ฤาษีลิงดำหรือลูกปืนแน่กว่ากัน..? (โพสต์ในเว็บ sameskybooks)
webmaster - 20/3/09 at 04:43



สารบัญ

(เลือก "คลิก" อ่านได้แต่ละตอน)


01.
คำถาม - คำตอบ
02. หลวงพ่อฯ เล่าเรื่องท่านหญิงวิภาวดี รังสิต
03. บางส่วนจาก..หนังสือวิภาวดีรำลึก
04. เกล็ดธรรมปฏิบัติของท่านหญิง..ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์
New.. ที่มาจากหนังสือของ พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร (Update 05/05/52)



คำชี้แจง

เนื่อจากมีการสนทนาเรื่องนี้ในเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน (www.samesky books.org/board/index.php) จึงอยากนำคำถามคำตอบมาให้อ่าน อ่านแล้วไม่ควรแสดงความเห็นแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องความคิดของผู้ที่ยังไม่เข้าใจ ผู้จัดทำเว็บนี้เพียงแต่นำมาให้อ่านเล่นๆ กันเท่านั้น




คำถาม

ฤาษีลิงดำหรือลูกปืนแน่กว่ากัน ตอนนั้นถูกยิงตายคาค๊อปเตอร์ใช่ไหม?,
เห็นมีคนอ้างฤาษีลิงดำมาหลายที เลยเอามาให้ดู


สงสัย : ถ้าจำไม่ผิด ฤาษีลิงดำถูกยิงตายคาค๊อปเตอร์พร้อมกับหม่อมวิภาวดีฯ ใช่ไหม เห็นโม้ว่ามีอภิญญารู้เรื่องโน้นเรื่องนี้ มัฤทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วพอโดนยิงก็ตาย ไม่แน่จริงนี่หว่า

เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่าใครก็ตามที่โม้ว่ามีฤทธิ์ เป็นเทพ ฯลฯ ถ้าโดนยิงแล้วตายก็โม้ทั้งเพ..

May 19 2008, 05:53 PM




คำตอบ

Thanawat : และก็มีคนถามว่า “ในเมื่ออาตมาทราบว่าจะมีอุบัติเหตุแบบนั้น ทำไมจึงไม่ช่วยป้องกัน” อาตมาก็มานั่งนึกว่า คนที่เขาพูดนี่คงคิดว่าอาตมาเองคงจะไม่ตาย เพราะคนอื่นจะตายป้องกันเขาได้ ตัวเองมันก็ต้องไม่ตาย แต่เขาคงลืมไปกระมังว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นอาจารย์ใหญ่ของอาตมาจริงๆ ท่านก็ต้องนิพพาน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตาย) หรือ พระโมคคัลลาน์ พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้มีฤทธิ์ถูกโจรทุบ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูก็ยังทรงพระชนม์อยู่ ทำไมไม่ช่วยป้องกันไว้

แต่นั่นเป็นกฎของกรรม พระโมคคัลลาน์ถูกโจรล้อมท่านก็หนีไป ๒ ครั้ง พอโจรมาล้อมเป็นครั้งที่ ๓ ท่านก็มาพิจารณาว่า “มันเรื่องอะไร” ก็ทราบว่า “กรรมที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นกรรมเมื่อ ๑๐๐ อัตภาพมาแล้ว เราเคยทุบพ่อทุบแม่ตาย กรรมนั้นมาสนอง” ท่านจึงยอมให้โจรทุบ เมื่อโจรทุบแล้วท่านก็ไม่ยอมตาย เมื่อโจรไปแล้วท่านก็ประสานกาย ประสานกระดูก เหาะไปกราบทูลลาพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน

เป็นอันว่าถ้าคนจำจะต้องตาย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงร่างกายอยู่ไม่ได้ ปล่อยให้ร่างกายพัง พระโมคคัลลาน์ท่านเป็นจอมฤทธิ์ ท่านก็ไม่สามารถจะป้องกันตัวท่านเองได้ แล้วการที่อาตมาจะไปบังคับให้ท่านหญิงวิภาวดีไม่ตายจะได้ไหม ถ้าจะพูดกันอีกที โยมผู้ชายและโยมผู้หญิงท่านเป็นพ่อเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดอาตมา ชีวิตจะทรงอยู่ได้ก็เพราะอาศัยท่าน แต่เวลาที่ท่านทั้งสองจะตาย อาตมาก็ห้ามไม่ได้ แล้วจะให้ไปห้ามใครได้ เป็นอันว่าเรื่องของท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ทำไมต้องตายและอาตมาทำไมไม่ป้องกันไว้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้..”

ผมไม่ตอบนะครับเพราะตรงนี้หลวงพ่อท่านอธิบาลไว้หมดแล้วครับและก็ยกตัวอย่าให้ฟัง ส่วนการนับถือพระสงฆ์องค์เจ้าขึนอยู่ควาเชื่อส่วน บุคคลครับ ผมนับถือศาสนาพุทธตรงแก่ง ธรรม ครับทุกอย่าถูกอธิบาลว่าด้วยเหตุและผลครับ ผมไม่ได้นับถือตรงหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพันชาตรีครับ ไม่ได้นับถือตรงให้หวยแม่นทุกงวด ขั้นประถมผมก็จบมาจากโรงเรียนวัดคณินกาผล ครับ อ.นิยม เป็นคนสอนวิชาพุทธศาสนา ท่านสอนว่าในหลัก ธรรม ว่าอะไรคือเหตุและผล เท่านั้นเอง โตขึ้นมาถีงเข้าใจครับ

May 19 2008, 08:09 PM




สหายจักร : และก็มีคนถามว่า “ในเมื่ออาตมาทราบว่าจะมีอุบัติเหตุแบบนั้น ทำไมจึงไม่ช่วยป้องกัน” อาตมาก็มานั่งนึกว่า คนที่เขาพูดนี่คงคิดว่าอาตมาเองคงจะไม่ตาย เพราะคนอื่นจะตายป้องกันเขาได้ ตัวเองมันก็ต้องไม่ตาย แต่เขาคงลืมไปกระมังว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นอาจารย์ใหญ่ของอาตมาจริงๆ ท่านก็ต้องนิพพาน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตาย) หรือ พระโมคคัลลาน์ พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้มีฤทธิ์ถูกโจรทุบ

เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูก็ยังทรงพระชนม์อยู่ ทำไมไม่ช่วยป้องกันไว้ แต่นั่นเป็นกฎของกรรม พระโมคคัลลาน์ถูกโจรล้อมท่านก็หนีไป ๒ ครั้ง พอโจรมาล้อมเป็นครั้งที่ ๓ ท่านก็มาพิจารณาว่า “มันเรื่องอะไร” ก็ทราบว่า “กรรมที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นกรรมเมื่อ ๑๐๐ อัตภาพมาแล้ว เราเคยทุบพ่อทุบแม่ตาย กรรมนั้นมาสนอง” ท่านจึงยอมให้โจรทุบ เมื่อโจรทุบแล้วท่านก็ไม่ยอมตาย เมื่อโจรไปแล้วท่านก็ประสานกาย ประสานกระดูก เหาะไปกราบทูลลาพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน

เป็นอันว่าถ้าคนจำจะต้องตาย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงร่างกายอยู่ไม่ได้ ปล่อยให้ร่างกายพัง พระโมคคัลลาน์ท่านเป็นจอมฤทธิ์ ท่านก็ไม่สามารถจะป้องกันตัวท่านเองได้ แล้วการที่อาตมาจะไปบังคับให้ท่านหญิงวิภาวดีไม่ตายจะได้ไหม ถ้าจะพูดกันอีกที โยมผู้ชายและโยมผู้หญิงท่านเป็นพ่อเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดอาตมา ชีวิตจะทรงอยู่ได้ก็เพราะอาศัยท่าน แต่เวลาที่ท่านทั้งสองจะตาย อาตมาก็ห้ามไม่ได้ แล้วจะให้ไปห้ามใครได้ เป็นอันว่าเรื่องของท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ทำไมต้องตายและอาตมาทำไมไม่ป้องกันไว้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้..”

สรุปว่ายังไงก็ต้องตาย ก็คนมันจะตาย ใครจะไปห้ามได้ละครับพี่น้อง..!

May 19 2008, 09:36 PM


◄ll กลับสู่ด้านบน






หลวงพ่อฯ เล่าเรื่องท่านหญิงวิภาวดี รังสิต



◄ll กลับสู่ด้านบน


บางส่วนจากหนังสือวิภาวดีรำลึก


(โพสต์จากเว็บ www.thaimisc.com)

เวลาอันน้อยนิด
โดย เกรส กฤตยา เปเรร่า

เช้าวันนั้นในต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นวันที่อากาศสดใสวันหนึ่งของต้นฤดูหนาว ข้าพเจ้าตั้งใจไปเฝ้าท่านหญิงที่วังแต่เช้า เพราะรู้ว่าท่านเพิ่งเสด็จกลับจากต่างจังหวัด แต่ก็กะว่าจะเสด็จไปอีกในระยะเวลาอันสั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถนัดเวลากับท่านได้ จึงกะไปแต่เช้าเพื่อจะได้ไม่คลาดกันถ้าท่านจะต้องเสด็จไปที่อื่นในตอนสาย

ข้าหลวงบอกข้าพเจ้าทันทีที่ไปถึงว่า ท่านหญิงเพิ่งบรรทมตื่น ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกไม่อยาก รบกวนพระทัย เพราะรู้ดีว่าท่านทรงเหน็ดเหนื่อยมาจากการเดินท่าง และทรงต้องการที่จะพักผ่อนเมื่อมีเวลาได้เสด็จกลับมาประทับที่วัง แต่ไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะแอบกลับข้าหลวงก็ขึ้นไปทูลแล้วว่าข้าพเจ้ามาเฝ้า และรับสั่งให้ขึ้นไปที่ห้องบรรทม

เหมือนเมื่อสมัยเด็ก คือท่านโปรดคุยกับข้าพเจ้าในห้องบรรทม บางทีบางเวลาที่ทรงคิด “สะระตะ” เกี่ยวกับการบ้าน หรือเรื่องที่ทรงแต่งไม่ออก ท่านก็โปรดที่จะบรรทมทำท่าคิดทรงกัดเล็บและทรงไขว้พระบาทอยู่บนพระที่ ทั้งๆ ที่ยังทรงสวมรองพระบาท ถ้าข้าพเจ้าทูลว่า “สกปรกแย่” ท่านก็จะโปรดมากและทรงพระสรวลอย่างขำที่ข้าพเจ้า “จ๋ามจิบ” (คือ จุกจิกในสายพระเนตรของท่าน)

เช้าวันนั้น ข้าพเจ้าได้เฝ้าท่านหญิงในฉลององค์ชุดบรรทม พระเกศายังยุ่ง แต่ก็ทรงทักข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ท่านสรงน้ำและแต่งองค์ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ในขณะที่ข้าหลวงขึ้นมาจัดพระที่ และข้าพเจ้าดื่มน้ำส้มคั้น

ในขณะที่ทรงแต่งพระพักตร์ ท่านทรงเล่าถึงพระเนตรข้างขวาของท่านที่ไม่ทรงเห็นดี
“หญิงมองเห็นแล้วจากตาข้างนี้” รับสั่งพลางก็ทรงปิดพระเนตรอีกข้างหนึ่งให้ข้าพเจ้าดู
“ไม่เคยรู้เลยคะว่าเนตรข้างนี้ไม่ดี” ข้าพเจ้าทูลอย่างแปลกใจ

“จริงๆ นะ ตาหญิงข้างนี้มองไม่ค่อยเห็น ให้หมอดูมาหลายหมอแล้ว แต่เขาก็หมดปัญญา
“แล้วท่านหญิงทรงให้ใครรักษาล่ะคะ”

“ไม่ได้หรอก ‘คุณเกด’ เวลาหญิงมีไม่มาก”
“รับสั่งอะไรอย่างงั้นคะ” ข้าพเจ้ารู้สึกไม่สบายใจเลย

“จริงๆ นะ หญิงรู้ว่าหญิงมีเวลาน้อยเหลือเกิน” ทรงหยุดนิดหนึ่ง แล้วรับสั่งว่า “หญิงไม่ขอเกิดอีกแล้ว หญิงเหนื่อยมามากพอแล้ว ขอไปนิพพานอย่างเดียว”

“แต่ท่านหญิงยังทรงแข็งแรง เวลาปฏิบัติยังมีอีกนาน”
“ใครจะรู้ อาจมีอะไรเกิดขึ้นก่อน แต่หญิงก็สละแล้ว หญิงสละได้แม้นชีวิต ขอรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจนถึงที่สุด ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิตเลย หญิงนึกอยู่เช่นนี้เสมอ”

ข้าพเจ้าใจหาย ข้าพเจ้าจำได้ว่าในเวลานั้น ข้าพเจ้าได้มองท่านหญิงอย่างเต็มตา ท่านประทับหันข้างห็ข้าพเจ้า พระพักตร์เฉย ปราศจากความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงในสิ่งที่ทรงคิด และทรงพูดแต่ประการใด พระพักตร์เช่นนั้น พระเกศาเช่นนั้น และพระองค์ท่าน แม้จะทรงผอมลงเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมาเป็นเวลาช้านาน อะไรจะมาทำให้สิ่งเหล่านี้ผันแปรไป ข้าพเจ้าไม่ยอมเชื่อเป็นอันขาด

“หญิงขอไปนิพพาน และไม่ขอเกิดอีกแล้ว” ท่านรับสั่งอีก เหมือนรับสั่งกับองค์ท่านเอง และข้าพเจ้าไม่ได้นั่งอยู่ในที่นั้น

ในภายหลังเมื่อมีโอกาสได้พูดกับผู้ที่ใกล้ชิดพระองค์ท่าน ความรู้สึกที่ว่า ‘ทรงรู้องค์’ นี้ปรากฏอยู่สิ่งที่ทรงกระทำหลายอย่าง เช่นประทานเงินก้อนให้บางคนที่ทรงอุปการะให้จัดที่ทางให้ตนเองเป็นหลักแหล่ง “เผื่อฉันเป็นอะไรไป”
“ถ้าฉันไม่อยู่แล้ว เธอจะทำยังไง” ท่านรับสั่งถามข้าหลวงคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้ถูกถามตะลึงไปด้วยความตกใจ
“เธออยากได้อะไร บอกให้ฉันรู้” ทรงกำชับข้าหลวงอีกคนหนึ่ง

พระเมตตาที่แฝงอยู่ในคำถามเหล่านี้ เป็นความห่วงใยในผู้อื่นที่ทรงมีอยู่ตลอดพระชนม์ของท่านหญิง แม้ในชั้นสุดท้าย ก็ทรงห่วงใยในชีวิตของตำรวจชายแดนมากกว่าขององค์ท่านเอง ด้วยพระกุศลผลบุญจากกรรมดีที่ได้ทรงปฏิบัติ และพระเมตตาที่ทรงมีต่อบุคคลทั่วไป โดยไม่เลือกว่า ผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม ขอให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองศ์เจ้าวิภาวดีรังสิต ทรงบรรลุถึงพระนิพพานสมพระทัยปรารถนาเถิด...

◄ll กลับสู่ด้านบน




เกล็ดธรรมปฏิบัติ ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองศ์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต

โดย ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์

เนื่องในวาระที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองศ์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ได้สิ้นพระชนม์ครบ ๑ ปี ข้าพเจ้าในฐานะที่เคยเป็นพระสหายของพระองค์ท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรมร่วมกันมา ถึงแม้จะเป็นอดีตไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าที่ได้ร่วมรู้เห็นและซาบซึ้งในผลการปฏิบัติธรรมของพระองค์ท่านมาโดยตลอดพระองค์ หญิงมิได้ประทานลายพระหัตถ์ถึงข้าพเจ้า เพียงแต่มีการปุจฉาวิสัชนาในทางธรรมระหว่างข้าพเจ้ากับพระองค์ท่านในขณะที่ได้มีโอกาสพบกัน หรือคุยกันทางโทรศัพท์

เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อพระองค์ท่านทรงทราบเกี่ยวกับ หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร ซึ่งข้าพเจ้าได้เลื่อมใสศรัทธาในเรื่องธรรมของท่าน พระองค์หญิงได้ทรงสนพระทัยและให้ข้าพเจ้าพาไปศึกษาธรรมจากหลวงพ่อ ฯ เป็นเวลา ๗ เดือนก่อนสิ้นพระชนม์

จำได้ว่าในวันแรกที่พบกับหลวงพ่อ ฯ พระองค์ท่านได้ทรงซักถามปัญหาธรรมอย่างมากมายด้วยความสนพระทัยยิ่งนัก และรับสั่งว่า “หลวงพ่อองค์นี้เยี่ยมมาก” สิ่งแรกที่ทรงปฏิบัติก็คือ การปฏิบัติพระกรรมฐาน นับเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งที่พระองค์ท่านได้ปฏิบัติธรรมสำเร็จได้อย่างดีเยี่ยม ได้ทรงเล่าถึงผลการนั่งสมาธิให้หลวงพ่อ ฯ ฟัง ซึ่งหลวงพ่อ ฯ ได้ปรารภว่า พระองค์หญิงมีบารมีดั้งเดิมในทางอภิญญามาแต่อดีตชาติ พระองค์ท่านทรงตื่นเต้นมากและทรงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเกี่ยวกับนิมิตครั้งแรกที่ได้ทรงเห็น ขณะทรงนั่งสมาธิต่อหน้าพระประธานในวังวิทยุ

พระองค์ท่านบำเพ็ญสมาธิจนถึงขั้นอุปจารสมาธิ (ก่อนสิ้นพระชนม์พระองค์ท่านบำเพ็ญสมถะแล้ววิปัสสนากรรมฐานจนถึงขั้นจตุตถฌาน) เห็นเป็นเปลวเพลิงเพนียงพุ่งสูงจากพื้นจนเกือบเท่าพระประธาน ข้าพเจ้าเองรู้สึกตื่นเต้นและยินดีกับพระองค์ท่านด้วยที่ได้ปฏิบัติสมาธิได้ผลรวดเร็วเหลือเกิน

ต่อมาพระองค์ท่านได้นิมนต์หลวงพ่อ ฯ ไปฉันเพลที่วัง ฯ และหลวงพ่อ ฯ ได้ทำพิธีเมชจิตเพื่อให้บรรลุทิพยจักขุเร็วขึ้น พระองค์ท่านได้บำเพ็ญสมาธิต่อหน้าหลวงพ่อ ฯ และได้อุทานขึ้นมาว่า ทรงเห็นกองทองคำสูงจากพื้นประมาณ ๑ ศอก ซึ่งนับว่าเป็นนิมิตดีต่อพระองค์ท่านและเป็นการเพิ่มศรัทธาให้ทรงมีพระวิริยะบำเพ็ญธรรมต่อไป

นิมิตครั้งที่สามที่ทรงเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง เกิดขึ้นในขณะที่ทรงบำเพ็ญสมาธิอยู่ในห้องบรรทม รุ้สึกองค์ว่าได้ลุกขึ้นไปนั่งไขว่ห้องอยู่บนอากาศโดยไม่มีเก้าอี้ แต่มีความรู้สึกว่าได้นั่งอยู่บนเก้าอี้จริงๆ ประมาณครู่ใหญ่ หลังจากนั้นได้ทรงเรียนถามหลวงพ่อ ฯ และทรงทราบว่า นั้นเป็นอภิญญาบารมีแต่อดีตชาติ ของพระองค์ท่าน (ฤทธิเดชในอดีตชาติ) ซึ่งหลวงพ่อ ฯ ได้ยืนยันให้ผู้อื่นทราบว่าเป็นความจริง พระองค์หญิงได้ทรงเล่าอย่างมีอารมณ์ขันให้ผู้อื่นรวมทั้งข้าพเจ้าฟังโดยตลอดทำให้พวกเราพลอยตื่นเต้นและสนุกสนานไปกับพระองค์ท่านด้วย

ครั้งหนึ่งพระองค์หญิงได้ชวนข้าพเจ้าให้ขึ้นไปยังห้องบรรทม และได้ทรงชี้ให้ข้าพเจ้าดูรูปปั้นของหลวงปู่ปานซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อ ฯ พระองค์ท่านได้บูชาด้วยดอกมะลิสดอยู่ตลอดมามิได้ขาด ทรงเล่าว่า คืนหนึ่งทรงประชวรปวดพระนาภีมากที่สุดในชีวิตเกือบจะทนไม่ไหว จึงทรงอุทานขอหลวงปู่ปานให้ช่วย ทันใดนั้นพระองค์ท่านได้ทรงเห็นพระในผ้าเหลือง ซึ่งทรงเชื่อว่าต้องเป็นหลวงปู่ปานแน่ๆ

หลวงปู่ฯ ได้โบกมือปัดเป่ามาทางองค์ท่าน และทรงเห็นว่ามีสัตว์ชนิดหนึ่งมีลักษณะตัวดำๆ (ซึ่งหลวงพ่อฯ เรียกภายหลังว่า “ขันธมาร”) วิ่งออกจากพระองค์ท่านไปทางประตูและออกจากห้องบรรทมไป หลังจากนั้นอาการปวดพระนาภีก็หายดังปลิดทิ้ง และได้ทรงไปตรวจที่ประตูก็ปรากฏว่ายังปิดสนิทอยู่นับว่าเป็นเรื่องที่ประหลาดและมหัศจรรย์ที่ได้บังเกิดขึ้นกับพระองค์ท่าน

พระองค์หญิงทรงมีพระอัธยาศัยที่งดงามไม่ถือพระองค์ ทรงมีเมตตาจิตต่อทุกคนที่อยู่ใกล้ ทรงเคารพนับถือพระอริยสงฆ์ทุกพระองค์ที่ได้ทรงพบเห็น และมักจะทรงซักถามปัญหาธรรมรวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับอดีตชาติของพระองค์ท่าน ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้พระองค์ท่านทรงกระทำแต่ความดีมากยิ่งขึ้น

เหตุการณ์ทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในที่นี้ เป็นเรื่องที่ข้านเจ้าได้รับฟังมาจากพระองค์ท่านทั้งสิ้นในเวลาต่างๆ กันก่อนที่พระองค์ท่านจะสิ้นพระชนม์จากพวกเราไป เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ได้เสด็จสู่สุขติภพอันเป็นนิรันดร์ เสวยเอกันตสุข จากกุศลผลบุญบารมีต่างๆ ที่ได้ทรงบำเพ็ญมาตลอดพระชนม์ชีพ

ข้าพเจ้าขอนำเรื่องมโนยิทธิซึ่งบรรดาเหล่าพุทธบริษัททราบดีว่า ผู้ที่ได้ฝึกมโนมยิทธินี้แล้วสามารถจะถอดจิตจากร่างท่องเที่ยวไปได้ในสวรรค์และนรกภูมิ โดยขอนำนามของสุภาพสตรีผู้หนึ่งคือ คุณรัชนี เจนรถา ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อฯ และได้ฝึกมโนมยิทธิสำเร็จ เธอผู้นี้เล่าว่าได้ถอดจิตไปเบื้องบน และได้พบกับพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ท่านทรงมีพระรูปโฉมที่งดงาม มีพระชันษาอ่อนวัยประมาณ ๒๐ ปี ทรงเครื่องทรงที่แพรวพราวพร้อมด้วยมงกุฏงดงามยิ่งนัก คุณรัชนีได้ทูลถามพระองค์ท่านว่า

“หม่อมฉันคิดว่าคุณหญิงสุวรรณาภาคงอยากฝากถามถึงพระองค์หญิง พระองค์หญิงจะทรงโปรดสงเคราะห์อะไรถึงเธอบ้างไหมเพคะ” พระองค์ท่านให้บอกว่า “พี่โย่งใกล้จะมาอยู่กับหญิงแล้ว ที่พี่โย่งนึกถึง หญิงอยู่ใกล้ๆ อยู่แล้ว การกระทำของพี่โย่งเป็นกุศลทั้งนั้นถ้ายังไม่เห็นองค์ของหญิงก็อย่าเสียใจ”

ข้าพเจ้ารู้สึกสุขใจมากที่ทราบว่า พระองค์หญิงยังทรงห่วงใยและเมตตาต่อข้าพเจ้าอยู่ ถึงแม้จะทรงจากไปเสวยสุขแล้ว กุศลกรรมอันใดที่ข้าพเจ้าปฏิบัติมาด้วยดี ข้าพเจ้าขอน้อมจิตถวายกุศลนั้นแด่พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ผู้ซึ่งข้าพเจ้าถือว่า พระองค์ทรงเป็นแม่บทอันดีเยี่ยมแก่เหล่าสานุศิษย์ของหลวงพ่อฯ ที่จะได้ดำเนินรอยตามพระองค์ท่านต่อไป

นิพพานํ ปรมํ สุขํ

...............................................


ขอบคุณปิงที่เอื้อเฟื้อข้อมูลและช่วยพิมพ์ให้
โพสต์โดย หลงกวี [20 ม.ค. 2546] www.thaimisc.com/freewebboard/php


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 5/5/09 at 09:07



(Update วันฉัตรมงคล 05/05/2552)



นับแต่วันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 5 พ.ค. 2493 จนถึง 5 พ.ค. 2552 ครบ 59 ปีเต็ม
บัดนี้ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 60 แล้ว ขอพระองค์ทรงพระเจริญอยู่ภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร
ตราบเท่านานแสนนานเถิด พระพุทธเจ้าข้า

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้าในนาม

"คณะลูกหลานหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง"




ที่มาจาก...หนังสือ รอยพระยุคลบาท

ของ พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร


.......หน้าที่ของผมตามพระราชบัญญัตินายตำรวจราชสำนักประจำนั้น นอกจากจะได้แก่การถวายความปลอดภัยแล้ว ยังต้อง “ปฏิบัติตามพระราชประสงค์” ซึ่งหมายความว่า จะทรงใช้อย่างใดก็ได้สุดแต่พระราชอัธยาศัย ผมรู้อยู่แล้ว จึงเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าอื่นถวาย

“หน้าที่” อื่นที่มาถึงโดยมิได้คาดหมาย คือการตามเสด็จถวายความปลอดภัยแด่ หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต สถานการณ์ภาคใต้ขณะนั้น หลายจังหวัดคับขัน
และรุนแรงไม่แพ้ภาคอีสาน และภาคเหนือที่ผมเคยผ่านมาแล้ว ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์สามารถจัดตั้งเป็นกองกำลังถืออาวุธ และเข้าโจมตีจนทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับความสูญเสียมากบ้างน้อยบ้างอยู่ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯจึงทรงเป็นห่วง และจึงมีพระราชบัญชาให้ผมตามเสด็จท่านหญิงวิภาฯ เพื่อถวายความปลอดภัยแด่ท่าน

ท่านหญิงวิภาฯ นั้นทรงมีพระนิสัยคล้ายพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ ตรงที่โปรดการเสด็จแบบถึงลูกถึงคน หากไม่จำเป็นจะไม่ประทับเฮลิคอปเตอร์ แต่จะเสด็จโดยทางพื้นดินเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเริ่มตามเสด็จแล้ว ผมจึงได้รู้ว่ามีอันตราย

การเสด็จของท่านหญิงซึ่งเป็นพระราชวงศ์และเสด็จแทนพระองค์พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ นั้นทำความตื่นเต้นและยินดีให้แก่ประชาชนโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเสด็จไปที่ไหนก็มีคนไปเฝ้าอย่างเนืองแน่น ประกอบกับท่านหญิงเป็นเจ้านายที่ไม่ถือพระองค์ การเสด็จของท่านหญิงจึงทำความอุ่นใจให้แก่ประชาชน และเป็นสิ่งที่ชาวใต้ตั้งตาและตั้งใจคอย

จึงไม่ต้องสงสัยว่า ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ถือว่าการเสด็จของท่านหญิงเป็นอุปสรรคแก่การทำงานของเขา เขาไม่ประสงค์ที่จะให้ประชาชนรู้สึกอุ่นใจ แต่ต้องการที่จะให้ประชาชนรู้สึกว้าเหว่และถูกทอดทิ้งต่อไปอีก เพื่อจะได้สะดวกแก่การทำงานโฆษณาชวนเชื่อให้เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล

ในการเสด็จหลายครั้ง ทางรถยนต์ไม่มี ท่านหญิงต้องประทับเกาะท้ายรถจักรยานยนต์แล่นไปตามทางคนเดินในป่าหรือสวนยางหรือตามคันนา และผู้ตามเสด็จก็ต้องเกาะท้ายจักรยานยนต์ไปคนละคันๆ เช่นเดียวกัน



(พาหนะที่ทรงใช้ในการเดินทาง)

ครั้งหนึ่ง ขณะที่กำลังเสด็จอยู่ในอำเภอพระแสง พอเสด็จออกไปได้ไม่นาน ก็พบต้นไม้ใหญ่พาดขวางทางอยู่ เมื่อลงไปสำรวจดูแล้วก็เห็นว่าไม่ใช่ต้นไม้ล้มด้วยแรงพายุหรือด้วยตัวมันเอง หากแต่ถูกใครจงใจยกเอาไปวางขวางไว้ พวกเราต้องออกแรงยกออกจากทางแล้วจึงเดินทางต่อไป

นอกจากรถยนต์และจักรยานยนต์แล้ว ในการเสด็จบางอำเภอ ท่านหญิงต้องประทับเรือ เพราะเป็นวิธีสัญจรวิธีเดียวที่สะดวกที่สุดในสมัยนั้น และเพราะระยะทางไกล จึงเคยต้องประทับแรมริมแม่น้ำกลางทาง ในเพิงที่เขาสร้างถวาย

ผมจำได้ว่า วันนั้นก่อนเสด็จเข้าที่ประทับมีชาวบ้านมาเฝ้าเป็นจำนวนมาก ท่านหญิงรับสั้งกับชาวบ้านเหล่านั้นอย่างเป็นกันเองและสนุกสนาน แต่เวลาล่วงเลยไปจนถึงพลบค่ำก็ยังไม่เห็นทูลลากลับ ในที่สุดเมื่อรับสั่งถาม ชาวบ้านจึงได้ทูลว่า เขาจะพักแรมอยู่ข้างที่ประทับนี่หละ กลับไม่ได้แล้ว ขืนกลับอาจถูกเสือลากไปกิน

อีกตอนหนึ่ง นายอำเภอคีรีรัฐสร้างที่ประทับแรมถวายเอาไว้ริมน้ำตก (ต่อมาได้ชื่อว่า น้ำตกวิภาวดี) และท่านหญิงต้องทรงลงดำเนินจากริมแม่น้ำขึ้นเขาไปตามทางที่เป็นหินและค่อนข้างสูงชัน ที่ไม่มีใครคาดฝันก็คือ ก่อนเสด็จถึงฝนตกหนักและน้ำป่าไหลเชี่ยวโกรกสวนทางลงมา

การเดินขึ้นเขาจึงกลายเป็นการเดินวิบาก เพราะต้องระวังมิให้ลื่นตกน้ำ แต่ทั้งๆที่ระวังอยู่ คุณหมอสวัสดิ์ก็พลาดตกลงไปในน้ำและถูกน้ำพัดลงเขาไป เคราะห์ดีที่ตกลงไปในแอ่งน้ำ จึงไม่เป็นอันตราย ผมตามเสด็จท่านหญิงวิภาฯ อยู่จนถึงกลางเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯจึงได้เสด็จฯ ไปทรงเยือนอำเภอพระแสง

การเสด็จครั้งนั้นคงไม่เป็นที่สบอารมณ์ของผู้ก่อการร้ายอย่างแน่นอน จะเห็นได้จากการที่ผู้ก่อการร้ายซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ที่เดินทางเข้าไปเตรียมการรับเสด็จที่อำเภอพระแสง เป็นเหตุให้นายตำรวจเสียชีวิตไปคนหนึ่ง

เมื่อถึงบ้านไสขรบ ในเขตอำเภอกิ่งอำเภอเคียนซา มอบของพระราชทานให้แล้วและกำลังกินกลางวันกันอยู่ ราษฎรได้เข้ามากระซิบบอกว่าเห็นผู้ก่อการร้ายหลายคนอยู่ในบริเวณงาน ผมและคุณวิภาสหยุดกินอาหารและรีบเดินทางออกมา

หลังจากเดินทางออกมาไม่นานก็ได้รับแจ้งวิทยุว่า ผู้ก่อการร้ายเข้าจับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาการณ์อยู่ในงานนั้น และยึดเอาอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ไปได้ นับว่าเป็นเคราะห์ดีที่พวกเราไม่ได้มัวโอ้เอ้อยู่ หาไม่แล้วผู้ก่อการร้ายอาจจับได้ทั้งผมและคุณวิภาส และได้เฮลิคอปเตอร์ตำรวจอีกหนึ่งเครื่องด้วย

ท่านหญิงวิภาฯ นั้นนอกจากทรงเป็นนักเขียนนวนิยาย และบทความสารคดีต่างๆแล้ว ยังทรงสนพระทัยและมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดีอย่างแตกฉาน

ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันนี้เองที่ทูลกระหม่อมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เริ่มสนพระทัยในโบราณคดีและโดยเฉพาะถ้วยชามจีน กลับจากตามเสด็จท่านหญิงวิภาฯ คราวใด ผมจึงมีเศษถ้วยชามโบราณแตกไปถวายคราวนั้น จนกระทั่งพระพี่เลี้ยงบ่นว่า ในห้องที่ประทับของทูลกระหม่อมในตำหนักจิตรลดารโหฐาน มีเศษถ้วยชามเหล่านี้เต็มไปหมด และขอให้ผมงดถวาย

ระหว่างทางเสด็จโดยเฉพาะในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานีนั้น เราได้เห็นริ้วรอยของการต่อสู้ระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ก่อการร้ายอยู่เป็นระยะๆตลอดทาง แต่ท่านหญิงไม่เคยทรงแสดงพระกิริยาให้รู้สึกว่าทรงวิตกหรือหวาดหวั่นในเหตุการณ์นั้น

ครั้งหนึ่ง ขณะที่ทรงบรรยายเรื่องประสบการณ์ของพระองค์ เมื่อมีผู้ขอให้รับสั่งเล่าเรื่องผู้ก่อการร้าย ท่านหญิงตอบว่าไม่มีเรื่องจะเล่า ทรงทราบว่าในหมู่บ้านที่เสด็จเข้าไปนั้นมี “พวกนั้น” อยู่ แต่ไม่เคยสนพระทัยว่าผู้ใดเป็นอะไร “ โดยเฉพาะตอนน้ำท่วม เราไม่เคยคิดว่าใครเป็นพวกไหนเลย ต่างก็ขาดแคลนอาหาร เสื้อผ้า และเจ็บป่วยด้วยกันทั้งนั้น ของพระราชทานจึงถึงมือทุกคนซึ่งเป็นคนไทยในผืนแผ่นดินไทยของเราที่ได้รับความเดือดร้อน”

ท่านหญิงทรงห่วงใยแต่ผู้อื่น และไม่ทรงเป็นห่วงความปลอดภัยของพระองค์เอง เมื่อเช้าวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 ขณะที่กำลังเสด็จไปเยี่ยมประชาชนและเจ้าหน้าที่ดังที่ได้เคยปฏิบัติมาเป็นเวลาแรมปี และเฮลิคอปเตอร์ของกรมตำรวจที่ประทับกำลังบินอยู่ในเขตอำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานว่าข้างล่างมีการประทะต่อสู้กันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ก่อการร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนสองนายต้องกับระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัส

ขณะนั้นในเครื่องบินนอกจากผู้ตามเสด็จอยู่ด้วย ท่านหญิงจึงรับสั่งให้นักบินนำพระภิกษุทั้งสองรูปไปส่งและให้คอยอยู่ที่วัดบ้านส้อง ส่วนพระองค์เองเสด็จไปกับเฮลิคอปเตอร์เพื่อรับผู้ได้รับบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาล

ขณะที่กำลังร่อนลงนั่นเอง ผู้ก่อการร้ายได้ระดมยิงเครื่องบินอย่างหนาแน่น กระสุนปืนทะลุเฮลิคอปเตอร์เข้าไป นัดหนึ่งถูกท่านหญิงเป็นแผลฉกรรจ์ เฮลิคอปเตอร์ชำรุด บินต่อไปไม่ได้ นักบินต้องนำเครื่องลงฉุกเฉินระหว่างทาง ขณะที่เฮลิคอปเตอร์อีกเครื่องหนึ่งกำลังเชิญเสด็จท่านหญิงไปโรงพยาบาลนั่นเอง ท่านหญิงก็สิ้นพระชนม์

ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ก่อนสิ้นพระชนม์ ท่านหญิงยังทรงมีพระสติ ตรัสขอให้ พระมหาวีระ และ ครูบาธรรมไชย กราบถวายบังคมลาพระเจ้าอยู่หัวแทน ทรง “ ขอนิพพาน ” และตรัสเป็นประโยคสุดท้ายว่าทรงเห็นนิพพานแล้ว พระนิพพานที่ท่านหญิงทอดพระเนตรเห็นนั้น "สวยงดงามและแจ่มใสเหลือเกิน”

แล้วเมืองไทยก็สิ้นเจ้านายพระราชวงศ์จักรีที่ทรงรักคนไทยและเมืองไทยยิ่งกว่าพระองค์เองไปอีกองค์หนึ่ง...

ขณะที่ท่านหญิงต้องกระสุนปืนสิ้นพระชนม์นั้น ผมกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ที่เชียงใหม่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สมเด็จพระเทพรัตฯ เสด็จไปทรงรับพระศพของท่านหญิงที่ท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ผมได้ตามเสด็จทูลกระหม่อมไปด้วย

วันนั้นผมได้มีโอกาสเห็นท่านหญิงครั้งสุดท้ายเมื่อเข้าไปถวายน้ำพระศพ ก่อนหน้านั้นผมเห็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่น้อยครั้งที่ผมเสียน้ำตาให้แก่ผู้ตาย วันนั้นผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ และต้องร้องไห้ออกมาทั้งๆ ที่รู้ว่ากำลังอยู่ต่อหน้าที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ



(สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินรอรับพระศพ ณ ร.พ.จุฬาลงกรณ์)


บ้านแม่สาน ศรีสัชนาลัย

ครั้งหนึ่งท่านหญิงเสด็จพระดำเนินยังหมู่บ้านกะเหรี่ยงในเขตอำเภอศรีสัชนาลัยนั้น ที่นับว่าอยู่ไกลและทุรกันดารมีอยู่ 2-3 หมู่บ้าน เราต้องเดินทางกันด้วยรถแลนด์โรเวอร์ไปบนทางที่ยังเรียกว่าถนนไม่ได้ เพราะเต็มไปด้วยหลุมและบ่อขนาดต่างๆ ครั้งหนึ่งรถแล่นตกลงไปติดหล่ม ร้อนถึงชาวบ้านต้องเอาช้างไปช่วยฉุดรถขึ้นจากหล่ม

หมู่บ้านแม่สานอันเป็นที่หมายสุดท้ายในการเสด็จในคราวนั้น จะไปโดยทางเฮลิคอปเตอร์ก็คงจะได้ แต่ด้วยเหตุผลใดผมไม่แน่ใจนัก ท่านหญิงวิภาฯ ได้ทรงตัดสินพระทัยเลือกเสด็จโดยทางเท้า ทำให้ผมมีโอกาสได้ตามเสด็จเดินเขาเป็นระยะทางไกลถึงประมาณ 12 ก.ม. เป็นการเดินทางที่ระหกระเหินที่สุดครั้งหนึ่ง

ราษฎรกะเหรี่ยงที่บ้านแม่สานนั้น นามสกุลเหมือนกันทั้งหมู่บ้าน คือ นามสกุล “ ค้างคีรี ” สอบถามแล้วได้ความว่านายอำเภอผู้หนึ่งตั้งให้ทุกคนในคราวเดียวกัน ราษฎรมีฐานะยากจน แม้แต่ข้าวก็ไม่มี ต้องขุดดินหาเผือกหามันกิน ข้าวพระราชทานที่ส่งเข้าไปก่อนหน้าที่ท่านหญิงจะเสด็จไปพร้อมคณะนั้น

ปรากฏว่าชาวบ้านหุงกินกันหมดเกลี้ยงแล้ว พอเราไปถึงชาวบ้านก็เอามะพร้าวมาเลี้ยงต้อนรับ ความอดอยากของชาวบ้านแม่สานนั้นเห็นได้จากเมื่อเราเอามะพร้าวที่กินเหลือโยนทิ้งแล้วปรากฏว่าหมาชาวบ้าน 2-3 ตัว (ซึ่งอดโซเหมือนกัน) ได้โจนเข้าแย่งกินเนื้อมะพร้าวเป็นพัลวัน เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ผมเห็นหมากินมะพร้าว

การเสด็จของท่านหญิงซึ่งเป็นผู้แทนพระองค์ นอกจากจะนำความอบอุ่นไปสู่ราษฎรชาวกะเหรี่ยงเหล่านั้นแล้ว ยังนำไปสู่ความร่วมมือกันเหลียวแลเจ้าหน้าที่ราชการฝ่ายต่างๆด้วย ก่อนจะเสด็จกลับจากหมู่บ้านแม่สาน ท่านหญิงทรงเกลี้ยกล่อมราษฎรผู้มีความรู้และเคยเป็นครูคนหนึ่งให้รับตำแหน่งเป็นครูสอนหนังสือให้เด็กๆ อยู่ที่บ้านแม่สาน โดยทรงสัญญาที่จะประทานเงินรายได้ประจำปีห้าจำนวนหนึ่ง นอกเหนือจากเงินเดือนที่เขาจะได้รับทางราชการด้วย



(เส้นทางการเดินทางไปเยี่ยมประชาชนของท่านหญิงวิภาวดีฯ)


ทรงเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักประพันธ์

ท่านหญิงมิได้เป็นแค่เพียงนางสนองพระโอษฐในสมเด็จฯ เท่านั้น ท่านเป็นพระธิดาของ พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ ซึ่งเป็นพระบิดาแห่งการกสิกรไทย ทรงเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักประพันธ์และกวีที่สำคัญพระองค์หนึ่ง ทรงนิพนธ์งานเขียนไว้มากมายทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ทรงใช้นามปากกาว่า "น.ม.ส."

ซึ่งก็เอามาจากพระนามเดิมของพระองค์นั่นเอง โดยทรงหยิบเอาอักษรตัวท้ายของพระนามแต่ละคำที่ผสมกันอยู่ออกมาเป็นคำย่อ จาก รัชนีแจ่มจรัส มาเป็น "น.ม.ส." ทรงนิพนธ์ผลงานที่สำคัญหลายเรื่อง อาทิ เรื่องของนักเรียนเมืองอังกฤษ เรื่องสงครามรัสเซียกับญี่ปุ่น สืบราชสมบัติ (นวนิยาย) พระนลคำฉันท์ ตลาดเงินตรา นิทานเวตาล กนกนคร (กลอน 6) กาพย์เห่เรือ ฉันท์สดุดีสังเวยสมโภชพระมหาเศวตฉัตร ความนึกในฤดูหนาว กลอนและนักกลอน และสามกรุง ฯลฯ

ทรงออกหนังสือรายสัปดาห์ "ประมวญมารค" และทรงตั้งโรงพิมพ์ประมวญมารคขึ้นที่วัง ถนนประมวญ ต่อมาโรงพิมพ์ก็ถึงการอวสานลงด้วยภัยสงคราม ถูกทิ้งระเบิด เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2486 นอกจากนั้นยังทรงมีหน้าที่สำคัญ ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติอีกหลายประการคือ

- อุปนายกหอพระสมุดแห่งชาติ
- กรรมการร่างกฎหมาย
- กรรมการสภากาชาด
- นายกสมาคมลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย
- กรรมการองคมนตรีสภา
- สภานายกแห่งราชบัณฑิตยสภา

ท่านหญิงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต

หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต เป็นโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร" สิ้นพระชนม์เมื่อ วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ในขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ ๙ พระชันษา ๖๖ ราชสกุลที่สืบเชื้อขัตติยะมานะคือ "รังสิต ณ อยุธยา"

"สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร" ทรงเป็นพระเชษฐาของสมเด็จพระบรมราชชนก เนื่องจากว่าพระพันวัสสาอยิกาเจ้า ทรงเลี้ยงดู"สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร" มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เลี้ยงดูเหมือนลูก ดังนั้นจึงใกล้ชิดกับ ราชสกุล "มหิดล" มาก

กระทู้ถาม จากคุณ : บ่วยบ๊วย - [ 23 ก.พ. 50 12:17:18 ]
กระทู้ตอบ จากคุณ : *~~nOnGtEErAk~~* - [ 23 ก.พ. 50 14:24:51 ]
รูปภาพ - http ://topicstock.pantip.com


◄ll กลับสู่ด้านบน