖ มิถุนายน ๒๕๓๕
...หลวงปู่สอนวิชาเดินบนน้ำ หลวงปู่พาไปที่แม่น้ำเจ้าพระยา หลวงปู่ทำให้ดูก่อน หนูบอกหลวงปู่ว่าน้ำตรงนี้เหม็น ไปแม่น้ำอื่นดีกว่า

หลวงปู่พูดว่า ข้าให้เอ็งเรียนที่นี่เอ็งอย่าบ่น ถ้าเอ็งบ่นเดี๋ยวโดนดีแน่ หนูยังบ่นต่อไป หลวงปู่เลยยันหนูตกลงแม่น้ำเจ้าพระยา หนูก็เลยใช้วิชาดำน้ำ

พอขึ้นมาหลวงปู่ถามว่าเอ็งเข็ดไหม หนูบอกว่ายังไม่เข็ด พอหลวงปู่ได้ยินจะเอาเท้ายันอีก หนูพูดว่า "เข็ดแล้วจ้า..เข็ดแล้วจ้า"

หลวงปู่พูดว่า เออ..ดีแล้ว ข้าปราบเอ็งมาทุกชาติ ชาตินี้เอ็งยังซนอยู่หรือ แล้วหลวงปู่ก็ลองให้หนูเดินบนน้ำ หนูก็ทำได้ หนูดีใจมาก แล้วหลวงปู่ก็พากลับบ้าน

💐 ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๕
...หนูได้ขึ้นไปฝึกวิชาสลาตัน หลวงปู่ให้หนูทำดูตามตัวอย่างที่หลวงปู่ได้ทำให้ดู หนูก็ทำได้ วิชาสลาตัน เวลาหมุน ตัวของเราก็หมุนด้วย ตัวของหนูหมุนขึ้นหมุนลง หมุนซ้ายหมุนขวา

เมื่อฝึกเสร็จแล้วหลวงปู่บอกว่าอีก ๒ วัน ให้มาทบทวนวิชาสลาตันพร้อมวิชาเหาะ แล้วหนูก็ลาหลวงปู่ลงมา

💐 ๑๒ มิถุนายน ๒๕๓๕
...หนูได้ขึ้นไปทบทวนวิชาเหาะก่อน วันนี้เหาะได้รวดเร็วกว่าเดิม หลวงปู่บอกว่าแกก้าวหน้ามากขึ้นดีนะ หลวงปู่ก็ให้ทบทวนวิชาเหาะ สลาตัน วิชาดำดิน

หลวงปู่พูดว่า วันนี้พอแค่นี้ก่อน เพราะข้าทบทวนให้แกมากกว่าทุกวัน แกไปพักผ่อนได้ หนูลงมาก็ง่วงนอน แล้วตอนนั้นหนูเป็นหวัดหายใจไม่สะดวก หายใจทางปาก พอดีจิ้งจกถ่ายอุจจาระเข้าปากหนู

หนูก็แปลกใจว่า เอ๊ะ..ที่อื่นก็มี ทำไมต้องถ่ายอุจจาระใส่ปากเราด้วย หนูก็ใช้จิตไปถามจิ้งจก จิ้งจกพูดว่า "หมั่นไส้แกว่ะ"

หนูเลยไม่สนใจอะไร เลยขึ้นไปหาหลวงปู่แทน เห็นหลวงปู่นั่งหัวเราะก๊ากๆ อยู่ที่วิมานของหลวงปู่

💐 ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๕
...หลวงปู่พาไปทบทวนวิชาเหาะโดยหลวงปู่ไม่คุม โดยให้เหาะจากบ้านไปถึงยุโรป ๓ เที่ยว แล้วหลวงปู่พากลับบ้าน และบอกให้งดฝึกชั่วคราว

💐 ๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๕
...หลวงพ่อ (หลวงพ่อฤาษี) ได้สอนวิชาเสกใบไม้ให้เป็นตะขาบ โดยหลวงพ่อทำให้ดู ๑ รอบ แล้วหลวงพ่อพูดว่า เอ็งลองทำดูซิ หลวงพ่อบอกให้หนูเสก ๓ ครั้ง

ครั้งแรกและครั้งที่ ๒ หนูทำได้ พอครั้งที่ ๓ หนูก็เสกตะขาบไล่หลวงพ่อ หลวงพ่อกระโดดตั้ง ๓ ที แล้วหลวงพ่อพูดว่า เอ็งพอก่อน เดี๋ยวข้าทำให้ดูอีกครั้ง

หนูคิดเอาในใจว่า เอาแล้วล่ะกู เจ็บตัวจนได้ แล้วหลวงพ่อก็เสกตะขาบไล่หนู หนูก็กระโดดโหย่งๆ แล้วหนูก็วิ่งไปนั่งที่ใต้ต้นไม้ หนูโดนตะขาบต่อยที่ก้น

หลวงพ่อพูดว่า ข้าเก็บตะขาบใบไม้ไว้แล้ว แต่ที่เจ้านั่งทับมันแล้วมันกัดเอ็ง นั่นมันเป็นตะขาบจริงๆ

พอรู้หนูขนลุกหมดเลย พอดีว่าเป็นตะขาบตัวเล็ก ตอนอยู่ข้างบนก็ไม่รู้สึกเจ็บ พอลงมาก้นเจ็บและบวมไปหลายวันเลยค่ะ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 23/5/20 at 09:04

[ ตอนที่ 9 ]

บันทึกของ ด.ช.ธีรยุทธ จันทร์แดง


"...ผู้เขียนได้นำเรื่องราวของเด็กนักเรียนหญิง โรงเรียนบ้านแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้แก่ ด.ญ.พัชรภรณ์ ขอดแก้ว, ด.ญ.สุมาลี ปัญโญ, ด.ญ.อำพร ภูเขา ผ่านไปแล้ว

ในตอนนี้จะเป็นของเด็กนักเรียนชายบ้าง ฝึกสอนโดย อ.อำไพ สุจนิล เมื่อปี ๒๕๓๕ อันเป็นผลการฝึกมโนมยิทธิของ ด.ช.ธีรยุทธ จันทร์แดง ดังนี้.."


วันที่เทวดาไม่อยู่บนสวรรค์
"...เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๑๐ โมงเช้า เป็นวันหยุดโรงเรียนเพราะเป็นวันมาฆบูชา ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ก็ขึ้นไปบนสวรรค์เหมือนทุกครั้ง

ผมกำหนดใจไปที่พระจุฬามณี ผมแปลกใจมาก เพราะไม่มีใครมารับผมเลย เพราะทุกๆ ครั้งจะมีพระและพี่เทวดา พี่นางฟ้ามารับผม

ผมจึงไปที่สวรรค์ชั้นที่ ๑ ก็ไม่มีใครอยู่ มีแต่วิมาน จึงไปที่ชั้นที่ ๒ ที่ ๓, ๔, ๕, ๖ และชั้นพรหมทุกชั้นก็ไม่มีใครเหมือนกัน

เอ...ท่านเทวดา ท่านพรหม คงไปอยู่บนพระนิพพานกันหมดแน่ๆ จึงตามขึ้นไปบนพระนิพพานก็ไม่มีใครสักคน ท่านพากันอยู่ที่ไหนกันนะ ผมว่างเหงาจังเลย ไปเล่นกับพี่ช้าง พี่ลิงและลุงครุฑที่ป่าหิมพานต์ดีกว่า

พอไปถึงพี่สัตว์ต่างๆ กำลังวิ่งไปไหนกันไม่รู้เป็นแถวๆ เลย แป๊บเดียว..ในป่าก็เงียบเชียบ ผมจึงไปเที่ยวแดนนรก ไปเห็นปู่พระยายมราชนั่งอยู่คนเดียว

ผมก็เข้าไปกราบแล้วถามว่า “วันนี้ทำไมเงียบกันหมดทั้งบนสวรรค์และผู้คุมนรกครับ?”

ท่านปู่บอกว่า “โน่น..ไปวัดท่าซุงกันหมด”

ผมถามว่า “วัดท่าซุงที่ไหนครับ?”
ท่านปู่ก็ว่า “วัดหลวงปู่ฤาษีของแกนั่นไง”

ผมจึงตามไปดูที่วัดท่าซุง โอโฮ..พากันมาอยู่ที่วัดหมดเลย ผมเห็นหลวงปู่ฤาษีทำพิธีอะไร อยู่ที่เจดีย์แก้วสวยงามมาก นางฟ้าโปรยดอกไม้เงินดอกไม้ทองเยอะแยะไปหมด ลงมาถูกคนข้างล่างด้วย

แต่ดูแล้วคนข้างบนมากกว่าที่อยู่ข้างล่างหลายเท่า คือ ข้างบนเต็มเอี๊ยดหมดเลย แม้แต่บนต้นไม้ก็อยู่เต็มไปหมด ผมเกิดมายังไม่เคยเห็นที่ไหนมีพระ มีเทวดา นางฟ้า และคนจริงๆ มากมายอย่างนี้มาก่อนเลย

ผมจึงอยากเห็นวัดท่าซุงจริงๆ พอคุณครูอำไพบอกว่า จะพาพวกผมไปกราบหลวงปู่ฤาษีในวันที่ ๑๔ – ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๕ นี้ ผมและเพื่อนๆ ดีใจมากที่สุดเลยครับ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 25/5/20 at 08:23

[ ตอนที่ 10 ]

บันทึกของ ด.ช.นพดล ต่อกัน



โดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต


"...เป็นอันว่า ผู้อ่านได้ทราบผลการฝึกมโนมยิทธิ จนกลายเป็นฝึกอภิญญาจากครูบาอาจารย์ที่ตนเองไม่รู้จักมาก่อน มีเด็กหลายคนที่ฝึกร่วมกัน แต่ก็มีความสามารถไม่เท่ากัน

โดยเฉพาะเด็กนักเรียนหญิงชาย โรงเรียนบ้านแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้แก่ ด.ญ.พัชรภรณ์ ขอดแก้ว, ด.ญ.สุมาลี ปัญโญ, ด.ญ.อำพร ภูเขา, ด.ช.ธีรยุทธ จันทร์แดง

เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้หญิง ก็ได้เล่าประสบการณ์ของตนเองไว้ครบถ้วนแล้ว เพราะ อ.อำไพ สุจนิล ได้เผยแพร่ต่อไปทางพี่สาว คือ อ.ใบบุญ แสงแก้ว อ.งาว จ.ลำปาง

อ.อำไพ ได้ฝึกให้เด็กนักเรียน โรงเรียนดอนไชยวิทยา แล้วเด็กก็ไปเจอเด็กที่ฝึกด้วยกันอีกคนหนึ่งข้างบน ชื่อ ด.ช.ดนตรี บุญเพิ่มพูน โรงเรียนบ้านบวกเปา อ.สันทราย จ.เชียงใหม่

ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ อ.อำไพ เช่นกัน เรื่องราวของเด็กทั้งสองจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามเรื่องที่เด็กเล่าไว้ ตอนนี้เป็นเด็กผู้ชายบ้าง ดังนี้.."


เรียนวิชาดำดิน
เด็กชายนพดล ต่อกัน
"...เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๕ เป็นวันหยุดเรียน เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ผม ด.ช.นพดล ต่อกัน (โจ) นักเรียนชั้น ป.๕ โรงเรียนดอนไชยวิทยา อ.งาว จ.ลำปาง ได้ไปทำงานเพื่อหารายได้พิเศษที่บ้านคุณครูใบบุญ พร้อมกับเพื่อนๆ ๑๐ กว่าคน

พอทำงานไปสักระยะหนึ่ง คุณครูสั่งให้หยุดทำงานก่อน จะให้ไปฝึกสมาธิ คุณครูพาไปบนบ้าน แนะนำให้รู้จักกับคุณครูที่จะสอนฝึกสมาธิ ชื่อคุณครูอำไพ

พอสวดมนต์จบก็ฝึกสมาธิไป จนรู้สึกว่าตัวผมหมุนติ้วๆ พอหยุดหมุนปั๊บ ผมก็เห็นคนเป็นแก้วเยอะแยะเต็มบ้าน ครูบอกว่าตัวใหญ่มากๆ คือพระพุทธเจ้า

ต่อมาก็หลวงปู่ปาน หลวงปู่ฤาษี และคนอื่นๆ อีก พอครูบอกให้ไปที่ไหน ก็เห็นตัวอีกตัวหนึ่งของตนเองและเพื่อนๆ แยกออกจากตัวจริงๆ ที่นั่งอยู่

ตัวที่ออกไปนั้นสวยงามเป็นแก้วใสๆ แต่งตัวเหมือนพระเอกลิเก ตัวเบามาก พอนึกจะไปไหนก็ไปเลยเร็วมาก

พบปู่ที่ตายไปแล้ว
...พอไปชั้นที่ ๑ พบเทวดานางฟ้ามากมายยิ้มให้ พบปู่ที่เคยเลี้ยงผมมาตอนเด็กๆ ท่านเพิ่งตาย เข้ามากอดผมแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น บอกขอโทษผมที่ไม่ได้ดูแลให้ดีตอนผมเล็กๆ

ท่านบอกว่า ถ้าผมไม่บวชหน้าศพให้ท่านๆ คงต้องตกนรกแน่ๆ เพราะท่านไม่เคยไปวัด ไม่เคยทำบุญที่ไหน เก็บเงินไว้อย่างเดียว

แม้แต่ขนมก็ไม่ยอมซื้อให้กิน และเวลาผมร้องไห้ก็ทุบตีแรงๆ ท่านขอบคุณผมและอีกไม่นานท่านก็จะเลื่อนไปอยู่ที่ชั้นที่ ๒ เพราะว่าผมฝึกสมาธิแล้วท่านก็ได้บุญด้วย

พบพ่อที่ตายไปแล้ว
...ไปที่ชั้นที่ ๒ ได้พบพ่อของผมที่ตายไปหลายปีแล้ว ตายในประเทศไต้หวัน เพราะไปเป็นคนงานที่นั่น พ่อว่าตายแบบทรมาน เขาส่งแต่กระดูกมาให้

ระยะแรกพ่อว่าท่านร่อนเร่ไปในที่ต่างๆ เพื่อหาของกิน แต่ถูกวิญญาณของชาวต่างชาติรังแกไม่ให้กิน ทรมานมาก จนกระทั่งมีเจ้าแม่กวนอิมพาส่งกลับประเทศไทย

กลับมาก็ไม่ได้ไปไหนวนเวียนอยู่แถวๆ บ้าน พอญาติพี่น้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ จึงได้มาอยู่ที่สวรรค์ชั้นที่ ๒ ท่านดีใจที่ผมฝึกสมาธิ เพราะท่านได้บุญด้วย

ผมได้ไปเที่ยวที่ป่าหิมพานต์อยู่ที่พรหมชั้นที่ ๕ ที่หน้าประตูแก้วจะเข้าป่าหิมพานต์ จะมีโต๊ะเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่ ๒ – ๓ คน ใจดีมาก คอยแจกบัตร คนที่จะเข้าไปได้ต้องมีบัตรไปเสียบไว้ที่ข้างประตู แล้วประตูก็จะเปิดให้เข้าไปได้

แต่ถ้าไปกับคุณครูหรือไปกับหลวงปู่ก็ไม่ต้องไปรับบัตร ผ่านเข้าไปได้เลย หลวงปู่เส้นใหญ่มาก คุณครูก็เส้นใหญ่เหมือนกันครับ

ที่ป่าแห่งนี้สวยงามมาก ต้นไม้มีแสงระยิบระยับ ในป่าหิมพานต์มีสัตว์ทุกชนิดที่โลกมนุษย์ มีท้องฟ้าเป็นสีทองสว่างไสว ก้อนเมฆเป็นแก้วระยิบระยับ ทุกท่านพูดกันด้วยภาษาใจ

ตอนที่ผมกับเพื่อนๆ ไปถึงครั้งแรก สัตว์ต่างๆ พากันวิ่งหลบกันเป็นแถว และมีเสียงร้องออกมาว่า กลัวคนใจร้ายพกอาวุธมาด้วย ไปดีกว่า เป็นเสียงของนกแก้ว

พอออกจากสมาธิครูให้ค้นตัวผมและเพื่อน พบหนังสะติ๊กเหน็บที่เอวเพื่อน ๔ คน

ไปแดนนรก
...รอบบ่าย คุณครูฝึกสมาธิอีก พาไปแดนนรก เห็นคนถูกลงโทษลักษณะต่างๆ กัน สาเหตุที่ถูกลงโทษเพราะได้ทำความผิดไว้สมัยที่เป็นคน

พอออกจากสมาธิ เพื่อนๆ ของผมพากันนำหนังสะติ๊กไปทิ้งกันหมด เพื่อนผมคนหนึ่งเดินร้องไห้กลับบ้านไปตลอดทาง บอกว่าสงสารตามาก เพราะพบตาถูกทรมานในนรก

ตอนเย็นคุณครูพาไปพบหลวงปู่ปานที่ชั้น ๔ เพื่อขอเรียนวิชา หลวงปู่ว่าวันนี้ยังไม่สอน เพราะทุกคนใช้สมาธิมาเกือบตลอดวัน วันพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่

วันต่อมาหลังจากเลิกเรียน ทำการบ้านและรับประทานอาหารเย็นแล้ว พวกผมนัดทำสมาธิที่บ้านเพื่อน

ไปพบเพื่อนที่ภูเขาหิมาลัย
...หลวงปู่ปานกับหลวงปู่ฤาษีมารับขึ้นไปที่แห่งหนึ่งสงบเงียบมาก ชื่อภูเขาหิมาลัย เป็นภูเขาแก้ว สวยงามมาก ไม่มีในโลกมนุษย์ ไปพบกับผู้ที่มาเรียนคนอื่นๆ เข้ามาทักผมว่า หน้าใหม่นี่ มาจากไหน

ผมว่ามาจากลำปาง ครูอำไพ ฝึกสมาธิให้ เขาว่า อ๋อ..อาจารย์เดียวกัน เขาว่าเขาเป็นนักเรียน "บ้านบวกเปา" อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ อยู่ชั้น ป.๔

ผมว่าผมอยู่ ป.๕ เขาว่าอยู่ ป.๔ แต่เป็นรุ่นพี่นะ แล้วเราก็รู้จักคุ้นเคยกัน หลวงปู่ดุว่าคุยกันอยู่นั่นแหละ รีบมาเรียนเถอะ

แล้วหลวงปู่ก็บอกชื่อครูบาอาจารย์ทั้งหมดที่มาช่วยฝึกให้มีมากมาย ผมกับเพื่อนเรียนวิชาไม่เหมือนกัน

หลวงปู่ปานว่า คนนี้อ่านหนังสือไม่คล่อง ท่องพระคาถาไม่เก่ง ไปเรียนวิชาที่ง่ายๆ ก่อน คนนี้ซนมากไปเรียนวิชาเหาะ

ส่วนเจ้าโจพูดมาก ไปเรียนวิชาถอดหัวใจใส่รูปภาพ หรือวัตถุสิ่งของ แล้วทำให้ของมีชีวิตสามารถเคลื่อนที่ไปไหนๆ ก็ได้

พอผมเรียนจบหลวงปู่ก็สอนวิชาต่างๆ ให้อีกหลายวิชา แต่ที่ผมชอบมากๆ คือ วิชาดำดิน ผมจะเล่าถึงขั้นตอนการเรียนนะครับ

คือก่อนจะเรียนวิชาจะถูกทดสอบก่อนจากครูฝึก ผมเพิ่งรู้ทีหลังว่าถูกทดสอบ เพื่อนๆ ของผม ๑๐ กว่าคนขึ้นไปพร้อมกับผม

ก็ถูกนำไปปล่อยทิ้งไว้ที่แห่งหนึ่ง แล้วท่านก็หายไป สักพักก็มีพายุพัดมาแรงมาก มีก้อนหิน ก้อนหินมายังกับห่าฝน ทุกคนพากันหลบ บางคนร้องไห้ไม่ยอมออกมาจากที่หลบซ่อน

ขนาดหลบซ่อนอยู่ก็ยังโดนก้อนหินจนหัวปูดหัวโน ตั้งตัวไม่ทันเลย ใจผมฮึดฮัดขึ้นมาทันที เอาซิวะ มาถึงตรงนี้แล้วถอยไม่ได้แล้วนี่ ผมกำหมัดแน่นตะโกนออกไปว่า มีอีกไหมมาเลยเอาให้ตายไปเลย

สักครู่ลมสงบทุกอย่างเป็นปกติ เห็นครูบาอาจารย์โผล่มาจากไหนไม่รู้ ปรบมือว่าไอ้หมอนี่มันเอาจริง เอ้า..ไปเรียนได้

มองหาเพื่อนๆ หลบหายไปหมด มีแต่ผมคนเดียว หลวงปู่จึงพาไปสมทบกับชุดอื่น หลวงปู่ให้กราบพระ สวดมนต์ ท่องคาถายาวมาก แล้วให้ทำสมาธิรวมกัน

แล้วผมได้ทำสมาธิซ้อนสมาธิ คือก่อนจะขึ้นมาเรียนผมก็ทำสมาธิ พอมาเริ่มเรียนครูที่สอนก็ให้นั่งสมาธิอีก ครูบอกว่าต้องทำสมาธิเพื่อให้มีกำลังใจเข้มแข็งไม่วอกแวก และทำให้มีสติมั่นคง พบกับเหตุการณ์อะไรจะไม่สะดุ้งกลัว

พอทำสมาธิไปจนนิ่งมากๆ ครูสั่งให้หยุด ออกมายืดเส้นยืดสาย คล้ายๆ กับกายบริหารในโรงเรียน แล้วให้ทุกคนยืนนิ่งๆ สูดลมเข้าลึกๆ ๒ – ๓ ครั้ง

ชูมือขึ้น กระโดดขึ้นให้ตัวลอยไปในอากาศ ลำตัวตรง แล้วกลับหัวลงในท่าชูมือ พอถึงพื้นใช้มือยันพื้นไว้ ๒ ข้าง ลำตัวตรง ซ้อมท่านี้จนคล่องหลายๆ เที่ยว

ต่อไปเริ่มต้นใหม่ หลวงปู่สั่งต่อไปนี้เอาจริงนะ ทำใจให้นิ่ง กลั้นลมหายใจรวบรวมพลังทั้งหมด แล้วปล่อยพลังไปที่ฝ่ามือทั้งสอง เอา ๓...๒...๑... ผมกระโดดลอยตัวขึ้น กลับหัวลง กลั้นลมหายใจ ปล่อยพลังไปที่ฝ่ามือสองข้าง

เห็นพื้นดินแยกออกเป็นหลุมลึกลงไปเรื่อยๆ เริ่มอึดอัด ลมหายในที่กลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว เริ่มหายใจ ผมดำลงไปจนมิดตัว ดินถล่มกลบตัวผม ครูที่สอนช่วยกันดึงผมออกมา เนื้อตัวดำมอมแมม

วันนี้ไม่ผ่านครับ วันต่อมาหลวงปู่ให้เริ่มต้นใหม่ ให้สูดลมเข้าออกจนตัวเบา ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น แล้วเริ่มกระโดดขึ้นพลิกหัวกลับอย่างรวดเร็ว มือยันพื้นไว้นึกในใจว่า

เราจะถูกฝังกลางทางหรือเปล่านะ เท่านั้นแหละ หลวงปู่ปานใช้มือตบเท้าผมป๊าบ แรงมาก จนตัวผมเห็นช่องในดินเป็นรูกลวงลึกลงไปในดิน

ดำลงไป พบด่านข้างหน้าเป็นก้อนหินใหญ่มากขวางทางไว้ ผมว่าหินก็หินใช้หัวชนเข้าไปดีกว่าถูกฝัง แล้วตัวผมก็ทะลุก้อนหินไปได้ ใจดีขึ้นมาก

พบด่านอันตราย
...ดำต่อไปเจอด่านงูมาขวางทางไว้ตัวเบ้อเร่อ แถมยังคอยพ่นน้ำใส่หน้าอีก มาทราบทีหลังว่าเป็นพญานาค ผมว่าไหนๆ ก็มาแล้ว ตายช่างมัน หลับหูหลับตาชนเลย จนงูล่าถอยไป

จึงดำต่อไปอีก เจอด่านปูอีกแล้ว ไม่ใช่ปูธรรมดา ตัวใหญ่กว่าคนมาก คอยเอาคีมยักษ์ไล่หนีบ ถึงตอนนี้ใครที่ไม่แน่จริงไม่มีทางผ่าน ส่วนตัวผมนั้นผ่านไปได้ชนิดที่หวาดเสียวที่สุดที่เคยฝึกมา

ดำไปเรื่อยๆ พบอีกแล้วด่านท่องน้ำมาขวางไว้หลายสิบท่อน หนาๆ ทั้งนั้นเลย จะผ่านได้ยังไง ผมนึกถึงคำสอนของครูที่เริ่มฝึกมาตั้งแต่ต้นว่า

ถ้าพบเหตุการณ์อะไรขอให้มีสติ ควบคุมใจอย่าให้หวั่นไหว เท่านั้นแหละผมใช้หัวชนทีเดียวท่อน้ำแตกกระจาย

ผมผ่านได้สบายมาก ทีนี้คงโผล่เสียที ที่ไหนได้เจออีกแล้ว รากไม้ยักษ์ทั้งนั้น ทึบไปหมด ผมเกือบหมดแรงแล้วนะ

ถ้าหมดแรงตรงนี้คงไม่มีใครพบเห็นเราแน่ ผมว่าทนต่อไปเถอะในวินาทีสุดท้ายพุ่งตัวชนรากไม้อย่างแรง ทะลุโผล่ขึ้นมารีบสูดลมหายใจ

เอ๊ะ..ที่ไหนกันนี่ มีเสียงปรบมือ เสียงเชียร์ดังเจี๊ยวจ๊าว มีผู้หญิงหรือนางฟ้านำน้ำเย็นมาให้ดื่ม นำผ้าเย็นมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้

นางฟ้าว่าที่นี่ดาวดึงส์สวรรค์ชั้นที่ ๒ หายเหนื่อยหมดเลย ลืมความตายที่ผ่านมาชนิดเลือดตาแทบกระเด็น หน้าตาบวมปูด ตัวก็เลอะเทอะมอมแมม อ่อนเพลียทั้งกายและใจ โล่งอกที่รอดชีวิตมาได้

พอผ่านการฝึกคราวนี้ผมเริ่มสนุก ทดลองดำอยู่บนสวรรค์จนคล่องอยู่หลายรอบ แล้วหลวงปู่ปานก็ทำพิธีมอบเหรียญให้ทุกคนที่ผ่านวิชานี้

เมื่อทุกคนเรียนจบแล้ว ก็มีการแข่งขันดำดิน มีผู้เข้าร่วมแข่งขันมากมาย จากโลกมนุษย์ก็มี จากสวรรค์ก็มี เมืองลับแลก็มี

แข่งขันกันหลายระดับตามกำลัง ของผมอยู่รุ่นกลาง ยังมีรุ่นจิ๋วอีก ทางร่างกายนี่โตเท่ากัน แต่กำลังของแต่ละรุ่นจะไม่เท่ากัน กำหนดให้ดำจากภูเขาหิมาลัยไปยังเขาพระสุเมรุ

ดูซิครับ..ว่าระยะทางไกลขนาดไหน ผมกำลังใจดีเพราะมีกองเชียร์เยอะ กลุ่มอื่นก็มีเหมือนกัน พวกใครพวกมัน หลวงปู่ปานเป็นประธาน

เทพเจ้าชั้นต่างๆ เป็นกรรมการ การแข่งขันจบลงและตัดสินแล้ว ผมชนะชาวลับแลอย่างหวุดหวิด ติดตามมาที่ ๓ ชาวนวราช ถ้วยรางวัลใบใหญ่มาก สวยกว่าของโลกมนุษย์อีกด้วย ผมดีใจมาก

ต่อมาผมทดลองดำดินบนโลกบ้านเรา พอค่ำผมเริ่มแอบไปดำที่หลังบ้าน เที่ยวแรกหัวผมปักลงดินถูกก้อนหินรวบเลย ลงไปได้แค่มือสองข้าง ผมลองใหม่ ดำได้แค่คอ ลองใหม่อีกหลายๆ ครั้งก็ยังไม่มิดตัว

หลวงปู่ว่าดำอย่างนี้ทั้งปีก็ไม่ได้ ถอยมาตั้งหลักก่อน ใช้สมาธิให้มากๆ รวมจิตให้เป็นหนึ่ง ลองใหม่อีกทีซิ..!

ผมลองดูใหม่ ทบทวนที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดให้ทั้งหมด จนสมาธิดีเนื้อตัวเบาหวิว ผมกระโดดขึ้นพลิกหัวลงปรื้ดเดียว ผมทะลุผ่านอะไรเยอะแยะ

ทั้งดิน ทั้งหิน ทั้งรากไม้ ทั้งไส้เดือน ทั้งน้ำ โผล่พรวดขึ้นมาพบหลวงปู่ปานรออยู่ เออ! ใช้ได้ เอ้..กลับบ้านได้ละเดี๋ยวผู้ใหญ่ตามหา

ผมไปโผล่ห่างจากบ้านผมประมาณ ๒ กิโลเมตร ที่ริมแม่น้ำใต้สะพาน ขากลับผมเดินกลับครับ พลังหมด ดำดินกลับไม่ไหว

ดีที่เป็นวันเสาร์นะครับ ไม่งั้นไม่ได้ไปโรงเรียนแน่ เพราะเพลียจัดเลยนอนตื่นสาย.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 26/5/20 at 08:20

[ ตอนที่ 11 ]

บันทึกของ ด.ช.ดนตรี บุญเพิ่มพูน



โดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต


...เมื่อตอนที่แล้ว อ.อำไพ สุจนิล ได้ฝึกให้เด็กนักเรียน โรงเรียนดอนไชยวิทยา อ.งาว จ.ลำปาง ชื่อว่า ด.ช.นพดล ต่อกัน

แล้วเด็กก็ไปเจอเด็กที่ฝึกด้วยกันอีกคนหนึ่งข้างบน ชื่อ ด.ช.ดนตรี บุญเพิ่มพูน โรงเรียนบ้านบวกเปา อ.สันทราย จ.เชียงใหม่

ซึ่ง ด.ช.นพดล ต่อกัน ได้เล่าถึงการไปฝึกวิชาดำดินมาเล่าให้ฟังกันไปแล้ว ส่วนตอนนี้จะเป็นการเล่าของ ด.ช.ดนตรี บุญเพิ่มพูน ที่ได้ไปฝึกเรียนวิชาที่ชอบไม่เหมือนกัน ดังนี้


เรียนวิชาแพทย์
"...ผมชื่อเด็กชายดนตรี บุญเพิ่มพูน เป็นนักเรียนชั้น ป.๔ ของโรงเรียนบ้านบวกเปา อ.สันทราย จ.เชียงใหม่

ครูใหญ่ชื่อ นายเกตุ เขื่อนจินดาวงศ์ ผมได้ไปฝึกมโนมยิทธิครั้งแรก โดยคุณครูวิไลพรพาไปฝึกกับคุณครูอำไพ สุจนิล ที่โรงเรียนบ้านแม่โจ้ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนของผมประมาณ ๑๐ กิโลเมตร

...ครั้งแรกที่ไปฝึก เพื่อนและพี่ๆ ตั้งแต่ชั้น ป.๒ ถึง ป.๖ เขาได้กันเยอะ แต่ผมก็ไม่เห็นอะไรเลย แต่ผมก็ไม่ย่อท้อ พยายามฝึกอีกโดยนั่งสมาธิเองที่บ้าน และที่โรงเรียนในตอนเช้าและกลางวันที่ห้องพระของโรงเรียน และในวันศุกร์ชั่วโมงจริยะ

ส่วนในวันเสาร์วันอาทิตย์คุณครูพานักเรียนที่ฝึกได้ ไปฝึกทบทวนที่วัดโขงขาว ผมก็ไปด้วย เวลาผมเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เขาฝึกได้ เขาคุยกันอย่างสนุกสนาน ถึงสิ่งที่เขาได้ไปพบไปเห็น

และเขานำเพชร พลอย เงินเหรียญบาท ล็อคเก็ต กระดิ่ง ที่เขาเสกได้ เขาก็นำมาให้คุณครูและเพื่อนๆ ดู ยิ่งทำให้ผมตั้งใจฝึกมากยิ่งขึ้น

รวมเวลาที่ผมใช้ความพยายามตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม เกือบสี่เดือนเต็ม ผมก็สามารถฝึกวิชามโนมยิทธิได้

คุณครูชมผมว่าเป็นตัวอย่างของความมานะพยายาม ทำให้เพื่อนผมที่ท้อเพราะยังฝึกไม่ได้ ก็พยายามฝึกใหม่จนได้อีกหลายคน โดยดูผมเป็นตัวอย่าง

เมื่อผมฝึกได้ประมาณ ๑ อาทิตย์ ผมกำลังขายขนมในห้องสหกรณ์ของโรงเรียน ผมกำลังยืนพิงหน้าต่าง แบมือออกไป พอผมหุบมือเข้ามา ปรากฏว่า เป็นเงินใบละสิบบาท ๑ ใบ เพื่อนๆ และผมนั่งสมาธิตรวจดู ปรากฏว่าหลวงปู่ปานท่านให้ผม ผมดีใจมาก

วันที่ ๒๕ สิงหาคม คุณครูจะพาพี่ ป.๔ ป.๖ ไปกราบหลวงปู่ฤาษีที่วัดท่าซุง ผมก็อยากไป พอดีพี่บางคนเขาไม่ได้ไป คุณครูเลยให้ผมไปแทน ตอนนั้นผมฝึกได้อาทิตย์กว่าๆ จิตใจยังส่ายสมาธิยังไม่ค่อยดี ผมก็ได้มากราบหลวงปู่ที่วัด

ตอนลงรถคุณครูพาผมไปกราบพระรูปครูบาอาจารย์หลายองค์ พอผมกราบหลวงพ่อขนมจีน หลวงพ่อพรมน้ำมนต์ให้ผมจนหยดน้ำติดเสื้อผ้าเป็นจุดๆ ๒ คนกับพี่เอ็ด แต่คนอื่นไม่เป็น

ภาพซ้อนของครูบาอาจารย์ทุกๆ องค์ท่านยิ้ม และทักทายผมและทุกคนที่มา ผมดีใจมาก ไปกราบพระ ๔ พระองค์ด้วย เมื่อผมได้กราบตัวจริงของหลวงปู่ฤาษี ผมดีใจมากที่สุดในชีวิต

ผมได้ถวายสังฆทานกับท่าน และที่นี่ผมได้พบกับท่านแม่ศรี ซึ่งผมนั่งสมาธิดูทราบว่า ท่านเป็นแม่ของผมในสมัยพุทธกาล และผมยังได้พบกับเพื่อนในสมัยพุทธกาลอีกท่านหนึ่ง

ท่านทั้งสองได้ให้เงินผมคนละ ๑๐๐ บาท และผู้ใจบุญให้เงินผมอีก ๒ ท่านๆ ละ ๑๐๐ บาท รวมทั้งหมดเป็นเงิน ๔๐๐ บาท ผมได้นำเงินนี้ไปให้แม่และพ่อที่บ้าน พ่อและแม่ผมดีใจมาก ส่วนเงิน ๑๐ บาทที่หลวงปู่ปานท่านให้ แม่ผมก็นำไปใส่กรอบเก็บไว้บูชาที่บ้าน

ตอนที่ผมนั่งรถมาวัดท่าซุงขามา คุณครูอำไพนั่งข้างหน้า ผมเห็นเทวดามากันเต็มรถ และเห็นสัมภเวสีเกาะอยู่ข้างๆ หน้าต่างประตู และตามถนนก็มีแต่สัมภเวสี ผมก็แผ่เมตตาให้ สัมภเวสีไม่กล้าทำอะไร ขากลับคุณครูอำไพไม่ได้กลับด้วย

แต่ผมเห็นกายทิพย์ของหลวงปู่ฤาษีนั่งขัดสมาธิลอยอยู่ในรถ ตั้งแต่วัดท่าซุงจนถึงเชียงใหม่ พอถึงประตูบ้านคุณครู หลวงพ่อก็หายไปเลยครับ

ทีแรกผมไม่ทราบว่าเป็นใคร เพราะแสงสว่างจากท่านจ้ามากจนผมแสบตา ไม่สามารถมองดูด้วยตาเนื้อได้ และผมก็หลับๆ ตื่นๆ มาตลอดทาง จนกระทั่งคราวหลังผมกลับไปเที่ยววัดท่าซุงอีกด้วยกายทิพย์ ไปกราบท่าน

ท่านว่าทำไมไม่ทักทายกันบ้างในวันนั้น หลวงปู่คงเป็นห่วงพวกผมที่เป็นนักเรียนและคุณครูทั้ง ๒ ท่านที่กลับด้วยกันก็ยังไม่ได้มโนมยิทธิเลย ท่านเลยมาส่งจนถึงบ้าน ผมกราบขอบพระคุณมากครับ

เริ่มฝึกวิชากับครูบาอาจารย์บนสวรรค์
...เมื่อผมมาถึงบ้าน ผมก็ฝึกมโนมยิทธิทุกวัน ผมได้ขึ้นไปฝึกวิชากับครูบาอาจารย์บนสวรรค์ ผมขึ้นไปฝึก ๔ แห่ง คือที่หลวงปู่ปาน พระอุปคุต แม่ศรี และพระปัจเจกพุทธเจ้า

ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านเคยเป็นพ่อของผม ผมได้ลูกแก้วจากท่านแม่ศรี แหวนจากพระพุทธเจ้า ลูกปัด ดาบพรหมเพชร พรหมพลอย หลวงปู่ปานบอกว่า ถ้าผมเรียนจบแล้วให้ไปฝึกวิชากับพระพุทธเจ้าต่อ

ตอนเช้าของวันที่ ๗ กันยายน คุณครูให้นั่งสมาธิก่อนเรียนหนังสือ พอแผ่เมตตาเสร็จ ผมขอให้คุณครูให้เพื่อนๆ นั่งสมาธิต่ออีก เพื่อไปรับของวิเศษจากครูบาอาจารย์บนสวรรค์ เพราะแม่ศรีท่านสั่งผมมาบอก

เพื่อนๆ ผมก็ได้ของวิเศษกันทุกๆ คน มีแตกต่างกันไป เช่น ลูกแก้ว ๑ สี ๒ สี ๓ สี ถ้ามีหลายสีก็หลายประโยชน์ มีอาวุธต่างๆ เช่น ดาบ หอก กระบอง คทา กริช ดาบคู่ จักรเงิน จักรทอง พัดทอง ดอกบัววิเศษ ฯลฯ

บางคนได้ของวิเศษไว้ทีท้องตั้ง ๕ อย่าง บางคนก็เอาไว้ที่หน้าผาก ครูบาอาจารย์ท่านให้ไว้เพื่อปราบมาร แต่เพื่อนผมในห้องทุกคน รวมทั้งผมที่ได้เหมือนกันหมดคือ ผ้าสบงจีวรจากพระพุทธเจ้า

เริ่มรักษาโรคให้คุณครู
...จากการที่ฝึกมโนมยิทธิได้ทำให้ผมสามารถเห็นได้ว่า คุณครูประจำชั้นของผมป่วยมีหลายโรค ผมเลยขอพระ ๔ พระองค์ท่านช่วยรักษา คือที่ปอดมีตัวสีขาวๆ

ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะเป็นมะเร็ง พระท่านก็ผ่ากายทิพย์ของคุณครูและใช้มีดอันเล็กๆ ค่อยๆ ขูดตัวสีขาวๆ ออกจากปอด และลำไส้ที่ใกล้จะเน่าเป็นสีดำ ท่านก็ตัดออกและต่อกันในกายทิพย์ แต่กายเนื้อของคุณครูไม่เป็นอะไร

เมื่อผมบอกคุณครู คุณครูก็บอกว่า ความจริงที่ปอดของคุณครูมีจุดสีดำๆ เคยฉายเอ็กซเรย์ และเคยรักษาดูแล้ว แต่แพ้ยาก็เลยเลิกรักษา ผมก็เลยบอกว่าคืนนี้ ๓ ทุ่ม ให้คุณครูนั่งสมาธิ ผมจะขอแพทย์สวรรค์ไปรักษาให้

พอ ๓ ทุ่ม แพทย์ท่านก็ผ่ากายทิพย์คุณครู แหวะเอาปอดไปจุ่มน้ำสีเหลืองๆ ที่นำมาจากนรก และนำปอดของคุณครูไปย่างไฟ แล้วนำกลับไว้ที่เดิม

ผลปรากฏว่า คุณครูอ่อนเพลียและอยากจะอาเจียน หลังจากนั้นคุณครูก็สบายดี คุณครูก็ขอให้ผมช่วยลูกสาวคุณครูที่ผ่าไส้ติ่ง แต่เจ็บแผลไม่รู้จักหายสักที

ผมนั่งสมาธิตรวจดู ปรากฏว่ามีสัมภเวสีใช้เล็บยาวๆ ทิ่มแทงเกือบ ๑๐ ตัว ผมเลยขอหลวงปู่ปานช่วย หลวงปู่ท่านส่งเทวดาชั้น ๕ มา ๕ องค์ มาคอยช่วยเหลือ จนกว่าเหตุการณ์จะปกติ

ปรากฏว่าเทวดาทั้ง ๕ องค์ท่านไม่ยอมเข้าไปในโรงเรียนของพี่ อยู่นอกโรงเรียนรอ เพราะที่โรงเรียนนั้นเป็นโรงเรียนของคริสตัง ไม่มีเทพอยู่เลย มีแต่เจ้าที่และสัมภเวสี

ตอนนี้เทวดาทั้ง ๕ องค์ท่านกลับไปแล้ว แต่ผมเห็นพี่เขาตับอ่อนเริ่มแข็ง มีอาการเจ็บชายโครงเวลาวิ่ง ผมเห็นในสมาธิ ผมเลยขอแพทย์สวรรค์ไปช่วยรักษาให้ตอนเย็น แล้วตอนนี้พี่เขาก็แข็งแรงและสบายดี

ต่อมาคุณครูเทียมตามีอาการปวดทั่วตัว ให้ผมตรวจดู ผมมองเห็นเส้นเอ็นของคุณครูเป็นสีเขียวหมดทั้งตัว คืนนั้นผมก็เลยขอพระ ๔ พระองค์ ไปช่วยรักษา

ผมก็พาท่านไปที่บ้านคุณครูแต่ไม่พบ เจ้าที่บอกว่าคุณครูไปนอนเฝ้าคุณแม่ที่ป่วยปวดท้องเป็นก้อนๆ ที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค ผมก็พาท่านไป

พอไปถึงพระ ๔ พระองค์ ท่านก็รักษาคุณแม่ก่อน ท่านผ่ากายทิพย์เอาก้อนเนื้อและนิ่วในถุงน้ำดีออก แล้วรักษาคุณครูทีหลัง ตอนนี้คุณแม่และคุณครูก็หายดี และกลับมาอยู่บ้าน โดยคุณแม่ไม่ต้องผ่าตัดแล้วครับ

คุณครูเทียมตาท่านถามว่า แม่ของคุณครูป่วยบ่อยจะมีอายุยืนยาวไหม ผมบอกว่าสบายมากครับ เพราะเทียนชีวิตของคุณแม่ยังเหลืออีกตั้งครึ่งกิโลกรัม อยู่ได้อีกเป็นสิบปีเลยครับ ตอนนี้คุณแม่อายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว

ไปดูที่เก็บเทียนชีวิต
...พอตอนเช้าคุณครูให้นั่งสมาธิ ผมได้ชวนเพื่อนๆ หลายคน พากันไปดูที่เก็บเทียนชีวิตของแต่ละคน ซึ่งอยู่สุดแดนสวรรค์ต่อเขตกับนรก ผมและเพื่อนๆ จะเข้าไปดู ทำยังไงก็เข้าไม่ได้ เด้งกลับมาทุกที

แถมยังถูกแสงเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด แม้จะใช้อาวุธที่ครูบาอาจารย์ให้มาก็ยังเข้าไม่ได้ เพื่อนผมใช้ลูกแก้วจากแม่ศรีจนร้าวไปหมด พลังก็ไม่มีเหลือ จากที่เหาะได้ก็เลยต้องคลานกลับมาเข้าร่างตัวเอง

ต้องใช้เวลาอยู่หลายวันพลังจึงจะกลับคืน และร่างกายแข็งแรงเหมือนเดิม ผมเลยไปกราบเรียนถามท่านย่ามาว่า ทำไมผมเข้าไปดูที่เก็บเทียนชีวิตใกล้ๆ ไม่ได้ แม้ผมจะใช้อาวุธทุกอย่างที่มีอยู่ จนกระทั่งแหวนที่พระพุทธเจ้าให้ก็เข้าไปไม่ได้

ท่านบอกว่าที่นั่นเป็นเขตหวงห้าม ใครๆ จะเข้าไปไม่ได้ แต่ท่านให้ผมยืมอาวุธ คือโล่ห์เงินโล่ห์ทอง จึงจะสามารถเข้าไปได้ แต่ผมไม่ได้ใช้หรอกครับ จึงนำไปคืนท่าน ท่านบอกว่ายังไม่เอาคืนฝากผมไว้ก่อน

คุณครูเคยถามผมว่า ผมเข้านอนแต่หัวค่ำทุกวัน แล้วพาครูบาอาจารย์และแพทย์สวรรค์ไปช่วยรักษาคุณครูและคุณแม่ได้อย่างไรในตอนดึกๆ

ความจริงแล้วผมสามารถบังคับจิตของผมด้วยญาณแปด ถึงแม้ผมจะหลับแล้ว แต่จิตก็สามารถทำตามที่กำหนดไว้ได้

และผมสามารถเข้าฝันเพื่อนๆ ที่ยังฝึกมโนมยิทธิไม่ได้ เพื่อฝึกสอนเขาในฝันพาเพื่อนไปเที่ยวสวรรค์ เที่ยวนรกได้ ทั้งๆ ที่ผมก็หลับ เพื่อนก็หลับ

จากการที่ผมสามารถช่วยเหลือเพื่อนๆ และคุณครูได้ ก็เพราะผมมีครูบาอาจารย์ที่ประเสริฐ เป็นที่เคารพสักการะสูงสุด คือ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ หลวงปู่ปาน หลวงปู่ฤาษี หมอชีวก ครูบาอาจารย์ทั้งหลายคอยช่วยเหลือ และอบรมสั่งสอน

ตัวผมเองไม่มีอะไรดีหรอกครับ นอกจากความดื้อและซน ผมทำหน้าที่เพียงแต่ว่าคล้ายๆ รถยนต์บรรทุกพาครูบาอาจารย์ทั้งหลายไปรักษาคนป่วยเท่านั้นเองครับ

แต่ผมก็แอบจดจำตัวยา และวิธีรักษาไว้ด้วยทุกครั้ง ผู้ที่ผมจะช่วยเหลือได้นั้น ต้องเป็นคนดีนะครับ ถ้าเป็นคนไม่ดี พระท่านก็ไม่ช่วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นคนชั่ว ทำแต่ความไม่ดีแล้วยังขี้ขออีก ท่านแม่ศรีไม่ชอบ ถ้าเป็นกฎแห่งกรรม ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านก็ช่วยไม่ได้ครับ

จากการที่ผมฝึกมโนมยิทธิได้ ทำให้ผมสามารทำความดีได้แผ่นทองคำเพิ่มมากขึ้น วิมานของผมก็หลังใหญ่เพิ่มขึ้น

หลวงปู่ปานท่านก็ชมผมว่า ได้ช่วยชีวิตคนที่เกือบตาย คือครูเทียมตา เพราะว่าวันที่ ๑๔ กันยายน หลังวันเลือกตั้ง คุณครูมาโรงเรียนและบอกผมว่าไม่สบาย หายใจไม่ออก ปวดไปหมดทั้งตัว หน้าตาดำคล้ำ หัวใจเหมือนถูกบีบใจจะขาดอยู่แล้ว ขอให้ผมช่วย

ผมเห็นวิญญาณปอบหลายตัว ดุร้ายมาก กำลังรุมกระหน่ำคุณครูด้วยเหล็กแหลมและอาวุธต่างๆ บางตัวไม่มีหัวหิ้วหัวที่ขาด บางตัวควักไส้ออกมา บ้างทำหน้าตาน่ากลัวหลอกหลอน จนน้อง ป.๒ ห้องของคุณครู ซึ่งมีตาทิพย์เหมือนผม วิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง

ผมเจรจาขอให้พวกมันออกไปก็ไม่ยอม ตัวหัวหน้าไปพาพวกมันมาอีกเกือบ ๒๐ คน เพราะมันถือว่ามันก็มีวิชาอาคมเหมือนกัน

ผมก็เลยขอเพื่อนๆ และพี่ๆ ที่มีอาวุธประจำตัวมาช่วยกัน และผมก็จุดเทียนขอครูบาอาจารย์มาช่วย หลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีก็มาช่วยไล่มันก็ไม่ไป จะเอามีดมาฟันผมและเพื่อนๆ

หลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีเลยจับมัดไว้ บางตัวก็จะเอามีดมาฟันผมและเพื่อน ผมเลยเอาสมเด็จโต้...แช่ทำน้ำมนต์ให้คุณครูดื่ม และใช้สมเด็จโต้สู้จนพวกมันตายไป ๔ คน ที่เหลือมันก็วิ่งหนีไป

ผมก็ส่งวิญญาณโดยแผ่เมตตาให้ บางคนก็มาขอบคุณที่พ้นจากสภาพปอบได้ไปเป็นเทวดา บางคนก็ต้องส่งไปนรก จากการที่คุณครูเทียมตาหายป่วย หายจากถูกปอบทำร้าย

คุณแม่สบายดีไม่ต้องผ่าตัด และคุณครูยังมีโชคจากการขายที่ดิน คุณครูเลยซื้อจักรยาน BMX ให้ผมหนึ่งคันครับ จากการที่ผมฝึกมโนมยิทธิได้

ทำให้ผมระลึกชาติได้หลายสิบชาติ เคยตกนรก เคยอยู่บนสวรรค์ ชาติสุดท้ายก่อนที่จะมาเกิด ผมเคยอยู่บนสวรรค์ชั้นที่ ๓ ชั้นยามา วิมานของผมบนชั้น ๓ ก็ยังมีครับ และมีอยู่ที่ชั้นพระนิพพานอีก

เมื่อผมไปพบท่านยามา ท่านบอกว่าให้ไปทำความดีมาใหม่ แล้วท่านจะให้ผมขึ้นมาอยู่สวรรค์เหมือนเดิม แต่ผมคงไม่เอาแล้วครับ ชาตินี้ผมขอเป็นชาติสุดท้าย และจะไปพระนิพพานแล้วครับ เพราะชั้นพระนิพพาน วิมานของผมใหญ่โตสวยงาม สว่างกว่าของชั้นที่ ๓ ครับ

จะเห็นได้ว่าผมไม่ได้ไปเรียนวิชาเหาะเหิน ล่องหน หายตัว ดำดิน เสกของ ฯลฯ อะไรต่างๆ เพราะผมไม่มีเวลา ส่วนใหญ่ผมเอาเวลาไปเรียนวิชาแพทย์แขนงต่างๆ แต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ได้วิชาเหล่านั้นนะครับ ผมได้หมดทุกวิชา เพียงแต่ผมไม่มีเวลาฝึกซ้อมเท่านั้นเอง

หลังจากที่ผมรับอาสาพาครูบาอาจารย์ของผมไปช่วยรักษาคนเจ็บป่วยหลายราย ทำให้ผมได้เลื่อนตำแหน่งจากเทวดาธรรมดาไปเป็นเทพวารุต ที่แปลว่า "ไวปานลมกรด"

ตามหาพ่อปู่โกมารภัจจ์
...มีอยู่คืนหนึ่ง ผมไปตามหาพระอาจารย์ปู่โกมารภัจจ์ เพื่อช่วยรักษาคนไข้ ท่านไม่อยู่ท่านไปที่วัดท่าซุง เพื่อรักษาดูแลหลวงปู่ฤาษี ผมก็ตามไป

พอเข้าเขตวัดก็มีจักรขว้างมาเกือบถูกตัวผม หลบเกือบไม่ทัน ปรากฏว่าเป็นท้าวมหาราช ผมรีบกราบขออนุญาตเข้าเขตวัด พอจะเข้าไปห้องหลวงปู่ก็เหมือนถูกไฟดูดอย่างแรง ผมก็ขออนุญาตอีกถึงเข้าไปได้

ผมรอจนพระอาจารย์ปู่เสร็จธุระ ผมพาท่านไปเชียงใหม่ ท่านว่าเดี๋ยวคนโน้นเรียก เดี๋ยวคนนี้เรียก คนในโลกมนุษย์เจ็บป่วยกันมาก เพราะในอดีตทำบาปกรรมไว้

โดยเฉพาะผิดศีลข้อที่ ๑ พระอาจารย์ถ่ายทอดวิชาแพทย์ทุกอย่างให้ผมจนหมด อ้อ! มีคนอื่นๆ ไปเรียนกับผมด้วย

พอเรียนจบ ผมก็เริ่มรักษาคนที่อยู่ใกล้ตัวก่อน เช่น คุณแม่เจ็บเข่าก็หาย คุณยายก็หาย และผมก็ไปที่วัดโขงขาวก็มีคนเขียนชื่อที่อยู่ พร้อมกับบอกโรคให้ ผมไปรักษาให้ในสมาธิ ส่วนมากจะหาย เว้นแต่โรคบางโรครักษาไม่หาย

ปะทะกับหมอผี
...วันหนึ่งกลับจากวัดก็ไปแวะบ้านคุณครูประจำชั้นของผม พบหลานชายครูถูกตะกรุดสลักชื่อผู้หญิงฝังอยู่ในสมอง และมีวิญญาณกำกับอยู่

ผมถามคุณครูว่า จะเอาออกไหม คุณครูว่าเอาออกเถอะ ผมจึงใช้แสงที่มีอยู่ในตัวทำลายลง วิญญาณที่สิงอยู่ก็ออกไปบอกหมอที่ทำ คนทำเขาโกรธมากที่เอาคนมาทำลายอาคมของเขา เขาจึงคิดแก้แค้น

กลางคืนเขาจะมาที่บ้านอีก ผมบอกให้ทุกคนในบ้านคุณครูสวดมนต์ พอถึงเวลาหมอผีมาพร้อมกับอสุรกาย ๘ ตัว จะเข้ามาในบ้าน ผมกับลูกชายครูดันไว้ อสุรกายมีแรงมาก กระแทกประตูหลายครั้งก็เข้าไม่ได้ สู้กันประมาณ ๑๐ นาทีก็กลับไป

คืนที่ ๒ หมอร้ายส่งควายธนูมาอีก ตัวโตเท่ารถบรรทุก ตาแดง มีแรงมาก วิ่งมากระแทกประตู แต่กระดอนกลับ เพราะคุณครูเอายันต์เกราะเพชรมาปิดไว้ตรงประตู

พอเข้าประตูบ้านไม่ได้ มันก็หันมาจะเข้าประตูข้างๆ ผมคอยทีอยู่แล้วก็ใช้ดาบที่ได้มาฟันคอขาดเลย วิญญาณที่เป็นควายเขาก็เป็นอิสระ

เขาขอบคุณผมที่ช่วยให้เขาพ้นจากอำนาจของหมอผี วิญญาณเขาบอกว่าเขาไม่อยากทำ แต่ถ้าไม่ทำก็ร้อนไปทั้งตัวจึงต้องทำ

คืนที่ ๓ หมอร้ายมาเองเลย พร้อมกับกุมารแดง รูปร่างคล้ายกุมารทอง แต่เครื่องทรงเป็นสีแดง แรงมากกว่าควายธนู กระแทกประตูหลายครั้ง

ผมจึงใช้วิชาที่เรียนมาจากพระสุริยเทพ ใช้นิ้วชี้ไปที่กุมารแดงซึ่งทำมาจากหุ่นฟาง ไหม้หมดเลย เจ้าหมอร้ายแพ้กลับไป แต่คุณครูประจำชั้นจิตใจแย่ลงมาก ผมจึงไปกราบขอหลวงปู่ปานช่วยเจรจาสงบศึก

หลวงปู่ก็ไปตอนกลางคืน เจรจาอยู่นาน หมอร้ายไม่ยอม เขาบอกว่าเขาไม่เคยแพ้ใครมาก่อน และไม่เชื่อว่า คนอย่างผมจะทำลายอาคมของเขาได้

คืนที่ ๔ มาอีก ผมก็ไปขอท่านท้าวมหาราชมาช่วย ท่านก็มาแต่ท่านยืนดูเฉยๆ ปล่อยให้ผมรบกับหมอร้ายคนเดียว จนเกือบจะเสียท่าแล้ว ผมฮึดสู้จนมันแพ้กลับไป

คืนที่ ๕ ผมมีความรู้สึกว่าพลังของผมเกือบหมดแล้ว ผมก็ไปขอความช่วยเหลือจากคุณครูที่ฝึกสมาธิให้ผม ท่านให้ของที่มีพุทธานุภาพมาก ผมจึงปราบบริวารของหมอร้ายตายหมด และผมก็เห็นคุณครูที่ฝึกสมาธิให้ผมมาช่วยด้วย จนหมอผีร้ายแพ้กลับไป

คืนที่ ๖ ผมรอจนดึก ประมาณตี ๒ ทุกคนหลับหมด หมอผีก็มา มันใช้อาคมสะกดเพื่อนผมและเทวดาที่บ้าน ปล่อยให้ผมสู้คนเดียว ผมแพ้ครับ ถูกตีที่หัว

หมอผีเกือบจะเข้าบ้านอยู่แล้ว พอดีดาวเหนือขึ้นเสียก่อน หมอผีจึงกลับไป ผมเสียท่าคลานไปที่วิทยาลัยพละเชียงใหม่ ไปขอพลังจากท่านพระวิษณุเทพ ซึ่งท่านแบ่งภาคมาที่นั่น ผมจึงมีแรงกลับถึงบ้าน ตื่นขึ้นมาหัวผมบวมปูดเป็นลูกมะกรูดและเป็นไข้ตลอดวัน

คืนที่ ๗ ผมให้ครูประจำชั้นของผมจุดเทียนเป็นค่ายกล ที่ผมไปกราบเรียนถามพระอุปคุตมา และผมก็ไปตามเพื่อนผมเป็นเทพ ลูกศิษย์พระสุริยเทพมาช่วยกันหลายท่าน

ได้รับเลื่อนตำแหน่งบนสวรรค์
...คราวนี้หมอผียกมาเป็นกองทัพเลย มีหมดทั้งกุมารแดง อสุรกาย วิญญาณต่างๆ ผมรีบไปเพิ่มพลังจากท่านเอราวัณข้างบน กำลังผมดีขึ้นมาก จึงได้ต่อสู้กับพวกนั้นอย่างดุเดือด เทวดานางฟ้าก็มาดูกันเยอะแยะ

ผมคิดว่าท่านคงมาให้กำลังใจผม ที่ไหนได้จะมาดูว่า ถ้าผมแพ้จะมาเอาเครื่องบรรณาการคืน ผมเสียดายของมีค่าเหล่านั้น เลยฮึดสู้จนหมอนั่นแพ้

แต่ผมไม่ฆ่าเขา ปล่อยกลับไป และได้ส่งวิญญาณอสุรกาย ภูตผีต่างๆ ไปตามทาง บางคนก็ไปสวรรค์ บางคนก็ไปผุดไปเกิด บางคนก็ไปรับกรรมในนรก

ทุกคนมาขอบคุณที่ผมช่วยให้พวกเขาให้เป็นอิสระจากหมอร้ายตัวนั้น การที่ผมไปสู้รบกับพวกเหล่าร้ายนั้น มันเหนื่อยมากครับ ผมเพิ่งทราบว่ามีวิธีที่ง่ายกว่านั้น คือให้คนป่วยที่ถูกคุณไสยไปรดน้ำมนต์กับพระที่มีคุณธรรมสูงก็ได้

อาคมต่างๆ ก็จะถูกทำลาย คนป่วยก็จะหาย การที่ผมรักษาคนและรบชนะ บนสวรรค์ก็เลื่อนตำแหน่งให้ผม จาก "เทพวารุต" เป็น "เทพเจ้าอัตตารุต"

ไปทอดกฐินที่วัดท่าซุง
...เมื่อวันที่ ๑๗ – ๑๘ ตุลาคม ผมได้ไปร่วมทำบุญทอดกฐินที่วัดท่าซุง ผมเห็นพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ เทพเจ้าทั้งหลาย พากันมาร่วมทำบุญในงานกฐินมากมาย

ผมได้พบกับเพื่อนๆ ที่เป็นเทวดาชั้นต่างๆ และเล่นด้วยกันสนุกสนานมาก มีผู้ใจบุญมอบเงินให้เป็นทุนการศึกษาของผมกับเพื่อน

มีหลวงลุงที่วัดให้พระแก้วไว้บูชา ได้น้ำมันชาตรี ได้มีดหมอชาตรีไว้รักษาคนด้วย รายชื่อผู้ป่วยที่ผมได้รับ ผมก็ไปรักษาให้ในสมาธิ ระยะแรกในต่างจังหวัดนี่ ยังหลงทาง หลงซอยอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้ชำนาญเส้นทางแล้วครับ

ตอนที่ผมมาวัดท่าซุง ผมรู้จักกับพี่บัญชา นักเรียนบ้านแม่เตาไหชั้น ป.๖ ขอให้ผมช่วยรักษาให้แม่ที่เป็นโรคปวดหัว ผมก็ไป พอตอนกลางคืนผมไปด้วยกายทิพย์ ตอนเป็นกายทิพย์นี่ เป็นร่างของเทพผู้ใหญ่

พี่บัญชาก็เป็นร่างเทพผู้ใหญ่ ต่างคนก็ต่างจำกันไม่ได้ เลยสู้กันใหญ่ เข้าบ้านพี่บัญชาไม่ได้ พี่บัญชาไม่ให้ผมเข้า เจ้าที่ก็มาห้ามบอกว่า

คุณสองคนจำกันไม่ได้หรือ คนนี้ชื่อดนตรี คนนี้ชื่อบัญชา แล้วเราสองคนก็หัวเราะกัน แต่แหม..พี่บัญชานี่มีกำลังมาก ทำเอาผมเกือบแย่...

เวลาผมมีปัญหาอะไร ผมก็ไปกราบเรียนถามพระอาจารย์ของผมบนสวรรค์ ท่านก็จะแนะนำให้คำตอบหมด

ขึ้นไปขโมยตัวยาบนสวรรค์
...มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมรักษาคนไข้ที่จำเป็นต้องใช้สมุนไพรบนสวรรค์ ซึ่งผมไม่มี ผมเห็นของพระอาจารย์ปู่โกมารภัจจ์มีมาก

ท่านกำลังคิดค้นยารักษาโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งอยู่ ผมไปที่ไว้สมุนไพรของท่านและไม่มีใครอยู่ ผมจึงถือโอกาสหยิบเอามารักษาคนไข้ของผม

วันต่อมาท่านเรียกผมไปพบ และจับตัวผมส่งไปให้หลวงปู่ปาน หลวงปู่เทศนาอบรมผมเรื่องการหยิบยืมของโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของตั้ง ๒ วัน ๒ คืน จนผมเข็ด

หลังจากที่ผมได้ตำแหน่งเทพเจ้าอัตตารุตแล้ว ผมก็ทำหน้าที่ของผม อีกไม่นานก็จะได้เลื่อนเป็นตำแหน่ง "เทพเจ้าสิงหรุต"

เดี๋ยวนี้ผมทราบแล้วว่า เทพเจ้าทั้งหลายจะได้เข้าชั้นพระนิพพานนั้นยากเท่าๆ กับเทพธรรมดา เพราะเทพเจ้ามีภาระหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์และมีภาระอื่นๆ อีกหลายอย่าง ตามตำแหน่งหน้าที่ของแต่ละท่าน

ถ้าผมรับตำแหน่งใหม่ก็ต้องเลิกรักษาคน เพราะตำแหน่งใหม่งานหนักขึ้น คงไม่มีเวลารักษาคน ผมก็ไปกราบขอคำปรึกษาจากหลวงปู่ปาน

หลวงปู่บอกว่า เป็นถึงเทพเจ้าแล้ว จะต้องคิดและตัดสินใจเอาเอง ผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อน เพราะโรคภัยไข้เจ็บก็ยังมีมากอยู่ ผมจึงได้ความคิดขึ้นมาแล้วว่าจะทำอย่างไรดี

หลวงปู่ฤาษีมรณภาพ
...ต่อมาผมทราบข่าวที่ทำให้เสียใจมากๆ จนแทบตกจากเก้าอี้ คือการมรณภาพของหลวงปู่ฤาษีของผม ผมรีบไปกราบร่างหลวงปู่ที่วัดท่าซุงทันที เห็นทั้งคนทั้งเทวดากำลังร้องไห้ ผมเองก็กลั้นไว้เกือบไม่อยู่

ในงานบำเพ็ญกุศลทุกๆ คืนที่ผ่านมา ผมก็ไปทุกวัน มีพระพุทธเจ้าองค์ปฐมเสด็จมาเป็นประธานทุกๆ วัน บนสวรรค์ไม่ค่อยมีใครอยู่ เงียบเหงาผิดปกติ อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังพบหลวงปู่ทุกวันบนพระนิพพาน

ระยะนี้พวกผมก็โดนพวกผีปีศาจร้ายเล่นงานหนัก มาท้าตีท้าต่อย ต่อสู้กันอยู่ทุกวัน เขาต้องการทำลายคนดี และไม่ต้องการให้ใครทำความดี อยากให้ไปเป็นพวกเขา คอยกลั่นแกล้งทำร้ายผู้คน

พวกบริวารของหัวหน้าปีศาจมีฤทธิ์มากเหมือนกัน ผมก็สู้ได้โดยไม่ต้องออกแรงมาก แต่ตัวหัวหน้าผมยังสู้ไม่ได้ รอให้ผมได้ตำแหน่งเทพเจ้าสิงหรุตก่อน ฝีมือจึงจะเท่ากัน

ถ้าผมรับตำแหน่งใหม่เมื่อใด ผมต้องเลิกรักษาคน เพราะผมจะต้องทำหน้าที่อื่น เพื่อป้องกันพระพุทธศาสนา ตามหน้าที่ของบนสวรรค์ท่านจะกำหนดให้

ครูบาอาจารย์ของผมมีหลายท่านคือ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย และเทพเจ้าอีกหลายท่าน

ทีแรกผมคิดว่าจะไม่รับตำแหน่งใดๆ อีก ผมจะสร้างบารมีเพื่อไปรออยู่ที่ชั้นดุสิต แต่เหตุการณ์ต่างๆ เปลี่ยนไป ตัวผมเองก็คงจะต้องเปลี่ยนไปด้วยครับผม.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 28/5/20 at 08:48

[ ตอนที่ 12 ]

บันทึกของ ด.ญ.วิมลศรี เปรมวัฒนะ



โดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต


...ตามที่ได้นำบันทึกการฝึกมโนมยิทธิ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ อ.อำไพ สุจนิล จากโรงเรียนบ้านแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ มาให้อ่านกันก็ได้หมดเพียงแค่นี้

ก่อนที่จะไปพบกับเด็กนักเรียน โรงเรียนแม่เตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ฝึกสอนโดย อ.นฤมล ว่านเครือ เป็นลำดับต่อไป

ผู้เขียนใคร่จะนำประสบการณ์ของเด็กนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ บ้าง เช่นเด็กนักเรียนที่จังหวัดนครสวรรค์ ได้บันทึกถึงผลการฝึกมาเล่าสู่กันฟังดังนี้


เรื่องมโนมยิทธิ
เด็กหญิงวิมลศรี เปรมวัฒนะ (ป.๖/๒)
"...หลวงพ่อแห่งวัดท่าซุง มีพระคุณต่อข้าพเจ้ามากที่นำวิชามโนมยิทธินี้มาสอนแก่ข้าพเจ้า จนทำให้ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวไหนต่อไหนได้

และคุณครูอุสา ศวิตชาต ก็นำวิชามโนมยิทธินำพวกข้าพเจ้าและเพื่อนของข้าพเจ้า ไปเที่ยวที่พระจุฬามณี

ได้กราบพระเขี้ยวแก้วและพระเมาลี ไปเที่ยวสระโบกขรณี สวนนันทวัน สวนจิตรลดาวัลย์ สวนดุสิต ป่าหิมพานต์ และไปดูนารีผล

ไปดูนรกของผู้ผิดศีล ข้อ ๑ – ข้อ ๕

ไปเที่ยวสวรรค์เขตแรก ไปกราบท่านท้าวมาลัย สวรรค์ชั้นต่อไป คือ นิมมานนรดี ไปกราบหลวงปู่ปาน และไปกราบพระศรีอาริยเมตไตรยที่สวรรค์ชั้นดุสิต

ไปกราบท่านท้าวยามาที่คุมสวรรค์ชั้นยามา ไปกราบพระอินทร์ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเที่ยวบ้านตัวเอง (ขณะฝึกที่โรงเรียน) ไปสำรวจในร่างกายตัวเอง

ระลึกชาติว่าก่อนที่จะมาเกิดเป็นคนในชาตินี้ เคยเกิดเป็นอะไรมาก่อน ขอดูชาติที่เคยรวยที่สุด จนที่สุด ขอดูว่าชาติก่อนที่จะมาเกิดเป็นคนรวยที่สุด จนที่สุดเราเคยทำบุญอะไรไว้บ้าง

ดูเหตุการณ์ในอดีต ตอนพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถี ขอบารมีพระพุทธเจ้าขอเห็นภาพชาวบ้านบางระจัน ขอรับสัมผัสว่าใครได้เกิดในสมัยนั้นบ้าง

ขออาราธนาบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอดูสภาพประเทศไทยในอีก ๑๐ ถึง ๒๐ ปีข้างหน้า ว่าจะเจริญเพียงใด

ขอบารมีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไดโปรดช่วยให้เห็นภาพอาชีพของแต่ละคนเมื่อโตขึ้นว่า ควรจะประกอบอาชีพอะไร

ขอบารมีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริงว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะตายเมื่ออายุเท่าไร เป็นอะไรตาย ก่อนตายมีอารมณ์ใจอย่างไร

ถ้าของใครก่อนตายมีความทรมานมากๆ ก็ขอบารมีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยขออย่าให้มีความทุกขเวทนา ให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระนิพพานได้ก่อนตาย

เมื่อเรียนเกี่ยวกับเรื่องจักรวาลและอวกาศ ก็ได้ขอบารมีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปสำรวจดวงจันทร์ ไปดูยานอวกาศของสหรัฐที่ทิ้งไว้บนดวงจันทร์ ไปดูธงชาติของสหรัฐ ไปดูพื้นผิวของดวงจันทร์ ดูสิ่งที่อยู่ในพื้นผิวของดวงจันทร์

ไปดูดวงดวงอาทิตย์และดวงดาวอื่นๆ ว่า ดาวดวงใดมีคนอยู่บ้าง ไม่มีคนอยู่เลยบ้าง ไปดูรอบๆ โลกของเราว่ามีประเทศอะไรบ้าง

แล้วก็ไปอินเดีย ไปดูสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าจะฝึกมโนมยิทธินี้ให้เก่ง เพื่อจะได้ไปเที่ยวให้ได้มากกว่านี้

ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณหลวงพ่อ ที่นำวิชามโนมยิทธินี้มาสอนแก่ข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า เมืองพระนิพพานนี้มีจริง

นอกจากเมืองพระนิพพานแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าได้ไปเห็นพระพุทธเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่าสรรค์นรกมีจริง

และเมื่อข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวที่สวรรค์ ทำให้ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า คนในสวรรค์ทำบุญอะไรบ้าง

และเมื่อไปในนรก ก็รู้ว่า พวกที่อยู่ในนรกทำความชั่วอะไร จึงมาตกนรกขุมไหนบ้าง

และข้าพเจ้ายังได้รู้ว่า วิมานของข้าพเจ้าเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าจะรักษาวิชามโนมยิทธินี้ไปจนตราบชั่วชีวิตของข้าพเจ้า.."

ด.ช.อานนท์ แจ้งจิต (ป.๖/๑)
...เมื่อก่อนนี้ข้าพเจ้าเคยคิดว่า การเกิดเป็นมนุษย์นี้ มีความสุขสบายทุกอย่าง และข้าพเจ้าเคยคิดว่า ร่างกายของมนุษย์สะอาดสวยงาม เป็นร่างกายที่ละเอียดมาก

เมื่อข้าพเจ้าได้ไปฝึกมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าก็รู้ว่า นรก สวรรค์มีจริง และหลวงพ่อยังทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า คนเราเกิดมามีแต่ความทุกข์ และร่างกายของมนุษย์สกปรกมาก

หลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า ร่างกายไม่ใช่ของเรา และหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า ยังมีกายที่สวย สะอาด และยังมีวิมานที่น่าอยู่กว่าโลกมนุษย์อีก ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจมาก

และเมื่อข้าพเจ้าเดินเข้าไปในวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจสถานที่นี้มาก เพราะประดับด้วยกระจกสวยงามมาก และมีดวงไฟ

เมื่อเปิดดวงไฟแล้ว แสงไฟกระทบกับกระจกทำให้ดูสวยงามมาก ข้าพเจ้าขอกราบแทบเท้า พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นที่สุด ที่หลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า สิ่งต่าง ๆ ในโลกมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้

ด.ญ.ปราณี สระแก้ว (ป.๖/๒)
...ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ไปวัดท่าซุง ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกชอบ และอยากไปอีกหลาย ๆ ครั้ง ข้าพเจ้าไปฝึกมโนมยิทธิที่วิหาร ๑๐๐ เมตร

พอข้าพเจ้าเดินเข้าไปในวิหาร ๑๐๐ เมตร ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกร่มเย็นอบอุ่นเหมือนอยู่ในสวรรค์

ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิ ทำให้ข้าพเจ้ารู้และเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะได้ไปพบกับคุณแม่ของข้าพเจ้าที่ล่วงลับจากโลกนี้ไปแล้ว

เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๓๔ ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขเหมือนกับว่า คุณแม่ของข้าพเจ้าอยู่เคียงข้างข้าพเจ้าตลอดเวลา

ตอนที่ข้าพเจ้าได้ยินเพื่อน ๆ ที่ไปฝึกมโนมยิทธิแล้วกลับมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าไม่เชื่อ แต่พอข้าพเจ้าไปฝึกบ้างและได้เห็นกับตา ข้าพเจ้าก็เกิดศรัทธาและเชื่อทันที

ตั้งแต่ข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิ ทำให้ข้าพเจ้ามีจิตใจร่มเย็น ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขกับการฝึกมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าประทับใจในความสามารถของพระเดชพระคุณหลวงพ่อยิ่งนัก

เหตุใดเราจึงไม่มาร่วมกันบำเพ็ญกุศล เพื่อให้ได้ความสงบ และแสงสว่างทางธรรม ลูกขอกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่ทำให้ลูกมีความสุข ในแสงธรรมในการฝึกมโนมยิทธิ

ด.ญ.นิรัชรา เดชาภูมิ (ป.๖/๓)
...ข้าพเจ้าเคยรู้สึกไม่เชื่อเรื่องฝึกมโนมยิทธินี้ ว่าจะขอเห็นภาพเรื่องราวอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนรกหรือสวรรค์

แต่พอข้าพเจ้าได้มาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ข้าพเจ้าก็ได้ไปเห็นนรกและสวรรค์

ข้าพเจ้าก็ได้เห็นอย่างลึกซึ้งว่า นรกและสวรรค์เป็นอย่างไร ข้าพเจ้าได้ไปดูวิมานของตัวเอง ข้าพเจ้าได้ไปเห็นวิมานตัวเองแล้วว่า อยู่ที่ไหน

ข้าพเจ้าจะทำความดีให้มากขึ้นจะได้ไม่ต้องไปอยู่นรก พอข้าพเจ้าออกจากมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าได้ไปเดินเที่ยวในบริเวณวัดท่าซุง

ข้าพเจ้าเดินดูไปทั่ว ๆ เห็นวัดท่าซุงอย่างกับเป็นสวรรค์ ข้าพเจ้าได้เข้าไปที่ตึกรับแขก เห็นหลวงพ่อหน้าตาเบิกบาน

ข้าพเจ้านึกในใจว่า ถ้าหลวงพ่อแห่งวัดท่าซุง ไม่ได้นำวิชามโนมยิทธิมาสอนทุก ๆ คน คงไม่ได้รู้ว่า นรกและสวรรค์เป็นอย่างไร ก็จะทำชั่วกันมากขึ้น ส่วนคนดี ๆ ก็มีอยู่แล้วก็จะทำความดียิ่ง ๆ ขึ้น

หลวงพ่อแห่งวัดท่าซุง มีบุญคุณต่อข้าพเจ้ามาก เนื่องจากหลวงพ่อได้ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นนรกและสวรรค์เป็นอย่างไร

ข้าพเจ้าจะได้ไม่ทำชั่วผิดศีล ๕ ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างมาก

ด.ญ.ศิริจรรยา ศรีสุวรรณ์ (ป.๖/๓)
...ลูกมีความประทับใจมาก ตอนที่ไปฝึกมโนมยิทธิ ทำให้ลูกได้ไปเที่ยวพระจุฬามณี และได้ไปกราบหลวงปู่ปาน

เพราะทำให้ลูกมีความสบายใจมากยิ่งขึ้น และทำให้ได้บุญเพราะลูกได้ไปสอนน้อง และเพื่อนบ้านทำให้วิมานของลูกใหญ่ขึ้น.


นักเรียนโรงเรียนเขากบ (วิวรณ์สุขวิทยา)

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 31/5/20 at 05:48

[ ตอนที่ 13 ]

บันทึกของ ด.ญ.จารุณี มณี



โดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต


...ผู้เขียนได้นำผลการฝึก "มโนมยิทธิ" ของเด็กนักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ เช่นที่ โรงเรียนเขากบ (วิวรณ์สุขวิทยา) จ.นครสวรรค์

แล้วก็ที่ จ.เชียงใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มลูกศิษย์ของ อ.อำไพ สุจนิล โรงเรียนบ้านแม่โจ้ เริ่มฝึกวันแรก เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๕ ฝึกกลุ่มเล็กๆ ประมาณ ๗ – ๘ คน ตามที่ได้นำมาให้อ่านผ่านไปแล้ว คือ

ด.ญ. พัชราภรณ์ ขอดแก้ว
ด.ญ. สุมาลี ปัญโญ
ด.ญ. อำพร ภูเขา
ด.ญ. สุนทรีย์ ชัยดารา
ด.ช. ดนตรี บุญเพิ่มพูน
ด.ช. ธีรยุทธ จันทร์แดง
ด.ช. นพดล ต่อกัน

ต่อไปจะเป็นเด็กนักเรียน โรงเรียนแม่เตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ฝึกสอนโดย อ.นฤมล ว่านเครือ มาเล่าสู่กันฟัง ชุดนี้มี ๓ คน คือ

ด.ช. บัญชา กันทะวงศ์
ด.ญ. จารุณี มณี
ด.ญ. ไพลิน บุญมา


การฝึกสอนมโนมยิทธิของข้าพเจ้า
อ.นฤมล ว่านเครือ
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...ไปสะเดาะเคราะห์และปลุกเสกพระคำข้าวที่วัดท่าซุง หลังจากกลับจากวัด วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ไปโรงเรียนวันแรก บอกนักเรียนว่า ถ้านักเรียนอยากไปเที่ยวสวรรค์ ให้นักเรียนสมาธิดีๆ แล้วครูจะพาไปเที่ยว ก็ให้นักเรียนนั่งสมาธิ

เมื่อออกจากสมาธิแล้วถามนักเรียนว่า “ดีไหม...นั่งสมาธิ สบายไหม ?”

นักเรียนทุกคนตอบว่า “ดี... สบาย มีความสุขดี”

๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...๑๕.๐๐ น. วันนี้พานักเรียนชั้น ป.๖ จำนวน ๑๒ คน นั่งสมาธิ สมาทานพระกรรมฐานเหมือนที่หลวงพ่อสอน พอเสร็จแล้วก็เริ่มนั่งสมาธิ และก็คิดว่าจะนั่งสมาธิธรรมดา เพราะใจยังไม่กล้าที่จะสอนนักเรียน และไม่แน่ใจว่าจะสอนได้

แต่ขณะที่นั่งได้ไม่กี่นาที จิตก็จับภาพพระพุทธเจ้าปางนิพพานได้ และมีความรู้สึกว่าจะต้องสอนวันนั้น จึงให้นักเรียนเปลี่ยนคำภาวนาจาก “พุทโธ” เป็น “นะมะพะธะ”

พอนักเรียนภาวนาไปสักพัก ก็ถามนักเรียนว่า “เห็นใครมาอยู่ข้างหน้าของนักเรียนไหม ?”

นักเรียนตอบพร้อมกันว่า “มี”

ก็มีความมั่นใจว่าจะต้องพาเขาไปได้ จึงให้นักเรียนบอกภาพที่เห็น เขาบอกเห็นพระพุทธเจ้า ก็ให้บอกถึงลักษณะการแต่งกาย เขาก็บอกตั้งแต่พระบาทจนถึงพระเศียรเป็นปางนิพพาน

จึงขออำนาจบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพานักเรียนไปยังพระจุฬามณี

ถามนักเรียนว่า “เห็นพระเจดีย์ไหม? พระเจดีย์มีกี่องค์”

นักเรียนตอบหลายองค์ องค์กลางเป็นองค์ใหญ่ บอกเจดีย์มีธงสองแฉก และมีแก้วใสที่ปลายยอดเจดีย์ เจดีย์เป็นองค์แก้วแพรวพราวสวยงาม

แล้วพานักเรียนไปหน้าประตูพระจุฬามณี พบท่านพี่มเหสักขา ก็ให้นักเรียนกราบท่านและขออนุญาตท่านเข้าไปในพระจุฬามณี ขึ้นบันไดไปกราบพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี

แล้วพานักเรียนไปสวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ พี่ที่สวรรค์ชั้นที่ ๕ เสกกระต่ายให้เด็กคนละตัว ดอกไม้คนละดอก

๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...๑๕.๐๐ น. วันนี้พานักเรียนนั่งสมาธิและสอนมโนมยิทธิ วันนี้พานักเรียนไปพระจุฬามณีแล้วพาไปสวนนันทวัน สระโบกขรณี นักเรียนพากันลงไปเล่นในสระ ขี่ปลา ขี่เต่า

บางคนจับหางปลาแล้วว่ายตามปลาไป ขึ้นจากสระถามนักเรียนว่าตัวเปียกไหม นักเรียนตอบว่าไม่เปียก

แล้วพานักเรียนไปเที่ยวสวนผลไม้ นักเรียนขอผลไม้จากพี่นางฟ้า ไปเที่ยวสวนจิตรลดาแล้วพานักเรียนไปตั้งแต่สวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ และนิพพาน ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าที่วิมานของท่าน

และขออำนาจบารมีพระพุทธเจ้า ไปยังวิมานของทุกคน บอกให้นักเรียนขึ้นไปนั่งและนอนในวิมานของตนเอง ทุกคนตื่นเต้นดีใจ ที่เห็นวิมานของตนเองได้

ตอนขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นที่ ๕ พี่นางฟ้าเสกลูก... (ลายมืออ่านไม่ชัด) ให้นักเรียนคนละตัว ดอกไม้คนละดอกและกลับไปพระจุฬามณี กราบลาพระพุทธเจ้าและหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤาษี และกลับลงมา ๑๖.๐๐ น. พอดี

๒๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...๑๕.๐๐ น. วันนี้พานักเรียนไปพระจุฬามณี และสวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ วันนี้พี่นางฟ้าสวรรค์ชั้นที่ ๕ เสกผลไม้และดอกไม้ให้นักเรียน พานักเรียนไปกราบท่านพ่อท่านแม่พระอินทร์ ที่วิมานของท่าน

และไปกราบพระศรีอาริยเมตไตรยที่วิมานของท่าน แล้วพาเด็กไปป่าหิมพานต์ด้วย พบพี่ช้างน้อยหลายเชือก พี่กินรี พี่ลิง พี่นกแก้ว พี่ผีเสื้อ พี่แมลงปอ และพบท่านลุงครุฑ

ท่านลุงพาไปเขาพระสุเมรุ แล้วไปนิพพานไปกราบพระพุทธเจ้า และให้นักเรียนเข้าไปวิมานของตัวเอง

วันนี้ให้นักเรียนพบพ่อแม่ในอดีตชาติของนักเรียนที่วิมานของท่านพ่อท่านแม่พระอินทร์ เด็กหญิงอารีรัตน์ ปีติจนร้องไห้ออกมาดังๆ เด็กหญิงไพลิน น้ำตาเป็นคราบขณะออกจากสมาธิ

เด็กชายบัญชาบอกว่า ท่านเจ้าแม่กวนอิมหอมแก้ม แล้วขอให้เรียกท่านว่า “แม่” แล้วกอด เด็กชายบัญชาร้องไห้ แล้วบอกว่าดีใจที่ได้พบ

เมื่อคืน (๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕) เด็กชายบัญชาบอกว่า ไปเที่ยวสวรรค์พบหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานให้นางฟ้าเอาชุดบนสวรรค์มาเปลี่ยนให้ แล้วพาไปสอนเสกของที่เขาวงกต

๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...๑๔.๓๐ พานักเรียนนั่งสมาธิและพาไปพระจุฬามณี พาไปสวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ พาไปพบท่านพ่อท่านแม่พระอินทร์ที่วิมานของท่าน

แล้วพาไปพบหลวงปู่แหวนที่วิมานของท่าน พาไปวิมานของท่านพระศรีอาริยเมตไตรย แล้วพานักเรียนไปพบท่านพ่อท่านแม่ในอดีตชาติ

เด็กชายนรินทร์พบท่านพ่อของเขาแล้ว ถามท่านพ่อว่าอยู่ชั้นใด ท่านพ่อบอกว่าอยู่ชั้นที่ ๒ เขาดีใจมาก

เด็กชายชัยวัฒน์ บุญฆาต จะเข้าวิมานของตนเองเข้าไม่ได้ มีหมอกควันดำ เขาบอกวาเขาท่อง “พุทโธ” ควันดำจางไปแล้วจึงเข้าได้ พาไปป่าหิมพานต์พบท่านพี่บนป่าหิมพานต์มากมาย

แล้วไปเมืองลับแล ไปเขาพระสุเมรุ ไปนิพพานไปกราบพระพุทธเจ้าองค์ปฐม และพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่วิมานของท่าน

และไปกราบท่านแม่ศรีที่วิมานของท่าน ไปที่วิมานของตนเองบนนิพพาน ขอเห็นวิมานข้างเคียง แล้วกลับไปพระจุฬามณีเพื่อลาพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี แล้วกลับลงมา.."


ฝึกอภิญญา
เด็กหญิงจารุณี มณี
วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...เวลา ๑๕.๑๒ น. เป็นวันแรกที่หนูเรียนสมาธิ ได้เห็นอะไรได้หมดทุกอย่าง วันนั้นครูนฤมลพานักเรียนชั้น ป.๖ ชั้นเดียวเท่านั้น ตอนแรกครูนฤมลพาไปที่จุฬามณี แล้วก็ไปสวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ ไปที่ชั้นไหนมีแต่เทวดานางฟ้ามาต้อนรับกัน

พอไปสวรรค์เสร็จก็ลงมาที่พระจุฬามณี ลงมากราบพระพุทธเจ้า พูดอะไรกันนิดหน่อย เพราะไม่มีเวลามาก จึงขอลากลับมา

ครูนฤมลถามว่าไปกันได้ไหม ?
นักเรียนชั้น ป.๖ ตอบว่าไปกันได้ มีความสุขดีค่ะ

วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕
...เวลา ๑๕.๔๕ น. วันนั้นหลวงปู่ปานท่านมาที่ห้องเรียน มาบอกให้ไปเรียนวิชากับปู่ หนูก็ขึ้นไป ท่านสอนวิชาฌาน หนูเรียนกับท่านสนุกมาก

ท่านบอกอะไรหนูก็ทำทุกอย่าง หนูได้ฌาน ๑ หนูดีใจมาก ท่านบอกว่าพรุ่งนี้ปู่จะไปรับนะ หนูจึงขอลาท่าน

หลวงปู่สอนเหาะ
วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๕.๐๐ น. ตอนที่หนูขึ้นไปที่พระจุฬามณีไปหาหลวงปู่ปาน ท่านถามว่า วันนี้จะเรียนวิชาอะไร

หนูบอกว่าเรียนวิชาเหาะดีกว่า เพราะจะได้เหาะไปไหนมาไหนได้ พอพูดจบหลวงปู่พาหนูเหาะไปที่ป่าหิมพานต์ ท่านเริ่มสอน หลวงปู่ท่านเดินขึ้นไปข้างบน ไม่ไกลเท่าไร

ลงมาแล้วท่านก็บอกว่า เจ้าเรียนถึงขั้นที่ ๑ แล้ว ท่านก็พูดว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อน เพราะปู่จะต้องไป เจ้าก็ต้องไปด้วย

ท่านก็พาหนูเหาะไปที่วิมานของท่าน แล้วก็ไปที่เจ้าแม่กวนอิมนะ หนูก็ไปที่ท่าน ท่านมอบพลังให้แก่หนู พอท่านให้เสร็จท่านก็พูดกันนิดหน่อย แล้วจึงขอลาท่าน

เรียนวิชาตาทิพย์
...วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ หนูขึ้นไปเรียนวิชาเหมือนเดิม แต่วันนี้หลวงปู่กำหนดให้เรียนวิชาตาทิพย์ หนูดีใจมากที่ฉันจะได้เห็นสิ่งที่เป็นทิพย์

พอเริ่มเรียนจริงๆ ก็รู้สึกว่ามีขั้นตอนมาก ไม่ใช่ของง่ายๆ เลย คือหลวงปู่ให้ “เพ่งแสงสว่าง” ที่อยู่ข้างนอก แล้วกำหนดให้แสงนั้นเข้าไปอยู่ในตา

นึกอยากจะเห็นอะไรก็มองเห็นได้เลย ตอนนี้หนูกำลังเรียนถึงขั้นที่ ๓ แล้ว ยังต้องเรียนอีกหลายขั้นตอน

วันที่ได้แหวนจากหลวงปู่ปาน
...ตามปกติหนูจะต้องขึ้นไปเรียนวิชาต่างๆ กับหลวงปู่ปานทุกวัน วันนั้นตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๓๕ หนูก็ขึ้นไปเรียน “วิชาดำดิน” เหมือนเดิม

พอเรียนวิชาเสร็จหนูก็นึกสนุก จึงเล่นกลและเล่นแสดงตลกให้หลวงปู่ดู ท่านชอบใจหัวเราะจนท้องแข็ง

แล้วท่านก็หันไปเอากล่องเล็กๆ กล่องหนึ่ง ท่านเปิดกล่องก็มีแหวนอยู่ ท่านหยิบแหวนขึ้นมาแล้วท่านก็พูดว่า

“ปู่ขอมอบแหวนให้แก แกมันเก่งจริงๆ ปู่ขอชม หลานของข้าใครอย่าแหยม...นะ จะบอกให้”

หลวงปู่บอกอีกว่า “วันนี้ปู่จะไปส่งแกที่บ้านนะ”

แล้วท่านก็ลงมาส่งหนูที่บ้าน พอกลับถึงบ้านหลวงปู่บอกว่า “ปู่ส่งแกแค่นี้นะ”

พอท่านพูดจบ หนูจึงกราบขอบพระคุณและกราบลาท่าน แล้วท่านก็หายแว้บไป แหวนที่หนูได้เป็นแหวนจริง

โดยตัวแหวนมาสวมอยู่ที่นิ้วของหนู เป็นแหวนทองเหลือง มีพระพุทธรูปอยู่รอบตัวแหวน และมีอักขระอยู่ด้านในตัวแหวนด้วยค่ะ

เรียนวิชาล้างจานและดำน้ำ
...วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๕ คืนนี้หลวงปู่ให้เรียน ๒ วิชา คือ

๑. วิชาล้างจาน
๒. วิชาดำน้ำ

เรียนวิชาล้างจานทำได้ง่าย โดยใช้มือชี้ที่จานที่ยังไม่ได้ล้าง น้ำจะพุ่งออกจากมือ เหมือนมือไปล้างจานแทนมือเรา

แล้วเรียนวิชาดำน้ำ หลวงปู่พาไปเรียนที่สระโบกขรณี โดยหลวงปู่บอกให้ลงไปใต้น้ำ ตอนแรกก็กลัวเหมือนกัน แต่ตอนหลังดำลงไปใต้น้ำ มี ปลา กุ้ง หอย ปู

พอลงไปสักพัก (๒ ชั่วโมง) ก็ขึ้นมา หลวงปู่ก็บอกว่า “วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ” หนูกราบขอบพระคุณท่านแล้วก็ลงมา.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 3/6/20 at 09:02

[ ตอนที่ 14 ]

บันทึกของ ด.ญ.ไพลิน บุญมา



โดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต


...ตามที่ได้เล่าผลการฝึก "มโนมยิทธิ" ผ่านไปแล้ว จากเด็กนักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ เช่นที่ โรงเรียนเขากบ (วิวรณ์สุขวิทยา) จ.นครสวรรค์ และ โรงเรียนบ้านแม่โจ้ จ.เชียงใหม่

ตอนนี้เป็นเด็กนักเรียน โรงเรียนแม่เตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ฝึกสอนโดย อ.นฤมล ว่านเครือ ชุดนี้มี ๓ คน คือ ด.ญ. จารุณี มณี ที่ได้เล่าผ่านไปแล้ว ยังเหลือแต่ ด.ช. บัญชา กันทะวงศ์ และ ด.ญ. ไพลิน บุญมา เป็นลำดับต่อไป


ฝึกอภิญญา
เด็กหญิงไพลิน บุญมา
...เมื่อหนูฝึกมโนมยิทธิวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม วันนั้นหนูฝึกเป็นวันแรก หนูได้ฝึกกับคุณครูนฤมลพาไปที่พระจุฬามณี

คุณครูนฤมลพาไปกราบพี่มเหสักขา และเดินเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปานและหลวงปู่ฤาษี และคุณครูพาไปสวนนันทวัน

และไปสวนจิตรลดาและสวรรค์ชั้นที่ ๑ ไปพบนางฟ้า เทวดา และไปชั้นที่ ๒ ไปพบพี่นางฟ้าท่านแต่งตัวสวยมาก และท่านถามว่ามาที่นี่กี่ครั้งแล้วจ๊ะ หนูตอบว่ามาครั้งนี้ครั้งแรกค่ะ และกราบลาท่านไปชั้นที่ ๓ และก็ผ่านไปชั้นที่ ๔ และไปชั้นที่ ๕ ไปพบพี่นางฟ้า

และคุณครูขอพี่นางฟ้าเสกกระต่ายให้หนู และหนูก็ได้ดอกไม้อีก ๑ ดอก และหนูก็ขอบคุณพี่นางฟ้า และก็ขอลาไปยังชั้นที่ ๖ หนูได้พบพี่นางฟ้า ท่านก็ถามว่า หนูขึ้นมาครั้งแรกใช่ไหมจ๊ะ หนูก็ตอบว่าใช่ค่ะ และคุณครูก็พาลาท่านลงมาที่พระจุฬามณี ก็มากราบลาท่านทุกองค์และก็ลงมา

และเมื่อหนูฝึกมโนมยิทธิวันที่ ๒๐ พฤษภาคม หนูลองไปเอง ไปที่ป่าหิมพานต์ ไปที่พระนิพพาน ไปที่วิมานของพระพุทธเจ้า และวิมานของพระพุทธเจ้าแจ่มใสมาก

และหนูลาท่านไปยังถ้ำมรกต ถ้ำนั้นสวยมาก สวยกว่าถ้ำธรรมดา และไปที่แม่ศรีและพระอินทร์ และแม่ศรีพูดว่า ดีใจที่ได้พบหนูอีก

และหนูก็ลาท่านไปที่สวรรค์ชั้นที่ ๕ และพบพี่นางฟ้า และพี่นางฟ้าพูดว่าอยากดูพี่เสกใบไม้เป็นสัตว์ไหม หนูบอกว่าอยากค่ะ

และพี่นางฟ้าก็เสกใบไม้เป็นกระต่ายให้หนูดู หนูก็ขอบคุณท่านและก็ไปที่เขาพระสุเมรุ และหนูขอดูเขาพระสุเมรุไปรอบๆ เขานั้นสวยมาก และไปที่สระอโนดาต และก็ลงมา

และเมื่อหนูฝึกมโนมยิทธิวันที่ ๒๑ พฤษภาคม หนูไปหาหลวงปู่ปาน ท่านสอนวิชาฌานลึก ตอนนี้หนูถึงฌานที่ ๑ – ๕ และเริ่มฝึกเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม หนูดีใจมาก และหลวงปู่พูดว่า

ถ้าเอ็งตั้งใจฝึก ข้าจะสอนเอ็งหลายอย่าง และหลวงปู่พูดอีกอย่างว่า ถ้าเอ็งไม่ตั้งใจข้าก็ไม่สอน และนับตั้งแต่วันนั้นมา หนูก็จำคำที่หลวงปู่พูด แล้วก็ลงมา

และตอนกลางคืนนั้น หนูนอนไม่หลับไม่รู้ว่าเป็นอะไร อีกครูหนูเห็นใครก็ไม่รู้ มายืนอยู่ที่หน้าประตู หนูใช้จิตถามหลวงปู่ หลวงปู่บอกว่า เขามาขอส่วนบุญ หนูก็แผ่บุญให้เขา เขาหายไปเลย และหนูก็เข้านอน

เรียนวิชาเหาะกับหลวงปู่ปาน
...หลังจากที่หนูกับเพื่อน คือ บัญชา และจารุณี พากันไปเรียนเข้าฌานกับหลวงปู่ปานแล้ว วันนี้หลวงปู่สอนวิชาเหาะ โดยหลวงปู่ท่านพาไปสอนที่ป่าหิมพานต์ หลวงปู่ท่านทำให้ดู

ตอนแรกท่านนั่งตัวตรง สักครูหนึ่งก็ลอยขึ้นและหลวงปู่ก็ยืนขึ้น บอกว่า “เอ็งทำได้ไหม?”

หนูจึงลองทำดูและหนูก็ทำอย่างหลวงปู่ได้ หลวงปู่บอกว่าพอเท่านี้ก่อน หนูกราบขอบพระคุณท่าน และกราบลาท่านกลับลงมา แล้วหนูก็ลองทำดูที่บ้านในตอนกลางคืน ขณะที่ทุกคนนอนหลับแล้ว หนูก็สามารถทำได้จริงๆ

ครั้งแรกหนูเหาะไปวัดท่าซุง ตอนกลางคืนหนูไปถึงวัดท่าซุง หนูเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งร่มรื่นดี หนูเลยลงไปนอนเล่นใต้ร่มไม้ต้นนั้น หนูนอนหลับไป

หลวงปู่ฤาษีท่านมาปลุกให้หนูตื่น หลวงปู่บอกว่า กลับบ้านได้แล้ว หนูก็กราบหลวงปู่แล้วเหาะกลับมาถึงบ้าน ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาตอนเช้าพอดีค่ะ

หลวงปู่สอนวิชาจุดไฟ
...หลังจากที่หนูเรียนวิชาเหาะกับหลวงปู่ได้แล้ว อยู่มาวันหนึ่ง หลวงปู่ปานท่านเรียกขึ้นไปบอกว่า วันนี้ท่านจะสอน วิชาจุดไฟ

โดยตอนแรกหลวงปู่ปานพาไปสอนที่ป่าหิมพานต์ และหลวงปู่บอกว่า ถ้าเอ็งตั้งใจเรียนข้าก็จะสอนให้ ถ้าเอ็งไม่ตั้งใจเรียนข้าก็ไม่สอน

หลวงปู่ก็เริ่มสอน ตอนแรกหลวงปู่ปานท่านชี้มือไปที่กองไฟ ก็มีไฟติดที่กองไฟนั้น หนูลองทำตามและหนูสามารถทำได้ทุกอย่าง ที่หลวงปู่ท่านสอน

แล้วท่านก็สอน วิชาดับไฟ โดยชี้นิ้วไปที่กองไฟแล้วมีน้ำออกมาดับไฟ หลวงปู่ทำซ้ำอย่างเดิมให้ดูอีก หนูเข้าไปกราบขอบพระคุณแล้วหนูก็ลงมา

พอถึงบ้านหนูลองทำเอง ตอนที่ใครไม่อยู่บ้าน ตอนแรกเข้าไปในครัว หนูไปที่เตา หนูเอาถ่านใส่เตา แล้วใช้มือชี้ที่เตา ก็มีไฟลุกขึ้น หนูดีใจมากที่หนูทำได้

เรียนวิชาแปลงร่างกับหลวงปู่ฤาษีขาว
...๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๕ หนูได้ขึ้นไปเรียนวิชาแปลงร่างกับหลวงปู่ฤาษีขาว โดยไปเรียนที่ภูเขาหิมาลัย หลวงปู่ท่านทำให้หนูดูก่อน

โดยท่านท่องคาถาแล้วก็นั่งลง ร่างของท่านก็กลายเป็นผู้หญิงสวยมาก ตอนที่ร่างท่านจะเปลี่ยนกลับเป็นอย่างเดิม ท่านยืนขึ้นแล้วกระโดดขึ้นสูงๆ ร่างของท่านก็กลับเป็นอย่างเดิม

หนูลองทำดูอย่างท่านบ้าง ในวันนี้หนูยังทำไม่ได้ ต่อมาวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๓๕ หนูจึงทำได้สำเร็จ

เรียนวิชาสลาตันกับหลวงปู่ปาน
...เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๓๕ หนูได้ขึ้นไปเรียนวิชาสลาตันกับหลวงปู่ปานที่ป่าหิมพานต์ วิชานี้มีถึง ๑๒ ขั้น ตอนนี้หนูและเพื่อนๆ อีก ๒ คน เรียนถึงขั้นที่ ๓

ขณะเวลาที่หนูเรียนวิชานี้ ขั้นแรกจะรู้สึกเย็น พอถึงขั้นที่ ๒ จะรู้สึกว่าอุ่น ขั้นที่ ๓ จะรู้สึกธรรมดา และคุณครูนฤมลก็เรียนวิชานี้เหมือนกัน

เรียนวิชาเสกใบไม้ให้เป็นตะขาบ
...วันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๓๕ หนูได้ขึ้นไปเรียน วิชาเสกใบไม้ให้เป็นตะขาบ กับหลวงปู่ฤาษีขาวที่ภูเขาหิมาลัย วันแรกนี้หนูยังเสกไม่ได้ จนถึงวันที่ ๕ สิงหาคม หนูถึงจะทำได้ วันนี้หนูยังกลัวอยู่ เพราะว่าเป็นตะขาบจริงๆ หลวงปู่บอกว่าไม่ต้องกลัว เพราะว่าเป็นใบไม้

หลวงปู่ปานให้ตำราจีน
...คืนนี้หนูนั่งสมาธิ พอออกจากสมาธิหนูก็เข้านอน คืนนั้นรู้สึกแปลกใจว่า ทำไมไม่อยากนอน จึงลุกขึ้นนั่งสมาธิต่อประมาณ ๕ นาที ก็ออกจากสมาธิ ขณะกำลังจะเข้านอน มองเห็นหนังสือจีน วางอยู่บนหมอน จึงหยิบเอามาเปิดดู ตัวหนังสือเต็มไปหมด

หนูจึงขึ้นไปถามหลวงปู่ปาน หลวงปู่ท่านบอกว่า เจ้าแม่กวนอิม ท่านฝากให้ ถามหลวงปู่ว่าเป็นของใคร เพราะเป็นหนังสือจีนอ่านไม่ออก จึงไม่อยากได้

หลวงปู่บอกว่าเป็นของคุณครูนฤมล ตอนเช้าหนูก็เอาไปโรงเรียนด้วย เอาไปให้คุณครูนฤมล หลวงปู่ชมหนูว่าดีมาก.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 6/6/20 at 08:47

[ ตอนที่ 15 ]

บันทึกของ ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์



โดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต


...ตามที่ได้เล่าผลการฝึก "มโนมยิทธิ" ผ่านไปแล้ว จากเด็กนักเรียนตามโรงเรียนต่างๆ เช่นที่ โรงเรียนเขากบ (วิวรณ์สุขวิทยา) จ.นครสวรรค์ และ โรงเรียนบ้านแม่โจ้ จ.เชียงใหม่

ตอนนี้เป็นเด็กนักเรียน โรงเรียนแม่เตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ฝึกสอนโดย อ.นฤมล ว่านเครือ ชุดนี้มี ๓ คน คือ ด.ญ. จารุณี มณี และ ด.ญ. ไพลิน บุญมา ที่ได้เล่าผ่านไปแล้ว ยังเหลือแต่ ด.ช. บัญชา กันทะวงศ์ เป็นลำดับต่อไป


วันที่ฝึกมโนมยิทธิวันแรก
เด็กชายบัญชา กันทะวงศ์
...วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๕.๐๐ น. วันนี้คือวันแรกที่คุณครูนฤมล ได้สอนมโนมยิทธิให้แก่นักเรียนชั้น ป.๖ ชั้นเดียว เพราะชั่วโมงนี้ว่าง ครูนฤมลจึงบอกให้นักเรียนชั้น ป.๖ นั่งสมาธิ พวกนักเรียนชั้น ป.๖ ก็นั่งสมาธิอย่างที่ครูนฤมลบอก

...พอได้สักครู่ ครูนฤมลจึงให้เปลี่ยนคำพูดจาก “พุทโธ” เป็น “นะมะพะธะ” ไปสักครู่

...แล้วก็ถามว่า “ตอนนี้มีใครอยู่ข้างหน้านักเรียนบ้าง”
...นักเรียนชั้น ป.๖ บอกว่า “มีแล้ว”

ครูนฤมลจึงบอกว่า “พระองค์คือพระพุทธเจ้า”

แล้วครูนฤมลก็พาไปที่พระจุฬามณี ไปกราบพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงปู่ฤาษี แล้วก็พาไปที่สวนจิตรลดา แล้วก็ไปที่สวนนันทวัน ไปสระโบกขรณี

แล้วไปสวรรค์ชั้น ๑ – ๖ แล้วก็กลับมาที่พระจุฬามณี มากราบลาพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงปู่ฤาษี แล้วก็กลับ

หลวงปู่สอนให้เข้าฌาน
...วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๕.๑๕ น. วันนั้นตอนนั่งสมาธิอยู่กับครูนฤมล ตอนที่ไปกราบพระจุฬามณี หลวงปู่ปานท่านเรียกผมไปหาท่าน

แล้วท่านก็บอกว่า ให้ผมตามท่านไปที่ป่าหิมพานต์ พอไปถึงที่ป่าหิมพานต์ ท่านก็ไปนั่งที่แท่นหิน ท่านบอกให้ผมนั่งสมาธิสงบจิตใจสักพัก

พอได้สักครู่ท่านก็ถามผมว่า “อยากได้ฌานไหม?”
ผมก็ตอบว่า “อยากได้ครับผม”

แล้วท่านก็สอนเข้าฌาน พอผมเข้าฌานก็พูดธรรมะให้ฟังหลายอย่าง พอได้สักประมาณ ๒๐ นาที ท่านก็บอกให้ออกจากฌาน หลวงปู่ปานบอกว่า ยังไม่ถึงฌาน ๑ เลย แล้วผมก็กราบลาท่าน

วันที่หลวงปู่ปานพาไปสอนเข้าฌาน ๑
...วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๗.๔๐ น. หลวงปู่ได้เรียกให้ไปหาท่านที่วิมานก่อน แล้วท่านจะพาไปที่แห่งหนึ่ง แล้วพอไปถึงวิมานของท่าน หลวงปู่ก็พาไปที่ถ้ำมรกต พอไปถึงถ้ำมรกต ท่านบอกว่า ให้นั่งสมาธิสงบจิตใจสักพักก่อน... หลวงปู่บอก

พอได้สักครูท่านก็บอกให้เข้าฌาน ๑ พอผมเข้าฌาน หลวงปู่ปานท่านให้คติเตือนใจหลายอย่าง พอได้ฌาน ๑ หลวงปู่ปานท่านจึงให้ออกจากฌาน หลังจากนี้ไปหลวงปู่ปานท่านบอกว่า

“ทุกวันเจ้าจะได้วันละครึ่งของฌานนะ จะบอกให้รู้เสียก่อนนะ แกรู้ไหม...”

(ท่านผู้อ่านสังเกตไว้ด้วย ก่อนจะฝึกอภิญญา หลวงปู่สอนให้เด็กหัดเข้าฌานก่อน)

เรียนวิชาดำดิน
...วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๕ ผมได้ไปเรียนกับหลวงปู่ปานอย่างเดิม แต่วันนี้หลวงปู่ปานท่านบอกว่า

“วิชาที่เรียนพวกนั้นให้หยุดไปสักพักนะ ปู่จะสอนวิชาใหม่ให้ คือ วิชาดำดิน เจ้าจะเรียนไหม?”

ผมก็ตอบว่า “อยากเรียนขอรับ”

หลวงปู่ปานบอกว่า “ไม่ต้องมาพูดขอรับ ทุกวันทำไมไม่พูดอย่างนี้ เอ้า! แกจะเรียนหรือไม่เรียน”

ผมก็บอกว่า “เรียนครับ”

เที่ยวแดนสนธยา
...เรียนแล้วหลวงปู่ก็พาผมไปที่แดนสนธยา แดนสนธยาสวยมากเลยครับ ผมชอบแดนสนธยามากเลยครับ ผมแอบไปเที่ยวนิดหน่อยแล้วกลับมาเรียน

พอมาถึงหลวงปู่ปานเตรียมไม้ตะพด เขกหัวผมเรียบร้อยเลยครับ หลวงปู่เขกหัวผมตั้ง ๕ ที ผมหัวปูด ๕ ลูก แล้วก็ไปเรียนต่อ

คือหลวงปู่ให้ทำจิตให้นิ่ง และท่องคาถาแล้วดำดินไปในดิน บางทีก็ดำไปชนเอารากไม้ หลวงปู่ให้ดำขึ้นดำลง ไปทางซ้ายทางขวา พอเรียนเสร็จผมก็กลับลงมา

เรียนวิชาทำให้ของลอยได้
...วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๓๕ ผมก็ขึ้นไปเรียนกับหลวงปู่ปานอย่างเดิม พอไปถึงท่านก็พาผมไปที่แห่งหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน ผมคิดว่าหลวงปู่จะสอนวิชาดำดิน

แต่หลวงปู่บอกว่า “วันนี้ข้าจะสอนวิชาใหม่ให้เจ้า”
ท่านบอกว่า “เอ้า! เรียนกันได้แล้ว”

พอเรียนเสร็จก็จะบอกว่า วิชานี้ชื่ออะไร ที่เขาเรียกว่า “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน”

แล้วหลวงปู่ก็เริ่มสอน โดยหลวงปู่ให้เอามือชี้ไปที่ก้อนหินก้อนที่ไม่ใหญ่ (หรือจะใช้จิตเพ่งก็ได้) ก้อนหินก็ลอยตามนิ้วมือ ลอยสูงได้ประมาณ ๑ ศอก ก็หล่นลงที่เดิม

พอเรียนเสร็จ หลวงปู่ก็พาผมไปที่วิมานของพระพุทธเจ้า แล้วไปหาท่านแม่ศรี ไปหาท่านปู่ท่านย่า แล้วไปที่วิมานของหลวงปู่ ท่านบอกว่า

“ที่แกเรียนไปเมื่อกี้ ปู่จะบอกให้ว่า เขาเรียกว่า วิชาทำให้ของลอยได้”

ผมไปเรียนอีกหลายครั้ง พอคนไม่อยู่บ้านผมก็ทดลองทำดู โดยทำให้เครื่องครัวให้ลอยขึ้น เช่น เตาแก๊ส จาน ชาม ต่างๆ แล้วก็ทำให้กลับที่เดิม.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 9/6/20 at 10:08

[ ตอนที่ 16 ]

เด็กอภิญญามาวัดท่าซุงเป็นครั้งแรก





โดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต


...ในตอนที่แล้วเป็นเด็กนักเรียน โรงเรียนแม่เตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ฝึกสอนโดย อ.นฤมล ว่านเครือ ชุดนี้มี ๓ คน คือ ด.ญ. จารุณี มณี, ด.ญ. ไพลิน บุญมา, และ ด.ช. บัญชา กันทะวงศ์ ตามที่เล่าผ่านไปแล้ว

รวมทั้งผลการฝึก "มโนมยิทธิ" จากเด็กนักเรียน โรงเรียนบ้านแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ และ โรงเรียนเขากบ (วิวรณ์สุขวิทยา) จ.นครสวรรค์

แต่ก็ยังค้างของ ด.ช. บัญชา กันทะวงศ์ ไว้ตอนที่เหาะมาเที่ยววัดท่าซุง จนถูกหลวงพ่อดุ ซึ่งจะนำมาเล่าในภายหลัง

ส่วนตอนนี้ ครูอำไพ ได้นำเด็กนักเรียนมาจากเชียงใหม่ นับเป็นการมาเที่ยววัดท่าซุง และได้กราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นครั้งแรก


งานประจำปีวัดท่าซุง ปี ๒๕๓๕
...นับว่าเป็นเรื่องราวที่ผ่านมานานหลายสิบปี แต่ตอนนี้กลับเป็นที่สนใจอีกครั้งหนึ่ง หลังจากหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว จึงขอเล่าต่อไปอีกว่า

ตอนนั้นก่อนจะถึงวันงานพิธีเททอง "สมเด็จองค์ปฐม" ปี ๒๕๓๕ ผู้เขียนได้ทราบข่าวจากท่านพระปลัดวิรัชว่า จะมีอาจารย์พาเด็กนักเรียน ซึ่งสามารถเสกของจากอากาศได้ ทุกคนต่างสนใจขึ้นมาทันที

เมื่อถึงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๕ อาจารย์อำไพ สุจนิล จากโรงเรียนบ้านแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้นำเด็กนักเรียนมาหลายคน ที่สามารถฝึกมโนมยิทธิได้ และอีก ๓ คนที่ฝึกได้เป็นพิเศษ เช่น

- ด.ญ.พัชราภรณ์ ขอดแก้ว,
- ด.ญ.สุมาลี ปัญโญ,
- ด.ญ.สุนทรีย์ ชัยดารา
- ด.ญ.อำพร ภูเขา
- ด.ช.วัชชิรพล ทาเบี้ยว
- ด.ช.ธีรยุทธ จันทร์แดง
- ด.ช.ดนตรี บุญเพิ่มพูน
- ด.ญ. จารุณี มณี,
- ด.ญ. ไพลิน บุญมา,
- ด.ช. บัญชา กันทะวงศ์

เด็กได้กราบหลวงพ่อที่ตึกรับแขก
...หลวงพ่อจึงให้ครูนำเด็กมานั่งรอที่ตึกรับแขก หลังจากหลวงพ่อรับสังฆทานจากญาติโยมเสร็จแล้ว อาจารย์อำไพก็กราบเรียนความเป็นมาของเด็ก ให้หลวงพ่อทราบโดยย่อ

หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ให้เด็กแสดงให้ดู ต่อหน้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย

เมื่อเด็กทั้ง ๓ คนยกมือขึ้นอธิษฐาน แล้วนั่งหลับตาอยู่สักครู่หนึ่ง เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็บอกว่า หลวงปู่ปานให้แล้ว เด็กทั้ง ๓ คนต่างก็ล้วงกระเป๋าของตนเองเป็นการใหญ่ แต่ก็ไม่พบสิ่งใดเลย

ต่อมาเด็กหญิงคนหนึ่งลุกขึ้นขยับขอบกระโปรงของตนเอง สะบัดไปมาก็มีเสียงดัง เก๊ง..หล่นลงมาจากใต้กระโปรง เมื่อเด็กหยิบขึ้นมาดู ปรากฏว่าเป็นเหรียญ ๑ บาท เมื่อหลวงพ่อขอมาดูแล้วก็ส่งคืนให้เด็กไป

หลังจากเด็กกลับมานั่งที่เก้าอี้แล้ว ก็หยิบเหรียญบาทมาจากขอบกระโปรงได้อีก ๑ เหรียญ จึงเป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้พบเห็นในวันนั้นมาก

หลวงพ่อจึงได้กล่าวว่า การที่เด็กทำได้เช่นนี้ เป็นเพราะผลบุญเก่า และเนื่องด้วย "ทานบารมี" ของเธอนั่นเอง

หลังจากหลวงพ่อกลับไปพักผ่อนแล้ว ท่านพระปลัดวิรัชและผู้เขียนจึงได้สัมภาษณ์เด็ก โดยเด็กทั้ง ๓ คนได้นำสิ่งของต่างๆ ที่เคยได้ไว้ก่อนแล้ว มาแสดงให้พวกเราได้ชมกัน

มีทั้งลูกแก้ว นารีผลจากป่าหิมพานต์ ดอกไม้จากสวรรค์ และสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเด็กบอกว่าสิ่งของเหล่านี้ ได้มาจากหลวงปูปานบ้าง เจ้าแม่กวนอิมบ้าง และพี่นางฟ้าบ้าง เป็นต้น

โดยคุณปรีชา พึ่งแสง ได้บันทึกภาพวีดีโอนี้ไว้ (ต้องขออภัยที่ภาพไม่ชัดเจน) ต่อมาจึงได้ขอให้อาจารย์อำไพบอกให้เด็กเขียนบันทึกส่งมาด้วย

จึงเป็นอันสรุปได้ว่า มโนมยิทธิแบบครึ่งกำลัง ที่หลวงพ่อฝึกสอนให้ สามารถปฏิบัติได้ถึงเต็มกำลัง และสามารถใช้วิชานี้ไปพบครูบาอาจารย์ที่มิใช่มนุษย์

โดยเฉพาะเด็กบอกว่าได้ไปเรียนกับหลวงปู่ปานบนสวรรค์ เป็นวิชานั่นวิชานี่ ตามที่หลวงปู่สอนมา เช่น วิชาเสกของ วิชาลอยตัว วิชาไต่กำแพง วิชาอ่านใจคน วิชาเดินทะลุกำแพง เป็นต้น

ความจริงถ้าเป็นความรู้ที่เราศึกษากัน ก็ต้องเรียกว่า "อภิญญา" แต่หลวงปู่ท่านฉลาดสอนเด็ก เพื่อให้เด็กเข้าใจง่าย และสามารถทำได้ทุกอย่าง ตามที่เรียนมาอีกด้วย ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะอะไรทราบไหม ?

เพราะเด็กได้มาเล่าให้ฟัง เมื่อวันงานเป่ายันต์เกราะเพชรนี่เอง ซึ่งตรงกับวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๓๕ และครั้งที่ ๓ วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๕

โดยอาจารย์อำไพ สุจนิล ร.ร.บ้านแม่โจ้ และ อาจารย์นฤมล ว่านเครือ ร.ร.บ้านแม่เตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้นำคณะมาที่วัด มีเด็กมาด้วย ๓ คน ผู้หญิง ๒ คน ผู้ชาย ๑ คน

มีเรื่องที่น่าสนใจอีกมากมาย ในเรื่องเกี่ยวกับการฝึกจิตของเขา โดยเฉพาะเด็กอายุเพียง ๑๑ ขวบ ชั้นประถม ๖ แต่พูดจาเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุมีผล มีความเฉลียวฉลาด ตั้งแต่ได้วิชานี้แล้ว ครูบอกว่าเด็กทุกคนเรียนหนังสือดีขึ้น

เรื่องต่างๆ เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ทั้งสิ้น แต่เด็กบอกว่า หลวงปู่ยังไม่อนุญาตให้เปิดเผยได้ บางเรื่องจะเขียนส่งมาก็ต้องถูกตีมือ จึงจำเป็นต้องขออนุญาตจากท่านเสียก่อน

เวลานั้นเด็กได้ส่งเรื่องมาบ้างแล้ว และทยอยลงให้ได้อ่านกันเป็นตอนๆ ตามที่เด็กจะสามารถเปิดเผยได้ แต่จะเล่าทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้

ในตอนที่แล้วได้เริ่มจากอาจารย์นฤมล ว่านเครือ ด.ญ.ไพลิน บุญมา, ด.ญ.จารุณี มณี, และ ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์

ซึ่งเป็นนักเรียนชั้นประถมปีที่ ๖ จาก ร.ร.บ้านแม่เตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้เล่าเรื่องเบื้องต้นของการฝึกมโนมยิทธิไปแล้ว

ต่อไปจะเป็นการเล่าเรื่องการฝึกช่วงหลวงพ่อใกล้มรณภาพ อันเป็นเรื่องการฝึก "อภิญญาใหญ่" กันเต็มระดับ..สวัสดี


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 12/6/20 at 09:40

[ ตอนที่ 17 ]

บันทึกของ ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์ (ต่อ)



โดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต


...เมื่อตอนที่ ๑๖ ได้นำคลิปวีดีโอเด็กอภิญญามากราบหลวงพ่อฯ ที่วัดท่าซุงให้ชมกันไปแล้ว แต่ก็ยังมีคลิปอีกครั้งเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๕ ที่ยังเหลืออีก ๓ ตอน

แต่ในตอนนี้ขอนำบันทึกของ ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์ โรงเรียนบ้านเตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ มาเล่าต่อจากตอนที่ ๑๕ ว่าเด็กได้เล่าค้างไว้ เมื่อถึงตอนที่ฝึกเหาะเหินเดินอากาศได้ แล้วก็อยากเหาะมาเที่ยววัดท่าซุงด้วย

ความจริงเด็กเพิ่งเริ่มฝึกมโนมยิทธิ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕ นี้เอง แต่ทว่ากลับฝึกได้ "อภิญญาใหญ่" ภายในเวลาเพียงแค่เดือนเศษเท่านั้น นับว่าวิชานี้คุ้มค่ามหาศาลจริงๆ


เมื่อเหาะมาวัดท่าซุง
เด็กชายบัญชา กันทะวงศ์
...เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๓๕ หลังจากผมอาบน้ำ รับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว เวลาประมาณ ๑ ทุ่ม ผมไหว้พระและนั่งสมาธิ

โดยนัดหมายกับ “จารุณี” และ “ไพลิน” นั่งสมาธิในเวลาใกล้เคียงกัน ผมได้เหาะไปวัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ซึ่ง “วิชาเหาะ” นี้ หลวงปู่ปานท่านเป็นผู้สอนให้ผมกับจารุณีและไพลินด้วย

พวกผมทั้ง ๓ คน ได้ไปเล่นบนหลังคาวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร ไปเล่นเป็นพระเอกขี่ม้าขาว มีไพลินเล่นเป็นปีศาจ จารุณีเล่นเป็นเจ้าหญิง ซึ่งถูกกักขังอยู่ในคุก

ถูกท้าวจาตุมหาราชลงโทษ
...ส่วนตัวผมเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเจ้าหญิง ให้พ้นจากนางปีศาจ พอไปช่วยเจ้าหญิง ตอนนั้นพอดีท่านท้าวจาตุมหาราชมาพบเข้าจึงสั่งห้ามไม่ให้เล่น

พวกผมไม่เชื่อ ท่านจึงเอาก้อนหินปามาที่พวกผมเป็นการสั่งสอน เพราะความซนของพวกผม ผมจึงเลิกเล่นและกลับบ้าน

พอกลับมาถึงบ้าน ปรากฏว่าแต่ละคนหัวโนขึ้นมาคนละลูกสองลูก ผมคิดว่า ท่านท้าวจาตุมหาราชคงไม่อยากให้พวกผมเล่นซนแบบนั้นอีก ผมจึงกราบขอบพระคุณท่าน ท่านเมตตาต่อพวกผม

ในคืนนั้นผมกำลังนอนหลับสนิทอยู่ ท่านท้าวจาตุมหาราชไปปลุกถึงที่บ้าน บอกว่า

“ตื่น...ลุกขึ้นๆ ไปวัดท่าซุงกัน”

ผมเลยรีบลุกขึ้นมาที่วัดทันทีครับ ใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาที ก็มาถึงวัดท่าซุง


หมายเหตุ - เรื่องนี้เด็กได้มาเล่าให้ฟัง ตั้งแต่เมื่อวันงานเป่ายันต์ฯ วันที่ ๔ ก.ค. ๒๕๓๕ หลังจากเด็กกลับไปแล้ว พระได้เล่าถวายหลวงพ่อ รวมทั้งเรื่องที่เด็กทําได้อย่างอื่นด้วย ปรากฏว่าหลวงพ่อชอบใจมาก

ต่อมาในตอนเช้า วันที่ ๑๓ ก.ค. หลวงพี่โอเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อบอกว่า เมื่อคืนนี้ ๑๒ ก.ค. ๒๕๓๕ ท้าวมหาราชได้นําเด็กมาพบในเวลาตี ๓ หลวงพ่อเล่าในวันเข้าพรรษาแล้ว

ฉะนั้น ในวันที่ ๒๕ ส.ค. ๒๕๓๕ เมื่อเด็กมาถึงที่วัดกัน จึงถามเด็กว่าเคยมาที่วัดในวันที่ ๑๒ ก.ค. ๒๕๓๕ หรือเปล่า

ปรากฏว่า "จารุณี" ยกมือขึ้นบอกว่า หนูเป็นคนพูดเองว่า หลวงปู่กําลังนอนหลับอยู่ ในตอนนี้บัญชาเล่าเสริมว่า หลวงปู่จึงพูดขึ้นว่า ข้าไม่ได้หลับหรอก กําลังรอจะขนาบพวกแกอยู่พอดี

เรื่องนี้บัญชาเล่าว่า ในคืนนั้นกําลังนอนหลับสนิทอยู่ ท่านท้าวจาตุมหาราชไปปลุกถึงที่บ้านบอกว่า ตื่นลุกขึ้นๆ ไปวัดท่าซุงกัน ผมเลยรีบลุกขึ้นมาที่วัดทันทีครับ ถามว่ามานานไหม บอกว่าประมาณ ๑๐ นาที

ผู้เขียนถามว่า แล้วใครเป็นคนถามหลวงปู่อีก บัญชาเล่าว่าไพลินเป็นคนถามหลวงปู่ว่า แล้วทําไมหลวงปู่ถึงไม่แสดงบ้างละค่ะ

หลวงปู่บอกว่า "มันเป็นเรื่องของข้า ข้ามันแก่แล้วโว้ย.."


หลวงปู่ปานสอนดำน้ำในทะเล
...วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๐.๔๕ น. ผมไหว้พระสวดมนต์และนั่งสมาธิ โดยนัดหมายกับจารุณีและไพลิน นั่งสมาธิเวลาใกล้เคียงกัน ผมได้ไปเรียนวิชากับหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานท่านบอกว่า

“ข้าจะสอนให้เจ้าดำน้ำ แกจะได้ดำน้ำเก่งๆ”

แล้วหลวงปู่ปานท่านก็พาพวกผมเหาะไปที่ทะเลที่ภูเก็ตตรงกลางทะเลพอดี ก่อนที่หลวงปู่ปานสอนดำน้ำ ท่านบอกว่า ใครดำลงไปถึงพื้นทะเลใต้ จึงจะเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ได้

วันแรกผมดำลงไปได้นิดเดียว ก็ต้องขึ้นมา ปรากฏว่าจารุณีดำขึ้นมา จึงถูกหลวงปู่เอาไม้เท้ายันกลับลงไปอีก แล้ววันต่อมาก็ดำลงไปอีก แต่ก็ยังไม่ถึง และวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๕ พวกผมก็ดำน้ำถึงใต้พื้นทะเลภูเก็ต

พอเรียนเสร็จหลวงปู่ปานบอกว่า ไปเรียนต่ออีกเร็วเข้า ชักช้าไม่ได้ จะเสียเวลาเรียน เร็วตามมา หลวงปู่ปานท่านบอก พวกผมตามหลวงปู่ไปเรียนต่อจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อผมขึ้นไปดูบรรยากาศชั้นโอโซน
...วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ผมขึ้นไปหาหลวงปู่ปาน ผมบอกหลวงปู่ปานว่า

“ผมอยากไปดูโอโซนครับ ผมดูทีวีเขาบอกว่า โอโซนในโลกเราเริ่มน้อยลง ผมก็เลยนึกอยากไปดูว่า โอโซนจริงๆ เป็นอย่างไร”

หลวงปู่ท่านบอกว่า “โอโซนเดี๋ยวนี้บางลงมา เพราะพวกคนเดี๋ยวนี้ ทิ้งขยะเผาขยะ และส่งกลิ่นเหม็นควันดำต่างๆ แล้วขึ้นไปทำลายก๊าซโอโซน

ทำให้โอโซนบางลง เพราะโอโซนบังแสดแดดที่ส่งมายังโลกไม่ให้ร้อน แต่นี่โลกของพวกเธอร้อนขึ้นเรื่อยๆ ฉันเสียใจที่พวกมนุษย์ทำอย่างนี้”

ท่านแม่ศรีให้หอยสังข์
...วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๘.๔๕ น. ตอนนั้นยังไม่ถึงเวลาที่จะไปเรียนวิชากับหลวงปู่ปาน ขณะนั้นผมกำลังอ่านหนังสือเรียนอยู่ ท่านแม่ศรีก็เรียกผมว่า

“ขึ้นมาข้างบนเดี๋ยวนี้ แม่จะเอาของให้เจ้า ให้รีบขึ้นมาเลย เพราะเดี๋ยวเจ้าจะต้องไปเรียนกับหลวงปู่ปาน”

ผมก็ขึ้นไป พอไปถึงวิมานของท่านแม่ศรี ท่านแม่รีบไปเอาตลับ ในตลับมีหอยสังข์ ลักษณะของหอยสังข์สวยมาก ท่านหยิบมาให้ผมแล้วท่านก็บอกผมว่า

“จงรักษาไว้ให้ดี เพราะสิ่งของสิ่งนี้เปรียบเสมือนตัวแทนแม่ และเจ้าจงรีบกลับลงไปเร็วๆ พ่อของเจ้ากำลังจะเรียกกินข้าว”

ผมกราบขอบพระคุณท่าน แล้วกราบลงท่านแม่ศรีออกจากสมาธิ ผมก็รีบไปกินข้าวทันที เพราะคุณพ่อผมเรียกกินข้าวพอดี


**(หมายเหตุ เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๕ เด็กชายบัญชาไปที่วัดท่าซุง ได้นำหอยสังข์นี้มาให้หลวงพ่อและทุกคนได้ชมไปแล้วด้วย)

วันที่ร่างเป็นพรหม
...วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๕ หลังจากอาบน้ำและรับประทานข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับขึ้นไปที่พระจุฬามณีอีก ไปกราบพระพุทธเจ้า หลวงปู่ฤาษี หลวงปู่ปาน แล้วก็ไปสวรรค์ชั้นที่ ๑ – ๖ ไปชั้นพรหม พอไปถึงชั้นพรหม ร่างผมก็เปลี่ยนเป็นพรหม

แต่วันนี้ร่างพรหมผมมีสี่หน้า มีแขนสี่แขน มีอาวุธสี่อย่าง คือ สังข์ จักร กระบอง และดาบ ร่างพรหมของผมเป็นอย่างนี้ ไปจนถึงชั้นพรหมที่ ๑๖

แล้วผมก็ไปป่าหิมพานต์ แล้วก็ไปพระนิพพาน พอเที่ยวเสร็จก็กลับมาที่พระจุฬามณี หลังจากกราบพระพุทธเจ้าและหลวงปู่ปานแล้วผมก็กลับ

คืนที่พญานาคมานอนกับผม
...วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ผมเข้านอน ขณะที่ผมกำลังหลับอยู่นั้น ผมรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างมามัดตัวผม ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาดูว่าอะไรมามัดตัวผม

พอผมลุกจากที่นอน ผมก็ตกใจ เมื่อเห็นเป็นงูตัวอ้วนขนาดแขนของผมนอนอยู่ในเตียง ผมจึงตั้งสมาธิแล้วใช้จิตถามท่าน

พอรู้ว่าเป็น “พญานาค” ผมจึงเข้าไปกราบท่าน ท่านบอกว่า “ไม่ต้องกลัวฉัน ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก”

ผมจึงกลับเข้าไปนอนใหม่ ท่านก็นอนอยู่ข้างผมตลอดทั้งคืน พอประมาณตี ๔ ท่านบอกว่าท่านจะกลับแล้ว ท่านก็กลับไปที่วิมานของท่าน พอท่านกลับไปแล้ว

ผมก็ใช้จิตตามท่านไปจนถึงวิมานของท่าน แล้วผมก็กลับมาสวดมนต์ แล้วผมก็ลุกไปแปรงฟันอาบน้ำ แต่งตัว และรับประทานอาหารเช้า แล้วก็เตรียมตัวไปโรงเรียนครับ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 15/6/20 at 08:52

[ ตอนที่ 18 ]






...เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๕ มีคณะครูและนักเรียน จากโรงเรียนบ้านบวกเปา (เด็ก ๘ คน) และโรงเรียนบ้านเตาไห (เด็ก ๒ คน) เดินทางมาถึงวัดท่าซุง เพื่อกราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และรายงานผลการฝึกมโนมยิทธิให้ท่านฟัง

เนื่องจากได้เคยนำเด็กมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่องาน "เป่ายันต์เกราะเพชร" วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๓๕ (ไม่ได้บันทึกวีดีโอ) แต่ในวันนั้นไม่สะดวก เพราะมีคนเป็นจำนวนมาก จึงต้องหาโอกาสมาในเวลาที่วัดไม่มีงาน

ผลปรากฏว่าโชคดี ที่หลวงพ่อเปิดโอกาสให้เป็นพิเศษ พวกเราจึงได้รับโอกาสไปด้วย ในการฟังเรื่องราวดังต่อไปนี้

ณ ที่ตึกรับแขก เมื่อถึงเวลาหลวงพ่อเดินทางมาถึงแล้ว เด็กนักเรียนทั้งสองโรงเรียน จึงได้กราบนมัสการหลวงพ่อพร้อมกัน

บางคนก็เข้าไปทำบุญบ้าง ถวายสังฆทานกันบ้าง หลวงพ่อก็มอบของที่ระลึกให้ หลังจากมีญาติโยมถวายสังฆทานเสร็จแล้ว หลวงพ่อก็ให้เจ้าหน้าเตรียมไมโครโฟนไว้


ผลเบื้องต้นของมโนมยิทธิ
...เริ่มจากครูที่ ร.ร.บ้านบวกเปาเล่าถวายว่า หลังจากนักเรียนที่โรงเรียน ฝึกมโนมยิทธิได้แล้วมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป แต่ก่อนเงินของสหกรณ์ของโรงเรียนได้หายไปเสมอ

แต่พอนักเรียนฝึกได้แล้ว ทำให้กลัวบาป รักษาศีลดี ทำให้เงินไม่ค่อยหายเหมือนแต่ก่อน สหกรณ์มีกำไรเพิ่มขึ้น อีกประการหนึ่ง เด็กที่เรียนหนังสือไม่เก่ง พ่อแม่มีปัญหาแยกทางกัน ก็กลายเป็นเด็กเรียนดีขึ้น

หลวงพ่อจึงพูดว่า "ขอโมทนากับคณะครูที่สอนเด็ก แต่อย่าลืมสอนตัวเองนะ"

ลำดับต่อไป นักเรียนจาก ร.ร.บ้านเตาไห ๓ คน เป็นทีมร่วมฝึกชุดเดียวกัน คือ ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์ และ ด.ญ.จารุณี มณี และ ด.ญ.ไพลิน บุญมา ทั้ง ๓ คนนี้ฝึกคล่องตัวมาก สามารถนำกายดิบ ๆ (กายเนื้อ)ไปท่องเที่ยวและแปลงร่าง (อภิญญา)ได้

แต่เสียดายที่วันนี้ ด.ญ.ไพลิน มาไม่ได้ เนื่องจากติดภาระงานเผาศพพ่อ ที่เพิ่งตายไปก่อนที่จะมาวัด เมื่อหลวงพ่อถามว่า "ไปเที่ยวไหนมาบ้างเล่าให้ฟังซิ"

เด็กชายบัญชา ซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าจึงเป็นผู้เล่าให้ฟัง ตามที่ได้ขึ้นไปเรียน "วิชาจุดไฟ" มาแล้ว จึงลงมาทดลองดู ผลปรากฏว่ามีเรื่องขำๆ ดังนี้

"จารุณีพบหลวงปู่ปาน แล้วจุดไฟ เอาใบไม้มากอง แล้วจุดไฟข้าง ๆ หลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานสะดุ้ง หลวงปู่ก็เอาไม้ตะพดตี ๓ ทีครับ"

หลวงพ่อหัวเราะแล้วพูดว่า "เออ...เก่งมาก ๆ ๆ ตอนจุดไฟ มีไม้ขีดไหม?"

เด็กชายบัญชาตอบว่า "ไม่มีครับ ใช้จิตเพ่ง แล้วไฟก็ติด ต่อมาหลวงปู่ปานสอนให้เรียน วิชาทำให้ของลอย พอเรียนเสร็จ หลวงปู่ปานก็บอกให้กลับไปบ้าน ลองไปทำดูซิ

อย่างแรกก็ล้างจานก่อน พวกผมก็เอาจานมาวางไว้ เมื่อใช้จิตเพ่งแล้ว จึงทำอย่างหลวงปู่ปานบอก แล้วจานนั้นมันก็ล้างเองครับ"

หลวงพ่อพูดว่า "อ้อ! ดี...ไม่เปลืองแรงงาน ไม่ต้องเหนื่อย" เด็กชายบัญชาจึงเล่าเรื่องใช้จิตเปิดทีวีต่อไปว่า

"วันนั้นผมดูทีวีที่บ้าน นึกยังไงไม่ทราบ อยากดูการ์ตูน นึกว่าจะลุกดีไม่ลุกดี เลยใช้จิตบังคับกด ทีวีก็กดเอง ผมเลยสะดุ้งนึกว่าผี...เปิดให้ครับ"

หลวงพ่อฟังแล้วก็หัวเราะ เด็กชายบัญชาจึงเล่าเรื่อง "วิชาแปลงร่าง" ว่าได้ชวนกันไปป่าหิมพานต์ ไพลินแปลงร่างเป็นเสือดาว จารุณีแปลงร่างเป็นลิง ผมแปลงร่างเป็นกระรอก ไพลินบอกว่า

ฉันจะเป็นเสือไล่กินพวกเธอนะ พวกเธอคอยหลบฉันนะ ไพลินก็ไล่กินจารุณี พอเสือดาวขึ้นบนต้นไม้ จารุณีที่ แปลงเป็นลิงห้อยต้นไม้ ทีนี้ไปเกาะกิ่งไม่หักตกลงมา เลยเป็นนกปีกหักเลยครับ

หลวงพ่อหัวเราะ เด็กจึงเล่าต่อไปว่า "ไพลินบอกว่า เฮ้ย! นกปีกหักข้าจะไปกินกระรอก ผมเห็นรูเลยมุดเข้าไป ไพลินไม่ทันดู เอาหัวชนใส่ผม เลยตกลงมาครับ"

หลวงพ่อจึงพูดว่า "เออ..เก่งมาก" เด็กชายบัญชาเล่าให้ฟังอีกว่า

"หลวงปู่ปานชวนพวกผม ๓ คน บอกว่า "มานี่..ข้าจะพาพวกแกไปสอนวิชาที่เขาวงกต" แล้วพาไปเขาวงกต พอไปถึงเขาวงกตแล้วจารุณีก็บอกว่า

"เฮ้ย! พวกเราไปเที่ยวกันดีกว่า ขี้เกียจเรียนวะ ไปดีกว่า พวกแกไม่ไปก็ช่างปะไร ข้าไปคนเดียวก็ได้" หลวงปู่ปานไปดักอยู่ข้างหน้า ใช้ไม่ไล่ตีจารุณี พอไปถึงจารุณีนั่งร้องไห้หัวโนไปตั้ง ๔-๕ กีบครับ"

หลวงพ่อหัวเราะจึงพูดว่า "เออ..ไม่ได้ให้หวย ไม้เท้าอันเดียวตี ๕-๖ จุด แล้วไปเรียนอะไรบ้าง เหาะไปไหนบ้าง?"

เด็กชายบัญชาจึงตอบว่า "พอหลวงปู่ปานสอน วิชาเหาะ ให้ผมสัก ๒ อาทิตย์ ผมก็ว่าจะลองเหาะไปดอยสุเทพ พอเหาะไปถึง ก็ไม่รู้ว่าจารุณีมาจากไหน ก็มาเกาะหลังผม ผมสะดุ้งตกลงมาลงใส่กิ่งไม้ครับ ดีที่กิ่งไม้รับผมไว้ทัน

ส่วนเรื่องที่เหาะไปสวรรค์ก็เคยครับ ผมเคยใช้กายดิบขึ้นไปได้ถึงสวรรค์ (แค่ชั้นที่ ๕) วันนั้นหลวงปู่ปานบอกว่า "พวกแกใช้ร่างดิบ ๆ ขึ้นมาบ้างซิ"

ผมจึงใช้ร่างดิบๆ ขึ้นไปกัน ๓ คน (บัญชา, จารุณี,ไพลิน) พอไปถึงหลวงปู่ก็พูดว่า "เออ..เก่งมาก วันนี้ข้าจะให้รางวัลวิ่งรอบสวรรค์ ๓ รอบ"

เป็นอันว่า พอเล่ามาถึงตอนนี้ หลวงพ่อถามเด็กว่าเคยเหาะมาถึงวัดกี่นาที เด็กตอบว่า ๔-๕ นาทีครับ หลวงพ่อจึงสอนเด็กว่า ต่อไปให้นึกปุ๊บมาถึงปั๊บเลยนะ หัดฝึกให้ไวขึ้น เด็กก็รับว่าครับ แล้วเด็กได้เล่าต่อไปว่า

"วันนั้นผมกำลังหลับอยู่ ได้เห็นพระพุทธองค์เสด็จมา แล้วพระองค์ก็นำพระมาให้ แล้วอีก ๒-๓ วันต่อมา เจ้าแม่กวนอิมให้หอย, ลูกแก้ว, เหรียญ" (เด็กได้ชูของทั้งหมดให้หลวงพ่อดู เพราะเอาติดตัวมาด้วย)

การเรียบเรียงคำสนทนา ต้องขออภัยด้วย เพราะเด็กเล่าไปตามที่จะมีโอกาส บางครั้งจะมีแขกเข้ามาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ก็ต้องหยุดพักไป แล้วถึงกลับมาเล่าใหม่ บางทีเรื่องจึงอาจจะไม่ต่อเนื่องกัน แต่ก็จะนำบันทึกของเด็กมาให้ทราบไว้ตอนท้ายเรื่อง

เป็นอันว่า เด็กสามารถฝึกอภิญญาได้ตั้งแต่อายุ ๑๐-๑๑ ขวบ โดยเริ่มฝึกจากวิชามโนมยิทธิครึ่งกำลัง ตามแบบที่พวกเราฝึกกันอยู่นั่นเอง เด็กชุดนี้เริ่มฝึกเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม

เพียงแค่วันที่ ๓ ของการฝึก ก็สามารถใช้มโนมยิทธิไปเรียนกับครูบาอาจารย์ ที่ไม่ใช่เป็นมนุษย์ต่อไปได้อีก มโนมยิทธิครึ่งกำลังของหลวงพ่อ จึงเป็นบันไดให้ได้อภิญญาใหญ่ด้วยประการฉะนี้

เรามาลองฟังเด็กเล่ากันต่อไป ถึงความมหัศจรรย์ที่ปรากฏแก่เธอ เด็กชายบัญชาเล่าว่า "วันหนึ่ง ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดโขงขาว ซึ่งครูนฤมลพาไป พอนั่งสมาธิอยู่ ครูก็พาไปเที่ยวนรก 

พอไปถึงนรก ผมได้เห็นพ่อของเพื่อนผม ซึ่งตายไปตกนรก ผมสงสารก็ขึ้นไปขอสตางค์หลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานบอก "งั้นข้าให้สตางค์ ๑๐๐ บาท เจ้าไปค้นหาเอาเอง" แล้วนักเรียนอื่นมาพบแบ็งค์ ๑๐๐ บาท ผมก็เลยเอาเงินนั้นไปทำสังฆทานครับ

แล้ววันนั้นผมกำลังเล่นกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน เงินที่ไหนไม่ทราบ มาอยู่ในกระเป๋ากางเกงผม ๑๑๐ บาท แล้วมันตกลงมา เพื่อนผมเห็นจึงหยิบขึ้นมาให้ดู ถามว่า

"นี่ของใครล่ะ มาเอาเสีย ถ้าไม่ใช่เป็นของใคร ก็คงเป็นของกู"

หลวงพ่อหัวเราะ "ใช่ ๆๆ"

เด็กชายบัญชาเล่าต่อไปว่า "แล้วจารุณีก็บอก เดี๋ยวใช้จิตถามก่อน ก็ครูที่โรงเรียนยังไม่มาสักคน เงินจะตกได้ยังไง จารุณีก็บอกว่า เป็นของหลวงปู่ปานให้

แล้วหลวงปู่ปานบอกว่า จะแบ่งให้ใครก็แบ่ง แล้วผมก็เก็บไว้ พอได้สักวันสองวัน คุณครูอำไพก็แลกเอาไปครับ"

หลวงพ่อยิ้มพูดว่า "เออ..เก่งมาก ๆ ไอ้หนูมีอะไรอีกไหม?"

เด็กชายบัญชาตอบว่า "ไม่มีครับ"

หลวงพ่อจึงถามอีกว่า "ลุงพุฒิรูปร่างเป็นไง?"

เด็กตอบว่า "มีเขา..แต่กายจริง ๆ ท่านไม่มีเขาครับ"

หลวงพ่ออธิบายว่า "ไอ้ภาพวาดมีรูปเขา ท่านก็ทำเป็นเขาให้ดู"

ในตอนนี้ญาติโยมที่มานั่งฟัง กำลังดูสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ในพานแว่นฟ้า ซึ่งเด็กหลายคนรวบรวมนำมาให้ดูว่า ได้มาอย่างไร ใครให้บ้าง

ปรากฏว่าเป็นของที่แปลกมาก ยกตัวอย่างเช่น "ตำราจีน" ซึ่งไพลินได้มา แต่เจ้าตัวไม่ได้มา (รายะเอียดเด็กจะบันทึกไว้ในตอนท้าย)

จึงขอจบการสนทนาเพียงนี้ โอกาสนี้ต้องขอกราบขอบพระคุณ ท่านพระครูปลัดวิรัชที่ได้กรุณาช่วยถอดเทปมาให้ด้วย อันดับต่อไปจะเป็นบันทึกของเด็กนักเรียน ชั้น ป.๖ โรงเรียนบ้านเตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ อ.นฤมล ว่านเครือ และ อ.อำไพ สุจนิลที่ได้อุตส่าห์ส่งบันทึกของเด็กมาให้ทั้งสองโรงเรียน

ฉะนั้น บันทึกในตอนนี้ จะเป็นการเล่าผลการปฏิบัติต่อจากคราวที่แล้ว จะขอเริ่มต้นจากเด็กผู้หญิงก่อนต่อไป..สวัสดี


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 15/6/20 at 09:05

[ ตอนที่ 19 ]

เด็กอภิญญามาหา


...ขอย้อนเล่าเรื่อง เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๕ ที่คณะครูและนักเรียนจากเชียงใหม่ โรงเรียนบ้านบวกเปา (เด็ก ๘ คน) และโรงเรียนบ้านเตาไห (เด็ก ๒ คน) เดินทางมาเพื่อกราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อถึงที่วัด เพื่อรายงานผลการฝึกมโนมยิทธิให้ท่านฟัง

เนื่องจากได้เคยนำเด็กมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่องานเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๓๕ แต่ในวันนั้นไม่สะดวก เพราะมีคนเป็นจำนวนมาก จึงต้องหาโอกาสมาในเวลาที่วัดไม่มีงาน ผลปรากฏว่าโชคดีที่หลวงพ่อเปิดโอกาสให้พวกเราได้ฟังเรื่องราวดังต่อไปนี้

ณ ที่ตึกรับแขก เมื่อถึงเวลาหลวงพ่อเดินทางมาถึงแล้ว เด็กนักเรียนทั้งสองโรงเรียน จึงได้กราบนมัสการหลวงพ่อพร้อมกัน บางคนก็เข้าไปทำบุญบ้าง ถวายสังฆทานกันบ้าง หลวงพ่อก็มอบของที่ระลึกให้ หลังจากมีญาติโยมถวายสังฆทานเสร็จแล้ว

ผลเบื้องต้นของมโนมยิทธิ
...เริ่มจากครูที่ ร.ร.บ้านบวกเปาเล่าถวายว่า หลังจากนักเรียนที่โรงเรียน ฝึกมโนมยิทธิได้แล้วมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป นักเรียนฝึกได้แล้วทำให้กลัวบาป รักษาศีลดี ทำให้เงินไม่ค่อยหายเหมือนแต่ก่อน

อีกประการหนึ่ง เด็กที่เรียนหนังสือไม่เก่ง พ่อแม่มีปัญหาแยกทางกัน ก็กลายเป็นเด็กเรียนดีขึ้น ลำดับต่อไป นักเรียนจาก ร.ร.บ้านเตาไห ๒-๓ คน เป็นทีมร่วมฝึกชุดเดียวกัน คือ

ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์ และ ด.ญ.จารุณี มณี ฝึกคล่องตัวมาก สามารถนำกายดิบๆ (กายเนื้อ)ไปท่องเที่ยวและแปลงร่าง (อภิญญา)ได้

เป็นอันว่า เด็กสามารถฝึกอภิญญาได้ตั้งแต่อายุ ๑๐-๑๑ ขวบ โดยเริ่มฝึกจากวิชามโนมยิทธิครึ่งกำลัง ตามแบบที่พวกเราฝึกกันอยู่นั่นเอง

เด็กชุดนี้เริ่มฝึกเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม เพียงแค่วันที่ ๓ ของการฝึก ก็สามารถใช้มโนมยิทธิไปเรียนกับครูบาอาจารย์ ที่ไม่ใช่เป็นมนุษย์ต่อไปได้อีก มโนมยิทธิครึ่งกำลังของหลวงพ่อ จึงเป็นบันไดให้ได้อภิญญาใหญ่ด้วยประการฉะนี้


เด็กอภิญญามาหา
บันทึก โดย คุณบุษพร (จําปี) คืนคงดี
(เจ้าหน้าที่ฝ่ายอาหาร ร.ร.พระสุธรรมยานเถระ)

...สิ่งที่ข้าพเจ้าจะเขียนต่อไปนี้ เป็นการแนะนำจากท่านพระปลัดวิรัช โอภาโส เพราะท่านทราบว่าเด็กชายบัญชา เด็กหญิงจารุณี มาหาข้าพเจ้า จะเรียกว่าฝันก็ได้

เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบกับเด็กทั้งสอง คือเด็กชายบัญชา เด็กหญิงจารุณี แห่งโรงเรียนแม่เตาไห จังหวัดเชียงใหม่

เธอเป็นเด็กที่ฝึกอภิญญาได้ เธอมากราบหลวงพ่อที่ตึกรับแขก และเธอได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เธอได้ไปเที่ยวมา

มีหลวงปู่ท่านได้นำไปตามที่ต่างๆ และวันนั้นเธอยังไม่กลับ น้องพรนุชจึงชวนเธอทั้งสองมานอนที่วิหารร้อยเมตร และเราได้คุยถึงการปฏิบัติกรรมฐาน

เธอบอกว่าหลวงปู่มาสอนการปฏิบัติให้เธอ ถึงการฝึกจิต เธอบอกว่าหลวงปู่มาแนะนำให้เธอตอนกลางคืน

ข้าพเจ้าก็ถามว่าทำจิตอย่างไร จึงไปแบบเต็มกำลังได้ เธอบอกหลวงปู่มาสอนให้เธอทำจิตให้ว่างจากกิเลสทั้งปวง และรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ให้ได้ แล้วภาวนา

เธอบอกว่าตัวเธอภาวนา "พุทโธ" ก่อนสักครู่ แล้วก็ภาวนา "นะมะพะธะ" เอาจิตจับอยู่ที่ปลายจมูก ไม่สนใจสิ่งใด ตัดทิ้งให้หมดแล้วจิตจะไปได้ พอรุ่งเช้าเธอก็ลากลับเชียงใหม่ และหลังจากที่เธอกลับไปแล้ว

ถ้าจำไม่ผิดในราวปลายเดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ คืนนั้นข้าพเจ้าหลับอยู่ จะว่าหลับสนิทก็อาจจะไม่เชิง เพราะมีความรู้สึกว่ามีคนเข้ามาในห้องของข้าพเจ้า ทั้งๆ ที่ห้องปิดใส่กลอนอยู่

ข้าพเจ้าก็พลิกตัวกลับมา ก็เห็นเด็กผู้ชายวิ่งแวบ..เข้าไปแอบอยู่ใต้โต๊ะเขียนหนังสือ ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกว่า ต้องเป็นเด็กชายบัญชาแน่ ก็เลยถามเธอว่า จารุณีไม่มาด้วยหรือ ก็พอดีจารุณีก็เดินผ่านประตูเข้ามา

ในความรู้สึกว่า ข้าพเจ้าชวนเธอไปหาน้องพรนุช พอไปถึงเห็นน้องพรนุชกำลังคุยอยู่กับใครอยู่ก็ไม่ทราบ พอหันมาเธอก็กลับไปแล้ว

หลังจากนั้น ต่อมาเธอก็เขียนจดหมายมาคุยกับเด็กนักเรียนที่เลี้ยงหมา เธอบอกว่าเมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๓๕ เธอมาหาเด็กเลี้ยงหมา และเธอบอกมาแหย่และปลุกเรียกเด็กเลี้ยงหมา แต่ไม่มีใครตื่นเลย เธอก็เลยกลับไป


เมื่อคุณบุษพรเล่ามาถึงตอนนี้ ผู้เขียนขอนําจดหมายมาลงไว้ให้ทราบ ซึ่งเป็นสํานวนของเด็กชายบัญชาว่าดังนี้

๗ กันยายน ๒๕๓๕
สวัสดีครับ พี่อ้อย
...พี่อยู่ทางนี้สบายดีหรือเปล่า ส่วนผมสบายดี ผมนึกว่าจะไม่ได้รับจดหมายของพี่เสียแล้ว พอนึกไปนึกมา ครูเด็กเล็กก็เอาจดหมายมาให้ผม พี่ครับทีนี้ พี่ไม่ต้องส่งซองจดหมายมาให้ผมอีก เปลืองเงินพี่

วันที่ ๕ กันยายน ผมก็ไปเที่ยวหาพี่ๆ ผมยังไปยืนข้างๆ พี่เลย ผมเลยจับแขนพี่ พี่ก็ยังเฉย คงหลับสนิทซิท่า แล้วผมยังบีบจมูกพี่ตื่น

ผมอยากให้ถึงเดือนตุลาไวๆ ที่พี่เขียนมาว่ารบกวนหรือเปล่า ผมขอตอบว่าไม่รบกวนเลย ฉบับนี้ผมได้ส่งรูปมาให้ด้วย

สุดท้ายนี้น้องขอให้พี่สอบตกก็แล้วกัน จะได้พบกันนานๆ หรือว่าพี่จะไม่ตกก็ตามใจ สวัสดี

รักและคิดถึงมากๆ
น้องบัญชา


สําหรับ ด.ญ.จารุณี มณี มีบันทึกส่งมาให้ดังนี้

วันที่เหาะไปวัดท่าซุง
"...วันที่ ๕ ก.ย. ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ตี ๓ หนูและบัญชาเหาะไปวัดท่าซุง หนูไปถึงวัด หนูรีบไปดูปลาที่แม่น้ำ เพราะตอนที่หนูมาวัดคราวที่แล้ว ๒๕ ส.ค. ๒๕๓๕ หลวงลุงชัยวัฒน์บอกว่าปลาตายมาก

หนูจึงไปดู ดูปลาเสร็จหนูไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนหลับ และเขากําลังละเมอว่า "ช่วยด้วย ๆ"

หนูมองดูเขาและอยากทราบว่า เขาฝันเห็นอะไร หนูก็เลยเข้าไปในฝันของเขา พบว่าเขากําลังเจองูตัวใหญ่ หนูเข้าไปช่วยกับบัญชา ช่วยเสกให้งูนั้นหายไป

แล้วบอกกับป้าว่า "ไม่ต้องกลัวมันไปแล้ว" ป้าก็ขอบคุณหนู แล้วหนูออกจากความฝันไปกุฏิหลวงปู่ (เด็กหมายถึงหลวงพ่อ)

หลวงปู่กําลังนั่งกรรมฐาน ไปหาพี่น้ำอ้อยที่ห้องพัก พี่น้ำอ้อยกําลังหลับ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น จะเอาอะไรเขี่ยก็ไม่ตื่น

แถมเจอแต่บาทาเหวี่ยงเข้ามาบังเอิญ เลยได้ของฝากจากวัดท่าซุงเข้าเต็มหน้าเลยค่ะ หลังจากนั้นหนูจึงไปกราบลาหลวงปู่ แล้วก็เหาะกลับบ้าน

คิดถึงพี่เสมอค่ะ
จารุณี


อธิบายเพิ่มเติม
...คุณบุษพร (จําปี) เป็นพี่สาวของ ครูพรนุช คืนคงดี สมัยก่อนทำอาหารอยู่ในโรงเรียนพระสุธรรมยานเถรวิทยา ผู้เขียนก็เพิ่งทราบว่า ตอนที่เด็กมาวัดท่าซุงนั้นได้ชวนเด็กๆ มานอนด้วย

สมัยนั้นครูพรนุชคงเป็นครูใหญ่โรงเรียนพระสุธรรมฯ ทำให้เด็กอภิญญาได้รู้จักกับเด็กนักเรียน ร.ร.พระสุธรรมฯ ที่ชื่อเล่นว่า "อ้อย" จนเป็นเหตุให้เขียนจดหมายถึงกันได้

บันทึกของคุณบุษพร คืนคงดี ถือว่ามีประโยชน์มาก ในการยืนยันว่าเด็กสามารถแสดงฤทธิ์ได้ เหาะเหินเดินอากาศและหายตัวได้จริง

เรื่องราวเหล่านี้จึงพิสูจน์ได้ให้เห็นเป็นรูปธรรม ภายในโลกสมมุติปัจจุบันนี้ ที่อาจจะมีผู้ใหญ่บางคนทำไม่ได้เหมือนเด็ก แล้วก็กล่าวตู่พระพุทธศาสนาว่าไม่มีจริง


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 18/6/20 at 05:43

[ ตอนที่ 20 ]

ชวนลูกศิษย์ฝึกมโนมยิทธิ
อ.อุษา ศวิตชาต ผู้บันทึก


...สำหรับเรื่องราวในตอนนี้ คงจะเป็นการย้อนกลับไปพบกับการบันทึกของเด็กอภิญญากันต่อไป แต่ก่อนที่จะพบกับเรื่องราวเหล่านั้น ต้องขอเชิญท่านผู้อ่านแวะเรื่อง "ผู้ใหญ่อภิญญา" กันเสียก่อน

นักแสดงมายากล
...ท่านผู้อ่านครับท่านคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงของนักมายากลก้องโลกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวสหรัฐมีนามว่า นายเดวิด คอปเปอร์ฟีล (David Copperfield)

ซึ่งสถานีโทรทัศน์หลายช่อง เคยนำรายการนี้มาออกอากาศ เมื่อชมการแสดงจากม้วนวีดีโออีกด้วยปรากฏว่า เขาแสดงได้อย่างชัดเจนมากต่อหน้าผู้ชมมากมาย แต่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์เขาได้เลย การแสดงเขามีมากมายหลายรายการเช่น

การเดินทะลุกำแพงเมืองจีนโดยมีเครื่องวัด, การเต้นของหัวใจตลอดเวลา, การทำให้เครื่องบินหายไปได้, การหนีออกมาจากการระเบิดของตึกสูง โดยมีทีวีวงจรปิดไว้ให้ดูตลอดเหตุการณ์ เขาก็สามารถมาปรากฏอยู่ใต้แผ่นผ้าที่ปูไว้อยู่บนโต๊ะกลางถนนได้อย่างปลอดภัย

เรื่องนี้เป็นที่ประหลาดใจมากเพราะไม่ว่าใครๆ ก็ต้องนึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของนักแสดงมายากลทั่วๆ ไป แต่เมื่อได้รับฟังความเห็นจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ โดยท่านพระปลัดวิรัช โอภาโส ถ่ายทอดให้ทราบว่า

เมื่อคราวหลวงพ่อเดินทางไปโปรดลูกหลานที่สหรัฐอเมริกา ในเดือนเมษายน ๒๕๓๕ นั้น ขณะที่อยู่ที่ชิคาโกช่วงวันที่ ๒๒ - ๒๗ เมษายน ๒๕๓๕

นายแพทย์สบสันต์ วงษ์ภักดี (ปัจจุบันบวชอยู่ที่วัดท่าซุง)ได้ถามปัญหาหลวงพ่อมากมาย มีอยู่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ น.พ.สบสันต์ถามว่าหลวงพ่อเรื่อง "นักแสดงมายากล" หนุ่มชื่อดังของอเมริกาชื่อ เดวิด คอปเปอร์ฟีล

ที่สามารถแสดงกลได้ยอดเยี่ยมมากอย่างเช่นเขาทำภาพเจ้าแม่สันติภาพที่นิวยอร์คหายไปโดยเอาผ้าม่านบังไว้แล้วหายไปมันป็นเรื่องแปลมหัศจรรย์มาก

หลวงพ่อตอบว่า มันไม่แปลกอะไรเพราะนั่นเป็นอภิญญาเป็นของจริงที่เขาทำได้จริงๆ คุณหมอสบสันต์ถามย้ำด้วยความไม่แน่ใจอีกว่า

"เป็นอภิญญาหรือครับ?"

หลวงพ่อจึงชี้แจงว่า ใช่..เป็นอภิญญา เขาไปฝึกกับพระที่เมืองจีนตั้งแต่อายุุ ๖ ขวบ

คุณหมอถามต่อไปว่า แล้วทำไมเขาจึงเรียกว่าเล่นมายากลละครับ?

หลวงพ่ออธิบายว่า อ้าว...ตัวเขารู้ว่าเขาทำได้จริงแต่ถ้าเขาไปบอกว่า เขาได้อภิญญาใครเขาจะไปเชื่อ และถ้าไม่เชื่อไปว่าเขาเข้าก็เป็นการปรามาสเขาเข้าไปอีก.."


...ดังนั้นเขาเลยบอกว่าเป็น "มายากล" ส่งไปเลยหมดเรื่องหมดราวอย่างนี้ดีกว่า ใครว่าอะไรไม่ได้ บอกเป็น "มายากล" ใครอยากคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา แต่จริงๆ แล้วเขาได้อภิญญา หลวงพ่อท่านไขข้อข้องใจให้ทราบเพียงแค่นี้ ส่วนภายหลังมีเรื่องคดีฟ้องร้องก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

เมื่อตอนที่แล้วได้นำเรื่องเล่าจากเด็กนักเรียนที่ จ.เชียงใหม่ โดยการฝึกของ อ.อำไพ สุจนิล และ อ.นฤมล ว่านเครือ แต่ที่ยังไม่ได้นำมาเล่าคือที่ โรงเรียนเขากบ (วิวรณ์สุขวิทยา) จ.นครสวรรค์ โดย อ.อุษา ศวิตชาต

ชวนลูกศิษย์ฝึกมโนมยิทธิ
อ.อุษา ศวิตชาต ผู้บันทึก
"...ลูกศิษย์ดิฉัน 7 คนได้มาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2534 เมื่อ 7 คนนี้กลับไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง

มีอยู่คนหนึ่ง เขาได้พบกับพ่อของเขาที่ตายไปแล้ว ได้สอนให้เขาทำความดี เมื่อเพื่อนๆ ได้ฟัง 7 คนนี้เล่าให้ฟัง เขาก็นัดกันมาอีก 21 คน

ใน 21 คนนี้ มีอยู่คนหนึ่งฟังเพื่อนเล่าแล้ว พอเขาไปฝึก เขาเห็นด้วยจิต ไม่ชัดเจนแจ่มใสเหมือนเพื่อนๆ เขาไม่เข้าใจ ก็เลยไม่ได้ตามครูฝึกและเพื่อนๆ ไปให้ตลอด

ดิฉันรู้สึกเสียดายมาก รุ่นต่อมาก็มาอีก 18 คน แต่คนที่เห็นด้วยจิตไมได้ไปด้วย ดิฉันจึงให้คนที่คล่องๆ มาลองฝึกให้คนนี้ดู แล้วให้อีกคนหนึ่งที่ระลึกชาติได้ว่า เคยเกิดเป็นพระมาฝึกให้อีกคนหนึ่ง

ลองฝึกดู 2 คู่ ก็ปรากฏว่าฝึกได้ จึงให้ 2 คนนี้ฝึกให้เพื่อนๆ ในตอนพักกลางวัน นักเรียนที่ดิฉันสอน 3 ห้องๆ ละ 30 กว่าคน ฝึกได้เกือบหมดแล้ว บางห้องได้หมด ยังมีคนที่เห็นด้วยจิตอีกไม่กี่คน

บางคนอาจจะลังเลสงสัย ดิฉันจึงให้เขาฝึกโดยจับมือเพื่อนไว้ ให้เขามั่นใจว่า เพื่อนจะพาเขาไป ทำให้เขาฝึกได้ชัดเจนแจ่มใสขึ้น ใน 3 ห้องนี้ จะเหลือคนที่เห็นด้วยจิตอีกสัก 2 – 3 คน

พอดีปิดเทอมค่ะ พวกนี้เป็นพวกเด็ก ป.6 มีเด็ก ป.5 หลายๆ คนก็มาให้เด็ก ป.6 ช่วยสอนให้ในตอนพักกลางวันด้วย ดิฉันจะให้เขานั่งก่อนเรียน 10 – 15 นาที จึงเรียนหนังสือ

โดยบอกเขาก่อนนั่งว่า ให้ไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ตัวเองนั่งคุมอยู่หน้าห้องเรียน (ดิฉันไม่ได้สอนวิชาจริยะ) เขาสนใจกันมาก มีอยู่คนหนึ่งนะคะ หลังจากไปฝึกสมาธิแล้วไม่นาน แม่เขาตาย

ดิฉันบอกให้เขานำเงินใส่ซอง 10 หรือ 20 บาทก็ได้ เขียนที่ซองว่า ทำบุญสังฆทานให้กับแม่ของเขา เมื่อบอกให้เขานั่งสมาธิ เขาก็ได้พบแม่ของเขา ทำให้เขาดีใจมาก เด็กพวกนี้จะเก็บเงินค่าขนมมากันเอง

ดิฉันแนะนำให้เขานำข้าวใส่กล่องมาทานกลางวันด้วยเพื่อประหยัดเงิน ตอนนี้ พวกเด็กๆ ไม่ได้ไปวัดกันอีก บางคนไป 1 ครั้งหรือ 2 ครั้ง น้อยคนมากที่ไปถึง 3 ครั้ง บางคนไม่เคยไปเลย เพื่อนฝึกให้

ก่อนเรียนบางครั้งดิฉันก็ให้ขอบารมีไปดูนรก เพื่อให้เขากลัวการทำบาป บางคนก็จะไปพบญาติของเขาที่นรกด้วย ได้แนะนำให้เขาฝากเงินเพื่อนๆ ไปทำบุญที่วัดท่าซุงคนละ 1 บาทก็ได้

เพราะเด็กๆ ที่โรงเรียนดิฉันส่วนมากแล้วจน จึงทำตามหลวงพ่อ คือให้เก็บค่าขนม 1 บาท ฝากเพื่อนไปทำบุญ พอถึงเวลาจะเรียน นั่งสมาธิไปดูวิมานตัวเอง เขาก็ได้เห็นผลของการทำบุญ

ก่อนปิดเทอมนี้ดิฉันจึงให้นั่งสมาธิแล้วไปเที่ยววัดท่าซุง เพื่อให้คนที่ไม่เคยไปวัดเลยได้ไปสัมผัสกับวัดท่าซุงด้วยมโนมยิทธิ เผื่อว่าปิดเทอมใครจะชวนพ่อแม่ไปวัดกันบ้าง

ดิฉันเลยกลายเป็นครูฝึกไปโดยปริยาย เพราะความอยากให้เขาได้ฝึก แต่พ่อแม่บางคนไม่ยอมให้ไป ถ้าดิฉันไม่พาไป ดิฉันบอกให้เขาไป

แต่ตัวเองก็ไปดูเขาโดยไม่บอกให้เขารู้ว่าจะไป ไปอยู่ 2 ครั้งก็ปล่อยเขาไปเอง เมื่อพวกนี้ฝึกได้แล้ว ก็เลยไม่ค่อยไปวัดกัน เพราะทุกวันดิฉันจะให้เขาขึ้นไปกราบองค์สมเด็จที่เมืองนิพพานแล้วไปกราบหลวงพ่อ

เพื่อระลึกถึงบุญคุณของหลวงพ่อที่นำวิชามโนมยิทธิมาสอน ให้พวกเขาไปเที่ยวพระจุฬามณีที่เมืองนิพพาน ที่วิมานของหลวงพ่อ ที่วิมานของเขาเอง

บางครั้งให้เข้าไปสำรวจในตัวเองว่า เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกอย่างไร แนะนำให้เขาถือศีล 5 ทุกวัน พอวันพระ ก็ลองให้เพิ่มอีก 1 ข้อคือ ไม่นอนที่นอน

แต่บางคนบอกว่าผมได้ 7 ข้อ เพราะผมไม่ดูทีวี เนื่องจากที่บ้านเขาไม่มีทีวี เลยเขียนมาเล่าให้ฟังเสียยืดยาวเลยนะคะ..สวัสดีค่ะ"


หมายเหตุท้ายเรื่อง - เด็กนักเรียนที่เคยลงเรื่องเล่าไปแล้วได้แก่..
ด.ญ.วิมลศรี เปรมวัฒนะ (ป.๖/๒)
ด.ช.อานนท์ แจ้งจิต (ป.๖/๑)
ด.ญ.ปราณี สระแก้ว (ป.๖/๒)
ด.ญ.นิรัชรา เดชาภูมิ (ป.๖/๓)
ด.ญ.ศิริจรรยา ศรีสุวรรณ์ (ป.๖/๓)

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 22/6/20 at 09:31

[ ตอนที่ 21 ]

สรุปการฝึกอภิญญาวิชาการต่างๆ


...ผู้เขียนได้นำผลการฝึก "มโนมยิทธิ" ของเด็กนักเรียนโรงเรียนเขากบ (วิวรณ์สุขวิทยา) จ.นครสวรรค์ จาก อ.อุษา ศวิตชาติ ได้แก่

ด.ญ.วิมลศรี เปรมวัฒนะ (ป.๖/๒)
ด.ช.อานนท์ แจ้งจิต (ป.๖/๑)
ด.ญ.ปราณี สระแก้ว (ป.๖/๒)
ด.ญ.นิรัชรา เดชาภูมิ (ป.๖/๓)
ด.ญ.ศิริจรรยา ศรีสุวรรณ์ (ป.๖/๓)

โรงเรียนบ้านแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกศิษย์ของ อ.อำไพ สุจนิล เริ่มฝึกวันแรกเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๕ ตามที่ได้นำมาให้อ่านผ่านไปแล้ว คือ

ด.ญ. พัชราภรณ์ ขอดแก้ว
ด.ญ. สุมาลี ปัญโญ
ด.ญ. อำพร ภูเขา
ด.ญ. สุนทรีย์ ชัยดารา
ด.ช. ดนตรี บุญเพิ่มพูน
ด.ช. ธีรยุทธ จันทร์แดง
ด.ช. นพดล ต่อกัน

ส่วนเด็กนักเรียน โรงเรียนแม่เตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ฝึกสอนโดย อ.นฤมล ว่านเครือ เริ่มฝึกวันแรกเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ชุดนี้มี ๓ คน คือ

ด.ช. บัญชา กันทะวงศ์
ด.ญ. จารุณี มณี
ด.ญ. ไพริน บุญมา

ตามที่ได้เล่าวิธีฝึกวิชาต่างๆ ไปบ้างแล้ว จนกระทั่งได้มากราบหลวงพ่อถึงที่วัดท่าซุง ตามที่ได้นำคลิปวีดีโอมาให้ชมกันแล้ว เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๕ และวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๓๕ (ยังเหลืออีก ๒ คลิป)

ในตอนนี้ผู้เขียนจะขอสรุปวิชาต่างๆ ที่เด็กเรียนไปแล้วตั้งแต่ต้นจนจบไว้ให้ทราบก่อน ซึ่งบางวิชายังไม่ได้ลงให้อ่านกัน และจะทยอยลงไปจนกว่าจะจบ

ซึ่งเวลานี้เด็กเรียนจบแล้วกำลังศึกษาเรื่องวิปัสสนาญาณอยู่ ต่อนี้ไปอาจารย์นฤมล ว่านเครือ จะสรุปให้ทราบไว้ดังนี้


เด็กชายบัญชา กันทะวงศ์, เด็กหญิงไพลิน บุญมา วิชาที่เรียนกับหลวงปู่ปาน สถานที่เรียน เข้าฌานป่าหิมพานต์
- เหาะ วิมานหลวงปู่
- เสกของ ป่าหิมพานต์
- จุดไฟดับไฟ เขาวงกต
- ดำดิน ป่าหิมพานต์
- ทะลุกำแพง วัดท่าซุง
- เดินบนน้ำ สระอโนดาต
- ล้างจาน สระโบกขรณี
- เดินลอยตัว ป่าหิมพานต์
- สลาตัน ป่าหิมพานต์

- นั่งบนน้ำ สระอโนดาต
- หักไม้ป่า หิมพานต์
- ดำน้ำใต้สมุทร ทะเลนอกฝั่งภูเก็ต
- เตะภูเขา เขาวงกต
- ตาทิพย์ วิมานหลวงปู่
- บังคับของ เขาวงกต
- เนรมิตภาพ วิมานหลวงปู่
- อ่านใจคนสระอโนดาต ป่าหิมพานต์
- ทบทวนวิชาต่างๆ วิมานหลวงปู่
- พูดภาษาสัตว์

- โยคะขั้นที่ ๑ ที่วัดท่าซุง
- ขั้นที่ ๒ วิมานหลวงปู่
- ขั้นที่ ๓ ที่บ้าน
- ขั้นที่ ๔ ป่าหิมพานต์
- ขั้นที่ ๕ สระโบกขรณี
- ให้พิจารณาตนเอง วิมานหลวงปู่


เด็กหญิงจารุณี มณี วิชาที่เรียนกับหลวงปู่ฤาษีขาว ที่ภูเขาหิมาลัย
- กสิณน้ำ
- กสิณลูกแก้ว
- เสกใบไม้ให้เป็นตะขาบ
- เรียกลมเรียกฝน
- น้ำออกจากนิ้วมือ
- เรียกสัตว์
- ทะลุถ้ำ
- ใช้จิตยกของ
- เลียนเสียงสัตว์
- แยกร่าง
- แปลงร่าง

หมายเหตุ จารุณี ไปเรียนวิชากุลสตรีกับ ท่านแม่ศรีคนเดียว ขณะที่บันทึกนี้ทั้ง ๓ คนกำลังเรียนกับ ท่านพระฤาษีตาไฟ ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ถ้ำไฟมรณะ คือ

- วิชาตาไฟ
- วิชาตาเหยี่ยว
- แสงออกจากลูกแก้ว
- วิชาพ่นไฟ


อันดับต่อไปขอสรุปวิชาต่างๆ ที่อาจารย์นฤมล ว่านเครือ เรียนกับหลวงปู่ปานบ้าง หลวงปู่ฤาษีขาวบ้าง และหลวงปู่ทวดดังนี้

อาจารย์นฤมล ว่านเครือ เรียนกับหลวงปู่ปาน สถานที่เรียน
- เข้าฌาน วิมานหลวงปู่
- เหาะ ป่าหิมพานต์
- ดำดิน ป่าหิมพานต์
- เสกของ วิมานหลวงปู่
- สลาตัน ป่าหิมพานต์
- จุดไฟดับไฟ ป่าหิมพานต์
- หักไม้ ป่าหิมพานต์
- อ่านใจคน ป่าหิมพานต์
- เพ่งลูกแก้ว วิมานหลวงปู่

เรียนกับหลวงปู่ฤาษีขาว ที่ภูเขาหิมาลัย
- ทะลุถ้ำ
- เสกใบไม้ให้เป็นตะขาบ
- แปลงร่าง
- เดินลอยตัว

เรียนกับหลวงปู่ทวด ที่ทะเลภูเก็ต
- เดินบนน้ำ
- นั่งบนน้ำ
- ข้ามน้ำ
- เดินลอยตัว
- จ้องน้ำในกายหรือกสิณในกาย


นับว่าน่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งที่สามารถฝึกฝนจนได้รับผลสำเร็จ ทำเอาผู้ที่กำลังจะหมดหวังเรื่องของอภิญญาพอจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก

แต่ก็นั่นแหละ โอกาสที่จะได้พบเห็นการแสดงฤทธิ์เช่นเดียวกับมิสเตอร์เดวิดนั้น คงจะต้องผิดหวังไปก่อนไว้ ต้องรอตอนโลกวิกฤตนั่นแหละ ซึ่งเด็กบอกว่าหลวงปู่ปานถึงจะอนุญาตให้แสดงได้

ในตอนนี้ ขอเชิญพบกับการแสดงฤทธิ์จากคำบอกเล่าไปพลางๆ ก่อนนะ


🏵 หลวงปู่ฉายจิตในอดีตให้ผมดู
🌼 ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์
...วันที่ ๓๑ ส.ค. ๒๕๓๕ ผมสวดมนต์ไหว้พระ เวลา ๒๑.๓๐ น. แล้วขึ้นไปหาหลวงปู่ปาน หลวงปู่ท่านบอกว่าจะหยุดทบทวนวิชาสักวัน เพราะวันนี้เป็นวันสิ้นเดือน หลวงปู่บอกว่าวันนี้จะฉายจิตให้ดูว่า พวกแกเคยซนและเคยเรียนเป็นอย่างไรบ้าง

พอหลวงปู่ฉายจิตภาพที่ปรากฏให้เห็นเหมือนทีวี เป็นภาพอดีตที่ผมเคยเรียนกับหลวงปู่มาในอดีตหลวงปู่ชมว่า แกนี้ดีกว่าเพื่อนไม่ค่อยเถลไถลเหมือน "จารุณี" กับ "ไพลิน" ในอดีตแกก็นิสัยอย่างนี้

แล้วหลวงปู่ก็ฉายให้ดูอีกเป็นภาพที่มีแสงครอบคลุมตัวหลวงปู่ปานและตัวผมเอง พอหลวงปู่ปานฉายเสร็จผมก็หันไปดูตัวหลวงปู่ปานจริงๆ ก็เป็นเหมือนที่ท่านฉายภาพให้ดู

ภาพที่ผมเห็นตัวผมเองก็เป็นเด็กผู้ชาย จารุณีเป็นเด็กผู้ชาย ไพลินเป็นเด็กผู้หญิง ขณะนั้นไพลินกำลังร้อยมาลัย จารุณีกำลังเด็ดดอกไม้ ส่วนผมวิ่งเล่นในสวนดอกไม้

และภาพที่ผมเคยเรียนกระบี่กระบองกับหลวงปู่ ภาพที่ผมกำลังท่องตัวคำเมืองแล้วนั่งสมาธิ เมื่อจบแล้วผมก็กราบหลวงปู่ลงมา


เมื่อไปทบทวนวิชากับหลวงปู่ปาน
ด.ญ.จารุณี มณี
...วันที่ ๓๑ ส.ค. ๒๕๓๕ วันนี้หนูสวดมนต์ไหว้พระ แล้วขึ้นไปสระโบกขรณีที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไปเรียน "วิชาล้างจาน" คือขออำนาจบารมีพระพุทธเจ้า

ขอให้น้ำพุ่งออกจากมือแล้วพุ่งไปที่จาน น้ำจะหมุนจนจานสะอาด ทำจิตให้นิ่งแล้วใช้นิ้วชี้จานให้ลอยขึ้นมาอยู่ตรงที่ต้องการจะเก็บ

ต่อจากนั้นก็ไปเรียนวิชาลอยตัว โดยไปเรียนที่ป่าหิมพานต์ เริ่มด้วยการขออำนาจบารมีพระพุทธเจ้า แล้วยืนขึ้นทำจิตให้นิ่งรู้สึกตัวเบา แล้วค่อยๆ ลอยขึ้นมา

จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าวันนี้เดินได้ ๑๒ ก้าว แล้วหลวงปู่ก็บอกให้พอ จากนั้นไปเรียนวิชาอื่นต่อคือวิชาสลาตัน

กำหนดจิตขออำนาจบารมีพระพุทธเจ้ากำหนดจิต "พุทโธ" พอจิตนิ่งตัวเริ่มลอยขึ้นแล้วค่อยๆ หมุนจนกระทั่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ

แล้วอธิษฐานขอให้หมุนไปทางซ้ายทางขวา แล้วหมุนขึ้นข้างบน หมุนจากป่าหิมพานต์ สวรรค์ชั้นที่ ๕ ขึ้นไปถึงพรหมชั้นที่ ๖

แล้วหลวงปู่ก็เรียกให้ลงมาแล้วให้เหาะไป "ถ้ำผาปล่อง" ไปกราบหลวงปู่สิม แล้วหลวงปู่ก็มาส่งที่บ้านของหนู


หลวงปู่เมตตาถ่ายพลังให้
ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์
...เมื่อคืนวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๕ เมื่อผมไหว้พระสวดมนต์แล้วผมได้ขึ้นไปหาหลวงปู่ปาน ท่านบอกผมว่าอย่าใช้พลังให้มันมากนัก ถ้าจะใช้ก็ต้องใช้เวลาที่จำเป็นจริงๆ เจ้าจงจำให้ติดใจ

หลวงปู่ปานท่านถ่ายทอดพลังให้ผม ท่านกำชับว่าอย่าใช้พลังในทางที่ผิด ผมกราบขอบพระคุณท่านแล้ว ผมก็ไปเที่ยวที่สวรรค์ นรก พรหม และนิพพาน แล้วผมก็กลับลงมา


ไปดูถ้ำเชียงดาว
ด.ญ.จารุณี มณี
...วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๕ เวลา ๒๓.๐๐ น. สวดมนต์ไหว้พระแล้วนั่งสมาธิ และขอไปที่บ้านคุณยายที่เชียงดาว เพราะทราบข่าวว่าท่านตาย เพื่อจะไปดูว่าท่านเป็นอย่างไร

หนูเห็นเขาจัดงานศพวุ่นวาย จึงชวนบัญชาไปลอดถ้ำเชียงดาว ในถ้ำมืดมาก หนูขออำนาจบารมีพระพุทธ
เจ้าขอให้ไฟพุ่งออกจากนิ้วเพื่อให้เกิดแสงสว่าง

แล้วมีไฟออกมาจริงๆ จากนั้นหนูและบัญชาจึงเดินไปจนสุดถ้ำ บัญชาเห็นหนูที่อาศัยตามซอกหินในถ้ำตกใจร้องขึ้นว่าช่วยด้วย

แล้วจึงชวนกันกลับมาที่บ้านแล้วขึ้นไปดูคุณยายที่ตายว่าท่านไปอยู่ที่ไหน ก็เห็นท่านไปอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๖ ขึ้นไปพบท่านคุณยายแต่งชุดสีขาว

เหมือนแม่ขาวที่ไปวัด ท่านพูดว่า ทำบุญให้ยายด้วยนะ ยายจะได้ขึ้นนิพพาน หนูก็รับปากท่านแล้วก็ชวนกันกลับบ้าน


เมื่อผมเรียนวิชาโยคะ
ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์
วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๓๕ ผมได้ขึ้นไปเรียนกับหลวงปู่ปาน หลวงปู่ท่านบอกว่าข้าจะสอนวิชาใหม่ล่าสุดให้เจ้าก่อนคือ "วิชาโยคะ" เจ้าจะเรียนไหม

ผมก็บอกว่าเรียนครับเรียน หลวงปู่ก็พาผมไปที่วิมานของท่านหลวงปู่ปานบอกว่า วิชาโยคะนี้ข้าจะสอนให้แก ๕ ขั้นเพื่อทดสอบความอดทน

ขั้นที่ ๑ ให้ม้วนตัวให้เข้าในกล่องขนาด ๔๕ ซ.ม.
ขั้นที่ ๒ ให้หยุดหายใจได้หลายชั่วโมง
ขั้นที่ ๓ ทำให้หัวใจหยุดเต้นและทำให้เต้นใหม่
ขั้นที่ ๔ ให้เอาหัวมุดดินให้ถึงคอให้ถึง ๒ วัน
ขั้นที่ ๕ นั่งสมาธิแล้วลอยตัว ถ้าสมาธิไม่ดีก็จะตกลงมาใส่ตอไม้

ผลการทดสอบ
ขั้นที่ ๑ จะอยู่ในกล่องคนละ ๑๐ นาที
ขั้นที่ ๒ บัญชา ครั้งแรกสุด ๑ นาที
ครั้งที่สอง ๑ ชั่วโมง
ครั้งที่สาม ๑ ชั่วโมง ๔๕ นาที
ครั้งที่สี่ ๓ ชั่วโมง
ครั้งที่ห้า ๓ ชั่วโมง ๒๕ นาที
ครั้งที่หก ๔ ชั่วโมง

จารุณี ครั้งแรก ๕ นาที
ครั้งที่สอง ครึ่งชั่วโมง
ครั้งที่สาม ๓ ชั่วโมง
ครั้งที่สี่ ๕ ชั่วโมง

ไพลิน ครั้งแรก ๑ นาที
ครั้งที่สอง ๑ ชั่วโมง
ครั้งที่สาม ๑ ชั่วโมง ๔๕ นาที
ครั้งที่สี่ ๓ ชั่วโมง
ครั้งที่ห้า ๓ ชั่วโมง ๒๕ นาที
ครั้งที่หก ๔ ชั่วโมง

ขั้นที่ ๓ บัญชาหยุดหายใจครั้งละ ๒ ชั่วโมง ทุกคนแล้วหายใจใหม่

ขั้นที่ ๔ เอาหัวมุดดินทุกคนมุดพร้อมกันติดต่อกัน ๒ วัน พอหลวงปู่อยู่พวกผมก็เอาหัวมุดดิน พอหลวงปู่บอกไปธุระพวกผมก็เอาร่างปลอมมุดดินไว้แล้วมาเรียนหนังสือ

พอเสร็จโรงเรียนเลิกก็ขึ้นไปใหม่ เอาร่างปลอมไปอยู่บ้าน แล้วสั่งร่างปลอมว่าทำทุกอย่างให้เหมือนตัวดิบ

ขั้นที่ ๕ นั่งสมาธิลอยตัวอยู่ จะอยู่ครั้งละ ๓-๔ ชั่วโมง บางครั้งก็ตกลงมาครึ่งทาง ยังไม่ถึงตอไม้ก็ขึ้นไปใหม่เรียนอยู่ประมาณ ๓ วันก็จบ

แล้วหลวงปู่ก็บอกว่าถ้าเรียนเสร็จ จะสอนทำยารักษาโรค แต่ยาอะไรยังไม่บอก แล้วท่านก็สอนวิชาโยคะต่อให้จารุณี ส่วนผมและไพลินได้เรียนก่อนประมาณ ๑ ชั่วโมง ผมกราบขอบพระคุณท่านแล้วลงมา


วันที่ได้พระหลวงปู่แหวน
ด.ช. บัญชา กันทะวงศ์
...วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๓๕ ที่โรงเรียนทำโครงการเลี้ยงเห็ดนางฟ้า คุณครูทำเห็ดเปรี้ยว ผมกับจารุณีได้นำเห็ดเปรี้ยวไปขายในตอนเช้า

ผมเห็นรักยมถือพระหลวงปู่แหวนมาใส่กระเป๋าเสื้อของผม ผมก็ไม่สงสัย จากนั้นผมก็เดินร้องเพลงมาตลอดทาง

พอมาถึงหน้าโรงเรียนรักกับยมก็พากันกัดหูผมและขาผม อย่างกับจะบอกอะไรกับผม ผมก็บอกให้เขากลับบ้าน รักกับยมก็กลับ

ตอนที่ผมจะเข้าประตูโรงเรียนก็ได้ยินเสียงอะไรไม่รู้อยู่ในกระเป๋าเสืิ้อ ผมก็ล้วงออกมาดูเป็นพระ "หลวงปู่แหวน"

มีรูปร่างเป็นเหรียญโลหะ ผมนำมาให้คุณครูนฤมลดู เหรียญนี้หลวงปู่สั่งให้รักกับยมนำมาให้ผม แล้วผมกราบขอบพระคุณท่าน


ทำให้ภาพและสิ่งของ กลับเหมือนมีชีวิต
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
...วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๓๕ หนูสวดมนต์ไหว้พระแล้วไปเรียนกับหลวงปู่ปาน ที่วิมานของหลวงปู่ท่าน เอาภาพผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อย โดยที่ภาพนั้นนั่งอยู่บนก้อนหินและนั่งไม่เรียบร้อย

แล้วหลวงปู่เปลี่ยนให้เป็นภาพที่เรียบร้อย แต่งชุดไทยนั่งพับเพียบ ตอนแรกนั่งภาวนา "พุทโธ" พอจิตนิ่งก็
ลืมตามองรูปภาพนั้นแล้วกระพริบตา ภาพก็จะเปลี่ยนเป็นอย่างที่เรานึกทันที

พอเรียนได้ ๒ วันหนูลองทำที่บ้าน โดยนำรูปภาพของสามารถ พยัคอรุณ ตอนแรกภาพนั้นนั่งแล้วหนูเปลี่ยนท่าให้ยืน แล้วลองทำกับนาฬิกา ตอนแรกเวลา ๑๔.๓๐ น.

หนูเปลี่ยนให้เป็นเวลา ๑๖.๐๐ น. แล้วเอาตุ๊กตาที่น้องเล่น ทำให้ตุ๊กตาเดินได้ ถ้าหนูสั่งให้ไปทางใด ตุ๊กตาก็จะไปทางนั้น เดี๋ยวนี้ถ้าหนูอยู่บ้านคนเดียวหนูจะไม่เหงา เพราะหนูเห็นภาพอะไร หนูก็จะเสกให้มาเล่นกับหนู


ยกของหนัก
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๕ หนูไปเรียนกับหลวงปู่ปานที่วิมานของท่าน ตอนแรกหลวงปู่ถามว่ายกวิมานของหลวงปู่ได้ไหม หนูตอบว่าไม่ได้เจ้าค่ะ

หลวงปู่ถามว่าอยากเรียนไหม หนูบอกหลวงปู่ว่าอยากเรียนเจ้าค่ะ

หลวงปู่ก็ไปนั่งที่สวรรค์ชั้นที่ ๖ แล้วหลวงปู่เสกก้อนหินมาก้อนหนึ่ง แล้วใช้นิ้วชี้ๆ เอาก้อนหินมาหมุนอยู่บนนิ้วมือ แล้วสลับโดยใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ แล้วหลวงปู่ก็เอาก้อนหินขว้างไปก้อนหินก็หายไป

แล้วหลวงปู่ไปที่ข้างวิมานของหลวงปู่เอง หลวงปู่ถามว่ายกได้หรือ ยังหนูบอกว่ายังเจ้าค่ะ หลวงปู่ยกให้ดูอีกครั้งคราวนี้หลวงปู่ใช้คาถาแล้วขออำนาจบารมีของพระพุทธเจ้า แล้ววิมานของหลวงปู่ก็มาอยู่บนมือของหลวงปู่

วันนี้หนูลองทำเหมือนหลวงปู่ยกได้ลอยขึ้นนิดเดียว ก้อนหินที่หลวงปู่ยกนั้นหนักประมาณ ๑,๐๐๐ กิโลกรัมก้อนหินขนาดเท่ายางลบเท่านั้นเอง หนูยกได้นิดเดียวก็ตกไปเสีย.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 28/6/20 at 08:59

[ ตอนที่ 22 ]

บันทึกการฝึกวิชาต่างๆ (กันยายน)


เหาะไปวัดท่าซุง
ด.ญ.จารุณี มณี
"...๑๓ กันยายน ๒๕๓๕ เวลา ๒๒.๐๐ น. หนูเหาะไปวัดท่าซุงพบหลวงปู่ฤาษีท่านถามว่า เป็นอย่างไรไอ้หลานไม่มาหาปู่ตั้งนาน..ปู่คิดถึง

หนูก็คิดถึงหลวงปู่เหมือนกันเจ้าค่ะ หลวงปู่สบายดีหรือเปล่าเจ้าคะ หลวงปู่บอกว่าข้าสบายดี แล้วหลวงปู่ก็สอน "วิชาโยคะ" ขั้นที่มุดตัวลงในกล่องแก้ว หนูมุดไม่ได้หนูร้องไห้

หลวงปู่บอกต้องมุดให้ได้ ถ้าไม่มุดอดกินขนมของท่านแม่ศรีนะ หนูจะมุดให้ได้เจ้าค่ะ ตอนแรกก็มุดไม่ได้ ครั้งที่ ๒ ก็มุดได้ครึ่งเดียว

หลวงปู่บอกว่าพอแค่นี้ก่อน เราไปทานขนมของท่านแม่ศรีกันนะแล้วก็เหาะ ขึ้นไปที่วิมานของท่านแม่ศรี

ท่านแม่ศรีทําขนมฝอยทอง ท่านแม่ศรียกมาให้ทาน หนูกราบขอบพระคุณ พอทานขนมเสร็จก็ไปวิมานของลุงครุฑ ไปทานผลไม้ของลุงครุฑ

ลุงครุฑบอกว่า วันนี้กินผลไม้ให้อิ่มแล้วค่อยกลับบ้าน พอกินขนมเสร็จ ลุงครุฑกับหลวงปู่ฤาษีก็พาหนูมาส่งบ้าน.."


เมื่อทดลองวิชาของหลวงปู่ปาน
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
"...๑๔ กันยายน ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๑.๑๕ น. หนูสวดมนต์ไหว้พระ แล้วขึ้นไปเรียนวิชากับหลวงปู่เหมือนเคย วันนี้ไปเรียนพร้อมบัญชา ๒ คน เรียนเสร็จแล้วลงมาก็นึกอยากเล่นสนุก

เอาหนังสือมา ดูภาพบัญชาเสกรถเต่า ส่วนหนูเสกเครื่องบิน โดยเอาคฑาชี้ไปที่กว้างๆ ก็จะเป็นรถและเครื่องบินตามที่คิดไว้

บัญชาขับรถวนไปมา เอารถไปชนกับต้นไม้ หนูขับเครื่องบิน เครื่องบินตกใส่หลังคารถเต่าของบัญชา พอรถกับเครื่องบินเสียไปแล้ว บัญชาก็เสกรถเอนตาโล่

หนูอวดรู้หนูขอเป็นคนขับเอง แล้วให้บัญชาซ้อน ขับไปได้ครึ่งทาง คันเร่งเสียเบรคหลุดพุ่งลงไปในน้ำ ตัวหนูและบัญชาเปียกทั้งสองคน

บัญชาออกความคิดใหม่ เสกรถเก๋ง หนูบอกกับบัญชาว่า มานี่..จะขับเอง หนูก็ขับเองให้บัญชานั่งข้างๆ หนูขับไป โดยใช้ความเร็ว ๑๖๐ ก.ม. ต่อ ช.ม.

หนูขับไปถึงลําพูน บัญชาขับถึงจังหวัดตาก รถเสียหลักพุ่งชนเสาไฟฟ้า หนูถูกไม้ขูดที่แก้ม คนมามุงดูรถ แล้วพากันสงสัยว่า ทําไมคนจึงไม่มีในรถ

บัญชาบอกให้คนเหล่านั้นลืมสิ่งที่เห็นทั้งหมด แล้วคนเหล่านั้นก็ทะยอยกันกลับบ้าน แล้วบัญชาก็เสกรถให้หายไป แล้วพากันเหาะกลับบ้าน.."

พอถึงตอนนี้ ด.ญ.จารุณี มณี ได้เล่าเสริมต่อไปอีกว่า
"...วันนี้หนูไปเรียนกับท่านแม่ศรี ท่านสอนการพนมมือไหว้พระให้หนู การไหว้ผู้ใหญ่ที่ถูกต้อง และให้นั่งพับเพียบ ๒ ชั่วโมง

ท่านแม่ศรีท่านดูในลูกแก้ว เห็นรถตํารวจไล่ตามรถเก๋งสีขาว ท่านแม่ศรีบอกว่า ต้องเป็นฝีมือของบัญชากับไพลินแน่ เราลองไปดูกัน

แล้วท่านแม่ศรีก็พาหนูลงมา แล้วเข้าไปนั่งที่เบาะหลังรถ รถเก๋งเหมือนครู แต่เป็นสีขาว ตามเขาไปจนถึงลําพูนตอนไพลินขับ แล้วท่านแม่บอกว่า

เราขึ้นไปทานขนมฝอยทองกันดีกว่า แล้วก็พากันเหาะไปวิมานของท่านแม่ศรี ทานขนมเสร็จหนูก็กราบลาท่านลงมา.."

ไปวัดท่าซุง
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
"...๑๕ กันยายน ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๐.๐๕ น. วันนี้สวดมนต์ไหว้พระ หนูขึ้นไปเรียน "โยคะ" บัญชาขึ้นไปเรียน "คิดเลข" ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว หนูก็ชวนกันไปเที่ยว

หนูเสกรถเปิดประทุน จะขับไปวัดท่าซุง แวะพักปั๊มน้ำมันที่ลําพูน นั่งเล่นประมาณ ๕ นาที แล้วขับต่อไปพบผีที่ตาก บัญชาพูดกับผีว่า..ยู้ฮู ผีก็หายวับไป

บัญชาขับรถเก๋งหลังคาเปิดได้ เราสองคนขับรถคนละคันไป จนถึงวัดท่าซุงเอารถไปเก็บไว้ที่ต้นไม้ แล้วพบท่านเทวดาที่สิงอยู่ในต้นไม้

หนูกราบท่านแล้วท่านก็ลูบหัวหนู แล้วก็ได้พบท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์ หนูและบัญชากราบท่าน ท่านพูดว่ามาเที่ยวหรือหลาน หนูบอกกับท่านว่าเจ้าค่ะ แล้วหนูและบัญชาก็กราบลาท่าน

แล้วไปเที่ยวในบริเวณวัดท่าซุง โดยวิธีเหาะไปที่วิหาร ๑๐๐ เมตร กราบพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพระพุทธเจ้าที่วิหาร ๑๐๐ เมตร

ไปเจดีย์พุดตาน แล้วกลับไปกราบท่านท้าวมหาราชที่วิหารของท่าน แล้วขับรถกลับไป แวะกราบพระพุทธชินราชที่พิษณุโลก ไปวัดโขงขาวที่เชียงใหม่ แล้วขับรถไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าแอร์พอร์ตพลาซ่าและเซ็นทรัลแล้วพากันกลับบ้าน.."


ไปวิมานท่านแม่ศรี
ด.ญ.จารุณี มณี
"...๑๕ กันยายน ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๑.๓๕ น. หนูสวดมนต์ไหว้พระ แล้วขึ้นไปเรียน "มารยาท" กับท่านแม่ศรีที่วิมานของท่าน ไปนั่งพับเพียบ ๒ ชั่วโมง ท่านลุงครุฑท่านมาหาหนูที่วิมานท่านแม่ศรี ท่านแม่ศรีเอาขนมทองหยอดมาให้ท่านลุงครุฑชิม

ท่านถามหนูว่า วันนี้ไปเที่ยววิมานของลุงไหม หนูตอบว่าไปเจ้าค่ะ แล้วหนูกับท่านลุงครุฑก็กราบลาท่านแม่ศรีท่านลุงครุฑให้หนูนั่งบนหลังของท่าน

ท่านพาหนูเหาะไปวิมานของท่านที่ชั้นพรหมชั้นที่ ๖ แล้วท่านให้หนูชิมทับทิมทอง ทานแล้วมีรสชาติหวาน ท่านลุงครุฑให้หนู ๒ ลูก ท่านลุงครุฑก็พาหนูมาส่งบ้าน.."

เรียนภาษาลิงและนก
ด.ญ.จารุณี มณี
"...๑๗ กันยายน ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๑.๔๕ น. สวดมนต์ไหว้พระ แล้วขึ้นไปหาหลวงปู่ฤาษีขาว ที่ภูเขาหิมาลัย ท่านสอนให้ "เลียนภาษาลิง"

ตอนแรกท่านให้ออกเสียงว๊อก ครั้งที่ ๓ จึงชัดเจน แล้วทําเสียงให้ฟังเป็นลิงและเป็นนก ท่านบอกให้ทําเสียงเป็นนกจิ๊บๆ หนูทํา ๑๐ ครั้งแล้วจึงทําได้ หลวงปู่พาหนูไปเที่ยวประเทศลังกา ไปพบคนลังกา

หลวงปู่พูดกับคนลังกาได้ แต่หนูฟังภาษาเขาไม่ออก แล้วหลวงปู่ก็พาไปดูบ้านเมืองของเขา หลวงปู่พาหนูมาส่งที่บ้าน.."


พระพุทธเจ้า, ท่านแม่ศรี ให้ของ
หลวงปู่ปานสอนวิชา
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
"...๒๓ กันยายน ๒๕๓๕ เมื่อคืนหนูไปเรียน "วิชาโยคะ" กับหลวงปู่ปาน ๑ ชม. แล้วไปเที่ยวนิพพาน ไปที่วิมานของหนู ไปนั่งเล่นแล้วเสกขนมมากิน และขอให้พี่นางฟ้าเสกเทปให้หนู

พี่นางฟ้าเปิดเทปแล้วเต้นรํากับหนูหนึ่งองค์ และพี่เทวดากับพี่นางฟ้าหลายองค์พากันเต้นรําที่วิมานของหนู เต้นได้ประมาณ ๕ เพลงแล้วพี่เทวดานางฟ้าก็ขอตัวกลับไป หนูก็ไปที่วิมานท่านแม่ศรี

ท่านแม่ถามว่ามาเที่ยวหรือลูก หนูก็ตอบท่านว่าเจ้าค่ะ ท่านแม่บอกว่าหมั่นมาเที่ยวบ่อยๆ นะ ท่านก็ประทานพรให้หนู โดยยกมือขึ้นประทานพร หนูเห็นที่ฝ่ามือของท่านมีแหวน แล้วแหวนก็ลอยมาอยู่บนตักของหนู

พอท่านแม่ออกจากประทานพร หนูถามท่านว่าเอาแหวนนี้ให้ใคร ท่านบอกว่าเอาให้ลูกนั่นแหละ เอาไว้ป้องกันตัว เพราะว่าที่แถวบ้านของหนูมีผีร้ายเยอะ

หนูกราบขอบพระคุณท่าน แล้วลาไปที่วิมานของพระพุทธเจ้า ไปกราบท่านแล้วพูดว่ามาก็ดีแล้ว ท่านก็เอาแผ่นตัวหนังสือคําเมืองยื่นให้หนู

หนูถามท่านว่า ท่านเอามาให้ทําไม ท่านบอกว่าถ้าเธออ่านคําเหล่านี้ได้หมด แสดงว่าเธอมีบุญมาก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ตัวหนังสือนี้เป็นคาถา แต่ไม่บอกว่าเป็นคาถาอะไร

หนูกราบขอบพระคุณท่าน แล้วกลับบ้านหลวงปู่ปาน ท่านมารับหนูไปที่วิมานของหลวงปู่แล้วไปเรียน "วิชาย่อตัว"

ตอนแรกหลวงปู่นั่งอยู่บนแท่น หลวงปู่ท่านพนมมือหลับตา แล้วท่องคาถาว่า "นานา จิตตัง..." ตัวของท่านก็เล็กลงเหมือนมด แล้วท่านท่องคาถาคืนร่างเก่า (คาถาคืนร่างไม่ให้บอก)

หลวงปู่บอกว่าไหนลองทําดูซิ แล้วหนูลองทําดูแต่ทําไม่ได้ หลวงปู่ให้ทบทวนของเก่า เสร็จแล้วหนูก็กราบลาท่านกลับบ้าน ท่านมาส่งหนูที่บ้าน.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 3/7/20 at 15:06

[ ตอนที่ 23 ]

บันทึกการฝึกวิชาต่างๆ (ตุลาคม 1)


ฉากชีวิต
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
...๒ ต.ค. ๒๕๓๕ ได้ขณะนั่งสมาธิไปเรียนวิชากับหลวงปู่ปาน พอท่านสอนจบทุกวิชา ท่านก็ให้คํากลอน ในขณะนั่งสมาธิฟังหลวงปู่บอก แล้วให้คุณแม่ช่วยบันทึกให้

- ฉากที่ ๑ พึ่งเพิ่มความเจริญ ความเพลินรูปงาม ตามโมหารูป เด็กน้อยค่อยเติบโต งามโสภา

- ฉากที่ ๒ ผมหงอกขาว จะไปไหนใช้ไม้ยัน หูตาลาย มักเป็นลม

- ฉากที่ ๓ โรคาพยาธิ นอนนิ่งอยู่กับที่ เรียกไม่ขาน ทั้งมดหมอช่วยไม่ได้ จะวายปราน

- ฉากที่ ๔ มีมาไม่นาน ดูญาติพี่น้อง หลีกหลบเกลียดกลัวศพ ไม่เข้าใกล้เป็นพี่น้อง

ฉากชีวิตปิดลง ตรงแตกดับ
ฉากย่อยยับป่นปี้ ดีที่ไหน
ธาตุคือดินน้ำ และลมไฟ
นามมิใช่ตัวเรา ว่างเปล่าเอย

เรียนวิชาตาเหยี่ยว
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
๖ ต.ค. ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น. หลวงปู่ปานมาที่บ้านของหนู ขณะนั้นหนูกําลังนอนหลับ หลวงปู่บอกว่า อย่าเพิ่งหลับให้ไปเรียนวิชากับหลวงปู่ฤาษีตาไฟก่อน ให้ขึ้นไปที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

แต่หนูฟังไม่ชัดขึ้นไปผิด ขึ้นไปที่สวรรค์ชั้นที่ ๖ ท่านพี่นางฟ้าเทวดาท่านถามว่า มาเรียนวิชาหรือจ๊ะน้อง ค่ะ..ท่านพี่

แล้วท่านพี่บอกว่ามาผิดชั้น ให้ไปที่ชั้นดาวดึงส์ หลวงปู่ฤาษีตาไฟท่านนั่งรออยู่ ท่านบอกว่า นี่..มาผิดเวลาให้เขกพื้น ๒๐ ที ให้ยกก้อนหินประมาณ ๑๕ ก.ก. หลวงปู่บอกว่า จะสอนวิชาตาเหยี่ยวให้ เพื่อมองอะไรได้ไกลๆ

ท่านเริ่มสอนโดยท่านเหาะขึ้นสูงประมาณ ๗ เมตร แล้วท่านร้องดังๆว่า..ตาเหยี่ยว แล้วท่านก็ท่องคาถา ตาท่านก็เปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ายคนโกรธ

แล้วท่านก็ไปในที่คล้ายเป็นกลางทุ่ง ท่านเห็นนกกระจอกอยู่กลางทุ่งนา ท่านพาหนูเหาะไปด้วย

ท่านถามว่า เห็นนกกระจอกไหมหนูบอกว่าไม่เห็นเจ้าค่ะ เพราะว่าหนูยังไม่ได้เรียน จึงยังไม่เห็น หลวงปู่ก็บอกให้หนูท่องคาถาตามหลวงปู่

ตอนแรกเห็นนิดเดียว หนูเรียนพร้อมกับบัญชา แต่บัญชาใช้วิธีสังเกตเห็นได้ชัดเจน เพราะใช้ดูจิตหลวงปู่ ส่วนหนูนั้นเรียนอีกครั้ง จึงจะเห็นชัดได้ วันนี้เรียนประมาณ ๒ ช.ม. หนูก็กราบลาท่าน แล้วกลับบ้าน

แจกันของหลวงปู่ครูบาคําแสน
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
๖ ต.ค. ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๑.๓๐ น. หลังจากหนูกลับจากเรียนวิชากับหลวงปู่ฤาษีตาไฟ หนูนอนไม่หลับหนูก็ลุกขึ้นยืน หนูได้ยินเสียงอะไรไม่รู้ตกบนหลังคาบ้านหนู พอตอนเช้าหนูขึ้นไปดูบนหลังคาบ้าน หนูเห็นแจกันอยู่บนหลังคา แต่หนูก็ไม่สนใจนัก

พอมาโรงเรียนหนูก็เล่าให้คุณครูฟัง คุณครูบอกว่าให้ใช้จิตดูว่า เป็นของท่านผู้ใดหรือมายังไง หนูใช้จิตดูก็ทราบว่า เป็นแจกันของหลวงปู่ครูบาคําแสน

พอตอนเย็นหนูกลับบ้าน หนูก็ขึ้นไปเอาลงมาดู ในแจกันมีก้านอะไรไม่รู้หนูดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออก แจกันนั้นมีลายเหมือนผนังถ้ำของหลวงปู่ข้างบน

หลวงปู่ให้เอามาเลี้ยงต้นไม้ที่อยู่ในแจกัน หนูก็เลยเอาน้ำใส่เพราะกิ่งไม้นั้นยังไม่แห้ง ยังเป็นสีเขียวสดอยู่ หลวงปู่บอกว่า

ถ้าหนูเลี้ยงต้นไม้นี้ให้งอกออกมาได้ ครอบครัวของหนูจะมีความสุข ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเข้าใกล้ หนูกราบขอบพระคุณหลวงปู่เจ้าค่ะ


เรียนวิชาตาไฟ
ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์
๖ ต.ค. ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๑๙.๐๓ น. ผมได้ขึ้นไปหาหลวงปู่ฤาษีตาไฟ พอผมขึ้นไปถึงท่านก็บอกกับผมว่า ที่ปู่เรียกเจ้าขึ้นมาที่นี่ ก็เพราะปู่จะสอนวิชาตาไฟให้เจ้า เจ้าจะเรียนไหม

ผมตอบท่านว่าเรียนครับ แล้วหลวงปู่ฤาษีตาไฟก็พาผมไปที่ถ้ำไฟมรณะ ที่ท่านเคยฝึกวิชาที่ถ้ำไฟ ถ้ำนี้ร้อนมาก

พอไปถึงท่านก็แสดงให้ผมดู คือเอาไฟพุ่งออกจากตา แล้วไฟจะพุ่งไปทําลาย ก้อนหินที่ท่านจะทําลาย วันนี้ผมทําอย่างไรผมก็ทําไม่ได้

พอหมดเวลาหลวงปู่ฤาษีตาไฟท่านก็ให ้หยุดแล้วท่านบอกว่าพรุ่งนี้มาเรียนใหม่นะ แล้วผมก็กราบลาท่าน แล้วก็กลับลงมาเวลา ๐๑.๓๔ น.

วิชาแสงออกจากลูกแก้ว
ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์
๗ ต.ค. ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. ก็ได้ขึ้นไปเรียนกับหลวงปู่ฤาษีตาไฟอย่างเดิม แต่วันนี้หลวงปู่บอกว่า ปู่จะสอนวิชาใหม่ให้เจ้า คือวิชาแสงออกจากลูกแก้ว เรื่องวิชาตาไฟให้หยุดไว้ก่อน เพราะวิชาตาไฟนี้ อาจจะทําให้เจ้าร้อนที่หัวใจ ปู่เลยให้เจ้าเรียนวิชานี้ก่อน วิชานี้จะปลอดภัยกว่า แล้วหลวงปู่ท่านก็พาผมไปที่ถ้ำไฟมรณะ

วิชานี้หลวงปู่จะทําให้แสงออกจากลูกแก้วตรงหน้าผาก แสงจะพุ่งไปยังของที่จะทําลายเหมือนแสงเรเซอร์ พอผมเรียนได้ประมาณ ๒-๓ ช.ม. พอเรียนเสร็จหลวงปู่ก็พาไปกินผลไม้ พอกินเสร็จผมก็กราบลาท่านลงมา เวลาประมาณ ๒๓.๔๕ น.

ได้กระปุกน้ำทิพย์จากเจ้าแม่กวนอิม
ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์
๘ ต.ค. ๒๕๓๕ เวลาประมาณตีห้ากว่าๆ ตอนนั้นผมกําลังเพิ่งตื่นนอน แล้วก็ผงกหัวขึ้นมากระทบกับของแข็งแต่เป็นอะไรไม่ทราบ พอผมแหงนขึ้นดู ผมก็เห็นแจกันเล็กๆ ลอยอยู่ ผมรีบคว้ามาเพราะว่าผมกลัวพี่ผมจะเห็น

พอคว้ามาผมก็รีบนอน ทําเป็นนอนหลับแต่ไม่หลับ ผมได้ขึ้นไปถามหลวงปู่ปาน หลวงปู่บอกว่านั่นคือแจกันน้ำทิพย์ที่เจ้าแม่กวนอิมให้เจ้า ในแจกันมีน้ำทิพย์อยู่

เจ้าแม่กวนอิมบอกว่าถ้าหมดเมื่อไหร่ ท่านเจ้าแม่กวนอิมก็จะมาเติมน้ำทิพย์ให้เจ้า ผมก็ดีใจมากแล้วผมก็กราบลาหลวงปู่ปาน แล้วก็กลับมาแปรงฟันอาบน้ำกินข้าว แต่งตัวให้พร้อมที่จะไปโรงเรียน


วันที่ขี้เกียจขึ้นไปเรียนวิชา
ด.ญ.จารุณี มณี
๘ ต.ค. ๒๕๓๕ คืนนี้ไม่ขึ้นไปเพราะกลัวโดนไม้เท้าเลยไม่กล้าขึ้น ได้แต่นั่งดูทีวี พอหลวงปู่ปานท่านรู้ก็ลงมาหลวงปู่มาถึงก็เห็นหนูดูทีวีอยู่

หลวงปู่จึงเขกหัวหนูตั้งห้าที แล้วท่านก็พูดว่านี่คือการทำโทษที่ไม่ขึ้นไป จําไว้นะ เวลาทําผิดต้องยอมรับผิดนะ เข้าใจที่หลวงปู่พูดไหม

หนูก็ตอบท่านว่าเข้าใจเจ้าค่ะ แล้วท่านก็พูดอีกว่า วันนี้ถ้าเจ้าไม่ขึ้นไปก็ไม่เป็นไรนะ แล้วหนูก็ตอบท่านว่าไม่ขึ้นไปเจ้าค่ะ แล้วท่านบอกว่าข้าไปก่อนนะ แล้วท่านเหาะไป หนูก็กราบลาท่าน


เมื่อไปเรียนกับหลวงปู่ฤาษีตาไฟ
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
๑๒ ต.ค. ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๐.๓๕ น. สวดมนต์ไหว้พระแล้วไปเรียนวิชากับหลวงปู่ฤาษีตาไฟ เรียนวิชาพ่นไฟขั้นที่ ๒ หลวงปู่ท่านทําให้ดู โดยเอาน้ำมันราดเป็นวงกลม แล้วท่านจ้องไปที่ท่านเอาน้ำมันราดไว้

สักครู่มีแสงสีแดงพุ่งจากตาไปยังที่ท่านเอาน้ำมันราด ไฟก็ลุกรอบตัวหลวงปู่ แล้วไฟพุ่งเข้าหาตัวหลวงปู่มีควันไฟดําไปหมด หนูนึกว่าหลวงปู่ถ้าจะเป็นตอตะโกไปแล้ว

แต่ปรากฏว่าหลวงปู่หายไปไหนไม่ทราบ แล้วหลวงปู่ก็มายืนข้างหลังหนู ท่านเอามือจั๊กกะจี้หนู หนูคิดว่าผี พอเหลียวไปเป็นหลวงปู่

หลวงปู่บอกว่า ลองทําให้ดูซิ แล้วหลวงปู่ก็เอาน้ำมันราดเป็นวงกลมใหญ่รอบตัวหนู หลวงปู่ท่านยืนอยู่นอกวงท่านใช้ตาจุดไฟให้หนู

ไฟก็ลุกรอบตัวหนู แต่เปลวไฟไม่พุ่งเข้าตัวของหนู หนูก็นั่งสมาธิ แล้วตัวหนูออกมาอยู่นอกวงไฟอย่างไรไม่ทราบ

หลวงปู่ชมหนูว่าเก่งมาก หลวงปู่ตบมือให้หนู หลวงปู่บอกว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อน แล้วหนูก็ไปเรียน "เย็บผ้า" กับท่านแม่ศรีที่วิมานของท่าน

ท่านสอนวิชาชุนผ้า เนา ถัก และการเด็ดดอกกุหลาบโดยไม่ใช้มีด เรียนพร้อมกับบัญชา และหัดร้องเพลงไทยเสร็จแล้วก็กราบลาท่านแม่ศรีกลับบ้าน


เรียนวิชาพ่นไฟ
ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์
๑๓ ต.ค. ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๐.๓๐ น. สวดมนต์ไหว้พระ แล้วผมขึ้นไปเรียนกับหลวงปู่ฤาษีตาไฟที่ถ้ำไฟมรณะ เรียนวิชาพ่นไฟเรียนถึงขั้นที่ ๒

ผมเอาไฟออกจากปากได้ แต่ยังพ่นไม่ได้ ไพลินกับผมเรียนขั้นเดียวกัน จารุณีเพิ่งขึ้นมาเรียนคืนนี้ เพิ่งเรียนวิชาพ่นไฟขั้นแรก

ผมสงสัยว่าตั้งแต่ผมเรียนมา ๗ วัน หลวงปู่ท่านไม่เคยพาพวกผมไปวิมานของท่านเลย เรียนเสร็จแล้วผมจึงแอบตามหลวงปู่ไป โดยไม่ให้หลวงปู่ท่านรู้ตัว ไปจนถึงวิมานหลวงปู่ไปทั้ง ๓ คน

ปรากฏว่าเป็นวิมานของหลวงปู่ปาน หลวงปู่ท่านถามว่าใครมา หลวงปู่เอาไม้เท้าขว้าง พวกผม ๓ คนพากันวิ่งหนี ที่จริงหลวงปู่ทราบว่า พวกผมตามมา แต่หลวงปู่แกล้งทําเป็นมองไม่เห็น แล้วพวกผมก็ไปวิมานท่านแม่ศรี

พอไปถึงท่านแม่ศรี ท่านให้พวกผมฟ้อนรํามโนราห์ แล้วท่านสอนพวกผมจัดโต๊ะหมู่บูชา ชุด ๙ ตัว คนละ ๕ ชุด และท่านสอนอ่านภาษาไทย และวิธีเด็ดดอกไม้ว่าจะกะอย่างไร วิธีพับผ้าและการวาดภาพให้สมดุลย์กัน


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 20/7/20 at 10:20

[ ตอนที่ 24 ]

บันทึกการฝึกวิชาต่างๆ (ตุลาคม 2)


...แต่ก่อนที่จะพบกับเหตุการณ์ของการฝึกจากครูบาอาจารย์ต่างๆ ที่มิใช่มนุษย์กันอีกนั้น ผู้เขียนใคร่ขอนำบทสรุปที่ อนฤมล ว่านเครือ บันทึกไว้ต่อจากตอนที่แล้ว

ซึ่งในตอนนั้นได้สรุปผลการฝึกไปแล้วว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ จนถึงพฤษภาคม ๒๕๓๖ เป็นระยะเวลาประมาณ ๑ ปีนั้น เด็กได้ฝึกวิชาอะไรผ่านไปบ้าง

สำหรับในตอนนี้จะขอสรุปสิ่งของต่างๆ เพื่อท่านผู้อ่านจะได้ทราบว่าเด็กได้ของอะไร และได้มาจากท่านผู้ใดบ้าง โปรดติดตามรายละเอียดดังต่อไปนี้


สิ่งของที่ ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์ ได้จากท่านต่างๆ
- ของพระพุทธเจ้าท่านให้
๑. พระรอด ๓ องค์
๒. ธูป ๔ ดอกให้ครู
๓. เหรียญสลึง ๙ เหรียญ
๔. เหรียญบาท ๑ เหรียญ
๕. ลูกแก้ว ๑ ลูก
๖. กระดิ่ง ๑ ลูก
๗. พระนางกวัก ๑ องค์

- ของหลวงปู่ปานท่านให้
๑. เทียน ๑ เล่มให้ครู
๒. ลูกแก้ว ๑ ลูก
๓. เหรียญบาท ๑ เหรียญ

- ของเจ้าแม่กวนอิมท่านให้
๑. เหรียญ ๓ เหรียญ
๒. กระดุมทอง ๑ เม็ด
๓. เปลือกหอย ๑ อัน
๔. กระปุกน้ำทิพย์ ๑ ลูก
๕. ลูกแก้ว ๑ ลูก
๖. ตุ้มหู

ของท่านแม่ศรีท่านให้
๑. ลูกแก้ว ๑ ลูก

- ของหลวงปู่มั่นท่านให้
๑. เหรียญหลวงปู่มั่น ๑ เหรียญ

- ของหลวงปู่ครูบาคําแสนท่านให้
๑. เหรียญรูปของท่าน ๑ เหรียญ
๒. ลูกแก้ว ๑ ลูก

- ของพี่นางฟ้าท่านให้
๑. ดอกไม้ทิพย์เป็นของจริง
๒. พวงมาลัย


สิ่งของที่ ด.ญ.จารุณี มณี ได้จากท่านต่างๆ
- ของพระพุทธเจ้าท่านให้
๑. พระพุทธรูปปางพระพุทธชินราช ๑ องค์ ให้ครู
๒. พระพุทธรูปปางขัดสมาธิ ๒ องค์ให้ครู ๑ องค์
๓. พระดินเผา ๑ องค์

- ของท่านแม่ศรีท่านให้
๑. ธนบัตร ๒๐ บาท ๑ ใบ
๒. ธนบัตร ๓๐ บาท (ใบละ ๒๐ บาท ๑ใบ, ใบละ ๑๐ บาท ๑ ใบ)

- ของเจ้าแม่กวนอิมท่านให้
๑. พลอยสีขาว ๑๒ เม็ด
๒. สตางค์ ๒ บาท
๓. กล่องสีแดง ๑ ใบ ให้ครูอําไพ
๔. ตัวหนังสือจีน ๒ ตัว

- ของหลวงปู่ปานท่านให้
๑. ลูกแก้วลูกใหญ่ ๑ ลูก
๒. กระดิ่ง ๔ ลูก

- ของหลวงปู่ฤาษีท่านให้
๑. กระดิ่ง ๑ ลูก
๒. เหรียญ ๕ บาท
๓. ลูกหิน ๔ ลูก
๔. ลูกแก้ว ๑ ลูก

- ของพี่นางฟ้าท่านให้
๑. กลีบดอกไม้
๒. ดอกไม้ ๕ ดอก

- พี่ช้างให้ธนบัตรใบละ ๑๐ บาท ๑ ใบ
- พี่นกแก้ว ให้พลอย ๑ เม็ด
- พี่ผีเสื้อให้ธนบัตรใบละ ๒๐ บาท ๑ ใบ


สิ่งของที่ ด.ญ.ไพลิน บุญมา ได้จากท่านต่างๆ
- ของพระพุทธเจ้าท่านให้พระพุทธเจ้าองค์ปฐม
๑. พระนั่งประทานพรดินเผา
๒. แผ่นสติกเกอร์รูปพระพุทธเจ้า
๓. แผ่นภาษาคําเมือง

- ของเจ้าแม่กวนอิมท่านให้
๑. กระดิ่ง ๒ ลูก
๒. ลูกแก้ว ๕ ลูก
๓. กระดุมทอง ๒ เม็ด
๔. ตําราจีน ๑ เล่มให้ครู
๕. แหวนยก ๑ วง
๖. กําไลทอง ๑ วง

- ของหลวงปู่ปานท่านให้
๑. ลูกแก้ว ๒ ลูก
๒. สายสิญจน์ ๑ เส้น

- ของหลวงปู่ฤาษีท่านให้
๑. กระดิ่งเงิน ๑ ลูกให้ครู

- ของที่หลวงปู่ครูบาคำแสนท่านให้
๑. แจกันใส่ต้นไม้ทิพย์ ๑ ลูก


อ.นฤมล ว่านเครือ
ร.ร.บ้านแม่เตาไห

รายละเอียดของบทสรุปการได้วัตถุสิ่งของจากท่านต่างๆ ก็ได้จบเพียงแค่นี้ หากท่านผู้อ่านบางท่านยังสงสัย ขอได้โปรดตรวจสอบหาหลักฐานได้ในโอกาสต่อไป ส่วนในตอนนี้ขอเชิญพบกับการฝึกของเด็กที่ตื่นเต้นเร้าใจต่อไปได้เลย

เรียนกับหลวงปู่ฤาษีตาไฟ
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๑.๒๕ น. สวดมนต์ไหว้พระแล้วขึ้นไปเรียนที่หลวงปู่ฤาษีตาไฟ หนูไปเรียนกับบัญชาที่วิมานของท่าน
วันนี้วิมานของท่านเป็นไม้

เริ่มเรียนวิชาพ่นไฟตั้งแต่ขั้นที่ ๑-๓ หนูดีใจที่หนูทําได้ หนูหมุนรอบตัวลืมตัวไปไฟเลยไปติดวิมานของหลวงปู่และองค์ของหลวงปู่ ผ้าจีวรและสบงของท่านไหม้

หลวงปู่บอกว่าแกมานี่ หนูก็วิ่งหนี หลวงปู่ใช้นิ้วมือชี้ไปที่หนู เป็นแสงคล้ายแสงเรเซอร์ผสมไฟ ผ้าถุงชุดไทยของหนูไหม้ หนูเลยก้าวขาไม่ออก ไฟออกจากหูตาจมูกจนชุดทองของหนูไหม้หมด จนตัวหนูสลบไป

หนูเรียนวิชาพ่นไฟจบแล้วในวันนี้ พอฟื้นจากสลบหนูไปเรียนกับท่านแม่ศรี ไปจัดโต๊ะหมู่บูชา เย็บกระทง ร้อยมาลัย และปักทึบ แล้วท่านแม่ก็ให้หนูรับประทานขนมฝอยทอง ขนมตาล ผลไม้ พอรับประทานเสร็จ หนูก็กราบขอบพระคุณท่านแล้วลงมา

วิชาลุยไฟ
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
๒๑ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๐.๓๕ น. หนูสวดมนต์ไหว้พระแล้วขึ้นไปเรียนกับหลวงปู่ฤาษีตาไฟ ไปเรียนทั้ง ๓ คน ท่านเรียกว่าวิชาลุยไฟ ไปเรียนที่สระอโนดาต หลวงปู่ท่านเสกหญ้าแห้งเอากองไว้เป็นกองยาว แล้วจุดไฟและมีตลิ่งสูงให้พวกหนูกระโดดข้ามไฟ แล้วกระโดดลงน้ำ

จารุณีเป็นคนกระโดดคนแรก ต่อมาหนูกระโดด และบัญชากระโดดตามเป็นคนสุดท้าย ตอนแรกเล่นได้สบาย ตอนหลังจารุณีกระโปรงไหม้ส่วนหนูไฟแลบเข้าที่ขารู้สึกแสบร้อน

จารุณีไฟไหม้กระโปรง จารุณีรีบกระโดดลงน้ำ บัญชานุ่งกางเกงในตัวเดียว ไฟแลบที่ง่ามขา บัญชาร้องว่าไฟไหม้ แล้วก็รีบกระโดดลงน้ำหลวงปู่ว่าแค่นี้ก็ร้องวี๊ดว๊าดไปได้ วันนี้พอก่อนให้ขาหายก่อน

เมื่อพบหลวงปู่ใหญ่และหลวงปู่ขนมจีน
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๑๙.๐๕ น. สวดมนต์ไหว้พระแล้วหนูขึ้นไปด้วยกายดิบ หลวงปู่ท่านมารับหนู หนูเหาะตามหลวงปู่ไปที่นิพพาน พอไปถึงสวรรค์หลวงปู่ท่านก็กลับไปวิมานของท่าน แล้วหนูไปนิพพานต่อคนเดียว

หนูเดินไปเรื่อยๆ ขณะที่เดินอยู่บนนิพพานนั้น หนูเห็นวิมานของใครที่ต้นโพธิ์ต้นหนึ่งอยู่หน้าวิมาน เป็นโพธิ์แก้ว หนูขออนุญาตเจ้าของ วิมานหนูถามว่า นี่เป็นวิมานของท่านผู้ใด หนูขอเข้าไปหน่อยนะเจ้าคะ ต้นโพธิ์นั้นก็เปิดประตู

หนูก็เข้าไปดู หนูเห็นมีใครนั่งอยู่บนแท่นแก้ว หนูก็ถามท่านว่าท่านเป็นใครเจ้าคะ ท่านตอบว่าข้าคือหลวงปู่ใหญ่ หนูนั่งนึกอยู่ตั้งนานว่าเคยเห็นท่านที่ไหน ก็นึกออกว่าเคยเห็นที่วัดท่าซุง

หนูกราบท่าน ท่านถามว่ามานี่ พบหลวงปู่ขนมจีนแล้วหรือยัง หนูตอบว่ายังไม่พบเจ้าค่ะ ท่านก็พาหนูไปวิมานของหลวงปู่ขนมจีนวิมานของท่านเป็นแก้วสวยมาก ท่านพาหนูเข้าไปในวิมานของหลวงปู่ขนมจีน เห็นท่านนั่งอยู่บนแท่นแก้ว

หนูกราบที่เท้าท่านแล้วถามท่านว่า หลวงปู่ชอบขนมจีนหรือเจ้าคะ ท่านตอบว่าใช่ ท่านพูดกัน ๒ องค์ว่า อยากกินขนมจีนเหมือนกัน หนูกราบลาท่านทั้งสองแล้วไปวิมานท่านแม่ศรี หนูกราบท่านแม่ หนูบอกกับท่านแม่ว่า พรุ่งนี้ทําขนมจีนกันไหมเจ้าคะ

ท่านแม่ถามว่าจะทําไปให้ใคร จะทําไปถวายหลวงปู่ขนมจีนและหลวงปู่ใหญ่เจ้าค่ะ ท่านบอกว่างั้นแม่จะทําให้สุดฝีมือเลย แล้วคืนพรุ่งนี้เราทําแล้วเอาไปถวาย ๒ คนนะลูกนะ

หนูตอบท่านว่าเจ้าค่ะ ท่านบอกว่ากลับก่อนเถิดเพราะใกล้สว่างแล้ว คืนพรุ่งนี้ค่อยเจอกันนะลูก หนูก็กราบลาท่านแล้วลงมา

เรียนวิชาลุยไฟกับหลวงปู่ทวด
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๒๐.๐๐ น. สวดมนต์ไหว้พระแล้วไปเรียนกับหลวงปู่ทวดที่วิมานของท่าน ท่านบอกว่าวันนี้จะสอนวิชาลุยไฟ ท่านเอาก้อนสีดํา คล้ายถ่ายติดไฟได้นานประมาณ ๒-๓ ตะกร้า เอาเทยาวเป็นแนวแล้วท่านจุดไฟถ่านนั้นแดง

หลวงปู่ท่านทําให้ดู ท่านเดินเหมือนกับลอยอยู่เหนือถ่าน ท่านเดินไปแล้วก็เดินมาประมาณ ๕ รอบ แล้วท่านเดินจากกองถ่านมา ท่านท่องคาถาให้ฟัง หนูท่องไป ๔-๕ จบ แล้วลองเดินขึ้นไปขั้น ๑-๒ รู้สึกร้อน พอพ้นจากขั้นที่ ๒ ไม่รู้สึกว่าร้อนก็เดินไปธรรมดา

ขั้นที่ ๑ ถอดรองเท้า ท่องคาถาจนมั่นใจว่าเดินได้แล้วก็เดินไป
ขั้นที่ ๒ เดินไปครึ่งทางรู้สึกร้อนทั้งตัว
ขั้นที่ ๓ เดินไปรู้สึกอุ่นที่เท้าน้อยๆ
ขั้นที่ ๔ ไม่รู้สึกอะไรเลย
ขั้นที่ ๕ เท้าเย็นจนไม่รู้สึกร้อนเลย

นั่งบนเหล็กร้อน
ด.ญ.ไพลิน บุญมา
๒๕ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๑.๒๕ น. เรียนกับหลวงปู่ปาน วันนี้ไปเรียนที่วิมานหลวงปู่ ท่านเสกเหล็กแผ่นเท่ากระดาน แล้วท่านใช้ตาเพ่งไปที่แผ่นเหล็ก แล้วแผ่นเหล็กแดงอย่างกับเหล็กเผาไฟ แล้วท่านบอกว่าให้หนูขึ้นไปนั่งสมาธิบนแผ่นเหล็ก

ท่านบอกว่าถ้าสมาธิดีจะไม่รู้สึกร้อน หนูก็ทดลองขึ้นไปนั่ง ตอนแรกรู้สึกร้อน หนูขออํานาจบารมีพระพุทธเจ้า ท่านแม่ศรี หลวงปู่ปาน หลวงปู่ฤาษี และท่องคาถาไปเรื่อยๆ จนจิตสงบ แล้วนั่งจนไฟที่เหล็กแดงจนดับและเย็นลง แล้วนั่งภาวนาไป ๕ ช.ม. ไฟก็ดับลง

หลวงปู่ท่านบอกว่าลงมานี่ซิ หลวงปู่บอกว่าเก่งมาก หลวงปู่ก็พาหนูไปในวิมานของท่าน แล้วท่านว่าท่านจะสอนวิชาดูพระว่า พระนั้นดีหรือไม่ดี ท่านเอาพระที่อยู่ในหีบสีทองของท่านออกมา

ตอนแรกเอาพระวางข้างหน้าไม่ต้องภาวนา เอานิ้ววัดตั้งแต่ข้อศอกไปถึงนิ้วกลาง จะได้พอดี แล้วเอาองค์พระอธิษฐานให้นิ้วเหลือ หรือไม่ก็พอดีอย่างเดิม หนูลองทําดูปรากฏว่าเหลือจริงๆ หลวงปู่บอกว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ หนูก็กราบลาท่านลงมา


(โปรดติดตาม "ตอนจบ" ต่อไป)

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 20/7/20 at 10:20

[ ตอนที่ 25 จบ ]

บันทึกการฝึกวิชาต่างๆ (พฤศจิกายน)


วิชาคาถาเวทมนต์
ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ ผมได้ขึ้นไปเรียนกับหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานท่านบอกว่าข้าจะสอนวิชาคาถาอาคมเวทมนต์ให้เจ้าไว้ป้องกันตัว จะมีคาถาปลุกเสกของและอะไรอีกหลายอย่าง เช่น วิชาปลุกเสกลูกอม

พอท่องคาถาก็จะได้ลูกอมวิเศษ และจะเรียนคาถาที่ทําให้สัตว์ที่ตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ แล้วท่องคาถา พอท่องคาถาเสร็จสัตว์ที่ตายแล้ว ก็จะฟื้นขึ้นมาใหม่อย่างอิสระเสรีของมันวันนี้เรียนคาถาได้ ๒ อย่าง คือคาถาปลุกเสกลูกอมและคาถาให้สัตว์ที่ตายให้ฟื้นขึ้นมาใหม่

พอผมเรียนเสร็จหลวงปู่ปานท่านถามว่า เมื่อคืนวานเจ้าขึ้นมาไม่ได้ใช่ไหม ผมตอบท่านว่าครับ หลวงปู่บอกว่าที่ขึ้นไม่ได้ เพราะว่าข้าไม่ให้ขึ้นมาเอง

ท่านบอกว่าต่อไปนี้ให้เจ้าขึ้นมาวันอังคาร วันพฤหัสบดี และวันเสาร์นะ พอหลวงปู่ปานพูดจบผมก็กราบลาท่านลงมา


วิชามองภาพในน้ำ
ด.ญ.จารุณี มณี
๙-๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ หนูได้ขึ้นไปเรียนวิชากับหลวงปู่ปาน ตอนแรกหลวงปู่ท่านเอาน้ำใส่ขัน และท่านเอาหนังสือมาให้หนูอ่าน ตัวหนังสือเป็นหนังสือจีน หนูอ่านไม่ได้

หลวงปู่ท่านเลยสอนให้หนูอ่าน ความยาวของคาถานั้นมี ๒๐ หน้า พอหลวงปู่ท่านสอนหนูให้อ่าน แต่หนูยังอ่านไม่ได้เป็นบางตัว

หนูขอให้ท่านแม่ศรีมาสอน ท่านแม่ศรีก็มาสอนหนู พอท่านแม่ศรีสอนเสร็จหนูก็อ่านได้ หนูเอานิ้วมือจิ้มลงในน้ำก็มองเห็นสิ่งที่หนูอยากเห็นก็เห็นได้

๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ ไปเรียนวิชาสะกดจิตคน ไปเรียนกับหลวงปู่ขนมจีน แต่ท่านไม่ให้บอกวิธีมีถึง ๕ ขั้น

๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ หลวงปู่ปานพาหนูไปที่ถ้ำน้ำแข็ง หลวงปู่ท่านเอาร่างของหนูไปไว้ในถ้ำน้ำแข็ง ตอนแรกหนูรู้สึกว่าหนาวมาก และตอนหลังรู้สึกว่าอุ่น อยู่ที่นั่นได้ ๑ คืน

ไปถามพระพุทธเจ้า
ด.ญ.จารุณี มณี
๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๐๙.๑๕ น. ตอนเช้าคุณแม่ของหนูบอกให้หนูไปถามว่า หลวงปู่ฤาษีตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน

หนูขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าถามท่านว่า หลวงปู่ฤาษีท่านมาอยู่นิพพานใช่ไหม พระพุทธเจ้าท่านตอบว่าใช่แล้วบางทีหลวงปู่ฤาษีท่านอาจจะกลับลงมาอีก

แต่ยังไม่แน่นอน ๑๐๐ % ต้องรอให้ถึง ๑๐๐ วันก่อนจึงจะรู้ผล เพราะยังไม่รู้ผลว่า หลวงปู่ฤาษีจะลงมาหรือไม่ พอถามเสร็จหนูกราบขอบพระคุณท่าน และกราบลาท่านแล้วหนูก็กลับลงมาบอกคุณแม่ของหนู

ไปเรียนวิชาแพทย์กับหลวงปู่ฤาษีตาไฟ
ด.ญ.จารุณี มณี
๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๐.๐๙ น. คืนนี้ขึ้นไปเรียนวิชาแพทย์กับหลวงปู่ฤาษีตาไฟ ตอนแรกหลวงปู่ท่านสอนให้หนูผสมยาแก้ปวดท้อง

หนูถามท่านว่าหลวงปู่แน่ใจหรือเจ้าคะว่าหนูจะผสมได้ ท่านก็ตอบว่าแน่ใจทีเดียว ถ้าเจ้าผสมเสร็จข้าจะกินให้ดูตอนนี้ข้าปวดท้องอยู่ตงิดๆ

พอท่านพูดจบหนูก็ผสมยา พอหนูผสมยาเสร็จหนูก็ถวายยาให้หลวงปู่ฉัน พอหลวงปู่ฉันเสร็จ หลวงปู่ท่านปวดท้องจี๊ดเลย แล้วหลวงปู่ท่านก็พูดว่า แกเอายาในกระปุกสีแดงใช่ไ หม

หนูตอบท่านว่าใช่เจ้าคะ ยานั่่นที่หนูผสมกลายเป็นยาถ่ายไป ไม่ใช่ยาแก้ปวดท้อง หนูก็รีบกราบลาท่านลงมาเพราะกลัวไม้ตะพดหลวงปู่


ชุดทีมฝึกร่วมกัน ทุกท่านมอบพลังให้ผม
ด.ช.บัญชา กันทะวงศ์
๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๕ เวลาประมาณ ๒๐.๒๓ น. ผมได้ขึ้นไปหาหลวงปู่ปาน หลวงปู่ท่านบอกว่าวันนี้ไม่ได้เรียนใช่ไหม ผมตอบว่าใช่ครับ

งั้นปู่จะบอกเจ้านะ คืนนี้พระพุทธเจ้า เจ้าแม่กวนอิม ท่านแม่ศรี หลวงปู่ฤาษี หลวงปู่ฤาษีขาว และตัวหลวงปู่เองจะได้มอบพลังให้เจ้า เพื่อเจ้าจะได้ช่วยครูของเจ้าสู้กับมาร ที่มันจ้องทําร้ายครูเจ้า ช่วยบอกให้ครูเจ้าระวังตัวด้วยนะ

พอหลวงปู่ท่านพูดจบ พระพุทธเจ้า ท่านแม่ศรี เจ้าแม่กวนอิม หลวงปู่ฤาษี หลวงปู่ฤาษีขาว และหลวงปู่ปานท่านก็มอบพลังให้ผม พอท่านมอบพลังให้ผมเสร็จ ผมก็ไม่รู้อะไรเลย พอรู้อีกทีผมก็อยู่ที่บ้านแล้ว


บทสรุป
บันทึกการฝึกของเด็กที่อาจารย์นฤมล ว่านเครือ โรงเรียนบ้านเตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ที่ได้ส่งมานี้ สมัยนั้นก็ได้สิ้นสุดยุติเพียงแค่นี้

การนำเรื่อง "อภิญญาใหม่" ในสมัยปี ๒๕๓๕ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ปี ๒๕๖๓ นับว่าเป็นเวลาผ่านไปนานพอสมควร หวังว่าท่านผู้อ่านคงได้รับประโยชน์พอสมควรเช่นกัน

อนึ่ง อ.นฤมล ว่านเครือ ก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว บทความเหล่านี้ที่นำมาให้อ่านกันอีกครั้ง ถือว่าเป็นการระลึกถึงกัน โดยเฉพาะคลิปวีดีโอชุดที่นำมาให้ชมกันนั้น ตอนนี้ก็เป็นคลิปสุดท้ายด้วย

จึงถือว่าโชคดีที่ คุณปรีชา พึ่งแสง ได้บันทึกไว้ นับว่ามีคุณค่าเป็นอย่างมากสำหรับคนรุ่นหลัง จะได้ทราบว่าเหตุการณ์เหล่านี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในมุมหนึ่งของพระพุทธศาสนา

อีกทั้งเป็นการพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา เพราะสามารถพิสูจน์ได้เป็นรูปธรรม

ไม่ว่าใครก็มีโอกาสฝึกได้ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น แม้แต่เด็กๆ เหล่านี้ก็ยังฝึกฝนกันได้เช่นกัน สุดท้ายนี้ จึงขออนุโมทนา

- อ.อำไพ สุจนิล และเด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านแม่โจ้ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
ด.ญ. พัชราภรณ์ ขอดแก้ว
ด.ญ. สุมาลี ปัญโญ
ด.ญ. อำพร ภูเขา
ด.ญ. สุนทรีย์ ชัยดารา
ด.ช. ดนตรี บุญเพิ่มพูน
ด.ช. ธีรยุทธ จันทร์แดง
ด.ช. นพดล ต่อกัน

- อ.นฤมล ว่านเครือ และเด็กนักเรียนโรงเรียน โรงเรียนบ้านเตาไห อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
ด.ช. บัญชา กันทะวงศ์
ด.ญ. จารุณี มณี
ด.ญ. ไพริน บุญมา

- อาจารย์และเด็กนักเรียน โรงเรียนบ้านบวกเปา อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
(อาจารย์ไม่ได้ส่งรายชื่อเด็กมาให้ทราบ ต้องขออภัยด้วย)

- อ.อุษา ศวิตชาติ และเด็กนักเรียนโรงเรียนเขากบ (วิวรณ์สุขวิทยา) อ.เมือง จ.นครสวรรค์
ด.ช.อานนท์ แจ้งจิต
ด.ญ.ปราณี สระแก้ว
ด.ญ.วิมลศรี เปรมวัฒนะ
ด.ญ.นิรัชรา เดชาภูมิ
ด.ญ.ศิริจรรยา ศรีสุวรรณ์


จึงขออนุโมทนาท่านผู้อ่านทั้งหลาย ที่ได้ติดตามอ่านตัั้งแต่ตอนที่ ๑ จนถึง ตอนที่ ๒๕ พอดี ถือว่าเป็นการจบเรื่องราวต่างๆ ที่ได้เคยลงไว้ในหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" เมื่อปี ๒๕๓๕ (นามปากกา "หรยู") สมัยนี้นับว่าได้ลงในเฟซบุคเป็นครั้งแรก ซึ่งมีคลิปวีดีโอให้ชมด้วย

หวังว่าคงเป็นประโยชน์ในการศึกษาและข้อปฏิบัติในสมัยยุค "ชาวศรีวิไล" ที่วิชา "อภิญญาใหญ่" อาจจะกลับมาอีกก็เป็นได้..สวัสดี

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 28/7/20 at 06:13

.


webmaster - 21/5/21 at 09:38

.