Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 3/8/10 at 14:37 [ QUOTE ]

ปักษ์เหนือ-ปักษ์ใต้ โดย..พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)




ปักษ์เหนือ - ปักษ์ใต้


หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเก่าแก่ของวัดท่าซุง ซึ่งยังไม่เคยลงในเว็บไซด์แห่งใดมาก่อน เนื่องจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อเล่าเรื่องไว้นานแล้ว จึงไม่มีการสั่งพิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกเผยแพร่ อันเป็นเรื่องเล่าของ "ปักษ์เหนือ" คือที่พระธาตุจอมกิตติ ที่ท่านได้เดินทางไปครั้งแรก และ "ปักษ์ใต้" ที่ภูเก็ตเป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่หาอ่านได้ยากยิ่ง

ด้วยเหตุนี้ ทีมงานเว็บวัดท่าซุงจึงได้ดำริที่จะจัดพิมพ์ลงเว็บไซด์ ทั้งนี้ หวังที่จะให้เป็นประโยชน์ต่อลูกศิษย์หลวงพ่อฯ รุ่นหลัง จะได้มีความรู้ทั้งในปัจจุบันและลึกเข้าไปในอดีต แต่ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อผู้อ่านที่ไม่เข้าใจในเรื่องราวเหล่านี้ อาจจะตำหนิติติงท่านผู้เล่าให้เกิดโทษขึ้นได้

ทางทีมงานฯ จึงจำเป็นต้องขอสงวนลิขสิทธิ์ ห้ามมิให้ผู้ใดคัดลอกออกไป เพราะลิขสิทธิ์เป็นของวัดท่าซุงโดยตรง จึงไม่อนุญาตให้ผู้ใดนำข้อความบางตอนหรือทั้งหมดออกไป พร้อมทั้งต้องกราบขออภัยท่านผู้อ่านที่เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ.


ปักษ์เหนือ - พระธาตุจอมกิตติ





1. ตอนที่ 1
2.
ตอนที่ 2
3. ตอนที่ 3
4. ตอนที่ 4
5. ตอนที่ 5
6. ตอนที่ 6
7. ตอนที่ 7
8. ตอนที่ 8
9. ตอนที่ 9
10. ตอนที่ 10
11. ตอนที่ 11
12. ตอนที่ 12 (ตอนจบ)



พ่อขุนผาเมือง แห่งเมืองเชียงแสน


ต่อจากนี้ไปจะได้คุยกับบรรดาท่านทั้งหลาย เรื่องการเที่ยวเมืองเชียงแสนหรือว่า "โยนก" ของไทยเดิม สำหรับคนผู้เล่าให้ฟังนี้ มีนามว่า "นายพรหม" การที่มีชื่อว่า "นายพรหม" เพราะว่าเมื่อเกิดมาใหม่ๆ ท่านพ่อท่านแม่ให้ชื่อว่าพรหม เหตุที่จะให้ชื่อว่าพรหมเพราะว่าท่านแม่เคยเล่าให้ฟังว่า ในขณะที่ก่อนจะเกิด หรือกำลังที่จะมาเกิด วันหนึ่งเป็นคืนวันเพ็ญ จำไม่ได้ว่าเดือนอะไร

คืนวันนั้นท่านแม่นอนหลับไป แล้วก็ฝันเห็นว่าพระพุทธรูปองค์หนึ่งเป็นทองอร่ามทั้งองค์ แล้วเครื่องประดับแพรวพราว เป็นเพชรหมดทั้งองค์ ลอยลงมาจากทางอากาศ แล้วลอยเข้ามาทางหน้าต่างบ้านทางด้านทิศเหนือ แล้วเข้ามาอยู่บนตักท่านแม่ ท่านแม่มีความพอใจมาก เพราะเห็นว่าเป็นทอง แล้วก็เพชร

นี่เป็นธรรมดาของผู้หญิงที่จำจะต้องรักสิ่งทั้งสองนี้เหมือนกันเกือบทุกคน ที่ว่าเกือบทุกคนก็เพราะว่าไม่ใช่หญิงทุกคนจะชอบเครื่องประดับเสมอไป บางท่านที่มีจิตใจไม่สมบูรณ์อาจจะไม่ชอบเครื่องประดับก็ได้ หรือว่าผู้หญิงบางคนที่ตายแล้ว นี่ก็ไม่ต้องการเครื่องประดับ จึงกล่าวคำว่าผู้หญิงเกือบทุกคน บอกว่าคนทุกคนหรือผู้หญิงทุกคนชอบเครื่องประดับ

หากว่าใครเขาค้านขึ้นมาว่าผู้หญิงที่ตายแล้วชอบแก้วแหวนเงินทองรึ หรือว่าคนที่มีสัญญาวิปลาสชอบแก้วแหวนเงินทองรึ แบบนี้ก็เห็นจะจนหนทาง จึงใช้คำว่าผู้หญิงเกือบทุกคนชอบทองและเพชร ที่เรียกกันว่า เครื่องประดับ

ในเมื่อท่านแม่ฝันอย่างนั้น เวลาเช้าปรากฏว่าท่านลุงผู้เป็นพระทรงญาณสมาบัติแล้วก็อริยสมาบัติ สมัยนั้นพระท่านเอาดีกันทางปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านลุงผู้นี้ก็เหมือนกัน ในสมัยต่อมาอาศัยที่มีคุณธรรมความดีเป็นกรณีพิเศษ ทางคณะสงฆ์จึงแต่งตั้งยศให้ ท่านถามว่าตั้งให้เป็นอะไร ทางคณะสงฆ์ตอบว่า จะตั้งให้เป็นพระครู

ท่านถามว่าตำแหน่งพระครูน่ะใหญ่โตนักรึ ในสมัยนั้น จังหวัดหนึ่งจะมีพระครูเพียงองค์หนึ่งหรือสององค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าคณะจังหวัดเป็นพระครู น้อยจังหวัดนักที่จะมีพระราชาคณะที่เรียกกันว่าเจ้าคุณ เพราะว่าทางราชการไม่มีการตั้งยศ ให้พระแสวงหาความดีในทางปฏิบัติ พระสมัยนั้นจึงมีความดีในทางปฏิบัติมาก ไม่ค่อยจะมียศกัน ซึ่งตรงกันข้ามกับสมัยนี้

พระมีดีทางยศถาบรรดาศักดิ์ ผลของการปฏิบัติก็ย่อหย่อนเกินไป เพราะว่าอามิส คือโลกธรรมได้แก่ยศ มันคู่กับลาภ เป็นเหตุให้ท่านมีใจผ่องใสเป็นพิเศษ ธรรมะขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์สอนไว้ ท่านก็เลยเก็บใส่เซฟกันเป็นแถว แต่ไม่ใช่ทุกองค์ มีพระสงฆ์ที่ทรงคุณธรรมวิเศษในเวลานี้ก็มีมาก แต่ก็ยากนักที่จะหาคนเคารพนับถือ สู้คนดีประเภทมียศมากไม่ได้ นี่ว่ากันไปถึงเรื่องของนายพรหม

เมื่อท่านลุงมาแล้ว ท่านแม่ก็เล่าให้ฟังถึงความฝัน ท่านลุงเลยบอกว่า เจ้าเด็กคนนี้ต้องชื่อ “พรหม” เพราะว่าทัศนะของมันเป็นทัศนะของพรหม แล้วมันก็จะทรงความเป็นคนธรรมดาอยู่ไม่ได้ ต่อไปมันก็จะเป็นพรหม คือพรหมประเภทที่ว่าขาดกะร่องกะแร่งหรือว่าพรมเช็ดเท้า นี่เป็นความจริงทีเดียว

เวลานี้นายพรหมดำรงตำแหน่ง ๒ ตำแหน่งอันชัดเจน คือในบางขณะก็ดำรงตำแหน่งพรมเช็ดเท้า เพราะว่าชาวบ้านและชาววัดก็พากันประณามว่า นายพรหมเป็นคนไม่เต็มบาทเต็มสลึง และบางคราวนายพรหมก็มีสภาพดำรงตำแหน่งเป็นพรมเช็ดเท้า คือเป็นพรหมขาดกะรุ่งกะริ่ง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าดำรงตำแหน่งถึงสองตำแหน่งในคราวเดียวกัน คือดำรงตำแหน่งทั้งพรมเช็ดเท้าและพรมขาดกะรุ่งกะริ่ง

คราวนี้มาว่ากันต่อไปประเดี๋ยวจะยืดยาด นายคนนี้เขาเป็นคนไม่เหมือนกับชาวบ้านอยู่ด้วย เพราะตำแหน่งของเขาก็บอกอยู่แล้วนี่ ว่าพรมเช็ดเท้าบ้าง พรหมขาดกะรุ่งกะริ่งบ้าง

อนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง

.....มาวันหนึ่ง เห็นจะเป็นเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๗ ใช่หรือไม่ใช่ก็จำไม่ได้ นี่เดามันไปก็แล้วกัน นี่สภาพของพรมเช็ดเท้า วันนั้น ท่านพันตำรวจเอกพิเศษ ม.ร.ว.พงษ์พูนเกษม เกษมศรี มาคุยด้วยถึงเรื่องของ พ่อขุนผาเมือง ที่จังหวัดเชียงราย อำเภอเชียงแสน แล้วพูดถึงพระธาตุจอมกิตติ

ท่านพันตำรวจเอก ม.ร.ว.พงษ์พูนเกษม เกษมศรี ในทัศนะของท่านผู้นี้ มีท่าทางเป็นคนมีความรู้ แล้วก็มีความคิดอ่านในด้านสุขุม เป็นคนฉลาด ท่านก็มาปรารภเรื่องผี คือผีของพระเจ้าผาเมือง หรือว่าพ่อขุนผาเมือง เรียกยังไงก็ได้ เพราะว่าปากของเรา เราจะเรียกพระเจ้าหรือว่าเราจะเรียกพ่อขุนท่านก็ไม่ค้าน หรือว่าท่านจะค้านท่านก็เป็นผีแล้ว เราไม่เห็นท่าน เราไม่ได้ยินท่านเสียก็หมดเรื่อง เราพูดตามอัธยาศัย ตามใจของพรมเช็ดเท้า

ทีนี้ ท่านมากล่าวถึงปาฏิหาริย์บางอย่าง จะเรียกว่าปาฏิหาริย์ก็ไม่ถูก เรียกว่าเหตุอัศจรรย์ เพราะว่าเป็นวันวิสาขบูชา ท่านพันตำรวจเอก ม.ร.ว.พงษ์พูนเกษม เกษมศรี พร้อมด้วยคณะของท่าน มีใครบ้างไม่ทราบ เห็นจะมีพ่อขุนเสลา (เส – ลา) หรือเสลิม สักคนหนึ่งไปในที่นั้นด้วย บอกว่ามีเหตุอัศจรรย์ คือมีพระอาจารย์ท่านหนึ่งมีนามว่า พระอาจารย์ซ่วน เห็นเขาบอกกันว่าอยู่ทางเขตปราจีนบุรี พระคุณเจ้ารูปนี้ มีความชำนาญในเรื่องวิญญาณ ไม่ถูกละมั้ง เรียกงี้ไม่ถูก เรียกว่ามีความชำนาญในการเห็นผีดีกว่า

คำว่า "วิญญาณ" นี่มันเห็นยาก มันเป็นระบบประสาทอันหนึ่งที่สร้างความรู้สึกให้เกิดกับร่างกาย บรรดาผีทั้งหลายท่านไม่เรียกว่า วิญญาณ เรียกกันว่า "ผี" สบาย ผีมาจากศัพท์ชาวเหนือที่เรียกว่า “บี๋” คือแปลว่าความมืด เป็นอันว่าท่านผู้นี้อยู่ในความมืดที่เราจะมองเห็นไม่ได้ด้วยตาเนื้อ

ท่านมาคุยให้ฟังถึงเรื่องพ่อขุนผาเมืองด้วยเหตุบางกรณี ท่านผู้นี้ไปนมัสการพระธาตุจอมกิตติ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีท่านผู้ใหญ่นำมาบรรจุไว้ถึงสองสมัยด้วยกัน

คือสมัย พระเจ้าพังคราช ร่วมไปด้วยพระลูกชายทั้ง ๒ องค์ นั่นไงราชาศัพท์เขาเรียกว่า "ราชโอรส" นี่ปรากฏว่านายพรหมกะร่องกะแร่งตักพระลูกชายเข้าให้ เห็นอัธยาศัยของนายพรหมไหม นี่มันขาดกะร่องกแร่งแบบนี้ จึงควรมีสมญาว่า "นายพรหมขาดกะร่องกะแร่ง" หรือ "นายพรหมเช็ดเท้า"

เวลาท่าน ม.ร.ว.พงษ์พูนเกษม เกษมศรี ท่านคุยไป นายพรหมนั่งฟังท่านคุย ไอ้ความจริงใจ หรือตาฝาดก็ไม่รู้ มันย่องไปเห็นพ่อขุนผาเมืองมายืนอยู่ใกล้ๆ ก็เลยถามท่านพงษ์พูนเกษม เกษมศรีว่า ท่านขุนผาเมืองเป็นคนร่าเริง มีลักษณะบางประการเป็นอย่างนี้ๆ ใช่ไหม ท่านพูนเกษม เกษมศรีก็บอกว่า"ใช่แล้ว...ท่าน..!"

ก็พูดต่อไปถึงอัธยาศัยของท่านขุนผาเมืองและรูปร่างลักษณะ ตรงกับภาพที่มายืนอยู่ข้างหลังท่านชัด แล้วท่านก็ออกปานชวนว่าอยากจะไปเชียงแสนอีกที่ พระธาตุจอมกิตติ แต่การไปต้องการไปวันกลางเดือน เพื่อจะได้ทำการนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ พอฟังท่านปรารภก็ชอบใจอยากจะไป จึงได้ตกลงใจว่าไปกัน ไปไหว้ เป็นวันกลางเดือน ๙ ตรงกับวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๗

ทีนี้..ต่อมาเมื่อใกล้เวลาที่จะไป อีกประมาณ ๑๐ วัน ในระยะนั้นร่างกายปกติดี แข็งแรงทุกอย่าง ทั้งนี้ก็เพราะว่าบรรดาหมอทั้งหลายช่วยกันปะความกะร่องกะแร่งในร่างกายของนายพรหมด้วยการให้ยาน้ำบ้าง ด้วยการให้น้ำเกลือบ้าง ดีมาหลายวัน แต่พอถึงเวลาจะไปเข้าจริงๆ ปรากฏว่านายพรหม เริ่มขาดกะร่องกะแร่งเข้าอีก

พอดีไปที่โรงพยาบาลอุทัยธานี ให้พยาบาลช่วยฉีดยาให้ ต่อมาแพทย์หญิงท่านหนึ่งจำชื่อไม่ได้ สามีเป็นเภสัชกรมาพบเข้า ก็เลยสั่งยาเพิ่มให้อีก ๒ วัน หลังจากนั้นวันใกล้จะไปวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ท่านแพทย์หญิงกับท่านเภสัชกร สามีภรรยาเชิญไปรับประทานอาหารที่บ้าน คุยกันเป็นที่ถูกอัธยาศัย จึงสั่งพยาบาลของท่านมาให้น้ำเกลืออีก ๑,๐๐๐ ซี.ซี.

รุ่งขึ้นวันที่ ๒๙ ท่านให้ภรรยาของท่านมาฉีดยาบำรุงกำลัง รวมความว่าท่านช่วยเย็บปะตรงที่กะร่องกะแร่งให้รวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนพอที่จะห่อ พอที่จะใช้อะไรได้บ้าง หลังจากนั้น วันที่ ๓๐ กรกฎาคม คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ภรรยา พลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศมารับ

พอไปถึงกรุงเทพฯ ท่านพันตรี พ.ญ.วีวรรณ คำนวณกิจ ก็เอายาประเภทวิตามินรวม ที่ชาวปากตลาดชอบใช้ว่า “เลือดเทียม” มาให้ ๕๐๐ ซี.ซี. รุ่งขึ้นอีกท่านรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ ลืมชื่อท่านเสียแล้ว “ขอโทษด้วย” (เห็นไหม..เห็นไหมว่านายพรหมนี้มันขาดกะร่องกะแร่ง จำอะไรไม่ได้ถนัด ?) ก็ได้จัดการเอาวิตามินมาฉีดให้เป็นการกระตุ้นหัวใจ แล้วช่วยให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นสักหน่อย เพราะว่านายพรหมเป็นโรค เขาเรียกว่า "โรคลำไส้หรือกระเพาะผุ ความดันโลหิตต่ำ" แล้วท่านก็ให้น้ำเกลืออีก ๑,๐๐๐ ซี.ซี.

เป็นอันว่าการเดินทางคราวนี้ เพราะอาศัยความดีของท่านนายแพทย์ ทั้งพลเรือน ที่โรงพยาบาลอุทัยธานี โรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าของทหารบก และโรงพยาบาลทหารเรือ โรงพยาบาลทหารอากาศและกรมแพทย์ สงเคราะห์อนุเคราะห์เป็นอย่างดี เรียกว่าการเดินทางคราวนี้ มีแพทย์ตามที่กล่าวมาแล้วทุกจุดติดตามไปด้วย เพื่อจะได้ช่วยปะช่วยเย็บในเวลาที่พรมมันขาด

เมื่อถึงเวลา ๔ นาฬิกาของวันที่ ๑ จะถึงวันที่ ๒ สิงหาคม ขบวนรถก็มา คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา เป็นโต้โผในการจัด เห็นใจเธอเหลือเกินเหนื่อยมานานในการจัดสรร แต่ว่ามีสิ่งสำคัญที่ควรคิดอยู่นิดหนึ่ง คือ ความจริง รถในการเดินทางพอแก่คนที่จะร่วมเดินทางไป แต่ท่านนักบุญทั้งหลายบางท่านอาจจะไม่ได้ไป เพราะว่าเวลาที่รถมาจอด ท่านที่จะไปด้วยไม่ได้ขึ้นนั่งประจำที่

บางรายท่านเอาของมาวางไว้เสียบนเตียงนั่ง ตัวท่านเองตั้งใจนั่งอีกที่หนึ่ง แต่เอากระเป๋ามาวางไว้บนเตียงอีกเตียงหนึ่ง อีกเก้าอี้หนึ่ง เป็นเหตุให้คนอื่นเข้าใจว่ามีคนเต็มแล้ว อันนี้ก็ต้องขออภัยบรรดาท่านทั้งหลายที่ตั้งใจจะไปด้วยในคราวนั้น แต่ไม่มีโอกาสได้ไป เนื่องจากเข้าใจว่าที่นั่งเต็มเสียแล้ว ต้องขออภัยแทนคุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ทั้งนี้ก็เพราะว่าเป็นความเข้าใจผิด

การไปคราวนี้ มีท่านผู้ใหญ่หลายท่านร่วมทางไปด้วย จะขอออกนามเฉพาะบางท่านคือ ท่านพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ เสนาธิการทหารประจำกลาโหม แล้วก็ท่านพลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ ท่านพลตำรวจตรีจรัส วงศ์สาโรจน์ (หนวด)

ท่านผู้นี้มาหาบ่อยๆ ถามว่าจำได้ไหม ก็บอกว่าจำได้ที่ตรงหนวด เลยเรียกท่านว่า "นายพลตำรวจหนวด" แล้วก็มีท่านพันตำรวจเอกพิเศษ ม.ร.ว.พงษ์พูนเกษม เกษมศรีนอกนั้นก็มีอีกเยอะ มีท่านคุณหญิง ท่านคุณนาย และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ เชื้อพระวงศ์ร่วมเดินทางกันมากมาย มีปริมาณคนเท่าไรจำไม่ได้เพราะไม่ได้นับ

เห็นไหม..เห็นอาการขาดของพรมไหม แต่ว่าอาหารการบริโภคดีมาก ตั้งใจจะไปรถทัวร์ ไอ้ทัวร์นี่มันแปลว่าอะไรก็ไม่รู้ ไอ้เจ้าพรหมมันเป็นคนไทย ขอใช้คำทัวร์นี่เป็นภาษาไทย คำว่า ทัวร์ ถ้าเป็นภาษาเทศไม่รู้แปลว่าอะไร ถ้าเป็นภาษาไทยก็ใช้ไม่ชัดเหมือนกัน เมื่อจะเอาทัวร์มาเป็นภาษาไทยก็ต้องจัดกันใหม่ คือใส่ไม้เอกลงไปเป็น ทั่ว เป็นอันว่ารถคันนี้สำหรับการเดินทางทั่วๆ ไป

ตั้งใจว่าจะเอารถไป ๒ คัน แต่ว่าไปว่ามาก็เอาไปเสีย ๕ คัน คือ รถทัวร์เสีย ๒ คัน รถโฟล์คตู้ของพันตรี พ.ญ.วีวรรณ คำนวณกิจ อีก ๑ คัน แล้วก็โฟล์คตู้ของคุณอรอนงค์ คุณะเกษม หรือว่าของคุณวัฒนี นวพันธ์ สองพี่น้องนี่ไปด้วยกัน เลยไม่ทราบว่าเป็นรถใครอีก ๑ คัน แล้วก็ คุณราตรีเอารถไปอีก ๑ คัน แล้วก็คุณปวิณ ปานศรี ไปตรวจราชการเชียงใหม่ (ไปทางเครื่องบิน แล้วก็ไปสมทบกัน) อีก ๑ สาย เป็นอันว่าคนเท่าไรไม่รู้ เดินทางออกมาด้วยความทุลักทุเล

จะไม่พูดถึงการไปพักไปผ่อนไปนอนไปกินกันตรงไหน แต่ว่าพอถึงจังหวัดนครสวรรค์ เห็นจะเป็นเวลา ๘ นาฬิกาเห็นจะได้ เดาๆ เอา รถคันหน้ามีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ มีพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ เป็นต้น กับนายพรหม นั่งไปในรถคันนั้นผ่านไฟเขียวไปได้ แต่ว่ารถทัวร์คันหลัง ซึ่งมีนายตำรวจผู้ใหญ่นั่งไป พอเคลื่อนเข้าไป ปรากฏว่ามีไฟแดงที่สี่แยก อะไรล่ะ "เดชา" หรืออะไร

ไอ้สี่แยกนี่ เขาเรียกสี่แยกอะไรก็ช่างเพราะไม่รู้จักชื่อเขา แต่ว่าลงจากสะพานเดชาแล้วก็ถึง ถ้าเขามีชื่ออยู่เก่าก็ช่างปะไร ขอตั้งให้ใหม่ว่า สี่แยกเดชา เป็นอันว่ารถที่นายตำรวจใหญ่นั่งมา ถูกโปลิศจับเพราะฝ่าไฟแดงดีเหมือนกัน

แต่ว่าโปลิศนครสวรรค์ก็แสนจะดี ให้ความสะดวกเป็นอันดีอย่างยิ่ง ไม่ประวิงเวลาในเมื่อท่านพลตำรวจตรีจรัส วงศาโรจน์ พาคนขับรถไปหา เพราะการไปกันคราวนั้น ไม่มีใครรบกวนพาหนะของทางราชการ เป็นการร่วมทุนร่วมแรงร่วมใจกันจริงๆ ไม่มีใครเบียดเบียนประชาชนด้วยการเอาเงินภาษีอากรของราษฎรไปใช้

เมื่อรถผ่านนครสวรรค์ไปได้แล้ว ก็ไปกันแบบทุลักทุเล พอถึงจังหวัดเชียงราย มีเวลาเท่าไร่ไม่ทราบ เห็นค่ำมาก ตอนนั้น ดร.ปริญญา นุตาลัย อาจารย์แผนกธรณีวิทยา ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เอารถเก๋งมารับนายพรหมล่วงหน้าไปก่อน ถึงพระธาตุจอมกิตติเวลา ๕ ทุ่มครึ่ง ภาษาเก่า ภาษาใหม่เขาเรียก ๒๓ นาฬิกา ๓๐ นาที

รถทัวร์ยังโอ้เอ้ยืดยาดออกไปอีกใช้เวลาเท่าไหร่ไม่ทราบ คาดว่าประมาณเลย ๒๔ นาฬิกา จึงถึงสถานที่พัก เมื่อไปถึงแล้วก็รู้สึกว่ามันเพลียจัด ดร.ปริญญาให้ลูกน้องจัดสถานที่ไว้ต้อนรับนายพรหมคนสำคัญ เขาไปตั้งแคมป์ไว้ให้ที่ชายเบื้องล่างของพระธาตุจอมกิตติ อยู่ชายป่า..สบาย อยู่ในที่ต่ำไกลจากคนอื่น แล้วก็มีคุณดำรงค์ (สองคนนี่ลืมนามสกุล) เป็นบิดาของ ดร.ปริญญา คนนี้มีปริญญาเหมือนกัน คือมีปริญญา ๒ ปริญญาจากต่างประเทศ นอนอยู่ด้วย

ในขณะที่ไป ท่านพลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ ท่านแจกเทปบันทึกเสียงให้หลายตลับ ตลอดจนกระทั่งแบตเตอรี่แห้ง คือถ่านไฟฉาย เอาไว้บันทึก คือว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็จะได้บันทึกเข้าไว้ แต่โอกาสที่จะบันทึกมันไม่มี มันเพลียเต็มที พอถึงที่แล้วก็ตั้งท่านอน วันนั้นเรียกว่า “ซักแห้ง” กัน ๑ วัน เอ เห็นจะถึงวันที่สอง

วันรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งเป็นวันกลางเดือน จะมาซักเปียกเอาตอนเย็น ใช้เวลาซักแห้งกันครบ ครบเวลาเท่าไร? ๔๘ ชั่วโมง ในเมื่อถึงเวลาเขาจัดสถานที่ให้ คณะของ ดร.ปริญญาก็ดีมาก ให้ความสะดวกทุกอย่าง พอเสร็จพิธีแล้วก็เริ่มนอน คุณดำรงค์ก็นอน นายพรหมก็นอน แต่ว่าก่อนจะนอนพูดกันเสียก่อนดีไหม อย่าเพิ่งนอนกันเลย ถอยหลังกลับมาก่อน นี่ไม่ได้บันทึกไว้ นึกๆ เอาตามเหตุการณ์ที่ปรากฏ พูดไปพูดมามันก็ผ่านเรื่องสำคัญไป

ตอนออกจากอุทัยไปกรุงเทพฯ คืนแรกไปนอนอยู่ที่บ้านท่านพลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสาร ทอ. ท่านจัดห้องนอนให้เป็นพิเศษ เวลาหัวค่ำ จำได้ว่าไม่ถึง ๒ ทุ่ม ไอ้เวลา น.ๆ เขาเรียกกี่ น. ไม่ทราบ ๒๐ น. ยังไม่ถึง เห็นพระองค์หนึ่งท่านมากราบๆ เลยตกใจ ยกมือขึ้นมาพนม ถามท่านว่าท่านเป็นพระ ท่านมากราบผมทำไม ท่านเลยบอกว่าไม่เป็นไร

เพราะนายพรหมมีความดีพอที่จะเห็นท่านได้ เลยถามท่านว่า การเดินทางคราวนี้จะมีอันตรายหรือเปล่า หมายถึงว่าปลายทาง เพราะได้ทราบข่าวว่า ม.ร.ว.(หญิง) เสริมศรี เกษมศรี จดหมายติดต่อไปทางพระธาตุจอมกิตติ ปรากฏว่าพระมหา...ปรักกโม ท่านโทรเลขตอบมาว่าท่านไม่ต้อนรับ

ความจริงพระองค์นี้ ตั้งฉายาใหม่ดีกว่าควรจะตั้งฉายาว่า พระมหา.... ปฏิปักกธัมโม เพราะมีจริยาเป็นปฏิปักษ์กับธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน นี่คนเขาจะไปไหว้นมัสการองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ควรจะเจริญศรัทธา พระพุทธเจ้าสอนไว้แบบนั้น แต่พ่อเจ้าประคุณ..พ่อ...แกตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพวกเธอจะมาก็เชิญซิ ฉันไม่ต้อนรับ

เมื่อไปถึงที่นั้นเข้าแล้ว ปรากฏว่าพบป้ายพระมหา...นี้ พระมหา...ปฏิปักกธัมโม เขียนไว้ว่า ห้ามนิมนต์พระที่อื่นมารับกฐินหรือผ้าป่าบนพระธาตุจอมกิตติ เป็นการประกาศว่า บริเวณบนนี้นะ เป็นสถานที่ข้ากินคนเดียวนะ คนอื่นอย่ามาแย่งข้ากิน จะเป็นของดีหรือขี้หมูขี้หมาอะไรทั้งหมดข้ากินคนเดียว นี่พระเห็นแก่ปากแก่ท้องอย่างนี้

องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ถือว่าเป็นพุทธสาวก ถือว่าเป็นเดียรถีย์ คือคนนอกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เลวมาก..เลวจริงๆ พระสงฆ์ในขอบเขตนี้ ที่มีอำนาจการบริหารคณะสงฆ์ปล่อยให้ดำรงอยู่ได้ยังไง หรือว่ามีความตั้งใจร่วมกันทำลายพระพุทธศาสนาก็บอกมาเสียให้รู้ด้วย เรื่องแบบนี้มันไม่ถูก

หลังจากนั้นไปแล้ว ก็ลงไปคุยกันข้างล่าง มีคนมามาก พอกลับขึ้นมานอนใหม่ ก็ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่งรูปร่างผอมๆ มานั่งอยู่ข้างๆ ความจริงร่างกายก็ดี ปรากฏว่าขาซ้ายเสียวขึ้นมาถึงตาตุ่ม เป็นอาการของตะคริวแล้วก็เสียวเรื่อยขึ้นมาถึงเข่า แล้วก็ถึงโคนขา เลยบอกว่านี่เอ็งจะทำอะไรก็เชิญ ไอ้ตะคริวมันขึ้นมันก็ควรจะขึ้นทั้งสองข้าง อาการที่จะมีตะคริวมันก็ไม่มีอาการ

จะหาว่าท้องเสียก็เปล่า ที่บอกว่ามีคนเข้าใจว่าท้องเสียน่ะ ความจริงไม่ใช่ท้องเสีย มันเป็นเรื่องท้องที่ถ่ายตามปกติ แต่มันผูกมาหลายวันเท่านั้น นายแพทย์ก็ห่วงกัน เอายาแก้ท้องเสียมาให้ก็เลยไม่ได้กิน เพราะมันไม่ใช่ท้องเสีย เป็นเรื่องท้องถ่ายธรรมดา อาการอย่างนี้ไม่เคยมีมาในชีวิต ก็มีความเข้าใจว่าเจ้าผีร้ายตัวนั้นมันมายุ่ง

ช่างมัน บอกเอ้าแกดีแกก็ทำไป เดี๋ยวข้าจะหลับ มันเรื่องเล็กนี่ มายุ่งกะนายพรหมได้รึ คนไม่เต็มบาท ไม่เต็มสลึง พอตัดสินใจเท่านี้ เห็นท่านชายกับท่านหญิงคู่หนึ่ง ท่านมาแสดง ท่าทางว่ามีอายุมากแล้ว มีทรวดทรงเป็นบุคคลทรวดทรงดี ลักษณะไม่สูงไม่ต่ำ สันทัดคน จริยาดี มีความเป็นผู้ใหญ่ มาถึงก็กราบๆ ๓ วาระ

เวลาจะพูดก็พนมมือ เป็นอันว่าเวลาที่พูดอยู่ด้วยน่ะก็พนมมือตลอดกาล ความรู้สึกขณะนั้นว่าท่านผู้มาคือพ่อและแม่ที่ตายไปแล้ว นานแล้ว หลายตลบแห่งการเกิด ถามท่านว่าท่านเป็นใคร เพื่อตัดความสงสัย ท่านชายตอบว่า "ผมคือ..พังคราช.."

ตกใจ! เอ..นี่ตาเราฝาดไปหรือไง นี่พระเจ้าพังคราชมาไหว้เรา ก็เลยบอกว่าขออย่าไหว้เลย อย่าไหว้เลย ใจไม่สบายเสียแล้ว อีคราวนี้น่ากลัวจะไปแย่งที่ท่านเทวทัตอยู่ เพราะคนที่มีพระคุณใหญ่ จะถือว่าเป็นต้นตระกูลระหว่างกลางๆ ของไทย แห่งวงศ์กษัตริย์ของชาติไทย คือวงศ์ของพระร่วงสุโขทัย แล้วก็วงศ์อู่ทอง กษัตริย์ทั้งสองวงศ์นี้ ก็มาจากองค์พังคราช

แต่ว่าท่านพังคราชจะมาจากวงศ์ไหนสืบกันไปเองเถอะ ไม่รู้ แล้วก็ไม่อยากถาม ถามไปก็ไร้ประโยชน์มีแต่โทษ คือเสียเวลา จึงได้ถามท่านว่าที่ท่านมานี่ เพื่อประโยชน์อะไร ท่านก็เลยบอกว่าดีใจ ที่บรรดาลูกทั้งหลายจะไปสู่ที่นั่น คนไทยด้วยกันที่มีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และมีความเคารพในองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านโมทนา

จึงได้ถามขึ้นว่า (อีตอนนี้พระราชา..ราชาศัพท์เขาว่ายังไงก็ไม่รู้) กราบทูลถามหรืออะไรก็ไม่รู้ ขี้เกียจไปลงเดชะ..เดเชอะ ไม่รู้เขาว่าไง พูดไปเขาจะหาว่าเอาป่ามาว่า เดี๋ยวเขาจะเห็นรอยขาดมากขึ้น เวลานี้มันก็ขาดมากอยู่แล้ว

จึงได้ถามท่านต่อไปว่า การไปคราวนี้จะเป็นยังไง
ท่านบอกว่าไม่เป็นไร ดีใจเหตุร้ายใดๆ ไม่ต้องวิตก ไม่มี ขึ้นชื่อว่าเหตุร้ายใหญ่ไม่มี
ก็เลยถามท่านอีกทีว่าไอ้เจ้าผีตัวที่มันนั่งข้างหลังมันมาแกล้วทำขาข้างซ้ายให้เสีย (เวลานั้นเริ่มปวด..กระตุก คล้ายๆ มันจับเส้นกระตุก) มันเป็นใคร
ท่านก็ตอบว่าไม่ใช่ใคร มันเป็นเพื่อนเก่าของเธอ มันมาล้อเล่น

แหม...เจ้าเพื่อนระยำคนนี้ไม่ไหว ล้ออะไรทำขาปวดเหมือนกระดูกจะแตก ท่านบอกมาอย่างนั้นมันก็ไม่ยักคลาย ความปวดมันเพิ่มขึ้นใหญ่ เลยหันไปพูดกับมันว่าเก่งจริงก็ลองทำให้ข้านอนไม่หลับซี ประเดี๋ยวข้าจะหลับให้ดู พอว่าแล้วท่านก็เลยบอกว่าเชิญหลับเถอะ หลับเสียก็ได้ เจ้านี่มันมีกำลังไม่ถึงเจ้า แหม..ขอบคุณท่านบรมกษัตริย์ ท่านอุตส่าห์มีพระมหากรุณาธิคุณมาเยี่ยม

ก็ถามว่า เวลานี้ท่านอยู่ที่ไหน
ท่านบอกว่าท่านอยู่ชั้นพรหม ทั้งท่านหญิงและท่านชาย เพราะว่าท่านมีความเคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดามาตั้งแต่ต้น

พอเอาพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ที่พระธาตุจอมกิตติ ทั้ง ๓ พระองค์ คือพระเจ้าพ่อและพระเจ้าลูกทั้งสอง ตลอดจนกระทั่งวงศ์ตระกูลก็ทำทานการบริจาค สมาทานศีล เจริญสมาธิ และวิปัสสนาตลอดเวลายันตาย ผลความดีของท่านทั้งหลายเป็นเหตุให้ท่านเกิดเป็นพรหม นี่ที่ย้อนหลังลงมา...ความจริงวิ่งมาถึงนครสวรรค์แล้ว ต้องกลับดันย้อนไปกรุงเทพมหานครอีก



◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/8/10 at 10:06 [ QUOTE ]




2

(Update 10-08-53 )


พอวันรุ่งขึ้น เขาทำพิธีถวายสังฆทาน เอาอีกแล้ว มีพระท่านมา ท่านพระมหาอำพัน เขาตั้งให้เป็นพระครูอะไรก็ไม่ทราบ ที่วัดเทพศิรินทร์ ท่านมาเป็นประธานในการรับสังฆทาน เวลานั้นนายพรหมก็นั่งอยู่ด้วย แต่พระองค์นี้น่ารักมากนะ หลวงน้าพระมหาอำพันนี่ ท่านไม่เป็นปฏิปักษ์กับธัมโม หมายความว่า ท่านเป็นมิตรกับธรรมะ มี่จริยาน่ารักทั้งภายนอกและภายใน

คือจริยาทางร่างกายก็สดสวย งดงาม นี่ว่ากันถึงจริยานะ ไม่ใช่ว่าตัวร่างกายสวยงาม แม้แต่น้ำใจก็ผ่องใส ตั้งใจเป็นพระ พระอย่างนี้ ถ้าคนไม่บูชาก็ซวยเต็มที มีความดีกว่าพ่อเทวดาชิต ปฏิปักกธัมโม คนนั้นไม่เป็นเรื่อง ใครเป็นผู้บังคับบัญชาก็เอาแม่แรงแหกลูกตามองจริยาพระองค์นี้เสียบ้าง ไม่เช่นนั้นละ..พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจะพลอยเสียกันหมด

แล้วก็ศาสนาพระบรมสุคตกำลังถูกเหยียดหยามจากคนอื่น ที่ไม่มีความเข้าใจจริงในพระพุทธศาสนา ก็เพราะว่าจริยาของบรรดานักบวชที่ทรงไว้ ซึ่งความเลวทรามทั้งหลายทำไว้นี่แหละ ฉะนั้นขอพระสงฆ์ทั้งหลายทุกท่านที่ตั้งใจบวชเพื่อความดับไม่มีเชื้อ ทำลายความเลวไม่ให้เหลือตามพระพุทธเจ้าท่านสอน

ช่วยกันสอดส่องดูบ้าง ในประเทศไทยนี่รู้สึกว่าจะเยอะมาก จนกระทั่งคนดีๆ นี่เขาไม่อยากจะไหว้พระ ไม่อยากจะบูชาพระอยู่แล้ว แต่ว่าพระที่ดีในองค์การศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วในประเทศไทยมีอยู่เยอะ แต่ท่านพวกนี้มีคนเขาเดินข้ามหัวไปเกือบหมด ปรากฏว่าไม่ค่อยจะมีใครเคารพนับถือ

แล้วก็ไม่มีใครเขายกย่องสรรเสริญเชิดชู เพื่อเป็นคู่กับพระศาสนา เขากลับไปยินดีปรีดากับพระที่เมามันใน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่วางโลกธรรม ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่ประจบสอพลอ แล้วเราจะทำกันยังไง เราอยากได้พระดี แต่เราจะเลี้ยงพระชั่ว เชิดชูพระชั่ว พระดีไม่มีใครประสงค์

แต่โดยเจตจำนงของทุกคนก็ว่า ฉันต้องการพระดีจ้ะ เป็นอันว่าทองคำเราไม่เอา ไปเห็นขี้ของชาวบ้านเข้า ก้อนเหลืองๆ เหมือนกัน เราก็กอบโกยเอามา ซึ่งเข้าใจว่าเป็นทองคำ แต่เมื่อมันส่งกลิ่นเหม็นขึ้นมาแล้ว จะมาโทษพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระประทีปแก้วว่าศาสนานี้ไม่เป็นเรื่องได้ยังไง

เอาละ.. เวลาที่เขาถวายสังฆทานกัน ตอนนั้นเห็นใครต่อใครมากันเยอะแยะมากมาย เห็นนักรบคนหนึ่งท่าทางแข็งแรงเอาดาบมาตั้งเยอะ เอามาหอบใหญ่ ถามว่าเอามาทำไม ตอบว่านี่อั๊วเคยเป็นคู่ปรับมากับลื้อ เคยรบกันมาหลายชาติหลายสมัย รบกันคราวไรไม่มีใครเลือดออก เพราะฝีมือพอกัน

ไอ้ดาบที่นำมานี้นั้น แสดงว่าทั้งสองฝ่ายเตรียมดาบให้ใหญ่ให้หนักมาก จะได้หักดาบของอีกฝ่ายหนึ่งได้ แต่แล้วแต่ละฝ่ายก็ตั้งใจเสมอกัน เมื่อฝ่ายนี้ทำดาบใหญ่ไม่ได้บอกกัน ฝ่ายโน้นก็ทำบ้าง เรียกว่าดาบต่อดาบต้านทานกันได้ ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ รบกันไปรบกันมาจนกระทั่งกลายเป็นเพื่อนกัน

เมื่อเวลากาลผ่านไป ถึงเวลาเช้าก็ออกเดินทาง คราวนี้วิ่งกันถ่งเถ่งไปถึงพระธาตุจอมกิตติกันเลย เวลาที่ ดร.ปริญญา พร้อมด้วยคณะ แล้วก็คุณดำรงค์ผู้เป็นบิดานอนหลับ (เขากลับกันไปแล้ว ท่านดำรงค์นอนหลับ หลับหรือไม่หลับก็ช่างปะไร มันจะไปเกี่ยวอะไรกับนายพรหมขาดกะร่องกะแร่ง) ทีนี้พอนายพรหมหลับตาลงไปบ้าง ความดีก็ปรากฏ คือมีเทวาดา ๔ – ๕ องค์ มาถึงก็ยืนยกมือไหว้

บอกว่าผมได้รับบัญชาของท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีท้าวเวสสุวัณเป็นประธาน นำบริวารมาทั้งหมด ปรากฏว่าเกือบ ๓๐ ท่าน มารักษาการณ์ให้ความปลอดภัยกับคนที่มานมัสการพระธาตุจอมกิตติ นี่มันเรื่องของหลับหรือตื่นก็ไม่รู้ แต่หลับแน่ มันหลับตา แต่ใจมันคงไม่หลับ เพราะว่าถ้าใจหลับมันก็คงไม่รู้

ก็เลยบอกว่า อ้าว... ดีแล้ว ขอบใจ ยืนยามอยู่ซี อยู่ที่หน้าแค้มป์นี่นะ
เขาบอกว่า “ขอรับ.. ผมยืนอยู่คนเดียว อีก ๑๐ กว่าคนเขาจะขึ้นไปเดินยามอยู่ข้างบน”

เป็นอันว่าท่านผู้นั้นก็ยืนยามแบบแขกยาม เพราะมีกระบองใหญ่ ร่างกายประดับประดาด้วยเครื่องประดับสวยงามมาก คิดจะย่องๆ ล่อเพชรแกสักเม็ดหนึ่ง คิดว่าจะได้กำไรมาก แต่เกรงว่าแกจะไม่เผลอ กระบองก็ใหญ่ หวดปั๊บเข้าตรงไหนน่ากลัวจะแย่เลยไม่เอา ไอ้ที่ไม่เอาน่ะ ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะไม่เอา อยากจะเอา แต่แกไม่ผลอ เทวดานี่ไม่เป็นเรื่อง ไม่ค่อยเผลอ ขโมยไม่ได้

เมื่อทั้ง ๔ – ๕ ท่านขึ้นแล้ว ท่านเทวดาองค์นั้นก็ยืนยามสวยจัง สวยจริงๆ โอ้โฮ บอกไม่ถูก เครื่องประดับแพรวไปหมด เวลานั้นก็มีท่านชายหญิงสองท่านเดิม ท่านเข้ามาหา (ที่ท่านเคยประกาศตนว่าเป็นพระเจ้าพังคราชกับพระชายา หรือจะเรียกกันว่าเอกอัครมเหสี) ท่านมาในลักษณะเดิมอีก พนมมืออีกแล้ว

เจ้าพรหมมันก็...แหม...หิดขึ้นที่หัวใจ คันหัวใจ คิดว่าคราวนี้ถ้าตายไปน่ากลัวจะไปอยู่กับเทวทัต เพราะว่าท่านพังคราชนี่ ท่านเป็นบรมกษัตริย์ผู้มีบุญญาธิการ เป็นพระราชบิดาของพระเจ้าพรหมมหาราช จอมกษัตริย์ที่มีบุญญาธิการมาก สามารถกู้ชาติขึ้นมาได้เพราะกำลังบุญบารมี ที่เรียกว่ากำลังบุญบารมีนี่ ไม่ใช่กำลังคน เพราะกำลังคนมีไม่เท่าไร การกู้ชาติคราวนั้นเป็นกำลังบุญบารมีจริงๆ นี่เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ ไม่ขอเอาไปซ้ำ

เมื่อท่านพังคราชมายกมือไหว้ ตามความรู้สึกในขณะนั้นก็ยกมือขึ้นไหว้ท่านเหมือนกัน แล้วก้มศีรษะลงแสดงความเคารพ นี่ความรู้สึกเหมือนกับท่านเป็นบิดาผู้มีคุณอย่างประเสริฐ แล้วก็มีความรู้สึกเหมือนว่าท่านหญิงเป็นมารดาผู้มีพระคุณอย่างประเสริฐ แสดงความนอบน้อมในท่าน

ท่านก็เลยบอกว่า คุณ... (ท่านให้เกียรตินะ ท่านเรียก “คุณ” เสียด้วย คุณพรหมกะร่องกะแร่ง ท่านไม่ได้ลงท้ายแบบนั้น) ท่านบอกว่านอนให้สบาย มันดึกแล้ว เครื่องบันทึกเสียงที่นำมาอย่าใช้เลย ไม่มีโอกาส มีอะไรบ้างที่มันผ่านมาก็บันทึกไว้ก็แล้วกัน ไปบันทึกให้เขาทีหลัง ขณะนี้ไม่มีโอกาสแน่ มันดึกมาแล้ว นอนเสีย ก็เลยตั้งใจจะนอน ท่านก็ออกไป

เมื่อท่านออกไปแล้ว ก็ปรากฏว่ามีท่านผู้ใหญ่ ๑ ท่าน คือ ท่านผาเมือง แหม นี่เป็นคนเขื่องเสียด้วยคนดี จอมเสียสละ ซึ่งมีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติร่วมกับพ่อขุนบางกลางท่าว ยึดอำนาจจากขอมได้แล้ว จอมบพิตรอดิศรผู้มีใจเป็นแก้ว ก็ยอมเสียสละความดีให้ ยกให้พ่อขุนบางกลางท่าวครองตำแหน่งสุโขทัย เป็นจอมไทย โดยใช้นามว่า ขุนศรีอินทราทิตย์ คือว่าเป็น ราชทินนามของเขมรที่ให้กับพระองค์ พระองค์ก็มอบให้กับพ่อขุนบางกลางท่าว แต่ตัดคำออกไปบ้างบางคำเท่านั้น

นี่ท่านจอมความดีผู้เสียสละคนนี้มาหา ยกมือขึ้นไหว้แล้วกล่าววาจาปราศรัยว่า ท่านพรหม แน่ะ..เขาเรียกว่า "โตกว่าผี" ผีเรียกว่า

“ท่านพรหม...ผมขอขอบใจในท่าน ที่ท่านพาบริวารหว่านเครือเนื้อหน่อ พงศ์เผ่าเหล่ากอตระกูลกษัตริย์”

คำว่าตระกูลกษัตริย์นี่ ท่านถอยหลับไปกี่ร้อย กี่พันชาติของท่านก็ไม่รู้ บอกว่าคนที่มานี่ทั้งหมดเคยเป็นกษัตริย์จริงๆ หลายพระองค์ บ้างที่ไม่ได้เป็นกษัตริย์ ที่เป็นผู้หญิงก็เป็นเผ่าพงศ์ วงศ์กอ เขาเรียกอะไรดี เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ (นี่เห็นไหมเล่า มันขาดกะร่องกะแร่งเรื่อย นึกไม่ออกน่ะซีว่าเขาใช้ยังไงกันนี่ มันอยู่ในป่าเสียจนชิน)

เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นคนที่ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ เสียสละเลือดเนื้อของตัวเพื่อความสันติสุขของส่วนรวมมาแล้วทั้งนั้น คนที่มาในที่นี้นั้น ไม่มีใครไม่เคยเสียสละเลย เป็นคนที่เคยจับดาบ วางแผนร่วมในการรบเพื่อชาติไทยมาแล้วทั้งหมด

โอ้โฮ...ดีใจจัง ก็เลยถามว่า เจ้ากะร่องกะแร่งนี่ละเคยกับเขาบ้างหรือเปล่า
ท่านก็เลยใช้มือพนม บอกว่าใช้ศัพท์แบบนี้ไม่ถูก เพราะเคยเป็นพระลูกเจ้า
แน่ะ.. น่ากลัวจะเป็นเจ้าพ่อศาลไหนสักศาล ท่านใช้คำว่าเคยเป็นพระลูกเจ้า แล้วก็เคยทรงความเป็นมหาราช เป็นจักรพรรดิมาแล้ว โอ้โฮ...มันน่าเบ่ง..! ท่านพูดแล้วก็ยิ้ม น่ากลัวท่านจะยั่วเล่น

ท่านบอกว่าขอบใจคนที่เขามากัน
ถามว่าเออ ที่เขามาคราวนี้น่ะ มีเจตนาอยู่ ๒ อย่าง
คือว่า ประการแรก ตั้งใจมานมัสการพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประการที่ ๒ ตั้งใจจะมาไหว้ความดีของบรรพบุรุษ อยากจะเอาความดีนี้ไปยั้งไปหยุดไอ้ความชั่วของบุคคลบางกลุ่มที่จะนำชาติไปขาย เพื่อความอยู่เป็นสุขของตน

ความประสงค์ของบรรดาพุทธศาสนิกชน และพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลายที่มาในคราวนี้ จะมีผลเป็นประการใด
ท่านตอบให้ฟังง่ายๆ ว่า คนที่มีกตัญญูรู้คุณคน และเคารพในความดีขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงความเป็นอิสระของชาติไทยไว้ได้ คนพวกนี้ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
เพราะอาศัยความดี ๒ ประการ
คือความกตัญญู
และความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมครูเป็นปัจจัย

แหม.. ดีใจเกือบตาย คนที่ไปทุกคน แหมมีจริยาดี มีความดี จะหาใครประกาศเป็นศัตรูแบ่งชั้นวรรณะกัน ไม่มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านดีทุกคน แต่คนที่มีจุดเด่นกว่าคนอื่นๆ มีอยู่คนหนึ่งคือ ท่านพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์

คำว่าเด่นในที่นี้ ก็หมายความว่า ยศฐาบรรดาศักดิ์ของท่านมันสูงกว่าเขา เลยเป็นจุดเพ่งเล็งของบุคคลที่รู้ว่า คนนี้เป็นพลเรือเอก แต่ว่าท่านจิตต์ สังขดุลก็ทำดีเป็นพิเศษ เป็นเด็กที่เรียบร้อยเหมือนกับผ้าพับไว้ จริยา ทั้งกาย ทั้งวาจา นิ่มนวลน่ารัก รู้สึกว่าท่านองค์นี้ คนนี้ ขอโทษล่อองค์เข้าให้แล้ว แต่ท่านเคยเป็นองค์นะ เพราะว่าเคยเป็นกษัตริย์ดี เคยเป็นมาแต่ชาติไหนก็ช่างปะไร เพราะจิตใจเป็นน้ำใจเดียวกัน ร่างกายเปลี่ยนไปไม่สำคัญ แต่ใจเท่านั้นเป็นของเดิม

ไหน...เมื่อกี้จะพูดอะไรไม่รู้ จะพูดอะไรแล้วลืม ก็เป็นจุดเด่น คือคนสนใจมาพูดกันทีหลังว่า “นี่หรือ ท่านพลเอก?” แหม ท่านเรียบร้อยจริงๆ อาการของท่านเบ่งไม่เท่าพลทหาร เขาบอกว่าพลทหารออกมานอกกองนี่เบ่งกว่านี้มาก แต่นี่ท่านทำท่าคล้ายๆ กับผู้หญิงหรือเป็นทายกชั้นดี ไม่ใช่ทายกที่ยกทรัพย์สมบัติของสงฆ์หนีเข้าบ้าน เออ น่าคิดๆ

ตอนนี้น่าคิด แหม.. นี่ท่านจิตต์เด่นขึ้นมาเยอะ แล้วเขาก็คิดว่าคนที่มานี่นะ มีนายพลกี่คน มีนายพันเท่าไหร่ มีคุณหญิงคุณนายที่รับแต่งตั้งทรงศักดิ์สูง มีบุคคลผู้ทรงศักดิ์ศรีเท่าไหร่ ก็เลยบอกว่าคนที่มาทุกคนเขามีศักดิ์มีศรี มีความดีกันทั้งนั้น เป็นคนมีวิชาความรู้ เป็นราชวงศ์ก็มี เป็นข้าราชการก็มี เป็นคนที่ตั้งตนอยู่ในระดับดีทั้งนั้น

แม้จะเป็นชาวบ้านก็ชาวบ้านชั้นดี สังคมใหญ่ แต่มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง (ไม่ได้ถามชื่อแฮะ) แกมากระซิบๆ ถามว่า เอ๊ะ.. คนที่มานี่ผู้ใหญ่ทั้งนั้นเรอะ?
ตอบว่าใช่ คำว่าผู้ใหญ่นี่ก็คือ มีพรหมวิหาร ๔ ไม่ได้บอกเขา เพราะพวกเราทุกคนที่ไปคราวนี้ มีจิตประกอบไปด้วย เมตตากรุณา ไม่อิจฉาริษยาซึ่งกันและกัน อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เป็นอุปสรรคบ้าง ก็วางเฉย

ไม่มีใครใช้ปากให้เป็นเสี้ยนหนามซึ่งกันและกัน อย่างนี้เขาเรียกว่าคนทุกคนที่ไปนั้นทรงคุณธรรมพิเศษ คือพรหมวิหาร ๔ เป็นความดีศูนย์กลางอันดับยอดในพระพุทธศาสนา นี่จำพระท่านเทศน์มานะ นายพรหมไม่ได้เรียน นายพรหมไม่ได้เรียนมา พระท่านเทศน์ให้ฟังก็ฟังส่ง มันอยากค้างอยู่ที่หัวใจบ้างก็พูดมันส่งไป

แต่ทุกท่านที่ไปกับเราก็ดีจริงๆ เป็นกันเองทุกอย่าง ไม่มีใครเห็นว่าชาวบ้านแถวนั้นเป็นคนต่ำ ไม่มีใครวางตัวสูงกว่าใคร แสดงว่าน้ำใจของท่านทรงความดีสม่ำเสมอกัน อย่างนี้หายาก แหมถ้าจริยาอย่างนี้นะ ถ้าท่านทั้งหลายเหล่านี้ได้มีโอกาสบริหารประเทศชาติ เพราะว่าคนบริหารทรงไว้ซึ่งความดีเป็นกรณีพิเศษ นี่ไม่ได้ยุให้ใครปฏิวัตินะ

ทีนี้ ต่อมาท่านผาเมืองกำลังนั่งคุย
แล้วท่านก็บอกว่าท่านจะลากลับเพราดึกมากแล้ว
ท่านก็กลับมาอีก ๒ แล้ว ๒ คราวนี้เป็นใคร? เขียวอื๋อเลย เขียวอื๋อรู้ไหม? คือท่านท้าวโกสีย์สักกะเทวราชกับพระมเหสี

พอมาถึงท่านก็ถอดมงกุฎ แน่ะ พอถอดแล้วหายเขียว สวยจะตายไป มงกุฎมรกตบนพระเศียรท่านไม่เป็นเรื่อง มันทำให้ความงามเสียไป
ท่านมาถึงท่านก็บอกว่า พรหมเอ๊ย.. ท่านพูดงี้หรือเปล่าก็ไม่รู้
ท่านบอกว่าที่เขามากันนี่เขาคนดีทั้งนั้น
แหม น่าโมทนา ท่านก็เลยถามว่า รู้ไหม พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้เขาวางไว้ตรงไหน
ตอบไม่รู้

ท่านก็เลยชี้ให้ดู โอ้โฮ.. สวยจริงๆ เขาทำเป็นบ่อลึก ทำที่กั้นน้ำกั้นอันตรายทุกอย่าง เครื่องประดับประดาดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง เพชร แหวน แก้ว นิล จินดา แหมมีค่าบอกไม่ถูก อย่าบอกใครนะ

อยู่ลึกลงไปในดินมาก มูลค่ามหาศาลแผ่นทองที่แผ่ไปแล้วรอบบริเวณ แล้วก็มีอ่างทองคำ วันนั้นบอกกับใครว่า “ขันทองคำ” ไม่ถูก มีอ่างทองคำบรรจุน้ำ ทำเป็นเรือสำเภาลอย มีโกศ ๓ ชั้น โกศแก้ว โกศเงิน โกศทอง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในสมัยพระเจ้าพรหมมหาราช

ท่านบันดาลให้เห็นชัด ไม่มีอะไรปิดบัง หลังจากนั้นก็เห็นในสมัยของท่านผาเมืองเอามาบรรจุเข้าไว้ เจดีย์ที่เห็นใหญ่เป็นเจดีย์ที่สร้างครอบ คือ ขยายเจดีย์เก่าให้โตออกมา การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไม่ได้ขุดไปถึงของเดิม เอาไว้คนละตำแหน่ง นี่ก็ เหมือนกันยังงี้..น่าชวนคุณเสริม ถ้าไม่กลัวบาป ย่องไปขุดทรัพย์สมบัติในนั้นออกมา แหม ตั้งตนเป็นมหาเศรษฐีได้อย่างดี

แต่ทว่าอีตอนขุดนี่ซี เจ้าหน้าที่ศิลปากรเขาจะไปชวนตำรวจมาต้อนรับในฐานะที่เป็นคนมีศักดิ์ใหญ่ เอาเข้าไปเสวยราชย์ในราชทัณฑ์ มันไม่เป็นเรื่อง อย่าเอาเลย ปล่อยไว้ยังงั้นแหละ ประเดี๋ยวจะเด่นมากเกินไป แล้วก็เจ้าพรหมปากจัญไรนี่ก็พลอยติดตะรางไปด้วย ไม่เอา

เมื่อท่านบอกให้ดูก็ชี้ชัด นี่เป็นพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระบรมโลกนาถจริงๆ บรรดาพุทธบริษัทชายหญิงที่มานี้ เป็นวงศ์วานว่างเครือเนื้อหน่อของพระอินทร์คือตัวท่านทั้งหมด แหม.. ดีใจ ดีใจเต็มที่ว่าพวกที่ไปพร้อมกันนี้ แหม...เป็นตระกูลของเทวดา แล้วก็เป็นเทวราชา คือเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นพระราชาปกครองเทวดา ๖ ชั้น แหม จะบอกพวกเราในเวลานั้นก็กลัวจะปลื้มใจตายกันไปหมด เลยต้องงด ไม่บอก

ท่านก็เลยบอกว่า คุณมานอนตรงนี้น่ะ ไม่เป็นไร อันตรายไม่มี และคนทุกคนที่มานี่ก็ไม่มีอันตราย เพราะพรหมและเทวดาทั้งหลายอารักขาตั้งแต่เดินทางมา จะขลุกขลักบ้างเป็นธรรมดา เพราะสัญลักษณ์ที่ปรากฏว่าจะมีการขลุกขลักก็คือขาข้างซ้ายของคุณ ซึ่งปรากฏว่าเป็นตะคริวนั้น ไม่ใช่ตะคริวเกิดจากโรค เป็นตะคริวเกิดจากผีไปแสดงให้ปรากฏชัดว่า การไปคราวนี้ มีอาการขลุกขลักบ้าง

ก็เลยบอกขอท่าน บอกว่าไอ้เรื่องฝนน่ะ ขออย่าให้ตกนะ เพราะเขามากันทีไร ทำพิธีกรรมเสร็จ ฝนตกใหญ่ทุกที ขอในระหว่างอยู่ที่นี่ฝนอย่าให้ตกนะ จนกว่าจะเสร็จพิธีกรรมหมดเรื่อง

ลืมบอกท่านไปว่าให้กลับถึงบ้านเสียก่อน ไปคราวนั้นฝนไม่รบกวนจริงๆ พอเสร็จพิธีเวียนเทียน กลางคืนพ่อนวดลงมา เสียท่า นี่ เทวดาผู้ทรงสัจจะ ไม่เหมือนคน ไอ้คนนี่มีน้ำจิตน้ำใจเป็นอกุศล ไม่ทรงสัจจธรรม พูดแล้วไม่ทรงซึ่งคำพูด เขาตั้งให้เป็นอะไรก็ไม่ค่อยรู้ตัว มีอย่างเดียว มองเห็นความชั่วเป็นความดี นี่ไปด่าเอาใครเข้าล่ะ ต้องด่าใครล่ะ ไอ้ตัวอัปรีย์คนพูดนี่ใช้อะไรไม่ได้ ถ้ามันดีจริงๆ ละมันไม่มานั่งพูด นั่งปวดนั่งเมื่อยอะไรต่ออะไรอยู่อย่างนี้หรอก

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 17/8/10 at 12:47 [ QUOTE ]




3

(Update 17-08-53 )

ต่อไป...เล่ากันไปอีกที พอท่านท้าวโกสีย์สักกเทวราชท่านกลับ บอกว่าต่อนี้ไป ไม่มีแขก แขกมาไม่ต้องรับ หยิบนาฬิกาขึ้นมาดูปรากฏว่าเกือบ ๓ นาฬิกา ตี ๓ เกือบๆ ไป บอกว่าต่อจากนี้ไปหลับได้

พอตั้งท่าจะหลับ ปรากฏว่ามีแขกมาอีก ๓ คน เป็นคนธรรมดาๆ แต่งตัวแบบชาวบ้านธรรมดา เข้ามาบอกว่าผมจะขอคุยด้วยประเดี๋ยวเดียว มีเทวดาหัวใหญ่ ๕ – ๖ องค์ มองแล้ว เทวดาแบบนี้ไม่เคยปรากฏทำหัวเหมือนกับเอาผ้าพันหัวเบ้อเร่อ ขาวๆ ตัวใหญ่ เข้ามากระชากคอ ๓ คนนั้นออกไปบอกว่า

นี่..ท่านผู้ใหญ่สั่งแล้ว ไม่ให้มีแขก นายพรหมเขาจะนอน เวลาเช้าเขาจะต้องตื่น เสือก แล้วกระชากออกไป นึกในใจ เอ๊ะ...เทวดาแบบนี้ก็มีด้วย รูปร่างไม่เคยเห็นแบบนี้

พอตอนเช้าปรากฏว่าเห็นเขาปั้นหัวแบบนั้นไว้ที่ข้างบันได ไปวางไว้แกก็เลยล้อเลียนเอาไอ้ภาพนั้นไปทำเป็นภาพของแก แกจะนึกให้มันเป็นยังไงก็ได้ แต่แกก็ดีใจหาย ไม่ได้นึกกลัวอะไร ไม่ได้ตื่น หลับ ความรู้สึกนั่นมันจะฝันหรืออะไรก็ไม่รู้ มันหลับตาแล้วเป็นอันว่านอนหลับไปถึงเช้า เทปที่พลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ ให้ไปไร้ผล ไม่มีผลในการใช้บันทึก เลยมาบันทึกกันในตอนนี้


ทีนี้...พอถึงเวลาเช้า เขาก็ตั้งพิธีกรรมกัน เครื่องโอ๊...เยอะแยะ มีฉัตร มีธง มีอะไรต่ออะไรก็ช่าง เขาก็ตั้งให้นายพรหมเป็นหัวหน้าทีม มันไม่รู้จะว่ายังไงนี่ อย่างนี้เขาเรียกว่าต้องตกบันไดพลอยโจน เอ ความจริงไม่รู้ เขาให้นำว่าอะไรต่ออะไรก็ว่ามันส่งเดช ถูกหรือผิดก็ช่างปะไร อยากยกย่องให้เป็นหัวหน้าทำไมล่ะ ว่าไปว่ามา ว่ามาว่าไป

ขณะที่ว่า ไอ้จิตใจมันก็ไปน้อมนึกถึงความดีของพระบรมกษัตริย์องค์ปัจจุบัน บอกว่าพระบรมกษัตริย์องค์นี้มีความดีมหาศาลา ทำตาของชาวบ้านให้สว่าง มีความสุข ฝนไม่มีก็เสกฝนให้ตกได้ น้ำมัน แขกมันจะเริ่มไม่ขาย มันจะแกล้งตั้งราคาสูงก็เสกน้ำเป็นน้ำมัน แล้วพระองค์ท่านก็เสด็จสงเคราะห์พสกนิกรของพระองค์ สงเคราะห์ชาวป่าชาวเขา มีความเหน็ดเหนื่อยบอกไม่ถูก

ถ้าพระองค์ปรารถนาในความสุข ง่ายนิดเดียว นอนเฉยๆ สภาเขาส่งอะไรมาก็เซ็นมันส่งเดชไป ไม่ขัดใจเขา เท่านี้เขาก็ไม่เกลียด นี่อาศัยที่พระองค์มีความดี มีจิตใจสงเคราะห์พสกนิกรของพระองค์ เป็นแต่เพียงว่า ถ้าพระองค์จะประสงค์ความสุขโดยเฉพาะ สละราชบัลลังก์ คือสละราชสมบัติไปนอนตีพุงได้อย่างสบายๆ ไม่ลำบากเท่านี้ เวลานี้ พระองค์มีความลำบาก บอกไม่ถูก เหมือนกับว่า คล้ายๆ กับแสงอาทิตย์หรือแสงพระจันทร์แจ่มฟ้า สร้างความสว่างให้แก่ลูกตาของประชาชน คนเราเห็นพระจันทร์เต็มดวงเมื่อใด มีความสุขเมื่อนั้น

เวลากล่าวนำเขา พูดไปว่าอะไรไม่รู้ นึกไม่ออก แล้วก็ว่าไปทำไมก็ไม่รู้ นึกไม่ออก ถวายธูปเทียนดอกไม้ เครื่องสักการะพระบรมสารีริกธาตุหรือยังไงไม่ทราบ ใจมันลอยๆ เลยล่อไปนึกถึงความดี อุทิศความดี หรือสนองความดีของพระมหากษัตริย์องค์นี้ ที่ทรงพระนามว่า ภูมิพลอดุลยเดช กลายเป็นบอกว่าเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระนามว่า จันทร์แจ่มฟ้า เข้าให้ นี่ไปนึกถึงความดีของพระองค์ที่ฉายแสงให้คนมีความสุขเหมือนพระจันทร์เต็มดวง

ตอนนี้ใครเขาจะคิดอะไรไม่ทราบ เขาคงจะเห็นความขาดกะรุ่งกะริ่งๆ ไม่สมบูรณ์แบบของนายพรหม ขาดกะรุ่งกะริ่ง ดีไม่ดีบรรดาท่านทั้งชายและหญิงที่นั่งอยู่ที่นั่นจะคิดว่า พ่อเทวดานั่นกลายเป็นพรมเช็ดเท้าไปแล้ว เพราะใช้อะไรไม่ได้

ท่านจะมีความเห็นว่ายังไงข้าพเจ้าก็ไม่ว่า นายพรหมใจดีพอ ใครจะว่ายังไงก็ช่าง มันทำไปแล้ว มันผิดไปแล้ว ก็ไม่แก้ก้าวไปข้างหน้า ไม่เคยถอยหลัง มันจะเป็นตายร้ายดีอะไร สู้มันจนพังไป นี่มันก็ใกล้จะพังอยู่แล้ว นี่มาพูดกันถึงความดี

แต่ว่าพอตกเวลาราตรี เราก็มาทำพิธีนั่งกรรมฐานกันอีก ตอนนี้เองฝนทำท่าจะตก หยดมาแหมะๆ เลยบอกว่านี่ อย่ายุ่งนา ขอไว้แล้วนา เขากำลังนั่งกรรมฐานกัน เวลานั่งกรรมฐานกันตอนนั้น คนนั่งภายในกลุ่มใหญ่ดีมาก แต่ว่าคนนั่งข้างหลังถูกเครื่องบินโจมตีอย่างหนัก เห็นเดินกันเกลื่อนไปหมด เครื่องบินไม่รู้ประเทศไหน ไม่ปรากฏสัญชาติ แต่เขาเรียกกันโดยมากว่าสัญชาติยุง เมื่อถูกเครื่องบินโจมตี แกก็เดินกันไปเดินกันมา

เวลานั้นจิตใจของนายพรหมลอยเคว้งคว้าง หาที่เกาะไม่ได้ เห็นบรรดาเทวดาทั้งหลาย พรหมทั้งหลายมากันเต็ม มีพระด้วย สวยอร่าม ดูเข้าไปในพระบรมสารีริกธาตุในเขตที่เขาบรรจุไว้ ปรากฏว่าท่านท้าวสหัสนัยมาคุมหลังให้เห็นหลายพระองค์ เป็นเรื่องอัศจรรย์

นี่ไม่ใช่พูดกันถึงเรื่องหูทิพย์ตาทิพย์อะไร ไม่ใช่ นายพรหมไม่มีดีถึงอย่างนั้น แต่อาศัยจิตใจมันลอยไปลอยมาไม่เหมือนชาวบ้าน มันก็เห็นส่งไปอย่างนั้น เห็นองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยืนแผ่ฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการอยู่บนเตียงที่นายพรหมถอยลงมานั้น สวยอร่ามบอกไม่ถูก ปลื้มใจ ประเดี๋ยวหนึ่ง เห็นท่านผาเมืองเข้ามาบอกว่า เมื่อเช้านี้ทำพิธีกรรมยังไม่ถูก เวลาเวียนเทียนนี่เขาต้องใช้กษัตริย์เวียน เวียนเทียนอธิษฐานยับยั้งเหตุร้ายที่จะพึงเกิดแก่ประเทศไทย

ฉะนั้น การเวียนเทียนต้องทำใหม่ ต้องให้กษัตริย์เป็นผู้นำ ก็นึกในใจว่า นี่ท่านจะมาเกณฑ์ให้เราไปตามพระเจ้าแผ่นดินมาได้ยังไง เลยตอบว่า นี่...พระเจ้าแผ่นดินน่ะ จะไปตามท่านยังไง แต่คนข้างๆ ใกล้ๆ ยังตามกันไม่ไหว

นี่..ท่านอยู่ถึงกรุงเทพฯ แล้วท่านก็คงไม่มา เอาคนบ้าๆ บอๆ อย่างนายพรหมไปเรียกท่านมารึ? พระมหากษัตริย์องค์นี้นี่ไม่ใช่คนเต่าคนตุ่น มีพระปรีชาสามารถเป็นพิเศษ ถ้าด้านสร้างความเจริญ และจริยาวัตร น้ำใจของพระมหากษัตริย์ก็เปี่ยมไปด้วยพระปัญญาธิคุณ ทรงทศพิธราชธรรมเป็นอย่างดี

แล้วจะมาเชื่อไอ้คนอัปรีย์อย่างนายพรหมกะร่องกะแร่ง หรือพรมเช็ดเท้านี่มันเป็นไปไม่ได้ ก็เลยมองมามองไป ไม่รู้จะปรึกษาใคร ก็เลยปรึกษาพระ คือว่าท่านผาเมืองบอกว่านี่ คนที่มาที่นี่เป็นกษัตริย์ทั้งนั้น ระยะแรกนี่ใช้ได้ เอากษัตริย์พวกนี้ก่อน
ถามว่า เอ๊า..จะเอาใคร
ตอบว่า พลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ เคยเป็นกษัตริย์ปาตลีบุตร

แน่ะ..เอาเข้านั่น อารมณ์ตอนนั้นมันคนบ้าหรือคนดีก็ไม่รู้ มันนึกขึ้นมายังงั้น ได้ยินเสียงพูดยังงั้น เห็นคนพูดยังงั้น แล้วก็รองลงมาใครอีก?
ท่านพลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ เป็นเจ้าเมืองสุธรรมวดี
แล้วท่าน พันตำรวจเอก ม.ร.ว.พงษ์พูนเกษม เกษมศรี เจ้าเมืองสุธรรมวดี
แล้ว นาวาตรีประชา สิกวานิช เป็นเจ้าเมืองสาวัตถี แกล่อชาติไหนก็ไม่รู้
อีกคนหนึ่ง นายพลตำรวจหนวด จรัส วงศาโรจน์ เป็นเจ้าเมืองหงสาวดี

ไม่ใช่เจ้าเมืองอย่างข้าราชการนะ เป็นพระราชา แล้วท่านก็ขีดไว้ คืนนี้เจ้าหนวดมันไม่ขึ้นมา ต้องเรียกชื่อมันด้วย
แล้วถามว่าไม่ครบห้าทำไง?
ท่านตอบว่า เอาแกก็แล้วกัน..หัวโจก ไอ้แกมันหัวโจกนี่

อ้าว! พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว อึดอัดใจเสียเกือบตาย ว่าจะพูดตอนนั้นดีหรือไม่พูดดี เป็นอันว่าถูกล้อมด้วย ทั้งพระ ทั้งพรหม ทั้งเทวดา ทั้งราชา ท่านบอกว่าต้องประกาศตามนั้น เรียกคนเหล่านั้นมา
ก็นึกในใจว่า นี่ถ้าใครเขาหาว่าบ้าละ เป็นบ้าเราคนเดียวมันคุ้มคนอื่นบ้า เขาจะได้ไม่ว่าคนอื่นบ้า ดีเหมือนกัน ก็เป็นอันว่าเรียกท่านพวกนั้นเข้ามา ใช้นามว่า

ท่านพลเรือเอก จิตต์ สังขดุลย์ เจ้าแห่งเมืองปาตลีบุตร
ท่านพลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ แห่งเมืองสุธรรมวดี
แล้วท่านนาวาตรีประชา แห่งสาวัตถี
ท่านพันตำรวจเอก ม.ร.ว.พงษ์พูนเกษม เกษมศรี แห่งสุธรรมวดี
แล้วก็ ท่านพลตำรวจตรี จรัส วงศาโรจน์ (หนวด) แห่งหงสาวดี

ขอให้มารับเทียนชัย นำบรรดาประชาชนทั้งหลายไปเวียนเทียนพระบรมสารีริกธาตุ โดยตั้งใจประกาศในใจว่า ขอบุญบารมีที่เราได้บำเพ็ญแล้วนี้ จงปกปักรักษา บรรเทาการนองเลือดของประเทศไทย

แล้วก็สั่งให้ประกาศด้วยว่า บรรดาคนทั้งหลายที่มานี้ ที่ไม่เคยเป็นกษัตริย์ไม่มี ไม่เคยเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ไม่มี ก็พูดไปซี พูดตามนี้ ขณะที่พูดก็ดี เลิกพูดแล้วก็ดี เวลานี้ก็ดี คิดว่าคนที่ไปด้วยคราวนี้ คงรู้ความบ้าของนายพรหม ว่านายคนนี้ มีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์แล้ว มันเที่ยวตั้งใครต่อใครส่งเดช เอา บ้าเสียคนเดียวจะไดกีดกันคนอื่นให้เขาไม่รู้ว่าคนอื่นบ้า สบาย

เสร็จแล้วก็เวียนเทียนกันไป เวียนเทียนเสร็จแล้วก็ปรากฏว่า คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา มาบอกว่าเงินที่เหลือจากการเดินทาง คือบรรดาทุกท่านรวมกันออกทุนค่าเดินทาง รวมทั้งเงินที่ใครๆ ให้อาตมา โอย ขอโทษ อาตมา มาตแม เลือกใช้คำพระ เดี๋ยวพระท่านมาเขกกระบาลเอง เงินใครก็ไม่ทราบ

เขาเอามาให้ตอนเช้า ๒ ซอง มอบให้คุณเฉิดศรีไป ว่านี่เขาให้ในจังหวะที่เรามาในเรื่องของพระบรมสารีริกธาตุ เอาจัดการตามเรื่องนี้ คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ บอกว่ารวมแล้ว เงินที่เหลือด้วย เงินที่ให้ด้วย ปรากฏว่ามี ๕,๐๐๐ บาท จึงประกาศว่า เงินนี้ทั้งหมดขอทำหมวก

ที่เรียกว่า "หมวก" เพระอะไร มีท่านองค์หนึ่งมายืนอยู่ข้างหลังบอกให้เอาช่วยกัน ถ้าประเทศชาติบรรเทาความทุกข์ มีความสงบเรียบร้อย ขอให้ทุกคนช่วยกันทำหมวกมาสวมไว้บนยอดเจดีย์ ไอ้ศัพท์นี้เคยเรียกว่า "ฉัตร"

แต่พอท่านเรียก “หมวก” เข้ามาเท่านั้น นึกชื่อปัจจุบันไม่ออกว่าเขาเรียกว่าอะไร มาเรียกหมวกก็เลยหมวกไปด้วยกัน ไปล่อ “หมวก” เข้าให้ เสียงบอกว่าแตรเจ้าค่ะ ใครร้องก็ไม่รู้ เลยบอกว่า เอ้าฉัตรก็ฉัตร ฉันนึกไม่ออก นึกว่าหมวก คนอื่นถามว่า

ทำบุญอีกได้ไหม? เรื่องสร้างฉัตรนี่จะผสมผเสกันได้ไหม รวมกันไปรวมกันมา มึงบ้าง กูบ้าง ปรากฏว่าได้เงิน ๙ พันเศษ เป็นเรื่องอัศจรรย์ ตอนเช้า ม.ร.ว.(หญิง) เสริมศรี เกษมศรี มารายงานว่าได้เงิน ๙ พัน ๑ ร้อยเศษ ได้มอบให้เจ้าหน้าที่คือ คุณวิชัย เจ้าหน้าที่โรงงานยาสูบ ผู้บูรณะพระธาตุ เขาดีใจมาก ว่าจะผสมให้ลงตัวหมื่น

เงินเท่าที่เขารวบรวมกันไว้แล้วมีอยู่ ๔ หมื่นบาท รวมเป็น ๕ หมื่นบาท จะทำฉัตร ๙ ชั้น แต่ว่าฉัตร ๙ ชั้นนี่ปรากฏความสำคัญว่าที่ไหนบรรจุพระอังคาร คือถ่านที่เขาเผาพระเจ้าแผ่นดินเวลาตายแล้ว สวรรคต ตายเหมือนกัน เขาใช้ฉัตร ๙ ชั้น เสร็จแล้ว ก็เอาฉัตรไปถวายพระพุทธรูปพระประธาน พระอังคารฝังไว้ที่ใต้พระแท่นของพระพุทธรูป

ตานี้ ต้องหาเรื่องซิ ว่ากระดูกของพระเจ้าผาเมืองเขาลือกันว่ามีอยู่ที่นั่นจริงหรือไม่จริง จะทำฉัตร ๙ ชั้น
ก็เลยบอกคุณหญิงว่า ก็ทำไมเราจะให้พระพุทธรูป ๙ ชั้นหรือเจดีย์ ๙ ชั้นบ้างไม่ได้รึ
ท่านก็เลยบอกว่า เรื่องของพระนี่เขาให้แค่ ๗ ชั้น
จึงได้ปรารภกับท่านว่า เรื่องของพระนี่เป็นพระบรมสารีริกธาตุนะ ขององค์สมเด็จพระโลกนาถบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่พูดกันนี่มาพูดกันที่เมืองแพร่ มากินข้าวกลางวันกันที่นี่ ตอนนั้น คุณหญิงดีมาก ท่านรักษาอุโบสถ ท่านไม่ได้กิน ดีกว่าเรา เจ้าพรหมกะร่องกะแร่ง นั่งกินข้าว รู้สึกว่าคุณหญิงดีกว่าเยอะ เป็นคนคงแก่เรียน มีความรู้มาก มีความฉลาดเป็นพิเศษ

จึงได้เรียนท่านว่า พระคุณของสมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ที่เราเรียกกันว่า "นวหรคุณ" พระคุณ ๙ ประการมีอยู่ ถ้าเราจะปรารภคุณของพระพุทธเจ้า ใช้ฉัตร ๙ ชั้นนี่จะผิดไหม
คุณของพระพุทธเจ้ามี ๙ ประการ ทำไมเราจะยกฉัตร ๙ ชั้นไม่ได้ แล้วอีกประการหนึ่ง คุณความดีพิเศษที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์กล่าว มีมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ รวมเป็น ๙ อันนี้ก็ยังได้ นี่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของบรรดาพสกนิกรทั้งหลายว่า ศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรมาจบกันตรงจุดที่คำว่า ๙

และเวลานี้ก็เป็นสมัยของ ร.๙ แต่เราจะทำลงไปก็เชิญพระเจ้าแผ่นดิน ร.๙ ขึ้นมาเป็นองค์ประธาน จะได้เป็นสัญลักษณ์ว่านี่เป็นสมัยของ ร.๙ เข้ากับพระคุณของพระพุทธเจ้า นวหรคุณ คือมีคุณ ๙ ประการ แล้วความดีที่สมเด็จพระพิชิตมารทรงประทานก็ ๙ เหมือนกัน ไอ้อย่างนี้ ทำไมไม่มีใครช่วยคิดบ้าง ก็ไปนั่งคิดกันแต่เพียงว่าที่ไหนมีพระอังคาร คือถ่านเพลิงที่เขาเผาพระเจ้าแผ่นดินแล้วเอาเก็บไว้ที่ไหน เอาฉัตร ๙ ชั้นไปถวายพระประธานที่นั่น แขวนไว้เหนือเศียร

ก็เวลานี้ที่นี่ก็กระดูกของพระพุทธเจ้า ถ้าจะเป็นกระดูกจริงๆ นั่นก็คือกระดูกของพระเจ้าแผ่นดิน คือพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ในกรุงกบิลพรรดิ์ ถ้าจะเป็นกษัตริย์ก็ทรงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ทำไมฉัตร ๙ ชั้นจะยกไว้ไม่ได้เชียวหรือ?

เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถทรงเสด็จออกเพื่ออภิเนษกรมณ์ พระองค์ก็ทรงความดี มีมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เป็น ๙ และความดีของพระองค์ก็ ๙ เวลานี้ก็เป็นสมัยราชกาลที่ ๙ กระดูกนั้นก็เป็นกระดูกพระเจ้าแผ่นดินก็ ๙ ได้เหมือนกัน มันตั้งหลาย ๙ ด้วยกัน กระดูกนั้นก็กระดูกพระเจ้าแผ่นดินก็ ๙ ได้

แล้วทำไมการทำฉัตร ๙ ชั้น จะสวมเจดีย์ซึ่งมีพระบรมสารีริกธาตุในสมัยของ ร.๙ นี่ไม่ได้ ไอ้เรื่องที่มีคุณธรรมต่ำกว่านี้ คิดกันได้ ใช้แตร ๙ ชั้นได้ แล้วก็ส่วนคุณธรรมความดีอันดับสูงสุด เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครคิด

อันนี้ เจ้าพรมเช็ดเท้าขอฝากความคิดไว้กับบรรดาท่านทั้งหลายที่จะทำฉัตร ๙ ชั้น เสนอให้แก่ใครที่มีอำนาจสั่ง ไม่รู้ใครเป็นคนมีอำนาจสั่งในเรื่องนี้ว่า ไอ้อย่างนั้นต้อง ๙ ชั้น อย่างนี้ต้อง ๗ ชั้น บอกกับเขาด้วยว่าเวลานี้น่ะ ความดีมันเข้าขั้นเก้าๆ กันอยู่แล้ว

เอาละ จะไม่ย้อนไป เป็นอันว่าเรื่องนี้ แหม หนักใจเต็มที ที่หนักใจข้อนี้ก็ไม่ใช่อะไรหรอก ไปปล่อยความบ้าไว้มาก มันบ้ามากจริงๆ นะ ไม่รู้พูดอะไรต่ออะไร ชาวบ้านเขาไม่เห็นเรื่องผีสางเทวดา ไปตั้งคนเป็นพระราชา เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ เฮ้อ สงสารเจ้าพรหมจริงๆ เจ้าพรหมมันแย่แล้วคราวนี้ อีคราวนี้ ถ้าไม่บ้าก็ซวยเต็มที แต่ก็รู้สึกภูมิใจอยู่อย่างหนึ่ง คนบ้ามีอำนาจเหนือกฎหมาย ทำอะไรก็ได้ถ้าเขาเห็นว่าบ้าจริง

ฉะนั้นในโอกาสนี้ก็ขออภัยต่อบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง และพสกนิกรของพระราชา ที่มีความกตัญญูต่อบุพการี หวังความดีต่อประเทศชาติ มีความเคารพในองค์สมเด็จพระโลกนาถ ถ้าคิดว่าเจ้าพรหมมันบ้าละ ขออภัยมันด้วย..!

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/8/10 at 14:39 [ QUOTE ]




4

เมืองเชียงแสน


.


ตอนนี้ ขอท่านทั้งหลายที่อ่านเป็นหนังสือหรือฟังจากเสียงก็ตาม จงโปรดทราบว่าเป็นตอนที่นายพรหมคลั่ง เพราะอะไร? เพราะว่าตอนนี้เป็นตอนที่คลั่งแน่ ไม่คลั่งก็บ้า ถ้าพูดตามสัญญาในทางพระพุทธศาสนา ท่านเรียกว่า “สัญญาวิปลาส” ทำไมจึงกล่าวอย่างนั้น? ก็เพราะว่าไม่ต้องการให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเชื่อตามนี้

หากว่าท่านทั้งหลายฟังก็ฟังตาม อ่านก็อ่านตาม แต่เชื่อตามนี้แล้วไม่ดีแน่ เพราะอะไร เพราะว่าเป็นเรื่องไม่ควรเชื่อ ถ้าขืนเชื่อแล้ว สติสตังของท่านจะป้ำๆ เป๋อๆ เผลอๆ ไผลๆ เช่นเดียวกับเจ้าพรหมกะร่องกะแร่ง หรือว่าพรมเช็ดเท้า นี่จะมาเล่าถึงความรู้สึกสู่กันฟัง นี่มันความรู้สึก

ซึ่งจงอย่าคิดว่าเจ้าคนนี้เป็นผู้มีฌาน มีญาณพิเศษ อย่าไปเอาธรรมะ ความดีของสมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มาเกลือกกลั้วกับคนชั่ว จงระมัดระวังให้ดี อย่าเอาสิ่งเหล่านี้เข้ามายุ่ง เจ้าสิ่งเหล่านี้จะปรากฏ จะพูดต่อไปอาจจะเป็นอารมณ์หลอนก็ได้ ที่ทางพระศาสนาเรียกว่าอุปาทาน หรือว่าจะเป็นความฝันก็ตาม จงจำไว้ว่า ฟังไว้ อ่านไว้ แล้วก็จงอย่าเชื่อ ถือว่าเป็นนิทานส่งเดชเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน

เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ ก็คือความรู้สึกในสมัยที่ท่านพันตำรวจเอก (พิเศษ) ม.ร.ว.พงษ์พูนเกษม เกษมศรี มาชวนจะไปเชียงแสนคราวนี้ มันเกิดนิมิตพิเศษ จะว่าฝันก็ไม่ใช่ จะว่านึกเอาเองก็ไม่ใช่ ความรู้สึกในตอนนั้นคิดว่าดินแดนแห่งนี้เป็นของประเทศไทยที่ใช้นามว่าโยนก เป็นดินแดนของพระชนก คือพังคราช นี่ความรู้สึกในตอนนั้นมันเป็นยังงี้นะ นี่เขาเรียกว่าความรู้สึกของคนที่ขาดสติสัมปชัญญะ มีความสมบูรณ์ไม่พอ

การเดินทางคราวนี้ มีความตั้งใจอยู่อย่างเดียว คือต้องการอยากจะรู้ว่า “โยนกนคร” เดิมตั้งอยู่ตรงไหน แล้วก็อยากจะรู้ว่า “วังสีทอง” หรือว่า “เวียงสีทอง” ที่พระชนกนาถมีนามว่า "พังคราช" ต้องเสียเมืองโยนกให้แก่ขอม ขอมเนรเทศไปตั้งอยู่ที่วังสีทอง มันอยู่ตรงไหน

อยากจะรู้ตำบลอีกตำบลหนึ่ง เขาเรียก “ ตำบลควาญทวน” ที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำโขงมันอยู่ตรงไหน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าความรู้สึก (จะว่าความรู้สึกมันก็ไม่ชัด เวลานั้นมีอาการคล้ายๆ กับมีคนมานั่งเล่าให้ฟัง แล้วก็ฉานหนังให้ดู) เขาบอกว่าดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนของเจ้า เจ้าเคยกู้เอกราช อันนี้ขอผ่านไปก่อน

เมื่อวันที่ ๒ หลังจากเข้านมัสการพระบรมสารีริกธาตุแล้ว เขาก็ถามว่าจะไปไหนดี มีอารมณ์อยากจะไปตามตำบลนี้ แต่ทว่าในเวลานั้น คนที่ไปด้วยกันเขาจะไปแม่สาย ก็เลยตามใจ ว่าอะไรว่าตามกัน ไปที่อำเภอแม่สายของจังหวัดเชียงราย เป็นสุดเขตแดนของประเทศไทยติดต่อกับพม่า

นั่งรถไป มีนาวาอากาศตรีภาสกร จุฑะพุทธิ หัวหน้าสถานีวิทยุของสื่อสาร ทอ. เป็นคนขับรถ นายพรหมนั่งคู่ไปข้างหน้า ข้างหลังมีพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ เสนาธิการทหาร และท่านพลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสาร ทอ. นั่งไปข้างหลัง ขณะที่นั่งไปในรถ ผ่านไปรู้สึกเหมือนกับมีอยู่หลายคนนั่งคุยไปด้วย

พอออกไปจากเขตของอำเภอเชียงแสนนิดหน่อย ด้านซ้ายก็มีความรู้สึกว่าตรงนี้เคยมีเมืองเก่าที่มันจมและสลายตัวไป พอดีกับตอนเวลาราตรี ลูกสาวของ ดร.เดือน บุนนาค หรือว่าคุณหญิงเยาวมาลย์ เป็นลูกของใครไม่รู้สองคนนี้ ดร.เดือนเป็นพ่อ คุณหญิงเยาวมาลย์เป็นแม่ แล้วคนนี้เป็นลูกใคร

ไม่รู้... จะว่าเป็นลูกแม่คนเดียวก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีพ่อ จะว่าลูกของพ่อคนเดียวก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีแม่ ก็รวมเอาทั้ง ๒ คน คือลูกของทั้งพ่อและแม่ร่วมกัน เธอมาถามว่า เมืองแถวนี้ที่จมไปแล้วมีไหม แสดงว่านิมิตอะไรต้องเกิดกับเธอแน่ ก็เลยตอบว่ามี ชี้ไปทางนั้น บอกว่ามันมีใกล้ๆ ตรงนี้แหละ แล้วมีคนหลายคนเขาเห็นอะไรต่ออะไรกันเวลานั่งเจริญพระกรรมฐาน

ตื่นมาตอนเช้าที่มานมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ก็มีคนหลายคน มีใครต่อใครมาเข้าสิงเข้าทรง เรื่องทางนี้นายพรหมไม่ขัดใจใคร เพราะถือว่าจะเป็นสิ่งใดที่ปรากฏกับใจใครก็ตาม เป็นกฎธรรมดา มีคนเขามาเตือน ว่าคุณควรจะเตือน เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไร้สาระ แต่ก็จะไปเตือนใคร เพราะตัวเองก็เป็นคนไร้สาระอยู่แล้ว เอาเรื่องอะไรไม่ได้

....พอไปถึงแม่สาย เห็นป้ายเขาบอกว่า “เขตเหนือสุดของประเทศไทย” ไอ้ความรู้สึกในใจมันบอกว่า ไอ้ป้ายอันนี้น่ะ ต่อไปมันต้องขยายเข้าไปในเขตพม่า ไกลสุดแคว้นฉาน และอาจต้องขยายลงไปใต้อีก ก็เลยบอกกับท่านพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์

ตอนเดินไปด้วยกัน บอกว่า นี่..คุณจิตต์ ท่านเสธ. ไอ้ป้ายอันนี้น่ะ ต่อไปต้องขยายเข้าไปในโน้น มันจะมาปักอยู่ตรงนี้ไม่ได้ (ท่านก็ไม่ถามว่าเป็นเพราะอะไร) ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะมีเสียงใครเขามาบอกว่า ป้ายอันนี้มันมาปักอยู่ตรงนี้ชั่วคราวเท่านั้นแหละ ต่อไปก็ต้องขยายเข้าไปข้างในโน่น นี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้เรื่องเสียแล้ว เป็นเรื่องส่วนตัว

เมื่อเดินผ่านเข้าไปในเขตพม่า ด่านทางไทยมีนายด่าน แต่ด่านพม่าเงียบกริบ เข้าไปชมตลาดของพม่า สิ่งที่น่าสงสารที่สุดมีอยู่สิ่งหนึ่ง นั่นคือลำไย ความจริงลำไยเขาเอาไปจากประเทศไทย ผ่านเขตแม่น้ำสายเข้าไป แม่น้ำสายก็กว้างแค่กระโดดถึงเท่านั้น แล้วคนที่ซื้อลำไยมากที่สุดก็คือคนไทย

เข้าไปในเขตพม่าแล้วก็ซื้อลำไยออกมากิน เข้ามาในเขตไทย อย่างนี้ก็เป็นอันว่าลำไยเวียนหัวแย่ อยู่ฝั่งนี้แล้วเขาหามไปฝั่งโน้น ไปฝั่งโน้นแล้วเขาก็หามมาฝั่งนี้ สิ่งที่มีเรื่องน่าคิดอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเสื้อผ้าทั้งหลาย ก่อนที่จะไปก็มีคนเตือนคนไทย บอกว่าระวังให้ดี ผ้าทั้งหลายเป็นผ้าพม่า แต่ส่วนใหญ่เป็นตราพาหุรัด คือในกรุงเทพฯ เรื่องนี้เป็นธรรมดา ปรากฏว่าท่านหญิงซื้อกันมาคนละหลายชิ้น แต่ว่าอาจจะไม่ใช่ของพาหุรัดก็เป็นได้ เป็นของพม่าจริงๆ ก็มี

ไปดูในแคว้นพม่าแล้วก็เศร้าใจ เห็นบรรดาคนชาวเขาทั้งหลายเธอมีความเป็นอยู่แบบง่ายๆ เสื้อผ้าทั้งหลายก็ใช้ราคาไม่มาก ทำกันเอง แต่งตัวก็ไม่ต้องหรูหรา ข้าวปลาอาหารก็กินแบบสะดวก แต่ทว่ามีความแข็งแรงกว่าคนอยู่เมืองหลวง หรือว่าคนอยู่ในเขตความเจริญมาก แบกของหนักๆ ขึ้นเขาได้แบบสบายๆ

เป็นอันว่าชาวเขาทั้งหลายเขาปฏิบัติตัวถูก บริหารตัวถูก ไม่ต้องไปง้อรถ ไม่ต้องไปง้อมันเลย ไม่ต้องไปง้อเสื้อผ้าที่มีราคาแพง ชีวิตเกิดมาแล้วก็ต้องตายเหมือนกัน ของดีทั้งหลายเหล่านั้น เวลาตายแล้วมันแบกไปไม่ได้ สังคมทั้งหลายที่มีความนิยมความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ เพราะว่าต้องหาเงินทองด้วยความลำบาก มีความยากเพราะการประดับกาย นี่เป็นความคิดจัญไรของเจ้าพรมเช็ดเท้า เมื่อชาวบ้านเขาได้ยินเข้า หรือได้อ่าน เขาคงจะเอาหนังสือฉบับนี้ไปขยี้ด้วยเท้า เพราะเจ้าจัญไรที่มีความเห็นไม่เสมอกัน

ทีนี้ เวลาที่กลับมาจากมาสาย มาในระหว่างทาง เห็นแม่น้ำสายผ่านทิวทัศน์ท้องทุ่งนามันมีร่องรอยให้ปรากฏ ความรู้สึกในตอนหนึ่ง บอกว่าลำน้ำนี้เราเคยทดเข้าอยู่ในเขตของวังสีทอง แล้วก็มีเขตอีกเขต หรือคือเขตไอ้เมืองพังๆ ไม่รู้ว่าอะไรมันพัง จำไม่ได้ จำได้แต่พังๆ ตอนนั้นเมื่อพระเจ้าพรหมมหาราช

เมื่อพระเจ้าพังคราช ไม่ใช่พระเจ้าพรหม พระเจ้าพังคราชเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองโยนก กำลังในตอนนั้นอ่อนแอลง กำลังขอมทั้งหลายก็เข้ามาบดขยี้ ยึดราชธานีของพระเจ้าพังคราช แล้วก็เนรเทศพระบรมกษัตริย์พร้อมด้วยข้าราชบริพารพสกนิกร ถอนตัวออกจากเมือง ไปตั้งอยู่ที่วังสีทอง

ตอนนั้นพระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอมีพระราชโอรสปรากฏอยู่แล้ว ๑ องค์ (ชื่ออะไรก็ช่าง) ต่อมาก็มีพระราชโอรสปรากฏอีก ๑ องค์ แต่พระราชโอรสองค์นี้ก่อนจะเกิดมา คนที่เขาบอกน่ะ นั่งเล่าให้ฟัง นั่งไปในรถเขาก็เล่าให้ฟัง (ไอ้ปากก็คุยกับคนอื่น หูก็ฟังเสียงคนเล่าพูดให้ฟัง เขามีอำนาจมาก)

เขาบอกว่าโอรสของพระเจ้าพังคราชองค์หลังเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วก็มีกำลังมาก เห็นจะเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง น่ากลัวจะเป็นเทวดาไทยๆ อาจจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของพระเจ้าพังคราชก็ได้ ไปอาราธนาจากชั้นพรหมให้มาเกิด ท่านก็ยอมรับ เพื่อจะมากู้ชาติ แล้วก็มีเทวดาองค์นั้นรับรองว่าถ้ามาเกิดเป็นคนจะช่วยในการกู้ชาติทุกอย่าง

นี่ท่านที่นั่งเล่าให้ฟังท่านพูดว่ายังงี้นะ (คนฟังๆ ไว้ นี่เป็นเรื่องของคนกับผี คนก็เป็นคนไม่ดี มีสติไม่สมบูรณ์ แล้วก็นำเรื่องผีมาเล่าให้ฟัง อย่าเชื่อนะ จำไว้เป็นนิทานก็แล้วกัน ฟังมันส่งเดช ห้ามมันส่งเดชไป จะได้ไม่กลุ้มใจ แต่อ่านแล้วคิด ฟังแล้วคิดกลุ้มใจ อย่า ไม่มีประโยชน์ จะมีโทษกับอารมณ์)

ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อพรหมองค์นั้นรับปาก เทวดาก็รับปากจะช่วย ท่านก็จุติ เคลื่อนจากความเป็นพรหม ลงมาสู่ครรภ์พระมเหสีของพระเจ้าพังคราช พอพระมเหสีตั้งครรภ์พระราชองค์ที่สอง อารมณ์เดิมก็เปลี่ยนแปลง พระนางมีจริยาเรียบร้อย สมที่เป็นขัตติยนารี แต่ทว่าเวลานี้มีความต้องการพิเศษ คือสรรพาวุธทุกอย่าง ต้องการอาวุธสำหรับรบทุกอย่างให้ครบถ้วน

พระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอตรัสว่า เอ๊ะ คุณยายโฉมศรี เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ชื่อของท่านนะ มเหสีของเรานี้มีจริยาเรียบร้อย เพียบพร้อมไปด้วยขัตติยนารี แต่เวลานี้ท่าทางทุกอย่างที่แสดงออกมามันเป็นนักเลงเสียหมด ปรากฏว่าใช้วาจาเฉียบขาด ต้องการอะไรก็ตามพระบรมกษัตริย์ต้องหามาให้ได้

แต่ก็เป็นด้วยจริยาดี ใช้วาจานิ่มนวล วาจาอ่อนหวาน แต่ทว่ามีความเด็ดขาดว่า เวลานี้ขอพระบรมกษัตริย์จงหาสรรพาวุธสำหรับรบทุกอย่าง เอามาให้กระหม่อมฉัน พูดงี้ถูกหรือไม่ถูกไม่รู้ ไอ้ศัพท์ประเภทนี้ไม่น่าพูด พูดแล้วชาวบ้านจะอาเจียนตาย เป็นอันว่าพระเจ้าพังคราชก็ดีใจหาย หามาให้ครบ

เมื่อเคลื่อนกำหนดทศมาส พระลูกชาย (เอาเสียยังงี้เลยดีกว่า มันฟังง่าย จะไปเรียกพระโอรส พระโอเกวียน พระโอล้อ พระราชโอล้อ มันก็ลำบากนะ) เรียกว่าพระลูกชายก็นวยนาดออกจากครรภ์มารดา คลอดออกมาแล้วรู้สึกว่าผิวพรรณผ่องใสมาก

โหรทั้งหลายพยากรณ์ว่า การคลอดของพระราชโอรสครั้งนี้เป็นฤกษ์ดีพิเศษ พระราชโอรสพระองค์นี้จะมีบุญบารมีมาก สามารถจะกู้นครโยนกที่ตกไปเป็นของขอมให้กลับคืนมาได้ และจะขยายอาณาเขตประเทศไทยไปกว้างขวางมาก เพราะว่าจะเป็นคนแพร่ตระกูลพิเศษของประเทศไทย

นี่... ความรู้สึกในตอนนั้น เอางี้ดีไหม บอกว่าเทวดามานั่งเล่าให้ฟัง ถ้าไม่ใช่เทวดาบนสวรรค์ก็คงเทวดาลิเก แต่ในเวลานั้นไม่ได้แสดงลิเกนี่ เป็นเทวาของคนบ้า รับฟังก็แล้วกันสบายดี

เป็นอันว่า พระราชโอรส ปรากฏว่าคลอดออกมานี้ ก็มีเหล่านารีทั้งหลายเป็นคนไทยด้วยกัน คลอดบุตรออกมาไล่ๆ กันมีปริมาณ ๒๐๐ คนเศษ พระบรมกษัตริย์ทราบข่าวก็ให้ความอุปการะ พ่อบ้านพ่อเมืองคนไทยเวลานั้นทำจิตใจ ทำจริยาของตนเสมอด้วยชาวบ้าน ถือว่าเป็นพี่น้องกัน กษัตริย์เป็นพี่ ประชาชนเป็นน้อง มีความปรารถนาในกันและกัน

เมื่อพระราชโอรสโตขึ้นมาแล้ว จอมกษัตริย์ผู้กาจแกล้ว ก็เรียกบรรดาเด็กทั้งหลายเหล่านั้นให้เข้ามาเป็นพระสหาย ไม่ใช่คนใช้ พระโอรส ตั้งแต่เด็กๆ พอวิ่งได้ เดินได้ก็ต้องการสรรพาวุธเพื่อประกอบยุทธวิธี ซ้อมรบกับเด็กทั้งหลายเหล่านี้ทุกวัน ชอบอยู่อย่างเดียวคือวิชาการรบ เล่นกันทุกวัน ตั้งค่ายซ้าย ตั้งค่ายขวา ตั้งค่ายของข้าศึก สมมติกันขึ้นมา เล่นกันตามภาษาเด็ก พระราชบิดา พระราชมารดาเห็นเข้าก็ชื่นพระทัย เพราะสิ่งที่เป็นไปตอนนั้น ตรงกับโหรทำนายทุกอย่าง

พออายุได้ ๑๓ ปี เขาว่ายังงั้น ในตอนราตรี คือเช้ามืดของวันหนึ่ง มีเทวดาองค์หนึ่งมาพูดให้ฟัง บอกให้ฟังว่า เวลาเช้า จงพาบริวารของเจ้าทั้งหมดไปล้างหน้าที่ชายแม่น้ำโขง (เวลานี้เขาเรียกตำบลอะไร.......ควาญทวน......มีหรือไม่มีก็ไม่รู้ ตาคนนั้นแกบอกอย่างนั้น ความจริงวันนั้นอยากจะไปดู แล้วไม่ได้ไป) แล้วก็ในที่นั้นทุกคนให้ตัดเอาขอไม้ไป

จะมีช้างเชือกใหญ่ เผือกขาวโพลน ล่องมาตามกระแสแม่น้ำโขง ๓ เชือก (ช้างเขาเรียกกันเป็นเชือกๆ ไม่ใช่เป็นตัวๆ) ช้างเชือกแรก ถ้าเจ้าจับได้ จะปราบได้ในทวีปทั้ง ๔ คือเป็นจักรพรรดิปกครองโลก ถ้าเจ้าไม่จับ หรือจับไม่ได้ จับเชือกที่ ๒ ไว้เจ้าจะปราบชมพูทวีปได้เป็นของเจ้าทั้งหมด ถ้าจับเชือกที่ ๓ เอาไว้ จะปราบขอมได้ทั้งหมดนี่ เป็นอันว่าเกิดมาเพื่อปราบขอม

พอถึงเวลาเช้า ก็กราบทูลพระราชบิดาว่า อยากจะไปชายแม่น้ำโขง ไปล้างหน้าอาบน้ำ ณ ที่นั้น วางแผนการจับช้าง แต่ไม่บอกพ่อ เพราะเป็นเรื่องเทวดามาบอก เทวดาปรากฏเป็นองค์เทวดาจริงๆ มาบอก ไม่ใช่เป็นคน เทวดาองค์นั้น ก็คือท้าวโกสีย์สักกะเทวราช พระอินทร์องค์ปัจจุบัน

นี่ตามที่ตาคนที่เล่าให้ฟัง แกว่าอย่างนั้น ช้างมันจะลอยมานะ ไม่ใช่ช้างจริง ช้างเทวดาแปลงเพื่อมาช่วย เทวดาองค์นี้ก็น่ากลัวจะเป็นเทวดาไทย ฉะนั้น เมื่อได้มีโอกาส คือพระราชบิดาอนุญาตให้ ก็พาบริวาร คือสหายทั้งหมดไปล้างหน้าเล่นน้ำกันที่ชายโขง (ความจริงฉันอยากจะไปเวียงสีทอง แล้วก็อยากจะไปดูตำบลควาญทวนว่า มันใกล้หรือไกลจากแม่น้ำโขงเพียงไหน ไม่มีโอกาสได้ไป)


เมื่อพรหมกุมารไปที่นั่น สักครู่เดียวก็ปรากฏว่ามีงูใหญ่มีหงอนสีขาวเผือก มีรัศมีกายผ่องใสลอยตามกระแสน้ำมา ท่านก็มองๆ ไป คิดว่า..เอ๊ะ นี่เทวดาบอกว่าจะมีช้างมา ไงกลายเป็นงูไปแล้ว งูไม่ใช่ช้าง ไม่เอา ปล่อยให้เลยไป

อีกครู่หนึ่งชั่วประเดี๋ยวใจก็มาใหม่ เป็นงูอีก แบบเดียวกัน ตัวใหญ่ประมาณเท่าลำตาล ท่านก็คิดว่า นี่เราจะมาจับช้างแล้วเรื่องอะไรจะมาจับงู เมื่องูตัวที่สองผ่านไปก็มาใหม่เป็นงูอีก ตอนนี้ชักคิด เอ๊ะ ไม่ได้เรื่องแล้ว เทวดาสั่งให้มาจับช้าง นี่พบแต่งู งู ๒ ตัวนั้นก็ท่าจะเป็นช้าง เสียท่าเสียแล้ว

ถ้าจับตัวที่ ๑ ได้ เราจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ครองโลก จับตัวที่ ๒ ได้ จะปราบทั่วชมพูทวีป เสียท่าๆ ไม่เป็นเรื่อง อีตัวนี้จะเป็นช้างหรือจะเป็นงูก็ตาม เอาแน่ จะเป็นตายร้ายดีอะไรก็ตาม ต้องคว้าเอาไว้ให้ได้ มันตายก็ตายไป เรื่องอะไรช้างจะกลายเป็นงู บอกให้รู้เสียทีแรกว่าเป็นงู จะได้จับไอ้ตัวแรก จะเป็นจักรพรรดิปกครองโลกให้มันเด่น

นี่.. มันอยากอยู่เหนือพ่อ เจ็บใจ พองูตัวนั้นเข้ามาใกล้ก็เอาขอไม้คล้องปับเข้าให้ พองูถูกขอไม้ กลายเป็นช้าง! นั่นเทวดาตบตากินเสียได้ ชะๆๆๆ ถ้าบอกเราเสียก่อนว่าช้างจะเป็นงูมาอีตัวแรกเอาแน่ ได้ฟัดกันแหลก ท่านคงคิดยังงั้นนา

เมื่อจับเป็นช้างได้ก็ขึ้นคร่อมคอ ขับไสด้วยขอไม้จะให้ช้างขึ้นบก ช้างไม่ขึ้น ว่ายทวนกระแสน้ำไป ทวนไปทวนมา ขึ้นบ้างล่องบ้าง บริเวณนั้นเลยไดนามว่า “ควาญทวน” จึงอยากจะไปดูเห็นว่าช้างโฉมตรูตัวประเสริฐ ขาวเผือกผ่องจริงๆ ช้างประเภทนี้ไม่ต้องห่วง ถ้าเมืองไหนได้ไว้ จะมีอำนาจมาก แล้วก็จะมีสมบูรณ์บริบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สิน

บรรดาประชาชนทั้งหลายขึ้นชื่อว่ายากจนเข็ญใจไม่มี เพราะเป็นช้างที่มีบารมีมาก คู่ควรกับบุคคลผู้มีบารมีเป็นกรณีพิเศษ ที่กล่าวนี้ กล่าวตามกระแสที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ดำรัสตรัสไว้ในเรื่องพระเวสสันดร มีความจริง นายพรหมไม่เคยเทศน์ แต่ฟังพระท่านเทศน์จำไว้

เมื่อเห็นท่าช้างจะไม่ขึ้นตามใจนึก ก็เลยบอกพรรคพวกว่านี่ บรรดาสหายทั้งหลาย มีใครคนใดคนหนึ่งวิ่งตื๋อไปบอกสมเด็จพ่อที ว่าจับช้างตัวประเสริฐได้แล้ว แต่ช้างดื้อไม่ขึ้นจากน้ำ ทำยังไง เด็กพระสหายก็วิ่งกลับไปกราบทูลพระเจ้าพังคราชให้ทรงทราบ พระบาทท้าวเธอก็ทรงเรียกโหร

สมัยนั้นโหรจริงๆ ไม่ใช่แขวน ไม่ใช่ห้อม การพยากรณ์เป็นไปตามความจริงทุกประการ เหตุการณ์มันจะเป็นยังไง โหรก็ลงเลข พั้บๆ หือ? ลงเลขหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือทำไงก็ไม่รู้ พยากรณ์หมับ บอกว่าต้องเอาทองพันอะไรก็ไม่รู้ มันพันๆ อยู่ แต่เทวดาท่านบอกว่าสำหรับศัพท์สมัยนี้เขาเรียกว่า ๑ ชั่ง เอาทำเป็น สดึง ก็ไม่มีอะไร เอาไปตี ปัง ๆๆๆ เข้าล่อช้างขึ้นมา

พระราชบิดาจึงสั่งนำช่างทองมาจัดการทันที แล้วให้สมเด็จพระเจ้าพี่เป็นคนนำไป เมื่อไปถึงตรงนั้นแล้ว สมเด็จพระเจ้าพี่ก็ตีแผ่นทองคำ ช้างพอได้ยินเสียงแผ่นทองคำดังผ่างๆ (ดังยังไงก็ไม่รู้ มันคงไม่ผ่างกระมัง น่ากลัวจะตุ้บๆ มากกว่า ทองคำนี่ คงไม่เฉ่งไม่ฉั่ง) ช้างก็ขึ้นมาจากน้ำโดยดี

ตอนนี้เอง ท่านพรหมราชกุมารก็รวบรวมสรรพาวุธเป็นการใหญ่ รวบรวมกำลังพลจะสู้กับขอม เด็กแค่อายุ ๑๓ ปี แล้วก็ไปตั้งเวียงใหม่อีกที่หนึ่งชื่อว่า “เวียงพันคำ” (ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่รู้จำไม่ได้ เทวดาองค์นั้นไม่มาบอกเวลานี้เสียด้วย) คงอยู่ไม่ไกลกันนัก ไปฝึกปรือทหาร

ทั้งนี้ก็เพราะว่าต้องการปิดขอม เวลาขอมเข้ามาในเขตประเทศของพระราชบิดาจะได้เห็นว่ามีอาการเป็นปกติ ไม่คิดจะสู้ แต่ว่าพ่อโฉมตรูเข้าไปฝึกกันในป่า ป่าลึกคล้ายๆ กับเสรีไทย อีตอนนั้น ความจริงเสรีไทยเกิดขึ้นสมัยพระเจ้าพรหมมหาราช หรือพระเจ้าพังคราชนั่นเอง ไทยเสรี แล้วพระราชกุมาร จึงบอกกับพระราชบิดาว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไทยต้องเป็นไท ไม่ใช่ขี้ข้าขอม เรื่องการส่งเครื่องบรรณาการไม่มี ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ก็น่าแปลก.. เมื่อลูกชายสั่งอย่างนั้น พระพ่อก็แสนจะใจดี สั่งงดเครื่องบรรณาการให้แก่ขอมทันที เรียกว่าไม่ส่งส่วย ขอมทวงมาๆ ก็บอกว่ายังไม่พร้อม พอถึงสามปีตามประเพณี ไม่ส่งส่วยกันจริงๆ แล้วเขาจะว่าแข็งเมือง ไอ้เจ้าขอมก็ยกทัพมา จะมาจัดการกับพระเจ้าพังคราช มันเคยพังมาเสียทีแล้วจากเมืองโยนก อีคราวนี้มันจะพังให้ตกไปอยู่ที่ไหนไม่รู้

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 6/9/10 at 16:30 [ QUOTE ]


5

(Update 6-09-53 )


พอมันยกมาถึงตำบลสันทราย (วันนั้นนั่งรถกลับมาถึงสันทราย อีตาคนนั้นก็บอกว่า ตรงนี้แหละ ที่พระเจ้าพรหมมหาราช หรือราชกุมารเวลานั้น มาประจันหน้ากับข้าศึก ก็นึกๆ มองดูบริเวณสถานที่ เห็นมีทั้งเขา ทั้งทุ่งโล่ง เป็นชัยภูมิดี เลยเมืองออกมา ซึ่งปรากฏว่าจะเป็นเหตุให้คนภายในประเทศไม่ยุ่งไม่ยาก ดีกว่าให้ข้าศึกไปล้อมกำแพงเมือง นี่มันไม่ใช่เรื่องดี) [/color]

พอมาประจันหน้ากันตรงนี้ ช้างตัวนั้นเป็นช้างที่มีอำนาจมาก พระเจ้าพรหมมหาราชเองก็เป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ เป็นอันว่าทั้งช้างทั้งคน เป็นผู้มีบุญญาธิการ แต่ว่าช้างตัวนั้นเป็นช้างผ่อง ขาวเผือก (เทวดาบอกว่าช้างปลอม คือเทวดานี่เองปลอมไป)

พอบรรดาช้าง ม้า และบรรดาคนทั้งหลายของขอมประจันหน้ากับช้างก็ดี หรือพระเจ้าพรหมมหาราช ราชกุมารก็ดี กำลังใจของ ทั้งช้าง ทั้งม้า ทั้งคน ไม่มีใครคิดอยากสู้ พอพ่อโฉมตรู พรหมกุมารไสช้างเข้าไป ปรารถนาจะห้ำหั่นข้าศึก พระสหายทั้งหลายก็เหิมศึกพร้อมแล้วที่จะรบ บรรดาประชาชนพลทัพทั้งหลาย นายทัพนายกอง ก็มีจิตใจเหี้ยมเกรียม

มีอารมณ์กล้า ปรารถนาจะเข่นฆ่าข้าศึกให้พินาศ เป็นอันว่าคนทั้งหมดในสมัยนั้น ไม่มีใครหวั่นหวาดต่อข้าศึก นึกไว้อย่างเดียวว่าเป็นทีของเราแล้ว จึงจะต้องห้ำหั่นพวกขอมที่มีใจแกล้ว มีใจเหี้ยมโหด ทำสิ่งที่เป็นโทษแก่คนไทยให้พินาศไปทั้งหมด จะไม่ให้ปรากฏอยู่บนพื้นแผ่นดินทอง นี่ซี พอเวลาที่พระเจ้าพรหมมหาราชขับไสช้างเข้าไป

ภาพปรากฏขึ้นทันที คล่องแคล่วว่องไวพร้อมด้วยพระสหายทั้ง ๒๐๐ คน (เทวดาบอกว่า พระสหายทั้งหลาย ๒๐๐ คนนี้เป็นเทวดาหรือพรหมทั้งนั้น ลงมาเกิดร่วมกันจะกู้แผ่นดินไทย น่ากลัวจะเป็นเทวดาหรือพรหมที่ตายจากแผ่นดินไทยขึ้นไป สงสัยจัง) แล้วบรรดานายทัพนายกองทั้งหลายของพระเจ้าพ่อก็แสนจะดี มีกำลังใจดีเป็นพิเศษ

เห็นภาพขอมรบกับพระเจ้าพรหมมหาราช หรือว่าราชกุมารซึ่งเป็นนายทัพมีอายุ ๑๖ ปี นายทัพสั่งว่าพวกเราเข้าโจมตีข้าศึก จงอย่าถอย คำว่าถอยแม้แต่ครึ่งก้าวจะไม่มีสำหรับพวกเรา ซึ่งเป็นคนไทย (แหม คำสั่งนี้อาจหาญมาก) พวกบรรดานายทัพ นายกอง และพลทัพทั้งหลาย พร้อมด้วยพระสหาย ต่างก็ไสช้าง ขับม้าวิ่งดาหน้าตรงเข้าโจมตีท่าเดียว

ตานี้ บรรดาพวกขอมทั้งหลาย ไม่เคยนึกว่าคนไทยจะมีน้ำใจอย่างนั้น เคยรบกันมาทุกครั้งมีแต่การตั้งท่า ความจริงก็เคยแบ่งจังหวะ ตรงนี้เข้าตีเป็นกองหน้า ตรงนั้นเป็นกองหลัง ตรงนั้นเป็นกองข้าง กองเหลี่ยมอะไรก็ช่าง ว่ากันเป็นกองๆ เหมือนกองขี้ อีคราวนี้พ่อไม่ยกเป็นกองๆ แล้ว ยกพลทั้งหมดตีพร้อมกัน

ไม่เหลือไว้เป็นกองหลัง มีทั้งปีกซ้าย ปีกขวา กองหน้า กองหลัง กองข้างโจมตีตรงพร้อมกัน ขอมทั้งหลายเหล่านั้นมีจิตใจหวาดหวั่น แม้แต่ช้างม้าก็ไม่กล้าสู้ วิ่งหนีไปตามกัน ใครหนีทันก็เชิญไป ถ้าหนีไม่ทัน คนไทยเจอะคนไหนฆ่าตายทั้งนั้น ตั้งใจ ให้ปฏิญาณกันไว้ตั้งแต่ตรงโน้น ที่ตรงชื่ออะไร พังๆ ว่าขึ้นชื่อว่าขอมทั้งหมด จะไม่ให้ปรากฏมีชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินทองนี้

ว่าเจ้าพวกนี้มีจิตใจอัปรีย์ ไม่มีความกตัญญู ไม่รู้คุณคน แล้วก็มีน้ำใจเป็นอกุศล เหี้ยมโหดข่มขี่ มันไม่ใช่คนมาเกิด เป็นสัตว์นรกมาเกิด ให้มันกลับไปนกตามปกติ มันจะได้สบาย นี่น้ำใจของพระเจ้าพรหมมหาราชหรือพรหมกุมาร เป็นอย่างนั้น พร้อมด้วยพระสหายก็มีน้ำใจเหมือนกัน แล้วกองทัพทั้งหลายก็มีน้ำใจเท่าเทียมกัน

บรรดาพวกขอมทั้งหลายไม่มีกำลังจะสู้ พ่อโฉมตรูก็ไล่ขับฆ่าฟันสบาย วิ่งไล่กันไป วิ่งไล่กันมาจนกระทั่งถึงเขตๆ หนึ่ง ที่เรียกว่าตำบลทัพยั้ง (ไปตอนนั้นก็อยากจะพบตำบลนี้) ครั้นมาถึงทุ่งยั้ง หมายความถึงการยั้งทัพ เมื่อยั้งทัพแล้วก็ไปประชุมกันที่ตำบลชุมพล อันมีบริเวณไม่ไกลกันนัก พักพอสบาย

เมื่อบรรดาทหารทั้งหลายหายจากการอิดโรยแล้ว ก็ยกพลขับไล่ขอมต่อไป นี่เป็นน้ำใจของพระเจ้าพรหมมหาราชบรมกษัตริย์ วิเศษ วิเศษจริงๆ ขึ้นชื่อว่าเชลย ไม่มีในเวลานั้น สิ่งที่ต้องการอย่างเดียวก็คือฆ่าขอมให้หมดผืนแผ่นดินทอง ดีไหม ใครเห็นว่าดี ก็ว่าดี ใครไม่เห็นว่าดีก็ตามใจ เป็นอันว่าขับกันต่อไป

พระเจ้าพ่อไม่ต้องไป เอาแต่พระเจ้าลูกคนเล็ก พระเชษฐาธิราชสั่งให้พักรักษาพลหน่อยหนึ่ง คุ้มครองสมเด็จพระเจ้าพ่อพระเจ้าแม่ เอาแต่พระเจ้าลูกชายคนเล็ก เด็กชายทั้งหลายและกองทัพทั้งหลายไล่ขอม เจอะที่ไหน ไล่ฆ่าที่นั่น

ความจริง ดวงภาพที่เทวดาทำให้ดู ก็สบายนี่ ไอ้รบแบบนี้ ไม่ว่าที่ไหนชนะทั้งนั้น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าไม่มีใครเขาสู้ หาคนสู้ไม่ได้ ในเมื่อไม่มีใครเขาสู้มันก็สบาย มันมีอย่างเดียว ไล่ฆ่าเขาเท่านั้น สนุกดี เป็นอันว่าไล่กันไปไล่กันมา อีตอนนี้ซิ ทางเดินทัพ

มานึกถึงความรู้สึกในตอนที่นั่งไปในรถ คิดว่าไอ้ทางที่รถเขาพาเรามา นี่มันเป็นทางใหม่ ไม่ใช่ทางเก่า ด้วยอารมณ์ของใจแล้ว ไม่ชอบทางนั้น ว่ามันควรจะมีอีกทางหนึ่งสำหรับเดินทางไปและเดินทางมา จากสุโขทัยตรงไปเชียงแสน หรือไปเชียงรายซึ่งเป็นทางใกล้กว่า มันควรจะมี

แต่ว่าทางที่เขานำไปขาขึ้นไปคราวนี้ ถ้าเดินทัพไปในสายนั้น มันไม่ได้มีประโยชน์เลย มันมีแต่โทษแล้ว แล้วก็จะเสียทีข้าศึก เพราะบางจุดเป็นทางแคบมีขุนเขาทั้งสองข้าง ถ้าเดินทัพมาระหว่างกลางข้าศึกก็จะตีกระหนาบเอา ถึงแม้ว่าเขาจะมีคนน้อยกว่าเรา เขาก็จะได้เปรียบ ตามความรู้สึกเป็นอย่างนั้น

แต่ทว่า เมื่อเขาพาไป เราเป็นคนนั่งในรถ จะกลายเป็นคนขบรถลงมาเดินเสียคนเดียวมันก็ไม่ใช่เรื่อง ก็เลยนั่งไปคิดไปว่านี่เราจะทำยังไง อยากจะไปตามสายที่พระเจ้าพรหมมหาราชยกกองทัพขับไล่ขอมเข้ากรุงสุโขทัย แล้วก็ไปถึงกำแพงเพชร

พอดีตอนกลางคืน ดร.ปริญญา บอกว่าจะขอนำรถเก๋งมาส่ง แล้วจะมาพักที่บ้าน... (เทปฟังไม่ออก)
นายพรหมก็ดีใจ ถามว่าจะไปทางไหน
ตอบว่าจะไปทางใหม่ ออกงาวเข้าศรีสัชนาลัย ออกไปกำแพงเพชร
ดีใจมาก บอกไอ้ทางนี้เป็นทางที่เราต้องการ
ตามที่ความรู้สึกนึกคิดปรากฏแล้วกำหนด
เทวดาก็บอกว่าถูกแล้ว ทางนี้แหละเป็นทางที่พระเจ้าพรหมมหาราชเดินทัพขับพวกขอม

ในเรื่องการรบนี่ ไม่มีอะไรพลิกแพลงมาก ไม่มีอะไรเป็นเรื่องน่าสนุก ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าไอ้คนหนึ่งไล่ ไอ้คนหนึ่งหนีนี่ ไม่ใช่ว่าเข้าต่อตีกันแบบประจัญบาน ทั้งนี้เพราะอะไร

เพราะว่าอาศัยบารมีบรมโพธิสมภารของพระเจ้าพรหมมหาราชบรมกษัตริย์ ที่พระบาทท้าวเธอสั่งสม อบรมมาแต่ในอดีตชาติ นับไม่ถ้วน อาศัยเทวดานุภาพทรงสงเคราะห์ เทวดามาเป็นช้างเสียเอง แล้วก็เป็นช้างผ่องขาวเผือก แล้วก็บรรดาพระสหายทั้งหลายก็มาจากพรหมและเทวดา ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีบุญญาธิการมาก

ตลอดจนกระทั่งนายทัพนายกองทั้งหลายก็ต้องเป็นบุคคลที่เคยร่วมบุญบารมีกันมาก่อน เป็นอันว่า กองทัพนี้เป็นกองทัพที่เพียบพร้อมไปด้วยบุญญาธิการ แล้วพวกขอมทั้งหลายเหล่านั้นมาจากเปรตบ้าง มาจากอสุรกายบ้าง ซึ่งบุญญาธิการมันเทียบกันไม่ได้ มันจะมาสู้อะไร มันก็ต้องวิ่งอ้าวไปตามอัธยาศัย

เมื่อขับโจมตีพวกขอมไป เหนื่อยก็หยุด ไม่เหนื่อยเห็นจะไม่ได้ เพราะตั้งแต่ตำบลสันทรายมาถึงกำแพงเพชร ถ้าจะเดินกันจริงๆ อย่างไม่รบมันก็ฟันเกือบหักแล้ว นี่พอเป็นหนุ่มเดินมา กว่าจะถึงก็ใกล้ฟันจะหักเต็มที แต่นี่มากันด้วยกระบวนทัพ แล้วกองทัพนี่มันทั้งคนทั้งม้า ทั้งวัวทั้งควาย มันก็มีเหนื่อย มีหิวเหมือนกัน

ไม่ใช่ว่าตั้งหน้าตั้งตาตีกันตลอดคืนตลอดวันไม่ต้องพักไม่ต้องกินกัน ไม่ใช่ยังงั้น ก็ขยับกันเรื่อยๆ มาอย่างทัพ เจอะที่ไหนตีที่นั่น เจอะที่ไหนฆ่าที่นั่น ว่ากันเรื่อยมา ใช้เวลานานเท่าไรก็ไม่รู้ ตาคนนั้นแกไม่ได้บอก แต่เห็นจะรบกันไม่นาน อย่างดีที่สุดก็ไม่เกิน ๓ เดือน เห็นท่าจะไม่ถึง เคลื่อนลงมา ตีกันมา พักกันมา ตามเรื่องตามราว

บรรดาพวกขอมทั้งหลายเหล่านั้นจะเป็นพวกเจ้าหรือพวกเจี้ยวอะไรก็ช่าง ไม่มีใครคิดสู้ พ่อโฉมตรูพรหมกุมารพร้อมด้วยพระสหายและกองทัพทั้งหลายไม่มีใครเสียชีวิตแก่ข้าศึก แม้แต่บาดแผลก็ไม่มี (ก็มันจะมียังไง ไล่ฟันเขาข้างเดียว) แต่จะว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ ไอ้หนามเหนิมมันคงเกี่ยวเข้าบ้าง หนามน่ะคงมีบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าโกหก ตอนนี้เขาไม่ได้บอก พอจะถึงเขตกำแพงเพชรก็ยุ่งละซิ

ในเรื่องของสมเด็จพ่อเก่า คือที่มาบอกให้ช้างว่าถ้าจับช้างตัวที่สามได้จะปราบขอมได้หมดแผ่นดินทอง ท่านบอกว่าปราบขอมให้ได้ทั้งหมดแผ่นดินทอง ท่านไม่ได้บอกว่าฆ่าขอมได้หมดทั้งผืนแผ่นดินทอง (นี่บันทึกกันเข้าไว้)

เห็นว่าพระเจ้าพรหมมหาราช หรือพรหมราชกุมารคึกเคลิ้มเหิมใจ เข่นฆ่าไม่เลือก แม่แต่ลูกเล็กเด็กแดง ขึ้นชื่อว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของขอมแล้วจะไม่ไว้บนผืนแผ่นดินไทยแผ่นดินทอง (ตอนนี้จะถือว่าเป็นคนไทยทั้งหมดก็ไม่ได้) เป็นอันว่าพระองค์เห็นว่าท่าจะไปกันใหญ่ นี่ลูกชายในอดีตจะมาคิดสร้างบาปกรรมทำลามกกันแบบนี้ไม่เป็นเรื่อง เอากันแค่นี้ก็ดีแล้ว ได้กำไรเยอะ

เพราะชาวโยนกมีอาณาเขตแค่กะแบะมือเดียว แต่เวลานี้ขยายเขตมาถึงกำแพงเพชรแล้ว พระองค์ผู้ใจแกล้วจึงตั้งใจยับยั้งการสร้างบาปอกุศลของพระราชโอรสในสมัยอดีตไว้แค่นั้นแล้ว ต่อจากนั้น ก็ตั้งใจให้บำเพ็ญกุศลเป็นพิเศษ เป็นการหนีบาป เพราะการฆ่าคนฆ่าสัตว์เป็นบาป แต่จำเป็นต้องทำ

เพราะว่าคนทั้งหลายเหล่านั้นมันมีใจเป็นสัตว์ ไม่ใช่ใจเป็นคน มีน้ำจิตน้ำใจเต็มไปด้วยความอกุศลหาความดีไม่ได้ พระบาทท้าวเธอจึงได้มีเทวบัญชา ส่งวิษณุกรรมเทพบุตรว่า เจ้าจงไปยับยั้งกองทัพของราชบุตร ให้ยับยั้งอยู่แค่นั้น ไปสร้างกำแพงเพชรกั้นเข้าไว้

นี่บรรดาคนทั้งหลายที่มาอ่านตำนานหรือตำเร็ว เร็วหรือนาน ตำนานตำช้านี่เขาเขียนกันไว้ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ ไม่ได้ดูสักที ไม่ได้อ่าน เห็น ดร.ปริญญาบอกว่าเขามีตำนายอยู่ เขาตำกันไว้นานๆ ไอ้การจะตำนานๆ นี่มันก็ยุ่ง หรือว่านานๆ ถึงได้ตำก็ไม่รู้ ถ้าตำเสียสมัยนั้น พระเจ้าพรหมมหาราช หรือพรหมราชกุมารทำอะไรแล้ว เวลาเลิกทัพก็มาเขียนเป็นตำรับตำราเข้าไว้อย่างนี้เขาเรียกตำเร็ว

เรื่องราวสมัยนี้มันก็จะไม่ฟั่นไม่เฝือ ไม่เหลือกำลังความคิดที่จะลิขิตขีดเขียนเข้าไว้ให้ถูกต้องทีนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องราวคงจะผ่านมานานแล้วเขาจึงได้ตำ จึงเรียกว่านานๆ จึงได้ตำ แล้วเวลาตำก็ต้องตำนานๆ ไปหาเหตุหาผลจากตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง จากศิลาจารึกบ้าง จากน้ำหมึกที่เขาเขียนไว้บนสมุดข่อยบ้าง ถามคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง สันนิษฐานเอาบ้าง

ไอ้สันนิษฐานนี่ก็ดี แต่ถ้าเป็นประเพณีสันนิส้วมล่ะแย่ ฐานกับส้วมสมัยนั้นภาษาวัดเขาเรียกฐาน เป็นที่สำหรับถ่ายของวัด คือเป็นส้วมที่ถ่ายของพระ ฐานพระที่รองรับพระค่อยยังชั่ว ถ้าเป็นฐานปะเภทส้วมไม่เป็นเรื่อง นี่ตำนานเขา จะว่าแน่ก็ไม่ได้ หรือจะว่าถูกก็ไม่แน่นัก จะว่าผิดก็ไม่ได้

ถ้าว่าจำกันไว้นานๆ แล้วเขียน มันก็คลาดเคลื่อนไปบ้าง ตานี้ ที่พูดนี่ไม่ใช่ตำนาน เรียกว่าเป็นอารมณ์ชำนาญในการไม่เต็มบาท ไม่เต็มสลึง เรียกว่าพูดตามเทวดา เทวดาท่านบอกให้ เรียกว่าฉายหนังให้ดู ดูเพลินชื่นใจ

ไอ้คำว่า “กำแพงเพชร” ในที่นั้น เทวดาท่านเล่าให้ฟังบอกว่าไม่ได้เป็นกำพง..กำแพงอะไรหรอก แกถือว่าเป็นวิษณุกรรมเทพบุตรมีอำนาจมาก มายืนเพ่งเข้าตรงไหน ที่ตรงนั้น ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามใจนึก ถึงจะนำกำแพงเพชรมากั้นพรหมราชกุมารไม่ให้ติดตามข้าศึกมันก็ต้องกั้นกันยันขั้วโลกตะวันตก มันจะไหวที่ไหนล่ะ ม่ายงั้นก็อ้อมกำแพงได้

เป็นอันว่าคำว่ากำแพงในตอนนั้น เป็นอำนาจเทวานุภาพ ไม่ใช่กำแพง คือว่าพอถึงเขตตรงนั้น ที่ท่านวิษณุกรรมเทพบุตรกำหนดเข้าไว้ กองทัพทั้งหลายของพระเจ้าพรหมราชกุมารพร้อมด้วยช้าง ด้วยรถทั้งคนทั้งม้า สิ้นกำลัง ไม่สามารถไปต่อไปได้ หมดแรงกำลังกายก็หมด กำลังใจก็หมด เคลื่อนไปก็ไม่ไหว ตัวพระพรหมราชกุมารเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน

ก็มาประชุมพร้อมกันกับนายทัพนายกองอายุ ๑๖ ปี แล้วมีบุคคลรุ่นพี่ คือ ทหารทั้งหลาย นายทัพนายกองทั้งหลาย ว่าเอาแค่นี้เป็นไง มันเหนื่อยเต็มที พอแล้วนี่ บรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็บอก เอ้า พอก็พอ แค่นี้ก็พอ ถ้ามันมาใหม่ก็ตีกับมันใหม่ ก็เป็นอันว่ายังยั้งกันไว้ตรงนี้

นี่อารมณ์ใจตอนนั้นมันอยากจะเห็นสถานที่ทุกจุด คือ
๑. นครโยนกเก่า
๒. เมืองวังสีทอง
๓. นครคำพัง หรือคำพัน (อะไรพังๆ) แคว้นนั้นเป็นแคว้นชื่อของช้าง เป็นเขตของเสรีไทย ว่ากันงี้..สบายกว่า..!

ก็เป็นอันว่าพักทัพยับยั้ง กลับไปเชิญสมเด็จพระราชบิดา พระเจ้าพังคราชให้ครองราชย์ในเมืองโยนกนครต่อไป แล้วต่อจากนั้นก็จัดสรรปันส่วนกัน ตามประวัติศาสตร์ ตอนนี้จะพูดกันไปทำไม ประวัติเขามีอยู่แล้วนี่

ที่พูดอย่างนี้ พูดตามอารมณ์ สิ่งที่มีความประสงค์อยากจะพบคือ
๑. โยนกนครตั้งอยู่ตรงไหน
๒. เมืองพังคำที่ตั้งเป็นเสรีไทยอยู่ที่ไหน
๓. ตำบลควาญทวนอยู่ที่ไหน
๔. ตำบลสันทรายที่ประจันหน้าระหว่างกองทัพพระเจ้าพรหมมหาราช หรือพรหมราชกุมารอยู่ตอนไหน
๕. แนวแห่งการเดินทัพ เดินมาจากไหน แล้วก็พักทัพตรงไหน ชุมพลเพื่อเคลื่อนไปตรงไหน

นี่ความตั้งใจในตอนต้น แล้วประการที่ ๒ ก็ทราบจากคนไม่มีตัว เขาบอกว่า พระบรมสารีริกธาตุที่พระเจ้าพังคราช พร้อมไปด้วยพระราชโอรสทั้งสองพระองค์ที่นำมานี้ ที่บรรจุไว้ก็เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายนำมา พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้น

ท่านอ้างชื่อว่าเป็นพระพุทธโฆษาจารญ์ผู้ทำการแปลพระไตรปิฎกจาก "สิงหล" จากลังกา จากภาษาสิงหลมาเป็นภาษามคธ อันนี้ปรากฏตามตำนานแล้วว่าท่านมีบารมีเป็นกรณีพิเศษ แล้วก็ท่านพุทธโฆษาจารย์องค์นี้เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณสำคัญมาก มีอำนาจพิเศษยิ่งกว่าพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาสมัยนั้น



ทิวทัศน์เมืองสะเทิม (คนพม่าเรียกว่า "ตะโทง" Thaton)

ท่านพุทธโฆษาจารย์นี้ก็อยู่เมืองสุธรรมวดี วันนั้นคุณเสริมถามว่า เมืองสุธรรมวดีเมืองนี้อยู่ที่ไหน อารมณ์ของใจไม่ทันได้ถามใคร บอกว่ามันอยู่ติดต่อจากพม่า ใจมันก็เขวไปด้วยอำนาจอุปาทานหรืออะไรไม่ทราบ บอกว่าอยู่ที่อินเดีย มันต่อจากพม่าขึ้นไปอยู่ใกล้น้ำ (ชมแผนที่เมืองสะเทิม คลิกที่นี่)

อารมณ์บอก..มันผิด นี่พ่อพรมเช็ดเท้าทำผิดหรือพ่อพรหมขาดกะร่องกะแร่งทำผิด ความจริงเมืองสุธรรมวดีนี้อยู่ที่ "สะเทิม" สะเทิมคือมอญ อาณาเขตจรดทะเล แล้วเมืองสุธรรมวดีนี้ เดิมทีเป็นเมืองของมอญ ต่อมาพวกไทยใหญ่ (ก็ไทยๆ เรานี่แหละ) ไทยกลุ่มใหญ่มายึดไว้ได้ปกครองเมืองสะเทิม แล้วให้เมืองนี้มีนามว่า "สุธรรมวดี"

หรือว่าเขามีชื่ออยู่ก่อนก็ไม่รู้ อันนี้ไม่ได้ถามใคร เป็นอันว่าพระพุทธโฆษาจารย์สมัยนั้นไม่ใช่อาบัง ถ้าไม่ใช่มอญก็ต้องเป็นไทยใหญ่ ในสมัยพระเจ้าพังคราช คงจะเป็นไทยใหญ่ น่าจะเป็นไทยใหญ่จึงมีความสามัคคีกันไว้ มีความสามัคคีกัน ท่านมาจากสุธรรมวดี มาหงสาวดีเข้าพม่า เลาะลัดมาถึงโยนกนคร เพราะว่าทราบว่าจอมบพิตรอดิศร พระเจ้าพังคราชและพระโอรสทั้งสองพระองค์ประกอบด้วยประชาชนชาวไทยทั้งหมด มีความเคารพในพระพุทธศาสนา จึงสมควรที่จะนำพระบรมสารีริกธาตุมาถวายไว้เพื่อบูชาสักการะ

เป็นอันว่า เมื่อพระเจ้าพังคราชได้พระบรมสารีริกธาตุแล้ว (จะแบ่งให้ใครไปบ้าง เป็นเรื่องของตำนาน ไม่พูด ไม่จำเป็น) จึงได้จัดพิธีกรรม ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ คือทำดอยน้อยๆ เข้าไว้ เอ..ไม่ใช่ “ทำ” ซี เขามีอยู่แล้ว มีดอยต่ำๆ ขึ้นง่ายๆ ขุดดินลงไปประมาณ ๕ วา ทำผังศิลาแลงแข็งแร่งแล้วกันน้ำแล้วก็บุผังด้วยทองคำ ตั้งกระถามทองคำขนาดใหญ่บรรจุน้ำไว้ ทำเป็นเรือสำเภาทองคำ ทำผอบ ๓ ตำแหน่ง คือผอบทอง ผอบเงิน ผอบแก้ว บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เสร็จพิธีบรรจุแล้ว สมโภชกลางเดือน ๖ พอดี

เป็นวันที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน ที่ใช้คำว่าพอดีนี้อาจจะตั้งใจให้พอดีก็ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านคงจะบอกว่าวันนั้นน่ะเป็นวันสำคัญ ถ้าจะบรรจุ บรรเจอะกันแล้ว เอาวันนั้นแหละเป็นวันดี เรื่องอย่างนี้เป็นของไม่ยาก ไอ้จะทำให้พอดีทั้งสองเมือง คือแบ่งไปอีกเมืองหนึ่ง เมืองโน้นก็พอดี เมืองนี้ก็พอดี มันฟังยากจริงๆ เรียกว่าจะเทิดทูนความพอดีกันมากเกินไป

เมื่อจอมบพิตรอดิศร จอมคนไทยคือพระเจ้าพังคราชพร้อมไปด้วยพระราชโอรสทั้งสอง แล้วก็ประชาชนคนไทยทั้งหลายนำพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุแล้ว ก็ฉลองความดีขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ถือว่าเป็นยอดรัตนะ มีพระพุทธโฆษาจารย์เป็นประธาน เป็นพระอรหันต์

ท่านคงจะพยากรณ์กระหยุมกระหยิมเข้าไว้ เป็นวิสัยอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณหรือตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไป แล้วท่านจอมเผ่าไทยทั้งสาม นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ต่างพระองค์ก็บำเพ็ญศีลให้ทาน เจริญจรรยาสัมมาปฏิบัติ เคารพพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาค ให้ทั้งทาน รักษาทั้งศีล บำรุงบ้านเมือง บำรุงประชาชนคนทั้งหลายให้มีความสุข ต่างคนต่างตั้งอยู่ในฌานสมาบัติและวิปัสสนาญาณพอสมควร

พอถึงกาลสมัยต่างคนต่างก็ตายไปตามเรื่อง เรื่องของการบ้านการเมืองก็ไม่น่าพูด เพราะเขามีประวัติอยู่แล้ว ถูกผิดก็ตามใจเขา เป็นอันว่าเมื่อพระเจ้าทั้งสาม คือ เจ้าพ่อ ๑ เจ้าลูก ๒ ทิวงคตตายกันไปหมดกลายเป็นผี อยู่ที่ไหนก็ช่าง ต่อมา พระลูกเจ้าของพระเจ้าพรหมมหาราชปกครองราชธานี ตอนนี้เทวดาบอกว่ากำลังตกลง พวกไทยใหญ่ยกเข้ามารุกรานจากเมืองสะเทิม หรือสุธรรมวดี ไทยใหญ่คนนี้คงไม่ใช่คุณเสริม หรือคุณพงษ์พูนเกษม

จึงได้ถามอีตาคนที่นั่งเล่าให้ฟังว่านี่มันไทยต่อไทยเหมือนกันนี่ แล้วทำไมถึงให้ไทยต่อไทยมารบกัน แล้วต้องขับหนีตีไล่ซึ่งกันและกัน มันไม่สมควร
ท่านก็เลยบอกว่าการรบคราวนั้นไม่มาก ไม่เสียเลือดเนื้ออะไรนักหนา พอลูกชายพระเจ้าพรหมมหาราชรู้ว่ากองทัพเมืองสุธรรมวดียกมา ก็แต่งทัพเข้าไปรับหน้าไกลลิบ แล้วเรียกโหรมาพยากรณ์ โหรบอกว่า ชะตาเมืองขาด สู้ไม่ได้แน่ต้องเปิด..เปิดเถอะ..!

อีเมืองนี้ไม่ควรอยู่ ไป..ไปตั้งเมืองกันใหม่ พระเจ้าลูกชายจึงประกาศแก่ประชาชนทั้งหลายทั้งหมด เตรียมข้าวเตรียมของ ขนกันให้หมดไปกันให้เต็มที่ กองทัพยังอยู่ไกล (เป็นสมัยนี้ก็หนีไม่ทัน) แล้วก็ยกพลขัณฑ์ออกจากเขต สั่งเผาเมืองเผาบ้านทั้งหมด พวกเมืองสุธรรมวดีเมื่อเข้านครได้ เห็นกองทัพเขาหนีตามเจ้านายไปหมด เขาไม่สู้ หนีไปเสียแต่กลางคืน ไม่มีอะไรเหลือมีแต่ป่ากับซากไฟเผา เป็นอันว่าไม่ได้อะไร ก็เปิดกลับเมืองเก่าคือสุธรรมวดี

ตอนนี้ ท่านเทวดาท่านบอกว่า ที่ทำแบบนั้นน่ะ ต้องการให้ไทยขยายเขตประเทศไทยลงมาทางใต้ ไม่ใช่จะให้ไทยฆ่าไทยกันเอง ถ้าไม่ทำอย่างนั้น เชื้อสายของพระเจ้าพรหมมหาราชก็ไม่ขยายเขตประเทศไทยออกมา จะจุ้ดจู๋อยู่แค่โยนก กำแพงเพชรเท่านั้นนี่ เรื่องคล้ายๆ พระเวสสันดร มีเทวดาเข้ามาเกี่ยวข้องหลายตอน

ตานี้...ลูกชายของพระเจ้าพรหมมหาราช ก็ขยายอาณาจักร แผ่ลงมาทางใต้ ในที่สุดก็กลายเป็นต้นตระกูลของสุโขทัย แล้วก็เป็นต้นตระกูลของ...ใครล่ะ...ของสุวรรณภูมิ คือพระเจ้าอู่ทอง เวลานั้น เมืองทวาราวดีมีคนไทยครอง คือว่าคนไทย นับแต่กาลก่อนพุทธกาลหลายพันปีมาตั้งหย่อมๆ อยู่ในประเทศนี้ ทางเหนือก็ดี ทางใต้ก็ดี ตั้งแต่เขตขอมในสุวรรณภูมิไปถึงอะไรโน่น...ทวาราวดี ไปได้เพชรบุรี เพราะว่าเขตของลูกชายพระเจ้าพรหมมหาราช ตอนนั้นมีอำนาจไปถึงนครปฐม ราชบุรี ความจริงถึงเพชรบุรี

จึงมีพระอรหันต์พยากรณ์พระราชาองค์สุดท้าย คือไม่ใช่องค์สุดท้ายของสมัยนั้น มีอยู่องค์หนึ่ง ที่ยังไม่เกิดอู่ทอง เพราะว่าสืบต่อกันมามันหลายจักรวรรดิ หลายศตวรรษ หลายต่อ ว่าเมื่อพระราชาองค์นั้นทิวงคตแล้ว จะต้องไปเกิดเป็นพระราชาของไทยใหม่อีกองค์หนึ่ง มีนามว่าอะไร ไม่พูดดีกว่า

เป็นอันว่าการที่ไทยใหญ่มาไล่ไทยน้อย ไทยน้อยต้องถอยมาสายใต้ โดยเจตนาแล้ว ไม่ใช่ไทยหวังจะทำลายไทย แต่ว่าเทวดาทั้งหลายตั้งใจให้ไทยขยายอาณาเขต ทีนี้เป็นอันว่า ถ้าเราจะสืบกันไปสืบกันมา วงศ์กษัตริย์สมัยโบราณกับกษัตริย์ที่ปกครองไทยสมัยนี้

ถ้าจะดูกันให้ดีจริงๆ แล้ว คงจะเป็นวงศ์เดียวกัน คือวงศ์สุโขทัยก็ดี วงศ์ของ...อะไรล่ะ...อู่ทองก็ดี เป็นวงศ์มาจากพระเจ้าพรหมมหาราช แล้ววงศ์อู่ทอง ก็มาปกครองตั้งเป็นเมืองขึ้นที่อยุธยา แล้วต่อมาชาวสุโขทัยก็เข้า ปนเปผสมผเสกันอยู่ ถ้าเราจะพิจารณาดู เดาๆ เอานะ เดาๆ เอา ก็คิดว่าพระราชวงศ์จักรีนี้มาจากวงศ์สุโขทัย จะเท็จจะจริงประการใดเป็นการรู้ก่อนเกิด ขอยุติไว้เพียงเท่านี้

เอาละ.. เรื่องเมืองเชียงแสน อาศัยความดีที่คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ มีกำลังใหญ่ แล้วก็ท่านทั้งหลายที่ประกอบไปด้วยธรรมสามัคคี ทุกคนมีความดีเป็นที่น่าสรรเสริญเป็นกรณีพิเศษ มีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วก็มีความกตัญญูรู้คุณต่อองค์ปฐมกษัตริย์ คือบุพการี ตั้งใจบำเพ็ญกุศลบุญราศี สนองให้แก่ท่านแล้วตั้งใจให้กุศลนี้นั้น และอ้อนวอนสมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์ทั้งหลาย พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด ปรากฏถึงท่านบุพการี

ขอจงปกครองระงับเหตุร้ายของประเทศไทยนี้ ให้ยับยั้งจากการนองเลือด หรือว่าบรรเทาการนองเลือดให้บรรดาประชาชนคนไทยทั้งหลายได้มีความสุข บุคคลใดเป็นแกะดำสร้างความทุกข์ให้แก่คนไทย ขอท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงพินาศด้วยการสิ้นกำลังใจกำลังกายที่จะก่อเหตุร้ายให้เกิดขึ้น

นี่...เป็นอันว่าท่านทั้งหลายสร้างแต่ความดี ไม่มีใครเห็นแก่ตัว เมื่อประกาศว่าใครจะทำหมวก (ฉัตร) ถวายสมเด็จพระทรงพลบ้าง พรึ่บพรั่บๆ ปรากฏว่าเงินทั้งหมดถึงเก้าพันหนึ่งร้อยบาทเศษ รวมกับเงินทุนที่คุณเสริมศรี เกษมศรีบอกว่ามีอยู่แล้วสี่หมื่น ถ้ารวมแล้วยอดจริงๆ ก็เป็นห้าหมื่นเวลานี้ นี่จัดว่าเป็นความดีของทุกท่านที่น่าสรรเสริญอย่างยิ่ง ของบรรดาพสกนิกรชายหญิงของพระบรมกษัตริย์องค์ปัจจุบัน แล้วเป็นลูกหลายของบุพการี

ขอคนไทยทั้งประเทศนี้ ที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อประเทศไทย ไม่ตั้งใจทำลายไทย ขอท่านทั้งหลายจงอยู่เป็นสุขปราศจากทุกข์ ปราบอริราชศัตรูด้วยความเฉียบพลัน ด้วยความธรรมสามัคคี ร่วมมือร่วมใจกัน ข้าศึกทั้งภายในและภายนอกนี้นั้นจะพินาศ เสียกำลังไปได้เพราะความเด็ดขาด เฉียบพลัน และความรอบคอบเท่านั้น

เอาละ...ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าในฐานะนายพรหมกะร่องกะแร่งเต็มที ก็ขอยุติเรื่องราวที่กล่าวมานี้ (จริงหรือไม่จริงก็ช่างมัน ตามอัธยาศัยของตาพรหมคนนี้) ขอความสุขสวัสดี จงมีแต่ท่านผู้รับฟังและท่านผู้อ่านทั้งหลาย สวัสดี



ต่อมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้นำคณะศิษย์ไปทำพิธียกฉัตร ณ พระธาตุจอมกิตติ
เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๘


◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 18/9/10 at 09:49 [ QUOTE ]




6
(Update 18-09-53 )

ปักษ์ใต้ - ภูเก็ต, หาดใหญ่

ตอนที่ 1



วันนี้ เป็นวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๑๗ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๒ ค่ำเดือน ๑๐ ได้มีโอกาสมาบันทึกเรื่องเดินทางไปสายใต้ ทั้งนี้เพราะว่าได้อาศัยท่าน ม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์ รองผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิต จังหวัดกระบี่ และท่านผู้อำนวยการ ตลอดจนกระทั่งบรรดาท่านเจ้าหน้าที่ของโรงไฟฟ้าทั้งหมดเป็นผู้อุปการะ ออกค่าเดินทางให้ทั้งหมด

การเดินทางคราวนี้มีผู้ติดตามหรือว่าร่วมเดินทางไปด้วย ก็คือ
๑.ท่าน พล.อ.ต. ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสาร ทอ.
๒.เจ้าคุณมัสสุสิงหนาท (เหม่)
๓.คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ภรรยาเจ้ากรมสื่อสาร ทอ. แล้วก็
๔.คุณหญิงสมสมัย ศรีไชยยันต์ ภรรยาพลโท อัมพร ศรีไชยยันต์ แล้วก็
๕.คุณนวลน้อย โลห์พันธ์ศรี
๖.คุณนนทา อนันตวงษ์
ทั้งคณะได้ออกเดินทางเมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๑๗

การเดินทางไปคราวนี้ ท่านผู้ไปแต่ละท่าน ก็นำทุนกันไปตามระเบียบ อาตมาผู้ไปไม่มีทุน ต้องอาศัยทุนของท่านม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์ พร้อมด้วยคณะของท่าน แต่ว่าคนของโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตยันฮีทั้งหมด ได้ให้การอุปการะจัดหาพาหนะ ที่พัก และอาหารการบริโภค

เป็นอันว่าการเดินทางคราวนี้ เป็นภาระของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตจังหวัดกระบี่ซึ่งมีผู้อำนายการ (ไม่รู้จักชื่อ) และ ม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์ รองผู้อำนวยการ เป็นผู้จัดการ การเดินทางเขามีหมายกำหนดการให้ แต่ทว่าการพูดเรื่องการเดินทางไปสายใต้คราวนี้

เห็นจะต้องกราบเรียนบรรดาท่านพระสงฆ์ทั้งหลายในพระพุทธศาสนา เรียนบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาด้วย เพราะอาจจะเห็นว่าอาตมานี้ไม่เคารพในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คือกล้าพูดในเรื่องที่เขาเรียกว่า เป็นการอวดอุตริมนุสธรรม ท่านว่ายังงั้น

คำว่าอุตริมนุสธรรมก็หมายความว่า ธรรมอันยิ่งที่บุคคลธรรมดาไม่สามารถจะพบได้หรือจะมีขึ้นมาได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าคำว่าคนธรรมดา แปลว่าผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ก็ไม่สามารถจะพบเหตุอีกประการหนึ่งที่เราเรียกกันว่าอทิสมานกาย นี่เขาเห็นกันไม่ได้ เพราะว่าอารมณ์ใจหมกหมุ่นไปด้วยกิเลส คือนิวรณ์ ๕ ประการ

ส่วนอาตมา ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำหรับหลวงพ่อปานนี้ ใครๆ ก็ทราบว่า ท่านมีคุณธรรมพิเศษเพียงใด เคยอบรมสั่งสอน (อาตมา) มาพอสมควรเท่าที่จะบรรจุได้ วิชาความรู้ทั้งหลายหลวงพ่อปานไม่เคยปิดบังลูกศิษย์ พร้อมที่จะบรรจุให้อยู่เสมอ

แต่ทว่าอาตมาผู้เป็นศิษย์ได้รับมาเพียงเล็กน้อย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์รู้เรื่องอทิสมานกายนี้ก็ปรากฏมาตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ ถ้าไปนอนที่ไหน ถ้ามีอะไร มีคนตายแล้วกี่คน ที่นั่นมีอะไรกันบ้าง มีผีประจำบ้าน มีเทวดาประจำบ้าน มีความศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเพียงใด หรือที่สถานที่ใดย่อมปรากฏในเวลาก่อนจะหลับ หรือเวลาตื่นใหม่ๆ เสมอ

อันนี้จึงไม่เป็นของแปลกที่จะเห็นหรือจะพบอะไรได้ ในเมื่อความจำเป็นบังเกิด เพราะว่ามันติดมาตั้งแต่เกิด จะหาว่ามาสร้างคุณธรรมพิเศษ คือพิเศษกว่าบุคคลบางคนเท่านั้น แล้วเวลานี้หลายๆ คน ทั้งพระทั้งฆราวาสท่านก็ทำกันได้ ท่านก็รู้กันได้ รู้สึกว่าจะเป็นของไม่แปลก

แต่ทว่าการพูดไปถ้าไม่เกินวิสัยของท่านผู้อ่านที่จะพบได้ เห็นได้ จะคิดว่าเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม ก็ไม่ได้ว่าอะไร อย่าลืมว่าอุตริมนุสธรรม พระพุทธเจ้าปรับโทษเฉพาะบุคคลผู้ที่ไม่ได้เท่านั้น แล้วไปบอกว่าเห็น แต่ว่าบุคคลที่เห็นได้แล้วบอกว่าเห็น ท่านไม่ได้บอกว่าจะปรับโทษ

อันนี้ก็ขอบรรดาภิกษุสามเณรผู้ทรงคุณธรรมพิเศษ หรือว่าจัดว่าเป็นปูชนียบุคคลผู้ทรงธรรมวินัย หรือบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่มีความเคารพในพระศาสนา กรุณาใคร่ครวญกันเอาเอง การที่อาตมาบอกความจริงบางอย่าง จะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรมหรือไม่ก็ว่ากันไปตามใจของท่าน

แต่ความจริงเรื่องการพบ เรื่องการเห็นอทิสมานกาย คือเป็นกายที่เราไม่สามารถจะเห็นด้วยตาเนื้อ อันนี้ เป็นคุณธรรมชั้นต่ำมากในพระพุทธศาสนา เพราะว่าเป็นแต่เพียงทำจิตให้เข้าถึงอุปจารสมาธิ ยังไม่เข้าถึงอารมณ์ฌาน เพียงนี้เขาก็เห็นกันได้เขาก็คุยกันได้แบบสบาย เวลานี้ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย เด็กหนุ่มเด็กสาวก็สามารถจะเห็นได้

บางทีพระบางท่านจะอายเสียก็เป็นได้ เพราะว่าได้กล่าวคัดค้านความเป็นจริงของเขา แต่ว่าการพบการเห็นก็ดี สำหรับจิตที่ประกอบไปด้วยโลกีย์วิสัย ยังเป็นปุถุชน หรือว่าเป็นกลัยาณชน บุคคลผู้ทรงฌานได้พอสมควร อันนี้มีอุปาทานผสมอยู่ด้วยเป็นเรื่องธรรมดา

การจะผิดพลาดเพราะอาศัยไม่มีเจตนาจะโอ้อวด ก็ไม่น่าจะลงโทษกัน ควรจะสนับสนุนบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้นให้ทรงไว้ซึ่งความดี ถ้าเราเห็นว่าสิ่งใดยังไม่เข้าเขต ยังไม่เจ้าจุดสมควรกับความดีที่จะพึงได้รับก็ช่วยกันสนับสนุน ช่วยกันแนะนำ อันนี้อาตมาว่าจะดีกว่าที่เราจะไปนั่งจ้องจับความผิดของบุคคลอื่น ซึ่งเราเองไม่สามารถจะทำได้

ถ้าหากว่าบรรดาพวกเราทั้งหลายเคารพพระศาสนากันจริงๆ แล้วก็ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากันจริงๆ ฝึกฝนสมาธิจิตให้เกิดขึ้น ก็รู้สึกว่าจะเป็นของไม่แปลก เรื่องการเห็นผีเห็นเทวดานี่เป็นของไม่แปลก แต่ที่จะแปลกอยู่นิดหนึ่งก็คือว่า เราสนใจทางอื่นกันมากกว่า

เราอยากได้ขั้น เราอยากได้แต้ม เราอยากมียศถาบรรดาศักดิ์ ฝักใฝ่ในความรุ่งเรืองในโลกีย์วิสัย จนกระทั่งลืมคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา อย่างนี้ก็โทษกันไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าการศึกษาตามตำรา บางทีเราลงทุนกันมาตั้ง ๑๐ ปีต้องใช้วิริยะอุตสาหะเป็นอย่างมาก

แต่ทว่าเราจะมาฝึกฝนความรู้ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนในด้านปฏิบัติ ถ้าใช้ความเพียรจริงๆ ตั้งอารมณ์ให้ถูกต้องก็จะใช้เวลาไม่เกิน ๓ ปี ก็จะเห็นผลความดีของพระพุทธศาสนา อันนี้ ขอฝากบรรดาพุทธบริษัท และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรที่ประกาศตนเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้ด้วย

กำหนดการเดินทางไปภูเก็ต

อาตมาผู้มีนามว่า พระมหาวีระ ถาวโร (นี่ชาวบ้านเขาตั้งให้ แต่ว่าพ่อแม่ตั้งให้น่ะ จะไม่นำมากล่าว จะไปชนกับเรื่องอื่นเข้า) เป็นผู้ได้รับการอุปการะของทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จังหวัดกระบี่ มี ม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์ เป็นผู้สนิทสนมติดต่อมา การอุปการะก็มีท่านผู้อำนวยการไฟฟ้าเป็นประธาน พร้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ท่านทำหมายกำหนดการไว้ดังนี้ เฉพาะวันต้น คือ...

เวลา ๗ นาฬิกาตรง ออกเดินทางโดยเครื่องบิน บ.ต.ท จากสนามบินดอนเมือง ๙ นาฬิกา ๕ นาที ถึงสนามบินภูเก็ต ไปลงที่ภูเก็ต
แล้ว ๙ นาฬิกา ๓๐ นาที ออกจากสนามบินภูเก็ตขึ้นรถยนต์ไปเที่ยวกัน
๑๐ นาฬิกา ๑๐ นาทีถึงหาดสุรินทร์
แล้วก็ ๑๐ นาฬิกา ๔๐ นาที ออกจากหาดสุรินทร์เดินทางต่อไป

๑๑ นาฬิกา ๒๐ นาที ฉันอาหารเพลในตัวเมืองภูเก็ตหรือสงขลาตามแต่เวลาจะอำนวย ทีนี้
๑๒ นาฬิกา ๓๐ นาที ออกจากตัวเมืองภูเก็ต
เวลา ๑๓ นาฬิกา ๑๕ นาที ถึงบังกาโลภูเก็ตไอแลนด์ เข้าพักผ่อนชั่วขณะ เวลา ๑๕ นาฬิกา ชมภูเก็ตไอแลนด์ เที่ยวกันไปเที่ยวกันมา

เวลา ๑๔ นาฬิกา ๓๐ นาที ออกจากภูเก็ตไอแลนด์โดยรถยนต์ไปชมหาดราไว พวกเราพักกินข้าวเย็นกันที่นั่น (คำว่า “พวกเรา” นี่ไม่หมายอาตมาด้วย คือ คณะพวกเดินทางไปด้วย) แล้วก็ชมทะเล ชมเหมืองแร่ดีบุกซึ่งอยู่ใกล้เส้นทาง แล้วขึ้นชมเขารัง ดูทัศนียภาพเมืองภูเก็ตบนเขารัง

เวลา ๑๙ นาฬิกา ๓๐ นาที ไปพักที่บ้านรับรองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ภูเก็ต
เวลา ๒๐ นาฬิกา สนทนากับท่านพุทธบริษัท คือ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ภูเก็ต

นี่...ดูตามหมายกำหนดการของท่านแล้ว เกือบจะหายใจไม่ออก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอาตมาเองร่างกายไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นโรคกระเพาะอาหารไม่สะดวก แล้วก็มีความดันโลหิตต่ำ หมายกำหนดการแต่ละวันก็รู้สึกเป็นเรื่องหนักมาก ตั้งแต่เช้ายันเย็น แล้วก็พอค่ำหน่อยไปเลิกเอาประมาน ๕ – ๖ ทุ่ม ยังงี้ก็รู้สึกว่าหนักมาก

แต่อาศัยศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัท เห็นใจท่านผู้ออกเงินออกทองให้เดินทางเที่ยว แล้วก็อีกประการหนึ่งท่านก็มีความประสงค์ว่า จะไปแจกธรรมกับบรรดาท่านพุทธบริษัทสายใต้ แต่ความจริงข้อท้ายนี้อาตมาเห็นว่ามีผลน้อยเกินไป ด้วยการพบกันประเดี๋ยวเดียวเราจะให้ธรรมกันน่ะมันเป็นของยาก รู้สึกว่าเป็นของยากมาก

คือว่าการพบกันเล็กน้อยแล้วจะให้แจกธรรมเป็นของลำบาก การจะให้เข้าในธรรมประการหนึ่ง แล้วอีกประการหนึ่งบุคคลผู้มีอารมณ์เป็นฝ่ายตรงข้ามกับธรรมะก็มีมาก แต่ว่าอาศัยศรัทธาท่านผู้บริจาคทรัพย์ ก็ไปตามใจท่าน

ตอน ๖ โมเช้าเศษ คณะพร้อมตัวผู้ไปส่ง (มีท่านผู้ไปส่งมากมายถึงสนามบินดอนเมือง) บรรดาท่านสุภาพสตรีทั้งหลายก็เป็นห่วงเรื่องอาหาร เพราะว่าอาตมาฉันอาหารเวลา ๗ โมงเช้าพอดี โดยมาก็ฉันอาหารอ่อนๆ เพราะเป็นโรคกระเพาะ ก็นำอาหารมาถวายเสร็จ

สักครู่หนึ่งก็ปรากฏว่าเครื่องบินออก เมื่อเครื่องบินจะเดินทาง ความจริงการขึ้นเครื่องบินนี่ เป็นธรรมดาของบรรดาประชาชนทั้งหลายในสมัยปัจจุบัน แต่ว่าหลายท่านอาจจะเห็นว่าเป็นของแปลกก็ได้ คือว่าเครื่องบินเป็นอันตรายได้ง่าย ไม่เหมือนรถไม่เหมือนเรือ รถถ้าเสียก็ค้างถนน เรือถ้าเสียก็ค้างน้ำ เครื่องบินล่ะ ถ้าเสียไม่มีอะไรจะค้างพุ่งลงมาหาพื้น พื้นปฐพี นี่เป็นอันว่าอันตรายจะมีจากเครื่องบินได้ง่าย

เมื่อก่อนจะขึ้นเครื่องบิน เช้ามืดก่อนจะเดินทางวันนั้น พักอยู่บ้านท่านพลอากาศตรี ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ ก็นึกอาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ พรหมและเทวดาทั้งหมดที่เคารพในพระพุทธศาสนา ขอให้อุปการะ อย่าให้มีอันตรายเกิดขึ้น ปรากฏว่าการเดินทางวันนั้นสะดวกสบายทุกประการ ไม่มีอันตรายระหว่างทาง

ขณะที่นั่งไปในเครื่องบิน เขาจัดหมายเลขให้อยู่หน้าสุด แล้วบรรดาบริษัทที่ร่วมทางเขาจัดให้อยู่ทางด้านท้าย ในที่สุดท่านเจ้าคุณมัสสุสิงหนาทท่านเห็นว่า อาตมาเป็นผู้ที่จะเหงาเกินไปก็เลยมานั่งร่วม จะได้คุยกัน ขึ้นไปบนอากาศมองลงมาข้างล่างชมทิวทัศน์ มีธารน้ำ ลำคลอง ผืนแผ่นดิน ป่าไม้และภูเขา

แล้วก็เขามองไปเบื้องสูง สายตาก็บอกอีกว่าฟ้าน่ะยังอยู่ไกล ความจริงขณะที่ขึ้นเครื่องบินไป เครื่องบินบินสูงกว่าเมฆขาวมาก แลเห็นเมฆฝนอยู่ต่ำกว่า แล้วก็เมฆขาวตามปกติที่เรามองขึ้นไปบนฟ้าเราก็รู้ว่ามันสูง แต่ว่าผนังการบิน เวลานั้นเจ้าหน้าที่การบิน บินสูงกว่าเมฆขาว รู้สึกว่าเมฆขาวอยู่ต่ำลงมามาก

แล้วก็มองขึ้นไปเบื้องบนก็มองเห็นฟ้า ที่เราเรียกกันว่าฟ้าว่ามันก็อยู่ไกลเท่าเดิม ตอนนี้จึงได้มาคิดถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ว่าโลกนี้หาที่สุดมิได้ เราคิดว่ามันจะจบลงตรงนี้ ความจริงหาที่จบไม่ได้ เมื่ออยู่ที่พื้นดินมองเห็นเมฆขาวสูง แล้วก็ฟ้าที่มีอำนาจเหนือขึ้นไปหน่อย เป็นเพดานคั่นโลก มันอยู่แค่นั้น

คิดว่าฟ้านี่ไม่สูงนักมันต่ำ แต่พอขึ้นเครื่องบินขึ้นไปเลยเมฆขาวขึ้นไปมาก มองไปอีกฟ้ามันก็สูงตามปกติ นี่ ถ้าเราบินขึ้นสูงขึ้นไปกว่านั่นสัก ๑๐ เท่า ก็จะเห็นว่าฟ้ามันสูงขึ้นไปอีก คำว่าโลกหาที่สุดไม่ได้ของพระพุทธเจ้าก็ชื่อว่าเป็นความจริง เราชื่อว่าอยู่แค่นี้มันก็กลายเป็นลอยไปแค่โน้น หาที่สุดไม่ได้จริงๆ นั่งไปก็คิดถึงองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาใกล้จะถึงภูเก็ต เห็นเมฆขาวลอยเป็นกลุ่มเหมือนกับหมู่เขาเมฆ หนาทึบมาก มองลงมาข้างล่างเห็นเมฆลอยเร็ว ตอนนี้ก็คิดว่าเครื่องบินคงจะพบกับความแรงของลม อีกประการหนึ่งในดินแดนแถวนั้นก็มีภูเขามาก ถ้าลมกระทบภูเขาก็จะพุ่งขึ้นมากระทบเครื่องบิน ทำให้เครื่องบินสั่น

อาจจะเกิดอันตรายแก่เครื่องบินก็ได้ ถ้าเครื่องบินหล่นลงไป ก็หมายความว่าคนทั้งหมดที่นั่งเครื่องบินตายหมด เมื่ออารมณ์คิดแบบนี้แล้ว ก็ปรากฏว่าพบพรหมท่านหนึ่งมีนามว่า ท้าวมหาชมพู เป็นพรหมชั้นที่ ๘ ท่านผู้นี้พบบ่อยๆ

ท่านปรากฏเฉพาะหน้า ก็เลยถามท่านว่าเวลาเครื่องบินจะลงน่ะ จะเป็นอันตรายไหม เพราะตรงนี้ก็เป็นซอกเขาแคบ เครื่องบินเสียหลักนิดเดียวก็หมายถึงว่าต้องชนเขา
ท่านก็บอกว่าไม่มีอันตราย ลงไปต่ำเครื่องบินจะกระทบลมแรงนิดหน่อย เครื่องบินจะสั่นสะเทือนแล้วก็ลงแบบสบายๆ ก็เลยเบาใจ

ในที่สุดเมื่อเวลากำหนดมาถึง เวลา ๙ นาฬิกา ๕ นาที ดูเหมือนว่าวันนั้นเครื่องบินจะเสียเวลาไป ๑๕ นาที เวลา ๙ นาฬิกา ๑๐ นาที เครื่องบินก็แตะพื้น เมื่อลงไปแล้วก็พบท่าน ม.ล.วรวัฒน์ กับเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตจังหวัดกระบี่ มารอบรับอยู่ก่อนแล้ว คณะทั้งหมดเข้าไปพักอยู่ในที่รับรองของสนามบิน พอสมควรแก่เวลาก็ออกเดินทางกันต่อไป



ชายหาดสุรินร์ จ.ภูเก็ต

เมื่อออกจากสนามบินแล้ว ก็จะเดินทางไปหาดสุรินทร์ ตอนนี้ ขณะที่นั่งไปในรถ ปรากฏว่าเห็น อำเภอถลาง เขาเขียนว่า อ.ถลาง ก็นึกถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาได คำว่าเมืองถลางนี้ (เดิมเขาเรียกกันว่าเมืองถลาง) เคยถูกข้าศึกเข้ามาย่ำยี เวลานั้นพ่อเมืองหรือว่าเจ้าเมืองเข้ามาเสียในกรุงเทพฯ

ก็มีท่านสุภาพสตรี ๒ ท่าน คือ ท้าวเทพกษัตรี และศรีสุนทร ๒ พี่น้อง แต่งตัวเป็นผู้ชาย ทำงานเป็นแม่ทัพวางแผนปราบปรามข้าศึกจนพ่ายแพ้ไป นี่พอนึกขึ้นมาแบบนี้ก็คิดว่า เอ๊ะนี่เรามาเดินอยู่บนผืนแผ่นดินที่คุณป้าทั้งสองผู้มีพระคุณใหญ่ รักษาผืนแผ่นดินนี่ไว้

ถ้าเวลานั้นเราไม่ได้คุณป้าทั้งสองนี้ก็ยังไม่แน่นักว่า จังหวัดภูเก็ตจะเป็นของเราหรือเป็นของใคร ก็เลยมีความรู้สึกฮิตขึ้นมาว่าเวลานี้คุณป้าทั้งสองไปอยู่ที่ไหน ถ้าเราพบได้ก็จะดี พอคิดได้เพียงเท่านี้ก็ปรากฏว่าท่านป้าทั้งสองมาปรากฏอยู่ที่ข้างรถพอดี ยกมือไหว้ เห็นรูปร่างหน้าตาของท่านเป็นสมัยที่ท่านปราบทัพหรือเป็นแม่ทัพ

อย่างนี้เขาเรียกว่าแม่ทัพแท้ๆ ไม่ใช่พ่อทัพ สำหรับผู้ชายที่เป็นผู้บัญชาการทัพควรจะเรียกว่าพ่อทัพ นี่ผู้หญิงเป็นผู้บัญชาการทัพ ควรจะเรียกว่าแม่ทัพ นี่พูดอย่างคนที่ไม่รู้ภาษาคน

ก็เลยถามคุณป้าทั้งสองว่าเวลานี้อยู่ที่ไหน
ท่านบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ก็เลยถามว่าการสงครามรบทัพจับศึกนี่ฆ่าคนตายไปสวรรค์ด้วยรึ
ท่านยิ้มแล้วก็ย้อนถามว่า ท่านก็เคยเป็นแม่ทัพมา เคยเป็นลูกทัพมา เคยเป็นทหาร เคยฆ่าคนมาเป็นอันมาก แล้วก็เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเป็นอันมาก ทำไมถึงไม่ลงนรกบ้างล่ะ ก่อนที่จะมาเกิดนี่ น่าจะมาจากนรกนี่

.....เอาเข้าแล้ว โดยคุณป้าย้อนเข้าให้แล้ว ก็เลี่ยงว่าไอ้เรื่องนั้นฉันจำไม่ได้ เรื่องก่อนเกิดนี่ฉันไม่รู้ เรื่องของป้าก็เหมือนกัน มันก่อนฉันเกิด แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง ไหนคุณป้าลองเล่าให้ฟังซิว่าคุณป้าเองเป็นคนวางนโยบายฆ่าคนเป็นจำนวนมาก แล้วคุณป้าไปดาวดึงส์ได้ยังไง

คุณป้าก็ตอบว่า เรื่องอะไร ฉันทำบาปได้ฉันก็ทำบุญได้ การทำบาปคราวนั้นฉันพลีชีวิตเลือดเนื้อสติปัญญา กำลังกาย กำลังใจ ก็เพื่อความสันติสุขของประชาชนส่วนมาก ฉันไม่ทำเพื่อส่วนตัว เขาจะตั้งฉันเป็นท้าวหรือเป็นบาทาอะไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของพระราชาเป็นผู้ตั้ง

เวลาทำฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น (เอาเข้าแล้ว) เมื่อทำแล้ว ฉันรู้ว่าเป็นบาป ฉันก็เลยทำบุญทำกุศล ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว เวลาตายแล้วก็ไปสวรรค์ มันจะเป็นอะไรไป

ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม เรื่องนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน เป็นเรื่องที่ผีพูดให้ฟัง เมื่อขณะคุยกันมาก็ปรากฏว่าพบอนุสาวรีย์ของท่านทั้งสอง ก็มองไปที่อนุสาวรีย์ แล้วก็มองรูปโฉมลักษณะของท่าน เวลาที่ท่านคุยด้วยเห็นสภาพคล้ายคลึงกัน

จึงนึกชมในใจว่า คนปั้นภาพนี่ช่างกระไร ช่างเก่งจริงๆ ไม่ทราบว่าภาพถ่ายของท่านมีไว้บ้างหรือเปล่า ถ้าภาพถ่ายไม่มีไว้ก็แสดงว่าท่านผู้ปั้นมีจินตนาการได้ดีมาก หรือดีไม่ดีก็ท่านทั้งสอง คือคุณป้าทั้งสองดลใจให้ปั้นภาพได้คล้ายคลึงความเป็นจริงของท่าน คือ รูปจริงๆ ของท่าน คือคล้ายมาก

ที่นี้ เมื่อพบป้าทั้งสองก็เลยบอกว่าคุณป้า ที่เรียกป้าก็เพราะว่าอายุแก่กว่าแม่หรือว่าแก่กว่าพ่อ เพราะพ่อแม่เวลานี้ไปเทียบกับท่าน ท่านก็อายุหลายร้อยปีแล้ว ท่านพ่อท่านแม่คงอายุไม่ถึงร้อยปี หรือนับเวลานี้ก็ร้อยปีเศษๆ ไม่เท่าท่าน ก็เลยเรียกท่านว่าป้า

ต่อมา เมื่อรถพาไปถึงหาดสุรินทร์ คลื่นโตอากาศเย็นสบาย สิ่งที่ชอบใจที่สุดก็คือส้วมสะอาด ไปชมหาดสุรินทร์เป็นเวลาสมควร
เวลา ๑๐ นาฬิกา ๔๐ นาที ก็ออกจากหาดสุรินทร์ เดินทางต่อไปเข้าตัวเมืองภูเก็ต ตอนนี้ก็กินข้าว พวกที่ไปด้วยเขากินข้าว อาตมาก็ฉันข้าว มันก็มีสภาพแบบเดียวกัน

เวลา ๑๒ นาฬิกา ๓๐ นาที ออกจากตัวเมืองภูเก็ต วิ่งเลาะลัดไปตามอารมณ์ ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงบังกะโล ภูเก็ตไอแลนด์ ตั้งใจจะไปวัดฉลองก่อน ที่หลวงพ่อแช่มอยู่





มณฑปที่ประดิษฐานรูปปั้นหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง จ.ภูเก็ต

พอไปถึงวัดฉลอง รถก็นำเข้าไป เวลานั้นฝนตก ทุกคนตั้งใจบูชา "หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง" หลวงพ่อแช่มวัดฉลองนี่ หลวงพ่อปานวัดบางนมโคมีความเคารพมาก ถือว่าเป็นพระวิเศษ ที่มีความดีเป็นพิเศษจริงๆ ตามประวัติของท่าน หลวงพ่อแช่มถูกปิดทองมาตั้งแต่ยังไม่ตาย

เขาลือกัน หรือข่าวเขาพูดกัน เหตุที่จะเกิดขึ้นแบบนั้นก็เพราะว่ามีชาวจีน ๒ – ๓ คน (กี่คนก็ไม่ทราบ) ลงเรืออกไปทางทะเล คงจะไปหาปลา หรือยังไงก็ไม่ทราบเหมือนกัน ถูกลมใหญ่ เรือจะเป็นอันตราย แกก็ตั้งใจ บนใครต่อใครก็ตามลมก็ไม่หยุด แกก็กล่าววาจาว่าขออาราธนาบารมีหลวงพ่อแช่มวัดฉลอง ขอให้ช่วยให้พ้นจากอันตราย ขอให้ลมร้ายนี้หยุด หยุดไปไม่มีอันตราย

แล้วกลับไปจะปิดทองท่าน ปรากฏว่าลมหยุดพอดี ตอนนี้ซีเป็นเรื่องใหญ่ ตาแป๊ะ ๒ คนกลับเข้ามาแล้วก็พากันเข้ามาปิดทองหลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อแช่มท่านเป็นพระสงฆ์ เวลานั้นท่านยังไม่ตาย เมื่อจะโดนปิดทองแบบนั้นท่านก็ไม่ยอม ท่านบอกว่าไม่ได้หรอก การปิดทองข้านี่ไม่เป็นเรื่อง แกก็ไปปิดทองพระพุทธรูปซี ใครเขาปิดทองพระสงฆ์

ตาแป๊ะ ๒ คนแกบอกว่าเวลาแกบนให้ลมหยุดน่ะ แกบนหลวงพ่อแช่ม แกไม่ได้บนพระพุทธรูป แกไม่ยอม แกจะปิดให้ได้ ในที่สุดหลวงพ่อแช่มก็ต้องยอมแก ให้ปิดที่หน้าแข้ง เมื่อปิดแล้วท่านก็เอาน้ำล้างเสีย

ต่อมาใครเป็นอะไรขึ้นมา ป่วยไข้ไม่สบายขึ้นมาหรือเกิดเหตุร้าย ความไม่สบายใจ ความไม่สมใจเกิดขึ้นก็บนหลวงพ่อแช่มปิดทอง เป็นอันว่าหลวงพ่อแช่มก็ต้องรับในการปิดทองแล้วก็ล้างหน้าแข้งทุกครั้ง จนกระทั่งแข้งท่านจะไม่ค่อยดีนักเพราะถูกปิดทองบ่อยๆ นี่เรื่องของหลวงพ่อแช่ม เขาเรียกว่าหลวงพ่อแช่มแข้งทอง

แล้วต่อมาอีกกาลหนึ่ง ท่านผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่ามีพวกจีนฮ่อขึ้นจังหวัดภูเก็ต มีกำลังมากหลายร้อยคน พอขึ้นมาแล้วก็ทำอันตรายแก่ชาวบ้าน ยื้อแย่งทรัพย์สินบ้าง ลูกสาวใครสวยๆ ก็ดึงเอาไปเสียบ้าง ลูกเขาเมียใครพวกนี้ไม่ถือ จนกระทั่งบรรดาประชาชนทั้งหลายมีความเดือดร้อนมาก

สมัยนั้น ก็สงสัยเหมือนกันว่าทางการหายไปไหน หรือทางการเห็นว่ายังไม่ร้ายเกินไป คงจะตั้งท่าไว้ตั้งค่ายไว้ที่ไหนก็ไม่ทราบ คอยรับจีนฮ่อ แต่ว่าคนที่อยู่ใกล้ที่สุดนี่ได้รับความเดือดร้อน ทางการไม่ให้การคุ้มครอง บรรดาประชาชนทั้งหลายก็มาหาหลวงพ่อแช่ม ว่าจีนฮ่อขึ้นมาคราวนี้มาทำอันตรายทุกที

ไม่ช้ามันก็อาจจะมาเผาบ้านเผาเมืองยื้อแย่งเอาทรัพย์สินไปหมดพวกเราก็อดตาย หลวงพ่อแช่มก็รับอาสาว่าไม่เป็นไร มารวมกันที่วัดให้หมด เอาผู้หญิงผู้ชายคนทั้งหมดมารวมกัน ท่านก็เสกผ้าแดงให้ ว่าไม่ต้องกลัวมัน

มีอาวุธยุทโธปกรณ์เท่าไหร่เอามารวมกัน ที่นี่ตั้งเป็นฐานทัพมันมารังแกเรา เราต้องสู้ แล้วก็รับรองว่าผ้าแดงที่เสกให้นี่ศัตรูไม่สามารถจะทำอันตรายได้ อยู่ยงคงกระพัน หนังเหนียวฆ่าไม่ตาย แล้วก็ไม่มีอันตรายจากอาวุธ

บรรดาประชาชนก็มีกำลังใจมาก เมื่อชาวบ้านไปรวมกันที่นั่นถึงเวลาที่จีนฮ่อจะมารุกรานชาวบ้าน เวลานี้คงยังจะไมคิดจะเอาเมือง คงจะรุกรานหยั่งกำลังดูก่อน ดีไม่ดีก็หาวิธีแบบปล้นคนที่สู้ไม่ได้ ทางการคงจะตั้งกำลังไว้ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เป็นการรับมือกับจีนฮ่อ แต่ว่าปล่อยให้ชาวบ้านรับกรรมไปตามยถากรรม

ตอนนั้นเอง ปรากฏว่ามีคนมารายงานว่าจีนฮ่อขึ้นบกมาอีกแล้ว หลวงพ่อแช่มก็สั่งบรรดาผู้ชายทั้งหลายตั้งฐานทัพเตรียมสู้ แกบอกไว้ก่อนว่าถ้าศัตรูเข้ามายังไม่ใกล้ ฉันยังไม่สั่งยิงก็อย่าเพิ่งยิง

ความจริงไอ้เมืองถลางนี่ก็มีประโยชน์มาก จังหวัดภูเก็ต หรือว่าเกาะภูเก็ต ตอนหนึ่งมีผู้หญิงเป็นแม่ทัพ ตอนนี้มีพระเป็นแม่ทัพ น่าคิดเหมือนกัน อย่างนี้ควรจะเรียกว่าพระทัพ เรียกว่าพระทับใจชาวบ้าน เมื่อคนเขามารายงานบอกว่าข้าศึกเข้ามาใกล้แล้ว

ท่านก็บอกว่า เอ้าพวกเราตามฉันมา เวลานั้นปรากฏว่าท่านแก่มาก เดินไม่ค่อยไหว ชาวบ้านก็ให้ขึ้นคานหาม หามไปที่หลังวัด
ท่านบอกว่าพวกเธออยู่ข้างหลัง ฉันอยู่ข้างหน้า เป็นผู้บัญชาการทัพ ไม่ต้องกลัวใคร ไม่ต้องกลัวอันตราย ไหนๆ ๆ ข้าศึกมันอยู่ที่ไหน จีนฮ่อมันอยู่ที่ไหน


...... ชาวบ้านเขาก็ชี้ให้ดูว่าชาวบ้านมันขึ้นมาโน่น มีกำลังประมาณ ๓ – ๔ ร้อยคน แต่พวกชาวบ้านที่จะมีกำลังต่อต้านกับจีนฮ่อได้ มีกำลังประมาณร้อยคนเศษๆ พอท่านเห็นจีนฮ่อ

ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวพวกเรา ล้อมไว้ก่อน อย่าเพิ่งยิง รอฉันก่อน ท่านก็ยกไม้เท้าของท่านกระทุ้งดิน ๓ ครั้ง ว่าคาถาว่า เตสาติจะ นะ เตสาติจะ กระทุ้งปั้ก เตสาติจะ กระทุ้งอีกทีหนึ่ง เตสาติจะ กระทุ้งอีกที

ท่านอาจจะใช้กำลังใจ ว่าคาถาบทนี้อาจจะเป็นหัวใจอะไรก็ได้ ก็ไม่ทราบ แปลไม่ออก ศัพท์ กรณีที่แปลไม่ออกเขาถือว่าเป็นหัวใจ พอเอาไม้กระบองกระทุ้งดิน ๓ ที

ปรากฏว่าบรรดาจีนฮ่อทั้งหลายวิ่งหนีโชน แต่ไม่ได้สั่งให้ชาวบ้านกวด บางรายลงเรือไม่ทัน ลงน้ำลงท่าไป มาสืบได้ทีหลัง
บอกว่า เขาเล่ากันว่า จีนฮ่อเห็นว่าเขามากันเต็มไปหมด กองทัพของรัฐบาลมีอาวุธยุทโธปกรณ์มาก มีกำลังสูงกว่า พวกตัวจึงหนีลงเรือ บางคนลงเรือไม่ทันก็ลงน้ำไป นี่ความดีของหลวงพ่อแช่ม เมื่อผ่านไปก็เลยพาคณะเข้าไปไหว้

ออกจากนั้น เขาก็ไปชมมะพร้าวที่มีช่องอกออกกลางต้น ก็มีคนไปปิดทองให้ มีตั้งศาลแสดงความเคารพ มีความเคารพดีมาก ถือว่าเป็นการศักดิ์สิทธิ์ บางคนก็มีการถูกหวยกันหลายคน ออกจากนั้นแล้วก็ไปที่ภูเก็ตไอแลนด์ เป็นสถานที่อยู่ชายทะเล แหม เขาสร้างสวยมาก ไปถามท่านเจ้าของที่ว่าเขาสร้างเท่าไร

ท่านบอกว่าที่ดินเป็นที่เก่าไม่ได้ซื้อใหม่ เฉพาะสร้างอาคารสถานที่ทั้งหมดปรากฏว่าหมดไป ๔๐ ล้านเศษ ความจริงเห็นแล้วก็คิดว่าน่าจะมีความสุขใจ แต่ความจริงไม่มีความสุข เพราะมีหลานคือลูกของลูกชาย เรียกกันว่าเด็กปัญญาอ่อน

แต่ความจริงแบบนั้นมันไม่ใช่ปัญญาอ่อน มีประสาทไม่สมบูรณ์ แกพุดไม่ได้ ร้อง เอ๊ะๆ อ๊ะๆ อายุ ๑๓ – ๑๔ ปี แล้วแกก็ยังพูดอะไรไม่ได้ เป็นกฎของกรรม พอไปถึงที่นั่นแล้ว
ท่านเจ้าของก็ถามว่า ไอ้เจ้าเด็กคนนี้มันจะรักษาหายด้วยวิธีใด

มองแล้วก็จนใจ เพราะว่าพระที่ไปช่วยสงเคราะห์เธอน่ะ เป็นพระที่มีความสำคัญมาก ในสมัยนี้เป็นพระที่มีชื่อเสียงมาก บางท่านก็เป็นพระที่อาตมามีความเคารพ เพราะว่าเป็นผุ้ทรงพระคุณสูงสุดในพระพุทธศาสนา สำหรับพระสงฆ์ด้วยกัน เรียกว่าทรงคุณอันดับสูงสุด ประเภทนี้ยังมีอยู่มากในเขตประเทศไทย พอฟังชื่อพระที่ไปสงเคราะห์ก็จนใจ

บอกว่าโยม....อาตมาทำไม่ได้ เกินวิสัยเสียแล้ว ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าพระที่มาทุกองค์ที่บอก เป็นพระที่ทรงคุณธรรมวิเศษทั้งนั้น เรื่องกฎของกรรมนี่เราแก้กันไม่ได้ แต่ไม่ช้าไม่นานก็จะค่อยๆ เพลาตัวลงไป เพราะเวลานี้ก็ดีขึ้นบ้างแล้ว แกก็บอกยังงั้น

ท่านเจ้าของ ตอนจะกลับถามอีกว่า จะทำต่อไปน่ะจะดีไหม
ก็มีความรู้สึกว่า ถ้ามีหุ้นส่วน ระวัง จะไม่ดี ถ้าไม่มีหุ้นส่วน กิจการนี้จะดีไปอีกหลายสิบปี หรืออาจจะดีไปนานกว่านั้นก็ได้ คือว่าภูเก็ตไอแลนด์นี่รายได้ดีมาก มีคนไปพักเต็มๆ ทุกวัน สถานที่ไม่พอให้พัก สร้างเพิ่มขึ้นเท่าไรๆ ก็ไม่พอพัก



อดีตเมืองปาฏลีบุตร



ชายหาดราไวย์ จ.ภูเก็ต

พอออกจากภูเก็ตไอแลนด์แล้ว เวลา ๑๔ นาฬิกา ๓๐ นาที ก็เดินทางมาถึงหาดราไวย์ พอถึงหาดราไวย์ บรรดาพวกคณะที่ไปก็เข้าบริโภคอาหารเย็น อาตมาเองก็เดินเล่นอยู่ที่บังกะโลพิเศษไม่มีฝา เป็นอาคารยาวมุงด้วยจาก สำหรับเลี้ยงอาหารกลางวัน เดินมาเดินไปก็มองเห็นเรือขุดแร่กำลังขุด มีอยู่ ๒ ลำ

ตอนนั้นตอนเย็นมีไฟฟ้าสว่างแล้ว เพราะว่าใกล้ค่ำ เดินไปเดินมาก็มี
ชายคนหนึ่งมาเดินคู่กันด้วย ก็ถามว่าที่นี่เดิมทีเขาเรียกว่าเมืองอะไร
ชายคนนั้นบอกว่า ต้องพูดเป็น ๒ สมัย สมัยหนึ่งเขาเรียกว่า "บูกิ๊ต" ไอ้บูกิ๊ตนี่..เขาแปลว่า "ภูเขา" เป็นภาษาแขก สมัยหนึ่งเขาเรียกว่า เมืองปาฏลีบุตร

พอแกบอกตรงนี้ก็หนักใจ ว่าจะเป็นอุปาทานกระมัง เพราะว่าเมืองปาฏลีบุตรนี่ เราเคยได้ฟังกันว่าอยู่ประเทศอินเดีย แล้วภายหลังมาอ่านเรื่องของพระเจ้าพรหมมหาราช ตำนานอันหนึ่งที่ใครเขียนไม่ทราบ บอกว่าอยู่ตามลำน้ำเจ้าพระยาตอนใต้ แต่ว่า "พงศาวดารเหนือ" อยู่ที่ชายมหาสมุทร

ก็เป็นอันว่า "ปาฏลีบุตร" นี้อาจจะอยู่ที่ภูเก็ตก็ได้ เพราะว่าชายมหาสมุทรอินเดีย แล้วก็มาฟังตอนหลังอีกทีหนึ่งเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคมนี่เอง มีท่านผู้หนึ่งมาบอกว่า ความจริงเมืองปาฏลีบุตรนี่ มันเป็นชื่ออีกเมืองหนึ่งในประเทศอินเดีย ชื่อมันคล้าย คำว่า "ชาวเมืองปา" อพยพมาอยู่ที่นั่น ก็เลยฟังท่านไว้

หลังจากนั้นแล้วก็กลับออกมา กลับออกจากนี่นั่น เมื่อบรรดาคณะผู้เดินทางบริโภคอาหารเสร็จ เดินทางมาขึ้นเขารัง ดูทิวทัศน์ คือเดินไปเดินมา ก็ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะฝนตกพรำๆ ก็ชมทิวทัศน์ของเมืองภูเก็ต ออกจากนั้นแล้วตามที่หมายกำหนดการบอกว่าจะไปพักที่ภูเก็ตไอแลนด์ คืนนั้นพวกเราไม่ยอมพัก มาพักที่บ้านรับรองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตจังหวัดภูเก็ต รู้สึกว่าสบายดี

เวลาตอนกลางคืนก็มีโอกาสสนทนากับเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต รู้สึกว่าทุกคนที่นั่นดีมาก มีอัธยาศัยดี มีจริยาน่ารัก ความจริงคนไทยเรานี่เป็นคนน่ารักจริงๆ เวลา ๔ ทุ่มหรือ ๕ ทุ่มๆ เศษๆ ไม่ทันดูนาฬิกาดีนัก ก็ลาพักผ่อน

เมื่อพักผ่อนลงไปแล้วก็ปรากฏว่ามีแขกบ้านมาเยี่ยม ท่านแขกบ้านผู้นี้หน้าตาดีมาก รูปร่างสวยสดงดงามแต่งตัวดี มีอารมณ์สดชื่นร่างกายท้วมๆ เนื้อเต็ม ผิวขาว
ถามว่าเป็นอะไร
ตอบว่า เป็นภุมเทวดาอยู่ที่นี่
แล้วก็เลยบอกว่า เวลานี้เจ้าหน้าที่ของจังหวัดภูเก็ต องค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิต อยู่ที่ตรงนี้ก็ขอให้สงเคราะห์อนุเคราะห์ด้วย ช่วยรักษาให้ความสุข

ท่านก็เลยบอกว่า ดี ทุกคนมีความเคารพดีมาก ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีเหตุเกินวิสัย จะช่วยให้มีความสุข ท่านรับรองด้วยดี
ก็เลยถามว่าการที่จะมีบุญมากเป็นเทวดามารักษาที่นี้ได้น่ะ ทำบุญอะไรไว้
ท่านยิ้มแล้วก็บอกว่าจะมาถามผมทำไม ถามผมแบบนี้ผมก็อายแย่ซี

ก็เลยพูดกับท่านว่าจะไปอายทำไมในเมื่อเราสร้างความดี แล้วการเป็นเทวดานี่ เทวดาชั้นเล็กก็ดีกว่ามนุษย์ชั้นใหญ่ๆ เพราะมีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทิพย์ มีความสุขเพราะอาศัยทิพย์สมบัติ
ท่านก็เลยตอบว่า เมื่อเห็นว่าดีผมก็จะบอก

ท่านก็เลยเล่าว่า ก่อนที่จะตาย ตอนนั้นก็ไม่ได้ทำบุญอะไรใหญ่ แต่ว่ามีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็มีการใส่บาตรบ้าง แล้วก็ฟังเทศน์บ้าง มีการให้ทานบ้างพอสมควร แต่ว่ากำลังใจในการทำบุญนี่ รู้สึกว่าเป็นเรื่องของประเพณีๆ เป็นส่วนมาก แต่จิตใจนั้นก็เคารพในพระสงฆ์อยู่ เพราะว่าพระสงฆ์ในสมัยนั้นมีจริยาวัตรดี อาศัยความดีตามที่ทำนี้

ความจริงแล้วการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา น่าจะเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ว่ากำลังใจในการใส่บาตร ใส่ด้วยความเคารพก็จริง แต่ว่ามันเป็นประเพณีเสียมาก รักษาตามประเพณีที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายแนะนำ เวลาตายไปก็เลยมาเป็น ภุมมเทวดา
ก็เลยบอกว่า “ก็ยังดี”

เวลาเช้าขึ้นมา เจ้าหน้าที่องค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตก็นำอาหารมาถวาย เมื่อถวายแล้ว
เขาก็ถามว่าที่นี่เป็นยังไงบ้างครับ
ตอบว่าดีนี่ เทวดาเขาดี ใจดีมาก พวกคุณเคารพเขาอยู่เสมอรึ เห็นเขาบอกว่าพวกคุณเคารพเขาดีนี่ เขาดีใจ
ท่านเจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็บอกว่า ครับ มีศาลอยู่ตรงโน้น ผมยกศาลเข้าไว้ แล้วทุกคนก็พากันเคารพบูชา ทุกคนก็บอกว่าเทวดาที่นี่รู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพของประชาชน

ก็เลยบอกว่าเอายังงี้ก็แล้วกัน พวกคุณก็พากันมีความเคารพนับถือในท่าน กราบไหว้ในท่าน จัดว่าเป็นเทวดานุสติกรรมฐาน การนึกถึงความดีของเทวดานี่ชื่อว่ามีสำคัญ เวลาคนไปไหว้กันละก็อย่าไปใช้ท่านอย่างเดียว บูชาความดีของท่านด้วย

เขาก็ถามว่าบูชาความดีทำยังไง
ก็เลยตอบว่า เทวดาทุกองค์ที่จะมาเป็นเทวดานี่ ต้องมีหิริและโอตตัปปะ หิรินี่แปลว่าอายความชั่ว โอตตัปปะนี้เกรงกลัวผลของความชั่วจะลงโทษ คนที่อายความชั่ว เกรงกลัวผลของความชั่วจึงเกิดเป็นเทวดาได้

เวลาที่คนไปบูชาก็จงบูชาความดีของท่านด้วยว่า เราจะไม่ทำความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เราจะอายความชั่ว ไม่ใช่อายคน อายความประพฤติปฏิบัติที่เราทำ ถ้ามันเป็นความชั่วเราไม่ทำ เราจะทำแต่ความดีอย่างเดียว เท่านี้เทวดาจะช่วยคุณมาก จะช่วยคุณได้มาก

มีท่านหนึ่งถามว่า ถ้าหากว่าผมจะขอให้ท่านช่วยป้องกันอันตราย คือทรัพย์สินทั้งหลายของหลวง ที่องค์การไฟฟ้ามีอยู่ อาจจะมีขโมยมาขโมย จะช่วยได้ไหม
ก็เลยบอกว่าเรื่องนี้อาจจะเกินวิสัยอยู่บ้างก็ได้ เพราะอะไร เพราะว่าเรื่องกฎของกรรม หรือเรื่องของคนทำความชั่วนี่ เทวดากันไม่ค่อยได้เหมือนกัน

เอาอย่างนี้ซี คุณป้องกันด้วย แล้วขอให้เทวดาช่วยด้วย เวลาใครจะมาลักจะมาขโมย ก็ขอให้เทวดาดลใจให้เกิดอาการสงสัยว่าของทั้งหลายอาจจะหายไป เท่านี้เทวดาก็จะช่วยได้ คือช่วยให้คุณรู้สึกสงสัย เอาอย่างนั้น จะไปเกณฑ์ให้เทวดายืนอยู่ยามตลอดกาลตลอดสมัยมันก็แย่เหมือนกัน เป็นอันว่าเจ้าหน้าที่รับฟัง

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 4/10/10 at 12:52 [ QUOTE ]


7

(Update 4-10-53 )

ปักษ์ใต้ ตอนที่ 2

"เรื่องราวของคนไทย สายภาคใต้"


เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้วก็ออกเดินทาง เขากะเวลา ๖ นาฬิกา ๓๐ นาที ออกเดินทางจากบังกาโลภูเก็ตไอแลนด์ นี่วันที่ ๘ มิถุนายน แต่ความจริงพวกเราออกเดินทางจากบ้านรับรองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตภูเก็ต เพราะคืนนั้นไม่ได้พักที่ภูเก็ตไอแลนด์ เห็นคนมากเกินไปไม่สงัด

เวลา ๗ นาฬิกาฉันอาหารเช้ากันเสร็จ
๗ นาฬิกา ๓๐ นาที ออกจากตัวเมืองภูเก็ตไปจังหวัดพังงา
เวลา ๗ นาฬิกา ๔๕ นาที นี่กำหนดการนะ ถึงโรงไฟฟ้าดีเซลภูเก็ต นี่ยังไม่ได้เข้าพังงา
เวลา ๘ นาฬิกาออกจากโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตภูเก็ต ตอนนั้น ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ เรียกให้เจ้าหน้าที่มาพบหมด อธิบายกิจกรรมต่างๆ ของโรงไฟฟ้าภูเก็ต ความจริงก็น่าเห็นใจทางราชการ เพราะว่าลงทุนกันมาก

แล้วก็พวกเราเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ได้เห็นใจเจ้าหน้าที่ไฟฟ้า เขาเหนื่อยกันทุกอย่าง บางทีไฟฟ้าดับเดี๋ยวเดียว เราก็นั่งด่าเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าแล้ว ถ้าหากว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่บ้าง จะรู้สึกว่าหนักใจ ไอ้เครื่องจักรกลทั้งหลายนี่มันไม่ตามใจคน มันเป็นอนิจจังจริงๆ แล้วในที่สุดมันก็พังได้ เป็นอนัตตา นี่พระพุทธเจ้าว่ายังงั้น

ทีนี้ ๘ นาฬิกา ๑๐ นาที เยี่ยมหมู่บ้านพนักงานคนงานไฟฟ้าฝ่ายผลิตภูเก็ต ตอนเยี่ยมหมู่บ้านนี่รู้สึกว่าทุกท่านมีความเคารพในพระพุทธศาสนาดี ต้อนรับพวกเราดียิ่ง น่าสรรเสริญ

๘ นาฬิกา ๓๐ นาที ออกจากหมู่บ้านคนงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตภูเก็ต
๑๐ นาฬิกา ถึงท่าเรือศุลกากรอำเภอเมืองพังงา นั่งเรือออกไปชมทะเลพังงา
๑๑ นาฬิกาถึงที่เขาพิงกัน ฉันอาหารเพลที่เกาะในทะเลพังงา ขากลับไปชมเขาถ้ำลอด และเกาะปันหยี ว่ายังงั้นนะ

เวลา ๑๓ นาฬิกา ๒๐ นาที กลับถึงท่าเรือศุลกากรจังหวัดพังงา
๑๓ นาฬิกา ๓๐ นาที ออกเดินทางไปตัวเมืองพังงา
๑๓ นาฬิกา ๕๐ นาที ไปชมถ้ำฤาษี อ.เมืองพังงา
๑๔ นาฬิกา ออกจากถ้าฤาษี อ.เมืองพังงา

๑๔ นาฬิกา ๔๕ นาที ถึงโรงไฟฟ้าย่อยพังงา
แล้วก็ ๑๕ นาฬิกา ออกจากสถานีไฟฟ้าย่อยพังงา
๑๕ นาฬิกา ๔๐ นาที แวะชมสระโบกขรณี อ.อ่าวลึก จ.กระบี่
๑๖.๑๐ น. ออกจากสระโบกขรณี อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ๑๖.๒๕น. แวะเยี่ยมสำนักสอนกรรมฐานวัดช่องลม อ.บ่อลึก จ.กระบี่

๑๖.๕๐น. ออกจากสำนักสอนพระกรรมฐาน อ.บ่อลึก จ.กระบี่
๑๗.๓๐ น. ถึงตัวเมืองกระบี่ แวะเยี่ยม "พระราชสุตกวี" เจ้าคณะจังหวัดกระบี่
แล้วก็๑๗.๕๐ น. ออกจากวัดแก้ว คือวัดเจ้าคณะจังหวัด ในตัวเมือง จ.กระบี่

๑๘.๔๐ น. ถึงอาคารรับรองการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จ.กระบี่ แล้วก็พักผ่อน
๑๙.๑๐น. ผู้ติดตาม รับประทานอาหารค่ำที่เรือนรับรอง
๒๐.๐๐ น. ตามหมายกำหนดการบอกเทศน์โปรดชาวเมืองกระบี่ สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น ท่านว่ายังงั้น
เสร็จแล้วเวลา ๒๓ น.เศษ อาตมาไปพักที่บ้านประจำของท่าน ม.ล.วรวัฒน์ นี่ร่ายเวทย์มาเสียนาน

ภูเก็ต - ตะกั่วป่า - พังงา - กระบี่


เมื่อเวลาตอนเช้าฉันอาหารเสร็จก็พากันออกจากโรงไฟฟ้า บ้านรับรองของจังหวัดภูเก็ต ออกจากสถานที่นั้นแล้วก็พากันเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต โรงจักรการไฟฟ้าฝ่ายผลิตของจังหวัดภูเก็ตชมแล้วท่าน ม.ล.วรวัฒน์ ก็ให้ทำอะไรต่ออะไรฝากฝังต่างๆ นี่เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนา แล้วบางท่านก็มีความเคารพในผีสางเทวดาต่างๆ นี่เป็นกฎธรรมดาของคน เมื่อเสร็จจากการเยี่ยมเยียนแล้วก็เดินทางออกมาจากภูเก็ตข้ามมาที่ตะกั่วป่า

(เมื่อข้ามสะพานสารสินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอถึง อ.ตะกั่วป่า ก็มีความรู้สึกกระทบใจขึ้นมา ว่าไอ้สถานที่นี้นี่มันมีอะไรๆ อยู่สักอย่าง มันเกิดการสะดุดใจว่า ดินแดนแถบนี้นี่เดิมทีเดียวก่อนพุทธกาลอาจมีคนไทยมาอยู่ก็ได้ แล้วก็มีคนหลายเผ่าหลายพันธุ์ด้วยกัน)

เมื่อออกจากตัวเมืองภูเก็ตมาถึงตะกั่วป่าแล้ว และเดินทางมาถึงท่าเรือศุลกากรพังงา นี่ความจริงสมัยก่อนน่ะก็เป็นจังหวัดพังงา เวลานี้เห็นท่าจะขึ้นกับกระบี่ มาถึงท่าเรือศุลกากร ก็ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจัดอาหารการบริโภคมาคอยอยู่แล้ว

เวลาประมาณ ๑๐ น. เจ้าหน้าที่ก็จัดเรือหางยาวขนาดใหญ่ใช้เครื่องรถยนต์พาออกวิ่งไป คือวิ่งออกไปในทะเล ตั้งใจจะไปชมทะเลกัน อีตอนนี้ก็ดีเหมือนกันว่าจะชมทะเล ขณะที่เรือวิ่งไปก็รู้สึกว่าไม่ค่อยสนุกนักหรอก (ความจริงก็สนุกดี)

เพราะอะไร...เพราะว่าน้ำมันกระเซ็นเข้ามาเปียกปอนไปตามๆ กัน ต้องเอาผ้าใบหรือผ้าพลาสติกกันเข้าไว้ ร่มก็กันไม่ไหว ลมก็แรง วิ่งไปเลาะลัดตัดภูเขาไปในลำน้ำ สองข้างทางก็รู้สึกว่ามีความสวยสดงดงาม ตานี้พอวิ่งๆ ไปก็ไปถึงเขาทอย เขาทอยนี้ความจริงประวัติจริงๆ ไม่มี แต่มีเรื่องที่เกี่ยวกับพระรถและเมรี มีนางเมรีติดตามกันแต่สมัยโน้น

เรื่องนี้ถ้าจะดูกันจริงๆ มันย่อมมีไปตั้งแต่ประจวบคีรีขันธ์ ที่เขาเรียกว่าถ้ำเขาม้าร้อง พระรถมาพักอยู่ตรงนั้นแล้วม้าก็ร้อง แล้วก็ย่องไปโน่นไปพบเอาที่พังงาอีก นางเมรีตามไปโน่น ไอ้เขาทอยนี่เป็นเขาที่พระรถโปรยยาลงไปเป็นภูเขากั้น กั้นไม่ให้นางเมรีตาม มันก็เรื่องเห็นท่าจะโกหก

นี่ไม่จริง จริงหรือไม่จริงก็เกิดไม่ทัน เขาว่ายังงั้นก็ว่ากันไป เวลานี้ก็เลยมีคนเขียนรูปปลาเข้าไว้ที่ถ้ำนั้น เรียกว่าคาถาของนางเมรี และคาถาของนางยักษิณีที่เป็นแม่เลี้ยงของพระรถ ปรากฏว่าเป็นคาถาอะไร เรียกปลาได้ เอ๊...นี่มันจะคนละเรื่องละมั้ง จะปาไปเรื่องสังข์ทองมันจะยุ่งจะเกะกะกันใหญ่ ไอ้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงหรอก ก็ว่ากันไป


นั่งเรือไปถึงเขาพิงกัน เขาพิงกันนี่น่ะไอ้เขาลูกหนึ่งกับอีกลูกหนึ่งมันแปะกันลงไป มันจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติแบบนั้นหรือไม่ใช่ก็ไม่ทราบ ลมก็แรงจัด มีน้ำใส คณะของเราขึ้นไปจัดอาหารเพลกินกันแล้วก็เลี้ยงกัน ตอนนี้รู้สึกว่าอีนุงตุงถุงกันดีเหมือนกัน

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะต้องหาถ้ำบังลมกัน เมื่อบริโภคอาหารเสร็จก็เดินไป เดินมา แล้วก็เดินมาเดินไปกัน เนื้อที่มันมีอยู่นิดเดียวไม่รู้จะไปทางไหน มีถ้ำก็ลอดกันไปลอดกันมา เข้าถ้ำโน้นออกถ้ำนี้มีที่บริเวณไม่มาก

ขณะไปหาที่นั่งเงียบๆ ทำตัวเป็นฤาษีก็เลยมีคนมาเล่าประวัติให้ฟัง ว่าไอ้เขาลูกนี้มันมีประวัติเหมือนกัน แต่ว่าเป็นนิยาย ท่านผู้อ่านหรือท่านผู้ฟังอย่าย่องไปเชื่อเข้า จะไม่เป็นเรื่อง เป็นนิยายเขาบอกว่าอีตาอะไรก็ไม่รู้ ลืมชื่อเสียแล้ว

แกอยู่อำเภอตะกั่วป่า แกทำมาหากินดีมาก ข้าวปลาอาหารแกได้เยอะแยะทุกปี แต่ปรากฏว่ามีปีหนึ่ง มีช้างตัวใหญ่ ไปยกฉางของแกเทข้าวทิ้งหมดแล้วก็ลุยเสียจนแหลกไปแหลกมา
อีตานี่แกโมโหขึ้นมา แกบอกว่า ไอ้เจ้าช้างนี่มันวิเศษแค่ไหน ดีละมันแกล้งเราได้เราก็จัดการกับมันได้

ตานี้ตอนเช้าขึ้นมากินข้าวดีแล้วแกก็ลับหอกเสียจนคม ตั้งใจว่าถ้าเจอะช้างเมื่อไร ไม่ว่าช้างตัวไหนทั้งหมด ถ้าเป็นช้างจะจัดการฆ่าให้ตายให้หมด ตามตำนาน แกลากหอกของแกไปตอนเช้าตระเวนหาช้าง

ไอ้เจ้าหอกนี่หามไปน่ะ ด้ามหอกไปปะทะยอดเขาอะไรไม่ทราบ ไอ้ยอดเขานั่นเลยขาด เขามีชื่อเหมือนกัน แต่ลืมแล้วลืมไป ลืมว่ามันชื่ออะไร ต่อมาแกก็ไปพบช้างใหญ่ตัวนั้น ช้างตัวอื่นแกไม่พบ แกก็โดดเข้าทิ่มแทงช้างฆ่าช้างจนตาย เมื่อฆ่าช้างจนตายแล้วแกก็เอางา ๒ กิ่งไปปักไว้ที่ตรงนั้น เขาเรียกว่าเขางาพิง

เป็นอันว่าเขา ๒ ลูกนั่นไม่ใช่อะไรหรอก เป็นงาช้างที่อีตาคนนั้นแกฆ่า ลืมชื่อแก นี่มีคนเขาคุยให้ฟัง เลยถามแกว่า นี่มันเป็นความจริงรึ ไอ้เรื่องที่มาคุยให้ฟัง ไอ้งาช้างอะไรมันโตขนาดนี้ แล้วหอกอีตาคนนั้นมันใหญ่ขนาดไหน ไปปัดเอาภูเขาพังนี่มันเชื่อไม่ได้ เขาเล่าให้ฟังแล้วเขาก็หัวเราะ บอกว่านี่เรื่องเล่าสู่กันฟัง จะเอาจริงเอาจังอะไรกับเรื่องพรรค์นี้ ก็ดีเหมือนกัน

นั่งๆ ไปก็มองเห็นเขาลูกหนึ่ง หินอันหนึ่งคล้ายๆ กับไม้ตีพริก มันปักอยู่ในน้ำข้างหน้าระยะใกล้ๆ มีสภาพเหมือนไม้ตีพริก ก็นึกในใจว่า ควรสมมติเรื่องขึ้นสักเรื่องว่าคนแถวนี้ เดิมทีพื้นที่แถวนี้มันเป็นพื้นที่พื้นดิน ไม่ใช่ทะเล แล้วก็มีคน ๒ กลุ่ม คือบ้าน ๒ หมู่ ๒ กลุ่มใกล้ๆ กัน แต่ไอ้คน ๒ กลุ่มนี้ กลุ่มหนึ่งเป็นคนไทย ไทยหรือไม่ใช่ไทยก็ช่าง ต่างคนต่างเป็นไทแก่กัน หมายความว่าไม่ขึ้นแก่กัน เมื่อไม่ขึ้นแก่กันมันก็เลยไม่ถูกกัน

ตานี้ก็มีคนๆ หนึ่ง ในกลุ่ม ๒ กลุ่มนี้เขาถือว่า ถ้าใครเสียทีกัน ก็ต้องเป็นผู้แพ้ วิธีเสียทีกัน จะตีกันถึงเจ็บตัวก็ตาม เอาของมาได้ก็ตาม ถือว่าเป็นผู้แพ้ หาทางแก้ ก็เลยสมมติตัวบุคคลขึ้นมา คือ ใช้ให้พระยามัสสุสิงหนาทเป็นตัวละครเอก

ว่าในสมัยนั้นเจ้าคุณมัสสุสิงหนาทคนนี้เป็นคนซอกแซก เป็นคนอวดเก่งแล้วก็เป็นคนอยากจะเก่ง แกเป็นชายหนุ่มรุ่นกระทง อายุ ๑๘ – ๑๙ ปี วันหนึ่งหาทางจะเอาเปรียบคนหมู่เกาะปันหยีให้ได้ เรียกว่าเขานี้เป็นเขาพิงหรือ "เขางาพิง"

อีกหมู่เกาะหนึ่งเป็น หมู่เกาะปันหยี แกก็ย่องๆ เข้าไปในบ้านเขา ไปขโมยของดี คือปลาแห้งมาได้ ไม่ว่าอะไรสักชิ้นหนึ่งพอเสียท่า เขาว่าเป็นผู้แพ้ พอดีแกวิ่งแต้ ออกมา หลบคนออกมา แม่ครัวเห็นเข้าก็เลยคว้าไม้ตีพริกขว้างปังออกมา

แกวิ่งหนีออกมา ไอ้ไม้ตีพริกมันไปชนเขาทะลุออกมาแล้วก็ปักจึ๊กอยู่ตรงนั้น เป็นสักขีพยานว่า นี่ไปขโมยปลาแห้งของแกมาได้ก็จริงแหล่ แต่แกสามารถขว้างไม้ตีพริกมาปักอยู่ตรงนั้นเป็นสัญญลักษณ์ เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหกไม่ใช่เรื่องจริง ไปนึกมันขึ้นมาก็พูดมันส่ง เขาอยากมีนิยายนี่ก็มีมันมั่งจะเป็นไรไป


ออกจากเขาอิงกัน เขาเรียกว่า "เขาพิงกัน" ตามนิทานที่อีตาคนนั้นเล่า กลับมาก็ลอดเขาทะลุ ออกมาก็ขึ้นเกาะปันหยี เกาะนี้มีโรงเรียนใหญ่ ดูสะอาดสะอ้านดี ไม่มีฝุ่น เพราะอะไร เพราะตั้งอยู่กลางน้ำ มันจะมีฝุ่นได้ยังไง ตั้งอยู่กลางน้ำ ถ้าขืนมีฝุ่นก็ซวย เขามีของขายสวยๆ

ส่วนมากก็เป็นพวกหอย แล้วส่วนมากก็มีสาวๆ น้อยๆ ส่วนใหญ่อายุราวๆ ๕๐ ปี เป็นชาวอะไร ปันหยีก็บอกชื่ออยู่แล้วนี่ว่าไม่ใช่ไทย แต่ก็เป็นคนไทย เชื่อสายแขกแกกำลังโขลกกะปิ ไม่ได้ใส่เสื้อ ไอ้ถุงที่หน้าอกแกก็หย่อนยานมากฟัดกันไปฟัดกันมา มองแล้วก็น่าดูเหมือนกัน เดินเที่ยวกันไปเที่ยวกันมาเกาะเล็กเท่านั้น มีสะพานยาวหมดเวลาครู่เดียวประเดี๋ยวเดียว แต่ก็อยู่กันนานเหมือนกัน ถ่ายภาพกันที่นั่น ใครบ้างก็ไม่ทราบรวมกันถ่ายภาพ ติดโรงเรียนติดเขา..ติดเกาะ

เวลาจะลงขากลับ ปรากฏว่า "คุณเสริม" แสดงปาฏิหาริย์ พอลงเรือปั๊บ แกก็ถลาลงไปชนคุณอ๋อย นั่งปุ๊บลงไปพอดี อย่างนี้เขาไม่เรียกพลาด เขาเรียกแสดงปาฏิหาริย์ แสดงอำนาจให้ดู ไอ้การลงเรือเรียบๆ นี่น่ะไม่จำเป็น ลงปั๊บทำท่าถลำปั๊บ นุ่งปุ๊บใช้ได้

เมื่อเรือทั้งสองลำออกเดินทาง ขากลับปรากฏว่าเรือที่อาตมานั่งชนไม้ที่ลอยมาระหว่างทางทะลุ แต่ก็ไม่มีอันตราย ในที่สุดก็กลับขึ้นมาได้ ถึงท่าศุลกากรของพังงา เมื่อกลับขึ้นไปท่าศุลกากรของพังงาแล้วก็ออกเดินทาง ออกเดินทางไปชมถ้ำฤาษี


ความจริงถ้ำนี้มีฤาษีจริงๆ ฤาษีองค์นี้นั่งสงบสงัดมาก บริเวณสวยมากเยือกเย็นสบาย น่าเป็นสถานที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน หรือสมถกรรมฐาน เป็นที่สงัด นี่ถ้าวัดอยู่ใกล้ๆ ก็ย่องไปอยู่ตรงนี้แน่ เสียดายอยู่ไกลเกินไป ท่านฤาษีองค์นี้ท่านดีมาก มีขันติจริงๆ ใครจะไปจับตัวท่านเขย่า จะไปว่ายังไงๆ ท่านๆ ก็ไม่ว่าทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าเป็น ฤาษีปั้นด้วยปูน

ออกจาก "ถ้ำฤาษี" เมืองพังงาแล้วก็ถึงโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตย่อย เมืองพังงา พวกเราก็เข้าไปพักกันที่นั่น บังเอิญไปพบคนอุทัยเข้าคนหนึ่งมาเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ที่นั่นรู้จักกับ "คุณนนทา อนันตวงษ์" ดี อาศัยที่ตรงนั้นอุจจาระปัสสาวะกันตามสะดวก เรื่องนี้มันยุ่งมาก


ออกจากที่ตรงนั้นแล้ว เวลา ๑๕ นาฬิกา ๔๐ นาที ก็แวะชม สระโบกขรณี อ.บ่อลึก จ.กระบี่ สระโบกขรณีก็เหมือนบ่อน้ำ อ่างน้ำธรรมดาๆ
เวลา ๑๖ นาฬิกา ออกจากที่นั่น
เวลา ๑๖.๒๕ น. แวะเยี่ยมสำนักสอนพระกรรมฐานวัดช่องลม อ.บ่อลึก เมืองกระบี่ การเยี่ยมคำนับแบบนี้มันก็เดินกันไปเดินกันมา เยี่ยมสถานที่นี่ ไม่ใช่เยี่ยมคน

เวลา ๑๖.๕๐ น. ออกจากสำนักสอนพระกรรมฐาน
๑๗.๓๐ น. ถึงตัวเมืองกระบี่ แวะเยี่ยมท่านเจ้าคณะจังหวัด พระราชสุตกวี องค์นี้ดีมาก อายุ ๘๐ กว่าน่ารัก มีจริยาน่ารักมาก เป็นพระที่น่าเคารพ

ท่านบอกว่าท่านเป็นสหชาติ คือเกิดพร้อมกับรัชกาลที่ ๗ แล้วก็รัชกาลที่ ๗ ถวายพัดสหชาติเข้าไว้ในสมัยเสวยราชสมบัติใหม่ๆ องค์นี้ลีลาเป็นพระที่ควรเคารพนับถือที่สุด แล้วก็เป็นพระที่คิดว่าจะเป็นพระ พระหลายๆ องค์บางทีเรามองแล้วคิดว่าไม่ใช่พระ ชื่อน่ะเป็นพระ จริยาไม่ใช่พระ แต่องค์นี้มองแล้วน่ารัก จริยาควรนับเป็นพระ เมื่อสนทนากันพอสมควร ก็ออกเดินทางต่อไป

เวลา ๑๗.๕๐ น. ออกจากวัดของท่านเข้าตัวเมืองจังหวัดกระบี่
เวลา ๑๘.๔๐ น. ถึงเรือนรับรอง แหม..เรือนรับรองเขาสวยมาก เป็นที่อยู่น่าสุขน่าสบาย มีต้นไม้มีร่มไม้รื่นรมย์ สวยน่ารักจริงๆ เรือนรับรองหลังนี้ดีมาก
เวลา ๑๙.๐๐ น. ผู้ติดตามรับประทานอาหารที่เรือนรับรอง อาตมาก็ไปพักที่บ้านพักของท่าน ม.ล.วรวัฒน์

หลังจากนั้น ๒๐.๐๐ น. ก็มาคุยธัมมะธัมโมกับชาวบ้านแถวนั้น กับเจ้าหน้าที่ ความจริงมันน่าจะคุยกัน แต่เขาให้พูดแบบเทศน์ อันนี้มันไม่เกิดประโยชน์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าพูดแบบเทศน์นี่มันพูดคนเดียว มันหาประโยชน์ได้ยากจริงๆ ถ้าพูดแบบคุยกันอันนี้มีประโยชน์มาก

คืนแรกก็พูดคนเดียว พอคืนที่ ๒ ปรากฏว่า อ้อ..แล้วก็มีพระท่านมาฟังด้วย มีท่านเจ้าคณะอำเภอ ท่านเจ้าคณะตำบล แล้วก็พระอื่น ท่านคงอยากจะมาดู เพราะเขาลือกันว่าหลวงตาองค์นี้เป็นนักสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน คุยกันไป ก็มีพระถามบ้างก็รู้สึกว่าไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว

เป็นอันว่าผลที่จะพึงได้เข้าใจว่าไม่มี เพราะอะไร เพราะว่าทุกคนที่มา มาดูกันมากกว่ามาฟัง ถึงแม้ว่าจะฟังก็คงไม่ได้เรื่อง เพราะพูดคนเดียวนี่จะให้ถูกใจคนไม่ได้ ไอ้พูดคนเดียวก็พูดกันไปแบบนั้นแหละ มันก็เลอะเทอะไป ไม่ใช่ลีลาตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดง

ตานี้ มาเวลากลางคืน เมื่อคุยกันแล้วก็กลับไปนอนที่บ้านพักของท่าน ม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์ ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์ ท่านไม่ได้นำครอบครัวไปอยู่ที่นั่น ท่านให้ครอบครัวของท่านที่อยู่กรุงเทพฯ เป็นอันว่านอนสบาย หลับสนิท เสียงรบกวนก็ไม่มี

เรื่องราวของคนไทย (สมัยพระเจ้าพรหมมหาราช) สายภาคใต้


แต่ว่าตอนก่อนที่จะหลับก็ปรากฏว่าเกิดภาพคนๆ หนึ่ง ความจริงน่ะหลายคน..เยอะเชียว ถ้าพูดถึงตัวเด็กๆ นับปริมาณเป็นร้อยเป็นพัน เกลื่อนกลาดไปหมด แต่คนที่ปรากฏว่าเข้าถึงตัวใกล้ชิดนั่นก็คือ เป็นผู้ชายมีอายุมากแล้ว รูปร่างผอมๆ ใส่เสื้อราชปะแตน นุ่งผ้าม่วง แล้วก็สวมรองเท้ามารายงานตัวว่า ผมเป็นคนไทยในสมัยพระเจ้าพรหมมหาราช ชื่อว่าเป็นพ่อเมืองที่นี่ ก็เลยถามว่า

นี่..ถามจริงๆ เถอะ สมัยนั้นน่ะ เป็นขุนกบี่หรือเปล่า คำว่า "ขุนกบี่" นี่แปลว่าลิง กบี่เขาแปลว่าลิง เขาว่ายังงั้น หรือว่าจะเป็นดาบชนิดหนึ่งที่เขาใช้ในการรบ หรือว่าใช้เป็นเครื่องประดับเกียรติของนายทหาร อันนี้ก็ได้ แต่ว่าอาตมาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น กบี่ในที่นี้ หมายความว่า "ลิง"

แกก็ยิ้ม แกบอกว่าไม่ใช่หรอก ไอ้คำว่า "กบี่" แปลว่าลิง แกไม่ใช่ลิง แกเป็นคน แกว่ายังงั้น
ก็เลยถามว่า เป็นคนสมัยนั้นน่ะ เคยมีประโยชน์แก่ประเทศชาติหรือบรรดาประชาชนยังไงบ้าง
แกก็บอกว่ามี ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเคยเป็นคนไทยอยู่ที่นี่

ถามว่าเป็นชาวเมืองไหนล่ะ
แกก็เลยบอกว่าเป็นชาวเมืองปา
เอาแล้ว ถามว่า เมืองปานี่ที่เคยอยู่ที่เมืองจีนนั่นใช่ไหม
แกก็บอกว่าใช่

แล้วก็มีมาที่นี่ได้ยังไง
แกบอกว่าสมัยโน้น ก่อนพุทธกาลนานประมาณสัก ๒ – ๓ พันปี แกบอก ๓ พันปีเศษนี่ คนไทยก็ถูกอาเฮียแกรบกวน เรียกว่าถูกรบกวนหนัก ไอ้ที่แกรบกวนก็เพราะเรามีความเมตตาปรานี

เราตั้งกลุ่มกันขึ้นก่อน เรามีความเจริญก่อน แล้วต่อมาแกก็มาอาศัยที่อยู่ด้วย ในเมื่อแกมาอาศัยที่อยู่ด้วย พวกนี้แกเป็นคนฉลาดเป็นคนขยัน หนักๆ เข้าพอแกมีแรงเข้า พวกแกมากเข้า แกก็ไล่เตะพวกเราลงมา รบกวนเข้า พวกเราทนไม่ไหว ก็เลื่อนลงมาทางใต้เรื่อยๆ ลงมา เลื่อนลงมาที่ไหนก็ตาม แกก็ตามมาอาศัยที่นั่น พวกเราก็เป็นคนใจดี สงเคราะห์แกทีไร แกก็เนรคุณทุกที

ท่านก็เลยบอกว่า ไอ้พวกนี้คบยาก ไอ้ปากน่ะดีอยู่เสมอ ถือว่าเป็นพวกเราอยู่ตลอดเวลา แต่เอาจริงเอาจังเข้า แกก็เนรคุณเสียทุกที
พอถามท่านว่า สมัยของที่นี้ เป็นสมัยต้นหรือ?
แกก็บอกว่าไม่ใช่หรอก..!

นี่พูดถึงว่าคนไทยที่มาในสมัยนี้ตั้งแต่ตอนต้น หรือว่าชาวเมืองปานี่เขาลงมาเรื่อย ลงมาจากจีนเข้ารัฐฉานออกมาทางพม่า ออกทางมะริด ทวาย มะริดทางนี้ใกล้ทางลงมา เวลาลงมาจริงๆ ก็มาจับจุดตั้งแต่ใต้เพชรบุรีลงมา ตั้งแต่กุยบุรีนี่เป็นชาวเมืองปา

อีกพวกหนึ่ง (คือไทยเรามี ๓ กลุ่มด้วยกัน) เขาเข้ามาทางเหนือของประเทศไทย ไปญวนบ้าง เข้ามาทางอินเดียนี่ แล้วก็ไปทางญวนบ้าง แล้วมาทางรัฐฉานนี่บ้าง ทางพม่าแล้วก็ลงมาในเขตไทย นี่ลงมาเป็น ๒ สายด้วยกัน เฉพาะอย่างยิ่งชาวเมืองปาลงมาตั้งอยู่ใต้จังหวัดเพชรบุรีลงมา

ก็เลยถามว่า แล้วก็ตัวท่านเองล่ะ เป็นคนสมัยไหน
ตอบว่าเป็นสมัยของพระเจ้าพรหมมหาราช เวลานั้นพระเจ้าพรหมมหาราชมีอำนาจขึ้น แล้วก็ติดต่อกันโดยทางพ่อค้าเป็นสื่อ พ่อค้าเกวียนทั้งหลายก็ดี พ่อค้าเรือทั้งหลายก็ดี มีการค้าติดต่อกัน แล้วก็ส่งข่าวกันว่าคนไทยอยู่ที่ไหนบ้าง เมื่อรู้ข่าวว่าคนไทยอยู่ที่ไหนบ้างก็ติดต่อกันมา พระเจ้าพรหมมหาราชก็เสด็จมา

แล้วแนะนำว่าคนไทยทั้งหมดถ้าปรากฏว่าใครเป็นหัวหน้าเผ่า ให้ตั้งชื่อหัวหน้าเผ่าว่าพรหมเหมือนกัน ให้ใช้ว่าพรหมเหมือนกัน
ก็ถามว่าพ่อเมืองกระบี่นี่ ชื่อจริงๆ ชื่อว่าอะไร
แกชื่อว่า “ล่อเหม็ง” สมัยก่อนโน้นนะ ยังไม่ใช่พระเจ้าพรหมมหาราช ยังเป็นรุ่นก่อน ชื่อว่า “ล่อเหม็ง”

แล้วถามว่าตั้งเมืองอยู่ไหนบ้างล่ะ
แกบอกว่าตั้งที่เมืองภูเก็ต ตะกั่วป่าอยู่จุดหนึ่ง แล้วพวกเมืองกระบี่นี่ มีอาณาเขต พังงากับกระบี่ เขตยาวแค่นี้มันก็ไม่ไกล มีหัวหน้าชื่อว่า “ล่อเหม็ง”

ตานี้..อีกเมืองหนึ่งคือเมืองตะกั่วป่ากับภูเก็ต นี่พ่อเมืองชื่อว่า “ล่อเปา” เมืองนี้เรียกว่าเมืองปาวีก็ได้ หรือว่า "ปาฏลีบุตร" ก็ได้
ท่านว่ายังงั้น บางทีเรียกว่า "เมืองปาวี" บางทีเรียกว่า "ปาฏลีบุตร" ก็ไปตรงกับอีตาคนนั้นบอก บอกว่าชื่อเมืองปาฏลีบุตรที่ภูเก็ต นี่เขามีภูมิประเทศติดต่อกับตะกั่วป่าและภูเก็ต เป็นเขตหนึ่ง เป็นเขตไทย

ทีนี้อีกเขตหนึ่ง พ่อเมืองชื่อว่า “เฉวี” ที่พูดว่าพ่อเมืองคนแรก เป็นหัวหน้ากลุ่มนะ เขาเรียกว่าพ่อเมืองเฉวี คนแรก ชื่อว่า “ล่อก๊กฉิม” คือเมืองกุยบุรี เมืองกุยบุรีนี่ทีแรกชื่อว่า "เมืองเฉวี" แกคุยให้ฟัง

ถามว่า แล้วในสมัยแก สมัยก่อนโน้นน่ะปกครองกันยังไง
เขาบอกว่าอยู่เป็นกลุ่มๆ เรื่องนี้จะเล่าให้ฟังทีหลัง เพราะว่ามาพบเรื่องราว สมัยที่พักที่หัวหิน ตอนกลับมาจากสายนี้แล้ว

แกบอกว่าตัวของแกเองนี่น่ะ เคยนำทัพเข้าประหัตประหารกับข้าศึก ไอ้เมืองที่ตั้งอยู่ที่นี่ที่เรียกว่าเมืองกระบี่ๆ นี่..ต่อมาพระเจ้าพรหมมหาราชมาให้นามว่า “พรหมจักร”

แล้วพ่อเมืองปาวี ที่คุมตะกั่วป่ากับภูเก็ต ให้ชื่อว่า “พรหมมณี” นี่ให้ชื่อว่าพรหมเหมือนกัน ก็เป็นคนไทย

พ่อเมืองเฉวีหรือว่าอะไร ตอนเปลี่ยนชื่อใหม่ ให้นามว่า “พรหมภักดี” นี่ท่านว่ายังงั้น

จำได้ตะกุกตะกัก ถามว่าสมัยที่ท่านเองเป็นพรหมจักรใช้กำลังยังไงบ้าง
ท่านบอกว่าไอ้การที่จะใช้กำลังเข้าประหัตประหารเขา เราก็ใช้นโยบายเข้าเป็นลูกเขยของผู้มีอำนาจในการปกครองเขต

แล้วก็เข้ารวมกลุ่มกัน เป็นบุคคลประเภทเดียวกัน แล้วต่อมาไอ้เจ้าคนพวกนี้นี่ ชาวป่าพวกนี้นี่เกเร เขาเรียกว่าชาวป่า มันไม่มีศีลธรรมหรือวัฒนธรรมอะไร มันก็ตั้งใจข่มเหงพวกเราซึ่งเป็นคนน้อยกว่า ท่านก็เลยคิดว่า เวลานี้เรามาถึงกลางใจเมืองได้แล้ว มีส่วนในการปกครอง

ก็เลยตั้งท่าปราบปรามเจ้าพวกนี้อย่างหนัก หาว่ามันเป็นกบฏ คิดคดทรยศ ตอนนี้เองเผ่าไทยร่วมกันไล่ฆ่าฟันพวกนั้นอย่างหนัก ฉะนั้นเขตเมืองกระบี่นี่จึงให้นามว่า “สุสานประเทศ” คำว่า "สุสานประเทศ" ก็หมายความว่าเป็นประเทศป่าช้า ไม่ได้ความอะไร

ตอนเช้าก็เล่าให้ ม.ล.วรวัฒน์ ทราบ ว่าเรื่องราวจากผีท่านมาเล่าให้ฟังแบบนี้ ความจริงคืนนั้นก็มีมากท่านด้วยกันที่มา ตานี้จะคุยให้หมดทุกเรื่องมันก็จำไม่ได้ แต่ความจริงสมุดที่บันทึกไว้ก็มี ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด แต่ก็ไม่สำคัญอะไร เพราะท่านผู้อื่นก็คุยเฉพาะเรื่องอื่น แต่เรื่องที่สำคัญก็น่าจะฟังกันจุดนี้

ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ ก็บอกว่าเป็นความจริง เพราะว่าบ้านพักของข้าราชการและพนักงานองค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ขุดเสาลงไปจะปลูกบ้าน ก็ปรากฏว่าพบกระดูกมาก หลายจุดด้วยกันพบกระดูกคน นี่ก็น่าคิดเหมือนกัน เป็นอันว่าคุยกันถึงวันที่ ๘ เสร็จ ทีนี้ก็คุยถึงวันที่ ๙ กัน

วันที่ ๙ นี่ จะนำหมายกำหนดการมาอ่านให้ฟังก่อน
คือเวลา ๗ น. บริโภคอาหารเช้าจากเรือนรับรองขององค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจังหวัดกระบี่
แล้ว ๘ นาฬิกาออกเดินทางโดยรถยนต์ ไปที่ อ.เมืองกระบี่
๘.๔๐ น.ถึงท่าเรือ อ.เมืองกระบี่ ลงเรือไปสุสานหอย ไอ้สุสานหอยนี่ เขาบอกว่ามีกำหนด ๗๕ ล้านปีนะ อายุของมัน มันจะถึงหรือไม่ถึงก็ไม่ทราบ


แต่ปรากฏว่าบริเวณ ณ ที่นั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถเคยเสด็จ เป็นสถานที่เยือกเย็นดี ไปดูแล้วหอยจับกันเป็นปึก ก็นึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงตรัสว่า สัตว์และมนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้เท่าไร ตายหมดเท่านั้น

นี่..เจ้าหอยพวกนี้มันตาย เปลือกมันจับตัวกันแข็งกลายเป็นหินไปแล้ว เขากำหนดว่า ๗๕ ล้านปี นี่หอยก็ตาย ตานี้เนื้อหนังของเรามันแข็งไม่เท่าหอย มันก็ตายเหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าความตาย เป็นของธรรมดา และถ้าเรายังหลงใหลใฝ่ฝันมันอีก มันก็ต้องตายแบบนี้

ตอนนั้นจะไปซื้อหอยมาเป็นอนุสรณ์สักหน่อย ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ ท่านก็เดินตามไปเรื่อย พอไปตกลงซื้อท่านก็จ่ายสตางค์ นึกอายท่านเพราะรบกวนท่านมากอยู่แล้ว ท่านให้ความสะดวก จ่ายค่าอาหาร การบริโภค จ่ายค่ารถยนต์ จ่ายค่าเครื่องบินอะไร เป็นเรื่องขององค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตร่วมกัน

แต่ท่านก็มาติดตาม จะจ่ายของนิดของหน่อยท่านก็มาจ่ายสตางค์ ก็เลยอายท่าน เป็นอันว่าไม่กล้าซื้อ ถึงยังงั้นก็ดี ท่านก็ต้องจ่ายสตางค์ไปหลายร้อยบาท รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

เวลา ๙.๔๐ น. ถึงสุสานหอย ๗๕ ล้านปี แล้วก็ตามกล่าวนั่นแหละ
นี่หมายกำหนดการ เวลา ๑๐.๒๐ น. ออกจากสุสานหอย ๗๕ ล้านปี ไปหาดนพรัตน์ธารา บริโภคอาหารกลางวันกันที่นั่น มีเจ้าหน้าที่ขององค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตไปรับรองที่นั่น แล้วก็หาเรือเดินทะเลมา เป็นเรือตังเก

พอถึงเวลาเพลฉันข้าวแล้ว กินข้าวกันเสร็จก็ลงเรือตังเก วันนั้นสนุกมาก มีคุณเสริม เจ้าคุณมัสสุสิงหนาท และเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ไอ้เรือตังเก พอลงไปแล้วลมแรง มันโต้คลื่นนี่ เป็นที่ถูกอัธยาศัยมาก ชอบใจ เล่นกันอยู่พักหนึ่งก็เดินทางกลับ


กลับแล้วเวลา ๑๕.๐๐ น. ออกจากหาดนพรัตน์ธารา
๑๖.๓๐ น. ถึงโรงไฟฟ้ากระบี่ ชมตัวเมืองและเข้าไปในโรงไฟฟ้ากระบี่ เจ้าหน้าที่เขาก็ดีทุกคน ก็ไม่มีอะไร
๑๗.๓๐ น. กลับเรือนรับรอง จังหวัดกระบี่ คือว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จังหวัดกระบี่ คืนนี้ก็มีพระมาคุยอีก คุยก็ไม่ได้เรื่อง

มีพระท่านถามปัญหา เวลาตอบท่านไม่ฟัง เวลาตอบไปเสร็จแล้ว ท่านก็ถามโด่เด่ๆ ส่งขึ้นมา ก็เลยนึกในใจว่า เอ.. นี่เขาบวชกันแบบไหนกันนี่ ถามอะไรก็ไม่เข้าเรื่องเข้าราว นี่ไม่ได้นินทาว่าร้ายกัน ความจริงพวกเราเป็นพระนี่น่าจะสนใจเรื่องธรรมปฏิบัติ ทีนี้เวลาท่านถามนั่น รู้ชัดเลย ว่าท่านไม่ได้สนใจอะไร

แต่ว่าห่มจีวรกลัก อันนี้ไม่ได้นินทาว่าร้ายใคร แต่ความจริง ถ้าจะถามกัน ก็คิดว่า จะสงเคราะห์บรรดาประชาชนผู้นั่งฟัง ไอ้ข้อถามบางส่วนน่ะ โดยมากคนถามเป็นผู้รู้ ถ้าไม่รู้เขาไม่ถาม แต่เวลาถามแล้วตอบไป พ่อไม่ได้ฟัง พ่อคุยกัน ตอบไปแล้ว แกก็ถามใหม่ ถามซ้ำ เพราะว่าไอ้ที่ตอบไปแล้วแกไม่ได้ฟัง นี่ถ้ามีสภาพแบบนี้แล้วมันก็แย่เหมือนกัน ไม่เป็นเรื่อง

เป็นอันว่าคืนนี้ไม่เป็นเรื่อง คุยไม่เป็นรส และปรากฏว่าพระเองก็ไม่สนใจธรรมปฏิบัติ อาตมาเองก็ไม่เป็นเรื่องอยู่แล้ว ก็นอนค้างอยู่ตามปกติ เมื่อเวลาผ่านไปนี่ การใดๆ ทั้งหลายที่จะพึงมีขึ้นมันก็ไม่มี จะมาเล่าสู่กันฟังมันก็ยาก เพราะว่าไม่มีอะไรเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง ฟังได้อย่างเดียวเรื่องเที่ยวกันไป

ดูหมายกำหนดการแล้วความจริงมันน่าตาย มันน่าตายเพราะหมายกำหนดการนั้นวางทั้งวัน หาเวลาพักไม่ได้ แล้วมีแถมกลางคืนอีก แต่ที่ทรงตัวอยู่ได้ก็เพราะอาศัยยาเป็นสำคัญ แล้วเวลาพักผ่อนนอนหลับ ก็ปรากฏว่าเวลาหลับตาลงทีไรก็เห็นภาพพระทุกที ดีไม่ดีก็เห็นภาพแพรวพราวของพรหมและเทวดา ก็รู้สึกว่าชื่นใจ อาศัยใจสบายก็เลยนอนหลับ เช้าก็มีแรงเดินทางต่อไปใหม่

เอาละ สำหรับการเดินทาง วันที่ ๙ ก็ขอยุติกันแค่นี้ สำหรับวันที่ ๑๐ ต่อไปก็ฟังกันในตอน ๒ ที่เรียกกันว่าตอน ๒ น่ะ ความจริงไม่ใช่ตอน มันเป็นการพักสำหรับการบันทึกแต่ละคราวๆ เป็นอันว่าวันนี้ วันที่ ๑๙ สิงหาคม ก็จบการบันทึกตอนที่ ๑

ตอนที่ ๒ นี่จะไปเริ่มกันเมื่อไรก็ไม่ทราบ เป็นอันว่า เรื่องราวของคนไทย สายภาคใต้รู้กันไว้คร่าวๆ เพียงเท่านั้นก่อน เพราะว่าจะไปรู้ชัดกันอีกทีตอนเรื่องราวที่ผ่านหัวหิน เอาละ..สำหรับตอนนี้ ขอยุติกันเพียงเท่านี้

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 1/11/10 at 13:42 [ QUOTE ]


8
(Update 1-11-53 )


ปักษ์ใต้ ตอนที่ 3

"เรื่องราวของคนไทย สายภาคใต้"



วันนี้ วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๑๗ เป็นวันที่บันทึกในการเที่ยวสายใต้ตอนที่สาม
วันนี้ นี่พูดเฉพาะวันที่ไปเที่ยวกัน ก็คือวันพุธที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๑๗ ขบวนนักท่องเที่ยวหรือทัศนาจร หรือว่าจะไปเยี่ยมชาวภาคใต้ก็ใช้ได้ทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องของคนที่พูด

เป็นอันว่าก่อนที่จะพูดเรื่องของวันที่ ๑๒ ขอย้อนกลับไปถึงวันที่ ๑๑ สักหน่อยหนึ่ง เพราะว่าวันนั้นวันที่บันทึกเหนื่อยมากเกินไป ร่างกายไม่ค่อยดี อาจจะพูดอะไรขาดตกบกพร่องไปบ้าง หรือว่าละเอียดไม่พอ

ขอย้อนไปตอนที่กลับเข้าไปในหาดใหญ่ เพราะว่าหลังจากที่เข้าไปในหาดใหญ่แล้วไปชม อ.หาดใหญ่ ตลาดหาดใหญ่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายต่างเข้าที่พักคือ โรงแรม ชื่อโรงแรมเขาชื่อว่าอะไรก็ไม่ทราบ มันอ่านไม่เข้าใจ เป็นภาษาแขกๆ หรือว่าแบบภาษาไทยอ่านไม่ออกก็ไม่ทราบ

เพราะว่านี่ดูตามหมายกำหนดการใครเขียนมาอ่านไม่ชัด เป็นอันว่าเมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเข้าโรงแรมกันเสร็จ อาตมาก็นอนที่บ้านพักหรือบ้านรับรองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ความจริงที่หาดใหญ่นี่ไม่มีบ้านรับรอง ที่เรียกว่าบ้านรับรองก็เพราะว่าเจ้าหน้าที่จัดไว้รับรอง

การนอนก็นอนด้วยกัน ๒ คน หรือว่าจะเป็นคนเดียวก็ไม่ทราบ ก็น่าจะเป็นคนเดียว ห้องเดียวนอนคนเดียว แต่ว่านอนสองห้อง ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์ นอนห้องหนึ่ง แล้วอาตมาก็นอนอีกห้องหนึ่ง เมื่อเข้านอนเสร็จ ความเหนื่อยมันเข้ามายุ่งกับใจ เพราะว่าการเดินทางนี่มันเดินทางกันตลอดวัน แวะโน่นบ้าง แวะนี่บ้าง

ก็ดูเวลาตามหมายกำหนดการก็แล้วกัน มันก็สร้างความเหน็ดเหนื่อยให้ไม่น้อย เมื่อนอนก่อนจะหลับก็เป็นเรื่องของพระจะต้องบูชาพระ เมื่อพระพุทธเจ้าท่านมีความดีก็ต้องบูชาความดีของท่าน ที่มาเที่ยวสายใต้คราวนี้ก็เพราะอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสำคัญ

ถ้าไม่ได้บารมีของพระพุทธเจ้าแล้วพวกเราก็ไม่มีโอกาสจะมาได้ คำว่า พวกเรานี่หมายถึงอาตมาโดยเฉพาะ เพราะโดยปกติเป็นคนรวยมาก เป็นนักบวชที่ร่ำรวยสำคัญคนหนึ่งในพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะปีหนึ่งใช้เงินเป็นล้านเป็นแสนได้แบบสบายๆ

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถือนิกายเซ็น คำว่านิกายเซ็นนี่ไม่ใช่หมายถึงมหายาน แต่ทว่าถือนิกายเซ็น ก็เวลาจะก่อสร้างอะไรก็ตาม เซ็นก่อน ยังไม่มีสตางค์ให้เขา ทำก่อน เอางานแลกเงิน ทั้งนี้ก็แน่ใจที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่มีจิตเป็นกุศล

หวังการบำเพ็ญกุศลว่า เห็นทำแล้วเราไม่ได้หากำไร ทำไปเท่าไรก็แจ้งบอกราคาเท่านั้น แล้วเงินทองที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่านถวายมาเป็นส่วนตัว นี่ก็จะแบ่งไว้ใช้ประมาณไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ ก็ร่วมในการก่อสร้างเพื่อสาธารณประโยชน์หมด

ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้โฆษณาความดีของตัวเอง ที่พูดให้ฟังก็เพราะว่าแจ้งให้ทราบว่าอาตมานี่ชอบใช้หนี้ชาวบ้าน เพราะว่าความเป็นอยู่อาศัยชาวบ้านเป็นสำคัญ ร่างการที่ทรงขึ้นมาได้นั้นก็อาศัยจากชาวบ้าน ยารักษาโรคจากชาวบ้าน อาคารที่ชาวบ้านสร้างให้ ผ้าผ่อนท่อนสไบที่ใช้ก็เป็นเรื่องของชาวบ้าน

เป็นอันว่าอาตมาเป็นหนี้ชาวบ้านนับไม่ถ้วน จะชำระหนี้สักเท่าไรมันก็ไม่จบ ไม่ครบถ้วน ในเมื่อเงินที่บรรดาพุทธศาสนิกชนมีความหวังสงเคราะห์ให้ใช้เป็นส่วนตัว เมื่อใช้แล้วมันไม่หมดก็เลยใช้ในส่วนสาธารณประโยชน์ เท่านี้

ถ้าใช้เพียงเท่านี้ ยังไม่เรียกกันว่าพระรวย อย่างนี้เขาเรียกกันว่า พอกินพอใช้ แต่ที่ประกาศเป็นคนอยู่ในเขตของมหาเศรษฐี ก็เพราะปีหนึ่งๆ สร้างหนี้ไว้มากเป็นแสนๆ

คือว่า ใช้เกินปริมาณที่พึงหาได้เป็นแสนๆ นี่น่ะรวยมาก เป็นอันว่ามีเงินคงคลังปีหนึ่งนับแสน นี่หรือใครว่าไม่รวย อย่างนี้เขาว่ารวยจริงๆ รวยหนี้ด้วย แล้วก็มีคนอยากรู้จักมาก คนที่มีความรักมาก คิดถึงอยู่เสมอก็คือเจ้าหนี้

พวกนี้ไม่ยอมลืม รู้จักหน้า รู้จักชื่อ รู้จักสถานที่อยู่ อยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีจิตคิดถึงอยู่เสมอ เกรงว่าจะไม่ได้ใช้หนี้เขา นี่เรื่องของเราเป็นคนอยากรวย แล้วก็ชอบรวยก็มีสภาพเป็นอย่างนี้ ที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเห่อเหิมหรือทำอวดชาวบ้าน เป็นคำสั่งของครูบาอาจารย์

คือ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า ถ้าพระมีเงินสะสมไว้เป็นส่วนตัวตั้งแต่หนึ่งพันบาทขึ้นไป
ท่านบอกว่าจิตใจไม่ใช่พระ เพราะว่ามันเริ่มคิดว่ารวย ตัวนี้ตัวสำคัญ แต่ว่าพระท่านใดท่านจะคิดอย่างไรนั้น เป็นเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของท่านโดยเฉพาะ อาตมาไม่เกี่ยว

อาตมาถือว่าครูบาอาจารย์สอนมาแบบนี้ ก็ปฏิบัติแบบนี้ หากว่าจะถามว่าอาจารย์สั่งแต่เพียงว่าอย่ามีเงินให้ครบพันแล้วทำไมดันไปเป็นหนี้เขาเข้า
ก็ตอบว่าการคิดแบบนี้เป็นการป้องกันตัว เงินแค่พันบาทอาจจะหาได้เมื่อไหร่ก็ได้ถ้ามีคนถวาย ถ้าไม่มีคนถวาย น้ำแข็งเปล่าแก้วเดียวก็ไม่มีเงินจะซื้อ ตานี้บังเอิญถ้าได้เงินประเภทนั้นมา อารมณ์ก็จะรู้ว่านี่ยังไม่พอกับหนี้ที่ยังชำระไม่หมด

จิตใจก็จะเป็นจิตใจของสาวกพระบรมสุคตคือ ไม่สะสมการเงินการทอง เท่านี้มีความสบายใจพอ คิดว่าเราไม่อกตัญญูทำลายคุณงามความดีของครูบาอาจารย์แม้แต่ความดีที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้เราก็ไม่ทำลาย

เพราะว่าไม่มีจิตโลภ ไม่เป็นพระอกตัญญู ไม่รู้คุณคน ไม่รู้คุณพระพุทธเจ้า เอาผ้ากาสาวพัสตร์ซึ่งเป็นธงชัยของพระศาสนามาสวมไว้ แต่ทว่าเราไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันว่า ถือว่าปฏิบัติถูกแล้ว ถูกหรือไม่ถูกก็ตามใจ ทีนี้มาว่ากันต่อไป

เมื่อเวลาใกล้จะนอน ก็บูชาความดีขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน เมื่อบูชาแล้วก็นอน เวลานอนลงไปก็คิดถึงคุณขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา มานอนคิดอยู่ว่า เวลานี้เราเดินทางมาสายใต้

อารมณ์ของจิตใจก็น้อมนึกถึงความดีของท่านผู้มีพระคุณ คือท่านบรรดาบุพพการีทั้งหลายจะเป็นคนใดก็ตาม ที่ได้หาที่ดินทั้งหลายให้พวกเราอาศัย การเดินทางมาตลอดสาย ขึ้นเครื่องบินก็ดี นั่งรถยนต์ก็ดี

รู้สึกว่าพวกเราละชีวิตินทรีย์ของบรรดาท่านบรรพบุรุษที่ควรจะบูชาท่านว่า ท่านผู้ชายก็คือพ่อ ท่านผู้หญิงก็คือแม่ ที่หาสถานที่เหล่านี้ให้เราอาศัย พระคุณความดีของท่านทั้งหลายน่าเทิดทูนยิ่งกว่าชีวิตของตน เป็นสมบัติอันมีค่าล้นยากที่เราจะหาได้ครั้นมาหวนคิดเข้าไปถึงน้ำใจของคนไทยและเพื่อนไทยทั้งหลายที่มีความมุ่งดีต่อประเทศไทย

ท่านพวกนี้น่าสรรเสริญมาก แต่ทว่าบางท่านอยากจะเอาชาติขายเพื่อความร่ำรวยของตน อย่างนี้สาวกขององค์สมเด็จพระทศพลรู้สึกสลดใจว่า ทำไมเราจึงไม่ได้คิดถึงชีวิตร่างกายของท่านญาติผู้ใหญ่ซึ่งเป็นบรรพบุรุษ ที่หาผืนแผ่นดินผืนนี้มาให้เราด้วยชีวิตของท่าน สละทั้งเลือดทั้งเนื้อ ทั้งกำลังงาน กำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์

แม้แต่ชีวิต อุทิศให้เพื่อความสุขของคนไทยเราได้อาศัย แล้วก็ทำไมคนไทยทั้งหลายเหล่านี้จึงได้พากันแตกความสามัคคี แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าเป็นพวกเป็นพ้อง ทั้งๆ ที่เราเป็นพี่น้องกัน หวังทำลายซึ่งกันและกันปัดแข้งปัดขาซึ่งกันและกัน หวังความเป็นใหญ่ หวังความร่ำรวยแต่เฉพาะหมู่คณะของตน

นี่ซีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้กำลังฟัง และกำลังอ่าน เรามานั่งช่วยกันคิด ว่าจิตใจของท่านพวกนี้มีน้ำใจเป็นคนประเภทไหน แล้วถ้าจะถามว่าใครบ้างที่คิดอย่างนั้น เราก็ดูกันเอาก็แล้วกัน ท่านที่มีร่างกายดีเป็นพิเศษกินจอบก็ได้ กินเสียมก็ได้ กินดินก็ได้ กินทรายก็ได้ กินตึกก็ได้ กินถนนก็ได้ แล้วกินอะไรต่ออะไรก็ตาม

แม้แต่อาวุธยุทโธปกรณ์ ปืนผาหน้าไม้ก็กินได้ รถถังก็กินได้ แสดงว่าขากรรไกรของท่านแข็ง ฟันของท่านคม โดยนิยมคนประเภทนี้เป็นคนทำลายความดีของบรรพบุรุษ เราจะเรียกท่านเหล่านี้ว่า เป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคนจะได้หรือไม่ได้ บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายช่วยกันคิด

นี่ เวลานั้นนอนคิดเรื่อยเฉื่อยไป ความจริงไม่ได้คิดจะว่าใครจะด่าใคร แต่อารมณ์ใจมันคิดไปอย่างนั้น ทั้งนี้เพราะว่าไปนึกถึงความดีของทุกท่าน คือ ท่านบิดาและมารดาทั้งหลายที่สร้างผืนแผ่นดินไทยให้เราเกิด เวลานั้นคนมีปริมาณน้อย แต่ทว่าท่านสามารถสร้างแผ่นดินใหญ่ให้เราอยู่กันได้แบบนี้

เวลานี้ปริมาณของคนไทยมีมาก แต่แบ่งกันเป็นพวกเป็นพ้อง เป็นฝั่งเป็นฟากรวมกลุ่มกันไม่ได้ เป็นที่น่าสลดใจ แล้วอีกประการหนึ่ง คนที่เข้าไปนั่งร่างอะไรต่ออะไรเป็นบทบัญญัติแทนที่จะเห็นกับบุคคลกลุ่มส่วนรวม คือประเทศชาติ บางทีท่านก็ประวิงโน่นประวิงนี่ตามที่หนังสือพิมพ์เขาลงมา

จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ แต่ว่าความล่าช้ามันปรากฏอย่างนี้ เป็นเหตุที่น่าสลดจิตเป็นที่สุด เรื่องนี้เป็นเรื่องของบ้านของเมืองเป็นเรื่องของชาวโลก พระไม่น่าจะคิด แต่ที่คิดก็เพราะว่าเอาจิตเข้าไปเทียบกับธรรมะของพระพุทธเจ้าที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า โลกหาที่สุดมิได้

เราจะคิดว่าอะไรมีความแน่นอนสำหรับโลกมันไม่มี นี่แม้แต่คนไทยกลุ่มเดียวเท่านี้ เรายังหาที่สุดของอารมณ์ไม่ได้

ทีนี้ ต่อไปบรรดาท่านผู้แทนคนไทยทั้งหลาย เวลาจะเป็นผู้แทนท่านก็บอกว่าจะรับใช้ปวงชน แต่เวลาตนได้เป็นผู้แทนเข้าแล้วท่านกลายเป็นผู้แทนตัวของท่านและผู้แทนเฉพาะหมู่คณะของท่าน นี่มีมาก พบมาเยอะ

นี่คิดไปคิดมาในตอนนี้ ก็คิดว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงกล่าวว่า โลก แปลว่ามีอันที่จะต้องฉิบหายไป ไม่มีอะไรทรงตัว นี่เป็นความจริง
ก็เลยคิดตัดใจว่าเหล่าเราบรรดาพุทธบริษัททั้งชายและหญิงพากันมาหนีโลกเสียดีกว่า ไปนิพพานสบายกว่าเพราะคิดอย่างนี้แล้วสบายใจ

เพราะอาการอย่างนี้ไม่ได้มีแต่ประเทศไทย มีเหมือนกันทั้งโลก แล้วก็ในอดีตที่แล้วๆ มาถ้าจะดูประวัติมันก็เหมือนกันทุกชาติทุกภาษา แล้วก็ทุกกาลทุกสมัย เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด แม้แต่สมัยที่องค์สมเด็จพระบรมสุคต บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ก็เหมือนกัน

พอคิดอย่างนี้ได้ใจก็สบาย จิตก็สงบ ตั้งอยู่ในอารมณ์เป็นธรรม มีปัสสัทธิเป็นที่ตั้ง คำว่าปัสสัทธิ มีอารมณ์สงบมีจิตสบาย เห็นว่าร่างกายขอเรานี้ ไม่ช้านานเท่าไรมันก็จะสิ้นไป จะมานั่งรำพึงรำพันเพื่อความเป็นสุขหรือความเป็นทุกข์ของคนไทยหรือชาติไหนมันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเราช่วยอะไรไม่ได้

สู้ปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าดีกว่า พอคิดอย่างนี้ใจก็สงบมีอารมณ์ใจสบาย จึงน้อมใจตั้งอยู่ในอารมณ์สมาธิ เป็นเรื่องธรรมดาของพระ พูดถึงด้านสมาธิวิปัสสนาแล้วมันเป็นของกล้วยๆ สำหรับพระ

เพราะพระมีระบบปฏิบัติอยู่ ๓ อย่าง
คือ อธิศีลสิกขา มีศีลยิ่งกว่าฆราวาส
อธิจิตสิกขา ต้องมีสมาธิมีฌานสมาบัติเป็นปกติ
อธิปัญญาสิกขา มีอารมณ์ใจไม่คัดค้านความเป็นจริง คือไม่คัดค้านกฎธรรมดา

นี่พระทุกองค์ในพระพุทธศาสนาท่านปฏิบัติอย่างนี้เหมือนกันหมดทุกองค์ ถ้าหากว่าท่านใดบอกว่าไม่ได้ปฏิบัติ แสดงว่าพระองค์นั้นไม่ใช่สาวกขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาค ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจว่าท่านเป็นสาวกก็เข้าใจผิด จะไปโทษท่านไม่ได้ เพราะว่าท่านไม่ใช่สาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตร

ท่านไปบูชาเขาเอง คือว่าชาวบ้านไปบูชาเอง ไปโทษนักบวชคนนั้นไม่ได้ เป็นความผิดของท่านทั้งหลาย เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบอกแล้วนี่ว่า สาวกของตถาคตจะต้องปฏิบัติแบบไหนบ้าง แล้วก็ท่านทั้งหลายที่ละบ้านเข้ามาแล้วไม่ปฏิบัติแบบนั้น มาตั้งศูนย์การดูดเงิน ดูดทรัพย์สินจากชาวบ้าน ชาวบ้านไม่พิจารณาเอง จะไปโทษท่านไม่ได้

เพราะท่านเองท่านก็ไม่ได้ประกาศตัวว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านบอกแล้วว่าศีล ๒๒๗ ไม่ไหวมากเกินไป ท่านไม่มีเวลาที่จะปฏิบัติ สมถวิปัสสนา สมถะที่ทำฌานสมาบัติให้ปรากฏแก่จิต วิปัสสนาญาณ ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง ของทั้งสองประการนี้มันหนักจริงๆ ท่านไม่มีโอกาสจะประพฤติปฏิบัติ

ไอ้อย่างนี้ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทไปบูชา คิดว่าท่านเป็นพระสงฆ์แล้วเอาเงินเอาทองเอาของไปถวายท่าน แล้วจะหาว่าท่านโกงศรัทธามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นความเข้าใจผิดของท่านเอง เมื่อท่านถวายเข้าไป ท่านผู้นั้นก็จำจะต้องรับเพื่อเป็นการไม่ขัดศรัทธา

นี่ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายโดยถ้วนหน้าต้องเข้าใจตามนี้ อย่าไปคิดว่าพวกนั้นท่านไม่ดี จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่ดีเองดีกว่า ที่ไม่เลือกเนื้อนาเป็นที่หว่านพืช นี่พูดมากไปแล้ว เกะกะระรานมานาน ด้วยใจสบาย ทำท่าว่าจะหลับ

ก็ปรากฏว่าพบชายคนหนึ่งมานั่งอยู่ที่ปลายเตียง เลยเท้าลงไปเป็นผู้ชาย ยกมือขึ้นแตะปาก ท่าทางดี เหมือนกับคนธรรมดา
จึงได้ถามว่าเป็นใคร
แกชี้มือขึ้นไปข้างบน แล้วก็บอกว่ามาจากพรหมขอรับ
ถามว่าถ้ามาจากพรหมแล้วแต่งตัวแบบนี้เพื่อประโยชน์อะไร ทำไมไม่แสดงกายเป็นพรหม แล้วก็เมื่อตอนกลางวันก่อนที่จะเข้ามานะ ไปรับที่นอกเมือง เห็นพระพุทธรูปอยู่บนศีรษะนั่นเป็นของท่านหรือ

ความจริงเข้าใจว่าเป็นเทวดาเพราะแต่งตัวแบบเทวดามีเครื่องประดับแพรวพราว และมีสีสันวรรณะไม่ใช่ลักษณะของพรหม
ท่านก็เลยบอกว่า คนที่ไปรับน่ะ เป็นเทวดาขอรับ แต่ผมนี่เป็นพรหม เป็นคนละคนกับบุคคลนั้น
จึงได้ถามท่านว่ามาทำไม แล้วพระที่แสดงว่าลอยอยู่เหนือศีรษะเทวดานั้นหมายความว่ายังไง ไม่ทราบความหมาย

ท่านก็บอกว่าที่แสดงให้ปรากฏก็เพราะว่าในเขตของจังหวัดสงขลามีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ทำด้วยทองคำทั้งองค์ไม่มีส่วนผสมอย่างอื่น คือไม่ใช่แกนทองแดงแล้วเอาทองคำหุ้ม หน้าตักกว้างประมาณ ๒ เมตรหรือ ๓ เมตรจำไม่ถนัด

เพราะเวลาพูดนี่ไม่ได้บันทึกไว้ เลวมาก ใครเลว? คนพูดเลว ไม่คิดว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะนำมาบันทึกเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง เป็นอันว่ายับยั้งกันว่าไม่น้อยกว่า ๒ เมตร และไม่เลย ๓ เมตร
ก็เลยถามท่านว่าไปแสดงให้ปรากฏทำไม แสดงว่าบ้านเมืองนี้เจริญหรือประการใด
ท่านบอกว่าไม่ใช่ขอรับ ผมเห็นว่าคณะของท่านที่มานี่เป็นคณะที่มีศรัทธามาก เวลานี้พระพุทธปฏิมากรแทนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีทองมีน้ำหนักบอกไม่ถูก (ท่านบอกเหมือนกัน ทั้งองค์ทั้งฐานน้ำหนักเท่าไร แต่ไม่บอก)

บอกว่าเวลานั้น ที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งหลัง ปรากกว่าเขาเอาพระองค์นี้มาฝัง เกรงว่าพม่าพวกมีใจอธรรมจะนำทองคำเป็นประโยชน์ส่วนตน อย่างที่อยุธยามันยังหลอมเอาทองคำไปกินเสีย มีน้ำหนักตั้งหลายพันชั่ง แต่ว่าพระองค์นี้มี่น้ำหนักยิ่งกว่าพระองค์นั้นสำหรับทองคำ

เพราะว่าพระองค์นั้นภายในเป็นทองสัมฤทธิ์ ข้างนอกเป็นทองคำ แต่ว่าองค์นี้เป็นทองคำล้วน เวลานี้ยังอยู่ตรงนั้น ฝังอยู่ตรงไหนบอกไม่ได้ บอกอันตรายจะเกิดแก่ทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธปฏิมากร

แล้วก็เลยถามว่า ไปแสดงให้ปรากฏเพื่อประโยชน์อะไร
ท่านก็บอกว่าตั้งใจจะให้คณะที่มาด้วยกันช่วยกันสร้างเจดีย์ทับพระพุทธรูปองค์นั้น เพราะฝังไว้ในดินลึกประมาณ ๕ วา เวลานั้นใช้คนประมาณ ๓๐๐ คนเศษนำพระมาแล้วก็บรรจุพระไว้สร้างเครื่องล้อมป้องกันไว้อย่างดี แล้วทรัพย์สินที่มีค่าสำหรับกษัตริย์ก็มีอยู่มาก ยากที่จะพรรณนาถึงค่าของวัตถุ

ท่านถามว่าจะทำได้ไหม
ก็เลยถามว่าเจดีย์ใหญ่ไหม
ท่านบอกว่าไม่ต้องใหญ่ สูงประมาณ ๓ วาก็ได้ แต่ให้ฐานครอบพระเข้าไว้ คนจะได้ไม่ข้ามไปข้ามมา

ก็เลยบอกว่าเวลานี้สร้างวัดยังเป็นหนี้เขามาก
ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้วให้ช่วยกันมาสร้างที่ตรงนั้นก็แล้วกัน ไม่รีบไม่ร้อน ที่จะให้มาเที่ยวคราวนี้ ที่ยอมรับเขาก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าดลใจ ทั้งๆ ที่ร่างกายของท่านไม่ดีท่านก็ยอมรับ

ความจริงแล้วไม่ได้ตั้งใจจะไป เห็นว่าประโยชน์มันน้อยในการท่องเที่ยว นอนดีกว่า แต่เมื่อเขาถามเข้าจริงๆ ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ตัดสินใจยอมรับเอาเฉยๆ มาดูหมายกำหนดการแล้วก็หายใจไม่ออก วันทั้งวันไม่มีเวลาหยุด คิดว่าคงจะไปพับจุดใดจุดหนึ่ง บังเอิญมันก็ไม่พับเป็นมหัศจรรย์

เรื่องนี้แปลกมาก เดินทางทั้งวัน กลางคืนก็นอนน้อยที่สุด อย่างดีก็หลับไม่เกิน ๒ ชั่วโมง เช้าก็เดินทางต่อไปแต่ก็ไปได้ทุกจุด นี่เห็นจะเป็นอำนาจพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ พรหมานุภาพ เทวดานุภาพ และครูบาอาจารย์ตลอดจนพ่อแม่เก่าๆ ที่สร้างผืนแผ่นดินไทยช่วยพยุงกายของอาตมาให้ไปได้กระมัง คิดอย่างนี้

ก็เป็นอันรับปากกับท่านพรหมว่า สิ่งเหล่านี้คงไม่หนัก แต่ทว่าจะขอปรึกษาหารือกับบรรดาท่านพุทธบริษัท มีท่าน พล.อ.ต. ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ ก่อน ถ้าพร้อมใจกันเมื่อไร แล้วก็วัดท่าซุงคือสำนักศูนย์ปฏิบัติพระกรรมฐานเสร็จเมื่อไรก็จะมาทำให้ เพราะของไม่โตนัก แต่ว่าหนักใจเรื่องที่ดินเจ้าของอาจจะเอาแพง เพราะเขาอยู่ในย่านของความเจริญมาก
ท่านยกมือไหว้ด้วยความดีใจแล้วก็กลับไป

ทีนี้ เมื่อพรหมกลับไปแล้ว ก็ตั้งใจจะนอนหลับ เพราะคืนนี้มีโอกาสหลับได้มาก เพราะไม่มีเวลาจะคุยกับใคร แต่ว่าที่ไหนได้ เมื่อพรหมออกไปแล้วสาวๆ แขกปาเข้ามาประมาณสาม – สี่สิบ เป็นอันว่าคืนนี้ถูกผู้หญิงแขกเข้าหาพระ แต่ว่าผู้หญิงแขกพวกนี้ไม่ใช่คน เลยไม่เป็นอาบัติ เพราะว่าเป็นผู้หญิงผี

แกเข้ามา ดูท่าทางเป็นแขกไปเสียหมด แสดงสัญลักษณ์การแต่งตัวว่าเป็นแขก เป็นพวกถือศาสนาอิสลาม มีหัวหน้าแม่สาวคนหนึ่งมายกมือไหว้ พวกนั้นทั้งหมดก็ยกมือไหว้ แกแต่งตัวเหมือนสาวแขกธรรมดา

จึงถามว่าพวกเธอถือศาสนาอิสลามหรือ
แกก็บอกว่าถือศาสนาอิสลาม
ก็เลยถามว่าเมื่อเธอถือศาสนาอิสลามแล้วมาไหว้พระในพระพุทธศาสนานี่ ไม่เป็นการผิดระเบียบของศาสนาเธอหรือ
แกก็บอกว่าเป็นผีไม่ผิด เพราะว่าผีต้องการอย่างเดียว ความดีของผู้ที่เราจะเข้าไปไหว้

ก็เลยถามแกว่าฉันมีความดีอะไร
แกก็บอก เอาง่ายๆ ความดีที่จะเห็นง่ายๆ ก็คือ ผีมา เห็นได้
ก็เลยบอกเธอว่า ก็เธอทำให้ฉันเห็นนี่ฉันก็เห็นซี ถ้าเธอไม่ทำให้ฉันเห็น ฉันจะเห็นได้ยังไง
แกเลยตอบว่าคนทั้งหลายทำให้เห็นมาเยอะแล้วไม่มีใครเห็น พระในพระพุทธศาสนาก็เยอะแยะ แสดงให้ปรากฏก็ไม่ยอมเห็น พระอาบัง อีตาพวกแขกบรรดาแขกด้วยกันแสดงให้ปรากฏแกก็ไม่เห็น

ก็เลยถามว่า พวกเธอไม่ได้ตกนรกรึ แล้วก็บอกว่าศาสนาของเธอแนะนำให้ลงนรกมากกว่าไปสวรรค์ เพราะว่าการจะกินอะไรก็ต้องฆ่าด้วยมือเอง นี่ดีเหมือนกัน ถือว่าสัตว์เป็นอาหารของชาวบ้าน แล้วกิจการฆ่านั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องของผู้ชาย ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง ผู้ชายเขาทำ ผู้หญิงก็ทำต่อ ฉะนั้นพวกเธอจึงเลียบๆ เคียงๆ อยู่ใกล้นรก แสดงว่าเธอเป็นเปรต แต่ว่าเป็นเปรตระดับเบา

จึงถามว่าพวกเธอมานี่ประสงค์อะไร
เธอบอกว่าเธอตั้งใจจะมาขอบุญกุศล
ก็เลยถามว่าไอ้บุญในศาสนาพุทธมันจะเข้าไปถึงคนในศาสนาอิสลามได้ยังไง

แกก็บอกว่าศาสนาไหนไม่สำคัญ เป็นผีแล้วรับได้หมด แม้แต่นรกสวรรค์เขาก็ไม่ได้แยกนรกแขกนรกไทย จะเป็นศาสนาไหนก็ตามลงนรกเดียวกัน ขึ้นสวรรค์เขตเดียวกัน เป็นพรหมเหมือนกัน ถ้าบุญถึง

ในเมื่อแกขอ แกหน้าเศร้าเลยเห็นใจ บอกว่า เอ้า ถ้ายังงั้นละก้อ อย่าพูดมากเลย เดี๋ยวเธอจะอยู่ไม่ได้นาน ตั้งใจโมทนา จึงได้อุทิศส่วนกุสลแบบธรรมดาๆ ที่เคยปฏิบัติ ว่าผลบุญใดที่เคยบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติตั้งแต่สมัยต้น จนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบันนี้ ผลบุญนี้จะพึงให้ประโยชน์ความสุขแก่เราเพียงใด ของเธอทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ และจงได้รับประโยชน์และความสุข เช่นเดียวกับเราจะพึงได้รับนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

บรรดาสาวแขกทั้งหลายก็พากันกราบ ๓ ครั้ง
ครั้งแรกเธอเงยขึ้นมา เห็นภาพเดิม
ครั้งที่สองกราบลงไปอีกเห็นภาพเดิม
ครั้งที่ ๓ กราบลงไปแล้วเงยขึ้นมาคราวนี้แพรวพราวไปด้วยเครื่องประดับ

ถามว่าเธอจะไปไหน
ตอบว่าไปเป็นบริวารเขาที่ดาวดึงส์ ก็ยังดี บริวารดีกว่าสัตว์นรก เป็นบริวารของเทวดาดีกว่าหัวหน้าของคนในเมืองมนุษย์
เธอบอกว่าต่อจากนี้ไปฉันมีความสุข

ในเมื่อบรรดาสาวน้อยและสาวใหญ่ทั้งหลายเปลี่ยนกายจากคนเป็นเทวดาเพราะอำนาจปัตตานุโมทนามัย นี่ เป็นหน้าที่ควรจะประทับใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จผู้ทรงสวัสดิโสภาคไม่ไร้ผล

เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงกล่าวว่าบุญย่อมเกิดขึ้นได้ ด้วยอำนาจปัตตานุโมทนามัย คืออนุโมทนาในความดี ยินดีกับความดีที่บุคคลอื่นทำแล้ว อันนี้องค์สมเด็จประทีปแก้วกล่าวว่าเป็นบุญกิริยาวัตถุ กล่าวคือเป็นกิริยาที่ทำให้เกิดบุญ นี่เป็นอันว่าบรรดาสาวแขกทั้งหลายได้รับไปหมด

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 27/11/10 at 13:12 [ QUOTE ]


9
(Update 27-11-53 )

ปักษ์ใต้ ตอนที่ 3 (ต่อจากตอนที่แล้ว)

หาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์ - กลับกรุงเทพฯ


เมื่อสาวแขกไปหมด หลวงตาก็กำหนดจิตเพื่อจะหลับต่อไป พอหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู ความจริงเข้านอนเวลา ๒๑ น. แต่คุยกับพรหมบ้าง คุยกับสาวอาบังบ้าง กว่าจะเสร็จเรื่องหยิบนาฬิกามาดูมันปาเข้าไป ๓ น. เศษ

ดูซิ..กลางวันก็เที่ยวตลอดวันหาเวลาพักผ่อนไม่ได้ เวลากลางคืนจะนอนก็แถมมีแขก วันนี้มีแขกเสียจริงๆ ด้วย คือผู้มาเราเรียกกันว่า "แขก" แล้วผู้มาจริงๆ ก็เป็นคนชาติแขก..สบาย..! เป็นอันว่าพบมามากแล้วแขกกลางคืน เป็นแขกไม่จริง แขกปลอมเป็นผู้ที่มาเราเรียกกันว่า "แขก" เฉยๆ

วันนี้ได้พบแขกซ้อนแขก ผู้มาเราเรียกว่า "แขก" แต่ผู้ที่มาจริงเป็นแขกเสียจริงๆ แต่ตัวเขาชายหญิงเขาจะเรียกชื่อว่าเป็นแขกหรือไม่เรียกก็เป็นเรื่องของเขา นี่เราเรียกก็เป็นอันหมดเรื่องไป เป็นอันว่านอนกันไม่หลับ ทำไมจะไม่หลับ ก็หลวงตามันใกล้สว่างแล้วนี่ ต้องรีบกำหนดจิตให้หลับ คือจับอานาปานุสสติกรรมฐาน นี่เราพูดกันจริงๆ อย่าไปเกรงใจใครนะ

บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ใครเขาจะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมก็เชิญ ไม่เห็นจะแปลกอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบอกว่าพระจะต้องมีอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ถ้าเราปฏิบัติจริง เราพูดตามความจริงแล้วมาบอกว่าอวดอุตริมนุสธรรม

ใครจะบ้ากันแน่ คนทำจริงตามที่พูดได้ บ้า..หรือว่าคนทำไม่ได้มากล่าวหาว่าคนที่เขาทำได้ ว่าไม่ได้ จึงบ้า เอาว่างๆ มาประกวดความบ้ากันสักทีดีไหม เวลานี้ดูกลัวกันจริงๆก่อนนี้ก็เหมือนกันใครพูดอะไรไม่ได้ เกรงคำว่าอวดอุตริมนุสธรรม นั่นพระพุทธเจ้าท่านปรับแต่คนที่ไม่ได้ ไม่ถึงเท่านั้น

ถ้าไม่ได้ไปถึงไปอวดเข้าท่านปรับเป็นโทษถึงปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ แต่คนที่ปฏิบัติได้ ปฏิบัติถึงท่านไม่ได้บอกว่าท่านปรับ ถ้าปรับกันทั้งหมดละต้องปรับพระพุทธเจ้าด้วย เพราะว่าพระพุทธเจ้าก็เป็นคนพูดเรื่องสวรรค์ เรื่องนรก เรื่องเปรต เรื่องอสุรกาย ทรงพยากรณ์เหตุทั้งหลายมาตั้งเยอะแยะเป็นเรื่องอุตริมนุสธรรมทั้งนั้น

คำว่า อุตริมนุสธรรม แปลว่าธรรมอันยิ่ง คือ มีความดีเกินกว่าบุคคลผู้แน่นหนาไปด้วยกิเลสจะประสบได้ หรือว่าจะพึงเห็นได้ นี่องค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นต้นฉบับ เป็นคนอวดก่อน แล้วบรรดาต่อมาสาวกของสมเด็จพระชินวรนับไม่ถ้วน มีพระโมคคัลลานะเป็นต้น ก็อวดบ้าง

แล้วต่อมาภายหลังหลวงตาองค์นี้ก็เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ก็อวดมั่ง จะว่ายังไง ใครจะว่ายังไงก็เชิญว่า แล้วอย่าลืมนะว่าหลวงตาองค์นี้ประกาศเป็นสาวกสมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ไม่ยอมขึ้นกับพระสงฆ์ที่ไม่ทรงศีล สมาธิ ปัญญา เพราะว่าตั้งแต่บวชมาแล้วพวกที่มีศักดิ์ศรีใหญ่ๆ ไม่เคยเอาสตางค์มาให้ใช้ ไม่เคยเอาข้าวมาให้กิน

ไอ้ที่ทรงชีวิตอยู่ได้นี่ เพราะอาศัยความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ท่านพวกนั้นท่านก็เมามัน อยากจะหาลาภ อยากจะหายศ ปรากฏแสดงตนเป็นผู้วิเศษ แต่ไม่ได้ดูในเขตปกครองของท่าน ว่าใครจะดีใครจะชั่วไม่เอา ท่านไม่เคยมามองนี่ เขตที่อยู่ในปัจจุบันก็ดี ในอดีตก็ดี

พระคณาธิการทั้งหลายสร้างความอัปรีย์กันมากเท่าไรก็ตามพวก นี้ไม่เคยโผล่หัวมาดู ดีไม่ดีใครฟ้องร้องเข้าไป เอาสตางค์ไปให้ คนเลวกลายเป็นคนดีไป ไอ้คนดีกลับแหงแก๋ออกมา อย่างนี้จะแสดงว่าคนที่มีความดีแล้วอวดดี กับคนที่มีความเลว ขายความเลวกินน่ะ ใครมันจะเลวกว่าใคร นี่พูดกันมาพูดกันไป จะพูดวันต่อไปเลยไม่ได้พูด

ย้อนกลับเข้าไปใหม่ ไปทะเลาะกับใคร ทะเลาะคนเดียว จนกระทั่งเทปนี้หมดหน้า ก็เป็นเรื่องธรรมดา เรื่องหลวงตาเกะกะ เขาเรียกกันว่าพระมหาวีระ นี่ พระเจ้าแผ่นดินท่านแต่งตั้ง ที่ตั้งให้ความจริงท่านไม่รู้จัก มันเป็นระเบียบ ตั้งแต่สอบเปรียญ ๓ ได้รับพัดเขาเรียกว่า "มหา" มหาตัวนี้ไม่สำคัญ สำคัญที่ "วีระ" วีระ แปลว่า "กล้า" มหาวีระ แปลว่า "กล้าหาญมาก"

แต่ทว่าไอ้คำว่า "วีระ" บางครั้งไม่ใช่ กลายเป็นเละละไป อย่างคราวนี้เป็นต้น นี่จะคุยให้บรรดาพุทธศาสนิกชนฟัง เรื่องการไปเที่ยววันที่ ๑๒ และ ๑๓ ก็ปามาย้อนไปวันที่ ๑๑ ตอนปลาย หมดเวลาพอดี เป็นอันว่าเฉพาะบันทึกตอนนี้ตอนที่ ๓ ยังไม่จบ หน้านี้สำหรับเทปหน้านี้ ปรากฏว่าเกือบ ๔๕ นาที เป็นเรื่องราวตอนปลายของหาดใหญ่ไป

เอาละ...บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ชุดนี้สำหรับหาดใหญ่วันที่ ๑๑ ก็ขอยุติเพียงเท่านี้ ต่อไปก็ขึ้นตอนที่ ๓ นั่นสิ..ตอนที่ ๒ พูดมามันยังไม่จบนี่ แล้วบอกว่าจะพูดตอนที่ ๓ ก็ดันมาพูดตอนที่ ๒ เรื่องของตอนที่ ๒ ก็เป็นอันว่ายุติตอนที่ ๒ ไว้เพียงเท่านี้ ต่อจากนี้ก็มาขึ้นตอนที่ ๓ กันใหม่ตามอัธยาศัยของบุคคลผู้พูด

ต่อจากนี้ไปมาพูดถึงเรื่องของ วันพุธที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๑๗ ซึ่งพูดไว้ว่าจะเป็นตอนที่ ๓ แต่ว่าพ่อเทวดาผู้พูดแกกลับย้อนไปตอนที่ ๒ เสียจนหมดเวลา ๔๕ นาที เวลานี้ก็ว่ากันใหม่ ว่ากันถึงวันที่ ๑๒

เวลา ๗ น. อาหารเช้าในตัวเมืองหาดใหญ่สำหรับพุทธบริษัท แต่สำหรับอาตมาเองก็ว่าข้าวต้มตามปกติที่บ้านรับรอง บรรดาเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต อ.หาดใหญ่เป็นผู้จัดมา เจ้าหน้าที่ผู้ต้อนรับมีอัธยาศัยน่ารักทุกคน มีจริยาเรียบร้อย มีความละมุนละม่อม

ตอนกลางคืน คืนที่พักวันที่ ๑๒ ปรากฏว่าการไฟฟ้าฝ้ายผลิตจากจังหวัดกระบี่คงจะมีสายขัดข้องอยู่นิดหน่อย เพราะตอนเย็นๆ เจ้าหน้าที่ก็ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่สำรองไว้จ่ายกระแสไฟให้แก่ชาวจังหวัดกระบี่ เวลาประมาณสัก ๒ ชั่วโมง เห็นไฟฟ้าเดินเครื่อง เครื่องจักรเดินเครื่อง

ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ ก็บอกว่า หลวงพ่อนี่บริการเผาแบ้งค์ปรากฏแล้วครับ เพราะมีรายจ่ายสูงมาก เพราะใช้น้ำมันเตา นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ใช้กระแสไฟฟ้า เห็นใจทางราชการว่าอุปกรณ์ก็แพง ต้องจ่ายค่าเจ้าหน้าที่พนักงาน แถมค่าเชื้อเพลิงก็แพงมาก อุปกรณ์แต่ละชิ้น ถ้าอะไรบกพร่องลงไปต้องซื้อใหม่มันก็แพง

เพราะเราต้องซื้อจากต่างประเทศ นี่ก็เป็นที่น่าเห็นใจ เห็นใจทางราชการแล้วก็เห็นใจพวกเราด้วย เพราะสตางค์ทุกบาททุกสตางค์เป็นสตางค์ของพวกเราทั้งหมด แต่ทว่าเงินจำนวนนี้ที่ได้ไปเป็นภาษีอากร ถ้าคนที่มีอำนาจส่วนใหญ่ไม่ช่วยกันโกงละก็ น่าโมทนา ถ้าใครไปโกงไปกินเข้า ก็น่าสลดใจ

แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าคนทุกคน ข้าราชการทุกท่านจะเป็นคนโกง เขาจะโกงหรือไม่โกงก็ไม่ทราบ เห็นหนังสือพิมพ์เขาพูดกัน ว่าที่นั่นโกงที่นี่โกง มันก็เป็นแต่เพียงข่าวเท่านั้น เอาเรื่องราวแน่นอนอะไรไม่ได้ แต่ถ้าโกงจริงๆ มันก็น่าสลดใจ เพราะว่าหนังสือพิมพ์ลงข่าวมานานแล้ว แต่ทำไมไม่ทำลายระบบการโกงกันให้หมดไป

ทุกคนที่กล่าวว่าทำงานเพื่อชาติ แต่ทว่าเมื่อทำเข้าจริงๆ โกง มันก็ยุ่ง แต่ข้าราชการทุกคน เจ้าหน้าที่ทุกคน จะถือว่าโกงทั้งหมดมันก็ไม่ได้ อาจจะมีบ้างก็เป็นส่วนน้อย แต่มันปลาข้องเดียวกัน ถ้าเกิดเน่าขึ้นมาตัว กลิ่นเหม็นทั่วกันไปหมด นี่ก็น่าเสียดาย

หลวงพ่อเดินทางไปปาดังเบซาร์


เมื่อบริโภคอาหารกันเสร็จ เวลา ๐๘.๐๐ น. ก็ออกเดินทางจาก อ.หาดใหญ่ไปพรมแดนไทย – มาเลเซีย ตอนนี้น่าสนุก ทางร่มรื่นตลอดทาง ทางก็กว้างมีบ้านทั้งสองข้าง แล้วก็มีสวนยางตลอดทาง ดูแล้วเป็นที่น่ารื่นรมย์จริงๆ ทางก็สวย

ขณะที่นั่งไปในรถ ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ บอกว่าสมัยก่อนทางเมืองแขกเขาสวย เราสู้เขาไม่ได้เพราะเรายังไม่ได้สร้าง เวลานี้เราสร้างแล้ว ปรากฏว่าของเราสวยกว่าเมืองแขก ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าโลกเป็นอนิจจัง หาอะไรแน่นอนไม่ได้ ของที่สร้างมาก่อนมันก็เก่ามันก็พังไป ของเราสร้างใหม่มันก็ดีกว่าของเขา

แต่พอของเราเก่า เขาสร้างใหม่ ของเขาก็ดีกว่าของเรา นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา จะไปโทษกันก็ไม่ได้ เป็นอันว่าทางสายนี้เป็นทางน่ารื่นรมย์จริงๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยสวนยางแลดูเขียวชอุ่มพุ่มไสว ขณะที่เดินทางไปฝนก็ตกปรอยๆ ไม่หนานัก พอไปถึงเขตแดนไทยต่อมาเลเซีย ทางด้านนี้เป็นด่านของไทย ด้านโน้นเป็นด่านของอาบัง คือแขก เขาเรียกว่าแขกหรือไม่ก็ไม่ทราบ เป็นมาเลเซีย

พอไปถึงที่ด่าน รู้สึกว่าด่านฝ่ายไทยสร้างดีมาก กว้างขวางเป็นที่น่ารื่นรมย์ น่าชม เดินเที่ยวอยู่พักหนึ่ง เจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่า ถ้าเอาพระไปด้วยละไอ้บังมันมักจะโกง เวลาจะกลับมาดีไม่ดีมันแกล้งกักเสียเฉยๆ มันไม่ยอมให้มาง่ายๆ จึงต้องไปตามท่านเจ้าหน้าที่ คือนายด่านของไทยมา นั่งรถไปด้วย ท่านก็ดีแสนดี ช่วยไปเป็นประกัน

เมื่อผ่านด่านไทยเข้าไป ไปถึงด่านของอาบัง อาบังเห็นนายด่านไทยเขาก็ก้มหัวให้ ท่าทางแขกนี่พิลึกๆ ดูท่าทางแกชอบโก้ แกชอบเด่น เมื่อรถของเราเข้าไปแล้วสักครู่หนึ่ง ก็เข้าไปถึงตลาด ภายในแดนมาเลเซีย เห็นจะเป็นเวลาประมาณ ๐๙.๓๐ น. เศษๆ เข้าพรมแดนเข้าไปแล้วก็ไปถึงอะไร อ๋อ ปาดังเบซาร์หรือจังโหลน

ตานั้นเห็นจะเป็นปาดังเบซาร์ที่ผ่านเข้าไป พอใกล้เวลา ๑๑.๐๐ น. ก็ถึงตลาดในมาเลเซียที่ใกล้เขตแดนไทย ตั้งใจจะไปดูอาหารอาบังสักหน่อย ว่าแขกนี่เขากินอะไรกันบ้าง เดินมาเดินไป เดินไปเดินมา บังเอิญเวลานั้นฝนตกค่อนข้างหนัก จะไปไหนก็ต้องใช้ร่มกัน เป็นการป้องกันการเปียกฝน เป็นอันว่าการเที่ยวเมืองแขกหมดสนุก เรียกว่าแขกรวยฝน

แกจะรวยหรือไม่รวยก็ไม่ทราบ ฝนมันตกไม่ขาด เดินไปแล้วก็เดินมา เดินมาแล้วก็เดินไป เพราะว่าตลาดมันไม่ใหญ่ ไม่มีอะไรดี ดูของแต่ละอย่างก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าซื้อ ถึงน่าจะซื้อก็ไม่ควรจะซื้อเข้ามา เขาบอกว่าของที่มาเลเซียบางอย่างถูกกว่าสงขลาหรือหาดใหญ่ ถ้าจะซื้ออะไรก็เกรงใจท่าน ม.ล.วรวัฒน์ เพราะว่าจะไปไหนท่านสะกดรอยตามอยู่ตลอดเวลา

ถ้าอยากซื้อเมื่อไหร่เป็นจ่ายเงินทันที ตรงนี้ซีบรรดาท่านพุทธบริษัท ทำเอาซื้อไม่ได้ อายท่าน เพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเกินไป และอีกประการหนึ่ง พระต้องเคารพต่อกฎหมายของบ้านเมือง คือด่านภาษี ถ้าเราของติดตัวมา ๑ ชิ้น นี่กฎหมายอนุญาต ถ้าเป็นชินที่ ๒ ก็ต้องเสียภาษี นี่ถ้าจะซื้ออะไรจริงๆ กันก็ต้องเกิน ๑ ชิ้นแน่

เลยตัดสินใจไม่ซื้อดีกว่า เดินมาเดินไป เดินไปแล้วก็เดินมา เห็นของที่ชอบใจมีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือกระเป๋าเล็กๆ เป็นกระเป๋าสำหรับให้เด็กใส่หนังสือ แต่ทว่ามีสายสะพายยาว ความจริงอยากจะได้ เพราะดูในตลาดของไทยมานานแล้วไม่พบ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะความแก่มันปรากฏ คิดว่า ถ้าเราได้มามันก็จะดี

เวลาเอาอะไรต่ออะไรใส่กระเป๋าลงไปมันใช้การสะพายดีกว่าหิ้ว สะดวกดี แต่ถึงแม้ว่าพอใจก็ซื้อไม่ได้ เกรงใจท่าน ม.ล.วรวัฒน์ท่านจะจ่ายสตางค์ เลยต้องอดใจเข้าไว้ เป็นอันว่าต้องใช้ขันติอด ความจริงก็ไม่ได้คิด เลยมาแล้วก็แล้วกัน คิดว่าไอ้นี่มันดี ดีกว่าย่าม หาอะไรก็ได้มีสายสะพายยาว สะพายแล่งก็ได้ คิดจะไปไหนก็สะดวก เพราะคนแก่หิ้วอะไรไม่ค่อยไหวต้องใช้บ่าช่วย

พอถึงเวลาฉันเพล คิดว่าจะมีอาหารแขก กลายเป็นอาหารเจ๊ก แล้วแขกที่นั่นก็พูดภาษาไทยชัด พูดภาษาเจ๊กคล่อง ก็ปรากกว่าไม่ใช่แขก เป็นเจ๊กทั้งหมด แกพูดคล่องจริงๆ มาดูตามประวัติในพระไตรปิฎกเขาบอกว่าผิวพม่านัยน์ตาแขก แขกนัยน์ตาสวยเหมือนตาเนื้อทราย ถ้าผิวสวยต้องเป็นพม่า

เป็นอันว่าเดินทางสองคราว ไปภาคเหนืออยากจะดูผิวพม่ากลายเป็นคนผิวเจ๊กไป ปรากฏพบแต่สาวเจ๊ก ทีนี้จะไปดูตาแขกว่าตาเนื้อทรายมันสวยขนาดไหน ก็กลายเป็นเจอะเอาตาเจ๊กเข้าไปอีก เป็นอันว่าไปเหนือก็ชนเจ๊ก ไปใต้ก็ชนเจ๊ก ไปเมืองแขกก็ชนเจ๊ก ไปเมืองพม่าก็ชนเจ๊ก เป็นอันว่าหมดเรื่องกันไป

พอฉันเพลแล้ว ก็เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป รำคาญใจกลับดีกว่า เพราะว่าไม่เห็นมีอะไรดีกว่าเมืองไทย เราเที่ยวหาดใหญ่หรือสงขลาดีกว่ามาเลเซียตั้งเยอะ ถ้าเราจะเลยไปปีนังก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ค่าใช้จ่ายก็สูง หรือว่าจะเลยไปสิงคโปร์มันก็แค่คนเห็นคน แผ่นดินก็เป็นแผ่นดิน

แต่ว่าเดินทางมาตรงนี้ นึกถึงความดีของพระเจ้ารามคำแหงมหาราช ที่พระบาทท้าวเธอแผ่อานุภาพไปถึงยะโฮร์ หรือสิงคโปร์ แล้วก็ไม่ใช่พระองค์องค์เดียว พ่อแม่ทั้งหลายของเราทุกคนที่เสียสละเลือดเนื้อ เข้ามาหาพื้นที่ ที่เป็นสมบัติของเรา

ท่านตายไปแล้ว เราก็คิดว่าเราเดินมานี่เดินมาบนผืนแผ่นดินที่เฉลี่ย เกลี่ยไปด้วยเลือดและเนื้อของบรรพบุรุษ ซึ่งมีพระคุณยิ่งทั้งชายและหญิง เราถือว่าเป็นพ่อและแม่ เดินไปเดินมาก็นึกถึงความดีของบุพการี อยากจะนั่งลงกราบ นอนลงกราบสักร้อยครั้งพันครั้งมันก็ยังไม่เท่าความดีของท่านเหล่านั้น

เมื่อฉันเพลเสร็จ เดินมาเดินไป เดินไปเดินมา เวลา ๑๔.๐๐ น. ก็เดินทางกลับ กลับมาแล้วก็มานั่งอยู่ในเขตไทย เลยด่านมาหน่อยเจอตลาดๆ หนึ่ง อำเภออะไรก็ไม่ทราบ ลืมดูไปไม่รู้ว่าอำเภออะไร ดูเหมือนกันแล้วก็ลืมจำ บรรดาประชาชนคนที่ไปด้วย คณะทั้งหลายก็พักรับประทานอาหาร

อีตอนนี้พบแขก อ้าว..ดันมาเจอะแขกในเมืองไทย แล้วก็เจอะแต่สาวน้อยไม่ค่อยมีสาวใหญ่ คือคนที่มีความสาวเหลืออยู่เล็กน้อย ดูแล้วผิวกายของแกคล้ำๆ ไปหมด ปรากฏว่าไม่ค่อยมีคนผิวขาว แต่งตัวอยู่กับบ้านแบบกันเอง

เมื่อเสร็จจากนั้นแล้วก็เดินทางกลับถึง อ.หาดใหญ่ ไปชมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แล้วก็ชมห้างร้านอำเภอหาดใหญ่ ชมจริงๆ ชมห้างจริงๆ ไม่ได้ซื้อของ แต่บรรดาท่านผู้หญิงทั้งหลายพากันซื้อของ แล้วมีท่านชายท่านหนึ่งนิยมชอบเสื้อสวยๆ ผ้าสวยๆ ก็คือ เจ้าคุณมัสสุสิงหนาท

ท่านเจ้าคุณมัสสุสิงหนาทนี่ชอบแต่งตัวสวยๆ มีจริยาท่าทาง มีความปรารถนาคล้ายผู้หญิง ตัวท่านเองน่ากลัวจะเป็นกะเทยเพราะไม่เคยแต่งงาน เมื่อชมไปชมมา ชมมาแล้วก็ชมไป คิดไปคิดมากลับไปนอนดีกว่า

เวลาประมาณใกล้ ๑๘.๐๐ น. ก็กลับโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิต อ.หาดใหญ่ นอนพักผ่อน แต่ก่อนจะนอนก็เดินไปเดินมา เดินมาแล้วก็เดินไป แก้เมื่อยอยู่พักหนึ่ง ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ ก็พักอีกห้องหนึ่ง

ตอนกลางคืน ประมาณ ๓.๐๐ น. ได้ยินเสียงใครมาเรียก ลืมตาขึ้นมาปรากฏว่าไม่ใช่คน แต่รูปร่างเหมือนคน แต่ทว่าเป็นคนประเภทผี ท่านผู้นี้ปรากฏว่าเป็นผู้ใหญ่มาก เข้ามาคุยด้วย แต่จะเป็นใครไม่บอกให้ฟัง เห็นจะเป็นบรรดาพ่อเมืองเก่าทั้งหลายเหล่านั้นที่เคยรู้จักกัน

เขาบอกว่าเขาเคยรู้จัก
แต่อาตมาไม่รู้จัก มันจำไม่ได้ ท่านคุยแล้วเราก็หลับ หลับแล้วก็ตื่นขึ้นมา
ตอนเช้า ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ ถามว่าคืนนี้เสียงใครขอรับ
ก็เลยบอกเสียงพวกเขามาคุย บอกเท่านั้น ไม่บอกว่าเป็นใคร

หลวงพ่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทางเครื่องบิน


เวลาเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตอนนี้จบ เอวัง..สำหรับสายใต้ แต่ยังไม่จบเลย จบแต่ตอนนี้แล้วจะมาย้อนกลับไปตั้งต้นกรุงเทพฯ ถึงชุมพรอีก

วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ มิถุนายน เป็นวันเดินทางกลับ ๐๗.๐๐ น. บริโภคอาหารเช้าตามปกติตามอัธยาศัย พวกที่ไปด้วยบริโภคอาหารในตลาด อาตมาก็ว่าข้าวต้มจากบรรดาท่านพุทธบริษัทชาวหาดใหญ่ บรรดาท่านเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตท่านมากันพร้อมเพรียง น่าชื่นใจจริงๆ ทั้งผู้ชายผู้หญิงมีจริยาน่ารักทุกคน แน่ใจว่าบรรดาท่านพวกนี้เป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัว เป็นคนมีจริยาดีเหมือนกันหมด

เวลา ๐๙.๐๐ น. เดินไปเดินมา แล้วก็เดินมาเดินไปอยู่แถวหาดใหญ่ ๑๐.๐๐ น ออกจากโรงแรมหาดใหญ่สำหรับท่านผู้พัก ๑๐.๓๐ น. เขาก็มากันที่โรงไฟฟ้ากังหัน แก๊สหาดใหญ่ฝ่ายผลิตมานั่งชุมนุมจ้อกแจ้ก...เป็นตลาดนกกระจอกอยู่พักหนึ่ง

๑๐.๔๐ ออกจากโรงไฟฟ้ากังหันฝ่ายผลิต อ.หาดใหญ่ไปสนามบินหาดใหญ่ ตอนนี้เตรียมตัวเดินทางกลับ ๑๑.๒๐ น. ฉันอาหารเพลที่สนามบินหาดใหญ่ แล้วเวลา ๑๒.๒๐ น. ก็ลาบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่มาส่ง

ขึ้นเครื่องบิน บดท. บริษัทเดินอากาศไทย กลับกรุงเทพเป็นทางสายตรง เป็นอันว่าความดีของท่าน ม.ล.วรวัฒน์ พร้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่องค์กรไฟฟ้าฝ่ายผลิต จังหวัดกระบี่ หรือเจ้าหน้าที่ตรวจสายสร้างความดีให้แก่บุคคลทั้งหลายเป็นที่ควรแก่การสรรเสริญอย่างยิ่ง เพราะว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดปรากฎว่าไม่ได้รบกวนทางราชการ เป็นเรื่องส่วนตัวทั้งหมด

ตอนเดินทางขึ้นเครื่องบินสำหรับที่หาดใหญ่ไม่เหมือนที่ดอนเมือง ที่ดอนเมืองนี่เขามีเบอร์ให้ ใครจะนั่งที่เท่าไหร่ๆ เขามีหมายเลขให้ แต่ว่าที่หาดใหญ่นี่เขาไม่มีหมายเลขให้ ให้นั่งกันตามอัธยาศัย

เมื่อเวลาเครื่องบินเข้ามาถึง จอดปุ๊บ..ประเดี๋ยวเดียว เขาก็แจ้งให้ทุกคนขึ้นเครื่องบินได้ อาตมาก็เดินไปเป็นคนแรก มีเจ้าหน้าที่สตรีของการบินบอกว่า นิมนต์นั่งข้างหน้าเจ้าค่ะ ให้นั่งข้างหน้าสุด เวลาขาไปก็นั่งหน้าสุด เวลาขากลับก็นั่งหน้าสุด

เมื่อเข้ามานั่งข้างหน้าก็เลยชวนพรรคพวก เพราะว่าเขาไม่มีหมายเลขนี่ ใครนั่งตรงไหนก็ได้ ให้มารวมเป็นกลุ่ม คนที่นั่งร่วมกับอาตมาก็คือเจ้าคุณมัสสุสิงหนาท ท่านนั่งมาเป็นเพื่อน พอเครื่องบินขึ้นจากหาดใหญ่ เวลาขากลับไม่ใช่เดินทางสายที่ไป เพราะเวลาที่ไปจริงๆ เครื่องบินเลาะลัดชายทะเลฝั่งขวาเรื่อยไป ไปลงที่ภูเก็ต


แต่ว่าเวลามาคราวนี้ เครื่องบินไม่ได้เลาะผืนแผ่นดิน ข้ามทะเลจากหาดใหญ่ตัดมาที่นี่เห็นแหลมงอบ แล้วก็ตัดมาทางชลบุรีเข้ากรุงเทพฯ เป็นอันว่าเดินทางตรง ขากลับท่าน ม.ล.วรวัฒน์ให้กล้องส่องทางไกลมาด้วย เพราะระยะทางที่เดินอยู่ในระหว่างนั้น ท่านมีกล้องส่องทางไกลเล็กๆ บอกว่าซื้อมาจากรัสเซีย

แต่ทว่ามีคุณภาพดีกว่ากล้องส่องทางไกลใหญ่ๆ ที่มีอยู่ เห็นชัดดีกว่า ความจริงนี่ไม่ได้โฆษณาขายของรัสเซีย เราพูดกันแบบตรงไปตรงมา เวลาที่เครื่องบินเหินขึ้นฟ้าก็มองดูผืนแผ่นดินไทย ต่อมาก็พบทะเลสาบใหญ่ผ่านมาจากนั้นเครื่องบินเข้าเขตทะเลตอนนี้ก็เห็นน้ำกับฟ้า มองลงมาข้างล่างบางขณะก็เห็นเรือเดินทะเลบ้าง เรือตังเกหาปลาบ้างวิ่งกันอยู่ขวักไขว่

แต่ว่านั่งบนเครื่องบินมันเห็นได้ไกล เห็นได้ไกลมาก ก็รู้สึกว่าเครื่องบินที่นั่งไปมันแล่นไม่เร็วนัก แต่ความจริงน่ะเครื่องบินนั้นมีความเร็วสูง เพราะว่ามีเครื่องเจ้ดช่วยหมุนใบพัด ไม่ใช่เครื่องดีเซลหรือเครื่องเทอร์ไบน์อะไรหมุนใบพัด โดยเฉพาะเขามีเครื่องหมุนกังหันช่วย มีความเร็วสูงกว่าเครื่องปกติ ที่นั่งก็สบาย

ขากลับนี้ไม่มีใครเป็นอะไร ไม่มีใครเมาเครื่องบิน ทั้งนี้ก็เพราะว่าอารมณ์ชินต่อเครื่องบินสำหรับคนที่ยังไม่เคยขึ้นเครื่องบิน ถ้าคนที่เคยขึ้นเครื่องบินแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ นั่งมาก็ชมทิวทัศน์ต่างๆ ทางข้างล่างและข้างบน ข้างบนมองขึ้นไปก็เห็นแต่ก้อนเมฆ ฟ้าที่เคยแลเห็นต่ำตามปกติ ขึ้นเครื่องบินไปสูง แต่ทว่ายังมองเห็นฟ้าสูงตามปกติ

ที่เคยพูดมาแล้วตั้งแต่ขาไปว่า ขึ้นชื่อว่าที่สุดของโลกไม่มี ทีนี้มองลงมาข้างล่างก็เห็นเรือทั้งหลายวิ่งขวักไขว่ไปๆ มาๆ แลดูน้ำทะเลระยิบระยังจับตา เป็นสีเขียวน้อยๆ สีน้ำทะเล แลเห็นคลื่นน้อยๆ คลื่นไม่ใหญ่นัก เรือที่วิ่งไปไม่โดดคลื่น ก็แสดงว่าลมภายข้างใต้นี้ไม่แรงนัก

นั่งมาแล้วก็คิดไปว่าชีวิตของคนนี่จะเอาอะไรแน่นอนนักมันจะได้ที่ไหน นี่คนที่ขึ้นเครื่องบินอย่างเรานี่ตายแล้วนับไม่ถ้วน ไม่ใช่ว่าคนที่นั่งเครื่องบินแล้วจะเป็นผู้วิเศษวิโสเสียทุกคนก็หาไม่ ขึ้นมาแล้วก็ตาย เจ้าหน้าที่บังคับเครื่องบินก็ตายมานับไม่ถ้วน

ชั่วสักครู่หนึ่ง เขานำอาหารมาเลี้ยงแก่คนเดินทางบนเครื่องบิน ความจริงอาหารบนเครื่องบินเขาดีมาก แต่ว่าเวลาหลังเที่ยงแล้วพระไม่มีประโยชน์สำหรับอาหาร เขาก็นำกาแฟดำน้ำตาล และนมสดมาให้ แสดงว่าให้เลือกบริโภคเอา อาจจะให้ดื่มกาแฟดำแล้วตามด้วยนมสด หรืออาจจะคิดว่าถ้าชอบกาแฟดำก็จะได้กินกาแฟดำ หรือว่าชอบนมสดก็จะได้กินนมสด

อาตมานึกยังงั้น เห็นอีท่านั้นเข้าก็คิดว่าเราต้องหม่ำทั้งสองอย่าง จะไปนั่งดื่มมันทีละถ้วยก็ไม่เกิดประโยชน์ เลยเอาน้ำตาลละลายในกาแฟดำแล้วใส่ไปในถ้วยนมสด ว่าเสียรวดเดียวหมดสบายไม่ต้องยกบ่อยๆ นี่เป็นเรื่องของคนขี้เกียจหรือคนขยันก็คิดเอาก็แล้วกัน เวลาดื่มของทั้งสองรวมกันเข้าไปก็คิดว่าจะไปแยกกันทำไม

เวลากินเข้าไปมันก็ไปรวมกันในท้อง ก็ให้มันรวมไปแต่ข้างนอก มันจะได้เป็นธรรมสามัคคี ดีไม่ดีเจ้าคนเข้าก่อนก็จะถือว่านี่ ที่ของฉันนะ ฉันมาอยู่ก่อนแกจะแย่งที่ของฉันไม่ได้ ไอ้คนเข้ามาทีหลังก็จะคิดว่าเขาใช้ฉันเข้ามานี่ ฉันไม่ได้เข้ามาเอง ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในที่นี้

ถ้าดีไม่ดี มันเกิดทะเลาะกันขึ้น หาส้วมก็ยาก ถ้าปวดท้องขี้ท้องเยี่ยวบนเครื่องบินมันก็แสนลำบาก เลยล่อมันเสียคราวเดียวกัน ให้มันรวมเข้าไปแล้วก็เป็นธรรมสามัคคี

เมื่อเวลาดื่มของทั้งสองสามอย่างนี้ก็คิดในใจว่า คนที่เขากินอย่างเรานี่เขาตายมาไม่รู้จักเท่าไหร่แล้ว กินแบบนี้ตาย ไม่ได้กินก็ตาย กินก็ตาย ประโยชน์อะไรที่อาหารจะทรงอัตภาพของคนได้ตลอดกาลตลอดสมัย ที่เรามามัวเมาเรื่องอาหารกันนั้นว่าอย่างนั้นดี อย่างงี้วิเศษ นั่นมันเรื่องคิดกันเอาเอง

ไอ้ของที่ว่าดีที่วิเศษน่ะมีของอย่างไหนบ้างที่กินเข้าไปแล้วคนไม่แก่ มีของอย่างไหนบ้างที่กินเข้าไปแล้วคนไม่ป่วยไข้ไม่สบาย มีของอย่างไหนบ้างที่กินเข้าไปแล้วคนไม่ตาย คนที่คิดที่มีความเข้าใจ ที่เขาเรียกว่าเป็นศาสตราจารย์หรือว่าสาดกะลาสาดจานอะไรก็ตาม บอกว่าอย่างโน้นก็ดีอย่างนี้ก็ดี อย่างนี้ก็วิเศษ อย่างโน้นก็วิเศษ อย่างนี้ใช้ไม่ได้ไม่เป็นประโยชน์

ในที่สุดคนที่แนะนำเองนั่นแก่แล้วก็ตาย แล้วรู้จักป่วยเหมือนกัน เป็นอันว่าเรื่องอาหารที่บริโภคที่คิดว่าอย่างโน้นดีอย่างนี้ดีน่ะ เป็นเรื่องที่คิดกันเอาเอง เดากันเอา เขาเรียกว่าเดา ไม่ใช่รู้จริง ถ้ารู้จริงก็ต้องรู้อย่างพระพุทธเจ้า ถือว่าอาหารที่เราจะบริโภคเข้าไปน่ะ เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น

เราจะกินยังไงๆ ร่างกายมันก็พัง ร่างกายมันก็ตาย มันมีความทรุดโทรมเป็นปกติ นี่ท่านบอกว่าจงอย่าหลง จงอย่างคิดว่าอาหารที่เรากินมันเป็นของวิเศษ จะช่วยให้เราไม่ตาย จะช่วยให้เราไม่เจ็บไข้ไม่สบาย จะใช่ให้เราไม่ป่วย อย่างไปหลงมันอย่างนั้น

นี่ว่ากันเรื่องอาหาร ขัดคอชาวบ้านบ้างหรือเปล่าไม่ทราบจะขัดคอใครหรือไม่ขัดคอใครก็ตาม อยากพูดเสียอย่าง เมื่อพูดแล้วก็แล้วกันไปใครจะด่า ใครจะว่า ใครจะนินทา ก็เป็นเรื่องของชาวบ้าน

หลวงพ่อย้อนรำลึกถึง "ประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยอินโดจีน"


......เมื่อเดินทางผ่านมา มองลงไปข้างล่างเห็นเกาะช้าง แล้วก็แหลมงอบ มันแหลมออกมา นึกถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยอินโดจีน ที่เรือรบของเราต้องปะทะกับลาม็อตปลิเกต์ ความจริงตอนนั้นยุทธวิธีของเราพลาดไปหน่อย ที่ให้เรือรบทุกลำสงวนเชื้อเพลิง นี่ซีไม่เป็นเรื่อง

แล้วก็ให้เรือรบทุกลำแยกกำลังกัน เพราะกำลังของเรามันน้อยอยู่แล้ว เราเสียท่าข้าศึก เพราะข้าศึกลอบโจมตี แต่ก็เป็นสิ่งสลดใจของน้ำใจทหารไทยคนหนึ่ง ภายหลังมียศเป็นพลโท คนนั้นเป็นผู้บังคับการเรือหลวงระยอง เขาให้ออกลาดตระเวน ปรากฏว่าท่านผู้นี้ไปพบขบวนเรือของฝรั่งเศสเข้า วิ่งหนีมาจอดอยู่ท้ายเกาะเสม็ด แล้วก็ไม่แจ้งให้กองเรือที่อยู่ที่นั่นทราบ

ซึ่งมีหลวงพร้อมวีรพันธ์เป็นผู้บังคับการเรือ เรียกว่าเป็นผู้บังคับการเรือธง ไม่บอกเสียด้วย แกก็มานอนจอดหลบอยู่ ปล่อยเรือข้าศึกโจมตีเรือของเราที่กำลังจอด เรือสงขลาหรือว่าธนบุรีจำไม่ได้ เสียท่าข้าศึก ไม่มีทางสู้เลย ข้าศึกยิงจมทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดึงสมอ

แล้วก็ในจำนวน ๒ ลำนี่แหละ ไม่ทราบว่าสงขลาหรือธนบุรี ถูกยิงท้ายจมหัวโด่ง เวลานั้นเรือตรีจิตต์เป็นสะหรั่งปืน สั่งยิงเรือข้าศึกทั้งๆ ที่ท้ายจมหัวโด่งเราเป็นเป้านิ่งให้เขายิง แต่ก็สามารถยิงเรือสลุปจมไปได้ ๒ ลำเรือที่ติดตามมากับลาม็อตปลิเกต์ลงก้นทะเลไป

เป็นอันว่าปืนใหญ่หัวเรือกระบอกเดียวสามารถสังหารข้าศึกได้ ๒ ลำ เป็นอันว่าเลยไม่มีใครขาดทุนไม่มีใครได้กำไร ตานี้มาว่าถึงเรือธงต่อเรือธงสู้กัน ของเขา ๙,๐๐๐ ตัน ของเรา ๒,๕๐๐ ตัน เล็กกว่ามันมากทั้งยังถอนสมอไม่ขึ้นยังกว้านสมอไม่ขึ้น

เขาก็ยิงเอาๆ เราก็ยิงตอบ เวลาถอนสมอขึ้นแล้ว หลวงพร้อมวีรพันธ์ผู้มีน้ำใจกล้าหาญเป็นที่สุด เป็นน้ำใจของคนไทยแท้ สั่งเรือให้บุกเข้ากระชั้นชิด ความจริงเรือของเราได้เปรียบกว่า เรือเล็กแต่ว่าปืนโตกว่ายิงได้ไกลกว่า ของเขา ๙,๐๐๐ ตัน เรา ๒,๕๐๐ ตัน เขาใช้ปืน ๖ เราใช้ปืน ๘ กำลังปืนของเรายิงวิถีกระสุนได้ไกลกว่าเขา

ถ้าหากว่าเราจะหนีออกมาให้ได้ระยะกระสุนของเรา แต่เขายิงไม่ถึงเราจะได้เปรียบ แต่ว่าน้ำใจทหารหาญ เรือ ๒ ลำจมไปแล้ว ตานี้เหลือพี่เบิ้มกับพี่เบิ้มสู้กัน ก็ตั้งใจจะสังหารให้ได้ผลจริงๆ สั่งเรือให้บุกเข้าใกล้ที่สุดที่จะใกล้ได้ ผลที่สุดตัวท่านหลวงพร้อมวีรพันธ์เองก็ถูกยิงที่ขาขาดไป

แต่ท่านก็ไม่แจ้งใคร ยังบัญชาการให้ลูกน้องทำการรบต่อไปเป็นปกติ นี่น้ำใจของทหารเรือไทยเป็นอย่างนี้ แล้วในขั้นสุดท้าย ปืนใหญ่ของเรือไทยก็กวาดเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ มีหอการรบ หอบังคับการ ป้อมปืนทั้งหมดของลาม็อตปลิเกต์ลงน้ำไปหมด ไฟลุกบนดาดฟ้าเรือวิ่งโชน วิ่งหนีกลับไป

แต่ทว่าขณะที่เรือของเราถูกโจมตี เจ้าหน้าที่สื่อสารเคาะโทรเลข เอส.โอ.เอส. หมายความว่าขอความช่วยเหลือจากเรือที่อยู่ในเกาะใกล้เคียง ปรากฏว่าทางสัตหีบ แม่ทัพเตรียมพร้อมแล้วยามฝั่งทั้งหมดล้อมเรือหลวงอ่างทองเอาไว้ เพราะแม่ทัพอยู่ที่นั่น แต่ก็ไม่ได้มีเรืออะไรวิ่งเข้าไปช่วยเพราะระยะมันไกล

ตานี้ทางเครื่องบินได้รับวิทยุอย่างนั้นก็ส่งเครื่องบินไปช่วย ไม่ได้ช่วยโจมตีข้าศึก ช่วยโจมตีเรือไทย หมู่แรกบินไปทิ้งระเบิดลงเรือธนบุรี เพราะเข้าใจผิด หมู่ที่ ๒ ไปอีก เจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันดับไฟ ทหารทั้งหมด กางธงชาติให้ดู แต่แกก็คิดว่าข้าศึกหลอกลวง เอาระเบิดล่อลงไปอีก แถมยิงกราดด้วยปืนกลเสียด้วย ช่วยกระหนาบ

ตอนนี้ไฟไหม้สะพานเดินเรือ หลวงพร้อมเห็นท่าไม่ได้การ ถ้าปล่อยไว้กระสุนดินดำจะระเบิดเป็นการทำลายตัวเองอย่างหนักคนจะตายหมด เลยสั่งให้ไขก๊อกจมตัวเอง ทหารทุกคนต้องว่ายน้ำขึ้นเกาะช้าง หลวงพร้อมวีระพันธ์ทหารพึ่งทราบว่าขาท่านขาดก็เอาใส่เรือบดขึ้นเกาะช้าง ในที่สุดท่านเสียใจ เพราะเสียทีข้าศึก จึงยกปืนพกขึ้นยิงตัวตาย เลยเลื่อนเป็นนาวาเอก ตอนนั้นเป็น "นาวาโท"

ภาพ "เกาะช้าง" มองจากบนเครื่องบิน

......นี่เห็น "เกาะช้าง" จึงนึกสลดใจ พี่น้องทั้งหลายชาวไทยทั้งหมดจะเป็นทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ ทหารอะไรก็ตามหรือชาวบ้านก็ตาม ก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ท่านทั้งหลายแสดงเป็นวีรบุรุษ คือแสดงความกล้าหาญ สละชีวิตเพื่อประเทศชาติ เราผ่านมาตรงนั้นก็น้อมนึกถึงความดีหรือเคารพความดีของท่าน

พอถึงตรงนี้ เจ้าคุณมัสสุสิงหนาทจำไม่ได้ว่ามันที่อะไร ชี้ไปว่าท่าจะเป็นเกาะกง บอกโน่นดูแหลมมันยื่นออกมา ตรงนี้เป็นแหลมงอบ เมื่อผ่านมาแล้วมาทางชลบุรีเห็นน้ำเป็นฝา เป็นน้ำมันก็เลยคิดว่านี่ท่าจะเป็นบางจาก เดาๆ เอาเพราะไม่เคยขึ้นอากาศ แล้วเครื่องบินก็ผ่านมาใกล้จะถึงดอนเมืองเห็นพื้นที่นาราบเรียบ เห็นอาคารข้างล่าง

เครื่องบินลดความสูงลงมาๆ เป็นลำดับ ในที่สุดก็แตะพื้นดินของดอนเมือง เมื่อหยุดต่างคนต่างลงจากเครื่องบิน ปรากฏว่ามิตรสหายทั้งหลายไปรับเป็นจำนวนมากดีใจกัน นึกขอบคุณท่านทั้งหลายที่ไปกันทุกคน มีบางท่านมีรถยนต์ไปเกรงว่าจะหาคนนั่งไม่ได้ เพราะว่ารถยนต์หลายคัน นี่น้ำใจของคนไทยเรานั้น

ความจริงประกบอยู่กับธรรมะของพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเวลาจะไปก็พากันไปส่ง เวลากลับมาก็พากันไปรับ ดีอกดีใจที่พากันกลับ แต่ความจริงไม่ได้ไปไหน ไปเมืองไทย ย่องๆ เข้าไประยะทางเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ความจริงก็คิดอยู่แล้วว่าอาณาจักรใกล้ๆ ของคนไทย เป็นเมืองลาวก็ดี เมืองเขมรก็ดี เมืองพม่าก็ดี เมืองแขกมาเลเซียก็ดี อันนี้ เราก็ทราบกันดีแล้วว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าเมืองไทย สิ่งที่น่าปลื้มใจสำหรับคนไทยก็คือชาวหาดใหญ่ หรือว่าชาวสงขลาที่มีความฉลาดดูดเงินตราของอาบังไว้ได้

คือ ๑.หมอดียาราคาถูก (ความจริงไม่ถูกนัก แต่ว่าถูกสำหรับแขก แขก ๑ เหรียญเท่ากับไทย ๘ บาท) หาดทรายของสงขลาหรือหาดใหญ่ก็รู้สึกว่าเป็นสถานที่รื่นรมย์ดี ถ้าจะว่ากันไปอีกทีก็ไม่แพ้ปีนัง ถามว่าเคยไปหรือเปล่า ก็ตอบได้ว่าไม่ได้ไปหรอก แล้วทำไมว่าไม่แพ้ปีนัง? เพราะอะไร ตอบว่าเพราะใกล้กว่า

แล้วจะไปแพ้ปีนังได้ยังไง ไอ้ปีนังมันก็อยู่ที่ปีนัง หาดใหญ่มันก็อยู่ที่หาดใหญ่ สงขลาก็อยู่ที่สงขลา แผ่นดินต่อแผ่นดินไม่มีโอกาสที่จะยกทัพเข้าไปรบกันได้ ก็ไม่มีใครแพ้ใครชนะ เป็นอันว่าเราไม่แพ้เขา เขาก็ไม่แพ้เรา

ตานี้ เมื่อถึงกรุงเทพฯ แล้ว กิจการเดินทางมันก็ยังไม่จบ มันยังจะต้องเดินทางกันต่อไป ได้พักกรุงเทพฯ ๓ วัน วันที่ ๑๓ – ๑๔ – ๑๕ น่ากลัวจะเป็นวันที่ ๑๖ จะต้องเดินทางลงไปที่โน่น จังหวัดราชบุรี แล้วออกจากราชบุรีไปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ออกจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ไปจังหวัดชุมพร นี่มีเวลาพักนอนได้จริงๆ ๒ คืนหรือ ๓ คืนเท่านั้น เป็นอันว่า เรื่องราวของการเดินทางสายใต้ในระยะที่ ๓ หรือว่าตอนที่ ๓ ก็น่าจะยุติกันไว้เพียงเท่านี้

ก่อนที่จะจบ ก็ขอสดุดีความดีของเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต มีท่านผู้อำนวยการ (เขาเขียนชื่อมาให้เหมือนกัน จำไม่ได้) แล้วมีท่านรองผู้อำนวยการ คือ ม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์ พร้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่ (จะเรียกว่าบริษัทก็ได้กระมัง) ทั้งหมดที่มีความเมตตาปรานีกับสาวกขององค์สมเด็จพระสุคตบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยคณะ ที่ได้สงเคราะห์อนุเคราะห์คณะที่ไปทั้งหมด

ความดีของท่านนี้ คณะของเราจะจารึกความดีของท่านไว้ และขอทุกท่านจงมีความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล และมีความประสงค์สิ่งใดก็ให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา นี่ยังไม่จบ เวลามันยังไม่หมดยังเหลืออีก ๒ นาที

ขอพูดสักนิด เวลาที่ขึ้นเครื่องบินมาคนที่มีกำลังแข็งแรงที่สุดก็คือไอ้หมู ไอ้หมูนี่ใครแน่ คุณหญิงสมสมัย ศรีไชยันต์ คณะของท่านเรียกว่าไอ้หมู ไอ้หมูนี่แข็งแรงจริงๆ สมกับชื่อว่าไอ้หมู แกนั่งมาบนเครื่องบินแกคุยตลอดทาง

คนอื่นเงียบเสียงแจ๋วๆๆๆ ไอ้หมูไม่มีขาด ตั้งแต่เครื่องบินขึ้นจนถึงเครื่องบินลง ความจริงการใช้เสียงนี่เหนื่อย แต่ไอ้หมูไม่เหนื่อย เก่งมาก เสียงไอ้หมูนี่ขาดไปนิดหนึ่ง ชั่วระยะเวลาสั้นๆ นั่นก็คือ เวลาเคี้ยวอาหารที่เจ้าหน้าที่ของเครื่องบินเขานำอาหารมาส่งให้ มีจังหวะเวลาเล็กน้อยเท่านั้นที่เสียงไอ้หมูหายไป

ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่นินทาว่าร้าย คือ น่าปลื้มใจกับแรงงานของไอ้หมู แต่ไอ้หมูนี่เก่งมาก เดินก็เก่ง ขึ้นที่สูงก็เก่ง คล่องแคล่วทุกอย่าง ท่าทางก็เป็นหมู คือ อ้วน แต่อ้วนแล้วก็แข็งแรง แถมมีแรงพูดเก่งอีกด้วย แหมช่วยให้พวกเราไม่เหงา ชื่อว่าเป็นความดีที่ช่วยให้พวกเราไม่ง่วง ตื่นอยู่ตลอดเวลา

เอาละเวลาหมดแล้วนี้ ก็ขอยุติตอนที่ ๓ ของการเที่ยวสายใต้ไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้อ่านและรับฟังทุกท่าน...สวัสดี.



◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 27/12/10 at 13:03 [ QUOTE ]


10
(Update 27-12-53 )

ปักษ์ใต้ ตอนที่ 4



ตอนที่แล้วมาค้างอยู่ที่บ้านนายฮวด อ.ดำเนินสะดวก ว่าพูดถึงเรื่องการบูชาเทวดา ที่ว่าบรรดาท่านนักปราชญ์ทั้งหลายได้พากันประณามว่า คนที่ยกศาลพระภูมิก็ดี บูชาเทวดาก็ดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่ยอมเคารพในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

แล้วมายั้งอยู่ตรงว่า บรรดาท่านนักปราชญ์ทั้งหลายคงจะลืมพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่ากันด้วยอนุสสติ ๑๐ คือว่าเทวดานุสสติกรรมฐาน พากันประณามเทวดาเสียย่ำแย่ เข้าใจว่าท่านทั้งหลายพวกนี้คงจะเป็นศัตรูกับเทวดา อาจจะมาจากพวกอสูรที่เคยรบกับเทวดาก็ได้ นี่เป็นความเข้าใจ

ไม่ใช่แกล้งว่าแกล้งกล่าวเขา เพราะสงสัยว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น ประกาศตนมาเป็นสาวกขององค์พระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำไมจึงได้พากันคัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่ น่าสงสัย แล้วคงจะลืมไปว่าคนที่คัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าเดียรถีย์ แปลว่าเป็นบุคคลภายนอก

คนที่นอกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่พวกของพระพุทธเจ้า เป็นพวกของเทวทัต เวลานี้มีท่านบริษัทของคณะใดคณะหนึ่งออกประกาศ บอกว่าเรื่องสวรรค์ก็ดี นรกก็ดี ผีก็ดี เทวดาก็ดี มีบางท่านออกประกาศเป็นหนังสือแจกกันก็มี ว่ารับรองว่าเป็นเรื่องจริง แต่ว่าท่านผู้นั้นบอกว่าไม่จริง

นี่สงสัยความจริงการรู้เรื่องผีก็ดี เทวดาก็ดี นี่เราปฏิบัติกันตามคำสั่งสอนขององค์สามเด็จพระชินสีห์ไม่ยากเลย เพียงแค่ทำจิตของเราให้เข้าถึงแค่อุปจารสมาธิ แล้วก็ฝึกด้านทิพยจักขุญาณ ความจริงทิพยจักขุญาณของเราแม้เป็นเพียงทิพยจักขุญาณที่เป็นแสงเทียนริบหรี่ๆ มีความสว่างไม่ดี มีความสว่างไม่เท่าของพระพุทธเจ้าก็ดี

ถึงกระนั้นเราก็สามารถพิสูจน์เรื่องผี เรื่องเทวดากันได้แบบสบายๆ ท่านนักปราชญ์ทั้งหลายเหล่านั้นคงจะสงสัย แล้วก็ลืมอ่านคำสั่งสอนของพระจอมไตร แล้วก็ลืมปฏิบัติตาม เป็นแต่เพียงว่าเอาความนึกความคิดของตนเองที่เป็นผู้เสพกามเข้ามาเปรียบเทียบกับความรู้ของพระพุทธเจ้า ที่เป็นผู้หมดจากกิเลส เป็นสมุจเฉทปหาน แล้วก็มีอารมณ์เข้าถึงพระนิพพาน

ความจริงเรื่องนี้ แม้แต่พระอรหันต์ทั้งหลายก็รับรอง แล้วทำไมยังมีคนคัดค้านอยู่อีก สงสัยว่าเวลานี้ศาสนาแทรกพระพุทธศาสนาจะเกิดขึ้นแล้ว แล้วรูปร่างที่ปฏิบัติก็แสดงเป็นแนวเดียวกับพระพุทธเจ้า คือแสดงตนเป็นพุทธบริษัท โกหัวห่มผ้าเหลืองเหมือนกัน

ถ้าเป็นฆราวาสก็ตั้งท่าตั้งทางบูชาพระพุทธรูป แต่ทว่าข้อวัตรปฏิบัติของบรรดาท่านพวกนั้น ไม่ได้นำเอาคำสั่งสอนของสมเด็จพระทรงธรรม์มาประพฤติปฏิบัติ ทำไปตามอัธยาศัยของตัว นี่ อย่างนี้จัดว่าเป็นอกุศลกรรมระดับชั่วอย่างที่ช่วยอะไรไม่ได้

นี่มาว่ากันต่อไป ความจริงเรื่องตามนี้มันปรากฏมาแล้วในเรื่องผีเรื่องสาง แต่ทว่าก็มาเล่าไว้ เพราะเป็นสถานที่เกิดเรื่องราวของจังหวัดราชบุรี หรือว่าดำเนินสะดวกในเขตนี้ ถ้าจะพูดกันสักสาม – สี่ร้อยหน้ากระดาษพิมพ์ มันก็ไม่จบ ขอเล่าแต่เพียงย่อๆ

ทีนี้ว่ากันถึง การปลูกศาล ก็มีนายสุวรรณ ลืมนามสกุล เขามาแนะนำให้ชาวบ้านนั้นปลูกศาลเป็นพิเศษ เป็นศาลรวม ปีหนึ่งก็ให้บูชาเหมือนๆ กัน มาบูชาเป็นจุดเดียวกัน ดีกว่าไปตั้งศาลบวงสรวงในเขตใดเขตหนึ่งในบ้านของตัวโดยเฉพาะ

ปีหนึ่งให้มาทำบุญรวมกัน แล้วก็มีคนเขามารายงานอาตมา อาตมาบอกดี ใช้ได้ คำว่าดีใช้ได้แบบนี้มีผลในความที่ตั้งใจก็คือ
๑ จะให้มีการรวมใจของคนในถิ่นนั้นให้เข้ามาอยู่ในศูนย์เดียวกัน
ประการที่ ๒ จะให้มีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ทำให้เข้าเป็นพวกเดียวกันไม่แตกแยกเป็นบ้านใครบ้านมัน

ผลก็เป็นจริงตามนั้น แล้วนายสุวรรณคนนั้น ก็พยากรณ์ไว้ด้วยว่า ต่อไปศาลนี้จะศักดิ์สิทธิ์ แล้วมาในระดับนี้ก็ปรากฏว่ามีความศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เพราะว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง แกไม่ใช่คนทรง แต่ทว่า เทวดาที่เขาเชิญมาบูชา การปลูกศาลนี่ความจริงเป็นการยอมรับนับถือเทวดา ไม่ใช่จะไปเกณฑ์เทวดามานั่งรับใช้

ในเมื่อนายสุวรรณทำเข้า เขาก็พากันมาบูชา ถึงปีก็นิมนต์พระมาสวดมนต์เย็นฉันเช้าที่โคกหน้าศาล อาตมาก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นประธาน แล้วก็เชิญเทวดาให้เขาทำตามนี้ เวลานี้ความศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นแล้ว เวลาใครทำอะไรไม่ดีไม่ว่าอยู่ที่ไหน

หญิงคนนั้น ไม่รู้เรื่องอะไรก็ปรากฏว่าเทวดาเข้าไปสิงใจ พบหน้าคนนั้นเข้า ก็ชี้หน้าคนนั้น ว่าคนนี้ ว่าไปทำไม่ดีที่ตรงนั้นตรงนี้ เป็นความจริงไหม เป็นอันว่าบุคคลคนนั้นรับ ว่าเป็นเรื่องของความจริง นี่จะว่าการไหว้เทวดาไม่เป็นประโยชน์ เห็นว่าจะรับรองไม่ได้เสียแล้ว จะเชื่อถือว่าเป็นความดีไม่ได้ นี่ความจริงมันปรากฏขึ้นแล้ว

มีคนพวกนั้นที่เขาประสบจริงเขายอมรับนับถือ แล้วคนที่ถูกว่าถูกประณามก็มาบอกเอง ว่าผมไปทำอยู่ที่ไหนต่อที่ไหนไกลแสนไกล พอถึงเวลามาใกล้ศาล เจอะหน้ายายคนนั้น แกชี้หน้าบอกว่าไปทำความไม่ดีตรงนั้น ตรงนี้ แกจะรู้ได้ยังไงขอรับ เพราะว่าผมไปต่างแดนต่างจังหวัด แกไม่มีโอกาสจะเห็น ผมก็ไม่ได้บอกให้แกทราบ

แต่ทว่าแกรู้ นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ตอนหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัทควรจะรับฟังไว้ แล้วก็ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา ไม่ใช่มานั่งด่าเทวดาเล่น แต่ว่าที่อาตมาเห็นผลประโยชน์ อาจจะไม่ตรงกับเขาก็ได้ การจะมีผีเข้าเจ้าทรงแบบนี้อาตมาก็ไม่เคยค้าน เมื่อเขายอมรับนับถือกัน เราก็ยอมรับนับถือได้ เพราะอะไร

เพราะว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสอนพุทธบริษัทตามเขตต่างๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เคยค้านสิ่งที่ชาวบ้านเขายอมรับนับถือ ทรงสนับสนุนทุกประการ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะบรรดาชาวบ้านทั้งหลายพากันยอมนอบนบยอมเคารพในความจริงส่วนนั้น

เป็นอันว่าชาวบ้านทั้งหลายแถบนั้นเป็นผู้มีศรัทธา ในเมื่อเขามีศรัทธาเกาะอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่นี้ เป็นความดี ที่เราจะนำธรรมขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปแทรกแซงไว้ทีละนิดทีละหน่อย โดยไม่ให้คนทั้งหลายเหล่านั้นรู้

จะชี้ให้เห็น อย่างกับกลุ่มดำเนินสะดวกนี่ เดิมทีแกชอบทำบาปกันมาก ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำสวน เรือกสวนมีร่องน้ำ ปลาเข้าไปอยู่มากแกก็ฉวยโอกาสจับปลาในที่นั้นกิน เมื่อยามว่างก็หาปลา ทำปาณาติบาต เมื่อศรัทธาของแกมีแล้วก็บอกแกว่าจ้าวที่นี่ หรือเทวดาที่นี่ไม่ชอบคนทำปาณาติบาต ใครทำปาณาติบาตแล้ว ทำสวนได้ผลไม่ดี มีผลเสียหายมาก

หากว่างดเว้นเสียแล้ว ผลในสวนจะพึงได้ดี ก็มีนายจี๊ด นายสม แล้วก็นายอะไรอีกคนน้องชายนายสม แล้วก็นายเฉลิม มีหลายคน เฉพาะนายเฉลิมน่ะไม่ใช่เสือปลา แต่นายสม นายจี๊ด แล้วก็ใครอีกหลายคนพวกนี้เป็นเสือปลาจริง ฆ่า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม พอได้ฟังเท่านั้นแกก็เลิกจากทำปาณาติบาต ตั้งหน้าตั้งตาทำสวน

เหตุก็ปรากฏชัด เพราะอะไรผลที่ไม่เคยได้กลับได้ดี แกเป็นหนี้อยู่คนละ ๓ หมื่น ๔ หมื่น หลายหมื่นก็ตาม ก็บอกว่าถ้าเธอละจากปาณาติบาต หนี้พวกนี้ไม่เกิน ๒ ปี พวกเธอจะใช้หนี้หมด ทั้งๆ ที่เนื้อที่ไม่มาก แกก็ตั้งใจวิรัต สมาทานศีลด้วยดี ด้วยความเคารพ และภายใน ๒ ปี แกก็ชำระหนี้หมด เป็นเหตุอัศจรรย์

และความเป็นอยู่ของบุคคลผู้นั้นก็ก้าวหน้าโดยลำดับ นี่ก็เลยเป็นตัวอย่างให้บุคคลทั้งหลายเอาบ้าง นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท การที่เขาเคารพผีเคารพเจ้ากัน แต่ทว่าเราเอาธรรมะของสมเด็จพระทรงธรรม์เข้าไปแทรก อันดับแรกก็เอาแค่นิดเดียว ให้รักษาศีลห้า

ปรากฏว่าบุคคลผู้นั้น บูชาศีลเป็นสรณะ ทั้งๆ ที่บางคนในกลุ่มนั้นเขานับถือศาสนาอื่น คือโรมันคาธอลิก เป็นสาวกของคณะบางนกแขวกเป็นจุดสำคัญ แต่ว่าเวลานี้นั้นกลับมาเคารพพระพุทธศาสนากันเป็นแถว มีพระพุทธรูปบูชา มีพระของคณะสงฆ์ห้อยคอ นี่เราเอากันอย่างนี้ไม่ดีรึ

ดีกว่าไปตั้งหน้าตั้งตารื้อศาลพระภูมิ รื้อศาลบูชาของเขามันจะเป็นประโยชน์อะไร เข้าไปทำลายจิตใจของบุคคลที่มีความเคารพในที่ที่เขาเคารพ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าไปพบชฎิลบูชาไฟ พระองค์ก็ไม่เคยติว่าการบูชาไฟเป็นของไม่ดี

กลับบอกว่าการบูชาไฟนี้เป็นของดี แต่ที่บูชานี้เป็นไฟภายนอก ไม่ใช่ไฟภายใน ถ้าจะให้ดีละก็ควรจะบูชาไฟภายใน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ยกราคัคคิ ไฟคือราคะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ โมหัคคิ ไฟคือโมหะ

ราคัคคิ ความรักเป็นเหตุให้เร่าร้อน มันเป็นไฟเผาขึ้นในใจ เราไปทางไหนมันก็ตามไปด้วย
โทสัคคิ ไฟคือโทสะ มันเกิดขึ้นในใจ มันเผาใจอยู่ตลอดเวลา มีแต่ความเร่าร้อน
โมหัคคิ ความหลงเป็นไฟ เราหลงในสิ่งที่ไม่คงทน มีสภาพที่ต้องสลายตัว ไปเข้าใจว่ามันคงทน อันนี้ก็เป็นอารมณ์ของความเร่าร้อน

ในที่สุดองค์สมเด็จพระชินวรก็ทรงชนะชฎิลได้ ทำชฎิลทั้งหลายพร้อมด้วยบริวารเป็นอรหัตผล แล้วอีกจุดหนึ่งสมเด็จพระทศพลทรงโปรดสุภมานพ สุภมานพนี่แกไหว้ทิศภายนอก เพราะก่อนพ่อจะตายสอนไว้ให้ไหว้ทิศ

ทีนี้พระพุทธเจ้าไปเห็นเข้าตอนเช้า หันหน้าไปทางทิศเหนือ ไหว้ข้างบน ไหว้ข้างล่าง แกไม่เข้าใจคำสอนของพ่อแก พ่อของแกเป็นคนฉลาด ท่านจะทำให้แกเป็นคนกตัญญู องค์สมเด็จพระบรมครูไปเห็นเข้าก็บอกว่า การไหว้ทิศเป็นของดี แต่การไหว้ทิศแบบนี้เป็นการไหว้ทิศภายนอก ควรไหว้ทิศภายใน

ในที่สุดองค์สมเด็จพระจอมไตรก็เอาชนะด้วยความดี นี่พระพุทธเจ้าทรงไม่ขัดใจใคร นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การขัดคอคน เขาบอกว่ากินขี้หมาดีกว่า ฉะนั้นคนใดก็ตามที่เขามีศรัทธา เราถือว่าเป็นโอกาส เราจะไม่ต้องสร้างศรัทธาให้เขาใหม่

เมื่อเขามีกำลังใจเกาะอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว แสดงว่าคนประเภทนี้มีความเชื่ออยู่แล้ว แต่ได้พลัดพรากจากคำสั่งสอนขององค์พระประทีปแก้ว เราก็อย่าไปติ ควรจะดีใจว่านี่เขาเป็นคนมีศรัทธาอยู่ก่อน ก็เดินตามแนวของสมเด็จพระชินวร สร้างธรรมะลงไปทีละนิดทีละหน่อย ในที่สุดพวกนี้เขาก็เข้าถึงจุดของความดี เราทำกันอย่างนี้ไม่ดีหรือ

เป็นอันว่าอยู่ที่ดำเนินสะดวก ๑๖ – ๑๗ และก็วันที่ ๑๘ เดินทางต่อไปถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในตอนเช้านายเฉลิม อบทอง พร้อมด้วยลูกน้อง ก็นำเรือมาส่งที่จังหวัดราชบุรี รับประทานอาหารเสร็จ คุณนนทา อนันตวงษ์ เดินไปตรวจดูรถที่เจ้าคุณมัสสุสิงหนาท ท่านผู้การเหม่ กับคุณอัญชัญ สุทธรัตน์จะไปรับ จัดรถเป็นพาหนะ

ก็ไปพบรถที่ข้างตลาดจังหวัดราชบุรี หลังจากนั้นก็เดินทางไปถึงที่พักบ้านรับรองของสื่อสาร ทอ. คือ พล.อ.ต.ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ ท่านวิทยุล่วงหน้าบอกไปประมาณ ๑ ชั่วโมงพวกเราก็ถึง ในที่นั้นทุกคนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี น่าสรรเสริญคณะนายทหารอากาศที่อยู่ที่นั่น ทุกคนเป็นกันเอง และมีจริยาเรียบร้อยน่ารัก ใครเขาว่าทหารเบ่ง นี่ไม่เป็นความจริง ทหารมีระเบียบวินัยดีมาก

เมื่อเข้ามาพัก ถึงเวลากลางวันก็เดินทางต่อไป ตั้งใจว่าจะไปส่งข่าวเขาที่ห้วยยาง ไปจนถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก็ปรากฏว่าอาการไข้ขึ้นหนัก นี่ไปเที่ยวปักษ์ใต้มาหลายวันไม่ยักเป็นไร พอถึงจังหวัดประจวบฯ ตั้งใจจะไปห้วยยาง ปรากฏว่ารถที่ท่านผู้การเหม่ หรือท่านเจ้าคุณมัสสุสิงหนาทใช้เป็นพาหนะมีเสียงดังประหลาด

ก็ให้เอาไปให้นายช่างตรวจ ตรวจกันเท่าไหร่ๆ ก็ไม่พบจุดอ่อน อาตมาเองก็ต้องนอนซม ปวดศีรษะอย่างหนัก ความร้อนขึ้นสูง ไม่เคยปรากฏอาการไข้มีมาก่อน เขานำเสื่อมาให้ก็นอนไปที่หน้าห้องของช่าง ของอู่ซ่อมรถ นอนลงไปมันก็ปวดศีรษะ

ได้ยินเสียงฟังจากข้างหูลอดออกมาว่า จงไปซื้อยารัตนตรัยมาฉัน อาการไข้จะบรรเทา ก็สั่ง คุณนนทา อนันตวงษ์กับคุณอัญชัญ สุทธรัตน์ ๒ คนก็ไปจัดมาให้ พอดื่มยาเข้าไปหน่อยอาการไข้ก็ลด ความร้อนลด แต่ทว่าเสียงบอกมา บอกยาที่กินเข้าไปนี่น้อยไป ต้องเพิ่มอีกหน่อย ไม่ใช่ตั้งใจจะฝืน

แต่ความจริงคิดว่ามันลดแล้ว ก็ค่อยเพิ่มกันทีหลัง เมื่ออาการไข้ลดดี ก็ปรากฏว่าเขาตรวจรถอยู่ตั้งนาน ไม่ปรากฏว่าอะไรบกพร่อง วันนั้นเป็นอันว่าไปห้วยยางไม่ได้ ต้องกลับมาหัวหิน มาพักที่บ้านพัก มาถึงแล้วก็ยังโงเงอยู่

พอดีตอนค่ำแล้วทุ่มเศษ เห็นจะเกือบ ๒ ทุ่ม เกือบ ๒๐ น. เห็นรถเข้าไปปรากฏว่าท่านเจ้ากรมสื่อสาร ทอ. พร้อมด้วยภรรยา คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา แล้วก็ลูกชายอีกคนเดินทางไปด้วย

ถามท่านว่ามาทำไม
ท่านบอกว่ามีความเป็นห่วงเลยมาดู แต่เวลาที่เจ้ากรมสื่อสาร ทอ. มา ปรากฏว่ามีเหตุอัศจรรย์ ใกล้จะเข้าหัวหิน ที่ตรงนั้นเขาซ่อมทาง แล้วกลางคืนเขาก็เอารั้งขวาทางเข้าไว้ ที่ทางยังไม่เสร็จ

แล้วก็ไม่จุดตะเกียงให้ จริยาแบบนี้น่าคิดสำหรับจิตของบุคคลผู้ทำแล้วไม่มีฟืนไม่มีไฟ รถวิ่งมาด้วยความเร็วคิดว่าไม่มีอะไร ดีไม่ดีชนตายไปเสียมาก แต่ว่ามันเป็นความยากของจิตใจบุคคลที่ไม่ใช้ปัญญาเป็นเรื่องพิจารณา

ท่านเจ้ากรมบอกว่าขับรถมา ๑๐๐ กิโลเมตรต่อ ๑ ชั่วโมง ถึงจะเบรกก็หกคะเมน ถึงยังงั้นก็ดี ก็ต้องชนรั้วเหล็กแหลกลาญไปเพราะเขาไม่มีไฟไว้ ก็เลยหักรถออกมา ๙๐ องศา ในความเร็ว ๑๐๐ กิโลเมตร รถตะแคงคิดว่ารถคว่ำ แต่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ รถทรงตัวอยู่ได้ คนทุกคนบอกว่าใจหายใจคว่ำ

แม้ว่าตัวท่านเจ้ากรมเองเป็นคนมีอารมณ์เยือกเย็นไม่ค่อยจะตกใจอะไร วันนั้นก็บอกว่ามีความรู้สึกหวาดหวิวเป็นกรณีพิเศษ เมื่อท่านมาแล้วก็คุยกัน ไอ้เจ้าไข้ที่เป็นก็เหมือนกับเป็นไข้มารยา

พอเจ้ากรมมาถึงก็คุยกัน ถามว่าออกจากบ้านเวลาเท่าไร
ท่านบอกว่าออกจากบ้านเวลา ๖ โมงเย็น ที่มาก็เพราะความห่วงใย นี่รู้สึกในความดีของท่านที่มีจิตเมตตาพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา สำหรับท่านผู้นี้เป็นนักบุญ คือเป็นคนมีปัญญาจริงๆ ใช้ปัญญาให้เป็นประโยชน์

มาพูดกันถึงเรื่องของพระพุทธศาสนา ท่านมีความเข้าใจไม่ยากนัก เพราะเป็นนักวิทยาศาสตร์ เรื่องของสื่อสารเป็นเรื่องของระบบไฟฟ้า เป็นวิทยาศาสตร์โดยตรง ถึงแม้ว่าบิดามารดาเก่า ตระกูลจะเคารพพระพุทธศาสนาก็จริงแหล่ แต่ทว่าเรื่องการศึกษาเรื่องงานบังคับก็ยังไม่มีโอกาสได้มาศึกษาพระพุทธศาสนาได้แท้จริง

เมื่อคุยกันไปคุยกันมาในระยะต้นๆ ก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว ท่านสงสัย ท่านก็เลยไปซื้อพระไตรปิฎกมาแล้วก็อ่าน อ่านด้วยความพินิจพิจารณา ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิสูจน์ เป็นอันว่าเวลานี้มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาได้ดี ในบางจุดอาตมาเห็นว่าเข้าใจได้ดีกว่าอาตมาเสียอีก

การอ่านพระไตรปิฎก ท่านอ่านด้วยปัญญา ไม่ได้อ่านด้วยสัญญาอย่างเดียว เมื่อเอาสัญญาจับแล้ว ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา นี่คนแบบนี้ถ้ามีมากๆ พระพุทธศาสนาจะไม่โทรม ความจริงคนประเภทนี้ อย่าว่าแต่คนเลย พระที่ปฏิบัติแบบนี้ก็หายากเต็มที ดีไม่ดีก็ไปคว้าตำราที่ใครต่อใครเขียนมา ไม่ได้ดูหลักฐานเดิม

หรือบางทีท่านเป็นนักปราชญ์มากเกินไป ท่านก็เลยบอกว่า พระไตรปิฎกนี่ชาวบ้านเขาเขียนขึ้นทีหลังเชื่อไม่ได้ เป็นอันว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น นิยมศาสนาของเทวทัต ไปลงไปอยู่อเวจีด้วยกันก็แล้วกัน จะได้ไม่เกะกะนิพพานของพระพุทธศาสนา ดีแล้วที่จะได้ว่าง พระนิพพานเขามีที่ว่างมาก อเวจีเขาก็รับไม่จำกัด เชิญเสด็จไปตามสบาย

นักปราชญ์ทั้งหลายเหล่านั้นฟังแล้วโกรธหรือไม่โกรธ โกรธก็เชิญไปอยู่กับเทวทัต ถึงแม้ว่าไม่โกรธ แต่ปฏิบัติตามปฏิปทานั้นก็เชิญไป เชิญหรือไม่เชิญท่านก็ไป เพราะเต็มใจไปอยู่แล้ว

เมื่อท่านเจ้ากรมสื่อสารไปนั่งคุย คุยกันอยู่ถึง ๕ ทุ่ม อาการไข้มันก็ไม่ปรากฏ เพราะมีแขก เพราะจิตมันเป็นธรรมปีติ

ถึงเวลานอน มีเรื่อง เวลา ๒๓ น. บอกว่าดึกแล้วต่างคนต่างนอน ข้างนอกดับไฟ ข้างในเข้าห้อง อาตมาเข้าห้อง คณะที่ไปด้วย คือ ท่านเจ้าคุณมัสสุสิงหนาท คุณนนทา อนันตวงษ์ และคุณอัญชัญ สุทธรัตน์เข้าอีกห้องหนึ่ง อาตมาก็อยู่อีกห้องหนึ่ง ปิดประตูลงกลอน

พอหัวถึงหมอนก็ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่ง เดินเข้ามา ร่างใหญ่โต มันมืดๆ เห็นดำๆ แกจะดำหรือขาวเพราะความมืดมันบัง รู้ด้วยไม่ได้ จะว่าดำหรือขาวบอกไม่ได้ แต่ดำเพราะความมืด เขาเดินมาข้างเตียงแล้วก้มไปหยิบของ

ถามว่ามาทำไม
บอกว่า มาเอาหมวกขอรับ
เขาว่ายังงั้น ถามว่า แกอยู่ที่ไหน
เขาก็เลยบอกว่าตามปกติผมพักห้องนี้ แต่ทว่าท่านมาแล้ว ประเดี๋ยวผมจะไปอยู่ยามข้างล่าง

เขาก็เดินออกไป แต่ว่าตาคนนี้แปลก ตัวใหญ่ แต่ทั้งเข้าทั้งออกไม่ต้องผ่านบานประตู เพราะประตูใส่กลอน แกเข้าได้ แล้วเวลาออกแกไม่ต้องเปิดประตูแกก็ออกได้ แกเป็นใครไม่ได้ถาม ออกไปแล้วก็นอนหลับ

ก่อนจะหลับมีแขกมาอธิบายเรื่องน้ำมันในประเทศไทย ว่าในประเทศไทยมีอ่างน้ำมันมาก แล้วตามหลักฐาน ว่ามีอ่างน้ำมันจริงๆ พูดอย่างนี้ฟังได้ อยากจะรู้ว่าในปัจจุบันมีอะไรจุดไหน พอเป็นที่สังเกตว่าประเทศไทยมีน้ำมัน

ท่านก็เลยบอกว่า ท่านไปชุมพรจะทราบ เพราะว่าสายน้ำมันไปขึ้นที่มะริดในเขตจังหวัดพม่า รุ่งเช้าก็เลยคุยให้ท่านเจ้ากรมฟัง ออกไปคุยกับท่าน
ท่านเจ้ากรมบอกว่า คืนนี้นอนไม่หลับเลย แหม ถ้าคนนี้นอนไม่หลับที่ไหนมันซวยเต็มที เพราะตามปกติท่านเป็นคนนอนง่าย แล้วก็หลับง่าย

เรื่องการนอนของท่าน ไม่ได้วางท่าเป็นนายพล ทำตนยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีก คนธรรมดาบางทียังต้องหาเสื่อหาหมอนหาที่นอนให้มันดี แต่ว่าท่านนายพลผู้นี้น่าจะเป็นพระ พระก็น่าจะเป็นพระธุดงค์ นอนตรงไหนก็ได้ หลับได้ มีเสื่อหรือไม่มีเสื่อก็นอนได้ ไม่เลือกเวลา บริโภคอาหารก็ง่ายแสนง่าย

ดีกว่าพระบางองค์ พระบางองค์พอบวชเข้ามาแล้ว เขาตั้งให้เป็นอะไรเข้าหน่อย มีชาวบ้านเขาฟังว่าท่านมานี่เป็นสมเด็จ ต้องมีตะลุ่มมุก ต้องกาน้ำเงิน นี่ชาวบ้านเขาจัดกันเองนะ เข้าใจว่าท่านไม่ทำยังงั้น ไม่บังคับยังงั้น การจัดแบบนี้น่ะมันผิด มันไม่ถูก ทำเลยเถิดไป เพราะอะไร พระนี่กินอะไรก็กินได้

แม้แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรมีบาตรลูกเดียวท่านก็ฉัน นางมณฑาศรี ห่อแป้งจี่มาในพก ถวายท่าน ท่านรับแล้วท่านก็ฉัน ไม่ต้องไปเอาเครื่องกินเงินเครื่องกินทองอะไรมา นี่ทำกันเสียเรื่องเสียราว ทำแบบนี้ พระเราๆ ก็ควรจะเตือนชาวบ้านเขาบ้าง บอกว่าทำผิด การเป็นสมเด็จ การเป็นเจ้าคุณ การเป็นพระครู ก็แค่พระ

พระเราเป็นผู้ละ ไม่ใช่ผู้เกาะ เกาะแบบนั้นก็ลงอเวจีหมด แต่ความจริงพระท่านไม่ได้บังคับ คนคิดกันไปเองว่าเป็นสมเด็จจะต้องกินวัตถุให้มันดี ความจริงไอ้อาหารการกินน่ะ เราไม่ได้กินวัตถุ เรากินอาหารในวัตถุ แล้วเรื่องอะไรต้องมาเลือกแบบนั้น

เป็นอันว่าท่านผู้นี้ปฏิบัติตนเยี่ยงพระธุดงค์ แล้วท่านก็เลยบอกว่า เมื่อคืนนอนไม่หลับ
ถามว่า ทำไม
บอกว่ามีไอ้ผู้หญิงผู้ชาย ๒ คน มีพันจ่าคนหนึ่งชื่อวีระเหมือนกัน แล้วมีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง แกบอกว่าพี่สาวมาเยี่ยม หน้าตาคล้ายคลึงกัน คงจะเป็นพี่สาวจริงๆ ไอ้เจ้านี่สองคนมันคุยกันตลอดคืน หนวกหูคืนยังรุ่ง

ชักสงสัยแล้ว คนหนึ่งเป็นพันจ่าเอก คนหนึ่งเป็นพลตรี แล้วก็ในเมื่อผู้บังคับบัญชามาอยู่อย่างนี้ ใครน่ะเขาจะไปนั่งคุยให้ผู้บังคับบัญชาหนวกหู ก็เพื่อตัดความสงสัยจึงได้เรียกพันจ่าคนนั้นขึ้นมา ขึ้นมาก็บอกว่า หนู ต้มน้ำร้อนเดือดหรือยัง

เธอก็บอกว่ายังไม่เดือด
ก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องรีบ ทำตามสบาย ทำตามสบายไม่ต้องรีบนะ เท่านั้นแหละ ความจริงที่เรียกขึ้นมาอยากจะให้ท่านเจ้ากรมทราบเสียงของแก ต้องไม่เหมือนกับเสียงของคนเมื่อคืน

เมื่อพันจ่าวีระลงไปแล้ว จึงได้ถามว่าเสียงเหมือนกันไหม
ท่านเจ้ากรมบอกว่าเสียงไม่เหมือน
ก็เลยถามว่าคนนั้นเสียงห้าวๆ ใช่ไหม
ผู้ชาย แกบอกว่าใช่

ผู้หญิงเสียงเล็กๆ นิ่มนวล
ท่านก็บอกว่าใช่
ก็เลยบอกว่าคนที่คุยไม่ใช่พันจ่า เพราะตอนนั้น ตอนที่เข้านอนน่ะแกย่องเข้าไปในห้องไปหยิบหมวกมา แบบหมวกไหมสับปะรด

แกบอกว่า ตามปกติแกพักในห้อง คืนนี้จะไปอยู่ยามให้
แกก็เลยแสดงตนให้เจ้ากรมทราบว่าในที่นี้ไม่ใช่ที่ว่างเปล่า เป็นที่เทวดาอารักขา เสียงแกจึงห้าวๆ ท่านเจ้ากรมก็เลยหมดสงสัย เพราะว่าอะไร เพราะว่าตัวเองได้ยินเองนี่ ถ้าขืนมานั่งสงสัยอยู่ก็ซวยบอกไม่ถูกแล้ว เป็นอันว่าหมดสงสัยกัน

สวัสดี


((( โปรดติดตามต่อไป )))


◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 11/1/11 at 15:24 [ QUOTE ]


11
(Update 11-1-54)

ปักษ์ใต้ ตอน 4 (ต่อ)

(ประวัติคนไทยสายใต้)


นี่คืนนั้น...เป็นอันว่าเสร็จพิธีกันไป ตอนเช้าท่านเจ้ากรมจะกลับ อาการไข้ของอาตมาก็ปรากฏอีก ตั้งใจจะไปหาหมอที่หัวหินก็หาห้องไม่พบ แล้วท่านเจ้ากรมก็มีความเมตตาเปลี่ยนรถไว้ เพราะรถท่านเจ้าคุณมัสสุสิงหนาทมันปรากฏชัดว่าจะมีอันตราย แต่ทว่าตรวจสอบกันไม่ได้ ตรวจกันกี่ชั่วโมงก็หาไม่พบ

ช่างที่หัวหินก็แสนดี ใช้เวลาตั้งหลายชั่วโมง คิดราคาเพียง ๓๐ บาท ซึ่งดูค่าของเวลาที่ทำมันไม่คุ้มกัน เขาควรจะเรียกสัก ๒ – ๓ ร้อยบาท แต่ว่าน้ำใจของคนไทยมีเมตตาแบบนี้น่าสรรเสริญ ลืมชื่อเสียแล้วว่าอู่ซ่อมนั้นชื่อว่าอู่ซ่อมอะไร เป็นเด็กชายหนุ่มๆ เมื่อลูกชายตรวจไม่พบแล้ว พ่อก็ตรวจอีก เป็นอันว่าไม่พบด้วยกันทั้งคู่

ตอนเช้าก็เดินทางไป ไปห้วยยาง บอกเขาว่าพิธีกรรมวันนี้ จะมาทำให้ เขาบอกไม่ได้ เพราะวันนี้เป็นวันพระ ความจริงจำปฏิทินผิด อาตมาเป็นคนจำผิด เขาก็เลยบอกพรุ่งนี้ก็แล้วกัน เป็นอันตกลงตามนั้น แล้วก็เลยไปที่ อ.ทับสะแก จะไปหาหมอฉีดยา ไปดูแล้วคลินิกของหมอ เป็นโรงพยาบาลเราดีๆ นี่เอง คนไข้มากเหลือเกิน ขี้เกียจคอย ไม่คอย

มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน เข้าไปในตลาดทับสะแก วิ่งวนไปวนมาประเดี๋ยวก็กลับ กลับมานอนที่หัวหิน พอมาถึงหัวหินก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานนี้ที่ได้ยามา เสียงบอก บอกว่าให้กินยาเพิ่มอีกนิด ก็กินยาเพิ่มอีกหน่อย ปรากฏชัด นั่นก็คืออาการไข้ตกไป

แล้วตอนกลางวัน เข้าไปที่จังหวัดประจวบฯ เพราะห้วยยางมันเลยประจวบฯ ออกไป ก็ไปฉันอาหารในร้านค้าชายทะเล นั่งดูเรือตังเกและเครื่องบินของ บน.๗ ที่บินฉวัดเฉวียนอยู่ รู้สึกมีความสุขดี แต่ว่าร่างกายของเรานี้มันไม่สุข

หากว่าท่านจะถามใจว่า รู้สึกเป็นยังไง
ก็จะตอบว่า เรื่องธรรมดาๆ ร่างกายของเราเกิดมา พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็น "โรคะ นิทธัง" ร่างกายเป็นรังของโรค "ปะภัง คุณัง" มันต้องเปื่อยเน่าไปในที่สุด มันหาอะไรดีกันไม่ได้ ถ้าท่านมานั่งหลงร่างกาย ว่าร่างกายของเราดีแบบนั้น ดีแบบนี้ นี่ก็คือเอาจิตใจน้อมเข้าไปรับเอาความทุกข์ ท่านเรียกว่า "อุปาทาน" ตัวความยึดมั่น

เพราะอะไร เพราะว่าร่างกายมันไม่ดี เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก หาความทรงตัวไม่ได้ เคลื่อนเข้าไปหาความทำลาย และในที่สุดความสบายตัวมันก็ต้องปรากฏ คือความตายเข้ามาถึง ถ้าเราไปนึกถึงว่าเราจะไม่ตาย เราจะทรงตัวอยู่ ใจมันจะสบายได้ที่ไหน ทั้งนี้ก็เพราะว่าจิตไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง

ถ้าเรายอมรับนับถือความเป็นจริง รู้ว่าเกิดแล้วต้องแก่ ก่อนจะแก่มันก็มีโรคป่วยไข้ไม่สบาย มีความทุกข์ คือการบริหารร่างกาย หรือการกระทบกระทั่งอารมณ์ สิ่งที่ไม่สมความปรารถนาต่างๆ ถ้าจิตใจของเรายังงี้ คิดไว้แล้วก็คิดต่อไปว่าในที่สุดมันก็พังมันก็ตาย อาการอย่างใดมันปรากฏ อย่างนั้นเรารู้แล้ว เราก็เกิดความสบายใจ อย่างนี้ดีถมไป

เรียกว่าคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงไร้ผล เพราะอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลสอนตามความเป็นจริง เรา บรรดาพุทธบริษัททั้งชายและหญิง ถ้าเราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าดี ก็จงนำความดีของท่านไปปฏิบัติ ดีกว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทจะไปนั่งคัดค้านโดยไม่ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา

ตามที่นักปราชญ์ทั้งหลายโฆษณาทัดทานคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่าผีไม่มี เทวดาไม่มี ถ้าใครสงสัยแบบนี้ก็ไปถามท่านเจ้ากรมสื่อสาร ทอ. คือ ท่าน พล.อ.ต.ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ ลองถามท่านดูว่าท่านได้ฟังเสียงใครคุยกันจริงหรือไม่จริงในคืนนั้น

นี่เอาบุคคลที่มียศถาบรรดาศักดิ์ มีงานใหญ่ มีสังคมใหญ่ เป็นนักวิทยาศาสตร์โดยตรง เข้ามายืนยันกัน ไม่ใช่จะเป็นการหักล้างเจตนาของพวกท่าน แต่ทว่าอยากจะให้ท่านเข้าใจตามความเป็นจริง

เอาละ... ท่านผู้อ่านทั้งชายและหญิง สำหรับหน้านี้หรือตอนนี้ก็ขอยุติไว้เพียงแค่นี้ เพราะเทปที่บันทึกในตอนต่อไป (หรืออาจจะเป็นตอนเดียวกันนี่แหละ แต่ก็จะเว้นไว้ไปพูดวันหน้า) เรื่องของหัวหินยังไม่จบ คือว่าในสถานที่พัก บ้านรับรองของสื่อสาร ทอ.

ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คือมีบรรดาสตรีทั้งหลายสมัยเก่ามาเล่าเรื่องราวความเป็นมาของชาวไทยสายใต้ที่หลั่งไหลลงมาจากประเทศจีน ผ่านอินเดีย ผ่านพม่า ผ่านมะริด และทวายแล้วเข้ามาทางสายใต้ ตั้งแต่เขตของ “อาเมี๊ยด” ตลอดไปถึงสายใต้ทั้งหมด

ปรากฏว่าบรรดาสาวผีทั้งหลายมาเล่าให้ฟัง สำหรับจุดนี้ คือครึ่งตอนของตอนที่ ๔ นี้ จะยับยั้งไว้ก่อน แล้วก็ต่อไปเลือกวันเสียก่อน วันนี้มันวันที่ ๒๘ หมดเวลาเท่านี้ ๒๘ อะไร สิงหาคม อาจจะต้องไปขึ้นต้นตอนเลยกว่านี้ไปสัก ๒ – ๓ วัน สำหรับจุดนี้ก็ขอยุติเพียงเท่านี้

พอถึงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๑๗ คือวันที่ ๑๙ คืนนี้ ปรากฏว่าพักอยู่ที่บ้านรับรองของสื่อสาร ทอ. ที่หัวหินอีกคืนหนึ่ง หลังจากวันที่ ๑๘ ที่ท่านเจ้ากรมสื่อสาร ทอ. ไปเยี่ยมแล้วท่านก็เปลี่ยนรถให้ วันนั้นเดินทางไปฉันเพลที่ประจวบฯ เป็นวันที่ ๒ แล้วก็เดินทางไปถึงห้วยยาง

เพราะว่ามีสมาชิกอีกพวกหนึ่งที่ห้วยยางต้องการพบ และเพื่อไปเจริญศรัทธา เจ้าคุณมัสสุสิงหนาทไปพร้อมด้วย คุณนนทา อนันตวงษ์ และ คุณอัญชัญ สุทธรัตน์ ติดตามไปด้วย เพราะว่าท่านสุภาพสตรีทั้งสองนี้เป็นผู้อุปถัมภ์ในการให้ความสะดวกทุกอย่าง

แต่คนที่กึ่งผู้ชาย กึ่งสตรีก็คือท่านเจ้าคุณมัสสุสิงหนาท ตัวท่านเป็นผู้ชายแต่จิตใจท่านคล้ายสตรี แล้วก็คล้ายผู้ชาย มีความเข้มแข็งด้วย มีความอ่อนช้อยไปในตัวเสร็จ..หายาก คนประเภทนี้หายาก ดีไม่ดีใครจะเห็นว่าแกเป็นกะเทยเสียก็ได้ แต่ว่ามีลักษณะท่าทางไม่คล้ายกะเทยอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือมีหนวด ทรงพระหนวดอยู่ตลอดเวลา จะเรียกว่า "พระมัสสุ" ไปชนกับราชาศัพท์ของพระราชาเข้า..ไม่ดี..!

ตานี้..เมื่อไปที่บ้านห้วยยาง ก็เลยบอกว่าพิธีกรรมต่างๆ ที่กำหนดไว้ว่าจะมาทำเมื่อวานนี้ มาไม่ได้เพราะพอถึงประจวบฯ ก็ป่วย ตานี้..วันนี้..ที่มาแจ้งก็เพราะตั้งใจจะเดินทางเลยไปจังหวัดชุมพร เพราะว่าวันนี้เป็นวันพระ เจ้าของบ้านเลยบอกว่า ท่านจำผิดที่บอกกับเขาว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันพระ คือวันที่ ๒๐ เขาบอกว่าไม่ใช่ ความจริงวันนี้เป็นวันพระ คือวันที่ ๑๙ นี่เราจำผิด

คุณวรการ คงทอง ก็ยืนยัน ว่าเมื่อผมรับจดหมายแล้ว ผมก็สงสัยว่า เอ๊ะ..นี่มันยังไงกัน เดือน ๗ ทำไมถึงเป็นแรม ๑๕ ค่ำวันพระ เพราะว่าเดือน ๗ นี่มีแค่แรม ๑๔ ค่ำ ผมสงสัยมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ความจริงวันนี้แหละขอรับเป็นวันพระ วันพรุ่งนี้ไม่ใช่วันพระ

พิธีกรรมต่างๆ ทำได้ก็เลยตกใจ คิดว่าเรานี่..เป็นคนในเขตพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าท่านผู้นี้ท่านมาจากศาสนาคริสต์ เพิ่งจะเข้าพุทธศาสนา แล้วก็ยังไม่ได้ทิ้งศาสนาคริสต์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าอยากจะทำแบบบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น คือใครอยากจะไปวัดคริสต์ก็ไปได้ตามสบาย

ฝ่ายเราไม่รังเกียจ ทีนี้เขาก็ไปกันทั้งวัดคริสต์และวัดพุทธ แต่ทว่าสำหรับคุณวรการ คงทอง ก็ดี คุณเฉลิม คงทอง ก็ดี สองพี่น้องเลิกไปวัดคริสต์มานานแล้ว อันนี้ก็ให้เป็นเรื่องตามอัธยาศัย ไม่ใช่เป็นเกณฑ์บังคับและไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น ให้เป็นเรื่องของศรัทธา

เมื่อได้ทราบตามนั้นก็เข้าใจว่าเมื่อวานนี้ที่มาไม่ได้ มีการป่วยเสียที่จังหวัดประจวบฯ ยังไม่ถึงห้วยยางซึ่งระยะทางอีกไม่กี่กิโลเมตร ความจริงก็เป็นเพราะว่าเราจำวันผิด บรรดาพระหรือเทวดาทั้งหลายคงจะยับยั้ง นี่คิดเอาเอง เนื่องจากพิธีกรรมที่จะไปทำ ทำวันพระไม่ได้ เพราะว่าเทวดาไม่มา

นี่ท่านผู้อ่านคงจะคิดว่า นี่ตาหมอนี่เพ้อไปแล้วยังจะมีเรื่องพิธีกรรมกับผีกับเทวดาอยู่อีก เพราะว่าบรรดาท่านนักปราชญ์ทั้งหลายเคยออกอากาศบ้าง เคยออกหนังสือบ้าง แล้วก็เคยพบหนังสือฉบับหนึ่ง ท่านจอมปราชญ์ท่านหนึ่ง ท่านโจมตีว่าเวลานี้เรื่องผีเรื่องเทวดาว่า มีพระบางองค์ถึงกับเขียนลงเป็นหนังสือว่ามีจริง..นี่ท่านไม่เชื่อ

แต่ว่าอาตมาเชื่อ เชื่อเพราะว่าอะไร เพราะว่าชนมาแล้ว แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เชื่อ อัครสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ก็เชื่อ บรรดาพระอรหันต์สาวกและพระอริยเจ้าทั้งหลายก็เชื่อ อาตมาแม้จะเป็นพระเดินกลางดินกินกลางทราย เป็นคนประเภทที่เอาดีอะไรไม่ได้ก็เลยยอมเชื่อด้วย เพราะตัวเองก็ชนมา

ถ้าเราไม่เชื่อในสิ่งที่เราเห็น เราจะไปเชื่อในสิ่งที่ใครเขาบอก นี่เป็นเรื่องความคิดเห็นของอาตมาโดยตรง เรื่องการเห็นผีเห็นเทวดานี่ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปราชญ์ทั้งหลายอยากจะเห็นบ้างก็ไม่เห็นจะมีอะไรยาก สำหรับอาตมาเองนี่ บอกแล้วว่าเห็นมาตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ

ตั้งแต่อายุ ๗ ปี เป็นต้นมา ไปที่ไหนก็ตาม ถ้ามีใครตายบ้านนั้นหรือมีใครเป็นอะไรมีความสำคัญในบ้านนั้น จะปรากฏทุกครั้งตั้งแต่คืนแรก แต่ว่าถ้าคืนแรกไม่มี ปรากฏว่าไม่มีแน่บ้านนั้น ทำเอาเจ้าของบ้านตื่นตกใจไปหลายวาระ นี่ก็เหมือนกัน เป็นเรื่องธรรมดาๆ ของการเห็นผีเห็นเทวดาซึ่งมันเป็นของไม่แปลก

ฉะนั้น การทำพิธีกรรมเรื่องเทวดาจึงทำเป็นปกติ ใครจะว่ายังไงก็ช่างในเมื่อพบเอง หากว่าบรรดาท่านนักปราชญ์ทั้งหลายจะฝึกดูบ้างก็ลองดูซิ เพราะว่าในพระพุทธศาสนามีกิจที่เราจะต้องทำด้วยความจำเป็น ถือว่าเป็นกฎบังคับอยู่ ๓ อย่าง

๑. อธิศีลสิกขา
๒. อธิจิตสิกขา
๓. อธิปัญญาสิกขา


ถ้าเรามีอธิศีลสิกขา คือศีลบริสุทธิ์ดีแล้ว ไม่ยากสำหรับการทำสมาธิ พอถึงจุดสมาธินี่แค่อุปจารสมาธิเราทรงกสิณให้ได้ แล้วก็ใช้คุณธรรมของกสิณที่เป็นสมาธิดูผี ดูเทวดามันก็เป็นของไม่ยากนี่ดีกว่าเรามาพูด ดีกว่ามานึกเองเองว่ามันมีหรือไม่มี

แล้วก็ดีกว่าเรามาคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมพุทธเจ้า มันจะดีนักหรือ นี่พูดกันด้วยความจริงใจ เรามาพิสูจน์คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร ด้วยการปฏิบัติจริง นี่ดีกว่ามานั่งคิดนั่งตรองกันเอาเขียนกันเอา พูดกันเอา

เป็นอันว่าในเมื่อทางบ้านเขายืนยันก็ต้องเลื่อนวันไปชุมพร ไปวันที่ ๒๐ วันที่ ๒๐ รับรองว่าจะไปทำพิธีกรรมให้เขาตามที่กำหนดไว้ วันนั้นก็เลยไป อ.ทับสะแก อยากจะไปหาหมอฉีดยา ถึง อ.ทับสะแกแล้วก็ปรากฏว่าคนไข้รอหมออยู่มาก เห็นว่าอาการไข้ของเราไม่จำเป็นก็เดินทางกลับจังหวัดประจวบฯ มาฉันเพลที่จังหวัดประจวบฯ บ้านเดิม ร้านเดิม ที่เดิม

แต่รถเปลี่ยน วันก่อนเป็นรถขาว วันนี้เป็นรถสีเหลือง คือ รถของท่านเจ้ากรมสื่อสาร ทอ. ท่านเปลี่ยนรถไว้ให้ แต่ไม่ใช่รถของราชการเป็นรถส่วนตัว ท่านผู้นี้ไม่มีใช้ของราชการในงานของส่วนตัว น่าสรรเสริญ ทุกอย่างท่านลงทุนของท่านเสร็จ มาที่ร้านค้าคงจะแปลกใจว่าเจ้าคนกินนี่มันชุดเดิม แต่เจ้ารถมันเปลี่ยนไป เป็นอันว่ากินเพลกันเสร็จก็กลับบ้านรับรองที่หัวหิน

ตอนนี้ก่อนจะนอน ปรากฏว่าวันก่อนที่ไปพัก และวันที่ ๒ ไปพักก็ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์เสด็จผ่านจุดนั้นเพื่อไปเขาเต่าทั้งสองวัน เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระบรมราชินีนาถ พระบาทท้าวเธอทรงเสด็จ มีรถติดตามและรถนำ การไปของพระองค์ไม่ใช่ไปเที่ยว ดูที่ลีลาคล้ายๆ ว่าจะไปเที่ยว แต่เนื้อแท้ทีเดียวไปเยี่ยมประชาชน

พระองค์บำเพ็ญตนเข้าถึงประชาชนอย่างพี่น้องชาวไทย ไม่ใช่ถือว่าพระองค์นี้เป็นคนยอดคนของคนไทย เป็นเจ้านายของใคร แสดงจริยาวัตรของพระมหากษัตริย์อย่างนี้หายาก เวลานี้ก็เหมือนกันปรากฏว่าพระองค์ไปอยู่ทางภาคใต้ เข้าถึงบรรดาประชาชนทั้งหลายที่ถือศาสนาอิสลาม

ปรากฏว่าคนแถวนั้นพากันสร้างเรือมาถวาย เรือชื่ออะไรก็ไม่ทราบ แล้วทำสวย ไปที่ไหนก็มีคนแวดล้อม แสดงความจงรักภักดี นี่ มานั่งดูพระจริยาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์นี้ พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก งานของบ้านเมืองก็ต้องรับผิดชอบ เวลาที่เขาต้มเขายำมาให้เสร็จก็ต้องใคร่ครวญว่า ควรหรือไม่ควรที่จะลงพระราชลัญจกร เขาเรียกว่าลายเซ็นน่ะ

แต่ถ้าเป็นการไม่ควรก็ยับยั้งส่งไปยังสภา ถ้าสภากิเลสน้อย ก็พิจารณาใหม่ว่าทำไมพระเจ้าแผ่นดินจึงยับยั้ง ดีไม่ดีก็ยังยั้งไม่เซ็น เพราะเห็นว่าไม่ควร ถ้าหากว่าสภามีกิเลสหนาก็ยังไว้ฝ่ายเดียวว่าพระราชาต้องเซ็น ในเมื่อบรรดาประชาชนทั้งมวลเห็นชอบด้วย แต่ความจริง เรื่องของสภานี่ เห็นจะไม่ใช่เรื่องของประชาชนทั้งมวลเห็นชอบด้วย เพราะเป็นบุคคลกลุ่มน้อยเห็นชอบ

เคยฟังเขาถ่ายทอดวิทยุกระจายเสียง อภิปรายพระราชบัญญัติต่างๆ อย่างพระราชบัญญัติงบประมาณ เป็นต้น หรือว่า รัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับมีสมาชิก ๒ สภาควรหรือไม่ควร นั่งฟังดูแล้ว บางคน แล้วก็น้อยคน พูดมีเหตุมีผลน่าฟัง แล้วก็บางคนรู้สึกว่าจะเป็นคนอยากพูดอยู่มาก คือฟังแล้วดูเอาเรื่องอะไรไม่ได้ นี่ไม่ได้ประณามท่าน

แต่ว่าอยากจะพูดว่าเวลาของประเทศไทยน่ะ เป็นเวลาที่มีค่า เวลานี้ ข้าศึกเข้ามาทุกทิศทุกทางทั้งภายในและภายนอก เขากำลังจะกลืนประเทศไทยอยู่ แต่ว่าท่านผู้ทรงเกียรติมีความรู้ ถ้าใช้เวลานี้ไปเล่นลิ้นแบบนั้น นี่เป็นความจริงไม่ได้ว่าใครมีหลายรายที่ขึ้นมาพูด ฟังแล้วไม่รู้เรื่องเลย นี่มันเสียเวลาเปล่าๆ ถ้าหากว่าเราจะทำเวลาให้ก่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ

ก็มองความรู้สึกของประชาชนคนไทยเวลานี้ต้องการอะไร พูดแต่น้อย แต่ให้ได้ความดี เอาข้อเท็จจริงขึ้นมาพูดกัน แล้วใช้เหตุใช้ผล ไม่ใช่เอาความรู้เข้ามายัน เอาพรรคเอาพวกเอากลุ่มของบุคคลขึ้นมายัน เอากันแค่ชนะอย่างนี้ เปลืองเวลาของประเทศชาติ เปลืองทรัพย์สินของประเทศชาติ มาปล่อยให้มดให้ปลวกที่กำลังกัดกินประเทศชาติ กินกร่อนเข้าไปทุกทีจะหาความดีกระไรได้

ความจริง ถ้าคนทุกคน นับแต่ผู้แทนราษฎรก็ดี รัฐบาลก็ดี ข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี มีจริยาอย่างพระองค์นี้ก็จะดีมาก ต่างคนต่างเข้าถึงประชาชน ไม่เอาเปรียบประชาชน แล้วก็ไม่ควรให้มีข่าวโกงข่าวกินกันตามหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นปกติจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ ถ้ามันไม่มีมูลของความจริงอยู่บ้างแล้วก็คงจะไม่มีใครเขาพูด

ตามที่เขาบอกว่าถ้าไม่มีฝอยหมาไม่ขี้ แต่เวลานี้หมาขี้กลางถนน หากว่าเราจะดูกันให้ดีมันก็มีฝอยเหมือนกัน ฝอยเล็กๆ น้อยๆ มันมีอยู่ นี่ ถ้าหากเรามีความรู้สึกอย่างนี้ละก็ ถ้าคนทุกคนบอกว่าเป็นตัวแทนของประชาชน เข้าทำงานเพื่อประชาชน เมื่อว่างจากการประชุม เข้าถึงประชาชน แล้วก็ไม่หวังผลเป็นที่ตอบแทน

ไม่ใช่ว่าเมื่อเป็นผู้แทนราษฎรแล้วก็มานั่งเก็บภาษีอากรกัน ตามที่เขายุบสภาไปคราวนั้นเป็นเพราะเหตุนี้ ในป่าอุทัยธานี ปรากฏว่ามีผู้แทนราษฎรเป็นเจ้าภาษี นี่พ่อค้าในป่า พ่อค้าถ่านเขามาบอก จริงหรือไม่จริงไม่ทราบ แล้วดีไม่ดีก็ขอย้ายข้าราชการประจำ มันก็เป็นเรื่องแปลก มีอำนาจพิเศษอย่างนี้ไม่ถูก

ทีนี้คนทุกคนที่เข้าไปทำน่ะ บอกว่าทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง แต่ว่า ทำเข้าจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่าไปทำเพื่อตนเสียส่วนมาก หวังผลในการตอบแทนนี่ น่ากลัวมันจะไม่ค่อยดีนัก พูดว่า “ไม่ดีเลยดีกว่า” นี่เราถ้าจะทำกันก็ดูอย่างพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบาทท้าวเธอทำอะไรทุกอย่างเวลานี้ เหน็ดเหนื่อยด้วยประการทั้งปวง

เข้าถึงประชาชน รักษาน้ำใจของประชาชน แล้วพระองค์ก็ทรงคิดกิจการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ของประเทศชาติ แล้วก็พระบาทท้าวเธอเคยได้รับผลตอบแทนอะไรบ้าง มีใครเคยจะคิดขึ้นเงินเดือนให้แก่พระเจ้าแผ่นดินบ้างหรือเปล่า หรือว่าจะเลื่อนฐานันดรศักดิ์ของพระองค์ขึ้นไปเป็นอะไรอีกหรือเปล่า

นี่พระองค์ไม่ได้ต้องการแบบนั้น พระองค์ทรงเต็มแล้ว คือมีความดีพอ ที่ใช้คำว่า “พอ” มีอยู่อย่างเดียวคือความเมตตาปรานี นี่บรรดาท่านผู้แทนทั้งหลาย ท่านควรรู้ตัวไว้เสมอด้วยอำนาจสติสัมปชัญญะว่า เราเป็นผู้แทนราษฎร ไม่ใช่เรามาตั้งพรรคตั้งพวก ทำลายพรรคอีกพรรคหนึ่ง ทำลายพวกอีกพวกหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เราเป็นรัฐบาลเราก็จะค้านให้รัฐบาลพังไป อย่างนี้

ไม่ถือว่าเป็นความพอใจของบรรดาประชาชนชาวไทย ไม่ใช่เป็นผู้แทนประชาชนชาวไทย เป็นผู้แทนผลกำไรของตนเองเท่านั้น ดีจริงหรือไม่จริง พูดอย่างนี้เป็นการหมิ่นประมาทจะเข้าตะรางหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่พูดไปนี้ก็เพราะเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ทรงผ่านสถานที่อยู่ มองแล้วมันไม่ใช่ความสุขของพระองค์ท่าน

มันเป็นความลำบากแต่พระองค์ก็ทรงเต็มใจทำ ฉะนั้นเราเหล่าข้าราชบริพารและบรรดาประชาชนทั้งหลาย ต่างคนต่างแผ่เมตตาจิตคิดหวังดีซึ่งกันและกัน อย่างที่พระองค์ท่านทรงประพฤติปฏิบัติ อย่างนี้ประเทศชาติของเราก็จะทรงอยู่ได้ เวลานี้ข่าวคราวทั้งหลายภัยอันตรายสำคัญที่สุดที่เข้ามาในประเทศไทย ก็คือพวกหนึ่ง แล้วก็สองพวก แล้วก็พวกสาม

พวกที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ก็นำปืนเข้ามาในประเทศไทย แทรกซึมเข้ามาแบบทำลายไทยๆ แล้วพวกเราก็จะมานั่งทะเลาะกันในสภาแบบนี้ มันจะมีประโยชน์อะไร รวมใจกับเสีย งานอะไรก็ตามพอจะผ่านไปได้ ใช้เวลาสัก ๑ ชั่วโมงก็อย่าให้มันถึงวัน แล้วเวลาพูดกันก็ใช้เหตุใช้ผล ไม่ใช่ฟุ้งน้ำลายฟังแล้วไม่สบายใจ ที่พูดนี้ไม่ได้ว่าใคร แต่ขอให้ท่านทั้งหลายรักษาประโยชน์ของประเทศชาติเท่านั้น

นี่พระมายุ่งอะไรกับประเทศชาติ? พระก็อยู่ในประเทศชาตินี่ พ่อแม่พี่น้องเสียภาษีอากรเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าพระจะมาอยู่ได้เฉยๆ พระเองก็ต้องทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ คือรักษากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท รักษาทรัพย์สินของบรรดาท่านพุทธบริษัทที่บำเพ็ญกุศล เข้ามาทำกิจบางอย่างหรือหลายอย่างให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ

เรียกว่ารักษากำลังของประเทศชาติ ทั้งกำลังใจ และกำลังวัตถุ นี่พระก็ต้องทำเหมือนกัน แม้แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ก็ทรงทำ คือสอนให้คนตั้งอยู่ในความสามัคคี รู้จักรักษาจริยา ทำความดีคือ ละปัญเวร ๕ ประการ ศีล ๕ ไม่ให้ข่มเหงกัน ให้ลักขโมยกัน ไม่ยื้อแย่งความรักกัน รักษาสัจวาจา รักษาสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์

นี่พระพุทธเจ้าก็ทรงปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่โลกเหมือนกัน ด้วยโลกัตถจริยา เป็นความประพฤติให้เกิดประโยชน์แก่โลก นี่พระก็ต้องทำประโยชน์ให้แก่โลก คือประเทศชาติเหมือนกัน แล้วอย่าหาว่าพระนี่ปากมาก ยื่นปากเข้ามายุ่งกับคนที่เขาทำงานเพื่อประเทศชาติ แต่คนที่ทำงานเพื่อประเทศชาติจริงๆ นี่พระไม่ยุ่ง พระโมทนา

แต่ว่าคนที่ทำลายประเทศชาตินี่ พระต้องปลงธรรมสังเวช สลดใจ นี่ที่พูดนี่ก็ไม่ใช่อะไร เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อย ไปเช้ากลับค่ำ หรือไปสายกลับค่ำ ไปก็พบกับประชาชน ไม่ได้มีความสุข พระองค์ไม่ได้ไปเพราะความสนุก และจริยาที่พบกับประชาชนก็แสดงความอ่อนน้อม

ไม่เหมือนท่านผู้แทนทั้งหลาย หรือว่าข้าราชการหลายท่านที่เคยพบ พอเจอะพระก็ทำท่าเป็นนายพระเสียแล้ว เวลาจะเลือกผู้แทน แหม..นอบน้อมดีจะเป็นผู้แทน พอเป็นได้แล้วปรากฏว่า บรรดาประชาชนที่ให้คะแนน ไม่เป็นเรื่องเลย เป็นขี้ข้าไปหมด ยังงี้เฉพาะบางจุด หลายจุดที่ท่านมีความดีก็มี ที่พูดไว้อย่างนี้ พูดไปตามจริงที่พระเห็น

พระไม่โกหก เห็นมายังไงพูดไปยังงั้นตามความเป็นจริง ถึงเวลาที่จะเลือกผู้แทน ก็ยากเหมือนกัน ให้เลือกคนดีนี่มันเลือกไม่ได้แน่เพราะไม่รู้จักกัน ถ้าจะให้ดีละก็เอาคนที่ใกล้ๆ ตาของเรา ที่เห็นมาเป็นปกติขณะที่เขายังไม่เป็นผู้แทน เขาดีมาตลอดกาลแบบนี้จะดีมาก เอ้เรื่องนี้ขอผ่านไป เพราะจะไปเกะกะใจของท่านเข้ามาก

ทีนี้..กลับมาที่หัวหิน นอนกลางคืน ตอนนี้นอนเข้าไปแล้ว ไปปรากกว่ามีสาวไทยสมัยเก่ามานั่งอยู่ด้วยกันหลายสิบคน จะถึง ๓๐ หรือไม่ก็ไม่ทราบ ไม่ได้นับ เป็นอันว่ามาพบสาวไทย แล้วก็สาวเล็ก ไม่ใช่สาวใหญ่ เป็นคนอายุมาก

มองดูแล้วอายุประมาณ ๓๐ หน้าตาดี ผิวพรรณดี เป็นอันว่าคนเก่าสมัยนั้น คนไทยมีผิวพรรณดีมาก ที่เขาบอกว่า คนไทยเป็นคนผิวเหลืองน่ะเป็นความจริง ผิวขาวค่อนข้างเหลือง เนื้อละเอียด ทุกคนเข้ามาถึงก็แสดงความเคารพ

ก็นั่งคุย เลยถามว่ามาจากไหน
หัวหน้าใหญ่ยิ้ม แล้วก็บอกว่า ฉันเป็นคนไทยเจ้าค่ะ จะมาคุยเรื่องไทยๆ ให้ทราบ
ก็เลยบอกว่าเอ้า ดีแล้วนี่ อยากจะรู้เรื่องไทยๆ เหมือนกัน ว่าไทยหรือไถสมัยนี้ เดิมทีเป็นมาอย่างไร
ท่านก็บอกว่าคนไทยที่มาอยู่ประเทศไทยนี้ในปัจจุบัน ตั้งแต่สายใต้ลงไป คือตั้งแต่เพชรบุรีลงไปถึงสายใต้สุดเป็นชาวไทยกลุ่มเมืองปา

เวลานั้นไทยมีอยู่ ๓ กลุ่ม ที่ตั้งอยู่ในประเทศจีนจะเป็นกลุ่มเมืองอะไรบ้างก็ช่าง ตานี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวกลุ่มเมืองปานี้ ออกจากประเทศจีนเข้าอินเดียเลาะลัดมาถึงพม่า ถึงมะริด ถึงทวาย ปักตรงลงประเทศไทย พักเป็นระยะๆ

เลยถามว่าคนไทยที่เข้ามาถึงถิ่นนี้น่ะมานานแล้วหรือยัง
ท่านผู้เป็นหัวหน้าบอกว่า เข้ามานาน ก่อนพุทธกาลหลายพันปี

โอ้โฮ.. นี่เป็นอันว่าถิ่นนี้คนไทยมาอยู่นานมาก อยู่ก่อนพุทธกาลหลายพันปี ท่านว่ายังงั้น ท่านใช้คำว่าหลายพันปี
แล้วท่านก็บอกว่า หัวหน้าเดิมที่อพยพกันลงมาเป็นกลุ่มเดียวกัน ลงมามีจำนวนนับเป็นจำนวนพันเหมือนกัน แต่หัวหน้าใหญ่ที่นำมาก็เป็นคนค่อนข้างจะมีชื่อเสียง สำหรับในเวลาที่อยู่เมืองปา เป็นผู้ที่คนมีความเคารพนับถือ เห็นว่าอยู่ที่เมืองปาไม่มีประโยชน์

เพราะว่า ใครล่ะ..... พวกไล้ตีก้อ พวกเจ๊กทั้งหลายที่มีความเจริญน้อยกว่าในสมัยนั้นระบาดเข้ามา มาพักทีไร พอมีกำลังเข้า แกก็แว้งกัด ทำร้ายทุกที คนไทยก็ต้องยกหนีออกมา เพราะเป็นคนขี้คร้าน มีกำลังใจ รำคาญนี่

ถ้าจะพูดกันไปตามกฎของพระพุทธศาสนา ก็ชื่อว่าเป็นกฎของกรรม ว่า เมื่อกรรมใดที่เป็นอกุศลมาให้ผล มันก็มีความทุกข์ ชาวไทยพวกนั้น คงจะพรากพ่อพรากแม่พรากลูกพรากหลานเขามาในกาลก่อน กฎของกรรมจึงต้องทำให้พรากจากที่ นี่คิดกันแบบนี้ก็สบายใจ ถ้าคิดว่าคนไทยเมื่อใจดี แต่เมื่อเจ๊กมาอาศัยทุกทีปรากฏว่าเป็นคนเนรคุณ

เมื่อมีกำลังตั้งตัวได้ก็พยายามขับไล่ไทย ทำร้ายคนไทย เบียดเบียนไม่ให้คนไทยอยู่ ถ้าคิดอย่างนี้จะเห็นชาวจีนทั้งหลายเป็นศัตรู แต่คิดอย่างนี้มันเป็นกิเลส อย่าคิดเลย คิดว่าเป็นกฎของกรรมเสียก็แล้วกัน แล้วก็จำหน้าเข้าไว้ ว่าเจ้ากรรมนายเวรหน้าตาเป็นยังไง พูดภาษาแบบไหน

ถ้าเห็นหน้าแล้วก็นึกไว้ในใจ ว่านี่เรามาพบกับเจ้ากรรมนายเวรเข้าอีกแล้ว เตรียมใจไว้ให้พร้อม พร้อมที่จะเคลื่อนไป หรือพร้อมที่จะปักหลักสู้กับกรรมหรือเวร เวลานี้เราไม่มีที่จะไปแล้ว จะไปอีกทีก็เป็นเหยื่อของฉลาม ถ้าเราไม่ไปก็ต้องปักหลักสู้เข้าไว้ เพราะเวลานี้กำลังของเจ้ากรรมนายเวรกำลังยุ่ง มาทั้ง ๓ ด้านด้วยกัน

ไม่ใช่เฉพาะเหล่าเดิม มีอีก ๒ เหล่าเข้ามาผสม ดูให้ดีเวลานี้มีกำลังในประเทศไทยหลายกองพันแล้ว ถ้าจะรวมกันจริงๆ ก็เกินว่า ๑ กองพลใหญ่ ที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศไทย ต้องระวังเข้าไว้ อีกไม่นานเท่าไหร่ ถ้าเขาพร้อมเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละ เราจะเห็นผล อย่ามัวมานั่งทะเลาะกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลย

ท่านทั้งหลายใช้นามว่าตัวแทนของประชาชนนี่อย่ามานั่งทะเลาะกัน ทำให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ทำให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติจะดีกว่า
ท่านจึงได้บอกว่าหัวหน้าคนแรกที่อพยพเข้ามามีชื่อว่าอะไร “อาลีบอลข่าน” เรื่องชื่อนี่ท่านบอกไว้ เป็นไปตามสมัยนิยม ในขณะนั้นเขานิยมแบบไหนก็ชื่อกันแบบนั้น หัวหน้าคนแรกเข้ามาชื่ออาลีบอลข่าน

เดินทางเข้ามาแล้วมาพักอยู่ในแคว้นฉาน คือไทยใหญ่ เห็นว่าไทยที่นั่นมีมาก เนื้อที่ก็ไม่กว้างนักก็เลยเลื่อนกันลงมาเรื่อยๆ มาทีแรกก็มาเข้าอินเดียก่อน แล้วก็มาเข้าเขตของพม่า ตัวเองของพม่าเดี๋ยวนี้ มาจากอินเดียเข้าแคว้นฉานเข้าพม่าแล้วก็เลยลงมาถึงมะริดกับทวาย แล้วก็ตัดลงมาปลายเขตของประเทศไทย คือใต้เขตของจังหวัดเพชรบุรี

ในเขตนี้ ตั้งแต่ใต้เพชรบุรีลงไปถึงสายใต้สุด ท่านให้นามคนพื้นเมืองประเทศนี้ว่า “อาเมี๊ยด” ท่านไม่ได้เรียกว่าเป็นชาวขอม ชาวอะไรต่อชาวอะไร ท่านบอกว่า เวลานั้นให้นามพวกนั้นว่า อาเมี๊ยด พวกชาวอาเมี๊ยดนี้เป็นคนป่า ยังมีความเจริญไม่พอ ที่นุ่งผ้ามีน้อย นุ่งใบไม้น่ะมีมาก นุ่งหนังสัตว์ เป็นคนมีจริยาแบบป่าๆ ไม่มีวัฒนธรรม

แล้วท่านว่ายังไง..... ดูที่จดไว้..... อ้อท่านบอกว่า เขตของอาเมี๊ยด คือตั้งแต่เพชรบุรีจรดถึงสิงคโปร์ ท่านเรียกว่าชาวอาเมี๊ยดทั้งหมด ท่านผู้คุยให้ฟังหน้าตาดีมาก แสดงความเป็นผู้ใหญ่
นี่ท่านบอกว่า เมื่อเข้ามาถึงเขตประเทศอาเมี๊ยด แล้วก็เข้าตั้งอาศัยอยู่ในเขต ๓ จุดด้วยกัน แต่ว่าไม่ได้ยึดเป็นเมือง คือเอาอาศัยเป็นที่ทำมาหากิน มีกันเป็นจุดๆ

คือ ๑ เมือง “เฉวี” เมืองเฉวีนะ เฉวีนี่ คนที่เป็นหัวหน้าหน่วย คือคนที่เป็นผู้นำตั้งอยู่ที่กุยบุรี วังกะพง กาญจนบุรี ขอโทษ ปราณบุรี ทับสะแก บางสะพานใหญ่ บางสะพานน้อย นี่กระจายกันอยู่ จุดที่ ๑

มาจุดที่ ๒ เรียกว่าเมือง “ปาวี” แล้วภายหลังมีนามว่าเมืองปาตะลีบุตร ปาตะลีบุตรนี่มาตอนที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชที่เข้ามาในเขตของใครล่ะ นครศรีธรรมราช ที่หนีห่ากิน ไอ้โรคห่ามันไล่กินนี่ หนีมานับจำนวนประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน มาตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ

แล้วในที่สุดก็ยึดเขตประเทศนครศรีธรรมราช เป็นอาณาจักรให้นามว่าเมืองปาตะลีบุตร เมืองปาตะลีบุตรนี่มาได้นามทวีออกไปทีหลัง เพราะว่าชาวปาตะลีบุตรชอบรบคน ชาวไทยหรือชาวพื้นที่ที่มีอยู่แถวนี้ให้มีอาณาจักรเดียวกัน

ฉะนั้น "อาณาจักรปาตลีบุตร" จึงขยายเข้ามาในเขตที่คนไทยอยู่ ถึงเมืองปาวี เมืองปาวีก็คือเมืองตะกั่วป่าและเมืองภูเก็ต นี่ในสมัยที่พงศาวดารเขียนบอกว่า พระเจ้าพรหมมหาราชไล่พวกขอมไป พวกขอมไปตั้งอยู่ที่ขอบเขตของสมุทร คือเมืองปาตะลีบุตร

แต่ตำนานอีกเล่มหนึ่งบอกว่า ไปอยู่ในเขตตอนใต้ของแม่น้ำเจ้าพระยามีนามว่าเมืองปาตะลีบุตรนี่น่ากลัวไม่ถูก ในพงศาวดารเหนือเข้าใจว่าจะถูก ทั้งนี้ก็เพราะว่า มาได้เค้าว่า เมืองปาวีหรือเมืองปาตะลีบุตรนี่ อยู่ในเขตตะกั่วป่าหรือภูเก็ต

ตานี้ เมืองที่ ๓ ชื่อว่าเมือง “ฉ่อปา” ฉ่อปานี่มีเขตตั้งแต่พังงาหรือกระบี่ คือจังหวัดกระบี่หรือจังหวัดพังงานั่นเอง นี่ ท่านบอกว่าสมัยนั้น คนไทยกระจัดกระจายกันอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ไม่ได้รวมกันเข้าเป็นกลุ่มเป็นก้อน

ทีนี้ พวกชาวอาเมี๊ยด คือเจ้าของที่เดิม ยังมีความเจริญไม่พอ มีนิสัยหยาบคาย ดุร้ายมาก ขาดอารยธรรมท่านว่าอย่างงั้น คนที่เล่าให้ฟังนี่ท่านว่ายังงั้น ท่านมีทางดีจริยานิ่มนวล น่ารัก ความจริงน่าจะเป็นแม่มากกว่า ทำท่าทางเหมือนกับท่านเป็นแม่ของคนพูด นี่มีความเมตตาปรานี แล้วบรรดาท่านหญิงทั้งหลายทั้งหมดก็มีจริยายิ้มแย้มแจ่มใสแต่ไม่มีใครพูด

มีท่านหัวหน้าใหญ่พูดคนเดียว ทีนี้ ท่านก็บอกว่าการอยู่ในสมัยนั้น ก็อยู่กันด้วยความสุข การทำมาหากินต่างๆ ก็ทำกันแบบสบายๆ เพราะบรรดาไล้ตีก้อทั้งหลายไม่ค่อยมารบกวน ความมั่งคั่งทั้งหลายก็มีอยู่มาก เขตสายใต้นี่มีทองคำเยอะ มีแร่ที่มีค่ามาก

ถามว่า เรื่องแร่หรือเรื่องทองคำนี่รู้ได้ยังไง ว่าที่ไหนมีแร่ ที่ไหนมีทองคำ
ท่านก็ยิ้ม บอกว่าเป็นของไม่ยาก เพราะว่าธรณีวิทยานี่คนไทยเก่ง เก่งมานาน เพียงแค่เดินไปดูดิน ดูมูลของดิน แล้วก็มองดูสีของดิน สีของดินจะบอกว่าที่ตรงนี้มีแร่อะไรบ้าง หรือจะมีทองคำ หรือจะมีเงิน หรือมีเพชรมีพลอย

ก็เลยถามว่าวิชานี้ทำไมไม่สอนคนไทยสมัยปัจจุบัน
ท่านบอกว่า ถ้าคนไทยสมัยปัจจุบันอยากจะเรียน ก็เป็นของไม่ยาก แต่ทว่าเขาไม่ได้เชื่อไทยด้วยกัน เขาเชื่อฝรั่ง ก็ดี ก็ใช้ได้แล้วนี่ ก็มีความรู้ดี แต่ว่าลงทุนมากไปหน่อย ถ้าหากว่าใช้วิชาของไทยๆ ด้วยกัน จะไม่ต้องลงทุนไปเรียนถึงต่างประเทศ เมืองฝรั่งมั่งค่า

ท่านว่ายังงั้น เป็นอันบอกว่าถ้าที่ใดมีดินสีอรุณมาก ที่นั้นจะมีแร่ที่มีค่ามหาศาลมาก เช่น ทองคำและอย่างอื่น ท่านพูดยิ้มๆ ทิ้งไว้เท่านี้ บอกให้ดูดินสีอรุณ แต่ว่าต้องดูให้ดีน่ะ สีอรุณจริงๆ แล้วมีเกล็ดพิเศษ บอกลักษณะว่าจะมีทองหรือมีอะไร ทองมากหรือทองน้อยจะดูที่เกล็ดพิเศษของดินสีอรุณ เลยไม่รู้เรื่องกัน เสร็จ

ถามว่าเวลานี้ ทอง แร่ สิ่งที่มีค่ามีมากหรือมีน้อย
ท่านบอกว่าประเทศไทยนี่มหาศาล ทรัพยากรนี่มีมากกว่าชาวโลกทั้งโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้านำทรัพยากรขึ้นมาได้แล้ว ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มั่งคั่งสมบูรณ์ที่สุดในโลก

แต่ทว่าเรายังไม่รักไทยกัน ว่าส่วนใหญ่รักกระเป๋าตนเองแล้วก็ชอบให้คนอื่นเขามาทำ ทำแล้วก็ให้เขาร่ำรวยไป ไอ้คนไทยซีกลับจน ดีไม่ดีก็ไปรุกที่รุกทางของชาวบ้านที่ทำมาหากิน ถือว่าเป็นสิทธิของชาวต่างประเทศ ท่านพูดยังงี้นะ พูดแบบผีพูด ไม่ได้พูดแบบคนพูด ทีนี้คนพูดก็เลยกลายเป็นผีไปด้วย

เห็นท่านบอกว่าก่อนพุทธกาลประมาณ ๒ พันปี พวกชาวไทยเมืองปา จึงได้รวบรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน รวมตัวกันเข้าเป็นกลุ่มๆ เรียกว่าเมือง ตานี้พอมาตั้งเป็นเมืองแล้ว เมืองก็อยู่ในเขต ๓ เขตนั่นเอง พ่อเมือง ๓ เมือง ท่านว่ายังงั้น ตอนนี้มาเป็นพ่อเมืองแล้ว..... พ่อเมือง ๓ เมือง

พ่อเมืองเฉวีคนแรกชื่อว่า “ล่อก๊กฉิม” เฉวีก็ได้แก่เมืองกุยบุรี

นี่ชื่อคล้ายเจ๊กเข้าไปแล้ว นี่ความนิยมชื่อเจ๊กๆ ก็ยังมีอยู่ ทีนี้พ่อเมืองปาวีหรือปาตะลีบุตรทีหลัง คนแรกชื่อ “ล่อเปา” คือ เขตเมืองตะกั่วป่าหรือภูเก็ต

แล้วพ่อเมืองฉ่อปา คือพังงากับกระบี่ มีนามว่า “ล่อเหม็ง” นี่ “ล่อ” กันดะไปเลย ล่อกันไปล่อกันมาถูกใครเขาล่อเข้ามั่งหรือเปล่าก็ไม่รู้

ทีนี้เมื่อตั้งตนอิสระในระหว่างแดนของป่ามานาน คนป่าก็ไม่ได้รบกวน เมื่อรวมตัวกันเข้าแล้วก็อยู่ด้วยธรรมสามัคคี จะมีอะไรก็ปรึกษาหารือกัน ท่านว่ายังงั้น ทำแบบประชาธิปไตยมานาน ไม่ใช่คณาธิปไตยหรืออัตตาธิปไตย

ถามว่าทำมาหากินทำแบบไหนกันล่ะ
ก็บอกว่ามีการค้าขายทางบก ทางเรือ และหากินจากพืชไร่จากแร่ต่างๆ การค้าขายทางบกก็คือติดต่อกับพม่า ไทยเหนือ อินเดีย ทางเรือก็เกาะสุมาตรา มีการค้าหนังสัตว์ พวกแร่ แล้วก็ต่อเรือใหญ่ๆ ติดต่อกับเขตต่างๆ ในระหว่างชายทะเล

แร่สำหรับการค้าน่ะมีอะไร มีค้าหนังสัตว์แร่แล้วเครื่องประดิษฐ์อื่นๆ ที่ทำด้วยมือ แล้วเครื่องสมุนไพร โดยมากเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน แล้วก็แลกเปลี่ยนทองคำ เอาของแลกกัน ยังไม่มีเงินตรา สมัยนั้นยังหาเงินตราไม่ได้ ยังไม่ได้ทำเงินตราขึ้น

แล้วในกาลต่อมาพวกอาเมี๊ยด คือพวกคนป่าซึ่งมีจำนวนมากกว่ารวมตัวกันเข้าเป็นกลุ่มเป็นก้อน รวมกำลังกันบีบพวกไทย เพราะมีมากกว่า พวกนี้เลวๆ อยู่เสียด้วย มีนิสัยเลวๆ มาก
ท่านบอกว่า พวกเรามีจำนวนน้อยกว่า แล้วก็ไม่อยากจะรบราฆ่าฟัน อยากจะอยู่อย่างเป็นสุขก็เลยยอมตัวเป็นบริวารเขา ทำตัวคล้ายๆ กับเมืองขึ้น เรียกว่าซูฮก ยกให้เขาเป็นพี่เอื้อย

แล้วท่านก็คุยต่อไปว่า เรื่องสติปัญญาน่ะมันสู้เราไม่ได้ แต่ปริมาณของมันมากกว่า แต่เราก็ขี้เกียจจะไปรบราฆ่าฟันกับมัน เจ้าพวกนี้เรียกว่าจะเป็นอันธพาลมากกว่าจะเป็นพ่อบ้านแม่เมือง ประโยชน์ส่วนใหญ่ที่เราจะได้ก็คือ พวกเรามีรายได้ดีกว่า ก็ยอมให้เขาเป็นลูกพี่ เมื่อยอมให้เขาเป็นลูกพี่ ยกซูฮกให้เขาเป็นลูกพี่แล้ว

สิ่งของที่ไหนเขาหาได้มาจากป่า เวลานี้เป็นสัมพันธมิตรกัน เราก็รับซื้อเขา รับแลกเขา เขาก็เอามาขายให้แก่เรา เราก็ออกค้าต่างประเทศ ระหว่างพวกคนไทยด้วยกันสายเหนือ หรือว่าระหว่างชาวต่างประเทศมีพวกมอญ พม่า พวกแขก แล้วก็พวกสายใต้ไปทางเรือถึงเกาะชวา เป็นต้น

นี่ ที่เรายอมเป็นลูกน้องเขาน่ะ ความจริงไม่ได้เป็นลูกน้องจริงๆ เพราะเขาไม่มีปัญญา เรายกให้เขาเป็นลูกพี่เขาก็ทำเด่น แต่ทว่าผลประโยชน์จริงๆ เป็นของเรา ทรัพย์สินทั้งหลายเรามีมาก ร่ำรวย (ท่านคุยเสียด้วย) อาณาจักรเล็กๆ ๒ อาณาจักร

ถ้าจะรวมทองคำกันจริงๆ มีปริมาณมากกว่าทองคำที่มีไว้ในประเทศไทยนี่เยอะแยะ เพราทองคำนี่เป็นของหาง่าย ขุดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ จะเอาเมื่อไหร่ก็ได้ ที่เก็บต้องตั้งฉางใหญ่ๆ กัน

ทีนี้ ท่านคุยต่อไปว่า อยู่กันมานานแบบนั้นแหละ แล้วก็ความเดือดร้อนอะไรมันก็ไม่มีนัก เขาก็เป็นพี่เอื้อยอยู่แบบนั้น เราได้เปรียบกว่าไม่มีอะไร เรามีวัฒนธรรมดีกว่า เขามาปรึกษาหารือ เราก็ให้ความคิดความเห็น เพราะเราต้องการจะเอาตัวรอด และให้พวกนี้ประพฤติปฏิบัติดี

หลังจากนั้นท่านสุภาพสตรี ผู้เป็นปู่ ย่า ตา ยายเก่าท่านก็คุยให้ฟังต่อไปว่า เมื่อสมัยหลังพุทธกาลหลังจากที่พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว สมัยนั้นพระเจ้าพรหมมหาราชมีอำนาจขึ้นในภาคเหนือ เมื่อทรงขับไล่ขอม เจ้าพวกขอมดำมันหนีพระเจ้าพรหมมหาราชไป มันก็ลงไปสายใต้ อาจจะกระจายอยู่แถวอยุธยาลพบุรีบ้างก็ได้ อาจจะมีอยู่เพราะพระเจ้าพรหมมหาราชไม่ได้ไล่ไปถึงตอนนั้น

พอถึงกำแพงเพชรก็ยับยั้งอยู่ เจ้าพวกนี้ส่วนใหญ่ลงไปสายใต้ ไปรวมกลุ่มกับพวกอาเมี๊ยด ยังไม่รวมเลยทีเดียว เรียกว่าไปทำมาหากินอยู่แถวนั้น เจ้าพวกนี้คงจะเคยเป็นพระราชามา มีแผนการดี เคยปกครองคนมา อาจจะมีจริยาดีบ้าง สร้างความเดือดร้อนให้แกคนไทยบ้างก็ได้ นี่เข้าใจเอาเองแต่ทว่าท่านไม่ได้บอกไว้ ไม่ได้คุย

ท่านบอกมันหนีไปตรงนั้นเป็นส่วนใหญ่ เวลานั้นเมื่อพระเจ้าพรหมมหาราชทรงมีอำนาจแล้ว ก็มีการติดต่อระหว่างคนไทยกับคนไทยด้วยกัน เพราะว่าทราบกันมานานว่าคนไทยอยู่ที่ไหนบ้าง ทั้งนี้เพราะอาศัยภาษาพูดอย่างหนึ่ง แล้วก็ขนบธรรมเนียมประเพณี นี่เหมือนกัน พูดแบบเดียวกัน มีการค้าขายแบบเดียวกัน

ไทยเหนือกับไทยใต้มีการติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา รู้กลุ่มของคนไทย ในเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็รู้ข่าวกันจากพ่อค้า แต่ก็ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะถึงกัน เว้นไว้แต่ไทยใกล้ส่งข่าวถึงไทยใกล้อย่างนี้ต่อๆ ไปก็ส่งข่าวถึงกันเร็วขึ้นมาหน่อย เรียกว่าการติดต่อก็เป็นแต่เพียงได้ฟังข่าว ว่าไทยเหนือเวลานี้ตั้งกลุ่มเป็นเมืองขึ้น มีอำนาจ เวลานี้ขอมเสียอำนาจให้แก่ไทย การจะยกมาช่วยกันก็แสนลำบาก การคมนาคมก็ไม่ดี เป็นอันว่า เป็นแต่เพียงฟังข่าวกันเข้าไว้

ทีนี้เมื่อพระเจ้าพรหมมหาราชมีอำนาจขึ้นก็มีการติดต่อกัน อาศัยพ่อค้าเป็นสื่อ แล้วก็ใช้พ่อค้าเป็นทูตไปในตัว ต่อมาพระเจ้าพรหมมหาราชเองก็เสด็จไปเยี่ยมคนไทยทุกกลุ่มที่ตั้งกันอยู่ที่ไหน แนะนำให้รวมไทยให้เป็นไทย ว่าแต่ละกลุ่มๆ ที่ตั้งกันไว้นี้เป็นเขตๆ นี่เป็นความดีแต่ว่าขอให้คนไทยทุกคนทรงความสามัคคีเข้าไว้ อย่าทำลายไทยด้วยกัน ร่วมมือกัน ช่วยเหลือกันด้วยประการทั้งปวง

ใครมีทุกข์มีสุขเป็นประการใดก็แจ้งข่าวให้กันและกันทราบ แล้วมีศึกเสือเหนือใต้มาจากไหนก็ตาม ถ้าช่วยกันได้ก็ให้พยายามช่วย เพราะยังไงๆ เราก็เป็นพี่เป็นน้อง พ่อเดียวแม่เดียวกัน คนไทยไมใช่คนต่างพ่อ ไม่ใช่คนต่างแม่ จะมาตั้งแง่ทำลายกันนี่ ไม่มีประโยชน์

ประเภทที่เรียกว่าฉันเป็นคนกลุ่มนี้ ฉันเป็นคนกลุ่มโน้น ฉันเป็นคนกลุ่มนั้น หรือที่เรียกว่าเราเป็นคนพรรคนี้ เราเป็นคนพรรคโน้น เราเป็นคนพรรคนั้น พรรคนี้ ทำความดีแบบไหนก็ตาม เราไม่เอา เราหวังจะทำลายพรรคนี้ให้พินาศไป เราจะตั้งตัวเป็นใหญ่ พระเจ้าพรหมมหาราชทรงแนะนำว่าการทำแบบนั้นไม่สมควร

ความเป็นใหญ่ พระเจ้าพรหมมหาราชทรงแนะนำว่าการทำแบบนั้นไม่สมควร ความเป็นใหญ่ ต้องเป็นทุกคน ต่างคนต่างใหญ่เพราะทุกคนเป็นคนไทยด้วยกัน ต่างคนต่างต้องรักษาผืนที่ ว่าผืนที่แผ่นนี้เป็นของเรา แต่ละคนถือว่าเป็นของเรา ก็ถือว่าคนไทยด้วยกันทุกคนเป็นเรา ไม่ใช่ใคร ถ้าใครเขามีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น เราก็ยินดี ร่วมมือกับเขาสร้างความเจริญ ไม่ใช่ทำลายเขา นี่เป็นนโยบายของพระเจ้าพรหมมหาราช

ในสมัยที่ตั้งไทย คือไทยยุบไปแล้วตั้งไทยขึ้นมาใหม่ด้วยอำนาจปาฏิหาริย์พิเศษ เมื่อพระเจ้าพรหมเสด็จมาเยี่ยม..... เยี่ยมทุกกลุ่ม เห็นว่าคนไทยจริงๆ ตั้งอยู่เป็น ๓ กลุ่ม มีอาณาเขตกว้างขวางดีมาก มีความสามัคคีกันดี มีการค้าขายทำมาหากิน สร้างความเจริญให้เกิดกับเขตของตนเป็นอย่างดี มีความสามัคคีกันดี มีการค้าขายทำมาหากิน สร้างความเจริญให้เกิดกับเขตของตนเป็นอย่างดี

แล้วก็ทุกคน ทุกเขตมีความสามัคคีกัน ติดต่อถึงกันอยู่เสมอ พระองค์ก็ทรงปลื้มใจ จึงได้ทรงแนะนำว่าคนไทยเราน่ะเวลานี้ ชื่อมันยังไม่เหมือนกัน คนนั้นชื่อแบบนั้นคนนี้ชื่อแบบนี้ เมื่อฟังแล้วก็ไม่มีสัญลักษณ์ว่าอะไรเป็นพวกเดียวกัน ฉะนั้นให้มาตั้งชื่อพ่อเมืองเสียใหม่ ใครจะมาเป็นพ่อเมืองกลุ่มไหนก็ตาม ให้ใช้นามว่า “พรหม” ขึ้นหน้า

นี่แบบเดียวกับคำว่ารามา คำว่ารามาสมัยนี้ ให้ใช้คำว่าพรหมขึ้นหน้าจะได้รู้กันว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มของไทย ว่ายังงั้น ตานี้เมื่อท่านแนะนำแบบนั้น คนไทยทุกกลุ่มก็ เอ้า เมื่อชื่อพรหมก็พรหม จะได้รู้ว่าเป็นคนไทยด้วยกัน เวลาเรื่องร้ายเกิดขึ้นมาแล้วก็จะได้รู้ว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มไทย จะได้ช่วยกันกำจัดภัยที่จะบังเกิดกับกลุ่มของตน

ตานี้ การที่พระเจ้าพรหมมหาราชทรงแนะนำแบบนั้น พ่อเมืองเฉวี คือกุยบุรี ก็ตั้งชื่อของตนขึ้นมา โดยบรรดาประชาชนทั้งหลายเห็นชอบว่า เจ้าเมืองกุยบุรีนี่ควรจะมีพระนามว่า “พรหมภักดิ์” แล้วก็พ่อเมืองปาวี คือเขตตะกั่วป่าภูเก็ตก็มีนามว่า “พรหมมณี” แล้วพ่อเมืองฉ่อปา คือกระบี่กับพังงามีนามว่า “พรหมจักร” (ไม่ยักมีพระพรหมทัตแฮะ..พรหมทัตก็อยู่แถวโน้นซิ แถวภาคอีสาน)

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/1/11 at 15:04 [ QUOTE ]


12
(Update 25-1-54 )

ปักษ์ใต้ ตอน 4 (ตอนจบ)



แล้วในกาลต่อมา การปกครองก็เป็นมาด้วยดี ตานี้ ท่านพรหมจักรนี้ ท่านเล่าให้ฟังว่าเป็นคนที่มีฝีมือมาก คือว่าเป็นคนที่มีฝีมือในการรบเก่ง เป็นนักสู้ตัวเล็กๆ ตอนนั้น เห็นมาแสดงตัวที่จังหวัดกระบี่ ไม่ใหญ่โตนัก แต่ว่าดูดวงตาและน้ำใจรู้สึกว่าเป็นไทยแท้ๆ เป็นไทยนักสู้

ความจริงคนไทยเราที่เก่งนี่ตัวไม่ค่อยโต เป็นคนเพรียวๆ มีความคล่องตัวมาก ถ้าจะล่ำสันก็ล่ำสันแบบทะมัดทะแมง ไม่ใช่อ้วนตุ๊ต๊ะ หรือสูงโย่งโก๊ะอย่างฝรั่ง นี่เป็นคนที่มีการคล่องตัวเป็นพิเศษ

ท่านบอกว่า พระเจ้าพรหมจักรนี่เก่งในการสังหารศัตรูมาก และในกาลต่อมา พระเจ้าพรหมจักรนี้ มีนโยบายดี ตั้งเป็นกลุ่มของตัวเข้าแล้วก็ไปทำความสามัคคีกับเจ้าของถิ่น คือเจ้าพวกอาเมี๊ยด นี่มันมีกลุ่มพวกขอมผสมอยู่ด้วย ไอ้เจ้าขอมนี่เข้าที่ไหนบรรลัยที่นั่น

มันจะเหมือนกับเขมรหรือเปล่าไม่ทราบ เจ้าเขมรนี่มันจะมีหางเลขมาจากขอมหรือเปล่าไม่ทราบ เขาเรียกว่า เขมรขาวลาวเล็กเจ็กดำคบยาก ทีนี้เขมรต้องดำจึงจะคบง่าย แต่อย่างไปเชื่อผิวนัก ถ้าจิตใจมันเลว มันก็ดำไปด้วยกัน แต่โบราณเขาว่ายังงั้น ถ้าลาวตัวเล็กก็คบยากเหมือนกัน แต่เจ้าเจ๊กดำละคบไม่ได้ ท่านว่ายังงั้น

พอเจ้าขอมมันไปผสมเข้ามันก็วางท่าแบบขอมตามเดิม ยุยงส่งเสริมให้พวกเจ้าของเดิมตั้งตัวเป็นอำนาจ มีการปกครองเอาคนไทยเป็นเมืองขึ้นชัดๆ แบบขอมให้ส่งส่วย นี่มันไปยุเจ้าของบ้านเขาให้แตกความสามัคคีกัน เดิมทีเดียวอยู่ด้วยกันมาด้วยดี

เจ้าพวกนั้นเมื่อฟังแนะนำจากเจ้าพวกนี้ก็ชักชอบใจ อยากจะใหญ่เพราะมีนิสัยเป็นเผ่าป่า ก็คงจะเอาท่าตามแบบเขา แต่ทว่าคนไทยเราก็ดีไม่น้อย ท่านพรหมจักร เวลานั้นกำลังเป็นหนุ่มมีลีลาต่างๆ ย่องไปย่องมาย่องมาย่องไป อีท่าไหนเห็นท่าจะไม่เหมาะก็เล่นท่าเจ้าชู้ แสดงความเป็นคนเจ้าชู้ แบบมีมรรยาท ย่องเข้าไปเป็นลูกเขยของเจ้าพวกอาเมี๊ยด

คือพ่อเมืองเขาก็ชอบใจเห็นเป็นคนดี รับรองว่าจะกดขี่คนไทย บังคับคนไทยให้อยู่ในอำนาจของอาเมี๊ยดให้ได้ แต่การเข้าไปแบบนี้ เข้าไปแบบพราหมณ์ พอเข้าเป็นลูกเขยของพ่อเมืองเขาได้แล้วก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ เขาจะต้องการอะไรกับคนไทยท่านก็แสดงตนเสียเอง เพราะไปอย่างคนรู้จักกันนี่ จะซ้ายก็ซ้ายด้วยกัน ขวาก็ขวาด้วยกันว่าง่าย ว่านอนสอนง่าย คนไทยราบคาบ

แต่มีระบบอยู่ว่าสั่งคนไทยพร้อมรบอยู่ตลอดเวลา ให้มีความสามัคคีถือคำสั่งของพระเจ้าพรหมมหาราชที่แนะนำไว้นี้ เราต้องเป็นไทย จะแตกแยกไม่ได้ ถือคำสั่งคำแนะนำเป็นคำภีร์ปฏิบัติ แล้วก็มีการติดต่อกับพระเจ้าพรหมมหาราช ขอคนบ้าง ขออาวุธบ้าง คนและอาวุธที่สั่งไป ก็ไปจากการค้าขายทางเกวียน พ่อค้าไปมากผิดปกต ไปมากแล้วกลับน้อย

[color=green] มีสรรพาวุธต่างๆ บรรทุกไปในของที่ขายด้วย เมื่อเข้าไปแล้วก็ขายในกลุ่มคนไทยด้วยกัน ส่วนที่เป็นอาวุธก็เก็บเอาไว้ ขายของที่มีประโยชน์ แล้วเวลากลับมาพอได้จังหวะท่านพรหมจักรก็แผลงฤทธิ์ก่อน รบราฆ่าฟัน ตัดกำลังของพวกขอมก็ดี พวกอาเมี๊ยดก็ดี เจ้าพวกขอมนี่มันเป็นคนมีฝีมือ แนะนำเจ้าพวกนั้นให้มีความรู้ในวิชาทหารก็จัดการสู้รบกันเป็นการใหญ่

ท่านพรหมจักรฆ่าตายเป็นเบือ ในเขตจังหวัดกระบี่หรือว่าตะกั่วป่านี้ มีนามว่าสุสานประเทศ ฆ่าเสียตายหนัก คนไทยร่วมมือกันเป็นอย่างดีทั้งสามคนรุมสู้กับเจ้าพวกนั้นกัน จนกระทั่งมันสู้ไม่ไหว ไทยก็เลยกลับเป็นไทยขึ้นมาแบบไทยๆ เรียกว่าเป็นไทยอิสรภาพ

ส่วนพระเจ้าพรหมมหาราช รู้ข่าวว่าทางเมืองไทยสายใต้เกิดมีการรบราฆ่าฟันกัน ก็ให้กำลังใจช่วยทุกวิถีทาง เร่งรัดพ่อค้าไทย คือทหาร ส่งกำลังลงไปช่วย จนกระทั่งยึดพื้นที่ได้หมด และเป็นอิสระทั้ง ๓ เขตของไทยท่านว่ายังงั้น

ทีนี้ ต่อมา เมื่อพระเจ้าพรหมมหาราชสวรรคตและบรรดาหัวหน้าไทยทั้งสามเขตก็สวรรคต ตาย นี่ เรื่องของพระก็ถือว่าเป็นกฎธรรมดา อัตภาพร่างกายที่เกิดมามันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ เมื่ออัตภาพร่างกายเป็นอนิจจังไม่เที่ยงแล้ว กิจต่างๆ ของคนที่ทรงอยู่ก็เป็นอนิจจังไปด้วย นี่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสว่ายังงั้น

จริงหรือไม่จริงบรรดาคนอื่นทุกท่านก็ลองคิดดูว่า ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นนิจจังคือความเที่ยง คนไทยทั้งหมดสมัยนั้นก็ยังปรากฏตัวอยู่ เราจะได้รู้ประวัติศาสตร์ที่แน่นอน ไม่ต้องมานั่งเดากันไปเดากันมา ดีไม่ดีเรื่องของคนไทยเราดันไปรู้จากเมืองฝรั่ง แล้วก็เจ้าฝรั่งนี่มันเข้ามาในเขตประเทศไทยตั้งแต่สมัยไหน ทำไมมันถึงรู้เรื่องของคนไทยเรา?

ก่อนที่มันจะเข้ามา นี่ซี คิดถึงตรงนี้ซี่ มันน่าอายฝรั่ง ให้ฝรั่งมามาโกหกกลิ้งเล่นโก้ ความจริงฝรั่งจะรู้ก็เป็นการคาดคะเนพิสูจน์อย่างนั้น พิสูจน์อย่างนี้ อย่างกับหอย ๗๕ ล้านปีก็เหมือนกัน ใครเป็นคนเกิดทันสมัยนั้น? เขาก็สันนิษฐานเอา แล้วเรื่องการรู้ก่อนเกิดนี่มันเป็นของยาก แต่มันก็ง่ายเหมือนกัน พูดให้ฟังได้

แต่ก็ไม่มีข้อพิสูจน์ นี่อย่างที่อาตมาพูดนี่ก็เหมือนกัน ใครอยากจะรู้ก็ไปถามผีดูซี ว่ามันจริงหรือไม่จริง ก็นี่เราพูดอนิจจังแล้ว ทุกขังมันก็เกิด ความเปลี่ยนแปรมันปรากฏขึ้นก็เกิดอาการของความทุกข์ เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ว่าคนมารุกรานบ้าง นี่เราก็ทุกข์ เวลานี้เรากำลังจะถูกกลืนชาติ เพราะบรรดาปลวกและหนอนต่างๆ เข้ามาอยู่ในเขตประเทศไทยเต็ม

คนที่มีอำนาจในการบริหารมีความรู้สึกขนาดไหนบ้าง ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน ทุกคนท่านบอกว่ามีความห่วงใยประเทศชาติ แม้แต่ข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกคนก็เหมือนกันห่วงใยประเทศชาติ ถ้าห่วงใยประเทศชาติละก็อย่าเก็บภาษีให้มันผิดระเบียบ แล้วก็พยายามเก็บภาษีให้ครบถ้วนยังงี้ดีกว่า อย่าข่มเหงกัน อย่าเห็นว่าคนไทยด้วยกันเป็นทาส

อยากจะรุกเขตแดนที่ไหนก็รุกไป อย่างพวกนาทรายเป็นต้น พวกนาทรายที่ไปร้องไห้ที่สภาเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ แกร้องจริงๆ หรือว่าแกแกล้งร้องหลอกสภาก็ไม่ทราบ แต่ปรากกว่าพ่อบ้านบอกว่าพวกชาวนาทรายโกหกตอแหลพูดไม่จริง นี่ เรื่องของเรื่องก็สุดแล้วแต่กรรมการผู้ไปวินิจฉัย

ทีนี้กรรมการผู้ไปวินิจฉัยก็ต้องตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ และเว้นอคติ ๔ ตามความเป็นจริง เพราะคนของเรามีเงินเดือนเงินดาวอยู่แล้ว ไม่ยากไม่จน หากว่าไปทำลายคนจนนี่ก็ชื่อว่าทำลายประเทศชาติ มันเป็นโอกาสให้ปลวกหนอนทั้งหลายที่มาทำลายประเทศชาติมีโอกาสทำลายได้ง่าย เป็นกำลังของเขา มองดูกันให้ดีนะ

เป็นอันว่าเมื่อ ๓ ท่านสวรรคตแล้ว ตัวนี้ก็เป็นอนัตตา แล้วคนที่มานั่งคุยให้ฟังก็ดันเป็นผีเสียด้วย ตายเหมือนกัน เป็นอนัตตา นี่เราเกิดมาแล้วต้องตายเหมือนกัน นึกเข้าไว้ให้ดี ว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาไม่ได้สอนส่งเดช เป็นไปตามความจริง

ต่อมา ลูกของพระเจ้าพรหมมหาราชก็หมดอำนาจถอยร่นลงมาจากสุโขทัย มาจากกำแพงเพชร มายับยั้งอยู่ที่เมืองสรรค์บุรี ตอนนี้..เขตสรรค์บุรีก็มีนามว่าอะไรล่ะ นึกชื่อไม่ออกเสียแล้วซี นึกไม่ออกก็แล้วกันไป

แล้วก็ต่อมาขยายลงมาจนกระทั่งถึงเขตอู่ทอง เขตทวาราวดี ในที่สุดก็ยึดพื้นที่ทวาราวดี ตั้งแต่นครปฐม ยันราชบุรี เห็นจะยันเพชรบุรีไว้ได้หมด แล้วอีกส่วนหนึ่งของตระกูลของพระเจ้าพรหมมหาราชก็อยู่ทางภาคเหนือ

ท่านกล่าวว่า ตระกูลพระเจ้าพรหมมหาราชนี้ เป็นต้นวงศ์ของกษัตริย์ทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายสุโขทัย แล้วก็ฝ่ายอู่ทอง นี่คนคุยให้ฟังเขาว่ายังงั้น แล้วแกก็ต่อไปว่าวงศ์กษัตริย์ของคนไทยยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง คือว่าวงศ์กษัตริย์ของพระเจ้าพรหมมหาราชจริงๆ นี่ไล่ขึ้นไปถึงโน่น ถึงต้นของบุคคลที่มายึดพื้นที่ในเขตสายเหนือนี้

ไปดูในพงศาวดารเหนือ จะเห็นว่าเป็นวงศ์กษัตริย์ต่อกันมาชั่วหลายสิบพระองค์ จนกระทั่งถึงพระเจ้าพังคราชแล้วมาถึงพระเจ้าพรหมมหาราช แล้วก็มาถึงลูกของพระเจ้าพรหมมหาราช แล้วก็ต่อมาลูกของพระเจ้าพรหมมหาราชก็ดี ทั้งเหนือและใต้ก็ดี เป็นต้นวงศ์ของวงศ์สุโขทัยและวงศ์อู่ทอง..

นี่..เป็นอันว่า วงศ์กษัตริย์สมัยนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง ทีนี้ต่อมาวงศ์อู่ทองนี่ก็ไปตั้งอยุธยา วงศ์สุโขทัยก็มารวมที่อยุธยาสลับกันไปสลับกันมา ท่านบอกว่าไล่ให้ดี นี่ผีท่านว่ายังงั้น ไม่รู้ว่าจะไปไล่เบี้ยที่ไหน ไล่ประวัติให้ดี

จะเห็นว่า วงศ์จักรีนี่ ก็มาจากวงศ์พระเจ้าพรหมมหาราชแล้วกัน ผีเล่นบอกยังงี้นี่ ไม่รู้จะไปหาตำราที่ไหน ใครเขาจดไว้ที่ไหนแกก็ไม่บอก แกยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เป็นอันว่า กษัตริย์ที่ปกครองไทยในเขตนี้ยังเป็นกษัตริย์วงศ์เดียวคือวงศ์เดิม ก็ว่าไปซี ผีแกว่ายังงี้ ใครจะเชื่อก็เชื่อไม่เชื่อก็แล้วไป

แล้วหลังจากนั้นต่อมา ท่านบอกว่าบรรดาลูกหลานของ ๓ พรหมทั้งหลายที่ปกครองสายใต้ก็เสื่อมกำลังลง พวกเจ้าของเมืองมีพวกแขกอยู่ข้างหน้า คือพวกนครศรีธรรมราช นี่แนะ..เจ้าคนนี้มายุ่งแล้ว เจ้าแขก เขามีกำลังรวมกลุ่มกันแล้วเขามาจากเขตเจริญ

มันก็ยุยงส่งเสริมให้พวกอาเมี๊ยดต่างๆ ว่า “ไอ้เจ้าพวกคนไทยนี่มันไม่ใช่คนอยู่ที่นี่ มันเป็นคนมาจากที่อื่น จะให้มันมีกำลังเป็นจ้าวเป็นนายอยู่ทำไม พวกเรารวมตัวกันไล่เตะไอ้พวกนี้ให้มันจมกลางทะเลไป”

เอาแล้ว.. เจ้าพวกนี้ยุ่งแล้ว ผลที่สุดเขาก็รวมพวกเขาได้ ไอ้บัง ไอ้บังทั้งหลายนี่รวมตัว ความจริงมันก็มาจากที่อื่นเหมือนกัน มาทีหลังเสียด้วยนะ ไอ้บังที่อยู่ข้างใต้นี่น่ะ ที่เขาบอกว่าเขาเป็นพวกอะไรต่ออะไรนี่ ความจริงมันมาจากอินเดียนี่ มันมาทีหลังคนไทย คนไทยปกครองเขตนี้มาก่อน แล้วปกครองด้วยธรรมสามัคคี อยู่ด้วยกันดี ไม่รบราฆ่าฟัน ไม่ทำลายเขา

เมื่อเรายึดพื้นที่ได้เราให้อิสรภาพทุกอย่าง เขาเป็นอิสระไม่ต้องส่งส่วยสาอากร เราไมได้ถือเขาเป็นทาส เราถือเขาเป็นพี่เป็นน้อง แต่ไอ้แขกนี่ยุ่ง ไอ้แขกนี่มายุยงส่งเสริมให้คนพวกนั้นรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน รวมกับพวกมันตีพวกไทย นี่เราสู้ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะข้าศึกมันอยู่ในบ้าน

เพราะพวกนั้นมันอยู่ในบ้านอยู่แล้ว มันย่องๆ เข้ามาเกลี้ยกล่อมให้พวกนั้นเป็นศัตรูกับพวกเรา แต่ก็ให้ทำตัวดีๆ แบบพวกเราเคยทำมันก็ตรงกับเวลานี้แหละ ที่คนต่างแดนทั้งหลายเขาส่งคนของเขามาในประเทศไทยเกลื่อนไปหมด แล้วก็กลืนคนไทย พูดให้คนไทยเห็นดีเห็นชอบประกอบไปกับเขา หวังจะทำลายคนไทยด้วยกัน

เขามีเงินมาก ไทยเรามันหิวเงิน เขาก็มีความเด่นให้เขาบอกว่าถ้ายึดประเทศไทยได้เมื่อไร เขาจะยกให้เป็นคนเด่น ไอ้ไทยนี่บางคนก็บ้าเด่น แล้วดีไม่ดีจุดอ่อนอีกจุดหนึ่ง ก็คือเรื่องของศาสนา ที่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเวลานี้ ที่ดีก็มาก ที่ไม่ดีก็เยอะ ที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเยอะแยะ เวลานี้เป็นอันว่าพระธรรมวินัยไม่มีประโยชน์เสียแล้ว

เรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ เรื่องลาภยศมีประโยชน์มาก เมาลาภ เมายศกันตะบันไป ฉันอยากจะเป็นนั่นฉันอยากจะเป็นนี่ ทีนี้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่เขามีความรู้ดีก็มีเยอะ เขาก็เลยเสื่อมความนับถือ จุดนี้อีกจุดหนึ่งที่จะทำให้ประเทศไทยพังบรรลัยลงไป เขาจะเข้าทางศาสนา พระประเภทนี้ก็บ้าเงินบ้ายศเหมือนกัน เอาเงินให้เข้ามากมาๆ

แล้ววัดเป็นศูนย์กลางบรรดาประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทย เว้นไว้แต่ในกรุงเทพฯ คนในกรุงเทพฯ อาจจะเห็นว่า วัดหรือพระไม่มีความหมาย แต่ว่าคนในกรุงเทพฯ ก็นิดเดียว ตานี้ ตามหัวเมืองต่างๆ เวลานี้ประชาชนทั้งหลายถือว่าวัดมีความสำคัญ เป็นหัวใจของบรรดาประชาชนเป็นศูนย์รวมใจ

เมื่อคนพวกนี้เข้าถึงพระ ไปพบพระที่บ้าลาภ บ้ายศเข้า เอาเงินป้อนหนักๆ เข้าก็โอนอ่อนไปตามเขา ยุยงส่งเสริมให้ชาวบ้านเห็นว่าไทยเป็นไทไม่ดี สู้ไทยเป็นขี้ข้าไม่ได้ แต่ว่าลีลาที่เขาให้ไม่ใช่เขาบอกตรงๆ แบบนี้ เมื่อได้สตางค์ไปมากๆ ใจมันก็อ่อน ไอ้การล้างสมองพระด้วยเงินนี่มันล้างง่ายเหมือนกัน

เพราะพระประเภทนั้นมีใจเป็นชาวบ้าน เขาก็แหย่โน่นนิดเข้ามาแหย่นี่หน่อย เข้ามาทำชั่วๆ เขาก็สนับสนุนบอกว่านี่ทำดี ถ้าไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ เอาเงินแสนเงินล้านไปซื้อยศมา พระก็ชอบ นี่ตามที่เขาลือกันนะ มันจริงหรือไม่จริงไม่ทราบ ถ้ามีจริงก็น่าสลดใจ

นี่เงินเป็นเครื่องปลื้มใจของบุคคลผู้รับ เป็นอันว่า พระอีกจุดหนึ่งที่จะทำให้ประเทศชาติบรรลัย ถ้าทางราชการงดการให้ยศพระเสียได้ละก็จะดีมาก พระเป็นผู้วางแล้วซึ่งโลกธรรมนี่ ไปติดทำไม ขืนไปติดเป็นการขัดใจพระพุทธเจ้า นี่พูดตามความเป็นจริง

ตานี้ เวลานี้ก็เหมือนกัน พวกแขกนครศรีธรรมราชทำแบบนั้น พวกอาเมี๊ยดทั้งหลายก็อยู่กับกลุ่มคนไทย เวลาจับอาวุธขึ้นมา เขาก็จับพร้อมกัน ไทยเราก็สู้ไม่ได้ เสียท่า ต้องตกไปเป็นเมืองขึ้นเขา

ตานี้ก็เลยถามว่า ทรัพย์สินเหล่านั้น เวลานั้นเก็บไว้ที่ไหน
ท่านบอกเหมือนกัน แต่ทว่าสัญญามีไว้ตั้งแต่ตอนต้น ว่าทรัพย์แผ่นดินน่ะ ที่มีความสำคัญเราจะไม่เข้าไปยุ่ง จะไม่ทำเองอย่างหนึ่ง จะไม่บอกให้บุคคลอื่นทำอย่างหนึ่ง ฉะนั้น ก็จะขอเก็บไว้ จะเล่าให้ฟังเพียงย่อๆ

ว่า ชาวปา และชาวกุยบุรีเก็บไว้ ๓ จุด คือ ถ้ำเขานวลตา และอีกจุดหนึ่งก็ริมทะเล ใกล้ปากน้ำปราณบุรี บนพื้นแผ่นดินเวลานี้ดินงอกขึ้นมาอยู่บนพื้นแผ่นดินแล้ว แล้วก็ในถ้ำโนนหินเขายาวรวมทั้งหมด มีทรัพย์ทั้งหมดเรียกว่าหลายหมื่นชั่งเฉพาะทองคำ ของอย่างอื่นต่างหาก

ตานี้ ของชาวเมืองภูเก็ต เก็บไว้ชายเขาใกล้ทะเล นี่เป็นทองสำเร็จรูปนะ ทองแท่งนะ แล้วเมืองกระบี่กับพังงาก็เก็บไว้ที่เขาสูงยาว พูดเท่านี้แหละ พูดมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะจะผิดสัญญา

เวลานี้สัญญาณเวลาเทปจะหมดหน้าปรากฏแล้ว ขอยุติแล้วกลับหน้าเทปใหม่ ยังไม่เลิก เอาว่ากันต่อไป ตานี้จบกันเสียทีละมั้ง เอาวันนี้มาจบกันเสียที พลิกไปอีกหน้าหนึ่ง

ท่านบอกว่าการหาทอง ได้ทองมาแล้วก็ไม่มีอะไร ชนิดของทอง อ๋อ ชนิดของทองที่เรียกกันว่าทองเนื้อ ๘ ทองเนื้อ ๙ แล้วก็ทองเนื้อ ๖ นี่ ใช่ไหม? ใช่ ทองเนื้อ ๙ นี่ก็หมายความว่าทองคำหนัก ๑ บาท เป็นทอง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์หรือ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้ให้น้ำหนัก ๑ บาทต่อราคา ๙ บาท จึงเรียกกันว่าทองเนื้อ ๙

ทีนี้ทองที่เนื้อทองน้อย ตั้งแต่ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ลงมาถึง ๗๕ เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้ให้น้ำหนักหนัก ๑ บาทต่อราคา ๘ บาท จึงเรียกว่าทองเนื้อ ๘ เปอร์เซ็นต์ ต่ำลงมากว่านั้น ให้น้ำหนัก ๑ บาทต่อเงิน ๖ บาท จึงเรียกกันว่าทองเนื้อ ๖ นี่ไม่มีอะไร

เมื่อคุยกันแล้ว ก่อนที่แกจะกลับแกก็เลยบอกว่า ท่านมาที่นี่ พวกเราดีใจมาก เพราะว่ามีโอกาสที่จะบรรยายความจริงให้คนไทยฟัง เพราะว่าคนไทยเรานี่ยังไม่ค่อยจะเป็นไทยแท้ ยังมีจิตตกอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความหลง

ไอ้เรื่องการอยากรวย การอยากรวยนี่ เขาไม่ถือว่าโลภ แต่การอยากแย่งเขามารวยซี แย่งอำนาจวาสนาซึ่งกันและกัน จะเบ่งบารมีทับซึ่งกันและกัน แบบนี้ โลภในลาภ โลภในยศนี่เป็นของไม่ดี เวลานี้ ผีคนไทยทั้งหลายมีความห่วงใยไทยเป็นอันมาก ถึงแม้ว่าผีไทยสมัยสุโขทัยก็เหมือนกัน ก็มีความห่วงใยคนไทยเป็นจำนวนมาก นี่ซี

อยากจะให้คนไทยรู้จิตใจของคนไทยเดิม ว่าไทยนี้ตั้งเมืองขึ้นมาได้เพราะอะไรเป็นปัจจัย อาศัยความดีความสามัคคี เห็นแก่ประเทศชาติ เห็นแก่หมู่คณะ แล้วไทยที่ต้องบรรลัยไปเป็นทาสเขาก็เพราะอาศัยความแตกสามัคคี อยากใหญ่ อยากโตเป็นสำคัญ ท่านบอกว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมาก อยากจะให้คนไทยรู้ เวลานี้คนไทยมีศัตรูอยู่คล้ายๆ กับเงาตามตัว ท่านว่ายังงั้น

แล้วศัตรูที่เข้ามาจากภายนอกก็มี ศัตรูภายในก็มี แถมคนไทยที่มีความโลภเป็นศัตรูกับตนเองก็มี ท่านบอกว่าพวกนี้เป็นศัตรูกับตนเอง เมามัน หลงในการเงิน หลงในคำป้อยอ แต่ในเมื่อเขายึดประเทศชาติได้แล้ว ใครล่ะเขาจะตั้งตัวให้เป็นใหญ่ ตัวจะมีความสุขนี่

ความจริงไปดูบทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๖ บอก ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส อย่างนี้เป็นต้น เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป นี่เห็นไหม แล้วก็ไม่มีใครที่เขาจะมายกย่องว่าเราเป็นไทยและเป็นคนเสมอเขา นี่ผีมีความห่วงใยคน แต่ว่าคนมีส่วนในการบริหารประเทศ รักษาความปลอดภัยจะมีความรู้สึกยังไง

นี่เป็นเรื่องของท่านคนที่มีกำลัง จะใช้กำลังห้ำหั่นพวกกันเองแบบเป็นศัตรูของไทย จะมีประโยชน์อะไร คนที่มีอำนาจในการบริหารประเทศ หรือมีอำนาจในการควบคุมกำลังบริหาร ใช้วาทะ ใช้สมองของตนทำลายไทยด้วยกัน จะมีประโยชน์อะไร เราจะตั้งเป็นกี่พรรค เป็นกี่กลุ่มก็ดี เอาสมองเข้ามารวมกันไว้จุดเดียว สร้างความดีความรุ่งเรือง ความเป็นอิสระของประเทศไทยเท่านั้น จะดีไหม

เอาสมองมาวางไว้จุดเดียวกัน อย่าไปแยกที่ วางไว้จุดนี้ ที่ว่าจะทำความปลอดภัยให้แก่ประเทศชาติ สร้างความรุ่งเรือง สร้างสันติสุข สร้างความสามัคคี ให้คนไทยทุกคนอยู่ดีกินดี แม้แต่ตัวของเขาเอง แบบนี้จะดีหรือไม่ดี ว่าไป

เวลาเช้า ตื่นนอนเสียที เป็นวันที่ ๒๐ เดินทางไปห้วยยาง ทำพิธีกรรมตามที่เขากำหนด ชาวห้วยยางเป็นทั้งชาวพุทธแล้วก็ชาวคริสต์ ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ชอบใจป่าห้วยยาง

เมื่อเสร็จจากพิธีกรรมแล้วก็เดินทางต่อไปสายใต้ ไปจังหวัดชุมพร แต่ก่อนที่จะเลยไปจังหวัดชุมพร ก็ไม่ลืมแวะร้านกล้วยแช่น้ำผึ้ง มีบ้านๆ หนึ่งเขาเอากล้วยแช่อิ่มน้ำผึ้ง แล้วก็มีน้ำส้มอร่อย คนนี้ ปรากฏว่าภรรยาเป็นชาวคริสเตียน แต่ว่ามีสามีเป็นชาวพุทธ เข้าไปคุยด้วย

ภรรยาเขาก็บอกว่าเวลานี้ฉันเลิกเข้าคริสต์แล้ว มาเข้าพุทธศาสนา รู้สึกว่ามีใจกว้างขวางดี ศาสนาคริสต์มีใจคับแคบไปหน่อย แกว่าอย่างนั้น จริงหรือไม่จริง ก็เป็นเรื่องที่ท่านผู้นั้นพูด แกก็ดีเหมือนกันที่แสดงให้ปรากฏ

ก่อนหน้าที่จะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง คือเดือนสิงหาคมนี่เอง มีสตรีท่านหนึ่งมาหา มาจากกรุงเทพฯ สามีเป็นคนขับรถให้ เธอก็มา
ถามว่า ทำไมไม่ให้สามีเข้ามาด้วย
เธอก็บอกว่าสามีเป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ เขาไม่ยอมเข้ามาในเขตของวัดพุทธ

เอ.. น่าแปลก ความจริงพวกคริสต์ศาสนานี่ เข้ามาที่นี่นับไม่ถ้วนแล้ว เอาหนังสือที่พิมพ์ออกมาไปอ่านกันเป็นแถว แล้วทุกคนก็ต่างพากันทำบุญสุนทานปฏิบัติความดี เอาหลักสูตรพระพุทธศาสนา แล้วคนหนึ่งชื่อริชาร์ด เป็นคนครึ่งชาติ พ่อเป็นฝรั่ง แม่เป็นอะไรก็ไม่ทราบ ท่านผู้นี้มาเข้าพุทธศาสนา มาคุยกัน เอาหนังสือไปมากมาย

บอกว่าเอาไปอ่านแล้ว ใคร่ครวญไปด้วย และปฏิบัติตามมีผลดี นี่ก็ไม่เห็นจะสำคัญอะไร ศาสนาไหนก็เข้าวัดไทยได้ วัดไทยใจกว้างขวางพอ ไม่กีดกันคนศาสนาอื่น แล้วก็ไม่ทำลายศาสนาอื่น ไม่ใช่จะไปถือว่าพุทธศาสนาดีวิเศษเสียอย่างเดียว ความจริงศาสดาทุกองค์มีความประสงค์ดีทั้งนั้น เป็นอันว่าเดินทางต่อไป เดี๋ยวเวลาหมด

ออกจากนั่นแล้วก็ไปชุมพร ไปที่อำเภอท่าแซะกับอำเภออะไรอีกอำเภอ มันเป็นเขตติดต่อกันสองอำเภอจำไม่ได้ พอไปถึงที่อำเภอท่าแซะ ก็ไปแวะที่ร้านขายของ ของนายวรการ คงทอง นายวรการก็นำเข้าไปส่ง ไม่รู้อำเภออะไร อีทางนั้น ทางใหญ่ดี เป็นทางลูกรัง เข้าไปปรากฏว่ามีสวนทุเรียนสะพรั่ง สวนเงาะ แหม เขตนี้ดีมาก มีความร่มรื่น มีภูเขาร่มรื่นดี

ท่านมัสสุสิงหนาทขับรถเข้าไป ไอ้รถอกมันต่ำ เข้าไปตามทางเกือบจะไปไม่ได้ เขาต้องหาไม้มารองให้ เมื่อเข้าไปในเขตก็ไปเดินชมสวนชมไร่เขา ชอบใจอะไรก็ทำอาหารกินกันเองโดยคณะของพวกเราที่ไป ปรากกว่าเจ้าของบ้านชอบใจมาก เห็นว่าคนกรุงเทพฯ ไม่ถือตัว

นี่การทำตัวอย่างนี้มันเป็นความดี เป็นการเชื่อมความสามัคคีกันไว้ แต่ความจริงผู้ที่ไปทุกคนในคณะของเราก็ไม่มีใครถือตัว ถือว่าคนทุกคนเสมอกัน เพราะว่าเป็นนักพุทธศาสนา นับถือพระพุทธเจ้า

มาถึงที่ตรงนี้ เวลานอนกลางคืน ปรากฏว่ามีบรรดาสตรีทั้งหลายชาวสวรรค์มาหา
เขาเล่าให้ฟังว่าก่อนโน้น คือสมัยสุโขทัย มีท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง มีนามว่าท่านพ่อขุนศรีเมืองมาน ท่านพ่อขุนศรีเมืองมานนี่ เวลาที่พระร่วงกับพ่อขุนผาเมืองมายึดอำนาจจากขอม คือปฏิวัติขอม ให้ไทยเป็นอิสระ

เวลานั้นพ่อขุนศรีเมืองมานเป็นพระ บวชพระแล้วเพราะว่าเมียตาย เมียตายตั้งแต่พ่อขุนศรีเมืองมานอายุ ๓๕ ปี ท่านก็เป็นฆราวาสมาถึง ๔๐ ปี แล้วก็บวชพระเป็นนักพรต แต่ว่าเป็นนักพรตที่มีจิตใจจะสร้างไทยให้เป็นไทยอยู่ตลอดเวลา

พยายามสอนลูกศิษย์ลูกหาให้ปกครองประเทศชาติ กลุ่มเดียวกัน หมู่เดียวกัน แล้วก็มีความสามัคคี แสดงความอ่อนน้อมต่อขอมผู้มีความกดขี่ข่มเหง ที่เขาถือว่าเป็นเจ้านาย แต่ว่าไทยก็พร้อมที่จะเป็นไทย คือจะลุกขึ้นสู้เมื่อถึงเวลาโอกาสจะมาถึง เขาเล่าให้ฟังแบบนั้น

แล้วต่อมาเมื่อพ่อขุนผาเมืองกับพ่อขุนบางกลางท่าวยึดอำนาจจากขอมแล้ว จะเห็นว่าคน ๒ กลุ่มนี่ พ่อขุนผาเมืองเป็นคนที่มีอำนาจมากสมัยนั้น ขอมไว้วางใจถึงกับเป็นลูกเขยของขอม ขอมตั้งราชทินนามให้เป็นขุนศรีอินทราทิตย์ นี่

ข้างหน้า ๒ – ๓ คำ ตรงกลางนิดตัดทิ้งไป เหลือเท่านี้จำไม่ได้ว่า “กมรับ” อะไร “ตนกู” อะไรก็ไม่ทราบ นี่เขาตั้งราชทินนามให้ ให้ปกครองไทย แต่ท่านก็ไม่ได้เมา เมื่อยึดอำนาจจากขอมยึดสุโขทัยได้แล้ว แทนที่ท่านจะคิดว่าเรานี่เป็นใหญ่ เราจะต้องปกครองคนไทยแบบเช่นไทยเมา – เมาไทยในเวลาปัจจุบัน ท่านไม่ได้คิดยังงั้น

เห็นว่าพ่อขุนบางกลางท่าวเป็นผู้ใหญ่กว่า ก็ให้ครองคนไทย ตัวท่านเองเสียสละความเป็นใหญ่ มอบการปกครองไทยให้แก่พ่อขุนบางกลางท่าว แล้วพ่อขุนผาเมืองก็ขยายอาณาจักร ตัวท่านพร้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติก็ไปอยู่ที่เชียงแสน

แต่อยู่เมืองโยนกเก่าของพระเจ้าพังคราชหรือตระกูลเดิม แล้วก็พร้อมที่จะรักษาความเป็นไทย มีความสามัคคีระหว่าง ๒ กลุ่มนี้ ไม่แตกความสามัคคีกัน ไม่แบ่งแยกกัน นี่ น่าจะเป็นน้ำใจที่บรรดาชาวไทยทั้งหลายศึกษาไว้ ท่านเสียสละทุกอย่าง ทั้งนี้เพราะต้องการให้ไทยเป็นไทย ไม่ต้องการให้ไทยเป็นทาส ถ้าไทยแย่งกันมีอำนาจ นั่นไทยต้องการเป็นทาส เป็นการทำลายชาติไทย จะมีประโยชน์อะไร

แล้วท่านสุภาพสตรีทั้งหลายมาบอกว่า สมัยนั้นเองพ่อขุนศรีเมืองมานบวชพระเป็นผู้เฒ่า แล้วก็เดินทางลงมาทางใต้เพื่ออบรมไทยทุกจุด มาพบไทยก็อบรมไทยให้เข้าใจเรื่องของพระพุทธศาสนา และให้มีความหวังดี จงรักภักดีระหว่างหมู่ไทยด้วยกัน

คือมาทั้งแบบธรรมทูตและราชทูตละมั้ง คือว่าเป็นธรรมทูตด้วย เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเที่ยวสอนแนะนำชาวไทย แล้วให้รู้จักความเป็นไทย ให้รู้จักรวมกลุ่มไทยเข้าด้วยกัน

อันนี้เองเป็นปัจจัยให้มาสมัยหลัง เมื่อพ่อขุนรามคำแหงขยายอำนาจลงมาทางใต้ จึงรวบรวมไทยได้เป็นอย่างดี พระองค์ยึดประเทศเขตนี้ได้ถึงเมืองยะโฮร์ คือสิงคโปร์หมดเขต นี่เป็นที่น่าปลื้มใจ ที่ทำได้อย่างนั้นก็เพราะไทยมีน้ำใจเป็นไทย ใจมันไม่มีน้ำใจเป็นทาส

แล้วต่อมานามของคนไทยในสมัยนั้นๆ ก็ใช้นามว่า “ราม” ก็ปรากฏว่าครั้งหนึ่งที่พระเจ้ารามคำแหงผ่านมาทีเมืองทวาราวดี เวลานั้นพ่อเมืองมีลูกออกมาใหม่ๆ เป็นผู้ชาย ถามท่านว่าควรจะให้ชื่อว่ายังไง ท่านบอกว่าใช้นามว่า “ราม” ก็แล้วกัน จะได้รู้กันว่าเป็นคนไทย นี่ชื่อนี่มีความสำคัญ

ฉะนั้นต่อมาจนกระทั่งในปัจจุบันนี้ พระราชาของเราที่มีอำนาจการปกครองจึงใช้ว่า รามาธิบดี รามาธิบดีนี่เป็น ๒ ศัพท์ติดต่อกันว่า รามะกับอธิบดี แปลว่าท่านรามผู้เป็นใหญ่ นี่ชื่อของพ่อขุนรามคำแหงที่ให้ไว้ยังติดมากับคนไทยที่เป็นกษัตริย์ในสมัยปัจจุบัน

แล้วต่อมาเวลาเช้า ตอนที่จะกลับก็มานั่งคุยกันกับชาวบ้านแถวนั้นถึงเรื่องราวต่างๆ เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องนี้ไม่น่าจะคุยให้กันทราบ คุยไปคุยมาก็นึกถึงเรื่องอีตาผีคนใหญ่ขึ้นมาได้ อ้าว ไหนเล่าลัดไปเสียนิดแล้ว

ระหว่างที่ตอนเช้ากำลังอยู่สงัดคนเดียว ปรากกว่ามีผีพาไปเที่ยวคือท้าวมหาราชมุดใต้ดิน เขาคุยให้ฟัง ว่าเขาลูกต่ำๆ ลูกนี้มันมีปล่องไปข้างล่าง แล้วเมื่อไปถึงข้างล่างแล้วมันเป็นน้ำเวิ้งว้างไปหมดคล้ายๆ กับเป็นทะเลสาบ มันลงไปใต้ดินลึก ผนังดินข้างบนไม่พัง เขาเคยลองลงไปแล้วเอาหยกกล้วยทำเป็นแพพายไปในนั้น ไม่รู้ว่าไปที่สุดถึงไหน

เรียกว่าไปกันใต้ดิน ปลาชุมแสนที่จะชุม เขาคุยให้ฟัง แล้วก็มีหนองน้ำหนองหนึ่ง มีปลาชุมมาก พวกมหาเศรษฐีที่ไปทำไร่แถวนั้นคิดจะทำลายปลาให้หมดไม่แบ่งให้คนอื่นกิน นี่คนไทยประเภทใจระยำแบบนี้ก็มี เอาเครื่องขึ้นมาสูบน้ำ พอหนองแห้งก็คิดว่าพรุ่งนี้จึงจะจับ ตอนเช้าปลาตั้งเยอะแยะปรากกว่าเหลือไม่กี่ตัว

พอเขาพูดให้ฟังแบบนั้นก็สงสัย เวลาสงัดผีก็พาไปเที่ยว ลงดูในปล่องนั้น เห็นเวิ้งว้างไปหมด ปรากฏว่าศูนย์ที่ปลาหนีก็คือมีทางลึกใต้ดินเป็นดินอ่อนๆ ปลาเจาะช่องมาได้กลับมาที่เดิมได้ แล้วก็พาเดินไปตามปล่องต่างๆ ไปโผล่ขึ้นที่เขาๆ หนึ่ง นี่เป็นอำนาจของผีน่ะ เจอะทองคำมหาศาลตั้งเป็นกำแพงเลย ทองคำแท่ง ไปเจอะเทวดารักษา ๒ องค์

เขาบอกว่าท้าวมหาราชว่า อันนี้เป็นสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ขอไม่ได้นะขอรับ
ท้าวมหาราชก็เลยบอกว่า เขาหวงเราก็ไปที่อื่นเถอะ แต่ความจริงเราก็ไม่อยากได้อะไร

เดินเลาะลัดไปใต้ดิน ปรากฏว่าออกไปทางทิศตะวันตก ไปเจอะเหมืองแร่ขนาดหนักใต้ดินมีเยอะ มีทองคำเสียด้วย เป็นแร่มหาศาลบนบก แถวจังหวัดชุมพร ถ้าเราจะขุดแร่ตรงนั้นกัน อีกประมาณสักสาม – สี่สิบปีก็ยังไม่ได้ครึ่ง

ไอ้แร่ที่เขาว่าในทะเลมีมากนั่นจริง ในทะเลมีมากเยอะแยะแถวภูเก็ต แต่ว่าแถวนี้แร่บนบกก็มหาศาล ไอ้ที่ได้กันไปนั้นปริมาณมันยังไม่มากนัก ยังไม่ได้ ๒๐ หรือ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของของจริง แล้วมีแร่ทองคำเสียด้วย ทองคำก้อนเบ้อเร่อ

เมื่อมีความรู้สึกกลับมาสู่สภาพเดิมก็คุยกัน นึกถึงตาผีดำๆ ขึ้นมาได้ แกบอกว่า เรื่องราวของน้ำมันจะมารู้กันที่ชุมพร
จึงได้ถามว่า ใครรู้เรื่องราวของน้ำมันบ้าง
เขาก็บอกว่า มีคนเดินไปซื้อควายที่มะริดเขาเคยพบ

ให้ไปตามตัวมา แกก็บอกว่ามีจริง ปรากฏมีบ่อๆ หนึ่งมีน้ำมันลอยขึ้นมา ชาวบ้านแถวนั้นช้อนเอาน้ำมันบนน้ำไปจุดเป็นตะเกียงได้เลย
ถามว่า อยู่เขตไทยหรือเขตพม่า
แกบอกว่าเขตพม่าพ้นจากเขตไทยไปประมาณ ๑ วัน เราก็กะว่าประมาณ ๓ กิโลเมตร

ถามว่า จะไปดูได้ยังไง
บอกว่าแถวนั้นกะเหรี่ยงอิสระรักษาพื้นที่ไว้ พม่ามาไม่ได้ อยากจะไปดูกัน แต่เวลานั้นเป็นฤดูฝนมันไปไม่ได้ เวลาน้ำหลากมามันยืนไม่ไหว เป็นอันว่าระงับไว้ เป็นอันว่าเรื่องราวของตาผีตัวดำใหญ่นั่นแกพูดจริง นี่เรื่องนี้ก็ขอระงับไว้เพียงเท่านี้ ขอเดินทางกลับดีกว่า

เมื่อคุยกันเสร็จ กินเพลเสร็จก็เดินทางกลับมาถึง เขาเจ้าพ่อหัวช้าง เขานี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เดินทางผ่านไป ลืม ลืมบอก แวะทุกเที่ยว มีรถไปเป่าแตร กลับมาต้องแวะ เขาบอกว่าถ้าไม่แวะเป็นอันตราย ก็แวะเข้าไปที่นั่น ไปจุดปะทัดเล่น แกชอบปะทัด เลยไปซื้อปะทัดเขาแจกๆๆๆ แล้วก็จุดกัน ทุกคนทำความเคารพ

เวลาจะออกรถปรากฏว่าฝนตั้งเค้ามามืด เลยบอกเจ้าพ่อบอก นี่ตาปู่อย่าให้ฝนตกไม่ได้นะ ไปด้วยกัน ถ้าฝนตกละมีเรื่อง รถจะวิ่งไม่ถนัด
แกบอกไม่เป็นไร จะให้มันตกเลาะชายเขาไป ท่านไม่เปียก

แล้วเป็นความจริง วิ่งมาฝนตกเลาะชายเขาใกล้ๆ เห็นชัด ฝนตกมาก แต่ว่าที่ถนนฝนมาไม่ถึง แกศักดิ์สิทธิ์มาก พอมาถึงห้วยยางแวะเข้าไปดื่มน้ำผึ้ง คือน้ำส้มผสมน้ำผึ้ง พอรถจอดเท่านั้น ฝนลงอั้กเลย นี่ตอนนี้รถไม่ได้วิ่ง โทษแกไม่ได้ แกก็เลยบอกว่าแกกลับแค่นี้ละ คนใหม่เขาจะมาเปลี่ยน

นั่งติดฝนอยู่ตั้งนาน พอฝนซาก็วิ่งมา อีกคราวนี้เอง เรียกว่ารถลุยทะเลน้ำ รถลุยทะเลน้ำมา พอเวลาใกล้ค่ำถึงจังหวัดนครปฐม เข้าไปแวะนอนอยู่ในกรมทหารเลี้ยงม้า ไอ้กรมนี้เขาเรียกกรมอะไรไม่รู้ พวกเกษตรมาอยู่ ปลูกหญ้าเลี้ยงม้า เลยให้นามว่ากรมทหารเลี้ยงม้า พักอยู่ที่บ้านพันโทประวิทย์ ศรลัมพ์ หรือพันโทโป๋ ที่คุยกันคืนหนึ่งมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่มาคุยด้วยมาก ตอนเช้าก็เดินทางกลับ

เข้าบางกอกน้อยไปแวะที่บ้านคุณดำรง นุตาลัย ที่นั้นพบท่านผู้หลักผู้ใหญ่จำนวนมาก และบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพากันไปคุยด้วยมาก เห็นเขาซุบซิบๆ กันไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ก็มีคุณนวลน้อย โลห์พันธุ์ศรี บอกว่าจะซื้อโต๊ะสำหรับพิมพ์ดีด โต๊ะที่พิมพ์มันสูงไป แกว่ายังงั้น ก็บอกบุญกัน

จัดงานวันเกิดวันที่ ๒๘ เขาจัดกันอาตมาก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องกัน พอถึงวันเขาก็มาบอก ปรากฏว่าเขาซื้อทั้งโต๊ะให้ทั้งเครื่องพิมพ์ดีดใหม่ ไอ้เครื่องเก่ามีก็โกโรโกโสเต็มที ซื้อตู้ใส่เอกสารให้ ๒ ลูก รวมเงินแล้ววันนั้นได้จริงๆ ประมาณเท่าไร? ตก ๘ หมื่นบาททั้งค่าของด้วยทั้งคนที่ทำบุญด้วย

เงินที่รับในวันนั้นทั้งหมดก็เลยอุทิศส่วนกุสลเป็นการสร้างวัดไปหมด เพราะเงินได้มาจากบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการทำบุญวันเกิด ที่บ้านเจ้ากรมเสริม

ไอ้การทำบุญวันเกิดที่บ้านเจ้ากรมเสริมนี่มันมีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อปี ๑๕ ได้เงินเท่าไหร่ วันนั้นเขาติดกัณฑ์เทศน์ประมาณ ๙๐๐ บาท หรือว่า ๙,๐๐๐ บาท จำไม่ได้ พอเทศน์จบก็บอกว่าเงินจำนวนนี้ไม่ใช้ จะไปขุดบ่อให้ชาวประจวบ ชาวบางสะพานใหญ่ ไปพบเขาอดน้ำกันมาก ก็มีท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่นั่งฟังเทศน์กันอยู่ทุกคนทำบุญกันบ้างตามกำลังศรัทธา

ได้เงินทั้งหมดปรากฏว่า ๓ หมื่นบาทเศษ ก็เอาไปขุดบ่อให้เขา นี่ แล้วหลังจากนั้นมาคุณปชา (ปลัดอำเภอ) ย้ายมาที่บ้านไร่ ไปสร้างบ่อที่บางสะพานเงินยังเหลืออีกประมาณ ๘,๐๐๐ บาท แกก็นำมาที่นี่ เลยบอกบุญคุณโกวิท สุจริตกุล คุณโกวิทหาอีก ๒ หมื่นเอามาสมทบกับเงินเก่า ๘,๐๐๐ บาท ให้คุณประชาขุดบ่อเป็นสาธารณประโยชน์ที่อำเภอบ้านไร่

สำหรับแดนที่อดน้ำ นี่เป็นอันว่าพระก็ทำบุญได้เหมือนกัน ช่วยประเทศชาติกันเหมือนกัน ไม่ใช่พระจะมานั่งๆ เอาเปรียบชาวบ้านฝ่ายเดียวมันก็ไม่เกิดประโยชน์ หรือจะไปนั่งเมาลาภเมายศ ฉันอยากเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นนี่เป็นโน่น อยากจะเป็นนี่อยากจะเลื่อนเป็นนั่น เป็นนั่นอยากจะเลื่อนเป็นโน่น โดยไม่มองคุณความดีของบรรดาพุทธบริษัทผู้มีคุณ

บ้านที่อยู่ ข้าวที่กิน ผ้าที่ใช้ เงินทองที่ได้ ความสุขที่มี ยารักษาโรคที่มี ก็เป็นเรื่องของชาวบ้านสงเคราะห์อนุเคราะห์ ถ้าบรรดาวัดทั้งหลาย ชาววัดทั้งหลายตั้งใจจะสนองความดี ทำตนให้เป็นโลกัตถจริยาด้วย คือช่วยชาวบ้านให้เป็นสุขอย่างพระพุทธเจ้าทำก็ทำได้ แล้วก็ทำกันแบบนี้แหละ

บอกบุญกันไปทำจริงไป ทำเป็นส่วนสาธารณประโยชน์ ช่วยสร้างถนนหนทาง ช่วยขุดบ่อน้ำ หาเงินซื้อตู้ยาเป็นส่วนสาธารณะ สร้างสถานที่สำหรับรักษามีอนามัยประจำตำบล อย่างนี้ทำได้ทุกองค์ ขออย่างเดียวอย่าเมาตนว่าเป็นผู้วิเศษเท่านั้น เอาละสำหรับการเที่ยวภาคใต้ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้

ในที่สุดนี้ ขอท่านทั้งหลายฟังไว้ว่าเรื่องที่เล่ามานี้เล่าถึงคนตายมามาก ให้นึกดูว่าที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ถ้าเกิดเท่าไร ก็ตายเท่านั้น เกิดเท่าไรตายเท่านั้นเป็นความจริงไหม ก่อนที่เราจะตาย เป็นคนก็ควรจะเป็นคนดี เมื่อเวลาตายไปเป็นผีจะได้เป็นผีดี มีคนเขาบูชา อย่างบรรพบุรุษของเรา

สวัสดี


ปักษ์เหนือ - ปักษ์ใต้ จบบริบูรณ์



◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top