148
หลวงพ่อของเรา
ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย
ในการเขียนเรื่องนี้ ผู้เขียนมีเจตนาที่จะเจริญศรัทธาลูกหลานหลวงพ่อ ให้มีความเชื่อมั่นในความเป็นผู้ทรงคุณวิเศษนานัปการของพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา
และต้องการจะบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ประสบมาไว้เป็นหลักฐาน และถ้าเรื่องนี้เป็นประโยชน์แก่สาธุชนผู้อ่านทั่วๆ ไป ผู้เขียนก็จะยินดีมาก อย่างไรก็ตาม
เพื่อมิให้เรื่องนี้เป็นโทษแก่ผู้ใด ผู้เขียนขอบอกกติกาการอ่านเรื่องนี้ไว้เช่นเดิมคือ คนพาลห้ามอ่านนะครับ
ชวนหลวงพ่อซื้อล็อตเตอรี่
พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา ท่านทรงสมาบัติแปดตั้งแต่พรรษาแรกและทรงอภิญญาเรื่อยมา ท่านได้พบพระนิพพาน เมื่อพรรษาที่ 20
และในพรรษาที่ 27 ความเป็นผู้รู้ก็ปรากฏ (ท่านว่านึกอยากจะรู้อะไร มันก็รู้) กอปรกับปรมัตถบารมีพุทธภูมิวิริยาธิกะเต็มขั้นในชาตินี้ให้ผล
ดังนั้นคุณวิเศษต่างๆ ของท่านที่เป็นปัจจัตตัง จึงมีมากๆๆ
ในสมัยที่ท่านอยู่ที่วัดประยูรวงศ์ หน้ากุฏิท่านมีกระดานดำติดข้างฝาอยู่แผ่นหนึ่ง สมัยนั้นท่านคงอยากจะสงเคราะห์ญาติโยมของท่าน ท่านจึงเขียนเลข 2
ตัวบนกระดานแผ่นนั้นทิ้งไว้ ปรากฏว่าเลขท้าย 2 ตัวตรงพอดี ท่านทำอย่างนั้นมาสัก 2 3 งวดโดยไม่ได้บอกใครว่าเป็นเลขอะไร
แต่ชาวบ้านแถวนั้นก็รวยหวยใต้ดินไปตามๆ กัน อยู่มาวันหนึ่ง ท่านไปพลิกดูที่นอนของท่านในกุฏิปรากฏว่ามีตัวเรือดเต็มไปหมด
ท่านตกใจ ก็พอดีมีเสียงมาบอกว่า การให้หวยคือการให้ชาวบ้านไปปล้นเจ้ามือ ท่านเองจะถูกสูบเลือดอย่างนี้ ท่านเลยเลิกเขียนเลขติดข้างฝาตั้งแต่นั้นมา
และตัวเรือดก็หายไปจากที่นอนของท่าน ต่อมา เมื่อท่านมาอยู่ที่วัดสะพาน ประมาณ พ.ศ.2509 ท่านก็เคยเขียนเลขล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เลขครบทั้ง 6 ตัว
ให้นายตำรวจดู และเลขรางวัลที่ 1 ก็ออกตรงตามที่หลวงพ่อเขียนพอดี (รายละเอียดอยู่ในเรื่องที่คุณบุญถึงเล่า)
ครั้งหนึ่ง ปาน (ชาลินี นุตาลัย เนียมสกุล) น้องสาวของผู้เขียนพาหลวงพ่อไประยอง ขากลับท่านมาฉันเพลที่แปดริ้วและแวะกราบหลวงพ่อโสธร
หลังจากออกมารอขบวนอยู่หน้าโบสถ์ เผอิญท่านมายืนอยู่ใกล้ๆ ตู้ขายล็อตเตอรี่ ปานจึงกราบเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อคะ เบอร์ไหนดีคะ
หลวงพ่อ หลวงพ่อตอบว่า แกซื้อใบที่อยู่มุมขวาซี่
ปานก็ซื้อใบนั้นมา แล้วมาเล่าให้ผู้เขียนฟัง ผู้เขียนก็จำเลขท้ายสองตัว 56 มาบอกเพื่อนฝูงว่า เลขท้ายสองตัวงวดนี้ออก 56 มีคนซื้อหวยใต้ดินตามหลายคน
มีอยู่คนหนึ่งฉลาดมากกว่าเพื่อนซื้อตั้งแต่ 056 ถึง 956 ปรากฏว่าเลขท้ายสามตัวงวดนั้นออก 956 ปานก็ถูก แต่คนที่เล่น 2 ตัวตามผู้เขียนบอกเจ๊งไปตามๆ กัน
ทีนี้ก็มาถึงโอกาสของผู้เขียนบ้าง ครั้งหนึ่งผู้เขียนติดตามท่านไปเยี่ยมทหารที่ตาพระยา
หลังจากท่านฉันเพลในตลาดแล้ว ท่านมายืนอยู่หน้าตู้ขายล็อตเตอรี่พอดี ผู้เขียนได้โอกาสก็กราบเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อครับใบไหนดี
หลวงพ่อท่านตอบว่า แกเอาสตางค์ไปซื้อโอเลี้ยงให้ข้ากินดีกว่า
ความเป็นนักเทศน์
ลูกศิษย์หลวงพ่อทุกคน เมื่อได้ฟังเทศน์จากท่านแล้ว จะไม่ชอบฟังเทศน์จากพระองค์อื่นๆ อีก ผู้เขียนลองสอบถามดูหลายๆ
ท่านแล้วต่างก็ให้ความเห็นเป็นเสียงเดียวกันหมดคือ ไม่จุใจ บ้าง หลวงพ่อของเราสอนดีกว่านี้อีก บ้าง ไม่ถึงใจ บ้าง หลังจากฟังหลวงพ่อเทศน์แล้ว
ฟังองค์อื่นเทศน์มันจืดไปหมด บ้าง ผู้เขียนจะไม่เขียนถึงเนื้อหาที่ท่านเทศน์เพราะเขียนอย่างไรก็ไม่ได้เหมือน
ถ้าท่านผู้อ่านอยากจะรู้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อองค์นี้ ท่านเทศน์ได้วิเศษอย่างไร
ก็ขอให้หาเทปที่ท่านเทศน์ไว้แล้วมาฟังดูเองก็แล้วกัน (มีมากกว่า 2,000 เรื่อง) สิ่งที่ประทับใจผู้เขียนตลอดมาตั้งแต่ได้ฟังท่านเทศน์ครั้งแรกและทุกๆ
ครั้งก็คือ ความเคารพต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของหลวงพ่อ และสรรพนามต่างๆ ที่พระเดชพระคุณท่านใช้เรียกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านสามารถใช้ได้อย่างหมดจด งดงาม หลากหลาย และแสดงออกถึงความเคารพอย่างสูงสุดที่ท่านมีต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนจะเขียนตอนนี้ ผู้เขียนได้ฟังท่านเทศน์ที่งานวันวิสาขบูชา ปี พ.ศ. 2534 นี้ที่วัด ก็เลยลองจดดู ปรากฏว่า
เทศน์กัณฑ์นั้นมีสรรพนามขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าต่างๆ กันดังนี้ องค์สมเด็จพระสุคต, องค์สมเด็จพระชินวร, องค์สมเด็จพระภควัน, องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์,
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า,
องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว, องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า, องค์สมเด็จพระบรมสุคต, องค์สมเด็จพระบรมสามิศร, องค์สมเด็จพระทศพล, องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า,
องค์สมเด็จพระบรมครู และองค์สมเด็จพระสวัสดิโสภาคย์ นอกจากนี้ถ้าเทศน์กัณฑ์ไหนมีเรื่องเกี่ยวข้องกับพระพุทธประวัติ หรือพระสูตร
พระเดชพระคุณหลวงพ่อจะเทศน์เนื้อเรื่องเสมือนว่าท่านอยู่ในที่นั้นๆ ด้วยเสมอ ดังนั้นท่านจึงรายละเอียดและเกร็ดซึ่งองค์อื่นๆ เทศน์ไม่ได้
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างให้ลองคิดกันดูก็ได้ ใครทราบบ้างครับว่า ขณะที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนั้น มีพระสงฆ์ตามเสด็จกี่รูป
แต่ถ้าได้ฟังเทศน์กัณฑ์วิสาขบูชา พ.ศ.2534 แล้ว จะรู้เรื่องเหมือนกับได้เดินตามเสด็จไปเมืองกุสินาราด้วยทีเดียว พระตามเสด็จทั้งหมด หนึ่งแสนแปดหมื่นองค์เศษ
ครับ
หลวงพ่อเป็นยอดนักประวัติศาสตร์
เมื่อใดผู้เขียนอ่านประวัติศาสตร์แล้วติดขัดหรือสงสัย ก็มักจะหาโอกาสสอบถามจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ซึ่งท่านก็สงเคราะห์ทุกครั้งและโดยอัตโนมัติเสมอ
ผู้เขียนจะขอบันทึกตัวอย่างเรื่องที่เคยสอบถามท่านไว้เป็นหลักฐานและเป็นเครื่องยืนยันความวิเศษ ความเป็นผู้รู้
นึกอยากจะรู้อะไรมันก็รู้ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อไว้ด้วย
1. ที่ตั้งเมืองสุโขทัย
น้ำเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิตรองจากอากาศ ดังนั้นการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์จึงอยู่ใกล้แหล่งน้ำเสมอ ได้มีผู้ศึกษาการตั้งถิ่นฐานของคนไทยโบราณ
และพบว่าคนไทยจะตั้งชุมชนอยู่ห่างจากแหล่งน้ำไม่เกิน 1.7 กิโลเมตร เมืองใหญ่ของไทยแต่โบราณล้วนแต่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายสำคัญทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเชียงแสน
เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน ลพบุรี นครสวรรค์ กำแพงเพชร ฯลฯ แต่ถ้าเราดูที่ตั้งของราชธานีสุโขทัย
จะพบว่าอยู่ห่างจากลำน้ำยมปัจจุบันถึง 11 กิโลเมตร เป็นไปได้อย่างไร คราวหนึ่งผู้เขียนกลับมาจากเชียงแสนกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ โดยขับรถกลับมาทาง งาว
อุตรดิตถ์ เด่นชัย ศรีสัชนาลัย สุโขทัย นครสวรรค์ วัดท่าซุง รถของเรามารอขบวนอยู่ที่ศาลพระแม่ย่าที่สุโขทัย
ผู้เขียนได้โอกาสก็กราบเรียนถามท่านว่า เมืองโบราณของไทยนั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำเสมอ ทำไมเมืองสุโขทัยจึงห่างแม่น้ำยมตั้ง 11 กิโลเมตร
ท่านตอบว่า แกดูซิว่า แม่น้ำตอนนี้มันตรงไหม เขาขุดขึ้นมาทีหลัง แม่น้ำเดิมผ่านหน้าเมืองสุโขทัย แล้วท่านก็บอกต่อว่า
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์มาบอกเดี๋ยวนี้เอง ผู้เขียนกลับมาดูแผนที่ ก็เห็นจริงตามท่านว่า ว่าแม่น้ำยมหน้าเมืองสุโขทัยนั้น
ไม่คดเคี้ยวเหมือนช่วงอื่นๆ แต่ตัดเป็นแนวตรงไปทิศตะวันออกเฉียงใต้
2. การเผาเมืองเวียงจันทร์
หลังจากปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทร์ แล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชานุชิต
ครั้งยังเป็นพระยาราชสุภาวดี ยกทัพขึ้นไปปราบเมืองเวียงจันทร์ ในการทัพครั้งนั้นได้มีพระบรมราชโองการกำกับไปด้วยว่า เมืองเวียงจันทร์เป็นกบฏมา 2 ครั้งแล้ว
ไม่ควรเอาไว้ให้เป็นบ้านเมืองให้อยู่สืบไป ให้ทำลายล้างเสียให้สิ้นอย่าให้ตั้งติดอยู่ได้
เมื่อยึดเมืองเวียงจันทร์ได้แล้ว ให้เผาเมืองทิ้งเสีย อย่าให้เหลือซาก เมื่อเจ้าพระยาบดินทร์ยึดเมืองเวียงจันทร์ได้แล้ว
ก็กวาดต้อนผู้คนกลับลงมาและเกณฑ์ไพร่ให้รื้ออิฐกำแพงเมือง และตัดต้นไม้มีผลทำลายเสีย แต่ไม่ได้เผาเมืองทิ้ง กลับตั้งเจ้าเมืองเวียงจันทร์ใหม่
ให้อยู่รักษาเมืองต่อไป พร้อมกับแบ่งผู้คนที่กวาดต้อนลงมา ให้อยู่เป็นพลเมืองเวียงจันทร์ส่วนหนึ่ง
เมื่อกลับลงมาเฝ้ากราบบังคมทูลข้อราชการ ก็ถูกกริ้วว่าขัดพระบรมราชโองการ ไม่ทำลายล้างเมืองเวียงจันทร์เสียให้สาบสูญ
ซ้ำยังตั้งขึ้นให้เป็นหัวเมืองไว้อีก ถ้าอนุฯ กลับมาก็จะยากตกแก่พลทหาร ผู้เขียนกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า
ทำไมพระยาราชสุภาวดีจึงกล้าขัดพระบรมราชโองการ ท่านตอบว่า เผาเข้าไปได้ยังไง บ้านเมียน้อย
3. น้ำท่วมกรุงเทพฯ
กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองสร้างบนที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ดังนั้นน้ำท่วมกรุงเทพฯ จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา
เพราะน้ำแม่น้ำเจ้าพระยามักล้นตลิ่งในฤดูน้ำหลากเกือบทุกปี แต่น้ำมักจะท่วมไม่มากและไม่นานนัก น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่เรายังจำกันได้ก็คือน้ำท่วมใหญ่ปี
พ.ศ.2526, 2523, 2520, 2485 และ พ.ศ.2460 เป็นต้น
ผู้เขียนเคยลองค้นดูว่า ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ น้ำท่วมมากที่สุดเมื่อไร ก็พบหลักฐานจากสมุดบันทึกเหตุการณ์กรุงเทพพระมหานคร
ซึ่งบันทึกไว้ว่า (หลังจากสร้างกรุงเทพมหานครได้ 3 ปี) เกิดน้ำท่วมครั้งแรกในจังหวัดพระนครและธนบุรี เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2328 (ปีมะเส็ง จุลศักราช 1147)
วัดระดับน้ำเฉพาะที่ท้องสนามหลวง (ทุ่งพระเมรุ) น้ำลึก 8 ศอก 10 นิ้ว (4 เมตร 20 เซนติเมตร)
ส่วนในพระบรมมหาราชวัง ปรากฏว่าน้ำท่วมพื้นท้องพระโรงในพระที่นั่งจักพรรดิพิมานวัดได้ 4 ศอก 8 นิ้ว (2 เมตร 16 เซนติเมตร) ถึงกับเสด็จออกขุนนางไม่ได้
ต้องเสด็จย้ายไปว่าราชการแผ่นดินบนพระที่นั่งอัมรินทร์มหาปราสาท เพราะพื้นที่นั่งนี้สูงพ้นน้ำกว่า 5 ศอกเศษ (2 เมตร 25 เซนติเมตร)
บรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และพระบรมวงศานุวงศ์ต้องลอยเรือกันไปเฝ้า
จอดเรือเทียบถึงพระที่นั่งอัมรินทร์มหาปราสาท (ต่อมามหาปราสาทหลังนี้ ถูกฟ้าผ่าไฟไหม้ จึงโปรดให้สร้างขึ้นใหม่ และให้ชื่อว่าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท)
ข้าวสารซื้อขายกันเกวียนละชั่ง (80 บาท) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แจกข้าวในฉางหลวงแก่ราษฎรที่อดอยาก ข้าวปลาอาหารแพงอยู่จนปีมะเมีย อัฐศก จุลศักราช
1147 (พ.ศ.2329)
ผู้เขียนลองนึกดูว่า ถ้าน้ำท่วมท้องสนามหลวง 4 เมตรเศษจริง ทั่วกรุงเทพฯ จะไม่มีที่อยู่อาศัยได้เลยในเวลานั้น
เพราะบ้านเรือนสมัยแรกสร้างกรุงเป็นบ้านชั้นเดียว มุงหลังคาจากเกือบทั้งหมด คงมีแต่วัดกับวังเท่านั้นที่อาจจะมีอาคารก่ออิฐสอปูน 2 ชั้น มุงกระเบื้อง
ผู้คนจะหนีน้ำไปอยู่ที่ไหนกัน ยิ่งนึกว่า ถ้าเกิดน้ำท่วมใหญ่เช่นนั้นในปัจจุบัน จะโกลาหลกันมากเพียงใด ตอนนั้นเป็นช่วงปลายปี พ.ศ.2526 น้ำกำลังท่วมกรุงเทพฯ
พอดี
หลวงพ่อลงมาที่ซอยสายลม และกำลังนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่ห้องโถงชั้นล่าง มีลูกหลานล้อมวงคุยอยู่กับท่าน ผู้เขียนได้โอกาสก็กราบเรียนถามท่าน
เรื่องน้ำท่วมกรุงครั้งแรก ท่านบอกว่า ตำราเขียนไว้นานเข้า ตัวเลขมันงอก ที่จริงระดับน้ำสูงแค่หน้าอก
แล้วท่านก็ทำมือกะระดับน้ำให้ดู ท่านบอกว่า เทวดาเขามาทำภาพให้ดู ระดับน้ำสูงแค่นี้
4. สมเด็จพระอินทราชาหรือสมเด็จพระนครอินทร์เป็นใคร
นักอ่านประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาตอนต้นมักจะถามกันเสมอว่า สมเด็จพระอินทราชา หรือสมเด็จพระนครอินทร์เป็นใครกันแน่ ในพระราชพงศาวดาร ฉบับ
พันจันทนุมาศ, และฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ กล่าวแต่เพียงว่า ศักราช 763
ปีมะเส็งตรีศก (พ.ศ.1944) สมเด็จพระรามเจ้ามีความพิโรธเจ้ามหาเสนาบดี และท่านให้กุมตัว
เจ้ามหาเสนาบดีหนีรอดข้ามไปอยู่ฟากปทาคูจาม จึงให้ไปเชิญสมเด็จพระอินทราชา ณ เมืองสุพรรณบุรี เสด็จเข้ามาถึง
จึงเจ้ามหาเสนาบดียกเข้าปล้นเอาเมืองพระนครศรีอยุธยาได้ จึงเชิญสมเด็จพระอินทราชาขึ้นเสวยราชสมบัติ ให้สมเด็จพระยารามไปกินเมืองปทาคูจาม
ผู้เขียนเคยกราบเรียนถามท่านว่า สมเด็จพระนครอินทร์เป็นใคร พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านตอบว่า เป็นน้องเมียขุนหลวงพะงั่ว
5. ประวัติก่อนประวัติศาสตร์
พระเดชพระคุณหลวงพ่อองค์นี้ ท่านมีอตีตังสญาณที่กว้างไกลไพศาล ไม่มีขอบเขต ท่านสามารถเล่าเหตุการณ์ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ ให้ลูกหลานฟังเสมือนว่า
ท่านอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างให้ฟังสักสองเรื่อง เรื่องแรก เมื่อไปชิคาโก และไปพักที่บ้านแพทย์หญิงสุภรณ์ พงศ์หล่อพิสิษฐ์
ท่านเล่าประวัติของบริเวณบ้านคุณหมอ ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกของเมืองชิคาโกไว้ดังนี้
ถอยหลังไปสมัยสมเด็จพระพุทธทีปังกร พระราชาทรงพระนามว่าท้าวอินทราชา ครองเมืองมหาบรมไตรจักรภพ
พระราชฐานห่างบ้านนี้ไปทางทิศตะวันตก 2 กิโลเมตร มีพระราชโอรสเป็นพระเจ้าจักรพรรดิเมื่ออายุ 21 ปี 3 เดือน ทรงพระนามว่า นวราชบรมจักรพรรดิ
สมเด็จพระนวราชบรมจักรพรรดิ เห็นว่าราชธานีเดิมแคบไป ก็ขยายกำแพงราชธานีออกไปด้านละ 10 โยชน์
บ้านหมออยู่ตรงโรงครัวพอดี....... ที่ละ.......ไว้นั้น เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณหมอท่าน ที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังต่อไปอีก
อีกครั้งหนึ่งเป็นเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟังระหว่างอยู่ในนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2529 การไป (ตามลูกสาว) ครั้งนั้นมีผู้ติดตามไปด้วย 19 คน
ท่านเล่าให้ฟังว่า ในสมัยพระพุทธกัสสป ประเทศนิวซีแลนด์เป็นเมืองของพระเจ้าจักรพรรดิ ท่านได้สร้างพระทองหนัก 40 ตัน หน้าตัก 14 วา
ไว้ที่ด้านใต้ของเมืองเวลลิงตัน
ผู้ที่มานิวซีแลนด์กับท่านครั้งนั้น ล้วนเป็นลูกหลานของพระเจ้าจักรพรรดิทั้งสิ้น และแต่ละคนมีชื่อต่างๆ กัน (ท่านให้ผู้เขียนจดชื่อให้ทุกคน
ทั้งชื่อในวังและชื่อนอกวัง) ผู้เขียนขอเอาเฉพาะชื่อต่างๆ ที่ท่านเล่าและผู้เขียนจด มาบันทึกไว้ ณ ที่นี้ ส่วนใครเป็นใครนั้น อย่าสนใจเลย
มันเป็นอดีตไปหมดแล้ว ที่ต้องบันทึกไว้เพราะอยากจะให้ลูกหลานของพระเดชพระคุณท่านได้เห็นความแจ่มใสในอตีตังสญาณของท่าน ท่านเล่าให้ฟังขณะนั่งไปในเครื่องบิน
และผู้เขียนก็จดตามคำบอกของท่าน
ฟังท่านเล่าแล้ว มีความรู้สึกเหมือนเหตุการณ์เมื่อวานนี้เอง และรู้สึกว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ชื่อต่างๆ มีดังนี้
1.ชื่อนอกวัง : พรหมาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : จิตราวดี
ลักษณะเด่น : เป็นขุนวัง ผิวเหลือง
2.ชื่อนอกวัง : สุธรรมวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ศรีโสภา
ลักษณะเด่น : เป็นสมุห์บัญชี สุขุม
3.ชื่อนอกวัง : วิศวานุกรรมาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ยุทธาวดี
ลักษณะเด่น : เป็นฝ่ายโยธาธิการ สร้างวัง
4.ชื่อนอกวัง : สิริธรรมราชามหาจักรพรรดิ
ลักษณะเด่น : เป็นอนุจักรพรรดิ
5.ชื่อนอกวัง : สิริรัตนาวดี
ชื่อในวัง : สิริรัตนาวดี
ลักษณะเด่น : ชายาพระจักรพรรดิ
6.ชื่อนอกวัง : กัลยาณีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : กัลยาณีศรีโสภาค
ลักษณะเด่น : ชายาพระจักรพรรดิ
7.ชื่อนอกวัง : ปรัชญาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : โสภาสุนทราวดี
ลักษณะเด่น : เป็นทูต รอบรู้
8.ชื่อนอกวัง : สุรวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ยุทธโยธาธิการ
ลักษณะเด่น : คุมทหาร คุมฆ่าควายถือพระขรรค์
9.ชื่อนอกวัง : วชิราวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ยุทธสิริสงคราม
ลักษณะเด่น : ฝ่ายทหาร นักสู้ใจเด็ด
10.ชื่อนอกวัง : สุภาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ไพรีชำราบ
ลักษณะเด่น : ฝ่ายทหาร
11.ชื่อนอกวัง : ยศวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : กนกนารี
ลักษณะเด่น : ผู้หญิง เจ้ายศ
12.ชื่อนอกวัง : สุนันทาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ประหารไพรี
ลักษณะเด่น : ผู้ชาย คุยสนุก
13. ชื่อนอกวัง : จริยาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ธรณีพินาศ
ลักษณะเด่น : ผู้ชาย เจ้าระเบียบ
14.ชื่อนอกวัง : ศักดาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ราชราชาน้อย
ลักษณะเด่น : ผู้ชาย อำนาจมาก มนต์ขลัง
15.ชื่อนอกวัง : โสภาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : สุภาภาณพาที
ลักษณะเด่น : ผู้ชาย สะโอดสะอง
16.ชื่อนอกวัง : ทุติยาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : อนงค์นาฏวรนุช
ลักษณะเด่น : ผู้หญิง เป็นลูกคนที่สองของแม่
17.ชื่อนอกวัง : สุวรรณวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : กนกวาทีไพรีพินาศ
ลักษณะเด่น : ผู้ชาย พบทองมากกว่าคนอื่น
18.ชื่อนอกวัง : ปทุมวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : กำราบหรินทร์
ลักษณะเด่น : ผู้ชาย ขาว มีเส้นเลือดแดง
19.ชื่อนอกวัง : สุนทรวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : กินรีนาภา
ลักษณะเด่น : พูดเก่ง คุยสนุก (มีคู่แฝด ชื่อกินรนารี)
นอกจากนี้ ยังมีลูกท่านอีกคนที่อยู่ที่นิวซีแลนด์ ท่านบอกว่าชื่อ จันทมาวดีศรีโสภาค เป็นลูกแม่กลาง แต่ละคนชื่อเพราะๆ กันทั้งนั้น
ใครไม่รู้จะตั้งชื่อลูกหลานอย่างไร จะเอาไปใช้บ้างก็ได้ เท่าที่ทราบมีอยู่คนหนึ่งเอาชื่อเดิมของตัวสมัยนั้นมาตั้งชื่อลูกในสมัยนี้
6.หลวงพ่อวิจารณ์ประวัติศาสตร์
ถ้าใครอยากรู้ว่าปรีชาญาณของหลวงพ่อท่านเฉียบแหลมเพียงใด ก็ขอให้ท่านลองไปอ่าน นิทานอิงประวัติศาสตร์ ดู
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างที่ผู้เขียนติดใจมากตอนหนึ่ง มาให้อ่านกัน คือในช่วงก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 ตัวละครมี 3 องค์ด้วยกันคือ
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระมหินทราธิราช และพระมหาธรรมราชา เรื่องในหนังสือเล่มนี้
พร้อมทั้งคำวิจารณ์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่พิมพ์ตัวเข้มไว้มีดังนี้
พ.ศ.2107 พระชัยเชษฐา กษัตริย์ล้านช้าง ส่งทูตมาขอพระเทพกษัตรี พระราชธิดาพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งเกิดจากพระศรีสุริโยทัย แต่พระเทพกษัตรีประชวร
จึงส่งพระแก้วฟ้า พระราชธิดาอีกองค์หนึ่งไปแทน พระชัยเชษฐาไม่ต้องการจึงส่งคืนมา ภายหลังจึงส่งพระเทพกษัตรีไปให้
พระมหาธรรมราชาไม่ต้องการให้พระเทพกษัตรีตกไปอยู่ล้านช้าง จึงให้คนไปทูลบุเรงนอง บุเรงนองจึงส่งทัพมาดักทางที่จะผ่าน แล้วแย่งเอาไปพม่า
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิสละราชสมบัติออกบวชให้พระมหินทร์ครองราชย์สมบัติแทนพระองค์พ.ศ.2107 พระมหินทร์ครองราชย์สมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระราชบิดา
(ที่พระมหาจักรพรรดิต้องสละราชสมบัติ ก็เพราะมีความรู้สึกว่า พระมหาธรรมราชาหักหน้าเกินไป ทำเหมือนไม่ใช่พวกเดียวกัน
ที่ให้บุเรงนองมาแย่งพระเทพกษัตรีเอาไปพม่า)
แต่พระมหาธรรมราชาก็คงจะเอือมเจ้าลาว พระชัยเชษฐาเบ่งมากไป ให้น้องสาวไม่ต้องการ จะเอาพี่ให้ได้ ท่านคงคลื่นไส้เห็นว่าลาวเบ่งจัดเกินไป
และคงเห็นว่าพระมหาจักรพรรดิก็อ่อนแอเกินไป ทำคล้ายกับว่าไทยเป็นเมืองขึ้นของลาว จะเอาอะไรต้องได้ตามต้องการ
เพราะเหตุอย่างนี้กระมังที่ทำให้พระมหาจักรพรรดิต้องสละราชสมบัติ และพระมหินทร์จึงต้องกำจัดพระมหาธรรมราชา
ในที่สุดพระมหาธรรมราชาก็เอาทัพพม่ามาตีไทย และเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้วงศ์ชัยบุรีคือพระมหาธรรมราชา ได้มีโอกาสครองราชสมบัติในกรุงศรีอยุธยา
เมื่อพระมหินทร์ครองราชย์สมบัติแทนพระราชบิดา แล้วก็ร่วมมือกับพระยารามณรงค์กำจัดพระมหาธรรมราชา โดยขอให้ทัพล้านช้างยกมาตีพิษณุโลก
ในที่สุดพระมหาธรรมราชาก็ลี้ภัยการเมืองไปอยู่พม่า ในที่สุดพม่าก็ยกกองทัพมาตีไทย
ในขณะที่พระมหาธรรมราชาลี้ภัยการเมืองไปอยู่พม่านั้น ขณะนั้นพระนเรศวรยังเป็นเชลยศึกอยู่ที่พม่า พระเอกาทศรถยังทรงพระเยาว์มาก
พระมหาจักรพรรดิจึงไปรับพระวิสุทธิกษัตริย์ พระชายาของพระมหาธรรมราชา ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระมหาจักรพรรดิ
และรับพระเอกาทศรถพระราชนัดดาของพระองค์ซึ่งเป็นลูกของพระมหาธรรมราชามาอยู่อยุธยา
พ.ศ.2111 เมื่อพระมหาจักรพรรดิเห็นความวุ่นวายที่ลูกชาย คือพระมหินทร์ทำอย่างนั้น มันเป็นการกระทำที่ไม่ถูกแบบไม่ถูกแผน
สร้างความวุ่นวายแตกร้าวให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ทนดูความวุ่นวายไม่ไหว จึงลาผนวช (สึกจากพระ) ออกมาครองราชย์สมบัติตามเดิม
แล้วจึงไปรับลูกสาวกับหลานชายมาอยุธยา (อย่างพระมหาจักรพรรดินี้ ท่านเรียกว่า พ.พ.ล. พังเพราะลูก)
เห็นไหมครับว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเฉียบแหลมอย่างไร สามารถเข้าไปนั่งในจิตในใจตัวละครทั้ง 3 องค์ได้
ทำให้เราสามารถเห็นความนึกคิดของแต่ละองค์ได้ดี และต่างก็มีเหตุผลในการกระทำของตน ถ้าอยากอ่านที่อื่นๆ ที่พระเดชพระคุณท่านวิจารณ์ต่อไป
ก็ไปหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านกันนะครับ
บันทึกพิเศษของหลวงพ่อ
ผู้เขียนเคยได้อ่านบันทึกพิเศษของหลวงพ่อมานานแล้ว และก็ได้สำเนาเก็บไว้ ตอนนี้มานึกๆ ดูว่า ท่านจะบันทึกไว้ทำไมถ้าจะไม่ให้ลูกหลานรู้ ก็เลยขออนุญาต
(ในใจ) นำเอาส่วนที่ท่านเล่า และอาจเป็นประโยชน์สำหรับลูกหลาน มาเผยแพร่ให้ได้อ่านทั่วๆ กัน บันทึกของท่านมีดังนี้
บันทึกพิเศษ
วันนี้ตรงกับคืนของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2512 เวลา 20.30 โดยประมาณ คืนนี้เป็นคืนที่ฉันรู้สึกว่า ฉันมีความสุขใจที่สุด เท่าๆ
กับเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2507 วันนั้นเป็นวันที่ฉันได้เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าตามที่ฉันตั้งใจไว้ ฉันดีใจและอิ่มใจมาก เพราะไม่ได้คิดว่า
ฉันจะได้มีโอกาสเข้าถึงธรรมในชาตินี้ เมื่อสิ่งที่คิดว่าจะไม่ได้เกิดมาได้ขึ้นอย่างนี้ ความปลื้มใจก็เกิดขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
เพราะได้สิ่งที่คิดว่าจะไม่ได้ สำหรับคืนนี้ ที่ฉันว่าฉันมีความสุขเทียบเท่ากับวันนั้น ก็เพราะว่าฉันได้ทำกิจของฉันในฐานะบุพการีครบถ้วนไปตอนหนึ่ง
คือสงเคราะห์บุตรธิดาให้เข้าถึงธรรมได้อย่างคาดไม่ถึง เหตุที่จะปรากฏการณ์ให้ฉันปลื้มใจมีดังต่อไปนี้ วันนี้เวลาบ่าย ลูกนนทาเอาเงิน 200 บาทมาให้
เพื่อเป็นทุนซื้อน้ำมันเบนซินจุดเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ครั้นเวลา 20 น. เริ่มลงมือสมาทานกรรมฐานร่วมกัน
เมื่อสมาทานเสร็จฉันเห็นแม่ศรีแกมาแสดงความรื่นเริง หัวเราะต่อกระซิก ซึ่งสมัยที่อยู่ร่วมกันนั้น อาการอย่างนี้จะเห็นได้ยากเต็มที
เพราะปกติแกเป็นคนเรียบร้อย มีอาการนิ่มนวลอ่อนหวานเป็นปกติ นานๆ แกจะแสดงอาการรื่นเริงสักครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่มากนัก คราวนี้ที่ฉันเห็นแกรื่นเริงมาก
ฉันสงสัย จึงถามแกได้ความว่า แกดีใจที่ลูกแกทำบุญค่าน้ำมัน แกบอกว่า ลูกแกใจบุญมาก แกดีใจเป็นพิเศษ
และแกบอกให้เตือนลูกว่า เวลาเจริญกรรมฐาน จึงตัดกังวลเล็กน้อยเสีย อย่าเอาอารมณ์นิดหนึ่งที่ค้างมาให้มีส่วนในการคำนึง ถามแกว่า มาแนะนำแบบนี้
ถ้าลูกไปนิพพานเสียชาตินี้จะว่าอย่างไร แกยิ้มอย่างคนชนะแล้วตอบว่า ไม่มีทาง ลูกต้องไปอยู่กับฉันก่อน แล้วลูกจะถึงที่สุดพร้อมกัน แล้วแกคุยต่อไปว่า
ฉันหมดทุกข์แล้ว ลูกทุกคนถ้าไม่หลง คือประมาทเกินไป ลูกจะไม่ไปอบายภูมิ ขอให้เตือนลูกว่าอย่าทะนง เอาตัวรอดได้แล้ว แล้วแกก็พาพลพรรคของแกแสดงความรื่นเริง
จนฉันเห็นเป็นเรื่องสนุกไปด้วย
เมื่อแม่ศรีมาแสดงอาการรื่นเริงนั้น ปรากฏว่าแม่ของฉลวย พิมพา วาสนา ต่างก็มาร่วม ฉันถามสามคนว่า ที่มาแสดงอาการรื่นเริงอย่างนี้
ลูกเธอเอาตัวรอดได้แล้วหรือ? ทั้งสามคนเขาตอบเหมือนกันว่า ลูกทุกคนเขาเอาตัวรอดได้แล้ว ขอให้ทุกคนอย่าประมาท อย่าทะนงตน ลูกจะไม่ตกนรก
เมื่อละอัตภาพนี้แล้ว ลูกจะได้ไปอยู่กับแม่ แม่พร้อมที่จะคอยรับเมื่อลูกละอัตภาพ จงฟังและเข้าใจว่าในคำว่าละอัตภาพ
เขาไม่ใช้คำว่าตาย หรือมรณะ ละอัตภาพ หมายถึง ละไป ไม่ใช่ตายอย่างเข้าตรีทูต เรียกว่าตายอย่างได้สติ เขาสั่งว่า ขอให้ลูกทุกคนเร่งเสริมบารมีให้มาก
อย่าประมาทคิดว่าตัวดีแล้ว ทุกวันจงหาความชั่วของตนเองไว้ทุกเวลาที่มีเวลาพักผ่อน เมื่อพบความชั่วแล้วรีบแก้ไข จะพบความดีที่ยิ่งกว่านี้
แกว่าแล้วก็พาพลพรรคฟ้อนรำกันขนาดใหญ่ ฉันเลยได้ชมฟ้อนเทวดา อย่างชนิดที่ไม่ต้องหามาให้เสียเงิน
ฉันดีใจมากที่ลูกทุกคนเป็นคนมีศรัทธา ที่ฉันพยายามสละความสุขกาย แม้จะเหนื่อยและป่วยไข้ก็พยายามอดทน ฝึกบ้าง แนะนำบ้าง
ก็เพราะอยากให้ลูกทุกคนเป็นคนพ้นจากอบายภูมิ เมื่อมาเห็นบรรดาแม่เขามารับรองอย่างนี้ ฉันก็ดีใจ เพราะพวกเขาเป็นพวกคุมบัญชีสวรรค์
แต่ลูกทุกคนอย่าประมาทนะ อย่าทะนงว่าตนดีแล้ว ประเสริฐแล้ว คนที่คิดอย่างนั้นเป็นคนเลวที่สุด หมดเขตของขั้นคนแล้ว
คือเลวบัดซบเท่านั้นที่จะคิดเช่นนั้น คนดีที่จะพ้นทุกข์นั้นคือคนที่พยายามหาความชั่วของตน ค้นคิดหาความบกพร่องแล้วหาทางแก้ไข
พ่อคิดว่า พ่อทำกิจของพ่อครบถ้วนแล้ว เหลือแต่จะส่งเสริมให้ดีเด่นขึ้น ท่านปู่ ท่านย่า ก็รับรองตามนั้น ท่านว่า
ขณะนี้เขารื่นเริงกันเรื่อย ปู่ก็สบายใจ ตามปกติแกไม่ใคร่รื่นเริงกัน เพราะเกรงว่าลูกจะลงนรก
เรื่องรู้เลยตาย
ไฟล้างโลกและพระศรีอาริย์ตรัส
บันทึก เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2512
ความจริงเรื่องรู้เลยตาย หรือรู้ก่อนเกิดนี้ ฉันเองก็ไม่ใคร่อยากจะพูด และไม่อยากจะเชื่อถือนัก เพราะดูแล้วมันเลยธงไปไม่น้อยเลย
แต่มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คนเขียนๆ เรื่องรู้เลยตาย และรู้ก่อนเกิดไว้มากมาย เช่นรู้ว่า เมื่อสิ้นศาสนานี้แล้ว ไฟบัลลัยกัลป์จะไหม้ถึงภควพรหม
ดูเรื่องมันมากมายนัก ฉันสงสัยไม่หายว่า
ไฟอะไร จะดันไปไหม้แม้แต่เทวดาและพรหม ดูมันพิลึกพิลั่นมากมายเกินพอดี เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ตามความจริงไม่ได้
ในที่สุดคืนของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2512 นนทากับประสบสุขมาฝึกกรรมฐาน ฉันนั่งคุมกรรมฐาน ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต
จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็นสัพพัญญูวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้
สิ้นศาสนา
หลังจากกึ่งพุทธกาลไปแล้ว 4,000 ปี จะมีไฟล้างโลก ล้างแต่โลกมนุษย์เท่านั้น ไม่ลุกลามไปถึงเทวดา ท่านบอกว่า
ความชั่วที่จะเป็นเหตุให้ไฟล้างนั้น เป็นผลของสัตว์ที่สร้างอกุศลกรรมมากมารวมตัวกันอยู่ เป็นสมัยสัตว์นรกครองโลก มีแต่ความเร่าร้อน หาความสงบสุขไม่ได้
ความจริงแล้วมันเริ่มมีความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปีแล้ว จากนั้นไป พวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี
เพราะพวกอธรรมเป็นพวกเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม (หลังจากไฟล้างโลกแล้ว) โลกจะร้าง ไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มีไปครบ 1,000 ปี
หลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษย์โลก แม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกและชุ่มชื้น ต้นหญ้าต้นไม้ จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ
จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้ หลังจากโลกที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้ใบไม้นั้น ทิ้งระยะนาน 1 หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิด
สัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้นไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบอุปปาติกะ คือมาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวคนขึ้น จะยังไม่มีพระอาทิตย์
พระจันทร์ส่องแสง มีแสงสว่างเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละคน
คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ เรื่องอาหารนั้น ในระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปีติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิด
ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นอกจากกฎธรรมดา คือความเสื่อมของสังขาร
เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด มีผิวขาวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีคนจน มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป
พระศรีอาริย์มาตรัส
เมื่อโลกมีมนุษย์ และสัตว์บริบูรณ์ มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์แล้ว ระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลกเกิดในโลก เวลาล่วงมาได้ล้านปี
คนสมัยนั้นมีอายุครองตนเองได้ 4 หมื่นปีเป็นอายุขัย ท่านว่าตอนนั้นพระศรีอาริย์จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เขตที่ท่านลงมาตรัสสมัยปัจจุบันเรียกว่า
เขตเมืองพม่า
คณะคอยพระศรีอาริย์
คนกลุ่มหนึ่งที่บำเพ็ญบารมีคอยพระศรีอาริย์ตามปฏิญญาที่ให้ไว้หลายพุทธสมัยนั้น ท่านหัวหน้าทรงพระนามว่า โกสีห์
จะสร้างเมืองแถวด้านเหนือของเมืองพม่า เรียกว่า เชียงตุง ปัจจุบันให้ชื่อเมืองว่า สีหนคร รวบรวมลูกหลานทั้งหมดมาร่วมบำเพ็ญกุศล
และเป็นอุปฐากใหญ่ของพระศาสนา ในที่สุดก็นิพพานทั้งตระกูล
ในศาสนาพระศรีอาริย์
เรื่องของพระศรีอาริย์นี้ เวลานี้ชักจะยุ่งมากทีเดียว เพราะไม่ว่าไปทางไหน ก็พบพระศรีอาริย์เกลื่อนไปหมด ที่โน่นก็พระศรีอาริย์ ที่นี่ก็พระศรีอาริย์
เล่นเอาชาวบ้านอานกันเป็นแถว เพราอยากเป็นบริวารพระศรีอาริย์ ส่วนพวกร้านค้าก็บอกว่า ระหว่างนี้เข้ายุคภาษีอาน ฟังแล้วคล้ายๆ กัน เขาเล่าว่า
พวกเสมียนเก็บภาษี เมื่อเวลาเอาเงินไปให้ ทำหน้าเหมือนหมาถูกน้ำร้อน เก็บเพิ่มทุกปี ได้หรือไม่ได้ในการค้าฉันไม่ทราบ
แต่พ่อค้าแม่ค้าต้องเสียภาษีมากกว่าปีที่แล้วๆ ไม่อย่างนั้น เจ้านายจะไม่ให้เงินเดือนขึ้น แถมทำท่าเก๊กๆ เสียด้วย พ่อค้ามาเล่าให้ฟังว่า เจ้าพวกนี้
ถ้าเป็นพ่อค้าบ้าง มีหวังแย่งหมากิน คำนี้ได้รับฟังจากพ่อค้าใหญ่เมืองชัยนาท เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2512 นี้เอง มาพูดกันเรื่องพระศรีอาริย์กันดีกว่า
เรื่องภาษีอานนั้นพูดไม่ออกแล้ว พอใจหรือไม่พอใจก็ต้องเสีย เป็นเรื่องของยุคทมิฬ ห้ามพูด เมื่อบ้านเมืองยุ่ง ทางกลุ่มศาสนาก็พลอยกลุ้ม
เพราะเมื่อมีความเดือดร้อน ชาวโลกก็อยากพบพระศรีอาริย์ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข คราวนี้เองเป็นเหตุให้พระศรีอาริย์อวตาร
หรือโงนเงนเหมือนต้นตาลลงมาก็ไม่ทราบ เกิดมีพระศรีอาริย์โผล่หน้ามาพร้อมกันหลายองค์ อยู่ตามถ้ำตามเขาบ้าง ตามกลุ่มชนในชนบทบ้าง
ไม่รู้ว่าอวตารลงมาอย่างไรพร้อมกันในยุคเดียวกันตั้งหลายอาน บางรายก็สวดด่อน เขาว่าอย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาสวดกันอย่างไร บางรายเฉพาะที่เขาตะพาบ
เมืองอุทัย เห็นสวดดะไม่ใช่สวดด่อน
ที่เมืองลพบุรีก็มี รายนั้นทำงานมงคล นิมนต์พระผีมาสวดเป็นแถว เห็นตั้งอาสนะไว้ แต่ไม่เห็นมีพระ มีคนเขาบอกว่าท่านนิมนต์หลวงพ่อศุข หลวงพ่อปาน
หลวงพ่อแช่ม ฯลฯ และอีกหลายท่านให้มาสวดมนต์ ในงานยกธงธรรมจักร นิมนต์พระผีมานี่ ลดค่าครองชีพดีมาก ท่านสวดมนต์ก็เสียงไม่ดัง นั่งก็ไม่เปลืองที่
เลี้ยงอาหารก็ไม่เปลือง สบายใจดีแล เรื่องอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะโกหกกันเพื่อหวังลาภผลเท่านั้นเอง เอาอะไรเป็นจริงเป็นจังไม่ได้
ขึ้นไปบนสวรรค์ทีไร พบพระศรีอาริย์ทุกคราว แถมท่านบอกมาด้วยว่า ที่เขาเข้าทรงและว่าฉันไปนั้น ฉันไม่เคยไปเลย เรื่องก็จบกันเพียงนี้
ต่อไป มาพูดกันถึงศาสนาพระศรีอาริย์กันดีกว่า ท่านว่า ศาสนาของท่านนั้น มีผลดังนี้
1. คนสวยทุกคน มีผิวเหลือง เนื้อละเอียด คนแก่ที่สุดมีทรวดทรงเท่ากับคนอายุประมาณยี่สิบปีเศษสมัยนี้เท่านั้นเอง อายุคนสมัยนั้น ท่านว่ามีอายุถึง 4
หมื่นปีเป็นอายุขัย
2. สมัยของท่าน ไม่มีคนจน มีแต่คนรวย มีต้นไม้สารพัดนึกอยู่ในที่ทุกสถาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย มีจิตใจชั่วร้ายยังไม่มีโอกาสเกิดในสมัยของพระองค์
ท่านที่จะไปเกิดนั้น ต้องเป็นเทวดาหรือพรหมเท่านั้น โลกจึงมีแต่ความสุข ไม่มีตำรวจทหาร มีแต่พ่อบ้านแม่เรือน
3. การสัญจรไปมา ก็สะดวกสบาย ไปทางไหนก็พายตามน้ำ
4. คนเข้าถึงธรรมทุกคน ท่านว่าคนที่เจริญสมถะพอมีญาณ หรือมีวิปัสสนาญาณบ้างพอสมควร จะเข้าถึงธรรมาพิสมัยได้โดยฉับพลัน คือเป็นพระอริยเจ้า
คนที่ได้อริยต้นแล้ว จะเข้าถึงอรหัตผลได้โดยฉับพลัน
คนที่ทำบุญไว้น้อย คือฟังคาถาพันและปฏิบัติตามแต่ไม่สมบูรณ์ อย่างต่ำก็เข้าถึงสรณคมน์ อย่างสูงก็ได้อริยะ ที่เป็นอย่างนี้เป็นเพราะท่านบำเพ็ญบารมีถึง
16 อสงขัย กำไรแสนกัป ท่านบำเพ็ญบารมีมาก คนเลวจึงเข้าแทรกแซงในศาสนาของพระองค์ไม่ได้ น่าเกิดจริงนะ
เรื่องกระจุ๋มกระจิ๋มอย่างนี้ เขียนไว้ให้อ่านเล่น จริงหรือไม่จริง ไม่มีผลที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตำรา ต้องอาศัยฌานและญาณช่วยจึงจะทราบผลแน่นอน
ถ้ามีวิริยะอุตสาหะแล้ว ไม่ช้าก็พากันมีความรู้สึกที่จะพิสูจน์ได้ ฟังไว้แต่อย่าเชื่อ และอย่าเพิ่งปฏิเสธ จนกว่าเราจะมีฌานและญาณพอจะพิสูจน์ได้
สำหรับเรื่องขอยุติเท่านี้ วันหน้าถ้ามีเวลาพอ จะเอาเรื่องโลกเกิดมาเขียนให้อ่านเล่น
ll กลับสู่สารบัญ
|