Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 25/9/12 at 14:36 [ QUOTE ]

"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 ( ตอน 8 )





(ภาพจาก : praruttanatri.com)


ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๓



สารบัญ

143.
อำพัน โพธิ
144. จำนง ชูเทียน
145. ชยาณา มาพ่วง
146. นภดล เอกเอื้อปฏิภาณ (เขมปุญโญ)
147. สุวิทย์ สวรรค์กสิกร
148. ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย
149. ประวัติในชาติอดีต บรรยายโดย สมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระพุทธสิกขีทศพล



143

ท่านแม่ช่วยตามลูก


อำพัน โพธิ


ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักหลวงพ่อมาก่อน และไม่เคยคิดที่จะมากราบหลวงพ่อเพราะอยู่ไกลมาก เมื่อประมาณ 17 ต.ค. 2534 ข้าพเจ้าฝันไปว่า จะไปอุ้มรูปเหมือนท่านแม่ศรี ซึ่งข้าพเจ้าเกิดมาไม่เคยเห็นและไม่รู้จักมาจากที่ไหนมาก่อน ในฝันบอกว่า มีคนเข้าไปอุ้มรูปเหมือนท่านแม่ศรีมาบูชา ข้าพเจ้าก็คิดจะเข้าไปอุ้มรูปเหมือนท่านแม่กับเขาบ้าง ก็มีเสียงท่านแม่ศรีพูดออกมาว่า ไม่ยอมมาอยู่กับข้าพเจ้าเพราะกลัวว่าจะอดตาย แต่ท่านบอกให้ข้าพเจ้าไปหาองค์พระผิวดำๆ เนื้อดำๆ มาบูชาซิ ผิวดำๆ จะอดทน และจะอยู่กับข้าพเจ้าได้

บังเอิญวันนั้น (17 ม.ค. 2535) ข้าพเจ้ามางานแต่งงาน ก็เลยได้มีโอกาสแวะมาที่วัดท่าซุง พอมาถึงตึกรับแขกใหม่ สิ่งแรกที่เห็นอยู่ในตู้โชว์วัตถุมงคลตู้โชว์แรก ก็คือรูปเหมือนท่านแม่ศรี ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน ดูแล้วเหมือนกับที่ข้าพเจ้าฝันเห็นเลย ซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์ใจแก่ข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าเห็นแล้วอยากเช่าไปไว้บูชา แต่มางานแต่งงานไม่ได้เอากระเป๋าสตางค์มา เลยต้องรอโอกาสหน้า วันนี้นอกจากข้าพเจ้าได้พบรูปเหมือนท่านแม่ศรีแล้ว ก็ได้มีโอกาสมากราบหลวงพ่อเป็นครั้งแรกที่วัดท่าซุงด้วย

พอได้เห็นหลวงพ่อ และกราบท่านแล้ว ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้ามีความมุ่งมั่นว่า 8 ก.พ. 35 (เสาร์ 5) ตรงกับวันสำคัญคืองานเป่ายันต์เกราะเพชร วัดท่าซุง ข้าพเจ้าตั้งใจจะมากราบหลวงพ่ออีก และจะมาบูชารูปเหมือนท่านแม่ศรีด้วย เพราะข้าพเจ้ามีความศรัทธาหลวงพ่อทันทีที่ได้มาเห็น และกราบหลวงพ่อในครั้งนี้เป็นครั้งแรก และก็คงจะมีครั้งต่อๆ ไป

ll กลับสู่สารบัญ


144

หลวงพ่อฤาษีจุดสว่างกลางดวงใจ


จำนง ชูเทียน


“หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง”
นามนี้ ผมเคยได้ยินได้ฟังมานาน หากแต่เป็นความรู้สึกเฉยๆ ไม่มีความรู้สึกใดอันวิเศษเกินไปกว่านี้ แต่ในปัจจุบัน นามนี้เสมือนเป็นข้อความ หรือคำพูดที่แสนจะไพเราะอ่อนหวาน วิเศษยิ่ง เหมือนประหนึ่งเห็น ได้ชิมลิ้มลองของที่เป็นทิพย์นานาทั้งปวงของจักรวาล หลวงพ่อท่านเปรียบเสมือน “กำลังใจ” ของบรรดาลูกหลาน และเหล่าพุทธบริษัททั้งปวง ท่านคอยอบรมสั่งสอน

แนะนำให้ลูกหลานและพุทธบริษัทจำเริญรอยตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้บุคคลที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในบวรพุทธศาสนาได้บรรลุธรรมอันประเสริฐและวิเศษยิ่ง หลวงพ่อได้ชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิต ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท หมั่นระลึกอยู่เสมอว่า ชีวิตนี้มีการเกิดเป็นเบื้องต้น มีการเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และสูญสลายไปในที่สุด เมื่อร่างกายนี้สูญสลายแล้ว บุคคลและสัตว์ก็จะมีที่ไปอยู่ 2 สถานคือ สุคติ และทุคติ

หลวงพ่อท่านต้องทนพร่ำสอน ทนเหน็ดเหนื่อย ก็เพื่อให้ลูกหลานได้มีทางแห่งสุคติเป็นที่ไป อันมีพระนิพพานเป็นบั้นปลาย... และผมก็ตัดสินใจตามหลวงพ่อท่าน ตายเมื่อไร ขอไปนิพพานเมื่อนั้น..... พูดถึงนิพพาน ผมเองได้มากระจ่างเอาเมื่อฟังคำสั่งสอนของหลวงพ่อนี่เอง แต่ก่อน ผมไม่เข้าใจเอาเลยจริงๆ ว่าทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงสอนให้คนมุ่งไปนิพพาน ทำไมพระอริยสงฆ์จึงสอนให้คนปรารถนานิพพาน

ก่อนนั้นความเข้าใจของผม เข้าใจแต่เพียงว่า “นิพพาน คือการสูญ” ก็เลยจับเอาคิดแบบโง่ๆ ว่า นิพพานก็คือการสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีร่างกาย ไม่มีวิญญาณหรือจิต ไม่มีความดี ไม่มีความชั่ว นับว่าผมคงจะมีบุญวาสนา และบารมีที่เคยได้กระทำมากับองค์หลวงพ่ออยู่บ้าง จึงทำให้ผมได้พบกับแสงสว่าง มีความเข้าใจกระจ่างชัดในความวิเศษอันเป็นทิพย์ของนิพพาน จากเสียงธรรมของหลวงพ่อ....

นิพพาน หมายถึงการสูญ สูญจากกิเลส สูญจากตัณหา สูญจากการเวียนว่ายตายเกิด สูญจากเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง นี่คือบทสรุปที่ผมได้รับมาจากกระแสธรรมขององค์หลวงพ่อ ซึ่งผมจะขอยึดมั่นและมุ่งมั่นปรารถนาที่จะไปให้ถึงในชาตินี้ ผมมีความเชื่ออยู่ประการหนึ่ง คือบรรดาลูกหลานทั้งหลาย ที่มีความเคารพรักต่อองค์หลวงพ่อนั้น ต้องเคยเป็นลูก เป็นหลาน เป็นบริวารของท่านมาแต่ชาติปางก่อน

หากจะประสานจิตใจเข้าด้วยกันแล้ว ให้กล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อองค์หลวงพ่อแล้ว ทุกคนจะต้องกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “รัก เคารพ และห่วงใยในหลวงพ่อมากที่สุด” เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2534 ผมได้เดินทางไปปฏิบัติธรรมยังวัดท่าซุงเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่บรรดาลูกหลานได้พากันไปทำการอุปสมบทถวายแด่หลวงพ่อถึง 180 รูปด้วยกัน นับว่าเป็นโชคมหาศาลทีเดียวที่ผมได้ไปร่วมงานบุญอันยิ่งใหญ่ในครั้งนั้น แม้ว่าจะไม่ได้มีโอกาสได้อุปสมบทกับเขา ก็ได้ร่วมอนุโมทนาบุญ

ในวันที่ 25 นี้แหละ หลวงพ่อดูแล้วรู้สึกท่านจะไม่สบายเอามากๆ แต่หลวงพ่อท่านก็ลงรับแขกเป็นปกติ วันนั้น คนแน่นศาลาที่รับแขกเลยทีเดียว ทุกคนมีจุดมุ่งหมายอันเดียวกันคือ ต้องการกราบนมัสการหลวงพ่อ ต้องการทำบุญกับหลวงพ่อ บนศาลารับแขกจึงแน่นขนัดไปด้วยกระแสบุญที่แผ่ซ่านออกมาอย่างบริสุทธิ์ ทันทีที่หลวงพ่อมาถึง ทุกคนต่างก้มลงกราบด้วยความเคารพ ต่างพากันน้อมกายราบไปกับพื้นราวกับนัดกัน หรือมีคนคอยให้สัญญาณ

กระนั้น สายตาของทุกคู่เพ่งมองตรงไปยังองค์หลวงพ่อ รับสายตาของหลวงพ่อที่แผ่ไปยังลูกหลาน ด้วยเมตตาธรรม แล้วทุกคนก็เก็บความเมตตาจากหลวงพ่อนั้นจารึกไว้ที่ขั้วหัวใจ เสียงของผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังผม พูดกันเบาๆ ว่า “หลวงพ่ออ้วนขึ้นนะ” “ใครว่า... ท่านบวมต่างหาก...” แล้วหญิงนั้นก็พูดต่อด้วยเสียงเครือๆ อันบ่งบอกถึงความรู้สึกต่อไปว่า “เห็นหลวงพ่อแล้ว ใจไม่ดีเลย”

เสียงนั้น ยังความรู้สึกสะท้อนมายังผม น้ำตาของผมเอ่อล้นด้วยความห่วงใยในองค์หลวงพ่อ อย่างน้อย ผมก็เป็นลูกของหลวงพ่อด้วยคนหนึ่ง เหมือนกับลูกหลานคนอื่นๆ ของหลวงพ่อ ซึ่งก็นับว่าเป็นญาติกันด้วยเช่นกัน เมื่อมาถึงตรงนี้ ความภูมิใจและความประทับใจในองค์หลวงพ่อที่ท่านเมตตา ซึ่งฝังลึกอยู่ในจิตใจของผมอย่างไม่ลืมเลือนก็ทอประกายเรืองรองปรากฏ ภาพเก่า เมื่อครั้งแรกผมมาถวายตัวเป็นลูกหลวงพ่อ

แปลก... ที่จากความรู้สึกเฉยๆ เมื่อครั้งก่อนเก่า กลับกลายมาเป็นความรัก ศรัทธา เทิดทูนต่อองค์หลวงพ่ออย่างสูงสุดเมื่อได้มาเห็นองค์หลวงพ่อ แม้ว่า การเห็นองค์หลวงพ่อครั้งแรก จะไม่สู้ถนัดชัดเจนเท่าใดนัก (เนื่องจากคนมาก และนั่งอยู่ไกล) ก็เกิดความรู้สึกผูกพัน รัก ศรัทธาอย่างฉันพลันทันใด นับเป็นการหักเหของชีวิตผมอย่างปัจจุบัน ในการก้าวเดินไปในทิศทางที่ดีกว่า ประเสริฐกว่า เป็นหนทางที่เรืองรองบรรเจิดจรัสไปด้วยแสงแห่งธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนับเป็นเส้นทางแห่งความสุขสงบโดยแท้

จากวันนั้น ผมสนใจและตั้งใจในการสวดมนต์ไหว้พระมากขึ้น มีความละเอียดอ่อนมากขึ้น สนใจการฝึกมโนมยิทธิและใฝ่ปฏิบัติธรรม ทรงศีล 5 อยู่เป็นนิจ ต่อมา ผมก็ได้มีโอกาสฝึกมโนมยิทธิกับลูกหลานหลวงพ่อ ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ความต้องการกราบหลวงพ่อเป็นครูมีมากขึ้น แล้วผม ภรรยา และลูกอีก 2 คน ก็พากันเดินทางไปยังวัดท่าซุง พร้อมด้วยดอกไม้ ธูปเทียนแพ เครื่องสักการะ เข้าไปกราบถวายตัวเป็นลูกหลวงพ่อ

ตลอดระยะทางที่เดินทางไป ผมคิดคำนึงอยู่ตลอดเวลาว่า หลวงพ่อจะรับเราไหมหนอ ขอเป็นลูกท่านจะมากเกินไปไหม ด้วยความเกรงว่าไม่สมควร จึงตัดสินใจเอาแค่เป็นศิษย์ท่านก็แล้วกัน แต่ครั้นเข้าไปกราบนมัสการถวายตัวต่อหลวงพ่อจริงๆ กลับพูดไม่ออก บอกไม่ถูก หลวงพ่อถามว่า “ยังไงกันลูก” (ท่านเห็นถือพานพร้อมดอกไม้ ธูปเทียนเข้าไป) ในใจผมนั้นต้องการที่จะถวายตัวเป็นลูก ก็เกรงว่าไม่เป็นการสมควร ครั้นจะบอกว่ามาถวายตัวเป็นศิษย์ ปากมันก็ไม่ยอมเปิด

ได้แต่อึกอักๆ ตอบหลวงพ่อไปว่า “ผมมาถวายตัวครับ” หลวงพ่อท่านยิ้มรับด้วยความยินดี สายตาที่เพ่งมองตรงมา เปี่ยมล้นด้วยเมตตา ท่านยกมือโมทนา ผมและภรรยาดีใจเป็นที่สุด หลวงพ่อท่านรับอย่างเต็มใจ อาการเกรงกลัวและความประหม่า หดหายออกไปจากจิตใจ คงไว้แต่ความผ่องใส ปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น หลวงพ่อท่านเมตตา สนทนาด้วย ภรรยาผมก็เป็นคนตอบทุกถ้อยกระบวนความ ผมเองนั้น ปลาบปลื้มจนพูดอะไรไม่ออก

อยู่ที่ไหนกันลูก
” “อยู่บางระจันค่ะ”
“บางระจันนี่เก่งนะ” หลวงพ่อท่านพูดยิ้มๆ ท่านคงจะหมายถึงวีรชนชาวบ้านบางระจัน แล้วท่านก็ถามถึงหน้าที่การงาน ท่านให้ความเมตตาผมกับภรรยามากจริงๆ “มดนี่ตัวมันเล็กนะครู...” ท่านพูดแล้ว ท่านก็นิ่งเฉยอยู่ เหมือนให้ผมและภรรยาคิดไตร่ตรองตาม

ผมเอะใจขึ้นมาทันที อยู่ๆ หลวงพ่อท่านก็พูดมดขึ้นมา ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นไม่มีมดสักตัว ผมและภรรยามองหน้ากัน นึกแวบเข้ามาทันทีว่า ในห้องของผมนั้นมีมดไต่ไปมายั้วเยี้ยมากมาย ภรรยาผมมักกวาดเช็ดมันออกบ่อยๆ ก็ต้องเป็นเหตุให้มันตายกันบ้าง (ภรรยาของผมก็ถือศีล 5 เหมือนกัน) “มดมันคงเห็นว่า เราเป็นยักษ์” หลวงพ่อกล่าวต่อ “มดก็ชีวิต เราก็ชีวิต ใครๆ ก็ย่อมรักชีวิต จริงไหมครู”

ก็เป็นว่า หลวงพ่อท่านสอนผมและภรรยาผมโดยตรง ให้มีความเมตตาสัตว์ ทรงศีล 5 ให้บริสุทธิ์ ผมตั้งใจในบัดนั้นว่า ต่อไปนี้ ผมจะรักษาศีล 5 และทรงไว้ให้บริสุทธิ์ตลอดชีวิต ซึ่งก็ปรากฏว่าภรรยาผมก็ตั้งใจเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ที่น่าแปลก หลวงพ่อท่านทราบได้อย่างไรว่าที่ห้องผมมีมดมาก และภรรยาผมชอบรังแกเขาอยู่บ่อยๆ และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ หลังจากวันที่ไปถวายตัวกับหลวงพ่อ และตั้งใจจะทรงศีลให้บริสุทธิ์แล้วนั้น

รุ่งขึ้นอีกวัน ปรากฏว่า มดที่ว่ามากมายก่ายกองนั้น อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น ไม่มีเหลือแม้แต่ตัวเดียวจนกระทั่งบัดนี้ “ว่าไงลูกชาย มีอะไรจะคุยไหม” หลวงพ่อท่านหันมากล่าวกับผม “ไม่มีครับ” ตอบหลวงพ่อไปแล้วก็รู้สึกเกิดปิติน้ำตาแห่งความปลื้มปิติเอ่อล้นเบ้าตาทั้งสองข้าง หลวงพ่อท่านรับเราเป็นลูก ผมดีใจอย่างที่สุด ผมตั้งใจจะถวายตัวเป็นลูกหลวงพ่อ แต่เกรงว่าจะไม่เป็นการสมควร แต่บัดนี้หลวงพ่อท่าน บอกให้ผมรู้ว่า..... บัดนี้ เธอเป็นลูกหลวงพ่อแล้วนะ.....

ผมดีใจมากจนไม่สามารถจะบรรยายได้ถูก ความเป็นลูกของหลวงพ่อ ทำให้ผมตั้งใจปฏิบัติธรรม สร้างสรรค์ความดี เพราะระลึกอยู่ในใจเสมอว่า ถ้าผมประพฤติชั่ว กระทำในสิ่งไม่ดีไม่ถูกไม่ควรเมื่อไร หลวงพ่อซึ่งเป็นที่รักเคารพของผม ท่านจะผิดหวัง เพราะท่านเพียรสอนให้บุคคลพึงกระทำแต่ความดี ความถูกต้องสมควร แต่ผมซึ่งเป็นลูกกลับทำไม่ดี ไม่ถูก ไม่ควร มันก็เข้าทำนองที่ว่า ลูกผ่าเหล่า สมควรที่จะต้องตัดหางปล่อยวัดเท่านั้นเอง

ผมใฝ่ฝันที่จะถวายตัวเป็นลูกท่านมานาน และบัดนี้หลวงพ่อท่านก็ได้ให้โอกาสผมแล้ว ผมก็จะตั้งใจกระทำแต่ความดี ยึดกระแสเสียงของหลวงพ่อ ที่จะนำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาชี้แนะหนทางอันสว่างประจำใจ มาใช้ในการดำเนินชีวิต เพื่อความสุขสงบทั้งในปัจจุบันและอนาคตแห่งภพภูมิภายหน้า ในจิตผม มีองค์สมเด็จพระประทีปแก้วสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สถิตเกื้อหนุน มีองค์หลวงพ่อค้ำจุน ประคับประคองให้น้อมนำใฝ่ในกุศล

ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหลวงพ่อ ได้โปรดนำพาข้าพระพุทธเจ้า ให้เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันด้วยเถิด ขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดประทานพลังกาย พลังใจแด่องค์หลวงพ่อ ให้มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง อยู่เป็นฉัตรแก้วแก่ปวงข้าฯ เหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย พัฒนาพุทธศาสนาให้รุ่งโรจน์ ขนเอาบรรดาลูกหลานและเหล่าพุทธบริษัททั้งปวง สู่ยังพระนิพพานทั้งหมดทั้งสิ้นเทอญ

ll กลับสู่สารบัญ


145

รำลึกพระคุณหลวงพ่อ


ชยาณา มาพ่วง


พุทธศาสน์ล่วงมากว่าครึ่งแล้ว
พระสามแก้วยังอยู่คู่ศาสนา
บารมีพระพุทธองค์ทรงเมตตา
คุ้มเกล้าเหล่าประชาชาวไทย

อันพระธรรมคำสอนพระองค์ท่าน
จะประมาณคุณค่าหามิได้
เกิดประโยชน์แก่ดวงจิตพ้นพิษภัย
ล่วงวัฏฏะละได้ไปนิพพาน์

อันพระสงฆ์องค์พระอริยเจ้า
ผู้เป็นเหล่าพุทธวงศ์ทรงสิกขา
สั่งสอนเหล่าประสบอุบาสิกา
สืบอายุพระศาสนาให้ถาวร

ท่านพี่น้องชาวพุทธทั้งหลายเอ๋ย
อย่าละเลยพระธรรมคำพ่อสอน
จงเร่งรีบปฏิบัติตัดนิวรณ์
กิเลสถอนไปสิ้นโดยเร็วพลัน

พ่อจะได้ชื่นชมสมดังเจตน์
ท่านหมั่นเทศน์เหตุทุกข์ทางสุขสันต์
พ่อทรงขันธ์ห้าไว้ใช้ชีวัน
เพื่อประคองลูกนั้นข้ามทุกข์ภัย

พ่อสอนให้ทำบุญวิ่งหนีบาป
จิตหมั่นกราบพึ่งพระไว้เถิดหนา
อย่าประมาทชีวีที่เกิดมา
เร่งรีบหากุศลก่อนมรณัง

พ่อพร่ำสอนตอนต้นหนีนรก
ให้ลูกยกยึดความดีมีกุศล
ปฏิบัติให้ถึงพระอริยชน
ไม่กลับวนลงสู่หมู่อบายฯ

พ่อพร่ำสอนหนทางอริยมรรค
พรหมวิหารสี่เป็นหลักให้มากหลาย
ทานศีลภาวนาพาจิตคลาย
ตัดกิเลสตัวร้ายให้พ้นไป

อริยมรรคบังเกิดในจิตแล้ว
ประภัสสรผ่องแผ้วจะหาไหน
ส่องสว่างเห็นทางให้ครรไล
พาจิตไปสู่แดนพระนิพพาน

พ่อสอนฝึกมโนมยิทธิ
ทรงสติมีปัญญาให้แตกฉาน
เกิดแล้วแก่เจ็บตายลงวายปราณ
วนเวียนนานในวัฏฏะเลิกละไป

อริยสัจรู้แจ้งในญาณทัศน์
หนทางลัดสู่ทางสว่างไสว
เห็นทุกขังอนิจจังทุกชาติไป
หลายแสนชาติแล้วไซร้จิตว่ายวน

เป็นเพราะเกิดร่างกายจึงได้ทุกข์
กิเลสคลุกเคล้าใจให้สับสน
ทำดีบ้างชั่วบ้างกรรมจึงดล
ให้จิตวนวัฏภัยไม่พ้นมาร

อันข้าฯ เจ้าก่อนนั้นแสนทุกข์ยาก
แสนลำบากกายใจใคร่ประหาร
ตัดชีวิตปลิดไปให้วายปราณ
พ้นบ่วงมารป่วงกรรมก็จำยอม

ด้วยเหตุที่ทำดีดีไม่ตอบ
กลับต้องหอบทุกข์ให้ไร้คนถนอม
ถูกเหยียบย่ำทำร้ายใจตรมตรอม
ต้องอดออมอดกลั้นตลอดมา

ต้องเสียรักเสียยศแสนอดสู
น้ำตาพรูหลั่งไหลเศร้าใจหนา
จะพึ่งไหนไม่มีใครให้พึ่งพา
เหมือนนาวาลอยคว้างกลางสายชล

ด้วยว่าบุญวาสนามีอยู่
ให้ได้สู่แสงธรรมนำอีกหน
ด้วยเพราะบุญหนุนถึงพระจึงดล
วนมาพบหลวงพ่อแสนยินดี

ท่านเมตตาปรานีเป็นที่สุด
ท่านยั้งหยุดกิเลสเศร้าใจสุขศรี
สอนให้ท่านรักษาศีลจงดี
สติมีสมาธิจะคุมใจ

ครั้นต่อไปศึกษาพระกรรมฐาน
ฝึกได้ญาณจากมโนมีฤทธิ์ไฉน
แสนวิเศษได้เห็นเหตุกรรมอะไร
ทำฉันให้ทุกข์ทนจนเนิ่นนาน

ตรงกับที่พุทธองค์ได้ทรงตรัส
อันว่าสัตว์เกิดเพราะกรรมอย่าสงสัย
ทุกข์หรือสุขก็เพราะกรรมนำพาไป
เป็นของตนเองไซร้ให้สังวร

ฉันตั้งใจทำกรรมดีทุกสิ่ง
และละทิ้งกรรมชั่วตามท่านสอน
รักษาศีลแผ่เมตตาเอื้ออาทร
ไม่ทุกข์ร้อนตัดโลภด้วยให้ทาน

พ่อสอนธรรมตามสมเด็จฯ ท่านชี้ให้
มรรคแปดไซร้ปฏิบัติตามคำขาน
ศีลสมาธิปัญญาพาเบิกบาน
ไม่เนิ่นนานพ้นทุกข์สุขสมปอง

อันพระคุณหลวงพ่อสูงสุดยิ่ง
ยากจะหาสิ่งใดตอบสนอง
น้อมรำลึกกราบเท้าน้ำตานอง
ขอบุญพระปกป้องพ่อเถิดเอย

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/10/12 at 14:13 [ QUOTE ]


146

พ่อเหมือนแสงธรรมประจำใจ


นภดล เอกเอื้อปฏิภาณ (เขมปุญโญ)


เมื่อต้นปี 2530 ผมมีความรู้สึกอยากจะทำบุญ และอยากจะฝึกกรรมฐาน แต่หาที่ชอบใจไม่ได้ ผมจึงฝึกกรรมฐานด้วยตัวเอง (ตามความเข้าใจที่ฟังจากผู้อื่น) แต่มันก็ถูกบ้างผิดบ้างตามประสาตนโง่ที่ไม่เข้าใจ จนกระทั่ง ผมมีโอกาสติดรถของเพื่อนบ้านมาที่ซอยสายลม เพื่อต้องการเช่าลูกแก้ว มันเป็นโอกาสของผมที่ได้พบหลวงพ่อเป็นครั้งแรก

ผมเหลือบไปเห็นแผงหนังสือที่มีหนังสือธรรมะอยู่มากมาย แต่ผมสนใจเพียงคู่มือปฏิบัติกรรมฐานเท่านั้น ผมจึงได้ซื้อหนังสือเล่มนั้นกลับบ้าน และอ่านด้วยความสนใจ แต่ตามประสาคนโง่ๆ อ่านแล้วก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ ผมจึงได้มาพบหลวงพ่ออีก เพื่อต้องการคลายความสงสัยต่างๆ หลวงพ่อท่านสอนง่ายๆ ปฏิบัติง่าย และเข้าใจได้ง่าย ไม่หนักใจมากอย่างที่คิด ปัจจุบัน ผมมีความสบายใจมากกว่าแต่ก่อน ผมคิดว่าถ้าไม่มีหลวงพ่อ ผมคงหาความสว่างให้กับตัวเองไม่ได้เลย

ll กลับสู่สารบัญ


147

ประสบการณ์ของข้าพเจ้า


สุวิทย์ สวรรค์กสิกร


อาลัยรัก คุณประภา ชีวเลิศวิบูลย์

อาลัยรักและเศร้าโศกเสียใจในการจากไปของคุณประภา ชีวเลิศวิบูลย์ ที่ไม่มีวันกลับมายังมนุษย์โลกอีก หวนรำลึกคิดถึง 17 ปีแห่งความหลังที่ข้าพเจ้าได้แต่งงานกับเธอ เธอเป็นคนดี เป็นแม่ศรีเรือนของข้าพเจ้า เธออยู่ในกรอบของประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ในคำสั่งสอนขององค์หลวงพ่อท่าน การจากไปของเธอ ทำให้ข้าพเจ้าเห็นสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่หลวงพ่อได้นำมาเทศน์สอนประจำว่า การเกิด ความแก่ การป่วย ความตาย เป็นทุกข์ การจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ เธอจากไปแล้ว ข้าพเจ้าต้องเศร้าโศกเสียใจร้องไห้คนเดียวทุกวัน 3 เวลา แถมกลางคืนและเวลาขับรถอีก เป็นเวลา 2 – 3 เดือน หลวงพ่อบอกว่า โสดาบันยังมีการร้องไห้ ก็อย่างเรายังเป็นปุถุชนอยู่ ไม่ร้องไห้ได้อย่างไร ก็ดีอย่าง ที่เวลาร้องไห้ได้อารมณ์เป็นกรรมฐาน นึกถึงความตาย เกิดปัญญาเห็นชัดเจนดีว่า

ที่หลวงพ่อสอนว่า ความตายไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมาย ตายได้ทุกเวลา อย่างคุณประภา ร่างกายแข็งแรง ไม่เคยป่วยไข้ไม่สบาย อยู่ๆ ก็เป็นโรคมะเร็ง เนื้องอกในกระเพาะอาหาร รับประทานน้ำหรืออาหารเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมด กระเพาะอาหารไม่ทำงาน ไม่มีอาหารและน้ำหล่อเลี้ยง ร่างกายทรุดลงทุกวันจนผอมลงเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ในที่สุด หมดแรงและหมดสภาพของร่างกายเนื้อ ข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติเธอจนวาระสุดท้าย

ได้แต่สงสารเธอว่าอายุเพียง 48 ปี ไม่น่าจะอายุสั้นเพียงเท่านี้ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารที่มีร่างกายเนื้อหรือกายหยาบในทุกภพทุกชาติของการเกิด ย่อมต้องพบกับโทษภัยอันตรายอันใหญ่หลวงพ่อ ตอนหลังมาคิดได้ว่า ไอ้เรามันโง่อยู่คนเดียว ใครจากโลกมนุษย์ไปนิพพานได้ก่อน ต้องถือว่าท่านผู้นั้นโชคดี ได้พ้นทุกข์ในโลกมนุษย์อันแสนสาหัส

หลวงพ่อสอนว่า ร่างกายไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา มันจะป่วยก็ห้ามไม่ได้ มันจะแก่ก็ห้ามมันไม่ได้ มันจะตายก็ห้ามมันไม่ได้ หลังจากเห็นคุณประภาจากไปแล้ว ถึงจะได้เห็นคำสอนของหลวงพ่อชัดเจนบ้าง และยังเห็นความตายเข้ามาหาร่างกายเรา และของคนอื่นว่ามันช่างเร็วเหลือหลาย ร่างกายไม่มีประโยชน์แก่นสารสาระใดๆ ทั้งสิ้น ร่างกายและชีวิตคนเราทุกคนอยู่กันอย่างลอยๆ ไม่มีหลักค้ำประกันความตายพังสลายทั้งสิ้น แล้วเราจะไปยึดมั่นถือมั่นอะไรกับร่างกายและอารมณ์ กิเลสตัณหา มานะ

หลวงพ่อได้สอนกรรมฐานที่บ้านสายลม ที่เธอมีโอกาสได้นั่งฟังเดือนสุดท้าย อยู่ต่อหน้าหลวงพ่อก่อนเธอจากไปสองเดือน หลวงพ่อได้เทศน์ว่า คนเราจบตอนไหน? คนเราจบตอนตาย หมายความว่าหลวงพ่อรู้ก่อนแล้วว่า ความตายจะมาถึงเธอในเวลาอันใกล้นี้ หลายเดือนสุดท้ายนี้ หลวงพ่อท่านเทศน์สอนเธอเรื่องความตายตลอดมา (กลับมาบ้านแล้ว เธอบอกว่า หลวงพ่อถามว่าคนเราจบตอนไหน? เธอตอบในใจได้ก่อนทันทีว่า คนเราจบตอนตาย

หลังจากฟังเทศน์หลวงพ่อครั้งนี้แล้ว เธอก็ไม่มีโอกาสได้ไปฟังเทศน์หลวงพ่ออีกในภาคของร่างกายมนุษย์ ก่อนเธอจากไปเดือนสุดท้าย ข้าพเจ้าได้ไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ปกติหลวงพ่อจะเรียกเถ้าแก่รวยๆ แต่วันนี้หลวงพ่อเรียก เถ้าแก่เอ้ย... หางเสียงของหลวงพ่อหมดแรงเบาลง แสดงว่าหลวงพ่อดูวาระจิตของลูกศิษย์ที่เข้าไปหา แล้วยังรู้เหตุการณ์ต่างๆ ของลูกศิษย์ รู้ว่าภรรยาข้าพเจ้าป่วยรักษาไม่หาย แล้วจะต้องจากไปในเวลาอันใกล้นี้

ตั้งแต่คุณประภาเริ่มป่วย ไม่เคยกราบเรียนหลวงพ่อให้ทราบเลย เพราะหลวงพ่อก็ป่วยทุกวัน คิดว่าไม่สมควรรบกวนท่าน จนกระทั่งวันที่ 2 ตุลาคม 2534 เธอได้จากไป ถึงวันที่ 5 หลวงพ่อมาที่บ้านสายลมเวลาบ่าย 14.00 น. ข้าพเจ้าได้ไปถวายสังฆทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเธอ เกรงว่าเธอไปนิพพานไม่ได้ จะไปตกค้างไว้ที่ไหนจะได้อุทิศส่วนกุศลสังฆทานช่วยเธอ ตามที่หลวงพ่อแนะนำว่า คนตายภายใน 7 วัน ถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้สามารถช่วยได้ทัน

เพราะไม่แน่ใจว่าเธอจะไปนิพพานได้ ข้าพเจ้าได้เขียน (จดหมาย) หนังสือกราบเรียนหลวงพ่อ ขอความเมตตาจากหลวงพ่อ อุทิศอานิสงส์ผลบุญกุศลให้กับคุณประภา ชีวเลิศวิบูลย์ ภรรยาข้าพเจ้าได้เสียงชีวิตเมื่อ 2 ตุลาคม 2534 หลวงพ่ออ่านจดหมายแล้วบอกข้าพเจ้าว่า ไม่เป็นไรๆ ๆ ๆ เธอสบายแล้ว หัวค่ำวันเดียวกัน หลวงพ่อเทศน์สอนกรรมฐาน

ท่านพูดว่า เอ้อ วันนี้ฟังข่าวคนตายคนนึง เขามาแจ้งข่าว ตายหลายวันแล้ว ตายวันที่ 2 สามีมาหรือเปล่าล่ะ เถ้าแก่ใหญ่หือ (ข้าพเจ้าไม่อยู่) เอาจดหมายมาให้บอกว่า สงเคราะห์ภรรยาผมด้วย ฉันกำลังนั่งอ่านอยู่เฉยๆ แกย่องมาบอกไม่ต้องละ สบายแล้ว ฉันเลยเอาตังเฉยๆ เขาจ้างให้สงเคราะห์ เขาทำบุญสร้างองค์ปฐม ข้าพเจ้าแน่ใจว่าเธอไปถึงนิพพานได้

ช่วงแรกของการป่วย เธอกลัวความตายมาก ทำใจไม่ได้ ช่วงหลังของการป่วยมาก คืนวันที่ 8 กันยายน เธออยู่โรงพยาบาล ออกจากประตูห้องน้ำ เธอบอกว่าจิตดับทันที ไม่รู้สึกตัว รู้สึกตัวอีกทีเมื่อตัวล้มลง ศีรษะกระทบของแข็งเข้า แต่ไม่บาดเจ็บ เมื่อมีผู้ไปเยี่ยม เธอบอกว่าไม่น่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย จะได้ไม่ต้องมาป่วยทรมานอย่างนี้อีก หลังจากนี้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเธอไม่กลัวความตาย จิตใจเธอ อารมณ์สงบ รักษาหายก็หาย ไม่หายตายก็ช่างมัน มีแต่บ่นว่าทรมาน บางวันบอกว่ากระดูกจะหลุดจากกัน

เจ็บปวด นอนไม่หลับทั้งกลางวันและกลางคืน ช่วงหลังนี้เธอช่วยตัวเองไม่ได้เลย ข้าพเจ้าต้องป้อนน้ำป้อนยาและเฝ้าตลอดเวลา หลังจากจิตดับที่โรงพยาบาลครั้งนั้นแล้ว กำลังใจของเธอดีมาก ไม่หวั่นไหวในความตาย หูเธอได้ยินเสียงไวมาก บางครั้งพูดเบาๆ ห่างๆ เธอยังได้ยิน สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดีตลอดเวลา จนกระทั่งเธอจากไปด้วยความสงบสุข คืนวันที่ 23 กันยายน เที่ยงคืนตรง เธอบกว่าจะไปแล้ว

ข้าพเจ้ารีบจับชีพจรที่มือเธอ แล้วถามเธอว่าเธอจะไปนิพพานไหม เธอตอบไป ถามไปได้ไหม เธอตอบว่าก็ทุกข์ขนาดนี้ คิดว่าไปได้ไหมล่ะ ข้าพเจ้างง ไม่รู้ว่าเธอไปได้หรือไม่ เธอบอกว่าไปได้ ถามไปได้แน่หรือ ตอบได้แน่ ถามแน่ใจหรือ ตอบได้แน่ใจ ถามอยากเกิดอีกไหม ตอบไม่อยากเกิดแล้ว ถามอยากมีร่างกายอีกไหม ตอบไม่อยากมีแล้ว ถามเอ้าก็ก่อนหน้านี้เห็นสนุกสนานดีไม่ใช่หรือ

เธอหยุดคิด บอกต่อ เธอจะไปนิพพาน ให้จับภาพพระพุทธเจ้าปางนิพพานไว้ นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงหลวงพ่อ นึกถึงท่านแม่ศรี เธอตอบว่าทำตั้งนานแล้ว เอ้อ เราพึ่งรู้ แสดงว่าเราโง่กว่าเธอ และแนะนำเธอตามที่หลวงพ่อท่านสอนตัดขันธ์ห้าร่างกายว่าไม่มีอะไรดี มีแต่ทุกข์ อย่ามาเกิดอีกเลย โลกมนุษย์ก็ไม่มีอะไรดี เทวโลก พรหมโลกเราก็ไม่ไปเกิด เราไปนิพพานกันดีกว่า เธอไปนิพพานก่อนนะ ฉันจะตามไปทีหลัง เธอพยักหน้ารับ เวลานี้เป็นยังไงครับ

กับคนที่รักกันจะจากกันถาวร ก็ต่างคนต่างร้องไห้สิครับท่าน เธอเอาแขนมาโอบกอดคอข้าพเจ้า แล้วบอกว่า เฮียเป็นคนดี ถามว่าเวลานี้ฉันอยู่ด้วยดีใจไหม เธอบอกดีใจ ถามเธอว่าสมองเบาไหม ตอบว่าเบา ถามว่ามีความสุขไหม เธอตอบว่ามีความสุข (ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่า ผู้ที่จะเข้านิพพานได้ในเวลานั้น สมองจะต้องว่างเบา จิตใจมีความสุข) เวลานั้น ข้าพเจ้ามีความสบายใจมาก

เห็นว่าเธอไปนิพพานได้แน่ ไม่เสียดายที่เธอจะจากไปนิพพาน ไม่มีความกังวลและห่วงเธอเลย และกลังเธอจะลืมก็แนะนำเธอเป็นระยะๆ ว่าให้นึกถึงพระพุทธเจ้า หลวงพ่อ ท่านแม่ศรี และให้ตัดขันธ์ห้าร่างกายว่าเราจะไปนิพพานแล้ว ทิ้งร่างกายมันเสีย อย่าไปเอามัน ร่างกายมันมีแต่โทษ มีมันเราก็ทุกข์ เราทุกข์มาหลายแสนชาติ เวลานี้เธอจะไปนิพพานแล้ว ทิ้งมันไปเสียจะได้ไม่ต้องมาทุกข์ในโลกมนุษย์อีก

แนะนำเธอรอบแรก เธอตั้งใจฟังอย่างดี พอถึงรอบที่ 3 เธอบอกไม่ต้องสอน สอนแล้วว้าวุ่น ทำได้ตั้งนานแล้ว พอถึงเวลาตีหนึ่ง ชีพจรเต้นช้าและค่อยๆ เบาลง ตีหนึ่งสี่สิบนาที ชีพจรหยุดเหมือนคนนอนหลับ ลมหายใจยังมีเล็กน้อย สักพักแล้วฟื้นขึ้นมาบอก สอนจนฟุ้งซ่านเลยไปไม่ได้ แล้วเธอก็บอกว่าจะไปใหม่ ว่าแล้วก็หลับตาต่อสักประมาณครึ่งชั่วโมง บอกว่าไปไม่ได้ คล้ายองค์ในไม่ให้ไป

จากนี้ร่างกายทรุดลงอีก หมดแรง กระเพาะอาหารไม่ทำงาน ทานน้ำ ยา อาหารเข้าไป ก็อาเจียนออกหมด เธอบอกว่าทรมานมาก เป็นทุกข์เพราะการป่วย และช่วยอะไรไม่ได้เลย วันที่ 2 ตุลาคม 2534 ข้าพเจ้าถามเธออีก ไปนิพพานไหม ตอบไป ถามไปได้ไหม ตอบไปได้ เธอตอบอย่างมั่นใจ ข้าพเจ้ามิได้แนะนำอะไรอีก เกรงว่าเธอจะฟุ้งซ่าน 8.10 น. เช้า เธอก็จากไปนิพพาน ด้วยอาการสงบ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทุกประการ

หลวงพ่อบอกว่า ชีวิตเปรียบเหมือนความฝัน ร่างกายเปรียบเหมือนดอกไม้ ซึ่งไม่มีอะไรเป็นสิ่งถาวร มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีการแปรปรวนในท่ามกลาง มีการสลายตัวในที่สุด นี่เป็นการจบละครชีวิตจริงของเธอบนเวทีการแสดงในโลกมนุษย์ ส่วนพวกเราคงต้องสมมุติ แสดงละครชีวิตกันต่อไป แต่การแสดงนั้นต้องให้เป็นสาระต่อตนเองและผู้อื่น และเป็นเส้นทางเข้าสู่พระนิพพาน

เมื่อครั้งข้าพเจ้ารู้จักกับเธอใหม่ๆ มีความสุขสดชื่นตามประสาคนหนุ่มสาวปุถุชนทั่วไป ได้บอกกับเธอว่าฉันชอบปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิวิปัสสนาเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน เธอตอบว่า โลกนี้มีเธอบ้า ปฏิบัติอยู่คนเดียว หมายความว่าเธอไม่รู้เรื่องและไม่สนใจพระนิพพานเลย หลังจากแต่งงานแล้วใหม่ๆ เมื่อ 2517 ได้มากราบหลวงพ่อที่บ้านสายลม และบ่อยครั้งไปที่วัดท่าซุง หลวงพ่อได้เมตตาเรียกและสอนธรรมปฏิบัติให้เธอตลอดมา

จนเธอเกิดศรัทธา เคารพรักและยึดมั่นในองค์หลวงพ่อและพระนิพพานอย่างมั่นคง การไปฟังหลวงพ่อเทศน์สอนกรรมฐานที่บ้านสายลมและที่วัด ท่านเรียกหรือสอนกรรมฐานให้เราสองคนครั้งใด กลับมาแล้วร่าเริงพูดคุยแต่เรื่องธรรมนิพพาน พูดกันไม่รู้จักจบ เดือนต่อไป ก็ไปกราบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลมใหม่ สนุกสนานคุยโม้โอ้อวดกันว่า หลวงพ่อสอนใครระดับไหนมากกว่ากัน จิตใจเราก็มีความสุข เพียรพยายามปฏิบัติกันเรื่อยมา

หลวงพ่อบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้นอารมณ์จิตต้องมีความสุข การจะตัดขันธ์ห้าบรรลุธรรมได้ จิตใจต้องแกล้วกล้า ร่าเริง มีความสุข เห็นทุกข์ในอริยสัจ จิตใจไม่หดหู่ หลวงพ่อท่านมีอุบายวิธีการสอนอย่างแยบยลและลึกล้ำแหลมคมมาก ซึ่งจะหาพระอาจารย์ที่สุดยอด เปี่ยมในการสอนธรรมให้เป็นผลแก่ลูกศิษย์อย่างนี้ได้ยากอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน ผู้ที่ไม่ได้รับการสอนธรรมจากท่านจะไม่สามารถทราบได้เลย

หลวงพ่อบอกว่า ท่านรู้วิธีจะนำเอาลูกหลานบริวารที่เกิดทันท่านไปพระนิพพานให้หมด อย่างภรรยาข้าพเจ้า จากไม่รู้เรื่องพระนิพพานเลย เพียงสิบกว่าปีที่ได้รับคำสอน หลวงพ่อก็นำเข้าสู่พระนิพพาน ขอกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ สุดล้นพ้นเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งอันใดที่จะตอบแทนพระคุณอันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อได้ จะขอปฏิบัติธรรมตามที่หลวงพ่อทรงเพียรพยายามสั่งสอนข้าพเจ้าให้จงได้

เมื่อ พ.ศ.2528 หรือ 2529 จำไม่ได้แน่นัก หลวงพ่อนำคณะลูกๆ ไปนมัสการพระธาตุดอยตุงเพื่อทำพิธีตัดกรรม แล้วต่อไปนมัสการพระธาตุจอมกิตติ นั่งพักบนศาลาเจดีย์พระธาตุจอมกิตติ หลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า ประภา แกเคยเกิดเป็นราชินีแห่งลวจักราช ฉันก็ไม่รู้ ฉันคอยฟังเสียงจากบนเพดานหลังคา ท่านชี้มือไปข้างบนแล้วหันมาบอกข้าพเจ้าว่า เรื่องมันนานมาแล้ว ใครจะไปรู้ หลวงพ่อท่านรู้ว่า ข้าพเจ้ามีอารมณ์สงสัยอยู่ (เรามันเลวอยู่เรื่อย)

แต่ก็รู้สึกปลื้มปิติยินดี วันนั้นทั้งวัน หลวงพ่อเรียกเธอว่าราชินี แต่ราชินีในยุคนั้น ก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปในการเกิดในวัฏสงสาร จนมาเป็นมีร่างกายเนื้อธาตุสี่ในโลกมนุษย์ ที่สมมุติเรียกว่าคุณประภา และแล้วก็ต้องสลายตัวไปตามกาลเวลาของกฎธรรมชาติ แต่เธอก็เป็นผู้โชคดีอีกท่านหนึ่งที่เวียนว่ายตายเกิด ได้มาพบทันหลวงพ่อนำเธอเข้าสู่พระนิพพาน ความตายเป็นเรื่องที่น่ากลัวของปุถุชนคนธรรมดา แต่เป็นเรื่องน่ายินดีของพระอริยเจ้า ที่จะละร่างกายเข้าสู่พระนิพพาน

ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเป็นห่วงและเกรงว่า เธอจะขึ้นขบวนรถไปพระนิพพานเที่ยวสุดท้ายของหลวงพ่อไม่ทัน เพราะหลวงพ่ออายุมากและป่วยอยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าเร่งรัดให้เธอปฏิบัติธรรมให้เร็วขึ้น เธอบกว่าทำอยู่แล้ว เมื่อครั้ง ข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อใหม่ๆ และได้ไปกราบหลวงปู่บุดดา ที่วัดอาวุธ บางพลัด ฝั่งธนบุรี

คุณประภาได้กราบเรียนหลวงปู่ว่า ข้าพเจ้าจะบวชไปอยู่ในป่า เพื่อปฏิบัติธรรมไปนิพพาน หลวงปู่บอกว่า จะไปนิพพาน เข้าไปทำไมในป่า มีแต่ต้นไม้ เข้าหาธรรมะซิ (ข้าพเจ้างง จะเข้าหาธรรมะอย่างไร อะไรบ้างคือธรรมะ เวลานั้นยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย จนได้หลวงพ่อเพียรพยายามสอนข้าพเจ้าจนรู้เรื่องขึ้นมาบ้าง) หลวงปู่บอกต่อว่า อีกหน่อยเขา (หมายถึงคุณประภา) ก็ไปนิพพานก่อนคุณหรอก

ข้าพเจ้าได้เถียงค้านหลวงปู่อยู่ในใจตลอดมาว่า ไม่จริง เธอจะไปนิพพานก่อนข้าพเจ้าได้อย่างไร เพราะเธอปฏิบัติบ้างไม่ปฏิบัติบ้าง ยังเป็นห่วงเธอจะไปนิพพานไม่ได้ คำพยากรณ์ของพระอรหันต์ไม่มีผิดพลาด เวลานี้ถึงได้เชื่อคำพยากรณ์ของหลวงปู่ว่าเป็นความจริง ขอกราบขอขมาพระรัตนตรัยและหลวงปู่ โปรดอดโทษแก่ข้าพเจ้าจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน

กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ (พระราชพรหมยานฯ) ที่เคารพรักอย่างสูงยิ่ง ขอหลวงพ่อจงหายป่วย มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงปกติโดยเร็ว เพื่ออยู่เป็นมิ่งขวัญ เป็นร่มโพธิ์แก้ว ร่มไทรแก้วของลูกหลานต่อไปอีกนานๆ คุณขวัญ (เยาวลักษณ์ มิตรศรัทธา) ได้กราบเรียนถามหลวงพ่อที่บ้านสายลมว่า หลวงพ่อเจ้าคะ อยากทราบว่าคุณประภาเธอไปพระนิพพานได้อย่างไรเจ้าคะ

หลวงพ่อบอกว่า ก็ไม่มีอะไร ปกติเธอฟังเรื่องพระนิพพานจนชิน พอเวลาจะไป เธอก็คิดถึงพระนิพพาน และตัดขันธ์ห้าร่างกายก็ไปได้ แค่นี้เอง ง่ายๆ ไม่มีอะไร ทำง่ายๆ

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/10/12 at 14:36 [ QUOTE ]


148

หลวงพ่อของเรา


ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย


ในการเขียนเรื่องนี้ ผู้เขียนมีเจตนาที่จะเจริญศรัทธาลูกหลานหลวงพ่อ ให้มีความเชื่อมั่นในความเป็นผู้ทรงคุณวิเศษนานัปการของพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา และต้องการจะบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ประสบมาไว้เป็นหลักฐาน และถ้าเรื่องนี้เป็นประโยชน์แก่สาธุชนผู้อ่านทั่วๆ ไป ผู้เขียนก็จะยินดีมาก อย่างไรก็ตาม เพื่อมิให้เรื่องนี้เป็นโทษแก่ผู้ใด ผู้เขียนขอบอกกติกาการอ่านเรื่องนี้ไว้เช่นเดิมคือ คนพาลห้ามอ่านนะครับ

ชวนหลวงพ่อซื้อล็อตเตอรี่
พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา ท่านทรงสมาบัติแปดตั้งแต่พรรษาแรกและทรงอภิญญาเรื่อยมา ท่านได้พบพระนิพพาน เมื่อพรรษาที่ 20 และในพรรษาที่ 27 ความเป็นผู้รู้ก็ปรากฏ (ท่านว่านึกอยากจะรู้อะไร มันก็รู้) กอปรกับปรมัตถบารมีพุทธภูมิวิริยาธิกะเต็มขั้นในชาตินี้ให้ผล ดังนั้นคุณวิเศษต่างๆ ของท่านที่เป็นปัจจัตตัง จึงมีมากๆๆ

ในสมัยที่ท่านอยู่ที่วัดประยูรวงศ์ หน้ากุฏิท่านมีกระดานดำติดข้างฝาอยู่แผ่นหนึ่ง สมัยนั้นท่านคงอยากจะสงเคราะห์ญาติโยมของท่าน ท่านจึงเขียนเลข 2 ตัวบนกระดานแผ่นนั้นทิ้งไว้ ปรากฏว่าเลขท้าย 2 ตัวตรงพอดี ท่านทำอย่างนั้นมาสัก 2 – 3 งวดโดยไม่ได้บอกใครว่าเป็นเลขอะไร แต่ชาวบ้านแถวนั้นก็รวยหวยใต้ดินไปตามๆ กัน อยู่มาวันหนึ่ง ท่านไปพลิกดูที่นอนของท่านในกุฏิปรากฏว่ามีตัวเรือดเต็มไปหมด

ท่านตกใจ ก็พอดีมีเสียงมาบอกว่า การให้หวยคือการให้ชาวบ้านไปปล้นเจ้ามือ ท่านเองจะถูกสูบเลือดอย่างนี้ ท่านเลยเลิกเขียนเลขติดข้างฝาตั้งแต่นั้นมา และตัวเรือดก็หายไปจากที่นอนของท่าน ต่อมา เมื่อท่านมาอยู่ที่วัดสะพาน ประมาณ พ.ศ.2509 ท่านก็เคยเขียนเลขล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เลขครบทั้ง 6 ตัว ให้นายตำรวจดู และเลขรางวัลที่ 1 ก็ออกตรงตามที่หลวงพ่อเขียนพอดี (รายละเอียดอยู่ในเรื่องที่คุณบุญถึงเล่า)

ครั้งหนึ่ง ปาน (ชาลินี นุตาลัย เนียมสกุล) น้องสาวของผู้เขียนพาหลวงพ่อไประยอง ขากลับท่านมาฉันเพลที่แปดริ้วและแวะกราบหลวงพ่อโสธร หลังจากออกมารอขบวนอยู่หน้าโบสถ์ เผอิญท่านมายืนอยู่ใกล้ๆ ตู้ขายล็อตเตอรี่ ปานจึงกราบเรียนถามท่านว่า “หลวงพ่อคะ เบอร์ไหนดีคะ หลวงพ่อ” หลวงพ่อตอบว่า “แกซื้อใบที่อยู่มุมขวาซี่”

ปานก็ซื้อใบนั้นมา แล้วมาเล่าให้ผู้เขียนฟัง ผู้เขียนก็จำเลขท้ายสองตัว 56 มาบอกเพื่อนฝูงว่า เลขท้ายสองตัวงวดนี้ออก 56 มีคนซื้อหวยใต้ดินตามหลายคน มีอยู่คนหนึ่งฉลาดมากกว่าเพื่อนซื้อตั้งแต่ 056 ถึง 956 ปรากฏว่าเลขท้ายสามตัวงวดนั้นออก 956 ปานก็ถูก แต่คนที่เล่น 2 ตัวตามผู้เขียนบอกเจ๊งไปตามๆ กัน ทีนี้ก็มาถึงโอกาสของผู้เขียนบ้าง ครั้งหนึ่งผู้เขียนติดตามท่านไปเยี่ยมทหารที่ตาพระยา

หลังจากท่านฉันเพลในตลาดแล้ว ท่านมายืนอยู่หน้าตู้ขายล็อตเตอรี่พอดี ผู้เขียนได้โอกาสก็กราบเรียนถามท่านว่า “หลวงพ่อครับใบไหนดี” หลวงพ่อท่านตอบว่า “แกเอาสตางค์ไปซื้อโอเลี้ยงให้ข้ากินดีกว่า”

ความเป็นนักเทศน์
ลูกศิษย์หลวงพ่อทุกคน เมื่อได้ฟังเทศน์จากท่านแล้ว จะไม่ชอบฟังเทศน์จากพระองค์อื่นๆ อีก ผู้เขียนลองสอบถามดูหลายๆ ท่านแล้วต่างก็ให้ความเห็นเป็นเสียงเดียวกันหมดคือ “ไม่จุใจ” บ้าง “หลวงพ่อของเราสอนดีกว่านี้อีก” บ้าง “ไม่ถึงใจ” บ้าง “หลังจากฟังหลวงพ่อเทศน์แล้ว ฟังองค์อื่นเทศน์มันจืดไปหมด” บ้าง ผู้เขียนจะไม่เขียนถึงเนื้อหาที่ท่านเทศน์เพราะเขียนอย่างไรก็ไม่ได้เหมือน

ถ้าท่านผู้อ่านอยากจะรู้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อองค์นี้ ท่านเทศน์ได้วิเศษอย่างไร ก็ขอให้หาเทปที่ท่านเทศน์ไว้แล้วมาฟังดูเองก็แล้วกัน (มีมากกว่า 2,000 เรื่อง) สิ่งที่ประทับใจผู้เขียนตลอดมาตั้งแต่ได้ฟังท่านเทศน์ครั้งแรกและทุกๆ ครั้งก็คือ ความเคารพต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของหลวงพ่อ และสรรพนามต่างๆ ที่พระเดชพระคุณท่านใช้เรียกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท่านสามารถใช้ได้อย่างหมดจด งดงาม หลากหลาย และแสดงออกถึงความเคารพอย่างสูงสุดที่ท่านมีต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ก่อนจะเขียนตอนนี้ ผู้เขียนได้ฟังท่านเทศน์ที่งานวันวิสาขบูชา ปี พ.ศ. 2534 นี้ที่วัด ก็เลยลองจดดู ปรากฏว่า เทศน์กัณฑ์นั้นมีสรรพนามขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าต่างๆ กันดังนี้ องค์สมเด็จพระสุคต, องค์สมเด็จพระชินวร, องค์สมเด็จพระภควัน, องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์, องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า,

องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว, องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า, องค์สมเด็จพระบรมสุคต, องค์สมเด็จพระบรมสามิศร, องค์สมเด็จพระทศพล, องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า, องค์สมเด็จพระบรมครู และองค์สมเด็จพระสวัสดิโสภาคย์ นอกจากนี้ถ้าเทศน์กัณฑ์ไหนมีเรื่องเกี่ยวข้องกับพระพุทธประวัติ หรือพระสูตร พระเดชพระคุณหลวงพ่อจะเทศน์เนื้อเรื่องเสมือนว่าท่านอยู่ในที่นั้นๆ ด้วยเสมอ ดังนั้นท่านจึงรายละเอียดและเกร็ดซึ่งองค์อื่นๆ เทศน์ไม่ได้

ผู้เขียนขอยกตัวอย่างให้ลองคิดกันดูก็ได้ ใครทราบบ้างครับว่า ขณะที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนั้น มีพระสงฆ์ตามเสด็จกี่รูป แต่ถ้าได้ฟังเทศน์กัณฑ์วิสาขบูชา พ.ศ.2534 แล้ว จะรู้เรื่องเหมือนกับได้เดินตามเสด็จไปเมืองกุสินาราด้วยทีเดียว พระตามเสด็จทั้งหมด หนึ่งแสนแปดหมื่นองค์เศษ ครับ

หลวงพ่อเป็นยอดนักประวัติศาสตร์
เมื่อใดผู้เขียนอ่านประวัติศาสตร์แล้วติดขัดหรือสงสัย ก็มักจะหาโอกาสสอบถามจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ซึ่งท่านก็สงเคราะห์ทุกครั้งและโดยอัตโนมัติเสมอ ผู้เขียนจะขอบันทึกตัวอย่างเรื่องที่เคยสอบถามท่านไว้เป็นหลักฐานและเป็นเครื่องยืนยันความวิเศษ ความเป็นผู้รู้ “นึกอยากจะรู้อะไรมันก็รู้” ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อไว้ด้วย

1. ที่ตั้งเมืองสุโขทัย
น้ำเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิตรองจากอากาศ ดังนั้นการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์จึงอยู่ใกล้แหล่งน้ำเสมอ ได้มีผู้ศึกษาการตั้งถิ่นฐานของคนไทยโบราณ และพบว่าคนไทยจะตั้งชุมชนอยู่ห่างจากแหล่งน้ำไม่เกิน 1.7 กิโลเมตร เมืองใหญ่ของไทยแต่โบราณล้วนแต่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายสำคัญทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเชียงแสน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน ลพบุรี นครสวรรค์ กำแพงเพชร ฯลฯ แต่ถ้าเราดูที่ตั้งของราชธานีสุโขทัย

จะพบว่าอยู่ห่างจากลำน้ำยมปัจจุบันถึง 11 กิโลเมตร เป็นไปได้อย่างไร คราวหนึ่งผู้เขียนกลับมาจากเชียงแสนกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ โดยขับรถกลับมาทาง งาว – อุตรดิตถ์ – เด่นชัย – ศรีสัชนาลัย – สุโขทัย – นครสวรรค์ – วัดท่าซุง รถของเรามารอขบวนอยู่ที่ศาลพระแม่ย่าที่สุโขทัย ผู้เขียนได้โอกาสก็กราบเรียนถามท่านว่า เมืองโบราณของไทยนั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำเสมอ ทำไมเมืองสุโขทัยจึงห่างแม่น้ำยมตั้ง 11 กิโลเมตร

ท่านตอบว่า “แกดูซิว่า แม่น้ำตอนนี้มันตรงไหม เขาขุดขึ้นมาทีหลัง แม่น้ำเดิมผ่านหน้าเมืองสุโขทัย” แล้วท่านก็บอกต่อว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์มาบอกเดี๋ยวนี้เอง” ผู้เขียนกลับมาดูแผนที่ ก็เห็นจริงตามท่านว่า ว่าแม่น้ำยมหน้าเมืองสุโขทัยนั้น ไม่คดเคี้ยวเหมือนช่วงอื่นๆ แต่ตัดเป็นแนวตรงไปทิศตะวันออกเฉียงใต้

2. การเผาเมืองเวียงจันทร์
หลังจากปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทร์ แล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชานุชิต ครั้งยังเป็นพระยาราชสุภาวดี ยกทัพขึ้นไปปราบเมืองเวียงจันทร์ ในการทัพครั้งนั้นได้มีพระบรมราชโองการกำกับไปด้วยว่า เมืองเวียงจันทร์เป็นกบฏมา 2 ครั้งแล้ว ไม่ควรเอาไว้ให้เป็นบ้านเมืองให้อยู่สืบไป ให้ทำลายล้างเสียให้สิ้นอย่าให้ตั้งติดอยู่ได้

เมื่อยึดเมืองเวียงจันทร์ได้แล้ว ให้เผาเมืองทิ้งเสีย อย่าให้เหลือซาก เมื่อเจ้าพระยาบดินทร์ยึดเมืองเวียงจันทร์ได้แล้ว ก็กวาดต้อนผู้คนกลับลงมาและเกณฑ์ไพร่ให้รื้ออิฐกำแพงเมือง และตัดต้นไม้มีผลทำลายเสีย แต่ไม่ได้เผาเมืองทิ้ง กลับตั้งเจ้าเมืองเวียงจันทร์ใหม่ ให้อยู่รักษาเมืองต่อไป พร้อมกับแบ่งผู้คนที่กวาดต้อนลงมา ให้อยู่เป็นพลเมืองเวียงจันทร์ส่วนหนึ่ง

เมื่อกลับลงมาเฝ้ากราบบังคมทูลข้อราชการ ก็ถูกกริ้วว่าขัดพระบรมราชโองการ ไม่ทำลายล้างเมืองเวียงจันทร์เสียให้สาบสูญ ซ้ำยังตั้งขึ้นให้เป็นหัวเมืองไว้อีก ถ้าอนุฯ กลับมาก็จะยากตกแก่พลทหาร ผู้เขียนกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า ทำไมพระยาราชสุภาวดีจึงกล้าขัดพระบรมราชโองการ ท่านตอบว่า “เผาเข้าไปได้ยังไง บ้านเมียน้อย”

3. น้ำท่วมกรุงเทพฯ
กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองสร้างบนที่ราบลุ่มริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ดังนั้นน้ำท่วมกรุงเทพฯ จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะน้ำแม่น้ำเจ้าพระยามักล้นตลิ่งในฤดูน้ำหลากเกือบทุกปี แต่น้ำมักจะท่วมไม่มากและไม่นานนัก น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่เรายังจำกันได้ก็คือน้ำท่วมใหญ่ปี พ.ศ.2526, 2523, 2520, 2485 และ พ.ศ.2460 เป็นต้น

ผู้เขียนเคยลองค้นดูว่า ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ น้ำท่วมมากที่สุดเมื่อไร ก็พบหลักฐานจากสมุดบันทึกเหตุการณ์กรุงเทพพระมหานคร ซึ่งบันทึกไว้ว่า (หลังจากสร้างกรุงเทพมหานครได้ 3 ปี) “เกิดน้ำท่วมครั้งแรกในจังหวัดพระนครและธนบุรี เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2328 (ปีมะเส็ง จุลศักราช 1147) วัดระดับน้ำเฉพาะที่ท้องสนามหลวง (ทุ่งพระเมรุ) น้ำลึก 8 ศอก 10 นิ้ว (4 เมตร 20 เซนติเมตร)

ส่วนในพระบรมมหาราชวัง ปรากฏว่าน้ำท่วมพื้นท้องพระโรงในพระที่นั่งจักพรรดิพิมานวัดได้ 4 ศอก 8 นิ้ว (2 เมตร 16 เซนติเมตร) ถึงกับเสด็จออกขุนนางไม่ได้ ต้องเสด็จย้ายไปว่าราชการแผ่นดินบนพระที่นั่งอัมรินทร์มหาปราสาท เพราะพื้นที่นั่งนี้สูงพ้นน้ำกว่า 5 ศอกเศษ (2 เมตร 25 เซนติเมตร) บรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และพระบรมวงศานุวงศ์ต้องลอยเรือกันไปเฝ้า

จอดเรือเทียบถึงพระที่นั่งอัมรินทร์มหาปราสาท (ต่อมามหาปราสาทหลังนี้ ถูกฟ้าผ่าไฟไหม้ จึงโปรดให้สร้างขึ้นใหม่ และให้ชื่อว่าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) ข้าวสารซื้อขายกันเกวียนละชั่ง (80 บาท) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แจกข้าวในฉางหลวงแก่ราษฎรที่อดอยาก ข้าวปลาอาหารแพงอยู่จนปีมะเมีย อัฐศก จุลศักราช 1147 (พ.ศ.2329)”

ผู้เขียนลองนึกดูว่า ถ้าน้ำท่วมท้องสนามหลวง 4 เมตรเศษจริง ทั่วกรุงเทพฯ จะไม่มีที่อยู่อาศัยได้เลยในเวลานั้น เพราะบ้านเรือนสมัยแรกสร้างกรุงเป็นบ้านชั้นเดียว มุงหลังคาจากเกือบทั้งหมด คงมีแต่วัดกับวังเท่านั้นที่อาจจะมีอาคารก่ออิฐสอปูน 2 ชั้น มุงกระเบื้อง ผู้คนจะหนีน้ำไปอยู่ที่ไหนกัน ยิ่งนึกว่า ถ้าเกิดน้ำท่วมใหญ่เช่นนั้นในปัจจุบัน จะโกลาหลกันมากเพียงใด ตอนนั้นเป็นช่วงปลายปี พ.ศ.2526 น้ำกำลังท่วมกรุงเทพฯ พอดี

หลวงพ่อลงมาที่ซอยสายลม และกำลังนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่ห้องโถงชั้นล่าง มีลูกหลานล้อมวงคุยอยู่กับท่าน ผู้เขียนได้โอกาสก็กราบเรียนถามท่าน เรื่องน้ำท่วมกรุงครั้งแรก ท่านบอกว่า “ตำราเขียนไว้นานเข้า ตัวเลขมันงอก ที่จริงระดับน้ำสูงแค่หน้าอก” แล้วท่านก็ทำมือกะระดับน้ำให้ดู ท่านบอกว่า “เทวดาเขามาทำภาพให้ดู ระดับน้ำสูงแค่นี้”

4. สมเด็จพระอินทราชาหรือสมเด็จพระนครอินทร์เป็นใคร
นักอ่านประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาตอนต้นมักจะถามกันเสมอว่า สมเด็จพระอินทราชา หรือสมเด็จพระนครอินทร์เป็นใครกันแน่ ในพระราชพงศาวดาร ฉบับ พันจันทนุมาศ, และฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ กล่าวแต่เพียงว่า “ศักราช 763”

“ปีมะเส็งตรีศก (พ.ศ.1944) สมเด็จพระรามเจ้ามีความพิโรธเจ้ามหาเสนาบดี และท่านให้กุมตัว เจ้ามหาเสนาบดีหนีรอดข้ามไปอยู่ฟากปทาคูจาม จึงให้ไปเชิญสมเด็จพระอินทราชา ณ เมืองสุพรรณบุรี เสด็จเข้ามาถึง จึงเจ้ามหาเสนาบดียกเข้าปล้นเอาเมืองพระนครศรีอยุธยาได้ จึงเชิญสมเด็จพระอินทราชาขึ้นเสวยราชสมบัติ ให้สมเด็จพระยารามไปกินเมืองปทาคูจาม”

ผู้เขียนเคยกราบเรียนถามท่านว่า สมเด็จพระนครอินทร์เป็นใคร พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านตอบว่า “เป็นน้องเมียขุนหลวงพะงั่ว”

5. ประวัติก่อนประวัติศาสตร์
พระเดชพระคุณหลวงพ่อองค์นี้ ท่านมีอตีตังสญาณที่กว้างไกลไพศาล ไม่มีขอบเขต ท่านสามารถเล่าเหตุการณ์ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ ให้ลูกหลานฟังเสมือนว่า ท่านอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างให้ฟังสักสองเรื่อง เรื่องแรก เมื่อไปชิคาโก และไปพักที่บ้านแพทย์หญิงสุภรณ์ พงศ์หล่อพิสิษฐ์ ท่านเล่าประวัติของบริเวณบ้านคุณหมอ ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกของเมืองชิคาโกไว้ดังนี้

“ถอยหลังไปสมัยสมเด็จพระพุทธทีปังกร พระราชาทรงพระนามว่าท้าวอินทราชา ครองเมืองมหาบรมไตรจักรภพ พระราชฐานห่างบ้านนี้ไปทางทิศตะวันตก 2 กิโลเมตร มีพระราชโอรสเป็นพระเจ้าจักรพรรดิเมื่ออายุ 21 ปี 3 เดือน ทรงพระนามว่า “นวราชบรมจักรพรรดิ” สมเด็จพระนวราชบรมจักรพรรดิ เห็นว่าราชธานีเดิมแคบไป ก็ขยายกำแพงราชธานีออกไปด้านละ 10 โยชน์

บ้านหมออยู่ตรงโรงครัวพอดี.......” ที่ละ.......ไว้นั้น เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณหมอท่าน ที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังต่อไปอีก อีกครั้งหนึ่งเป็นเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟังระหว่างอยู่ในนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2529 การไป (ตามลูกสาว) ครั้งนั้นมีผู้ติดตามไปด้วย 19 คน ท่านเล่าให้ฟังว่า ในสมัยพระพุทธกัสสป ประเทศนิวซีแลนด์เป็นเมืองของพระเจ้าจักรพรรดิ ท่านได้สร้างพระทองหนัก 40 ตัน หน้าตัก 14 วา ไว้ที่ด้านใต้ของเมืองเวลลิงตัน

ผู้ที่มานิวซีแลนด์กับท่านครั้งนั้น ล้วนเป็นลูกหลานของพระเจ้าจักรพรรดิทั้งสิ้น และแต่ละคนมีชื่อต่างๆ กัน (ท่านให้ผู้เขียนจดชื่อให้ทุกคน ทั้งชื่อในวังและชื่อนอกวัง) ผู้เขียนขอเอาเฉพาะชื่อต่างๆ ที่ท่านเล่าและผู้เขียนจด มาบันทึกไว้ ณ ที่นี้ ส่วนใครเป็นใครนั้น อย่าสนใจเลย มันเป็นอดีตไปหมดแล้ว ที่ต้องบันทึกไว้เพราะอยากจะให้ลูกหลานของพระเดชพระคุณท่านได้เห็นความแจ่มใสในอตีตังสญาณของท่าน ท่านเล่าให้ฟังขณะนั่งไปในเครื่องบิน และผู้เขียนก็จดตามคำบอกของท่าน

ฟังท่านเล่าแล้ว มีความรู้สึกเหมือนเหตุการณ์เมื่อวานนี้เอง และรู้สึกว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ชื่อต่างๆ มีดังนี้
1.ชื่อนอกวัง : พรหมาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : จิตราวดี
ลักษณะเด่น : เป็นขุนวัง ผิวเหลือง

2.ชื่อนอกวัง : สุธรรมวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ศรีโสภา
ลักษณะเด่น : เป็นสมุห์บัญชี สุขุม

3.ชื่อนอกวัง : วิศวานุกรรมาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ยุทธาวดี
ลักษณะเด่น : เป็นฝ่ายโยธาธิการ สร้างวัง

4.ชื่อนอกวัง : สิริธรรมราชามหาจักรพรรดิ
ลักษณะเด่น : เป็นอนุจักรพรรดิ

5.ชื่อนอกวัง : สิริรัตนาวดี
ชื่อในวัง : สิริรัตนาวดี
ลักษณะเด่น : ชายาพระจักรพรรดิ

6.ชื่อนอกวัง : กัลยาณีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : กัลยาณีศรีโสภาค
ลักษณะเด่น : ชายาพระจักรพรรดิ

7.ชื่อนอกวัง : ปรัชญาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : โสภาสุนทราวดี
ลักษณะเด่น : เป็นทูต รอบรู้

8.ชื่อนอกวัง : สุรวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ยุทธโยธาธิการ
ลักษณะเด่น : คุมทหาร คุมฆ่าควายถือพระขรรค์

9.ชื่อนอกวัง : วชิราวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ยุทธสิริสงคราม
ลักษณะเด่น : ฝ่ายทหาร นักสู้ใจเด็ด

10.ชื่อนอกวัง : สุภาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ไพรีชำราบ
ลักษณะเด่น : ฝ่ายทหาร

11.ชื่อนอกวัง : ยศวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : กนกนารี
ลักษณะเด่น : ผู้หญิง เจ้ายศ

12.ชื่อนอกวัง : สุนันทาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ประหารไพรี
ลักษณะเด่น : ผู้ชาย คุยสนุก

13. ชื่อนอกวัง : จริยาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ธรณีพินาศ
ลักษณะเด่น : ผู้ชาย เจ้าระเบียบ

14.ชื่อนอกวัง : ศักดาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : ราชราชาน้อย
ลักษณะเด่น : ผู้ชาย อำนาจมาก มนต์ขลัง

15.ชื่อนอกวัง : โสภาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : สุภาภาณพาที
ลักษณะเด่น : ผู้ชาย สะโอดสะอง

16.ชื่อนอกวัง : ทุติยาวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : อนงค์นาฏวรนุช
ลักษณะเด่น : ผู้หญิง เป็นลูกคนที่สองของแม่

17.ชื่อนอกวัง : สุวรรณวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : กนกวาทีไพรีพินาศ
ลักษณะเด่น : ผู้ชาย พบทองมากกว่าคนอื่น

18.ชื่อนอกวัง : ปทุมวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : กำราบหรินทร์
ลักษณะเด่น : ผู้ชาย ขาว มีเส้นเลือดแดง

19.ชื่อนอกวัง : สุนทรวดีศรีโสภาค
ชื่อในวัง : กินรีนาภา
ลักษณะเด่น : พูดเก่ง คุยสนุก (มีคู่แฝด ชื่อกินรนารี)

นอกจากนี้ ยังมีลูกท่านอีกคนที่อยู่ที่นิวซีแลนด์ ท่านบอกว่าชื่อ จันทมาวดีศรีโสภาค เป็นลูกแม่กลาง แต่ละคนชื่อเพราะๆ กันทั้งนั้น ใครไม่รู้จะตั้งชื่อลูกหลานอย่างไร จะเอาไปใช้บ้างก็ได้ เท่าที่ทราบมีอยู่คนหนึ่งเอาชื่อเดิมของตัวสมัยนั้นมาตั้งชื่อลูกในสมัยนี้

6.หลวงพ่อวิจารณ์ประวัติศาสตร์
ถ้าใครอยากรู้ว่าปรีชาญาณของหลวงพ่อท่านเฉียบแหลมเพียงใด ก็ขอให้ท่านลองไปอ่าน นิทานอิงประวัติศาสตร์ ดู ผู้เขียนขอยกตัวอย่างที่ผู้เขียนติดใจมากตอนหนึ่ง มาให้อ่านกัน คือในช่วงก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 ตัวละครมี 3 องค์ด้วยกันคือ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระมหินทราธิราช และพระมหาธรรมราชา เรื่องในหนังสือเล่มนี้ พร้อมทั้งคำวิจารณ์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่พิมพ์ตัวเข้มไว้มีดังนี้

“พ.ศ.2107 พระชัยเชษฐา กษัตริย์ล้านช้าง ส่งทูตมาขอพระเทพกษัตรี พระราชธิดาพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งเกิดจากพระศรีสุริโยทัย แต่พระเทพกษัตรีประชวร จึงส่งพระแก้วฟ้า พระราชธิดาอีกองค์หนึ่งไปแทน พระชัยเชษฐาไม่ต้องการจึงส่งคืนมา ภายหลังจึงส่งพระเทพกษัตรีไปให้ พระมหาธรรมราชาไม่ต้องการให้พระเทพกษัตรีตกไปอยู่ล้านช้าง จึงให้คนไปทูลบุเรงนอง บุเรงนองจึงส่งทัพมาดักทางที่จะผ่าน แล้วแย่งเอาไปพม่า

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิสละราชสมบัติออกบวชให้พระมหินทร์ครองราชย์สมบัติแทนพระองค์พ.ศ.2107 พระมหินทร์ครองราชย์สมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระราชบิดา (ที่พระมหาจักรพรรดิต้องสละราชสมบัติ ก็เพราะมีความรู้สึกว่า พระมหาธรรมราชาหักหน้าเกินไป ทำเหมือนไม่ใช่พวกเดียวกัน ที่ให้บุเรงนองมาแย่งพระเทพกษัตรีเอาไปพม่า)

แต่พระมหาธรรมราชาก็คงจะเอือมเจ้าลาว พระชัยเชษฐาเบ่งมากไป ให้น้องสาวไม่ต้องการ จะเอาพี่ให้ได้ ท่านคงคลื่นไส้เห็นว่าลาวเบ่งจัดเกินไป และคงเห็นว่าพระมหาจักรพรรดิก็อ่อนแอเกินไป ทำคล้ายกับว่าไทยเป็นเมืองขึ้นของลาว จะเอาอะไรต้องได้ตามต้องการ เพราะเหตุอย่างนี้กระมังที่ทำให้พระมหาจักรพรรดิต้องสละราชสมบัติ และพระมหินทร์จึงต้องกำจัดพระมหาธรรมราชา

ในที่สุดพระมหาธรรมราชาก็เอาทัพพม่ามาตีไทย และเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้วงศ์ชัยบุรีคือพระมหาธรรมราชา ได้มีโอกาสครองราชสมบัติในกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระมหินทร์ครองราชย์สมบัติแทนพระราชบิดา แล้วก็ร่วมมือกับพระยารามณรงค์กำจัดพระมหาธรรมราชา โดยขอให้ทัพล้านช้างยกมาตีพิษณุโลก ในที่สุดพระมหาธรรมราชาก็ลี้ภัยการเมืองไปอยู่พม่า ในที่สุดพม่าก็ยกกองทัพมาตีไทย

ในขณะที่พระมหาธรรมราชาลี้ภัยการเมืองไปอยู่พม่านั้น ขณะนั้นพระนเรศวรยังเป็นเชลยศึกอยู่ที่พม่า พระเอกาทศรถยังทรงพระเยาว์มาก พระมหาจักรพรรดิจึงไปรับพระวิสุทธิกษัตริย์ พระชายาของพระมหาธรรมราชา ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระมหาจักรพรรดิ และรับพระเอกาทศรถพระราชนัดดาของพระองค์ซึ่งเป็นลูกของพระมหาธรรมราชามาอยู่อยุธยา

พ.ศ.2111 เมื่อพระมหาจักรพรรดิเห็นความวุ่นวายที่ลูกชาย คือพระมหินทร์ทำอย่างนั้น มันเป็นการกระทำที่ไม่ถูกแบบไม่ถูกแผน สร้างความวุ่นวายแตกร้าวให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ทนดูความวุ่นวายไม่ไหว จึงลาผนวช (สึกจากพระ) ออกมาครองราชย์สมบัติตามเดิม แล้วจึงไปรับลูกสาวกับหลานชายมาอยุธยา (อย่างพระมหาจักรพรรดินี้ ท่านเรียกว่า พ.พ.ล. พังเพราะลูก)

เห็นไหมครับว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเฉียบแหลมอย่างไร สามารถเข้าไปนั่งในจิตในใจตัวละครทั้ง 3 องค์ได้ ทำให้เราสามารถเห็นความนึกคิดของแต่ละองค์ได้ดี และต่างก็มีเหตุผลในการกระทำของตน ถ้าอยากอ่านที่อื่นๆ ที่พระเดชพระคุณท่านวิจารณ์ต่อไป ก็ไปหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านกันนะครับ

บันทึกพิเศษของหลวงพ่อ
ผู้เขียนเคยได้อ่านบันทึกพิเศษของหลวงพ่อมานานแล้ว และก็ได้สำเนาเก็บไว้ ตอนนี้มานึกๆ ดูว่า ท่านจะบันทึกไว้ทำไมถ้าจะไม่ให้ลูกหลานรู้ ก็เลยขออนุญาต (ในใจ) นำเอาส่วนที่ท่านเล่า และอาจเป็นประโยชน์สำหรับลูกหลาน มาเผยแพร่ให้ได้อ่านทั่วๆ กัน บันทึกของท่านมีดังนี้

บันทึกพิเศษ


วันนี้ตรงกับคืนของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2512 เวลา 20.30 โดยประมาณ คืนนี้เป็นคืนที่ฉันรู้สึกว่า ฉันมีความสุขใจที่สุด เท่าๆ กับเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2507 วันนั้นเป็นวันที่ฉันได้เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าตามที่ฉันตั้งใจไว้ ฉันดีใจและอิ่มใจมาก เพราะไม่ได้คิดว่า ฉันจะได้มีโอกาสเข้าถึงธรรมในชาตินี้ เมื่อสิ่งที่คิดว่าจะไม่ได้เกิดมาได้ขึ้นอย่างนี้ ความปลื้มใจก็เกิดขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

เพราะได้สิ่งที่คิดว่าจะไม่ได้ สำหรับคืนนี้ ที่ฉันว่าฉันมีความสุขเทียบเท่ากับวันนั้น ก็เพราะว่าฉันได้ทำกิจของฉันในฐานะบุพการีครบถ้วนไปตอนหนึ่ง คือสงเคราะห์บุตรธิดาให้เข้าถึงธรรมได้อย่างคาดไม่ถึง เหตุที่จะปรากฏการณ์ให้ฉันปลื้มใจมีดังต่อไปนี้ วันนี้เวลาบ่าย ลูกนนทาเอาเงิน 200 บาทมาให้ เพื่อเป็นทุนซื้อน้ำมันเบนซินจุดเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ครั้นเวลา 20 น. เริ่มลงมือสมาทานกรรมฐานร่วมกัน

เมื่อสมาทานเสร็จฉันเห็นแม่ศรีแกมาแสดงความรื่นเริง หัวเราะต่อกระซิก ซึ่งสมัยที่อยู่ร่วมกันนั้น อาการอย่างนี้จะเห็นได้ยากเต็มที เพราะปกติแกเป็นคนเรียบร้อย มีอาการนิ่มนวลอ่อนหวานเป็นปกติ นานๆ แกจะแสดงอาการรื่นเริงสักครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่มากนัก คราวนี้ที่ฉันเห็นแกรื่นเริงมาก ฉันสงสัย จึงถามแกได้ความว่า แกดีใจที่ลูกแกทำบุญค่าน้ำมัน แกบอกว่า ลูกแกใจบุญมาก แกดีใจเป็นพิเศษ

และแกบอกให้เตือนลูกว่า เวลาเจริญกรรมฐาน จึงตัดกังวลเล็กน้อยเสีย อย่าเอาอารมณ์นิดหนึ่งที่ค้างมาให้มีส่วนในการคำนึง ถามแกว่า มาแนะนำแบบนี้ ถ้าลูกไปนิพพานเสียชาตินี้จะว่าอย่างไร แกยิ้มอย่างคนชนะแล้วตอบว่า ไม่มีทาง ลูกต้องไปอยู่กับฉันก่อน แล้วลูกจะถึงที่สุดพร้อมกัน แล้วแกคุยต่อไปว่า ฉันหมดทุกข์แล้ว ลูกทุกคนถ้าไม่หลง คือประมาทเกินไป ลูกจะไม่ไปอบายภูมิ ขอให้เตือนลูกว่าอย่าทะนง เอาตัวรอดได้แล้ว แล้วแกก็พาพลพรรคของแกแสดงความรื่นเริง จนฉันเห็นเป็นเรื่องสนุกไปด้วย

เมื่อแม่ศรีมาแสดงอาการรื่นเริงนั้น ปรากฏว่าแม่ของฉลวย พิมพา วาสนา ต่างก็มาร่วม ฉันถามสามคนว่า ที่มาแสดงอาการรื่นเริงอย่างนี้ ลูกเธอเอาตัวรอดได้แล้วหรือ? ทั้งสามคนเขาตอบเหมือนกันว่า ลูกทุกคนเขาเอาตัวรอดได้แล้ว ขอให้ทุกคนอย่าประมาท อย่าทะนงตน ลูกจะไม่ตกนรก เมื่อละอัตภาพนี้แล้ว ลูกจะได้ไปอยู่กับแม่ แม่พร้อมที่จะคอยรับเมื่อลูกละอัตภาพ จงฟังและเข้าใจว่าในคำว่าละอัตภาพ

เขาไม่ใช้คำว่าตาย หรือมรณะ ละอัตภาพ หมายถึง ละไป ไม่ใช่ตายอย่างเข้าตรีทูต เรียกว่าตายอย่างได้สติ เขาสั่งว่า ขอให้ลูกทุกคนเร่งเสริมบารมีให้มาก อย่าประมาทคิดว่าตัวดีแล้ว ทุกวันจงหาความชั่วของตนเองไว้ทุกเวลาที่มีเวลาพักผ่อน เมื่อพบความชั่วแล้วรีบแก้ไข จะพบความดีที่ยิ่งกว่านี้ แกว่าแล้วก็พาพลพรรคฟ้อนรำกันขนาดใหญ่ ฉันเลยได้ชมฟ้อนเทวดา อย่างชนิดที่ไม่ต้องหามาให้เสียเงิน

ฉันดีใจมากที่ลูกทุกคนเป็นคนมีศรัทธา ที่ฉันพยายามสละความสุขกาย แม้จะเหนื่อยและป่วยไข้ก็พยายามอดทน ฝึกบ้าง แนะนำบ้าง ก็เพราะอยากให้ลูกทุกคนเป็นคนพ้นจากอบายภูมิ เมื่อมาเห็นบรรดาแม่เขามารับรองอย่างนี้ ฉันก็ดีใจ เพราะพวกเขาเป็นพวกคุมบัญชีสวรรค์

แต่ลูกทุกคนอย่าประมาทนะ อย่าทะนงว่าตนดีแล้ว ประเสริฐแล้ว คนที่คิดอย่างนั้นเป็นคนเลวที่สุด หมดเขตของขั้นคนแล้ว คือเลวบัดซบเท่านั้นที่จะคิดเช่นนั้น คนดีที่จะพ้นทุกข์นั้นคือคนที่พยายามหาความชั่วของตน ค้นคิดหาความบกพร่องแล้วหาทางแก้ไข

พ่อคิดว่า พ่อทำกิจของพ่อครบถ้วนแล้ว เหลือแต่จะส่งเสริมให้ดีเด่นขึ้น ท่านปู่ ท่านย่า ก็รับรองตามนั้น ท่านว่า ขณะนี้เขารื่นเริงกันเรื่อย ปู่ก็สบายใจ ตามปกติแกไม่ใคร่รื่นเริงกัน เพราะเกรงว่าลูกจะลงนรก


เรื่องรู้เลยตาย

ไฟล้างโลกและพระศรีอาริย์ตรัส

บันทึก เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2512
ความจริงเรื่องรู้เลยตาย หรือรู้ก่อนเกิดนี้ ฉันเองก็ไม่ใคร่อยากจะพูด และไม่อยากจะเชื่อถือนัก เพราะดูแล้วมันเลยธงไปไม่น้อยเลย แต่มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คนเขียนๆ เรื่องรู้เลยตาย และรู้ก่อนเกิดไว้มากมาย เช่นรู้ว่า เมื่อสิ้นศาสนานี้แล้ว ไฟบัลลัยกัลป์จะไหม้ถึงภควพรหม ดูเรื่องมันมากมายนัก ฉันสงสัยไม่หายว่า

ไฟอะไร จะดันไปไหม้แม้แต่เทวดาและพรหม ดูมันพิลึกพิลั่นมากมายเกินพอดี เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ตามความจริงไม่ได้ ในที่สุดคืนของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2512 นนทากับประสบสุขมาฝึกกรรมฐาน ฉันนั่งคุมกรรมฐาน ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็นสัพพัญญูวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้

สิ้นศาสนา
หลังจากกึ่งพุทธกาลไปแล้ว 4,000 ปี จะมีไฟล้างโลก ล้างแต่โลกมนุษย์เท่านั้น ไม่ลุกลามไปถึงเทวดา ท่านบอกว่า ความชั่วที่จะเป็นเหตุให้ไฟล้างนั้น เป็นผลของสัตว์ที่สร้างอกุศลกรรมมากมารวมตัวกันอยู่ เป็นสมัยสัตว์นรกครองโลก มีแต่ความเร่าร้อน หาความสงบสุขไม่ได้ ความจริงแล้วมันเริ่มมีความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปีแล้ว จากนั้นไป พวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี เพราะพวกอธรรมเป็นพวกเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ส่วนรวม (หลังจากไฟล้างโลกแล้ว) โลกจะร้าง ไม่มีต้นหญ้ากอไม้ แม้แต่น้ำในมหาสมุทรก็ไม่มีไปครบ 1,000 ปี

หลังจากนั้นแล้วจะมีฝนใหญ่ตกลงในมนุษย์โลก แม่น้ำและมหาสมุทรจะเต็มไปด้วยน้ำ พื้นโลกและชุ่มชื้น ต้นหญ้าต้นไม้ จะเริ่มงอกงามขึ้นเป็นลำดับ จนโลกทั้งโลกกลายเป็นป่าไม้ หลังจากโลกที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นไม้ใบไม้นั้น ทิ้งระยะนาน 1 หมื่นปี สัตว์โลกเริ่มเกิด สัตว์และคนที่มาเกิดยุคต้นนั้นไม่ได้อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิด มาเกิดแบบอุปปาติกะ คือมาเกิดด้วยอำนาจกรรม คือเป็นตัวคนขึ้น จะยังไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ส่องแสง มีแสงสว่างเกิดจากอำนาจบุญของแต่ละคน

คือมีแสงสว่างออกจากตัวเองเป็นสำคัญ เรื่องอาหารนั้น ในระยะแรกยังไม่ต้องการอาหาร มีความอิ่มด้วยธรรมปีติ เพราะแต่ละคนที่มาเกิด ล้วนแล้วแต่มาจากเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ไม่มีสัตว์นรกหรือเปรตเจือปน โลกจึงเต็มไปด้วยความสุข หาความทุกข์ไม่ได้ นอกจากกฎธรรมดา คือความเสื่อมของสังขาร เรื่องการทะเลาะยื้อแย่งไม่มี คนทุกคนเป็นคนสวยหมด มีผิวขาวเหลือง เนื้อละเอียดทั้งหญิงและชาย มีแต่คนรวย ไม่มีคนจน มีแต่คนใจบุญ ไม่มีใครใจบาป

พระศรีอาริย์มาตรัส
เมื่อโลกมีมนุษย์ และสัตว์บริบูรณ์ มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์แล้ว ระยะเวลานับแต่มีสัตว์โลกเกิดในโลก เวลาล่วงมาได้ล้านปี คนสมัยนั้นมีอายุครองตนเองได้ 4 หมื่นปีเป็นอายุขัย ท่านว่าตอนนั้นพระศรีอาริย์จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า เขตที่ท่านลงมาตรัสสมัยปัจจุบันเรียกว่า เขตเมืองพม่า

คณะคอยพระศรีอาริย์
คนกลุ่มหนึ่งที่บำเพ็ญบารมีคอยพระศรีอาริย์ตามปฏิญญาที่ให้ไว้หลายพุทธสมัยนั้น ท่านหัวหน้าทรงพระนามว่า “โกสีห์” จะสร้างเมืองแถวด้านเหนือของเมืองพม่า เรียกว่า เชียงตุง ปัจจุบันให้ชื่อเมืองว่า สีหนคร รวบรวมลูกหลานทั้งหมดมาร่วมบำเพ็ญกุศล และเป็นอุปฐากใหญ่ของพระศาสนา ในที่สุดก็นิพพานทั้งตระกูล

ในศาสนาพระศรีอาริย์
เรื่องของพระศรีอาริย์นี้ เวลานี้ชักจะยุ่งมากทีเดียว เพราะไม่ว่าไปทางไหน ก็พบพระศรีอาริย์เกลื่อนไปหมด ที่โน่นก็พระศรีอาริย์ ที่นี่ก็พระศรีอาริย์ เล่นเอาชาวบ้านอานกันเป็นแถว เพราอยากเป็นบริวารพระศรีอาริย์ ส่วนพวกร้านค้าก็บอกว่า ระหว่างนี้เข้ายุคภาษีอาน ฟังแล้วคล้ายๆ กัน เขาเล่าว่า พวกเสมียนเก็บภาษี เมื่อเวลาเอาเงินไปให้ ทำหน้าเหมือนหมาถูกน้ำร้อน เก็บเพิ่มทุกปี ได้หรือไม่ได้ในการค้าฉันไม่ทราบ

แต่พ่อค้าแม่ค้าต้องเสียภาษีมากกว่าปีที่แล้วๆ ไม่อย่างนั้น เจ้านายจะไม่ให้เงินเดือนขึ้น แถมทำท่าเก๊กๆ เสียด้วย พ่อค้ามาเล่าให้ฟังว่า เจ้าพวกนี้ ถ้าเป็นพ่อค้าบ้าง มีหวังแย่งหมากิน คำนี้ได้รับฟังจากพ่อค้าใหญ่เมืองชัยนาท เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2512 นี้เอง มาพูดกันเรื่องพระศรีอาริย์กันดีกว่า เรื่องภาษีอานนั้นพูดไม่ออกแล้ว พอใจหรือไม่พอใจก็ต้องเสีย เป็นเรื่องของยุคทมิฬ ห้ามพูด เมื่อบ้านเมืองยุ่ง ทางกลุ่มศาสนาก็พลอยกลุ้ม

เพราะเมื่อมีความเดือดร้อน ชาวโลกก็อยากพบพระศรีอาริย์ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุข คราวนี้เองเป็นเหตุให้พระศรีอาริย์อวตาร หรือโงนเงนเหมือนต้นตาลลงมาก็ไม่ทราบ เกิดมีพระศรีอาริย์โผล่หน้ามาพร้อมกันหลายองค์ อยู่ตามถ้ำตามเขาบ้าง ตามกลุ่มชนในชนบทบ้าง ไม่รู้ว่าอวตารลงมาอย่างไรพร้อมกันในยุคเดียวกันตั้งหลายอาน บางรายก็สวดด่อน เขาว่าอย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาสวดกันอย่างไร บางรายเฉพาะที่เขาตะพาบ เมืองอุทัย เห็นสวดดะไม่ใช่สวดด่อน

ที่เมืองลพบุรีก็มี รายนั้นทำงานมงคล นิมนต์พระผีมาสวดเป็นแถว เห็นตั้งอาสนะไว้ แต่ไม่เห็นมีพระ มีคนเขาบอกว่าท่านนิมนต์หลวงพ่อศุข หลวงพ่อปาน หลวงพ่อแช่ม ฯลฯ และอีกหลายท่านให้มาสวดมนต์ ในงานยกธงธรรมจักร นิมนต์พระผีมานี่ ลดค่าครองชีพดีมาก ท่านสวดมนต์ก็เสียงไม่ดัง นั่งก็ไม่เปลืองที่ เลี้ยงอาหารก็ไม่เปลือง สบายใจดีแล เรื่องอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะโกหกกันเพื่อหวังลาภผลเท่านั้นเอง เอาอะไรเป็นจริงเป็นจังไม่ได้ ขึ้นไปบนสวรรค์ทีไร พบพระศรีอาริย์ทุกคราว แถมท่านบอกมาด้วยว่า ที่เขาเข้าทรงและว่าฉันไปนั้น ฉันไม่เคยไปเลย เรื่องก็จบกันเพียงนี้

ต่อไป มาพูดกันถึงศาสนาพระศรีอาริย์กันดีกว่า ท่านว่า ศาสนาของท่านนั้น มีผลดังนี้
1. คนสวยทุกคน มีผิวเหลือง เนื้อละเอียด คนแก่ที่สุดมีทรวดทรงเท่ากับคนอายุประมาณยี่สิบปีเศษสมัยนี้เท่านั้นเอง อายุคนสมัยนั้น ท่านว่ามีอายุถึง 4 หมื่นปีเป็นอายุขัย
2. สมัยของท่าน ไม่มีคนจน มีแต่คนรวย มีต้นไม้สารพัดนึกอยู่ในที่ทุกสถาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย มีจิตใจชั่วร้ายยังไม่มีโอกาสเกิดในสมัยของพระองค์ ท่านที่จะไปเกิดนั้น ต้องเป็นเทวดาหรือพรหมเท่านั้น โลกจึงมีแต่ความสุข ไม่มีตำรวจทหาร มีแต่พ่อบ้านแม่เรือน

3. การสัญจรไปมา ก็สะดวกสบาย ไปทางไหนก็พายตามน้ำ
4. คนเข้าถึงธรรมทุกคน ท่านว่าคนที่เจริญสมถะพอมีญาณ หรือมีวิปัสสนาญาณบ้างพอสมควร จะเข้าถึงธรรมาพิสมัยได้โดยฉับพลัน คือเป็นพระอริยเจ้า
คนที่ได้อริยต้นแล้ว จะเข้าถึงอรหัตผลได้โดยฉับพลัน

คนที่ทำบุญไว้น้อย คือฟังคาถาพันและปฏิบัติตามแต่ไม่สมบูรณ์ อย่างต่ำก็เข้าถึงสรณคมน์ อย่างสูงก็ได้อริยะ ที่เป็นอย่างนี้เป็นเพราะท่านบำเพ็ญบารมีถึง 16 อสงขัย กำไรแสนกัป ท่านบำเพ็ญบารมีมาก คนเลวจึงเข้าแทรกแซงในศาสนาของพระองค์ไม่ได้ น่าเกิดจริงนะ

เรื่องกระจุ๋มกระจิ๋มอย่างนี้ เขียนไว้ให้อ่านเล่น จริงหรือไม่จริง ไม่มีผลที่จะพิสูจน์ได้ด้วยตำรา ต้องอาศัยฌานและญาณช่วยจึงจะทราบผลแน่นอน ถ้ามีวิริยะอุตสาหะแล้ว ไม่ช้าก็พากันมีความรู้สึกที่จะพิสูจน์ได้ ฟังไว้แต่อย่าเชื่อ และอย่าเพิ่งปฏิเสธ จนกว่าเราจะมีฌานและญาณพอจะพิสูจน์ได้ สำหรับเรื่องขอยุติเท่านี้ วันหน้าถ้ามีเวลาพอ จะเอาเรื่องโลกเกิดมาเขียนให้อ่านเล่น

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 20/10/12 at 13:58 [ QUOTE ]


149

ประวัติในชาติอดีต


บรรยายโดย


สมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระพุทธสิกขีทศพล

เรื่องนี้อยู่ "บันทึกพิเศษ" ของพระชัยวัฒน์ อชิโต ได้รับมอบมาจากคุณเฉิดศรี (อ๋อย)



รับฟังมา เวลา 4.30 น. วันที่ 24 ธันวาคม 2511
ในวาระแรกได้ทูลถามถึงประวัติการตั้งโลก ท่านทรงตรัสว่า เป็นเรื่องอจินไตย ไม่ควรคิด รู้แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ ไร้เหตุผลในการบรรลุ ฉันบอกได้ แต่บอกแล้วเอาอะไรเป็นส่วนที่จะบรรลุมรรคผลไม่ได้ จะรู้ไปให้หนักสมองทำไม ต่อมา ได้ถามถึงมนุษย์ที่เริ่มเกิดเป็นระดับแรกว่า ใครเป็นคนบันดาลให้มนุษย์เกิด พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์

แล้วทรงตรัสว่า นี่เธอจะคลั่งพระเจ้ากับเขาแล้วซิ ใครที่ไหนจะมาสร้าง ถ้ามีผู้สร้างมนุษย์แล้ว เจ้าคนที่สร้างโลกสร้างมนุษย์นั้น มันเกิดมาจากอะไร จึงมาสร้างโลกสร้างมนุษย์ได้ มนุษย์ไม่มีใครสร้าง ร่างกายของสัตว์และมนุษย์เกิดจากอณูน้อยๆ ที่รวมตัวกันเข้า วิญญาณนั้นเป็นธาตุอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า วิญญาณธาตุ มีการเกิดขึ้นได้ และไม่มีการสลายตัว คำว่าวิญญาณในที่นี้หมายถึงจิต เป็นธาตุพิเศษที่เกิดจากการรวมตัวของอณูพิเศษ

ที่มีความรู้ความเคลื่อนไหวรวดเร็ว เธออย่ารู้มากกว่านี้เลย ไม่มีอะไรเป็นคุณ พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ลูกเขาอยากรู้ประวัติเดิม ก็บอกเขา พอรู้เค้าเล็กๆ น้อยๆ เพียงสองสามชาติ เขาจะได้รู้ว่า เขาสร้างความดีเด่นไว้ในชาติก่อนมามากเพียงใด เขาจึงเข้าถึงธรรมได้ในชาตินี้ได้อย่างรวดเร็ว บอกเขาว่า เอาแต่บางชาติ รู้ทุกชาติไม่ไหว เพราะหลายร้อยแสนชาตินัก ฟังกันจนสิ้นอายุก็ไม่จบ ฉันจะเริ่มเล่าถึงต้นตอแห่งการปฏิบัติความดีในพระพุทธศาสนาทีเดียว คอยฟังและเขียนตามฉันบอกต่อไปนี้

จงนับถอยหลังจากชาตินี้ไป ขึ้นต้นด้วยเลข 5 แล้วเพิ่ม 0 อีก 50 ศูนย์ เป็นจำนวนเท่าไรกันก็นับเอาเอง สมัยนั้นเป็นสมัยที่ฉันเกิดเป็นมนุษย์ แต่คงไม่ได้เกิดเป็นวาระแรก เป็นชาติที่เกิดได้พบพระพุทธเจ้าครั้งแรกในชีวิต ฉันเป็นพ่อบ้าน ชื่อว่า “ปการัง” มีแม่บ้านชื่อ “ปการันยา” คือแม่ศรี แม่ศรีนี่แกแต่งงานมากับฉันเกือบทุกชาติ เว้นบางชาติที่แกไม่มาจากสวรรค์ สมัยที่ฉันมาเกิดตอนปลายสมัยนี้

คือก่อนพุทธกาลคราวหนึ่งและชาตินี้อีกชาติหนึ่งเท่านั้นที่ไม่ได้ร่วมเกิดร่วมอยู่ด้วยกัน ฉันมีลูก 4 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 2 คน ลูกชายคนโตชื่อ “สิมารันต์” ลูกชายคนรองชื่อ “สิรันตะ” บุตรสาวคนโตชื่อ “สีมา” (นนทา) ลูกสาวคนสุดท้องชื่อ “วรัญญา” (ตุ๋ย) เมืองที่เกิดชื่อเมือง “สีมาบุรี” เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่เหนือเชียงตุงปัจจุบัน ไกลจากที่ตั้งตัวเมืองสมัยนี้ประมาณ 14 กิโลครึ่ง บ้านเมืองสมัยนั้นเป็นอาคารที่สร้างเป็นรูปตึก

เครื่องแต่งกายส่วนใหญ่นิยมผ้ากำพลสีแดง ส่วนหญิงนิยมใช้สีทองเป็นพื้น ผิวเนื้อเป็นชนชาติผิวเหลือง ประเพณีนิยมมีความประพฤติอ่อนน้อม ละเมียดละมัย เครื่องแต่งกายนิยมทองกับเพชร ที่เรียกว่าแก้ว 7 ประการ เครื่องนุ่งห่ม หญิงนิยมนุ่งถุงแบบไทยเดิม ยามท่องเที่ยวนิยมให้กางเกงขาเรียวแบบกางเกงทหารม้า ตอนท่อนขาปักดิ้น ขอบล่างของกางเกงมีเป็นพู่ห้อย หรือดิ้นที่ทำเป็นพู่ ดูตามสภาพสวยงามมาก ชายส่วนใหญ่ใช้ผ้าโพกศีรษะเป็นผ้าแพรและผ้ากำพล

สีที่นิยมใช้ ชายนิยมสีแดงเลือดนกเป็นผ้าโพก หญิงไม่ใช้ผ้าโพก แต่ใช้ผ้ารัดผม หรือเกล้าผมเป็นมวย ชายตัดผมแบบทรงกระทุ่ม ไม่ใช่ทรงมหาดไทย อุปนิสัยใจคอของคนสมัยนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีความเมตตาอารีมาก ไม่มีใครใจร้ายเหมือนสมัยนี้ ทรัพย์สินส่วนใหญ่หากินง่าย สะดวกสบาย เพราะอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรนานาประการ

อาชีพ
อาชีพของฉันสมัยนั้น ฉันเป็นนายช่างแกะสลักทุกประเภท เช่น ช่างแกะสลักไม้ งา กระดูก หิน โลหะทุกชนิด และเครื่องเงินทองทุกอย่าง

ฐานะ
ฐานะในสมัยนั้น จัดว่าอยู่ในขั้นเศรษฐี ตำแหน่งเป็นหัวหน้าเผ่า หรือพ่อเมือง แต่เป็นเมืองเล็ก ขนาดอำเภอหนึ่งสมัยนี้ การปกคอรงไม่ใช่ปกครองแบบราชาครองราชย์ เป็นการปกครองแบบกันเอง แบบพ่อบ้าน บริวารมีประจำสำนักเกินกว่า 200 คน ไม่มีทหาร มีแต่คนช่วยทำงาน

เมื่อมีเรื่องเดือดร้อน มีคนเผ่าอื่นมารบกวน ก็รวมกันป้องกัน หรือขับไล่ศัตรูโดยร่วมกันคิด ร่วมกันกำจัด แบบประชาธิปไตยสมัยนี้ แต่นักประชาธิปไตยสมัยนี้ ดำรงตนเป็นเจ้านายและเอาเปรียบลูกน้องมากกว่าฉัน ฉันถือเป็นกันเอง และไม่เคยเอาเปรียบใคร ไม่เคยเห็นว่าใครเป็นลูกน้องฉัน ฉันถือว่าทุกคนเป็นเพื่อนเสมอฉัน ฉะนั้น งานภายในและภายนอกของฉันจึงเป็นไปด้วยดี การค้าของที่ผลิตขึ้น ค้าทั้งภายในและนอกประเทศ การค้าต่างประเทศใช้เกวียนและช้างเป็นพาหนะ

กิจของลูก
ลูกชายทั้งสองเก่งในงานทุกประเภท แทนฉันได้ดี ส่วนใหญ่เขาเป็นผู้ควบคุมกองเกวียนและกองช้าง เพื่อนำของที่ผลิตขึ้นไปขายต่างประเทศ เป็นเหตุให้ฉันมีฐานะร่ำรวยมาก คนในแคว้นก็ร่ำรวยมาก ต่อมาฉันทำบ้านฉันมีพื้นห้องรับแขกปูด้วยทองคำทั้งพื้น เสาห้องรับแขกประดับด้วยแก้ว (เพชร) และมุก ลูกหญิงสองคนมีหน้าที่ต่างกันตามความสามารถ สีมา (นนทา) เก่งในงานผลิตทุกอย่าง ควบคุมคนงานทุกประเภทแทนฉันทุกอย่าง เป็นใหญ่ในกิจการของโรงงานเพราะคล่องงานมาก ส่วนวรัญญา (ตุ๋ย) แกไม่ถนัดในงานผลิต แต่ถนัดในงานหน้าบ้าน คืองานรับแขกและค้าของที่มีคนมาติดต่อ

พระพุทธเจ้ามาโปรด
สมัยนั้น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระพุทธสิกขี ทรงอุบัติขึ้นในโลก ทรงเที่ยวแสดงพระธรรมโปรดอยู่ในแคว้นชมพูทวีป (พระพุทธเจ้าอุบัติทุกพระองค์เฉพาะชมพูทวีปเท่านั้น) ชมพูทวีป หมายถึงแคว้นอินเดีย พม่า ไทย ญวน ลาว เขมร ถิ่นนี้รวมเรียกว่า ชมพูทวีป ท่านกล่าวตามตำนานว่า สมัยเดิมมีต้นชมพู (ต้นหว้า) ขนาดโคตรต้นไม้ประจำทวีป เดี๋ยวนี้คงเป็นขี้เถ้าไปแล้ว ท่านได้มาโปรดจนถึงสำนัก มาพร้อมกับพระสงฆ์สาวกประมาณ 2 หมื่นองค์

สีมารันต์บวช
การมาของพระพุทธเจ้าในแคว้นนี้เป็นของใหม่ที่สุด เพราะไม่เคยมีข่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสขึ้นในโลกเลย ก่อนพบพระพุทธเจ้าก็ปฏิบัติตามคำสอนของคณาจารย์ประจำถิ่น ปกติก็รักษาศีลห้าเป็นปกติ ให้ทานเป็นกิจประจำวัน มีเมตตาเป็นปุเรจาริกอยู่เป็นปกติแล้ว เมื่อพ่อค้าคือสีมารันต์ได้มาแจ้งว่า มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก ทุกคนในบ้านอยากเห็นพระพุทธเจ้าเป็นกำลัง เกือบจะยกขบวนไปหาท่านอยู่แล้ว

พอดีท่านเสด็จมาเอง มาโดยอากาศ (เหาะ) เป็นเหตุให้เลื่อมใสในพระมหากรุณาธิคุณเกินกว่าที่คิดไว้ ท่านมาฉันให้พักที่บ้าน ควรเรียกว่า ราชฐาน เพราะมีที่พักพอพระสองหมื่นรูปได้อย่างสบาย พักที่สวนสาละวัน (สวนไม้รัง) เป็นสวนพิเศษ สำหรับลูกหญิงเที่ยวพักผ่อน ไม่สาธารณะแก่คนภายนอก ท่านพักอยู่หนึ่งเดือน ฉันและลูกเมียไปเฝ้าเลี้ยงและฟังเทศน์ทุกวันเป็นประจำ คนมากด้วยกันได้สำเร็จอรหันต์

ฉันปรารถนาพระโพธิญาณ แม่ศรี ลูกนนทา ลูกตุ๋ย ปรารถนาติดตามเป็นคู่บารมี คือจะขอร่วมสนับสนุนจนถึงพระโพธิญาณ ส่วนลูกชายคนโต สีมารันต์ ฟังเทศน์วาระที่สองได้บรรลุอรหันต์ ขอบวชในพระพุทธศาสนา ลูกชายคนที่สองคือสีรันตะ ก็ขอบวชแต่ได้มรรคผลเพียงพระโสดาบัน ต่อมาชาติที่ 2 เมื่อพบพระพุทธเจ้าชื่อเวสสภู จึงได้สำเร็จอรหันต์

เมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือน พระพุทธเจ้าทรงลาไปโปรดที่อื่น ฉันนิมนต์ท่านขอให้มาโปรดอีก ท่านรับคำ ต่อมาอีกสองปีเศษท่านกลับมาใหม่ คราวนี้ฉันพอรู้ข่าวว่าท่านมา ฉันไปรอรับพระองค์ที่ชายแดน เอาผ้าขาวปูตั้งแต่ชายแดนจนถึงสวนสาละวัน เพื่อให้พระพุทธองค์พร้อมกับพระสาวกเดิน แล้วทอดกายเป็นสะพานเพื่อให้พระทั้งหมดเดินบนตัวฉัน เป็นสะพานข้ามลำรางเล็กๆ ทุกแห่งที่มีรางเล็กๆ เมื่อพระมาถึงสวนสาละวันแล้ว ฉันได้ปวารณาตัวเป็นอุปถัมภกพระพุทธศาสนา

ส่วนสามแม่ลูกก็ปวารณาตัวเป็นอุปถัมภกพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน ทั้งสามได้ถอดเครื่องประดับกายทั้งหมด มีมูลค่าหลายล้านบาท ถวายเป็นพุทธบูชาแล้วอธิษฐานว่า ด้วยเดชะบารมีเป็นที่พึ่ง ด้วยเหตุที่หม่อมฉันทั้งหลายถวายเครื่องประดับกาย อันเป็นที่รักยิ่งของหม่อมฉันนี้บูชาพระรัตนตรัย ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้หม่อมฉันทั้งสามคน จงเป็นผู้ไม่ยากจนขัดสนนับตั้งแต่ชาตินี้ไป จนถึงกาลเข้าสู่พระนิพพานเถิด

โอกาสใดที่หม่อมฉันได้เกิดพบพระพุทธเจ้า ขอให้หม่อมฉันทั้งสาม จงมีโอกาสได้บำรุงพระในพระพุทธศาสนา โดยไม่ขาดแคลนขัดสนยากจนในทรัพย์สินเถิด เมื่อสามแม่ลูกกล่าวอธิษฐานจบ พระพุทธองค์ก็ทรงตรวจดูด้วยพระพุทธญาณ แล้วพยากรณ์ว่า นับแต่นี้ไปอีกแสนกัลป์เธอทั้งสามจะได้มีโอกาสได้อุปถัมภ์พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์สองแสนองค์ตลอดชีวิต

พระพุทธเจ้าองค์นั้นมีพระนามว่า พระศรีอาริย์เมตไตยพระองค์ทรงอุบัติขึ้นในโลก ภายใต้ต้นไม้กากะทิง ในแคว้นชมพูทวีป และทุกคนจะได้มรรคผลถึงพระนิพพานในชาตินั้นพร้อมกันทั้งหมด ก่อนถึงกาลนั้น เธอทั้งสามจะไม่ยากจนขัดสนจนถึงกับคำว่าทุกขตะ จะมีขัดข้องบ้างตามกรรม แต่ก็เอาตัวรอดได้ ในที่สุดก็เอาตัวรอดได้ในที่สุด นี่เป็นพุทธพยากรณ์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสให้ฟัง

ตายจากชาตินั้น
เมื่อตายจากชาตินั้น ทุกคนไปเกิดเป็นเทวดาบนชั้นดาวดึงส์ด้วยกันทั้งหมด ฉันเป็นเทวดาชื่อว่า เกษี ปการันยาเป็นนางฟ้าชื่อศรีธรรมา สีมาเป็นนางฟ้าชื่อว่าสิริมา วรัญญาเป็นนางฟ้าชื่อว่ากุลที ต่างก็มีวิมานแก้ว 7 ประการคนละหลัง มีสวนสวรรค์ มีสระโบกขรณี บริวารมากมาย มีความสุขในสวรรค์ตามกำหนดที่บุญกำหนด คือนานหลายกัลป์ จนเมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก จึงลงมาเกิดในแคว้นกาสี ในเขตอินเดียปัจจุบัน แต่สมัยนั้นไม่ใช่แขกอินเดีย ถึงเอาสถานที่เกิดในที่ตรงนั้นเป็นสำคัญ

สมัยนั้นแคว้นนั้นชื่อว่าแคว้นปรันตะ เป็นแคว้นที่มั่งคั่งสมบูรณ์มาก ตระกูลที่มาเกิดเป็นตระกูลของพ่อแคว้น บิดาของฉันท่านชื่อปรันตะ เป็นพ่อแคว้น มารดาฉันชื่อฉันทนา ฉันชื่ออินทระ เป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่ ความสามารถพิเศษของฉันในสมัยนั้นก็คือ การรบบนหลังม้า หลังช้าง ชำนาญอาวุธทุกชนิด ที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดก็คือ รบด้วยดาบสองมือ ยิงธนูทีเดียว 4 ดอก และขว้างมีดเป็นวิชารบที่ชำนาญมากเป็นพิเศษ วิชาชีพที่ชำนาญก็คือวิชาแกะสลัก เป็นอันว่า วิชาเดิมแต่ชาติก่อนติดตามมา

แม่ศรีมาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีใหญ่ในแคว้นนั้น สิรันตะ ที่แยกตัวไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เพราะท่านบรรลุพระโสดาบัน ก็กลับลงมาเกิดร่วมด้วย กลับมาเป็นลูกตามเดิม แม่ศรีสมัยนั้นมีชื่อว่า สิริกัลยา สีมามาเกิดชื่อว่า วาสนา วรัญญามาเกิดมีชื่อว่า กัลยา สมัยนี้รุ่งเรืองมาก เพราะมีอำนาจในการปกครองมาก มีเมืองขึ้นหลายสิบเมือง เรื่องการรบพุ่งกัน ก่อนที่จะพบพระพุทธเจ้าเป็นของธรรมดา ศึกสงครามพบกันเป็นปกติ เราไม่ไปตีเขา เขาก็มาตีเรา ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมีการซักซ้อมกันเป็นปกติ

และเพราะเรื่องการรบพุ่งกันนี่แหละมันเป็นต้นเหตุของกรรม ที่ทำให้ฉันป่วยไข้ ต้องย้ายสถานที่อยู่เสมอ เพราะกรรมที่ทำให้คนเจ็บ คนตาย ย้ายที่อยู่ ทั้งนี้เพราะสมัยนั้น ถ้าออกรบแล้วเรื่องคำว่าแพ้ไม่ปรากฏ ส่วนใหญ่ข้าศึกเสียเปรียบด้านกลยุทธ คือการวางแผนรบแบบซ้อนกล ท่านพ่อก็คือพระอินทร์องค์ปัจจุบัน ท่านทรงธรรมมาแต่เดิม เรื่องการสงครามท่านไม่ใคร่ชอบ ท่านมักจะพูดว่า เขาจะเอาอะไรก็ให้เขา

แต่ท่านแม่ฉันท่านไม่ยอม โดยเฉพาะแม่ศรีแล้ว เรื่องการรบแกเป็นหัวเรือใหญ่จริงๆ เก่งในเพลงอาวุธหลายอย่าง การยิงธนูคราวละสามสี่ดอกพร้อมกัน เพื่อให้ถูกจุดหมายดอกละจุด แกเก่งมาก เมื่อมีสงคราม แกออกสงครามคู่กับฉันทุกคราว เวลาออกรบ แกแต่งตัวเป็นชาย ชอบใช้ชุดสีเหลือง โพกผ้าเหลือง สะพายดาบคู่ หอกซัด ธนูคู่ชีพ และมีดสั้น อาวุธประเภทนี้แกเก่งมาก กำลังในการรบก็เก่ง ชายสองสามคนล้อมแก แกก็จัดการเสียสิ้นไปในชั่วครู่

แกเคยถูกล้อมกรอบบ่อยๆ แต่ไม่ทันเหนื่อย เจ้าพวกนั้นก็เป็นเหยื่อคมดาบของแกสิ้น ครั้งหนึ่ง ฉันกำลังรบกับข้าศึกที่ท้ารบตัวต่อตัว ข้าศึกเล่นไม่ซื่อลอบยิงธนูมาทางหลัง หวังสังหารฉัน แม่ศรีแกยิงธนูสามดอกสวนลูกธนูของข้าศึก ดอกหนึ่งถูกลูกธนูของข้าศึกหัก เป็นการตัดอาวุธที่มาทำลายชีวิต อีกดอกหนึ่งถูกตัวคนยิงตาย อีกดอกหนึ่งถูกคู่รบกับฉันตาย รวมความว่า แกยิงคราวเดียวได้ผลสามอย่าง คนที่รบกับฉันเป็นแม่ทัพ

เมื่อแม่ทัพตายก็เป็นอันเสร็จศึก ชาตินี้เป็นชาติสงครามจริงๆ ลูกที่ร่วมสงครามก็คือ วาสนา ที่ชอบการรบ ฝึกหัดเพลงอาวุธกับแม่ทุกอย่าง และมีความชำนาญมากเท่าๆ แม่ สำหรับกัลยา แกไม่ถนัดการออกรบ แต่เป็นผู้ร่วมวางแผนกับท่านย่า เพราะเมื่อมีสงครามมาคราวใด ท่านย่าเสด็จเป็นจอมทัพทุกคราว สำหรับท่านปู่ ท่านมั่นในธรรมมาก ท่านย่าจึงรับมือแทน

และสำหรับลูกชายลืมบอกชื่อไป แกชื่อ อินทราชัย แกเป็นพระโสดาบันมาก่อน จึงไม่นิยมการรบ ให้รับหน้าที่ดูแลสุขทุกข์ของราษฎร แกทำงานได้ดี เป็นที่รักของชนทั่วไป ด้านนี้แกเรียกความนิยมได้มากทีเดียว ไม่ว่าจะมีอะไรเป็นทุกข์เกิดขึ้นแก่พลเมือง แกออกไปเยี่ยมด้วยตนเองเป็นปกติ จนประชาชนเรียกแกว่าพ่อเหนือหัว ก็สมแล้ว เพราะแกเป็นพระโสดาบันมาก่อน

กรรมที่ทำให้ลำบากชาตินี้
กรรมที่ทำให้ลำบากมาหลายชาติก็อาศัยสงครามเป็นเหตุ ครั้งหนึ่งมีประเทศราชแข็งเมืองพร้อมกัน 7 ประเทศ แต่เขาประกาศแข็งเมืองประเทศเดียว จึงยกทัพไปปราบ แต่พอกองทัพออกจากเมือง ก็ถูกอีกหกประเทศยกกองทัพเข้าประชิดเขตเมือง หวังจะทำลายเมืองเป็นการโค่นราก คราวนี้เองที่ต้องสร้างกรรมหนัก ได้จัดกองทัพที่มีจำนวนจำกัดออกเป็นสามกอง กองหนึ่งกลับมารับมือกับพวกขบถ อีกกองหนึ่งปลอมเป็นพวกร่วมแข็งเมือง อีกกองหนึ่งทำทีเหมือนจะไปตีพวกที่แข็งเมืองที่ประกาศตัว

แต่ความจริงแล้วกลับมาซุ่มอยู่ชายแดน ทัพที่เข้ามารับมือนั้น มีอาทรเป็นแม่ทัพ ฉันเป็นทัพซุ่ม ทัพแข็งเมืองปลอมมีมหารามาเป็นพระเจ้าอาเป็นผู้นำ ทัพต่อทัพเข้าปะทะกันพอควร อาทรก็รบแบบสู้พลางถอยพลาง พวกแข็งเมืองปลอมก็ร่วมมือกับข้าศึกช่วยตีขนาบ พอได้ระยะที่ตั้งกลลวง ทหารทั้งสามหน่วยก็ยิงธนูไฟเผาข้าศึก ใครหนีไฟออกมาก็ถูกธนูยิงกราด ถ้าเข้าระยะประชิดได้ก็โดนขนาบด้วยการบุก คราวนี้เองที่เป็นกรรมหนัก คนล้มตายมากมายจนสลดใจ การรบคราวนี้ออกสงครามกันหมด ท่านปู่ที่เป็นนักพรตก็ต้องออกเป็นจอมทัพ

เว้นไว้แต่อินทราชัยเท่านั้นที่ไม่ให้ออกรบ เพราะแกเป็นพ่อเมืองฝ่ายบุ๋น ท่านย่าก็แสดงฝีมือยิงธนูให้เห็นว่าคนแก่ก็สามารถ ปกติแกเป็นคนพูดน้อย ยิ้มเสมอ แต่ยามสงครามเด็ดขาดน่าใจหาย ใครผิดคำสั่งนิดเดียว ก็หมายถึงต้องไปอยู่เมืองผี แกบอกว่าวินัยต้องเป็นวินัย ไม่มีอะไรที่จะผ่อนผัน เมื่อท่านย่าว่าอย่างนั้น ท่านปู่ก็ยิ้มพยักหน้า แต่ไม่ขัดคอ กรรมนี้ ขณะเขียนเห็นภาพแล้วรู้สึกเศร้าใจมาก คนที่ต้องมาพลอยตายเพราะหัวหน้าแคว้นสองสามคนนั้นมีจำนวนนับยาก เพราะทหารทั้ง 7 เมืองที่แข็งเมือง มีจำนวนที่เหลือกลับไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ น่าอนาถใจมาก

พระพุทธเจ้ามาโปรด
เมื่อเสร็จศึกคราวใด พวกเราต่างก็ทำบุญสนองบาป หมายถึงทำบุญเพื่อลบล้างกรรม ขณะนั้นมีแต่พราหมณ์ ไม่มีพระในเมือง จึงเริ่มจัดโรงทานเป็นการใหญ่ บูชายันต์ที่พราหมณ์ให้ฆ่าสัตว์ ท่านปู่ไม่โปรด โปรดแต่การให้ทานเป็นการสงเคราะห์ ท่านว่าพราหมณ์เป็นพวกจัญไร ทำบุญอะไรต้องฆ่าสัตว์ ก็เห็นจะจริงของท่าน

เพราะจะให้ดีแต่เบียดเบียนคนอื่น การให้ทานคราวนั้นให้หมด แม้แต่ประเทศที่แพ้สงคราม ท่านว่าพลเมืองไม่รู้เรื่องด้วย เป็นเพราะหัวหน้าไม่กี่คนที่เป็นคนคิด พวกพ่อเมืองที่คิดแข็งเมืองถูกประหารชีวิตหมด เมืองที่ประกาศลวงเป็นเมืองแรกนั้น พ่อเมืองหนีออกจากเมืองไป จึงปลอดภัยจากการถูกฆ่า วีรกรรมคราวนี้ น่าสลาดใจเหลือเกิน โลกชมว่าดีแต่ฉันเศร้าใจมาก สงสารคนที่มาตายเพราะคนมักใหญ่ใฝ่สูงสองสามคน

เพราะท่านปู่ท่านนิยมให้ทานนี่เอง วันหนึ่งในขณะที่กำลังแจกของเพื่อสงเคราะห์ประชาชนในแคว้นเมืองขึ้น มีเสนาบดีเขาบอกว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด พวกเราแปลกใจ เพราะไม่เคยรู้เลยว่า พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร คิดว่าเป็นเทวดา ถามเขาว่า ท่านมาจากวิมานชั้นไหน? เขาบอกว่า ไม่ใช่เทวดา แต่เป็นพระพุทธเจ้า เขาเองก็ยังไม่เห็นตัวเหมือนกัน เขาบอกว่า นายประตูเมืองเข้ามาแจ้งว่า พระพุทธเจ้าขอเข้ามาโปรดในเมือง ท่านปู่ท่านอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร จึงอนุญาตให้เข้ามาได้

แต่เสนาบดีเขาบอกว่าต้องออกไปรับ จึงพร้อมกันออกไปรับ ที่ไปไม่ใช่เลื่อมใส ไปเพราะอยากรู้ว่า พระพุทธเจ้ามีรูปร่างอย่างไรมากกว่า ออกไปเป็นกองเกียรติยศใหญ่เพราะกษัตริย์เสด็จหมดตระกูล พร้อมด้วยพลสี่เหล่า เป็นขบวนใหญ่และสวยงามมากจริงๆ ฝ่ายในแต่งกายด้วยเครื่องประดับเต็มอัตรา มองดูแล้วคล้ายกับจะขนเครื่องทองเครื่องเพชรไปขาย พอไปถึงท่าน เห็นท่านเป็นมนุษย์ธรรมดา ห่มผ้าสีย้อมฝาด ศีรษะโกน นั่งสงบเสงี่ยม แต่องค์พระพุทธเจ้ามีรัศมีออกจากกาย สวยงามมาก

พอไปถึง ท่านปู่ก็นำถวายนมัสการ การกราบไหว้นี้มีมานานแล้ว เมื่อทุกคนกราบหมด พระองค์ก็เริ่มแสดงปาฏิหาริย์ คือนั่งอยู่อย่างนั้น แต่ท่านและพระทุกองค์ค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือพื้นที่นั่งจนสูงเท่ายอดตาล แล้วลอยลงมานั่งที่เดิม พวกเราแปลกใจมาก กราบกันเป็นการใหญ่ ไม่รู้ว่าเท่าไร ยายตุ๋ยแกมีอะไรแปลกกว่าคนอื่น แกกราบแล้วแกแหงนหน้ามองแล้วก็กราบน้ำตาแกไหลเพราะปลื้มใจ เมื่อพระองค์พร้อมด้วยพระสาวกนั่งที่เดิม ก็ทรงเริ่มเทศน์คือพูดให้ฟัง ไม่ใช่เทศน์แบบปัจจุบัน คือพูดเอาคนเดียว ท่านเริ่มต้นด้วยคำว่า

การชนะ ที่ต้องทำสงครามแล้วชนะด้วยการยุทธ ไม่ใช่การชนะเด็ดขาด เราชนะเพราะมีปัญญาเหนือกว่า มีกำลังมากกว่า แต่ทว่าเมื่อไรปัญญาทรามลง หรือกำลังน้อยกว่าเขา เราอาจแพ้ได้ มีความชนะอีกแบบหนึ่งที่ชนะแล้วไม่กลับแพ้ ถึงตอนนี้พวกเราสนใจมาก ท่านเทศน์ต่อไปว่า การชนะที่ไม่มีการแพ้ ก็คือชนะใจ ด้วยมีจิตเมตตาเป็นปุเรจาริก คำว่าปุเรจาริก หมายความว่า มีเมตตาเป็นเบื้องหน้า คืออารมณ์ตั้งอยู่ในเมตตาเป็นปกติ ธรรมอย่างนี้พระองค์และพระประยูรญาติทรงอยู่แล้วเป็นปกติ คำว่าพระองค์ ท่านหมายเอาท่านปู่ แต่กรรมบางอย่างบังคับจึงต้องทำสงคราม

กรรมนั้นก็คือยึดเมืองอื่นมาเป็นเมืองขึ้น ถ้าปลดปล่อยเมืองขึ้นให้เป็นอิสระแล้วทรงอยู่ในธรรม จะเริ่มได้ชัยชนะเป็นอันดับแรก ต่อไปเผื่อแผ่แจกผลประโยชน์ที่ได้มาเป็นการสงเคราะห์คนจนจะเป็นชัยชนะระดับที่สอง และถ้าชนะใจด้วยการตั้งอยู่ในศีลห้าเป็นปกติ (ท่านเทศน์ศีลห้าตามที่เรารู้แล้วในขณะนี้) จะเป็นชัยชนะระดับที่สาม และถ้าทำลายนิวรณ์ห้าได้จะเป็นชัยชนะระดับที่สี่ ถ้าปลงสังขารเห็นว่าขันธ์ห้าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มีทุกข์ มีโทษ เพราะเกิดแล้วต้องแก่ ต้องป่วยไข้ ต้องมีอารมณ์มืดมน เพราะคนอื่นทำให้มืดมน แล้วก็ตายในที่สุด ตัดความยึดมั่นในสังขารเสีย จะเป็นชัยชนะเด็ดขาดไม่มีทางแพ้อีก

อินทราชัยได้อรหันต์
พอท่านเทศน์จบ อินทราชัยก็สำเร็จพระอรหันต์ ขอบวชในพระพุทธศาสนา ท่านปู่ ฉัน และนักรบทั้งหมด ถอดอาวุธคู่มือถวายเป็นพุทธบูชา ท่านย่า แม่ศรี นนทา ตุ๋ย ถอดเครื่องประดับกายทั้งหมด ถวายเป็นพุทธบูชา ท่านปู่ประกาศให้อิสรภาพแก่เมืองขึ้นทั้งหมดในขณะนั้น ประกาศให้ราชาประเทศราชประชุมในวันต่อมาให้เอกราชและประทานทรัพย์สินมากมาย เกินกว่า 500 เล่มเกวียน

ของอย่างอื่นรวมทั้งข้าวปลาอาหารอีกมากมาย ราชาทุกองค์ขอมอบตัวเป็นข้าช่วงใช้ตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่เคยมีศึกประชิดเมือง เมื่อมีข่าวว่าจะมีศึก พวกเมืองที่ปลดปล่อยเขาก็ช่วยกันจัดการปราบปรามเสียเอง อยู่กันอย่างเป็นสุขตลอดชีวิต เป็นการชนะที่ไม่รู้จักแพ้จริงๆ เมื่อถวายอาวุธและเครื่องประดับและอินทราชัยบวชแล้ว ได้จัดสถานชั่วคราวถวายเป็นที่อยู่ของพระ ท่านปู่ได้บัญชาให้สร้างวิหารถวายสงฆ์ พระประมาณสี่แสนองค์อยู่สบาย แต่ท่านมากันสองแสนเป็นปกติ ที่อยู่จึงกว้างขวางสุขสบายมาก

ท่านย่าและลูกสะใภ้ หลานสาว ไปวิหารฟังเทศน์กันทุกวัน ไม่มีวันใดที่ไม่เคยไปวิหาร พระเห็นท่านสี่หญิงเข้าวัด พระก็ดีใจว่าวันนี้สี่โยมมีอะไรมาให้ฉันอีกแล้ว แม่ศรีกับยายตุ๋ยเป็นนักตกแต่งเครื่องประดับกุฏิพระ ตอนนี้ว่างจัดประดับวังไปได้ ไม่อย่างนั้นแกมีเรื่องจัดวังทุกวัน ไม่รู้ว่าแกจะเอาอย่างไรของแก ส่วนนนทานั้นไม่จุกจิกเรื่องเครื่องประดับ แต่ชอบควบคุมเรื่องอาหารถวายพระ ตรวจตราอาหารเป็นประจำวัน พระมาพักคราวละหนึ่งเดือน ได้ฟังธรรมเป็นปกติ เพราะอาศัยพระพุทธคุณแท้ๆ บ้างเมืองจึงอยู่เป็นสุข

พระพุทธพยากรณ์
สมัยนี้ได้รับพระพุทธพยากรณ์ว่า ท่านพ่อเมือง แม่เมือง หลานสาวเมือง จะเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ สมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ศรีอาริย์เมตไตย จะเป็นผู้อุปถัมภ์พระศาสนา และได้สำเร็จมรรคผลเข้าถึงนิพพานทั่วกันทุกคน เว้นไว้แต่ฉัน ถ้าไม่ละพุทธภูมิ จะได้เป็นพระพุทธเจ้ามีนามว่าพระพุทธอริยมุนี ต่อจากพระศรีอาริย์ ไปเป็นองค์ที่ 20 แต่สงสัยว่าจะคลายตัวเสียตั้งแต่สมัยพระสมณโคดม

ถ้าคลายตัวตอนนั้น ก็จะเป็นกำลังใหญ่ของลูกหลาน ให้เข้าถึงธรรมได้อย่างแน่นแฟ้น มีธรรมาพิสมัย (โสดาบัน) เป็นต้นทั่วกันทุกคน เพราะผลที่ตนบรรลุละอัตตภาพ เมื่อตายจากชาตินั้น ทุกคนไปเกิดรวมกันในชั้นดุสิตทั้งหมด เรื่องที่เล่ามาทั้งหมด เป็นพระพุทธพจน์ของพระพุทธสิกขี ทรงประทานพระโอวาทมาอีกตอนหนึ่ง ไม่ใช่ระลึกชาติเอง

จบบันทึกพิเศษของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเพียงเท่านี้ ต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องหลวงพ่อของเราต่อนะครับ

วิธีหาทองของคนไทยโบราณ
ดินแดนสุวรรณภูมินี้ มีทองมากมายมหาศาลมาแต่โบราณกาล ดังจะเห็นได้จากหลักฐานการสร้างพระพุทธรูปทองคำหนักหลายตันในสมัยสุโขทัย วิธีหาทองในสมัยบารณ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเล่าว่า

“คนไทยในสมัยนั้น ลาดในการหาทอง ดูพื้นดินที่มีสีอรุณ จะเป็นดินแข็งดินร่วนก็ตาม (ดินสีอรุณมี 2 อย่าง แบบขุยปู กับแบบดินร่วน ดินแบบขุยปูนี่ไม่มีทองคำ แบบดินร่วนจึงมี) ดินสีอรุณปนดำมีเกล็ดอะไรระยิบระยับหน่อยๆ เป็นเครื่องสังเกต และอีกประการหนึ่ง ถ้าทองคำมีที่ไหน ดินตรงนั้นมีความอุ่นกว่าดินธรรมดา”

ผู้เขียนเป็นนักธรณีวิทยา ก็พยายามจับตาดูดินสีอรุณเรื่อยมา หลังจากรู้วิธีหาทองของคนบารณแล้วก็ไปพบดินสีอรุณเข้าจนได้ บริเวณเขตอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ต่อเขตอำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย (ดูรูปสีในเล่มนี้ว่าดินสีอรุณเป็นอย่างไร) พอเห็นดินสีอรุณ ผู้เขียนก็ให้คนนำทางขุดดินจากข้างทางมาร่อนทองให้ดู แล้วก็พบทองจริงๆ ในเรียงร่อนทองเรียงแรกที่ร่อน สอบถามชาวบ้านแถวนั้นเขาบอกว่า ทุกๆ หน้าแล้งจะมีชาวบ้านมาร่อนทองกันมาก

ตรงสบห้วยใกล้ๆ บริเวณนี้มีผู้ร่อนทองไปได้ถึง 10 บาท เมื่อแล้งที่แล้ว ท่านผู้อ่านเห็นไหมครับว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อองค์นี้ท่านรู้ รู้ รู้จริงๆ เรื่องความรู้พิเศษของพระเดชพระคุณหลวงพ่อนี้ยังจะต้องเล่ากันอีกมาก ไว้อ่านในเล่มต่อๆ ไปก็แล้วกันนะครับ

ตามหาพระดี
สมัยก่อนที่ยังไม่ได้พบหลวงพ่อ ผู้เขียนเป็นนักล่าพระอาจารย์คนหนึ่ง ใครว่าพระอาจารย์องค์ไหนดี เป็นต้องดั้นด้นไปหาจนได้ เมื่อไปหาแล้วจะติดใจหรือไม่เป็นเรื่องของใจตัวเอง บางครั้งใจไม่ยอมรับก็ต้องกลับมาถามครูบาอาจารย์ เท่าที่จะถามท่านได้ จะเล่าให้ฟังสักเรื่องก็ได้ ภาคใต้มีพระอาจารย์ชื่อเสียงโด่งดังอยู่มากองค์หนึ่ง หนังสือที่ท่านเขียนเป็นที่ติดใจของคนทั่วประเทศ

ผู้เขียนก็ดั้นด้นไปกราบท่าน ท่านก็เมตตาตอบคำถามของผู้เขียนทุกคำถาม ด้วยความบังเอิญ ผู้เขียนเห็นรอบกุฏิท่านก่อบ่อซีเมนต์ขึ้นเป็นบ่อเลี้ยงปลาเงินปลาทอง ก็กราบเรียนถามท่าน ว่าปลาอยู่เป็นธรรมชาติหรือไม่ ท่านตอบว่า ถ้าพูดถึงอาหารการกินก็ดีกว่าธรรมชาติ ถ้าพูดถึงอิสรภาพก็สู้ธรรมชาติไม่ได้ ผู้เขียนก็ข้องใจแต่ก็นึกว่าเป็นเรื่องของท่าน

หลังจากผู้เขียนได้พบหลวงพ่อแล้ว เมื่อได้ยินชื่อพระที่ชาวบ้านเล่าลือว่าดี หรือได้ไปพบมาด้วยตนเอง ก็มักหาโอกาสกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และท่านก็จะบอกรูปร่าง ลักษณะของพระองค์นั้นพร้อมทั้งคุณวิเศษของพระองค์นั้นทันที ดังนั้นที่ท่านว่า “ขึ้นชื่อว่าพระ (หรือคน) อย่าให้ฉันได้ยินชื่อ ถ้าได้ยินชื่อแล้วรู้หมด” จึงเป็นเรื่องอัศจรรย์สำหรับผู้เขียนเสมอมา จะขอเล่าให้ฟังสักสองสามเรื่อง

ก่อนที่หลวงพ่อจะได้พบกับหลวงพ่อวัดน้ำบ่อหลวง (ครูบาอินทจักรรักษา) ผู้เขียนถามหลวงพ่อว่า ครูบาเป็นพระดีไหม ท่านตอบว่า อ๋อ ท้วมๆ ขาวๆ ใช่ไหม องค์นี้สามเขี้ยวนะ (อนาคามี) อีกองค์หนึ่งที่ผู้เขียนเคยถามท่านคือ หลวงพ่อชม อนังคโน สำนักสงฆ์นันทาพาสุภาพ ปจันตคาม

ผู้เขียนไม่ได้เอ่ยชื่อหลวงพ่อชมด้วยซ้ำ เพียงแต่บอกว่า “หลวงพ่อผมว่าผมพบพระดีอีกองค์แล้ว” เพราะผู้เขียนเพิ่งไปหาหลวงพ่อชมมา ท่านบอกว่า อ๋อ องค์เล็กๆ ขาวเหลืองใช่ไหม องค์นั้นอนาคามีนะ เมื่อหลายปีก่อนผู้เขียนเคยได้ไปกราบนมัสการท่านอาจารย์จาม สมัยนั้นท่านยังอยู่ที่เชียงใหม่ ท่านอาจารย์จามท่านปรารถนาพุทธภูมิ และท่านมีทิพยจักษุญาณที่แจ่มใสมาก

ท่านอาจารย์จามเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ในบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย รัชการที่ห้าของเรามีบารมีมากที่สุด วิมานท่านใหญ่โตสว่างไสวและบริวารท่านเต็มแล้ว ขณะนี้ท่านช่วยหาบริวารให้พระโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ท่านเล่าว่าพระพุทธเจ้าหลวงพ่อจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 22 (ถ้าผู้เขียนจำไม่ผิด) ท่านบอกด้วยว่าจะทรงพระนามว่าอย่างไร ผู้เขียนเคยจดไว้แต่ตอนนี้หากระดาษแผ่นที่จดเอาไว้ไม่เจอเสียแล้ว ผู้เขียนเล่าเรื่องนี้ให้หลวงพ่อของเราฟัง

ท่านเปรยออกมาว่า “องค์อื่นเขาก็รู้ได้เหมือนกันนะ” พระดีองค์อื่นๆ ที่หลายๆ ท่านรู้จักกันดีเช่น หลวงปู่มั่น หลวงพ่อลี หลวงปู่นาค หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน ท่านอาจารย์ฝั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ครูบาพรหมจักร ครูบาคำแสน ครูบาชุ่ม หรือแม้แต่สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่แล้ว ฯลฯ หลวงพ่อได้เล่าหรือปรารภไว้ในเทปหรือหนังสือของท่านหลายๆ แห่งแล้ว ผู้เขียนจะขอข้ามไป

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่น่าจะได้บันทึกเอาไว้ คือเรื่องของท่านอาจารย์ชา สุภัทโท ครั้งหนึ่งพี่หมอสมศักดิ์ (พล ต.ท.น.พ.สมศักดิ์ สืบสงวน) เล่าเรื่องผู้ไม่ประสงค์ดีใช้คุณไสยมาทำร้ายท่านอาจารย์ชา ทำให้ท่านเป็นอัมพาตพูดไม่ได้ให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านก็ฟังเฉยๆ ผู้เขียนนั่งฟังอยู่ด้วยก็ขัดคอพี่หมอว่า เรื่องนี้ไม่จริง เพราะธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

หลวงพ่อท่านตอบผู้เขียนทันทีเหมือนกันว่า “พอด็อกเตอร์พูดฉันก็เห็นภาพหลวงพ่อชา ผูกปากควายไม่ให้กินหญ้า กรรมอันนั้นติดตามมา ทำให้ท่านพูดไม่ได้ในชาตินี้” เมื่อเร็วๆ นี้ท่านก็ได้บอกลูกหลานว่า “ใครอยากตามหาพระดีน่ะ แค่สมเด็จ 4 องค์ที่ฉันนิมนต์ไปที่วัดก็น่าจะพอ พระ 4 องค์นี้จะไม่กลับมาเกิดอีก”

สมเด็จสี่องค์ที่ว่านี้คือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดปทุมคงคา และสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ

หลวงพ่อดูพระ
เมื่อสมัยผู้เขียนได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานใหม่ๆ เกิดความอยากได้พระหลวงปู่ปานเต็มกำลัง จึงไปเดินหาเช่าตามตลาดพระเครื่องและก็ได้มา 2 องค์ พอได้มาแล้วก็เอามาเลี่ยมแขวนคอทั้งสององค์ วันหนึ่งไปหาหลวงพ่อที่วัด ก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า ได้พระหลวงปู่ปานมาสององค์ พร้อมทั้งถอดพระออกจากคอให้ท่านดู พอส่งให้ท่าน

ท่านแบมือออกมารับแล้วถามว่า “ไหนล่ะใบสุทธิ” ผู้เขียนงง จึงกราบเรียนถามท่านว่า “ใบสุทธิอะไรครับ” ท่านหัวเราะแล้วบอกว่า “เป็นพระก็ต้องมีใบสุทธิซิ 2 องค์นี้ยังไม่ได้บวช” แล้วท่านพูดต่อว่า “ไม่เป็นไรหรอก คืนนี้จะทำให้” ผู้เขียนเลยได้พระหลวงปู่ปานรุ่นพิเศษ ที่ปลุกเสกโดยหลวงพ่อด้วยประการฉะนี้

อีกครั้งหนึ่งหลวงพ่อพาคณะลูกศิษย์ขึ้นไปนมัสการพระสุปฏิปันโนที่เชียงใหม่และลำพูน เมื่อไปกราบหลวงปู่ครูบาทิมที่วัดจามเทวี ครูบาท่านเอาพระมาแจกลูกศิษย์หลวงพ่อคนละองค์ วิธีแจกพระของท่านหลวงปู่ครูบาทิมแปลกมากเหมือนกัน คือตอนแรกท่านก็ไปเปิดหีบเก็บพระ แล้วเอาออกมาแจก (ถ้าจำไม่ผิด พระที่ท่านแจกบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อคราวนั้นคือพระรอด)

แต่พระที่ท่านถวายหลวงพ่อคือ เหรียญครูบาศรีวิชัย หลวงพ่อของเราท่านเล่าว่า พอรับพระมาจากครูบาก็รู้สึกทันทีว่า อานุภาพพระแรงมาก จึงอยากจะรู้ว่าใครทำ พอนึกแค่นั้น ท่านก็เห็นครูบาศรีวิชัยปรากฏขึ้นและบอกว่า “ฉันทำเอง” หลวงพ่อท่านเล่าต่อว่า พระทั่วๆ ไปนั้นท่านจับแล้วรู้สึกเฉยๆ พระที่ท่านจับแล้วรู้สึกอานุภาพคือพระสมเด็จ พระหลวงปู่ปาน ก็พอดีมาเจอพระครูบาศรีวิชัยอีก

ขอวกกลับไปเรื่องวิธีแจกพระของหลวงปู่ครูบาทิมอีกนิด ที่ว่าแปลกก็คือพอท่านแจกพระเสร็จแล้ว ก็ยังมีพวกที่อยู่เชียงใหม่ที่ตามมาสมทบทีหลัง หลวงปู่ใช้วิธีล้วงเอาพระตามอังสะของท่านออกมาให้ ผู้เขียนได้พระเหรียญท่านอาจารย์ฝั้น จากหลวงปู่โดยวิธีล้วงจากอังสะของท่านนี่แหละ กลับมาถึงเรื่องหลวงพ่อดูพระอีกที คราวหนึ่งแม่ผู้เขียนได้พระสมเด็จ เพื่อนให้มาหนึ่งองค์ ด้วยความไม่แน่ใจจึงเอามาให้หลวงพ่อดู พอควักตลับพระออกจากกระเป๋าจะถวายท่าน

หลวงพ่อก็โบกมือบอกว่าไม่ต้องดูหรอก ของแท้ หลวงพ่อท่านบอกว่าใครให้ท่านดูพระ ถ้าท่านดูนานแสดงว่าท่านกำลังคิดว่าจะตอบยังไงดีไม่ให้เจ้าของพระเสียกำลังใจ ถ้าพระแท้ พอเจ้าของถามก็รู้คำตอบและส่งพระคืนเจ้าของได้ทันที เรื่องนี้ก็คงยังไม่จบอยู่ดี และก็คงจะจบยาก เพราะคุณของพระสงฆ์หาประมาณมิได้ ขอยกไปต่อลูกศิษย์บันทึกเล่ม 4 นะครับ

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top