"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 ( ตอนที่ 2 )
puy - 8/11/10 at 15:26

◄ ตอน 1 ตอน 3 ตอนที่ 4 ตอนที่ 5 ตอนที่ 6 ตอนที่ 7 ►



ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๓


สารบัญ

21.
ประพัฒน์ (วิชัย) ทีปะนาถ
22. จุฑามาศ กัญจนานนท์
23. นิภา คงสุข
24. วิบูลย์ มีชู
25. สมพงษ์ รัตนพานิช
26. วัลลภา ไชยยศ - สุวภา นิยมไทย
27. พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ตอน 2
28. เปี่ยมสุข ไหมแพง
29. สกุล ศรัณยวิชญ์
30. เสริมพล เบื้องสูง
31. มนตรี คงอุทัยกุล
32. ไพศาล ไพศาลเสถียรวงศ์
33. ม.ล.วรวัฒน – กานดา นวรัตน
34. พ.ต.สมัย ศรีหนองห้าง
35. ยุพา แซ่เล้า
36. พันโท นายแพทย์นพพร กลั่นสุภา
37. พันตรี ทันตแพทย์หญิงเตือนใจ กลั่นสุภา
38. เสริมทรัพย์ วัฒนพฤกษา
39. รศนา ฟอร์ตี้ (ธรรมสโรช)


puy - 8/11/10 at 15:28

21

ตั้งใจขนศิษย์ทั้งหมด


ประพัฒน์ (วิชัย) ทีปะนาถ


สิบนิ้วประณตน้อมนมัสการ
องค์พระราชพรหมยานพ่อใหญ่
ผู้ยอดปรีชาปัญญาไว
พระเมตตาแผ่ไกลครอบจักรวาล
สอนศิษย์ทั่วหน้าละสังโยชน์
มุ่งประโยชน์ยิ่งใหญ่ไพศาล
ไม่ยอมย่อท้อทุกข์ทรมาน
สังขารทนไม่ได้ให้รู้ไป
ตั้งใจขนศิษย์ทั้งหมด
กำหนดเจ็ดแสนเศษได้
ให้ถึงพระนิพพานเร็วไว
ทุกคนต้องไปในชาตินี้





วัดท่าซุง อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท

4 สิงหาคม 2516

คุณวิชัย

จดหมายของคุณ เดินทางไกลไปหน่อย ด้วยส่งมาทางอุทัย ทาง ป.ณ.เขาต้องฝากกำนัน จึงจะมาถึง เมื่อกำนันยังไม่ไปเขาก็เก็บไว้ก่อน จนกว่าจะพบกำนัน คราวต่อไป คุณส่งมาทางมโนรมย์ ตามที่ฉันเขียนมา ด้วยทางมโนรมย์ใกล้ และฉันตกลงกับ ป.ณ.มโนรมย์ไว้ เขาส่งให้ถึงวัดความจริงคนละจังหวัด แต่อยู่ใกล้กว่า เขาให้เป็นพิเศษ เงินที่สอดซองมา 100 บาท ได้รับพร้อมกับจดหมาย ขอขอบใจ และอนุโมทนาที่สงเคราะห์

ปัญหาที่คุณถาม ไม่มีอะไรมาก นอกจากความฟุ้งของจิต เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา ขอให้คุณปฏิบัติ ตามแบบมหาสติปัฏฐานสูตร ยึดอานาปาก่อน วันหนึ่งอย่าใช้เวลามาก จงนับลมหายใจ โดยไม่ต้องภาวนาอะไร นับเป็นคู่ เข้ากับออก นับเป็น 1 พอถึง 10 ก็ตั้งต้นใหม่ วันหนึ่ง หรือคราวหนึ่งใช้เพียงสิบหรือยี่สิบพอแล้ว

ระหว่างที่นับ ระวังใจ คุมอารมณ์อย่าให้เรื่องอื่นแทรก คุณทำเท่านี้พอ ไม่ช้า อารมณ์จะทรงนาน นับได้ถึงร้อยหรือหลายร้อย แต่เมื่อเวลาใด คุมใจไม่อยู่จริงๆ ให้พักเสียอย่าฝืน ด้วยใจมีสภาพท่องเที่ยว เราบังคับมันนานไม่ได้ ต้องคอยผ่อนคลายให้มันบ้าง

เรื่องรับเป็นศิษย์ ฉันรับทุกคนที่มุ่งเอาดี และความดีมีแก่คนทุกคนที่มุ่งทำดี เรื่องเกรงว่า จะไม่พบพระอริยะชาติหน้านั้น ไม่น่าวิตก ถ้าคุณมีศีลห้าเป็นปกติ ไหว้พระด้วยความเคารพ เกิดกี่ชาติก็ไม่คลาดจากพระอริยะ ด้วยอำนาจกุศลที่มีอยู่จะค้ำชูให้พบพระอริยะเสมอ

ด้วยความมุ่งดีที่คุณทำแล้ว เมื่อทรงอานาปาได้นาน ประมาณนับถึงร้อยได้ และใจปกติไม่มีอารมณ์อื่นกวน ต่อไปก็ปฏิบัติตามแบบในมหาสติปัฏฐาน คุณจะทำได้แบบสบาย ใหม่ๆ มันก็แบบคุณเหมือนกันทุกคน ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่วันแรกของการเกิด ขอจงตั้งจิตไว้ เรื่องกังวลใจวางไว้ เกาะมันมากมันทำให้กำลังใจตก

ที่สุดนี้ ขอคุณจงเป็นผู้มีความสุขใจ ทั้งทางโลกและธรรมตรมที่ตั้งใจไว้เถิด

พระมหาวีระ ถาวรโร

◄ll กลับสู่สารบัญ



22

บางส่วนที่ได้สัมผัสมา


จุฑามาศ กัญจนานนท์


.......ในลูกศิษย์บันทึกเล่ม 2 ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าเกิดมามีบุญน้อยในเรื่องทรัพย์สิน แต่มีบุญใหญ่ที่ได้พบหลวงพ่อ ท่านมีเมตตากับข้าพเจ้ามาก ถ้าไม่ได้พบหลวงพ่อ ก็ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าวิถีชีวิตของข้าพเจ้าจะออกมาในรูปใด เพราะปัญหาและอุปสรรคที่รุมเร้าเข้ามา ในชีวิตของข้าพเจ้านั้นมีมากมายเหลือคณานับ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพซึ่งมีผลทำให้ข้าพเจ้าต้องอดอาหารเย็นมาจนทุกวันนี้ การงานที่ทำก็มีแต่คนอิจฉาริษยาและคอยกลั่นแกล้ง สภาพครอบครัวไม่ราบรื่น การเงินฝืดเคือง จนแทบจะทรงตัวไม่ไหว ความสุขความสมหวังไม่ต้องพูดถึง แทบจะไม่เคยพบ

จะมีอยู่บ้างก็เฉพาะทางด้านการศึกษาซึ่งพากเพียร จนจบปริญญาตรี แต่กว่าจะเรียนสำเร็จก็เลือดตาแทบกระเด็น ต้องอดมื้อกินมื้อเพราะฐานะยากจน พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งหลวงพ่อโปรดเมตตาสั่งสอนนี้ ล้วนประเสริฐยิ่ง

ธรรมที่ข้าพเจ้าชอบมาก และน้อมนำมาปฏิบัติเป็นปกติคือ ศีลห้า พรหมวิหารสี่ บารมี 10 สังโยชน์ 10 อสุภกรรมฐานและวิปัสสนาญาณ ข้าพเจ้าพยายามคิดอยู่เสมอว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าก็ตาม ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคนบางคนอาจจะต้องประสบเช่นเดียวกับข้าพเจ้า และทุกข์ที่สุดของคน นั้นก็คือความตาย

อะไรที่เกิดขึ้นกับเรานั้น จะโทษใครได้ เพราะเราเป็นผู้กระทำ แม้ชาตินี้ไม่ได้ทำแต่ก็อาจเป็นผลมาจากชาติก่อน (ผู้ที่ได้มโนมยิทธิจะทราบดี) จึงต้องยอมรับกรรมนั้นและขอใช้กรรมชาตินี้ให้หมด

แต่ถ้าเป็นกรรมใหม่ของผู้กระทำต่อเรา ก็เป็นเรื่องของคนผู้นั้นเราไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็ช่วยทำให้ความทุกข์คลายลง และจิตใจค่อยสงบเยือกเย็นขึ้นเป็นลำดับ พอจะยืนหยัดต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ได้ คำสอนของหลวงพ่อที่ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอ และพยายามปฏิบัติให้เกิดในหัวใจคือ

“อย่ามองหาความชั่วของคนอื่น อย่ามองคนอื่นว่าชั่ว แต่จงมองหาความชั่วของตนเองอยู่เสมอ และแก้ไขให้ดีขึ้น”
“ถ้าเราชั่ว แม้ใครจะสรรเสริญว่าเราดีอย่างไร เราก็ดีไม่ได้ แต่ถ้าเราดี ใครจะว่าเราชั่ว เราก็ชั่วไม่ได้เช่นเดียวกัน”

ตั้งแต่ข้าพเจ้า พบหลวงพ่อตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2517 ข้าพเจ้าทำบุญกับหลวงพ่อทุกเดือนตลอดมา ไม่เคยเว้นจนถึงทุกวันนี้ เพราะหลวงพ่อบอกว่าการทำบุญเป็นประจำ โดยสม่ำเสมอ เรียกว่าเป็นอาจิณกรรม และเป็นมหากุศลใหญ่

ข้าพเจ้ายากจนในชาติปัจจุบัน เผื่อบุญที่ทำในชาตินี้จะสนองตอบให้อยู่ดีมีสุขขึ้นมาบ้าง หรือถ้าเกิดพลาด ไปนิพพานไม่ได้ในชาตินี้ จะต้องมาเกิดเป็นคนอีก จะได้ร่ำรวยกับเขาบ้าง

เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2522 หลวงพ่อได้กรุณาส่งจดหมายมาถึงข้าพเจ้า ดังใจความซึ่งจะขอยกมาเป็นบางตอนดังนี้



11 มกราคม 2522

ลูกรัก

...พ่ออยากให้ลูกมาฝึกมโนมยิทธิ เวลานี้เขาฝึกกัน 3 – 4 วันก็ได้ เที่ยวสวรรค์ นรกกันตามสบาย ลูกจะมีความรู้หลายอย่าง เช่น สวรรค์ นรก และนิพพาน ตลอดจนประวัติศาสตร์ ทรัพยากร เวลานี้มีคนใช้นามว่า “สาวตาทิพย์” เขียนหนังสือขาย พ่ออยากให้ลูกทำอย่างนั้นบ้าง

... ลูกอาจเอาวิชานี้ไปใช้เป็นประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่น ... ก่อนมาฝึกลูกหัดภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ ควบกับลมหายใจ ทำแค่สบายอย่าให้เครียด นั่งอยู่ เดิน และทำงาน หัดภาวนาได้ พ่อคิดว่ามาวันเดียวก็มีผล”

เมื่อข้าพเจ้าได้รับจดหมาย ข้าพเจ้าดีใจมาก และพยายามปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอนทุกประการ หลังจากรับจดหมายได้ไม่นาน ข้าพเจ้าก็ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง ข้าพเจ้าสามารถฝึกมโนมยิทธิได้ภายในวันเดียวจริง ตามที่หลวงพ่อบอก ข้าพเจ้าสามารถนอนบนเตียง และนั่งบนเก้าอี้ในวิมานของข้าพเจ้าบนนิพพานได้ โดยไม่ลื่นไถลลงมา

ครูบอกว่า ข้าพเจ้าสามารถไปนิพพานได้ในชาตินี้ ถ้าข้าพเจ้าไม่ประมาท ข้าพเจ้าปลื้มใจมาก ข้าพเจ้าไปเที่ยวสวรรค์ทุกชั้น ไปเที่ยวแดนนรกซึ่งน่ากลัวมาก นอกจากนี้ยังไปแดนพระยายม ไปดูการตัดสินคดีและได้ช่วยคนที่กำลังจะถูกตัดสิน ให้ได้มีโอกาสไปเสวยความสุข ในแดนสวรรค์ก่อน

(จากจุดนี้ข้าพเจ้าได้นำมาใช้กับคนที่ตายแล้ว และกำลังจะถูกนำไปยังแดนพระยายมราชให้ได้ขึ้นไปเสวยสุขก่อนหลายราย ซึ่งเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือเขาเหล่านั้น)

ความสุขขณะอยู่ที่แดนนิพพานนั้นไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร จึงจะตรงกับความจริง ถ้าท่านอยากรู้ก็ต้องปฏิบัติด้วยตนเองแล้วก็จะพบ ข้าพเจ้าไม่อยากกลับมายังโลกเลยในขณะนั้น เป็นที่น่าเสียดาย และเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ข้าพเจ้าไม่สามารถเป็นสาวตาทิพย์ได้นาน ตามที่หลวงพ่อหวังไว้

เพราะพอข้าพเจ้ากลับมาบ้าน ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถทำได้เหมือนอยู่ที่วัด เพราะข้าพเจ้ามีภาระ ที่จะต้องเลี้ยงดูบุตรซึ่งยังเล็ก และยังต้องทำงานประกอบอาชีพ ซึ่งมีหน้าที่หลายอย่าง ข้าพเจ้าอยู่สองคนกับบุตร จึงมีภาระที่เหน็ดเหนื่อยมาก พอเอาบุตรเข้านอน ข้าพเจ้าก็หลับเหมือนตาย

สิ่งที่กระทำได้ก็คือ จับภาพวิมานของตนเองบนนิพพานและองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และระลึกอยู่เสมอว่า ถ้าตายเมื่อใดขอมาอยู่วิมานนี้ ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วว่า ข้าพเจ้าได้ช่วยตนที่เพิ่งตาย และอยู่ในภาวะที่จะรับบุญได้ให้ไปสวรรค์มาแล้วหลายราย

ไม่เพียงเท่านั้น แม้คนที่ยังไม่ตาย ข้าพเจ้าก็เคยแอบช่วยมาแล้วเช่นเดียวกัน ทำไมข้าพเจ้าต้องแอบช่วย เพราะถ้าบอกให้รู้เขาก็ไม่เชื่อ เพราะพิสูจน์ไม่ได้ เราก็จะเสียกำลังใจเปล่าๆ สู้แอบช่วยไม่ได้ สบายใจดี จะขอยกตัวอย่างสัก 2 ราย

เพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า มักจะมีอาการหอบอย่างรุนแรงในช่วงฤดูหนาว มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาหอบมากจนน่ากลัว เพื่อนฝูงนำส่งโรงพยาบาล แพทย์เอาตัวไว้ในหองไอซียู อาการภายนอกที่เห็นทุรนทุรายมาก จำใครไม่ได้ ข้าพเจ้ากลับมาบ้าน เข้าห้องพระ อธิษฐาน

“ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย สืบๆ กันมา อันมีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อมหาวีระเป็นที่สุด ตลอดจนบุญกุศลของข้าพเจ้าที่ทำมาแล้วในอดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้ามีมากกว่ากรรมที่เขาได้รับอยู่ ขอบุญกุศลนี้จงช่วยให้เขามีอาการดีขึ้น และออกจากห้องไอซียูในวันรุ่งขึ้นและพักผ่อนอีกประมาณ 2 วัน ก็ออกจากโรงพยาบาลได้”

เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง เพื่อนของข้าพเจ้าผู้นั้นมีอาการดีขึ้นและหายออกจากโรงพยาบาลได้ ตรงตามที่ข้าพเจ้าได้อธิษฐานทุกอย่าง ข้าพเจ้าตื่นเต้นและดีใจมากที่เขาหายเป็นปกติ แม้ทุกวันนี้เพื่อนคนนั้นก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้

อีกรายหนึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ แพทย์ต้องให้อาหารทางสายยางเพราะกลืนอาหารไม่ได้ และมีอาการหนักมากท่าทางจะไม่รอด ข้าพเจ้าก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่า มีอาการอะไรที่ปรากฏบ้าง ท่านผู้นี้รับกฐินไว้ด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารก็เลยอธิษฐานคล้ายกันกับรายที่แล้ว

แต่เพิ่มอีกหน่อยเป็นข้อแม้ว่า “ถ้าเขายังไม่หมดอายุขัย ขอให้เขาหายทันจัดการเรื่องกฐินได้” และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ข้าพเจ้าอธิษฐานทุกอย่างเช่นเดียวกัน

ข้าพเจ้าเคยนมัสการถามหลวงพ่อถึงเรื่องนี้ว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงอธิษฐานช่วยเหลือผู้อื่นได้
หลวงพ่อได้เมตตาตอบว่าเป็นอธิษฐานบารมีจึงสำเร็จ
ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำกับหลวงพ่อ ไม่สูงมากพอก็คงไม่มีพลังที่จะช่วยผู้อื่นได้ ก็นับว่าเป็นโชคของข้าพเจ้า

เมื่อครั้ง หลวงพ่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในวิหาร 100 เมตร ขณะที่ข้าพเจ้าร่วมเดินอยู่ในขบวนแห่นั้น กระเป๋าเงินได้หลุดหายไปเหลือแต่สาย เมื่อย้อนกลับมาตามทางเก่าก็ไม่พบ ข้าพเจ้าจึงไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ เพื่อขอให้เขาช่วยประกาศให้ ข้าพเจ้าไม่เสียดายเงิน แต่มีเอกสารสำคัญหลายอย่างอยู่ในนั้น

มีคนเคยบอกกับข้าพเจ้าว่าพระพุทธรูปในวิหาร 100 เมตรศักดิ์สิทธิ์มาก ใครขออะไรมักจะได้สมความปรารถนา ข้าพเจ้าก็ปรารถนาจะได้รับความสมหวังเช่นเดียวกัน

จึงไปนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูปองค์นั้น อธิษฐานว่า “ขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โปรดเมตตาช่วยให้ข้าพเจ้าได้กระเป๋าคืนภายในไม่เกินเที่ยงด้วยเถิด”

ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็ไปที่ศาลา 2 ไร่ ได้ยินพระท่าน ประกาศว่า กระเป๋าของใครหายให้มารับคืนได้ ข้าพเจ้ากำลังจะลุกไปรับ บังเอิญมีหญิงคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า กระเป๋าของข้าพเจ้ามีรูปร่างอย่างไร เมื่อข้าพเจ้าบอกไปเธอบอกว่าไม่ใช่ เพราะเธอเป็นคนเก็บได้ ข้าพเจ้าเลยรู้สึกใจคอห่อเหี่ยว คิดว่าคงจะหมดหวังเสียแล้ว

ขณะนั้นเป็นเวลา 11.30 น. จึงชวนบุตรชายไปศาลานวราช ซึ่งเป็นความหวังสุดท้าย เพราะเสียงจากที่นี่จะดังไปทั่วทั้งวัด เมื่อข้าพเจ้าแจ้งความประสงค์ เรื่องที่จะให้ประกาศแล้ว ขณะนั้นเหลือเวลาอีก 15 นาที จะเที่ยงตรง พระเจ้าหน้าที่ได้กรุณาประกาศให้

พอสิ้นเสียงประกาศ ก็มีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ขึ้นมาบนศาลาอย่างรีบร้อน และบอกว่าเธอเป็นคนเก็บกระเป๋าเงิน ลักษณะดังกล่าวได้ และได้ฝากไว้ที่ศาลา 2 ไร่ ข้าพเจ้าดีใจมาก ที่ได้กระเป๋าคืน และต้องกราบขอบพระคุณสุภาพสตรีท่านนั้น ที่ท่านไม่ถือโอกาส เอามาเป็นสมบัติของตนเอง

ข้าพเจ้ายังจำได้ว่า เธอมากับคณะท่าลาน จังหวัดสระบุรี ข้าพเจ้าได้พิสูจน์แล้วว่า พระพุทธรูปในวิหาร 100 เมตรศักดิ์สิทธิ์จริงดังคำเล่าลือ

เรื่องสุดท้าย ที่ข้าพเจ้าอยากจะเล่าให้ท่านฟัง ซึ่งอาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับบางท่าน นั่นก็เป็นสิทธิ์ของท่านที่จะคิดเช่นนั้น แต่สำหรับท่านที่ได้มโนมยิทธิก็คงจะไม่แปลก ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเป็นงานประจำปีหรืองานพิเศษอะไร แต่จำได้ว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดสามพระยา ท่านมาเป็นองค์ประธานในงาน

หลวงพ่อบอกว่าในวันดังกล่าว พระองค์ที่ 10 หรือองค์ที่ 11 จะมาโปรดในร่างมนุษย์ ใครตาดีก็เห็น ตาไม่ดีก็ไม่เห็น ข้าพเจ้าได้แต่รำพึงกับตัวเองว่า เราจะมีบุญวาสนา ได้เห็นองค์ท่านในร่างมนุษย์หรือไม่

จึงตั้งจิตอธิษฐาน “ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบท่านในร่างมนุษย์ด้วยเถิด” เมื่อไปถึงวัดข้าพเจ้าได้ทราบจากหลายคนว่า เขาได้กราบท่านเมื่อตอนเช้าตรู่ ข้าพเจ้าใจเหี่ยวคิดว่าคงหมดโอกาสแล้ว

แต่พอทราบว่า ท่านจะมาโปรดอีกครั้งหนึ่งประมาณบ่าย 2 โมง ที่ศาลาริมน้ำวัดเก่า ก็เลยมีกำลังใจขึ้นมาอีก แต่ก็ยังไม่แน่ใจวาสนา จึงไปอธิษฐานขอ ต่อหน้าพระพุทธรูปที่หน้าโบสถ์อีกครั้งหนึ่ง เวลาประมาณ บ่าย 2 โมง ข้าพเจ้าและบุตรไปที่ศาลาริมน้ำวัดเก่า คนไม่พลุกพล่าน ดูพระที่นั่งอยู่ในศาลามองแล้วไม่รู้สึกอะไร ใจก็คิดว่าไม่ใช่ ใจเริ่มเหี่ยวอีกแล้ว

ครั้นมองไปที่โคนต้นโพธิ์ใกล้ศาลานั่นเอง เห็นพระรูปหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีคนนั่งล้อมรอบอยู่ประมาณไม่เกิน 20 คน ข้าพเจ้ารู้สึกขนลุกซู่ จิตบอกข้าพเจ้าว่าพระรูปนี้ใช่แน่แล้ว ความปลื้มปีติแผ่ซ่านไปทั่วจนมือไม้สั่นไปหมด ค่อยๆ เดินไปตรงหน้าองค์ท่านแล้วก้มกราบ สิ่งที่เห็นแปลกไปจากพระรูปอื่นคือพลังที่ส่งมาจากองค์ท่านนั้นมากมายจนบอกไม่ถูก ตาของท่านมองตรงไปข้างหน้าไม่กระพริบ

มีหญิงคนหนึ่งนำน้ำสไปรท์ใส่ถุงมาถวาย ท่านกล่าวว่า “ขอให้จิตของน้องหญิงจงใสและเยือกเย็นเหมือนน้ำนี้ บุตรในท้องเป็นผู้หญิง” ข้าพเจ้ามองดูหญิงผู้นั้นไม่เห็นท้องแต่ประการใด คงจะเพิ่งท้อง มีคนถ่ายรูปท่าน

ท่านกล่าวว่า “ถ่ายไปทำไมไม่มีประโยชน์” มีผู้หนึ่งถามคำถามอะไรข้าพเจ้าจำไม่ได้
ท่านกล่าวว่า “คำถามใดที่ไม่เป็นประโยชน์กับคนทั้งหลายจะไม่ตอบคำถามนั้น”

เป็นที่น่าอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งคือ มีคนเดินผ่านไปผ่านมา แต่ไม่มีใครสนใจหรือจะมองไม่เห็นก็ไม่ทราบ ทำให้คนนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อว่า “ใครตาดีก็เห็น ตาไม่ดีก็ไม่เห็น” รู้สึกจะสมจริง

เมื่อข้าพเจ้าลากลับมาขึ้นรถ และบอกเล่าให้คนอื่นได้ทราบ เพื่อจะได้ไปกราบ กลับไม่มีใครสนใจ คงจะไม่เชื่อตามที่ข้าพเจ้าบอก ข้าพเจ้าจึงเก็บความสุขในครั้งนั้นไว้ในใจแต่เพียงผู้เดี่ยว และที่ตรงนั้นท่านให้สร้างเป็นศาลาไว้ และเป็นรูปองค์ท่านในร่างมนุษย์พร้อมด้วยเก้าอี้ไว้บูชา

จากที่กล่าวมาแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วน ที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสมาด้วยตนเอง ยังมีอีกมากมายหลายเรื่อง ถ้าจะเขียนกันจริงๆ คงจะออกมาเป็นรูปเล่มได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าทั้งหมด คงไม่ใช่เกิดจากความสามารถของข้าพเจ้า

แต่เป็นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...อันมีหลวงพ่อเป็นที่สุด ท่านโปรดเมตตาช่วยเหลือและหลวงพ่อท่านเป็นพระ ที่เป็นเนื้อนาบุญอันอุดม บุญนั้นจึงส่งผลให้ข้าพเจ้าได้สมปรารถนาดังกล่าวแล้ว

◄ll กลับสู่สารบัญ


puy - 30/11/10 at 09:56

23

ลูกกราบถวายชีวิตให้แก่ท่านพ่อ


นิภา คงสุข


...คุณชอ (อัญชัน) ได้โทรมาบอกว่า ลูกศิษย์บันทึกเล่ม 3 จะออกอีก คุณภาจะเขียนอะไรมั้ย มีอะไรจะเขียนมั้ย
... ก็รีบตอบไปโดยไม่ต้องคิดว่าเยอะเลย ตามประสบการณ์ของครูบ้านนอก ถามคุณชอว่าหลวงพ่อคือท่านพ่ออนุญาตรึ
... คุณชอบอก เออ
... เขียนมาถ้าเกี่ยวกับมโนมยิทธินั้นมีมาก ก็เลยกำหนดจิตถามขอบารมีพระพุทธองค์ทุกๆ พระองค์ และหลวงปู่ปานและท่านพ่อของเรา ท่านพ่อในที่นี้คือ พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ที่ไม่เรียกท่านว่าหลวงพ่อ ก็เพราะหลวงพ่อนั้นมีมากมาย

...แม้เพียงนักบวชแก่ๆ เขาก็เรียกกันว่าหลวงพ่อ รู้สึกพอเรียกแล้วดูซ้ำซ้อน ดีชั่วยังปนกันอยู่ แต่ท่านพ่อของเราท่านไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน จึงไม่อยากให้ปะปน อ้อ ผู้พูดนี้สังโยชน์ข้อ 9 ยังทำไม่ได้ ก็เป็นธรรมดานะ บอกเสียก่อน พูดไปแล้วรู้สึกมีความภาคภูมิใจในท่านพ่อของเรา และภูมิใจที่ได้เข้ามาพบหนทางสายท่าน เป็นปลื้มจริงจริ๊ง สมกับที่ลงทุน

ค้นพระมาตั้งแต่เด็กกว่าจะพบพระก็ปาเข้าไปอายุ 43 ปี เพราะผู้เขียนอายุ 60 เต็มย่าง 61 พบพระท่านพ่อเมื่อ พ.ศ.2517 รวมกับ 43 ก็เท่ากับ 60 ปี พบพระแก้วสารพัดนึกเสียด้วยซี ความจริงยิ่งกว่า แต่ครูบ้านนอกไม่รู้จะเปรียบอย่างไร จึงขอพูดว่าท่านพ่อของเราเป็นที่สุดที่สุดที่สุดของความดี ในโลกนี้และโลกหน้า

ท่านพ่อทำให้เรารู้ที่มา และรู้ที่กำลังจะไป มีองค์ไหนบ้าง สอนอย่างท่านพ่อของเรา หายากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ตามโบราณท่านว่าไว้นั่นแหละ วิชาของท่านพ่อของเราไม่เหมือนใครแล้วก็ไม่มีใครเหมือน เพราะเป็นวิชาของโลก เราจะนึกไปไหนก็ได้ โดยไม่ต้องตะเกียกตะกายเอาร่างกายขันธ์ 5 ไป เราก็ไปได้ ไปอย่างเบาๆ สบายๆ จนกระทั่ง พระนิพพาน

แม้พวกนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์นิวเคลียร์ไปโลกพระจันทร์อังคาร แต่ไม่มีใครพูดสักคนว่าพบโลกนิพพาน มีองค์เดียวในโลก ที่มีจิตอิสระ กล้าพูด กล้าสอนพวกเรา เอ! พูดๆ ไม่รู้จะมีใครเป็นพวกหรือเปล่า กราบขอขมาและอภัยด้วยเจ้าค่ะ

ที่พูดว่า วิชาของท่านพ่อเป็นวิชาของโลก ก็เพราะว่าวิชาของพระพุทธคุณ ท่านพ่อใช้ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ทางโลกก็วิชาโลกีย์ การหาเลี้ยงชีพเข้าถึงความสำเร็จในชีวิต เข้าถึงความร่ำรวยและมีความสุข เรียกว่าเข้าถึงเมืองมั่งมี เป็นหมอดูก็ได้ดังเช่นผู้เขียน

ถ้ายังโลภหลงอยู่ก็คงรวยได้อย่างสบายๆ เพราะมีคนมาชวนให้ไปเป็นหมอดูห้องแอร์หุ้นกัน แต่ผู้เขียนก็คิดว่าไม่รู้จะเอาไปไหนอีก ทุกวันนี้ก็สุขสบายแล้ว คืนนี้ก็ไม่รู้จะหายใจหรือไม่ หมดความกระวนกระวาย เฉพาะลูกศิษย์ให้ใช้จ่ายตามอัธยาศัยก็หลายสตางค์อยู่

พูดถึงโลกุตระวิชา ก็คือรู้ลดรู้ละรู้ว่าตอนนี้จะต้องทำอย่างไร รู้ที่มีรู้ที่ไป ตอนนี้กำลังหาเวลาที่จะไปเท่านั้น คนเราดูๆ ไปก็น่าขัน ตอนไม่รู้ก็อยาก พอรู้แล้วก็ยุ่งอีก ครั้งแรกก็ยุ่งเพราะอยากรู้ พอรู้ได้ก็ยุ่งอีกแบบ ก็จะหาไปให้รู้อีกคือหาดับอีก

อย่างเช่น จะเล่าให้ฟังนิดหนึ่งที่พูดนี่ มันมีที่มาของมัน มีอยู่วันหนึ่งนอนอยู่บ้านบอลลูนเขาก็หลับกันหมด ผู้เขียนนอนตรงกับหลอดนีออนบนเพดานพอดี ก็นอนมองคือนอนไม่หลับ ก็คิดถึงคำสั่งสอนของท่านพ่อ พร้อมกับมองหลอดนีออน นึกสนุก ลองรวมพลังจิตเพ่งภาวนาเตโชกสิณัง ให้หลอดนีออนติดที

ก็ว่าไปว่าไป พอมองเพลินๆ เกือบชั่วโมง ไฟเริ่มมีตรงสตาร์ทเตอร์ ไม่รู้เรียกผิดหรือถูก ตรงหลอดน้อยๆ ติดกับหลอดนีออน เพ่งนานเข้านานเข้า ชั่วโมงกว่าหลอดนีออนติดได้จริง และไฟก็เต็มดวงเสียด้วย พอไฟติดได้ก็นึกขึ้นมาได้ว่า จะต้องดับ เอ้! เราจะดับอย่างไร ในเมื่อเราไม่ได้กดสวิทช์

เอาหละซีเรา นึกกลัวไฟไหม้บ้านเขา ยิ่งภาวนาเตโชก็ยิ่งติด จึงเปลี่ยนเป็นพุทโธก็ไม่ดับ เรียกเพื่อนคือลูกศิษย์ขึ้นมาดู และเขาดูแล้วก็หลับต่อ ประมาณตี 2 ยิ่งภาวนาก็ยิ่งโพลงใหญ่ นึกได้ว่าภาวนาดับๆ ก็ไม่ดับ เริ่มว้าวุ่น ก็ตั้งสติและนึกว่าเราต้องดับที่จิตเราก่อนซิ

ก็หลับตาภาวนาอธิษฐานด้วย ภาวนาด้วยหลับตาด้วย พอเคลิ้มๆ ทำท่าจะหลับจริงๆ นึกถึงไฟขึ้นมาได้ก็ลืมตามอง นึกดีใจเพราะไฟหรี่ลงมากเหลือเหมือนไฟค้าง ยังขาวนวลๆ ก็ภาวนาต่อเคลิ้มอีกเคลิ้มเดียว ลืมตามาดับหมด ดูนาฬิกาทำให้เกิดเพียงชั่วโมงกว่า แต่ทำให้ดับเกือบ 3 ชั่วโมง นี่เอง

พึ่งรู้วันนี้เองการทำให้เกิดง่ายกว่าดับ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น โมโหวูบเดียวทำร้ายเขาได้ เมื่อทำได้แล้วเกิดเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลยากที่จะจบ เช่นเดียวกัน เกิดเป็นคนว่ายากแล้ว ก็ยังไม่ยากเท่าไม่อยากเกิด แต่เราพบท่านพ่อมั่นใจว่าไม่เกิดแน่ นิพพานแน่ หมั่นคิดหมั่นค้น หมั่นถามตัวเอง หมั่นกำหนดจิต หมั่นแยกแยะความผิดถูกชั่วดี

รักษาศีล 5 ให้ได้ ศีล 8 ก็ทำได้แล้วแต่กาลเวลา สุขสบายใจก็ทำไป แรกๆ ก็ฝืนหน่อย พอสะสมสะสานไว้เรื่อยก็เกิดความเคยชิน ก็เป็นธรรมดาไปเอง เบาๆ สบายๆ ไม่เครียดจนเกินไป นี่แหละวิชามโนมยิทธิ

เราทำได้แต่ต้องมีความจริงจัง จริงใจ มีสัจจะ ไม่โลเลเหลวไหล ทำตามหนังสือท่านพ่อเรานั่นแหละง่ายดี และก็สบายด้วย อ่านไปทำไปด้วย ท่านพ่อมักจะย้ำละความชั่ว ทำความดี ทำจิตให้ผ่องแผ้ว ทำไปถ้ารู้ว่าสมองมึนงงก็รีบหาของเล่นใหม่ ฟังเพลงบ้าง ลองฟังเพลงเรือมนุษย์ ธรรมะทั้งนั้นเลย

เดี๋ยวนี้ทั้งคนแต่งคนร้องคนฟัง เข้าถึงธรรมะ บางคนอ่านแล้ว คงคิดว่าอะไรทำถึงขั้นนี้ยังฟังเพลงอยู่ เพลงผิดตรงไหน ผิดศีลข้อไหน คนเราเห็นผิดก็ผิดหมด ฟังเพลงนั้นดีกว่าเพ่งโทษผู้อื่นนะ ควรพิจารณาใคร่ครวญไว้เสมอๆ คำว่าบุญคือสบาย ทำแล้วสบายไม่ผิดศีลใช้ได้

พูดไปพูดมา ทั้งนี้แหละทั้งนั้นก็แล้วแต่จริตของคนนะ ใครทำอย่างไรถูกกับจริตก็ทำไป ความดีทั้งหมดที่ได้รับจากท่านพ่อนั้นลูกขอมอบกายถวายชีวิต และจะรักษาไว้ยิ่งกว่าชีวิตทีเดียวเจ้าค่ะ ไม่มีอะไรที่ลูกๆ ท่านพ่อจะทำให้เสื่อมเสียถึงท่านพ่อ

ลูกไปอยู่วัดท่ามะขาม โดยมีท่านเจ้าคุณพระวิสุทธรังสีเป็นเจ้าอาวาส ลูกอยู่ 1 พรรษา ทำหน้าที่เป็นครูบ้านนอก สอนมโนมยิทธิบ้าง สุกขวิปัสสโกบ้าง ปนญาณ 8 บ้าง ทำหน้าที่จบ โดยมีปัญหาก็แก้ไขได้และที่แปลกที่สุดก็คือพระธาตุเสด็จทุกคืน ผู้ไปปฏิบัติก็ได้มโนมยิทธิกันมาก ทั้งคนแก่อายุ 70 กว่า

วิชามโนมยิทธินี้คือวิชาหมอดู มีประโยชน์มาก สามารถสร้างบารมีได้ด้วย ทำให้คนหันเข้ามาปฏิบัติ คนแก่บางคนดูหมอแล้ว พอทายว่าจะป่วยและเข้าโรงพยาบาลให้อดเหล้า (ผู้หญิง) แกกลับถึงบ้างเทเหล้าทิ้ง มารับศีลห้าถวายตัวเป็นศิษย์มานั่งพระกรรมฐาน จนได้มโนมยิทธิมาทุกวัน

วิชานี้เหมาะสำหรับญาณ ดีมากเพราะใช้ได้ทีละหลายๆ อย่างรวมกัน เพราะต้องดู ทั้งอดีตชาติ ทั้งปัจจุบัน ต้องใช้ทั้งจุตูปปาตญาณ เจโตปริญญาณ นึกถึงเจโต มีกะเทยมาดู เขากวนๆ ตั้งแต่ตั้งขัน เขาบอก 50 บาทเท่านั้นเองเคยดู 500 บาท ผู้เขียนก็ไม่โต้ตอบ แต่มองด้วยความสมเพชเวทนา

พอถามอดีต พอบอกไป ก็เผอิญได้ยินเสียงเขาในใจ เขาอาจคิดดังไปหน่อย ได้ยินคำว่าเพ้อเจ้อ พอดี
เขาถามว่าเมื่อไรหนูจะรวย
ก็ตอบเขาไปว่า คุณจะรวยได้ก็เมื่อระวังความก้าวร้าว สามหาว ถ้าคุณปรับอันนี้ได้คุณก็จะดีขึ้น
เขาถามว่ารู้ได้อย่างไรว่า หนูก้าวร้าว เอ้า เมื่อกี้นี้ถามอดีต พอตอบไปคุณก็นึกว่าเพ้อเจ้อ เขางงๆ มองหน้า เพื่อนเขามาด้วย เขาก็พูดว่า มึงพูดจริง

ตั้งแต่มาจากบ้านแล้ว ป้าเขารู้นะมึง และมีท่านด็อกเตอร์ปรุงจันทร์ ท่านก็เลื่อมใสในวิชานี้ ท่านไปนอนวัดกันหลายคน ส่วนท่านด็อกเตอร์ศรีสมบูรณ์ เครื่องคอมพิวเตอร์หายหาไม่พบ ไปหาที่ท่ามะขามดูให้ว่า ยังอยู่ไม่หาย อยู่ข้างประตูบนชั้น

ท่านกลับมาหาพบ เมื่อกี้นี้ขณะเขียนอยู่ท่านโทรฯ มาขอบคุณ และรายงานมาว่ามีเพื่อนๆ ท่านสนใจกันมากว่า ดูแม่นมาก ขนาดที่ทำงาน คุณป้าไม่รู้จักไม่เคยเห็นยังดูเห็นพวกท่าน หากันมาตั้งหลายวันไม่เห็นยังเห็นได้

ทั้งนี้และทั้งนั้น ท่านพ่อของเราท่านมีวาจาสิทธิ์ เมื่อ พ.ศ.2522
ท่านพ่อพูดที่ศาลานวราชว่า เอ้า ภา รับวิชาหมอดูไป หลวงพ่อจะเลิกแล้ว
ผู้เขียนก็พนมมือ แล้วพูดว่า ลูกไม่กล้าเพราะลูกไม่มีความรู้
ท่านพ่อพูดต่อว่า รับไปเถอะวันละ 40 คนๆ ละ 20 บาท ถวายหลวงพ่อ 10 ให้ใช้ 10 บาท เราก็ได้แต่ยิ้ม
และท่านก็พูดต่อว่าเรามีความละเอียดอ่อนทำได้ เรานิ่งก็เหมือนรับโดยปริยาย แต่ก็ไม่ดู พอดีท่านผู้ว่ากาจ รักษ์มณีย้ายมาเป็นผู้ว่าอุตรดิตถ์ ท่านก็ใช้อยู่เสมอคนเดียว

ต่อมาเกิดสงครามร่มเกล้า มีพวกแม่บ้านนายทหารมาให้ดู ก็ตั้งท่าหมอดูเต็มอัตรา ตั้งขันครูด้วย และให้สัจจะกับพระพุทธองค์ว่า วันนี้ถ้าดูหมอแม่นก็จะดูไปเรื่อยๆ ถ้าไม่แม่นก็จะเลิกไม่ดูสงเคราะห์ใครอีก ก็ทายไป

อ้อ ก่อนทายนั้น กำหนดจิตขึ้นนมัสการพระพุทธองค์ พร้อมกับเอากายในของผู้มาให้ดูขึ้นไปนมัสการแล้วถาม พระองค์ท่านก็จะตรัสมาเป็นขั้นตอน คงมีคนอยากถามก็ขอตอบเสียว่า เห็นพระพุทธองค์เหมือนกับ เรานั่งคุยกับท่านพ่อเรานี่แหละ

ยิ่งตอนนี้ เห็นพระเนตรท่านเลย พระเนตรท่านดำ สีดำนั้นแปลกแล้วก็ประหลาดคือดำ ไม่ใช่ดำมืดเหมือนนิลนะ ดำออกมันเขียวเคลือบสวยมาก ไม่รู้สินะ ใครเคยสังเกตบ้าง ถ้าไม่สังเกตขึ้นไปสังเกตอีกครั้งเถอะ ชื่นใจ

อาจเป็นเพราะผู้เขียนชอบซ่อมพระเนตรพระ คราวนี้ก็ร่วมกับคุณหมอนพพร ถวายพระเนตร เคยซ่อมพระเนตรพระที่อุตรดิตถ์ พระเนตรเก่าถูกขโมยไป ต่อมาก็ไปพบที่วัดเกาะหลัก จ.ประจวบ โบ๋เลย ก็ซ่อมถวายอีก หน้ากุฏิหลวงพ่อเจ้าคุณเกตุ เป็นญาติกันทางคุณย่า เป็นพี่น้องใกล้ชิดกันมาก อ๋อ เกือบลืมนึกว่าจบแล้ว

เมื่อถามพระพุทธองค์ ก็ชี้มือบอกเลยว่าคนนี้ตายแล้ว เขามายืนอยู่ พรุ่งนี้ศพจะมา คนนั้นขาขาด คนนั้นต้องรีบไปบนบวช เมื่อกลับมา คนนั้นไม่ได้ศพแต่ตาย เพราะวิญญาณมายืนอยู่ด้านหลัง และบอกเขาว่า ถ้ารู้ข่าวให้กลับมารายงานด้วย

เพราะจะได้ดูกันต่อไป พอ 9 โมงเช้าเขาก็มาตาย และจริงๆ มีมากมายขืนพูดก็เก่งใหญ่ อยากดังก็อย่าหวังสงบ แต่ตอนนี้ไม่สงบแล้ว ไปรอบอีสาน ใต้ เหนือ ภาคตะวันออกเดินสายขึ้นรถไฟรถยนต์ช้าไปเสียแล้ว วันที่ 17 ธันวาคม 2534 ก็ต้องขึ้นเครื่องบินไปลงอุบล 3 วัน สงบมั้ยคะ

นี่แหละคือวาจาสิทธิ์ แต่ต้องทำด้วยนะคะ ไม่ใช่คอยรับแต่วาจาสิทธิ์ คนเรามักเห็นแก่ตัว มักชอบแต่ขอไม่ชอบลงทุน ต้องลงทุนด้วยชีวิต รักษาศีล 5 ให้มีให้เกิดในตัวตน ทรงพรหมวิหาร 4 ให้ได้ เข้าที่ไหน ก็เย็นที่นั่น นี่ตามคุณประดิษฐ์ สกุลเวียงกาญจน์ ท่านพูดอยู่เสมอว่า คุณป้าทรงพรหมวิหาร 4 ใครมาเข้าใกล้ก็เย็นสุขไปหมด

ท่านผู้นี้รักเคารพท่านพ่อมาก แม้พระบูชาที่บ้านก็มีแต่พระท่านพ่อ พระอื่นจะไม่รับเลย เขาเจาะถุงลมมาถึง 2 ครั้ง แล้วผ่าตัดปอดเหลือซีกเดียว แต่เขาอยู่ได้ด้วยการจับพระอานาปา คือจับลมหายใจเข้าออก จิตจะได้ไม่ไปยุ่งกับขันธ์ 5 บางทีเรานั่งคิดอะไรเพลินๆ มีคนมายืนเรายังไม่รู้เลย

ก็จริงอย่างท่านว่านั่นแหละ ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว เขาจะทำตามท่านพ่อเสมอ แต่ไม่กล้าเข้าใกล้ท่านพ่อ กลัวเกรงมากทีเดียว แต่ไปไหนมาไหนก็พกแต่พระท่านพ่อ และจะกล่าวว่า ท่านพ่อเราองค์เดียวก็พอแล้ว มีพระที่ไหนอย่างหลวงพ่อเรา ไม่ต้องหาที่ไหนอีกแล้วมีองค์เดียวในโลก เขาจะพูดอย่างภาคภูมิใจ และมีความสุข ยิ่งตอนนี้ เขาได้รับมโนมยิทธิด้วยแล้ว รู้สึกจะเบากายใจมาก มโนมยิทธิได้ช่วยชีวิตคน

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคมนี้ ร้านแจ๊คบริการเป็นร้านส่งน้ำแข็งเครื่องดื่ม เจ้าของร้านฝ่ายแม่บ้าน ถ่ายท้องและอาเจียนเป็นเลือดออกมาแล้วก็แน่นิ่งไป ก่อนแน่นิ่งไปเขาพูดถึงรูปพระนางเรือล่มมา เขาบอกเขาได้ล็อกเก็ตรูปพระนางเรือล่มมา ถูกแย่งไปสักครู่ เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า นิพพานเบาๆ แล้วก็น็อคไปเลย

เราก็ดูลมหายใจเงียบ ชีพจรหยุด ขณะนั้นก็มีผู้เขียน บอลลูน สุดใจดูแลอยู่ พ่อบ้านและลูกๆ ค้าขายอยู่ชั้นล่าง ไม่รู้เรื่องว่าน็อคไป ผู้เขียนก็เริ่มกำหนดจิต ขึ้นข้างบน สำนักพระยายม พอไปถึงกราบท่านปู่พระยายมราช แล้วขอดูชื่อในบัญชี พอเปิดบัญชีของสำนักพระยายม มีชื่อจำปีเต็มหน้าสมุด (สีขาว) หัวหนังสือพอเห็นแล้วก็ขอบารมีท่าน

แล้วก็บอกว่าจำปีเขามีลูก เขามีภาระ บอลลูนก็ร้องไห้ เอาหนูไปเถอะเพราะหนูตัวคนเดียว พอได้ยินทำให้ผู้เขียนต้องร้องไห ร้องเพราะนึกถึงความดีของท่านพ่อ ที่มีลูกๆ รักกันสามัคคีกันแล้วก็มีความจริงใจต่อกัน แม้ชีวิตก็ให้กันได้ นี่แหละทำให้ตื้นตันใจ ปีติจนน้ำตาร่วง

แต่ที่น่าเสียดายที่สุดก็คือ คนป่วยพูดว่า นิพพานก่อนน็อค เราก็ยังขอชีวิตคืนอีก น่าเสียดายอย่างยิ่ง และขอสั่งลูกหลานและศิษย์ไว้เลยว่า ถ้าวันใดผู้เขียนพูดถึงนิพพานแล้วน็อคอย่างนี้ ใครมาขอหรือดึงไว้อีกจะสาปแช่งทีเดียว พูดไว้ก่อน แทนที่จะพ้นทุกข์ ดันดึงมาให้ทุกข์ต่อไปอีก ไม่รู้ว่าจะนานอีกเท่าไร

สรุปว่า ผลสุดท้ายไปโรงพยาบาล พอคนไข้ฟื้นก็บอกว่าขึ้นนิพพาน ไม่อยากกลับมา และบอกท่านย่าท่านแม่ให้กลับบ้าน ไม่ให้อยู่โรงพยาบาล พวกเราก็นำคนไข้กลับต้องเซ็นชื่อสามีในใบแพทย์ว่า เราไม่ให้ทางโรงพยาบาลรักษา จะให้รักษาได้อย่างไร

คนไข้เล่าว่า เข้าห้องตรวจ นายแพทย์ (หมอ) อ่านใบรายงานก็พูดขึ้นมาว่า “ไปแดกยาไทยมาซี” คนไข้ฟื้นพอดี แปลกแต่จริง เป็นนายแพทย์ปัจจุบัน แต่พูดใช้คำโบราณแถมแอนตี้ยาแผนโบราณ ไม่รู้เอาไงกันแน่

ผู้เขียนก็เลยบอกคนไข้ว่า ตอนนั้น น่าจะรวบรวมกำลังแล้วสงเคราะห์เขาให้รู้ตัว จะได้ไม่ไปใช้กับคนไข้อื่นให้เสียกำลังใจ
ถ้าเป็นผู้เขียนก็จะตอบว่า ไอ้เหี้ยเล่นมั่ว เขาจะได้รู้ว่า เขาใช้ภาษามั่วจนลืมจรรยาแพทย์ไป พูดแล้วเราก็เห็นเป็นเรื่องขำขัน

ถ้าตอนนั้นไม่พูดอย่างนี้ สามีคนไข้คงเอาเรื่องแน่ ตอนนั้น แพทย์คงนึกว่า คนนี้ไม่รอดมั้ง เพราะไม่หายใจ ชีพจรก็หยุดเต้น จริงๆ นะไม่น่าฟื้น อ้อ ตกลงที่สอบบัญชีเบื้องบน ปรากฏว่า นางจำปี นาคขำ ถึงที่จะตาย แต่นางจำปีของเรา นาคสวัสดิ์ (นามสกุลผิด) ท่านปู่พระยายม ปิดปัญชีขว้างปังลงบนโต๊ะ

แล้วคนไข้กลับถึงบ้าน ผู้เขียนก็เอาน้ำสไปรท์เทออกนิดหนึ่ง แล้วตอกไข่ไก่ไข่แดงใส่ลงในขวดสไปร์ท เอาหัวแม่มือปิดปากขวดเขย่า น้ำสไปรท์พุ่งเป็นสายยาว หัวหูเสื้อผ้าพวกที่ยืนข้างเตียงจะเป็นอย่างไร

ผู้อ่านลองนึกภาพดู หน้าตาเปียกปอนด้วยน้ำสไปรท์ ก็ได้หัวเราะกันอีกครั้ง ทั้งคนไข้ ผู้พยาบาลไข่ไก่แดงกับสไปท์ บำรุงหัวใจได้ดียิ่งกว่ายาบำรุงยี่ห้อดังอีกนะ ลองดูซี่ ไม่ต้องใส่ขวด ใส่แก้วปลอดภัยกว่า ไม่เบียดเบียนหน้าตาหัวหูเสื้อผ้า

ขอเนื้อที่อีกนิดเถอะค่ะ ถ้าคิดว่ามีประโยชน์บ้าง เพราะผู้เขียนก็มีความรู้ทางโลกแค่ ป.4 มัธยม 1 ยังไม่ได้สอบเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประจวบคีรีขันธ์ (บ้านเกิด) ส่วนทางธรรมก็ยังรบกับโลกีย์อยู่ ยังไม่เข้าโลกุตระ ความละเอียดยังไม่มี จึงมีความนุ่มนิ่มในการเขียนน้อยมาก

แต่เขียนมาได้ ก็เพราะบุญบารมีของท่านพ่อควบคุมอยู่ ถ้าจะอ่านที่มีความรู้และนุ่มนิ่ม ต้องเปิดหารูปถ่ายพี่หมอสมศักดิ์ สืบสงวน นั่นแหละได้เนื้อหาดี ตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่แห่งวัดท่าซุง ใจดีไม่รำคาญคนถาม ไม่เหนื่อยหน่ายในการตอบ (ไม่แน่นะถ้าหมอเถลไถลก็อาจต้องเกิดมา สังคายนาพระไตรปิฎกอีกก็ได้ใครจะรู้) อย่าช้านะพี่หมอ

ท่านพ่อเราจะหนีเรา พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ พอสำเร็จพระอรหันต์ ท่านก็ทิ้งเราไปแล้ว ทีนี้แหละจะเคว้งคว้างเหมือนใบไม้ที่หลุดลอย ไม่รู้ว่าจะร่วงลงตรงไหน กลัวลงโลกพระจันทร์ ขอขมาอภัยพี่หมอและผู้ตรวจด้วยที่บังอาจพูดล้อ ถ้าเป็นหนังจีนก็ตองบอกว่า ข้าสมควรตายและนั่งคุกเข่ารอคำสั่งให้ลุก

เรื่องอธิษฐานบารมีที่ได้ผล

เมื่อเป่ายันต์เกราะเพชร ครั้งแล้วๆ มา เข้าเฝ้าท่านพ่อที่ศาลารับแขก ท่านพ่อบ่นว่าเมื่อนี้ป่วยมาก
พอฟังแล้วก็พุ่งจิตขึ้นเฝ้านมัสการพระพุทธองค์ ขอบารมีพระองค์ท่าน ขอให้เจ้ากรรมนายเวรที่ไม่ยอมอโหสิกรรมให้ท่านพ่อ ข้าพระพุทธเจ้าขอรับกรรมนี้แทน อย่าให้ท่านพ่อป่วยอีกเลย

พอคืนนั้นได้ผล เพราะอาเจียนแล้วก็มีเสมหะมาก ตลอดคืน อันนี้มีคุณชอคุณเชิญรู้ เพราะเพราะนอนห้องเดียวกัน จนไม่ได้เข้าเป่ายันต์เกราะเพชร คุณชอยังพูดเลยว่าทำไมคุณไม่แผ่ส่วนบุญที่เราทำให้แทน ทำไมคุณจะต้องเอาตัวเข้ารับ ก็ตอบคุณชอไปว่าบุญท่านพ่อมีให้อยู่และศิษย์และลูกๆ ก็ให้อยู่แล้ว ยังไม่พอเราจึงคิดว่าเอาตัวเองรับคงมีผล แต่ก็มีผลจริงๆ

พอกลับบ้าน โทรฯ ถามคุณเพชร ว่าท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ก็บอกปีนี้ดีไม่เป็นอะไร ครั้งก่อน หมายถึงไม่ใช่ครั้งที่ผ่านมาก่อน ครั้งที่แล้ว เมื่อเห็นว่ามีผล ผู้เขียนก็ดีใจ มาเมือวันที่ 27 พ.ย. นี้นิมิตเห็นพ่อ ความรู้สึกว่าเหมือนจะป่วยโรคใหม่

ก็ขออธิษฐานอีกครั้งที่พระพุทธองค์ ขอรับก่อน อย่าให้เกิดกับท่านพ่อ ก็อยู่ดีๆ นะ พอกินอาหารเสร็จจะลุกขึ้น ก็เกิดปวดซีกด้านซ้ายมือ ปวดลึกๆ เย็นๆ ตั้งแต่ตะโพก ชายโครงปวดร้าว เกร็งๆ เหมือนตะคริวเข็งซีกหนึ่ง เดินปวดมาก พอปวดทีไรก็หน้ามืด

หมอนพพรให้ยารักษาอยู่ในเมืองกาญจน์ 6 วัน กลับกรุงเทพฯ พอบรรเทา พอเข้ากรุงเทพฯ วันที่ 10 ได้รับข่าวจากคุณชอว่า ท่านพ่อเป็นตะคริว ทุกวันนี้ผู้เขียนก็ยังไม่หายดี แต่บรรเทาบ้างเท่านั้น ลองใช้กันดู ถ้าใครอยากไปนิพพานเร็ว ก็อธิษฐานรับไว้ ช่วยท่านพ่อได้แน่นอน พูดตามประสาคนบ้าๆ บอๆ ผิดถูกประการใด ผู้เขียนขอยืนยันและขอรับผิดแต่ผู้เดียว

ความดีทั้งหมดที่ผู้เขียนมีบ้าง ก็ได้มาจากท่านพ่อพระราชพรหมยาน ส่วนความบ๊องก็มาจากสันดานของผู้เขียนเอง

◄ll กลับสู่สารบัญ


puy - 22/12/10 at 10:00

24

เมตตาของหลวงพ่อนั้นหาประมาณไม่ได้


วิบูลย์ มีชู


... นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

... ขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมา มีหลวงพ่อปานวัดบางนมโคเป็นที่สุด พรหมทั้งหลาย เทวดาทั้งหลาย ทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาลหาประมาณมิได้

....โปรดแผ่บารมี อวยพร อภิบาล คุ้มครองป้องกันรักษา หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ซึ่งเป็นที่เคารพรักบูชาสูงสุดของพวกเรา ขอให้ท่านมีพลานามัยแข็งแรง สามารถต่อสู้อุปสรรคต่างๆ จากเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายด้วยความเป็นสุข มีอายุยืนนาน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.....


พระผู้ใดเล่า เฝ้าสั่งสอนเรา
ด้วยเข้าใจศิษย์ ป่วยไข้ลำบาก
โรคมากชนิด ไม่เคยห่วงคิด
ชีวิตร่างกาย

สอนเรารู้จัก ทานศีลชวนชัก
นิพพานเฉิดฉาย ไม่สูญดังว่า
พาถอดใจกาย เยี่ยมชมดังหมาย
ได้อารมณ์ธรรม

พระคุณล้นฟ้า ยากนักจักหา
มาเทียมเทียบพร่ำ กราบรจนา
พรรณนาคำ พระคุณเลิศล้ำ
ลูกสำนึกคุณ

พ.ศ.2517 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นครั้งแรก พร้อมด้วย อ.เกศริน ภู่กร และคณะ ทุกคนต่างรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมาก เมื่อกลับจากวัดแล้ว ข้าพเจ้าได้ส่งเงินไปทำบุญ 100 บาท กราบเรียนท่านว่ามีทุนทรัพย์น้อย ท่านเมตตาตอบจดหมายฉบับแรกเป็นกำลังใจ

วัดท่าซุง อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท

10 ธันวาคม 2518

คุณวิบูลย์ มีชู

จดหมายของคุณ ฉันได้พร้อมธนาณัติหลายวันแล้ว แต่ที่ตอบล่าช้าไป เพราะขันธ์ 5 มันรวน ตอนนี้ค่อยดีขึ้นบ้าง จึงมีโอกาสตอบ เรื่องทำบุญ คุณอย่าคิดว่าน้อย บุญเป็นความดี ของดี แม้แต่เล็กก็มีค่าสูงส่ง เช่น “เพชร” แม้เม็ดเล็ก ก็มากราคาสูง ความตั้งใจของคุณจะสมประสงค์ได้แน่นอน เพราะมองดูแล้ว เวลานี้ กระแสใจสะอาดพอสมควร

คุณจงพยายามคิดไว้เสมอว่า “เราจะต้องตาย” เมื่อตายแล้ว สมบัติอื่นเราเอาไปไม่ได้ นอกจากความดีกับความชั่ว ถ้าเอาดีติดตัวไป เราก็มีสุข ถ้าเอาชั่วติดตัวไป เราก็มีทุกข์ เราทำดีไว้ สนใจในความดีเป็นปกติ ไม่ละเมิดศีล มีเมตตา ไม่อิจฉาริษยาใคร มีอารมณ์เป็นสุข หาทางสร้างความสุขด้วยความสงเคราะห์ มีสัจจะในความดี

เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็มีความสุข เป็นคนดี เมื่อตายแล้วก็มีความสุข เป็นผีดี ถ้าคิดว่า ความเกิดเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราไม่ต้องการความเกิดต่อไป ตั้งใจไว้เสมออย่างนี้ หมดความเมาในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เท่านี้สบายใจบอกไม่ถูก คุณตามฉันทันแน่...

ขอผลบุญที่คุณประสงค์ จงสำเร็จตามที่คุณตั้งใจในชาติปัจจุบันนี้ โดยฉับพลันเถิด

...............................................

(พระมหาวีระ ถาวโร)

ระยะนั้น คนยังไม่มากนัก หลวงพ่อยังมีภาระไม่มาก และไม่อาพาธหนักเหมือนปัจจุบัน ท่านเมตตาตอบจดหมายข้าพเจ้าเป็นฉบับที่ 2

ห้องสมุดนวราชบพิตร ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน ต.น้ำซึม อ.มโนรมณ์ จ.ชัยนาท

6 มกราคม 2519

คุณวิบูลย์

จดหมายและธนาณัติของคุณลงวันที่ 2 ม.ค.2519 ฉันได้รับแล้ว ตั้งแต่ตอนเย็นวันที่ 5 ม.ค. นี้ ขออนุโมทนาที่กรุณาส่งปัจจัยมาร่วมบำเพ็ญกุศล การที่คุณมีจดหมายมาแล้ว ฉันตอบ ฉันเห็นว่าเป็นกฎธรรมดา และระเบียบที่จะต้องปฏิบัติ เพราะเป็นจดหมายที่มีใจความ มีคุณค่าในทางความดี ถ้าเป็นจดหมายที่หาสาระไม่ได้ ฉันก็โยนลงตะกร้าเสียไม่น้อยเหมือนกัน

ฉันขอขอบคุณ ที่ลอกจดหมายเผยแพร่ เป็นสาธารณะ ถ้าจดหมายของฉันเป็นประโยชน์ขนาดนั้นก็ดีใจมาก แต่ความรู้สึกของฉัน ฉันคิดว่า อารมณ์คุณเข้าถึงธรรมดีแล้วมากกว่า จึงเห็นว่าจดหมายนั้นมีค่ามากจนถึงกับคัดลอกแจกจ่ายแก่คนอื่น การทำแบบนั้น ถ้าจดหมายมีคุณค่าในทางความสุข ท่านก็จัดว่าเป็นธรรมทาน มีผลเป็นมหากุศล ด้วยพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ว่า

“สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ” แปลว่า การให้ธรรมเป็นทาน ชนะทานทั้งปวง

การที่คุณเผยแพร่ธรรม แม้เป็นธรรมเล็กน้อยในวงจำกัด แต่ก็เป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจบ้างตามควร จึงจัดอยู่ในเกณฑ์มหากุศล ขอผลความดีนี้ จงส่งผลให้คุณมีโอกาสเข้าถึงธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว ในชาติปัจจุบันนี้เถิด

ขอได้รับความนับถือ

......................................

(พระมหาวีระ ถาวโร)

หลวงพ่อให้ชีวิตครั้งที่ 1

พ.ศ.2518 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดท่าซุงอีกหลายครั้ง แม้ในขณะนั้นตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน เป็นท้องแรก ข้าพเจ้าได้กราบขอพรหลวงพ่อ ขอให้คลอดง่ายๆ ท่านเมตตาเคาะศีรษะ พร้อมกับพูดล้อว่า “ถ้าอยากคลอดง่ายๆ ก็ใช้น้ำมันวาสลินสิ”

กลับจากวัดไม่กี่วัน ข้าพเจ้าก็ได้รับอุบัติเหตุ ขณะที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปตลาดเกิดปะทะกับรถอีกคันหนึ่งที่สวนทางมา ข้าพเจ้าตกจากรถกระแทกที่พื้น แม่ค้าที่ตลาดร้องเสียงหลง พากันวิ่งมาดู ข้าพเจ้ามีเลือดตกเล็กน้อย ขัดยอก บาดแผลบางส่วน แต่ก็ปลอดภัย

ครบกำหนดคลอด เนื่องจากอายุมาก สภาพร่างกายไม่ปกติ ได้รับการผ่าตัด ก่อนจะเข้าห้องผ่าตัด ท้องเดิน อ่อนเพลีย ต้องให้ออกซิเยน ได้ยินเสียงหมอพูดว่า “เอาออกซิเยนมาเร็ว เปลือกตาซีดหมดแล้ว และ...สูดเข้าไปแรงๆ” ความรู้สึกในขณะนั้นผุดขึ้นมาว่า “เราอาจจะต้องตาย...ตายก็ตาย... ตายแล้วเราจะไปอยู่กับพระ” ความรู้สึกนี้ได้กราบเรียนถามหลวงพ่อในเวลาต่อมาว่า ถ้าตายจริงๆ ในขณะนั้นข้าพเจ้าจะไปนิพพานได้ไหม ท่านตอบว่า “ได้” และบอกต่อไปว่า “นี่แหละ บางคนไปนิพพานง่าย บางคนไปนิพพานยาก”

คุณป้าสมพร พลไวย์ ท่านผู้นี้มี “ตาดี” หลายปีต่อมา วันหนึ่งขณะนั่งสมาธิอยู่ด้วยกัน คุณป้าถามว่า “คุณวิบูลย์ คุณเคยตกมอเตอร์ไซค์ขณะที่มีท้องบ้างไหม” ข้าพเจ้าตอบรับท่าน คุณป้าบอกว่า “คุณโชคดีมากนะ ข้างบนท่านบอกว่า คุณจะต้องตาย คุณจะต้องถูกรถทับเสียชีวิตพร้อมกับลูกในท้อง ตามความเป็นจริง...แต่นี่คุณไปทำบุญมาดี คุณจึงปลอดภัย” ข้าพเจ้าเสียววูบเลย เพราะบารมีหลวงพ่อเมตตาแท้ๆ จึงรอดมาได้

อีกท่านหนึ่งคือ อ.เกศริน ภู่กร มีครั้งหนึ่งได้โทรฯ ไปที่บ้านถามว่า ข้าพเจ้าเคยเกือบจะเสียชีวิต จากการผ่าตัดไหม ข้าพเจ้าตอบว่า “เคย” ท่านถามเพราะต้องการคำยืนยัน เนื่องจากบุตรสาวคือ คุณอภิญญา ฝันเห็นพระพุทธองค์เสด็จมาที่สนามหน้าบ้าน เทวดามามากมายสว่างไสว ข้าพเจ้าได้ยืนรับเสด็จอยู่ข้างๆ คุณอภิญญา ท่านประทานพรให้คุณอภิญญา และยกพระหัตถ์ชี้มาทางข้าพเจ้า และตรัสบอกคุณอภิญญาว่า ข้าพเจ้าเกือบตายมาแล้วจากการผ่าตัด คุณอภิญญาก็เลยให้คุณแม่ถามข้าพเจ้า เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า พระเมตตาของหลวงพ่อนั้น สุดที่ข้าพเจ้าจะลืมได้

หลวงพ่อให้ชีวิตครั้งที่ 2

มีนาคม 2534 ข้าพเจ้าฝันว่า เดินอยู่ในซอยใกล้บ้าน ทันใดนั้นก็มีเสือ สิงโต สัตว์ป่าร้ายหลายชนิด เดินเข้ามาหาจะทำร้าย ข้าพเจ้าก้าวขาไม่ออกคิดว่าหนีไม่รอดแน่ ก็เลยนั่งหลับตาทำสมาธิคิดว่า “เอ้า จะทำอะไรก็เชิญ ตายเป็นตาย” แต่ประเดี๋ยวเดียว เมื่อลืมตาขึ้นไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด จึงลุกขึ้นเดินกลับบ้าน เห็นหลวงพ่อท่านพูดว่า “ปีนี้เป็นปีมรณะสำหรับเรานะ”

ข้าพเจ้าได้ตอบท่านว่า ลูกข้าพเจ้ายังเล็กและข้าพเจ้าอยากให้ลูกเป็นคนดี เพราะคิดว่าถ้าขาดแม่ ชีวิตคงไม่สมบูรณ์ จิตข้าพเจ้ารับได้ว่า ให้รีบไปปล่อยปลาเสีย พอรุ่งเช้า กระถางว่านช้างเผือกกับเสน่ห์จันทร์ขาวหายไป ระยะนั้นกำลังเป็นที่นิยมมีราคา ก็เลยคิดว่าฟาดเคราะห์ไป ต่อมา ได้มีโอกาสพบร่างทรงท่านพ่อสุนทรที่พิษณุโลก ท่านบอกข้าพเจ้าหมดอายุขัยแล้ว แต่ท่านเห็นแขนพระพุทธรูปองค์ใหญ่กั้นไว้อยู่

ได้ไปทำบุญประจำปี ที่วัดท่าซุงพร้อมกับลูกทั้งสอง ปีนี้แปลก หลังจากหลวงพ่อให้พรแล้ว ท่านประกาศว่า “พิษณุโลก กับบุรีรัมย์ อย่าเพิ่งกลับนะ” ข้าพเจ้าสะดุดใจทันที ตัดสินใจอยู่ต่อ ทั้งที่วันรุ่งขึ้นเป็นวันเปิดเรียนต้องทำการสอน ในคณะที่ไป ก็อยู่ต่ออีกหลายคน

บ่ายวันรุ่งขึ้น มีเสียงตามสายให้ไปรวมกันที่ตึกกองทุน ได้ยินหลวงพ่อท่านพูดว่า คนมากเกินความคาดหมาย เพราะคณะอื่นที่ไม่ได้สั่งอยู่ด้วย ในขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมาประทับทรง มีผู้ถวายหมากให้ท่านเคี้ยวไปเรื่อยๆ และสนทนากับหลวงพ่อไป เสียงหลวงพ่อพูด “กรุนั้นสิ กรุนี้สิ ไว้แจกลูกแจกหลาน” ท่านพากันคุยไปหัวเราะไป พอท่านบ้วน เขาเอาพานรองรับ บ้วนออกมาเป็นพระยอดธง อัศจรรย์มาก ออกมาทีละเกือบ 10 องค์ คนก็เบียดเสียดบูชาองค์ละ 100 บาท

ท่านเปลี่ยนทิศที่นั่ง เขาก็ถวายหมากไปเรื่อยๆ บ้วนน้ำหมากทีไรกลายเป็นพระทุกที ข้าพเจ้าได้พระสังข์กระจายเงินองค์เล็กๆ ไม่ค่อยมีใครได้ ส่วนใหญ่เป็นพระยอดธง คงจะเหมะสำหรับแต่ละคน ยังอุ่นๆ เหมือนออกจากเบ้ามาใหม่ๆ เอามาขีดที่ฝ่ามือมีรอยเขม่าดำๆ อัศจรรย์จริงๆ คนที่ได้พระมีไม่มากนัก แล้วแต่ท่านจะมอบให้ใคร

มโนมยิทธิของข้าพเจ้า

มโนมยิทธิของข้าพเจ้า ไม่แจ่มแจ้งเหมือนคนอื่นๆ ข้าพเจ้าพุ่งจิตไปตามความเข้าใจ อาศัยที่โชคดี มีโอกาสพบกับกัลยาณมิตรที่ดี ผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือทั้งทางโลกและทางธรรม ทำให้ข้าพเจ้าได้ยิน ได้ฟัง ได้รับคำแนะนำ ในความรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์เสมอ เช่น อ.สันต์ ภู่กร อ.เกศริน ภู่กร คุณป้าสมพร พลไวย์ และอีกหลายท่านที่ไม่ได้เอ่ยนามในที่นี้

ซึ่งข้าพเจ้าได้ระลึกถึงท่านด้วยความขอบพระคุณเสมอ เมื่อไม่เก่งก็ได้อาศัย “ตาใน” ท่านติดตามดูจิตว่าไปได้หรือไม่ เมื่อท่านยืนยันว่าไปได้ เห็นจิตที่สามารถพุ่งไปนั่งในวิมานได้ ก็สบายอกสบายใจว่าไปได้กับเขาเหมือนกัน ซึ่ง อ.เกศริน เคยล้อว่า “คนบางคนกลัวจะไปไม่ทันเขา เห็นไปก่อนเขาทุกที” อ.สันต์ ภูกร เคยพูดถึงข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าดื้อ ใครเขาจะบอกว่าไปได้หรือไม่ได้ก็ช่าง ไม่สนใจ จะไปซะอย่าง “มันดื้อดีว่ะ” แต่หลวงพ่อท่านเคยพูดกับข้าพเจ้าว่า “อย่าขี้เกียจนักซี”

ข้าพเจ้าชอบหากินทางฝัน ซึ่งมักจะบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าเสมอ เคยกราบเรียนหลวงพ่อ ท่านบอกว่าข้าพเจ้าเคยได้ทิพยจักขุญาณในอดีต แต่เป็นทิพยจักขุญาณอย่างอ่อน

ตอนแจ้งคืนหนึ่ง ในปี 2531 ข้าพเจ้าฝันว่าได้นั่งรถตุ๊กๆ มีพวงมาลัยอยู่บนเพดาน ผู้ชายเป็นคนขับ มีความรู้สึกว่า คนขับเป็นพวกเดียวกับคนโดยสารอีก 3 คน ที่นั่งอยู่ ผู้หญิงคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเป็นแม่กับลูกสาว อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านขวา มีความรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงล้อม รู้สึกวังเวง กลัวนิดๆ แต่ทำเป็นนั่งเฉย

ทันใดนั้น แม่ลูกต่างก็ยื่นมือทั้งสองมา ประกบมือข้าพเจ้าทั้งสองข้าง ความรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต ต่างกระชากมือกลับ ข้าพเจ้าก็สะดุ้ง ลูกสาวมองดูหน้าแม่เป็นเชิงถาม เพราะคาดไม่ถึง ทำไมเป็นแบบนี้ แม่บอกลูกสาวว่า “เขามีวิชา” แม่หันไปบอก เพื่อที่นั่งคุมเชิงข้าพเจ้าทางขวามือว่า “ทำผมกระเซิงสิ” จะให้ใช้วิธีใหม่ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ทำ ข้าพเจ้าเห็นไม่เป็นการ พอรถหยุด ก็ลงรถจากมา เมื่อสะดุ้งตื่นยังขนลุก แสดงว่าไปเจอดีมาจริงๆ หรือท่านจะให้รับรู้ถึง “มโนมยิทธิ”

ท่านลุงพุฒิรับรอง

ข้าพเจ้าชอบถวายสังฆทาน และชอบชักชวนญาติมิตร เพื่อนฝูงถวายด้วย แม้กระทั่งนักเรียนที่สอน และแนะนำให้อ้างพระยายมราชเป็นพยาน ทำบุญอะไรก็ให้อ้างทุกครั้ง ตามอย่างที่หลวงพ่อแนะนำ

ปี 2533 ข้าพเจ้าฝันว่ามีผู้ชายวัยกลางคน ลักษณะชาวบ้าน นุ่งโสร่ง ใส่เสื้อคอกลม เรียกข้าพเจ้าเข้ามาหาและโอบไว้ด้วยแขนข้างขวาแล้วพูดว่า “มาถ่ายรูปซิ” คุณลุงเมี้ยน ท่านผู้มีพระคุณที่ “ตาดี” อีกท่านหนึ่ง บอกข้าพเจ้าว่า ท่านลุงพุฒิ ท่านมาแสดงภาพให้รู้เป็นหลักฐานว่า ทุกครั้งที่อ้างท่าน ท่านรู้แล้ว (ระยะนั้นสามีข้าพเจ้าได้ชวนครูที่โรงเรียน ถวายสังฆทานพระพุทธรูป ผ้าไตร)

อธิษฐานบารมีมีผล

หลวงพ่อบอกเสมอว่า อธิษฐานบารมีมีผล ทำบุญอะไรให้อธิษฐาน จะได้แน่นอนและตรงจุด ข้าพเจ้าชอบอธิษฐานบารมี และมีผลหลายครั้งดังนี้

- ระยะแรกๆ มาวัด ลูกยังเล็ก ทำจิตอธิษฐาน ขอให้ได้พักห้องข้างล่างที่ไม่มีชั้นบน ให้ได้เพื่อนร่วมห้องที่ดี ก็มักจะเป็นไปตามนั้น

- มาถึงวัดแล้ว ปวดเอว ปวดที่สะโพกมาก จนคิดว่าปฏิบัติธรรมจะไม่ไหว พบเพื่อนร่วมห้องบอกว่า เป็นร่างทรงรักษาโรค “ท่านปู่พระอินทร์” (ระยะนั้น หลวงพ่อยังไม่ได้ห้าม) เวลารักษาท่านจะบีบให้แต่ต้องทนนะ จะเจ็บมาก ข้าพเจ้าก็อธิษฐานไม่ให้เจ็บ ก็เป็นไปตามนั้น และหายปวดด้วย และเมื่อถามว่าเคยรักษาคนอื่น ท่านทำให้เบาแบบนี้มาก่อนไหม ท่านบอก “ไม่เคย”

- เวลาเดินทาง อธิษฐานให้ได้ที่นั่ง เพราะคนแน่นก็มักจะได้ที่นั่งเสมอ มีครั้งหนึ่ง รถไฟใกล้จะเข้ามาจอดเทียบสถานีแล้ว ดูตามเวลาก็อธิษฐานจิต ว่าคาถา “อิทธิฤทธิ พุทธนิมิตตัง ขอเดชะ เดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่ง แก่มะอะอุ นี้เถิด” ประเดี๋ยวเดียว ก็มีคนขี่มอเตอร์ไซค์มาทักว่าจะไปไหน ถ้าเดินไปไม่ทันหรอก รถไฟใกล้จะเข้าเทียบแล้ว และเขาก็ไปส่งให้

- ทำบุญที่บ้าน เพราะมีพระอริยะมาพัก 1 คืน ไม่มีใครช่วย จุดธูปอธิษฐานบอกเทวดา ประมาณชั่วโมงก็มีคนที่คุ้นเคยมาพร้อมกับลูกสาว บอกว่า “เป็นห่วงเห็นพี่ไม่มีใคร เลยพาลูกสาวมาช่วย”

- มีความปรารถนาจะเป็นเจ้าภาพสวดศพเจ้าอาวาสวัดเจดีย์ยอดทอง ที่ท่านมรณภาพ เพราะมีความเคารพนับถือ เคยชักชวนญาติมิตร ไปถวายสังฆทานกับท่านเสมอ ขณะนั้นเผอิญไม่อยู่ ไปกฐินที่เชียงใหม่ กลับมาเขามีเจ้าภาพรับหมดแล้ว ใจเราจดจ่ออยากจะเป็นเจ้าภาพในคืนที่เราไปฟังสวดศพ ก็ให้บังเอิญ รอเท่าไร เจ้าภาพที่รับไม่มา ก็เลยไปยื่นความจำนงขอรับเป็นเจ้าภาพแทน (แต่คิดว่าไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่)

สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ
เทวดามีจริง สวรรค์มีจริง นิพพานมีจริง ไม่มีข้อสงสัย และยังมีหลักฐานให้รับรู้ด้วย

ปี 2533 ไปถวายสังฆทานอุทิศให้ท่านเจ้าอาวาสวัดเจดีย์ยอดทอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก ที่ท่านมรณภาพ ไปที่วัดใหม่พันปี ท่านบัณฑิต ท่านรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดใหม่พันปี เป็นผู้รับสังฆทานที่ข้าพเจ้าและเพื่อนครูนำไปถวาย ท่านเป็นผู้มีตาใน ก่อนจะถวาย ข้าพเจ้าทำจิตให้เป็นสมาธิ เชิญท่านแม่ ท่านย่า เทวดาทั้งหลายมาโมทนาด้วย โดยไม่ได้บอกเล่าให้พระหรือบอกเพื่อนครูว่า ข้าพเจ้าคิดอย่างไร ก็เห็นแต่ข้าพเจ้ายกสังฆทานถวายเฉยๆ

ท่านบัณฑิต ท่านมีท่าทางแปลกๆ ทันที (ท่านไม่เคยเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ) ท่านลุกปุบปับ เข้าไปในห้องของท่านนาน พอท่านออกมาท่านก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่พอข้าพเจ้าจะลากลับ
ท่านพูดขึ้นว่า “เอามาขู่เหรอ” ข้าพเจ้าเข้าใจทันที เนื่องจากมีความคุ้นเคยนับถือ พูดเล่นได้ เลยถามท่านว่า “ท่านมากันมากเหรอคะ”
ท่านบอกว่า “มากันเยอะเลย พระใหญ่ๆ มาตั้ง 2 องค์ สมเด็จโต ก็มา ตกใจหมดเลย เลยสวดอิมินา ผิดๆ ถูกๆ ต้องเข้าไปในห้อง ไปเอาพระมากลัดไว้ที่จีวรนี่”

ท่านแสดงหลักฐานให้ดู ซึ่งข้าพเจ้าก็คาดไม่ถึง เลยถามต่อว่า คราวก่อนที่พาเพื่อนๆ มา ท่านไม่ค่อยเต็มใจต้อนรับ ก็มามากใช่ไหม เพราะสะดุดใจตั้งแต่คราวที่แล้ว ท่านบอก “ใช่”

ท่านบัณฑิต เป็นพระที่ไม่มีทิฐิมาก ท่านยอมบอกคนโง่อย่างข้าพเจ้า ซึ่งถ้าท่านไม่บอก ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ จึงขอกราบขอบพระคุณท่าน ณ ที่นี้ด้วย จะเห็นได้ว่า พระเมตตาของหลวงพ่อนั้น หาประมาณไม่ได้จริงๆ คงจะเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด วนเวียนไปมาอยู่อย่างนี้ ถ้าเราไม่ได้พบกับหลวงพ่อ เราจะรู้ทางเดินไปนิพพานด้วยความเข้าใจอย่างนี้หรือ

ทุกคำเลยหนอ พ่อเคยเอ่ยอ้าง
ไม่มีอำพราง กระจ่างตามจริง
หาเอยหาไหน ด้าวใดแดนถิ่น
ลูกน้ำตาริน สิ้นคำพรรณนา

◄ll กลับสู่สารบัญ



25

ชอบปฏิปทาหลวงพ่อ


สมพงษ์ รัตนพานิช


... ผมสมพงษ์ รัตนพานิช ปฏิปทาหลวงพ่อเริ่มสร้างโบสถ์ ถ้าผมจำไม่ผิดคงจะปี 2517 ผมฟังวิทยุ 04 หลวงพ่อออกอากาศทางวิทยุ ผมเก็บดอกงิ้วขายได้ 40 กว่าบาท ส่งธนาณัติ มาสร้างโบสถ์กับหลวงพ่อ และต่อมาก็มาหาเป็นประจำ

... มีครั้งหนึ่ง ผมเอารถเครื่องมากับพวกด้วยกันสองคน และวันที่ผมมา หลวงพ่อปรารภกับคนที่อยู่กับท่านว่า วันนี้จะมีคนมา 4 คน 2 คนจะมาลองหลวงพ่อ และอีกสองคนที่มีของมาจะไม่มีพิษมีภัย

...ผมเป็นคนที่มีของไปในวันนั้น เมื่อผมเข้าไปนมัสการหลวงพ่อ หลวงพ่อถามว่า มากี่คน เรื่องที่เล่ามานี้ผมรู้ตอนจะกลับ คนที่อยู่กับหลวงพ่อเล่าให้ฟัง และต่อมามีคนฝากปัจจัยให้ผมมาถวายหลวงพ่อ ผมใส่ซองรวมกัน


พอส่งถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อถามเลยว่า ฝากมากี่คน ท่านรู้ว่ามีคนฝากมาทำบุญ และมีครั้งหนึ่งก่อนจะมานมัสการหลวงพ่อ ใจนึกว่าจะแต่งตัวยังไงก็ไปได้ พอมานมัสการหลวงพ่อ ก็พูดดักหน้าพูดว่า ยังไง ก็ไปได้ และบางครั้งอยู่บนศาลา นึกในใจว่าหลวงพ่อคงจะเป็นพระอรหันต์กระมัง พอนึกปั๊บ หลวงพ่อก็พูดทันควันขึ้นมาเลยว่า ใครอย่าเข้าใจนะว่าฉันเป็นพระอรหันต์นะ

ผมชอบปฏิปทาหลวงพ่อ ถ้าท่านอยากจะรู้อะไรท่านจะรู้หมด ไม่มีสิ่งใดที่หลวงพ่อไม่รู้ไม่มี ผมรู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างสูงที่เกิดมาชาตินี้ไม่เสียชาติเกิด และผมขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยว่า ทุกคนที่ได้ทำบุญกับหลวงพ่อ คงจะคิดเหมือนผมว่า ไม่เสียชาติเกิด และยังจำใส่ใจผมอยู่เสมอ ครั้งแรกที่มานมัสการ หลวงพ่อพูดว่าบุญนะไอ้หนูที่ได้มา และยังอีกหลายอย่างที่ประทับใจผม

เรื่องน้ำมันชาตรีก็เหมือนกัน ผมได้เช่าไปใช้ทุกครั้ง ก่อนจะมาใช้น้ำมันชาตรี วันหนึ่งผมเจ็บคอ เลยอาราธนาน้ำมันชาตรีใช้ทาและกิน รุ่งขึ้นเช้าหายเจ็บและมีความรู้สึกว่าในคอจะมีเม็ดขึ้นรอบคอ (ข้างในลำคอ) พอใช้น้ำมันชาตรีเพียงสองสามครั้ง ก็หายเจ็บคอ (ผมใช้น้ำมันหลวงพ่อมาก่อน จะมาเปลี่ยนเป็นน้ำมันชาตรี) น้ำมันหลวงพ่อผมเช่าให้พวกบ่อยๆ ทุกครั้งที่มานมัสการหลวงพ่อ

ผมขอบุญกุศลในอดีตชาติและปัจจุบัน ที่ทำมา ถวายหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ให้มีสุขภาพดี เป็นที่พึ่งของลูกๆ หลานๆ ให้นานเท่าที่จะนานได้

◄ll กลับสู่สารบัญ



26

บันทึกความจำ


วัลลภา ไชยยศ - สุวภา นิยมไทย


...ก่อนที่จะบันทึกความจำลงในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 3 นี้ ข้าพเจ้าทั้งสองขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อ ที่สุดเคารพ สุดบูชาของข้าพเจ้าองค์นี้เจ้าค่ะ

...ไม่เคยมีครั้งใด ที่มีโอกาสได้กราบหลวงพ่อ แล้วข้าพเจ้าจะคิดเบื่อหน่ายหรือไม่อยากไปวัดหรือไปซอยสายลม ข้าพเจ้าอยู่ต่างจังหวัด ถ้าหากมีธุระที่กรุงเทพฯ ไม่ด่วนหรือไม่จำเป็นแล้ว ข้าพเจ้าจะรอวันที่หลวงพ่อเข้าซอยสายลม เพื่อได้กราบหลวงพ่อ ได้ทำบุญ ถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ในความรู้สึกลึกๆ เกิดปีติมาก และมั่นใจว่าทำบุญกับหลวงพ่อแล้ว ได้รับผลบุญเต็มจริงๆ

...ข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าถึงนิพพาน ในชาติปัจจุบัน ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่มีจงอย่าปรากฏกับข้าพเจ้า จนกว่าจะเข้าพระนิพพาน ตามที่หลวงพ่อสอน ข้าพเจ้ารู้จักพระนิพพาน เมื่อได้อ่านหนังสือหลวงพ่อเป็นครั้งแรก และรู้ จักพระนิพพานลึกซึ้ง เมื่อได้ฝึกมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าทั้งสองตั้งใจไว้ว่าจะต้องทำทุกอย่างตามที่หลวงพ่อสอนจนกว่าจะหมดอายุขัย ในชาติปัจจุบันนี้ เพื่อพระนิพพานในที่สุด

เมื่อ พ.ศ.2527 ข้าพเจ้าอยู่วัดท่าซุง เพื่อฝึกกรรมฐานและมโนมยิทธิ 6 วัน วันแรกที่กราบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเขียนรายการทำบุญหน้าซองจดหมาย จำได้ว่าเกินกว่า 5 รายการ พอวางถวาย หลวงพ่อพูดทันทีว่า รายการยาวเหยียด แต่ไม่มีห้องส้วม ซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้ถวายสร้างห้องส้วมจริงๆ

ครั้งหนึ่ง งานเป่ายันต์เกราะเพชร ตอนนั้นหลวงพ่อยังเป่ายันต์รอบสุดท้าย 6 โมงเย็น ข้าพเจ้ายืนรอส่งหลวงพ่ออยู่ที่หน้าพระชำระหนี้สงฆ์ใกล้ๆ กับรถหลวงพ่อที่จอดที่ศาลา 3 ไร่ พอข้าพเจ้าคุกเขาเพื่อเอาเงินถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อยิ้มและพูดว่า ไอ้ขี้หมา หลวงพ่อจะล้มทับอยู่แล้ว ข้าพเจ้าปีติมาก ในความรู้สึกอยากจะแบ่งเบาภาระความเหนื่อยจากหลวงพ่อมาเสียเอง

งานเป่ายันต์เกราะเพชร ข้าพเจ้าและคณะไปถึงวัดท่าซุงประมาณ 5 โมงเย็น และเตรียมร้านเตรียมอาหาร ไว้เพื่อขายอาหารในวันรุ่งขึ้น เย็นนั้นไม่ได้ไปกราบหลวงพ่อ พอตกกลางคืนประมาณ 2 ทุ่ม ที่วิหาร 100 เมตร พบกับคุณหมอจรูญและหมอหญิง หมอจรูญเล่าให้ฟังว่ามีโทรศัพท์จากเพชรบูรณ์มาถามหลวงพ่อว่า เป่ายันต์มีรอบไหนบ้าง

คุณหมอจรูญ กราบถามว่า คณะเพชรบูรณ์ใช่ไหมที่โทรศัพท์มา หลวงพ่อตอบว่า ไม่ใช่หรอก คณะนี้มาถึงตั้งแต่ 5 โมงเย็นแล้ว คณะนี้เขาเอาจริง ข้าพเจ้าและคณะก็ปลื้มใจมากไปตามๆ กัน หลวงพ่อทราบ ทั้งๆ ที่คณะเรายังไม่ได้พบกับหลวงพ่อ

วันที่ 9 ตุลาคม 2534 ข้าพเจ้าได้กราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุง วันนี้หลวงพ่อป่วยมาก ความดันโลหิตก็ขึ้นสูง หน้าหลวงพ่อบวม เป็นหวัดไออยู่ตลอด หลวงพ่อขากเสมหะอยู่ตลอด และหลวงพ่อต้องใช้ยากวาดคออยู่บ่อยมาก หลวงพ่อก็ยังมีเมตตา ลงรับแขก

ขณะที่หลวงพ่อเดินเข้ามา หลวงพ่อยิ้มเดินตรงมาที่ข้าพเจ้านั่งรออยู่ หลวงพ่อถามหัวหน้าทีมมากันกี่คน
วันนี้ข้าพเจ้าตอบครบ 11 คน (ไม่ลืมตัวเองเพราะข้าพเจ้าเคยลืมนับตัวเองให้หลวงพ่อท้วง)
ด้วยพระเมตตาของหลวงพ่อหันมาถามข้าพเจ้าหลายครั้งว่า มีเรื่องจะคุยไหม
ซึ่งเป็นที่ซาบซึ้งมาก ข้าพเจ้าก็ได้แต่ตั้งจิตอธิษฐานในผลบุญที่ทำแล้วอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรของหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อหายป่วย

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2534 ข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อที่ซอยสายลม ขณะที่เดินเข้าไปถวายสังฆทาน หลวงพ่อยิ้มสดชื่น เสียงหลวงพ่อดีขึ้นมาก หน้าหายบวม เท่านี้ข้าพเจ้าก็ดีใจ จนไม่สามารถจะบรรยายออกมาได้

เมื่อประมาณปี พ.ศ.2533 น้องสุวภาพ และน้องพิทยา นิยมไทย ซึ่งเป็นสามีน้องสุวภา เดินทางโดยรถส่วนตัวจากกรุงเทพฯ จะกลับเพชรบูรณ์โดยเส้นทางสายสุพรรณบุรี ซึ่งกำลังก่อสร้าง ถนนขรุขระมาก ตั้งใจว่าจะแวะกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ระหว่างทางรถตกในหลุมใหญ่ พอขึ้นมาได้รถเสียหลักการทรงตัวทำให้บังคับการขับไม่ได้ดี แต่ด้วยความตั้งใจ จะแวะกราบหลวงพ่อให้ได้ก็พยายามขับรถจนถึงวัดท่าซุง ซึ่งก็ถึงก่อนเวลาที่หลวงพ่อจะเลิกรับแขก 15 นาที กราบหลวงพ่อถวายสังฆทานเสร็จ

หลวงพ่อก็ทักว่า รถเป็นอะไรไปหรือ ซึ่งเป็นที่ซาบซึ้งแก่น้องทั้งสองมาก
และอีกครั้งหนึ่งน้องทั้งสองกลับจากเชียงใหม่ ด้วยความรีบร้อนไม่ได้เติมน้ำมันมา พอถึงเข็กใหญ่ จ.พิษณุโลก เข็มบอกว่า น้ำมันจะหมดไฟแดงขึ้น จนถึงแคมป์สน ซึ่งห่างจากเข็กใหญ่ประมาณ 60 กม. เป็นเวลา 4 ทุ่ม ปั๊มน้ำมันปิดแล้ว และเรียกเจ้าของปั๊มบอกว่า เพิ่งจะปิดเดี๋ยวนี้เอง ยังไม่ได้นอน เพราะบารมีหลวงพ่อช่วยแท้ๆ ซึ่งทั้งสองครั้งนี้ ทำให้น้องทั้งสองเดินทางมาถึงเพชรบูรณ์ด้วยความปลอดภัย

ข้าพเจ้าทั้งสองมีความมั่นใจว่า จะปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอนทุกประการ เพื่อจะไปถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 4/1/11 at 14:06

27

หลวงพ่อกับเหตุการณ์ ระหว่างปี พ.ศ. 2518 – 2520 ตอนที่ 1


พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน



... พอเริ่มต้นจะเขียนต่อจากตอนที่ 1 ในลูกศิษย์บันทึกเล่ม 2 ผมก็เห็นความเลวของผมแล้วว่า ความจริงเป็นเหตุการณ์ระหว่างปี 2517 ถึง 2520 ผมลดไปเสีย 1 ปี เพราะสัญญา (ความจำ) ของผมเป็นอนิจจังจริงๆ ตามที่ผมได้บอกไว้แล้วในตอนแรก คนเราหากพยายามหา ความผิด – ความเลว – ความชั่วที่ตนเองอยู่เสมอ ย่อมพบมันได้เสมอ แล้วก็พยายามแก้ไขมันเสียในที่นั่น คือเกิดที่ไหนก็ดับมันที่นั่น

...กิเลสหรือความชั่วมันไม่ได้อยู่ที่อื่นนอกตัวเรา หากอยู่ที่ใจของเราทุกคน จึงต้องแก้มันที่ใจเช่นกัน หากผู้ใดยังไม่เข้าใจสัจธรรมข้อนี้ ก็ไม่มีทางละความชั่วของตนเองได้ ดังที่หลวงพ่อท่านพูดอยู่เสมอๆ ว่าให้ใช้ อัตนา โจทยัต ตานัง เป็นหลักในการปฏิบัติ ก็คืออันนี้แหละ แต่คนส่วนใหญ่มักสวนทางกับสัจธรรมข้อนี้คือ คิดว่าตนเองเก่ง ตนเองดี ตนเองแน่ ตนเองฉลาด ซึ่งล้วนเป็นมานะกิเลส มาปิดกั้นความดี ของดีตนเองไว้ทั้งสิ้น

ดังนั้น เมื่อคิดว่าตนเองดีจึงหาความดีไม่พบ พบแต่ความเลวที่ตนคิดเอาเองว่าดี และเก็บความเลว ยึดความเลวไว้อย่างเหนียวแน่น เพราะเป็นมิจฉาทิฐิ ซึ่งเป็นอารมณ์สวนทางกับพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้มีความว่า “ผู้ใดก็ตามที่คิดว่าตนเองยังเลวอยู่ (โง่อยู่) ผู้นั้นยังมีโอกาสเป็นบัณฑิต (คนฉลาด) แต่ผู้ใดที่คิดว่าตนเองเป็นบัณฑิต (คนฉลาด) ผู้นั้นคือคนโง่อย่างแท้จริง”

ผมเขียนธรรมะข้อนี้ขึ้นมา ก็เพื่อเตือนตนเองเท่านั้น เพราะใจผมมันก็อดเผลอไม่ได้ อยากเป็นคนโง่อยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ต้องคอยปรามบ้าง ปราบบ้าง ไม่ให้มันล้ำเส้นอยู่ทุกๆ วันเกือบตลอดเวลา

หลวงพ่อไม่ตาย แต่หมอตกใจเกือบตาย
หน้าร้อนปี 2517 หลวงพ่อส่งท่านอ๋อย (ภรรยา พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) ซึ่งเป็นแม่งานของหลวงพ่อ ให้จัดรถทัวร์หลายคัน พร้อมลูก – หลานของท่าน ขึ้นไปกราบพระสุปฏิปันโนที่ภาคเหนือหลายครั้ง แต่ที่ผมเขียนนี้ เป็นครั้งแรกหรือครั้งที่ 2 ผมจำไม่ได้ การไปแต่ละครั้งหลวงพ่อเหนื่อยมากๆ เพราะเกือบไม่มีเวลาพักเลย

ผมในฐานะแพทย์ประจำองค์ท่าน (ท่านอ๋อยขออนุญาตหลวงพ่อแต่งตั้ง) แต่ผู้เดียว จึงต้องอยู่ใกล้ชิดท่านเกือบตลอดเวลา จึงทราบเรื่องดี ต้องฉีดยาบำรุงให้ท่านเกือบทุกวัน หากท่านมีเวลาว่างนานหน่อย ก็ให้น้ำเกลือ และทั้งๆ ที่กำลังให้น้ำเกลืออยู่นี้ ท่านก็ต้องรับแขกไปด้วย เพราะมีบรรดาพุทธบริษัททางจังหวัดเชียงใหม่ที่ศรัทธาในท่าน มารอกราบและทำบุญกับท่านจำนวนมาก

สถานที่พักก็ใช้บ้านของ ดร.ปริญญา นุตาลัย ซึ่งขณะนั้นเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และบ้านเพื่อนๆ อาจารย์ของท่านเป็นที่พัก (อยู่ในเขตรั้วของมหาวิทยาลัย) ส่วนคณะใหญ่ก็อาศัยวัดในเมืองเป็นที่พัก ในการไปครั้งนี้ ผมสังเกตว่า หลวงพ่อท่านไอมากผิดปกติ ได้ถวายยาแก้ไอกับท่าน ก็ระงับได้ชั่วคราว เพราะหลอดลมท่านอักเสบมาก จากการที่ท่านต้องใช้เสียงพูดเกือบทั้งวัน

ส่วนใหญ่จะออกตั้งแต่เช้า 7.00 น. เป็นอย่างช้า กลับมาก็ประมาณ 18.00 น. หรือกว่านั้น ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกำหนดการที่วางไว้ อากาศก็ร้อน ถนนก็ไม่ค่อยดี ระยะทางก็ไม่ใกล้ต้องทำเวลาให้ทันตามจุดที่กำหนดไว้ ท่านเหนื่อยมาก จะห้ามท่านไม่ให้พูด ก็ไม่ได้ ความทุกข์จึงตกอยู่กับหมอ (ทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจ) ส่วนหลวงพ่อท่านทุกข์แต่กาย ใจท่านเลิกทุกข์มานานแล้ว มันต่างกันตรงนี้

ทั้งๆ ที่ท่านไข้ขึ้นสูง ไอมาก แต่ใบหน้าท่านยังยิ้มแย้มเป็นปกติ และพูดเกือบตลอดเวลาที่พาลูก – หลานไปกราบพระสุปฏิปันโน ตามวัดต่างๆ ซึ่งอยู่ห่างกันมาแต่ละวัด ขันธ์ 5 ของท่านทนมาได้จนถึงวันสุดท้าย ท่านพาลูกหลานให้ได้บุญ ครบตามที่ท่านกำหนดไว้และรถทัวร์เหล่านั้นก็มุ่งกลับ กทม. หมด คงเหลืออยู่เพียงประมาณ 10 คน ที่จะเดินทางขึ้นไปเชียงรายในวันรุ่งขึ้น

เพื่อให้หลวงพ่อท่านได้พักผ่อนสัก 2 – 3 วัน ในตอนเย็นวันนั้นเอง คงจะประมาณ 18.30 น. ผมกำลังคุยอยู่กับ ดร.ปริญญา และเพื่อนๆ อยู่ข้างล่าง เห็นพี่นนทาวิ่งลงมาจากชั้นบน ตรงมาจับข้อมือผมแล้วดึงขึ้น จนตัวผมลอยตามมือพี่นนทา พร้อมกับร้องอย่างตกใจว่า หมอ เร็วเข้า หลวงพ่อกำลังแย่แล้ว พี่นนทาลากผมลอยขึ้นบันไดไปอย่างอัศจรรย์ จำไม่ได้ว่าเท้าของผมติดพื้นหรือเปล่าไม่ทราบ เพราะพี่นนทาท่านมีกำลังภายในมากเหลือเกิน สุดที่ผมจะขัดขืนท่านได้

มารู้สึกตัวและได้สติก็ตอนเห็นหลวงพ่อ กำลังอาเจียนอย่างหนัก ผมเห็นอาเจียนที่ท่าน ทั้งไอและอาเจียนออกมาเป็นหนองล้วนๆ เกือบ 2 กระโถน ผมเองตั้งแต่จบแพทย์มากว่า 20 ปีแล้ว ยังไม่เคยพบคนไข้มีอาการหนักขนาดนี้ ขอรับตามตรงว่า ตกใจมากในขณะนั้น ทำอะไรเกือบไม่ถูก สิ่งแรกก็คือตรวจหัวใจ ปอด และความดันโลหิตของท่านก่อน

ท่านเองคงทราบว่าหมอนั้นเกือบช็อคแล้ว ท่านก็ยิ้มเหมือนปกติและพูดกับผมว่า หมอ หัวใจเต้นกี่ครั้ง ผมก็ตอบว่า 80 ครั้งต่อนาทีครับ ท่านก็ตอบว่า ถูก ท่านก็ถามผมต่อไปว่า แล้วความดันโลหิตล่ะ เท่าใด ผมก็ตอบท่านว่า 120 กับ 80 ครับ ท่านก็ตอบว่าถูกอีก และเสริมต่อไปว่า หากหมอไม่ตอบตามนี้ หมอก็โกหก เพราะท่านโกมารภัจท่านก็บอกว่าเท่านี้เหมือนกัน

พอผมได้ยินชื่อท่านหมอโกมารภัจเท่านั้น ผมก็หายจากอาการช็อคโดยสิ้นเชิง เพราะผมไม่ได้อยู่คนเดียว หากมีหมอชั้นยอดของโลกอยู่ผมด้วย ผมรีบเปิดกระเป๋าหยิบหลอดยาขึ้นมาอธิษฐานถามพระพุทธเจ้า และท่านหมอโกมารภัจว่า จะใช้ได้ไหม ท่านก็ตอบว่าได้ ผมก็รีบฉีดให้หลวงพ่อทันที แล้วจับยาแก้หลอดลมอักเสบขึ้นมาอธิษฐานอีก ท่านก็บอกว่าใช้ได้ ผมก็จัดถวายท่านไป

พอหลวงพ่อรับยาที่ผมจัดให้ ท่านก็พูดว่า หมอไม่ต้องเป็นห่วง 2 วันก็หาย ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น เพราะรุ่งขึ้นคณะของหลวงพ่อก็เดินทางไป จ.เชียงราย พักที่วัดเม็งราย ซึ่งอยู่บนยอดเขาไม่สูงและอยู่ในตัวเมืองเชียงราย ที่พักและอากาศดีมาก หลวงพ่อท่านก็แจ่มใส และหายเป็นปกติตามที่ท่านบอกไว้ สำหรับตัวผมขอเล่าความในใจซึ่งเก็บไว้กว่า 10 ปีดังนี้

เดิมผมเองไม่ได้คิดจะเดินทางร่วมไปกับหลวงพ่อด้วยที่เชียงราย ได้วางแผนจะขอแยกกับท่านในตอนเช้า โดยส่งท่านและคณะไปเชียงราย ส่วนผมขออยู่ที่เชียงใหม่ต่อ เพราะได้นัดให้ภรรยา และบุตรสาวอายุ 6 ปี (ในขณะนั้น) ขึ้นมาพบกันที่เชียงใหม่ และอยู่เที่ยวเชียงใหม่อีก 3 – 4 วัน ตอนนั้น คิดมากจริงๆ ระหว่างหลวงพ่อ กับ ลูก-เมีย แต่โชคดีที่คิดถูกคือเลือกเอาหลวงพ่อก่อน เพราะทิ้งท่านไม่ได้

แม้ท่านจะพูดว่าไม่เป็นไร 2 วันก็หายให้ผมฟังก็ตาม เรื่องนัดลูกเมียไว้นี้ผมไม่ได้เรียนให้หลวงพ่อทราบ แต่ผมก็ทราบว่าท่านรู้ โดยไม่ต้องบอก มันเป็นการทดสอบอารมณ์ของผมไปในตัว รายละเอียดในอารมณ์ของผม จะไม่เขียนเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ผมจึงแก้ปัญหาโดยเขียนจดหมายฝากเจ้าหน้าที่ของธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ สาขาท่าแพ ซึ่งมีบ้านรับรองอยู่ ให้ช่วยคอยรับลูกเมียผมแทน พร้อมทั้งจดหมายของผม และโชคดีอีกตามเคยที่ภรรยาผมไม่โกรธ จึงต้องนับว่าเป็นความดีของเธอและบุญของเธอด้วย

หลวงพ่อถูกเทวดาแบกขึ้นดอยตุง
การขึ้นดอยตุง จังหวัดเชียงรายครั้งแรกนี้ คงอยู่ระหว่างปี 2517 และ 18 ผมต้องขอโทษที่จำวัน – เดือนและปีที่แน่นอนไม่ได้ ได้พยายามถามผู้ไปด้วย ก็ปรากฏว่า สัญญาเป็นอนิจจาเหมือนกับผม ในเมื่อมันจำไม่ได้ เราก็ไม่ควรเอาจิตไปผูกพัน เพราะหากเราเอาจิตไปผูกพันสิ่งใดก็ตาม มันก็เกิดความทุกข์ขึ้นกับใจเราเอง

และพระท่านสอนเราว่า โลกนี้เป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นไม่ควรยึดถือว่า มันเป็นเรา เป็นของเรา เพราะยิ่งยึดก็ยิ่งทุกข์ ยึดมากทุกข์มาก ยึดน้อยทุกข์น้อย ไม่ยึดมันเสียก็ไม่ทุกข์

ในโลกนี้เห็นจะมีความตาย (และสิบเอ็ดนาฬิกาหกสิบนาที) เท่านั้นที่เที่ยง เพราะเกิดมาครั้งใดก็ตายทุกทีทั้งคนและสัตว์ พระองค์จึงสอนให้เราอยู่ในความไม่ประมาท ให้รู้ตนเองอยู่เสมอว่าจะต้องตาย แม้พระองค์เองก็เคยตรัสไว้กับพระอานนท์ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพระโสดาบันอยู่ (นึกถึงความตายวันละ 7 ครั้ง) ว่า “อานนท์ ยังน้อยเกินไป ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าและออก”

พอเขียนมาถึงตอนนี้ ก็เกิดปัญญาขึ้นว่า ความจริง พอปฏิบัติมาถึงพระโสดาบันแล้ว (พระโสดาปฏิผล) ความเที่ยงจะเกิดขึ้นกับท่าน 2 ข้อทันที คือ
1. เที่ยงจากการที่จะไม่ต้องตกนรกอีก (พ้นนรก)
2. เที่ยงจากการเข้าสู่พระนิพพานได้แน่นอนในอนาคต ตามบารมี คือ 7 ชาติ 3 ชาติ หรือ 1 ชาติ แต่หากท่านปฏิบัติเอาจริงจังมุ่งตัดอวิชชาเลย (สังโยชน์ข้อที่ 10) ท่านก็อาจไปนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้


นี่ก็เช่นกัน ผมเขียนไว้เพื่อเตือนตนเอง ปลอบใจตนเอง และก็เร่งรัดตนเองด้วย

การขึ้นดอยตุงครั้งแรกนี้ใช้รถ 2 คัน ทางขึ้นเขายังไม่ได้ทำให้เรียบร้อย เพียงกรุยทางไว้เท่านั้น รถที่จะขึ้นไปถึงพระธาตุได้จึงเป็นรถจิ๊บหรือแลนด์โรเวอร์ ที่มีเกียร์พิเศษเท่านั้น แต่หลวงพ่อท่านจะขึ้น
ดร.ปริญญาถามว่า ขึ้นดีหรือหลวงพ่อ
ท่านตอบว่าได้ เพียงเท่านี้ ดร.ปริญญาก็หมดสงสัย ตกลงใจทันที

รถคันแรก เป็นรถโฟล์คตู้สีเหลือง หลวงพ่อนั่งกับพี่นนทา และคณะอีก 3 – 4 คน (จำไม่ได้ว่าใครบ้าง) คนขับดูเหมือนจะเป็นพี่เหม่ รถคันนี้ ผมฟังเสียงเครื่องยนต์แล้ ผมว่า มันเดินแค่ 3 สูบเท่านั้น ส่วนรถคันที่ 2 เป็นรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้าของด็อกเตอร์ ซึ่งเป็นรถเก่า เรานั่งกันเต็มอัตรา

คือ 7 คน ข้างหน้า 3 ข้างหลัง 4 ผมเองน้ำหนักน้อยที่สุดคือ 60 กิโล นอกนั้นก็กว่า 60, 70 กว่า, จนถึง 80 กิโล รวมแล้วก็ข้าวสารประมาณ 5 กระสอบ แล้วมันขึ้นไปได้อย่างไร (ในเมื่อหลวงพ่อว่าได้มันก็ต้องได้)

รถของท่านนำหน้าเราทั้งๆ ที่วิ่งแค่ 3 สูบ ปรากฏว่าหายวับไปกับตา รถเราควรจะขับตามทันแต่กลับไม่ทัน พอถึงทางชัน พวกเราก็ลงหมด ยกเว้นคนขับคือด๊อกเตอร์ ช่วยกันเข็น 6 แรง (ลูกม้า) พอพ้นก็ขึ้นนั่งวิ่งต่อ ทำไปแบบนี้ตลอดทาง มีบางตอน ทางมันชันชนิดที่มองแล้วลมจะใส่เอา เพราะทั้งชันทั้งยาวเหยียด หลายรอยเมตร แต่มันก็แปลกที่เข็นขึ้นไปได้ทุกที ทางขึ้นเป็นฝุ่นทั้งนั้น ยาวราวๆ 12 กม.

ดังนั้น หน้าตาเสื้อผ้า และผมพวกเรา ก็เหมือนสีฝุ่นทุกคน เมื่อขึ้นไปจวนถึง ปรากกว่าเกิดมีทางแยกไปซ้ายกับขวา ไม่รู้จะไปทางไหนดี ผมจึงวิ่งขึ้นไปดู เพื่อสังเกตรอยยางรถของหลวงพ่อท่านแต่ต้องผิดหวัง เพราะไม่มีรอยยางรถให้เห็นเลย อัศจรรย์ยิ่งนัก ผมเลยต้องขอพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พร้อมทั้งพรหมและเทวดาให้ช่วยบอกทาง รถเราจึงไปได้ถึงยอดดอย

พอไปถึงต่างคนต่างก็เข้าไป รายงานตัวกับหลวงพ่อ พวกที่ถึงก่อน เขาเห็นพวกเราหน้าตา – ผมเป็นลูกครึ่งหมด จึงแจกผ้าเย็นคนละผืน เช็ดหน้าตาและผม รวมทั้งคณะที่ไปถึงก่อนด้วย และถวายให้หลวงพ่อท่านเช็ดหน้า – ตา และศีรษะ เมื่อเช็ดเสร็จ ต่างคนก็ต่างเอามาอวดกันว่าใครจะมีสีแดงมากกว่ากัน ทุกคนต่างหัวเราะชอบใจที่ฝุ่นมันมาก ขนาดผ้าเกือบไม่มีสีขาว มีแต่สีแดงเท่านั้น

ส่วนผมได้สังเกตผ้าของหลวงพ่อ ปรากฏว่าไม่มีฝุ่นสีแดงติดเลยแม้แต่นิดเดียว จึงพูดขึ้นและชี้ให้ทุกคนดูสิ่งอัศจรรย์ที่เห็น ผมจึงรายงานท่านว่า ผมสงสัยว่ารถของหลวงพ่อนี่ไม่ควรจะขึ้นมาได้ เพราะเป็นรถตู้และเครื่องทำงานแค่ 3 สูบเท่านั้น และผมคิดว่ารถคันนี้น่าจะลอยมามากกว่า เพราะรอยยางรถไม่มีเลยที่พื้นถนน และเล่าถึงทาง 3 แพร่ง ที่ผมต้องอธิษฐานถามพระว่าไปทางไหนดี เพราะไม่เห็นรอยยางรถ

หลวงพ่อท่านก็ได้แต่หัวเราะและยิ้ม ผมก็เลยพูดต่อว่า ผมอัศจรรย์ใจจริงๆ ที่รถของผมนั่งมา 7 คน แต่ละคนน้ำหนักมากๆ ทั้งนั้น ผมเองตัวเบาที่สุด เวลาขึ้นทางชันต้องช่วยกันเข็นทุกทีไม่รู้มันขึ้นมาได้อย่างไร หากมากันเองโดยไม่มีหลวงพ่อมาด้วย แม้รถเปล่าๆ ไม่มีคนนั่งเลย ก็ไม่มีทางขึ้นมาได้

หลวงพ่อท่านจึงพูดว่า คนช่วยเข็นบานเลย
ผมก็ยังโง่ตามเคย ตอบว่า ครับ ต้องลงมาช่วยกันเข็นทุกที
ท่านก็บอกว่าไม่ใช่ เทวดาทั้งนั้น
ผมจึงถึงบางอ้อตอนนี้เอง หมดสงสัยว่าเหตุใดรถ 2 คันนี้จึงขึ้นมาได้

ผมจึงขอสรุปว่า รถของหลวงพ่อนี่ เทวดาท่านต้องช่วยกัน แบกขึ้นมาตลอดทางแน่ๆ หลวงพ่อท่านเล่าให้ผมฟังในวันต่อมาว่า ขาลงจากดอย รถท่านเวลาวิ่งลงล้อหน้า 2 ล้อมันลอยอยู่ตลอดเวลา จนถึงตีนเขา ก็แสดงว่า เทวดาท่านแบกรถของท่านลงมาอีกเช่นเคย เรื่องอย่างนี้ท่านเคยเห็นที่ไหนบ้าง ถ้าเคยพบเคยเห็นที่ไหน กรุณาเล่าให้ผมฟังบ้าง

อีสานแดน ผกค.
นระหว่างปี 2517 ถึง 2519 นี้ ผกค. ในภาคนี้กำลังดังมาก เขาสามารถยึดเทือกเขาทั้งแถบ และหมู่บ้านบริเวณนั้นเป็นฐานของเขาได้เกือบทั้งหมด ตำรวจและข้าราชการตกอยู่ใต้อิทธิพลของเขาเกือบหมด ด้วยความกลัว รัฐบาลจำเป็นต้องใช้ทหารเข้าปราบปราม แต่ก็ค่อนข้างจะช้าไป เพราะนอกจากเขาจะไม่กลัวทหารแล้ว เขายังท้าทายให้พวกทหารโจมตีเขาด้วย เช่น ที่ภูพาน เป็นต้น และอำเภอที่เขามีอิทธิพลมากคือ อำเภอนาแก

ใครจะผ่านเข้ออกต้องระวังตัวให้ดี ส่วนเวลากลางคืนแถบนั้นจะไม่มีรถกล้าวิ่งผ่านเลย ตลอดแนวถึงจังหวัดนครพนม แต่หลวงพ่อท่านก็พาคณะของท่านวิ่งผ่านมาแล้วในเวลากลางคืน พวกที่ไม่รู้เรื่องหรือไม่รู้เลยก็สบายใจ แต่พวกรู้มากนี่มันยากนานจริงๆ รู้มาก็อุปาทานมาก – ทุกข์มาก – กลัวมาก ส่วนหลวงพ่อท่านกลับเฉยๆ เราก็เลยต้องทำกายเราให้เฉยตามท่าน แต่ส่วนใจนั้นมันไม่ยอมเฉยตามกาย ฟุ้งซ่านตลอดทาง

พวกที่ไม่รู้เรื่องนี่ดีมาก เพราะเขานั่งหลับตลอดทาง ดังนั้นจึงต้องใช้ที่พึ่งอันสุดท้าย คือ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” โดยจับอานาปานุสสติเพื่อให้หายฟุ้ง ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ จับภาพกสิณพระไว้ในอกบ้าง บนศีรษะบ้าง หรือภาวนาไปบ้าง ว่าคาถาต่างๆ ไปบ้าง พิจารณามรณานุสสติและอนุสติอื่นๆ ไปบ้าง มันก็ช่วยให้หายฟุ้ง หายกลัวไปได้ในที่สุด

ผมสังเกตดูว่า จะมีรถคันอื่นตามมาบ้างไหม ปรากฏว่าไม่มี มีแต่รถของเราคันเดียวจริงๆ ที่วิ่งมาจนพ้นเขตอันตราย คือเข้าสู่ตัวเมืองต้องใช้เวลาวิ่งผ่านดง ผกค. เป็นเวลาหลายชั่วโมง และหากจำไม่ผิด ท่านสั่งให้รถวิ่งผ่าน ตอนกลางคืนนี้ 2 หรือ 3 ครั้ง ในสมัยนั้นไม่มีรถเป็นขบวนแบบนี้ โดยมากมีแค่คันเดียว (เช่าเขามา) อย่างมาก็ 2 คัน

หลวงพ่อถูกพวก ผกค. ล้อม
มีอยู่คราวหนึ่ง หลวงพ่อได้พาพระสุปฏิปันโนหลายองค์ ไปเป็นกำลังใจให้กับทหารที่อยู่ประจำการอยู่แถบเทือกเขาภูพาน ใช้ ฮ. ถึง 3 ลำ เพราะท่านมาหลายองค์ หลวงพ่อให้แยกกันนั่งลำละ 2 – 3 องค์ เพราะมีนายทหารชั้นบิ๊กๆ ติดตามมาด้วยหลายคน แต่คนที่ใกล้ชิดหลวงพ่อมากที่สุด คือ พล.ท.ยุทธศิลป์ เกสรสุข (ยศในขณะนั้นเป็น พล.ต.) การบินบินระยะยาว จำเป็นต้องหยุดลงเติมน้ำมันก่อน 1 ครั้ง จุดนัดพบคือสนามโรงเรียนแห่งหนึ่งของอำเภอนาแก

ปรากฏว่า ฮ.ทั้ง 3 ลำลงแล้วตั้งนาน รถน้ำมันยังไม่มา ทุกคนยกเว้นพระต่างกระสับกระส่าย เพราะมีคนหน้าตาแปลกๆ ออกมาจากบริเวณนั้นจำนวนมากขึ้นๆ จนล้อม ฮ.ทั้ง 3 ลำไว้หมด หลวงพ่อท่านก็สั่งผมว่า ให้ทุกคนที่ร่วมโดยสารไปด้วยลงจาก ฮ. และเอาของที่จะไปแจกทหาร ออกมาแจกชาวบ้าน ให้เอาพวกขนมก่อน และพยายามชวนพวกชาวบ้านคุยไว้

ทุกคนเมื่อเข้าใจคำสั่ง ก็โดดลงคว้าถุงขนมปังบ้าง ขนมอื่นบ้าง มาม่าบ้างติดมือลงไป เดินเข้าไปหาชาวบ้านชวนเขาคุยตามอัธยาศัย พร้อมกับแจกขนมไปด้วยกับพวกเด็กๆ ที่มีอยู่ไม่น้อย และชี้ให้พวกผู้ใหญ่ดูพระว่า พระท่านโดยสารมาด้วย ให้พยายามหาเรื่องคุยไว้ เมื่อเราคุยกันไปสักพักใหญ่ๆ จึงมีรถทหารลากถังน้ำมันมา แล้วรีบเติมให้กับ ฮ.ทั้ง 3 ลำ

ผมก็เลี่ยงไปฟังข่าวว่าเพราะอะไรจึงมาช้า ทั้งๆ ที่วิทยุนัดกันอย่างดีแล้ว คำตอบก็คือ เมื่อคืนนี้ฝนตก ถนนลื่น ขับรีบร้อนไปหน่อยจึงไหลลงไปอยู่ในคู กว่าจะเอาขึ้นมาได้เลยช้าไปหน่อย (ช้ามากๆ ทีเดียว) เหตุการณ์ครั้งนี้หวาดเสียวมาก เพราะอยู่ในถิ่นของ ผกค. ที่เขาระบายสีแดงสดไว้ในแผนที่ และเมื่อเร็วๆ นี้เขาก็จัดการกับพวกตำรวจ ทหารโดยการโยนระเบิดมือใส่ ทำให้มีการเสียชีวิตกันหลายคน ยิ่งรู้มากก็เสียวมาก

ผมยังเดาไม่ถูกว่า หากไม่มีหลวงพ่อท่านมาด้วยอะไรจะเกิดขึ้น เวลาที่ ฮ.บิน ก็บินแบบยุทธวิธี คือ 3 ลำไม่บินเป็นหน้ากระดาน แต่ให้ทิ้งระยะกันพอเห็นลำ และเวลาบิน ก็ให้บินเปลี่ยนระดับกันอยู่เสมอคือ เดี๋ยวลำหนึ่งขึ้นสูง อีกลำหนึ่งลงต่ำ สลับกันตลอดทาง เพราะข้างล่างที่บินผ่านมีแต่พวกเขาทั้งนั้น

หลวงพ่ออยู่กลางดง ผกค.
ที่ผมไม่ลงวันเดือนปีนั้น เพราจำไม่ได้แน่นอน เนื่องจากเวลาผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว และไปหลายครั้งเหลือเกิน การบินด้วย ฮ. ก็บินเข้าเขตนั้น เข้าจังหวัดนี้ จนงงไม่รู้ว่าอยู่ในเขตของจังหวัดอะไรแน่ จึงขอเล่ารวมๆ ว่าเป็นจังหวัดภาคอีสานก็แล้วกัน

การบินไปด้วย ฮ. ครั้งนั้น เป็น ฮ. ของตำรวจ บินไปลำเดียว มีพระ 2 องค์ คือหลวงพ่อกับหลวงปู่ธรรมชัย และผม ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไม ฮ. จึงบินลงไปอยู่กลางดงของ ผกค. อาจเป็นไปได้ว่าในช่วงนั้นเป็นเวลาเพลพอดี นักบินท่านรู้ว่าพระจะต้องฉันเพล เลยหาที่บินลงสักครู่เพื่อให้ท่านฉัน พอ ฮ. จอด ผมก็โดดลงให้ตำรวจที่มาด้วย ปูเสื่อแล้วผมก็นิมนต์ให้หลวงพ่อกับหลวงปู่นั่ง และถวายปิ่นโตอาหารที่เตรียมมาด้วย

เมื่อเสร็จภาระของผมแล้ว จึงหันมาดูสถานที่รอบๆ บริเวณที่ท่านฉัน ก็ตกใจเพราะไม่ทราบว่าคนมาจากที่ไหน ตอน ฮ.ลงไม่เห็นมีคน แต่ชั่วประเดี๋ยวเดียว มันแห่กันมาจากไหน ชักใจไม่ดี แต่สังเกตดูหลวงพ่อกับหลวงปู่ ก็เห็นท่านนั่งฉันกันอยู่เป็นปกติ ผมจึงบอกตำรวจที่มาด้วย ให้คอยดูแลพระแทนผมที แล้วผมก็เลี่ยงออกมายืนดูสถานการณ์อยู่รอบนอก

พอเดินห่างออกมาจากที่ๆ หลวงพ่อท่าน กำลังฉันเพลอยู่ประมาณ 30 เมตร ผมก็ต้องสะดุ้งตกใจอีกเป็นครั้งที่ 2 เพราะมีกลุ่มคนจำนวนมากมายืนออกันอยู่อีก 1 วง ล้อมเป็นวงที่ 2 ขณะนั้นบังเอิญเหลือบไปเห็นตำรวจที่มาด้วยกันคนหนึ่งยืนอยู่ในที่นั้น จึงเดินเข้าไปถามเขาว่า ที่นี่มันที่ไหน แล้วทำไมคนจึงมาล้อมพวกเราไว้แบบนี้

ตำรวจผู้นั้นคงรู้เรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาดี อธิบายว่า ที่ลงมานี้เป็นหมู่บ้านของพวก ผกค. ซึ่งกำลังมีใจรวนเร คือ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลดี หรือฝ่าย ผกค. ดี เนื่องจาก สถานการณ์ในตอนนั้นสับสน อเมริกาแพ้ญวน ญวนรุกเอาเขมรและลาวไว้ได้หมด พวกลาวซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็หนีข้ามมาอยู่ฝั่งไทยเป็นจำนวนมาก

ผมเข้าใจว่าหลวงพ่อท่านมาลงจุดนี้ เพราะเหตุนี้เอง ตำรวจผู้นั้นได้อธิบายว่า พวกนี้เขาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามกำลังใจ
กลุ่มที่ 1 ที่อยู่รอบๆ หลวงพ่อนั้น ไม่มีอันตราย เพราะเขาเคารพพระอยากกราบพระจึงไม่ใช่ ผกค. แน่ ที่ต้องมาอยู่ก็เพราะสถานการณ์บังคับหรือจำใจ

กลุ่มที่ 2 ห่างออกมา 30 เมตร กลุ่มนี้พวกลังเลไม่แน่ใจ หรือสองจิตสองใจ ใครจะพูดอะไรให้ฟัง ก็มักจะคล้องตามเขา ขาดการพิจารณาหรือปัญญา เป็นพวกแนวร่วม
กลุ่มที่ 3 ยังมีอีก ตำรวจชี้ให้ผมดูอยู่ห่างออกไปประมาณ 60 เมตร ไม่ค่อยจะเห็นตัวเขา เพราะมีจำนวนน้อย เป็นพวกอุดมการณ์ซึ่งมาคอยยุแหย่ชาวบ้าน หรือตัวแสบนั่นเอง


เมื่อได้รับข้อมูลจากตำรวจแล้ว ก็ใจชื้นขึ้นมาก รีบกลับไปหาหลวงพ่อ ก็พอดีท่านฉันเสร็จ หลวงพ่อท่านไม่ปล่อยให้เวลาว่างเลย ท่านขอโต๊ะ 1 ตัว (ให้ตำรวจขอจากชาวบ้าน) ท่านขึ้นยืนบนโต๊ะจับไมโครโฟนแบบมือถือ (ใช้ถ่านไฟฉาย) มีลำโพงในตัว ขึ้นปราศรัยกับชาวบ้านที่มาล้อมท่านอยู่ ท่านพูดได้จับใจจริงๆ เราฟังแล้วยังขนลุกด้วยปีติ ผมจึงขอเอาแต่ใจความมาเล่าให้ฟังต่อดังนี้

“พี่น้องชาวไทย และชาวลาวที่รักทุกท่าน ที่อาตมามาหาพวกท่านในวันนี้ จุดประสงค์เพื่อจะชี้แจงข้อเท็จจริง ให้กับพวกท่าน ทราบถึงลัทธิที่ใช้หลอกลวงชาวบ้าน คือ พวก ผกค. เขาพยายามมาพูดหลอกพวกท่านว่า รัฐบาลกดขี่ท่าน เอาเปรียบท่าน ส่วนเขาเป็นพวกมาช่วยเหลือท่านให้ออกจากแอก หรือปลดแอกให้กับพวกท่าน

โดยให้สัญญากับพวกท่านว่า เขาจะให้ที่ดินท่านทำกิน คนละเท่านั้นเท่านี้ มีกินมีใช้อย่างสมบูรณ์ แต่ขณะนี้เขากำลังดำเนินการ จึงต้องขอให้พวกท่านช่วยพวกเขาก่อน ขอให้พวกท่านแบ่งข้าว – หมู – ไก่ และอาหารอื่นๆ ของพวกท่าน ไปเกือบทุกๆ เดือนเพื่อพวกเขา เขาทำอย่างนี้มากี่ปีแล้ว พวกท่านยังจำได้ไหมว่า เขาเอาของท่านเป็นจำนวนเท่าใดแล้ว

หากคิดเป็นเงินก็นับว่ามากโข แล้วเขาเคยนำอะไรมาให้กับท่านบ้าง เคยบ้างไหมที่เขานำมาให้ท่าน ถ้าคนไหนขัดขืน เขาก็ว่าเป็นคนโง่ไม่มีอุดมการณ์ แล้วหาทางทำร้าย หรือฆ่าทิ้งเสีย ท่านลองใช้ปัญญา พิจารณาดูว่าอาตมาพูดนี้จริงไหม เขาโกหกหลอกลวงพวกท่านมาตลอดเวลา

ข้อเท็จจริงที่พวกท่านเห็นๆ อยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือ พวกชาวลาวพี่น้องของเราก็ถูกเขาหลอกแบบนี้มาตลอด พอเขายึดลาวได้แล้ว เขาให้ตามที่เขาสัญญาหรือเปล่า ไม่เชื่อให้ถามชาวลาว ที่หนีความตายข้ามมาอยู่ฝั่งเราว่า เป็นจริงตามที่อาตมาพูดหรือเปล่า ถ้าอาตมาพูดไม่จริง ชาวลาวก็คงไม่หนีตายมาอยู่ฝั่งไทย

เท่าที่อาตมาทราบเขากดขี่ข่มเหงชาวบ้านหนักขึ้น เขาต้องการอะไรเขาก็หยิบเอาไป ข้าว – หมู – ไก่ – เป็ด – พืชผักที่เราปลูก เราเลี้ยงเกือบตาย เขาก็มาเอาไปเกือบหมด อ้างอุดมการณ์อันอุบาทว์ของเขาบังหน้า เราทำเท่าใดเขาก็มาบังคับเอาไปหมด คนลาวจึงต้องหนีตายมาอยู่ฝั่งไทย ท่านถามพวกเขาได้ว่าจริงไหม”

ผมสังเกตว่าขณะที่หลวงพ่อท่านพูด ตามใจความที่ผมพอจะจำได้ข้างบนนี้ (ส่วนของจริงนั้น เพราะจับใจและมีมากกว่านี้มากนัก) ผลก็คือพวกกลุ่มที่ 2 (30 เมตร) ก็เข้ามารวมกับกลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 3 ซึ่งเข้ามาแทนกลุ่มที่ 2 แล้วก็สบายตัวหมดมาเหลือกลุ่มเดียว คือ หมดสงสัยในตัวท่าน หมดสงสัยว่าถูกพวก ผกค. หลอกลวงมานาน ตาเพิ่งจะสว่างวันนี้เอง เพราะมีหลวงพ่อมาโปรด ให้ทราบความจริง

ผมอยากจะตั้งคำถามว่า มีพระองค์ใดบ้างในประเทศไทยนี้ที่กล้าทำ กล้าเสี่ยง แบบนี้ หากผมไม่นำมาเล่า พวกท่านก็คงไม่รู้ ส่วนองค์หลวงพ่อท่านเป็นพระเต็มองค์ ท่านทำอะไรก็เพื่อส่วนรวม เพื่อพี่น้องชาวไทย – ชาวลาวที่กำลังมีปัญหา (ทุกข์) และเพื่อชาติ – ศาสนา – และพระมหากษัตริย์ ท่านไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวท่านเอง

ไหนก็พูดกันเรื่อง ฮ. และการเสี่ยงตายของหลวงพ่อท่าน ผมก็นึกถึงเหตุการณ์ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (ไม่ใช่เขตอีสาน) ซึ่งติดกับเขตด้านพม่า หากไม่รีบเขียน ประเดี๋ยวก็คงเป็นอนิจจาไป จึงขออนุญาตมาเล่าให้ฟังเสียเลย


หมู่บ้านที่ไม่มีคน
การสร้างทางจากแม่สอด เพื่อจะไปทะลุกาญจนบุรีนั้นจำเป็น เพราะเป็นทางยุทธศาสตร์ พวก ผกค. เขาจะเดินทางสันเขา คณะของหลวงพ่อซึ่งอาศัย ฮ. ของทหารได้บินสำรวจทางเดินของ ผกค. ทหารชี้ให้ดูว่าพวกเขาเดินมา โดยไม่ต้องลงที่ราบเลย จากลาวข้ามมาพม่า

เพราะอาศัยสันเขาที่เชื่อมต่อกันมาตลอด ถ้าไม่ได้เห็นเองด้วยตาแล้วก็คงไม่เชื่อ เราใช้ ฮ. บินลงไปใกล้ๆ สันเขา จะเห็นทางเดินซึ่งเดินกันประจำเป็นปกติจนต้นไม้และหญ้าตาย ทำให้เกิดเป็นทางเท้าขึ้นอย่างถาวร ถนนยุทธศาสตร์จึงจำเป็นต้องสร้าง คนที่ไม่เข้าใจก็คิดว่าเป็นการทำลายป่า

ในตอนนั้น สถานการณ์แบบนั้น เราจะรักษาป่าไว้เพื่อให้ ผกค. อยู่ หรือเราจะยอมสูญชาติ คิดแค่นี้ก็ได้คำตอบ ดังนั้น การสร้างทางจากแม่สอดไปกาญจนบุรีจึงเริ่มขึ้นด้วยชีวิต และเลือดเนื้อของตำรวจ และทหาร

หน้าที่สร้างทางเป็นของหน่วยทหารช่างโดยตรง จุดนี้แหละที่หลวงพ่อท่านมุ่งตรงไปให้กำลังใจ คณะของหลวงพ่ออาศัยวัดเป็นที่พัก ผมจำได้ว่าเที่ยวนั้น ผมนอนมุ้งเดียวกันกับ พล.ร.ท.จินดา วุฑฒกนก (อดีตเจ้ากรมอู่ทหารเรือ) ซึ่งติดตามหลวงพ่อบ่อยๆ ตอนที่ท่านพอปลีกตัวมาได้ (เพราะมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมาก)

ในเที่ยวนั้น ผมเองก็ไม่ทราบรายละเอียดนัก เขาให้ขึ้น ฮ. ไปกับหลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมชัยกับคณะทหาร บินตรงไปยังจุดที่ไม่เปิดเผย (โดยติดต่อกันทางวิทยุ) เมื่อ ฮ. บินไปยังจุดนัดพล ก็ลงจอดที่กลางหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งผมเองแม้ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ทราบว่าชื่ออะไร เมื่อ ฮ. จอดสนิท หลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมชัยก็ลง แล้วเดินไปนั่งอยู่บนศาลาพักที่ค่อนข้างจะใหญ่โต มีที่นั่งจุคนได้หลายสิบคน

แต่ผมสังเกตว่า ทำไมจึงไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว พยายามเดินหาจนถึงขนาดวิ่งหารอบๆ บริเวณก็ยังไม่พบ แม้แต่ หมู – หมา – กา – ไก่ ก็ไม่พบ เห็นบ้านอยู่หลายบ้านติดต่อกันมีรั้ว มีสวนครัว แต่หาคนไม่ได้ ชักใจไม่ดี บังเอิญตาไปเห็นบั้นท้ายขอบคนๆ หนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ก็เลยวิ่งตรงไปจับบั้นท้ายนั้น (ผู้ชายครับ ไม่ใช่ผู้หญิง) แล้วถามขาว่า คุณ ๆ ทำไมคุณจึงต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ ตัวอยู่แบบนี้ เขาหันมาเห็นผม เขาก็ยิ้มแยกเขี้ยว (ยิ้มแหงๆ หรือจะเรียกว่ายิ้มแห้งๆ ก็ได้)

ผมก็พูดขึ้นว่า พระท่านอุตส่าห์มาเยี่ยมพวกคุณจนถึงบ้านแล้ว ทำไมจึงปล่อยให้ท่านนั่งรอ เขาหน้าตาดีขึ้น พูดกับผมว่า ผมไม่ทราบว่า ฮ. ฝ่ายไหนมาลง ผมเลยถามว่า นี่แสดงว่าเคยมี ฮ. ฝ่ายตรงข้ามมาลงด้วยใช่ไหม เขาตอบว่าครับ ผมเลยบอกเขาว่า เร็วๆ เข้า คุณรีบไปตามชาวบ้านมา ช่วยบอกเขาด้วยว่าหลวงพ่อท่านมาเยี่ยม มีของดีมาแจกด้วย เท่านั้นเองได้ผล ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ไม่ทราบว่าคนมาจากไหนเต็มศาลาเลย

หากเอาเหตุการณ์นี้มาพิจารณา ก็จะพบว่า การมาครั้งนี้ของหลวงพ่อท่านเสี่ยงจริงๆ แต่ที่ท่านกล้ามาก็เพราะท่านรู้ว่าไม่มีอะไร และมาแล้วจะได้ประโยชน์ ท่านจึงมา (ด้วยปฏิสัมภิทาญาณ) ส่วนตัวผม คิดแล้วเสียวสันเหลัง คือตอนที่ผมเดินบ้าง วิ่งบ้างไปตามหาคน คนที่แอบซุ่มอยู่บริเวณนั้นเขาเห็นผม แต่ผมไม่เห็นเขา หากเขาคิดไม่ดีกับผม ผมก็คงสบายใจแล้วตอนนั้น

หลวงพ่อท่านไปไหน ก็มีแต่เมตตากับกรุณาชาวบ้าน พูดให้กำลังใจแก่เขา ให้เขาเกิดความรักชาติ บ้านเมือง ไม่หลงตามคำโฆษณาของพวก ผกค. และก็แจกเหรียญแจกพระ หรือวัตถุมงคลให้กับพวกเขาไว้เป็นกำลังใจโดยทั่วกัน หากมีของอื่นมาแจกก็เอามาด้วย หรือฝากพวกทหารให้ช่วยมาแจกแทนท่านในภายหลัง ท่านทำงานแบบนี้มาโดยตลอดในระยะ 3 – 4 ปีติดต่อกันนี้ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น

เมื่อเขียนเกี่ยวกับ ฮ. ความจำในอดีตเกี่ยวกับ ฮ. ก็ปรากฏกับจิต จึงขอเล่าเรื่อง ฮ. ต่อไปอีก

ฮ. บินตอนกลางคืน
ความจริงเป็นกฎตายตัว ของทหารและตำรวจ เขาห้าม ฮ. บินตอนกลางคืน หากไม่ใช่เหตุสุดวิสัย เรื่องโดยย่อมีดังนี้ :- หลวงพ่อ – หลวงปู่ธรรมชัย และท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ไปเยี่ยมตำรวจ-ทหารภาคเหนือ ตามแนวเขตแดนเชียงราย ต่อกับพม่าและลาว ขากลับพวกมารถให้กลับทางรถไปก่อน ส่วนหลวงพ่อ-หลวงปู่ธรรมชัย ท่านหญิงกับผม กับผู้ติดตามท่านหญิง กลับทาง ฮ. โดยบินยาวจากเชียงรายมาจังหวัดตาก และจะแวะพักตามจุดนัดพบ (พร้อมกับพวกที่มาทางรถยนต์ก่อน)

ที่เขื่อนภูมิพล ผมคุยกับนักบิน ฮ. ของตำรวจว่า ระยะบินนี้ไกลพอดู จะใช้เวลาสักกี่ชั่วโมง เขาตอบว่า 2 ชั่วโมง เพราะเราบินตัดตรง ผมถามเรื่องน้ำมันต้องแวะเติมไหม เขาบอกว่าไม่ต้องแวะ คณะของหลวงพ่อและท่านหญิงจะต้องถึงสนามบิน จ.ตาก ก่อน 18.00 น. เพราะสนามบินจะปิดเวลา 18.00 น. คือปิดการสื่อสารทั้งหมด เมื่อเราออกบินก็เผื่อไว้แล้ว 30 นาที คืออก 15.30 น.

แต่พอบินมาได้ถึง จ.น่าน ก็เจอพายุและฝนตกหนัก ฮ. ต้องบินช้าลงกว่าปกติมาก พอฝนหยุด พระอาทิตย์ท่านก็อำลาไปด้วย เวลาก็เกิน 18.00 น.แล้ว สนามบินก็ปิดติดต่อกันไม่ได้อีก เมื่อพระอาทิตย์ตกความมืดก็เข้ามาแทน มันมืดจริงๆ มืดจนไม่เห็นแสงอะไรเลยเบื้องล่าง (ขณะนั้นทั้งแพร่และน่านเต็มไปด้วย ผกค.) ฮ. บินอยู่ในความมืดสนิทเป็นชั่วโมง ทำให้ผมจิตฟุ้งซ่านมาก เพราะกลัวว่า จะบินเลยเข้าไปในเขตพม่าบ้าง ลาวบ้าง เพราไม่เห็นแสงไฟเลยตลอดเวลาที่บิน (หลังพระอาทิตย์ตก)

โชคดีที่มีหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ด้วย ส่วนอีกลำหนึ่ง ท่านหญิง (วิภาวดี รังสิต) กับหลวงปู่ธรรมชัย สิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดคือ น้ำมันเครื่องบินจะหมด เพราะตัวรู้มากยากนาน (รู้ไม่จริง – รู้ไม่หมด) ปกติเราบินแค่ 2 ชั่วโมง ก็ต้องเติมน้ำมันกัน นี่กว่า 3 ชั่วโมงแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ เพราะความกลัว (ตาย) ตอนนั้นไม่ทราบว่า ธรรมะข้อสุดท้ายในพรหมวิหารสี่หายไปไหน (อุเบกขา) เพิ่งจะมาคิดออกเอาตอนนั้นเองว่า ธรรมะเป็นของสงบ หากจิตไม่สงบ ธรรมะไม่เกิดกับจิต

ตัวฟุ้งซ่านเป็นนิวรณ์ที่ทำให้ปัญญาให้ถอยหลัง (เกิดความโง่) ตัวธรรมดาหรือธรรมะจึงไม่เกิด และหากเราหมดความกลัว (ตาย) หรือหมดความหวั่นไหว เราก็ต้องเป็นพระอรหันต์เสียก่อน จึงเป็นของธรรมดา สำหรับคนที่ยังไม่หมดกิเลส ย่อมยังมีความกลัวตาย และยังมีความหวั่นไหวอยู่เป็นปกติ พอจิตเริ่มสงบ ตาก็มองเห็นแสงสว่างจึงร้องถามนักบินว่า ถึง จ.ตากแล้วใช่ไหม นักบินก็ตอบว่าใช่

แต่ความดีใจเกิดได้นิดเดียวก็ต้องดับไป เพราะฝนเริ่มตก นักบินเริ่มปรึกษากัน รวมทั้งใช้วิทยุติดต่อกับอีกลำหนึ่งว่า ไม่สมารถลงสนามบินได้ เพราะเขาปิดไฟหมด ไม่ยอมรับการติดต่อ ฝนก็ตก สิ่งที่น่ากลัวมากก็คือ สายไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งมีอยู่มากมายในบริเวณนั้น หากบินไปโดนเข้าเพียงนิดเดียว ฮ. ก็จะระเบิดทันที

เห็นตำรวจเอาสายรัดตัวไว้ เปิดประตูข้างของ ฮ. ออก เปิดสปอตไลท์ส่องดูบริเวณที่ ฮ. จะลงได้ ตัวแกแกว่งไปมาน่ากลัวมาก ประเดี๋ยวก็บอกว่า ระวังข้างซ้าย สายไฟแรงสูง เดี๋ยวก็ตะโกนว่า ระวังขวา สายไฟ น่ากลัวจริงๆ

จนที่สุดก็ลงได้ คือลงมันกลางทุ่งนานั่นเอง ทั้ง 2 ลำ หลวงพ่อรอสักครู่ ก็มีรถจิ๊บวิ่งมารับ ผู้มาในรถคือ พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ ท่านเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น ท่านบอกว่า เห็นแล้วหวาดเสียวเหลือเกิน ผมได้ยินท่านให้พรนักบิน ตำรวจ เสียยาวเหยียดว่า ทำไม เอาหลวงพ่อ-หลวงปู่ และท่านหญิงมาแบบเสี่ยงๆ เช่นนี้ นักบินก็ต้องอธิบายให้ท่านฟังว่า เป็นเหตุสุดวิสัย ไม่คิดว่าจะติดฝน ติดพายุ จึงทำให้ต้องบินมาถึงเอาตอนกลางคืน

ผมเองก็รู้สึกเหนื่อยแทนนักบิน และเหนื่อยแทนท่านปลัดกระทรวงด้วย และได้ทราบจากนักบินในภายหลังว่า น้ำมันหมดพอดี หากยังชักช้ากว่านี้อีกนิดเดียวมีหวัง ผมว่าโอกาสดีๆ แบบนี้คงจะหายากเต็มที แต่โดยจิตของผม ผมว่าที่โชคดีมาตลอด ก็เพราะบารมีของหลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมชัย โดยมีองค์สมเด็จท่านคุมอยู่ตลอดทาง

ยึดเทือกเขาภูพานคืน
ในสมัยนั้น ผกค. มีอิทธิพลสูง ได้ยึดเทือกเขาภูพานเป็นฐานใหญ่ของเขา และยังท้าทายฝ่ายทหารว่า หากจะตีเขาได้ จะต้องใช้กำลังหลายกองพล และใช้เวลาหลายเดือนจึงจะสำเร็จ พล.ต.ยุทธศิลป์ เกสรสุข (ยศในขณะนั้น ปัจจุบันมียศ พล.ท.) ซึ่งเป็นรองแม่ทัพ จึงนำเรื่องนี้มากราบเรียนหลวงพ่อ

หลวงพ่อท่านเป็นพระ จะไปรบกับเขาก็ไม่สมควร แต่ท่านก็มีวิธีช่วยเป็นกำลังใจให้กับทหารได้ ดังนี้
1. ท่านเดินทางไปพร้อมกับคณะ เพื่อทำพิธีบวงสรวงก่อนที่ฐานทัพของทหาร
2. แจกผ้ายันต์ ธงมหาพิชัยสงครามให้กับทหารในหน่วยนั้นทุกคน (ผ้ายันต์สีแดง)
3. ให้ฤกษ์แก่ฝ่ายทหาร ทั้งนี้หมายถึงให้ฤกษ์ดีว่าเป็นมงคล ไม่ได้ระบุให้เข้าไปตีกันรบกัน เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนเขาจะไปทำอะไรกันนั้น พระท่านต้องอุเบกขา

ผมจำได้ว่า หลวงพ่อทำพิธีตั้งแต่เช้ามาก เพราะจากรูปถ่ายที่ นาวาตรีประชา สิกขวานิช ร.น. ถ่ายไว้ ปรากฏพุทธนิมิตเป็นฉัตร 5 ชั้น ทอดมาตามแสงแดดครอบคลุมองค์หลวงพ่อท่านนั้น ยังทำมุมน้อยมาก (มีรูปถ่ายอยู่ที่บ้านสายลม และที่วัดท่าซุง) หลังพิธีแล้ว ฝ่ายทหารก็นำหลวงพ่อ หลวงปู่ธรรมชัย และคณะเข้าห้องยุทธการ เพื่อฟังการบรรยายสรุปของฝ่ายทหาร

เมื่อบรรยายจบ ปรากฏว่ามีนายทหารที่ฉลาดถาม ได้ถามหลวงพ่อกับหลวงปู่ว่า ขณะนี้พวก ผกค. เขาอยู่ที่ไหนบ้าง โดยให้ท่านเอาไม้เท้าช่วยชี้ไปในแผนที่ทหาร ปรากฏว่าท่านชี้จุดให้ทันทีทันใด โดยไม่ต้องคิดหรือต้องเสียเวลา เหล่าทหารต่างร้องอือ พร้อมๆ กันหลายคน และบอกว่าตรงจุดเป๋งเลยครับหลวงพ่อ บางคนไม่ฉลาดถาม ก็ถามวิธีเข้าโจมตี หลวงพ่อท่านก็ปฏิเสธเพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์

ส่วนวิธีถามที่ฉลาดผมขอสงวนไว้ก่อนครับ จากนั้นก็คุยกันในเรื่องอื่นๆ ผมฟังไปๆ คงจะตื่นเต้นมากเลยเกิดทุกข์หนัก ต้องขอตัว ขอเวลานอกออกไปพิจารณาทุกข์ที่ห้องสุขา และผมคงจะพิจารณาทุกข์ ขณะกำลังบรรเทาทุกข์แล้วมีผล คือเห็นอริยสัจ เพราะธรรมะของพระองค์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้ชัดว่า ให้ปฏิบัติตลอดเวลา ทุกเวลา ทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ คือเป็น อกาลิโก ผมก็ปฏิบัติตามท่านอย่างเพลิดเพลิน

พอจบภารกิจส่วนตัวของผมแล้วก็ออกมา รีบเดินเข้าห้องยุทธการ ปรากกว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ชักใจไม่ดีรีบวิ่งออกมาข้างนอก ก็ปรากฏว่ารถหลวงพ่อและคณะก็หายไป ไม่พบใครสักคน เลยหันรีหันขวางอยู่ บังเอิญมีนายทหารท่านหนึ่ง ท่านจำผมได้ เห็นผมจึงถามว่า คุณมากับหลวงพ่อใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ครับ ทหารผู้นั้นก็บอกว่า หลวงพ่อกับคณะไปนานแล้ว คุณไปอยู่ที่ไหนมา ก็ตอบไปว่าอยู่ในห้องน้ำครับ ท้องมันไม่ค่อยดี

ขณะนั้นผมเองรู้สึกเง็งไปหมด (ไม่ใช่งง เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เกินกว่างง) แต่เคราะห์ยังดี ที่นายทหารท่านนั้นช่วยแก้สถานการณ์ให้ทันควัน โดยส่งรถจิ๊ปเล็กพร้อมคนขับ ให้ผมกระโดดขึ้นพร้อมกับท่าน รีบบึ่งตามคณะหลวงพ่อไปจนทัน การปฏิบัติธรรมของผมเป็นที่ครื้นเครงของพวกเราทุกๆ คนที่ได้หัวเราะกัน จนฉี่จะออก

หลังจากที่หลวงพ่อและคณะได้เยี่ยมให้กำลังใจกับทหารตามหน่วยต่างๆ แล้ว ก็กลับไป กทม. และจากนั้นอีกไม่กี่วัน พล.ต.ยุทธศิลป์ ก็สั่งทหารแค่ 1 กองร้อยเข้าโจมตีที่มั่นของ ผกค. เป็นการหยั่งเชิง โดยมีตัวท่านเป็นผู้สั่งการอยู่ข้างบนเครื่องบิน ผลปรากฏว่าดีมากเกินความคาดหมาย แต่มีรายงานทางวิทยุว่ามีทหารเสียชีวิต 1 นาย

ท่านเกิดสงสัยว่ามันตายได้อย่างไร เพราะท่านมั่นใจว่าทหารของท่านต้องไม่มีใครตาย ท่านให้แค่บาดเจ็บเท่านั้น จึงสั่งลงมาจากเครื่องบินให้ค้นตัวทหารที่ตายว่า พบอะไรติดตัวบ้าง โดยเฉพาะผ้ายันต์แดง ธงมหาพิชัยสงคราม ทหารก็รายงานว่า ไม่พบผ้ายันต์แดงเลยในตัวท่านรู้สึกผิดหวังมาก ที่เขาไม่พกเอาผ้ายันต์แดงไปด้วย ทั้งๆ ที่สั่งแล้ว

เมื่อถอนตัวกลับฐานทัพ ก็สอบข้อเท็จจริงเรื่องพลทหารที่ตายว่าชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน ทำไมจึงไม่มีผ้ายันตีแดง ก็พบว่าเป็นทหารที่เพิ่งย้ายกลับเข้ามาเมื่อวานนี้เอง จากหน่วยทหารราชบุรี (อ.ปากท่อ) ท่านจึงถึงบางอ้อ

วันที่ 2 ท่านเพิ่มหน่วยจู่โจมเป็น 2 กองร้อย ผลปรากฏว่ามีตาย 2 คน และก็มีสาเหตุ จากไม่มีผ้ายันต์แดงติดตัวเช่นกัน เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาจากหน่วยอื่น ความลับไม่มีในโลก ทั่วทั้งกองทัพรู้ข่าว รู้อิทธิปาฏิหาริย์ของผ้ายันต์ ธงมหาพิชัยสงครามกันหมด ผลก็คือ ทหารทุกคนที่ไม่มีผ้ายันต์สีแดงจะไม่ยอมออกโจมตีในวันต่อไป จึงเดือดร้อนถึงท่านรองแม่ทัพ ดังนั้น เพื่อขวัญและกำลังใจของลูกนอง ท่านรองจึงต้องบินมาหาหลวงพ่อในคืนนั้น เพื่อขอผ้ายันต์แดงไปแจกลูกน้องให้ครบทุกคน

วันที่ 3 ทุกคนมีขวัญและกำลังใจเต็ม 100% ใช้กำลังเป็น 3 กองร้อย ปรากฏผลว่าสามารถยึดฐานใหญ่และฐานย่อยของภูพานได้ทั้งหมด ชนิดที่ ผกค. ขวัญกระเจิงไม่ยอมสู้ด้วย เพราะวันที่ 3 นี้ ทหารทุกคนถือปืนวิ่งเข้ายึดฐานโดยไม่มีใครยอมหมอบหรือวิ่งเข้าหาที่กำบังเหมือน 2 วันแรก ทุกคนดาหน้าเข้ายึดเอาดื้อๆ โดยไม่กลัว ไม่ยอมหลบลูกปืนสักคน จึงยึดได้ด้วยเวลาอันสั้น และไม่มีใครเสียชีวิตเลย

ผมนึกภาพเอาเองนะครับว่า หากผมเป็น ผกค. ผมก็คงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด เพราะยิงเท่าใดก็ไม่โดนตัว หรือโดนก็ไม่เข้า คงดาหน้าเข้ามาเต็มไปหมดเหมือนกับยิงทหารที่ทำจากหุ่น (เหมือนในสมัยขุนแผน ท่านเป็นแม่ทัพ เสกหุ่นให้เป็นทหารรบที่ไหนก็ชนะหมด) พอหลวงพ่อท่านทราบข่าวจากท่านรองแม่ทัพ ท่านพร้อมคณะก็ไปเยี่ยมทหารหน่วยนั้นในวันต่อมา

หลังจากได้คุยกับทหารหน่วยพิเศษนี้แล้ว ผมพอจะสรุปผลย่อๆ ได้ดังนี้
1. ขณะที่ฝ่าย ผกค. ยิงปืนเข้าใส่พวกเรานั้น ส่วนใหญ่บอกว่าไม่โดนแต่เฉี่ยวหรือเฉียดตัวไป รู้สึกว่าลูกปืนมันวิ่งมาเต็มไปหมด แต่ไม่ยักโดนตัว

2. บางคนบอกว่า บางครั้งก็โดน แต่ไม่เข้า ไม่รู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกคล้ายๆ มีแมลงหรือผึ้งบินมาชนตัวเท่านั้น

3. มีอยู่ 1 ราย ที่เล่าว่า ขณะที่เดินไปบ้าง วิ่งไปบ้าง ยิงปืนใส่ข้าศึกบ้าง รู้สึกหิวจึงเอามือล้วงมาม่า (เส้นหมี่) กินไปด้วย แต่แปลกใจว่า ทำไมมาม่ามันถึงแข็งและเหนียวนักเลยคายออกมาจากปากดู ปรากฏว่ามันไม่ใช่มาม่า แต่เป็นลูกปืนที่ข้าศึกยิงมาโดนตัวแต่ไม่เข้า ลูกระสุนแบนเหมือนถูกบี้ แล้วจึงหล่นลงไปในกระเป๋าเสื้อที่มีมาม่าอยู่

4. บางคนเล่าว่า ขณะวิ่งไปยิงไปนั้น บางครั้งก็มองเห็นข้าศึก ที่ซุ่มอยู่ข้างทาง แต่มันไม่ยักยิง เห็นตามันค้างคล้ายกับหุ่นหรือคนตกใจ ข้อนี้ขออนุญาตวิจารณ์ว่า คงเป็นเพราะอานุภาพของผ้ายันต์แดง ทำให้เกิดอาการ “นะ จัง งัง” ขึ้น หรือเพราะมันตกใจจริงๆ ที่ไม่เคยเห็นคนที่ไม่ยอมหลบลูกปืน จึงมีสภาพคล้ายเห็นผี แล้วตกใจตาค้าง

5. เรายึดได้ฐานใหญ่มาก จนไม่น่าเชื่อ เพราะฐานนี้ มีทั้งโรงพยาบาลและเวชภัณฑ์มากมาย, มีโรงพลศึกษา, สนามบาส, โรงครัวขนาดใหญ่ พร้อมเสบียงกินได้เป็นปี, อาวุธมากมาย, เครื่องปั่นไฟและน้ำมัน โดยเฉพาะราวตากผ้า ท่านรองแม่ทัพบอกว่า ต้องใช้รถ 10 ล้อทั้งคันอาจจะขนไม่หมด แสดงว่ามันมีกำลังพลไม่ใช่น้อย เกินกว่าที่เราคาดคะเนไว้อีก และมีการทดน้ำไว้ใช้ด้วย แสดงว่าเขาอยู่มานานหลายปี

6. เนื่องจากเราใช้กำลังพลน้อยแค่ 3 กองร้อย หากจะยึดพื้นที่ไว้ ก็เสี่ยงเกินไปเพราะตอนกลางคืน มันอาจหวนกลับมาใหม่ก็ได้ จึงสั่งทำลายและเผาให้หมด สำหรับผมคิดเอาเองว่าหากผมเป็น ผกค. ก็ไม่ขอยอมหันหลังกลับมาตียึดคืนแน่ๆ เพราะเข็ดไปจนตาย จะไม่ขอพบทหารผี (ทหารหุ่น) เหล่านี้อีก

7. เป็นจริงตามคาดหมาย เพราะตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา ผกค. ก็หายซ่าไปเลย


เรื่องของหลวงพ่อท่าน ยังมีอีกมากยากที่ผมจะเล่าให้ฟังหมดได้ และโดยธรรมแล้ว อะไรก็ตามที่มันมากเกินไป ผลมันแทนที่จะมากตามส่วน กลับไม่ได้ผล หรือกลับเป็นผลเสีย เช่น ยาทุกชนิดหากใช้เกินขนาดล้วนเป็นโทษแก่ผู้ใช้ทั้งสิ้น ร่างกายของคนก็เช่นกัน หากส่วนใดเจริญมากไปก็กลายเป็นมะเร็ง สมจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ใน “ปฐมเทศนา” ความว่า อย่าตึงไป (เครียดเกินไป) อย่าหย่อนไป (อยากมากเกินไป, ขี้เกียจมากไป) จะไม่มีผล ให้เดินสายกลาง

ผมจึงต้องขอจบเรื่องไว้อีกตอนหนึ่งเพียงแค่นี้ แต่ก่อนจะจบขอสรุปเรื่องผ้ายันต์แดง ธงมหาพิชัยสงครามไว้เพื่อเตือนความจำดังนี้:-
1. ความศักดิ์สิทธ์ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย เขียนอีก 2 – 3 ตอนก็ไม่จบ ที่เล่าให้ฟังนี้ เป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น
2. ผู้นำไปใช้ หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่นเป็นโจร – ปล้น – ฆ่าเขา – ขโมยเขา ธงนี้จะไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิง ลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุออกท้ายทอยทุกราย

3. ธงมหาพิชัยสงครามไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)
4. เวลาทำพิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงครามกับผ้ายันต์เกราะเพชรซึ่งมีรูปหลวงพ่อปาน และรูปยันต์เกราะเพชรนั้นทำเหมือนกัน มีคุณภาพเหมือนกันทุกประการใช้แทนกันได้
5. เรื่องป้องกันหรือบรรเทาอุบัติเหตุไฟไหม้บ้าน, พายุใหญ่หรือวาตภัย มีผู้เล่าให้ฟังเสมอว่า มีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่กับความมั่นคงของจิตของแต่ละคนด้วย


หลวงพ่อไปอินเดีย
หลวงพ่อ ท่านพาลูก – หลาน ไปประเทศอินเดีย เมื่อ 23 เมษายน 2522 ถึง 30 เมษายน 2522 ซึ่งท่านได้พูดเล่าเรื่องไว้แล้วในเทปถึง 10 ม้วน แต่ก็กว่า 10 ปีแล้ว ตอนนี้คงจะหาเทปฟังไม่ได้ แต่คุณพรนุช คืนคงดี และคุณสมพร บุญยเกียรติ ได้กรุณาถอดเทป 48 ม้วน ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อสอนลูกๆ ไว้ และรวบรวมออกมาเป็นหนังสือ ชื่อ เรื่องจริงอิงนิทาน พิเศษ เพื่อเป็นอนุสรณ์ในโอกาสคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ เมื่อตุลาคม 2524

ซึ่งก็มีเรื่องเกี่ยวกับอินเดีย กับพระพุทธศาสนาตามความเป็นจริง (ไม่ใช่ตามที่แขกเขาเขียนไว้) อยู่หลายสิบหน้า ผู้ใดสนใจก็หาอ่านได้ และ “ชาโดว์” ก็ได้เขียนเรื่องเชิญท่องอินเดียไว้หลายตอน แบบนักทัศนาจร, นักพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง, และนักปฏิบัติธรรมรวมกันไปเบ็ดเสร็จ อย่างสนุกสนานพร้อมทั้งได้ความรู้ในทางโลกและทางธรรมพร้อมกัน ผู้ใดสนใจให้อ่านธัมมวิโมกข์ ฉบับรวมเล่ม ปีที่ 1 2523 เล่ม 1 – 8 (อยู่ท้ายเล่ม)

((( โปรดติดตามตอน 2 ต่อไป )))


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 15/1/11 at 15:00


หลวงพ่อกับเหตุการณ์ (ตอนที่ 2)

ระหว่างปี พ.ศ. 2518 – 2520


ส่วนที่ผมเขียนนี้ก็เป็นอีกแนวหนึ่ง มีความโดยย่อดังนี้
1. ผมตั้งคำถามใจตนเองว่าหลวงพ่อท่านไปอินเดียทำไม ไปเพื่อจุดประสงค์อะไร ตอนแรกผมยังนึกไม่ออก แต่ผมก็มีข้อมูลอยู่ในใจของผมว่า อินเดีย มีที่สุดของโลกอยู่หลายอย่าง เช่น จนที่สุด สกปรกที่สุด มีโรคระบาดมากที่สุด ขโมยมากที่สุด โกหกเก่งที่สุด ร้อนที่สุด มีพลเมืองมากที่สุด (ยกเว้นจากจีน) ถือชั้นวรรณะมากที่สุด และคงยังมีอะไรๆ อีกหลายอย่างที่ผมไม่รู้ เมื่อถึงแล้วคงจะรู้เอง

2. เมื่อวันแรกที่ไปถึง ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ผมก็ได้ข้อมูลเพิ่มคือ การตรวจของก่อนผ่านด่านนานที่สุด เพราะผมยืนดูแขกตรวจแขกยังขนาดนี้ แล้วพวกเราจะขนาดไหน เมื่อตอนไปถึงพวกเราประมาณ 80 คน รวมกลุ่ม ห้ามแตกกลุ่มเพราเดี๋ยวแขกแกเล่นกลเก่ง พาพวกเราหายไปคนหนึ่งก็ยุ่ง จึงต้องอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ในขณะที่รวมกลุ่ม – รวมของ ซึ่งมีมากเป็นกรณีพิเศษ เช่น อาหารสารพัดอย่าง, ผ้าห่ม, มุ้ง เครื่องครัวขนกันมาหมด กระเป๋าอีก 80 ใบ ท่านลองนึกภาพดูก็แล้วกัน มันจะขนาดไหน

ระหว่างนั้น ก็ดูแขกแกตรวจแขกเล่นเพลินๆ แกเทกระเป๋าออกมากองหมด ชนิดคว่ำกระเป๋า แล้วค่อยๆ ยกขึ้นพิจารณาอย่างผู้มีสติสัมปชัญญะทีละชิ้น ละชิ้น โดยกลัวของจะช้ำ ผมสงสัยว่าแกคงฝึกกรรมฐานไปในตัว โดยจับลมหายใจเข้าและออกไปด้วย (อานาปานุสสติ) พร้อมกับภาวนาว่า โรตี หายใจเข้านึกว่า “โร” หายใจออกนึกว่า “ตี” เห็นตาแกเหม่อลอยไปตามของที่จับทีละชิ้น ทีละชิ้น บางชิ้นวางแล้ว ยังยกขึ้นมาพิจารณาใหม่ ส่วนเจ้าของกระเป๋า ท่านก็ใช้บารมี 10 ออกมาปฏิบัติ คือ ใช้ วิริยะ – ขันติ – สัจจะ และอุเบกขาบารมีเป็นทัพหน้า ส่วนบารมีที่เหลือเป็นทัพรอง (แกตรวจได้ก็ตรวจไป ฉันก็รอเป็นเหมือนกัน)

ผมกำลังพิจารณาธรรมะอยู่ จวนจะมีดวงตาเห็นธรรมอยู่แล้วทีเดียว ก็มีคนมาขัดจังหวะ บอกว่าพวกเราไปได้ไม่ต้องตรวจ เลยโล่งใจไปเพราะหากต้องตรวจผมว่าอีก 2 วันก็ไม่แน่ว่าจะเสร็จ เลยเกิดสงสัย ไปถามผู้รู้เข้า เขาก็บอกว่า “ในหลวง ท่านเสด็จ” เท่านั้นเองก็ถึงบางอ้อ ความจริง เคยมีคนที่เขาผ่านอินเดียบ่อยๆ เล่าให้ผมฟังว่า

ขณะตรวจนั้นเอาเงินแค่ 5 รูปี ใส่มือแกก็เสร็จพิธี มืออาบังจะทำงานอย่างรวดเร็ว รีบปิดกระเป๋าให้เสร็จพร้อมให้รีบผ่านไปทันที แต่บางคนเล่าว่าไม่ต้องใช้รูปีก็ได้ พี่บังแกชอบรูปโป๊ เอารูปโป๊ให้แกดู แกจะดูเพลิน เราก็รีบปิดกระเป๋าของเราเองแล้วผ่านไป ส่วนแกจะยังเพลินอยู่กับรูปโป๊นั้นโดยไม่สนใจเราเลย (อันนี้ก็ที่สุดเหมือนกัน)

3. ตอนนั่งรถ จากสนามบินกัลกัตตาไปวัดไทยที่พุทธคยา ระยะทางประมาณ 400 กม. ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 1 วัน (นี่ก็ต้องจัดเป็นที่สุดได้เหมือนกัน) เหตุผลเพราะพี่บังคนขับ ขับไปหยุดไป บางทีหยุดนานเกินควร ต้องลงไปดูว่าเพราอะไร รถคันหลังบีบแตรดังสนั่นไปหมด

ปรากฏว่าพี่บังคนขับ 2 คน บังเอิญรู้จักกัน พอรถสวนกันเลยจอดรถคุยกัน คุยยังไม่จบคันอื่นก็ไปไม่ได้ ถนนก็แคบไม่มีทางเบี่ยงหรือแซงกันได้ รถติดกันยาวเป็นกิโลๆ แกก็เฉยๆ แสดงว่าแกใช้อุเบกขาบารมีได้ดีมาก แต่ขาดปัญญาบารมีจึงเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ต้องจัดเป็นอุเบกขาแบบควาย

พอตกกลางคืนรถอยู่นอกเมือง รถจึงน้อย แต่พี่บังก็หยุดอีกโดยไม่มีเหตุผล จึงลงไปดู ปรากฏว่าคนขับไม่อยู่ในรถ เมื่อตามไปดู ก็พบว่า แกไปนอนหลับอยู่บนเตียงแขก (เหมือนเตียงแขกยามบ้านเรา) กรนดังสนั่น ต้องไปปลุกแกให้มาขับรถต่อ ที่เมืองแขกจะมีที่พักรถเป็นระยะๆ มีอาหารแขก เครื่องดื่มแขก และเตียงนอนแขก วางอยู่ทั่วบริเวณ ดังนั้น พอรถหยุดนานก็รู้ทันทีว่าคนขับแอบลงไปนอน ผมให้ผู้อ่านคิดต่อกันเองก็แล้วกันว่า กว่าจะถึงนั้น พี่บังหยุดอีกกี่ครั้ง

ส่วนพวกเราก็ต้องใช้บารมี 10 เต็มกำลังกันทุกคน และคนที่น่าอิจฉาที่สุดในรถคือ คุณปาน (ชาลินี เนียมสกุล) เพราะเธอเป็นผู้เดียวที่สามารถนอนหลับอย่างเป็นสุขได้ตลอดทาง โดยการขดตัวให้พอดีกับเก้าอี้นั่ง ผู้นี้มีคุณสมบัติพิเศษหลายๆ อย่างอยู่ในตน เช่น ฝึกอานาปานุสสติได้ถึงขั้นพอหายใจเข้านึกว่า “พุท” พอหายใจออกนึกว่า “โธ” แกก็หลับพอดี ผมดูชื่อรถคันที่นั่งไปแล้วก็ตกใจ เพราะชื่อว่า “มหาราชาทัวร์” แล้วถ้าเป็น “ยาจกทัวร์” จะขนาดไหน

4. รถคันที่นั่งมาต้องปิดกระจก (เอากระจกขึ้น) หมด แต่รถไม่มีเครื่องทำความเย็น ผมขึ้นไปทีแรก ก็โวยว่าทำไมไม่เอากระจกลง เดี๋ยวร้อนตาย ทุกคนในรถเขานั่งเฉยๆ อมยิ้ม ผมก็หมุนกระจกลง พอหมุนลงลมภายนอกรถก็เข้ามา ผมก็ต้องรีบไขกระจกขึ้นโดยเร็ว เพราะลมข้างนอกที่พัดเข้ามานั้น มันร้อนกว่าในรถมาก เหมือนกับเรานั่งอยู่หน้าเตาไฟร้อนๆ แบบนั้น นี่ก็เป็นธรรมะเหมือนกัน หากไม่เจอเอง พบเอง โดนกับตนเองย่อมไม่รู้จริง จะรู้จริงต้องโดนกับตัวเอง

เหมือนกับคำนินทากับสรรเสริญ ตัวสรรเสริญมักไม่ค่อยรู้ เพราะมันเป็นไฟเย็น (ไฟฟ้า – ไฟหลง – ไฟโมหะ) กว่าจะรู้ก็พองไปแล้ว จึงน่ากลัวกว่าตัวนินทามาก ส่วนคำนินทานั้น หากใครไม่โดนเองกับตัวจะไม่รู้รสของมันว่า เผ็ด – ร้อน – และแสบแค่ไหน

บางคนช่วยปลดคนอื่นเขาได้อย่างดี เมื่อเขาถูกนินทา แต่พอตัวเองโดนเข้า ผมสงสารจริงๆ เพราะแกมีสภาพคล้าย “หมาถูกน้ำร้อนลวกเอา” ร้องโวยวายแบบคนขาดสติ ผมเห็นกับตาได้ยินกับหูมาหลายคนแล้ว ดังนั้นหากใครยังไม่เคยโดน ก็จงอย่าประมาท (อวดดี) ในโลกธรรม 8

5. เมื่อถึงวัดไทย ที่พุทธคยาแล้ว ก็แยกกันพักห้องละ 5 – 6 คน ส่วนหลวงพ่อแยกพักอยู่ตึกพิเศษใกล้ๆ กัน เราได้ความรู้เรื่องการอยู่เมืองร้อนว่า ถ้าแดดส่องด้านใดให้ปิดหน้าต่างด้านนั้น เวลาร้อนจัดให้ปิดประตูหน้าต่างหมด เพราะลมที่พัดมานั้นจะร้อนกว่าในห้องเรามาก พอตกกลางคืน ทุกคนมารวมกันเพื่อรับประทานอาหาร เสร็จแล้วหลวงพ่อท่านก็มานั่งคุยกับพวกเรา ซึ่งกำลังวางแผนว่าพรุ่งนี้เช้ามืด เราจะออกไปเที่ยวที่ไหนบ้าง
หลวงพ่อเอง ท่านบอกว่าท่านขี้เกียจไป เพราะเพลียมากจากความร้อน ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จท่านเมตตาลดอุณหภูมิให้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นตามปกติแล้ว 5 องศาเซลเซียส และทำความรู้สึกของประสาทสัมผัส ให้คล้ายๆ กับที่อยู่ที่อุณหภูมิแค่ 30 องศาเซลเซียส (ขณะนั้นอุณหภูมิจริง 45 องศาเซลเซียส ท่านลดให้เหลือ 40 องศาเซลเซียส) ทั้งนี้ หมายถึงทุกๆ คน ก็ได้รับพระเมตตานี้จากองค์สมเด็จ

(หลวงพ่อท่านเล่าให้ผมฟัง หากผมเข้าใจผิด ก็ต้องขอขมาท่านไว้ในโอกาสนี้ด้วย แต่ผมมั่นใจเช่นนั้น เพราะอะไร กรุณาอ่านต่อไปก็แล้วกัน) หลวงพ่อท่านเป็นโรคแพ้ความร้อนทุกคนก็คงทราบดี ดังนั้น ท่านก็พยายามชักชวนให้ใครอยู่เป็นเพื่อนคุยกับท่านบ้าง

และถามเรียงตัวเลยว่า พรนุช ไปไหม ตอบว่าไปค่ะ เปี๊ยกไปไหม ตอบว่าไปค่ะ ท่านถาม 70 กว่าคนแล้วก็ไปกันทุกคน พอมาถึงผม ท่านก็ถามว่า หมอไม่ไปใช่ไหม ผมก็ตอบว่า ครับ (แล้วจะให้ผมตอบอย่างไรเล่าครับ ท่านเล่นถามดักคอผมไว้ก่อน) และดูเหมือนจะไม่ไปอีก 1 ท่านคือ คุณดำรง นุตาลัย (บิดาของ ดร.ปริญญา) ตกลงตลอดเวลา 7 – 8 วัน ผมจึงอยู่แต่ในเขตวัดไทยเท่านั้น

ยกเว้นตอนเย็นๆ เมื่อหลวงพ่อท่านออกเดินไปชมเจดีย์พุทธคยา และบริเวณรอบๆ วัด นอกนั้นท่านไม่ได้ไปไหน ส่วนผมก็ให้น้ำเกลือท่านเกือบทุกัน และอยู่คุยกับท่าน ท่านก็เล่าเรื่องอินเดียให้ผมฟัง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยไม่ต้องเหนื่อยเหมือนพวกที่ไปดูเอง (รายละเอียด ชาโดว์เขียนไว้เป็นวันต่อวัน ตามที่บอกไว้ในตอนแรก)

และในวันต่อๆ มา ก็เริ่มมีคนที่ไม่รู้สึกสนุกกับการเที่ยวเมืองแขกเพิ่มขึ้นอีก 3 – 4 คน หลวงพ่อท่านเลยให้เปิดการฝึกมโนมยิทธิ ให้กับพระที่ประจำวัดไทยอยู่ในขณะนั้น ประมาณ 5 – 6 องค์ ในวันต่อๆ มา ก็มีชี และคนที่รู้ข่าวมาร่วมฝึกด้วย (ชาโดว์ ก็เขียนไว้แล้ว ผมจึงขอผ่านไป)

6. เรื่องของมหายอด ท่านยอดสมชื่อ ในการคุยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอินเดียและพุทธศาสนาตามที่อาจารย์แขก (ซึ่งไม่ใช่พุทธ) สอนท่านมา จนท่านได้เป็นด็อกเตอร์หรือปริญญาเอกทางพุทธศาสตร์ (ผมต่อให้เองว่า สาขาประวัติศาสตร์ จริงๆ เขาเป็นอย่างไรผมก็ไม่ทราบ) ที่ยกตัวอย่าง ท่านมหายอดไม่ใช่จะประจานท่าน แต่ผมเห็นว่าท่านเป็นพระ ที่ควรแก่การยกย่อง และสรรเสริญ เรื่องย่อๆ มีดังนี้

เมื่อหลวงพ่อไปถึงอินเดีย มีพระมากราบท่านหลายองค์ รวมทั้งท่านมหายอดด้วย ท่านมหาเป็นพระที่พูดเก่งมาก หาคนคุยได้เก่งแบบท่านยาก ส่วนใหญ่เป็นความรู้รอบตัว ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพุทธศาสนาในอินเดีย และท่านอาสาจะพาพวกเราไปดูเจดีย์เก่าพุทธคยาและต้นโพธิ์ที่แขกอ้างว่า เป็นต้นโพธิ์ต้นที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

เรื่องนี้ก่อนวันจะไปดูหลวงพ่อท่านแนะนำพวกเราว่า เวลาเขาอธิบายให้ทำสมาธิ และใช้มโนมยิทธิตรวจสอบไปด้วย แต่ห้ามคัดค้านเขา เขาว่าของเขาไป ส่วนเราจะรู้จะเห็นอะไร อย่างไร ก็เป็นเรื่องของเรา เป็นการฝึกอารมณ์ และสอบวิชาความรู้ที่หลวงพ่อท่านให้ไว้ไปในตัว ผลก็คือมันไปกันคนละทางกับที่แขกเขาว่า (ที่สุดของโลกก็อยู่ที่เมืองแขก ให้ดูในเรื่องจริงอิงนิทาน พิเศษ ก็มีอยู่) มหายอดพบกับหลวงพ่อใหม่ๆ ท่านมหาพูดมาก จนหลวงพ่อท่านไม่มีโอกาสจะพูดแทรกได้

แต่หลังจากหลวงพ่อฝึกมโนมยิทธิให้มหาได้แล้ว และสามารถล้วงตับมหายอดได้หมด มหายอดเลยหยุดพูด (เวลาพบหลวงพ่อ) ที่ท่านมหายอดกลัวมากคือ ท่านไปปรารถนาพุทธภูมิไว้กับต้นโพธิ์ ซึ่งท่านไม่เคยบอกใครเลย แต่หลวงพ่อท่านก็รู้ มหาเลยซึมไป จากนั้นท่านก็ยอมรับนับถือหลวงพ่อ ว่าเป็นพระเก่ง พระดี และคงจะยอมรับนับถือเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน ท่านจึงมาคอยปฏิบัติหลวงพ่อ

ตอนที่ผมให้น้ำเกลือและเฝ้าหลวงพ่ออยู่ ท่านมหายอดพูดกับผมว่า หลวงพ่อท่านเป็นพระดี เป็นพระที่เก่ง มีคุณธรรมสูงมาก ท่านไม่ค่อยพูด แต่ผมเองยังแย่มาก ที่ยังหาดีไม่พบ จึงยังพูดมากอยู่ คำพูดนี้แหละครับ ที่ผมขอยกย่องและสรรเสริญท่านว่าท่านเป็นพระดี พระอย่างนี้ผมไหว้ได้ กราบได้ เพราะท่านไม่หลงตัวเอง เดิมท่านหลงผิดไป แต่เมื่อท่านได้พบทางที่ถูกที่ควรแล้วท่านก็กลับตัว กลับใจ รู้สำนึกผิด และตำหนิตนเองให้ผู้อื่นฟัง

สิ่งเหล่านี้คือธรรมปฏิบัติที่คนอาจจะไม่ได้สังเกต เพราะผมมั่นใจเสมอว่า ก) ผู้ปฏิบัติธรรมนั่น หากยังไม่เห็น – ไม่รู้ความชั่วของตัวเองแล้ว เขาจะไม่มีวันละความชั่วที่ตัวเขาได้ (ธรรมะประโยคนี้ผมกล่าวมาหลายหนแล้ว ในเรื่องนางมาติกมาตา) และ ข) คำตรัสของพระพุทธองค์ที่ว่า “บุคคลใดก็ตามที่คิดว่าตนยังเป็นคนโง่อยู่ บุคคลนั้นยังเป็นบัณฑิต (คนฉลาด) แต่บุคคลใดที่คิดว่าตนเองเป็นบัณฑิต (คนฉลาด) บุคคลนั้นคือคนโง่อย่างแท้จริง”

7. ผมพบนางสุชาดา ที่ถวายข้าวมธุปายาสแก่องค์สมเด็จ (ก่อนจะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า) โดยนางคิดว่า พระองค์เป็นรุกขเทวดา เรื่องโดยย่อมีดังนี้ ในหมู่พวกเราที่ไปอินเดีย ส่วนใหญ่จะเป็นสาวน้อยและสาวมาก พวกหนุ่มๆ ไม่ค่อยจะมี ผมจึงเลือกไปคุยกับพวกสาวมาก บังเอิญตอนที่ผมก้าวเข้าไปในห้องที่สาวๆ เขากำลังคุยกันอยู่นั้น เขากำลังสนทนากันเรื่องของ นางสุชาดา

ผมก็เลยบอกเขาว่า พวกเราช่วยทำสมาธิจิตดูซิว่า ขณะนี้นางสุชาดา ท่านไปนิพพานแล้วหรือยัง ถ้ายังท่านอยู่ที่ไหน ท่านมาเกิดหรือเปล่า หากเกิดแล้วขณะนี้อยู่ที่ไหน เป็นใคร หรือนั่งอยู่ในที่นี้ก็ไม่ทราบ

เมื่อตามองไปพบคุณรัชนี ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้มีทิพยจักขุญาณ และมโนมยิทธิว่องไวมากผู้หนึ่งกำลังอายหน้าแดงอยู่ ผมจึงถามว่าเป็นอะไรไปรัชนี คุณรัชนีตอบว่าเธอไม่กล้าเอาจิตดู เพราะใจมันมีอุปาทาน เนื่องจากเธอรักนางสุชาดามาก กลัวว่าจะไปเห็นตัวเองเป็นนางสุชาดาเข้า เมื่อสนทนากันสักครู่ ก็มีสาวมากท่านหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานว่า

เธอรู้แล้วว่าใครคือนางสุชาดา เมื่อกี้เธอแอบไปถามหลวงพ่อท่านมาแล้ว หลวงพ่อบอกว่านางสุชาดายังไม่ไปนิพพาน ขณะนี้มาเกิดเป็นผู้หญิงสาว สวย – ร่ำรวยมาก – และอยู่ในตระกูลที่สูง ตอนนี้เธอก็มากับหลวงพ่อด้วย (หากใครอยากรู้ก็ไม่ยาก ให้ใช้มโนมยิทธิขึ้นไปถามองค์สมเด็จโดยตรง)

เรื่องที่เล่านี้ก็เป็นธรรมะ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนเราตายแล้วก็ต้องกลับมาเกิดอีก หากกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมยังไม่หมด เพราะความเลว 4 อย่าง ซึ่งอาศัยอยู่กับใจของเรานั้นเป็นตัวบังคับเราให้ต้องกลับมาเกิดอีก เป็นการพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จ ว่าเป็นจริงทุกประการ และใครทำดีย่อมได้เสวยกรรมดี

ในตอนเย็นวันนั้น คณะของเราหมู่ใหญ่ก็ให้นางสุชาดาพาไปดูบ้านเก่าของเธอว่า อยู่ตรงไหน เธอก็พาเราเดินข้ามแม่น้ำ (เพราะน้ำไม่มีมีแต่ทราย) ไปดู กว่าจะพบเล่นเอาเมื่อยขา (พบโดยใช้ทิพยจักขุ และมโนมยิทธิช่วย) บ้านจริงนั้นไม่มีแล้ว เพราะตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว เราเพียงรู้ว่าอยู่ตรงบริเวณนี้เท่านั้น

แต่หากไปตามแขก ผมคิดว่าแขกแกคงหาบ้านพบโดยให้ดูตอไม้เก่าๆ สักหนึ่งตอ แล้วก็บอกว่านี่ไง เสาบ้านยังเหลืออยู่ ของแขกต้องยังมีอยู่ทุกอย่าง แม้แต่สระน้ำต่างๆ ในสมัยพระพุทธเจ้า แขกก็ชี้ให้ดูว่ายังอยู่ และยังมีน้ำขังอยู่จริงๆ ด้วย เป็นต้น เพราะแขกเล่นกลเก่ง

เมื่อพบบ้านนางสุชาดาแล้ว การจะหาที่ๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และที่ๆ ต้นโพธิ์ขึ้นอยู่เดิม อันเป็นต้นโพธิ์ที่พระองค์ทรงนั่งหันหลังพิงจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็คงอยู่ในบริเวณใกล้ๆ นี้เอง เราจึงพากันหา ก็พบว่าในปัจจุบันเป็นเกาะเล็กๆ อยู่กลางแม่น้ำที่ไม่มีน้ำ ทั้งนี้ก็โดยอาศัยบารมีขององค์สมเด็จท่านเมตตา ทำพุทธนิมิตให้พวกเราเห็น

เมื่อทุกคนแน่ใจก็ล้อมวงรอบที่นั้น จุดธูปเทียน และวางดอกไม้ เพื่อบูชาความดีของพระองค์ และขอขมาต่อพระองค์ จากนั้นก็พร้อมใจกันสวดอิติปิโส 3 ช่วง – 3 จบ ทุกคนต่างก็มีปีติในธรรมที่ตนได้สัมผัส

ตัวผมเองพิจารณาทิศทางที่พระองค์ทรงประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และตำแหน่งต้นโพธิ์ แล้วพิจารณาพื้นดินบริเวณนั้น ก็พบว่า ดินบริเวณนั้นไม่เหมือนกับบริเวณอื่นๆ จึงจับดินขึ้นมาอธิษฐาน ก็พบว่าดินทั้งบริเวณนั้นมีพุทธานุภาพสูงมาก เหมือนๆ กับพระเครื่อง จึงอุทานออกมาด้วยความดีใจ ผลก็คือ ทุกคนต่างก็หาภาชนะมาใส่ดินเอาไปเป็นพุทธบูชา คนละมากบ้างน้อยบ้างตามอัธยาศัย เข้าใจว่าบางคนคงยังมีดินนั้นอยู่

8. อินเดีย มีส้วมมากที่สุดในโลก เพราะอยากจะอึตรงไหน ก็ทำได้ตามอัธยาศัย (อึได้ทุกแห่ง) แม้แต่ที่สถานีรถไฟ ตอนกลางวันแสกๆ นี้ พี่บังก็นั่งอึได้หน้าตาเฉย ตอนเช้ามืด พวกผู้หญิงเขาจะออกอึกันก่อน คนไหนตื่นสายหน่อย ก็อึมันสายๆ นั่นแหละ แต่มีน้อย ส่วนพวกผู้ชายนั้นเห็นเป็นปกติ เช้าวันหนึ่ง หลวงพ่อท่านเดินออกกำลังขาเพราะยังไม่ค่อยร้อน ผมเห็นหลวงพ่อท่านยืนหัวเราะชอบใจ ที่เห็นแขกร้องเอะอะโวยวายลั่นไปหมด

เพราะขณะที่พี่บังกำลังนั่งปลงอสุภกรรมฐานอยู่นั้น (นั่งถ่ายของเก่า) มีหมู 2 ตัว หรือกว่า 2 ก็ไม่ทราบ ตัวหนึ่งเข้ามาด้านหน้า อีกตัวหนึ่งเข้าด้านหลัง พยายามที่จะแย่งอึของพี่บัง เป็นอาหารเช้า พี่บังแกก็ตกใจเพราะมันแย่งกัน ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มือ 2 มือของพี่บังก็ปัดไปข้างหน้า ไปข้างหลังวุ่นไปหมด ปากก็โวยลั่นไล่หมู แต่หมูก็คือหมู ไม่ค่อยจะเชื่อฟัง เพราะกลิ่นอึมันคงหอมชวนกิน

ความจริงพี่บังแกคงไม่หวงอึของแก เพราะแขกทำทานแก่หมูด้วยวิธีนี้มาจนชินแล้ว แต่วันนี้ต้องโวยเพราะแกกลัวว่าหมูมันจะงับผิดงับถูก เกิดเห็นเจ้าจำปีของแขก ซึ่งสีคล้ายๆ กับอึของแก แล้วงับไปด้วย แกคงผูกคอตายแน่ๆ หมูนั้นหากลงงับได้แล้ว รับรองไม่ยอมปล่อยแน่ๆ

นึกๆ ดูแล้วยังรู้สึกเสียวแทนแขก หลวงพ่อท่านจึงเรียกหมูที่อินเดียว่า เป็นเทศบาลหมู ช่วยเก็บขยะให้อย่างดีเยี่ยม โดยไม่ต้องจ่ายเงินเดือน มิฉะนั้นเราเดินไปไหนมีโอกาสที่จะเหยียบอึแขกได้เสมอ เพราะพลเมืองแขกมีมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน

9. คืนสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย ผมนอนไม่หลับ พยายามใช้อุบายทุกๆ ทางที่พึงคิดได้ก็ไม่สำเร็จ แต่ไม่ยอมใช้ยาระงับประสาท เรื่องพิจารณาและภาวนานั้นได้นำมาใช้หมดแต่ไม่มีผล เพราะมันร้อนจริงๆ พัดลมในห้องมี แต่ไฟฟ้าของเมืองแขกเป็นอนิจจังอยู่เสมอ หากจะนับกันจริงๆ วันหนึ่งๆ อาจดับได้ 7 – 8 หน และไม่ใช่ดับประเดี๋ยวเดียว หากดับแต่ละครั้งเป็นชั่วโมง

ดังนั้น ไฟฟ้าของอาบังมีทั้งวันจริงแต่ ติดๆ ดับๆ แสดงธรรมะให้พวกเราเห็น เป้นวิปัสสนาญาณตลอดเวลา ใครที่ไม่เห็นก็ทุกข์เพิ่มขึ้น เมื่อไม่หลับก็ไม่อยากจะทรมานตนเอง จึงออกมาเดินจงกรม

ขณะที่เดินก็พบพี่บังทุกคนที่มาอาศัยวัดอยู่ รวมทั้งคนรถ แกนอนกับพื้นดินสบายมาก ไม่ต้องใช้มุ้ง เสื้อก็ไม่ต้องใส่ กางเกงก็มีอะไรปิดอยู่นิดเดียว ผมสังเกตว่า มีลมพัดพอสบายและเย็นกว่าอยู่ในห้องมาก และยุงก็ไม่มีหรือมีแต่มันยังไม่มาดูดเลือดเราก็ได้ เมื่อเดินไปพิจารณาไปผ่านห้องนอนของพวกเราแต่ละห้อง ส่วนใหญ่ยังไม่นอน อาจเพราะกำลังจัดของใส่กระเป๋าหรือเอาของใส่กระเป๋าแล้ว

ยังปิดไม่ลงเนื่องจากซื้อของเมืองแขกมามาก เลยต้องนั่งปลงอนิจจังไปก่อน บางห้องมีเสียงร้องไห้ และเสียงคนปลอบใจด้วยธรรมโอสถ เสียงรอดออกมาว่า ให้พี่พูดก่อน ผมก็เดินผ่านไปเพื่อไปดูว่า หลวงพ่อท่านจะร้อนแบบผมหรือเปล่า ปรากฏว่าท่านไม่ได้อยู่ในห้องนอน แต่มานอนอยู่ที่ศาลาเล็กๆ นอกห้องมีมุ้งกางให้อย่างดี และเห็นท่านหลับดีแล้วจึงเดินกลับทางเก่า

ผ่านห้องที่มีคนร้องไห้และมีเสียงรำพันด้วยความคับแค้นใจ ด้วยความทุกข์ และเสียงคนปลอบ (ผลัดกันปลอบคงจะหลายรอบแล้ว ยังไม่มีผล) จึงหยุดฟัง เมื่อได้ข้อมูลว่า เขามีความทุกข์ด้วยเรื่องอะไร ก็พิจารณาต้นเหตุแห่งทุกข์ พอพบต้นเหตุแล้ว ปัญญามันก็บอกต่อ ถึงวิธีปฏิบัติที่จะทำให้ดับทุกข์นั้นได้ โดยใช้อริยสัจของพระพุทธองค์

ดังนั้น ใจหนึ่งอยากจะเข้าไปช่วยปลอดกับเขาบ้าง แต่ต้องหยุดไว้เพราะห้องนั้นมีแต่มาตุคาม (ผู้หญิง) ส่วนเรามันเป็นผู้ชายอกไม่ถึง 3 ศอก เลยต้องถอยมาตั้งอยู่ที่อุเบกขาแล้วเดินจากมา แต่จิตตอนนั้น มันมีปัญญาเลยเอาปัญญานั้น มาใช้พิจารณาทุกข์จากการนอนไม่หลับของเราดีกว่า เมื่อมีทุกข์ก็ต้องมีต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ หากเรายังหาต้นเหตุไม่พบ เราก็ไม่สามารถจะดับทุกข์นั้นได้ ซึ่งเป็นอริยสัจสี่นั่นเอง เมื่อจิตเป็นสัมมาทิฐิซึ่งก็คือ ตัวปัญญาที่ทำให้สามารถมองเห็นต้นเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับได้ คือใจเราติดสุข

ใจเราไปยึดอารมณ์สุขจากเมืองไทย ที่มีเครื่องช่วยทำให้หายร้อน เช่นเครื่องปรับอากาศ พัดลม และลมเย็นจากอุณหภูมิเพียง 23 – 25 องศาเซลเซียส เท่านั้น อันเป็นอารมณ์ตัณหา (อารมณ์พอใจ สุขใจ ดีใจ) แล้วยึดอารมณ์นั้นไว้ไม่ยอมปล่อย (อุปาทาน) จึงทำให้จิตเราปรุงแต่งไปในทางลบตลอดเวลา (สร้างอกุศลกรรม) คิดได้แค่นี้ จิตมันก็ปล่อยวางอารมณ์เดิมที่ยึดไว้คือ กิเลส – ตัณหา – อุปาทาน และอกุศลกรรมให้หมดไปจากใจ จิตก็เกิดปีติ – สุข – เอกัคตารมณ์ ตามลำดับ

เดินกลับมาที่ห้อง พอล้มตัวลงนอน มันก็หลับสนิทจนถึงเช้า (หารเราปฏิบัติธรรมผิดทาง เราก็ยิ่งทุกข์มากขึ้น เพราะทุกข์ตัวแรกในอริยสัจ พระองค์ทรงแนะให้เรากำหนดรู้ว่าทุกข์เท่านั้น รู้แล้วก็วางเสีย โดยให้เห็นว่าเป็นของธรรมดา ส่วนสมุทัยหรือตัณหานั้น พระองค์สอนให้ละ ให้วาง ให้ปล่อย ไม่ให้ยึด เพราะเป็นตัวสร้างทุกข์หรือทำให้เกิดทุกข์ แต่ผู้ที่ยังไม่เข้าใจอริยสัจ หรือเข้าใจยังไม่พอ จึงมักปฏิบัติธรรมตรงข้ามกับที่พระองค์สอนเสมอ (เหมือนกับผมในตอนแรก)

ในตอนเช้า รีบไปหาหลวงพ่อเพื่อถามว่า เพราะเหตุใดหลวงพ่อจึงมากางมุ้งนอนอยู่ที่ศาลา ท่านก็บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านมาบอกว่า คืนนี้ฉันจะคลายฤทธิ์ จะให้อุณหภูมิของอากาศอยู่ตามความเป็นจริงของอินเดีย และจะคลายความรู้สึกที่ประสาทสัมผัสของผิวหนัง ให้รู้สึกว่ามันร้อนอยู่แค่ประมาณ 30 องศาเซลเซียส

ตามที่ผมเขียนไว้ในข้อ 5. เพื่อจะได้ทราบว่า ความจริงนั้นที่นี่เขาร้อนกันขนาดไหน (นี่คือคำตอบว่า ทำไมเมื่อคืนนี้มันจึงร้อนนัก) หลวงพ่อบอกว่า เมื่อรู้ว่ามันจะร้อนผิดปกติกว่าทุกวัน จึงหนีออกมากางมุ้งนอนที่ศาลา ทำให้ทุเลาร้อนลงไปได้มาก

◄ll กลับสู่สารบัญ



28

ลูกกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อ


เปี่ยมสุข ไหมแพง


ประมาณปี 2517 มีพระองค์หนึ่งชื่ออาจารย์ไท เป็นหลาน และเป็นศิษย์ของหลวงปู่ตื้อ ท่านอยู่วัดพระศรีมหาธาตุ (บางเขน) ปัจจุบันทราบว่าไปอยู่ราชบุรีแล้ว เพื่อนๆ บอกว่า ท่านทำนายทายทักอะไรต่างๆ ได้แม่นยำมาก ระยะนั้น สามีของข้าพเจ้าไม่สบาย คืนหนึ่งเขาฝันว่าเขาถูกนำไปประหารชีวิตแต่หนีออกมาได้ เพราะเป็นห่วงข้าพเจ้า

ในที่สุดเขาหนีกลับมาได้ เขาก็ตกใจตื่น เขาก็เล่าความฝันให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าก็ปลอบใจเขาว่า เขาเอาตัวไปผิดน่ะ ไม่มีอะไรหรอก เขาเอามาคืนแล้ว ส่วนตัวข้าพเจ้านั้น ใจคอไม่ค่อยจะดีแล้ว เพราะเคยมีพระมาทักข้าพเจ้าว่าต้องแต่งงาน 2 ครั้ง พอข้าพเจ้าเอารูปถ่ายสามี และวันเดือนปีมาให้อาจารย์ไทตรวจดู ท่านก็บอกอายุเขาไม่ยืนหรอกนะ เขาจะตายประมาณปี 22 – ปี 23

ข้าพเจ้าก็ถามท่านว่า แล้วข้าพเจ้าจะต้องแต่งงานใหม่ไหม ท่านบอกว่าจะต้องแต่ง ต้องพบ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าพเจ้างงเหมือนกัน แต่ก็เรียนท่านต่อไปว่า ทำอย่างไร จะหลีกเลี่ยงไม่ต้องแต่งงานใหม่ได้ ท่านบอก ให้หันมาปฏิบัติธรรมจึงจะหลีกเลี่ยงได้ แต่ก็แปลก ท่านไม่ยอมแนะนำการปฏิบัติธรรมให้ข้าพเจ้า

ท่านพูดเปรยๆ ว่า แล้วเราจะได้พบพระองค์หนึ่งมาโปรด ให้ตั้งจิตอธิษฐานให้ดี จะพบในวันข้างหน้า อีกไม่นานนี้แหละ พอไม่นานเท่าไหร่ แม่ของตุ๋ยเพื่อนรักก็มาชวนไปบ้านสายลม (แม่ของตุ๋ยบวชชี) ดีใจมากเลย เพราะน้องทำงานอยู่โรงพยาบาลราชวิถี เคยมาพูดให้ฟังบ่อยๆ และทราบมาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถก็เคารพหลวงพ่อมาก

ใจก็ยิ่งอยากมากราบหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา พอมากราบหลวงพ่อ มากับแม่ของตุ๋ยได้ครั้งเดียว ข้าพเจ้าก็บุกเดี่ยวเลย ปกติเป็นคนขี้ขลาดมาก ไปไหนคนเดียวไม่ได้ ขึ้นรถเมล์พอไฟบนรถเมล์เปิดก็ใจคอไม่ดีแล้ว กลัวไปหมด แต่พอพบหลวงพ่อ ฟังหลวงพ่อพูดคุย ใจคอปลื้มปีติฟังไม่เบื่อ

ท่านพูดถึงการไม่ต้องเกิดมาในโลกนี้อีก ข้าพเจ้านั่งหูผึ่งตกตะลึงทันที นึกถึงตอนเด็กๆ ที่เราไม่อยากเกิด เราอยากไปอยู่กับพระพุทธเจ้า แต่ตอนนั้นไม่เข้าใจตัวเองว่าเพราะอะไร ฟังเทศน์พระองค์ไหนๆ ก็พูดแต่การต้องเกิด ต้องทำบุญอย่างนั้นอย่างนี้

พอฟังหลวงพ่อแล้วไม่มีเบื่อ ฟังได้ทั้งวันทั้งคืน อยู่กับท่านตั้งแต่ 4 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม เกือบทุกครั้งที่ผ่านมา สามีแปลกใจมากๆ และไม่ค่อยพอใจ มีปฏิกิริยาต่างๆ นาๆ ข้าพเจ้าได้หลวงพ่อเป็นที่พึ่งแล้ว พระคุณของหลวงพ่อเหลือล้นสุดที่จะพรรณนา สามีไปบ่นกับเพื่อนๆ กับพี่ๆ ของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าทิ้งเขา จะไปหาหลวงพ่อทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา และถึงกับลั่นวาจาว่า ตั้งแต่พบพระองค์นี้ เขากู่ไม่กลับแล้ว

เมื่อข้าพเจ้าทราบว่าสามีไปพูดกับใครต่อใครว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ข้าพเจ้าเลยบอกสามีว่า ข้าพเจ้ารักและเคารพบูชาหลวงพ่อองค์นี้สุดชีวิต ใครจะมาห้ามไม่ได้ ใครจะมาขวางก็ไม่ได้ และไม่ว่าใครจะเป็นจะตายยังไง ก็ไม่สนใจ ถ้าหลวงพ่อองค์นี้มาฉันจะไป สามีห้ามข้าพเจ้าไม่ได้ จะว่าข้าพเจ้าทิ้งก็ไม่ได้ เพราะชวนแล้วเขาไม่ไปด้วยจะไปช่วยอะไรเขาได้ ข้าพเจ้ายังเอาตัวไม่รอด

ประมาณปี 20 หลวงปู่บุดดามาอยู่ที่วัดอาวุธ (บางพลัด) หลวงพ่อท่านบอกข้าพเจ้า และลูกศิษย์อีกไม่กี่คนว่า ให้พวกเราไปกราบหลวงปู่บุดดากันนะ เพราะพระองค์นี้นะ ท่านเป็นพระทองคำทั้งองค์เลยนะลูก ท่านจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้วนะลูกนะ

ข้าพเจ้าทราบ ก็พยายามพาสามีไปกราบท่าน พยายามช่วยเขามากที่สุดเท่าที่จะช่วยได้ จะไปกราบหลวงปู่แต่ละครั้ง ต้องจ้างไป เหล้าแบน – หรือเบียร์ขวด เขาถึงจะไป กลับมาจากหลวงพ่อก็ต้องให้เขาตามสัญญา พอประมาณปี 22 หลวงปู่ย้ายไปอยู่สิงห์บุรี ข้าพเจ้าตามไปกราบหลวงปู่บุดดาที่สิงห์บุรี วันที่ 17 พ.ค. 2523 พอปลาย มิ.ย. 2523 สามีก็ป่วย พอวันที่ 28 ก.ค.2523 เขาก็ตาย

ก่อนที่เขาจะตายจากข้าพเจ้าไป หลวงพ่อพูดให้กำลังใจตลอดเวลา บางครั้งท่านก็พูดว่าท่านนะกำพร้าเมียนะ ทุกคนฟังก็ขำว่า ท่านพูดเล่น แต่ข้าพเจ้าเข้าใจท่าน จนบัดนี้ปี 2534 ข้าพเจ้าก็ยังไม่มีใครมาแทนที่สามีเลย ความจริงข้าพเจ้าไม่ได้อวดดีว่า ตัวเองและผู้ที่ข้าพเจ้าไปไหนมาไหนด้วยอยู่เวลานี้ (ติดกันเป็นปาท่องโก๋) เก่งกาจอะไร

ทั้งตัวข้าพเจ้าและเขาถ้าไม่มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อคุ้มครองอยู่ ปานนี้ เราทั้งสอง คงเป็นฝุ่นกระจุยกระจายไปนานแล้ว ตายไปก็ต้องตกนรกแน่นอน ถึงแม้ว่า ทางฝ่ายภรรยาของเขา จะอนุญาตให้สามีเขามีข้าพเจ้าได้อีก 1 คนก็เถอะ เพราะเขาเห็นว่าข้าพเจ้าตัวคนเดียว

ข้าพเจ้าก็เลยต้องอธิบายศีลข้อสามให้เขาฟังอย่างละเอียดอีกครั้งว่า ตัวข้าพเจ้า เขาก็ต้องไปขอผู้ใหญ่ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ ถ้าไม่ยังงั้น ไม่พ้นผิดศีลข้อสาม
เขาถามว่าใคร
ข้าพเจ้าก็ตอบว่า ผู้ที่รัก – เคารพ บูชาสุดชีวิต คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง
เขาฟังข้าพเจ้าพูดจบเขาทำตาเหลือกตาตั้ง แล้วร้องว่า ไม่เอาหรอกผมกลัวตะพดหลวงพ่อ

อยู่มาวันหนึ่งเขาทำสมาธิไปหาหลวงพ่อที่วัดท่าซุง เพื่อขออนุญาตเรื่องข้าพเจ้า ปรากฏว่าหลวงพ่ออนุญาต แต่เราทั้งสองจะไปนิพพานไม่ได้ทั้งคู่ เพราะมัวแต่ติดสุขทางโลก จิตจะตกจากธรรมะ

และพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็สอนธรรมะเขามากมาย พร้อมทั้งบอกว่าตัวข้าพเจ้าถือศีลพรหมจรรย์มาเป็น 10 กว่าปีแล้ว อย่าไปเกินเลยกันไปกว่านี้เลย ไม่มีประโยชน์

พอตื่นเช้ามา เขาโทรศัพท์ไปหาข้าพเจ้าที่ทำงาน เล่าให้ฟังอย่างละเอียดด้วยความปีติที่หลวงพ่อเมตตาเราทั้งสอง พระเดชพระคุณมากมาย หาที่เปรียบไม่ได้
ข้าพเจ้ามั่นใจว่าหลวงพ่อช่วยข้าพเจ้ามาตลอด ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังไม่ได้พบหลวงพ่อ เพราะตอนอยู่ลาดพร้าวข้าพเจ้าคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ เรื่องทางกาย ข้าพเจ้าไม่ทุกข์เท่าไร เพราะถูกเลี้ยงอยู่อย่างสบาย ไม่ได้ลำบากอะไรนักหนา

แต่ทางจิตใจนี้ซิ ข้าพเจ้าว่ามันทุกข์เหลือเกิน ข้าพเจ้ามีโทสะร้ายแรงมาก เคยตีหัวคนแตกเย็บ 7 – 8 เข็ม ถึง 2 คน ก่อนพบหลวงพ่อ แล้วเมื่อสามีตายประมาณ 2 – 3 เดือนยิ่งทุกข์หนัก ปรึกษาใครไม่ได ตัวคนเดียวจะทำอะไรมีแต่คนมองในแง่ลบ บ้านที่อยู่กับสามีก็บ้านหลวง ก็ต้องหาหอพักผู้หญิงอยู่ ไม่กล้าอยู่หอพักรวม เกิดมาไม่เคยอยู่คนเดียว นอนคนเดียว ใจมันทุกข์แทบระเบิด

อยู่มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าขึ้นไปบนชั้น 6 ของกรมฯ ตั้งใจจะกระโดดลงมา จะได้ตายหมดเรื่องหมดราว จิตตอนนั้นมัวหมองมาก แต่ด้วยพระเมตตาของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเห็นองค์ของหลวงพ่อ จีวรเหลืองอร่ามเต็มองค์ลอยอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า
โอ สาธุ หลวงพ่อเมตตามาโปรดลูกทันเวลาพอดี น้ำตาของข้าพเจ้าไหลพรากไม่ยอมหยุด ข้าพเจ้าค่อยๆ ลงมาที่ห้องทำงาน นั่งที่โต๊ะ

หลวงพ่อตามมาโปรดข้าพเจ้าอีก ยืนหน้าโต๊ะ จีวรเหลืองอร่าม เห็นเต็มทั้งองค์
แล้วพูดกับข้าพเจ้าว่า “ไอ้เปี๊ยก แกทำไมถึงดื้อนัก” เสียงชัดถ้อยชัดคำ ข้าพเจ้ากำหนดจิตก้มลงกราบที่เท้าหลวงพ่อ ถ้ากราบด้วยตัวเอง คนและเพื่อนคงคิดว่าข้าพเจ้าบ้าแน่ๆ (ปกติหลวงพ่อไม่เคยเรียกชื่อข้าพเจ้า เรียกแต่ “ไอ้อ้วน”)

เมตตาบารมีของหลวงพ่อที่มีต่อลูกๆ ทุกๆ คน เสมอมามิได้ขาด ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล ขนาดตัวข้าพเจ้าเลวแสนเลวท่านก็ยังโปรด ยังเมตตาลูก

พ่อรักลูกทุกคนมาก..........
ชีวิตของพ่อไม่มีความสำคัญไปกว่าความดีของลูก เหนื่อยเพื่อลูกจึงไม่มีสำหรับพ่อ มันเหนือความเหนื่อย และเหนือความเบื่อหน่ายของพ่อ ความดีของลูกเป็นปัจจัยให้พ่อรักลูกทุกคนยิ่งกว่าชีวิตของพ่อ ฉะนั้นขอบรรดาลูกทุกคน จงรักษาความดีของลูกไว้ เหมือนเกลือรักษาความเค็ม

สิ่งใดก็ตาม ถ้าเป็นประโยชน์แก่ลูก พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อลูกของพ่อ และพ่อจะไม่ห่วงใยอาลัยในชีวิตของพ่อ ถึงแม้ว่าเลือดและเนื้อของพ่อจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือชีวิตินทรีย์ของพ่อจะสลายไปก็ตาม พ่อทำทุกอย่างได้เพื่อลูก

ขอความสุขสวัสดิ์ พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายทรงบรรลุแล้วก็ดี ขอบรรดาลูกแก้วทั้งหมดของพ่อ จงปรากฏมีผลเช่นเดียวกับพระอรหันต์ทั้งหลาย ในชาติปัจจุบันนี้เถิด

พระราชพรหมยาน

◄ll กลับสู่สารบัญ



29

เมตตาของหลวงพ่อ


สกุล ศรัณยวิชญ์



... ดิฉันเป็นผู้หนึ่ง ที่ได้รับความเมตตาเป็นอย่างสูงจากหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ในสมัยเมื่อท่านยังไม่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ดิฉันเริ่มเข้าวัดท่าซุงตั้งแต่ปี พ.ศ.2518 ยังไม่เคยรู้จักหลวงพ่อเลย ถามพี่สาวที่ไปด้วยก็ไม่รู้จักเช่นกัน วันแรกที่ไปวัด ที่พักยังไม่มีต้องอาศัยโรงเรียนพักไปก่อน ห้องน้ำห้องส้วม มีจำนวนน้อยไม่พอที่คนไปพักจะใช้ได้ทั่วถึง

...หลังจากดิฉันได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานเพียงครึ่งเล่ม ก็มีโอกาสมาที่วัดท่าซุง ความรู้ที่ได้จากหนังสือ คือการทำบุญควรเลือกเนื้อนาบุญที่ดี การทำบุญกับพระอริยสงฆ์นั้นได้บุญมาก จึงเริ่มสะสมธนบัตรใบละ 10 บาท และ 20 บาทที่ได้รับเงินเดือนไว้ทุกเดือน เฉพาะใบใหม่ๆ ได้ 500 กว่าบาท

...วันนั้นมีพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลที่ทางวัดได้จัดทำขึ้น รู้สึกทึ่ง ที่พิธีนี้ไม่มีการสวดเหมือนวัดอื่นๆ ที่เคยพบมา มีแต่ความเงียบสงบ สุนัขสักตัวก็ไม่มีหอน เวลาผ่านไปไม่นาน ก็ได้ยินหลวงพ่อพูดว่า “เต็มแล้ว” ตอนนั้นยังไม่ทราบความหมายว่าคืออะไร มาทราบจากหลวงพ่อว่า พลังจิตที่อยู่กับวัตถุมงคลเหล่านั้นเต็มที่แล้ว

หลังจากนั้น พระที่เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกได้ทยอยออกจากโบสถ์ทีละองค์ ส่วนใหญ่เป็นพระที่สูงอายุ ต้องมีคนคอยประคองมาสองข้างเพื่อขึ้นรถกลับที่พัก ในช่วงนี้ดิฉันไม่มีอะไรจะถวายท่าน เห็นคนอื่นเขาเตรียมดอกไม้ ธูป เทียนมาถวาย ก็นึกถึงธนบัตรใบใหม่ๆ ที่สะสมไว้และนำติดตัวมาด้วย มีโอกาสได้ใช้ตอนนี้เอง ได้ถวายทุกองค์

ความรู้สึกตอนนั้น ชุ่มชื่นหัวใจเหลือเกิน มีความสุขที่ได้ถวายปัจจัยแด่พระอริยสงฆ์ ซึ่งทางวัดได้พิมพ์ใบปลิวแจกว่า ได้นิมนต์พระสุปฏิปันโนมาให้พวกเราได้กราบไหว้กัน สมใจที่ได้มีโอกาสได้ทำบุญกับพระสุปฏิปันโน

รุ่งเช้า วันใหม่ จึงได้มีโอกาสรู้จักหลวงพ่อ ท่านได้มาทำพิธีบวงสรวงที่หน้าโบสถ์ เมื่อได้ทำบุญ ทำทาน พอสมควรแล้วก็ได้เดินทางกลับไปบ้านพัก ที่ในวิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา ปกติดิฉันจะตื่นประมาณตี 5 เพื่อหุงข้าวใส่บาตรทุกวันเป็นประจำ

เช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมา มองเห็นหลวงพ่อในชุดพระสงฆ์มายืนที่หน้าเตียง และพูดว่า “เร่งทำบุญทำกุศลเข้า” จำได้ว่า รีบกราบท่านด้วยความรู้สึกสำนึกในบุญคุณเป็นล้นพ้น และได้ตั้งใจว่าจะพยายามทำตามที่หลวงพ่อได้กรุณาแนะนำโดยเคร่งครัด จะเตรียมจัดสรรเงินไว้สำหรับทำบุญทุกๆ เดือน

นอกจากนี้ หลวงพ่อท่านได้กรุณาแนะนำให้นำเศษของเงินเดือน เดือนละนิดหน่อยไม่ต้องมาก เพื่อส่งไปสมทบซื้อข้าวเข้าธนาคารข้าว เตรียมไว้ให้คนยากจนขอยืมไปใช้ก่อน จะไม่ให้เลย เพราะต้องการให้เขาช่วยตนเอง เวลาไม่มีมาขอยืมได้ แต่ถ้ามีต้องนำมาคืนทางวัด

ท่านได้กรุณา แนะนำให้ทำบุญกับท่านอีกหลายอย่าง เช่นตั้งมูลนิธิ โดยส่งไปเรื่อยๆ ไม่จำกัด ท่านจะเพิ่มยอดให้เรื่อยไปจะเบิกเฉพาะดอกผลมาใช้ การทำบุญที่วัดท่าซุงนั้น ผู้ที่ทำ ทำด้วยความสมัครใจ เต็มใจ หลวงพ่อบอกว่า ใครทำคนสุดท้ายจะได้บุญมาก เราก็ต่อยอดทีละนิดละหน่อย จนหลวงพ่อเป็นห่วง กลัวไม่มีค่ารถกลับบ้าน ท่านบอกให้เหลือไว้บ้างนะ เดี๋ยวจะตกรถ เพราะคนที่ทำบุญมาจากที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

ในสมัยที่ดิฉันมาวัดท่าซุงใหม่ๆ หลวงพ่อท่านเมตตามาก ก้าวเท้าขึ้นศาลานวราชเมื่อไร ท่านมองเห็น ท่านจะร้องทักมาแต่ไกลว่า พวกโคราชมาแล้ว มา มา แสดงว่าท่านจำได้ว่า ดิฉันอยู่ที่ไหน

เวลาท่านจะเดินทางมาทางภาคอีสาน ท่านเคยส่งโทรเลขมาบอกว่า ท่านจะไปข้ามสะแกแสง ถ้าอยากพบให้ไปพบได้ที่กองเสบียงอาหารสัตว์ที่ 1 (เมื่อก่อนใช้ชื่อนี้ ปัจจุบันเปลี่ยนแล้ว) ดิฉันก็เดินทางไปกราบนมัสการท่านที่นั่น พวกรุ่นน้องเขาจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อนำเสื่อไปขาย เขาแวะกราบหลวงพ่อก่อน พอได้กราบหลวงพ่อ เขาเกิดศรัทธา หอบเสื่อที่จะนำไปขาย ถวายหลวงพ่อหมดเลย

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่อยากจะขอเล่าให้ท่านทั้งหลายได้ทราบเท่านั้น ยังมีอีกมากที่อยากจะเล่าให้ทราบอย่างละเอียดแต่เกรงว่าจะใช้เนื้อที่มากเกินไป คนอื่นเขาจะไม่มีที่จะลงข้อความที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้ หากมีโอกาสอีกจะขอความกรุณาใหม่นะคะ ขอบพระคุณค่ะ

ขอปิดท้ายด้วยจดหมายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่มีมาถึงดิฉัน 3 ฉบับ และดิฉันได้เก็บไว้นานแล้ว ท่านทั้งหลายจะได้ชื่นชมในมหากรุณาขององค์ท่าน ต่อศิษย์ทุกคน และก็อยากจะขอร้องทุกๆ ท่านที่มีจดหมายขององค์ท่าน ขอให้ส่งมาลงหนังสือลูกศิษย์บันทึกนี้ เพื่อจะได้เป็นหลักฐานสืบต่อไปในอนาคต และเพื่อให้ลูกศิษย์อื่นๆ ได้มีโอกาสซาบซึ้งในความรักลูกทุกๆ คนขององค์ท่านด้วย

ฉบับที่ 1

วัดท่าซุง อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท
1 กรกฎาคม 2520

คุณสกุล

จดหมายของคุณลงวันที่ 10 มิถุนายน 2520 อาตมาทราบแล้ว ที่ตอบล่าช้าก็เพราะไปต่างจังหวัดเสียนานเพิ่งจะกลับวัด เมื่อกลับก็รีบตอบให้ทราบ

เรื่องของความเป็นอยู่ในโลก มันเป็นอนิจจังนะคุณ อย่าเอาอะไรเป็นสาระเถิดไปเลย โลก..พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “มันมีอันที่จะต้องฉิบหายในที่สุด” ทั้งนี้หมายถึงวัตถุและอารมณ์ที่เป็นโลก จงอย่าสนใจคนอื่นให้มากนักเลย เพราะถ้าสนใจมาก เราก็กลุ้มมาก

เรื่องยศฐาน์บรรดาศักดิ์ก็เหมือนกัน คนให้เขาเป็นชาวโลก เขาก็มุ่งให้กันแบบโลกๆ คือ ไม่ใครมีคติธรรมผสม เงินดี ยศดี เงินดี เงินเดือนดี ประจบดี ยศดี เงินเดือนดี ความสามารถดีต้องรอก่อน นี่เป็นธรรมดาปกติของชาวโลกในปัจจุบัน

เรื่องการแนะนำการชักชวนคนอื่นนั้น ฉันโดนมาแล้ว เขาด่าเอาหาว่าบ้าๆ บอๆ โดนเข้าหลายครั้ง เลยต้องเฉย จงยึดพระสุภาษิตที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ว่า

“ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ เมื่อฝึกฝนตนดีแล้วไซร้ เราจะได้ที่พึ่งที่บุคคลอื่นหาได้โดยยาก”

เป็นอันว่าท่านตรัสว่า รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี มีอุเบกขาวางเฉยไว้ ได้เท่าไรก็พอใจเท่านั้น เรื่องต้องการในธรรมให้เขาร่วมกันต้องการนั่นแหละ เป็นการดี เราว่าดีคนเดียว เขาอาจจะไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องธรรมดา ขอให้ทรงอุเบกขาไว้ อย่าสนใจในความเป็นธรรมกับชาวโลก ถ้าสนใจมากกลุ้มมาก สนใจน้อยกลุ้มน้อย ไม่สนใจเลยไม่กลุ้มเลย

ขอคุณ จงเป็นผู้มีอารมณ์เป็นสุขโดยธรรม คืออุเบกขาธรรมเถิด

(พระมหาวีระ ถาวโร)



ฉบับที่ 2

19 ก.ย.2523

ขออภัยที่ตอบล่าช้า อาจจะคิดว่า “อม” เสียแล้วก็ได้ ความจริงปีนี้ ตั้งแต่ ธ.ค.2522 ถึง ก.ค.2523 ทุกเดือน ออกลาดตระเวนป่าและชายแดน เพื่อตั้งธนาคารข้าวและแจกฟรีไม่มีเวลาหยุดเลย บางเดือนเดินทางถึงสามเที่ยว ไม่มีโอกาสอยู่วัดถึง 4 วันสักเดือนเดียว จดหมายตั้งแต่ธันวาจึงไม่มีเวลาตอบ เพิ่งเริ่มตอบวันนี้

ทั้งนี้ เมื่อเข้าพรรษาแล้วน่าจะมีเวลา แต่เพราะอาศัยที่ตรากตรำมาตลอดฤดูแล้ง เลยล้มป่วย ไม่มีแรงจริงๆ ต้องนอนให้หมอให้ยาและน้ำเกลือบ้าง วันนี้เพิ่งเริ่มมีแรง ก็เริ่มตอบจดหมาย ท่านเจ้าของจดหมายอาจจะคิดว่าตายไปแล้วก็ได้

ด้วยความดี ที่มีจิตเมตตา ขอผลนี้จงรักษาให้ผู้เมตตา จงมีความปรารถนา จงรักษาให้ผู้เมตตา จงมีความปรารถนาสมหวัง ตามที่ตั้งใจไว้จงทุกประการเถิด

(พระมหาวีระ ถาวโร)



ฉบับที่ 3

22 พ.ค. 2524

ลูกสาวจ๋า.... เวลาคุยไม่มีเสียแล้ว เพราะกำลังจะขึ้นรถไปปราจีนบุรี และจันทบุรี ตราด พอดีจดหมายมาถึง อ่านชื่นใจจริงๆ สมควรที่เป็นครูบาอาจารย์ แต่จะคุยด้วยก็ได้ เวลารถเขาจะออกเดินทางไปสงเคราะห์ จึงขอตอบและคุยเท่านี้ ดีใจที่ลูกรักยังมีความสุข และใจบุญสุนทาน สร้างวัดวาอาราม อย่างนี้มีความสุขในอนาคตแน่นอน

(พระมหาวีระ ถาวโร)

ขอให้มีสุขเสมอนะจ๊ะ

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 26/1/11 at 15:48

30

ด้วยสำนึกในพระคุณ


เสริมพล เบื้องสูง


... ในช่วงปี 2514 – 2517 เป็นช่วงที่ข้าพเจ้าถูกส่งตัวไปเป็นอาจารย์ ในจังหวัดใกล้ชายแดนจังหวัดหนึ่ง หลังจากจบการศึกษามาจากต่างประเทศ และมีพันธะในการใช้หนี้ทุน เวลาเย็นและก่อนนอน ข้าพเจ้ามักจะหาหนังสือมาอ่าน เพื่อการพักผ่อน เนื่องจากมีความสนใจที่จะศึกษาธรรมะให้กระจ่าง เพราะมีอะไรหลายๆ อย่างที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ จึงได้มีโอกาสอ่านหนังสือธรรมะหลายเล่ม

...และในช่วงนั้นเองข้าพเจ้าบังเอิญได้อ่านหนังสือที่ประทับใจข้าพเจ้ามากที่สุดมาจนทุกวันนี้ คือหนังสือ “ประวัติหลวงพ่อปาน” ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นผู้เขียน คืนที่ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ จำได้ว่า แทบไม่ได้หลับนอนเพราะหนังสือสนุกมาก อยากจะอ่านให้จบเล่ม

และเกิดความรู้สึกว่าอยากจะมีโอกาสได้ไปกราบหลวงปู่ปาน (ตอนนั้นไม่ทราบว่าท่านยังมีชีวิตอยู่หรือไม่) และหลวงพ่อเป็นอย่างมาก ลงเอยข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้สามรอบ ในช่วงเวลาต่อมา และข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปกราบนมัสการหลวงพ่อจริงๆ ในปี 2518 ซึ่งเป็นวันงานยกช่อฟ้าพระอุโบสถวัดท่าซุง

ในวันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้เสด็จ วันนั้น ท่ามกลางท้องฟ้าที่ว่างเปล่า และร้อนมาก ได้มีฝนประหลาดเม็ดใหญ่ๆ ตกลงมาในขณะที่รถขบวนเสด็จ ได้เข้ามาในบริเวณวัดและตกอยู่ชั่วประเดี๋ยวเดียว พร้อมทั้งนำความร่มเย็นชุ่มฉ่ำลงมาให้ประชาชนหลายหมื่นคนที่มาในงาน และในวันนั้นข้าพเจ้าก็มีโอกาสได้กราบชื่นชมบุญบารมี ของหลวงปู่หลวงพ่อหลายองค์ ที่หลวงพ่อท่านได้นิมนต์มาด้วย

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสไปวัดท่าซุง และส่วนมากได้ไปทำสังฆทานที่ซอยสายลม และได้คุยกันอย่างสนุกสนานกับท่านอ๋อย เคยได้นิมนต์หลวงพ่อผ่านท่านอ๋อย ไปเทศน์ให้นักศึกษาและอาจารย์ฟังครั้งหนึ่ง (หลวงปู่สิมได้ไปด้วยในครั้งนั้น) ณ จังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

หลังจากข้าพเจ้าได้ย้ายมาทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วประมาณ 3 ปี จึงมีโอกาสได้ลาราชการ บวชพระที่วัดท่าซุงในพรรษาปี 2524 โดยมีอาจารย์นวลอินทร์ ซึ่งเคยลาบวชที่วัดท่าซุงมาก่อนล่วงหน้าข้าพเจ้าประมาณ 3 ปี เป็นผู้พามาขออนุญาตหลวงพ่อที่ซอยสายลม



วันนั้น หลังจากที่หลวงพ่อตอบตกลงและได้ทำบุญกับหลวงพ่อแล้ว ท่านบอกว่าให้รับพร ในใจข้าพเจ้านั้นท่องอยู่แต่คำว่าพระนิพพาน ทั้งๆ ที่ไม่ทราบว่าพระนิพพานนั้นเป็นอย่างไร
พอหลวงพ่อให้พรเสร็จท่านหันมาทางข้าพเจ้า และพูดว่า “พระนิพพานนั้นนะ เป็นอย่างนี้...”

เรื่องที่หลวงพ่ออ่านจิตใจข้าพเจ้าและตอบคำถามข้าพเจ้า เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่ก่อนบวช ในระหว่างบวช และหลังบวช ข้าพเจ้ามั่นใจว่า เจโตปริญาณท่านเป็นเยี่ยม
ในช่วงก่อนบวช ท่านได้พูดกับข้าพเจ้าว่า พระโสดาบันนั้นไม่ยากเลยใช่ไหม?
ในช่วงที่บวชอยู่สามเดือน ท่านมักจะกระเซ้าเย้าแหย่ข้าพเจ้าเสมอ
และเรียกข้าพเจ้าว่า ...พระอ้วน...พระมีเมียแล้ว...ฯลฯ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี ในหมู่พระภิกษุที่บวชร่วมสมัย

หลังบวชข้าพเจ้าไปกราบท่านที่ซอยสายลม
อยู่ๆ ท่านก็หันมาชี้หน้าบอกว่า “เราน่ะ ให้ตัดสินใจไปพระนิพพานในชาตินี้เลยนะ...”
คำพูดของหลวงพ่อที่สอนข้าพเจ้า ชี้แนะข้าพเจ้า อบรมข้าพเจ้านั้น มีค่ามหาศาลสำหรับตัวข้าพเจ้า

หนังสือของท่าน ข้าพเจ้าได้อ่านแทบทุกเล่มที่พิมพ์ออกมาจนทุกวันนี้ ทำให้จิตใจของข้าพเจ้าฝักใฝ่อยู่กับธรรมะ และเป็นหนังสือที่ข้าพเจ้าได้ความรู้มากมาย จนเกือบจะพูดได้ว่า มิเสียแรงที่ได้เกิดมาพบ พระพุทธศาสนา

อดีตข้าพเจ้าเคยชอบตกปลา ก็ได้เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เคยดื่มเหล้าก็เลิกมา 16 ปีแล้ว เคยอธิษฐานมาในวิสัยใดในอดีตชาติ ก็ได้ขออธิษฐานเลิกราแล้วที่วัดท่าซุง เพราะแรงบันดาลใจที่ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ สรรพสิ่งในมิติอื่นที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน ก็ได้พบเห็นมาพอสมควรแล้วในปัจจุบัน

แม้จะมีแรงผลักดันจากอธิษฐานเดิมหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็พยายามตัดใจเพราะคำสั่งของหลวงพ่อที่ว่า “ให้ตัดสินใจไปพระนิพพานในชาตินี้เลยนะ...” ยังคงดังก้องอยู่ในสมอง

หลวงพ่อมีความเตตาต่อข้าพเจ้ามากจนข้าพเจ้าเกรงใจ มิกล้าจะถามอะไรต่ออะไร ยิ่งมองตัวเองว่ายังไม่มีความดีใดๆ ที่จะกล้าประกาศว่า เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ยิ่งต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว มิกล้าที่จะรบกวนท่าน มิกล้าที่จะปะปนอยู่ในกลุ่มลูกศิษย์ของท่าน คงจะต้องว่าเองทำเองคนเดียว โดดเดี่ยวอยู่อย่างนี้ต่อไป...อย่างน้อยก็จนกว่าจะเกิดธรรมะไปในจิตใจ เป็นที่อบอุ่นใจและมั่นใจว่าจะไม่ไปในทางต่ำอีกต่อไปแล้ว

ความเมตตาของหลวงพ่อที่ได้ให้พื้นฐานทางธรรมแก่ข้าพเจ้า ตลอดจนได้ปูแนวทางปฏิบัติจนถึงพระนิพพานตลอดเวลา 20 ปีที่ผ่านมานั้น ข้าพเจ้าคงไม่มีวันลืมได้ในชาตินี้ แม้นจะเป็นบุคคลที่อยู่ห่าง พอถวายสังฆทานแล้วก็รีบออกมา ด้วยความเคารพและยำเกรงในองค์ท่าน แต่ความประทับใจนั้น คงมีอยู่อย่างใกล้ชิดและซาบซึ้งตลอดไป

ท้ายนี้ก็มิมีอะไรจะดีกว่า การกราบขออาราธนา บุญบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงดลบันดาลให้หลวงพ่อมีสุขภาพที่ดี มีโอกาสที่จะได้อยู่อบรมสั่งสอนปวงประชา สืบทอดพระศาสนา สร้างพระอริยสงฆ์ไว้ในพระพุทธศาสนาเป็นที่สักการบูชา เป็นที่รวมจิตใจ กำลังใจ แด่ลูกศิษย์ลูกหา ลูก หลาน เหลน ของหลวงพ่อต่อไปชั่วกาลนานเทอญ

ควรมิควรแล้วแต่หลวงพ่อจะกรุณา และขอกราบนมัสการหลวงพ่อมา ด้วยความเคารพอย่างสูง

◄ll กลับสู่สารบัญ



31

ความภูมิใจ


มนตรี คงอุทัยกุล


...ข้าพเจ้ามีความรู้สึกภูมิใจมากที่สุดในชีวิตนี้อยู่ 2 ประการ คือ
...ประการแรก ได้เกิดมาอยู่ในครอบครัว ที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ได้เลี้ยงดูลูกๆ ทุกคน ด้วยความเมตตาจนทุกคนมีโอกาสที่ดีในการศึกษา และการมีหน้าที่การงานดีๆ ทุกคน ลูกจะขอจดจำคุณความดีของท่านไว้ตลอดไป

...ประการที่สองคือ การที่ได้มีโอกาสได้เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน จนได้อุปสมบทที่วัดท่าซุง ในช่วงพรรษา ปี พ.ศ.2530 ซึ่งถือว่าเกิดมาชาตินี้มีค่าอย่างที่สุด

...................เริ่มเข้าวัด
...ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นคนอุทัยธานี และข้าพเจ้าได้ศึกษาที่ จ.อุทัยธานีจนถึงมัธยมปลาย ข้าพเจ้าจำได้ว่า ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้รู้จักวัดท่าซุงนี้ เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาที่วัดเมื่อปี 2518 ข้าพเจ้าได้ถูกคัดเลือกจากทางโรงเรียน พร้อมกับเพื่อนๆ อีกหลายคน เป็นลูกเสือยืนถือไม้พลองเป็นแถว ริมถนนหน้าวัดทั้งสองด้านเพื่อรอขบวนเสด็จ ซึ่งขณะนั้นจำได้ว่า มีผู้คนมาถึงจำนวนมาก จึงเริ่มสงสัยตั้งแต่นั้นมาว่า วัดนี้มีอะไรดี

เมื่อประมาณปี 2519 จำได้ว่า อาจารย์ประเสริฐฯ ขณะนั้นเป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาไทย เป็นผู้ชักชวนศิษย์ไปเที่ยววัดท่าซุง พาไปชมสถานที่ในวัดหลายแห่งซึ่งยังไม่มีสิ่งก่อสร้างมากเช่นปัจจุบัน และชวนกันฝึกมโนมยิทธิที่วัดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ประสบการณ์
ข้าพเจ้า พอมีประสบการณ์บ้างเล็กน้อย ซึ่งพอที่จะบันทึกไว้ ณ ที่นี้คือ

เรื่องแรก ในช่วงแรกที่ฝึก เมื่อข้าพเจ้าได้ฝึกเสร็จแล้ว ได้ไปนั่งฟังการฝึกของรุ่นน้องโดยมีอาจารย์เป็นผู้นำ ซึ่งการถามของอาจารย์แต่ละครั้ง ข้าพเจ้ามีความรู้สึกแวบเข้ามาเกือบทุกครั้งว่า รุ่นน้องจะตอบอะไร เป็นเรื่องที่แปลกมาก

เรื่องที่สอง หลังบ้านของข้าพเจ้าเป็นป่ารก ซึ่งข้าพเจ้ามักเข้าไปในป่าอยู่เป็นประจำตามประสาเด็กๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีความรู้สึกเหมือนมีใครมาเตือนว่า ระวังงูนะ แต่ข้าพเจ้าก็ยังเฉยๆ ต่อมาไม่นานนัก ก็มีงูเห่า 2 ตัวเลื้อยผ่านหน้าข้าพเจ้าไป โดยไม่ได้ทำอันตรายอะไร ข้าพเจ้าตกใจมาก

เรื่องที่สาม อาจารย์ประเสริฐฯ ได้เคยให้คาถาท่านปู่พระอินทร์ บอกว่าเวลาอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ และก่อนที่จะทำข้อสอบทุกครั้ง ให้ใช้คาถานี้จะได้ผล ข้าพเจ้าได้ทดลองปฏิบัติหลายครั้ง รวมทั้งการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็สามารถทำได้สำเร็จทุกครั้ง ปกติข้าพเจ้าเป็นคนที่เรียนไม่เก่ง ถ้าไม่ได้คาถาช่วย ก็คงจะแย่

เรื่องที่สี่ ข้าพเจ้าได้น้ำมนต์ของหลวงพ่อปานจากซอยสายลมมา 1 ถุง เป็นน้ำมนต์ที่หลวงพ่อทำ เนื่องในพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ก็ได้แบ่งมาส่วนหนึ่ง ประมาณ ปี 2532 ข้าพเจ้าอยู่ที่ทาวน์เฮ้าส์ที่สุทธิสาร กรุงเทพฯ วันหนึ่งเวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่า เพื่อนของพี่สาวมาบอกว่า คนที่บ้านถูกผีเข้า ให้ไปช่วยกันหน่อย

ข้าพเจ้านึกถึงน้ำมนต์หลวงพ่อทันที จึงแบ่งให้ไปและเด็ดใบมะยมไป 1 กำ เมื่อไปถึงบ้านของเพื่อนพี่สาวก็พบว่า มีผู้หญิงคนหนึ่ง ร้องเอะอะโวยวาย พูดเพ้อไม่ได้สติ จึงทดลองพรมน้ำมนต์ไป 1 ครั้ง ปรากฏว่าดิ้นทุรนทุราย ช่วยกันจับเกือบไม่อยู่ จึงรีบเอาลูกประคำของหลวงพ่อที่ติดไปด้วย คล้องคอจึงสงบ

ข้าพเจ้าขอบันทึกความทรงจำไว้เพียงเท่านี้ คิดว่าคงเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่อ่านบ้างไม่มากก็น้อย ท้ายที่สุดนี้ ธรรมใดที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สำเร็จ ข้าพเจ้าขอสำเร็จธรรมนั้นด้วยเทอญ

◄ll กลับสู่สารบัญ



32

ซาบซึ้งในคำสอนของหลวงพ่อ


ไพศาล ไพศาลเสถียรวงศ์


... กระผมไพศาล ไพศาลเสถียรวงศ์ มีโอกาสรู้จักและนับถือหลวงพ่อมานาน ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2518 โดยได้อ่านพบในหนังสือรายสัปดาห์เล่มหนึ่ง และได้ติดตามไปที่ซอยสายลม ได้หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน และหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน โดยปกติผมเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ จะอ่านก็เพียงบางข้อบางตอนของหนังสือแต่ละเล่มเท่านั้น

...แต่ขอสารภาพอย่างจริงใจว่า หนังสือทั้ง 2 เล่มที่ได้มา อ่านแล้ววางไม่ลงเลย แม้แต่มีธุระก็ยังถือติดมือไปด้วย นับแต่นั้นเป็นต้นมา ผมและภรรยาก็ติดตามฟังเทศน์ของท่านเรื่อยมา ซึ่งมีความรู้สึกว่าได้รับความรู้ ความเข้าใจหลายๆ อย่างที่ไม่เคยรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และการทำจิตใจ การประพฤติตน ยกตัวอย่างเช่น คำว่า “พระ” ถึงแม้จะนุ่งสีห่มสี คือแต่งตัวปกติธรรมดาอยู่กับบ้านก็เป็นพระได้ และถึงแม้จะโกนหัวห่มผ้าเหลืองแล้ว ก็อาจจะยังไม่ใช่พระก็ได้ (ถ้าจิตยังไม่เข้าถึงพระรัตนตรัย)

ท่านได้แนะนำว่า พระอริยบุคคลแบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ
1. พระโสดาบัน
2. พระสกิทาคามี
3. พระอนาคามี
4. พระอรหันต์

และด้วยใจรักและห่วงลูกหลานเป็นอย่างมากของหลวงพ่อ ท่านจึงได้สอนและย้ำซ้ำเสมอๆ ว่าพระโสดาบัน พูดโดยย่อก็คือ ชาวบ้านชั้นดีธรรมดาๆ ที่มีศีล 5 บริสุทธิ์ มีจิตเคารพพระรัตนตรัยจริง และไม่ลืมความตายพร้อมกับมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เพียงเท่านี้

ทำให้ลูกหลานทั้งหลายฟังดูเหมือนง่าย ไม่เครียดเกินไป ก็เลยอยากทำและอธิบายต่อว่า พระสกิทาคามี ก็เช่นเดียวกัน แต่จิตละเอียดขึ้นอีกหน่อย และพระอนาคามีก็เช่นเดียวกัน แต่จิตละเอียดเพิ่มขึ้น โดยละกามราคะและความโกรธได้เด็ดขาด (ส่วนพระอรหันต์ต้องละสังโยชน์ได้ทั้ง 10 ประการ) ซึ่งเป็นของไม่ยาก ไม่เกิดวิสัยที่ลูกหลานจะทำได้

ท่านพรรณนาให้ฟังง่าย เข้าใจง่าย ทำให้พวกเราไม่เบื่อที่จะฟัง และฟังซ้ำๆ อย่างชนิดไม่เบื่อ ฟังแล้วฟังอีกก็ไม่มีคำว่าเบื่อ ซึ่งอันนี้แหละ ผมถือว่าเป็นการสงเคราะห์ของหลวงพ่อที่มีพระคุณ ต่อบรรดาลูกหลานเป็นอย่างยิ่ง โดยจะหาประมาณมิได้ ซึ่งท่านให้ทั้งคำแนะนำ ให้ทั้งกำลังใจ ให้ทั้งวิธีการต่างๆ ที่จะนำพาบรรดาลูกหลาน อย่างน้อยทำจิตให้เข้าถึงพระโสดาบันให้ได้เพื่อเป็นการปิดกั้นอบายภูมิ ซึ่งเป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัสของการเกิด และเพื่อเป็นบันไดขั้นต้นเพื่อจะได้ไต่เต้าต่อไป จนกระทั่งถึงพระนิพพานเป็นที่สุด อันเป็นสุดยอดแห่งปรารถนา

ผมขอสารภาพว่า เมื่อสมัยยังหนุ่มเคยบวชตามประเพณีจนครบพรรษา ก็ยังไม่ซาบซึ้งเท่ากับสมัยนี้ที่ไม่ได้บวช แต่ได้ฟังคำสอนจากหลวงพ่อ ทำให้รู้สึกซาบซึ้งและได้รู้กระจ่างจากคำสอนของหลวงพ่อ ทำให้มีความประทับใจเป็นอย่างยิ่ง

และสิ่งสำคัญอันยิ่งใหญ่ที่ได้รู้คือ ชีวิตการบวชเป็นพระ จำต้องทำจิตให้สะอาด เข้าถึงพระรัตนตรัยให้ระลึกรู้อยู่เสมอว่า การบวชนี้บวชเพื่อความดับไม่มีเชื้อ บวชเพื่อทำให้แจ้งชื่อนิพพาน ไม่ใช่สักแต่ว่าบวชก็บวชกัน แล้วก็โกนหัว ห่มผ้าเหลือง แล้วก็อดข้าวเย็น แล้วก็รู้เท่านั้น อะไรๆ ก็ไม่รู้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ตามที่พรรณนามายังมีอีกมากมายมหาศาลซึ่งเต็มปรี่อยู่ในหัวใจ แต่ไม่สามารถจะพรรณนาเป็นตัวหนังสือได้ เพราะไม่ใช่นักประพันธ์ พูดได้คำเดียวว่า รู้สึกซาบซึ้ง ทั้งรัก ทั้งเคารพ ทั้งนับถือ ทั้งบูชาในองค์หลวงพ่อเป็นอย่างที่สุด

◄ll กลับสู่สารบัญ



33

หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระไปโปรดชาวภาคใต้


ม.ล.วรวัฒน – กานดา นวรัตน



คำนำ

...ขณะที่ข้าพเจ้าสวดมนต์ ไหว้พระข้าพเจ้านึกในใจอยู่เสมอว่า พระธรรมเปรียบเทียบประดุจประทีปแก้ว ที่ส่องแสงให้เห็นทางเดินที่นำตรงไปสู่พระนิพพาน

... พระพุทธเจ้า เปรียบได้ดุจผู้ที่ค้นหาประทีปแก้ว ซึ่งอยู่ท่ามกลางความมืดสนิท เมื่อค้นหาพบแล้ว ก็จุดไฟขึ้นความสว่างพระองค์ท่านยกชูประทีปแก้วขึ้น เดินนำหน้าพาฝูงซึ่งเชื่อถือศรัทธา ฝ่าป่าพงดงหนามข้ามห้วย เลี่ยงหลบพ้นจากหุบเหวนรก จนบรรลุถึงซึ่งพระนิพพาน

พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยานมหาเถระ เป็นพระสุปฏิปันโนองค์หนึ่ง ท่านรู้จริงเห็นจริงซึ่งพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสสอนไว้ดีแล้ว

ความเดิม
ระหว่างเวลาตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2505 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2527 ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติงานประจำภาคใต้ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ ได้ไปโปรดชาวภาคใต้หลายครั้ง มีเหตุการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้นหลายประการ ซึ่งข้าพเจ้าจะบรรยายเฉพาะที่จำได้ดังต่อไปนี้

เรื่องที่ 1 หลวงพ่อฝ่าดงคอมมิวนิสต์ภาคใต้
ในระยะที่คอมมิวนิสต์ภาคใต้ กำลังแผ่ขยายอำนาจอิทธิพลอย่างหนัก สามารถยกกำลังพลเข้าที่สถานีตำรวจ และจุดที่ตั้งทหารหลายครั้ง ช่วงเวลาอันบ้านเมืองคับขันนั้นเอง หลวงพ่อได้ไปโปรดชาวภาคใต้เสมือนนำเอาน้ำเย็นจัด รดลงไปในกองไฟอันลุกโชนร้อนแรง ทำให้ไฟสงบลงแล้วดับไปในที่สุด

ครั้งแรกที่ไป คณะหลวงพ่อเดินทางไปจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยทางรถยนต์ ข้าพเจ้าไปรอรับหลวงพ่อที่สี่แยกปฐมพร อันเป็นจุดที่ถนนจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และสุราษฎร์ธานี รวม 4 สายไปบรรจบกัน ข้าพเจ้านั่งรถนำขบวนหลวงพ่อ ออกจากสี่แยกปฐมพรไปได้ครู่เดียว ปรากฏว่ามีก้อนหินขนาดใหญ่ วางเรียงเป็นแถวกั้นอยู่บนถนน ไม่มีช่องว่างให้รถหลบไปได้เลย ถ้าพวกเราหยุดรถลงไปเก็บก้อนหิน อาจเปิดโอกาสให้ผู้ประสงค์ร้ายซึ่งแอบซุ่มอยู่ข้างทางเข้าปล้นโจมตีเอาได้

ข้าพเจ้าตัดสินใจเป็นกองหน้าฝ่าอันตราย สั่งคนขับรถแล่นชนก้อนหินก้อนใหญ่ๆ นั้นกระเด็นพ้นไปจากถนน เปิดเป็นช่องกว้างให้รถคันหลังๆ แล่นตามกันไปได้โดยปลอดภัยทุกคัน เมื่อแล่นรถไปได้ระยะหนึ่ง ถึงที่ปลอดภัย ข้าพเจ้าหยุดรถลงไปตรวจดูความเสียหายด้านหน้ารถ ซึ่งชนก้อนหินอย่างจัง รถที่ข้าพเจ้านั่ง เป็นรถตรวจการโตโยต้าคราวน์ ปกติแล้ว รถญี่ปุ่นบอบบางมาก แล่นชนไก่หรือชนสุนัขรถยังบุบได้ แต่ครั้งนั้น ชนก้อนหินขนาดใหญ่หลายก้อน กลับปรากฏว่าไม่มีส่วนใดของรถ บุบชำรุดเสียหายเลย

หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังภายหลังว่า ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ได้คุมเชิงติดตามคณะหลวงพ่อตั้งแต่ย่างเข้าเขตภาคใต้ พอขบวนรถหลวงพ่อแล่นไปถึงเขตแดนต่อแดนระหว่างอำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ รถยนต์คันหนึ่งยางแตก ระหว่างที่กำลังเปลี่ยนยางอยู่นั้น มีชาวบ้านจำนวนมากมามุงดูขบวนรถหลวงพ่อ ตำรวจที่ติดตามไปคุ้มกัน ได้ออกไปยืนถือปืนสงครามป้องกันภัยให้

ข้าพเจ้าทราบภายหลังว่า บริเวณที่รถยางแตกนั้น เป็นดงสีชมพู มี ผกค. แยะ และในหมู่ชาวบ้านที่มามุงดูอยู่นั้น มีพวกแนวร่วมคอมมิวนิสต์ปะปนอยู่ด้วย พอเปลี่ยนยางเสร็จ ขบวนรถหลวงพ่อออกเดินทางต่อไปจนถึงโรงไฟฟ้ากระบี่ ยังมีแนวร่วม ผกค. ไปดูลาดเลาถึงบ้านที่หลวงพ่อพัก แล้วคุยอวดกับลูกศิษย์หลวงพ่อว่า อีกไม่นาน ผกค. จะชนะ ถ้าคอมมิวนิสต์ยึดอำนาจรัฐได้ ตัวเขาจะได้เป็นนายอำเภอ แล้วเขาจะจับตัวพวกนายช่างเอาไปไถนา

ภายหลังต่อมา หลังจากหลวงพ่อกลับมาแล้ว ตกดึกคืนหนึ่ง ผกค. ยกกำลังมาจะเข้าโจมตีโรงไฟฟ้ากระบี่ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ขณะนั้น แต่ว่าพระภูมิเจ้าที่ ซึ่งหลวงพ่อฝากฝังให้ช่วยคุ้มครองโรงไฟฟ้ากระบี่ ดลใจให้พวก ผกค. หลงทาง หาช่องทางเข้าโรงไฟฟ้าไม่พบ ทั้งที่มองเห็นโรงไฟฟ้าสว่างโร่ตอนกลางคืนได้ในระยะไกล ผกค. จึงยกพวกเลยไปทางชายทะเลแหลมกรวด เข้าตีสถานีตำรวจแหลมกรวด เผาโรงพักได้สำเร็จ พวกเรายืนดูอยู่บนโรงไฟฟ้า คืนวันดังกล่าว เห็นไฟไหม้สว่างจับขอบฟ้า ได้ยินเสียงปืนยิงกันดังชัดเจน


webmaster - 7/2/11 at 15:19

เรื่องที่ 2 อานุภาพ พระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
การแผ่อิทธิพลขยายอำนาจ ผกค. ภาคใต้ มาถึงจุดกลับตอนที่ ผกค. บุกเข้าโจมตีสถานีตำรวจอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ห่างจากโรงไฟฟ้ากระบี่ออกไปประมาณ 29 กม. ผู้บังคับกองตำรวจอำเภอคลองท่อมสมัยนั้น เป็นนายตำรวจที่กล้าหาญ ใจคอเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวมาก สั่งการให้ตำรวจทั้งหมดสู้ตาย ยิงต่อสู้ต้านทางอย่างทรหด ผกค. ชั้นหัวหน้าคนหนึ่ง บุกเข้าไปถึงเสาธงหน้าโรงพักตำรวจ ถูกยิงตายคาที่ ผกค.

ชั้นปลายแถวเสียกำลังใจ จึงบุกต่อไปไม่สำเร็จ แต่ยังคงระดมยิงปืนอาก้า และปืนครกเข้าใส่โรงพักอย่างหนัก สะเก็ดระเบิดปืน ค. ชิ้นหนึ่งถูกผู้บังคับการเลือดไหลโกรก แต่ท่านผู้บังคับกองไม่บอกลูกน้องว่า ตนถูกอาวุธข้าศึกเข้าแล้ว ยังคงร้องเพลงมาร์ชตำรวจ ปลุกใจลูกนองให้สู้ต่อไป ผกค. เห็นท่าจะไม่ชนะ จึงเปลี่ยนแผน หันไปจับเอาลูกเมียตำรวจมาเป็นตัวประกัน แล้วสั่งให้ตำรวจยอมแพ้ มิฉะนั้นจะฆ่าลูกเมียตำรวจ แต่ผู้บังคับกองตำรวจตะโกนตอบว่า ลูกเมียตายหาใหม่ได้ แต่ศักดิ์ศรีตำรวจยอมแพ้ไม่ได้

พวกตำรวจพร้อมใจกันต่อสู้จนท้องฟ้าสาง ผกค. จำใจต้องล่าถอยไป หอบหิ้วเอา ผกค. ที่ถูกยิงตายและบาดเจ็บเอากลับไปด้วย พอสว่างดีแล้วประชาชนกระบี่ แห่กันไปให้กำลังใจตำรวจคลองท่อมกันแน่นโรงพัก ตอนนี้เอง จึงได้พบว่า ผู้บังคับกองบาดเจ็บหนักมาก เลือดไหลนองพื้นห้องโรงพัก ต้องรีบนำตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลโดยด่วน ปีนั้น ท่านผู้บังคับกองคลองท่อมได้เลื่อนเงินเดือน 4 ขั้นเป็นความดีความชอบพิเศษ

นี่เป็นครั้งแรกที่ ผกค. ภาคใต้ โจมตีโรงพักตำรวจไม่สำเร็จ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตำรวจภาคใต้มีกำลังใจดีขึ้น สู้รบ ผกค. อย่างเข้มแข็งจนชนะ ผกค. ได้อีกหลายแห่ง ข้าพเจ้าได้นำพนักงานโรงงานไฟฟ้ากระบี่ไปเยี่ยมตำรวจคลองท่อม พร้อมด้วยเงินและของขวัญ เพื่อเพิ่มกำลังใจให้ตำรวจ พบว่าฝาผนังโรงพักตำรวจคลอดท่อมถูก ผกค. ยิงพรุนไปหมด แต่น่าแปลกใจที่พระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประจำโรงพักตำรวจคลองท่อม ที่แขวนติดกับฝาผนังมีภาพเป็นปกติดังเดิมทุกประการ ไม่ถูกปืนหรือสะเก็ดระเบิดของ ผกค. แต่ประการใด

ตำรวจคลองท่อมจึงเคารพนับถือพระบรมยาลักษณ์ทั้งสองภาพนั้นมาก ถือเป็นของศักดิ์สิทธ์ประจำโรงพัก เรื่องนี้ได้รับการยืนยันอีกครั้ง เมื่อเกิดไฟไหม้ห้องควบคุมโรงไฟฟ้ากระบี่ รถดับเพลิงของโรงไฟฟ้า รถดับเพลิงจากอำเภอเมืองกระบี่ และรถดับเพลิงจากอำเภอคลองท่อม ช่วยกันดับไฟอย่างเข้มแข็งแต่ไฟสงบลงได้ยาก เพราะไฟไหม้ติดผนังด้านใน ไหม้ฝ้าเพดานห้อง ไหม้ฉนวนกันความเย็นหุ้มท่อเครื่องปรับอากาศ และไหม้สายไฟฟ้า

ควันพิษที่เกิดขึ้นทำให้แสบตาแสบจมูก เข้าไปดับไฟใกล้ๆ ไม่ได้ ต้องฉีดน้ำจากภายนอกห้องในระยะไกล ไฟจึงไหม้ผนังไม้ไปเรื่อยๆ ใกล้จะถึงบริเวณแผงสวิตช์โรงไฟฟ้าอยู่แล้ว ถ้าแผงสวิตช์และตู้ควบคุมโรงไฟฟ้าถูกไฟไหม้ จะเกิดความเสียหายร้ายแรง ค่าซ่อมจะแพงมาก และต้องใช้เวลาซ่อมนาน แต่เหตุการณ์คล้ายปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ไฟที่ไหม้แยกเป็น 2 ด้าน ด้านหนึ่งไหม้ลามฝาผนัง ไปถึงพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงและสมเด็จฯ ไฟก็หยุดลงไม่ลุกลามต่อไป อีกด้านหนึ่งไฟไหม้ผนังห้องลามไปถึงหิ้งบูชาพระพุทธรูปประจำห้องควบคุมโรงไฟฟ้า ไฟก็หยุดลงไม่ไหม้ลามต่อไป

เป็นอันว่า ไฟหยุดไหม้เพียงแค่นั้นเอง ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่มาก ใช้เวลาซ่อมไม่นาน โรงไฟฟ้ากระบี่ก็เดินเครื่องขึ้นมาใหม่ได้ ดังนั้น ต่อมาพนักงานไฟฟ้ากระบี่จึงถือว่าพระบรมฉายาลักษณ์ทั้งสองภาพ และพระพุทธรูปองค์นั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงไฟฟ้ากระบี่

เรื่องที่ 3 พระภูมิเจ้าที่โรงไฟฟ้าลิกไนต์กระบี่เฮี้ยน
ก่อนที่หลวงพ่อจะไปโปรดชาวภาคใต้นั้น ภายในบริเวณโรงไฟฟ้าลิกไนต์กระบี่ จะเกิดเรื่องการตายอย่างน่าสยองเป็นประจำทุกปีอย่างน้อยปีละ 1 ราย ข้าพเจ้าเคยเชิญคุณพี่ตรีธา จากวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ไปตรวจดูบนโรงไฟฟ้า เธอถามข้าพเจ้าว่า ที่นี่เคยมีคนถูกต้นไม้ใหญ่ล้มทับตายหรือไม่ สมัยที่ข้าพเจ้าไปถึงโรงไฟฟ้าครั้งแรกนั้น ต้นไม้ขนาดโตถูกโค่นลงหมดแล้ว หน่วยก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ไถดินจนราบเป็นบริเวณกว้างใหญ่

ข้าพเจ้าจึงตอบพี่ตรีธาว่า ไม่ทราบ เธอได้แนะนำว่ามีวิญญาณที่แรงมากสิงสู่อยู่ที่โรงไฟฟ้ากระบี่ วิธีแก้ให้เอาสายสิญจน์มาวงรอบโรงไฟฟ้า แล้วนิมนต์พระมาสวดพระปริตร ข้าพเจ้าไม่สามารถทำตามได้ เพราะโรงไฟฟ้ามีขนาดใหญ่โตมาก จะเอาสายสิญจน์ไปวงรอบได้อย่างไร และคนที่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ก็มีมาก จะหาว่าข้าพเจ้าบ้า มีผลไม่ดีในการปกครองคนงานต่อไป อนึ่ง พนักงานที่นับถือศาสนาอิสลามก็มีมาก ถ้าเขาขอให้นิมนต์โต๊ะครูโต๊ะหะยีมาทำพิธีไล่ผีบ้าง ก็จะยิ่งยุ่งหนักเข้าไปอีก

เหตุร้ายจึงเกิดขึ้นต่อมาทุกปี จนถึงเมื่อหลวงพ่อไปพักที่บ้านข้าพเจ้าที่โรงไฟฟ้ากระบี่ มีเทวดาองค์หนึ่งเข้าไปหาหลวงพ่อทำเป็นมือใหญ่ขึ้นๆ แล้วก็มือหดเล็กลงๆ แล้วก็ทำมือใหญ่ขึ้นๆ อีกสลับกัน หลอกหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกเทวดาองค์นั้นว่า อย่าหลอกเลย หลวงพ่อไม่กลัวผี เทวดาหัวเราะแล้วทำมือเท่าขนาดปกติ หลวงพ่อถามต่อไปว่า สมัยที่เป็นคนชาติสุดท้าย ตายด้วยสาเหตุอะไร เทวดาทำภาพให้หลวงพ่อดู ปรากฏว่าถูกต้นไม้ใหญ่ล้มทับตาย

เป็นอันว่าตรงกับพี่ตรีธาบอกข้าพเจ้าไว้ก่อนแล้ว ข้าพเจ้าจึงเล่าเรื่องที่พี่ตรีธาแนะนำวิธีแก้ไข ป้องกันอุบัติเหตุสยองขวัญ หลวงพ่อฟังแล้วตอบว่าการเอาสายสิญจน์มาวงล้อมโรงไฟฟ้ากันผีภายนอกไม่ได้เข้าไปข้างในได้ก็จริง แต่เวลาพระสวดพระปริตรไล่ผี ผีซึ่งอยู่ภายในโรงไฟฟ้าจะออกไปไม่ได้ ก็จะอาละวาด ทีนี้จะเกิดยุ่งหนักเข้าไปอีก ข้าพเจ้าจึงอาราธนาหลวงพ่อเป็นประธาน ตั้งศาลพระภูมิประจำโรงไฟฟ้ากระบี่

หลวงพ่อได้ทำพิธีบวงสรวงให้ แล้วเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อได้ฝากหัวหน้าเทวดาที่คุ้มครองอาณาเขตภาคใต้ของประเทศไทย ชื่อ พ่อปู่วิรุญหะมาน พ่อปู่เมตตารับจะคุ้มครองโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตภาคใต้ทุกโรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่โรงไฟฟ้ากระบี่ มีอมนุษย์แรงมากสิงอยู่ จึงจัดเทวดาที่เฮี้ยนมากหลายองค์ มาประจำคุ้มครองให้

หลวงพ่อแนะนำเพิ่มเติมว่า ถ้าจะให้ขลังพอถึงวันที่ตั้งศาลพระภูมิโรงไฟฟ้ากระบี่ ให้จัดเครื่องเซ่นสังเวยตามธรรมเนียม ดังนั้นทุกๆ วันพุธ ข้าพเจ้าจึงจัดอาหารถวายพ่อปู่วิรุญหะมานเป็นประจำจนถึงวาระที่ข้าพเจ้าย้ายจากภาคใต้ เข้ามาปฏิบัติงานที่ส่วนกลางนนทบุรี นับตั้งแต่ตั้งศาลพระภูมิที่โรงไฟฟ้ากระบี่แล้ว เรื่องร้ายแรงที่เกิดการตายอย่างสยดสยองก็หมดไปไม่เกิดขึ้นอีกเลย

เรื่องที่ 4 ข้าพเจ้าเป็นหมอไล่ผี ด้วยความจำเป็น
ในระหว่างที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ที่โรงไฟฟ้ากระบี่นั้น บ้านพักข้าพเจ้ามีคนงานเฝ้าบ้านคนหนึ่งชื่อ นายสมบูรณ์ ภรรยาชื่อนางแพว มีบุตรสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เรือนคนใช้ คืนวันหนึ่งประมาณตีสอง นายสมบูรณ์ขึ้นไปปลุกข้าพเจ้า แล้วรายงานว่าผีเข้านางแพว ไล่เท่าไรก็ไม่ยอมออก ขอให้ข้าพเจ้าช่วยไล่ผีให้ด้วย ตอนนั้นเสียงสุนัขบ้านที่อยู่ข้างๆ หอนกันเสียงโหยหวน ข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเป็นหมอผี แต่เมื่อเกิดความจำเป็นขึ้นมา ก็ต้องทำใจกล้าลองดูสักครั้ง ทั้งที่ความกลัวผีก็มีอยู่มาก

ข้าพเจ้าสั่งให้นายสมบูรณ์ลงมาข้างล่างควบคุมตัวนางแพวเอาไว้ ข้าพเจ้าเอาขันน้ำในห้องน้ำชั้นบนใส่น้ำจนเต็ม แล้วเข้าห้องพระ อาราธนาพระสมเด็จหลวงพ่อโตที่ห้องคออยู่ เอาลงแช่ในขันน้ำ กราบพระแล้วว่านะโม 3 จบ แล้วสวดคาถาชินบัญชร อาราธนาบารมีสมเด็จหลวงพ่อโต มาช่วยไล่ผีให้ด้วย พอเสร็จสรรพ ข้าพเจ้านำพระหลวงพ่อโตคล้องคออย่างเดิม แล้วถือขันน้ำมนต์เดินลงมาชั้นล่าง นางแพวร้องว่ากลัวแล้วๆ วิ่งหนีเข้าห้อง นอนคลุมโปงตัวสั่นอยู่บนเตียง ข้าพเจ้าพานายสมบูรณ์ตามเข้าไป แล้วข้าพเจ้าพูดดีๆ ว่าอย่าอยู่ที่นี่เลย มาจากที่ไหน ก็กลับไปเสียเถอะ ที่บ้านนี้มีเทวดาคุ้มครองรักษา

พอกล่าวจบ ข้าพเจ้าเอาน้ำมนต์รดลงไป บนผ้าคลุมโปงของนางแพว ตั้งแต่ศีรษะนางแพว ลงมาจนถึงปลายเท้า นางแพวดิ้นตึงตังอยู่ในโปง ร้องออกมาเสียงห้าวๆ เป็นเสียงผู้ชายว่า เล่นเจ็บๆ อย่างนี้กูไม่อยู่ละโว้ย แล้วนางแพวก็หยุดดิ้นเงียบสงบลง ตอนนั้น เสียงสุนัขข้างบ้านหอนโจ๋ขึ้นรับกันเป็นทอดๆ ไกลออกไปทุกที แล้วก็เสียงเงียบลง ข้าพเจ้าจึงได้กลายเป็นหมอไล่ผี คืนหนึ่งในชีวิตคืนวันนั้นเอง

เรื่องที่ 5 คนไทยภาคใต้มาจากไหน
หลวงพ่อเล่าเรื่องประวัติคนไทยภาคใต้ให้ฟังว่า คนไทยได้อพยพถอยหนีลงมาจากภาคใต้ประเทศจีน ปัจจุบันเข้าสู่แดนสุวรรณภูมิเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้เข้ามาทางเชียงแสน เชียงราย กลุ่มที่สองข้ามภูเขาตะนาวศรีเข้าไปอยู่ทางภาคใต้ หัวหน้าคนไทยกลุ่มภาคใต้ชื่อท่านอาลีบอลข่าน

ยุคนั้นคนไทยนิยมตั้งชื่อเป็นภาษาอินเดีย ถือกันว่าโก้ดี บางสมัยก่อนหน้านั้น นิยมตั้งชื่อเป็นภาษาจีน เปลี่ยนไปเป็นยุคๆ คนไทยภาคใต้ตอนแรก มีกำลังคนน้อย คนป่าพื้นเมืองเจ้าของถิ่นที่นุ่งใบไม้ ผมหยิก ตาพอง มีจำนวนมากกว่าหลายเท่า คนไทยต้องยอมอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้น ส่งส่วยเป็นประจำ ต่อมาหัวหน้าคนไทยเป็นชายหนุ่มรูปงาม เฉลียวฉลาด เป็นที่พอใจของหัวหน้าชาวป่าคนพื้นเมือง หัวหน้าชาวป่าจึงยกลูกสาวให้อยู่กินกัน

ลูกเขยรูปงามได้ย้ายเข้าไปอยู่รวมกับพ่อตา แล้วรับอาสาพ่อตาไปเที่ยวเก็บส่วยคนไทยแทนพ่อตา เมื่อลูกเขยตัวดีออกไปพบพวกคนไทย ก็นัดแนะกันให้คนไทยลักลอบไปฝึกอาวุธกันในป่า พอฝึกเสร็จก็กลับบ้านเอาอาวุธฝังดินซ่อนไว้ในป่า ไม่ให้คนป่ารู้ ต่อมา ชาวไทยภาคเหนือมีพระเจ้าพรหมมหาราชเป็นผู้นำ ทำการกู้เอกราชคนไทยพ้นจากอำนาจขอมดำได้สำเร็จ ตั้งตัวขึ้นเป็นอิสระ ไล่ฆ่าพวกขอมดำจนล่าถอยไปจากดินแดนแถบนั้น

ในเวลาต่อมา คนไทยภาคเหนือได้แต่งกองเกวียน เดินทางมาค้าขายติดต่อกับคนไทยภาคใต้ ขามามีชายหนุ่มนั่งเกวียนมาด้วยหลายคน เอาหอกดาบซ่อนไว้ข้างล่าง เอาสินค้าทับไว้ข้างบน ขากลับเกวียนมีคนขับเหลือเพียงคนเดียว โดยวิธีนี้จำนวนคนไทยภาคใต้จึงมีมากขึ้น จนพร้อมที่จะรบเพื่อประกาศความเป็นอิสรภาพ พอถึงวันดีคืนดี ลูกเขยรูปงามก็ให้สัญญาณคนไทยลุกอือกันขึ้น ตัวลูกเขยนั้นอยู่ประชิดตัวพ่อตาอยู่แล้ว ก็ได้โอกาสเอาดาบจ่อคอหอยพ่อตา

พ่อตาเสียท่าจึงยอมแพ้ คนไทยจึงเป็นอิสระ ครั้นพอพวกคนป่าที่อยู่ห่างไกลออกไปรู้เรื่องก็โกรธแค้นมาก ยกพวกกันเข้าตีแก้แค้น เกิดการสู้รบกันอย่างหนักหลายครั้ง พวกคนป่าตายมาก จนหมดสิ้นไปจากภาคใต้ประเทศไทย ยังมีเหลือจำนวนน้อยก็หลบหนีไปอยู่ในดินแดนภาคเหนือของประเทศมาเลเซีย เมื่อเป็นอิสระทุกภาคแล้ว คนไทยทุกกลุ่มก็นัดกันตั้งชื่อนำหน้าว่า พรหม เพื่อให้เป็นที่รู้กันว่าเป็นคนไทย

ภาคเหนือชื่อพระเจ้าพรหมมหาราช ภาคใต้กลุ่มเมืองกระบี่ – พังงา ชื่อพระเจ้าพรหมจักร กลุ่มภูเก็ต – ระนอง ชื่อพระเจ้าพรหมมณี กลุ่มชุมพร – ระนอง ชื่อพระเจ้าพรหมภักดี หลวงพ่อเล่าว่า พระเจ้าพรหมจักรบอกท่านว่า ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนร่วมรบของท่าน ในยุคนั้น ข้าพเจ้ารบได้ว่องไวมาก ศัตรู 4 คนรุม ยังทำร้ายข้าพเจ้าไม่ได้ ข้าพเจ้าได้ช่วยท่านรบศึกหนักหลายครั้ง ลุยเลือดนองถึงตาตุ่ม ด้วยเหตุนี้เอง หลวงพ่อจึงได้เรียกชื่อข้าพเจ้าว่าขุนกระบี่

เรื่องที่ 6 พระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชเป็นของจริง
ระหว่างที่หลวงพ่อไปพักที่บ้านในโรงไฟฟ้ากระบี่ ข้าพเจ้าได้กราบเรียนถามว่า พระบรมธาตุที่บรรจุอยู่ในเจดีย์วัดระบรมธาตุ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เป็นพระบรมธาตุแท้จริงหรือไม่ พอกราบเรียนถามเสร็จ หลวงพ่อมีคำตอบให้ทันทีว่า เจ้าของท่านตอบว่าเป็นของแท้

เรื่องที่ 7 อภินิหารเจ้าทะเลกระบี่
ท่านกำนันสี่น เศรษฐีผู้ใจดี ตำบลใสไทย อำเภอเมืองกระบี่ ได้มีจิตศรัทธาจัดเรือประมงตังเกขนาดใหญ่หนึ่งลำ พาคณะของหลวงพ่อออกชมทะเลกระบี่ ขณะที่เรือกำลังแล่นห่างฝั่งหาดนพรัตนาราออกไปประมาณ 500 เมตร คลื่นมีขนาดโตพอสมควร เรือจึงแล่นตัดคลื่นช้าๆ ขณะนั้นเอง พวกเราที่อยู่ในเรือมองไปทางฝั่ง แลเห็นคล้ายกิ้งก่าตัวยาวประมาณหนึ่งศอก เป็นสีทองเหลืองอร่าม หงอนแดง ว่ายน้ำชูคออยู่เหนือยอดคลื่นมุ่งเข้ามาหากราบเรือ

ข้าพเจ้าเป็นห่วงว่ากิ้งก่าเป็นสัตว์บก ทำไมวันนี้กล้าหาญชาญชัย ว่ายออกทะเลย กลัวว่าจะจมน้ำตายหรือถูกปลาใหญ่ฮุบกินเป็นอาหาร พอกิ้งก่าทองว่ายเข้ามาใกล้วจะถึงกราบเรือ พวกเราเฮโลกันไปชะโงกมองดู แลเห็นกิ้งก่าทองคำมุดลอดใต้ท้องเรือ ข้าพเจ้าใจหายกลัวใบพัดเรือจะตัดตัวกิ้งก่าทองขาดเป็นท่อนๆ พวกเราพากันไปดูที่อีกกราบเรือหนึ่ง แต่ก็ไม่พบอีกเลย ภายหลังพวกเราก็ถึงบางอ้อ หมดข้อสงสัย

เมื่อหลวงพ่ออธิบายว่า ภาพกิ้งก่าทองที่แลเห็นนั้น เป็นมังกรทองที่เจ้าทะเลกระบี่เนรมิตขึ้นมาต้อนรับหลวงพ่อ เป็นแต่เพียงภาพเนรมิตไม่มีตัวตนจริงๆ เป็นอันว่าพวกเราได้ประสบอภินิหารเทวดาเจ้าทะเลกระบี่ในวันนั้นเอง นอกจากนี้ ท่านเจ้าทะเลกระบี่ยังเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ถ้าลากเส้นตรงจากหาดนพรัตนารากระบี่ ไปยังหาดราไวยภูเก็ต แบ่งครึ่งเส้นตรงเป็นสองส่วน ถอยหลังกลับมาทางกระบี่สองกิโลเมตร แล้วเจาะพื้นทะเลลงไปตรงนั้น จะพบน้ำมันดิบธรรมชาติ หลวงพ่อเล่าเสริมต่อไปว่า เมืองไทยรวยน้ำมัน ต่อไปเจ้าขานกกระยางจะเต็มไปทั่วเมืองไทย ไปที่ไหนก็พบเจ้าขานกกระยาง (คือเครื่องสูบชักเอาน้ำมันดิบขึ้นมาจากใต้ดิน – ผู้เขียน)

เรื่องที่ 8 ประเทศไทย จะเป็นมหาอำนาจและรวยมากเป็นมหาเศรษฐี
ระหว่างที่คณะของหลวงพ่อนั่งเรือจากอ่าวพังงาจะไปเกาะปันหยี ถ้ำลอด และเขาพิงกัน เทวดาที่เป็นเพื่อนเก่าของหลวงพ่อมาต้อนรับ และชี้ให้หลวงพ่อดูจุดที่เจาะพื้นทะเลลงไป จะพบหินดาน เจาะหินดานทะลุจะพบน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมาปริมาณมากมายมหาศาล ข้าพเจ้าเคยเรียนวิชาธรณีวิทยาทราบว่า แหล่งน้ำมันดิบจะมีขนาดใหญ่มาก ถ้าน้ำมันถูกกักเก็บภายใต้ชั้นหินโค้งรูปโดม

ปกติน้ำมันเบากว่าน้ำ ถูกสูบน้ำมันออก ระดับน้ำมันจะลดลงจากข้างล่างขึ้นไปหาข้างบน และจะมีน้ำไหลเข้าไปแทนที่น้ำมัน ถ้าดูตามภูมิศาสตร์ ทวีปอาเซียบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ มีน้ำมันดิบทิศใต้ที่ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ซาราวัค และบรูไน ทิศเหนือ พบน้ำมันดิบทางตอนใต้ประเทศจีน จังหวัดเช็งลี ทิศตะวันออกมีน้ำมันที่ชายฝั่งประเทศเวียดนาม ทิศตะวันตกพบน้ำมันดิบที่ประเทศพม่า

ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง เปรียบได้เหมือนอยู่ตรงศูนย์กลางรูปโดมมหึมา น้ำมันใต้พื้นดินประเทศไทยจะสูบออกหมดทีหลัง ประเทศบรูไน ซาราวัค อินโดนีเซีย จีน เวียดนาม และพม่า ซึ่งอยู่ขอบรูปโดม หลวงพ่อเล่าว่า เทวดาท่านอธิบายว่า ขณะนี้ทั่วโลกใช้น้ำมันรวมกันเท่าใด ถ้ารุมกันมาใช้น้ำมันจากไทยเพียงแหล่งเดียวนาน 99 ปี จะหมดน้ำมันไทยไปเพียงหนึ่งในสามของจำนวนที่มีใต้แผ่นดินไทย

ถ้าสูบน้ำมันใต้เมืองไทยออกหมดแล้วไม่มีน้ำไหลเข้าไปแทนที่ เมืองไทยจะจมหายลงไปอยู่ใต้ทะเล ต่อไปเมืองไทยจะขายน้ำมันรวยมากเป็นมหาเศรษฐี แขกซาอุที่ว่ารวยนักหนาในปัจจุบัน ต่อไปจะอายประเทศไทย แม้กระทั่งฝรั่งชาติยุโรปก็ยังต้องเกรงใจไทย ส่วนญี่ปุ่นนั้นต้องคุกเข่าให้ไทยมาขอซื้อน้ำมันไปใช้ นอกจากน้ำมันแล้ว ไทยยังมีแร่ทองคำธรรมชาติมากมาย หลวงพ่อเล่าว่ามีแร่ทองคำอยู่ใต้ภูเขายาวเป็นหลายกิโลเมตร ต่อไปจะมีการระเบิดภูเขาทิ้งไปทั้งลูกเพื่อจะเอาแร่ทองคำ

ถึงสมัยนั้นศีลธรรมของคนไทยดีมาก ความร่ำรวยและความเจริญจะปรากฏขึ้นถึงขีดสูงสุด นอกจากจะรวยแล้ว ไทยยังจะมีอำนาจมาก เพราะเมืองไทยจะพบแร่ปรมาณู ต่อไปความลับเรื่องการทำระเบิดปรมาณูจะไม่เป็นความลับสำหรับคนไทย


หลวงพ่อเล่าเสริมว่า ขณะนี้พบกากแร่ปรมาณูนั้นแล้ว เป็นแร่ที่หมดสภาพแล้ว สีขาวใส ผู้หญิงเอามาทำเครื่องประดับ หลวงพ่อถามข้าพเจ้าว่ารู้จักชื่อไหม แร่นี้เมื่อแตกตัวจะให้ความเย็นจัด ตรงข้ามกับแร่ยูเรเนียมซึ่งให้ความร้อนจัด แต่ก็เอามาทำระเบิด เอามาทำเป็นเครื่องมือรักษาคนไข้ได้เหมือนกัน สมัยที่ข้าพเจ้ายังเรียนวิชาวิศวกรรมเหมืองแร่ไม่เคยได้ยินว่ามีแร่ลักษณะนี้ จึงกราบเรียนหลวงพ่อว่าข้าพเจ้าไม่ทราบว่าแร่นี้ชื่ออะไร

เรื่องไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจและร่ำรวยมากนี้ หลวงพ่อยังได้เล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า หลวงพ่อได้รับมอบหนังสือสมุดข่อยโบราณ เขียนด้วยธงสีเหลือง กล่าวเอาไว้ว่าผู้เขียนคือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ได้พยากรณ์อนาคตของประเทศไทย ต่อจากสมัยกรุงศรีอยุธยาไว้ว่ามี 10 ยุค

คือ 1.มหากาฬ 2.พันธุ์ยักษ์ 3.รักบัณฑิต 4.สนิทธรรม 5.จำแขนขาด 6.ราชโจร 7.นนท์ร้องทุกข์ 8.ยุคทมิฬ 9.ถิ่นตาขาว และ 10.ชาววิไล

หลวงพ่อเคยกราบเรียนถาม สมเด็จผู้พยากรณ์ว่า ราชวงศ์จักรีมี 10 รัชกาลเท่านั้นเองหรือ
สมเด็จท่านตอบว่า ใครบอกว่ามี 10 รัชกาล ท่านเรียกว่า 10 ยุค ไม่ใช่ 10 รัชกาล ความจริงยุคที่ 11 ก็ชื่อชาววิไล ยุคที่ 12 ก็ชาววิไล ยุคที่ 13 ก็ชาววิไล ฯลฯ ชื่อซ้ำกัน จึงเขียนชื่อยุคไว้ 10 ชื่อเท่านั้น ความจริงราชวงศ์จักรีจะมีสืบต่อไปอีกนาน

เรื่องที่ 9 ท่านย่ามุกและท่านย่าจันทร์ ทำบุญหนีบาป
เมื่อคณะของหลวงพ่อเดินทางจากกระบี่เข้าสู่เมืองภูเก็ต ปรากฏว่ามีเทพธิดาคือท่านย่ามุกและท่านย่าจันทร์ ไปต้อนรับหลวงพ่อ

หลวงพ่อถามท่านย่าทั้งสองว่า ทำสงครามฆ่าคนตายตั้งแยะ ทำไมได้ขึ้นสวรรค์
ท่านย่าตอบว่า ก็อิฉันโง่นี่เจ้าคะ พอเสร็จสงครามก็สร้างวัดทำบุญเป็นการใหญ่ อานิสงส์ผลบุญจึงช่วยให้ได้ไปสวรรค์

ข้าพเจ้าสมัยหนึ่งเคยนึกในใจว่า ถ้าคนโบราณสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาลจำนวนมากเหมือนที่สร้างวัด คนไทยจะสบายกว่านี้มาก บางที่วัดอยู่ใกล้ๆ กันหลายวัดก็มี ตอนนี้จึงเข้าใจแล้วว่า การสร้างวัดเป็นวิหารทาน มีอานิสงส์มากกว่า คนโบราณฉลาดในการทำบุญให้ได้กุศลมากๆ จึงนิยมกันสร้างวัด ถวายให้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา

เรื่องที่ 10 พระภูมิเจ้าที่โรงไฟฟ้าภูเก็ตจับตัวขโมยสายไฟ
ขณะที่หลวงพ่อพักอยู่ที่บ้านวิศวกรโรงไฟฟ้าภูเก็ต มีพนักงานโรงไฟฟ้าพร้อมด้วยครอบครัวจำนวนมาก เข้าไปกราบหลวงพ่อ
หลวงพ่อได้ชี้ตัวถามพนักงานคนหนึ่งว่า เคยขโมยสายไฟฟ้าหรือเปล่า
พนักงานคนนั้นตกใจ อ้อมแอ้มรับว่า เคยขโมย
หลวงพ่อสั่งสอนว่า เลิกขโมยเสียนะ สายไฟมันจะดึงลงนรก

รุ่งขึ้นตอนเช้าหัวหน้าโรงไฟฟ้าเข้าไปกราบถามชื่อพนักงานที่เป็นขโมย หลวงพ่อตอบว่า พระภูมิเจ้าที่บอกว่าเขารับสารภาพ จึงยกโทษให้ ถ้าไม่รับสารภาพจะลงโทษให้หนัก หลวงพ่อสั่งสอนหัวหน้าฯ ว่า ต่อไปดูแลเก็บพัสดุสิ่งของให้ดี จะไม่มีใครขโมยได้อีก

เรื่องที่หลวงพ่อทราบเหตุการณ์ต่างๆ อย่างน่าแปลกใจนี้ ข้าพเจ้าได้ประสบด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยแรกๆ ที่ได้ไปกราบหลวงพ่อ ณ ที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ในวันหนึ่ง พวกเราเข้าแถวคลานตามกันเข้าไปกราบหลวงพ่อ ทหารอากาศคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าเข้าไปกราบ

หลวงพ่อถามขึ้นว่า เคยขโมยลูกปืนไหม
เขาตอบปฏิเสธ
หลวงพ่อย้ำอีกครั้งว่า ไม่ใช่ลูกปืนที่ยิงกัน แต่เป็นลูกปืนเครื่องจักร
ทหารอากาศคนนั้นนิ่งเงียบไม่ปฏิเสธอีก เท่ากับยอมรับโดยดุษฎี

หลวงพ่อสั่งสอนให้เลิกขโมยเสีย พอถึงคราวคนที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าเข้าไปกราบ หลวงพ่อถามเขาว่า คุณกินเหล้าหรือเปล่า เขาตอบว่าวันนี้ไม่ได้ดื่มเหล้า แต่ปกติเคยดื่ม หลวงพ่อสั่งสอนให้เลิกเสีย

ครั้นถึงคราวข้าพเจ้าบ้าง วันนั้นข้าพเจ้าเช่าพระองค์หนึ่งจากวัดท่าซุง นำเข้าไปถวาย ขอให้หลวงพ่อแผ่เมตตาจิตแล้วข้าพเจ้าจะได้รับมาจากมือของหลวงพ่อ ก่อนหน้านั้น ขณะที่รอคิวอยู่ ข้าพเจ้าอธิษฐานในใจ ขณะที่ยังอยู่ห่างจากหลวงพ่อว่า บุญกุศลทั้งหลายที่ได้บำเพ็ญไว้แล้ว ขอจงเป็นผลหนุนส่งให้ข้าพเจ้าได้บรรลุพระนิพพานในชาติปัจจุบัน ชาตินี้ขอเกิดเป็นชาติสุดท้าย ภพนี้ขอเป็นภพสุดท้าย ชาติหน้าภพหน้าขอจงอย่าได้มีบังเกิดสำหรับข้าพเจ้าอีกเลย ข้าพเจ้าไม่ต้องการเกิดอีกแล้ว ไม่ขอเกิดอีกแล้ว ขอความตั้งใจของข้าพเจ้าครั้งนี้ จงสำเร็จผล สมความปรารถนาภายในชาติในภพปัจจุบันนี้ด้วยเถิด

พอข้าพเจ้าเข้าไปกราบหลวงพ่อ ท่านรับเอาพระไปยกมือขึ้นจบ และก่อนที่จะส่งคืนให้ข้าพเจ้า
หลวงพ่อหันมายิ้มแล้วบอกข้าพเจ้าว่า ที่ขอเมื่อกี้นี้พระท่านบอกว่าไปได้ ไปได้
ข้าพเจ้าปลื้มใจมาก ที่จะได้ยุติการเวียนว่ายตายเกิดเสียที ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ตราบใด ก็จะทำหน้าที่ทุกประการอย่างเต็มกำลังความสามารถ ถ้าหยุดหายใจเมื่อใดก็เลิกกัน จะออกจากร่างนี้ไป ไปแล้วจะไปลับ จะไม่กลับมามีร่างกายอีกต่อไป

จะตามรอยพระยุคลบาท สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และตามรอยเท้าพระอรหันต์เจ้าทั้งปวง มุ่งลัดตัดตรงไปพระนิพพาน จะไม่หวนกลับมาเกิดอีกต่อไป

เรื่องที่ 11 หลวงปู่แช่มวัดท่าฉลองภูเก็ตขับไล่จีนอั้งยี่
ระหว่างที่พักอยู่ที่เกาะภูเก็ต หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่โจรอั้งยี่จีนยกพวกเข้าปล้นชิงชาวเมืองภูเก็ตครั้งนั้น ทุกตำบลแพ้จีนอั้งยี่ ยังเหลือตำบลท่าฉลองเป็นแห่งสุดท้าย ยังไม่แพ้โจรอั้งยี่จีน ชาวบ้านท่าฉลองอพยพไปรวมกันที่วัดท่าฉลอง ยึดถือเอาหลวงปู่แช่มเป็นที่พึ่ง ครั้นถึงเวลาโจรจีนอั้งยี่ยกทัพเรือไปตีท่าฉลอง ชาวบ้านท่าฉลองเข้าไปกราบเรียน ขอให้หลวงปู่แช่มช่วย

หลวงปู่ก็ตกลงรับปากจะช่วย ท่านขึ้นนั่งบนแคร่เสลี่ยง สั่งให้ชาวบ้านหามยกขึ้นเดินนำหน้า มีชาวบ้านหนุ่มๆ สามารถรบได้จำนวนราว 200 คน เดินตามหลัง กำลังโจรจีนอั้งยี่ที่ยกมามีหลายพันคน จำนวนคนทั้งสองฝ่ายต่างกันหลายเท่าตัว พอโจรอั้งยี่จีนยกพลขึ้นมาบนบกได้ก็กรูกันเข้ามา หลวงปู่แช่มสั่งให้วางเสลี่ยงลง ท่านก้าวเท้ากระทุ้งดิน 1 ครั้ง แล้วว่าคาถากำกับด้วย 1 บท พอท่านเดินไปครบ 3 ก้าว กระทุ้งไม้เท้าลงบนดินได้ 3 ครั้ง ว่าคาถาได้ 3 จบเท่านั้นเอง ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น

ปรากฏว่าโจรจีนอั้งยี่หันหลังกลับ แตกฮือพากันวิ่งหนีไปลงเรือเล็ก ล่าถอยไปขึ้นเรือใหญ่ แล่นหนีไปโดยไม่ได้สู้รบกัน พวกที่ลงเรือเล็กไม่ทันก็กระโดดน้ำลงทะเลว่ายหนีไป ทิ้งอาวุธหอกดาบไว้เป็นจำนวนมาก ต่อมาภายหลัง ทหารไทยที่ยกไปจากเมืองหลวง เพื่อไปช่วยเมืองภูเก็ตจับอั้งยี่บางคนได้ ทหารถามว่าวันนั้นยังไม่ทันรบกันเลยหนีทำไม จีนอั้งยี่ตอบว่ามองเห็นทหารไทยยืนเต็มดงมะพร้าว แลดูสีแดงครึ่ดไปหมด ถ้าไม่รีบหนีพวกอั๊วซี้แน่ๆ

นี่คืออานุภาพของหลวงปู่แช่มวัดท่าฉลองภูเก็ต ซึ่งเป็นพระอรหันต์อภิญญาองค์หนึ่ง หลวงพ่อได้เล่าต่อไปว่า นอกจากหลวงปู่แช่มจะเป็นพระอรหันต์อภิญญาแล้ว อาจารย์ของหลวงปู่แช่ม และอาจารย์ของอาจารย์หลวงปู่แช่มอีกรวม 2 องค์ ก็เป็นพระอรหันต์อภิญญาด้วยเหมือนกัน รวมความว่าที่วัดท่าฉลองภูเก็ตมีพระอรหันต์อภิญญาติดต่อกันถึง 3 องค์

เรื่องที่ 12 พระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ฝังใต้ดินที่อำเภอหาดใหญ่
ขณะที่คณะหลวงพ่อแล่นรถจากเมืองตรังเข้าเขตอำเภอหาดใหญ่ พรหมองค์หนึ่งไปต้อนรับหลวงพ่อ แล้วรายงานตัวว่ามีหน้าที่เฝ้าพระพุทธรูปทองคำ ซึ่งฝังอยู่ใต้ดินที่ตำบลน้ำน้อย อำเภอหาดใหญ่ มีขนาดย่อมกว่าพระพุทธรูปทองคำวัดไตรมิตร กทม. เล็กน้อย ที่พระอุระของพระพุทธรูปทองคำใต้ดินองค์นี้ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ได้

คนทั่วไปปัจจุบันไม่ทราบ จึงเดินข้าไปมา เป็นบาปโดยไม่ตั้งใจ คณะหลวงพ่อเป็นคณะบุญ พรหมจึงมาแจ้งให้ทราบและขอให้ช่วยสร้างสิ่งก่อสร้างอะไรสักอย่างเอาไว้บนดินตรงจุดนั้น คนที่เดินไปมาจะได้อ้อมหลบไป ไม่เดินข้ามพระ เกิดบาปอีกต่อไป หลวงพ่อถามพรหมว่าจะยอมให้ขุดขึ้นมาหรือไม่ พรหมตอบว่า คนไทยปัจจุบันศีลธรรมยังไม่ดี ถ้าขุดขึ้นมาปรากฏว่าเป็นพระทองคำแท้ จะเกิดการฆ่ากันตายแย่งชิงกัน แม้จะเอาตำรวจ ทหารมาเฝ้าก็ไม่ได้

เพราะว่าพระพุทธรูปองค์นี้ถอดได้เป็นชิ้นๆ 9 ชิ้น คนโกงจะเอาของปลอมมาใส่แทน เอาของจริงไป ตำรวจ ทหารอาจหลับยาม สมรู้ร่วมคิดกันได้ หลวงพ่อรับปากพรหมองค์นี้แล้ว พรหมก็บอกจุดที่อยู่ให้หลวงพ่อพาพวกเราไปดู ก็พบว่าจุดที่ตั้งตรงกับที่พรหมบอกไว้ทุกประการ บริเวณนั้นอยู่ติดคลองน้ำน้อย ทางหลวงหาดใหญ่ – สงขลา เลขที่หลัก กม. ก็ตรงกับที่พรหมบอกไว้ คณะหลวงพ่อจึงมั่นใจมาก เกิดความศรัทธา ตกลงกันว่าจะสร้างวิหารเล็กๆ คลุมพื้นดินตรงจุดนั้น

พวกเราจึงลงจากรถ เข้าไปติดต่อเจ้าของที่ดิน ชื่อนางใล่ นามสกุลชูโตชะนะ มีบุตรชายบุญธรรมชื่อ ร.ต.ต.ชัยณรงค์ ชูโตชะนะ เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่ดินให้สร้างวิหารได้โดยไม่คิดราคาที่ดิน ท่านเจ้าของที่ดินศรัทธาหลวงพ่อมาก กราบเรียนท่านหลวงพ่อจะเอาที่กว้างเท่าไรก็เอา จะยกให้ถวายวัดหรือถวายในหลวง

คณะศิษย์หลวงพ่อขณะนั้น อันมีพลอากาศโท ร.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ เป็นหัวหน้าคณะทางกรุงเทพฯ หาเงินทุนโดยรวบรวมจากคณะศิษย์ทั้งปวง ส่งไปให้ข้าพเจ้าก่อสร้างวิหาร รวมกับเงินทุนที่คุณมนตรี ตระหง่าน ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา และคุณเจริญจิตต์ ณ สงขลา ปลัดจังหวัดสงขลา รวบรวมได้จากชาวเมืองสงขลา เป็นเงินทุนจากกรุงเทพฯ เกือบ 2 แสนบาท และเงินทุนจากสงขลาแสนกว่าบาท รวมกันแล้วมีจำนวนประมาณกว่า 3 แสนบาท ใช้เงินทุนนี้สร้างวิหารตรีมุขขึ้น

มีคุณณรงค์ ณ ตะกั่วทุ่ง ช่างสถาปนิกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 กระบี่ เป็นผู้ออกแบบ มีคุณปลั่ง ขาวบาง ช่างโยธา จากโรงไฟฟ้าลิกไนต์กระบี่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง มีคุณสวาท ภัทรพรนันท์ หัวหน้าโรงไฟฟ้าแกสเทอร์ไบน์หาดใหญ่ เป็นผู้ช่วยติดต่ออำนวยความสะดวก โดยมีข้าพเจ้าเป็นผู้ประสานงาน พวกเราเริ่มงานกันโดยไปติดต่อร้านค้า อำเภอหาดใหญ่ อาศัยชื่อเสียงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 เป็นเครื่องช่วยให้ร้านค้าทั้งหลายเกิดความเชื่อถือ ตกลงใจให้ซื้อของเชื่อโดยจ่ายเงินเป็นงวดๆ

พอได้เงินจากคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ แม่งานทางกรุงเทพฯ ก็เอาไปจ่ายร้านค้า แล้วเอาใบรับเงินไปหักล้างเงินเบิกมา ตามแบบการใช้เงินของราชการ พอเงินทางกรุงเทพฯ หมด ก็เบิกจากกองทุนจังหวัดสงขลา ใช้เงินจากสงขลาไปประมาณ 6 – 7 หมื่นบาท ยังมีเงินทุนที่ชาวเมืองสงขลาบริจาคคงเหลืออยู่ประมาณ 1 แสนบาท คณะศิษย์หลวงพ่อไม่ได้เบิกมาใช้ และมิได้เกี่ยวข้องด้วย ตั้งแต่เสร็จงานสร้างวิหารนี้เป็นต้นมา

งานก่อสร้างนี้ ใช้เงินเฉพาะการซื้อวัสดุ อุปกรณ์ ส่วนแรงงานและการขนส่ง ได้อาศัยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 ช่วยสงเคราะห์ให้เปล่าโดยไม่คิดมูลค่า การก่อสร้างวิหารนี้จึงใช้เงินน้อยกว่าปกติ รวมแล้วเพียงประมาณ 2.3 – 2.4 แสนบาท ทั้งนี้หลายอย่างทุ่นรายจ่ายลงไป เช่น กระเบื้องมุงหลังคา เราก็ส่งรถการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ มา ซื้อไปจากกรุงเทพฯ ราคาจึงต่ำกว่าจะซื้อที่หาดใหญ่

หลวงพ่อได้สั่งไว้ว่า ก่อนจะเริ่มงานก่อสร้าง หลวงพ่อจะไปบวงสรวงพรหมผู้คุ้มครององค์พระพุทธรูปทองคำใต้ดิน วันที่มีพิธีบวงสรวง หลวงพ่อได้พาหลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว และหลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง จังหวัดเชียงใหม่ และหลวงปู่ครูบาชัยวงศา วัดพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ไปร่วมพิธีด้วย หลวงพ่อได้ให้หลวงปู่ทั้งสาม ตรวจดูพระพุทธรูป

ข้าพเจ้าแปลกใจที่เห็นหลวงปู่ครูบาธรรมชัยองค์เดียวลงนั่งยองๆ ดู แต่หลวงพ่อและหลวงปู่องค์อื่นๆ ยืนดู สักครู่เมื่อการตรวจดูเสร็จสิ้นลง หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า เมื่อครู่ หลวงปู่ครูบาธรรมชัยถูกนักเลงดีเล่นตลก คือ พรหมท่าน เอามือมาแกล้งปิดตาหลวงปู่ครูบาธรรมชัยยืนดูไม่เห็น ท่านจึงต้องนั่งลงดู จึงเห็น

หลวงพ่อเล่าประวัติพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ให้พวกเราฟังว่า ทำด้วยทองคำเนื้อเก้า บริสุทธิ์เกือบ 100% ตามปกติทองคำบริสุทธิ์ 100% เนื้ออ่อนเกินไปไม่แข็งแรงพอ เอามาหล่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไม่ได้ จำเป็นต้องเอาโลหะอื่นๆ เช่น ทองแดงมาผสมเพิ่มความแข็งแรง ขนาดของพระพุทธรูปองค์นี้โตเกือบเท่าองค์ที่อยู่วัดไตรมิตร กรุงเทพฯ สร้างในสมัยกรุงสุโขทัย มีรวม 3 องค์เป็นชุดเดียวกัน องค์ที่สามปัจจุบันจมอยู่ในแม่น้ำโขง พบแล้วแต่ยังไม่ยอมขึ้นมา

แม้ว่าบริษัทอิตาเลียนไทย ซึ่งกู้เรือรบศรีอยุธยา ขนาดหนัก 2,000 ตัน ที่ถูกทิ้งระเบิดจมแม่น้ำเจ้าพระยา ยังกู้ได้สำเร็จ แต่พระพุทธรูปที่จมแม่น้ำโขงอยู่ กู้เท่าไรก็ไม่สำเร็จ จะใช้รถแทรกเตอร์ผูกลวดสลิงดึง หรือจะใช้รอกกว้านช่วยดึงก็ไม่สำเร็จ ลวดสลิงขาด พระพุทธรูปเลื่อนไหลไกลออกไป สู่ร่องน้ำลึกเข้าทุกที ผลสุดท้ายต้องยุติเลิกล้มความพยายาม บริษัทอิตาเลียนไทยยอมแพ้

ทั้งนี้เพราะเทวดาที่เฝ้าองค์พระพุทธรูปไม่ยอมให้นำขึ้นมา เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาจะขึ้น ต้องรอให้ศีลธรรมคนไทยดีขึ้นถึงระดับเสียก่อน จะได้ไม่เกิดการฆ่าฟันกัน แย่งชิงกันเป็นเจ้าของพระทองคำ และป้องกันคนโกงจะเอาชิ้นส่วนปลอมมาใส่แทน เอาชิ้นส่วนที่เป็นทองคำแท้ไป

เมื่อสร้างวิหารพระเสร็จลง ท่านพลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์ มีจิตศรัทธามอบพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักเกือบ 4 ศอก หนึ่งองค์ ให้เป็นพระประธานในวิหาร ข้าพเจ้าจัดทีมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 มารับไปจากกรุงเทพฯ โดยไม่คิดรวมราคาก่อสร้างวิหาร ทำให้ประหยัดเงินไปได้มาก ในวันที่จะยกพระประธานเข้าตั้งในวิหาร หลวงพ่อได้ไปทำพิธีบวงสรวงอีกครั้ง

พอเสร็จพิธีบวงสรวง หลวงพ่อเล่าว่า เมื่อสักครู่นี้ พรหมท่านขยับเลื่อนองค์พระใต้ดินเข้ามาอยู่ใต้พระประธาน ซึ่งอยู่ในวิหารเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพราะจุดที่ฝังพระไว้ใต้ดินไม่สามารถตอกเสาเข็มลงไปได้ อาจทำให้เกิดอันตรายต่อพระพุทธรูปใต้ดิน หรือทำอันตรายต่อห้องใต้ดินที่คนสมัยก่อนสร้างเอาไว้ได้ หลวงพ่อเล่าเพิ่มเติมว่า พระที่อยู่ในวิหารให้ชื่อว่าพระพุทธมหามงคลบพิตร ใช้ชื่อเดียวกับพระที่อยู่ใต้ดิน

สมัยก่อนพระทองคำองค์นี้ชาวเมืองตั้งบูชาอยู่ในตัวเมืองสงขลา ต่อมา ตอนที่พม่ายกกองทัพไปตีภาคใต้ ชาวเมืองกลัวว่า ชาวพม่าจะปล้นชิงเอาพระทองคำไป ชาวเมืองสงขลาจึงนำเอาพระทองคำขึ้นบนเรือแล่นหนีเข้าไปในป่าลึก จนถึงคลองน้ำน้อยเห็นเป็นทำเลที่เหมาะสม จึงอาราธนาพระทองคำขึ้นจากเรือ ทำการขุดดินเป็นหลุมขนาดใหญ่และลึก ก่ออิฐเป็นกำแพงกั้นยาแนวกันน้ำรั่วซึม

แล้วบรรจุองค์พระทองคำเอาไว้พร้อมด้วยเพชร พลอย เครื่องประดับมีค่าสูงจำนวนมากมายเป็นพุทธบูชา ทำผนังหลังคาปิดกั้นเอาไว้อย่างแข็งแรงดีแล้ว เก็บรักษาความลับไว้เป็นอย่างดีไม่มีคนอื่นทราบ อนุชนรุ่นหลังจึงไม่มีใครรู้ความลับนี้

หลวงพ่อได้อธิบายประวัติพระพุทธรูปทองคำมหามงคลบพิตร ว่าสร้างในสมัยพระเจ้าขุนรามคำแหงมหาราช กรุงสุโขทัย มีการทำพิธีตรึงแผ่นดินไทยไว้ ทิศเหนือที่เชียงแสน ทิศใต้ที่สงขลา เลยเขตนี้ออกไปไม่แน่นอน ยามใดไทยมีอำนาจก็มาอยู่รวมกับคนไทย ยามใดไทยถอยอำนาจลงก็แยกตัวออกไปเป็นประเทศอื่น

แต่ว่า สมัยต่อไปภายหน้าพวกดังกล่าวนี้ คือ กลันตัน ตรังกานู ปะลิส ไทรบุรี และดินแดนเหนือเชียงรายขึ้นไป จะกลับมารวมกับไทยอีก ทั้งนี้ เพราะเขาเห็นว่าไทยรวยจะมาช่วยกันใช้เงินของไทย

เรื่องที่ 13 พระราชพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระบารมีในหลวง
เมื่องานก่อสร้างวิหารพระพุทธมหามงคลบพิตรเสร็จลง ในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ ได้เสด็จมาทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในพระเศียรของพระพุทธรูปในวิหาร ข้าพเจ้าเป็นผู้ประสานงานที่หาดใหญ่ นึกเป็นห่วงว่า วันที่ในหลวงเสด็จถ้าฝนตก ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จจะเดือดร้อน เนื่องจากไม่มีเต็นท์สำหรับราษฎร

ข้าพเจ้าจึงให้นายปลั่ง ขาวบาง บนกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขออย่าให้ฝนตกในบริเวณงานวันนั้น ขณะที่กำลังมีงาน แต่หลวงพ่อบอกว่าเสด็จในกรมไม่ทรงรับการบนครั้งนี้ ท่านอธิบายว่าในหลวงเป็นคนมีบุญมาก ไปที่ใดฝนต้องตก อย่างน้อยที่สุดต้องโปรยลงมาเป็นละออง จะห้ามไม่ให้ตกเลยนั้น ห้ามไม่ได้

ปรากฏว่าวันงานตั้งแต่เช้าขึ้นมาแสงแดดแจ่มใส แต่พอตกตอนสายเมฆรวมตัวกัน เหมือนเป็นร่มคันใหญ่มหึมาแผ่บางๆ กั้นกันแดดไว้พอเย็นสบาย พอตกบ่ายก่อนถึงเวลาเสด็จประมาณ 1 ชั่วโมง ฝนตกลงมาซู่หนึ่งแล้วหยุดตก เป็นอันว่าจริงตามธรรมเนียม เรื่องฝนตกในงานที่ในหลวงเสด็จนี้ ข้าพเจ้าได้ประสบมาด้วยตนเองอีก 2 ครั้ง คือ ในงานพระราชพิธีเปิดเขื่อนบางลาง อำเภอบันนังสตาร์ จังหวัดยะลา

ก่อนเวลาเสด็จประมาณ 1 ชั่วโมง ฝนตกหนัก ลมพายุพัดแรงมาก กระหน่ำจนพวกเรากลัวว่าเต็นท์ที่กางรับเสด็จจะปลิวลอยไปตามลม พวกวิศวกรอาวุโสที่แต่งตัวเต็มยศ เครื่องแบบสีขาวยังยอมไม่กลัวเปื้อน ช่วยกันจับเสาเต็นท์ช่วยกันโหนไว้ เสาละ 2 – 3 คน นึกในใจว่า ถ้าเต็นท์หลุดพ้นจากพื้นดิน ลอยตามแรงลมละก็ คอขาดกันเป็นแถว เจ้านายเล่นงานตายแน่ๆ

แต่พอทันทีที่ ฮ. พระที่นั่งแตะพื้นดิน เพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้นเท่านั้นเอง ฝนหยุดตก ลมหยุดพัด นิ่งสงบลง พวกเราถอนหายใจเฮือกโล่งไปได้ ไม่ต้องโหนเสาเต็นท์เป็นลิงเป็นค่างต่อหน้าพระที่นั่งอีกต่อไป ทั้งนี้ เป็นเพราะบารมีปกเกล้าโดยแท้จริง

อีกครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าประสบก็คือ ตอนที่เสด็จพระราชดำเนินไปวัดท่าซุง งานนี้เป็นฤดูฝนทิ้งช่วงยาว อากาศร้อนจัด ทุ่งนาแถบจังหวัดอุทัยธานี จังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง ชัยนาท ขาดน้ำ แผ่นดินแห้ง ต้นข้าวในนาสีเหลือง ทำท่าจะตายมิตายอยู่ จะรอมร่อ ก่อนวันมีงาน บริษัทเฟคเตอร์ นำเอาเครื่องแอร์ประมาณ 3 เครื่องมาตั้งเป่าลมเย็นถวายในหลวง

ข้าพเจ้านึกในใจว่า ถ้าในหลวงเสด็จที่ใดแล้วอากาศร้อนจัด แดดไม่ร่ม ฝนไม่ตก ก็แปลกประหลาดมากแล้ว ครั้นถึงวันที่เสด็จพระราชดำเนิน ตอนเช้ายังมีแดดตามปกติ พอตกตอนสายเมฆบางๆ เริ่มรวมตัวเหนือท้องฟ้าวัดท่าซุง เหมือนเป็นร่มขนาดมหึมากั้นกันแสงแดด ทำให้อากาศไม่ร้อนจัด มีลมพัดมาพอเย็นสบาย

ต่อมา ได้เวลาอีกประมาณสองชั่วโมง จะถึงกำหนดที่ในหลวงเสด็จ มีฝนไล่ช้างตกลงมากราวใหญ่แล้วก็หยุดตก หลวงพ่ออธิบายว่าตอนที่ฝนตกนั้น เทวดาที่เป็นกองหน้ามาถึงแล้ว มีหน้าที่ลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยให้ในหลวง และสมเด็จฯ ครั้นพิธีการเสร็จ ในหลวงและสมเด็จฯ เสด็จพระราชดำเนินกลับ

ข้าพเจ้าขับรถฝ่าฝนตั้งแต่ออกจากจังหวัดอุทัยธานี จนถึงเข้าเขตกรุงเทพฯ ที่ปัดน้ำฝนประจำรถต้องทำงานไม่ได้หยุด ตลอดระยะทางอันยาวไกลนั้น แผ่นดินที่แห้งแล้ง ทุ่งนาที่กำลังขาดน้ำ ต้นข้าวที่กำลังจะตายก็กลับชุ่มชื่น ได้น้ำฝนมาต่อชีวิตให้เจริญงอกงามต่อไปได้ นี่คือการแสดงออกของฟ้าและดินให้พวกเราได้ประจักษ์ในพระบุญญาธิการของในหลวงและสมเด็จฯ

เมื่อในหลวงและสมเด็จฯ พร้อมด้วยพระเจ้าลูกเธอ ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงในพระเศียรพระพุทธมหามงคลบพิตร ที่ตำบลน้ำน้อย อำเภอหาดใหญ่ เสร็จแล้วและทรงเยี่ยมเยียนราษฎรที่มาเฝ้ารับเสด็จ จนสมควรแก่เวลาแล้ว ก็เสด็จพระราชดำเนินกลับ หลวงพ่อได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนหนึ่ง ในพระเศียรพระพุทธมหามงคลบพิตรด้วย และหลวงพ่อได้แบ่งพระบรมธาตุส่วนหนึ่งให้พวกเราที่เป็นลูกหลานหลวงพ่อได้มีโอกาสบรรจุด้วย

ข้าพเจ้าไม่ได้เข้าไปบรรจุด้วย เพราะยืนอยู่ห่าง นึกเสียดายที่ไม่มีโอกาส แต่ขณะนั้น มีพระบรมธาตุองค์หนึ่งหล่นจากที่เก็บ ตกลงมาบนพื้นวิหารกลิ้งหายไป หลวงพ่อสั่งว่า ใครหาพบให้คนนั้นเป็นผู้นำไปบรรจุในพระเศียร ลูกศิษย์คนอื่นๆ ช่วยกันหาพักใหญ่ไม่มีใครพบ ข้าพเจ้าจึงเข้าไปช่วยหาด้วย มองหาอย่างละเอียดก็ไม่พบ แต่ขณะนั้นเอง รู้สึกว่าเท้าข้าพเจ้าได้เหยียบเม็ดอะไรเล็กๆ จึงยกเท้าขึ้นมองดู

ปรากฏว่า ตนเองได้เหยียบเอาพระบรมธาตุเข้าไว้อย่างเต็มเปา รู้สึกทั้งดีใจและตกใจพร้อมกัน ดีใจที่เป็นผู้พบพระบรมธาตุโดยไม่ได้คิดฝัน ตกใจที่ทำบาปมากโดยไม่รู้ตัว จึงรีบขอขมาโทษต่อพระบรมธาตุองค์นั้น แล้วอาราธนานำขึ้นไปบรรจุลงในพระเศียรเป็นคนสุดท้าย พระบรมธาตุที่หลวงพ่อนำมาครั้งนี้มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ เป็นแก้วใสสีต่างๆ กัน มีหลายสีหลายขนาด จำนวนรวมกันประมาณ 1 กำมือ

เรื่องที่ 14 เทวดาเมืองนครศรีธรรมราช ยกรถไฟ
ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อได้พาคณะศิษย์จากรุงเทพฯ โดยทางรถไฟ ไปจังหวัดนครศรีธรรมราช ข้าพเจ้ามารับหลวงพ่อที่สถานีรถไฟทุ่งสง พอรถไฟแล่นออกจากทุ่งสงได้ระยะหนึ่ง ถึงเวลาเพล ข้าพเจ้านิมนต์หลวงพ่อ และหลวงอามหาอำพัน บุญหลง วัดเทพศิรินทร์ ไปนั่งที่รถเสบียง หลวงอานั่งตรงข้ามหลวงพ่อ ข้าพเจ้าสั่งอาหารมาแล้วนั่งบนพื้นรถไฟข้างๆ หลวงพ่อและหลวงอา ข้าพเจ้าได้ยินหลวงพ่อรำพึงว่า พระจะฉันข้าว เทวดาจะมาก็มา

ขณะนั้นรถไฟกำลังแล่นด้วยความเร็วขึ้นสะพานเล็กๆ สะพานหนึ่ง พอรถไฟลงจากสะพาน ปรากฏว่ารถโบกี้เสบียงคันนั้นลอยสูงขึ้นวูบหนึ่ง ข้าพเจ้าตกใจมาก เพราะถ้ารถลอยสูงขึ้นพ้นจากรางเช่นนั้น มักจะตกราง โอกาสที่ล้อรถไฟจะตกลงมาบนรางอย่างเดิมพอดีนั้น ยากมาก ทันใดนั้นโบกี้รถไฟคันตามหลังรถเสบียงก็ชนกระแทกโบกี้รถเสบียงเสียงดังสนั่น และโกบี้ถัดๆ ไปก็ชนกันเข้ามาตามลำดับ เสียงดังโครมๆ

ขณะนั้นเอง จานข้าวหลวงพ่อและหลวงอาพร้อมด้วยชามแกงต้มยำกุ้ง ก็ลอยสูงขึ้นไปในอากาศแล้วตกลงมาบนโต๊ะ จานและชามแตกเป็นสองเสี่ยง น้ำแกงไหลซู่ลงมาเลอะขาข้าพเจ้า และเปื้อนจีวรหลวงพ่อและหลวงอา ข้าพเจ้าควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดถวายหลวงพ่อ หลวงอาแล้ว

ได้ยินหลวงพ่อพูดว่า พวกรถเสบียงพูดไม่ดี มีคนในห้องครัวรถเสบียงคันนั้นพูดว่า นี่หรือชื่อหลวงพ่อฤาษี อยากจะดูว่าจะมีฤทธิ์สักแค่ไหน หลวงพ่อเล่าว่า เทวดาที่มาเคยเป็นเพื่อนเก่าของหลวงพ่อ เมื่อพวกห้องครัวรถเสบียงพูดไม่ดี ดังนั้น เทวดาท่านจึงแสดงฤทธิ์แทนหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่ได้ทำอะไร

เทวดาท่านยกรถไฟให้ลอยสูงขึ้นมาพ้นราง แล้วก็ปล่อยวางลงบนรางดังเดิม แต่ว่าจานข้าวและชามแกงรถเสบียงที่แตกเป็นสองเสี่ยงนั้น น่าคิดมาก จานชามกระเบื้องของรถไฟ ปกติหนามาก ไม่ต่ำกว่าครึ่ง ซม. การที่ลอยขึ้นแล้วตกลงมาตรงๆ แตกเป็นสองซีกเช่นนั้น แปลว่าต้องลอยขึ้นสูงไม่ต่ำกว่า 1 ฟุต และการที่จานและชามลอยขึ้นสูงขนาดนั้น รถไฟต้องลอยขึ้นสูงขนาดไหน แต่แล้วทำไมแก้วน้ำซึ่งบางและเปราะกว่าจานชามกระเบื้องมาก อีกทั้งยังวางซ้อนกัน 2 – 3 ชั้น อยู่ตรงอีกด้านหนึ่งของรถเสบียง ทำไมจึงปรากฏว่าไม่มีแก้วใบไหนแตกเลยสักใบ น่าแปลกใจมาก

สักครู่หนึ่งต่อมา พวกบ๋อยและกุ๊กรถเสบียงคลานกุบกับตามกันเป็นแถว ออกมาจากห้องครัว กราบหลวงพ่ออย่างนอบน้อม แล้วขอให้หลวงพ่อเจิมศีรษะให้ หลวงพ่อก็เมตตาเจิมให้ทุกคนโดยเคาะที่ศีรษะคนละที แล้วกุ๊กก็กราบเรียนว่า หลวงพ่อไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ประเดี๋ยวกระผมจะนำมาถวายใหม่อีกชุดหนึ่ง ข้าพเจ้าสงสัยว่าเทวดามีกายเป็นทิพย์ มือเทวดาก็โปร่งใสจนมองไม่เห็น แต่ทำไมจึงยกรถไฟที่เป็นเหล็กหนักหลายสิบตันได้ จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อ

หลวงพ่อหัวเราะแล้วอธิบายว่า หนักยิ่งกว่ารถไฟเขาก็ยกได้
เป็นอันว่า ข้าพเจ้าได้ประสบด้วยตนเองถึงอานุภาพของเทวดา 3 ครั้ง คือ
ครั้งที่หนึ่งเจ้าทะเลกระบี่ เนรมิตมังกรทองมารับหลวงพ่อที่ชายทะเลหาดนพรัตนธารา จังหวัดกระบี่
ครั้งที่สอง พระพรหมที่เฝ้ารักษาพระพุทธมหามงคลบพิตร เคลื่อนย้ายพระพุทธรูปทองคำใต้ดิน ที่ตำบลน้ำน้อย อำเภอหาดใหญ่
และครั้งที่สาม เทวดาเมืองนครศรีธรรมราชยกตัวโบกี้รถไฟ ซึ่งหนักหลายสิบตันลอยสูงพ้นราง

บทสรุป
พระสุปฏิปันโน ผู้รู้จริง เห็นจริง ท่านสอนแล้ว เราเข้าใจแจ่มแจ้ง เกิดความรู้สึกว่าจะปฏิบัติตามได้ เปรียบเสมือนพระท่านชูประทีปแก้ว ส่องให้เราเห็นทางเดินอันถูกต้อง หลีกพ้นจากป่าพงดงหนาม ข้ามห้วยหุบเหวนรก จนถึงที่หมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย เราจะไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่แล้วตาย ตายแล้วกลับมาเกิดอีก เวียนว่ายตายเกิดซ้ำซาก โดยไม่มีที่สิ้นสุดอีกต่อไป

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 15/2/11 at 14:29

34

ขอเทิดทูนความเมตตาปรานีของหลวงพ่อไว้เหนือเกล้า


พ.ต.สมัย ศรีหนองห้าง


... ก่อนอื่นใดทั้งหมดที่จะเริ่มเขียนเรื่องลูกศิษย์บันทึกนี้ ผู้เขียนขอน้อมเกล้าก้มกราบต่อพระรัตนครัย และขอเทิดทูนไว้เหนือหัวเหนือเกล้า ในความเมตตาปรานีของหลวงพ่อ ที่มีต่อลูกหลานโดยไม่ถือชั้นวรรณะ โดยเฉพาะผู้เขียนที่มีแต่ความเลวอยู่มาก หน้ามืดไปด้วยความโง่ และหากลูกจะพึงมีหรือกระทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือกระทำไปโดยไม่ตั้งใจลูกก็ขอขมา ได้โปรดงดบาปและโทษเหล่านั้นแก่ลูกด้วยเถิด

...ต่อไปนี้เริ่มเรื่องลูกศิษย์บันทึก คือผู้เขียนได้กราบหลวงพ่อครั้งแรก เมื่อประมาณปี พงศ.2517 หรือ 2518 หลังจากที่ได้อ่านประวัติหลวงพ่อปาน ซึ่งเขียนโดยหลวงพ่อ ต่อมา ผู้เขียนก็ฝันว่ามีพระองค์หนึ่งเป็นพระสงฆ์จูงแขนผู้เขียน ไปแนะนำให้รู้จักหลวงปู่ปานว่า นี่หลวงปู่ปานนะ นี้หลวงพ่อเนียมนะ นี้หลวงพ่อโหน่งนะ และอีก 1 องค์ ผู้เขียนจำไม่ได้ ในความฝันผู้เขียนไม่ทราบว่าเป็นใคร พระที่ไหนก็ไม่ทราบ

วันรุ่งขึ้นผู้เขียนก็ไปธุระที่บ้านเพื่อน เด็กที่พักอาศัยอยู่กับบ้านเพื่อนคนนั้น ก็ได้ให้เหรียญรูปหลวงพ่อเนียมแก่ผู้เขียน และในอาทิตย์เดียวกันนั้น ผู้เขียนก็ได้มีโอกาสเป็นมหากุศล ได้ร่วมถวายปัจจัยกับผู้ติดตามหลวงพ่อ ไปทำบุญต้อนรับพระออกจากนิโรธสมาบัติ ซึ่งผู้ที่ผู้เขียนฝากปัจจัยร่วมทำบุญกับหลวงพ่อก็คือ คุณบุษพร คืนคงดี แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยเพียง 20 บาท แต่ผู้เขียนก็มีความสุขใจอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากนั้น ผู้เขียนก็ได้มีโอกาสไปกราบ และฟังการสั่งสอนของหลวงพ่อเป็นประจำเกือบทุกเดือนที่เวลาจะอำนวยให้ ขณะนั้นยังดื่มเหล้าสูบบุหรี่อยู่ แต่ไม่มาก แค่ดื่มตั้งแต่หกโมงเย็นถึง 6 โมงเย็นวันรุ่งขึ้นเป็นบางครั้ง หลังจากรับศีลห้าจากหลวงพ่อแล้ว เข้าสังคมก็ยังดื่มอยู่ พอรับการฝึกมโนมยิทธิ อาจารย์พรนุช คืนคงดี ก็ถามว่าเห็นอะไรไหม ผู้เขียนก็ตอบว่าไม่เห็นอะไร

อาจารย์ก็บอกว่า ให้ถอยสมาธิมาอยู่ที่อุปจารสมาธิ ทำใจสบายๆ อย่านึกอยากเห็นอะไร ให้ตอบตามความรู้สึก ภาพที่ปรากฏในใจที่ยืนประทับอยู่ข้างหน้าเป็นใคร ผู้เขียนก็ตอบอีกว่า เห็นแต่แสงสว่างขาวๆ แต่ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อาจารย์ก็ย้ำให้ตัดความกังวลอื่นให้หมดอีก แต่ก็ไม่เห็นอะไร ผลสุดท้ายอาจารย์คงจะเบื่อ หรืออ่อนใจในความโง่เง่าเต่าตุ่นของศิษย์ เลยพูดตัดบทออกมาว่า ขอให้งดดื่มเหล้าได้ไหม ผู้เขียนก็ตอบว่าได้

แล้วการฝึกมโนมยิทธิในวันนั้นก็ยุติลง แต่ไม่รู้ว่ากรรมเวรของผู้เขียนแต่ชาติปางไหน พอกลับมาบ้านก็ยังดื่มอยู่ พอเดือนต่อมา หลวงพ่อมาซอยสายลม ไปกราบหลวงพ่อ คนอื่นเขาได้ยินท่านสอนธรรมะอื่น แต่ผู้เขียนได้ยินการปฏิบัติศีลข้อ 5 สุราเมรัย แม้ผู้เขียนจะไปบ้านสายลมดึก คือให้เลยเวลาที่หลวงพ่อเทศน์สั่งสอนไปแล้ว แต่พอไปถึงกราบเสร็จนั่งฟัง หลวงพ่อก็ยังสอนให้ผู้เขียนได้ยินศีลข้อ 5 อยู่ อย่างเดิมทั้ง 3 วัน

ไปพูดกับคนอื่นเขาๆ ก็อธิบายที่หลวงพ่อสอนในข้อธรรมะอื่น แต่ผู้เขียนก็ได้ยินแต่ศีลข้อ 5 พอกลับมาบ้าน หลวงพ่อกลับวัดแล้ว ก็มีงานกินเลี้ยงสังสรรค์แข่งกีฬา ซึ่งผู้เขียนก็ได้มีโอกาสแสดงความดีชนิดเลวอีก คือดื่มเหล้าทุกชนิด คืนวันนั้นผู้เขียนคิดว่าตาย รุ่งเช้าความรู้สึกยังสับสน ได้กลิ่นเหล้าเหม็น ขอโทษเหมือนอุจจาระ เป็นความรู้สึกขณะนั้นจริงๆ ไม่ได้ดัดจริต

ทั้งที่ผู้เขียนไม่มีจิตใจจะว่าใคร ท่านที่ดื่มมีความดีกว่าผู้เขียนที่เลิกดื่มเยอะ คือตามธรรมดาแล้ว ต้องดื่มถอน จึงจะหายเมาที่ผู้เขียนเคยปฏิบัติมา แต่วันนั้นทำไม่ได้ไม่รู้เป็นอะไร ก็เลยตัดสินใจเลิกดื่มตั้งแต่คราวนั้น เลยคิดว่าไหนๆ ก็เลิกดื่มแล้วก็เลิกสูบบุหรี่เสียเลยด้วย เดือนต่อมาหลวงพ่อมาบ้านซอยสายลม ไปกราบท่านและได้ฟังคำสั่งสอนจากท่าน จึงไม่ได้ยินศีลข้อ 5 ข้อเดียวอย่างเคย

แล้วได้ยินธรรมะข้ออื่นๆ เหมือนคนอื่นกับเขาบ้าง มันเหมือนกับว่ายกความกังวลใจในเรื่องดื่มเรื่องสูบออกจากอก โล่งไปที ไปกราบหลวงพ่อก็มีความสุขใจสบายใจ ท่านสั่งสอนอะไร ก็รู้สึกมีความเข้าใจ สามารถนำเอามาปฏิบัติได้บ้างพอสมควร เวลานี้ผู้เขียนมีความสงสัยไม่เข้าใจธรรมะข้อใด อยากจะเข้าไปกราบนมัสการถามท่าน ก็ไม่ต้องเข้าไป คือบางครั้งนึกไม่เข้าใจ ท่านจะอธิบายโดยละเอียด ทางไมโครโฟนเลย

เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ผู้เขียนประสบมาหลายคราว บางครั้งก็หากินทางฝันคือ ไปที่บ้านท่านจะเอาไม้ตะพดโขกหัวแล้วก็สอนให้กำลังใจ ขับรถแทรกเตอร์ให้ผู้เขียนนั่ง ลากผุ้เขียนที่แสนแลวและโง่ขึ้นไปบนยอดเขาสูงมาก บนยอดเขาก็มีวิหารและครูฝึกมโนมยิทธิเต็มไปหมด จำไม่ได้ว่ามีท่านใดบ้าง แม้ขณะนี้ ผู้เขียนก็ยังไม่มีดีอะไรจะอวดใครได้ กลัวบาปจะกินหัว การทะนงตนถือตัวเปรียบเทียบตีตนเสมอคนอื่น ดีกว่าคนอื่น เลวกว่าคนอื่น เป็นเรื่องที่ผู้เขียนไม่ขอปฏิบัติเป็นอันขาด

เพราะหลวงพ่อท่านได้สั่งสอนไว้ ปัจจุบันผู้เขียนคิดเสมอว่า เรายังมีสังขารร่างกายที่ต้องตายอยู่ เราก็ยังไม่ดีพอ ทำอย่างไร จึงจะไม่เป็นการเนรคุณหลวงพ่อ ท่านผู้มีพระคุณล้นพ้นหาที่เปรียบไม่ได้ ที่ท่านได้เมตตาปรานีแก่พวกเรา โดยเฉพาะผู้เขียนได้มอบกายถวายชีวิต ต่อพระรัตนตรัย ตั้งใจทำแต่กรรมดี ในฝ่ายสัมมาทิฐิฝ่ายเดียวเพื่อผลในอนาคตข้างหน้า

ผลจากการปฏิบัติจะได้ถึงขั้นไหนอย่างไร ผู้เขียนไม่เคยที่จะคิดมีชีวิตอยู่ ชาตินี้ทิ้งทุกข์รับสุขบ้างพอสมควร ก็สบายใจสุขโขแล้ว แต่ขอท่านผู้อ่านอย่าคิดว่า ผู้เขียนเป็นคนดีแล้ว อย่าพึงคิด ยังหนาไปด้วยกิเลส พร้อมความเลวก็คงยังมีอยู่ เดี๋ยวนี้ความรู้สึกจริงๆ เวลาหลวงพ่อท่านด่าว่ากล่าวตักเตือน รู้สึกมีความสุขใจว่า เอ ท่านกรุณา เมตตาขุดรากถอนโคนความเลว ให้รู้สึกสำนึกตัวแล้ว

ทั้งนี้เพราะที่เราทำไป เรานึกว่าถูกทางโลก แต่มันผิดทางธรรม เรามีความรู้สึกลิงโลดต่อการกระทำในทางมิจฉาทิฐิ คือเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ถ้าไม่โดนด่าเราก็ไม่รู้ว่าผิด และในการเขียนลูกศิษย์บันทึกนี้ หากจะเป็นการล่วงละเมิดในสิ่งที่ไม่บังควรทั้งกาย วาจา และใจก็ดี ผู้เขียนก็ขอขมาอภัยต่อสิ่งเหล่านั้นทุกสิ่งด้วย

แต่หากจะมีความดีอยู่บ้างแม้เพียงน้อย ก็ขอน้อมเกล้ากราบเป็นความดีบารมี ขอพระรัตนตรัย ดลบันดาลให้โรคภัยไข้เจ็บหายไปจากสังขารของหลวงพ่อโดยพลัน และจงมีความสุขกายสุขใจ แด่ผู้มีพระคุณที่กรุณาชักนำให้ผู้เขียนได้มากราบเท้าหลวงพ่อ

และที่เขียนมานี้ ผู้เขียนเล่าเรื่องผู้เขียนที่ประสบมา ขอตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ขอได้มีโอกาสทำแต่กรรมดี อย่าได้มีโอกาสแม้แต่คิดในทางที่ไม่ดีเลย ตั้งแต่บัดนี้จนกว่าจะเข้าพระนิพพาน ด้วยความสำนึก ในมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ลูกขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อ ขอนมัสการไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม

◄ll กลับสู่สารบัญ


35

อานุภาพน้ำมันชาตรี


ยุพา แซ่เล้า


...ประมาณปี พ.ศ.2518 น้าบัวไข่ เรืองศรี ได้พาข้าพเจ้ามากราบหลวงพ่อโดยนำผ้าป่ามา ข้าพเจ้าจึงเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อตั้งแต่นั้นมา และปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนของหลวงพ่อกระทั่งปัจจุบันนี้

...เมื่อปีที่แล้ว ที่หลวงพ่อได้เมตตาปลุกเสกน้ำมันชาตรี (เป็นลูกเบาและป้องกันอันตราย อยู่ยงคงกระพันชาตรี และรักษาโรคต่างๆ ตามแต่จะอธิษฐาน) ข้าพเจ้าก็ใช้น้ำมันชาตรีลูบหัวเป็นประจำ พอตื่นเข้าสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้ว ก็จะนำน้ำมันชาตรีมาลูบศีรษะเป็นประจำทุกเช้า

...ครั้นมาวันที่ 15 มกราคม 2535 เวลาประมาณบ่ายโมงกว่า ก็ขับรถมอเตอร์ไซค์เพื่อจะไปซื้อของ ตอนที่รถของข้าพเจ้ามาถึงตรงสี่แยก ก็จอดรอ เตรียมที่จะข้ามถนน พอดีมีรถกระบะมาจอดรอ จะข้ามสี่แยก อยู่ข้างๆ รถมอเตอร์ไซค์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นว่า ทางด้านขวามือของข้าพเจ้ามีรถเมล์จอดอยู่ ข้าพเจ้าเลยยังไม่ยอมขับมอเตอร์ไซค์ข้ามไป ยังคงชะลออยู่ในลักษณะนั้นก่อน แล้วหันไปดูว่าด้านซ้ายมีรถไหม? จึงจะข้าม

พอหันกลับมาอีกที รถกระบะที่อยู่ข้างๆ รถมอเตอร์ไซค์ที่ข้าพเจ้าขับอยู่ ก็โผล่ออกไปก่อน ขณะนั้นก็มีรถพ่วง 2 ตอนใหญ่มาก ชนรถกระบะกระเด็นแล้วปัดหัวพุ่งมาหารถมอเตอร์ไซค์ข้าพเจ้า ประจวบกับเวลานั้น เหมือนกับมีพระมาดลใจ ให้ข้าพเจ้ายกขาขึ้น เวลานั้นก็พอดีกับเขาชนรถข้าพเจ้า แล้วลากรถข้าพเจ้าไปด้วย แต่ตัวข้าพเจ้าไม่เป็นอะไรเลย รถพังไม่มีชิ้นดี หากข้าพเจ้าไม่ยกขาขึ้น ขาข้าพเจ้าคงขาดไปแน่ๆ เพราะชนตรงที่ข้าพเจ้ายกขาขึ้น

เมื่อลากเอารถข้าพเจ้าติดไปด้วยเช่นนั้น ตัวข้าพเจ้าก็ลอยกระเด็น ไปตกที่คูข้างทางไกลประมาณ 3 – 4 เมตร ตัวรถไปค้างอยู่ที่ต้นไม้ต้นเล็กนิดเดียว รถก็หนักด้วย ถ้าไม่ค้างที่ต้นไม้ ข้าพเจ้าคงไม่มีชีวิตรอดกลับมาแน่ เพราะข้าพเจ้าคงต้องถูกเหวี่ยงลงไปในคู ซึ่งคงจะไม่รอดแน่นอน

เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นเพราะด้วยอานุภาพของน้ำมันชาตรีที่ข้าพเจ้าเอามาทา และลูบหัวทุกวัน หลังจากไหว้พระสวดมนต์ตอนเช้า และก็ป้องกันอันตรายได้จริงๆ นอกจากนี้ ข้าพเจ้าก็คล้องพระคำข้าว พระหางหมากที่หลวงพ่อปลุกเสกไว้ให้บูชากันด้วย

ในวันเกิดเหตุ มีคนแห่กันมาดูมากมาย เขาต่างพูดกันว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก คนดูกันแล้ว แทบไม่เชื่อว่าข้าพเจ้าจะรอดชีวิตมาได้ ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้ามีความมั่นใจในบารมีของพระพุทธเจ้า และหลวงพ่อ ช่วยคุ้มครองให้มีชีวิตรอดปลอดภัยมาได้ ข้าพเจ้าขอเทิดทูน บูชาพระคุณของหลวงพ่อตลอดไป จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 26/2/11 at 15:36

36

พระคุณของหลวงพ่อ


พันโท นายแพทย์นพพร กลั่นสุภา


...ประมาณปี พ.ศ.2519 ระหว่างทางกรุงเทพฯ – นครสวรรค์ ข้าพเจ้าประสบอุบัติเหตุรถแฉลบลงข้างทาง ประมาณ กม. ที่ 11 ก่อนถึงนครสวรรค์ ได้มีโอกาสมากราบนมัสการหลวงพ่อ ขณะนั้นท่านยังพักอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ได้พบหลวงพ่อหน้าศาลาริมน้ำ ท่านเมตตาบอกว่ามีเคราะห์และจะอาบน้ำมนต์ให้

...ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ข้าพเจ้ามาคิดว่า ทำไมท่านจึงทราบอดีตของเราได้ ข้าพเจ้าจึงเริ่มศึกษาโดยเอา คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานและธรรมปกิณกะ เล่ม 1 เป็นพื้นฐาน หลังจากที่ปฏิบัติไปได้ไม่นานนัก ทำให้ได้ทราบสิ่งที่ยังไม่ทราบอีกมากมาย

...ในระหว่างปี พ.ศ.2519 – 2529 ก็ได้มาทำบุญที่วัดท่าซุงบ้าง เช่นงานเป่ายันต์เกราะเพชร แต่ไม่ได้เข้ามาเต็มตัว ขณะนั้นก็ยังแสวงหาอาจารย์ต่างๆ ในเขตพระศาสนา ซึ่งทำให้รู้และเข้าใจสิ่งต่างๆ

ปี พ.ศ.2530 ได้นำผู้ใต้บังคับบัญชาไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ที่ศาลารับแขกหน้าพระอุโบสถ ท่านเมตตาให้โอวาทในการรักษาศีลข้อ 5 ให้บริสุทธิ์ ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา ข้าพเจ้าเลิกสุราโดยเด็ดขาดจนถึงบัดนี้

ปี พ.ศ.2531 ได้มีโอกาสกราบถวายการรักษาท่าน จึงได้ทราบว่า เป็นโอกาสดีที่สุดที่ได้มาชมปฏิปทาของหลวงพ่อ อย่างใกล้ชิด และได้ทำบุญในเขตพระศาสนา จากความเห็นของข้าพเจ้าคิดว่า ไม่มีพระสงฆ์องค์ใดในพระพุทธศาสนาขณะนี้ ที่จะอุทิศตนให้กับพระศาสนาเช่นท่านอีกแล้ว

นอกจากนี้ ท่านยังสามารถยืนยันว่า ในพระไตรปิฎกนั้นเป็นเนื้อหาที่จริง มิใช่อุปมาอุปมัย และยังสามารถสอนให้บุคคลอื่น ที่มีวาสนาบารมีได้ทราบ ได้รู้ ได้เห็นตามท่านอีกด้วย

ปี พ.ศ.2532 วันที่ 19 พฤษภาคม ตรงกับวันวิสาขบูชา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสทำบุญที่วัดท่าซุง ในงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ข้าพเจ้าและครอบครัว ได้กราบถวายพระทุ่งเศรษฐีเลี่ยมทองคำ และทองคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมกับถวายสังฆทานด้วย หลวงพ่อท่านเมตตาให้พรว่า “ขอให้หมอสอบ เสธ. ให้ได้นะ”

ท่านพูดอยู่ 2 ครั้ง ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่า พรุ่งนี้และมะรืนนี้จะเป็นวันสอบเข้าโรงเรียนเสธ. ของข้าพเจ้าจะผ่านไปได้โดยสะดวก และก็เป็นดังเช่นพรของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำที่ 68 ทำให้วิถีชีวิตของข้าพเจ้าและครอบครัวเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ขณะนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ที่ 9 กรมสนับสนุนกองพลทหารราบที่ 9

ข้าพเจ้าและครอบครัว ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ ที่เมตตากรุณาให้โอกาสต่างๆ แก่ข้าพเจ้าและครอบครัว สิ่งใดที่เป็นความประสงค์ของหลวงพ่อ และข้าพเจ้าทำได้แล้ว ข้าพเจ้าและครอบครัวขอปวารณาไว้ตลอดจนชีวิตจะหาไม่

ประวัติยารักษาโรคเอดส์ (AIDS)

ยารักษาโรคเอดส์ เกิดขึ้นเมื่อคืนของวันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน 2532 เวลาประมาณ 02.00 – 03.00 น. ขณะอยู่ในรถยนต์โตโยต้าคันใหม่ของอาจารย์รังสรรค์ ระหว่างทางจากวัดโพธิ์เมืองปัก อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา มาวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

ข้าพเจ้าได้โดยสารมากับหลวงพี่อาจินต์ ธัมมจิตโต เพิ่งกลับมาจากงานฉลองพระประธาน หน้าตักกว่าง 9 ศอก ที่วัดโพธิ์เมืองปัก หลวงพี่ท่านปรารภว่าหลวงพ่อท่านบอกว่า สามารถใช้ยาเย็นรักษาโรคเอดส์ได้

ข้าพเจ้าได้เริ่มต้นค้นคว้าตัวยา ขณะที่เข้าเรียนหลักสูตรเสนาธิการทหารบกหลักสูตรประจำที่ 68 ระหว่าง 1 ตุลาคม 2532 – ตุลาคม 2533 โดยอาศัยหลักฐานจากสถาบันต่างๆ ทั้งข้อมูลในประเทศและต่างประเทศ

เดิมที ข้าพเจ้าพบสารที่ระเหยได้ซึ่งมีอยู่ในยาเย็นประมาณ 2,000 ตัว รู้สึกว่ามากจนคิดไม่ออกว่าจะเป็นตัวไหน จึงได้มาเรียนปรึกษาหลวงพี่อาจินต์ ท่านแนะนำให้จัดเป็นหมวดหมู่ จึงได้นำสารเหล่านั้นมาจัดเป็นกลุ่มๆ ลงในกระดาษห่อฟิล์มเอกซเรย์ที่เอามาต่อยาวเป็นเมตร

เมื่อจัดกลุ่มได้ประมาณ 50 กลุ่ม ได้กราบอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เลือกออกมา 1 กลุ่ม เมื่อได้แล้วจึงหาคุณสมบัติของสารเหล่านั้น จนในที่สุดก็มาลงเอยที่สารกลุ่มที่ข้าพเจ้าเลือกเอาไว้ จึงมั่นใจว่ายานี้ต้องเป็นยาของพระแน่นอน

วันที่พบตัวยานี้ เป็นช่วงที่ภรรยาของข้าพเจ้า คือ ท.ญ.เตือนใจ กลั่นสุภา นำหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 104 เดือนตุลาคม 2532 มาให้ข้าพเจ้าอ่านเกี่ยวกับการรักษาโรคเอดส์ อ่านแล้วจึงได้บอกกับคุณหมอเตือนใจว่า “ถ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก่อนหน้านี้ ก็คงไม่ต้องค้นคว้ามากถึงเพียงนี้” คุณหมอเตือนใจบอกกับข้าพเจ้าว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้สร้างขันติบารมี และวิริยะบารมีซิคะ” ข้าพเจ้าก็ยอมรับ

วันที่ข้าพเจ้าพบ หนังสือธัมมวิโมกข์เล่มนั้น เพื่อเป็นการยืนยันในการพบตัวยาครั้งนี้ หลวงพ่อของเราท่านมีแผลที่ลิ้น ท่านบอกว่าทานอะไรไม่ได้ 3 วัน จึงกล่าวได้ว่ายาตัวนี้กว่าจะออกมาได้ นับเป็นพระเมตตาอย่างยิ่งของหลวงพ่อที่มีต่อสัตว์โลกทั้งหลาย

หลังจากนั้น ได้ไปกราบเรียนหลวงพี่อาจินต์เรื่องการค้นคว้าเกี่ยวกับยาตัวนี้ จากการรายงานของต่างประเทศ พบว่ามีการใช้สารนี้อยู่แล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2473 – 2504 ในการทดลองทั้งคนและสัตว์ มีการใช้สารนี้ทั้งกิน ฉีดเข้ากล้าม ฉีดเข้าเส้น ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง

รวมทั้งปริมาณสารที่บอกไว้ด้วยและปริมาณที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ ทั้งผลข้างเคียงต่างๆ เกือบทุกระบบของร่างกาย เพราะมีรายงานของนักวิทยาศาสตร์และนักการแพทย์หลายๆ ท่าน ที่ถูกบันทึกรวบรวมไว้อย่างมีระเบียบแบบแผน จึงทำให้การคัดเลือกสารเหล่านี้ สะดวกยิ่งขึ้น และสามารถใช้กับผู้ป่วยโรคเอดส์ได้

ข้าพเจ้าเริ่มรักษาคนไข้ครั้งแรก เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2533 หลังจากที่กลับมาจากดูงานต่างประเทศ รายที่สองเมื่อปลายปี พ.ศ.2533 ซึ่งได้ผลเป็นที่พอใจ กลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 ข้าพเจ้าได้พบคุณป้านิภา คงสุข ที่สวนมะม่วงญาติคุณประดิษฐ์ ได้เรียนถามท่านเรื่องการรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์

จากนั้นได้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับที่ 154 เดือนกรกฎาคม 2534 มีผู้กราบเรียนถามหลวงพ่อ ที่ซอยสายลมว่า ขณะนี้มียารักษาโรคเอดส์ได้หรือไม่
หลวงพ่อท่านตอบว่า พระท่านว่า “มีแล้ว และหมอนพพรเป็นผู้พบ” ข้าพเจ้าจึงมั่นใจอีกครั้งว่าการรักษาต้องได้ผล

รายที่ 3 – 4 ได้เริ่มรักษาเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2534 โดยทำเป็นแบบแผนทางวิทยาศาสตร์ ทำการรักษาและบันทึกข้อมูลต่างๆ ตามกฎเกณฑ์ทางการแพทย์ มีการติดตาม และประเมินผลการรักษาทุกเดือน ซึ่งผลขั้นต้นเป็นที่น่าพอใจ และขณะนี้ก็ได้ติดตามผลอยู่

ตัวยาที่ค้นพบนี้ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านประทานยานี้ให้แก่มนุษยชาติ เพื่อดับความทุกข์ร้อนที่มนุษย์ก่อขึ้นเอง ท่านได้ประทานคำแนะนำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประมาณการใช้ยาแต่ละครั้ง การรักษาอาการข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยา ระยะเวลาการรักษา รวมทั้งการพยากรณ์โรค

เช่น เมื่อฉีดเข็มที่เท่าไรจึงจะหายขาด เมื่อเลือดขาวที่เรียกว่า ซีดีโฟร์ (CD4) จะเพิ่มขึ้นเมื่อไรและปริมาณเท่าใด และเมื่อใดผลบวกของเลือดจะกลับมาปกติเหมือนคนทั่วไป รวมทั้งกำหนดเวลาและประเทศที่ควรจะไปจดลิขสิทธิ์บัตรยา ทำให้การรักษาสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งต้องผ่านคุณป้านิภา คงสุข ขณะที่ท่านมาจำพรรษาที่วัดท่ามะขาม จ.กาญจนบุรี

ขณะที่ทำการรักษาคนไข้มีอะไรก็ต้องไปปรึกษาท่าน และท่านก็เมตตาอนุเคราะห์ทุกครั้งที่ไปรบกวนท่าน จึงขอกราบขอบพระคุณทุกๆ พระองค์ ทุกๆ ท่านที่โปรดอนุเคราะห์ ให้ยานี้ออกมาเป็นประจักษ์แก่ชาวโลกว่า วิชามโนมยิทธิของหลวงพ่อมีจริงและใช้ได้จริง

5 กันยายน พ.ศ.2534 เวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ ที่วัดท่ามะขาม จ.กาญจนบุรี ขณะที่ข้าพเจ้า คุณป้านิภา คุณหมอเตือนใจ และญาติโยมพุทธบริษัท เจริญกรรมฐานอยู่ ข้าพเจ้าเห็นแสงแว้บๆ ในสมาธิ มาหยุดข้างหน้าข้าพเจ้า แต่มิได้ลืมตาดู

หลังจากหมดเวลาเจริญพระกรรมฐาน ข้าพเจ้าได้พบสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น พระบรมสารีริกธาตุสีแดงทับทิมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 มิลลิเมตร 6 องค์ เสด็จมาอยู่บนพานที่ข้าพเจ้าปูผ้าลูกไม้ขาวเอาไว้ เพื่อกราบอาราธนาท่าน ท่านเสด็จมาอยู่บนชั้นของผ้าลูกไม้ที่วางซ้อนกันอยู่หลายชั้น ชั้นละองค์สององค์ เพื่อเป็นการยืนยันว่า “ท่านเสด็จเอง”

ข้าพเจ้าจึงมั่นใจว่าการรักษาโรคเอดส์ต้องได้ผลสำเร็จแน่นอน เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่ข้าพเจ้าเริ่มการรักษาคนไข้รายที่ 3 และ 4 พระท่านจึงเมตตาประทานพระบรมสารีริกธาตุ สมดังคำอธิษฐาน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเริ่มเจริญพระกรรมฐาน

วันที่คนไข้หายจากโรคเอดส์ ข้าพเจ้าได้กราบพระพุทธองค์ ท่านตรัสว่า “ยินดีด้วยที่คนไข้หายแล้ว” ข้าพเจ้ากราบถวายกุศลแทบเบื้องบาทพระพุทธองค์ เป็นกตัญญูกตเวทิตา ที่ท่านได้เมตตาอนุเคราะห์ให้ข้าพเจ้าได้รักษาผู้ป่วยเหล่านี้ จากนั้นข้าพเจ้าได้เรียนถามคุณป้านิภาอีก ท่านก็บอกเช่นเดียวกัน

ต่อมาได้มีโอกาสเรียนถามเรื่องนี้กับหลวงพ่อ ท่านก็หัวเราะ ท่านบอกว่า “ไปถามซ้ำอีกทำไม” และท่านก็ยินดีที่ยานี้ออกมา ท่านกล่าวแสดงความยินดีถึง 2 ครั้ง 2 วาระ ข้าพเจ้าและคุณหมอเตือนใจได้กราบเรียนหลวงพ่อว่า จะใช้ชื่อยานี้ว่า “ยาพระเมตตา” เพราะยานี้ได้มาจากพระพุทธองค์

ข้าพเจ้าคิดว่า ทำไมขณะนี้จึงยังไม่มีผู้ที่รักษาได้ เพราะต้องใช้ปริมาณยาค่อนข้างสูง และมีอาการข้างเคียงมาก ระยะเวลาการรักษา ต้องใช้ถึงเดือนครึ่งถึงสองเดือนติดต่อกัน แล้วแต่ระยะของคนไข้ที่เป็นโรคนี้ หากมิใช่พระกรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งพระเมตตาของหลวงพ่อของเรา รวมถึงบารมีของเทพพรหมทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ทั้งที่ได้กล่าวนามและมิได้กล่าวนาม เชื่อได้เลยว่าจะยังไม่มียานี้ออกมาในโลกเร็วถึงป่านนี้

ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอกราบถวายกุศลทั้งปวง ที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว แทบเบื้องบาทของหลวงพ่อ และเจ้ากรรมนายเวรของหลวงพ่อ ขอได้โปรดอโหสิกรรมให้หลวงพ่อนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อที่หลวงพ่อจะได้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง มีร่างกายแข็งแรง พลานามัยสมบูรณ์ เป็นหลักชัยของพระพุทธศาสนาต่อไปด้วยเทอญ

◄ll กลับสู่สารบัญ


37

พระคุณของหลวงพ่อ


พันตรี ทันตแพทย์หญิงเตือนใจ กลั่นสุภา


...ประมาณเมษายน 2531 สามีของข้าพเจ้า (พ.ต. นพ.นพพร กลั่นสุภา ยศขณะนั้น) ไปปฏิบัติธรรม ณ สำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์ ข้าพเจ้าต้องอยู่คนเดียว อาการปวดท้องอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเกิดกับข้าพเจ้า ปวดบิดซะจนลุกไม่ไหว

...ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ไม่เคยมีอาการเตือนมาก่อนเลย ข้าพเจ้าคิดถึงสามีซึ่งเป็นแพทย์ ถ้าเธออยู่คงไม่ต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้ แต่ถึงอย่างไร ข้าพเจ้าคงไม่บอกสามีว่าป่วย เพราะไม่อยากให้มีอะไรขุ่นข้องหมองใจ ในขณะปฏิบัติธรรม

...ข้าพเจ้าปรึกษาอาการป่วยกับน้องหมอคนหนึ่งในโรงพยาบาลเดียวกัน คุณหมอบอกว่า อาการคล้าย โรคกระเพาะอักเสบ ให้ลองรับประทานยา Zactac ดู เมื่อรับประทานยาตัวนี้ อาการปวดท้องหายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งๆ ที่ปวดจะเป็นจะตายจนลุกไม่ขึ้น

หลังจากนั้นไม่นาน ได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ท่านเปรยขึ้นมาว่า ท่านมีโรคประจำองค์ท่านคือปวดท้อง จึงกราบเรียนถึงอาการของตนเอง และยาที่รับประทานแล้วหายปวดท้อง ท่านจึงบอกว่ายาตัวนั้นแหละ ที่ท่านต้องใช้ในการรักษาแล้วท่านยังเมตตาบอกต่อว่า “หมอไม่ได้เป็นโรคหรอก แต่ท่านแสดงอาการให้รู้ เพื่อที่จะได้จัดยาถูก”

จึงกราบเรียนท่านว่า จะนำยามากราบถวายอีกครั้งหนึ่ง จิตในตอนนั้นสงสารท่านที่สุด ทำไมท่านต้องทรมานมากขนาดนั้น ถ้าจะเจ็บมากว่านี้ เพื่อให้ได้ยามากราบถวายหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็จะยอม

คราหนึ่ง จิตวันนั้นเหงาๆ พิกล ปนน้อยใจนิดๆ เมื่อเข้าไปกราบหลวงพ่อที่ศาลารับแขกหลังใหม่ กราบถวายสังฆทานเสร็จก็นั่งเงียบๆ พร้อมกับกำหนดจิตถึงองค์พระ เพราะไม่ทราบจะกราบเรียนถามอะไร
...ฉับพลัน จิตก็พลันสว่างจ้า ด้วยความไม่เชื่อสายตาตนเอง เพราะขณะที่มองไปทางองค์หลวงพ่อ เห็นรัศมีพุ่งออกมารอบกายท่านคล้ายฉัพพรรณรังสี งามสุดที่จะบรรยาย

ด้วยความไม่เชื่อสายตาตนเอง ก็หลับตาแล้วลืมตาอีกครั้ง ดูซิว่าจะยังเห็นอีกหรือเปล่า รัศมีรอบองค์หลวงพ่อ ก็ยังงามเหมือนเดิม
จิตขณะนั้นสงสัยเป็นกำลัง หลวงพ่อท่านเลยหันมาแก้ข้อสงสัย โดยกล่าวว่า “เก่ง” พร้อมกับเมตตาประทานหมากมาให้ ...กราบขอบพระคุณในพระเมตตาของหลวงพ่อ ที่เมตตาแสดงปรากฏการณ์ให้ลูกสาวที่ขี้สงสัยเห็นเจ้าค่ะ...

มีคราวหนึ่ง หลวงพ่อท่านปวดฟังมาก ต้องทนทุกข์ทรมานกับการปวดหลายครั้งหลายครา รักษาอย่างไรก็ยังไม่หายสักที (ถ้าเป็นฟันคนอื่น หายปวดไปตั้งนานแล้ว) แต่ของหลวงพ่อต้องพิเศษสุด รักษาทางวิชาการสายทันตแพทย์เท่าไรก็ไม่หาย

เป็นไงเป็นกัน ขอตั้งจิตอธิษฐาน อาราธนาบารมีคุณพระศรีรัตนตรัย เทพพรหม ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ ท่านลุง หลวงปู่ชีวกโกมารภัจ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอให้ฟันหลวงพ่อหายปวดเถิด ลูกขอยอมรับทุกอย่าง ให้มาเกิดกับลูกเอง... เท่านั้นแหละ ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สงสารหลวงพ่อจับใจ...

เมื่อกราบถวายการรักษาฟันหลวงพ่อแล้ว อธิษฐานจิตแล้วก็เดินทางกลับ อาจารย์บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์ ช่วยขับรถให้ (พี่โอ๋ช่วยขับรถรับส่งแทบทุกครั้งที่มากราบถวายการรักษาหลวงพ่อ) ระหว่างทางจากวัดกลับนครสวรรค์ ทันใดนั้นเอง มือและเท้าของข้าพเจ้าค่อยๆ ชา ชาจากปลายนิ้วขึ้นมาเรื่อยๆ ชาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

ด้วยอาการตกใจ จึงร้องบอกพี่โอ๋ว่า “กระดิกไม่ได้แล้ว”พี่ก็สั่งให้ลองขยับ น้องก็ลองขยับ โอย! ขยับไม่ได้หงิกงออยู่ตรงเบาะรถ ชุลมุนชุลเกอยู่ในรถ อีกตั้งสิบกิโลเมตร กว่าจะถึงโรงพยาบาล ทำอย่างไรดี พี่โอ๋ได้สติเตือนให้นึกถึงองค์พระ พุ่งใจไปพระนิพพาน

โอ! ได้เรื่อง เป็นไงเป็นกัน ตายเป็นตาย กราบอาราธนาบารมีองค์สมเด็จ พุ่งใจไปพระนิพพาน กายเป็นอย่างไร ไม่สนใจแล้ว จิตสว่างว้าบ...กายก็หงิกอย่างนั้น ไม่สนซะอย่าง ...พอถึงโรงพยาบาล ทหารรีบเอารถเข็นมารับ พร้อมกับถามว่า “หมอเป็นอะไรครับ” ไม่รู้จะบอกอย่างไร ... รีบเข็นไปห้องฉุกเฉิน น้องหมอมาดูอาการไม่รู้ว่าเป็นอะไร พี่โอ๋บอกว่า “อาจแพ้ผงชูรส”

น้องก็เลยฉีดกลูโคสให้ก่อนแล้วเจาะเลือดดูอีกที บีบนวดประคบน้ำอุ่น รักษาตามอาการที่แสดง ซักพักอาการก็ดีขึ้น จึงได้นอนพัก พักใหญ่.. ผลทดสอบของเลือดออกมา ทุกอย่างปกติ ไม่พบสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ ภายหลัง เมื่อพบแม่ค้าที่ผัดข้าวให้ทาน ถามว่าใส่ผงชูรสมากไหม ปรากฏว่าไม่ได้ใส่ผงชูรสเลย แล้วอะไรกันล่ะที่เกิดขึ้น เพราะปกติเป็นคนแข็งแรงไม่ค่อยเจ็บป่วย ...

นึกไปนึกมา นึกอ๋อ! ในใจก็ตั้งจิตอธิษฐานอย่างไรล่ะ ก็เลยได้ชิมทุกขเวทนาที่หลวงพ่อท่านได้รับ นี่แค่กระผีกนิดๆ นะนี่ เท่านั้นแหละ น้ำตานี้ร่วงเผาะๆ สงสารหลวงพ่อที่ต้องทนทุกขเวทนา เพื่อจะโปรดลูกหลานของท่าน จิตใดที่ดีมาก็ส่งถึงพระนิพพาน จิตใดดีน้อยลงไปหน่อย ก็ส่งไปสวรรค์ก่อนแล้วค่อยต่อถึงพระนิพพานอีกรอบ ...


ลูกกราบแทบเท้าหลวงพ่อ การใดที่ลูกจะรับใช้หลวงพ่อได้ ขอหลวงพ่อได้โปรดเมตตาสั่งการ ลูกขอน้อมรับและปฏิบัติตามด้วยชีวิต
บุคคลใดก็ตาม ที่ได้รับใช้หลวงพ่อ คงจะมีเหตุการณ์ที่ประทับใจในองค์หลวงพ่อมากมายดังตัวอย่างที่จะเล่าให้ฟังอีก

12 กรกฎาคม 2532 – 3 สิงหาคม 2534
เป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดของลูกที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ลูกได้กราบถวายการรักษาฟันหลวงพ่อ ประมาณ 46 ครั้ง ได้รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อ ได้ทราบปฏิปทาและการวางองค์ของหลวงพ่อ นับเป็นพระเมตตาของหลวงพ่อที่ประทานโอกาส ให้ลูกได้กราบถวายการรักษาฟันขององค์ท่าน

จิตของลูกบอกเสมอว่า การเกิดเป็นทันตแพทย์ในชาตินี้คุ้มเหลือเกิน คุ้มทั้งชาตินี้ ชาติหน้า และชาติต่อๆ ไป ถ้าจะต้องมาเกิดอีก
หลวงพ่อ ...ท่านเป็นคนไข้ที่พูดตามภาษาหมอก็ต้องพูดว่า ท่านเป็นคนไข้ที่น่ารักมาก คำน้อยก็มิเคยปริปากบ่น แม้จะเจ็บ แม้จะทนเมื่อย ท่านก็มิเคยพูดให้หมอช้ำใจ

ท่านพยายามอำนวยความสะดวก โดยการจัดสังขารร่างกายของท่าน เพื่อให้เข้าตำแหน่งที่หมอถนัดที่สุด ทั้งๆ ที่ สังขารร่างกายของท่านนั้นไม่ได้สมบูรณ์แข็งแรงเลย ท่านไม่เคยปริปากว่าเมื่อย แม้จะนานเท่าใด
กราบเรียนถามว่า “หลวงพ่อเจ้าขา เจ็บไหมเจ้าคะ”
ท่านเมตตาตอบว่า “ไม่เป็นไร กายหลวงพ่ออยู่ที่หนึ่ง จิตหลวงพ่อไปแล้ว ...ไปเที่ยว...”

แทบทุกครั้ง ถ้ามีเวลาหลังจากการกราบถวายการรักษาฟัน ท่านจะนำเรื่องราวสนุกๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ท่านไปเที่ยวมา มาเล่าให้ฟัง แม้หลวงพ่อจะกล่าวว่า “ไม่เป็นไร” ใจของลูกก็ไม่อยากให้ท่านเจ็บแม้แต่นิด ฝีมือลูกมีเท่าไรก็พยายามใช้อย่างเต็มที่

แต่เหนือสุด เหนือสิ่งอื่นใด ก่อนกราบถวายการรักษา ลูกกราบอาราธนาบารมีคุณพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ คุณมารดา คุณบิดา คุณครูบาอาจารย์ ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ศรี ท่านแม่จิต ท่านแม่วิลาวัลย์ ท่านลุงพุฒิ เทพพรหมเทวดาทั้งหมด ท่านปู่ชีวกโกมารภัจ ขอได้โปรดช่วยให้ลูกได้กราบถวายการรักษาหลวงพ่อให้ดีที่สุด ...ขณะที่กราบถวายการรักษาก็พยายามเจริญสมาธิไปด้วย

สภาพฟันขององค์หลวงพ่อ ไม่ค่อยเหมือนปกติเลย บางครั้งดูเหมือนไม่มีรอยโรค แต่เช็คไปเช็คมา โดยเอาความรู้ทางวิชาการและจากองค์หลวงพ่อบอกมา ก็เจอสาเหตุทุกครั้ง ร่างกายของท่านผิดปกติที่ใด ท่านทราบของท่านดี และช่วยหมอวินิจฉัยโรคด้วย ลักษณะฟันขององค์ท่านไม่ค่อยเหมือนฟันคนอื่น อาจเป็นเพราะท่านใช้สังขารมานานเหลือเกิน จนต้องใช้คำว่า “ทนอยู่” ทนเพื่อลูกหลานของท่าน ดุจบทความที่ท่านฝากไว้ว่า

พ่อรักลูกทุกคนมาก.....
ชีวิตของพ่อไม่มีความสำคัญไปกว่าความดีของลูก เหนื่อยเพื่อลูกจึงไม่มีสำหรับพ่อ มันเหนือความเหนื่อยและเหนือความเบื่อหน่ายของพ่อ ความดีของลูก เป็นปัจจัยให้พ่อรักลูกทุกคนยิ่งกว่าชีวิตของพ่อ ฉะนั้นขอบรรดาลูกทุกคน จงรักษาความดีของลูกไว้ เหมือนเกลือรักษาความเค็ม

สิ่งใดก็ตาม ถ้าเป็นประโยชน์แก่ลูก พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อลูกของพ่อ และพ่อจะไม่ห่วงใยอาลัยในชีวิตของพ่อ ถึงแม้ว่าเลือดและเนื้อของพ่อจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตอินทรีย์ของพ่อจะสลายไปก็ตาม พ่อทำทุกอย่างได้เพื่อลูก

ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายทรงบรรลุแล้วก็ดี ขอบรรดาลูกแก้วทั้งหมดของพ่อ จงปรากฏมีผลเช่นเดียวกับพระอรหันต์ทั้งหลาย ในชาติปัจจุบันนี้เถิด
พระราชพรหมยาน

เมื่อหลวงพ่อปวดฟัน ท่านไม่เคยเอาความเจ็บป่วยมานำหน้าภารกิจของท่านเลย มีครั้งหนึ่งท่านปวดฟันมาก (คนที่เคยปวดฟัน จากการมีถุงหนองที่ปลายรากฟันคงทราบดีว่าปวดแค่ไหน) กราบขออนุญาตถวายการรักษาทันทีทันใด ท่านบอกว่า “ไม่ได้หรอก เพราะติดภารกิจของพระศาสดา อีกทั้งจะทำให้ศรัทธาของญาติโยมเสียไป ถ้าไม่เจอองค์ท่าน”

ได้ฟังแล้วน้ำตาไหลเลย สงสารท่านจับใจ ไม่รู้จะบอกอย่างไร รู้แต่ว่าถ้าท่านประทานโอกาส จะกราบถวายการรับใช้อย่างดีที่สุด เท่าที่ลูกได้รับการประสิทธิประสาทวิชาความรู้ จากคณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตลอดระยะเวลาประมาณ 2 ปี ที่ลูกได้กราบถวายการรักษาฟันหลวงพ่อ ลูกได้พยายามสังเกต จริยาวัตรของท่าน และพยายามยึดถือเป็นแนวปฏิบัติตาม ใครยิ่งอยู่ใกล้ท่าน ก็ต้องยิ่งรักยิ่งเคารพท่านเป็นเงาตามตัว

หลวงพ่อเป็นเพชรน้ำเอกในพระบวรพุทธศาสนา ลูกภูมิใจเหลือเกินที่มีโอกาสรับใช้หลวงพ่อ ชีวิตนี้ลูกไม่เสียดายแล้วที่เกิดมา เพราะได้มีโอกาสรับใช้หลวงพ่อ แม้เพียงเท่าธุลี ลูกก็ดีใจและถือเป็นมหากุศล

ลูกกราบอาราธนาบารมี คุณพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ คุณพระปัจเจกพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ หลวงพ่อท่าน ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ศรี ท่านแม่จิต ท่านแม่วิลาวัลย์ ท่านลุงพุฒิ ท่านปู่ชีวกโกมารภัจ เหล่าเทพพรหมเทวดาทั้งปวง พร้อมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอได้โปรดคุ้มครองปกป้องหลวงพ่อ ให้ท่านมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ขึ้น ให้ท่านสุขกายสุขใจ พ้นผองภัยพิบัติทั้งปวง เพื่อเป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกๆ หลานๆ และเป็นหลักชัยของพระพุทธศาสนาต่อไปด้วยเทอญ .....

สัพพัง อัปปะราธัง ขมะถะเมภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะกะตัง
สัพพัง อัปปะราธัง ขมะถะเมภันเต อุกาสะ ขะมามิภันเต

◄ll กลับสู่สารบัญ


38

ขอติดตามรับใช้หลวงพ่อ


เสริมทรัพย์ วัฒนพฤกษา


...ประมาณเดือนธันวาคม ปี 2519 หลวงพ่อกลับจาก จ.จันทบุรี และแวะมาพักที่บ้านคุณประเสริฐและคุณยาใจ โพธิ์วิเชียร ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เนื่องจากสามีของลูกเป็นอาจารย์ของคุณประเสริฐ คุณประเสริฐก็โทรศัพท์มาชวนไปกราบหลวงพ่อ ลูกกับสามีก็ไปพักที่บ้านคุณประเสริฐ กราบหลวงพ่อที่นั่น

...และในเดือนนั้นหลวงพ่อมีโปรแกรมจะขึ้นไปที่พระธาตุดอยตุง จังหวัดเชียงใหม่ ลูกได้พบหลวงพ่อเป็นครั้งแรก ก็กราบเรียนขออนุญาตหลวงพ่อ ขอร่วมเดินทางไปในคณะของหลวงพ่อ โดยมีสามีลูกร่วมไปด้วย ไปงานทอดกฐิน วัดหลวงปู่ครูบาธรรมชัย แล้วก็เลยไปพักที่กองพันสัตว์ต่าง ที่ จ.เชียงใหม่

ตอนไปกราบหลวงพ่อครั้งแรกที่บ้านคุณประเสริฐนั้น พอพบหลวงพ่อครั้งแรก และได้ฟังคำสอนของท่านที่บ้านนั้น ความรู้สึกของลูกก็คิดว่า “เราได้พบพระที่เราปรารถนาแล้ว” ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ก็ได้ติดตามหลวงพ่อมาลอด และรับใช้หลวงพ่อมาตั้งแต่ งานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งแรกจนกระทั่งบัดนี้

คำสอนของท่าน รับปฏิบัติได้ไม่ทุกข้อ เพราะช่วงแรกๆ ที่เข้ามาพบหลวงพ่อ ลูกยังทำงานบริษัทอยู่ เมื่อปี พ.ศ.2527 ก็ลาออกจากงาน และก็มาช่วยงานหลวงพ่อ โดยมาช่วยทำอาหาร เลี้ยงพระและญาติโยมพุทธบริษัทที่มาทำบุญ เวลาวัดมีงานใหญ่ๆ เป็นต้นว่า งานกฐิน งานทำบุญประจำปี งานสะเดาะเคราะห์ งานเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นต้น

โดยมาทำงานประจำกับแผนกร้านอาหารกองทุนที่วัดท่าซุง ทุกงาน และก็ตามมาช่วยทำอาหาร ช่วงหลวงพ่อและพระติดตาม และคณะของหลวงพ่อ ตอนหลวงพ่อมาสอนพระกรรมบาน ที่บ้านซอยสายลมประจำทุกๆ เดือน

ต่อมา ลูกก็ตัดสินใจลาออกจากงานที่บริษัท เพราะบริษัทญี่ปุ่นที่ลูกทำงานอยู่ด้วยไม่ยอมให้ลางาน เพื่อติดตามรับใช้หลวงพ่อ ซึ่งช่วงนั้น หลวงพ่อและคณะติดตาม เดินทางออกต่างจังหวัดบ่อย ไปชัยภูมิ ไปแวะสงเคราะห์ธนาคารข้าว แจกของชายแดน เป็นต้น

ลูกก็เลยขู่ทางบริษัทญี่ปุ่นว่า จะลาออก ขู่มาได้ 3 ปี ก็เลยลาออกจริง ที่ลาออกจากงานเพราะน้อยใจตัวเองว่า ทำไมคนอื่นเขารับใช้หลวงพ่อได้เต็มที่ ทำไมตัวเราเองจึงทำไม่ได้ เมื่อลูกๆ ของลูกเข้ามหาวิทยาลัยหมดแล้ว ก็เลยตัดสินใจลาออกจากงาน ก็ได้รับใช้หลวงพ่อได้ทั้งตัวเต็มที่มาได้ 6 ปีแล้ว เพราะพ้นภาระเรื่องลูก

เวลานี้ลูกก็สามารถมีความอิสระที่จะมารับใช้หลวงพ่อได้เสมอ เมื่อเวลามีงานที่วัดหรือซอยสายลม ลูกคิดว่าขอติดตามรับใช้หลวงพ่อไปตลอด เท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อตอบแทนพระคุณ ที่หลวงพ่อได้เมตตาสั่งสอน เพื่อบรรลุถึงจุดหมายปลายทางสู่พระนิพพานในชาตินี้

ที่สุด ลูกขออาราธนาบารมี คุณพระพุทธ คุณพระธรรม และคุณพระอริยสงฆ์ ได้โปรดสงเคราะห์ขันธ์ 5 ของหลวงพ่อ ให้มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง เพื่อสืบทอดศาสนาให้ยั่งยืนนาน

◄ll กลับสู่สารบัญ


39

องค์นี้แหละที่ดิฉันฝันเห็น


รศนา ฟอร์ตี้ (ธรรมสโรช)


...ดิฉันและสามี มีความเห็นตรงกันว่า หลังจากสามีดิฉัน พ.ต.อ.(พิเศษ) เล็ก ฟอร์ตี้ เกษียณอายุแล้ว อยากหาที่สงบคือแถวชายทะเลแห่งใดแห่งหนึ่งพักอาศัย เพราะชอบชายทะเลย จึงมาปลูกบ้านที่คลองวาฬ ต.คลองวาฬ จ.ประจวบคีรีขันธ์
...มีอยู่วันหนึ่ง ดิฉันเข้าไปธุระในกรุงเทพฯ วันรุ่งขึ้นจะกลับ จ.ประจวบฯ คืนนั้นก็ฝันว่าพี่สาวที่ชื่อสมพิศ แรมวัลย์ ซึ่งเลื่อมใสในทางพระพุทธศาสนาอย่างมาก ได้จูงมือดิฉันมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ยืนเคว้งคว้างว่าเราอยากไปพบอาจารย์ดีๆ สักองค์หนึ่ง

...ในขณะนั้น ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่ง มายืนปรากฏอยู่ใกล้ๆ ไม่ทราบมาจากไหน ท่านก็ชวนบอกว่า จะพาไปกราบพระอาจารย์ดีๆ ทางทิศเหนือ (ภาคเหนือ) และพระอาจารย์องค์ก็นำไป

รุ่งเช้าตื่นขึ้นมา ก็ยังจำความฝันและเค้าหน้าพระอาจารย์รูปนั้นได้ชัดเจน ดิฉันจำรูปหน้าของท่านได้ดี ดิฉันจึงเล่าให้น้องสาวที่อยู่บ้านติดกันฟัง

เธอก็บอกว่า “พี่! หนูกำลังจะไปกราบพระอาจารย์องค์หนึ่ง ที่กิโลเมตรที่ 27 อยู่ที่ดอนเมือง เป็นบ้าน พล.อ.อ.พโยม เย็นสุดใจ ท่านรับพระสายกรรมฐานมาพักที่นั่น” จึงถามว่าดิฉันจะไปด้วยไหม?
ดิฉันก็อยากไป เพื่อจะได้ทดสอบว่า หน้าท่านจะเหมือนกับที่ดิฉันฝันหรือไม่? พอไปถึงที่นั่น ก็ทราบว่าเป็นพระกรรมฐานสายอีสาน ไปถึงเจอพระอาจารย์ 3 องค์กำลังฉันเช้าอยู่ ก็พิจารณาแต่ละองค์แล้ว หน้าไม่เหมือนในฝัน

น้องสาวก็บอกดิฉันว่า ยังมีพระอาจารย์อยู่อีกองค์หนึ่ง ท่านอยู่ในห้อง ท่านอาพาธอยู่ชื่อหลวงปู่ชอบ พอได้โอกาสเข้าไปกราบท่านแล้ว น้องสาวจึงถามดิฉันว่า องค์นี้ใช่ไหมพี่? ดิฉันตอบว่า “ไม่ใช่” ดิฉันเลยกลับ จ.ประจวบฯ ในวันนั้น
หลังจากนั้น อีกประมาณ 1 ปี (ประมาณ พ.ศ.2519 – 2520) ดิฉันก็เข้ากรุงเทพฯ อีก พี่สาวชื่อสมพิศ แรมวัลย์

เห็นดิฉันมาก็ดีใจ เรียกชื่อเล่นดิฉันว่า “หรั่ง” ไปหาหลวงพ่อวัดท่าซุงกันไหม? ที่ซอยสายลมอยู่ไม่ไกล ดิฉันก็ไปด้วยกัน พอไปถึงเห็นคนเต็มก็รู้สึกทึ่ง นึกในใจว่า โอ้โฮ หลวงพ่อองค์นี้ต้องมีอะไรดี ลูกศิษย์จึงมามากมายอย่างนี้
ในระหว่างที่เข้าไปถวายของแก่หลวงพ่อ พี่สมพิศก็นำเข้าไป พอเข้าไปใกล้องค์หลวงพ่อ พี่ก็กราบเรียนให้หลวงพ่อทราบว่า “น้องสาวเจ้าค่ะ อยู่คลองวาฬ จ.ประจวบฯ”

ขณะนั้น ดิฉันก้มลงกราบหลวงพ่อ พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นหลวงพ่อเท่านั้น ก็ทราบทันทีว่า “ใช่ องค์นี้แหละที่ดิฉันฝันเห็น รู้สึกแน่ใจเลย”
หลวงพ่อก็ถามดิฉันว่า “ทำอะไรอยู่ที่นั่น?”
ดิฉันก็กราบเรียนว่า “มีสวนมะพร้าวอยู่ริมทะเล”

พี่สาวก็กระซิบดิฉันว่า “หรั่ง นิมนต์ท่านซิ”
ดิฉันก็นึกในใจว่า “เอ๊ะ จะเหมาะหรือ เพราะเพิ่งมาและหลวงพ่อก็ไม่เคยรู้จักดิฉันมาก่อน” แต่ก็ตัดสินใจนิมนต์หลวงพ่อเลย หลวงพ่อก็รับปากทันที ดิฉันจึงคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะทราบว่า หลวงพ่อจะไปเมื่อไร? เมื่อดิฉันคิดเช่นนั้นอยู่ หลวงพ่อก็พูดออกมาเลยว่า “ถ้าจะไปจะบอก”

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ดิฉันก็ปรารภกับพี่สมพิศถึงเรื่องหลวงพ่อ ดิฉันบอกพี่สมพิศว่า ดิฉันไม่มีข้อสงสัยเลยว่า เป็นพระองค์อื่น องค์นี้แน่นอนแล้ว เป็นองค์ที่ดิฉันฝันเห็นเมื่อ 1 ปีก่อนโน้น พี่สมพิศปรารภกับดิฉันว่า ปกติหลวงพ่อไม่รับนิมนต์ใครง่ายๆ

ซึ่งต่อมาภายหลัง หลวงพ่อบอกว่า ดิฉันเคยเกิดเป็นลูกท่านในอดีตชาติ และก็ภายในปีนั้น คุณเปี๊ยก (สมพร บุญยเกียรติ) ก็มาบอกพี่สมพิศว่า สิ้นปีหลวงพ่อจะไปคลองวาฬ
หลังจากนั้น ดิฉันก็เข้ากรุงเทพฯ เป็นครั้งคราว ฟังธรรมหลวงพ่อที่ซอยสายลม หลังจากนั้นก็ทราบข่าวว่า หลวงพ่อจะพาลูกศิษย์ไปกราบนมัสการ พระสุปฏิปันโนทางเหนือ ดิฉันยิ่งมั่นใจว่ารู้สึกเรื่องไปตรงกับความฝันมากเข้าไปอีก

แต่ดิฉันก็ไม่สามารถติดตามหลวงพ่อไปทุกแห่ง แต่ก็ได้ร่วมติดตามหลวงพ่อไปบางแห่งทางเหนือ เช่นร่วมไปกราบหลวงปู่คำแสน ไปนมัสการพระธาตุดอยตุง แต่ก็มีความพอใจที่ได้ติดตามหลวงพ่อไปตามสถานที่ต่างๆ
หลวงพ่อก็มาที่บ้านคลองวาฬ ดิฉันตื่นเต้นมาก ก่อนที่หลวงพ่อจะเดินทางมาครั้งแรก ดิฉันก็ไปปรึกษาพระที่หนองหิน ให้ท่านแนะนำ การจัดสถานที่ พระที่หนองหินก็ส่งคนมาช่วยจัดสถานที่ให้ มีการตั้งธรรมาสน์ เป็นต้น มีโทรโข่งอย่างกับงานวัดไม่มีผิดเลย

แต่พอหลวงพ่อมาถึง หลวงพ่อท่านไม่ใช้ธรรมาสน์ ลูกศิษย์หลวงพ่อก็แนะนำดิฉันว่า อย่าให้หลวงพ่อใช้โทรโข่งเลยมันหนวกหู หลวงพ่อท่านชอบเงียบๆ มากกว่า หลวงพ่อท่านก็นั่งเก้าอี้โซฟาธรรมดา และนั่งรับแขกสอนธรรมะที่เก้าอี้โซฟานั่นแหละ ชาวบ้านก็มากพอประมาณ

ดิฉันดีใจมาก เป็นความรู้สึกภูมิใจที่คนทั้งหลายก็มุ่งความดี มาฟังธรรมหลวงพ่อ ดิฉันมีความศรัทธาและเคารพหลวงพ่อตั้งแต่นั้นมา ดิฉันไปปวารณาตัวต่อหลวงพ่อตลอดชีวิตว่า หลวงพ่อจะมาเมื่อไรก็ได้ ขอให้ดิฉันได้มีโอกาสทำอะไรให้หลวงพ่อได้มีความสุข รวมถึงคณะลูกศิษย์ที่ติดตามหลวงพ่อมาด้วยทั้งหมด ดิฉันเต็มใจที่จะทำเพื่อหลวงพ่อทุกอย่างเท่าที่จะทำได้

หลวงพ่อมาที่บ้านดิฉันตั้งแต่ พ.ศ.2519 – 2525 มาเว้นปีบ้าง หรือมาติดกันหลายปีบ้าง มาทั้งหมด 5 ครั้ง แล้วเว้น 9 ปีที่ไม่ได้มาอีกเลย
จนกระทั่งครั้งที่ 6 หลวงพ่อกำหนดมาพักเมื่อวันที่ 24, 25 เมษายน 2534 และกลับในตอนเช้าที่ 26 เมษายน 2534 หลังจากฉันเช้าแล้ว ดิฉันตื่นเต้นดีใจมาก ที่ได้ต้อนรับหลวงพ่อและพระภิกษุติดตาม 2 รูป และลูกศิษย์ฝ่ายฆราวาสที่ติดตามหลวงพ่อมาอีกประมาณ 40 – 50 คน

หลวงพ่อได้ลงสรงน้ำทะเล 2 วัน และมาพักผ่อน และลงรับแขกโปรดครอบครัวดิฉันและญาติโยมที่คลองวาฬ ดิฉันปลื้มใจที่ได้มีโอกาสรับใช้หลวงพ่ออีกครั้ง และหลวงพ่อได้เมตตามาโปรดดิฉันถึงที่บ้านอีกครั้งหนึ่ง ดิฉันมีความตื่นเต้นและมีความสุขใจมาก

ดิฉันถือว่า เป็นโชควาสนาของตนเองที่ได้พบหลวงพ่อ และมีโอกาสฟังคำสอนจากหลวงพ่อ ยามใดที่ดิฉันมีความทุกข์อย่างแสนสาหัสก็คิดว่า ได้ชดใช้กรรมไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ และมาระลึกคำสอนที่หลวงพ่อสอนอยู่เสมอว่า “เกิดมามันทุกข์อย่างนี้” ดิฉันตั้งความปรารถนาไว้ว่า “จะไม่ขอกลับมาเกิดอีก และขอติดตามหลวงพ่อไปสู่พระนิพพานในชาตินี้”

พ.ต.อ.(พิเศษ) เล็ก ฟอร์ตี้

เดิมทีเดียว ภรรยาผม รศนา ฟอร์ตี้ ได้ฝันถึงหลวงพ่อโดยไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อหลวงพ่อมาก่อนเลย ภรรยาผมก็มาเล่าความฝันให้ผมฟัง หลังจากเล่าความฝันไปแล้ว 1 ปี ภรรยาผมก็ได้พบหลวงพ่อจริงๆ เป็นเหตุการณ์ที่พบกันโดยบังเอิญแท้ๆ

เมื่อพบหลวงพ่อครั้งแรก ภรรยาผมก็นิมนต์หลวงพ่อมาที่บ้านและหลวงพ่อรับปากทันที และก็ได้เมตตามาโปรดถึงบ้านผมที่คลองวาฬ ครั้งแรกประมาณปี พ.ศ.2519 ถึง 2520 ผมก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในองค์หลวงพ่อเช่นเดียวกับภรรยา เพราะผมเองก็เคยบวชเรียนมาแล้ว ปกติก็ชอบปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ผมเป็นคนชอบความสงบ ชอบอยู่เงียบๆ ชอบชีวิตสันโดษไม่ชอบอบายมุขต่างๆ

ตั้งแต่หลวงพ่อมาโปรดถึงบ้านผมที่คลองวาฬ โดยมาพักที่บ้านผม6 ครั้ง ผมมีความเลื่อมใส ศรัทธาเคารพหลวงพ่อตลอดมา ผมได้สร้างบ้านขึ้นมาอีก 1 หลัง เพื่อต้อนรับหลวงพ่อ และคณะศิษย์ทุกๆ คนที่ติดตาม เพราะลูกศิษย์หลวงพ่อได้รับใช้หลวงพ่อมานาน ก็อยากให้เขามีความสุขและผมได้มีส่วนร่วมบุญกับหลวงพ่อและคณะ

ปัจจุบันนี้ผมอายุ 80 ปี ผมได้รับฟังธรรมะหลวงพ่อ และอ่านตำราที่หลวงพ่อพิมพ์ออกมา เช่นหนังสือธัมมวิโมกข์ที่ออกประจำเดือน เป็นต้น ผมก็เข้าใจธรรมะที่หลวงพ่อสอน ผมไม่ห่วงสังขารผม และในสนใจทรัพย์สมบัติทั้งปวง และไม่อยากมาเกิดอีกแล้ว ตายเมื่อไรผมขอติดตามหลวงพ่อเพื่อเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้เพียงอย่างเดียว

◄ll กลับสู่สารบัญ