Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 14/7/09 at 15:48 [ QUOTE ]

"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1 (ตอนที่ 5)


« ตอนที่ 1 « ตอนที่ 2 « ตอนที่ 3 « ตอนที่ 4 « ตอนที่ 6 « ตอนที่ 7




สารบัญ

01.
กานดา อมาตยกุล update 14 - 07 - 2552
02. นวลน้อย โลพันธ์ศรี update 15 - 07 - 2552
03. ประชา สิกวานิช update 16 - 07 - 2552
04. วีวรรณ คำนวณกิจ update 17 - 07 - 2552
05. ทันตแพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์ update 21 - 07 - 2552
06. เดือนฉาย คอมันตร์ update 23 - 07 - 2552
07. ดำรง นุตาลัย update 27 - 07 - 2552
08. ชาลินี เนียมสกุล update 28 - 07 - 2552
09. นุสมล สุขเสริม update 31 - 07 - 2552
10. นนท์ ปานเถื่อน update 01 - 08 - 2552
11. นิภา คงสุข update 03- 08 - 2552
12. บุญยืน คามพิทักษ์ update 10- 08 - 2552
13. จินตนา จรัญวาศน์ update 17- 08 - 2552
14. มาลินี โชติเลขา update 20- 08 - 2552
15. รัชนีพร ภู่กร update 24- 08 - 2552
16. สมพร บุณยเกียรติ update 29- 08 - 2552
17. สุนันท์ เจียรกุล update 03- 09 - 2552
18. สุภารัตน์ วงศ์งามนิจ update 07- 09 - 2552
19. จ่านายสิบตำรวจ สุวัฒน์ อั๋นประเสริฐ update 11- 09 - 2552
20. คัดนา บุนนาค update 14- 09 - 2552




กานดา อมาตยกุล


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"........ปลายปี พ. ศ. 2515 ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ “ประวัติหลวงปู่ปาน” โดยคุณอ๋อย(เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) ให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอ่านแล้วถูกใจมาก เพราะปกติข้าพเจ้าง่วงเวลาอ่านหนังสือพระ แต่หนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าอ่านได้ตลอดและร้องให้ตอนหลวงปู่สิ้นชีวิต มีความอยากกราบผู้เขียน ต่อมาจึงได้ไปกราบท่านที่บ้านซอยสายลม เห็นหลวงพ่อขาวและหนุ่มมาก

ปี 2516 ได้มากราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุง โดยที่ พี่สาวของข้าพเจ้า (คุณเยาวมาลย์ บุนนาค) ได้อัญเชิญพระประธานมาถวายหลวงพ่อ และข้าพเจ้าได้มาอยู่วัดบ้าง กลับบ้านบ้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เหตุประทับใจหลวงพ่อของข้าพเจ้ามีอยู่เสมอ เหตุเกิดกับผู้อื่นโดยที่ข้าพเจ้าได้รับทราบมากมาย และที่ข้าพเจ้ามีส่วนอยู่ด้วยคือ ปี 2518 พระครูฐานาฯ ของหลวงปู่กล่อม(เจ้าคุณธรรมวราลังการ) วัดบุปผาราม ฝั่งธนบุรี องค์หนึ่งมาค้างที่วัดท่าซุงเสมอ

เย็นวันหนึ่งหลังจากที่ท่านหายไปหลายเดือน ท่านมาพักที่ตึกเสริมศรีฯ เมื่อท่านมาถึงที่ตึกซึ่งมีหลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์และข้าพเจ้าอยู่พร้อมหน้า ท่านพูดว่า “ผมฉันเจมา 3 เดือนแล้ว สบายมาก” ท่านพระครูพูดเสร็จก็พอดีระฆังขึ้นกรรมฐาน พระและข้าพเจ้ารวมทั้งท่านพระครูก็ไปศาลาพระกรรมฐานโดยขึ้นทางบันไดใหญ่ ส่วนหลวงพ่อท่านมีบันไดเฉพาะของท่านไม่ปนกัน

เมื่อขึ้นเทศน์สอน ท่านเทศน์ว่า “การกินเจนั้นเป็นของดี แต่ลำบากสำหรับผู้ต้อนรับ” เทศน์ถึงความลำบากของผู้ต้อนรับถ้าไม่มีของถวาย รวมทั้งความเศร้าหมองของผู้ต้อนรับด้วย ฯลฯ เมื่อลงจากกรรมฐานแล้ว ท่านพระครูได้ถามข้าพเจ้าว่า ใครไปฟ้องหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็ตอบท่านว่า ไม่มีใครได้พบกับหลวงพ่อก่อนกรรมฐาน ขึ้นลงกันคนละบันได ไม่มีทางจะพบกันได้ ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นท่านพระครูออกบิณฑบาตรพร้อมกับพระ และฉันธรรมดากับพระวัดท่าซุงทุกองค์

เมื่อก่อนนี้ตอนเจริญพระกรรมฐาน ส่วนมากหลวงพ่อจะให้ศีลห้า มีอยู่วันหนึ่ง พวกเราไปทำธุระที่นครสวรรค์กลับมาก็ซื้อขนมมามาก จึงแก้ออกเพราะกลัวขนมเสีย แล้วจึงขึ้นไปหอพระกรรมฐาน คืนวันนั้น หลวงพ่อท่านให้ศีลแปด!! พวกเรามองหน้าตามๆ กัน กลับมาต้องปิดห่อขนมใส่ตู่เย็น เลยสมน้ำหน้าตัวเองอยากตะกละนัก

เรื่องทั้งหมดที่ข้าพเจ้าประสบมาเกี่ยวกับหลวงพ่อนั้นมากมาย ที่เขียนมานี้เป็นส่วนน้อยเป็นเหตุทำให้ข้าพเจ้ามีความยึดมั่นในคำสั่งสอนของหลวงพ่อ และนึกอยู่เสมอว่า เราจะคิดหรือจะทำอะไร ทั้งดีเลว หลวงพ่อทราบทุกอย่าง ท่านจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น

แม้ท่านจะป่วยไข้ไม่สบาย ท่านก็จะเมตตาสั่งสอนพวกเราทุกโอกาสที่สอนได้ และการพูดหรือสอนนั้นจะแทรกธรรมะไว้ทุกตอน พระคุณของท่านนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะหาอะไรมาทดแทนท่านได้ตลอดชีวิต จะขอยึดมั่นท่านเป็นที่พึ่ง และขอปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อจนถึงซึ่งพระนิพพาน..

หมายเหตุ :

คุณกานดา (นิพัทธา) อมาตยกุล หรือใครๆ ก็เรียกกันว่า "พี่น้อย" เป็นครูฝึกสอนมโนมยิทธิท่านหนึ่งที่ได้ติดตามหลวงพ่อมานาน มีทิพจักขุญาณแจ่มใส โดยเฉพาะพี่น้อยมีความเคารพ "ท่านกรมหลวงชุมพร" เป็นอย่างยิ่ง เวลาใดที่ได้สัมผัสกับท่าน พี่น้อยจะมีอาการปีติน้ำตาไหลทันที

พี่น้อยได้มีโอกาสใกล้ชิดหลวงพ่อ ได้ฟังธรรมได้ปฏิบัติธรรมมานาน เวลาไปวัด "พี่น้อย" ก็ยังมีโอกาสดีกว่าผู้อื่น คือได้เข้าไปทำความสะอาดในห้องส่วนองค์ของหลวงพ่อ (ตึกอินทราพงศ์ และ ตึกกลางน้ำ) พี่น้อยเป็นอีกคนหนึ่งที่หลวงพ่อบอกไว้ ในจำนวนผู้ที่มีรายชื่อที่เกิดในยุค "สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น" แต่จะเป็นใครนั้นคงจะเปิดเผยในที่นี้ไม่ได้ ปัจจุบันพี่น้อยนอนป่วยอยู่กับที่มานานหลายปีแล้ว

ทางทีมงาน "เว็บวัดท่าซุง" จึงขอแสดงความระลึกถึง และขออนุโมทนาความดีที่ "พี่น้อย" ได้อุตส่าห์ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ ได้เสียสละเพื่องานพระพุทธศาสนาตลอดมา จนกระทั่งล้มป่วยลงไป เวลานี้พี่น้อยก็คงรอคอยเวลาที่จะมาถึง อย่างน้อยที่สุด "พี่น้อย" มีความพอใจใน "พระนิพพาน" ตลอดมา หวังว่า "พี่น้อย" คงจะสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ..

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 15/7/09 at 11:00 [ QUOTE ]



นวลน้อย โลพันธ์ศรี


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"......เรื่องต่อไปนี้ ขอให้เป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังค่ะ ดิฉันคิดว่า จะต้องมีลูกศิษย์ของหลวงพ่อหลาย ๆ คน ที่มีความปรารถนาอยากมากราบหลวงพ่อ เพื่อขอเป็นศิษย์ของท่าน ก็เนื่องมาจากได้อ่าน หนังสือประวัติหลวงปู่ปาน ที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพของ คุณหลวงอรรถไกวัลวที ซึ่งบุตรสาวคือ คุณอรอนงค์ เป็นผู้พิมพ์แจก

เพราะเมื่อดิฉันได้อ่านแล้ว มีความรู้สึกอยากไปกราบหลวงพ่อท่าน และขอเป็นลูกศิษย์ด้วยเถิด สาธุ..สาธุ..บังเอิญคุณอรอนงค์ เป็นน้องคุณไกวัลย์ ซึ่งเป็นเพื่อนของดิฉัน ได้บอกกับคุณอรอนงค์ว่าอยากไปกราบหลวงพ่อมาก แล้ววันหนึ่งดิฉันก็ได้ไปสมปรารถนา

คุณอรอนงค์ได้นัดว่า จะพาไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุงสองวันนี้ บังเอิญจำวันที่ไม่ได้ ดิฉันก็ได้ชวนพี่เจริญ เจริญมานิตย์ไปด้วย (ขอบคุณ คุณอรอนงค์ ไว้ ณ ที่นี้ด้วย ) ได้ไปบางลำภู จัดซื้อพาน ธูป เทียนแพ กระทงกรวยดอกไม้ เพื่อนำไปกราบนมัสการ ขอเป็นลูกศิษย์ของท่าน ของดิฉัน 1 ชุด พี่เจริญ 1 ชุด

รุ่งเช้าออกเดินทางไปวัดท่าซุง คุณอรอนงค์อุตส่าห์นำรถมารับที่บ้าน ไปถึงวัดท่าซุง ท่านฉันเพลเสร็จแล้ว แต่กำลังมีผู้มากราบพบท่านและคุยกันอยู่ ตอนที่ดิฉันไปนั้น กำลังสร้างตึกเกษมศรี ยังไม่ขึ้นหลังคา กำลังเทเสา ดิฉันมีความรู้สึกตื่นเต้นดีใจมากที่จะได้มากราบท่าน จำได้ว่าพี่นนทาออกมารับ

เมื่อพาเข้าไปนั้น ท่านยังคุยกับแขก พอแขกกลับ คุณอรอนงค์ก็พาดิฉันกับพี่เจริญเข้า ไปกราบนมัสการท่าน ดิฉันกับพี่เจริญก็คลานถือพานธูปเทียนแพเข้าไป ไม่ทราบเป็นอย่างไร ดิฉันมือไม้สั่นจนธูปเทียนแพ กระทงดอกไม้เทตกจากพาน ดิฉันรีบเก็บวางบนพาน ด้วยมือที่สั่นเทาเป็นเจ้าเข้า

เมื่อคลานเข้าไปกราบถวายพานแล้ว เงยหน้าขึ้นท่านก็ทักว่า

“โยมยังอยู่นี้อีกเรอะ...ใครๆ เขาไปดาวดึงส์กันหมดแล้ว..!”

ดิฉันมีความรู้สึกบอกไม่ถูก..อยากร้องไห้ออกมาดังๆ สู้สะกดไว้

เอ..นี่เราเป็นอะไรไปนะ กลัวท่านมากหรืออย่างไร? ดีใจมากหรืออย่างไร? บอกไม่ถูกความรู้สึกตอนนั้น ซึ่งอาการเหล่านี้ ดิฉันไม่เคยเป็น เมื่อเวลาไปกราบหลวงพ่อ หรือพระอาจารย์ท่านที่ไหนๆ ก็ตาม จะว่าไม่เคยไปกราบพระที่ไหน หรือไม่เคยไปวัดก็ไม่ใช่ เพราะก่อนจะไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ก็ได้ไปวัดต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมาแล้วหลายแห่ง เหนือ ใต้ อีสาน ไม่เคยมีอาการอย่างนี้มาก่อน รู้สึกแปลกจริงๆ

เมื่อถวายท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านคุยสักครู่ก็ขึ้นพัก คืนนั้นได้ค้างที่ตึกกรรมฐานขาว 1 คืน รุ่งขึ้นตอนเช้าไปกราบลาท่านที่กุฏิ ท่านได้กรุณาเล่าเรื่องในอดีตชาติของดิฉันให้ฟัง ดิฉันดีใจมากจนน้ำตาไหล ได้นึกอยู่ในใจว่า

โอ... ชีวิตนี้ โยมถวายท่านได้เพื่อปกป้องท่าน และท่านได้แนะนำสั่งสอนในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตักเตือนให้ถือศีลห้าให้ครบถ้วน นับตั้งแต่นั้นมา ดิฉันก็เริ่มฝึกสมาธิ ถือศีลให้ถูกต้อง นับว่าเริ่มเรียนกันใหม่ ดิฉันเริ่มเข้าใจในการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นคืออะไร พอคุยได้นิดๆ หน่อยๆ พอให้ดิฉันเข้าใจเอง

ดิฉันนึกถึงพระคุณของหลวงพ่อมาก สิ่งใดที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นก็พอได้รู้ได้เห็นบ้าง เมื่อดิฉันและสามีมีเรื่องเดือดร้อนแก้ปัญหาไม่ตก ท่านจะกรุณาแนะนำ และช่วยคลี่คลายปัญหานั้น จนลุล่วงไปได้ด้วยดีทุกครั้ง แม้แต่ลูกๆ ของดิฉันท่านก็มีความเมตตา ดิฉันระลึกถึงพระคุณท่านเสมอ

ดิฉันยังไม่มีโอกาสที่จะรับใช้หลวงพ่อเหมือนเมื่อก่อน ระยะนี้แม้จะไม่ได้รับใช้ท่าน และประพฤติปฏิบัติธรรมใกล้หลวงพ่อเหมือนเมื่อก่อน แต่ดิฉันก็มีรูปท่าน มีเทปคำสั่งสอนและเทศน์ของท่านอยู่กับดิฉันตลอดเวลา เมื่อใดที่จิตของดิฉันคิดไม่ดีหรือมีอะไรไม่สบายใจ มีความกังวล ดิฉันจะพูดและท่องออกมาจากปากว่า “คิดถึงหลวงพ่อ” เป็นการห้ามจิตที่คิดไม่ดี ความกังวลและความไม่สบายใจจะหายและหยุดคิดสิ่งไม่ดีนั้นได้ชะงักนักแล

เวลาที่ดิฉันได้ข่าวท่านอาพาธ ดิฉันเป็นห่วงท่าน ก็ได้แต่ถามข่าวเท่านั้น เพราะมีความเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า ท่านมีนายแพทย์ที่มีความสามารถอยู่ดูแลท่านตลอดเวลา

ในฐานะที่ดิฉันเป็นศิษย์คนหนึ่งจึ่งขอกราบนมัสการนิมนต์หลวงพ่อ “พระคุณท่านพระราชพรหมยาน” ขอได้อยู่เจริญพรรษาอีกนานๆ ขอเป็นร่มโพธิ์แก้วของศิษย์ทั้งหลาย จนกว่าจะเข้าถึงนิพพานทุกคนค่ะ โดยเฉพาะโยมค่ะ

ขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย และ ขอกราบขอขมาต่อหลวงพ่อด้วยค่ะ

หมายเหตุ

พี่นวลน้อยเป็นผู้ที่มีจิตใจแจ่มใส ร่าเริง ใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอเวลาที่ทักทายกัน จึงเป็นที่รักและเคารพนับถือในหมู่ลูกศิษย์หลวงพ่อฯ ถือว่าเป็นผู้มีอาวุโสท่านหนึ่ง ในจำนวนลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของหลวงพ่อฯ เวลามีงานสำคัญของวัด พี่นวลน้อยจะเดินทางไปมาอยู่เสมอ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ พี่นวลน้อยจะห่างเหินไปจากวัดสักหน่อย เนื่องจากร่างกายเดินไม่ค่อยไหว

ถ้าจะย้อนอ่านตามบันทึกข้างบนของพี่นวลน้อย ที่เล่าว่าได้อ่าน หนังสือประวัติหลวงปู่ปาน ที่แจกในงานพระราชทานเพลิงศพของ คุณหลวงอรรถไกวัลวที ซึ่งบุตรสาวคือ คุณอรอนงค์ เป็นผู้พิมพ์แจก ซึ่งหลวงพ่อมักจะเรียกคุณอรอนงค์ คุณะเกษม ว่า "หมอนิดบิดตระกูด" นั่นหมายความว่า พี่นวลน้อยได้อ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ปี 2515 - 2516 ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้จัดพิมพ์จำหน่ายเหมือนในปัจจุบันนี้

ส่วนที่หลวงพ่อทักว่า “โยมยังอยู่นี้อีกเรอะ...." นั่นหมายความว่า หลวงพ่อท่านจำพี่นวลน้อยได้ ว่าเคยมีอดีตประวัติเกี่ยวข้องกับท่าน แต่พี่นวลน้อยบอกว่า "ท่านได้กรุณาเล่าเรื่องในอดีตชาติของดิฉันให้ฟังนั้น.." ไม่เห็นพี่นวลน้อยบันทึกให้พวกเราอ่านกันบ้างเลย

แหม..ตอนนี้คงมีคนอยากรู้บ้างเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ว่าพี่นวลน้อยเคยเกิดเป็นอะไรในชาติที่หลวงพ่อท่านเกิดเป็น "ขุนแผน" นะ ถ้าพี่นวลน้อยรู้ข่าวในเว็บไซด์นี้ ต้องขอประทานอภัยที่จะขอล่วงละเลิดสิทธิ์ส่วนบุคคล เพราะหากไม่เปิดเผย นานไปความรู้ที่หลวงพ่อบอกไว้ก็จะสูญหายไปด้วย

ขอบอกว่า..พี่นวลน้อย..เคยเกิดเป็น.. "นางทองประศรี" มาก่อน ภายหลังพวกเราเรียกพี่นวลน้อยว่า "ย่า" เหมือนกับเรียก พี่เฉลียว อาณาวรรณ ว่า "ย่าเหลียว" เช่นกัน เนื่องจากทั้งสองคนนี้หลวงพ่อบอกว่าเคยเป็น "แม่" ของท่านมาก่อน ส่วนนางทองประศรีเป็นใคร ไปถาม "ท่านขุนไกร" ที่วัดท่าซุงก็ได้ไงล่ะ..อย่าทำเป็นงง..!!!

และยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่พี่นวลน้อยไม่ได้บันทึกไว้ แต่ผู้เขียนได้รับการเล่ามาจากพี่นวลน้อยโดยตรง พี่บอกว่าแต่ก่อนเคยเอาพวกแมลงสาบที่วิ่งเพ่นพล่านอยู่ในบ้านใส่เตาปิ้งไฟฟ้า หลวงพ่อบอกว่าพวกสัตว์เหล่านี้ทุกตัวตน มันก็เคยเป็นคนมาก่อน เราฆ่าสัตว์หนึ่งตัว เท่ากับฆ่าคนหนึ่งคนเหมือนกัน ตั้งแต่นั้นมา พี่นวลน้อยบอกว่า จะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกเลย...!!!

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/7/09 at 11:58 [ QUOTE ]



ประชา สิกวานิช


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........จากหนังสือประวัติหลวงปู่ปาน ทำให้คณะ อันประกอบด้วยครอบครัวและเพื่อนที่สนใจในทางธรรมเดินทางไปยังวัดท่าซุง เพื่อจะได้กราบนมัสการหลวงพ่อ

“โยมมาจากไหนกันล่ะ” หลวงพ่อทักทายเมื่อได้กราบนมัสการท่านเป็นคำแรกจากท่าน

“ผมมาจากกรุงเทพฯ กันครับ”

“มาตามสายหรือมาตามเสียง” (หลวงพ่อหมายถึงว่าฟังจากวิทยุหรืออ่านหนังสือ)

“มาตามสายครับหลวงพ่อ”

แล้วก็ได้สนทนากับท่านอยู่เป็นเวลาพอสมควร ก็ได้กราบลาท่านกลับ

จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ที่หลวงพ่อได้เมตตาสั่งสอน และให้ได้ใกล้ชิดกับท่านก็นับเป็นเวลาเกือบ 20 ปีเศษ การเดินทางไปวัดท่าซุง แม้น้ำจะท่วมทางเข้าวัด จนรองเท้าในรถลอยไปลอยมา ก็ยังไป จะเป็นถิ่นกันดารหรือเต็มไปด้วยอันตราย ตามชายแดน ก็ได้ติดตามหลวงพ่อไป จนเรียกว่าจะรอบขอบเขตอาณาจักรไทย เหนือสุด ใต้สุด สุดตะวันออก และสุดตะวันตก

เหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ในการเดินทางไปกับหลวงพ่อ ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่รถโฟล์คตู้กำลังบ่ายหน้าไปสุโขทัย เมื่อเลยนครสวรรค์ไปเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 100 กม./ชม. รถจักรยานยนต์ที่วิ่งอยู่ข้างหน้า ขณะที่ตามกันมาก็ให้สัญญานเลี้ยวซ้าย รถโฟล์คตู้ จึงตีออกขวา เพื่อจะได้หลบและแซงขวาไปตามเกณฑ์ของความเร็ว

แต่รถจักรยานยนต์เจ้ากรรม ไม่ได้เลี้ยวซ้ายตามสัญญานที่ให้ กลับเลี้ยวขวาอย่างทันใด รถเราก็เลยต้องหักออกขวาตาม ก็ยังไม่พ้นรถจักรยานยนต์อยู่ดี เฉี่ยวรถจักรยานยนต์ล้มลง มารู้ภายหลังว่าคนขับข้อเท้าหัก แต่รถของเราซิเหาะลงข้างทาง

เมื่อมาถึงทางแยกที่รถจักรยานยนต์จะเลี้ยวเข้า ไหล่ทางตอนนั้นก็สูง ขนาดหลังคารถโฟล์คตู้เห็นจะได้ รถได้พุ่งไปโดยไม่เสียหลักเลย แม้ล้อจะไม่แตะพื้นขณะที่หลุดจากไหล่ทางลงไปประมาณ 10 กว่าเมตร รถที่ตามหลังมาในขบวนตกใจมาก เพราะฝุ่นตลบไปหมด

เสียงชาวบ้านที่อยู่แถบนั้น ตะโกนลั่นไปหมดว่า “หมดแล้ว หมดแล้ว..!”

แต่ทว่าเสียงในรถกลับเงียบกริบ หลวงพ่อนั่งสงบนิ่งอยู่ คุณโฉมเฉลาบอกทุกคนให้ "พุทโธ" เข้าไว้ "พุทโธ" เข้าไว้

อันนี้แหละ จึงกล่าวได้ว่า สติของลูกศิษย์หลวงพ่อตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลา ครอบครัวของผมทั้งหมดอยู่ในรถ ลูกชายสามคนนั่งข้างหน้ากับคนขับ ผมนั่งกับหลวงพ่อ ภรรยาและคณะนั่งอยู่เบาะหลัง เมื่อรถได้แตะพื้น และหยุดนิ่งลงด้วยเบรก ประกอบด้วยกับฝีมือคนขับที่ไม่ตกตะลึงกับเหตุการณ์ เราทุกคนปลอดภัยไม่มีใครบาดเจ็บเลย

ทุกวินาทีผ่านไปราวกับปาฏิหาริย์ เราเปิดประตูรถลงมา หลวงพ่อก็เดินลงมาดูว่า รถจะเป็นอะไรบ้างไหม รถในขบวนตามมาถึงพอดี ทุกคนบอกว่าใจหายหมด แต่แล้วก็ดีใจที่เห็น หลวงพ่อเดินฝ่าฝุ่นออกมา ชาวบ้านวิ่งมาถึงรถ ก็แสดงความแปลกใจที่รถและผู้โดยสารปลอดภัยหมด พร้อมทั้งบอกว่า

ต้นมะม่วงข้างทางที่รถเหาะข้ามมานั้น เพิ่มจะโค่นลงเหลือแต่ตอเมื่อ 2-3 วันมานี้เอง ไม่เช่นนั้นรถคงจงชนประสานงากับต้นมะม่วง เมื่อพ้นจากไหล่ทางทันที ก็เลยทำให้เราทุกคนต้องขอบคุณเทวดา ที่ท่านได้อนุเคราะห์ ให้รถหลวงพ่อเหาะลงแตะพื้น ราวกับเครื่องบินอย่างนุ่มนวล หลวงพ่อบอกว่า เทวดาท่านมาช่วยกันพยุงไว้เต็มไปหมด

เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี และที่ประทับใจที่สุดของคณะก็คือ สติที่มั่งคงไม่หวั่นไหว แม้ในยามนั้น แทนที่จะร้องกรีดกลัว กลับเป็นว่า ให้พุทโธกันเข้าไว้ นี่แหละศิษย์ของหลวงพ่อเราแหละ และศิษย์ทุกคนก็คงจะปฏิบัติได้เช่นเดียวกันแม้ในยามคับขันเช่นนี้ ซึ่งมีความตายคอยอยู่ข้างหน้าแค่ปลายจมูกก็ตาม

เมตตาบารมีของหลวงพ่อที่มีต่อคณะและครอบครัวของผม ยังคงมีเสมอมาโดยตลอดมิได้ขาด ธรรมเพื่อความหลุดพ้นของหลวงพ่อ ก่อให้เกิดความผูกพันทางใจที่บันดาลจิตให้ตื่น และเบิกบานในธรรมนี้แหละเป็นที่พึ่ง อันจะหาที่พึ่งอื่นเสมอมิได้เลยตลอดชีวิต.

หมายเหตุ

น.ต.ประชา สิกวานิช อดีตเคยดำรงตำแหน่ง ประธานศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร และเคยรับราชการเป็นนายทหารเรือมาก่อน ต่อมาได้ลาออกมาประกอบอาชีพส่วนตัว โดยมีโรงงานทำพลาสติก มีภรรยาชื่อว่า คุณอรุณ สิกวานิช ทั้งคู่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมานาน น่าจะเป็นยุคต้นๆ อีกเช่นกัน ตามที่ได้ตอบหลวงพ่อว่า "มาตามสาย" คือมาจากการอ่านหนังสือนั่นเอง

สมัยนั้น "หนังสือหลวงพ่อปาน" เพิ่งจะเริ่มพิมพ์ออกจำหน่ายที่บ้านสายลม คนที่อ่านแล้วเกิดมีความศรัทธา นั่นหมายความว่ามาตาม "ใบสั่ง" คำว่า "ใบสั่ง" ลูกศิษย์สมัยก่อนถือว่า ใครได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว จะต้องไปพบหลวงพ่อตามใบสั่ง คือ

เมื่อปี 2515 หลวงพ่อจะขอลาเข้าสู่พระนิพพาน แต่ท่านปู่พระอินทร์ได้ขอร้องให้หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ก่อน เพราะคนของท่าน คนของหลวงพ่อ คนหลวงปู่ปาน คนของสมเด็จองค์ปัจจุบันยังมาไม่ครบ

หลวงพ่อบอกว่า ก็รออยู่ตั้งนานแล้วทำไมไม่มาเสียทีล่ะ ท่านปู่พระอินทร์บอกว่า เอาละ..ต่อไปนี้ผมจะเกณฑ์เข้ามาละนะ หลวงพ่อต่อรองว่าคนนอกไม่ต้องเอาเข้ามานะ เพราะเวลามีน้อย (คำว่า "คนนอก" หมายถึงถ้าไม่ใช่สายของท่าน ก็ให้กันออกไปเลย)

เป็นอันว่าหลังจาก "หนังสือหลวงพ่อปาน" ออกมาเผยแพร่สู่สายตาท่านสาธุชนแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2515 ปรากฏว่ามีผู้คนสนใจกันมาก ต่างก็ตามหาว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหน แม้แต่ผู้เขียนเองก็เช่นกัน ต้องไปสืบหาถึงวัดบางนมโคโน่นนะ

ตานี้ขอย้อนกลับมาถึงคุณพี่ทั้งสอง คือ พี่ประชาและพี่อรุณ เมื่อปี 2518 ผู้เขียนได้มีโอกาสไปที่บ้านที่ยศเส เนื่องจากคุณพี่ทั้งสองชวนไปกราบ หลวงปู่บุดดา ถาวโร ซึ่งผู้เขียนได้กราบนมัสการหลวงปู่บุดดาเป็นครั้งแรกที่บ้านพี่ประชานี่เอง

คุณพี่ทั้งสองได้มีโอกาสติดตามไปทุกแห่งที่หลวงพ่อเดินทาง ไม่ว่าจะไปบวงสรวงที่พระธาตุจอมกิตติและพระธาตุดอยตุง แม้กระทั่งไปเยี่ยมเยียนทหารตำรวจตระเวณชายแดนในที่ทุกหนทุกแห่ง สมัยนั้นลูกศิษย์หลวงพ่อยังไม่มาก ส่วนใหญ่จะรู้จักกันทั้งนั้น


ภาพนี้เป็นภาพเดียวที่เหลืออยู่ : หลวงพ่อและหลวงปู่จากภาคเหนือ
ขณะนั่งรอที่จะเข้าไปทำพิธีปลุกเสกภายในพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศน์ฯ

เมื่อปี พ.ศ. 2518 งานสำคัญที่พี่ประชาและพี่อรุณได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อฯ นั่นก็คือจัดทำ "ผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม" นับจำนวนเป็นแสนผืน พร้อมกับ "เสื้อยันต์" อีกด้วย เพื่อเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่ วัดบวรนิเวศน์ฯ กรุงเทพฯ เพื่อนำไปแจกให้แก่ทหารตำรวจตระเวณชายแดนทั่วประเทศ ผ้ายันต์ธงแดงชุดนี้ จึงยังคงเหลืออยู่ที่วัดท่าซุงจนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งเป็นผลงานที่พี่ประชาจัดทำถวาย ด้วยการพิมพ์ยันต์ลงไปในผืนผ้าแดงนับสิบม้วน

งานมหาพิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชประสงค์ให้หลวงพ่อนิมนต์พระสุปฏิปันโนทางภาคเหนือเดินทางมาร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย พร้อมกับพระองค์ได้ทรงอาราธนาพระเกจิอาจารย์สายอื่นๆ มาร่วมพิธีอีกมากมายหลายสิบรูป

ผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามนี้ จึงเป็น "วัตถุมงคล" ที่พิเศษของวัดดังกล่าวแล้ว คุณพี่ประชาจึงมีอุปการคุณแก่วัดเป็นอันมาก สมควรที่จะได้ยกย่องเป็นปูชนียบุคคลอีกท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่พี่ประชาได้จากโลกนี้ไปตามกฏธรรมดา หลังจากได้รับพระราชทานเพลิงศพไปไม่นานนี่เอง.

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 17/7/09 at 09:56 [ QUOTE ]



วีวรรณ คำนวณกิจ


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........หลวงพ่อเจ้าค่ะ ลูกดีใจเมื่อทราบว่าหลวงพ่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระราชพรหมยาน” แต่ลูกขออนุญาตหลวงพ่อ ขอเรียกหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อ” ต่อไป เพราะลูกต้องเรียกหลวงพ่อให้ช่วยลูกอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าลูกจะมีความทุกข์ หรือลูกจะได้รับอันตราย ลูกต้องการความคุ้มครอง

ลูกจำได้เสมอว่า หลวงพ่อได้เมตตาต่อลูก ทำให้ลูกมีความรู้สึกเข้มแข็งที่จะต้องผจญกับเหตุการณ์ต่างๆ ลูกต้องระลึกถึงพระคุณของหลวงพ่อ ลูกต้องขอยึดเหนี่ยวหลวงพ่อ

ลูกจำได้ว่า หลวงพ่อสอนไม่ให้ติดในบุคคล ให้ยึดเหนี่ยวคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นที่พึ่ง ลูกก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่หลวงพ่อสอนลูกไว้ ลูกได้กราบไหว้และระลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์ และยึดเหนี่ยวคำสั่งสอนของท่านไว้เป็นที่พึ่งอยู่ตลอดเวลา แต่ลูกก็อดไม่ได้ที่จะยึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งของลูกอีกองค์หนึ่งด้วย

ลูกยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งที่ลูกมีความทุกข์ และต้องการความช่วยเหลือ ต้องการความคุ้มครอง เมื่อลูกไปกราบหลวงพ่อและรับพรจากหลวงพ่อแล้ว รู้สึกเหมือนมีกรอบคุ้มกันลูกให้ปลอดภัย ทำให้ลูกเข้มแข็ง กล้าเผชิญต่อเหตุการณ์ร้ายๆ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปด้วยดี และปลอดภัย

อีกครั้งหนึ่งที่คณะของลูกได้เดินทางตามหลวงพ่อไป เนื่องจากพวกเราต้องทำงานกัน จึงต้องเดินทางตามคณะหลวงพ่อไปตอนหลัง โดยออกเดินทางเวลากลางคืน ไปที่วัดที่อำเภอแม่สอด พวกเราได้เดินทางโดยรถบัสขนาดกลาง พวกเราให้ชื่อรถคันนั้นว่า “ต่องแต่ง” และ “โตงเตง” บังเอิญผู้ที่อาสาขับรถให้ยังไม่ชำนาญรถคันนี้ ก็ไม่สามารถขับขึ้นเนินเขาสูงได้ พวกเราจึงต้องค่อยๆ คลานลงจากรถทีละคน ลงมาอยู่กลางป่า ในความมืดและวังเวง

ลูกยังจำได้ว่าทุกคนร้องหาหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อช่วยลูกด้วย คนไหนช่างพูด ก็พรรณนาหาหลวงพ่อมากมายจนจำคำพูดไม่ได้ คนไหนไม่ช่างพูดก็พรรณนาถึงหลวงพ่อน้อยหน่อย แต่อาจจะเรียกหาหลวงพ่ออยู่ในใจ ต่อมาประมาณครึ่งชั่วโมง ผู้ที่ขับรถก็สามารถแก้สถานการณ์ได้โดยง่าย ทุกๆ คนก็บอกว่า “เห็นไหม บารมีของหลวงพ่อ” ทำให้รถวิ่งได้ฉิวไปเลย

ลูกมานึกขำว่าเมื่อกี้นี้ร้องเรียกหาหลวงพ่อกันระงม แต่ตอนนี้ก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ลูกมาคิดๆ ดูว่าพวกเรานี่ ช่างหาเรื่องกวนหลวงพ่อกันเสียจริงๆ หลวงพ่อไม่ต้องหลับต้องนอนกัน ทำอะไรไม่ได้ก็ร้องหาหลวงพ่อกัน ลูกๆ พวกนี้ช่างเป็นลูกที่งอแง เลี้ยงไม่รู้จักโตกันเสียที

เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้น เมื่อพวกเราเพิ่งมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อใหม่ๆ ขณะนี้พวกเรารู้สึกว่าได้รับคำสั่งสอนของหลวงพ่อมากขึ้น จนสามารถปฏิบัติตัวและรู้แจ้งมากขึ้น สามารถพิจารณาได้ดีขึ้น ก็มีความรู้สึกเข้าใจในความทุกข์ ความกลัว และสามารถทำจิตใจได้ และสามารถระงับอารมณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น

ต่อไปนี้ก็คงจะรบกวนหลวงพ่อน้อยลงไปได้บ้าง แต่หลวงพ่อก็คงจะยังเหนื่อยอยู่ ซึ่งอาจจะต้องเหนื่อยกว่าเดิม เพราะหลวงพ่อมีลูกเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ลูกๆ พวกนี้ก็คงจะร้องให้หลวงพ่อช่วยเหมือนพวกเราอีกก็เป็นได้

ลูกจำความเมตตาของหลวงพ่อในการร่วมเดินทางไปกับหลวงพ่อ ไม่ว่าเดินทางในประเทศหรือต่างประเทศ หลวงพ่อมีความห่วงใยดูแลทุกข์สุขของลูกๆ ทุกคนเหมือนๆ กัน ทำความปลาบปลื้มให้กับลูกๆทุกคน

พวกคณะของลูกทุกคนมีความซาบซึ้งในตัวหลวงพ่อมาก พวกเราทุกคนถ้าติดตามหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด ก็รู้สึกมีความอบอุ่นมั่นใจ มีความสุขใจ ลืมความทุกข์ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะตลอดเวลาท่านพูดคุยกับลูกๆ พร้อมกับสอดแทรกคำสั่งสอนให้พวกลูกๆ

ลูกคิดว่าถ้าทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อ ทุกคนก็จะมีความสุข และมุงมั่นที่จะประกอบกรรมดี เพื่อความสุขในภพนี้และภพหน้า และจะมีการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี

ความจริงลูกยังมีเรื่องราวอีกมากมายนัก ถ้าจะบรรยายกันก็คงจะไม่มีวันจบ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประทับใจลูกอยู่ตลอดเวลาก็คือ ความเมตตาของหลวงพ่อที่มีต่อลูก คำสั่งสอนขอหลวงพ่อที่ได้อบรมสั่งสอนลูก ลูกไม่จำเป็นต้องเอามาเล่าให้ทุกๆคนฟัง เพราะคิดว่าลูกหลวงพ่อก็คงได้รับเหมือนๆ กันทุกคน และทุกๆ คนก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่ออย่างดีมาแล้วทุกคน

ลูกจึงขอกราบหลวงพ่อ และยึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งทางจิตใจของลูกและขอปวารณาตัวเป็นลูกที่มีความกตัญญู รับใช้หลวงพ่อไปจนตราบชิวิตจะหาไม่..

หมายเหตุ

บันทึกของคุณหมอวีวรรณนี้ นับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก บ่งบอกถึงความศรัทธาของ "พี่หมอ" ที่มีต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ แต่พี่หมอไม่ได้เล่ารายละเอียดตั้งแต่ต้นว่า พี่หมอได้พบหลวงพ่อเมื่อไร และมีเหตุอะไรที่สนใจในพระพุทธศาสนา พี่หมอวีวรรณทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ เป็นคนที่มียศมีตำแหน่งด้วย

แต่ว่าพี่หมอก็เป็นคนอ่อนโยน ไม่ถือเนื้อถือตัว มีความศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา โดยได้ซื้อรถมินิบัสถวายหลวงพ่อเพื่อไว้ใช้งาน หลวงพ่อจึงตั้งชื่อว่า "ต่องแต่ง" ส่วนรถ "โตงเตง" เป็นรถมินิบัส 25 ที่นั่งเช่นกัน ท่านเจ้ากรมเสริมและพี่อ๋อยเป็นผู้ซื้อถวายใช้ในงานของศูนย์สงเคราะห์ฯ ซึ่งเป็นรายได้ในการจำหน่ายหนังสือและวัตถุมงคลที่บ้านสายลม ปัจจุบันรถทั้งสองคันนี้หมดสภาพไปตามกาลเวลาแล้ว

ถึงแม้พี่หมอจะไม่ได้เล่าว่าพบหลวงพ่อเมื่อไร แต่ถ้าใครได้ไปวัดท่าซุง จะเห็นชื่อของพี่หมอวีวรรณ คำนวณกิจ ติดอยู่ที่ซุ้มประตูด้านข้างพระอุโบสถ นั่นหมายถึงว่า พี่หมอได้พบหลวงพ่อตั้งแต่ปี 2517 หรือก่อนปี 2517 ด้วยซ้ำไป และคงจะได้อ่านหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน" เช่นกับคนอื่นๆ มาแล้ว

ผลงานในด้านการอุปถัมภ์วัดท่าซุงของพี่หมอมีมากมาย หากจะบรรยายก็คงจะไม่หมด เสียดายที่พี่หมอบันทึกน้อยไป แต่ตามบันทึกของพี่หมอเรียกตัวเองว่า "ลูก" ทุกคำ นั่นเป็นอันที่รู้กันว่า คุณหมอมีความรู้สึกรักและเคารพหลวงพ่อ เสมือนเป็นพ่อบังเกิดเกล้าจริงๆ

ทาง "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" จึงได้มีโอกาสนำเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ มาเล่าเสริม แต่อาจจะเล่าไม่ครบทุกท่าน ทางทีมงานต้องขออภัยด้วย หรืออาจจะเล่าผิดพลาดไปบ้าง เพราะเหตุการณ์ผ่านมานานหลายสิบปี แต่ก็มีท่านผู้ชมเข้ามาอ่านกันเยอะ แสดงให้เห็นว่า "ลูกศิษย์บันทึก" ตอนพิเศษนี้ คือมีการเล่าเสริมเป็นพิเศษจริงๆ

ในท้ายที่สุดนี้ ขอย้อนนำบันทึกในตอนสุดท้ายของพี่หมอที่กล่าวว่า..

ลูกจึงขอกราบหลวงพ่อ และยึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งทางจิตใจของลูกและขอปวารณาตัวเป็นลูกที่มีความกตัญญู รับใช้หลวงพ่อไปจนตราบชิวิตจะหาไม่..

นับว่าเป็นคำลงท้ายที่มีความหมายยิ่ง ควรที่ลูกหลานหลวงพ่อทุกคน จะได้ยึดถือเป็นแบบอย่างเช่นกัน คำว่า "กตัญญู" หมายถึงการประพฤติตนตามคำสอนของท่าน หรืออุปถัมภ์บำรุงวัดท่าซุงที่ท่านสร้างไว้ ก็ถือว่าได้แสดงความกตัญญูต่อองค์หลวงพ่อแล้ว ไม่ใช่วอกแวกไปโน่นไปนี่เหมือนสมัยนี้

ผลงานของพี่หมอนับเป็นเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นถึงความ "กตัญญู" ต่อหลวงพ่อตลอดมา ทั้งได้มีโอกาสกระทำตามบันทึกที่กล่าวไว้เป็นคำสุดท้ายว่า..

"จะขอรับใช้หลวงพ่อไป..จนตราบชิวิตจะหาไม่.."

คำนี้ก็เป็นจริงสมดังเจตนาของ "พี่หมอ" แล้วทุกประการ เพราะพี่หมอก็ได้ปฏิบัติจนหลวงพ่อจากไปก่อน ต่อมาภายหลังพี่หมอ...ก็ได้จากโลกนี้ไปแล้วเช่นกัน..!

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 21/7/09 at 08:34 [ QUOTE ]



ทันตแพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์

หลวงพ่อมีความเมตตาอันหาประมาณที่สุดไม่ได้

หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑


"..........เมื่อกลางปี พ.ศ. 2513 ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ. พระนครศรีอยุธยา ประพันธ์โดย พระมหาวีระ ถาวโร ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสในเมตตาบารมีของหลวงพ่อปานมาก จึงได้ขอร้องให้ ม.ร.ว.คุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุล ช่วยพาข้าพเจ้าเข้านมัสการหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ที่บ้าน พล อ.ท.ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ ซอยสายลม ถนนพหลโยธิน เพื่อจะได้เรียนและฝึกปฏิบัติธรรมบ้าง

ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่า หลวงพ่อเป็นพระอาจารย์สอนด้านสมถวิปัสสนากรรมฐาน มี ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักใหญ่ ณ ศูนย์ปฏิบัติพระกรรมฐาน วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี ศูนย์ปฏิบัติธรรมนี้ หลวงพ่อสร้างขึ้นเพื่อบูชาพระคุณหลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นพระปรมาจารย์ของหลวงพ่อ ที่ศูนย์นี้มีพระภิกษุสงฆ์ พุทธบริษัท ประชาชน จากจังหวัดต่างๆ มาปฏิบัติธรรมอยู่เสมอ

นอกจากนี้แล้วหลวงพ่อยังเป็นนักพัฒนาช่วยเหลือผู้ยากจน โดยได้พาพระสงฆ์และคณะศิษย์พร้อมด้วยประชาชนผู้มีจิตเมตตาออกเยี่ยมและบริจาคเครื่องอุปโภคและบริโภคแก่ราษฎรที่ยากไร้ในแดนทุรกันดารทุกภาค เพื่อให้ผู้ยากจนเหล่านั้นได้มีการกินดีอยู่ที่ดีขึ้น หลวงพ่อช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแก่พี่น้องชาวไทย โดยให้ทั้งวัตถุและกำลังใจด้วยรสพระธรรมที่ง่ายๆ ฟังแล้วก่อให้เกิดความหวังที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไป การช่วยเหลือเป็นไปตามความเหมาะสมและความต้องการของผู้ขาดแคลนในท้องถิ่นนั้นๆ

นอกจากหลวงพ่อจะได้ช่วยเหลือราษฎรแล้ว หลวงพ่อยังได้พาพระภิกษุสงฆ์และคณะศิษย์ออกเยี่ยมมอบอาหาร ยารักษาโรค เครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และวัตถุมงคลแก่ทหารและตำรวจที่ประจำหน้าที่ป้องกันภัยตามชายแดนของประเทศในจังหวัดต่างๆ ทุกภาคเป็นประจำ

การออกไปสงเคราะห์ราษฎรและทหารตำรวจนี้ ได้ดำเนินมาอย่างจริงจังไม่ว่างเว้น โดยทำตามกำลังทุนทรัพย์ที่มีคณะศิษย์บ้าง ประชาชนบ้าง พุทธบริษัทญาติโยมบ้าง มีศรัทธาเสียสละบริจาคทรัพย์และสิ่งของต่างๆ ถวายหลวงพ่อเพื่อสงเคราะห์ผู้ยากจนเป็นระยะยาวนานสืบมา หลวงพ่อเป็นพระนักพัฒนาทั้งในวัดนอกวัด ทั้งทางโลกและทางธรรมตลอดเวลาที่ผ่านมาประมาณ 30 ปี

เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2519 พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ได้เสด็จมานมัสการหลวงพ่อและทรงศึกษาการปฏิบัติธรรมจากหลวงพ่อ พระองค์เจ้าหญิงฯ ทรงนิมนต์หลวงพ่อร่วมการเดินทางไปเยี่ยมราษฎร ทหาร ตำรวจชายแดน และช่วยเหลือผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ทุกโอกาสที่เสด็จไป ไม่ว่าจะเป็นภาคใด จังหวัดไหน นับครั้งไม่ถ้วนตราบจนถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต สิ้นพระชนม์ลง ณ ที่บ้านเหนือคลอง อ.พระแสง จ. สุราษฎร์ธานี

ครั้นเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงนิมนต์หลวงพ่อเข้าเฝ้าที่พระราชวังสวนจิตรลดา ทรงมีพระราชปรารภเป็นการส่วนพระองค์ให้หลวงพ่อตั้ง ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดาร ขึ้น โดยมีศูนย์กลางปฏิบัติงานอยู่ที่วัดจันทาราม (วัดท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี และทรงรับสั่งให้หลวงพ่อเป็นองค์อำนวยการศูนย์ฯ นี้ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 100,000 บาท และยาป้องกันรักษาโรคมาเลเรีย 4 หีบใหญ่ให้แก่ศูนย์ฯ นี้อีกด้วย

หลวงพ่อเล่าให้คณะศิษย์ฟังว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงราษฎรในถิ่นทุรกันดารที่ยากจนซึ่งมีจำนวนมากมาย เนื่องจากในกลางปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา ในจังหวัดต่างๆ ทั่วทุกภาคเกิดภัยธรรมชาติรุกราน ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล พื้นดินแตกระแหงแห้งแล้ง ราษฎรขาดน้ำทำไร่ทำนาปลูกพืชผล แม้น้ำจะดื่มอุปโภคก็หายาก ผลประโยชน์ที่เคยหาได้เพื่อยังชีพก็ขาดไปถึงกับต้องขุดกลอย ขุดมัน ใช้กินต่างข้าวพอประทังชีวิตไปวันหนึ่งๆ อดอยากยากจนมีทุกข์เดือดร้อนน่าเวทนายิ่งนัก

บางหมู่บ้านถึงกับทิ้งไร่นาบ้านช่องของตนเข้าไปอยู่ในป่าพงดงดิบตามยถากรรม ความทุกข์ของพี่น้องชาวไทยซึ่งมีมากมายทั่วถิ่นทุรกันดารเหล่านั้น เสมือนเป็นความทุกข์ของพระองค์เองด้วย ควรจะต้องรีบช่วยเหลือในปัญหาเฉพาะหน้าก่อนอื่น ให้เหล่าราษฎรบรรเทาความอดอยากตามสมควร เพื่อจะได้มีกำลงกายกำลังใจค่อยๆ ตั้งตัวทำมาหาเลี้ยงชีพเองต่อไปได้

หลวงพ่อได้เร่งจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ฯ สนองพระราชปรารภทันที โดยมีจุดมุ่งหมายดังนี้

1. ช่วยสงเคราะห์การอยู่กิน การเจ็บป่วย และช่วยเครื่องอุปโภคที่จำเป็นแก่ราษฎรที่ยากจนจริงๆ เป็นครั้งคราว เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

2. ตั้งสาขาของศูนย์สงเคราะห์ฯ ในจังหวัด อำเภอ ตำบลต่างๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อการสงเคราะห์จะได้ดำเนินโดยต่อเนื่องกันไป

3. แนะนำการทำมาหากิน การประกอบอาชีพที่เหมาะสมแก่ท้องถิ่นที่ตนอาศัยอยู่ เช่นการเกษตร การกสิกรรม การพัฒนาท้องถิ่นที่อยู่ ให้เป็นประโยชน์ต่อตนและส่วนรวม ตลอดจนช่วยหาแหล่งน้ำให้

4. ช่วยเหลือการจัดตั้งโรงเรียน เพื่อให้เยาวชนมีการศึกษาตามมาตรฐานที่กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งเป็นหลักเกณฑ์ไว้

5. จัดตั้งธนาคารข้าวทั่วไปทุกท้องถิ่น ให้ราษฎรในท้องถิ่นเป็นผู้จัดการและกรรมการดำเนินการเอง เพื่อให้ราษฎรได้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมถิ่นเดียวกัน ตามระเบียบของธนาคารข้าวที่ศูนย์ฯ ตั้งเป็นกฎระเบียบไว้

6. ตั้งโครงการในการแก้ปัญหาต่างๆ ระยะยาว โดยมีสาขาของศูนย์สงเคราะห์ แทน

7. พัฒนาจิตใจของของราษฎร โดยการพัฒนาจิตใจของของราษฎร โดยการปลูกฝังจริยธรรมให้มีปัญญาในทางที่ชอบ มีสัมมาอาชีวะ รู้จักหวงแหนผืนแผ่นดินไทยที่ตนกำเนิดเกิดมา ได้อยู่อย่างร่มเย็น รู้ตอบแทนและต่อสู้ศัตรูผู้เป็นภัยมารุกรานประเทศชาติ

เมื่อหลวงพ่อตั้งศูนย์ฯ นี้ขึ้นมา มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์ สิ่งของ เสื้อผ้า ผ้าห่ม ยารักษาโรค อาหารแห้ง ข้าวสาร อุปกรณ์ในการศึกษา รถยนต์ที่ใช้ในการเดินทาง ฯลฯ โดยเสด็จพระราชกุศลให้ศูนย์ฯ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชวังสวนจิตรลดา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า

“ขอให้ท่านทั้งหลายควรที่จะหาวิธีการช่วยเหลือ หาอาชีพ ให้ราษฎรที่ยากจนในท้องถิ่นทุรกันดารได้ประกอบอาชีพ ตั้งหลักตั้งฐานอยู่ในท้องถิ่นของตน เลี้ยงตนเองและครอบครัวอย่างมีความผาสุกต่อไป ขอให้ท่านทั้งหลายจงอย่าคิดว่า เมื่อเราช่วยเหลือครั้งนี้แล้วก็หยุด ถ้ามีโอกาสที่เราจะช่วยได้ก็จงช่วยกันต่อๆ ไป และการที่จะช่วยเหลือนี้ก็อย่าคิดว่าเราได้รับผลตอบแทน

ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว การเสียสละของท่านทั้งหลายในส่วนที่เป็นกุศลนี้มีคุณค่ามหาศาล ยากที่จะหาสิ่งตอบแทนใดมาเทียบกันได้ นับว่า การกระทำของท่านทั้งหลายเป็นสิ่งที่น่าชมเชยและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยิ่ง”

หลวงพ่อได้เร่งนำพระสงฆ์และคณะศิษย์ออกเยี่ยมบริจาควัตถุสิ่งของต่างๆ ตามรายการที่สำรวจรับทราบว่า มีราษฎรจำนวนเท่าไรที่ขาดแคลนยากจนจริงๆ และตามความต้องการของเขา ทั้งที่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ทหาร ตำรวจ เจ้าอาวาสในท้องถิ่นนั้นๆ คณะศิษย์และประชาชนผู้มีจิตศรัทธาเมตตาร่วมการสำรวจ และร่วมกำลังกายกำลังใจกำลังทรัพย์ให้ศูนย์ฯ และออกร่วมเดินทางกับคณะ

ซึ่งมีหลวงพ่อองค์อำนวยการศูนย์ฯ เป็นประธานร่วมไปทุกครั้ง ไม่ขาด การเดินทางเข้าป่าเขาที่แสนทุรกันดาร เต็มไปด้วยความลำบากและอันตรายรอบด้าน สมชื่อถิ่นทุรกันดารจริงๆ เป็นป่าลึก ภูเขาสูงชันบ้างต่ำบ้าง ที่ราบที่แฉะชื้นดินเป็นโคลนตมเป็นห้วยเป็นลำธาร มีอันตรายทั้งธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากที่สุดที่ไม่เคยคิดมาก่อน โดยเฉพาะในแดนที่มีฝ่ายตรงข้าม ที่ไม่หวังดีต่อชาติซ่องสุมผู้คนอยู่ ขณะนั้นมีจำนวนไม่น้อย ในแต่ละจังหวัด

ฉะนั้น ทุกคนที่ร่วมมาปฏิบัติงานของศูนย์ฯ นี้ ต้องพร้อมเสมอที่จะสละร่างกายของตนได้ทุกเมื่อ ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ต้องอาศัยอยู่ในโรงทหารและตำรวจบ้าง ในวิหารที่เก่าแก่ของวัดบ้าง ต้องกินเพื่ออยู่ท้อง ต้องสามารถช่วยตนเองได้ทุกกรณี

หลวงพ่อได้กล่าวเตือนว่า “การเดินทางทุกครั้งของลูกรักทั้งหมดจงอย่ามีความประมาท และก็จงอย่าคิดว่าอันตรายจะไม่มีกับเรา ถ้าบังเอิญจะพึงมีอันตรายเกิดขึ้น ก็จงคิดว่าเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม เราทำดีที่สุดแล้ว เราเสียสละทุกอย่าง ชีวิตและเลือดเนื้อเราก็ยอม

ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีความสุข ความทุกข์มันจะเบียดเบียนเพราะ การเกื้อกูลบรรดาพี่น้องเจ้าไทยและไม่ใช่ไทยให้เขามีความสุขตามกำลังความสามารถของเราที่จะพึ่งทำได้ เป็นการสนองพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้คณะของเราตั้งศูนย์ขึ้น ในนามของพระองค์เป็นศูนย์สงเคราะห์ ทุกคนที่ร่วมงานของศูนย์นี้ไม่คิดเป็นปรปักษ์กับใคร จิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปราณี ถ้าเป็นเรื่องของประเทศชาติแล้ว จงสละความสุขส่วนตนเสียแล้วมุ่งหน้าช่วยเหลือกัน โดยกระทำทุกทางเพื่อส่วนร่วมเป็นสำคัญ ด้วยความเข็มแข้งและกล้าหาญจะประมาทเสียมิได้”

ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดารตามพระราชประสงค์ฯ นี้ หลวงพ่อเรียกว่า “สังคหวัตถุศูนย์ คือ เป็นศูนย์ที่มีการสงเคราะห์คนในด้านวัตถุและกำลังใจ”

ทุกครั้งที่หลวงพ่อพาคณะศิษย์ไปสงเคราะห์ผู้ยากจนก็ดี ไปเยี่ยมและบริจาควัตถุมงคลแก่ทหาร ตำรวจชายแดนก็ดี สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อได้มีเมตตาแก่คณะศิษย์นั้นคือ ทุกครั้งเมื่อการปฏิบัติงานเสร็จสิ้น หลวงพ่อจะพาคณะศิษย์ไปเคารพนมัสการวัดวาอาราม ปูชนียสถานและอนุสรณ์สถานต่างๆ ในจังหวัดนั้น

หลวงพ่อจะเล่าความเป็นมาและเหตุผลการสร้างวัดและปูชนียสถาน ซึ่งพระมหากษัตริย์และบรรพชนไทยในสมัยโบราณสร้างไว้ ด้วยความรักเทิดทูนหวงแหนประเทศชาติศาสนามากอย่างไร ท่านเสียสละมากเพียงไหน เพื่อให้ชาติศาสนาดำรงอยู่ให้ลูกหลานรุ่นหลังได้อยู่เย็นเป็นสุข คณะศิษย์และผู้ติดตามต่างซาบซึ้งในความเสียสละของท่าน พากันบริจาคทรัพย์สินไว้ซ่อมแซมบูรณะบ้าง ปัจจัยสี่บ้าง สร้างถาวรวัตถุเพิ่มขึ้น เพื่อให้เอกลักษณ์และความสำคัญของสถานที่นั้นๆ ยังคงไว้ซึ้งความศักดิ์และความสำคัญในการต่อไป

การบริจาคนี้เป็นวิหารทาน ธรรมทาน สังฆทานโดยสมบูรณ์ คณะศิษย์ผู้ร่วมงานไม่เคยนึกเหนื่อยและท้อถอย ไม่เคยออกกำลังกายกำลังใจเพื่อช่วยเหลือกิจการในส่วนสาธารณประโยชน์เหล่านี้ เมื่อทราบว่าหลวงพ่อจะนำคณะออกไปเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร ต่างก็พากันมาที่ศูนย์กลางเพื่อจัดการเตรียมของต่างๆ ไว้บริจาค ซึ่งเป็นงานหนักมาก ใช้เวลาเตรียมล่างหน้าเป็นเดือนๆ เมื่อของที่เตรียมไว้สงเคราะห์พร้อมแล้ว หลวงพ่อก็จะนำคณะออกเดินทาง ซึ่งแต่ละคราวมีจำนวนประมาณ 60-150 คน

ข้าพเจ้าเชื่อว่า คณะศิษย์ที่ติดตามทุกคน มีความประทับใจมากในการเดินทางไปสงเคราะห์ผู้ยากจนทุกครั้ง ต้องผจญภัยไม่รู้จักจบบ้าง สลดใจน่าสงสารในความยากจนของพี่น้องไทยบ้าง คราวใดในยามค่ำคืนหลังอาหารเย็นแล้ว หลวงพ่อจะมีการสนทนาธรรมและสรุปผลการปฏิบัติงานในแต่ละวันนั้นๆ เป็นปกติ ถ้ามีข้อบกพร่องจะได้แก้ไขให้ดีขึ้น เช่น

วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2522 หลวงพ่อได้พาคณะศิษย์จำนวน 82 คนไปเยี่ยมราษฎรที่ยากจนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในการเดินทางนี้ได้นำข้าว รักษาโรค เครื่องอุปโภคบริโภค ผ้าห่ม ฯลฯ ไปแจกแก่ราษฎรใน อ.แม่ลาน้อย อ.แม่สะเรียง อ.ขุนยวงฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ต.ออบหลวง ฯลฯ

หลวงพ่อและคณะพักที่หน่วยชลประทาน ซึ่งเป็นอาคารสร้างไว้หลายปีแล้ว ในค่ำคืนนั้นหลวงพ่อได้ออกมานั่งอยู่ในกระโจมเล็กๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีไฟฉายอยู่ 1 อัน ก่อนออกไปนั่งชุมนุมกัน หลวงพ่อเตือนว่าให้ลูกหลาน (คณะศิษย์) ใส่เสื้อกันหนาวให้เต็มอัตรา ผ้าพันคอ ผ้าห่ม หมวก ถุงมือใส่ให้หมด

เพราะศูนย์ชลประทานอยู่บนดอย อากาศตอนนั้นไม่ได้วัดเพราะไม่มีปรอท แต่พอจะคะเนได้ราวๆ 8-10 องศา อากาศแสนจะหนาวเหน็บ นั่งเบียดกันเท่าไรๆ ก็ไม่หายหนาว น้ำค้างหยดพรมลงมากเรื่อยๆ อากาศมืดเพราะค่ำคืนแล้ว คณะศิษย์นั่งอยู่กลางสนามหญ้ากว้าง บนใบสักที่หล่นทับถมอยู่หนาชั้น ใต้ใบสักนั้นมีมดดำตัวโตๆ เดินเล่นไปมา(เข้าใจว่าคงมีครอบครัวอยู่ข้างล่างใต้ดิน) ธรระที่หลวงพ่อสนทนาในคืนนั้นมีใจความสั้นๆว่า

“การเดินทางมาสงเคราะห์ครั้งนี้ลำบากกว่าทุกครั้ง เพราะมาพบอากาศหนาวเย็นเหลือเกิน อีกทั้งมีอันตรายรอบด้าน เราถูกติดตามโดยผู้ไม่หวังดีต่อประเทศไทยคอยตามล่าชีวิตพวกเรา เขามีกันหลายพวกกระจายอยู่ในที่ต่างๆ การสงเคราะห์บริจาคแก่ผู้ยากจนก็ถูกเขาขัดขวางทุกทางไม่เลือก จนผู้ยากจนจริงๆ อยากได้ยา อยากได้เสื้อผ้า ผ้าห่ม ข้าว อาหาร ก็ไม่กล้าบอกไม่กล้าออกมา เขาผลักไสให้ที่อื่น แต่เราก็ต้องแจกให้กับเขาไป ขอให้พวกเรานึกว่า การให้ครั้งนี้เป็นทาน อย่านึกว่าเราบริจาคแล้วจะไม่ได้ผล เราได้เสียสละแล้วและไม่โกรธเคืองเขา แม้ชีวิตเราแทบจะเอาตัวไม่รอด ผลที่เราได้ในวันนี้คือ ทานและอภัยทาน อันเป็นปรมัตถทาน”

เรามีความเชื่อมั่นว่า ด้วยพระบรมเดชานุภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่แผ่ไปทั่วขอบขัณฑสีมาอาณาจักรไทยนั้น ปกเกล้าปกกระหม่อมคณะเราทั้งหลายให้แคล้วคลาดจากภยันตรายนานาประการ ให้เราได้ปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นลงด้วยดีแต่ละครั้งเสมอมา

ในการเดินทางไปสงเคราะห์ผู้ยากจน หลวงพ่ออาพาธบ่อยเพราะกระเพาะอาหารและลำไส้ไม่ทำงานตามปกติ หลวงพ่อก็ไม่ได้หยุดยั้งการไปช่วยเหลือตามถิ่นทุรกันดาร ถ้าหลวงพ่อมีแรงพอไปได้ หลวงพ่อก็จะเดินทางไปโดยมีหน่วยแพทย์นำยาและน้ำเกลือไปด้วย เพื่อถวายการรักษาหลวงพ่อ

เราคณะศิษย์ผู้ร่วมเดินทางไปปฏิบัติงานได้เห็นภาพหลวงพ่อนอนให้นายแพทย์ใส่สายน้ำเกลือในวาระและสถานที่พักที่ออกปฏิบัติงานที่กันดารบ่อยครั้ง หลวงพ่อมีอายุมากแล้ว หลวงพ่อก็ยังมีเมตตาสูง รักและห่วงใยความเป็นอยู่ที่ยากจนของพี่น้องชาวไทยและเพื่อนร่วมโลก ปรารถนาจะให้เขามีความสุขพ้นทุกข์โดยไม่เลือกชาติ ศาสนา

หลวงพ่อปรารภว่า “เมื่อร่างกายไม่ดี แต่ใจสบายก็จะขอสงเคราะห์พุทธบริษัทและญาติโยมด้วยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมทาน จะไปสนใจกับร่างกายทำไม ถ้ายังไม่ตายเพียงใด เราเลี้ยงมันแล้วเราต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์ ” และ

“ขอทุกคนจงนำพระราชจริยานุวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปปฏิบัติตาม ทุกคนจงคิดว่าศูนย์ฯ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมอบให้พ่อมานี้ เป็นศูนย์ฯ ของลูกทุกคนด้วยนะลูกรัก เวลาพ่อแก่ลงไปทำไม่ไหว หรือป่วยมากลงไปทำไม่ไหว หรือพ่อตายแล้วก็ตาม ขอลูกรักจงทำกันต่อไป”

การเดินทางระหว่างปี พ.ศ. 2521-2528 หลวงพ่อพาคณะศิษย์ไปปฏิบัติงานตามหน้าที่ของศูนย์ฯ แทบจะทุกเสาร์-อาทิตย์ทุกเดือน เว้นระยะเข้าพรรษา ก็ยังไปช่วยเหลือตามตำบล อำเภอต่างๆ ในจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งอยู่ใกล้ศูนย์กลางปฏิบัติการเป็นประจำ

ด้วยการตรากตรำในการเดินทางไปปฏิบัติงานเหล่านี้ ทำให้หลวงพ่อไม่ได้พักผ่อนเท่าที่ควร พอต้นปี พ.ศ. 2528 หลวงพ่ออาพาธหนักบ่อยครั้ง นายแพทย์แนะนำให้หลวงพ่อพักเพื่อรักษาองค์ท่านให้แข็งแรงก่อน แล้วจึงเดินทางไปสงเคราะห์เป็นครั้งคราว และท่านก็อาพาธหนักเรื่อยมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ แม้กระนั้น หลวงพ่อก็ยังได้มีบัญชาให้ศูนย์ฯกลางได้มอบอาหาร ข้าว เสื้อผ้า ยารักษาโรค และหนังสือเรียนให้แก่เจ้าหน้าที่สาขาของศูนย์ฯ ในจังหวัดต่างๆ ออกเยี่ยมราษฎรแทน

หลวงพ่อมีเมตตาและห่วงใยในงานสงเคราะห์ของศูนย์ฯ มากหลวงพ่อปรารภว่า ถ้าการสงเคราะห์มีแต่เพียงจัดหาทรัพย์สิ่งของต่างๆ ได้มาแล้วก็บริจาคไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ไม่ช้าจะหมดกำลังงานช่วยเหลือจะต้องสะดุดหยุดอยู่ คนยากจนที่มีจำนวนมากมายจะมีความทุกข์เดือดร้อนเพิ่มขึ้นเพราะขาดที่พึ่ง

ดังนั้น หลวงพ่อจึงวางรากฐานให้แก่ศูนย์สงเคราะห์ โดยให้ตั้ง “มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร” ขึ้น เพื่อนำดอกผลของมูลนิธิมาใช่จ่ายในการช่วยเหลือคนยากจนต่อไปโดยไม่ขัดข้องอีก มีคณะศิษย์และประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศพากันมาบริจาคทรัพย์ถวายหลวงพ่อโดยเสด็จพระราชกุศลให้แก่มูลนิธิฯ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นกำลังอันล้ำค่ายิ่งนัก ควรแก่การอนุโมทนา

วัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ ก็คือทำนุบำรุงวัดและพระภิกษุสงฆ์ในพระบวรพุทธศาสนา อุปถัมภ์ศูนย์สงเคราะห์ในงานสาธารณประโยชน์ ช่วยเหลือผู้ประสบความทุกข์ยากและสาธารณภัย ส่งเสริมการศึกษาเผยแพร่ความรู้ทางพระพุทธศาสนาและวิทยาการอื่นๆ ที่ไม่ผิดกับกฎหมาย ร่วมการกุศลกับองค์กรอื่นๆ ตามความเหมาะสมตามกฎที่ตั้งไว้

ต่อมาหลวงพ่อได้ปรารภว่า ในเขตมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร ได้สร้างอาคารสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว มีโรงพยาบาลแม่และเด็กที่หลวงพ่อเมตตาสร้างตึกอาคารขึ้นมีมูลค่า 35 ล้านบาท มีเตียงคนไข้ 84 เตียง มีอุปกรณ์และห้องผ่าตัด รักษาโรค ทันตกรรม เอกซเรย์ มีนายแพทย์ พยาบาล เป็นโรงพยาบาลที่สมบูรณ์พร้อม หลวงพ่อทำพิธีมอบให้กับทางราชการกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ พ.ศ. 2526 แล้ว ยังขาดการสร้างโรงเรียนเพื่อช่วยเด็กยากจน

ดังนั้นในปี พ.ศ. 2528 หลวงพ่อองค์ประธานกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิฯ มีความห่วงใยในเด็กที่ยากจนขาดแคลนทุนทรัพย์ที่จะเล่าเรียนต่อในชั้นมัธยม ซึ่งมีจำนวนมากในที่ต่างๆ มีความทุกข์มองไม่เห็นอนาคตของตน หลวงพ่อมีเมตตาต่อเด็กๆ เหล่านี้หาประมาณมิได้ จึงจัดตั้งโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาขึ้นในเขตของมูลนิธิฯ ต. น้ำซึม อ. เมือง จ. อุทัยธานี เป็นโรงเรียนรัฐบาลระดับมัธยม มีระเบียบการบริหาร โรงเรียนตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการ

การสมัครเป็นนักเรียนประจำและนักเรียนไป-กลับ ต้องสอบเข้าและมีคุณสมบัติตรงตามกฎเกณฑ์ที่หลวงพ่อได้ตั้งไว้ หลวงพ่อมีความเมตตาและปณิธานอันแน่วแน่ที่จะปลูกฝั่งเด็กให้เป็นคนดีมีศีลธรรม และมีความรู้เพื่อจะได้มีความเจริญก้าวหน้าทั้งด้านวิชาการและคุณธรรมต่อไปในภายหน้า

ฉะนั้น เด็กนักเรียนทุกคนที่สอบเข้าได้จะต้องปฏิบัติตนอยู่ในสังคหวัตถุ 4 มีพรหมวิหาร 4 รักษาศีล 5 และฝึกปฏิบัติธรรมที่จำเป็น เป็นประจำและเรียนดี เป็นต้น โดยหลวงพ่อได้เมตตาสงเคราะห์ในเรื่องค่าใช้จ่ายทั่วไป ตลอดจนค่าเล่าเรียน อุปกรณ์และเครื่องแบบในการเล่าเรียนทุกอย่าง อาหาร ให้สถานที่พัก (นักเรียนประจำ) ซึ่งเป็นอาคารปลูกใหม่ 2 หลังใหญ่และยังได้สร้างอาคารเรียนอีก 2 หลังใหญ่ เพื่อบรรจุนักเรียนที่จะศึกษาต่อในชั้นมัธยมตอนปลาย

อีกทั้งได้เสริมการสอนวิชาชีพสาขาต่างๆ เช่นการเกษตร กสิกรรม หัตถกรรม เครื่องจักรยนต์ การก่อสร้าง การเจียระไนอัญมณี ดนตรีไทยและดนตรีสากล ศิลปวัฒนธรรมไทย เป็นต้น การใช้จ่ายที่สงเคราะห์นักเรียน เป็นจำนวนเงินสูงมาก ขณะนี้โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา มีนักเรียนประจำและไป – กลับรวม 308 คน

ข้าพเจ้าคิดว่า เหล่าสานุศิษย์ทั้งหลายคงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับข้าพเจ้าไม่มากก็น้อย ในเมตตาบารมีอันไพศาลหาขอบเขตมิได้ ที่หลวงพ่อมีต่อบรรดาเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย โดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา และคิดว่าการเกิดครั้งนี้เป็นบุญเหลือแล้ว ที่มีบิดามารดาเป็นสาธุชน มีญาติมิตรสหายเป็นกัลยาณมิตรมีชาติเชื้อไทยเป็นเอกราช

มีพระมหากษัตริย์มหาราชเจ้าที่ทรงทศพิธราชธรรมประเสริฐสุด มีกำเนิดอยู่ในพระบวรพุทธศาสนา มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเป็นหลักใจ และได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันเป็นสัจธรรมว่า ความเกิดเป็นทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ทางดับทุกข์ อันเป็นมรรคผลแห่งการไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีก และพบเอกันตบรมสุขเท่านั้นสืบไป...

หมายเหตุ

คุณหมอลัดดา จารุวัสตร์ เป็นภรรยานายตำรวจใหญ่ท่านหนึ่งในอดีต แต่มีความศรัทธาพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ จะเห็นได้ว่ามาตาม "ใบสั่ง" อีกเช่นกัน จาก "หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน" โดยมีหน้าที่ช่วยเหลือ "งานศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดาร" มาตั้งแต่ต้นเริ่มตั้งศูนย์สงเคราะห์ฯ คือช่วยจัดวัตถุสิ่งของที่รับบริจาคแล้วส่งไปให้ทางวัด ซึ่งมีหลวงพี่ชัยวัฒน์ อชิโต เป็นผู้ประสานงานอยู่ทางวัดท่าซุง

นอกจากพี่หมอลัดดาได้ช่วยงานศูนย์สงเคราะห์ฯ แล้วยังได้ทำรายงานการปฏิบัติงานของหลวงพ่อและเจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ โดยได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือของศูนย์ฯ ขึ้นมาเผยแพร่อีกด้วย นับว่าพี่หมอเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังและเบื้องหน้า เพราะบางคราวก็ได้ร่วมเดินทางไปกับหลวงพ่อด้วย ส่วนวัตถุสิ่งของที่รับบริจาคแล้วนำแจกไปทุกครั้งนั้น เป็นผลงานของพี่หมอลัดดาพร้อมคณะฯ จัดช่วยจัดหีบส่งไปให้วัดทุกครั้ง

ด้วยเหตุนี้ คณะทีมงาน "เว็บวัดท่าซุง" จึงขออนุโมทนาและขอนำความดีที่พี่หมอได้กระทำไว้ตลอดชีวิต นับว่าเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนเป็นอย่างยิ่ง ถือว่าเป็น "บุคคลตัวอย่าง" ที่มีศักดิ์ศรีอีกผู้หนึ่งที่ไม่ถือตัวคือตน ได้อุตส่าห์เสียสละบำเพ็ญคุณประโยชน์ต่อส่วนรวม เพราะพี่หมอเป็นคนรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นที่สุด อีกทั้งพี่หมอเป็นนักปฏิบัติธรรมที่หวังการพ้นทุกข์เป็นที่สุด จึงหวังว่าพี่หมอคงจะได้ไปสู่ดินแดนที่เป็น "เอกันตบรมสุข" เป็นที่สุดด้วยเช่นกัน..

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/7/09 at 12:33 [ QUOTE ]



เดือนฉาย คอมันตร์

พระคุณท่านมากล้น..รำพัน
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมากราบหลวงพ่อครั้งแรกกลางปี พ.ศ. 2516 เมื่อเพื่อนข้าพเจ้าประสงค์จะพิมพ์เรื่อง มหาสติปัฏฐาน 4 ของพระมหาวีระ ถาวโร แจกเป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพมารดา เธอจึงขอให้ข้าพเจ้าพามาบ้านสายลม เพื่อกราบขออนุญาตจากหลวงพ่อ ในตอนนั้นข้าพเจ้าพียงแต่คิดว่าจะไปกราบพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อปานเท่านั้น

เมื่อได้ก้มลงกราบท่าน ท่านทักว่า “เป็นไงโยม..เห็นแล้วผิดหวังไหม..?”

ข้าพเจ้ารู้สึกอยากจะร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ หลังจากท่านทักทายแล้ว ท่านได้โปรดสอนธรรมะเกี่ยวกับขันธ์ 5 ทำข้าพเจ้าสะดุดใจเป็นอันมาก พอจะเข้าใจก็มองเห็นสภาพตนเองอีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้ เราจะมีขันธ์เพิ่มขึ้นเป็น 20 ขันธ์แล้ว ภาระ หน้าที่ และห่วงต่างๆ จะมากขึ้นอีกเท่าไร ข้าพเจ้าเริ่มศรัทธาในพระองค์นี้ จึงกลับมาอ่าน หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ที่น้าเสริมกับน้าอ๋อย(พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์เสริม และคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์) กรุณาให้มาจนจบเล่มในเวลา 2 วัน

ครอบครัวของข้าพเจ้าคุ้นเคยกับ "น้าเสริม" และ "น้าอ๋อย" ดั่งญาติสนิทมากกว่า 20 ปีแล้ว ตั้งแต่ไปร่วมในการเชิญกระดานที่บ้านอุรุพงษ์ การเชิญกระดานนั้นหลวงปู่ศาทมงคล (ภู) ได้แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ (ศาสตราจารย์ ดร. เดือน และคุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค) สร้างพระพุทธรูปทองเหลืองหน้าตัก 55 นิ้ว ขึ้นเป็นพุทธบูชา

ซึ่งได้ฤกษ์เททองเมื่อวันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เวลา 9:29 น. ที่โรงงานหล่อพระของคุณเฉวียง หงส์มณี ปฏิมากรรมของพระพุทธรูปองค์นี้ มีพระพักตร์แบบพระพุทธชินราชองค์แบบสุโขทัย ขัดสมาธิเพชร และนิ้วพระหัตถ์แบบเชียงแสน

ต่อมาในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2516 คุณแม่, น้าเสริม, น้าอ๋อย, และคณะได้ร่วมกันอัญเชิญพระพุทธรูปไปประดิษฐาน ณ วัดจันทาราม(ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี โดยได้รับความกรุณาจากหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร อัญเชิญขึ้นเป็นพระประธานของวัดในนาม “พระพุทธพรมงคล”

ในการถวายเป็นบูชานี้ คุณแม่ได้กล่าวสัจจะอธิษฐานไว้ต่อหน้าพระรัตนตรัยว่า “เมื่อผู้ใดได้มาบูชาองค์ท่าน ขอให้ท่านโปรดประทานพร ตามแต่วาสนาบารมีที่เขาจะพึ่งมีพึ่งได้”

ในปี พ.ศ. 2517 บรรดาลูกหลานญาติมิตรได้ร่มสร้างพระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร อัครสาวกถวายเป็นพุทธบูชา ตกแต่งผนังเพดานพระอุโบสถ ประดับช่อไฟ สร้างซุ้มพระอรหันต์ 8 ทิศ ตามลำดับ คณะคุณเดือน บุนนาค ได้สร้างพระพุทธพิมาย เป็นอนุสรณ์เนื่องในการอุปสมบทพระธัมมกโร (รัฐฎา บุนนาค) และพระธนากโร (ธนากร ทับทิมทอง) เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2518

ต่อมาคุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้าถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. 2525 และ พ.ศ. 2527 ตามลำดับ หลวงพ่อยังได้โปรดเมตตาให้ข้าพเจ้านำอัฐิของท่านทั้งสองไปบรรจุไว้ยังฐานพระประธาน “พระพุทธพรมงคล” ในพระอุโบสถอีกด้วย


"พระพุทธพรมงคล" พระประธานภายในพระอุโบสถ ณ วัดท่าซุง

ข้าพเจ้าได้มากราบหลวงพ่อเกือบทุกครั้ง ที่ท่านมาโปรดสอนธรรมะที่บ้านซอยสายลม ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณน้าเสริมกับน้าอ๋อยเป็นอย่างมาก ที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสติดตามหลวงพ่อและบรรดาศรัทธาทั้งหลายไปแสวงหาธรรมะ และกราบนมัสการพระสุปฏิปันโนยังทิศต่างๆ (ดังกล่าวไว้ในหนังสือเรื่องฤาษีทัศนาจร, ล่าพระอาจารย์, ปักษ์เหนือ, ปักษ์ใต้ และเชียงแสน เป็นต้น)

ในเวลาต่อมาข้าพเจ้าและครอบครัวน้าเสริมก็ได้ไปร่วม “ทรงกระดาน” อีกวาระหนึ่ง เรียกว่า "คณะพรสวรรค์" ซึ่งท่านผู้มาโปรดสงเคราะห์นั้นส่วนมากเป็นพระ และมักจะมีแต่เทศน์เกี่ยวกับธรรมะ (หนังสือพรสวรรค์) พระเดชพระคุณเจ้าหลวงพ่อท่านมีเมตตาสูง แม้ว่าศิษย์บางคนไปหาหลายอาจารย์ เมื่อไปมาแล้วก็นำมาเล่าให้หลวงพ่อฟัง รวมทั้งเรื่องที่ทรงกระดานด้วยท่านก็บอกว่าดีๆ ท่านเตือนเสมอว่า ศิษย์พระพุทธเจ้าเหมือนกันทั้งนั้น อย่าอวดว่าอาจารย์นั้นเก่งกว่าอาจารย์โน้น ไม่มีอาจารย์คนไหนจะสอนเก่งกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าได้

ข้าพเจ้ามีความศรัทธาในองค์หลวงพ่อมากขึ้นทวีคูณ ได้เห็นความอัศจรรย์ของหลวงพ่อในการสอนธรรมะ ความสารารถที่จะชี้ให้ผู้ฟังมีความเลื่อมใสในพระนิพพาน และตั้งใจปฏิบัติเพื่อให้ถึงซึ้งพระนิพพานให้ได้ในชาตินี้ หลวงพ่อท่านจะดูศรัทธาและกำลังใจของศิษย์แต่ละคน

ในบางครั้งเราจะถูกท่านสอนโดยไม่รู้ตัว และในบางครั้งดูเหมือนว่าจะถูกท่านตำหนิเอา แต่นั่นเป็นวิธีหนึ่งที่จะชี้จุดบกพร่องให้เรารู้จักตัด..ละ..ทิ้งไปเสีย ข้าพเจ้าได้รับความเมตตากรุณาอย่างสูงจากหลวงพ่อทั้งในด้านการเรียนธรรมะ ฝึกมโนมยิทธิ ปฏิบัติพระกรรมฐาน และทำบุญหลายๆ อย่างเกือบทุกรูปแบบ

ข้าพเจ้ามีความปิติสุขอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสทำบุญสนองพระคุณหลวงพ่อตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมาโดยได้รับการแต่งตั้งจากหลวงพ่อให้ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร ความเป็นมาของมูลนิธินี้ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 เมื่อคณะศิษยานุศิษย์ได้ร่วมแรงร่วมใจบริจาควัตถุปัจจัย ตามหลวงพ่อออกเยี่ยมราษฎรยากจนในถิ่นทุรกันดาร ตลอดจนเยี่ยมบำรุงขวัญตำรวจทหารชายแดนในจังหวัดต่างๆ ต่อมา

เมื่อได้รับบริจาคทรัพย์เครื่องอุปโภคบริโภคมากขึ้น หลวงพ่อจึงได้จัดตั้งกองทุนโดยใช้ชื่อว่า “กองทุนหลวงปู่ปาน - พระมหาวีระ ถาวโร (ฤาษีลิงดำ)” โดยนำทุนที่มีอยู่ออกใช้เพื่อบรรเทาทุกข์ยากของผู้ขาดแคลนในแดนทุรกันดาร เป็นการสงเคราะห์แบบปัจจุบันทันด่วน

ในการเดินทางทุกครั้งพระเดชพระคุณเจ้าฯ เป็นองค์อำนวยการร่วมไปทุกครั้ง ในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จมาทรงประกอบพิธีตัดลูกนิมิตผูกพัทธสีมาพระอุโบสถวัดจันทาราม (ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี

เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2520 นั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อและพระสงฆ์ได้นำราษฎรที่เคยหลงผิดเป็นชอบ และได้กลับใจมาร่วงแรงพัฒนาท้องถิ่นของตนเป็นพลเมืองดีเหล่านั้นเข้าเฝ้า เมื่อทรงทราบถึงความเป็นไปของคนเหล่านั้น ร่วมทั้งภัยธรรมชาติ นาล่ม ท้องที่อำเภอบ้านไร่ จ.อุทัยธานี พื้นที่ทำการเพาะปลูกพืชผลไม่ได้เลย ราษฎรได้รับความอดอยากขาดแคลน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปรารภขอให้หลวงพ่อ พระมหาวีระ ถาวโร เป็นองค์อำนวยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารขึ้น และทรงพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 100,000 บาท(หนึ่งแสนบาท) พร้อมกับยาป้องกันรักษาโรคมาลาเรีย 4 หีบใหญ่

ดังนั้น “ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดาร ตามพระราชประสงค์ฯ” จึงจัดตั้งขึ้น ณ วัดจันทาราม(ท่าซุง) และได้เริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือราษฎรตามพระราชประสงค์ฯ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 เมื่อมีผู้บริจาคทุนทรัพย์เครื่องอุปโภคบริโภคเข้ามาเป็นจำนวนมาก พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เล็งว่างานของศูนย์สงเคราะห์ฯ เป็นงานที่ช่วยเหลือและทำประโยชน์ในเหตุการณ์เฉพาะหน้า ควรจะจัดตั้งมูลนิธิเพื่อเก็บดอกผลไว้ใช้ประโยชน์ในการสงเคราะห์ระยะยาวต่อไป

จึงได้ให้จัดตั้งคณะกรรมการ ทำตราสาร และจดทะเบียนมูลนิธิ “พระมหาวีระ ถาวโร” ขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2520 ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2524 จาก “มูลนิธิพระมหาวีระ ถาวโร” เป็น “มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร” มีชื่อย่อว่า ม.ป.ร. และชื่อภาษาอังกฤษว่า “VENERABLE – PHRA MAHAVEERA TGAVARO FOUNDATION”

เครื่องหมายของมูลนิธิคือ รูปพระอินทร์ประทับอยู่บนพระแท่น ห้อยพระบาทข้างขวา พระหัตถ์จับคนโฑแก้วหลั่งน้ำ มีคาถา “สหัสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสธายิ” อยู่ข้างบนของรูป ข้างใต้รูปมีชื่อมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร ทั้งหมดนี้อยู่ในวงกลม สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่เลขที่ 60/3 หมู่ที่ 1 ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี และมีคณะกรรมการสงฆ์และฆราวาสจำนวน 20 ท่าน มี พระมหาวีระ ถาวโร เป็นองค์ประธานกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิฯ

วัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ คือ ทะนุบำรุงวัดและพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา สงเคราะห์สาธารณประโยชน์ช่วยเหลือผู้ประสบความทุกข์ยากและสาธารณภัย ส่งเสริมการศึกษาและเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางพระพุทธศาสนาและวิทยาการอื่นๆ ที่ไม่ขัดกฎหมาย ทั้งยังให้ความร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์เป็นต้น อนึ่งในปี พ.ศ. 2520 หลวงพ่อได้อำนวยการสร้าง โรงพยาบาลแม่และเด็ก มอบให้กับทางราชการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

และต่อมามีผู้มีจิตศรัทธาถวายปัจจัยเพื่อใช้ในการสาธารณกุศลเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อได้เมตตานำทุนทรัพย์นั้นมาสร้างเป็นอาคารเพิ่มเติม ณ โรงพยาบาลแม่และเด็ก วัดท่าซุง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 เป็นตึก 2 หลัง โดยให้ตึก “ปฐมราชานุสรณ์” ชั้นบนใช้เป็นที่ทำการแพทย์และพยาบาล ส่วนชั้นล่างเป็นห้องผ่าตัดใหญ่ ห้องเอ็กซเรย์ ห้องทำฟัน ห้องรอคลอด และห้องคลอด

ส่วนตึก “ปัญจมราชานุสรณ์” นั้น เป็นตึกพักคนไข้ ในขณะมีเตียงคนไข้ประมาณ 84 เตียง อาคารทั้ง 2 หลังนี้เป็นอาคาร ที่ทันสมัย มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ครบ และได้ทำพิธีเปิดตึกมอบอาคารโรงพยาบาลและทรัพย์สินให้กับทางราชการเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2528

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2527 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน ได้โปรดเกล้าฯ ถวายพัดยศและสมณศักดิ์ “พระมหาวีระ ถาวโร” ขึ้นเป็น “พระสุธรรมยานเถระ” ซึ่งยังความปลื้มปิติให้บรรดาศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง จึ่งใคร่จะสร้างอาคารอนุสรณ์สาธารณูปโภค แสดงมุทิตาจิตระลึกถึงเกียรติคุณของพระเดชพระคุณเจ้าฯ ณ บริเวณเขตมูลนิธิหลวงพ่อปาน - พระมหาวีระ ถาวโร

ซึ่งความคิดนี้ก็ตรงกับความประสงค์เดิมของพระเดชพระคุณพระสุธรรมยานเถระที่จะจัดตั้งโรงเรียนของมูลนิธิฯ ขึ้นมา เพื่อให้ผู้มีความประสงค์เรียน ได้ศึกษาวิชาที่สามารถนำไปประกอบอาชีพที่เหมาะสมแก่ถิ่นที่อยู่ของตน ซึ่งมีหลักสูตรในการเรียนใช้เวลาตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 6 เดือน หรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับวิชาที่เรียน อุปกรณ์ในการเรียน หากไม่เกินวิสัยของมูลนิธิฯ แล้ว ทางมูลนิธิฯ จะจัดหาให้ และได้เปิดทำการสอนในปีการศึกษา 2530 ในชื่อ “โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา” อยู่ในความอุปถัมภ์ของมูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร เป็นโรงเรียนเอกชน ประเภทสามัญศึกษา ระดับมัธยมศึกษา

ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2531 พระเดชพระคุณพระสุธรรมยานเถระเห็นว่า ประโยชน์ของงานการศึกษานอกโรงเรียน จะช่วยพัฒนาการศึกษาของประชาชนในชนบทได้เป็นอย่างดี ทั้งยังประหยัดเวลา เพราะใช้หลักสูตรในการศึกษาน้อยกว่า 2 ปี และสามารถสอบเทียบระดับได้ทั้งมัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย พร้อมกันนี้ได้เปิดสอนวิชาชีพ และให้นักเรียนได้ร่วมกิจกรรมหลายอย่าง รวมทั้งแสดงดนตรีไทย วงโยธวาทิต รำละคร ช่วยทำอาหาร ขายของในวันเทศกาลงานบุญของวัดอีกด้วย

สำหรับนักเรียนที่นี่ทุกคนจะต้องเรียนธรรมะ และผ่านการฝึกมโนมยิทธิจากวัดจันทาราม (ท่าซุง) โดยมีหนังสือรับรองจากครูผู้ฝึกและต้องเป็นผู้มีความประพฤติดีด้วย อาจกล่าวได้ว่า โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาเป็นโรงเรียนแห่งแรกของจังหวัดอุทัยธานี ที่เปิดการสอนหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนแบบมีชั้นเรียน โดยมีมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-ม.3) สอนตามหลักสูตรของกรมสามัญศึกษา และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-ม.6) สอนตามหลักสูตรของกรมการศึกษานอกโรงเรียน

ในปีการศึกษา 2532 ทางโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ได้เปิดสอนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (หลักสูตร 2 ปีได้วุฒิ ม.6 ) โดยใช้หลักสูตรของกรมการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ สำหรับนักเรียนที่เรียนในระดับดีและประพฤติดีและประพฤติชอบทางโรงเรียนจะส่งเสริมให้เข้าสอบแข่งขันเพื่อจะได้เข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาต่อไป

ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน วันที่ 5 ธันวาคม 2532 ได้โปรดเกล้าฯ ถวายพัดยศและสมณศักดิ์จาก “พระสุธรรมยานเถระ” เป็น “พระราชพรหมยาน” เป็นเจ้าคุณชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ยังความปิติเป็นอย่างยิ่งแก่บรรดาศิษยานุศิษย์

พระเดชพระคุณเจ้าฯ ท่านเป็นผู้มีเมตตาธรรมสูง แม้ว่าท่านจะล้มป่วยหนักมีทุกขเวทนาทางกายอย่างมาก ท่านก็อดทนอดกลั้นที่จะทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ท่านได้เดินทางมาสอนพระกรรมฐาน และฝึกมโนมยิทธิให้กับผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรมที่กรุงเทพมหานครเป็นประจำทุกเดือน นอกจากนี้ท่านได้ไปเผยแพร่ธรรมปฏิบัติยังต่างจังหวัดและต่างประเทศอีกด้วย

ผลงานของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อมีมากมายเหลือคณานับ พระคุณท่านมีมากพ้นรำพัน สำหรับตัวข้าพเจ้านั้นได้ธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งหลวงพ่อได้ท่านกรุณาชี้ทางให้ไว้เป็นกำลังใจในการดำรงชีพและการทำงาน พระคุณของหลวงพ่อที่มีต่อข้าพเจ้าและครอบครัวนั้น มีมากพ้นรำพันทับถมท่วมท้นนับเนื่องมาแต่อดีตชาติ จนมิอาจนับได้ว่า อีกกี่กัปกี่กัลป์ ข้าพเจ้าจะตอบแทนพระคุณท่านได้หมด

ข้าพเจ้าได้แต่ตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ตราบที่ยังดำรงขันธ์ 5 อยู่นี้ จะช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา ปฏิบัติหน้าที่ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมอบหมายให้ทำนั้นอย่างดีที่สุด และตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อให้ถึงพระนิพพานให้ได้ในชาตินี้..

หมายเหตุ

สาธุ..คำลงท้ายของคุณเดือนฉาย คอมันตร์ หรือที่พวกเราเรียกกันว่า "พี่ต้อย" คงจะเป็นจริงสมดังที่ตั้งความปรารถนาไว้ เพราะในเวลาต่อมา คุณเดือนฉายก็ได้เลื่อนเป็น "ประธานศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ" และในสมัยต่อมาก็ได้รับเลือกเป็น "ประธานมูลนิธิหลวงพ่อปาน - พระมหาวีระ ถาวโร" อีกด้วย

คุณเดือนฉายและครอบครัวได้ช่วยเหลืองานส่วนรวมเป็นอย่างดี นับตั้งแต่สมัยคุณแม่ (คุณหญิงเยาวมาลย์) ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะได้อุปถัมภ์ผู้ที่บวชในวัดท่าซุง ในจำนวนนี้มี หลวงพี่ชัยวัฒน์ อชิโต รวมอยู่ด้วย ได้ถวายปัจจัยเป็นประจำทุกเดือนจนถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นเวลานานกว่า 30 ปีแล้ว จึงขออนุโมทนาความดีที่ "พี่ต้อย" ได้กระทำไว้แล้วนับตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 26/7/09 at 14:36 [ QUOTE ]


วันหยุดสุดสัปดาห์..ขอพักตอบจดหมาย


วันนี้ยังไม่มีเรื่องลงให้อ่านกัน เพราะทีมงานพิมพ์ไม่ทัน ซึ่งต้องขออนุโมทนา "หลวงพี่ปุ๋ย" ที่วัดท่าซุง ด้วยที่อุตส่าห์พิมพ์ให้อย่างรวดเร็ว จึงขอตอบอีเมล์ที่ได้แสดงความเห็นเรื่องนี้กันไปพลางๆ ก่อนครับ

อีเมล์จาก... ภูมิแก้วไทย

สวัสดีท่านทีมงานเว็บวัดท่าซุงครับ ความคิดเห็นวันนี้ผมอยากจะบอกว่า ผมชอบบทความจากหนังสือลูกศิษย์บันทึกมากๆ เลยครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงหมายเหตุ ทำให้ทราบว่าลูกศิษย์แต่ละท่าน มีความสำคัญมีความผูกพันกับหลวงพ่อท่านอย่างไร และก็มีเกร็ดเกี่ยวกับท่านเหล่านั้นด้วย อ่านไปก็โมทนาในความดีของแต่ละท่านไป

แต่ทำไมบางท่านถึงไม่มีหมายเหตุล่ะครับ ถ้าเป็นไปได้อยากให้มีหมายเหตุไว้ทุกๆคนเลยครับ ผมขออนุญาตเสนอความเห็นนะครับ คืออยากให้มีบทความลูกศิษย์บันทึกไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ไกล้ชิดได้ปรนนิบัติได้รับใช้หลวงพ่อ ผมคิดว่าท่านเหล่านี้จะต้องเป็นคนดีในระดับหนึ่งแน่ๆ (ไม่งั้นหลวงพ่อคงไม่ให้อยู่ไกล้ท่าน)

เพราะจะได้ศึกษาว่าท่านเหล่านั้นปฏิบัติตัวอย่างไร หลวงพ่อสอนท่านเหล่านั้นอย่างไร ผมชอบตรงที่ท่านลูกศิษย์เล่าเกี่ยวกับความดีของหลวงพ่อ เช่นความอดทนอดกลั้นอย่างยิ่งต่อความเจ็บป่วย ความเมตตาต่อลูกศิษย์อย่างหาที่สุดมิได้ เป็นต้น

คำสอนหรือคำติติงที่ได้รับมาจากหลวงพ่อโดยตรง สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับตัวผมได้ทั้งทางโลกและทางธรรม และก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย(ปาฏิหาริย์ คุณวิเศษ และอดีตชาติของหลวงพ่อหรือท่านลูกศิษย์) ครับ สุดท้ายนี้อยากจะถามอีกข้อหนึ่งว่า ผมจะสามารถบริจาคเพื่อบำรุงเว็บวัดท่าซุงทางได้ทางไหน เพราะอยากให้เว็บนี้ดำรงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านานครับ.

สวัสดีครับ คุณภูมิแก้วไทย

ผมได้อ่านจดหมายของคุณโดยละเอียดแล้ว ขออนุโมทนาในความเห็นของคุณ จากการ "หมายเหตุ" ในลูกศิษย์บันทึกนั้น เดิมไม่ได้คิดจะลงหมายเหตุเพิ่มเติม เพิ่งจะมาคิดกันทีหลัง เพราะฉะนั้นที่ลงท่านอื่นๆ ไปแล้ว จึงไม่ได้ลงหมายเหตุไว้ไงครับ คืองานมันเดินหน้าไปก่อนแล้ว แต่เพิ่งจะคิดได้ทีหลัง แฮะๆๆ ขออภัยด้วยที่คิดช้าไป

ดังจะเห็นว่า ตอนที่ 1-3 จะตั้งกระทู้ว่า "ลูกศิษย์บันทึก" ไม่มีคำว่า "พิเศษ" คำนี้เพิ่งนึกขึ้นได้ทีหลังละครับ เพราะเห็นว่ามีลงในเว็บอื่นอยู่แล้ว ฉะนั้นเว็บวัดท่าซุงเพิ่งจะนำมาลงทีหลัง จึงได้เพิ่มคำว่า "พิเศษ" ไป เพราะเหตุนี้แหละครับ และอีกอย่างหนึ่ง บางท่านที่ใกล้ชิดหลวงพ่อแล้วไม่ได้หมายเหตุไว้นั้น เพราะเราก็ไม่สามารถจะรู้รายละเอียดได้ การหมายเหตุก็เป็นดาบสองคม หากตรงก็ดีไป ถ้าไม่ตรงก็ซวยอีกตามเคย

ส่วนที่จะบำรุงเว็บวัดท่าซุงนั้น ความจริงทางวัดไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายให้เลย webmaster และทีมงานเป็นผู้ออกกันเอง แต่ก็มีผู้ส่งปัจจัยมาเป็นค่าเซฟเวอร์บ้าง ส่วนหลวงพี่ชัยวัฒน์ท่านได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้ทีมงาน เพราะเห็นว่าแต่ละคนได้ทำบุญใหญ่ และอานิสงส์มหาศาล เครื่องคอมฯ ของแต่ละคนจึงพังอยู่เรื่อยๆ

หลวงพี่ได้มอบเงินให้คนละประมาณ 20,000 บาท รวมแล้วประมาณ 7-8 หมื่น บางคนที่อยู่วัด ท่านก็ต้องจ่ายให้เดือนละ 1,000 บาท เป็นค่า ADSL ถ้าอยากจะมีส่วนร่วมในธรรมทานนี้ ต้องทำบุญกับท่านก็แล้วกัน เพราะท่านเป็นแม่งานอยู่เบื้องหลัง บางครั้งยังได้ "ของแถม" ไปบ้าง แต่ไม่เป็นไรพวกเราอดทนกันได้ ขอเพียงแต่ให้ท่านผู้เยี่ยมชมได้เข้ามาบ่อยๆ ก็พอใจแล้วขอรับกระผม..!

ผู้จัดทำ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 27/7/09 at 14:44 [ QUOTE ]



ดำรง นุตาลัย


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........จากการปวารณาตนเป็นศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ได้มีโอกาสพบเห็นพิธีและกฎเกณฑ์บางประการ เช่น เครื่องสังเวยเทพในพิธี ต้องมีสุราด้วยอย่างนี้เป็นต้น สิ่งที่ได้พบเห็นแล้วหลวงพ่อชี้แจงว่า แท้จริงแล้วเทพท่านมาเพื่อสงเคราะห์ ส่วนการแสดงอิทธิวิธี เช่นการดื่มเหล้าไม่เมา ก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ และเพื่อศรัทธาผู้ยังไม่เข้าใจเท่านั้น ขอเล่าถึงสิ่งต่างๆ บางเรื่องที่ข้าพเจ้าได้พบมาสู่กันฟังไว้ดังนี้

1. คราวหนึ่งผู้หญิงอ้างเป็นร่างทรงของเทพ มีชื่อปรากฏประจำศาลหลักเมือง มาหาหลวงพ่อที่วัดท่าซุง หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าไปหาเหล้าโรงมา 1 ขวด ข้าพเจ้านึกในใจว่า ทำไมเทพจึงประมาทดื่มเหล้าต่อหน้าพระ จึงซื้อเหล้าโรง 40 ดีกรี 1 ขวด แทนเหล้าขาวธรรมดา แล้วยังซื้อแม่โขงกลมแถมอีก 1 ขวด ร่างทรงนั้นดื่มเหล้าขาวหมดขวด แล้วจึงดื่มแม่โขงอีกเหมือนดื่มน้ำ เพื่อแสดงตนว่าเป็นเทพจริงๆ จึงดื่มได้โดยไม่เมา

2. คราว พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์ มอบให้ พ.ต.อ. ม.ร.ว.เจตน์จันทร์ ประวิตร กับ พล.ต.ท.น.พ. อุทิศ ตันจันทรพงศ์ มานิมนต์หลวงพ่อเข้าโรงพยาบาลตำรวจ ต้นปี พ.ศ. 2517 พอคณะตำรวจลากลับ นางพยาบาลประจำจังหวัดอุทัยธานีก็ให้น้ำเกลือ ตอนถอนเข็มน้ำเกลือออกจากแขนหลวงพ่อ โลหิตพุ่งออกตามเข็มไปเปื้อนกระโปรงพยาบาลที่นั่งห่างจากหลวงพ่อเมตรเศษเป็นดวง

3. คราวไปประเทศอินเดีย หลวงพ่อเพลียมากเนื่องจากอากาศร้อน พล.ต.ท.น.พ.สมศักดิ์ สืบสงวน ต้องถวายน้ำเกลือ ขณะนั้นข้าพเจ้าและแม่ครัวคนไทย ประจำที่วัดพุทธคยาอีก 2 คน เฝ้าดูอยู่ หลวงพ่อเร่งหมอให้ปล่อยน้ำเกลือให้หมดเร็วๆ คุณหมอสมศักดิ์ เรียนท่านว่า ผมเปิดเต็มสายแล้วครับ หลวงพ่อต้องเร่งเอาเอง ข้าพเจ้าและแม่ครัวของพุทธคยา 2 คน มองดูน้ำเกลือที่เหลือในขวดราว ¼ นั้น ไหลพุ่งเป็นสายตามท่อเข้าร่างหลวงพ่อ ทุกคนปากอ้า..ตาค้างด้วยความอัศจรรย์

4. หลวงพ่อทราบเหตุได้ทันทีนั้นมีแน่ แต่จะเนื่องจากญาณหรือเทพบอกนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้ งานวัดท่าซุง พ.ศ. 2518 หลวงพ่อเชิญเกจิอาจารย์เท่าที่จำได้มี ท่านเจ้าคุณพระธรรมวราลังการ(หลวงปู่กล่อม) หลวงปู่บุดดา ถาวโร หลวงปู่สิม พุทธาจาโร หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก พระครูภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (หลวงน้ามหาอำพัน สมณศักดิ์ในขณะนั้น) หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร ครูบาธรรมชัย และครูบาไชยวงศา

ข้าพเจ้าได้เห็นหลวงพ่อเดินจากห้องของท่านมามองที่หน้าต่าง แลดูไปทางโบสถ์ ในขณะนั้นเจ้าหน้าที่เขาปิดประตูรั้วและประตูชั้นล่างของกุฎิแล้ว จึงเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อจะออกไปข้างนอกหรือครับ ท่านมองดูสักครู่แล้วบอกว่าไม่ต้อง พอเวลา 04:30 น. เจ้าหน้าที่เขาเปิดประตู ข้าพเจ้าจึงไปถามเจ้าหน้าที่ ที่อยู่หน้าโบสถ์ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเมื่อคืน จึงได้รู้ว่าศิษย์ของหลวงพ่อสายใต้และสายเหนือลองดีกัน เพราะต่างฝ่ายก็มีของดี จนตำรวจต้องส่งคนป่วยไปล้างท้องที่โรงพยาบาล หลวงพ่อยังตามไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล

5. ผู้เคยร่วมงานและค่อยช่วยเหลือข้าพเจ้าด้วยดีตลอดเวลา ถึงแก่กรรม จึงเรียนถามหลวงพ่อว่า ควรจัดอะไรบ้างเป็นสังฆทาน อุทิศกุศลแก่เขา หลวงพ่อบอกว่า คนรูปร่างขาวท้วมใช่ไหม เขายืนอยู่ที่นี่แล้ว บอกกับท่านว่าเขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ยังเป็นห่วงแต่แม่คนเดียวเท่านั้น ต่อไปอีกไม่ถึง 5 วัน แม่ก็ตายตามลูกไป

จากเรื่องต่างๆ ที่เล่ามา เพื่อบันทึกไว้ให้ศิษย์รุ่นหลังได้รู้ สำหรับข้าพเจ้า "พระเดชพระคุณหลวงพ่อ" เป็นพระอาจารย์องค์สุดท้าย ข้าพเจ้าไม่แสวงหาองค์อื่นต่อไปแล้ว

หมายเหตุ

หากใครที่เห็นลูกศิษย์หลวงพ่อมานาน แค่เห็นนามสกุล "นุตาลัย" ก็ต้องจำได้ดี แต่ทว่าถ้าเพิ่งเข้ามาใหม่ ชื่อนี้อาจจะยังไม่คุ้นเคย แต่ถ้าจะบอกว่า "คุณลุงดำรงค์" คือ คุณพ่อของท่าน ดร.ปริญญา นุตาลัย ทุกคนก็ต้องร้อง อ๋อ.. อย่างแน่นอน..!

ครอบครัว "นุตาลัย" เป็นลูกศิษย์ทั้งตระกูล นับตั้งแต่ คุณลุงดำรงค์ คุณป้าบูรณะ นุตาลัย ซึ่งเป็นคุณพ่อคุณแม่ของท่านดอกเตอร์ ส่วนน้องสาวคือ คุณชาลินี (ปาน) เนียมสกุล ก็มีความเคารพนับถือหลวงพ่อมานานแล้ว โดยเมื่อประมาณปี 2517-2520 คุณลุงดำรงค์ได้ไปอยู่ที่วัดท่าซุงระยะหนึ่ง (ระยะเวลาอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง) จึงได้ประสบเหตุการณ์อันเป็นที่อัศจรรย์ไว้มากมายหลายอย่าง

เท่าที่รู้จักกันมานาน.. คุณลุงเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นตนเองสูง การที่จะยอมรับนับถือบุคคลใดเป็นครูบาอาจารย์สักคนจึงไม่ใช่ของง่าย ต้องพิสูจน์และปลดความสงสัยของตนเองได้ ดังจะเห็นได้ว่าคุณลุงไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ ถึงได้กล่าวเป็นคำสุดท้ายไว้ว่า..

"..สำหรับข้าพเจ้า.. "พระเดชพระคุณหลวงพ่อ" เป็นพระอาจารย์องค์สุดท้าย ข้าพเจ้าไม่แสวงหาองค์อื่นต่อไปแล้ว.."

ถ้อยคำนี้มีความหมายยิ่งนัก น่าจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจในสมัยนี้ ต้องมีความหนักแน่นและมั่นคง สิ่งใดที่ยังสงสัยหรือไม่แน่ใจ ควรจะค้นคว้าศึกษาหาความรู้ เพื่อความศรัทธาในครูบาอาจารย์ของเราจะได้ไม่คลอนแคลน มีความมั่นคงแน่นอนและถาวรตลอดไป

คุณลุงเป็นคนที่วางใจใครยาก จึงต้องขอโทษด้วย ที่จะเรียกว่าเป็น "คนหัวแข็ง" พอสมควร เมื่อยอมรับนับถือใครแล้ว คงจะมอบกายถวายชีวิตอย่างแน่นอน การได้พบเห็นได้นับถือหลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์องค์สุดท้าย แสดงว่าในชีวิตของคุณลุงได้ผ่านอาจารย์มาเยอะแยะ

ฉะนั้น ในบั้นปลายของคุณลุงก็ได้ฝากชีวิตไว้กับพระพุทธศาสนาแล้ว บัดนี้ คุณลุงก็ได้จากโลกนี้ไปนานแล้ว คงจะเหลือแต่ข้อเขียนนี้ฝากไว้ เพื่ออนุชนรุ่นหลังจะได้เกิดความเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ต่อไป คุณลุงและครอบครัวได้สร้างสมความดีที่ผ่านมาไว้แก่วัดท่าซุงอย่างไรบ้าง ขอพวกเราทุกคนจะได้พึงอนุโมทนาสาธุการโดยทั่วถึงกันเถิด.

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 28/7/09 at 08:28 [ QUOTE ]



ชาลินี เนียมสกุล


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........ผู้เขียนรู้จักหลวงพ่อข้างเดียว จากการอ่านหนังสือ “คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน” ซึ่ง เรืออากาศโท บุญเลี้ยง (ยศในสมัยนั้น) ให้พ่อยืมมาอ่าน จึงได้หาโอกาสไปกราบหลวงพ่อที่จังหวัดอุทัยธานี ระยะนั้นใครไปกราบหลวงพ่อ ขอพร ขอธรรมะจากท่าน ท่านก็จะแจกแจงธรรมโดยพิสดารตามแต่จริตของลูกศิษย์ ทุกคนติดหลวงพ่อกันงอมแงม และเมื่อมีผู้สงสัยกันอยู่เนืองๆ ว่า หลวงพ่อรู้เรื่องนั้น เรื่องนี้ได้อย่างไร ท่านก็ตอบว่า ฉันรู้ "วิชชาสาม" พวกเราก็เชื่อท่าน

วันหนึ่งปลายปี พ.ศ. 2516 หลวงพ่อมาสอนกัมมัฏฐานที่บ้านน้าเสริม น้าอ๋อย (พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม และคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์) พ่อ, แม่, ดร.ปริญญา และผู้เขียนได้เตรียมตัวที่จะไปฟังท่านสอนตามปกติ พวกเราก็ปรารภธรรม (ซึ่งไม่รู้แจ้งกันสักคน) เรื่อง "ปฎิสัมภิทาญาณ" กันมาในรถตลอดทาง จนถึงซอยสายลม พอก้มลงกราบท่าน แทนที่ท่านจะทักทายเหมือนเดิม ท่านก็กล่าวว่า

เรื่องปฎิสัมภิทาญาณนั้น เป็นคุณสมบัติพิเศษของผู้ที่ได้เคยเจริญสมาบัติแปดมาก่อน เมื่อละสังโยชน์ห้าได้ ก็จะถึงความเป็นอนาคามีพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาสี่ คือ อรรถ, ธรรม, นิรุติ, และปฏิภาณ พวกเรากราบเรียนท่านว่า หลวงพ่อหูยาวจัง ท่านก็บอกว่า ก็ฉันได้ "วิชชาสาม" นี่ พวกเราก็เชื่อท่านอีก

ปลายปี 2517 หลวงพ่อรับอาราธนา พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิวงศ์ (อธิบดีกรมตำรวจในสมัยนั้น) เพื่อมาตรวจสุขภาพโดยละเอียดที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยมี ดร. ปริญญา นุตาลัย ลงทุนลาพักร้อนจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาเฝ้าในฐานะลูกศิษย์วัด เช้ามืดวันหนึ่ง ดร.ปริญญา เข้าไปกราบเรียนหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ผมรู้แล้วว่าหลวงพ่อทรงปฏิสัมภิทาญาณ ”หลวงพ่อก็หัวเราะ แล้วท่านก็บรรยายให้ ดร.ปริญญา ฟัง

สายวันนั้น น้าเสริม น้าอ๋อย พี่นิด (สุภาพ ปุณศรี) น้าน้อย (กานดา อมาตยกุล) พี่หมอ (พ.ต.อ. พิเศษ สมศักดิ์ สืบสงวน รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ ยศและตำแหน่งในสมัยนั้น) พ่อ และผู้เขียนไปกราบหลวงพ่อ ดร.ปริญญารีบบอกข่าวสำคัญแก่พวกเราด้วยความภาคภูมิใจ น้าเสริมก็ต่อว่าหลวงพ่อว่า แหม..พวกเราถูกหลวงพ่อหลอกอยู่ตั้งนาน หลวงพ่อท่านหัวเราะชอบใจแล้วก็บอกว่า

“ฉันไม่ได้หลอกนะ "วิชชาสาม" ฉันก็ได้จริงๆ” แล้วท่านก็กำชับลูกศิษย์ทุกคนว่า ห้ามเอาครูบาอาจารย์ตน (คือหลวงพ่อ) ไปเบ่งทับ หรือคุยทับถม หรือคิดว่าเก่งกว่าครูบาอาจารย์ของคนอื่น เพราะครูบาอาจารย์ของใคร ใครก็รัก พระทุกองค์ท่านก็มีลีลาต่างๆ กัน

พวกเราก็ฟังไปงั้นๆ เพราะก็อดคิดไม่ได้อยู่นั้นเอง พระเทพวิสุทธิเวที(ไสว) วัดอนงคาราม เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยหลวงพ่อหนุ่มๆ นั้น ใครอย่ามาเปรียบอาจารย์กับท่านเลย หลวงปู่ปานต้องเก่งที่สุด


ภาพในอดีต : พระเกจิอาจารย์ทั้งหลายในอดีต

สมัยนั้นหลวงพ่อจะเล่าให้ฟังถึงพระร่วมสมัย "หลวงปู่ปาน" โดยเฉพาะพระเกจิอาจารย์ 108 รูป ที่ร่วมปลุกเสกเหรียญสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พ.ศ. 2481 ซึ่งหลวงปู่ปานก็ร่วมอยู่ด้วย หลวงพ่อเล่าถึง หลวงปู่แช่ม วัดฉลอง หลวงปู่สด วัดปากน้ำ หลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า สมเด็จพุฒาจารย์ (นวม พุทธสร) วัดอนงคาราม หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และ หลวงพ่อยิ้ม วัดหน้าต่างใน ฯลฯ เป็นต้น

เสาร์-อาทิตย์หนึ่ง พ่อ, ดร.ปริญญา, และผู้เขียน ได้เดินทางไปวัดท่าซุง เพื่อปฏิบัติพระกัมมัฏฐานค้างที่วัด ระหว่างพวกเราได้แวะวัดหน้าต่างนอก และได้บูชาตะกรุดคาดเอวของหลวงพ่อจง ที่ยังเหลืออยู่ที่วัดหน้าต่างนอกมาจนหมด กว่าจะมาถึงวัดท่าซุงก็ประมาณบ่าย 2 โมง

พอหลวงพ่อเห็นพวกเราก็ทักทายว่า ไปเยี่ยมหลวงพ่อจงมาหรือ ผู้เขียนกราบเรียนถามท่านว่า หลวงปู่มาบอกหลวงพ่อหรือคะ หลวงพ่อบอกว่า หลวงปู่มาพร้อมพวกแกนั้นแหละ ก็เลยได้ถวายตะกรุดคาดเอวหลวงพ่อไป 10 เส้น เพื่อให้หลวงพ่อแจกคนอื่นๆ

พบหลวงปู่สิม (หลวงปู่ตื๊อมารอพบด้วย)

......ในปลายปี พ.ศ. 2517 หลวงพ่อพาลูกศิษย์ไปกราบพระสุปฏิปันโนที่ภาคเหนือ โดยเริ่มที่ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร (พระครูสันติวราญาณ) สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่องเป็นองค์แรก การเดินขึ้นถ้ำผาปล่องในสมัยนั้น ยังไม่มีบันไดคอนกรีตเหมือนสมัยนี้ การเดินขึ้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก

.......โดยเฉพาะในคณะลูกศิษย์ที่ติดตามหลวงพ่อนั้นมีผู้อาวุโส 3 ท่าน ที่สุขภาพไม่สมบูรณ์ คือ น้านวลน้อย โลพันธุ์ศรี เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดเพียงเดือนเดียวก่อนเดินทาง อายุ้ย (คุณสบสุข ประกอบไวทยกิจ) และ แม่ (คุณบูรณะ นุตาลัย) ซึ่งหัวเข่าไม่ดี เดินขึ้นบันไดไม่ค่อยได้ พวกเราขึ้นไปถึงก่อน(นิสัยไม่ดี) ส่วนหลวงพ่อท่านพยายามเดินช้าๆ คอยผู้อาวุโสทั้ง 3 ท่าน


• หลวงปู่ตื๊อ อจลธัมโม

อันที่จริงผู้เขียนก็เป็นห่วงแม่อยู่เหมือนกัน แต่ ดร.ปริญญา บอกว่าไม่ต้องห่วงหรอก หลวงพ่อท่านต้องพาบริวารของท่านขึ้นมาจนได้ เพราะท่านเป็นหัวหน้าคณะ พอผู้อาวุโส 3 ท่าน ขึ้นมาแล้ว พ่อก็กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อทำอย่างไงครับ ถึงได้พาโยมขึ้นมาได้ น้านวลน้อยตอบแทนว่า

อายุ้ย และ น้านวลน้อย เห็นหลวงพ่อเดินรอ ก็เลยมีกำลังใจเดิมตามมาได้เรื่อยๆ ไม่เคยคิดเหมือนกันว่า ตัวเองจะเดินขึ้นเขาได้ไกลถึงเพียงนี้ และไม่เหนื่อยเท่าไร ส่วนแม่อาการหนักกว่าเพื่อน หลวงพ่อเลยหยิบไม้ข้างทางส่งให้ถือขึ้นมาท่อนหนึ่ง แม่ก็แบกไม้ท่อนนั้นขึ้นมาด้วย หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า เทวดาท่านช่วยกันหิ้วปีกโยมทั้งสามขึ้นมายังไม่รู้กันอีก


หลวงพ่อได้พบกับหลวงปู่สิม ที่วัดถ้ำผาปล่องเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2517

เมื่อขึ้นไปยังถ้ำผาปล่องแล้ว หลวงพ่อสิมท่านก็นิมนต์ให้หลวงพ่อนั่งบนอาสนะที่ปูไว้บนยกพื้นสำหรับพระภิกษุนั่งสวดมนต์ หลวงพ่อท่านไม่นั่ง กราบพระพุทธรูปเสร็จก็หันมากราบทางด้านที่หลวงปู่สิมนั่ง (ด้านเดียวกับอาสนะ) แล้วก็นั่งแปะอยู่ตรงนั้น หลวงปู่สิมท่านก็เลยต้องนั่งข้างล่างไปด้วยกัน

แล้วหลวงพ่อก็ตั้งต้นคุยเรื่องจริยาของ หลวงปู่ตื้อ อจลธมโม ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ที่หลวงปู่สิมเคารพนับถือมาก ทั้งๆ ที่หลวงพ่อเองไม่เคยพบหลวงปู่ตื้อมาก่อน หลวงปู่สิมมีทีท่าสบอารมณ์ในอัธยาศัยของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง

หลวงพ่อเล่าให้พวกลูกศิษย์ฟังวันรุ่งขึ้นว่า หลวงปู่สิมท่านก็เห็นอยู่แล้วว่าหลวงปู่ตื้อ ท่านมานั่งอยู่บนอาสนะนั้น แล้วจะให้หลวงพ่อไปนั่งอีกได้อย่างไร ส่วนหลวงปู่สิม ท่านบอกว่า “พระมหาวีระ..เป็นผู้รู้แจ้งโลกในปัจจุบันโดยแท้”


คณะศิษย์หลวงพ่อฯ ที่ขึ้นบนถ้ำผาปล่องเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2517

สมัยนั้นพอได้เวลาประมาณ 10:30 น. เรือที่ไปรับปิ่นโตเจ๊กิมกีจะกลับวัดพร้อมด้วยหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับที่มีจำหน่ายในจังหวัดอุทัยธานี พี่นนทาจะนำหนังสือพิมพ์ไปถวายหลวงพ่อ พวกเราจะไปคอยอ่านหนังสือพิมพ์ต่อจากหลวงพ่อ วิธีอ่านหนังสือของหลวงพ่อแปลกกว่าผู้อื่น คือ ยกขึ้นส่องดูพาดหัว แล้วก็โยนปุลงมาหน้าเตียงที่ท่านทีละเล่ม พวกที่เฝ้าอยู่ก็จะคว้ามาอ่านคนละเล่ม

ผู้เขียนสังเกตหลายครั้งว่า ไม่ว่าผู้เขียนกำลังอ่านข่าวอะไร หลวงพ่อก็จะตั้งต้นวิสัชนาเรื่องนั้น พร้อมทั้งถามความคิดเห็นพวกที่นั่งอยู่ด้วยกัน และไม่ว่าพวกเราจะพยายามแสดงปัญญาอันมีแค่หางอึ่ง ออกความเห็นอย่างไรก็ตาม หลวงพ่อก็จะสรุปว่า “ฉันว่า....................” แล้ว

เหตุการณ์ต่างๆ ก็จะเป็นไปตามที่หลวงพ่อพูด หากผู้เขียนแกล้งเปลี่ยนเรื่องอ่านโดยเจตนา หลวงพ่อก็จะเปลี่ยนเรื่องพูดไปตามข่าวที่กำลังอ่านทุกที่ไป จนท้ายที่สุดผู้เขียนต้องเลิกอ่านข่าว พอหลวงพ่อโยนหนังสือพิมพ์มาให้ ท่านเห็นไม่มีใครอ่าน ท่านก็จะถามว่า “ข่าววันนี้มีอะไรบ้าง ฉันตาไม่ดี” ผู้เขียนก็รีบพนมมือพร้อมทั้งกล่าวว่า “นิมนต์หลวงพ่อกล่าวมาเลยดีกว่าค่ะ” หลวงพ่อท่านจะยิ้มหรือบางครั้งก็จะบ่นว่า “อะไรกันวะ”

วันหนึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผู้เขียนลาพักผ่อนไปอยู่ที่วัดท่าซุง มีผู้นำแหนมมาถวายหลวงพ่อหลายพวง ผู้เขียนจึงสมคบกับปุ๋ย (ลูกสาวน้าน้อยกานดา) ว่าวันนี้ได้การละ แล้วเรา 2 คนก็ช่วยกันจัดการแกะห่อแหนมหั่นจนพูนจานใบโต พร้อมทั้งนั่งคอยอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะพวกเราคอยรับประทานอาหารเหลือหลวงพ่อทุกวัน

หลวงพ่อท่านนั่งลงฉันไม่พูดว่าอะไร ฉันไปก็หยิบแหนมส่งให้หมากินไปพร้อมๆ กับท่านจนแหนมหมดจาน พอท่านฉันเสร็จ ท่านก็บอกผู้เขียนกับปุ๋ย (ซึ่งหน้าจ๋อยเต็มที่ พร้อมทั้งกล่าวหาว่าเพราะผู้เขียนเป็นหัวโจก) ว่า แหนมน่ะให้หั่นเอาใหม่นะ

พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน นั้น มีพระคุณกับผู้เขียนเป็นที่สุดทั้งทางโลกและทางธรรม ไม่อาจที่จะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้ แม้ในขณะที่ช่วยกันจัดทำ "หนังสืออนุสรณ์งานสมโภช" และ "หนังสือบันทึกของลูกศิษย์" ฉบับที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ บารมีของหลวงพ่อก็ยังเมตตาแผ่มาถึง เพียงตั้งใจอธิษฐานขอบารมีของหลวงพ่อเป็นที่พึ่งเท่านั้น เหตุการณ์ขัดข้องทั้งหลายจะหมดไป

ปัญหาสุดท้ายที่ผู้เขียนขอบารมีหลวงพ่อ โดยเสี่ยงเอาหนังสือฉบับนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ ก็คือตัวพิมพ์และกระดาษ ตัวอักษรที่ใช้ในการพิมพ์หนังสือนี้เป็นตัวอักษรออกใหม่เรียกว่าตัวอักษร “มานพ” ซึ่งเส้นหนา เมื่อต้องการจะเน้นข้อความใดก็ใช้คำสั่งให้เป็นตัวเข้ม ซึ่งตัวอักษรจะหนาขึ้นไปอีก คุณสุขหฤทัย ไชยรบ ผู้เชี่ยวชาญการจัดทำหนังสือ เป็นผู้ออกแบบ และวางรูปเล่มหนังสือฉบับนี้บอกว่า

หากจะทำตัวอักษรตัวเข้ม อักษรมานพต้องใช้กระดาษพิเศษสั่งจากนอก มิฉะนั้นเวลาพิมพ์ตัวอักษรจะแตกและซึมกระดาษเลอะไม่น่าดู เหมี่ยว (โศภิษฐ์ สดศรี) จึงช่วยยักย้าย ถ่ายเทเลี่ยงจากการใช้อักษรตัวเข้ม มาเป็นตัวเอนเพื่อเน้นข้อความแทน ซึ่งก็ปรากฏผลไม่เป็นที่น่าพอใจนัก แต่เหมี่ยวก็เห็นว่าดีกว่าตัวเข้มแล้ว อักษรแตก หมึกซึมเวลาพิมพ์ เพราะเราใช้กระดาษธรรมดาไม่ใช่กระดาษสั่งนอก ผู้เขียนคิดสูตรปรมาณูได้ เลยตัดสินใจแก้กลับไปเป็นตัวเข้มอีก แล้วบอกเหมียวว่า

เราทำหนังสือบูชาคุณหลวงพ่อก็ต้องเสี่ยงบารมีหลวงพ่อกันละ เหมี่ยวดูท่าทางจะไม่สบายใจนัก หากผู้เขียนมีความเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นว่า หนังสือจะต้องออกมาดี เพราะเราตั้งใจทำให้ดี ไม่ได้ทำกันเล่นๆ

การเขียนบันทึกเรื่องนี้ หากมีเรื่องที่ไม่สมควรด้วยประการใดก็ดี ผู้เขียนขอกราบขมาต่อพระรัตนตรัยและต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ซึ่งผู้เขียนได้ยึดไว้เป็นสรณะประจำตนและขอถือโอกาสนี้อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์ทั้งหลายทั่วสากลพิภพ ได้โปรดอภิบาลและและประทานพร 3 ประการ อันได้แก่ อายุ สุขะ และพละ แด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ส่วนวรรณะ และปฏิภาณนั้นคงจะไม่ต้องเพราะท่านมีพร้อมแล้ว.

หมายเหตุ


นักเขียนทั้งสองท่านที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านคงทราบได้ดีว่า คุณลุงดำรงค์ นุตาลัย เป็นพ่อของ คุณชาลินี ซึ่งได้แต่งงานกับ นพ.ชุติ เนียมสกุล เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อกันทั้งเซ็ท คุณชาลินี หรือเรียกชื่อเล่นว่า "ปาน" มีนิสัยโอบอ้อมอารี หน้าตายิ้มแย้ม เป็นคนนิสัยดีน่ารัก ไม่ค่อยถือตัว ทั้งๆ ที่มีความรู้ และเงินเดือนเป็นแสน ได้เป็นผู้จัดทำหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มนี้ ร่วมกับ "คุณเหมี่ยว" คือ คุณโสภิษฐ์ สดสี

คุณปานได้รู้จักหลวงพ่อมานาน จึงได้สั่งสมประสบการณ์ไว้มาก อีกทั้งเป็นคนที่รู้จักกาลเวลา, รุ้จักบุคคล, รู้จักใช้ถ้อยคำในการคุยกับหลวงพ่อ คือไม่ถูกด่าออกมาเสียก่อนเหมือนคนอื่นๆ (แต่เป็นเพียงบางคนนะ) จึงทำให้ได้รู้เรื่องอะไรดีๆ เกินกว่าที่คนอื่นจะรู้ได้

ความจริงเรื่องที่คาดการณ์กันว่า "หลวงพ่อต้องไม่ใช่แค่พระวิชชาสาม" เป็นเพียงความคิดและเป็นคำพูดที่วิจารณ์กันมานาน ในกลุ่มลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามหลวงพ่อตรงๆ คงมีแต่ครอบครัว "นุตาลัย" นี่แหละ ที่สามารถยืนยันกับพวกเราในภายหลัง ให้เกิดความมั่นได้ว่า "หลวงพ่อต้องเป็นพระปฏิสัมภิทาญาณ" อย่างแน่นอน จากการเป็นคนช่างสังเกตของคณะนี้นี่แหละ

และอีกประการหนึ่ง ซึ่งมีหลักสูตรบังคับไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่เคยปรารถนา "พุทธภูมิ" มาก่อน เมื่อจะลาในช่วง "ปรมัตถบารมี" จะต้องจบกิจเป็น "พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ" เพียงสถานเดียว เพราะบารมีเกินไปมากแล้วนั่นเอง ดังตัวอย่างที่หลวงพ่อบอกไว้อีกองค์หนึ่ง นั่นก็คือ "หลวงปู่สี ฉันทสิริ" แห่งวัดถ้ำเขาบุนนาค จ.นครสวรรค์ หลวงพ่อบอกว่าท่านลาจาก "พุทธภูมิ" เหมือนกัน.

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 31/7/09 at 08:52 [ QUOTE ]



นุสมล สุขเสริม

"หลวงพ่อ"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........นับเป็นเวลา 20 ปีเศษ ที่ข้าพเจ้าได้รู้จักหลวงพ่อจากท่านผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง และหากข้าพเจ้าจะกล่าวถึงหลวงพ่อโดยไม่เอ๋ยนามท่านผู้นั้น ข้าพเจ้าก็คงเหมือนคนอกตัญญูที่ไม่รู้คุณผู้ที่ชักนำให้ข้าพเจ้าได้พบสิ่งที่เป็นมงคลอันประเสริฐยิ่งของชีวิต “พี่อ๋อย” หรือคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ภรรยาของท่านพลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ เจ้าของบ้านสายลม บ้านที่ท่านได้สละให้พวกเราได้ใช้เป็นที่พบปะหลวงพ่อ ได้ทำบุญ ได้ศึกษาธรรม

ท่านผู้นี้เป็นผู้มีเมตตาอย่างสูง เมื่อเห็นว่าข้าพเจ้าต้องพบกับความขัดข้องของชีวิต ต้องทุกข์ทรมานใจที่ต้องพลัดพรากจากลูกอันเป็นที่รักก็ดี ทุกข์ทรมานกับโรคภัยต่างๆ ที่ต้องประสบพบพานอย่างหนักเนืองๆก็ดี ท่านผู้นี้ได้ยื่นหนังสือ “ประวัติหลวงพ่อปาน” ที่หลวงพ่อเป็นผู้เขียนให้ข้าพเจ้าหนึ่งเล่ม และได้ชักนำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบเท้าหลวงพ่อ ณ บ้านสายลมแห่งนั้นอีกด้วย

นับแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ข้าพเจ้าได้ตระหนักชัดว่า ข้าพเจ้าได้มีที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวอย่างแท้จริง ในความรู้สึกของข้าพเจ้านั้น หลวงพ่อเป็นทั้งพ่อและครู เป็นผู้ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ธรรมะต่างๆที่หลวงพ่อสอน ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจชีวิตมากขึ้นตามลำดับ การโอดโอยต่อสิ่งไม่พึงปรารถนาต่างๆ จึงค่อยๆ เบาลง ตั้งหน้าที่จะใช้กรรมและทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า เพราะเหตุทุกเหตุต้องมีผล และผลทุกผลต้องมีเหตุ ที่ต้องเกิด ต้องตาย ต้องร้อน ต้องหนาว ฯลฯ ก็ด้วยกรรมอันเป็นรากฐานของตนทั้งสิ้น ความผันแปรต่างๆ บนโลกมนุษย์นี้แท้ที่จริงคือ ปกติธรรมดา ข้อสำคัญหลวงพ่อสอนให้รู้ว่า ทุกข์นั้นเราต้องรู้จักเข็ด และมีหนทางที่จะหนีมันได้ หนีมันพ้น

พระนิพพานนั้น แม้นจะไม่ใช่สิ่งง่ายๆ ที่จะทำให้แจ้ง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งเหลือวิสัย หากเรามั่นคงที่จะไป

หลวงพ่อทำให้ธรรมะของสมเด็จพระพุทธครูบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากระจ่าง สว่างแจ้ง ให้เราปฏิบัติได้ ปฏิบัติตรง หลวงพ่อจึงเปรียบเสมือนดวงแก้วที่ส่องทางให้บรรดาศิษย์และลูกรักทั้งหลายได้เดินพ้นอบายภูมิ และมุ่งสู่แดนสุขอันแท้จริง

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว พระธรรมทั้งหลายที่หลวงพ่อสอน ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจในธรรมอยู่เสมอ ข้าพเจ้าจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานอย่างมุ่งมั่นว่า เมื่อข้าพเจ้าได้เกิดมามีบุญได้พบพระอริยสงฆ์เช่นหลวงพ่อ ข้าพเจ้าย่อมภูมิใจที่ตัวเองนั้นขึ้นชื่อว่าเป็น “ศิษย์มีครู” เป็นลูกพ่อคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงขอเทอดเอาสิ่งที่เป็นมงคลยิ่งนี้ไว้เหนือหัว และไม่ว่าการปฏิบัติเพื่อให้ถึงความหลุดพ้นอันเป็นยอดปรารถนาสูงสุด จะมีอุปสรรคขวากหนามสักปานใด ข้าพเจ้าจะอดทน จะแก้ไข แก้ทุกข์ และทิ้งทุกข์ให้ได้ เพื่อติดตามหลวงพ่อผู้ซึ่งข้าพเจ้าเทอดไว้เหนือหัว ไปสู่แดนแห่งความสุขอันเกษมชั่วกาล

พระธรรมที่พ่อสอน ด้วยอาทรและห่วงใย
จงนำลูกพ้นภัย ไปทิพยสถานนิพพานเทอญ

หมายเหตุ


ตามปกติผู้เขียนเองไม่ค่อยได้อ่านข้อเขียนโดยละเอียด เนื่องจากต้องมีภารกิจต่างๆ มากมาย แต่เมื่อได้มีโอกาสเขียนเพิ่มเติมในเว็บวัดท่าซุงนี้ จึงได้มีโอกาสอ่านทุกถ้อยคำ อันแสดงถึงความจริงใจของผู้บันทึก ที่ได้หลั่งไหลออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นการสะท้อนถึงจิตใจที่มีความรักและผูกพัน จากคำที่ว่า.. "หลวงพ่อเป็นทั้งพ่อและครู"

คุณนุสมล สุขเสริม เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมานาน จากการบอกเล่าให้ได้ทราบว่า เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้อ่าน "หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน" จึงได้เกิดความสัทธาปสาทะอย่างมั่นคง ตลอดเวลาอันยาวนานหลายสิบปีนี้ คุณนุสมลจึงได้มีโอกาสอุปถัมภ์บำรุงวัดท่าซุงตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างวัดท่าซุงหรือวัดอื่นๆ ที่หลวงพ่อให้การช่วยเหลือ ตลอดจนถึงการมอบสิ่งของให้แก่ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารอยู่เสมอๆ

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 1/8/09 at 10:24 [ QUOTE ]



นนท์ ปานเถื่อน

"พระคุณพ่อ..สุดมากพ้นรำพัน"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........ลูกได้มีโอกาสเข้าวัดท่าซุงประมาณปี 2517 ด้วยการชักชวนและนำพาของพี่สาว จนกระทั้งถึงปี 2523 เป็นปีน้ำท่วม ลูกมีโอกาสได้มาอยู่วัดหลายวัน จึงได้ฝึกมโนมยิทธิกับเขาเป็นครั้งแรก กว่าจะหายสงสัยเรื่องนรกสวรรค์และพระนิพพานได้ก็แทบแย่

ตั้งแต่นั้นมาลูกได้มีโอกาสมาวัดบ่อยขึ้น ปฏิบัติได้บ้างพอสมควร ก็ด้วยความเมตตากรุณาจากพ่อที่ให้แก่ลูก ช่วยให้แสงสว่างชี้ทางที่ถูกที่ตรง แล้วก็เป็นทางลัดด้วยให้ลูกได้เดิน ลูกจึงได้ยึดเอามาเป็นเครื่องปฏิบัติและ ขอก้าวเดินไปตามทางลัดที่พ่อสอนจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง และจะพยายามให้ถึงที่สุดในชาติปัจจุบันนี้ จะไม่ขอเกิดมาพบกับความทุกข์ในโลกนี้อีกแล้ว

ครั้นถึงปี 2528 พ่อได้จัดงานฉลองวัดและสมณศักดิ์ที่พ่อได้รับ ลูกและครอบครัวได้มางานนี้และได้พบ เรียกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์พิเศษสุดก็ว่าได้ ที่ลูกได้มีโอกาสพบและเข้าไปกราบพระองค์ที่ 10 อย่างใกล้ชิด ทำให้ลูกและครอบครัวมีความชื่นใจ อิ่มอก อิ่มใจจนบอกไม่ถูก ในชีวิตนี้คงจะมีครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น และก็ยิ่งชื่นใจมากขึ้นไปอีก เมื่อหลังจากงานลูกมีโอกาสได้ฟังเทปที่พ่อได้เมตตาเล่าเรื่องที่ได้พบพระองค์ที่ 10 และเอาคำสอนมาถ่ายทอดให้ลูกๆ ได้ฟังกัน

พ่อบอกว่าท่านสอนสั้นๆ แต่มีเนื้อหาสาระละเอียดลึกซึ้งมาก ลูกได้ฟังแล้วชื่นใจเป็นพิเศษ และยังก้องติดหูติดใจอยู่จนทุกวันนี้ ก็ด้วยความเมตตาและเป็นมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ 10 แล้วพ่อก็ยังเมตตาสงเคราะห์ลูกและครอบครัวของลูก ลูกจึงขอความกรุณาอนุญาตนำคำสอนซึ่งลูกขออนุญาตเรียกว่า โอวาทของพระองค์ที่ 10 ซึ่งได้นำมาถ่ายทอดโดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน แห่งวัดท่าซุง ดังนี้

“คนเราเกิดมาแล้วจะดีหรือจะชั่วอย่างไรก็ตาม จะมียศฐาบรรดาศักดิ์ขนาดไหนก็ตาม ทุกคนก็ต้องตายหมด ถ้าเราเมาในชีวิตคิดว่าชีวิตของเราจะไม่ตายนี่ มีความรู้สึกมันจะผิดมากเกินไปทุกคนจงอย่าลืมความตาย แต่ก่อนจะตายเราอย่าปล่อยให้เกิดมาขาดทุน เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ไม่ควรย้อนถอยหลังลงอบายภูมิ ให้ก้าวหน้าต่อไป ถ้าก้าวยาวไม่ได้ก็ก้าวสั้นๆ ก้าวสั้นๆ ก้าวไปไหน ก็ก้าวไปสวรรค์ ถ้าอยากจะไปสวรรค์ ให้รักษาเทวธรรมให้ครบถ้วน คือหิริ และโอตัปปะ หิริ อายความชั่ว โอตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วจะลงโทษให้ทำแต่ความดีตามพระธรรมวินัย

ถ้าอยากจะไปพรหมก็ก้าวให้ยาวอีกนิดหนึ่ง รักษากำลังใจ จงอย่าให้ใจเป็นทาสของนิวรณ์ ทรงพรหมวิหารสี่เป็นปกติ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทำจิตให้ตั้งมั่นในณานสมาบัติ แล้วต่อไปถ้าคิดจะก้าวลัดให้เร็วขึ้น ให้ตั้งใจไปนิพพาน จงมีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงเรืองร่างที่อาศัยชั่วคราวของอทิสมานกาย หรือที่เรียกว่า จิต

แล้วร่างกายมันก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก เต็มไปด้วยความทรุดโทรม เรามีร่างกายเราก็ชื่อว่ามีใจแบกทุกข์ ถ้าเราติดร่างกายเราก็ติดทุกข์ เราจะไม่มีความสุข ขอทุกท่านจงปลดอารมณ์ ตัดราคะความกำหนัด ยินดีในบุคคลและทรัพย์สิน ตัดโทสะ ความโกรธ คือคิดประทุษร้ายกัน ให้มีแต่ความเมตตา ปราณี ตัดโมหะ ความหลงที่คิดว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเรา ทำได้อย่างนี้ทุกคนไปนิพพานหมด”

พระคุณของพ่อที่ลูกได้รับนี้นับว่าใหญ่หลวงนัก ซึ่งลูกไม่มีโอกาสทดแทนพระคุณได้แน่นอน ลูกจึงได้ตั้งใจว่า ถ้ามีโอกาสที่จะได้ช่วยเป็นงานที่จะแบ่งภาระของพ่อได้ จะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม จะเป็นที่วัด ที่สายลม หรือที่อื่นๆ ถ้าโอกาสอำนวยจะขอช่วยจนถึงที่สุด เพราะว่าพ่อมีแต่ให้อย่างเดียว ลูกจึงขอยึดเอาคำสั่งและคำสอนที่พ่อให้ นำไปปฏิบัติจนถึงที่สุดจนกว่าจะเข้าพระนิพพาน..


หมายเหตุ

ถ้าใครไปที่ "บ้านสายลม" บ่อยๆ จะเห็นพระวัดท่าซุงนั่งอยู่ที่จำหน่ายลูกแก้วและสังฆทาน ในจำนวนฆราวาส 2-3 คนที่ช่วยงานอยู่ตรงนั้น จะมีผู้ชายคนหนึ่ง ใครๆ เรียกกันว่า "จ่านนท" นั่งช่วยจำหน่ายคูปองสังฆทานอยู่ นับตั้งแต่วันศุกร์จนถึงวันจันทร์ ตามกำหนดเวลาที่มีการปฏิบัติธรรมทุกต้นเดือน

พี่จ่านนท์เป็นคนเงียบๆ พูดจาสุภาพกับทุกคน ช่วยเหลืองานอยู่ที่บ้านสายลม และไปช่วยงานที่วัด (ตึกรับแขก) เป็นประจำหลายสิบปีมาแล้ว การที่พี่จ่านนท์มีเวลาไปช่วยงานได้เต็มที่ เป็นเพราะพี่จ่านนท์เกษียณออกมาจากราชการหลายปีแล้ว เดิมรับราชการเป็นทหารอยู่ที่จังหวัดลพบุรี

การที่พี่จ่านนท์เป็นคนทำงานให้กับวัดมานานนี้ จะเห็นว่าเป็นคนที่มีความอดทนและเข้มแข็ง เพราะเป็นธรรมดาของโลก วัดท่าซุงเป็นวัดใหญ่ มีผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสหลวงพ่อมากมาย คนที่เข้ามาช่วยเหลืองานของวัดก็มีอยู่ ย่อมเป็นที่กระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา แต่ที่พี่จ่านนท์สอบผ่านมาได้นี้ คงเป็นเพราะพี่จ่านนท์ยึดถือคำสอนของหลวงพ่อเป็นสำคัญ ไม่ใช่ว่าเรียนธรรมะแล้วเอามาคุยแข่งกัน หรือเอาความรู้มาเบ่งทับกัน

แต่พี่จ่านนท์น้อมนำเอาธรรมะมาปฏิบัติจริงๆ จึงทำให้พี่จ่านนท์เป็นที่รักนับถือของคนทั่วไป สมกับที่พี่จ่านนท์บันทึกเอาไว้ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทุกประการ คุณความดีที่พี่จ่านนท์ได้ช่วยเหลืองานของสงฆ์ และงานสาธาณประโยชน์มานานหลายสิบปี พวกเราทีมงานต้องขอสดุดีและขออนุโมทนาไว้ ณ โอกาสนี้ทุกประการครับ

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/8/09 at 13:30 [ QUOTE ]



นิภา คงสุข

"หวนรำลึกนึกซึ้นในพระคุณท่านพ่อ..พระมหาวีระ ถาวโร ผู้ชี้ทางแห่งชีวิตใหม่"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........เมื่อ พ.ศ. 2517 ก่อนพบท่านพ่อมหาวีระ ถาวโร เราได้พบกับคุณชอ (อัญชัน) คุณอัญเชิญ พี่สรรเสริญ ที่อุตรดิตถ์ คุณชอได้เล่าถึงการรักษาศีล 8 เราฟังดูแล้วรู้สึกขำและยังพูดล้อว่า โฮ้ย! อยู่ดีไม่ว่าดีไปอดอยาก เราไม่เอาอดอยากตาย กินตายดีกว่าอดตาย ดีชั่วรู้หมดแล้ว สวรรค์-นรกก็เห็นหมดแล้ว หากินทางฝันดีกว่า

คุณชอก็สนใจและถามว่ามันเป็นอย่างไงที่ว่าหากินทางฝัน เราก็เล่าให้ฟังว่าเคยฝันเห็นคนแก่มาบอกว่า ทำบุญไปยายได้รับนะ จะตอบแทนคุณให้หวยจะออก 495 นะ เมื่องวดก่อนออกแล้วงวดนี้จะออกซ้ำอีก พอถึงวันออกก็ออกมาซ้ำจริงๆ เรายังถูก 20 บาทได้เงินหมื่นสอง สมัยก่อนทองบาทละ 600 และยังมีฝันอีก ฝันเห็นผู้ชายหนวดยาวสีขาว นุ่งขาวห่มขาวพาไปดูนรก-สวรรค์ คุณชอก็บอกว่า คุณพาถ้าได้อ่าน หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ของหลวงพ่อแล้วจะติดใจ หลังกรุงเทพฯ จะส่งหนังสือมาให้ ต่อมาเพียง 3 วัน หนังสือจากคุณชอก็ถึงอุตรดิตถ์

เราเป็นคนชอบคนมีสัจจะจริงใจ พอได้รับตามจริง ตอนนั้นเปิดภัตตาคารไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือนัก แต่ต้องอ่านเพราะผู้ส่งมีสัจจะ จึงอ่าน..พออ่านไปๆ นึกชอบใจผู้เขียนและชอบใจอภินิหาร จึงอธิษฐานในใจว่า..พระองค์นี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่หนอ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ขั้วโลกเหนือโลกใต้จะไปหา เพราะท่านเหมือนเรา (ขอขมาท่านพ่อ) แทนที่จะนึกเราคล้ายท่านก็ยังไม่ควร แต่ตอนนั้นเหมือนเด็กไร้เดียงสา คิดอย่างนั้นจริงๆ

คิดว่าพระองค์นี้เหมือนเรา และตอนอ่านถึงอภินิหารพระธาตุที่พระฉายยิ่งทึ่ง จึงจุดธูปอธิษฐานขอพระธาตุทั้งๆ ที่เกิดมาไม่เคยรู้จักหรือเห็นว่าพระธาตุนั้นคืออะไร เราอธิษฐานเพราะคำว่า "อภินิหาร" เราอธิษฐานวันโกนคือก่อนวันพระ 1 วัน พอครบวันโกน คืนนั้นฝันว่ามีเทวดายืนบนต้นไม้ใหญ่ทองกวาว อายุประมาณ 80 กว่าปี

ท่านขึ้นไปยืนบนง่ามต้นไม้นั้นแล้วเปิดผอบ เรายืนดูอยู่พอเปิดผอบก็มีดวงลอยขึ้นมาจากผอบ ลอยสูงขึ้นก็ใหญ่ขึ้นและสว่างขึ้น เรายืมมองตามพอถึงหัวเราก็ใหญ่เท่าพระจันทร์เต็มดวง พอตรงหัวเราก็ครอบบนหัวดูตัวเราสว่าง เทวดาท่านก็พูดว่า เอาหละนะ แสงสว่างเข้าตัวเราแล้วนะ เรากราบท่าน พอเช้าก็มีคนให้พระธาตุ หลวงปู่ปานท่านมีอภินิหารจริงๆ เราเชื่ออย่างไม่มีสงสัยและอย่างมีปาฏิหาริย์จริง

หลังจากนั้นเราก็สืบดู จึงรู้ว่าท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่วัดท่าซุง เรามากับพระ 2 องค์ ฆราวาส 3 คนรวม 5 คน พบท่านพ่อกำลังนอนให้น้ำเกลืออยู่ เรานมัสการท่านและท่านก็สั่งคุณอาทร (ทราบภายหลัง) ว่าเป็นทหารอากาศ ท่านเป็นผู้เปิดห้องพักให้เรา เกิดมาไม่เคยค้างวัด แอบไปหาโรงแรมที่มโนรมย์แล้วไม่มี ท่านพ่อก็รู้อีกทั้งๆ นอนให้น้ำเกลืออยู่ ท่านพูดลอยๆว่า

“ไม่ต้องไปหาโรงแรมหรอกพักเสียที่นี่แหละ โรงแรมสกปรกกว่าวัดอีก”

ความจริงสมัยก่อนถ้าไปวัดมาพอถึงบ้านต้องอาบน้ำสระผม ถือว่าวัดสกปรกและมีแต่ของไม่ดี เช่นศพผีแมวหมา ของไม่ดีเขาเอาไปวัดจึงรังเกียจวัด แต่เราเคารพท่านพ่อ ท่านอุตสาห์ให้ท่านอาทรเปิดห้องพักข้างกุฏิท่านให้จึงพัก 1 คืน และท่านยังพูดอะไรอีกหลายๆ อย่างที่เป็นที่น่าทึ่ง น่าเคารพเลื่อมใส

ซึ่งเราไม่เคยพบพระอย่างนี้มาก่อน พบแต่พระที่เสมือนเพื่อนเท่านั้น สมัยนั้นเราเป็นคนมีอารมณ์สนุก จะไปวัดทั้งทีก็สั่งเจ้าอาวาสทำขนมจีน เผาข้าวหลามไว้ ท่านก็จะทำตามสั่ง เราก็พาพรรคพวกคณะรถไฟไปกิน แถมยังเอาไพ่ไปเล่นรัมมี่อีก ดูนะสมัยนั้นเราเป็นคนดีที่แฝงไว้ด้วยความเลวแค่ไหน และจะไม่ให้เราเรียก "ท่านพ่อมหาวีระ ถาวโร" ว่าผู้ชี้ทางแห่งชีวิตใหม่ได้อย่างไร ถ้าไม่พบท่านพ่อชี้ทางแห่งชีวิตใหม่ คงไม่พ้นขุมใดขุมหนึ่งแน่ๆ จริงมั้ยคะ..?

ต้องเป็นบุญของเราและยิ่งได้รับ "มโนมยิทธิ" ด้วยยิ่งสนุกใหญ่ ถ้าเป็นพุทธพาณิชหากินทางหมอดูได้รวยเละเลย ดีแต่ว่าเราปวารณาเป็นพุทธบริษัทและปรารถนานิพพาน จึงนึกคิดเสมอว่า คืนนี้ไม่รู้จักหายใจหรือไม่ จึงดูเพื่อสงเคราะห์เท่านั้น เมื่อได้มโนมยิทธิ เราก็เลยไม่ต้องอาศัยฝันอีกแล้ว ดีกว่าฝันด้วย เพียงนึกเปิดโทรทัศน์ ปิดพัดลม เพียงนึกนั่งมองไปก็ปิดได้ (แต่ไม่ทำโชว์นะจะบอกให้) ที่ทำนี้มีพยานด้วย ถ้าใครอยากทำได้ก็หมั่นทำความเพียรอย่าท้อถอย อย่าสงสัย อย่าใจเบาเชื่อเขาว่าสวรรค์-นรกไม่มี นิพพานสูญ..

หมายเหตุ


ผู้เขียนก่อนที่จะเพิ่ม "หมายเหตุ" นั้น จึงต้องอ่านโดยละเอียด เพราะต่อมาภายหลัง คุณป้านิภามีชื่อเสียงมาก ได้ไปสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมที่เมืองกาญจน์ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย คงไม่มีอะไรที่จะเพิ่มเติม

แต่มีสักเรื่องหนึ่งที่อยากจะเล่าว่า โดยเล่ามาจากพระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี 2533 สมัยนั้นหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ คนยังไม่รู้จักคุณป้านิภามากนัก วันนั้นคุณป้ามาจากอุตรดิตถ์มาพักที่วัดหลายวัน จึงได้มีโอกาสสนทนากับหลวงพ่อองค์หนึ่งและหลวงพี่อีกองค์หนึ่งที่ตึกเสริมศรี (ต้องขออภัยที่ไม่สามารถเอ่ยนามของท่านได้

ในตอนนั้น หลวงพ่อและหลวงพี่ทราบดีว่า คุณป้านิภาได้ทิพจักขุญาณแจ่มใส จึงได้ซักถามเรื่องราวต่างๆ อีกทั้งอยากจะทดสอบความแม่นยำด้วย โดยเฉพาะเรื่องระลึกชาติ คุณป้าได้บอกว่าหลวงพี่ได้เคยเกิดเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ มีชื่อว่า "หรยู" หลวงพี่ก็ถามว่าเห็นเป็นภาพหรืออย่างไร คุณป้าบอกว่าเห็นเป็นตัวหนังสือลอยมา

หลวงพี่ท่านได้ฟังดังนั้น จึงได้ไปค้นหาตามตำนานต่างๆ เช่นตำนานเมืองเชียงใหม่เป็นต้น แต่ก็ไม่พบชื่อของเจ้าเมืององค์นี้ ส่วนใหญ่หลังสมัย "พ่อขุนเม็งราย" ก็มีชื่อว่า พระเจ้าแสนภู, พระเจ้าคำฟู, พระเจ้าผายู, พระเจ้ากือนา เป็นต้น

ต่อมาท่านก็ได้ไปค้นคว้าจนพบจาก "หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์" ซึ่งได้เล่าเรื่องประวัติเมืองเชียงใหม่ โดยรจนาเป็นภาษาบาลี ลำดับรัชกาลจากพ่อขุนเม็งรายมหาราชจนมาถึงสมัยพระเจ้า "หรยู" ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า "ผายู" นั่นเอง

หลวงพี่ท่านบอกว่า เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะตามประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครรู้จักชื่อ "หรยู" ตามตำนานต่างๆ จะเรียกเจ้าเมืองเชียงใหม่องค์นี้ว่า "ผายู" หรือไม่ "ตายู" เป็นต้น แล้วคุณป้านิภาจะรู้ได้อย่างไรว่า ชื่อ "หรยู" นี้มีอยู่ใน "ชินกาลมาลีปรณ์" คนส่วนใหญ่ถ้าไม่ศึกษาประวัติศาสตร์จริงๆ จะไม่ค่อยรู้จักหนังสือเล่มนี้ นี่เป็นเรื่องที่แถมท้าย.

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/8/09 at 08:06 [ QUOTE ]



บุญยืน คามพิทักษ์

"พระคุณของ..หลวงพ่อ"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเขียนข้อความที่เกี่ยวกับพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ข้าพเจ้าขอแสดงความคารวะและขอขมาหลวงพ่อท่านก่อน กันพลาดพลั้ง

เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน แล้ว ทำให้อยากรู้จักหลวงพ่อ ในหนังสือมีคุณวิเศษขององค์ท่านทั้งสอง เป็นที่ประทับใจข้าพเจ้ามาก เมื่อมีโอกาสจึงไปกราบหลวงพ่อท่านที่วัดท่าซุงและได้ทำบุญกับท่าน และได้ทราบว่าองค์ท่านไปแสดงธรรม สอนกรรมฐานที่บ้านซอยสายลมทุกเดือน ท่านเจ้าของบ้านท่านเมตตาอนุญาตให้ใครไปก็ได้ เป็นพระคุณอย่างยิ่ง

เมื่อได้ฟังธรรมนั่งกรรมฐานกับองค์ท่าน แล้วก็ติดใจในรสพระธรรมขององค์ท่าน ท่านสอนเข้าใจง่ายธรรมะของท่านมีหลายรสฟังไม่เบื่อ บางครั้งธรรมะของท่านก็แทงใจพวกเราหลายๆ คนต่างๆ กัน บางทีข้าพเจ้าไม่เข้าใจธรรมะบางประการ ก็เขียนจดหมายกราบเรียนถามท่าน ท่านก็กรุณาเมตตาตอบจดหมายชี้แจงมาให้เข้าใจ เป็นที่ซาบซึ้งในความเมตตากรุณาขององค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง (เมื่อ 10 กว่าปีก่อน)

กาลต่อมาธรรมะของท่านก็เข้มข้นขึ้น จนถึงขั้นอารมณ์พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ และบอกทางไปนิพพานในขั้นสุดท้าย เพื่อให้ลูกศิษย์มีใจแน่วแน่เพื่อพระนิพพาน จะได้ไม่กลับมาเกิดผจญกับความทุกข์อีก ได้แนะนำวิธีทำบุญต่างๆ ว่าทำบุญด้วยอะไร อย่างไร จึงจะได้ผลมาก ทุกๆ คนเมื่อได้ไปกราบครั้งหนึ่งแล้วก็ประทับใจ ต่างพาพี่น้อง เพื่อนฝูง มาทำบุญฟังธรรม นั่งกรรมฐานอย่างล้นหลามอย่างเช่นทุกวันนี้

หลวงพ่อท่านไม่เคยห่วงลูกศิษย์เมื่อตอนที่องค์ท่านแข็งแรงอยู่ องค์ท่านได้พาคณะศิษย์ไปนมัสการพระอาจารย์ทางภาคเหนือหลายพระองค์ เพื่อให้ลูกศิษย์นับถือเป็นอาจารย์และทำบุญกับท่าน จะได้เนื้อนาบุญที่สมบรูณ์มี

หลวงปู่คำแสนใหญ่ วัดสวนดอก หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล หลวงปู่อินทจักร วัดน้ำบ่อหลวง หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง หลวงปู่พรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า หลวงปู่วงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย

และแนะนำให้ไปกราบและทำบุญกับ หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรี หลวงปู่อำพัน วัดเทพศิรินทร์ หลวงพ่อท่านสอนไม่ให้ติดองค์ท่าน ท่านให้ติดคำสอนของขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

หลวงพ่อท่านสอนให้ฝึกมโนมยิทธิเพื่อความแน่ใจว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง พรหมมีจริง นิพพานมีจริง และสอนให้ฝึกญาณต่างๆ องค์ท่านสอนให้ตั้งสติไปกราบพระพุทธเจ้าบ่อยๆ กราบท่านพ่อท่านแม่ ท่านปู่ท่านย่า พ่อแม่และท่านผู้มีพระคุณ และให้เอาจิตไปตั้งไว้ที่นิพพานต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง เพื่อจิตจะได้ชิน เวลาจวนจะตายจิตจะได้ไปที่ที่เคยไปทุกวัน เพราะเราได้รู้จักหลวงพ่อท่านจึงมีความรู้พิเศษเช่นนี้ นับว่าเป็นบุญของพวกเราอย่างยิ่ง พระคุณของท่านมีเป็นล้นพ้น

หนังสือที่ท่านเขียนอ่านแล้วให้ความรู้ในธรรมะอีกมาก อ่านแล้วต้องพิจารณาตามไปด้วย ท่านมีวิธีพูดให้เรารู้ สำนึกในความผิดเพื่อแก้ไข คำสอนขององค์ท่านและทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์ท่านได้สงเคราะห์ เป็นที่ซาบซึ้งและประทับใจแก่ข้าพเจ้าและผู้ได้รับฟัง และประสบทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง พระคุณของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน มีมาก..มากสุดจะพรรณนา..!

ด้วยเดชะคุณพระศรีรัตนตรัย ได้โปรดดลบันดาลให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เจริญด้วยพลานามัย ไร้โรคาพยาธิ ปราศจากอุปัทวันตราย ขจัดอุปสรรคขัดข้องทั้งหลายทุกเมื่อเทอญ...

หมายเหตุ


ตามที่ได้อ่านบันทึกของคุณพี่บุญยืน พอจะรู้ได้ว่าเป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้ผ่านการอ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน มานานแล้วเช่นกัน แน่ละ..พวกเราได้รู้จักกับคุณพี่บุญยืนมานาน ทั้งที่บ้านสายลมและที่วัดท่าซุง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลามีการเดินทางไปกราบพระสุปฏิปันโนทางภาคเหนือ ตามรายชื่อที่พี่บุญยืนได้กล่าวนามของท่านไว้แล้ว

น่าเสียดายที่คุณพี่บุญยืนไม่ได้เล่าการเดินทางไว้บ้าง คงจะกาลเวลาผ่านไปนาน จึงได้เล่าแต่การประทับใจต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อเท่านั้น แต่เมื่อได้อ่านก็รู้สึกซาบซึ้งตรึงใจไปด้วย จะเห็นว่าลูกศิษย์หลวงพ่อทุกคนพอใจ "พระนิพพาน" คงจะเห็นความทุกข์ได้ดี เพราะพวกเราส่วนใหญ่ผ่านการเกิดกันมานานแล้วทั้งนั้น

จึงหวังใจว่าคุณพี่บุญยืนคงจะได้สมความปรารถนา ตามที่ได้ตั้งความหวังเอาไว้ การได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อและหลวงปู่ต่างๆ ที่ผ่านมา แสดงได้ว่ากาลเวลาที่ผ่านมา คุณพี่บุญยืนมิได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไป กลับได้สั่งสมบุญกับพระสุปฏิปันโนเอาไว้มากมาย จึงขออนุโมทนาบุญกุศลที่คุณพี่บุญยืนได้กระทำไว้แล้วทุกประการ.

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 17/8/09 at 08:53 [ QUOTE ]



จินตนา จรัญวาศน์


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........ในชีวิตของข้าพเจ้า นอกจากบิดารมารดาผู้ซึ่งเป็นที่รักและเป็นผู้มีพระคุณแล้ว ก็ยังหลวงพ่ออีกองค์หนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้ารักและเคารพท่านอย่างที่สุด ข้าพเจ้าได้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ท่าน เมื่อ 15 ปีที่แล้ว

หลวงพ่อได้เพียรพยายามสอนพวกเราให้รู้จักธรรมะต่างๆ จนถึงเรื่องพระนิพพาน ตั้งแต่ได้เข้าถึงธรรมะของหลวงพ่อ ในความรู้สึกลึกๆไม่ว่าข้าพเจ้าจะทำอะไรก็มีความรู้สึกว่า มีบุญกุศลมาช่วยทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าดีขึ้นในทุกๆ ด้าน

สิ่งที่ประทับใจข้าพเจ้ามากก็คือ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2522 ข้าพเจ้าและครอบครัวจะย้ายไปอยู่อเมริกากันหมด เรากะกันไว้ว่าจะย้ายไปอยู่ที่นั้นตลอด ข้าพเจ้าได้ชวนสามีไปกราบลาหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลมเพื่อขอพรท่าน พอกราบลาท่านว่าจะไปอยู่อเมริกาเลย

ท่านก็บอกว่า "ไปเดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ..!"

ข้าพเจ้าฟังแล้วก็งง สามีข้าพเจ้าฟังแล้วไม่ค่อยสบายใจเท่าไร เพราะตอนนั้นสามีของข้าพเจ้าตั้งใจจะย้ายไปอยู่เลย อย่างไรก็ตาม ครอบครัวข้าพเจ้าไปอยู่ได้ปีครึ่งก็กลับกันมาหมด ข้าพเจ้าก็ได้ไปกราบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม แล้วก็ได้เรียนหลวงพ่อว่า ลูกได้กลับมาแล้ว หลวงพ่อได้ทักข้าพเจ้าคำแรกว่า

"เห็นไหม..ว่าไปเดี๋ยวเดียว..?" ท่านยิ้มใหญ่เลย ทำให้ตัวข้าพเจ้าและสามีมีความเชื่อมั่นในตัวหลวงพ่อเพิ่มมากขึ้น

ข้าพเจ้าและพี่ๆ และคุณพ่อคุณแม่ ได้มีโอกาสทำบุญกับหลวงพ่อเสมอมา สิ่งที่หลวงพ่อได้สอนธรรมข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่งโดยเฉพาะได้รู้จัก "พระนิพพาน" เพื่อชาตินี้ ข้าพเจ้าจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์และกิเลสโดยสิ้นเชิง บุญคุณอันนี้ ข้าพเจ้าจะขอจำจนวันตายหลวงพ่อได้พยายามช่วยพวกข้าพเจ้ามาก ร่างกายท่านเองก็ไม่แข็งแรง แต่ท่านมีเมตตาต่อครอบครัวของข้าพเจ้ามาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ คุณแม่จันทนา วีระผล ท่านได้โปรดเมตตาและเมตตากรุณาให้ปั้นรูป "คุณแม่จันทนา วีระผล" ไว้ที่มณฑปหน้าวิหารแก้ว 100 เมตรอีก พวกข้าพเจ้าลูกๆ ของคุณแม่จันทนา วีระผล ขอกราบแทบเท้าของหลวงพ่อ ที่ได้โปรดเมตตาหาที่สุดมิได้แก่พวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าทั้งหลายรู้สึกสำนึกในพระเดชพระคุณของหลวงพ่อมากที่สุด

ข้าพเจ้ากราบขอให้สิ่งศักดิ์ทั่วจักรวาลได้โปรดดลบันดาลให้หลวงพ่อมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยาวนาน เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้แก่พวกเราได้อีกนานแสนนานเทอญ...

หมายเหตุ


คุณสุวรรณ - จันทนา วีระผล คือ คุณพ่อคุณแม่ของคุณจินตนา จรัลวาสน์ ครอบครัวนี้เป็นทายกทายิกาที่อุปถัมภ์บำรุงวัดท่าซุง ตั้งแต่หลวงพ่อเริ่มสร้างวัดที่ฝั่งโบสถ์ใหม่ ประมาณปี 2517 ที่หลวงพ่อเริ่มซื้อที่ดินจำนวน 11 ไร่ แล้วเริ่มก่อสร้างมากมายในเวณนั้น มี พระอุโบสถ ศาลานวราช ธรรมสถิตย์ ศาลาพระพินิจ เป็นต้น

ในตอนนั้น หลวงพ่อต้องเป็นหนี้ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ในแต่ละปี คุณสุวรรณ - จันทนา วีระผล จะนำครอบครัวและหมู่คณะเพื่อนสนิทมิตรสหาย จำนวนคนเต็มรถบัสปรับอากาศ โดยเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ณ ศาลาพระพินิจ ตลอดต่อเนื่องกันมาหลายปีทีเดียว เพื่อเป็นการชำระหนี้ให้ร้านค้า สมัยนั้นนับว่าหายากที่จะมีคนไทยเชือสายจีน ระดับเศรษฐีคหบดีที่มีความศรัทธาเลื่อมใส แล้วก็มีความมั่นคงจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานในปัจจุบันนี้

ด้วยเหตุนี้ หลังจาก เจ๊จันทนา วีระผล เสียชีวิตไปแล้ว หลวงพ่อจึงได้ให้ปั้นรูปเท่าตัวจริงไว้ใน "มณฑปหลวงปู่ปาน" ต่อมาภายหลัง เถ้าแก่สุวรรณ วีระผล เสียชีวิตไปอีกคนหนึ่ง หลวงพ่อก็ให้หล่อรูปไว้อีกเช่นกันที่ "มณฑปพระปัจเจกพุทธเจ้า" หน้าวิหารแก้ว 100 เมตร สมัยนี้อาจจะไม่ทราบรายละเอียดว่า บุคคลสองท่านนี้มีความสำคัญอย่างไร จึงจะต้องปั้นรูปเอาไว้

ขอบอกให้พวกเรารุ่นหลังได้ทราบว่า เศรษฐีสองท่านนี้พร้อมทั้งบุตรธิดาและญาติมิตร ได้เป็นผู้มีอุปการคุณแก่วัดท่าซุงตั้งแต่เริ่มต้น (โครงการที่เริ่มสร้างศาลาและอาคารที่พักต่างๆ บริเวณรอบโบสถ์ ) การที่พวกเรารุ่นหลังได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด แล้วได้หลับนอนกันอย่างสุขสบาย เวลามาพักค้างคืนที่วัดนั้นนะ ครอบครัวนี้ก็มีส่วนที่ร่วมกันสร้างวัด จนถึงการขยายพื้นที่มาสร้างที่บริเวณวิหารแก้ว 100 เมตร ซึ่งจะนำไปเล่าในโอกาสต่อไป.

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 20/8/09 at 08:33 [ QUOTE ]



มาลินี โชติเลขา


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........พระคุณของหลวงพ่อ ที่มีต่อดิฉันและครอบครัวนั้นมากมาย ดิฉันไม่ทราบจะบรรยายอย่างไรจึงสมกับความเมตตาของท่าน

เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่ดิฉัน คุณพ่อ คุณแม่ และน้องสาวได้ไปกราบหลวงพ่อที่บ้านสายลมในปลายปี พ.ศ. 2518 ดิฉันได้เกิดความรู้สึกเสื่อมใส เคารพและผูกพันกับท่านมาก ในวินาทีแรก ทั้งๆที่ดิฉันเองก็ไม่เคยรู้จักกับท่านมาก่อน สาเหตุที่ดิฉันได้มากราบหลวงพ่อ เนื่องจากดิฉันได้อ่านหนังสือเรื่อง ประวัติหลวงพ่อปาน

ดิฉันอ่านแล้วเกิดความรู้สึกเลื่อมใสและอยากพบท่านมาก จึงได้สอบถามหาที่อยู่ของหลวงพ่อ ในที่สุดได้ทราบว่าท่านมาสอนการปฏิบัติพระกรรมฐานอยู่ที่ซอยสายลม จึงได้รีบไปกราบท่าน ตอนกราบท่านครั้งแรกนั้น พวกเราได้ขอพรท่าน หลวงพ่อให้พรเป็นภาษาบาลี เมื่อให้พรเสร็จท่านได้บอกว่า กลุ่มนี้ขาวแล้วนะ พวกเรางง ไม่ทราบว่ามีความหมายอย่างไร ไม่กล้าถาม แต่ก็มีความภูมิใจว่าท่านว่าเราขาวก็แปลว่าดี ถ้าบอกดำคงแย่

หลังจากนั้น ดิฉันพร้อมด้วยคุณแม่และน้องสาว ก็จะมากราบหลวงพ่อทุกครั้งที่ท่านมาสอนกรรมฐานที่ซอยสายลม นอกจากบางครั้งบางคราวที่ติดธุระจึงไม่ได้มากราบ

สิบกว่าปี ที่ได้ร่วมทำบุญกับหลวงพ่อ ดิฉันมีความรู้สึกว่า ยิ่งทำบุญมาก ลาภผลก็ยิ่งเกิดมาก การงานต่างๆ ก็เจริญขึ้นตามลำดับ ทำให้ดิฉันยิ่งเชื่อมั่นในการทำบุญกับท่านมาก หลวงพ่อเป็นเนื้อนาบุญที่วิเศษที่สุด ซึ่งให้ผลเร็วทันตาเห็น คำอวยพรของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์มากท่านให้พรรวยก็จะรวย ให้งานการสำเร็จผลก็สำเร็จผล

สำหรับธรรมะของหลวงพ่อนั้นลึกซึ้งมาก ท่านสอนเสมอให้เราไปพระนิพพาน ซึ่งเป็นแดนที่มีความสุขนิรันดร์ ไม่ต้องกลับลงมาเกิดให้ทุกข์อีกต่อไป ดิฉันได้มีโอกาสนำธรรมะของท่านส่วนนี้ของท่านมาเล่าให้ คุณแม่จันทนา วีระผล ฟัง ซึ่งคุณแม่ชอบใจมาก และได้ตั้งปรารถนาจะไปนิพพานเมื่อละจากโลกนี้

ตลอด 10 ปีกว่าที่ผ่านมา คุณแม่ได้สร้างวิหารทาน ทำบุญสังฆทาน สร้างพระ บวชพระ บวชเณร ทำบุญโคมไฟ ฯลฯ เป็นต้น เพื่อหวังพระนิพพานอย่างเดียว ตลอดปลายชีวิตยังได้ฝึกหัดนั่งสมาธิบ้างเล็กๆน้อยๆ และด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ ที่มีต่อคุณแม่และพวกเราทุกคน ในที่สุดคุณแม่จันทนา ก็ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเมื่อละจากโลกนี้แล้ว ดังที่ดิฉันจะขอเล่ารายละเอียดดังนี้

ในตอนเย็นวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2532 คุณแม่จันทนา วีระผล ได้ถึงแก่กรรมลง ดิฉันได้โทรศัพท์ไปที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เพื่อกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบ เมื่อพี่พรนุชรับสาย พี่พรนุชได้บอกดิฉันว่า หลวงพ่อได้ขึ้นห้องนอนไปแล้ว อยู่บนชั้น 3 จะไปรบกวนท่านไม่ได้ ดิฉันจึงได้พูดกับพี่พรนุชว่า ถ้าอย่างนั้นพี่ช่วยกราบเรียนหลวงพ่อด้วย

ทันใดนั้นเองหลวงพ่อก็พูดมาเองทางโทรศัพท์ว่า “ว่ายังไงลูก มาลินี” ดิฉันตกใจเพราะไม่ได้คาดคิดว่า หลวงพ่อจะรับสาย แต่ก็ดีใจจึงกราบเรียนท่านไปว่า คุณแม่จันทนา วีระผล ถึงแก่กรรมแล้ว ท่านถามว่าเมื่อไร เป็นอะไรตาย ดิฉันก็ตอบว่า เมื่อเย็นนี้เองและไม่ได้ป่วยเป็นอะไรเลย หลวงพ่อก็ตอบว่า เออ แม่มาอยู่ที่นี้แล้วนะ แม่บอกว่าตัดได้ตั้งแต่ 8.10 น. ตอนเช้า แม่สวยและสว่างมาก ไม่เป็นไรนะลูก เมื่อดิฉันได้ยินเช่นนั้น ทั้งๆที่ดิฉันกำลังเสียใจอย่างสุดซึ้ง ก็ยังรู้สึกภูมิใจและดีใจที่คุณแม่ได้ไปดี

อีก 2-3 วันต่อมา หลวงพ่อก็มากรุงเทพฯ เพื่อสอนกรรมฐานที่ซอยสายลมเช่นเคย ดิฉันพร้อมด้วยคุณพ่อสุวรรณ วีระผล และน้องสาว ได้รีบไปหาหลวงพ่อที่ซอยสายลม เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คุณแม่ หลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้พวกเราฟัง โดยที่พวกเรายังไม่ทันได้เล่าอะไรให้หลวงพ่อฟังเลย

ท่านเล่าว่า คุณแม่ได้มาเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ก่อนตายได้ไปงานสวดพระอภิธรรมศพของน้องชายคุณแม่ซึ่งตายกระทันหัน (น้องชายคนนี้อายุอ่อนกว่าคุณแม่มาก คราวลูก) คุณแม่ได้ปลงว่าน้องชายอายุน้อยกว่าตั้งมากยังตาย แล้วเราล่ะ อายุตั้ง 70 ปีแล้ว จะตายเมื่อไรไม่รู้ได้ ความที่เสียใจน้องชายตายทำให้คิดมาก คิดไปคิดมาเกิดปัญญา เห็นพระมามากสวยสดงดงามเต็มจักรวาล เห็นท่านแม่ศรีด้วย ท่านลุง (พระยายมราช ) ท่านมาบอกคุณแม่ให้หยุดคิดแค่นั้นก่อน

ถ้าอยากอยู่ต่ออีก 12 ปี คุณแม่จึงได้ถามว่า ถ้าอยู่ต่ออีก 12 ปี ร่างกายของคุณแม่จะเป็นอย่างไร ท่านลุงก็ทำภาพให้ดู คุณแม่ก็ได้ถามอีกว่า ถ้าไปวันนี้ละจะเป็นอย่างไร ท่านลุงก็ทำภาพให้ดู เห็นพระท่านสวยสว่างมากเต็มจักรวาล เห็นวิมานตนเองก็สวยมากสว่างไสว ตัวเองก็สว่างไสว มีความสุขมาก จึงได้ตัดสินใจว่าจะไปวันนี้ จิตจึงได้ออกจากร่างไป ร่างกายข้างล่างก็ค่อยๆหมดลมไป นอนในท่าขัดสมาธิ ไม่มีทุกขเวทนาแต่อย่างใด

จากที่หลวงพ่อเล่าให้ฟัง ดิฉันมั่นใจว่าคุณแม่ได้เข้าถึงพระนิพพานแล้ว เพราะคุณแม่ทำตามที่หลวงพ่อสอนทุกอย่าง จึงได้มีโอกาสถึงพระนิพพานสมความปรารถนาและทิพย์สมบัติที่ได้ก็เพราะทำบุญกับหลวงพ่อนั่นเอง

หลวงพ่อล่วงรู้ทุกอย่าง เพียงแต่ท่านจะพูดหรือไม่เท่านั้น ที่ดิฉันรวบรวมมาเล่านี้เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยประการเดียวเท่านั้น

ดิฉันขอกราบเท้าของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ด้วยความเคารพรักอย่างสูง พระคุณของหลวงพ่อนั้นเหลือล้น ดิฉันไม่ทราบจะบรรยายอย่างไร ดิฉันขอยึดถือคำสอนของหลวงพ่อเป็นหลักปฏิบัติตลอดไป เพื่อจะได้ไปพระนิพพานในชาติปัจจุบัน..

หมายเหตุ

ตามที่ผู้หมายเหตุได้เกริ่นตอนที่ คุณจินตนา จรัญวาสน์ บันทึกเรื่องของ คุณแม่จันทนา วีระผล ไว้แล้วนั้น ท่านผู้อ่านที่ติดตามมาอย่างต่อเนื่อง คงจะเดาได้ว่าผู้ที่บันทึกทั้งสองคนนี้ ต้องเป็นพี่น้องกันอย่างแน่นอน ถูกต้องแล้วครับ..คุณมาลินีเป็นพี่สาวคุณจินตนา แต่เปิดโอกาสให้น้องสาวลงบันทึกไปก่อน

ในตอนนี้ ท่านผู้อ่านคงจะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้เป็นอย่างดี จุดสำคัญก็คือ คุณแม่ของทั้งสองคนนี้แหละ ที่ผู้หมายเหตุอยากจะนำรายละเอียดหลังจากการเสียชีวิตของคุณจันทนา วีระผล ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เขียนไว้อาลัยในหนังสือ "จันทนานุสรณ์" โดยมีเนื้อหาภายในเป็น "ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค" นั่นเอง เพื่อมอบให้เป็นที่ระลึกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพของคุณจันทนา วีระผล

"....เมื่อคืนวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๒ เวลาประมาณ ๒๐.๓๕ นาที กำลังฉันยารักษาโรค เพราะกลับจากสอนกรรมฐานที่ซอยสายลมใหม่ๆ ทุกคราวที่กลับจากซอยสายลม ต้องปรับปรุงร่างกายไม่น้อยกว่าหนึ่งอาทิตย์ ร่างจึงจะทรงตัวได้ ขณะฉันยา ได้ยินเสียงจากโทรศัพท์ "พรนุช" พูดกับ "มาลินี" บุตรสาว เจ๊จันทนา

ได้ยินว่าอยากให้อาตมาเขียนคำไว้อาลัย หนังสือจะพิมพ์อยู่แล้ว ฟังแล้วก็เห็นใจ ตั้งใจเขียนเท่าที่ควรจะเขียน เพราะเขียนแล้วต้องส่งข่าวกันทางโทรศัพท์ เขียนมากก็ไม่ได้ เป็นอันว่าเขียนกันตามที่คิดว่าควรเขียน

เจ๊จันทนา วีระผล ที่เขียนว่า "เจ๊" ก็เพราะปกติเรียกอย่างนั้น เจ๊จันทนาเป็นคนมีศรัทธาสูงมาก หลายปีมาแล้ว เมื่อรู้จักกันใหม่ๆ จำไม่ได้ว่าใครแนะนำให้รู้จัก เจ๊ทำบุญเป็นปกติเดือนละหลายพันบาท บางเดือนหลายหมื่นบาท ต่อมาไม่นานนัก อาตมาจะสร้างมณฑปเป็นเจดีย์ห้ายอด ประดับกระจกทั้งหลัง ที่บรรดานักบุญทั้งหลายเรียกว่า พระจุฬามุณี

เจ๊จันทนาถามว่าค่ากระจกเท่าไร อาตมาก็ตอบไป ได้บอกว่าทำบุญตามที่เห็นสมควรก็แล้วกัน เจ๊ตัดสินใจทำบุญนิดๆ หน่อยๆ เธอพูดอย่างนั้นจริงๆ ขอทำบุญนิดๆ หน่อยๆ หนึ่งแสนบาท อาตมาฟังแล้วตะลึง เพราะไม่เคยรับเงินแสนจากใครมาก่อนเลย ต่อมาเจ๊ก็ทำบุญทุกเดือน มาทราบภายหลังว่า ทำบุญประจำเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท ส่วนที่ทำพิเศษเป็นแสนนั้นมีสลับหลายครั้ง

มาตอนหลังใกล้มรณภาพนี้ ทำบุญสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตร และพระพุทธชินราชหลายแสนบาท ต่อมาก็ดำริสร้างโคมไฟในวิหาร รวมสร้างทั้งโคมใหญ่และโคมเล็ก ๒๓ โคม และช่วยให้ซื้อโคมไฟได้ถูกลงมาก โคมใหญ่ราคาปกติที่ร้านค้าขายราคาโคมละ ๓ แสนบาท

แต่เจ๊ขอร้องทางร้านค้าให้เอาเพียงโคมละหนึ่งแสนแปดหมื่นบาท โดยขนาดย่อมราคาปกติโคมละหนึ่งแสนบาท เจ๊ขอร้องไห้ลดลงมาเหลือโคมละห้าหมื่นบาท ต่อมาเมื่อใกล้มรณะ ขอลดโคมขนาดย่อมได้อีก ๒,๐๐๐ บาท เหลือโคมละ ๔๘,๐๐๐ บาท ทำให้วิหารมีโคมไฟฟ้ามากขึ้น เพราะราคาถูกลง

นอกจากจะมีเจตนาเป็นมหากุศลแล้ว ทุกครั้งที่พบกัน จะต้องปรารภเรื่องไปนิพพานเป็นปกติ เวลานี้เธอมรณะไปแล้ว จะไปนิพพานได้หรือไม่ เป็นเรื่องของความบริสุทธิ์ของใจไม่มีกำลังใจที่จะพยากรณ์ได้

"ปติปูชิกา"
ในพระธรรมบทมีเรื่องๆ หนึ่งที่น่าสนใจ คือ "ท่านปติปูชิกา" ก่อนตายท่านปรารภอยากไปอยู่ในสำนักของสามี ทำบุญคราวไรเป็นอธิษฐานขอให้ไปเกิดในสำนักสามี เมื่อตายแล้วพระพุทธเจ้ายืนยันว่า เธอไปเกิดในสำนักของสามีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ทว่าเจ๊จันทนาปรารถนานิพพาน สูงมากกว่าท่านปติปูชิกา ความประสงค์ของท่านจะสมหวังหรือไม่เป็นเรื่องของกำลังใจ

ในที่สุดนี้ อาตมาขออวยพรให้คณะผู้จัดงานศพ และท่านที่มาในงานศพทุกท่านจงมี ความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจจงทุกประการเถิด..

พระสุธรรมยานเถระ




เกร็ดความรู้..หลวงพ่อเล่าเรื่อง "เจ๊จันทนาตาย"

เมื่อคืนวานนี้มีคนโทรศัพท์มาว่า "แม่เขาตาย" คนที่ตายคือ คุณจันทนา วีระผล เมียเถ้าแก่ สุวรรณ วีระผล คือว่าถ้ามาทุกครั้ง แกต้องมาทำบุญตอนเช้ามาถวายสตางค์ มาถวายอาหารเป็นประจำ ทีนี้ลูกสาวเขาโทรศัพท์ไปบอกว่าแม่เขาตาย แต่เขาไม่ได้บอกว่าแม่เขาตาย บอกแม่เขาเสีย

ฉันก็นึก เอ...คนดีๆ มันจะเสียยังไงหว่า ถามว่าอาการเป็นยังไงมาก่อน เขาบอกว่าไม่มีอาการมาก่อน ก็พอดีตอนพูดอยู่นั่นตัวแกก็ปรากฏ..!

เขาบอก "ฉันไม่ได้ตาย ฉันไปเอง"
ถามว่า "อาการโรคที่จะต้องตายมันเป็นโรคอะไร?"

แกบอกว่า "ต้องเป็นโรคไม่ตรงกับหมอพิสูจน์" หมออาจพิสูจน์ตามตำรา ตามวิชาความรู้ ถ้าไปไหนไม่รอดก็บอกหัวใจวาย คนที่หัวใจไม่วายไม่ตายหรอก

ก็เลยถามว่า "ไม่ตายเอง หมายความว่าอย่างไร?"

แกบอกว่าอย่างนี้ คืนแรกก่อนจะตายแกไปเยี่ยมศพน้องชาย น้องชายตาย เมื่อเห็นศพก็มีความรู้สึกว่า น้องของเราเกิดทีหลังเราเขายังตาย แล้วเราล่ะ ชีวิตของเราก็ต้องตายเหมือนกัน ตายวันนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่แน่ ความตายจะมาเมื่อไรก็ได้ มันไม่เลือกนะ แกก็มานั่งนึกถึงตัวแก แกเจ็บตา แกคิดถึงร่างกายแก ร่างกายก็ไม่ดี ไม่ปกติ ถ้ามันจะตายก็เรื่องของความตายมาถึง

ทีนี้ต่อมาขณะเดินจงกรม เดิมไปเดินมา เดินมาเดินไป ลูกสาวบอกขณะเดินจงกรม เด็กเข้าไปมองแกไม่เห็น คือว่าจิตกำลังตั้งอยู่ในอารมณ์ฌาน คือจิตไม่สนใจอะไร จิตไม่ต้องการจะมองใครเวลานั้น จิตตั้งจุดเดียวคือหวังพระนิพพาน

คนนี้เจอะหน้าทีไร บอกต้องการนิพพาน เคยไปถามฉันที่วัด แกชี้มือไปข้างบน ถาม
"ฉันจะขึ้นไปข้างบนได้ไหม?" ไอ้กุฏิฉันมัน ๒ ชั้น ถาม
"เจ๊จะขึ้นไปทำไมชั้นบน?" บอก
"ไม่ช่าย...จะขึ้นไปบงโน้ง..!" บนโน้นคือนิพพาน

หลังจากตอนเช้าเดินจงกรมแล้ว ตอนสายก็เอนตัวลงนอนพักผ่อน พอพักผ่อนไปจิตมันเป็นสุขมาก มีปีติมาก อะไรต่ออะไรมันเกิดให้เห็นเยอะเต็มจักรวาลไปหมด สวยสดงดงามบอกไม่ถูก เทวดาบ้าง พรหมบ้าง นางฟ้าบ้าง พระอริยะบ้าง เห็นไปหมดทุกชั้น แกบอกอย่างนั้นนี่คนจะตายบุญมาก สังเกตจะเป็นอย่างนี้ทุกคนนะ

คนที่จะตายถ้ามีบุญเข้าสนองจะเป็นแบบนี้ทุกคน เวลานั้นแกบอกว่ามีปีติมาก ก็มีท่านผู้มีเกียรติ ๒ ท่าน คือ ๒ ลุง "ท่านพระยายมราช" กับ "ท่านนายบัญชี" ท่านมา ท่านถามว่า

"เอ็งจะอยู่ต่อไปหรือว่าจะตายวันนี้หรือจะไปวันนี้?" ท่านก็เปิดบัญชีบอกว่า
"ถ้าเอ็งจะอยู่ต่อไปยับยั้งใจไว้แค่นี้นะ อีกนิดหนึ่งไว้ต่อปีที่ ๑๒ เอ็งจะอยู่ต่อไปได้ ๑๒ ปี หากว่าเอ็งจะไปวันนี้ ขยับใจไว้นิดหนึ่งจะถึงจุดนี้"

เจ้าของร่างกายถามว่า "ถ้าฉันอยู่ร่างกายจะเป็นอย่างไร" เวลานี้แกก็เบื่อร่างกายเต็มที เดี๋ยวป่วยๆ คนก็ไม่แก่สาวน้อยแล้ว ๗๐ กว่า คือไม่มีความแก่แล้วมีแต่หง่อม

ลุงก็บอกว่า "ร่างกายก็มีสภาพแบบนี้ ดีบ้างไม่ดีบ้าง" แล้วลุงก็บอกว่า
"บ้านเอ็งหลังนี้นะ" บอกมันสวยสดงดงาม พอชี้ให้ดูมันใกล้เหลือเกิน บ้านมีเยอะแยะ วิมานก็เยอะแยะ บ้านของแกมันสวย ท่านบอกว่า
"ออกจากร่างกายวันนี้ ร่างกายจะเป็นแบบนี้" เห็นเลย แกก็เลยตัดสินใจว่าไปดีกว่า ไปแล้วมีความสุข พอตัดสินใจไปดีกว่า ก็ขยับจิตออกนิดหนึ่ง แค่ ๒ นาทีก็ถึง ถึงแล้วจิตก็ออกจากร่าง

จิตออกจากร่างตัวก็นอนเฉย กว่าลูกสาวจะไปเห็นก็ ๕ โมงเย็น เห็นว่าแม่นอนสายเกินไป ก็เข้าไปปลุก ตัวแข็งแล้ว เลยถามว่า
"ตอนที่ไปเองหมายความว่าอย่างไร" บอก "ฉันออกไปเอง ไม่ได้ป่วยตาย" ถามว่า
"ออกไปแล้วมันเป็นอย่างไรต่อไป" แกบอกว่า "เมื่อจิตออกจากร่างแล้ว ร่างกายค่อยๆ ลดตัวลง ปอดทำงานน้อยลงๆ แล้วก็ดับไปเอง"

เป็นอันว่า ถ้าใครเจ็บไข้ได้ป่วย จิตขยับนิดเดียว ไปถึงจุดนั้นก็ไม่ยาก คือจิตไม่ต้องการทุกอย่าง ไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องนึกอะไร ไม่ต้องการร่างกายอย่างเดียว การเกิดไม่ต้องการอีกเท่านั้นแหละ การทำพระกรรมฐาน สิ่งที่ต้องการง่ายๆ ก็คือ

☼ มรณานุสติกรรมฐาน ให้มีความรู้สึกตามความจริงว่า ร่างกายจะต้องตาย นึกไว้เสมอ
☼ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
☼ มีศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์


ก็มีเท่านี้ อันดับแรกของพระนิพพาน ถ้าเข้าจุดนี้ได้ก็เข้าใจไม่ยากนิพพาน คือมีเริ่มต้นแค่นี้ ทำให้ได้ แค่นี้ก็หวังนิพพานได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์.."

เป็นอันว่า ข้อเขียนของหลวงพ่อในหนังสือ "จันทนานุสรณ์" และเกร็ดความรู้ก็จบลงเพียงแค่นี้ นับว่ามีประโยชน์ต่อนักปฏิบัติรุ่นต่อมาเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นบุคคลตัวอย่าง หรือเป็นแบบฉบับในการทำอารมณ์เพื่อหวังพระนิพพานได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะบางท่านอาจจะยังไม่มั่นใจในตัวเอง เมื่อได้อ่านข้อเขียนเหล่านี้ ก็จะเกิดกำลังใจ เกิดความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น ซึ่งผู้หมายเหตุยังมีเกร็ดเล็กๆ น้อยเสริม เพื่อเป็นการจุดประกายให้ท่านผู้อ่านได้เกิดความวิริยะอุตสาหะยิ่งขึ้น

ย้อนไปตอนก่อนที่เจ๊จันทนาจะเสียชีวิตหลายปี ในตอนที่หลวงพ่อเพิ่งเริ่มฝึกมโนมยิทธิกันใหม่ๆ (เริ่มฝึกประมาณปี 2521) ใครๆ ก็ฝึกกันได้ แต่บางคนฝึกแล้วหลายครั้งจึงจะได้ มีการฝึกทั้งที่วัดท่าซุงและบ้านสายลม คราวใดที่หลวงพ่อไปบ้านสายลม เจ๊จันทนาจะไปกราบหลวงพ่อแทบทุกครั้ง

มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ๊เข้าไปกราบหลวงพ่อใกล้ๆ แล้วปรารภเรื่องการฝึกมโนมยิทธิว่า ฉันยังไปไม่ได้ หลวงพ่อแนะนำสั้นๆ ว่า

พี่ไปอยู่ที่ไหน..เราก็ไปอยู่ที่นั่น..!

เมื่อเจ๊จันทนาได้ฟังคำสอนแค่สั้นๆ เพียงนิดเดียว ต่อมาอีกหลายปีเจ๊ก็ยังสามารถทำจิตไปนิพพานได้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ฝึกมโนมยิทธิเหมือนคนอื่นๆ ซึ่งอยากจะขอขยายความคำพูดของหลวงพ่อเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยว่า

คำว่า "พี่" หลวงพ่อหมายถึง "ท่านแม่ศรี" ท่านบอกว่า "เจ๊จันทนา" เคยเป็นน้องสาวของท่านแม่ศรีมาหลายชาติแล้ว อนึ่ง ในขณะที่จิตจะออกจากร่างนั้น หลวงพ่อบอกว่า เจ๊จันทนาออกไปรัศมีกายสว่างสวยงามมาก สวยกว่าท่านแม่ศรีเสียอีก เพราะอานิสงส์ถวายโคมไฟระย้า ภายในวิหารร้อยเมตรนั่นเอง

สมัยก่อนหลวงพ่อจะจ้างช่างไฟไว้ประจำภายในวัด ต่อมามีข่าวเรื่องเจ๊จันทนาตายแล้วสว่างกว่าท่านแม่ศรีนี่แหละ จึงเป็นเหตุให้หลวงพี่หลวงน้าทั้งหลายภายในวัด หันมาเป็นช่างไฟกันหลายรูป ฝ่ายฆราวาสก็ร่วมทำบุญค่ากระแสไฟกัน โดยเฉพาะระหว่างนั้น หลวงพ่อกำลังซื้อเครื่องปั่นไฟมาใช้ในวัดหลายเครื่อง ปรากฏว่าทั้งพระและฆราวาสร่วมกันทำบุญเต็มที่ เมื่อพระบางรูปไปเป็นช่างไฟกันแล้ว ภายหลังหลวงพ่อสั่งให้พระทำงานแทน แล้วเลิกจ้างช่างไฟตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

นี่คือเกร็ดย่อยๆ เรื่องของเจ๊จันทนา วีระผล ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านรุ่นหลัง จะได้ถือเป็นแบบอย่าง การทำความดีในพระพุทธศาสนานั้น นับว่ามีอานิสงส์สูงค่าหาประมาณมิได้ แล้วแต่เราจะขี้เกียจหรือขยันหมั่นทำความดี ตายไปแล้วก็จะไม่เสียดายเวลา สำหรับชีวิตที่เกิดมานั้น พวกเราต้องถือว่าได้เปรียบ เพราะมีบุคคลตัวอย่างไว้แล้วนั่นเอง...

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/8/09 at 09:42 [ QUOTE ]



รัชนีพร ภู่กร

"ความทรงจำ"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

..........ลูกหมีจ๋า

เงินที่ส่งมาทำบุญ พระออกใบอนุโมทนามาให้แล้ว คิดว่าคงได้รับนานแล้ว ใจความตามจดหมายที่เขียนมานั้น เป็นความรู้สึกที่ถูกต้อง คนเห็นทุกข์ ท่านเรียกว่า “คนเห็นอริยะสัจจะ” เป็นความรู้สึกที่เกิดยากแก่คนทั่วไป ต้องมีอารมณ์หรือกำลังใจ หรือที่ทางพระท่าน เรียกว่า “บารมี” มีกำลังใจสูงจึงจะเห็นทุกข์ ส่วนใหญ่เขามีแต่จะเพิ่มทุกข์ ยังไม่มี ต้องหาให้มี มีหนึ่งแล้ว ก็ต้องการมีสองหรือมากกว่านั้น เป็นการเพิ่มทุกข์เรื่อยๆ ขึ้นไป

ส่วนคนที่เห็นอริยะสัจจะนั้น มีความต้องการตัดรอนให้น้อยลง ได้แก่ ภาระทางโลก เมื่อไม่มีทางตัด ก็ยับยั้งเพียงคำว่า “พอ” ไม่ดิ้นรนสะสมมากเกินไป การหากินต้องหา แต่ใจไม่ต้องการเกิดต่อไป อย่างนี้ท่านถือว่า เห็นอริยะสัจจะอย่างแรง
(อ.รัชนี ยืนถือถุงสีขาวกับคุณแม่ อ.เกศริน)

เมื่อเห็นแล้ว พยายามละ..ละแค่อารมณ์ งานทางกายปล่อยไปตามปกติ แต่ใจไม่ต้องการมันอีก โดยคิดว่า ชำระหนี้เป็นทาสให้มันใช้ชาติสุดท้าย ใจจะสบายตายแล้วมีสุข

ที่สุดนี้ขอลูกหมีที่พ่อรัก และเพื่อนครูที่ร่วมทำบุญมา จงมีผลสมความปรารถนาตามที่ต้องการทุกประการเถิด.

(พระมหาวีระ ถาวโร)

ข้อความในจดหมายข้างต้น แสดงถึงความเมตตากรุณาอย่างมากมาย ที่หลวงพ่อให้กับข้าพเจ้า ทำให้มีกำลังใจต่อสู้กับปัญหาชีวิตที่กำลังรุมเร้าในขณะนั้น การที่หลวงพ่อเรียกข้าพเจ้าว่า “ลูกหมี” ก็เพราะว่าข้าพเจ้าสวมหมวกกันหนาวไหมพรมสีขาวไปกราบหลวงพ่อ เพื่อฝึกมโนมยิทธิและญาณแปด ที่สถานีวิทยุกระจายเสียงทหารอากาศ จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 9-14 มกราคม 2525

ในวันนั้น หลวงพ่อท่านเรียกข้าพเจ้าว่า “หมีขาว” ท่านได้แสดงธรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าทั้งสิ้น บางคราวข้าพเจ้าถามคำถามไว้ในใจ หลวงพ่อก็หันมาตอบคำถามทางข้าพเจ้าทุกครั้ง ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ว่าท่านรู้ได้อย่างไร ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลวงพ่อสามารถรู้ความในใจของผู้อื่นที่เรียกว่า “เจโตปริยญาณ” นั้นเอง หลวงพ่อได้เมตตาต่อข้าพเจ้ามาก ถึงกับคุณพรนุช คืนคงดี ครูฝึกมโนมยิทธิ ได้มาพูดกับข้าพเจ้าว่า “หลวงพ่อโปรดคุณมากนะ” ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจมากจนยากที่จะบรรยาย

ข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อครั้งแรกที่วัดท่าซุงในปี พ.ศ. 2518 โดยไปกับคุณแม่และน้องชาย คุณแม่เป็นผู้ชักจูงคนในครอบครัวให้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยขบวนการ “เริ่มที่แม่..แก้ที่พ่อ..ก่อที่ลูก” คุณพ่อจึงนำลูกๆ ทุกคนให้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 โดยมีคุณป้าหนู เกตุอนงค์ เป็นครูฝึกแบบ “สุกขวิปัสสโก” และให้รักษาศีลห้า

ข้าพเจ้านั้นค่อนข้างจะเป็นคนหัวอ่อน คุณพ่อคุณแม่ว่าดีอย่างไรก็ทำตาม แต่มีความรู้สึกว่า การปฏิบัตินั้นหนักเหมือนอุ้มช้างอาบน้ำ ต่อเมื่อมาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง ก็รู้สึกว่าถูกกับอารมณ์ เพราะเกิดผลในการปฏิบัติ ทำให้คิดว่าเราเดินถูกทางแล้ว ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือธรรมะจากหลายสำนัก แต่ไม่กระจ้างแจ้ง แจ่มชัด เหมือนกับข้อเขียนของหลวงพ่อ ซึ่งเข้าใจง่าย ชัดเจนและตอบคำถามที่เราสงสัยอยากรู้ได้หมด

ครอบครัวของข้าพเจ้าจึงไปทำบุญที่วัดท่าซุง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา ในที่สุดวันที่ทุกคนดีใจมากก็คือ หลวงพ่อได้ไปรดคณะศรัทธาจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งหลวงพ่อเรียกว่า “คณะสัมมาปฏิบัติ” ที่บ้านของเราเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2532

ในวัยเด็กอายุประมาณ 7 ขวบ ข้าพเจ้ามักจะครุ่นคิดอยู่คนเดียวว่า คนเราเกิดมา ทำไมต้องตาย ? ตายแล้วไปไหน ? ถ้าเราตายจะมีใครร้องให้คิดถึงเราบ้างไหม? คิดขึ้นมาคราวใด ก็ให้รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงถึงความตายทุกที แต่ก็มักปลอบโยนตนเองว่า “ ไม่มีใครอยู่ค่ำฟ้า แม้แต่พระพุทธองค์ซึ่งวิเศษสุด ก็ยังหนีไม่พ้น” “เราต้องตายแน่นอน ตอนตายจะรู้สึกอย่างไรบ้างหนอ” ก็ปลอบใจอีกว่า “ตอนเกิดเรายังไม่รู้เรื่องเลย ตอนตายก็คงเหมือนกัน” ข้าพเจ้าคิดวนเวียนอยู่อย่างนี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจจะทราบคำตอบได้

ข้าพเจ้าพ้นช่วงวิกฤตของชีวิตมาได้ก็ด้วยธรรมะของพระพุทธองค์ ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เมตตาสงเคราะห์ชี้แนะให้ลดความโกรธ ความพยาบาท ซึ่งในขณะนั้น มีความรู้สึกเคียดแค้น ชิงชัง เจ็บช้ำ ร้าวรานใจ แทบว่าหัวใจจะแตกสลาย “ทุกคนมีกรรมเป็นของตน เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” หลวงพ่อได้แสดงธรรมชี้ให้เห็นว่า “ ที่เราต้องทนทุกข์ก็เพราะว่าวิบากกรรมในอดีตชาติ เคยทำเขามา จึงต้องมารับกรรมที่ตนเองเคยทำไว้ ความทุกข์ที่ได้รับเป็นเพียงการใช้หนี้กรรมแค่ดอกเบี้ย ส่วนเงินต้นยังไม่ได้ใช้เลย ได้เปรียบกว่าเยอะ ”

ข้าพเจ้าจึงแก้ปัญหาด้วยการเอาธรรมะเข้าข่ม เป็นที่พึ่งทางใจ ไม่แก้ปัญหาด้วยการทำร้ายตนเองหรือทำร้ายผู้อื่น หลวงพ่อได้ชี้ให้เห็นหนทางสว่าง หนทางสู่พระนิพพาน ข้าพเจ้าไม่ได้เดินทาง “สายเปลี่ยว” อีกต่อไป ข้าพเจ้ามีความมุ่งมั่นที่จะเดินตามรอยพระพุทธองค์ โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน นำทางสู่พระนิพพาน...

หมายเหตุ

ผู้หมายเหตุได้อ่านบันทึกของ อ.รัชนี ภู่กร โดยละเอียดแล้ว จึงได้หมายเหตุว่า ทำไมจึงเรียกว่า "อาจารย์" เป็นเพราะตระกูลนี้เป็นครูทุกคน นับตั้งแต่ อ.สันต์ - อ.เกศริน ภู่กร ซึ่งเป็นคุณพ่อคุณแม่ของ อ.รัชนี ภู่กร ครอบครัวนี้มีความเคารพนับถือพระเดชพระคุณหลวงพ่อทุกคน

อีกทั้งได้ชักชวนญาติมิตรในจังหวัดพิษณุโลก ให้หันเข้ามาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนานับจำนวนเป็นร้อยคน จนถึงกับได้จัดตั้งเป็น “คณะสัมมาปฏิบัติ” พร้อมกับได้มีความศรัทธาอาราธนาหลวงพ่อและพระสงฆ์วัดท่าซุง เดินทางไปฉันภัตตาหารเพลและรับสังฆทานที่บ้านเป็นประจำทุกปี เวลามีงานสำคัญที่วัดท่าซุงเกิดขึ้น ก็ได้จัดรถบัสไปร่วมกิจกรรมเกือบทุกครั้ง

ประการสำคัญ พวกเราโชคดีที่ได้อ่านจดหมายที่หลวงพ่อเขียนถึง จะเห็นว่าท่านมีความเมตตาจริงๆ อุตส่าห์ตอบจดหมายให้แก่ลูกทุกคนที่อยู่ห่างไกล พร้อมกับได้อบรมสั่งสอนธรรมะไปด้วย จดหมายทุกฉบับที่ผู้ได้รับเก็บเอาไว้ ถือว่าเป็น "มรดกธรรม" หรือ "อริยทรัพย์" ที่มีคุณค่าหาประมาณมิได้ แม้แต่ผู้หมายเหตุก็เช่นกัน ได้เก็บจดหมายของท่านไว้ 2-3 ฉบับ มานานนับสิบปีแล้ว

สำหรับการบรรจุสิ่งของในพระเจดีย์พุดตาน

โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

ก็มีพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธรูปทองคำ เทวรูป อีกมากมาย ตลอดจนแก้วแหวนเงินทอง เพื่อบูชาพระรัตนตรัย ยังมีสมบัติของ "พระเจ้าศรีธรรมปิฎก" (หรือพระเจ้าพรหมมหาราชในอดีต) ซึ่งสร้างวัดและพระเจดีย์ระหว่างเขตพิษณุโลกกับเพชรบูรณ์ คณะคุณสันต์ ภู่กร แห่งจังหวัดพิษณุโลกขุดได้นำมาถวาย เพื่อบรรจุไว้ในพระเจดีย์พุดตาน

แต่ก่อนที่จะซื้อมา ท่านบอกว่า ก่อนที่จะทำการขุดว่าคนที่เขาขุดพบ เขาขายเอกสิทธิ์ เขาขุดพบ เขาได้อะไรไปบ้างก็ไม่ทราบทีนี้คณะนี้ต้องการจะขุดต่อจากเขา เขาขายเอกสิทธิ์ของเขา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ของเขา เขาขายให้ในราคาหลายหมื่นบาท จำไม่ได้ว่าสามหมื่นหรือสี่หมื่น ก่อนที่จะลงมือขุดก็ทำพิธีบวงสรวง

เมื่อทำพิธีบวงสรวงเสร็จ เสียงใต้ดิน มีเสียงคึ่กคั่กๆ คล้ายๆ กับคนขนของจะหนี เสียงดังสะท้านขึ้นมาเหนือดิน คุณสันต์ ภู่กรบอกว่า ไม่ได้เอาไปไหนหรอก จะขุดไปถวายหลวงพ่อที่วัดท่าซุง เพราะว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระ ท่านก็มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ เพราะของนี้เป็นของสงฆ์ ก็ถือว่าไปถวายหลวงพ่อก็แล้วกัน

พอบอกเพียงเท่านี้เสียงนั้นก็เงียบ แล้วก็ขุดได้ตามความประสงค์ เมื่อขุดๆ ไปแล้ว เธอก็มาแจ้งข่าวให้ทราบว่า ยังไม่ได้พระบรมสารีริกธาตุ ก็บอกว่าให้ไปบูชาใหม่ว่า พระบรมสารีริกธาตุอยู่ทางไหน ให้ตั้งใจขุดทางนั้น ก็เป็นอันว่าได้พระบรมสารีริกธาตุ ได้พระพุทธรูป เทวรูปมามาก

ฉะนั้น เจดีย์องค์นี้จึงบรรจุของทั้งหมด ที่คณะ คุณโยมสันต์ ภู่กร พิษณุโลก คณะของท่านนำมาเอาไว้ในเจดีย์องค์นี้ และก็ยังมีของอื่นอีกมาก ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทบูชา ที่เป็นแก้วแหวนเงินทองบูชาพระรัตนตรัย ถ้าจะคิดราคาจริงๆ ราคาทั้งในเจดีย์และเจดีย์ ถ้าใครให้ ๕ ล้านหรือ ๑๐ ล้านก็ไม่ขาย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะพระไม่มีอาชีพขายเจดีย์ พระไม่มีอาชีพขายพระพุทธรูป..

เจดีย์พุดตานสร้างเสร็จและได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ อันเป็น "วันมาฆบูชา" พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เป็นองค์ประธานการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ดังที่ท่านเล่าประวัติไว้แล้วนั้น ขอผู้อ่านทุกท่านได้อนุโมทความดีผู้ร่วมสร้างทั้งหลายนี้เถิด.

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 29/8/09 at 14:09 [ QUOTE ]



สมพร บุณยเกียรติ

"ความประทับใจ...ที่ข้าพเจ้าได้รับจากองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........เนื่องในโอกาสงานทำบุญประจำปีในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2533 ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่หลวงพ่อได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์มีพระราชทินนามที่ “พระราชพรหมยาน” เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2532

ดังนั้นในงานทำบุญประจำปีครั้งนี้ จึงมีงานฉลองสมณศักดิ์ขององค์หลวงพ่อและพระฐานานุกรมที่หลวงพ่อได้แต่งตั้งขึ้นใหม่ 4 องค์ และเดิมอีก 3 องค์ รวมเป็น 7 องค์ด้วย

ในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ ทางคณะศิษย์หลวงพ่อได้จัดทำหนังสือขึ้น โดยให้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อได้เขียนประสบการณ์ ความรู้สึกและความประทับใจของตนเองที่ได้มาพบองค์หลวงพ่อ ตามความคิดเห็นของแต่ละบุคคล เพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านและยังเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีของบรรดาคณะศิษย์อีกด้วย

ข้าพเจ้าจึงขอเล่าประสบการณ์และความประทับใจในองค์หลวงพ่อตามความรู้สึกของข้าพเจ้าเท่าที่ได้ประสบมา ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมาพบองค์หลวงพ่อนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยศึกษาหรือปฏิบัติธรรมกับพระสงฆ์ที่วัดใดมาก่อนเลย จึงยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่จะทำบุญทำทานตามประเพณีของคนไทยที่นิยมทำกันในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา บางครั้งคุณแม่ก็ชวนไปทำบุญและฟังเทศน์ที่วัดบ้างแต่ไม่บ่อยนัก

ฉะนั้นเรื่องการรักษาศีลและเจริญภาวนาไม่ต้องพูดถึงเลย ข้าพเจ้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าสมัยก่อนนั้นศีลห้าไม่ครบเลย ขาดศีลข้อที่ 1 เป็นประจำเพราะตบยุงแทบทุกวัน ส่วนเรื่องการเจริญภาวนาไม่เคยทราบว่าปฏิบัติอย่างไรและทำเพื่ออะไร

แต่ในวันหยุดราชการข้าพเจ้าชอบชวนคุณแม่และน้องชายไปกราบนมัสการพระพุทธรูปที่สำคัญตามวัดต่างๆ ในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัดใกล้เคียงที่สามารถเดินทางไปกลับได้ในวันเดียวกัน เพราะข้าพเจ้าได้หยุดงานเฉพาะวันอาทิตย์เพียงวันเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นข้าพเจ้ายังชอบไปชมสถานที่ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ต่างๆ เช่นปูชนียสถานที่เก่าแก่ สลักหักพังและตามพิพิธภัณฑ์ที่เก็บวัตถุโบราณหลายสมัย มากกว่าที่จะไปเที่ยวสถานที่แห่งอื่น

จนกระทั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2519 ข้าพเจ้าได้ติดตามเพื่อนที่ทำงานมากราบนมัสการองค์หลวงพ่อที่บ้านสายลม ซึ่งเป็นบ้านของ พล อ.ท.ม.ร.ว. เสริม และคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ โดยลางานมาในตอนบ่าย

สมัยนั้นลูกศิษย์ยังไม่มากเหมือนสมัยนี้ หลวงพ่อท่านจึงพูดคุยกับทุกคนได้อย่างทั่วถึงกัน ท่านพูดกับข้าพเจ้าเป็นประโยคแรกว่า “เอาร่มมาหรือเปล่า” ก่อนที่ข้าพเจ้าจะตอบก็คิดในใจว่าวันนี้ฝนก็ไม่ตก แดดก็จ้าทั้งวันไม่มีเค้าว่าฝนจะตกด้วย เมื่อข้าพเจ้าตอบว่า “ไม่ได้เอามาค่ะ” ท่านก็หัวเราะและพูดว่า “ตอนนี้กี่โมงแล้ว” ทำให้เพื่อนๆ ที่มาด้วยกันหัวเราะชอบใจ ที่หลวงพ่อท่านเข้าใจพูด เพราะเวลานั้นเกือบบ่ายสองโมงเป็นเวลาเข้าทำงานแล้ว

ท่านได้ถามเพื่อนข้าพเจ้าที่ติดดาวบนบ่าว่า “ทำอย่างไงถึงได้ดาว” เพื่อนข้าพเจ้าได้ตอบว่า “ไม่ต้องทำอะไร อยู่ไปนานๆ ก็ได้เองค่ะ” ข้าพเจ้าจึงได้กราบเรียนหลวงพ่อว่า “ที่หนูมาวันนี้ ก็จะมาขอดาวหลวงพ่อค่ะ” เมื่อพูดเสร็จก็คิดว่าพูดออกไปได้อย่างไร เพราะไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน ตั้งใจกราบท่านอย่างเดียว แต่หลวงพ่อท่านพูดว่า “แล้วหลวงพ่อจะทำให้”

ขณะที่หลวงพ่อท่านพูดด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจ อิ่มใจ มีความสุขมาก โดยไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ต่อมาภายหลังจึงทราบว่าเกิดปิตินั่นเอง จากนั้นมาไม่นานนัก ขณะที่ข้าพเจ้านั่งรถไปทำงานในตอนเช้า รถติดมาก จึงมีอาการจะเคลิ้มหลับ ทันใดนั้นได้เห็นองค์หลวงพ่อท่านยิ้มให้ จีวรสีเหลืองสดสวยมาก เห็นชัดมากจนจำได้ติดตามาจนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าดีใจมากและได้มาถวายสังฆทานในตอนกลางวันของเดือน

ต่อมาที่หลวงพ่อมาบ้านสายลม และอีก 4 เดือนต่อมา ข้าพเจ้าก็ได้เลื่อนตำแหน่งได้ติดดาวอย่างที่หลวงพ่อท่านพูดไว้ เมื่อได้ติดดาวแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าอยากไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุง จึงได้ไปทอดกฐินได้เห็นโบสถ์สวยงามมาก เพราะพึ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ มีพุทธบริษัทไปร่วมทอดกฐินเต็มศาลาพระพินิจอักษร ยิ่งทำให้เกิดความศรัทธาในองค์หลวงพ่อมากยิ่งขึ้นไปอีก

เมื่อกลับจากวัดจึงอยากเจริญพระกรรมฐาน โดยอยากทราบการเจริญพระกรรมฐานนั้นปฏิบัติอย่างไร จึงได้ชวนน้องชายมาเป็นเพื่อน เพราะหลวงพ่อท่านสอนพระกรรมฐานในตอนกลางคืน คืนแรกที่มาเจริญพระกรรมฐาน หลวงพ่อท่านสอนให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก โดยหายใจเข้าให้ภาวนาว่า “พุธ” หายใจออกให้ภาวนาว่า “โธ”

ขณะนั้น ข้าพเจ้าคิดในใจว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงมีพระปรีชาสามารถมาก เพราะทุกคนทราบดีว่า ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องมีลมหายใจ แต่ข้าพเจ้าไม่เคยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเลย เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าเริ่มสนใจการเจริญพระกรรมฐานตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา

การที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาเจริญพระกรรมฐานทุกเดือนที่ข้าพเจ้ามาสอนที่บ้านสายลม ก็โดยมี คุณประดับวงศ์ นิลประสิทธิ์ และ คุณยุพดี จักษ์รักษ์ เป็นผู้ขับรถ ทั้งสองท่านนี้เป็นผู้ไปส่งข้าพเจ้ากลับบ้านทุกคืน บางครั้งถ้าคุณยุพดีติดธุระหรือป่วยไข้ไม่สบาย ก็จะมี คุณเพรียว ยุกตะทัต ซึ่งเป็นหลานคุณประดับวงศ์มารับแทน เป็นเวลานานถึง 8 ปี

ต่อมาข้าพเจ้าได้ย้ายบ้านจึงมีคุณปรีชา อารีกุล และคุณอุษา นาควิวัฒน์ เป็นผู้ไปส่งข้าพเจ้ากลับบ้านในปัจจุบันนี้ และถ้าวันไหนไม่มีใครไปส่ง ท่านเจ้ากรมเสริมเจ้าของบ้านก็อนุญาตให้ค้างที่บ้านได้ ฉะนั้นการที่ข้าพเจ้าได้มีความเข้าใจจริงตามหลักสูตรของพระพุทธศาสนาและได้มาปฏิบัติธรรมกับองค์หลวงพ่อตลอดมา ก็ด้วยความเมตตาปราณีของท่านเจ้าของบ้านและลูกๆ ของท่าน ตลอดจนทุกท่านที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึง นับว่าเป็นผู้มีพระคุณแก่ข้าพเจ้า

ต่อมาหลวงพ่อได้มีเมตตาให้ข้าพเจ้าได้ติดตามท่านไปนมัสการพระธาตุจอมกิตติ และพระธาตุดอยตุงไปแจกของแก่ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ไปเยี่ยมและแจกวัตถุมงคลแก่ทหารและตำรวจชายแดน ไปทอดกฐินตามวัดต่างๆ และบางครั้งก็ได้มีโอกาสติดตามเวลาท่านไปสอนธรรมะยังต่างประเทศ จึงทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นจริยาหลายอย่างขององค์หลวงพ่ออันเป็นที่น่าประทับใจมาก แต่ในที่นี้ข้าพเจ้าจะขอนำมากล่าวโดยย่อพอเป็นสังเขปดังนี้

1.) หลวงพ่อท่านมีเมตตาต่อคนและสัตว์มาก จะเห็นได้จากท่านสงเคราะห์คนยากจนโดยเดินทางไปแจกข้าวสารและสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ในถิ่นทุรกันดาร การเดินทางบางแห่งลำบากและมีอันตรายมาก ถ้าท่านไปเองไม่ได้เมื่อเวลาป่วยไข้ไม่สบาย ก็จะหมอบหมายให้คนอื่นไปแจกแทน สงเคราะห์นักเรียนยากจนโดยตั้งโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาขึ้นในบริเวณวัดท่าซุง พร้อมทั้งสงเคราะห์นักเรียนยากจนโรงเรียนอื่นอีกด้วย

นอกจากนั้นท่านยังมีเมตตาต่อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ใหญ่หรือสัตว์เล็กก็ตาม จะเห็นว่าที่วัดท่าซุงมีสุนัขมากมาย ท่านให้การเลี้ยงดูเป็นอย่างดี แม้แต่สัตว์ตัวเล็กๆ เช่นเวลาที่ท่านเดินไปตรวจงานก่อสร้างบริเวณวัด ถ้าท่านเห็นตัวด้วงมะพร้าวนอนหงายดิ้นอยู่บนพื้น ท่านก็จับให้มันนอนคว่ำตัวลงเพื่อให้เดินไปได้ หรือในการเดินทางไปต่างประเทศท่านก็หาโอกาสว่าง ให้ซื้อขนมปังและอาหารสัตว์ไปเลี้ยงปลาและนกในสวนสาธารณะ เวลาพบคนขอทาน ท่านก็สอนรีบไปให้เขาเลยไม่ต้องให้เขาขอ ถ้าทำอย่างนี้บ่อยๆ อานิสงส์ผลบุญจะช่วยให้เราได้อะไรง่ายๆ และรวดเร็วด้วย

2.) หลวงพ่อท่านมีระเบียบวินัยมาก จะเห็นได้จากการเดินทางทุกครั้ง ไม่ว่าจะในหรือนอกประเทศก็ตาม เช่นการไปแจกของแก่ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารหรือไปเยี่ยมทหารชายแดนทุกคนต้องตรงต่อเวลา งานเป็นงาน หมายถึง เวลาทำงานต้องตั้งใจทำอย่างจริงจังโดยไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อย การทำงานต้องรวดเร็วและถูกต้องด้วย ล่าช้าไม่ได้ แต่เวลาพักก็พักกันอย่างเต็มที่ ผู้ที่เคยร่วมเดินทางทราบกันดีทุกคน เป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดีให้แก่ลูกศิษย์

หลวงพ่อท่านบอกว่าการเดินทางไปทำงานเพื่อสาธารณะหรือการไปสอนธรรมะ เมื่อเหนื่อยแล้วให้ทุกคนได้พักผ่อน การเปลี่ยนแปลงสถานที่เป็นการคลายเครียด พร้อมทั้งเป็นการฝึกให้รู้จักทำใจวางภาระหน้าที่ประจำวันที่ต้องรับผิดชอบชั่วคราว เพราะขณะที่เราจากบ้านหรือจากที่ทำงานมา ถึงแม้ว่าจะไปห่วงอะไรหรือนึกถึงใคร เราก็ไม่สามารถจะไปช่วยเขาได้ในเวลานั้น ในการเดินทางทุกครั้งไม่ว่าจะพักที่ใดก็ตาม หลวงพ่อท่านจะมาตรวจดูความเรียบร้อยอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องส้วม จนกระทั้งถึงการติดตั้งเครื่องขยายเสียงไมโครโฟน ลำโพง ท่านจะเป็นผู้มาทดสอบเสียงด้วยองค์ท่านเอง

3.) หลวงพ่อท่านมีจริยานิ่มนวล ไม่ถือองค์ ไม่ว่าจะอยู่ในหมู่คณะสงฆ์ ท่านก็จะทักทายปราศรัยด้วยกริยานอบน้อม โดยไม่คำนึงว่าใครจะอาวุโสน้อยกว่าหรือไม่ ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อทุกองค์ ในหมู่พุทธบริษัทท่านก็จะเจริญศรัทธาพูดคุยกับทุกคนเหมือนกันหมด เวลาที่ท่านเดินผ่านผู้ที่มาคอยทำบุญ ท่านก็จะยิ้มแย้ม ทักทายอย่างเป็นกันเอง เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก

4.) นอกจากท่านจะสอนให้เข้าถึงธรรมะแล้ว หลวงพ่อยังสอนให้รู้จักการใช้จ่ายเงินทองในการดำรงชีวิตประจำวันอีกด้วย ท่านบอกว่าฆราวาสต้องเลี้ยงตนเอง ไม่เหมือนพระสงฆ์มีผู้มาทำบุญให้ ฉะนั้นฆราวาสต้องรู้จักเก็บเงินไว้สำหรับใช้จ่ายในยามจำเป็นเช่น การป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ใช่ทำบุญหมดหรือใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย โดยไม่เก็บไว้บ้างเลย

5.) หลวงพ่อท่านต้องการให้บรรดาพุทธบริษัทชายหญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สามารถปฏิบัติตนเข้าถึงและมีความเข้าใจจริงตามหลักสูตรของพระพุทธศาสนา ท่านจึงสร้างถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นการเจริญศรัทธาแก่พุทธบริษัทที่มาพบเห็น ด้วยการสร้างโบสถ์วิหารและห้องพักสำหรับผู้มาปฏิบัติพระกรรมฐานที่วัดท่าซุง

โดยเฉพาะวิหาร 100 เมตร นั้นติดกระจกแพรวพราวทั้งหลัง สวยงามมาก ภายในมีพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ บนเพดานวิหารมีโคมไฟระย้าเป็นแถว ทำให้ผู้ที่มาบำเพ็ญกุศลหรือมาปฏิบัติพระกรรมฐาน มีที่พักที่สะดวกสบาย ได้เห็นโบสถ์วิหารและพระพุทธรูปที่สวยสดงดงามก็จะเกิดความปลื้มปิติ มีความอิ่มเอิบใจและมีความมั่นใจว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้ร่วมทำบุญกับหลวงพ่อนั้น ท่านนำมาสร้างวัดทั้งหมด

หลวงพ่อท่านให้ผู้ที่มีส่วนร่วมทำบุญทุกคนคิดว่าเราเป็นเจ้าของวิหารหลังนี้ด้วยกันทุกคน จิตจะได้เกาะบุญกุศลไว้ ทำให้อารมณ์ใจเป็นสุข การปฏิบัติธรรมก็จะดีตามไปด้วย นอกจากนั้นหลวงพ่อท่านยังร่วมสร้างวัดต่างๆอีกหลายวัด สร้างโรงพยาบาล ร่วมสร้างโรงเรียนที่วัดสามพระยา และร่วมสร้างสำนักปฏิบัติพระกรรมฐานอีกหลายแห่ง เพื่อสงเคราะห์บรรดาพุทธบริษัทให้มีสถานที่ปฏิบัติธรรม

สำหรับความประทับใจในด้านการสอนธรรมะขององค์หลวงพ่อ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า หลวงพ่อท่านมีวิธีการพูดทำให้ผู้ฟังทั้งเด็กและผู้ใหญ่เกิดความสนใจ อยากจะปฏิบัติโดยไม่เครียดจนเกินไป และเห็นว่าธรรมะเป็นของไม่ยากสำหรับปุถุชนที่ยังต้องประกอบอาชีพการงาน ต้องมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ก็สามารถจะปฏิบัติได้โดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งหน้าที่การงาน ทิ้งครอบครัวหรือวางภาระต่างๆทั้งหลาย

อันดับแรกของท่านที่มาใหม่ๆ ยังไม่เคยศึกษาหรือปฏิบัติธรรมมาก่อน ท่านก็จะสอนให้รู้จักทำบุญก่อนโดยพูดถึงอานิสงส์การถวาย สังฆทาน สร้างวิหารทาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า เป็นต้น เพื่อให้เกิดศรัทธาเห็นว่าการทำบุญเป็นการสะสมความดีไว้ ตายไปแล้วก็มีความสุขไม่พบกับความยากจนอีกต่อไป

อันดับต่อไปท่านก็สอนให้รักษาศีล 5 เพื่อเป็นการกันอบายภูมิ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า บุคคลใดมีศีล 5 บริสุทธิ์ จะมีความสุขทั้งขณะที่มีชีวิตอยู่และตายไปก็จะมีความสุข อันเป็นแดนสวรรค์เป็นที่ไป เป็นต้น อันดับสุดท้าย ท่านจึงสอนให้รู้จักเจริญภาวนา เพื่อให้เกิดปัญญารู้ตามความเป็นจริงว่า

ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีร่างกายที่เต็มไปด้วยความสกปรก ต้องแก่ไปทุกวัน มีการป่วยไข้ไม่สบาย มีการประสบกับอารมณ์ที่ไม่สมปรารถนานานาประการ มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ และในที่สุดทุกคนก็ตายหมดไม่ว่าฐานะความเป็นอยู่จะแตกต่างกันก็ตาม จะร่ำรวยหรือเป็นยาจกเข็ญใจก็ตายเหมือนกันหมด

เมื่อตายแล้วก็ไม่สามารถจะแบกอะไรไปได้เลย แม้แต่ตัวเราเองเส้นผมเพียงเส้นเดียวก็เอาไปไม่ได้ ทรัพย์สมบัติเงินทองแม้แต่บาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ แต่ทว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า คนตายแล้วมีสภาพไม่สูญ มันตายแต่ร่างกายเนื้อนี้เท่านั้น แต่จิตหรืออทิสมานกายจะไปเกิดใหม่ตามความดีความชั่วที่เราทำไว้ ถ้าทำความดีก็ไปสู่สุคติไปเกิดบนสวรรค์บ้าง พรหมบ้าง และถึงนิพพานบ้าง ถ้าทำความชั่วก็ไปสู่ทุคติไปเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง

ดังนั้นหลวงพ่อท่านจึงได้นำการฝึกมโนมยิทธิมาสอนบรรดาพุทธบริษัท เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริงและไม่สงสัย ความรู้ประเภทนี้เป็นเครื่องมือสำหรับทำลายกิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต้องการให้ทุกคนหมดทุกข์ จะได้มีความมั่นใจในการปฏิบัติต่อไปต่อไปเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ ปฏิบัติเพื่อโอ้อวดว่าฉันรู้จักเทวดา ฉันรู้จักพรหม ฉันรู้จักนรก จะได้เบื่อการเกิด มีความไม่ประมาทในชีวิต การฝึกมโนมยิทธิรุ่นแรกๆ นั้น

หลวงพ่อเป็นผู้ทำการฝึกให้เองโดยเข้าไปสอบถามเป็นรายบุคคลทั้งพระและฆราวาส กว่าจะฝึกได้แต่ละคนนับว่าฝึกได้ยากมากกว่าปัจจุบันนี้ เพราะเป็นการเริ่มฝึกใหม่จึงไม่ค่อยมีความเข้าใจในวีธีการฝึก หลวงพ่อท่านก็พยายามที่จะแนะนำสอบถาม ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตามประกอบกับร่างกายท่านก็ป่วยไข้ไม่สบาย ถ้ามีผู้ฝึกได้ท่านก็มีความสบายใจมาก เพราะท่านต้องการให้ผู้ที่ฝึกได้แล้วไปช่วยกันสอนต่อไป ทำให้ลูกศิษย์ที่ฝึกทุกคนต่างก็พยายามที่จะฝึกให้ได้ เพราะสงสารหลวงพ่อ ท่านอธิบายทุกวันถามแล้วถามอีก

สำหรับข้าพเจ้านั้นนับว่าฝึกได้ยากมาก หลวงพ่อมีพระเมตตาสอบถามถึง 4 ครั้งจึงจะฝึกได้ สมัยนั้นข้าพเจ้าจะฝึกได้ต้องพยายามตัดขันธ์ 5 กันอย่างหนัก โดยพิจารณาให้เห็นว่าการเกิดมีร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์จริงๆ ตายแล้วไม่ต้องการเกิดต้องการพระนิพพานอย่างเดียว เวลาที่หลวงพ่อสอนท่านมีคำพูดที่ไพเราะมาก จะเห็นได้ว่าขณะที่กำลังฟังท่านพูดข้าพเจ้าตัดสินใจได้ตามนั้นจริงๆ ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น ขอปฏิบัติตามท่านสอนอย่างเดียว และคำสอนครั้งหลังสุดที่ทำให้ข้าพเจ้าสามารถฝึกมโนมยิทธิขึ้นไปถึงแดนพระนิพพานได้เมื่อคืนวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 ที่วัดท่าซุง ท่านให้รวบรวมกำลังใจคิดตามดังนี้

“ตัดสินใจเลยว่า ร่างกายเลวๆ โลกเลวๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก แต่ว่าถ้าขันธ์ 5 ยังทรงอยู่เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างตามหน้าที่ให้ครบถ้วน การมีทุกข์เพราะวาจาของบุคคลอื่นก็ดี หมายความว่าจะมีการกระทบกระทั่งจากวาจาบุคคลอื่นก็ดี จากการกระทำของบุคคลอื่นก็ดี ความทุกข์ใดๆที่เกิดขึ้นก็ดี การป่วยไข้ไม่สบายก็ดี ข้าพเจ้าถือว่าเป็นกฎของกรรม ความชั่วของข้าพระพุทธเจ้าในชาติก่อนมันตามสนอง

ฉะนั้นถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้น ข้าพระพุทธเจ้าจะถือว่าใช้หนี้กฎของกรรมไปโดยไม่คำนึงจะไปโกรธเคืองใคร หรือจะมีความเร้าร้อนใจ หากมีทุกขเวทนาเกิดขึ้น เมื่อสิ้นลมปราณจากชาตินี้แล้ว ข้าพระพุทธเจ้าขอติดตามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไปอยู่ที่พระนิพพาน”

คำสอนนี้ข้าพเจ้าก็ยังนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันจนถึงทุกวันนี้ ยามเมื่อประสบกับความทุกข์กายหรือทุกข์ใจ หลังจากที่ข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว เวลานั้นหลวงพ่อท่านถามว่า “ทำไมถึงไม่ออกไปสอน” จึงกราบเรียนท่านว่า “หนูยังฝึกไม่เก่งจึงไม่กล้าออกไปสอนค่ะ”

ท่านก็บอกว่า “ถ้าเอ็งจะรอให้เก่งก็พอดีตายเสียก่อน” และท่านก็สอนวิธีก่อนที่จะออกไปสอน ให้ขออาราธนาพระบารมีขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จ ประทับเหนือเศียรเกล้าให้คลุมตัวเราและขอถวายมอบการสอนทั้งหมดให้เป็นภาระหน้าที่ของพระองค์ ตัวเปรียบเสมือนสะพานที่รองรับพระพุทธบัญชา ไม่ใช่เป็นความสามารถของตัวเราเอง

จึงทำให้ข้าพเจ้าเกิดความมั่นใจและกล้าออกไปสอน เมื่อออกไปสอนคนแรกก็ฝึกไปได้คล่องมาก ครั้งต่อๆไปก็มีความกล้ามากยิ่งขึ้น บางครั้งขณะที่กำลังฝึกอยู่ ข้าพเจ้าและผู้ฝึกในวงต่างก็ได้กลิ่นยานัตถุ์ โดยที่หลวงพ่อไม่ได้อยู่ในที่นั้นและไม่มีใครนัดยา ปกติหลวงพ่อท่านจะเป่ายานัตถุ์เป็นประจำ การสอนมโนมยิทธินี้ หลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นการฝึกตัวเองด้วย เนื่องจากขณะที่ทำการฝึกเราต้องไปพร้อมกับลูกศิษย์ทุกจุด และยังเป็นการได้บุญอีกด้วย เพราะองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงตรัสว่า “การให้ธรรมเป็นทานย่อมชนะทานทั้งปวง”

หลวงพ่อท่านเคยพูดเสมอว่า การที่ท่านทรงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อต้องการให้บรรดาพุทธบริษัทได้เข้าถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อตายจากชาตินี้แล้วจะได้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารอีกต่อไป ท่านจึงได้เดินทางมาสอนพระกรรมฐานที่บ้านสายลมเป็นประจำทุกเดือน ถึงแม้ว่า ร่างกายท่านจะป่วยไข้ไม่สบายก็ตาม

สำหรับข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของละเอียดอ่อนมาก พูดง่ายแต่ปฏิบัติยาก เพราะทั้งๆ ที่หลวงพ่อท่านสอนให้รู้ซึ้งถึงความเป็นจริงทุกอย่างว่า โลกนี้หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้นับตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันตาย ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้จะพบทั้งความสุขและความทุกข์สลับกันไป สุดแล้วแต่กฎแห่งกรรมในอดีตที่เราทำไว้จะตามมาสนองในชาตินี้ แต่เมื่อเวลาประสบกับปัญหาหรือมีทุกข์เกิดขึ้นกับตนเอง

บางครั้งข้าพเจ้าก็ยังไม่สามารถที่จะทำใจได้อย่างได้อย่างที่หลวงพ่อสอนได้ในทันทีทันใด ต้องค่อยๆทำใจไปทีละน้อยๆก่อน ต้องอาศัยกำลังใจที่เข้มแข็งอดทน และระยะเวลาโดยค่อยๆปฏิบัติไปจนชิน เห็นคนอื่นมีความทุกข์ก็ไม่รู้ซึ้งเหมือนตัวเราทุกข์เอง แต่เมื่อได้มาพบองค์หลวงพ่อ ท่านได้นำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถมาสอน ข้าพเจ้าก็พยายามปฏิบัติตามโดยไม่ย่อท้อ เพราะข้าพเจ้าได้ประสบกับความทุกข์มามากจึงไม่ต้องการเกิดอีกแล้ว ดังที่สมเด็จพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “บุคคลใดเห็นทุกข์ บุคคลนั้นเห็นธรรม” และ “บุคคลใดเห็นธรรม บุคคลนั้นได้ชื่อว่าเห็นตถาคต”

ดังนั้นหลวงพ่อจึงเป็นผู้มีพระคุณแก่ข้าพเจ้าอย่างสุดที่จะหาที่เปรียบได้ เพราะท่านมีพระเมตตาสงเคราะห์ทั้งทางโลกและทางธรรมมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมในพระคุณของท่าน มิฉะนั้นแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มาพบองค์หลวงพ่อ คงต้องตายแล้วเกิดอีกนานแสนนาน

ข้าพเจ้าจึงขอตั้งปณิธานว่าขณะที่มี ชีวิตอยู่ถ้ามีโอกาสที่จะตอบแทนพระคุณหลวงพ่อ ข้าพเจ้าจะรีบทำสิ่งนั้นถวายท่านทันที และที่สุดของชีวิตข้าพเจ้าจะขอตอบแทนพระคุณด้วยการปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ตามที่หลวงพ่อได้นำมาสอน ให้เข้าสู่พระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้และเพื่อความไม่ประมาทในชีวิต ข้าพเจ้าจะเตือนตนเองไว้เสมอว่า

“ความทุกข์ใดๆที่เกิดขึ้น ข้าพระพุทธเจ้าจะใช้ขันติความอดทน อดใจรักษากำลังใจที่ทรงความดีเข้าไว้ โดยถือว่ามีความตายในที่สุด ขณะที่มีชีวิตอยู่ก็จะอยู่อย่างคนดี เมื่อตายเป็นผีจะได้เป็นผีดี ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยมี ทาน ศีล ภาวนา ให้ครบถ้วน เมื่อสิ้นลมปราณจากชาตินี้ข้าพระพุทธเจ้าขอตัดร่างกายอันเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์นี้ทิ้งไปจากจิต คำว่า มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก จะไม่มีสำหรับข้าพระพุทธเจ้าอีกต่อไป จุดหมายปลายทางมีจุดเดียวเท่านั้น นั่นคือขอติดตามองค์สมเด็จพระบรมสุคตขึ้นไปอยู่บนแดนพระนิพพาน อันเป็นแดนที่มีความสุขที่สุดแต่เพียงอย่างเดียว”

ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมตั้งจิตอธิษฐานขออนุภาพคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดจนพรหมและเทวดาทุกๆพระองค์ พร้อมทั้งขออำนาจแห่งผลบุญกุศลและด้วยความเคารพรักอันบริสุทธิ์ใจจริงใจ ที่ข้าพเจ้ามีต่อองค์หลวงพ่อผู้มีพระคุณ จงโปรดช่วยดลบันดาลให้องค์หลวงพ่อมีพลานามัยสมบูรณ์ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บโดยเร็วที่สุด มีความสุข ความเจริญ และปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา เป็นมิ่งขวัญและเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าและศิษยานุศิษย์ตลอดกาลนาน

ประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้เล่ามาทั้งหมดนี้ ถ้าจะพึงมีประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านใดบ้าง ถึงแม้จะเป็นส่วนเล็กน้อยก็ตาม ข้าพเจ้าขอถวายบุญกุศลทั้งหมดนี้แด่องค์หลวงพ่อผู้มีพระคุณ แต่หากว่ามีความผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้าผู้เขียนขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว..

หมายเหตุ

เมื่อได้อ่านบันทึกโดยละเอียดแล้ว คงไม่มีความผิดพลาดอะไร เนื่องจากเป็นการเล่าด้วยความรู้สึกที่แท้จริง ด้วยความเคารพเลื่อมใส และเล่าประวัติตอนที่พบองค์หลวงพ่อ ทำให้ผู้อ่านภายหลังได้ทราบความเป็นไป อาจจะเกิดความศรัทธาเลื่อมใสตามไปด้วย โดยเฉพาะ "คุณสมพร" หรือที่หลวงพ่อเรียกว่า "เปี๊ยก" ซึ่งภายหลังการบันทึกเล่มนี้แล้ว คุณสมพรได้เปลี่ยนชื่อเป็น "คุณคณิตพร บุณยเกียรติ"

คุณเปี๊ยกได้พบหลวงพ่อมานานแล้ว จึงได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับหลวงพ่อหลายแห่ง เพื่อทำกิจกรรมในการแจกสิ่งของตามชายแดน หรือเยี่ยมเยียนทหารตำรวจชายแดน ตลอดจนถึงการเดินทางไปต่างประเทศจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งได้มีโอกาสไปฝึกสอนมโนมยิทธิตามสถานที่อื่นๆ อีกทั้งได้ร่วมกันจัดทำหนังสือ "ตายแล้วไปไหน" อีกด้วย จึงขออนุโมทนาไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย.

"ตายแล้วไปไหน"

คำบอกเล่า


เนื่องในงานทำบุญวันคล้ายวันเกิดของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ในปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๔ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณความดีของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าและคณะศิษย์หลวงพ่อได้จัดพิมพ์หนังสือเรื่อง "ตายแล้วไม่สูญ" และ "ตายแล้วไปไหน" เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบตามความเป็นจริงว่า

"คนที่ตายไปแล้วไม่สูญ" เรื่องนรก สวรรค์ พรหม และพระนิพพาน นั้นมีจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ และหลวงพ่อได้นำวิชา "มโนมยิทธิ" มาสอนบรรดาคณะศิษย์ให้ฝึกไปพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง จะได้หมดความสงสัยและมีความมั่นใจในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดมรรคผล

เรื่องราวทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้ารวบรวมคำสอนของหลวงพ่อที่ท่านพูดเกี่ยวกับคนที่ตายไปแล้วไปเกิดในแดนนรก แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน เป็นเรื่องพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้บ้าง และเรื่องที่หลวงพ่อท่านได้ประสบมาเองบ้าง

เนื่องจากเรื่องที่หลวงพ่อท่านนำมาสอนนั้นมีมากมายหลายเรื่อง ข้าพเจ้าจึงรวบรวมมาเท่าที่จะมีเวลาทำได้ จากหนังสือหลายๆ เล่มของหลวงพ่ออาทิ หนังสือธัมมวิโมกข์ หนังสืออ่านเล่น หนังสือไตรภูมิ ฯลฯ ส่วนใหญ่ของเรื่องต่างๆ ที่จัดพิมพ์ไว้ในหนังสือเล่มนี้ หลายท่านที่มาฝึกญาณ ๘ ที่บ้านสายลมสามารถฝึกไปพิสูจน์ด้วยตนเอง ว่าเป็นความจริงตรงตามที่หลวงพ่อได้ประสบมา และนำมาเล่าให้คณะศิษย์ฟัง

ในที่สุดนี้ ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว และธรรมใดที่องค์หลวงพ่อเข้าถึงแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าและท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทุนทรัพย์ในการพิมพ์ครั้งนี้ ตลอดจนท่านผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ทุกๆ ท่าน จงเกิดปัญญาในการตัดกิเลสและเข้าถึงที่สุดของธรรมนั้นโดยฉับพลันในชาติปัจจุบันนี้โดยมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และปราศจากทุกขเวทนาใดๆ ทั้งปวงด้วยเถิด.

คณิตพร บุณยเกียรติ (เปี๊ยก)

๗ ตุลาคม ๒๕๔๔


◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/9/09 at 07:45 [ QUOTE ]



สุนันท์ เจียรกุล

ความประทับใจ เมื่อมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

".......... ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อได้อย่างไร

จากเรื่องประวัติหลวงพ่อปานใน "หนังสือคนพ้นโลก" ในปี 2519 ทำให้สามีของข้าพเจ้าได้พบนามปากกา “ฤาษีลิงดำ” ด้วยความติดใจในอภินิหารของพระธุดงค์ อิทธิฤทธิ์ และจริยาวัตรของพระธุดงค์ในป่า จึงได้ติดตามคณะทัวร์ไปงานฝังลูกนิมิตที่วัดท่าซุงสมัยนั้นเป็นครั้งแรก

ต่อมาได้อ่านหนังสือที่หลวงพ่อเขียนอีกหลายเล่ม ยิ่งติดใจในคำสอนอย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับเรื่องพระนิพพานโดยตั้งปณิธานว่า ชาตินี้จะไปให้ได้ตามความปรารถนาเดิมที่มีพื้นฐานอยู่บ้างแล้ว และอธิษฐานจิตขอเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อแต่นั้นเป็นต้นมา

สามีต้องการให้ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ จึงออกอุบายให้ไปจดบันทึกคำสอนมาอธิบายให้ฟังทุกเดือนที่หลวงพ่อมาซอยสายลม จนข้าพเจ้าได้ซาบซึ้งเรื่องธรรมะและตัดสินใจไปนิพพานตามสามีในชาติปัจจุบันเช่นกัน โดยเหตุที่สามีฝึกมโนมยิทธิด้วยความยากลำบาก ข้าพเจ้าจึงลองฝึกขณะหลวงพ่อสอนโดยปฏิบัติตามโดยไม่รู้อะไรมากเลย ด้วยความตั้งใจในการฝึกเพียงครั้งแรก ข้าพเจ้าก็สามารถเห็นดินแดนต่างๆ และไม่เกิดสงสัยในภูมิต่างๆเลย

แต่สามีมักจะมีความสงสัยชอบถาม ข้าพเจ้าก็ตอบไม่ได้ น่าประหลาดใจว่าสามีตั้งคำถามหลายวาระหลวงพ่อได้แนะนำให้ไปอ่านหนังสือแทน ข้าพเจ้าจึงต้องคอยจดปัญหาที่มีผู้ถามหลวงพ่อแล้วมาอธิบายให้สามีฟังอยู่หลายปี เหมือนการสอนนักเรียนในโรงเรียน

ฉะนั้นในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาจะเห็นข้าพเจ้าจดคำสอนของหลวงพ่อตลอดมา และเกิดความรู้พิธีกรรม การสะเดาะเคราะห์ เกร็ดธรรมะต่างๆ จากคำสอนที่หลวงพ่อปานสอนหลวงพ่อในอดีต ด้วยความสนุกสนานเป็นที่ติดใจต้องมาฟังตลอดเวลา สิ่งละอันพันละน้อยที่หลวงพ่อมอบให้ลูกหลาน

จึงได้เผยแพร่ไปอีกทอดหนึ่งในเวลาอันรวดเร็วโดยไม่ต้องคอยการถอดเทป เมื่อผู้ฟังจำข้อความบางประการไม่ทัน โดยมาสอบถามจากข้อความที่บันทึกไว้ สำหรับตัวข้าพเจ้าเองจึงเป็นกิจวัตร มาฟังเทศน์ทุกครั้งที่ซอยสายลมและติดตามไปเมื่อมีงานสำคัญที่วัด หลังจากมีเวลาว่างจะมาวัดท่าซุงเพียงแห่งเดียวเรื่อยมา

มโนมยิทธิ ทำให้ได้เห็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต
และพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ครั้งแรก ในเวลา 3 ทุ่มเศษ หลังจากสอนมโนมยิทธิที่ศาลาพระพินิจจะเดินกลับที่พัก ขณเดินผ่านโบสถ์จึงก้มลงกราบหน้าโบสถ์ ได้ยินเสียงพูดว่า “มาหาพ่อซิลูก” หลังจากนั้นเงยหน้าขึ้นมองไม่เห็นสิ่งใดเลยนอกจาก พระพุทธรูปยืนตระหง่านอยู่องค์เดียว มีรัศมีกายสว่างมากจำได้ติดตา จึงก้มกราบที่พระบาทพร้อมลากลับ รุ่งขึ้นตอนเช้านำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบ น่าแปลกที่สภาพกลางคืนไม่เหลืออยู่เลย

ครั้งที่ 2 ใกล้ศาลา 3 ไร่ บริเวณระเบียงพระชำระหนี้สงฆ์องค์สุดท้าบริเวณที่ตั้งหน่วยคุณยกทรง ได้ทรงเมตตาลูก ได้เห็นพระพักตร์อย่างชัดเจนในงานเป่ายันต์ ด้วยความปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง

ครั้งที่ 3 จากคำสอนหลวงพ่อตอนหนึ่งว่า “เฉพาะเรื่องทุกข์องค์สมเด็จฯ มาสอนถึง 3 เดือน” ทำให้เกิดความประหลาดใจว่า ทำไม….ทุกข์ คำเดียวจึงต้องใช้เวลาสอนมากถึงอย่างนั้น จึงตั้งใจไปถามท่านโดยวิชามโนมยิทธิโดยตรง ได้ยินพระสุรเสียงตรัสให้ได้ยินว่า “ทุกข์เกิดจากกาย ผู้ใดเห็นทุกข์ผู้นั้นเห็นตถาคต” ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า วิชามโนมยิทธิสามารถพบ ฟังคำสอนจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง และไม่มีข้อสงสัยในคำสอนของหลวงพ่อกับตัวข้าพเจ้าอีกต่อไป



พบท่านแม่ประภาศรีรู้อดีต

เมื่อคราวฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังที่ศาลา 2 ไร่ ข้าพเจ้าได้ไปนมัสการท่านแม่ประภาศรีที่วิมานของท่านอย่างชัดเจน พบว่าในอดีตชาติเคยเป็นลูกที่อวดดี ทั้งดื้อและซนมาก ข้าพเจ้าจะไปเฝ้าท่านเมื่อเกิดความวุ่นวายใจ ปัญหาทั้งส่วนตัว การงาน เพื่อขอคำแนะนำ การตัดสินใจให้ถูกต้องและได้รับความเมตตาจากท่านแม่มาโดยตลอด สุดจะทดแทนพระคุณได้ในชาตินี้



วิ่งหนีบริวารท้าวมหาราช

ที่มณฑปพระจุฬามณี วันหนึ่งราวเวลา 18.00 น. พบผู้หญิงคนหนึ่งถามหากุฎิหลวงพ่อ จ้องหน้าถามเรื่องราวของวัดท่าซุง ข้าพเจ้ารำคาญจึงหนีลงมาพบงูใหญ่สีสวยงาม แปลกตา เป็นริ้วสีฟ้า เขียว เหลือง แดง ยาวตลอดตัว มีเกล็ดเป็นเลื่อมและมีประกาย ทั้งกลัวอันตราย ตื่นเต้น สารพัดตัดสินใจวิ่งหนีสุดชีวิตไปยังตึกธัมวิโมกข์ ต่อมาภายหลังทราบจากหลวงพ่อว่าเป็นบริวารท่านท้าววิรุฬหกมาคุ้มครองข้าพเจ้า



เมืองพระนิพพานที่ได้เห็นจากนิมิต

ช่วงเดือนธันวาคมปี 2533 ร่างกายข้าพเจ้าป่วยมาตลอด มีเรื่องวุ่นวาย ทรัพย์สินสูญหาย และมีเรื่องจิปาถะ เกิดความเบื่อหน่ายต่อชีวิตจนอย่างลาออกจากงาน แม้จะสวดอิติปิโสตามเทปจำนวน 9 จบ เพื่อขอพรจากพระสารีบุตรและบูชาเหรียญทำน้ำมนต์ทุกวัน จิตใจพอสงบเป็นบางวัน

ได้นิมิตรุ่งเช้าของวันศุกร์ว่า ตัวเองถูกชักชวนให้ไปด้วยโดยไม่บอกจุดหมายในการไป ข้าพเจ้าได้ต่อรองว่าถ้าไปเมืองพระนิพพานจะไปด้วย ขณะพูดคุยกันไป เดินไปก็มาหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นลานกว้างสีขาวเงิน เวิ้งว้างเห็นสถูปหลังหนึ่งสภาพคล้ายที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่วิหารแก้ว 100 เมตร แต่สวยงามมากกว่า ข้าพเจ้าจึงถลาเข้าไปหาด้วยความดีใจ ปากก็ร้องว่าถึงเมืองนิพพานแล้ว สวยจังเลย ไม่กลับแล้ว ขออยู่ที่นี้ได้ไหม ความดีใจมีมากจนระงับไม่อยู่ น้ำตาไหลพราก มีความรู้สึกว่าถูกดึงกลับทั้งๆ ที่มีคราบน้ำตา เมื่อเวลาตื่นด้วยความเสียดายและอาลัยเป็นที่สุด



ปัจฉิมลิขิต

หลวงพ่อเป็นที่พึงพาของครอบครัวข้าพเจ้ามาถึงจุดสุดท้ายของชีวิตดังที่ปรารถนา บุญคุณนี้แผ่ไพศาลจนสุดจะใช้คำใดมาเปรียบเทียบได้ คงได้แต่ตั้งสัจอธิษฐานขอผลบุญจงบันดาลพบพานหลวงพ่อต่อไป ในเมืองนิพพานเทอญ...

หมายเหตุ

คุณสุนันท์ เจียรกุล เป็นอาจารย์สอนอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมานานแล้วเช่นกัน ตามประวัติความเป็นมาที่ได้พบหลวงพ่อนั้น อาจจะแปลกไปอีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือได้อ่านหนังสือจากนิตยสาร "คนพ้นโลก" สมันนั้น อ.ปถัมภ์ เรียมเมฆ เป็นผู้จัดทำ แล้วก็จัดทัวร์ไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุงหลายครั้งหลายหน

คุณสุนันท์จึงเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ซึ่งแต่ละคนก็ต้องไปตามวิถีทาง บางคนก็จากโลกนี้ไปแล้ว บางคนก็หายไปจากวัดท่าซุง แต่คุณความดีที่ได้กระทำไว้แล้วนี้ ยังไม่หายไปจากควาทรงจำ บันทึกต่างๆ ที่เรียบเรียงไว้นี้ จึงเสมือนมุมหนึ่งของชีวิต ที่ได้ลิขิตไว้เป็นอนุสรณ์ ถึงแม้จะไม่ได้พบเห็นคุณสุนันท์มานานแล้ว แต่คิดว่าสักวันหนึ่ง คงจะได้หวนกลับมาพบกันอีก....

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/9/09 at 08:57 [ QUOTE ]



สุภารัตน์ วงศ์งามนิจ


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........ข้าพเจ้าได้มากราบหลวงพ่อที่ซอยสายลมเป็นครั้งแรกเมื่อราวปี พ.ศ. 2519 ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้าได้ถูกคนกลั่นแกล้ง โดยใช้ไสยศาสตร์ และก็ได้มีเพื่อนของคุณแม่และน้าได้ช่วยให้คำปรึกษา แต่ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร

ระหว่างนั้นข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปกราบแม่ชีประทุม จักษุรักษ์ ที่จังหวัดสระบุรี และท่านก็ได้ให้ หนังสือประวัติหลวงปูปาน วัดบางนมโค 1 เล่มให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้นำมาอ่าน และรู้สึกศรัทธาในหลวงพ่อมาก จึงได้พยายามติดตามเสาะหาหลวงพ่อว่าจะมาที่กรุงเทพฯ

วันใด เมื่อข้าพเจ้าทราบว่า หลวงพ่อจะมาสอนที่ซอยสายลม ข้าพเจ้าจึงได้มากราบหลวงพ่อ และวันนั้นหลวงพ่อได้เมตตาเรียกข้าพเจ้าว่า "ลูก" ให้เข้ามาใกล้ๆ และข้าพเจ้าได้กราบและทำบุญตามอัธยาศัยกับหลวงพ่อ

หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็หายเป็นปกติ ซึ่งยังความอัศจรรย์ใจอย่างมาก ตั้งแต่นั้นมา ถ้าข้าพเจ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ต้องขอบารมีของหลวงพ่อให้ช่วยทุกครั้ง และทุกครั้งเหตุการณ์ทั้งหมดก็จะแคล้วคลาดไปด้วยบารมีของหลวงพ่อ

หมายเหตุ

พวกเราได้พบเห็นคุณสุภารัตน์มานานเช่นกัน ความเป็น "ลูกศิษย์" หรือที่หลวงพ่อเรียกว่า "ลูก" กับคุณสุภารัตน์นั้น คงจะมีความหมายที่นอกเหนือกว่า นั่นก็คือนอกจากจะท่านเป็นครูบาอาจารย์แล้ว ท่านอาจจะได้พบกับลูกของท่านในอดีตอีกด้วย เช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ อีกหลายท่าน หลังจากที่ได้อ่านหนังสือ "ประวัติหลวงปูปาน" แล้ว

แม้แต่เพื่อนผู้หญิงของผู้หมายเหตุก็เช่นกัน เป็นอีกคนหนึ่งที่หลวงพ่อเรียกว่า "ลูก" ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้เคยได้ยินท่านพูดกับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดท่านว่า ปกติท่านจะไม่ทักว่าคนนี้ในอดีตเคยเป็นอะไรกันมาก่อน เพราะถ้าพระทำอย่างนั้น เหมือนกับเป็นการประจบฆราวาส เป็นจริยาที่พระไม่ควรทำ แล้วก็มีหลายรายที่ยึดติดกับสิ่งอดีตเหล่านี้ ความดีที่ได้จากการฝึกมโนมยิทธิ เพื่อนำมาขัดเกลากิเลส กลับเป็นผลทำลายความดีไปในที่สุด

แต่ก็มีเฉพาะบางรายที่เพิ่งได้พบหลวงพ่อ ท่านเห็นแล้วท่านจะทักว่าเป็นลูก ถ้าเป็นเช่นนี้ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ เรื่องนี้ท่านบอกว่า "ท่านแม่ศรี" มาบอกให้ทักลูก หลวงพ่อจึงจะทักบุคคลนั้นทันที พร้อมทั้งเล่าประวัติความเป็นมาให้ฟัง แต่ท่านก็มิได้อธิบายว่าเป็นเพราะเหตุไร

ต่อมาได้สังเกตภายหลัง โดยเฉพาะเพื่อนของผู้หมายเหตุ ปรากฏว่าสามีไม่ค่อยสนใจทางด้านนี้ การที่หลวงพ่อทักหรือเรียกว่า "ลูก" ทำให้เพื่อนของผู้หมายเหตุคนนี้ สามารถใช้กำลังใจและอดทน จนกระทั่งมุ่งปฏิบัติธรรมตามแนวหลวงพ่อ แม้จะได้พบพระสำคัญหลายองค์ แต่เพื่อนคนนี้ก็ไม่ไปตามกระแสนิยม กลับยึดมั่นเคารพนับถือองค์หลวงพ่อตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้

เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกันกับคุณสุภารัตน์ วงศ์งามนิจ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นน้องสาวของ คุณพิมพา วงศ์งามนิจ คงจะเป็นแบบอย่างได้เป็นอย่างดี เพราะผู้ที่พบหลวงพ่อตั้งแต่ต้นๆ ก็มิใช่จะดำเนินไปตามแนวทางได้ตลอดรอดฝั่ง บางรายก็หันเหไปแสวงหาที่อื่น บางรายก็ประสบกับเคราะห์กรรมชีวิต บางรายก็จากโลกนี้ไปบ้าง ซึ่งบางรายก็ชนะตนเองถึงที่สุดแห่งทุกข์ไปแล้ว

ทั้งหมดนี้คือมุมหนึ่งของ "ลูกศิษย์บันทึก" ที่ท่านผู้อ่านได้อ่านผ่านไปแต่ละราย ซึ่งกาลเวลาผ่านไปนานหลายปี นับตั้งแต่ปี 2533 ที่ได้จัดพิมพ์ออกเผยแพร่นี้ คงจะเป็นข้อคิดสะกิดใจ เพื่อผู้อ่านจะได้นำไปสอนตนเองเข้าไว้ อย่ามุ่งเพียงเพื่อสอนแต่คนอื่น แล้วจะรู้ว่าสักวันหนึ่ง เราได้เดินใกล้เข้าไปหาฝั่ง แล้วไม่นานท่านจะถึงความสิ้นทุกข์เช่นเดียวกับ "พ่อ" ของเราเช่นกัน.



◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 11/9/09 at 08:42 [ QUOTE ]



จ่านายสิบตำรวจ สุวัฒน์ อั๋นประเสริฐ


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........เมื่อปี 2519 ผู้กำกับชุมพล อัตถศาสตร์ (ตอนนั้นประจำอยู่กรุงเทพ-ปัจจุบัน เป็นรองผู้บัญชาการภูธร 4 ) เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ เมื่อท่านผู้กำกับทราบว่าหลวงพ่อออกต่างจังหวัดบ่อยๆ เพื่อไปแจกของในการสงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร จึงได้ส่งตำรวจมาคราวละ 4 คน

ผมก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวน 4 คน ขบวนรถของหลวงพ่อที่ไปในถิ่นทุรกันดารเขียนไว้ข้างรถว่า “ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ” ทำให้ผมคิดว่าต้องออกต่างจังหวัดบ่อยแน่ๆ จึงอยากไปกับหลวงพ่อ เพราะคิดว่าจะได้ไปเที่ยวหลายๆ จังหวัดที่ไม่เคยไป เพราะตอนนั้นชอบอย่างนั้น

ครั้นหลวงพ่อออกต่างจังหวัดคราวใด ผมก็มีโอกาสได้ร่วมอยู่ในคณะ 4 คน ที่ถูกส่งมาทุกครั้ง จนกระทั้งตอนหลังผู้กำกับก็ส่งให้ผมมาอยู่ประจำ ผมก็ได้เห็นหลวงพ่อสอนคนให้ทำแต่ความดี จึงทำให้ผมเริ่มมีความศรัทธาหลวงพ่อ

ต่อมาหลวงพ่อได้สอนมโนมยิทธิใหม่ๆ ที่บ้านซอยสายลม บ้านพลอากาศโท เสริม ศุขสวัสดิ์ (ที่กรุงเทพฯ) มีคนไม่มาก ประมาณ 40-50 คน หลวงพ่อสอนทำใจให้ปกติ ตัดสินใจให้รักษาศีล 5 ในขณะนั้น ใจก็เลยสว่าง ผมฝึกวันนั้นก็ได้ในวันนั้น คือ ได้แบบไม่คาดคิดว่าจะทำได้ เมื่อฝึกได้ก็ดีใจมาก คนก็ถามว่าไปไหนมา ผมก็ตอบว่าหลวงพ่อพาไป ก็พบสิ่งสวยงาม

ตั้งแต่นั้นทำให้ผมมีความศรัทธาหลวงพ่อมากยิ่งขึ้น ผมก็ได้ติดตามหลวงพ่อไปตามจังหวัดต่างๆ เสมอ หลวงพ่อไปสอนกรรมฐานแต่ละแห่ง ไม่ว่าจะเป็นคนจน คนรวย หลวงพ่อก็ให้ความเมตตาเท่าเทียมกันหมด จึงยิ่งทำให้มีความศรัทธามั่นคงไม่เสื่อมคลาย

ผมถือว่าเป็นโชคดีที่ได้เข้ามารับคำสั่งสอนจากหลวงพ่อ โดยที่ไม่คิดว่าผมจะได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมเช่นนี้ ผมจะขอตอบสนองพระคุณความดีของหลวงพ่อ เท่าที่กระผมจะกระทำได้ และผมมีความภูมิใจที่ได้มาพบหลวงพ่อในชาตินี้ และได้มีโอกาสปฏิบัติตัวรับใช้หลวงพ่อมาจนกระทั้งบัดนี้.

หมายเหตุ

สำหรับผู้บันทึกท่านนี้ ถือว่าเป็นผู้บันทึกในกรณีพิเศษ เนื่องจากเข้ามาศรัทธาหลวงพ่อเพราะมีหน้าที่อารักขา คือเป็นเจ้าหน้าที่ให้ความปลอดภัยแก่หลวงพ่อและภายในวัดท่าซุง ตลอดถึงการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ รวมทั้งเดินทางไปบ้านสายลมเป็นประจำทุกเดือนเป็นเวลานานหลายปีทีเดียว

จ่าสุวัฒน์และเพื่อนตำรวจสมัยนั้น มีความคุ้นเคยกับทุกคนเป็นอย่างดี เพราะมีอัธยาศัยที่ดี คิดว่าผู้บังคับบัญชาสมัยนั้น คงจะคัดเลือกมาเป็นอย่างดีแล้ว ครั้นอยู่ไปนานๆ เลยกลับกลายเป็นลูกศิษย์อาจารย์เดียวกัน เจ้าหน้าที่ที่ได้ประจำการณ์ภายในวัดท่าซุง นับตั้งแต่สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีชีวิตอยู่ ต่างก็ได้รับอานิสงส์คือได้รับฟังธรรมและได้ปฏิบัติธรรมไปพร้อมกันระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่นั้น

แต่ก็ยังมีปัญหาคาราคาซังมานาน คือมีข่าวจากผู้ที่ไปเที่ยววัดท่าซุง บางรายก็จะโดนหางเลข คือในขณะที่วิหารร้อยเมตรจะปิด บางรายก็จิตตกไปเลย เมื่อเจอคำพูดที่ไม่อธิบายให้เข้าใจ จึงเป็นเรื่องเสียหายแก่วัดพอสมควร บางรายก็รู้ระเบียบเป็นอย่างดี ไม่ยอมฝ่าฝืน แต่เจ้าหน้าที่ที่ปิดเปิดประตู ถ้าหากใช้คำพูดที่เป็น "ปิยวาจา" บ้าง อาจจะทำให้วัดสวยงามทั้งสถานที่และเจ้าหน้าที่ไปด้วยกันนะครับ

สุดท้ายก็ขออนุโมทนาเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ ที่ได้ปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อฯ ลูกศิษย์บันทึกเล่มนี้ นับว่ามีความหลากหลาย นอกจากลูกศิษย์หลวงพ่อโดยตรงแล้ว พวกเราก็ยังมีโอกาสได้อ่านและรับทราบความรู้สึกของเจ้าหน้าที่ผู้อารักขาความปลอดภัยด้วย นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่อนุชนรุ่นหลัง เพราะสมัยนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อมีผู้ปองร้ายมาก แต่ท่านก็ได้รับความปลอดภัยมาตลอด ทั้งนี้ นับว่าเป็นความดีของเจ้าหน้าที่เหล่านี้ด้วย ซึ่งปัจจุบันนี้เจ้าหน้าที่ชุดเก่าๆ ก็ย้ายไปปฏิบัติงานที่อื่นหมดแล้ว.

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 14/9/09 at 08:04 [ QUOTE ]



คัดนา บุนนาค


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
.........นับตั้งแต่ลูกได้รับคำสั่งสอนจากหลวงพ่อมาเป็นเวลา 10 กว่าปี ทั้งจากการอ่านและการฟังชีวิตของลูกดีขึ้นมาก เข้าใจธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างหมดความสงสัย ที่เคยคลุมเครือ เรื่องนรก สวรรค์ นิพพาน ก็ปลาสนาการไปสิ้น

เลยทิ้งหนังสือที่สอนว่า "นิพพานสูญ..นิพพานว่าง" ไปกล่องใหญ่ นึกอยากจะทำลายเพราะเกรงจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดอย่างที่ลูกเคยเข้าใจ แต่ก็นึกถึงคนที่เขาสนใจจะต้องไปเสียเงินซื้อ ก็เลยให้เขาไปดีกว่า ของเขาชอบอยู่แล้ว ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ปฏิบัติแล้วเบาสบายมาก ที่โกรธเคยขังอยู่นานก็โกรธเดี๋ยวเดียว อาฆาตจองเวรก็เลิกแล้ว

ลูกศิษย์ของหลวงพ่อมีความฝันอันสูงสุดคือ "พระนิพพาน" ยิ่งคนที่ทำมโนมยิทธิไปนิพพานได้ติดใจทุกคน ปลอดโปร่ง...สบายใจ...ไร้กังวล..ด้วยประการทั้งปวง อย่างน้อยถึงเวลาตายก็คงตั้งสติพอตัดขันธ์ 5 ได้ เพราะเคยทำมาแล้ว ทำให้เข้าใจพระอริยเจ้าทั้งหลายว่า

"ทำไมถึงรักบูชาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเหลือเกิน ไม่เคยแปลงคำสอนของสมเด็จท่านเลย และไม่เคยยกย่องคำสั่งสอนของใคร...ยิ่งไปกว่าของสมเด็จท่าน..!"

ลูกขอมั่งคงและกตัญญูต่อพระรัตนตรัยตลอดไป..จนกว่าชีวิตจะดับ...!

หมายเหตุ

เมื่อได้อ่านการบันทึกของคุณคัดนา บุนนาค ทำให้เรามั่นใจใน "คุณพระนิพพาน" ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการที่ได้ศึกษาคำสอนที่ว่า "นิพพานสูญ..นิพพานว่าง" มาก่อน แสดงให้เห็นว่าคุณคัดนาได้พบหลวงพ่อแล้ว จึงได้ศึกษาคำสอนแล้วนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงสามารถลบล้างคำสอนที่ได้ศึกษามาแต่เดิมได้ ฉะนั้น ปัญญาจึงเป็นแสงสว่างอย่างแท้จริง

บันทึกของคุณคัดนาจึงมีประโยชน์มาก หากผู้ใดที่ได้ศึกษาแนวทางที่ไม่ถูกต้องมาก่อน ก็จะได้ปฏิบัติเพื่อพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า จากคำที่ว่า "นิพพานสูญ" หรือ "นิพพานว่าง" จนไม่มีอะไรนั้น เป็นจริงหรือไม่ อย่าพิสูจน์แค่การอ่าน..หรือการคิดเอาเอง ควรจะอ่านเพื่อนำมาประพฤติปฏิบัติ จนสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง นั่นชื่อว่าท่านได้ทำประโยชน์ส่วนตน และไม่ดัดแปลงคำสอนของสมเด็จท่าน อย่างที่คุณคัดนากล่าวไว้อย่างแน่นอน...ที่สุด !!!

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top