Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 22/2/11 at 13:46 [ QUOTE ]

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 7 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ




หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๗

โดย ส. สังข์สุวรรณ


(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..พระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน)



เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๗

1.
คำปรารภ
2. ข่าวงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
3. ข่าวดาวพระอังคาร
4. ไปอเมริกา
5. สงครามโลกครั้งที่ ๒
6. สงครามโลกครั้งที่ ๒ (ต่อ)
7. จากญี่ปุ่นไปวอชิงตัน
8. จากญี่ปุ่นไปวอชิงตัน (ต่อ)
9. รัฐเวอร์จิเนีย ชิคาโก เดนเวอร์
10 รัฐเวอร์จิเนีย ชิคาโก เดนเวอร์ (ต่อ)



1
คำปรารภ


หนังสืออ่านเล่นที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ขอให้อ่านเป็นหนังสืออ่านเล่น จงอย่าถือเป็นตำราหรือแบบปฏิบัติ ตัวอย่างเช่นนิมิตขณะเดินทางบนเครื่องบิน ที่เห็นนิมิตต่าง ๆ อาการอย่างนั้นไม่ใช่เป็นอาการของฌานสมาบัติ เป็นนิมิตธรรมดา ที่คนมีอารมณ์เคลิ้ม ไม่ถึงหลับ แต่จวนจะหลับ

ถ้าเปรียบเทียบกับสมาธิที่ปฏิบัติ ก็ต้องถือว่า มีสภาพคล้ายอุปจารสมาธิ และเป็นอุปจารสมาธิระยะต้นมาก ใช้อะไรไม่ได้ คือไม่สามารถทบทวนภาพที่เห็นใหม่ได้ เมื่อภาพนั้นปรากฏแว๊บเดียวก็หายไป ถ้าท่านนักปฏิบัติพบภาพประเภทนี้เข้า จงอย่าคิดว่า เราได้ฌานหรือมีทิพจักขุญาณ

การเดินทางคราวนี้ ต้องขอขอบใจ คุณเดือนฉาย คอมันตร์ (เดือนฉาย บุญนาค) ที่เป็นภาระธุระให้ และเป็นไปด้วยความลำบากอย่างยิ่ง เพราะเป็นเวลาที่นักท่องเที่ยวเดินทาง หาเครื่องบินว่างยาก แต่ก็พยายามหาทางให้เดินทางจนได้ แม้ตนเองก็ป่วยไข้ไม่สบาย

ไปถึงชิคาโก้ ปรากฏว่าเธอก็ป่วย อาตมาก็ป่วย และต้องขอขอบคุณทุกคนที่อเมริกา ที่เป็นภาระธุระทุกอย่าง ให้ความสะดวกสบาย และสนใจในธรรมปฏิบัติ ขอทุกคนจงมีความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจไว้โดยทั่วกันเถิด

ส. สังข์สุวรรณ์
๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๒.



2
ข่าวงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๒ ก็ทำหนังสือเล่มที่ ๗ แต่ความจริงเรื่องการทำหนังสือนี้ ต้นฉบับทำมาแล้วตั้งแต่เดือนธันวาคม เรียกว่าต้องทำเผื่อไว้ เพราะว่าพระท่านบอกว่า ต่อไปโอกาสจะทำไม่มี ให้ทำถึงเล่มที่ ๖

มาตอนนี้ เล่มที่ ๗ ร่างกายก็ดีขึ้นมาบ้าง ที่ต้องทิ้งมานานก็เพราะว่า มันป่วย ตอนหลังนี้ป่วยพิเศษหลังจากกลับจากอเมริกาคือ เจ็บคอ พูดไม่ออก ก็เป็นอันว่า เรื่องการป่วยขอผ่านไป คนอ่านจะเบื่อ

ข่าว


ตอนที่ ๑ นี้ให้มีนามว่า ข่าว ความจริงเป็นเล่มที่จะเล่าเรื่องจาก อเมริกา แต่ขอนำข่าวจากประเทศไทยมาบอกบรรดาท่านพุทธบริษัทก่อน คำว่า ข่าว ในที่นี้ก็หมายถึงว่า มีนักบุญพิเศษมาในวันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และก็วันรุ่งขึ้น

วันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในวิหาร ๑๐๐ เมตร ได้แก่ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๒ และก็วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๒ มาที่รับแขก มาดูผล และต่อมาก็มาในรูปพระ ๒ ราย รายแรกเป็นผู้หญิง ต่อมาวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๒ มาเป็นพระขึ้นมาที่รับแขกเหมือนกัน

เป็นอันว่า นักที่มานี้ทั้งหมดเป็น นักไสยศาสตร์ คือ เมื่อวันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วันนั้นกำลังฉันภัตตาหารตอนเพล คนอื่นเขาก็ยืนอยู่ห่าง แต่ก็มีท่านสุภาพสตรีท่านหนึ่ง อายุกะประมาณ ๔๐ เศษ ถึง ๕๐ ยืนล้ำออกมาข้างหน้า ห่างออกไปจากหน้าอาตมาประมาณสัก ๖ ฟุตได้ มายืนเฉย ภาวนาอยู่

แต่อาการอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทมีมาแล้วเป็นปกติ ยืนอยู่นานประมาณ ๑๐ นาที จะกระทั่ง คุณประเสริฐ นักบุญประจำสำนักนี้ นักบอกบุญ ดึงออกไปบอกว่า หลวงพ่อฉันข้าวจะมายืนอยู่ไม่ได้ แต่ความจริงยืนอยู่นานมาก และต่อมาวันรุ่งขึ้น วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๒ อาตมาก่อนจะไปรับแขกก็มีความรู้สึกว่า วันนี้จะมีอะไรพิเศษ

และก็ดูเหมือนว่า ตามความรู้สึกท่านให้ภาวนาคาถาบทใดบทหนึ่ง กัน ก็ภาวนาไปตั้งแต่กุฏิ ความจริงวันที่ ๑๙ พอเห็นก็มีความรู้สึกว่า คนนี้ไสยศาสตร์แน่ มุ่งมาทำก็ไม่ผิด วันที่ ๒๐ อีกเหมือนกัน พอขึ้นไปแล้วก็เจอะสาว อายุประมาณ ๔๐ รูปร่างท้วม ๆ ลักษณะท่าทางไม่เหมือนคนอื่น มองหน้ากันไม่สนิท หมายความว่า แกมีความกระดากอาย หรือมีอะไรปกปิดอยู่

เธอก็นั่งภาวนาอยู่ตลอดเวลา จริยาไม่เหมือนคนอื่น ก็รวมความว่า หลังจากนั้นแล้ว เมื่อกลับจากการรับแขก ถึงเวลากลางคืนกลับมาที่ นอนภาวนา ความจริงเรื่องการภาวนา หรือพิจารณานี้ เป็นอาการปกติประจำวัน เมื่อนอนภาวนา ก็เห็นภาพโยมผู้หญิงท่านมา

ท่านบอกว่า คุณ คน ๒ คน ที่คุณมีความรู้สึกอยู่นั้น ไม่ผิด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า เขามุ่งมาทำไสยศาสตร์ทำลายคุณ
ก็ถามท่านว่า ความประสงค์เขาเป็นอย่างไร
ท่านก็ตอบว่า เขาจ้างกันมา

แต่ท่านก็ไม่ได้บอกว่า คนจ้างคือใคร และเขาจ้างทำเพื่ออะไร ทั้งนี้ก็เพราะว่า ไม่เคยมีศัตรูกับใคร การประกาศพระศาสนาก็ทำไปตามปกติ ไม่ได้แย่งทรัพย์สินของใคร และโดยปกติแล้ว การประกาศพระศาสนานี่ ไม่มีราคา และทำงานสงเคราะห์ เมื่อก่อนนี้สงเคราะห์ภายนอก เดี๋ยวนี้ภายนอกก็มีคนสงเคราะห์มากขึ้น

อาตมาก็ป่วย แก่แล้ว ไปไม่ไหว ก็สงเคราะห์ภายใน ตั้งโรงเรียนขึ้น ให้เด็กเรียนฟรี ให้เสื้อกางเกงคนละ ๒ ชุด ให้อาหารการบริโภค ให้หนังสือเรียน ทุกอย่าง จ้างครูมาสอน เสียรายจ่ายทุกอย่าง เด็กนักเรียนไม่ต้องจ่ายอะไรเลย เป็นนักเรียนมัธยมก็มีหลายร้อนคน และนี่ก็ทำให้ฟรีทุกอย่าง ก็ไม่ทราบว่า อะไรทำให้เป็นศัตรูกัน เขามาทำแบบนี้


ก็ขอย้อนไปถึงวันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสักหน่อย วันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้น วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๒ วันนั้นก็มีความอัศจรรย์ หลังจากการบวงสรวงเสร็จ ก็เห็นอะไรต่ออะไรต่าง ๆ ไม่น่าจะคุยกัน บวงสรวงเป็นพิธีกรรมที่มีผล มีผลตามนั้น แต่ก็พูดไม่ได้ คนที่รู้ก็มี คนที่ไม่รู้ก็มี ขณะที่นั่งรถในขบวนแห่ไป มีนักเรียนวงโยธวาทิต แห่นำหน้า

หลังจากนั้น พอเข้าเขตวิหาร ๑๐๐ เมตร ก็มีภาพ ๒ ท่าน ชัดเจนมาก แต่ความจริงภาพที่มาวันนั้นมันเต็มจักรวาลหมด ก็ไม่ขอพูดคือภาพอะไร คนฟังอาจจะคิดว่าเป็นภาพอากาศ หรือภาพเมฆ ก็ได้ ตามใจชอบ แต่ว่าภาพคนที่จะบอกได้ ก็คือภาพของ พระอินทร์ กับ ท่านสหัมบดีพรหม นี่เห็นชัด

ท่านนั่งอยู่ข้างหน้า ตรงหน้าออกไป พอจะเข้าวิหาร ๑๐๐ เมตร
ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่าคุณ เวลาเข้าไปในวิหาร จงอย่ามีโมโหนะ
ความจริงเรื่องนี้ก็เคยคิดไว้ก่อนเพราะว่า ตั้งแต่อยู่ที่ L.A. ลอสแองเจลิส คาลิฟอร์เนีย ตอนนั้นเวลาประมาณ ๔ โมงเช้า นอนภาวนาอยู่เห็น ท่านท้าวเวสสุวัณ ท่านเข้าไปพบ

ท่านก็บอกว่า คุณ วันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วันวิสาขบูชา คุณอย่าคิดว่า คนน้อยนะ ถ้าคุณคิดว่า คนน้อย จะทำอาหารไว้น้อย คนจะไม่พอบริโภค และโดยเฉพาะการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุวันนั้น ในวิหารจะมีอาการขัดข้องบ้างเล็กน้อยตามสมควร เพราะเป็นของใหม่

เมื่อท่านสหัมบดีพรหมท่านมาบอก ก็นึกทบทวนความรู้สึกที่ท่านท้าวเวสสุวัณบอกก็มีความเข้าใจ
เป็นอันว่า เข้าไปในวิหาร ที่เตรียมไว้คิดว่า พร้อม (แต่ความจริงของใหม่ต้องขลุกขลัก เป็นของธรรมดา) แต่มันก็เกิด ไม่พร้อม มีการขลุกขลักอยู่บ้าง ก็ทำใจได้ หมายความว่า ไม่ได้โกรธใคร เพราะเป็นเรื่องธรรมดา ทำงานมามากแล้ว

แต่พอเวลากลางคืน กลับเข้ามาพัก ก็มี หมอจรูญ กับ ภรรยา ภรรยา อาตมาก็เรียก อิ๋ง ๆ ๆ ก็เลยไม่รู้จักชื่อจริงว่าอะไรกันแน่ หาตำราอ่านก็ไม่พบ คือ ๒ สามีภรรยาถ้าหาชื่อพบก็จะบอกให้ ๒ สามีภรรยานี้ ก็มาให้น้ำเกลือ นี่เป็นเรื่องธรรมดา หมอจรูญนี้เป็นปกติ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นหรือทุกครั้งที่เข้ากรุงเทพฯ หรือที่วัดไม่สบาย ก็มาให้น้ำเกลือ ให้ยา

หมอแสงโสม ปิรยะวราภรณ์ ภรรยาหมอจรูญ ๒ คนมาให้น้ำเกลือ แล้วก็ฉีดยาให้นอนหลับ ให้หลับเป็นการพักผ่อน เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ความจริงวันนั้นก็แปลก หลับไปได้เพียงแค่ ๑ ชั่วโมงเศษ ๆ ก็ตื่นขึ้น หลังจากตื่นแล้ว หมอให้น้ำเกลือเสร็จ หมอจรูญก็คุมให้น้ำเกลือแบบนี้

กลางคืนเธอก็ต้องอดหลับอดนอน ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม ก็พยายามอดหลับอดนอน จนกระทั่งให้น้ำเกลือเสร็จ ให้ยาฉันช่วยให้หลับ แล้วก็ฉีดยาให้หลับ มันก็ไม่ยอมหลับ เมื่อไม่ยอมหลับก็ไม่แปลกเป็นของธรรมดา หลับ หรือไม่หลับ เป็นเรื่องของร่างกาย แต่จิตใจของเรา จะหลับ หรือไม่หลับ ร่างกายจะหลับ หรือไม่หลับ จิตใจก็หลับไม่ได้

ฉะนั้น ในเมื่อมันไม่หลับก็ไม่ว่าอะไร ก็ภาวนาเรื่อยไป ภาวนาบ้าง พิจารณาบ้าง ถือว่าเป็นของธรรมดา ร่างกายจะเอาจริงเอาจังอะไรไม่ได้ ความไม่เที่ยงของมันตามปกติ ถ้ามันเที่ยงจริงถึงเวลามันต้องหลับ ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องกินยา ก็หลับ แต่นี่เขาฉีดยาให้ด้วย ฉีดยาให้หลับ กินยาให้หลับ มันก็ไม่หลับ

ขณะที่ไม่หลับก็เห็นคนมากมาย ก็ไม่ขอบอกว่ามีใครบ้าง เมื่อถึงเวลาประมาณสัก ตี ๔ ก็มีเสียงข้างซ้ายมือเรียกว่า “หลวงพ่อขอรับ ๆ” เป็นเสียงผู้ชาย แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป ไม่เห็นตัว ต่อมาอีกประเดี๋ยวเดียว มีความรู้สึกว่า มีคนนำฉัตรทองคำ ใหญ่มาก ฉัตรทองคำ ๓ ชั้น มาตั้ง แล้วก็ไป หลังจากนั้นก็มีคน ๔-๕ คน มายื้อแย่งฉัตรทองคำ จะนำฉัตรทองคำไป

แต่เสียงบนหัวนอน ตรงศีรษะพอดีขึ้นไป ตวาดบอก เฮ้ย! เสียงดังมาก คน ๔-๕ คนก็หายไป อาตมาก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร คำว่า เป็นอะไร ก็หมายความว่า ไม่รู้เรื่อง เป็นอะไรแน่ชัด ฉัตรทองคำมาจากไหนก็ไม่ทราบ ก็รวมความว่า หลังจากนั้นก็ภาวนาเรื่อย ๆ ไปอีก ต่อมา ก็มีฉัตรทองคำ ๕ ชั้น สวยงามมาก เป็นทองสวยมากแบบนั้นมาตั้งอีก ก็มีคน ๔-๕ คน จะมายกไปอีก ก็มีเสียงเดิมตวาดอีก พวกนั้นก็หายไป

ต่อมาเมื่อถึงเวลาเช้ามืด ใกล้จะ ๖ นาฬิกา ก็เห็นโยมผู้หญิง ความจริงโยมผู้หญิงท่านตายไปนานแล้ว
ท่านก็มาบอกว่า คุณคืนนี้ หลังจากที่คุณหลับไปแล้ว ๑ ชั่วโมง แล้วตื่นประมาณ ๓ ทุ่ม เพราะฉีดยาหลับตอนค่ำแล้ว ประมาณ ๒ ทุ่ม หลังจากนั้นหลับไม่ได้เพราะอะไร แต่คุณก็ไม่รำคาญเป็นการดีมาก คุณภาวนาบ้าง พิจารณาบ้าง นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นการป้องกันตัวอย่างดีที่สุด

วันนี้ก็มีท่านผู้มีคุณทั้งหลายคุ้มครองคุณมาก แต่ว่าคุณหลับไม่ได้ ถ้าหลับคุณจะเผลอ คนจะเผลอมีหลายอาการ คือ เวลาบริโภคอาหาร ถ่ายปัสสาวะ ถ่ายอุจจาระ เวลาใกล้หลับ หรือหลับ อย่างนี้นักไสยศาสตร์ทำได้

โยมท่านก็เลยบอกว่า วันนี้ตั้งแต่เวลา ๒ ยาม เป็นต้นมา นักไสยศาสตร์เขาทำคุณ เมื่อวานนี้ คนที่มันยืนข้างหน้าคุณ เขาตั้งใจทำคุณในเวลาที่ฉันภัตตาหาร เพราะเวลาฉันข้าว เป็นเวลาช่องว่าง ถ้าเขาทำได้ คุณลุกไม่ขึ้นหรอก ตายเวลานั้นแหละ เขาเอาอย่างแรง

แต่คุณก็ยังตายไม่ได้เพราะเทวดา กับพรหม พระท่านยังสงเคราะห์มาก ยังป้องกันอยู่และท่านก็บอกว่า คืนนี้ทั้งคืนเขาทำ แต่ว่าเวลารุ่งสว่างเขาจะเลิก เวลานี้ก็ยังทำอยู่ ท่านบอกว่าเวลานี้ยังทำอยู่ แต่ว่าคุณภาวนาไปบ้าง พิจารณาไปบ้าง ท่านผู้สงเคราะห์ ผู้เมตตา ช่วยป้องกันบ้าง ก็ปลอดภัย

วันรุ่งขึ้นก็มา ขึ้นไปที่รับแขก ก่อนจะไปก็มีความรู้สึกว่า นักไสยศาสตร์คงจะมาใหม่ จะมาดูผล แล้วก็ต้องการเพิ่มเติม แต่ว่าปรากฏว่า ขึ้นไปจริง ๆ แต่ก่อนจะไปก็มีความรู้สึกว่า ท่านให้ภาวนาคาถาบทนี้ ก็ภาวนาเรื่อย ๆ ไป พอขึ้นไปก็เจอะ ผู้หญิงอายุประมาณ ๔๐ ปี แต่ไม่แน่นอนนักว่าจะอายุเท่าไรแน่ รูปร่างท้วม ๆ ตามองไม่เหมือนชาวบ้าน

พอเห็นเข้าก็มีความรู้สึกทันทีว่า คนนี้เป็นนักไสยศาสตร์ จะมาเพิ่มเติม หรือดูผล เธอนั่งอยู่ตั้งแต่อาตมาลงไป บ่ายโมงเศษ ถึง บ่าย ๓ โมง คนอื่นกลับ เธอจึงกลับนั่นเป็นเรื่องไสยศาสตร์
พอตกกลางคืน เวลานอนภาวนา ก็เจอะท่านแม่ใหม่
ท่านบอกว่า ที่คุณเข้าใจนั่นถูกแล้ว คนนั้นเขามุ่งมาทำลายคุณ คือ ต้องการให้คุณดับไปเลย

ก็ไม่ได้ถามท่านอีกว่า ใครเขาใช้กันมา ใครเขาจ้างกันมา และคนคนนี้ก็ไม่เคยรู้จักหน้ากัน ไม่รู้ว่าเป็นศัตรูมาตั้งแต่เมื่อไร ต่อมาเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๒ เวลาประมาณบ่าย ๒ โมง กำลังรับแขกอยู่ ก็มีคนแต่งตัวเหมือนพระ ขาขวาไม่ค่อยจะดีนัก เดินโขยกเขยกนิดหน่อย ถือไม้เท้ารูปร่างลักษณะเหมือนงู มีกลด แล้วก็มีย่าม มีบาตร

พอขึ้นมาถึงที่รับแขก เข้าประตูมาหน่อย ก็หันหน้าไปทางวัตถุมงคล ยืนพนมมือ ปลุกเสกอยู่นาน ใช้เวลานานเกิน ๑๐ นาที แล้วก็หันหน้ามาทางอาตมา ยืนพนมมือ ยืนปลุกเสกอยู่นาน ไม่ใช่ไหว้ ใช้เวลาตั้ง ๑๐ นาทีกว่า ๆ มันไม่ใช่ไหว้กัน หลังจากนั้นก็เดินเข้ามา มีอะไรในมือ ลูกกลม ๆ คล้าย ๆ กับส้ม แต่ว่าโตกว่ามาก โตกว่าส้มกลาง ๆ มาก ถือมาด้วย

เวลากราบ ก็แหงนหน้า กราบลงไป ก็หมอบนาน ตามความรู้สึกของจิตว่า นักไสยศาสตร์มาในรูปของพระ ไม่ผิดหรอก ขอยืนยันว่าไม่ผิด ต่อมาเมื่อเขากราบเสร็จ กราบไม่เหมือนใครเขา
เขาก็ถามปัญหาอย่างหนึ่งว่า ผมจะทำงานอย่างหนึ่ง จะให้เสร็จในปี ๓๒, ๓๓, ๓๔ ภายใน ๓ ปีนี้ จะสำเร็จไหมครับ และจะสำเร็จปีไหน

พอเขาถามขึ้นมา ก็มีความรู้สึกว่า มันเป็นเคล็ดลับ ว่าเขาต้องการทำอาตมาให้มอดม้วยไปเลย ถ้าอาตมารับว่าปี ๓๒, ๓๓, ๓๔ ปีใดปีหนึ่งนี้ ได้วาจานั้นจะเปิดโอกาสให้แก่เขา
เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ก็คิดในใจว่า ไอ้หมอนี่กับเรา เป็นศัตรูกันมาตั้งแต่เมื่อไร
เลยถามว่า คุณถาม ผมไม่เข้าใจ ให้ถามใหม่

เธอก็ถามซ้ำว่า ผมมีงานอย่างหนึ่ง จะต้องการให้สำเร็จ ๓๒, ๓๓, ๓๔ จะสำเร็จปีไหนครับ
ถามบอกว่า งานอะไรของคุณ
เธอไม่ตอบ ผลที่สุดเห็นท่าเธอ เธอก็อ้างคนบางคนจากจังหวัดปทุมธานีใช้มาให้มาถาม
ก็มีความรู้สึกว่า คน ๒ คนนี้ร่วมมือกัน ถ้าอาตมาบอกว่าป่วยอยู่ เขาจะพอใจเพราะเขาคิดว่า ป่วยเพราะการกระทำของเขา

ก็จึงบอกว่า คุณ เวลานี้ผมกำลังป่วย ผมไม่ตอบอะไรคุณละ
พอบอกว่าป่วย เขายิ้ม เขาก็ลากลับ
เขาบอกว่า คนที่สั่งมา ถ้าเห็นว่าหลวงพ่อป่วย ไม่ให้รบกวน

◄ll กลับสู่สารบัญ


3
ข่าวดาวพระอังคาร


ก็รวมความว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่ข่าวพิเศษ มันเป็นของจริง แต่ว่าใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องของคนนั้น ตามใจชอบ ตอนนี้ก็มาอีกข่าวหนึ่ง ข่าวดาวพระอังคาร เป็นจดหมายนะ จะอ่านจดหมายให้ฟัง ตามจดหมายเขาบอกว่า

๒ ถนนเทศบาล ๓ อำเภอเมือง
จังหวัดจันทบุรี ๒๒๐๐๐
วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๓๒

กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูง
ความจริงผมยังไม่เคยรู้จักหลวงพ่อ ไม่เคยเห็นหน้าหลวงพ่อครับ แต่เคยอ่านประวัติหลวงพ่อปาน และคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานที่หลวงพ่อเขียน ถูกใจผมมาก เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๒ ที่ผ่านมานี้ ผมมาวัดท่าซุง ค้างอยู่ ๔ คืน ตั้งใจจะมากราบหลวงพ่อ ก็พอดีหลวงพ่อไปอเมริกา ก็ไม่ได้พบหลวงพ่อดังตั้งใจ

ผมได้ซื้อหนังสือมาหลายเล่ม และก็ได้อ่านเล่ม จุไรท่องเที่ยวดาวอังคาร ดวงดาวต่าง ๆ พออ่านจบแล้วก็พอดีมาพบหนังสือพิมพ์นี้ ลงเรื่องยานอวกาศโซเวียตนี้ ผมเห็นว่ามีประโยชน์ต่อหนังสือจุไรท่องเที่ยวดาวต่าง ๆ ผมได้ตัดหนังสือพิมพ์ให้หลวงพ่อดูด้วย หลวงพ่ออาจจะอ่านข่าวนี้แล้วก็ได้ ผมตั้งใจไว้ว่าจะมากราบหลวงพ่ออีก ตอนเข้าพรรษาที่จะถึงนี้

ท้ายนี้ขอให้หลวงพ่ออยู่วัดท่าซุงไปอีกนานเท่านาน
ด้วยความเคารพอย่างสูง
เท่ห์ ชินชัยกิจ

ทีนี้ที่มาเป็นข่าวเพราะว่า มันไปตรงกับนิทาน คือ นิทานเรื่องจุไรท่องดวงดาว แต่ความจริง มันไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องของฌาน ของญาณ ไม่ใช่รู้จริง เป็นการเล่านิทาน เป็นการแก้กลุ้มว่า เรื่องธัมมะธัมโมก็ทำมาเยอะแยะแล้ว เอาเรื่องเบา ๆ เรื่องเบา ๆ ก็คือ นิทาน

นิทานนี่จะเป็นเรื่องจริงไม่ได้ ความจริงก็ไม่รู้หรอก ดาวต่าง ๆ รู้ไม่ได้ ไม่เคยไป แต่ที่มาเล่าให้ฟังก็เดา ๆ แต่บางท่านก็แปลก ไปเชื่อเอาจริง เอาจังว่า เป็นของจริง อันนี้ห้ามกันไม่ได้ แต่ขอบอกตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เรื่องฌานสมาบัติ ไม่ใช่ญาณ ไม่ใช่รู้

เป็นเรื่องที่อาตมาเล่าขึ้นมา สร้างขึ้นมาเอง แต่บังเอิญมันก็ไปตรงเข้าเรื่องตรงเป็นอย่างไร ก็บอกว่า หนังสือพิมพ์ไทยรัฐเขาตัดมาให้นะ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ วันอาทิตย์ที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๒ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ที่เขาลงข่าวนี่นะ

เขาพาดหัวข้อว่า ยานอวกาศโซเวียต พบตัวอักษรเตือนภัยบนดาวอังคาร ทีนี้หนังสือตัวเล็กใส่แว่นตาแล้วก็มองไม่เห็น เอาแว่นขยาย ต้องขออภัย อ่านพลาดบ้าง อะไรบ้าง ข้อความก็มีอยู่ว่า นักวิทยาศาสตร์โซเวียตแถลงว่า ในขณะที่ยานอวกาศ โฟบอส ๒ ที่ขึ้นไปทำการสำรวจถ่ายภาพ และถ่ายรูปดาวอังคาร เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม นี้ ได้พบสัญญาณ เป็นตัวอักษรเตือนไว้บนผิวโล้นที่ไม่มีพืชพันธุ์ของดาวดวงนี้

ก่อนหน้าที่เครื่องยนต์ของยานอวกาศลำนี้จะหยุดทำงานอย่างลึกลับ (กุกกักบ้างก็ขออภัยนะ อ่านไม่ค่อยเห็น) ตัวอักษรที่เขียนไว้บนผิวดาวอังคาร บนหินแข็ง มีข้อความว่า จงไปเสีย ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อความเตือนชาวโลกเราโดยตรง แสดงว่ามีสิ่งที่มีชีวิต มีปัญญาอยู่บนดาวอังคาร

และสิ่งนี้มีการพิสูจน์ให้เห็น ดร.วิคเตอร์ ปอริชอฟ นักวิทยาศาสตร์กองทัพอากาศของโซเวียตแถลงต่อผู้สื่อข่าวในที่ประชุมหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่ ในกรุงมอสโคว์ เรายังไม่ทราบว่า ผู้ที่อยู่อาศัยบนดาวอังคารต้องการขัดขวางเราหรือว่าต้องการทำลายยานโฟบอส ๒ แต่สิ่งที่เรารู้ว่า เป็นการท้าทายต่อมนุษย์โลกเรา

ขณะนี้ ก่อนหน้าที่จะเปิดการสื่อสารกับพวกเขา และพบปะกับพวกเขา ดร.ปอริชอฟ กล่าวต่อไปว่า ข้อความบนผิวดาวอังคาร เป็นการเตือนอย่างแจ้งชัด ให้เราออกไปเสีย แต่สำหรับผมมีความมั่นใจว่า เรามีความสามารถติดต่อกับชาวดาวอังคารได้ และเราอาจจะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเขาได้ ถ้าหากเราสามารถส่งวิทยุติดต่อกับเขาได้

ก่อนที่เราจะขึ้นไปสำรวจ นักวิทยาศาสตร์ได้รายงานเรื่องนี้ให้นักวิทยาศาสตร์ค่ายตะวันตกได้รับทราบ และส่วนมากเห็นพ้องกันว่า ยานอวกาศโฟบอส ๒ ได้ค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของการสำรวจอวกาศ ก่อนหน้าที่เครื่องจะหยุดทำงานในวันนั้น รูปภาพที่ถ่ายส่งกลับมายังโลกก่อนที่เครื่องจะหยุดทำงานในวันนั้น ได้ปรากฏให้เห็นข้อความที่เขียนไว้บนผิวดาวอังคารอย่างชัดเจน

ข้อความดังกล่าวเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า จงไปเสีย หรือ ไปให้พ้น มีความยาวครึ่งไมล์ และกว้าง ๗๕ หลา ตัวอักษรนี้สลักไว้บนหินแข็งอย่างถาวร และดูเหมือนจะสลักไว้ด้วยเครื่องมือที่ใช้แสงเลเซอร์ ดร.ปอริชอฟ กล่าว ไม่เหมือนกับหินผิวดาวอังคารที่ยานอวกาศ ไวกิ้ง ของสหรัฐฯ ถ่ายไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙

หินที่เห็นใหม่นี้เป็นหินเก่ามาก และถูกลมกัดกร่อน ข้อความที่เขียนไว้แสดงว่า ยังเขียนได้ไม่นานนัก นักวิทยาศาสตร์กองทัพอากาศโซเวียตแถลงต่อ ผมอยากจะคิดว่า การที่มีข้อความเตือนอย่างนี้ คงเนื่องจากที่เราส่งยานอวกาศไปสำรวจดวงดาวนี้มากขึ้น คนที่อยู่บนดวงดาวนพเคราะห์ดวงนี้ ไม่ต้องการให้มนุษย์โลกไปยุ่งเกี่ยวกับดวงดาวของเขา

ตอนนี้ไม่อยากจะกล่าวหาใคร แต่ก็เป็นที่แน่ชัดว่า คนบนดวงดาวอังคารสามารถทำลายยานอวกาศโฟบอสได้ ดร.ปอริชอฟปฏิเสธที่จะพูด ถึงโซเวียตมีแผนการที่จะติดต่อกับดวงดาวอังคารอย่างไร แต่เขาก็แสดงท่าทีให้เห็นว่า โซเวียตได้เริ่มแผนงานนี้แล้ว และมีนักอวกาศจากทั่วโลกหลายสิบคนได้เสนอที่จะร่วมงานกับโซเวียตนี้ด้วย

ก็เป็นอันว่า เวลาก็เหลืออีกนิดหนึ่ง ก็ขอสรุปว่า เรื่องดวงดาวอังคารนี้บรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน มันเป็นเรื่องที่มีการบังเอิญจริง ๆ บังเอิญที่จะมาพบกันกับเรื่องของจุไรท่องดวงดาว แต่ความจริงเรื่องจุไรเป็นเรื่องนิทานชัด ๆ ในบางตอนจะเห็นว่า อย่างดาวพระศุกร์ นักวิทยาศาสตร์เขาว่าร้อน แต่เรื่องของจุไรก็บอกว่า ตอนหนึ่งร้อน ตอนหนึ่งอุ่น ตอนหนึ่งเย็น นี่มันค้านกัน

ก็แสดงว่าเป็นเรื่องนิทาน อย่าถือเป็นฌาน เป็นญาณนะ เป็นอันว่า ถ้าบังเอิญไปตรง อย่าเรียกบังเอิญ ไปตรงเข้าจริง ๆ แต่เป็นข้อสันนิษฐานว่า ชาวดาวอังคารเขาคงไม่มีเวลาจะมาเรียนภาษาอังกฤษ แต่ทีนี้บังเอิญคนที่เขียนบนโลกดาวอังคารนี้ เขียนภาษาอังกฤษ

ก็แปลกใจเหมือนกันว่า คนที่นั่นจะพูดภาษาอังกฤษ และใครพูดภาษาอังกฤษ หรือรู้ภาษาอังกฤษ เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เรื่องข่าว ๆ เละ ๆ เทะ ๆ ก็จบลงไปเพราะว่าเวลาหมดแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแก่พุทธศาสนิกชนผู้อ่านผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ


4
ไปอเมริกา


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้คงเป็นวันเดียวกัน คือวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๒ (หลวงพ่อไอ) คอก็ยังไม่ดีมาก ตอนนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทอยากฟัง อยากอ่านเรื่อง ไปอเมริกา ไปอเมริกาปีนี้ ไปวันที่ ๑๖ กลับวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๒

คณะที่ไปก็คือ พระสุธรรมยานเถระ, พระวิรัช, พระสมพงษ์, คุณแสงโสม, คุณพรนุช, คุณบุศพร, คุณศิริพร, คุณอัญเชิญ, คุณอัญชัน, คุณวิวัฒน์, คุณปรีชา, คุณปรุง, พล.ต.ท.สมศักดิ์ สืบสงวน, คุณทนง (หัวหน้าทัวร์), คุณโชติวุฒิ, คุณเดือนฉาย รวม ๑๖ คนด้วยกัน อ่านรวด เพราะว่าชื่อคน โดยมากมักจะรำคาญกัน

ทีนี้การไปอเมริกา ทำไมจึงไปปีนี้ ที่ไปเพราะว่า เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ ไปมาแล้ว ลูกหลานก็สงเคราะห์มาดี ได้สตางค์มาช่วยพระพุทธศาสนา ช่วยการศึกษานักเรียนดีมาก ให้กันมาเยอะ แต่การไป บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไม่ได้มุ่งไปเอาสตางค์ มุ่งอย่างเดียว สงเคราะห์ในการปฏิบัติพระกรรมฐาน และศีลธรรม

แต่เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ ที่ไปมันจะตาย ก่อนหน้าจะไป ๑ วัน ท้องถ่ายเป็นน้ำโกร๊ก ๑๒ เที่ยว ๑๒ ครั้ง รุ่งขึ้นต้องเดินทาง แต่ตัดสินใจว่า สัจจะ ต้องเป็น สัจจะ ในเมื่อมันจะตายก็เชิญตาย ก็ดีใจที่หมอแสงโสมช่วยตลอดเวลากับหมอจรูญ หมอแสงโสมไปด้วย ก็ขณะที่เดินทางไป ความจริงไปตอนนั้นก็ไม่ไกลมาก ไป ๑๗ ชั่วโมง ถึงชิคาโก แต่ปีนี้ไป ๓๑ ชั่วโมง ถึงเวอร์จิเนีย

เมื่อไปถึงชิคาโก ปี พ.ศ.๒๕๓๐ มันจะตาย อาการเครียดมาก ท้องอืด ให้น้ำเกลือแล้วก็ไม่ยอม ฉีดยาแล้วก็ไม่ลด ท้องไม่ถ่ายเอาน้ำล้างท้องใส่เข้าไป น้ำมันไม่ยอมออก ก็ต้องใช้ขันติอย่างหนัก ก็ได้แต่เวลาเจริญกรรมฐาน พบกับญาติโยมพุทธบริษัทบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มากนัก

กำลังเสียงปีนั้น ได้กำลังเสียง ดร.ปริญญา ช่วยพูดเยอะ และก็มีนักบุญหลายคนไปช่วยกันสอนกรรมฐาน แต่ก็ดีใจที่บรรดาลูกหลานทุกคนมุ่งมั่นปฏิบัติกรรมฐานจริง ๆ และหลาย ๆ คน ที่มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ ทุกคนรู้จักพระพุทธเจ้า รู้จักพระธรรม รู้จักพระอริยสงฆ์ รู้จักพรหม รู้จักเทวดา ดีใจมาก

และก็ต่อมาปีนั้นมาถึงเดนเวอร์ อาการยังหนักอยู่ มาคลายตัวตอนถึง L.A. เพราะขี้พังออกมา ขี้พังออกมาบนโรงแรมเขาเสียด้วย มันยุ่ง ๆ และปีนี้ก็สัญญากันไว้ว่าจะไป อาการป่วยปีนั้นถึงปีนี้มันยังไม่หาย ก็จะไปโทษว่าไปป่วยที่อเมริกามานั้น ไม่ถูก มันป่วยไปจากประเทศไทย

พอกลับมาก็อาการหนักมาก ก็มีหมอจรูญ หมอมนตรี หมอชนะ หมอวัฒนะ แล้วก็ หมอปุ๊ หมอเสริฐ หมอแสงโสม แล้วก็อีก ๒-๓ หมอ จำชื่อไม่ได้ รวมไว้ ๗ หมอ รุมกินโต๊ะกัน รวมกันรักษา ค่อย ๆ คลายตัวมา ๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ อาการดีขึ้นมาก แต่ว่าบางส่วนไม่ดี

มาไปเที่ยวนี้ พอกลับมาก็พูดไม่ออกเป็นโรคที่คอ ทางท้องเบาไป พูดไม่ออก เสมหะเต็มคอ มาวันนี้ที่พูด ก็ยังมีเสมหะอยู่ ก็คลายตัวไปนิดหน่อย รวมความว่า การไปและการมาเที่ยวนี้ คิดว่า ผีไทยไปไว้ที่อเมริกา มันก็ไม่อยู่ เล่าเรื่องโฉบหน้ากันแล้ว ต่อไปก็คุยถึงการเดินทาง

การเดินทาง ตามหมายกำหนดการเขาบอกว่า วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๓๒ กรุงเทพฯ โตเกียว ฮาวาย วันอาทิตย์ (เขาบอกวันที่หรือเปล่า) เวลา ๒๑.๐๐ น. พร้อมกันที่สนามบินดอนเมือง เคาน์เตอร์สายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ เคาน์เตอร์กรุ๊ป ๘

เวลา ๒๓.๐๐ น. เดินทางจากกรุงเทพฯ โดยเครื่อง U.A. ๘๒๒ สู่สนามบินนาริตะ ญี่ปุ่น ต่อเครื่อง ยังไม่ต่อ เอาแค่นี้ก่อน เขาว่าอย่างนั้นนะ เวลาไปจริง ๆ เวลาดูเหมือนจะเนิ่นไปอีกครึ่งชั่วโมง ไป ๕ ทุ่มครึ่งเครื่องจึงบิน แล้วก็เดินทางต่อไป

ทีนี้ก็มาฟุ้งถึงเรื่องตอนที่จะไปก่อน อาการทางร่างกายมันก็ไม่ดี ไอ้เรื่องป่วยนี้ก็ไม่น่าจะพูดกันนะ แต่ไม่พูดมันก็ไม่ได้ความจริง ท้อแท้ใจคิดว่าจะไม่ไป ไปหรือไม่ไป ตัดสินมา ๒ เดือน แต่พอดีพบกับพระท่าน ท่านบอกว่า ไปได้ลูกเอ๊ย ไปได้ พ่อขอยืนยันว่าไปร่างกายจะดีขึ้น เพราะได้ความเย็น ร่างกายของเธอต้องการความเย็น มันจะดีขึ้น อาการจะไม่เครียดเหมือนก่อน แต่อาการไข้จะมีบ้าง

ในเมื่อถึง ชิคาโก จะเริ่มมีไข้หวัด พอถึง เดนเวอร์ คอจะพูดไม่ออก ฉะนั้น เดนเวอร์ คุณหาที่พักสงัด หมายความว่า ไม่ต้องรับแขก รับกันไม่ไหว รับจริง ๆ จัง ๆ ก็ไม่ได้ แต่ว่าพอออกจาก เดนเวอร์อาการจะคลายตัว ถึง L.A. อาการจะคลายตัวดีขึ้น แล้วก็เดินทางกลับ เมื่อเดินทางกลับมาอาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้น

แต่ว่าเรื่องของทางคอ เราไม่ต้องหวัง ทางคอ กับทางท้อง ทางท้องดีบ้าง ทางคอจะหนักขึ้น เมื่อเห็นพระท่านยืนยัน พระท่านเป็นหมอ ท่านยืนยันอย่างนี้ก็ยินดีไป เต็มใจไป ทีนี้เรื่องไปถึงไม่ต้องพูดกัน ค่อย ๆ พูดกันทีละหน่อยดีกว่า หลังจากก่อนขึ้นเครื่องบิน หมอจรูญ หมอมนตรี แสงโสม ชนะ หมอวัฒนะ ใครบ้าง หมอปุ๊ ก็รุมกินโต๊ะ ร่างกายกันอีกว่ากันเต็มที่ น้ำเกลือเตรียมไป ๘ ถุง

ก็เลยบอกว่า นี่คุณเอ๋ย หมอ ไปที่อเมริกา หรือไปต่างประเทศคราวนี้ ไม่ต้องให้น้ำเกลือมาก ไม่เหมือนคราวก่อน คราวก่อนให้กินเกือบทุกวันมันก็จะตาย คราวนี้พระท่านบอกว่า ร่างกายจะดีขึ้น เอาไปแค่ ๔ ถุงก็แล้วกัน

ก็เป็นอันว่า เอาไปแค่ ๔ ถุง ไม่ได้ให้น้ำเกลือปีนี้ เที่ยวนี้นะ ขณะที่นั่งเครื่องบินไป จะขอนั่งชั้น ๑ เขาก็ไม่มีชั้น ๑ ถ้าถามว่า เอาสตางค์ที่ไหนมานั่งเครื่องบิน ก็บอกว่า บรรดาญาติโยมลูกหลานในกรุงเทพฯ และนอกกรุงเทพฯนี่ ทางปัตตานีก็เยอะ ส่งสตางค์มาให้สงเคราะห์ค่าเครื่องบิน ทั้งอาตมา ทั้งพระ เหลือนิดหน่อย ขอขอบคุณ ขอขอบคุณทุกคนนะ

ดูเหมือนจะเหลือสัก ๓ หมื่น หรือ ๖ หมื่น ไม่ทราบ ลงธัมมวิโมกข์ไปแล้ว จำไม่ได้ ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็ไม่ได้เก็บเข้ากระเป๋า เอาเข้าวัดหมด ก่อสร้างหมด
ทีนี้พอนั่งเครื่องบินไป นั่งไปชั้นธุรกิจ ร่างกายของคนที่มันไม่ดีอยู่แล้ว ไอ้ความแก่มันก็ไม่เป็นเรื่อง มันก็แก่ ทีนี้นอกจากแก่ ร่างกายมันก็ป่วย มันก็รวนเร

ถ้าถามออกจากกรุงเทพฯ เวลา ๕ ทุ่มครึ่ง เขาบอกว่า ถึงสนามบินนาริตะ พักผ่อน จะเป็นเวลา ๖ นาฬิกา ๕๕ นาที ๖ นาฬิกาญี่ปุ่น ก็ประมาณสัก ตี ๔ ของเรา เมื่อนั่งไปอย่างนั้น มันจะหลับไม่ได้ ที่หลับได้จริง คือ พระสมพงษ์รูปร่างหน้าตาแกคล้าย ๆ เยอรมัน ก็เรียก ไอ้เยอรมัน ไอ้เยอรมันนี่หลับตลอดเวลา จะหลับแทนได้ทุกคน

อาตมากับวิรัชนี้ไม่ค่อยจะหลับเอา ไม่มีเวลาหลับก็แล้วกัน จะได้ก็เคลิ้มไปนิด ๆ หน่อย ๆ เคลิ้มไปก็ฝันส่งเดช ก็ฝันเรื่อยเฉื่อยไป นั่งไปบ้าง ภาวนาไปบ้าง พิจารณาไปบ้าง เพราะมันปวดมันเมื่อย และร่างกายก็ไม่เป็นเรื่อง

ก็คิดในใจอย่างหนึ่งว่า ไอ้เครื่องบินบริษัทนี้ ยูไนเต็ดแอร์ไลน์นี่ พ.ศ. ๓๒ นี่มันเกิดอุบัติเหตุ ๒ ครั้ง ครั้งหลังดูเหมือนว่า เอาคนลงทะเลไป ไอ้คนพวกนั้นเหาะจากอากาศ ลงทะเลไป ๘ หรือ ๙ คน จำไม่ได้ ไม่รู้กี่คน

ทีนี้ก็นึกในใจว่า เวลานี้เรากำลังนั่งโลงผีเหาะได้ คือ เราพร้อมกับทุกคนในเครื่องบินนี้ จะเป็นผีเมื่อไรก็ไม่ทราบ ก็รวมความว่า นั่งนึกถึงความตายตลอดเวลา เที่ยวนี้แปลกกว่าทุกเที่ยว ทุกเที่ยวนึกบ้าง ไม่นึกบ้าง

แต่ก็นึกในใจว่า ถ้าตายพร้อมกันคราวนี้ เราก็เป็นคนมีโชคดี เพราะว่า มีเพื่อนตายเยอะ จะตายตั้งหลายร้อยคน สักกี่ร้อยคนก็ไม่ทราบ ที่นั่งก็เครียดเอนได้นิดหน่อย ไม่เหมือนนั่งชั้น ๑ แต่ความจริง สตางค์น่ะ ญาติโยมลูกหลานให้ไป พอนั่งชั้น ๑ มันเหลือตั้ง ๖ หมื่น แต่ว่าบังเอิญ เขาไม่มีที่ให้นั่ง เที่ยวต่อไป ถ้าไม่มีชั้น ๑ นั่งก็ไม่ไปแล้ว

มันเครียดมันจะจ่ายมากไปหน่อย นี่มันถูกหน่อย ไม่คุ้มค่าเลย ทรมานร่างกายมาก เมื่อนั่งไปมันไม่หลับ ก็สะลืมสะลือเรื่อย ๆ ไป ภาวนาบ้าง พิจารณาบ้าง แต่ไม่กลุ้มแฮะ มันกลุ้มไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า มันมีความจำเป็นจำกัด ที่เท่านั้น จะกลุ้มไปไหน เดินก็เดินไม่ได้ ที่มันคับแคบ เดินไปก็คิดว่า พระ มันจะรุ่มร่ามเกินไป

ในที่สุด เครื่องบินบินผ่านไปใช้เวลา ถ้าดูเวลาในประเทศไทย ก็จะเป็นเวลาประมาณ ตี ๒ ประมาณตี ๒ มันก็เคลิ้ม ๆ ไป เคลิ้มไปนิด ก็สะดุ้งตัวตื่น เคลิ้มไปนิด ก็สะดุ้งตัวตื่น อาการเคลิ้มอย่างนี้ มันก็เกิดมีอาการความฝัน เขาเรียกว่า นิมิต ไอ้ความฝันนี้

บรรดาท่านพุทธบริษัท การเห็นอะไรจากความฝันนี่ มันถือเอาเป็นสาระไม่ได้ แล้วก็ทบทวนไม่ได้ ที่จะพูดต่อไปนี้ ให้เข้าใจว่า อย่าเข้าใจว่าเป็นฌาน หรือเป็นญาณนะ ไม่ใช่ เป็นอาการเคลิ้ม มีอาการจิตตกวูบไป ขาดความรู้สึกภายนอกเล็กน้อย ก็เหมือนกับคนครึ่งหลับครึ่งตื่น มันก็เกิดมีอาการความฝัน

ในเวลานั้น เป็นภาพคนมากมายรอบ ๆ เครื่องบิน ห่างออกไปก็เยอะ แน่นหนามาก สวยมาก รวมความว่า ทุกคนสวยหมด เหมือนกับเป็นการห้อมล้อมเครื่องบิน ทั้งข้างล่าง ทั้งข้างบน เห็นชัดเจนมาก อย่าลืมนะว่า ฝันนะ

และในขณะเดียวกัน แต่ทุก ๆ ท่านก็เห็นสวย ๆ ท่านอยู่ห่าง ๆ นะ ห่างเครื่องบินไปประมาณสัก ๑๐ ฟุต รอบ ๆ แล้วก็เป็นชั้น ๆ เยอะ หน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอาการสดชื่น
หลังจากนั้นก็มีภาพคน ๒ คน โผล่ขึ้นใกล้ ๆ คนที่นั่งข้างหน้า คนนั้นนั่ง รูปร่างลักษณะทรวดทรงดี หน้าตาดี แต่คนข้างหลังยืน เป็นลักษณะคนสูง ๆ สูงเพรียว

ตามความรู้สึกเวลานั้นว่า คนนั่งข้างหน้าคือ เจ้าชายโกโนเย แล้วคนที่ยืนข้างหลัง คือ นายพลโตโจ อาจจะเป็นพลเอกก็ได้นะ เมื่อความรู้สึกขณะนั้น ความรู้สึกก็บอกว่า เจ้าชายโกโนเย เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ก่อนคุณโตโจเป็นนายกฯ และในช่วงนั้น ถูกโลกบีบคั้น เขาเรียก บอยคอต

มันแปลว่าอะไรก็ไม่ทราบ ไอ้ภาษาพรรณนี้ไม่รู้เรื่อง เรียกว่า ชาวโลกบีบคั้น ญี่ปุ่นกำลังตัดสินใจเข้าสงครามหรือไม่เข้า เข้าหรือไม่เข้า ๆ ตัดสินใจอยู่แบบนี้
เป็นอันว่า สมัยเจ้าชายโกโนเย ญี่ปุ่นพร้อมจะเข้าสงคราม เป็นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ต่อมา จะเป็นเพราะเหตุอะไร จะเป็นหมดอายุสมัยเจ้าชายโกโนเย หรือว่าจะลาออก หรือใครจะให้ออก สภาไม่ไว้วางใจ อาตมาก็ไม่ทราบทั้งหมด

เป็นอันว่า เจ้าชายโกโนเยออกจากตำแหน่งนายกฯ นายพลเอกอาจจะเป็นพลเอกก็ได้นะ ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยนะ นายพลโตโจขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ระหว่างนั้นเยอรมันกับอิตาลี รบกับสหประชาชาติแล้ว ขณะนั้นเอง โตโจขึ้นมาได้ไม่เท่าไร ก็ประกาศสงครามกับอังกฤษ ประกาศกับใครบ้างก็ไม่ทราบ ประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นฝ่ายอักษะ

เวลานั้นมี ๒ ฝ่าย ฝ่ายอักษะมี ๓ ประเทศ มีเยอรมัน เป็นแกน อิตาลี แล้วก็ญี่ปุ่น นอกจากนั้นเป็นฝ่าย สัมพันธมิตร เมื่อนายพลโตโจประกาศสงคราม ญี่ปุ่นก็เข้าสงคราม ทิ้งตอนนี้ไว้ก่อน
ตอนนั้นเมื่อมีความรู้สึกว่า คนหลังคือ นายพลโตโจ คนหน้าคือ เจ้าชายโกโนเย ในเวลาฝัน

ก็ถามว่า คุณชื่ออะไร
ความจริงจะถามคนหน้า แต่ว่าคนหลังตอบว่า ผมคือนายพลโตโจครับ เป็นนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น
ท่านคนหน้าก็บอกว่า ผมคือ เจ้าชายโกโนเย

อันนี้ ถ้าไม่ตรงประวัติศาสตร์ ก็ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทขออภัยด้วยนะ เพราะว่า ไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์ตอนนี้ เวลานั้นอ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ไม่ได้อ่านบ้าง เวลาสงครามมันกะพร่องกะแพร่งเต็มที สำหรับเจ้าชายโกโนเยนี่ ไม่ได้สงสัย เพราะท่านไม่ได้ประกาศสงคราม ไม่ได้เข้าสงคราม

สำหรับท่านโตโจนี่มีความรู้สึกว่า ท่านสั่งทหารรบ ทหารของท่านก็ต้องตาย และทหารของคนอื่นก็ต้องตาย การรบ ญี่ปุ่นบุกหนักจริง ๆ เวลานั้นบุกแบบสายฟ้าแลบ คล้ายเยอรมัน ทุ่มเทกำลังมาก ตอนนี้ของดไว้ก่อน ในเมื่อคนตายมาก ๆ อย่างนั้น ก็แสดงว่า ท่านโตโจก็ต้องบาป

จึงถามท่านโตโจว่า ท่าน ในเมื่อท่านเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น สั่งทหารให้รบ ถือว่าท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ ทหารฆ่าใครกี่คน ท่านต้องบาปด้วย และทหารทุกคนที่ตายไป ท่านต้องบาปด้วย เขาพลัดพรากจากพ่อ จากแม่ จากลูก จากเมียจากบ้าน จากช่อง จากความสุข ท่านก็ต้องบาป แล้วเวลานี้ ท่านมายืนอยู่ที่นี่ แล้วท่านไม่ได้ลงนรกหรือ

คนที่มายืนที่นี่แสดงว่า ไม่ได้ลงนรก ท่านบาปขนาดนี้ ทำไมจึงไม่ลงนรก
เมื่อถามแล้ว นายพลโตโจก็ยิ้มก็เลยบอกว่า ท่านขอรับ ผมจะเล่าให้ฟัง เมื่อท่านพูดถึงบาปผมก็ยอมรับ เพราะว่าประเทศญี่ปุ่นนับถือพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าจะมีนิกายต่างกัน เป็นมหายานก็ตาม แต่ก็มีบุญ มีบาป มีสวรรค์ มีนรกเหมือนกันหมด

แต่ว่าฝ่ายมหายานหนักไปทางด้านพระโพธิสัตว์ หวังเป็นครูสอนศาสนา ทีนี้ผมทำแบบนั้น ผมก็ต้องบาป การทำให้คนตายต้องบาป สั่งให้คนไปตายต้องบาป สั่งให้คนไปฆ่าคนต้องบาป แต่ว่าที่ผมไม่ตกนรกเพราะอย่างนี้ ผมรู้วันตายครับ ก็เลยตกใจ

คนรู้วันตายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต้องเป็นคนที่มีกำลังฌาน กำลังญาณกล้าเป็นพิเศษ เข้มแข็งมาก จึงรู้วันตาย
แต่ว่าโตโจท่านเป็นนักรบ ท่านอาจจะมีฌาน มีญาณก็ได้
ก็ถามท่านต่อไป ก็ถามว่า ท่านรู้วันตาย หมายความว่าอย่างไร

ท่านบอกว่า ในเมื่อผมเป็น อาชญากรสงคราม สหประชาชาติเขาสั่งให้ผมตาย ผมก็ต้องตาย แต่ว่าผมจะไม่ตายด้วยการทำ ฮาราคิรี คือ ไม่ได้ฆ่าตัวตาย เขาสั่งฆ่าผม วันที่เขาจะฆ่าผมผมรู้วันล่วงหน้า คำว่า รู้ล่วงหน้า คือรู้คำสั่งของเขาว่า ผมจะต้องตายวันนั้นใน

เมื่อผมจะต้องตายจริง ๆ ที่พึ่งของผมไม่มี บิดามารดา ก็ช่วยผมไม่ได้ บุตรภรรยาก็ช่วยไม่ได้ ญาติมิตรสหายพี่น้องก็ช่วยไม่ได้ ทรัพย์สินต่าง ๆ ช่วยไม่ได้ ตำแหน่งหน้าที่ช่วยไม่ได้ ไม่มีอะไรจะคุ้มความตายได้ ผมต้องตายแน่ ฉะนั้นสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งของผมก็คือ พระ ผมอาศัยพระ นึกถึงพระ คือ พระพุทธเจ้า กับพระที่เคยเป็นครูบาอาจารย์ผม

ก็นั่งนึกว่า ผมต้องตายแน่ ร่างกายนี้มันต้องตาย แต่จิตใจของชาวญี่ปุ่น พระญี่ปุ่นก็สอนกันว่า มีสวรรค์เป็นที่ไป มีนรกเป็นที่ไป สำหรับคนทำดี หรือทำไม่ดี เวลานี้ในเมื่อผมจะตาย ผมนึกถึงพระ ผมทำความดี เพราะผมมีความเคารพพระ การที่ผมต้องรบผมก็มีความจำเป็นต้องรบ เพราะผมไม่รบ ผมเหลือน้ำมันที่จะต้องใช้อีก ๒ เดือนก็หมด

ประเทศญี่ปุ่นถ้าขาดน้ำมันก็เจ๊ง ไปไม่รอด เพราะเป็นประเทศอุตสาหกรรม ก็มีความจำเป็นต้องรบ เพื่อทรงตัวรอด เพราะตัวเอง จึงสั่งประกาศสงครามกับฝ่ายข้าศึก แล้วก็ลงมือรบกัน ฉะนั้นในเมื่อขณะที่ผมจะตาย วันที่ผมจะตาย ผมนึกถึงพระ นึกถึงพ่อ ถึงแม่ นึกถึงใครต่อใครเสร็จ ก็รวบรวมกำลังใจว่าขอให้พระช่วยไปสวรรค์ แล้วเขาก็ลงมือฆ่าผม ผมก็ตาย ผมก็ไปตามใจผมนึก ผมจึงไม่ตกนรก

แล้วแกก็ไม่ได้บอกว่า แกไปสวรรค์ เขาบอกว่า เป็นไปตามใจผมนึก แต่ผมก็ไม่ตกนรกนี่เป็นสำนวนของผีเมื่อพูดเท่านี้ ๒ ผีก็หายไป ต่อไปก็มีความรู้สึกตัวขึ้นมา มันเคลิ้ม ๆ หลังจากเคลิ้ม ตื่นขึ้นมา รวบรวมกำลังใจใหม่ อยากจะพบ ๒ คนนี้ใหม่ ไม่มีแล้ว

อาการอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่อาการของฌาน ไม่ใช่อาการของญาณ อย่าไปนึกว่า อาตมารู้อย่างนี้ได้ เป็นผู้วิเศษ อันนี้ไม่จริง ไม่ใช่เป็นเรื่องวิเศษวิโส เป็นของธรรมดา ๆ มาก นี่เป็นอาการของความเคลิ้มผัน ถ้าเรื่องของฌาน เรื่องของญาณ จะดึงเรื่องกลับมาได้ อยากจะถามว่า การประกาศสงครามของแก ตีไปถึงไหน เสียกำลังพลเท่าไร ใช้ทรัพย์ใช้จ่ายเท่าไร ถามไม่ได้แล้ว

ก็รวมความว่า ๒ ผีหายไป เป็นแต่เพียงนึกในใจว่า ขอทั้ง ๒ ท่าน ที่อุตส่าห์มาเยี่ยม เวลาเข้าไปเขตประเทศญี่ปุ่น ก็ขอให้มีความคล่องตัว ทีนี้เมื่อพูดกันมาถึงตอนนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็น่าจะคุยกันสักนิด อาจจะคุยมากหน่อย เข้าประเทศญี่ปุ่นเสียก่อนดีกว่า

เป็นอันว่าหลังจากนั้นมา เปิดหน้าต่าง คือเปิดหน้าต่างเครื่องบิน แต่ข้างนอกเขามีพลาสติก เลื่อนหน้าต่างขึ้น เห็นแสงสว่างทางประเทศญี่ปุ่น แล้วเครื่องบินเคลื่อนไปอีกครู่เดียว ก็เห็นแสงเงินขึ้น แล้วเห็นแสงทองขึ้น หยิบนาฬิกามาดู เห็นเวลาประเทศไทยตี ๔ แต่ประเทศญี่ปุ่นก็ ๖ น. พอดี

เป็นอันว่า เครื่องลงที่ประเทศญี่ปุ่น ที่สนามบินนาริตะ แล้วก็ไปนั่งที่ประเทศญี่ปุ่น คุณทนงเป็นหัวหน้าทัวร์ คุณทนงนี่ดีมาก ทำให้คนทุกคนนี่ไม่เหงา แต่ความจริงก็เห็นใจคุณทนง เพราะว่าตัวเองจะลำบากยากแค้นขนาดไหนก็ตาม คุณทนงก็แสดงอาการร่าเริง หาเรื่องคุยสนุกสนานมาคุยกัน เล่าเรื่องโน้น เล่าเรื่องนี้

เอ..สงสัยเหมือนกันนะ ที่คุณทนงเล่ามาทั้งหมดนี้ จริงทั้งหมดหรือว่า เขาเรียกอะไรดี เอาโกหกบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ นี่ล้อกันเล่นนะ แต่ความจริง เรื่องที่คุณทนงพูด มักจะดึงประวัติศาสตร์มาพูด แต่ความจริง ถ้าไปไหนคุยประวัติศาสตร์ไปด้วยจะดีมาก เอ้..เวลาเหลือประมาณ ๓ นาที ๔ นาที ก็คุยเปะปะไปก่อน

จะคุยเรื่องสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งไม่ค่อยจะรู้อะไรนัก จะรู้เป็นตอน ๆ เท่าที่ตนประสบมา ก็ไม่ใช่ประสบอย่างทหาร เป็นชาวบ้าน เป็นชาววัด ก็เอาไว้กันคาสเซทหน้า หรือตอนหน้า ตอนนี้เล่าไปก็นิดเดียว รำคาญเปล่า ๆ ก็เป็นอันว่า นั่งเครื่องบินเรื่อย ๆ ไป เข้าใกล้ประเทศญี่ปุ่น เริ่มเห็นสนามบินก็นึกในใจว่า เวลานี้เราจะเดินไหว หรือไม่ไหว ก็บอกคุณวิรัช คุณวิรัชนั่งคุมข้าง ๆ กับคุณสมพงษ์

แต่คุณวิรัชเป็นหน้าที่ปฏิบัติตรง รู้สึกว่า พระวิรัชนี่ไม่ได้หลับเลยเหมือนกัน ขยับตัวทุกครั้ง พระวิรัชรู้หมด ก็บอกคุณวิรัช บอก ใกล้ถึงสนามบินแล้ว เข้าส้วมกันดีไหม การเข้าส้วม ความจริงต้องการอยากจะซ้อมเดิน ลุกจะไหวไหม ลุกขึ้นขาก็แข็ง ก็เดินยันหน้ายันหลัง มันก็คล้าย ๆ จะล้มแต่ไม่เป็นไร เพราะยังไม่ล้ม ก็เข้าในห้องส้วม มันก็ถ่ายบ้าง ไม่ถ่ายบ้าง นิด ๆ หน่อย ๆ พอเป็นธรรมเนียม

หลังจากออกมาจากห้องส้วม ก็ถึงสนามบิน เครื่องก็วนแล้วก็ลง ลงแล้วก็เข้าสนามบิน ญี่ปุ่นก็ตรวจตามระเบียบ ตามระเบียบของญี่ปุ่น ในเมื่อเข้าไปนั่งในที่ชานชลาที่เขาให้นั่งสำหรับคนโดยสารพัก ตอนนี้ก็คือว่าอยู่ในขอบรั้วของญี่ปุ่น เข้าข้างในไม่ได้ เวลาที่จะเดินทางต่อไปมันเป็นเวลา ๑๑ น. เวลา ๖ น. ๕๕ นาที ก็เหลือเวลาอีกมาก

คุณทนงก็หาทางทำวีซ่า จะเข้าไปข้างใน เข้าไปเที่ยว ผลที่สุดเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นที่สนามบินว่าอย่างไรทราบไหม มัน ๖ โมงนี่หาคนก็ยาก เมื่อคุณทนงเข้าไปขออนุญาตแก แกบอกว่า อย่าเข้าไปเลย คนแน่นมาก จะออกมาไม่ทันเครื่องบิน แกไม่ให้เข้า ก็รวมความว่า ญี่ปุ่นก็ต้องเป็นญี่ปุ่น เป็นอันว่าเข้าประเทศญี่ปุ่น เข้าถึงชายรั้วนิดเดียว แล้วก็มีขอบเขตสั้น ๆ เดินไปเดินมาอยู่ไม่กี่ฟุตหรอก อย่างมากก็สัก ๒๐ เมตร เห็นจะขนาดนั้นแหละ

บริเวณนั้นมีตลาดจ๋อง ๆ ขายของนิดเดียว ไปดูของแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เห็ดหอม ไม่ทราบว่าเห็นจะเป็นกิโล เป็นหมื่น ๆ ราคาเป็นหมื่นเยน เป็นอันว่า ไทยก็ตาปรือ
รวมความว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านวันนี้ อ้าว...สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน และผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 5/3/11 at 15:06 [ QUOTE ]


5
สงครามโลกครั้งที่ ๒


ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๓๒ ก็จะคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัทต่อไป สำหรับเสียง บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ขอได้โปรดให้อภัยเพราะคอยังเจ็บมาก และก็มีความจำเป็นต้องพูดและก็ต้องทำ ก็เพราะว่าใช้เสียงให้บรรดาท่านที่มีกำลังช่วยกันคัดลอกมาเป็นตัวหนังสือ

วันนี้ก็ขอปรารภเรื่องไปนั่งที่สนามบินญี่ปุ่น หรือที่เรียกกันว่า ท่าอากาศยานของญี่ปุ่น ตอนนี้ก็ต้องนั่งกันตั้งแต่ ๖ โมง ๕๕ นาทีของญี่ปุ่น ถ้าประเทศไทยก็ตี ๔ กับ ๕๕ นาที นั่งไปถึง ๑๑ โมงของญี่ปุ่น คือต้องนั่งอยู่ที่ญี่ปุ่นและขึ้นเครื่องบินต่อไป

ก็รวมความว่า ตอนเช้าคุณทนงผู้จัดการทัวร์ คุณทนงนี้ดีมาก มีความสามารถเป็นพิเศษ สามารถสร้างความบันเทิงได้ตลอดเวลา จะเป็นเวลาตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนค่ำ ตอนกลางคืนก็ตาม ถ้าพบคุณทนงก็เป็นอันว่าพวกเราไม่เหงา รู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสถานที่ ก็รวมว่ารู้เกือบทุกอย่าง

แต่ว่าสำหรับคุณทนงนี้ความจริงน่าเห็นใจเหนื่อยมาก แต่ก็ดีที่เราได้หัวหน้าทัวร์ประเภทนี้ สร้างความไม่เหงาให้เกิดขึ้น ขณะที่นั่งอยู่ที่ท่าอากาศยาน ในตอนต้นได้พูดมาแล้วว่า คุณทนงต้องการให้เข้าไปเที่ยวในเขตของญี่ปุ่น แต่ก็ไปเจอะญี่ปุ่นที่มีความแน่นอนอย่างญี่ปุ่น ไม่ยอมให้เข้าไป แกอ้างเหตุผลง่าย ๆ ว่าข้างในคนแน่นมาก ถ้าเข้าไปอาจมาต่อเครื่องบินไม่ทัน เท่านี้ก็หมดเรื่อง

รวมความว่าในตอนเช้าคนญี่ปุ่นก็ขี้เกียจเหมือนกัน หลังจากนั้นก็มานั่งที่ท่าอากาศยาน เดินมาเดินไป เดินไปเดินมา นั่งบ้าง เดินบ้าง ขณะที่นั่งอยู่ก็มีคุณหมอสมศักดิ์ คือ พล.ต.ท.สมศักดิ์ สืบสงวน อดีตแพทย์ใหญ่กรมตำรวจ คนนี้อยู่ไม่ถึงเกษียณ อายุ ๕๕ ก็ลาออก เปิดทางให้ลูกน้องขึ้นมาบ้าง แล้วก็ ปรีชา พึ่งแสง นี่เป็นช่างภาพ นอกจากนั้นก็มี พรนุช คืนคงดีบ้าง อัญเชิญบ้าง อัญชันบ้าง ใครต่อใครบ้าง พากันเดินไปเดินมา

อัญเชิญไปเจอะเห็ดหอมเข้า ราคาเป็นหมื่นเยน ถอยหลังกรูด ก็รวมความว่าของญี่ปุ่นเราซื้อกันไม่ได้ ไม่ใช่ของญี่ปุ่นแพงเกินไป แต่ว่าเรามีสตางค์ไม่พอ หลังจากนั้นมาก็มีโอกาสนั่งเงียบ ๆ นั่งคุยกันไปกับหมอสมศักดิ์ จนกระทั่งไม่มีโอกาสจะคุย ไม่มีเรื่องจะคุย ก็นั่งเงียบ ๆ

เมื่อนั่งเงียบ ๆ ก็มานึกถึง สงครามโลกครั้งที่ ๒ ว่า ญี่ปุ่นก็เป็นประเทศหนึ่งที่ร่วมกับอักษะ อักษะ เขาแปลว่าอะไรก็ไม่ทราบ แต่รวมกันเป็น ๓ ประเทศ มีเยอรมัน เป็นต้น มีอิตาลี เป็นที่ ๒ มีญี่ปุ่น เป็นที่ ๓ เยอรมันกับอิตาลีทำสงครามกับอังกฤษกับฝรั่งเศสมาแล้ว เรียกว่า ฝ่ายหนึ่งเกือบทั้งโลกรวมกัน

แต่ว่า เยอรมันกับอิตาลี ๒ ประเทศ ต่อมาญี่ปุ่นก็ประกาศสงคราม เรื่องที่ญี่ปุ่นประกาศสงคราม ก็จะพูดทิ้งไว้ก่อน ก็มานั่งนึกถึงท่านนายกรัฐมนตรีคือ ผีนายก ๒ ผี ผีคนแรก คือ เจ้าชายโกโนเย คนนี้ระหว่างที่เป็นนายกฯ อยู่ไม่กล้าตัดสินใจ หรือสภาไม่ลงมติให้ทำการรบ พอเจ้าชายโกโนเยพ้นตำแหน่งจากนายกรัฐมนตรีไปแล้ว

นายพลโตโจ อาจจะเป็น พลเอกโตโจ ก็ได้นะ ก็เข้าไปเป็นนายกแทน คนนี้ตัดสินใจเข้าสงคราม สงครามของญี่ปุ่นอาจจะเข้าปี พ.ศ. เท่าไรก็จำไม่ได้มานึกออกก็แต่เพียงว่า ระหว่างนั้น ประเทศไทยทำสงครามอินโดจีน คือ ทำสงครามกับฝรั่งเศสเวลานั้น ฝรั่งเศสแพ้เยอรมันแล้ว เยอรมันยึดปารีส แต่ฝรั่งเศสมี นายพลเปแตงส์ เป็นนายกฯ ก็มายึดวิสชีสน์ เป็นที่ทำการของฝรั่งเศส

แต่ก็ต้องยอมศิโรราบกับเยอรมัน เยอรมันยึดเข้ามาถึงปารีส ตามข่าวว่าการตีทัพของเยอรมันเวลานั้น ตีแบบสายฟ้าแลบ ก็ฟังวิทยุบ้าง อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง หนังสือพิมพ์ก็ไม่ได้อ่านทุกวัน เพราะไม่มีสตางค์จะซื้อ ต้องขอเขาอ่าน ใครเขามีก็ขอเขาอ่านบ้าง หลาย ๆ วันจะอ่านสักครั้ง แต่วิทยุฟังเกือบทุกวัน แต่ก็ฟังทุกเวลาไม่ได้ เพราะเป็นเวลาเรียนหนังสือ กำลังเรียนบาลี

ก็รวมความว่ารู้บ้าง ไม่รู้บ้าง เป็นอันว่าจำ พ.ศ. กันไม่ได้แน่ว่า ญี่ปุ่นประกาศสงคราม พ.ศ. เท่าไร มาคิดเดา ๆ เอานะ เดา ๆ ว่า ญี่ปุ่นเข้าสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๔ ถูก หรือไม่ถูก ก็ไม่ทราบ แต่ว่าญี่ปุ่นเข้าผ่านประเทศไทยไป พ.ศ.๒๔๘๔ หรืออาจจะเป็นต้น พ.ศ.๒๔๘๔ ก็ได้ เป็นอันว่า เรื่อง พ.ศ.จำกันไม่ได้ เวลาพูดมันนึกขึ้นมานะ ไม่มีหนังสือจะอ่าน มันนานมาแล้ว

จำได้ตอนหนึ่งว่า ตอนที่ญี่ปุ่นยังไม่ขอผ่านประเทศไทย เวลานั้นไทยเรารบกับอินโดจีนฝรั่งเศส อันดับแรกไทยเราขอดินแดนฝรั่งเศส ๔ จังหวัด มีพระตะบอง พนมเปญ ศรีโสภณ มงคลบุรี มงคลบุรีเดิมเขาเรียกจังหวัดอะไรก็จำไม่ได้ แต่ จอมพลแปลก ตอนยึดได้ จอมพลแปลกท่านให้เรียกว่า มงคลบุรี

แต่ว่าทางฝรั่งเศสให้เกาะกลางแม่น้ำโขงแทน ความจริงตอนนั้น ไทยคงจะคิดว่าฝรั่งเศสแพ้เยอรมัน เวลานี้ฝรั่งเศสเมืองแม่คงไม่มีกำลังส่งมาอินโดจีน เราเห็นว่ากำลังที่อินโดจีนน้อยกว่าเราเลยหาเรื่องขออย่างนั้นละมั้ง นี่เป็นการคิดเอาเองนะ ไม่ขอยอมรับว่าจริงหรือไม่จริง

ในเมื่อขอ เขาไม่ให้ เราก็จะตีกับเขา แต่ทหารของฝรั่งเศสเวลานั้น ก็น่าเกลียดมาก แกคงจะเยาะเย้ยเห็นว่าประเทศไทย หนึ่ง แกคงมีความรู้สึกว่าประเทศไทยจะสร้างอาวุธเองไม่ค่อยจะได้ อาจจะได้บ้าง เช่นปืนเล็กยาว หรือปืนกลเบา ปืนกลเบานี่เคยเห็น ค.ส. แปลว่าทำจากคลังแสง นอกจากนั้นเราต้องซื้อ แม้แต่ปืนเล็กยาวเราก็ซื้อ

ลูกกระสุนทำได้ จากกระสุนปืนใหญ่ ถึงปืนเล็ก เราทำได้หมด จากลูกระเบิดลงมาเราทำได้แล้ว แต่ว่าตัวปืนเราต้องซื้อ เขาอาจจะรู้กำลังว่า เรามีอาวุธเท่าไร มีอะไรบ้าง เขาอาจจะมีเหนือกว่า ทั้ง ๆ ที่เขาถูกยึดประเทศเมืองแม่ แต่กำลังส่วนนี้ไม่ได้ถูกยึดไปด้วย ทหารของฝรั่งเศส

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทหารโมร็อคโคนี่หยาบคายมาก แกก็ยั่วเย้าฝั่งโน้น แก้ผ้าแอ่นหน้าแอ่นหลังให้บ้าง อะไรบ้าง เป็นต้น พี่ไทยก็โกรธ เป็นอันว่า ยิงข้ามโขงกันไป ยิงข้ามโขงกันมา ยังไม่รบกัน
ต่อมาในกรุงเทพฯ ก็มีการเดินขบวน ประชาชนตั้งใจเดินขบวนเอง หรือว่าใครแนะนำให้เดินขบวนก็ไม่ทราบ รถเดินขบวนมีมาก คนเดินขบวนมีมาก

แต่ชอบใจอยู่คันเดียวคือ รถแก่ รถเก่ามาก แต่คนนั่งเป็นคนแก่ทั้งหมด เขียนข้าง ๆ ว่า ถึงว่าแก่ก็ต้องการจะรบ ก็รวมความว่าคนไทยเก่ง แก่ก็ยังเก่ง ขณะที่ทำการรบกับอินโดจีน เข้าใจว่าหนังสือประวัติศาสตร์คงจะเขียนไว้แล้ว เวลานั้นทหารไทยเราแสดงความสามารถเป็นกรณีพิเศษ รู้สึกว่าเก่ง เก่งมาก รุกทุกวัน นักบินก็เก่ง ทหารบกก็เก่ง ทหารเรือก็เก่ง ตำรวจก็เก่ง คนไทยที่อยู่ใกล้แนวรบก็เก่ง คนไทยหลังแนวรบก็เก่ง

ทั้งนี้เพราะอะไร คนไทยหลังแนวรบ ไม่รู้ว่าเขารบกันยังไง ไม่เคยเห็นการรบ ไม่เคยเข้าสู่สงคราม แต่เอาวาตะพืด เอาเข้าไป ๆ เก่ง แกเก่งแต่ปากหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ ก็รวมความว่า เวลานั้นเราเก่งกันทั้งประเทศ พูดถึงว่าความเดือดร้อนภายหลังไม่ค่อยจะมี พวกแนวหลังไม่ค่อยจะมีการเดือดร้อนนัก เพราะมีความเป็นอยู่ปกติ แต่ว่าแนวหน้าเขาก็มีความลำบาก

จะไม่พูดถึงเรื่องแนวหน้า เพราะไม่รู้จริง คือว่าการรบเวลานั้น เรารบกี่วันก็ไม่ทราบ การเสียชีวิตน้อยจริง ๆ รบกันเป็นเดือน ไม่ใช่เป็นวัน แล้วก็ค่อย ๆ รุกไปทีละหน่อย ๆ แล้วต่อมา การรุกของเราก็ยังไปไม่มาก รุกแบบช้า ๆ และความเป็นมา จะเป็นเพราะอะไรไม่ทราบ เวลานั้นยังไม่มีลูกระเบิด ยังไม่มีไอ้ลูกระเบิดดักหน้า ยังไม่มีวางไว้ แต่ว่าจะมีก็ขวากหนาม แต่ว่ารุกไม่ยาก

ต่อมาไม่ช้าไม่นานนักก็ปรากฏว่า ทหารของญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ ฮานอย เป็นเมืองหลวงของญวน ญวนเวลานั้นยังเป็นของฝรั่งเศสอยู่ ญวน ลาว เขมรเป็นของฝรั่งเศสหมด ทั้งญวนเหนือ ญวนใต้ แต่ญี่ปุ่นยกกำลังพลขึ้นที่ภาคเหนือของฝรั่งเศส คือที่ ฮานอย ตอนขึ้นที่แรกเขาก็ไม่ได้บอกว่า เขาจะยึดญวนเป็นทาส เป็นอันว่าขึ้นแบบง่าย ๆ ไม่มีการรู้ตัวกันมาก่อน

แล้วหลังจากนั้นเขาก็ยังไม่ปลดอาวุธทหารญวน ต่างคนต่างอยู่อิสระ ญวนคิดว่าญี่ปุ่นเป็นเพื่อน ต่อไปไม่ช้าไม่นานนัก ญวนอาจจะขัดคอญี่ปุ่น ญี่ปุ่นสั่งปลดอาวุธทหารญวนทั้งหมด ก็รวมความว่า ญวนเหนือทั้งหมดเป็นของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีอำนาจครอบครองญวนเหนือทั้งหมด แต่ความจริงไม่ยอมก็ไม่ได้ เขายกพลขึ้นบก แสดงว่า แพ้แล้ว เขาขึ้นมาได้

ต่อมาญี่ปุ่นก็แจ้งให้ทราบว่า ทั้งสองฝ่ายควรจะหยุดการรบ อาตมาก็จำวันที่ จำเดือนไม่ได้ จำได้แต่เพียงว่า ถ้าถึงวันนั้น ถึงเวลา ๔ โมงเช้า ขอให้ทั้งสองฝ่ายหยุดการรบ ใครยึดพื้นที่ที่ใดได้ ตรงนั้นถือว่าเป็นของคนนั้น ไม่ต้องไปเถียงกันว่า ที่ของฉันตรงนี้ ที่ของแกตรงนั้น

เป็นอันว่า เวลานั้นไทยเราได้เปรียบ เพราะทางด้านฝรั่งเศสไม่ยึดที่ของเราได้เลย แต่ว่าเรายึดพื้นที่ของฝรั่งเศสได้เยอะ รวมความว่าเมื่อเวลาเขาสั่งประกาศว่า วันรุ่งขึ้นเวลา ๔ โมงเช้า สมมุติเอาว่าเมื่อถึงวันพรุ่งนี้ ๔ โมงเช้า ยุติการรบทั้งสองฝ่าย

เวลานั้นแม่ทัพของเรามี ๓ คนคือ พันเอกหลวงพรหมโยธี ยศเวลานั้น แล้วก็ พันเอกหลวงเสรีเรืองฤทธิ์ พันเอกหลวงพิชิตสงคราม จำได้ ใช่หรือไม่ใช่ ก็ไม่รู้ รวมความว่ามี ๓ พันเอกเป็นแม่ทัพ เมื่อเขาประกาศว่า วันรุ่งขึ้นจะต้องยุติการรบ เวลา ๔ โมงเช้า กองทัพของหลวง...นี่นึกชื่อไม่ออก เคยนึกได้อยู่เสมอ

เอ้า...พิชิตสงครามไปก่อนก็แล้วกัน ความจริงไม่ใช่ นึกไม่ออก อยู่ทางด้านปลายทางจำปาศักดิ์ คืนนั้นตีทหารลาวลงน้ำไปเลย ยึดพื้นที่ฝั่งโขงแนวนั้นได้ทั้งหมด นี่แสดงว่า ไทยเก่ง ก็รวมความว่า รุ่งขึ้นก็ยุติสงครามกัน ถึงเวลา ๔ โมงเช้าเราได้เปรียบ ขอเล่าย่อ ๆ นะเพราะเหตุการณ์จริง ๆ ไม่ทราบ

รวมความว่า เวลานั้นญี่ปุ่นกับไทย จอมพลแปลกท่านก็ประกาศว่า ญี่ปุ่นกับไทยเป็นมหามิตร เป็นมิตรใหญ่ เป็นเพื่อนที่รัก แต่ว่าในหนังสือบางตอนของทำเนียบนายกฯ ได้อ่านพบว่า ทหารที่ลาดตระเวนชายแดนไม่ใช่ทหารลาว ทหารเขมร เป็นทหารญี่ปุ่น พลตรีหลวงพิบูลสงคราม เวลานั้นท่านเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วย

ท่านก็ปรารภมาว่า ไอ้เรานี่คบเอาศัตรูเข้าไว้ เป็นญี่ปุ่น ตอนนั้นญี่ปุ่นยังไม่ทำอะไร ท่านก็สั่งตั้งปืนที่ปราจีนบุรี ตั้งปืนใหญ่ คิดว่ายังไง ๆ ญี่ปุ่นถ้าลาดตระเวนแบบนี้ คงหาทางลาดเลาเข้าตีกันแน่ และในที่สุดถ้าอาตมาจำไม่ผิด วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๘๔ เป็นวันฉลองรัฐธรรมนูญ วันนั้นเวลาตี ๒ ญี่ปุ่นขึ้นทั่วประเทศไทย ขึ้นประเทศไทยด้วย ขึ้นฟิลิปปินส์ด้วย ขึ้นอินโดนีเซียด้วย

แต่ยังไม่เข้าทางสิงคโปร์ เพราะคงจะเกรงเรือรบขนาดหนักของสิงคโปร์ ประเทศไทย ขึ้นตั้งแต่ใต้ ยันตะวันออกทั้งหมด เขาขึ้นพร้อมกัน ทหารไทย ยุวชน ทหารของไทย ก็สู้อย่างนักรบจริง ๆ นักรบชาติไทยสู้ไม่ถอย ยุวชนทหาร ก็หมายความว่า นักเรียนที่ฝึกวิชาทหาร

เวลานี้ไม่มีแล้วเวลานี้เป็น รักษาดินแดน เมื่อก่อนเขาเรียก ยุวชน แต่งตัวโก้ ๆ สวย ๆ ฝึกวิชาทหาร เด็กกำลังรุ่นหนุ่ม กำลังสู้ ช่วยทหารอย่างเด็ดเดี่ยว เก่งมาก อันนี้ก็ขอผ่านไป
จะเล่าเรื่องตอนหนึ่งของหนังสือฉบับหนึ่งที่อาตมาอ่าน นาน ๆ จะอ่านกับเขาสักที ก็มีคนเขามาให้อ่าน เขาบอกว่า ทูตญี่ปุ่นเข้ามาหารัฐบาล ต้องการพบนายกรัฐมนตรี คือ พลตรีหลวงพิบูลสงคราม เวลานั้นท่าน นายกฯ ไปดูที่ตั้งปืนที่ปราจีนบุรี ทูตไม่พบเขาก็ต้องรอพบ เขาต้องวิทยุเรียกท่านมา

ทูตญี่ปุ่นก็บอกว่า ญี่ปุ่นต้องการขออนุญาตผ่านประเทศไทย เข้าไปตีพม่า ตีอินเดีย ท่านนายกฯ ก็บอก ยังอนุญาตไม่ได้ เพราะว่าต้องประชุมรัฐมนตรีก่อน แต่ความจริงก็ต้องประชุมสภาด้วยละมั้ง เป็นอันว่า ยังตกลงกันไม่ได้ เจรจากันไป เจรจากันมา อาตมายังไม่พูดถึงตอนนี้
จนกระทั่ง ท่านนายกฯ เรียกคณะรัฐมนตรีเข้าไปประชุมกัน เวลาใกล้ตี ๒ เข้ามา ขอสรุป หนังสือเล่มนั้นยาวมาก เขียนยาวมาก ญี่ปุ่นก็บอกว่า ขอให้ตกลงเร็ว ๆ เพราะเวลาตี ๒ จะเข้าพร้อมกัน ท่านนายกฯ ก็บอกว่า ยับยั้งไว้ก่อน อย่าเข้ามา จะมีการปะทะกันขึ้น ในที่สุดเป็นอันว่าอนุญาต หรือไม่อนุญาตก็ไม่ทราบ ถึงเวลาทหารญี่ปุ่นก็ขึ้นตามเวลาพร้อมกัน

ว่าขึ้นที่ ฮ่องกงด้วย ที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียด้วย ที่ไทยด้วย ทุกจุดพร้อมกันหมด การขึ้นของเขารบแบบสายฟ้าแลบ แบบเยอรมัน และทุ่มเทกำลังอย่างหนัก คงจะรบกันอยู่นาน ถึงเวลา ๔ โมงเช้า ทราบภายหลังว่า เวลา ๔ โมงเช้าได้รับอนุมัติจากนายกฯ คณะรัฐมนตรีอนุญาตให้ผ่านได้

เป็นอันว่า เวลานั้นไทยเราไม่ได้แพ้ แต่เราอนุญาตให้ญี่ปุ่นผ่านไปตีพม่า ไปตีอินเดีย ตีมาเลเซีย เลยคิดในใจว่า หนังสือเล่มนั้นว่า นายกฯ ถามทางทหารว่า ญี่ปุ่นขอผ่าน เราไม่ยอมให้ผ่าน เราจะสู้ได้ไหม ทางทหารญี่ปุ่นหนักหนามาก เราสู้ไม่ได้ มีความจำเป็นต้องให้ผ่าน ถ้าไม่ผ่าน สงครามกลายเป็นแพ้ชนะกัน ถ้าผ่านก็ถือว่าอนุญาต


แต่ว่าเวลาก่อนหน้านั้น หลังจากรบอินโดจีนเสร็จ ทางกองโฆษณาของรัฐบาล ไม่ทราบว่าใครเขาโฆษณาว่า ต่อไปนี้ ถ้ามีภัยอะไรเกิดขึ้น เราจะสู้ทุกคน ไม่ยอมถอย หมายความว่า คนไทยทุกคนต้องรบ จนตายเป็นคนสุดท้ายจึงเลิกรบ เพราะมันไม่เหลือ เวลานั้นประชาชนทั้งหลายก็คิดอย่างนั้น อาตมาเองก็ยังเป็นเด็กอยู่ เป็นหนุ่มแล้ว เป็นพระหนุ่มก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันว่า เราต้องสู้เป็นคนสุดท้าย ตีเป็นคนสุดท้ายหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

แต่เอาจริงเอาจัง ปะทะกันไม่กี่ชั่วโมง รัฐบาลยอมให้ผ่าน แต่ก็ไม่ใช่ยอมแพ้ก็ใช้ได้ ถือว่าเป็นมิตรร่วมกัน เราให้ญี่ปุ่นผ่าน ให้ญี่ปุ่นมาตั้งภายในประเทศ แล้วเราก็ขายปลาให้ญี่ปุ่น ขายข้าวให้ญี่ปุ่น ขายหมู ญี่ปุ่นชอบกินมาก เพราะทหารญี่ปุ่นที่เข้ามาอดอยากมาก มีอะไรมีแต่หน่อไม้บ้าง มีผักบ้าง

แค่ปลาทูตัวหนึ่ง เณร ๆ บิณฑบาตมาได้แล้วก็ไม่กินละ เอาปลาทูไปให้ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็ให้ปลาทูตัวละบาท เวลานั้นก๋วยเตี๋ยวชามละประมาณ ๕ สตางค์ หรือบางจุดก็ ๒ ชาม ๕ สตางค์ ได้ค่าปลาทูตัวละบาทนี่ เณรชอบ ใช้ได้ไปหลายวัน เอากล้วยน้ำหว้าหวีหนึ่ง ญี่ปุ่นก็ให้หวีละบาท

เป็นอันว่าบรรดาเณรเล็ก ๆ บิณฑบาตมาได้ก็ไม่พยายามกินกับ กินกับที่เป็นแกงบ้าง เป็นต้มบ้าง เป็นผัดบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่โยมให้มากับข้าว ถ้าส่วนใดที่เป็นปลาทู ปลาชิ้น หมูชิ้น หรือว่าเป็น กล้วยหอม กล้วยน้ำหว้า เณรเอาไปสงเคราะห์ญี่ปุ่นหมด ญี่ปุ่นก็ตอบสนองด้วยเงินบาท บาท ๆ เณรรวยเป็นแถว ๆ

ก็เป็นอันว่า เล่าความจริงเมื่อทหารญี่ปุ่นเข้า หลังจากทหารญี่ปุ่นเข้าแล้ว ทหารญี่ปุ่นก็มีดีหลายอย่าง อันดับแรกที่เห็นก็คือ ทหารญี่ปุ่นโกนหัว ไม่ต้องเสียเวลาตัด ทุกคนโกนหัวหมด และประการที่สอง เวลาอาบน้ำทหารญี่ปุ่นไม่ต้องใช้ผ้าเตี่ยว ไม่ต้องใช้ผ้าขาวม้า แก้ผ้าอาบน้ำ สะดวกมาก ก็รวมความว่า ทหารญี่ปุ่น ทหารไทย มีลีลาต่างกัน นี่เรื่องของทหารญี่ปุ่น

ทีนี้เมื่อพูดถึงทหารญี่ปุ่นแล้วจะรำคาญเกินไป เขามาตั้งกองทัพที่ไหนไม่ทราบ หลังวันนั้น วันที่อนุญาตให้ญี่ปุ่นผ่านได้ ก็ปรากฏว่า เครื่องบินญี่ปุ่นลงที่ดอนเมือง มีระเบิดพร้อม มาเป็นแถว ๆ กำลังพลทางบกมาทางรถยนต์ ปักธงชาติไทยญี่ปุ่นร่วมกันหน้ารถ คือ ธงไทยด้านหนึ่ง ธงญี่ปุ่นด้านหนึ่ง ก็ไม่ทราบว่า ธงใครด้านไหน เข้ามา เป็นแถวเป็นแนว

ทุกคนตกตะลึง ญี่ปุ่นเข้ามาได้อย่างไร รัฐบาลยังไม่ได้ประกาศให้ประชาชนทราบ หรือประกาศก็ไม่ทราบ เวลานั้นวิทยุ แหม...ฟังยาก มันต้องใช้ถ่านกระบะใหญ่ ๆ ถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ ใช้ไฟฟ้าก็ดี แต่ในกรุงเทพฯ ก็ใช้ถ่านกระบะกันเยอะ ก็ไม่ได้ฟังวิทยุ ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ ก็ไม่ทราบว่า รัฐบาลอนุญาต หรือไม่อนุญาต

ต่างคนต่างตะลึงตกใจ สำนักข้าราชการบางจุด ปรากฏว่าข้าราชการเผลอ ลืมทำงาน มองทหารญี่ปุ่นกัน ก็มีเรื่องน่าคิดอยู่ตอนหนึ่ง หลังจากการรบอินโดจีนเสร็จ รัฐบาลระดมกำลังทหารถึงอายุ ๓๒ ก็ ๑๐ รุ่น ๑๐ รุ่นเวลาปล่อยกลับทั้งหมด ให้มีเครื่องแบบติดตัวไปทั้งหมด เหมือนกับรัฐบาลจะรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

ถ้าระดมทีหลังจริง ๆ ไม่ต้องจ่ายเครื่องแบบก็ได้ เมื่อหลังญี่ปุ่นเข้า ผ่านประเทศไทย เวลานั้นอาตมาไปสถานีรถไฟบางกอกน้อย รถไฟทุกขบวนมีทหารนั่งมาเต็ม แต่งเครื่องแบบเป็นแถว แต่ความจริง เป็นทหารระดม ที่เขาส่งกลับไปบ้าน แล้วก็ให้เครื่องแบบไปด้วย ก็เป็นอันว่ารัฐบาลก็พร้อมอยู่เสมอ

เป็นอันว่า วันนี้บรรดาพุทธบริษัท เป็นการเริ่มต้น สงครามโลกครั้งที่ ๒ กัน ในเมื่อญี่ปุ่นเข้าประเทศไทยแล้ว ก็ไม่ทราบ ไอ้การอยู่วัดบรรดาพุทธบริษัท ก็ไม่รู้อะไรจริง ตอนเช้าเห็นเครื่องบินญี่ปุ่น หมู่ใหญ่มาก ขึ้นติด ๆ กันเป็นหมู่ ใหญ่มาก ไปโจมตีที่พม่าส่วนหนึ่ง แล้วก็อีกส่วนหนึ่ง ก็ไปทางด้านสิงคโปร์ แบ่งซีกกันไป

แต่เครื่องบินญี่ปุ่นไม่ไปอย่างเครื่องบินไทย อย่างเครื่องบินไทยไปโจมตีข้าศึก บางทีไปเครื่องเดียวบ้าง ๒ เครื่องบ้าง อย่างสมัยอินโดจีน อย่างเก่งก็ส่งไป ๒ เครื่องไปทิ้งระเบิด แล้วก็มีเครื่องบินขับไล่ติดตามไป ๒ เครื่อง อย่างนี้เป็นต้น

แต่ของญี่ปุ่นเขาไม่ส่งไปอย่างนั้น ส่งเป็นสิบ ระลอกหนึ่งส่งเป็น ๑๐ เครื่อง แล้วก็ส่งไปติด ๆ กัน ประมาณสัก ๑๐ นาที ส่งไปอีกชุดหนึ่ง ๑๐ นาทีเศษ ๆ ส่งไปอีกชุดหนึ่ง เป็นอันว่า เครื่องบินญี่ปุ่นบินทั้งวัน ไปโจมตีพม่าบ้าง ไปโจมตีสิงคโปร์บ้าง จะเป็นด้านสิงคโปร์หรือมาเลเซียก็ไม่ทราบ ไปทางนั้นก็แล้วกัน

ก็รวมความว่า เราก็นั่งดูเครื่องบินญี่ปุ่นกัน ต่างคน ต่างก็ชื่นชมว่า ญี่ปุ่นเก่ง ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าเรายังไม่เห็นความสามารถของข้าศึกตรงกันข้าม
ต่อมาประเทศไทยก็ประกาศสงครามบริเทนใหญ่ กับอังกฤษฝ่ายหนึ่ง แล้วก็อเมริกาอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ต้องประกาศสงครามกับฝรั่งเศสเพราะฝรั่งเศสถูกเยอรมันยึดไปหมดแล้ว

ก็รวมความว่า ประเทศไทยก็เข้าเป็นภาคีสงครามของอักษะประเทศ คือ หนึ่งเยอรมันเป็นเริ่มต้น สองอิตาลี สามญี่ปุ่น สี่ประเทศไทย แต่ฝ่ายโน้นเขาเป็นสัมพันธมิตร เขาร่วมกันทั้งโลก ใครจะสู้ใครได้ บรรดาท่านพุทธบริษัทยังฟังกันไม่ได้ เพราะลีลาในระหว่างสงครามตอนหลังสงครามอินโดจีน คนแนวหลังไม่เดือดร้อน

แต่ว่าสงครามโลก ครั้งที่ ๒ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทมันระทมใจจริง ๆ ในกรุงเทพฯ อาหารก็ต้องปันส่วน ทุกอย่างก็ต้องปันส่วน ไฟก็ต้องพรางเครื่องบินมาทิ้งระเบิด บ้านนอกก็ไม่มีผ้าจะนุ่ง บ้านนอกในกรุงเทพฯอยู่ในสภาพเดียวกัน ผ้าจะนุ่งก็ไม่ค่อยจะมี

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับวันนี้ เทปนี้ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้เพราะสัญญาณบอกเวลาหมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ


6
สงครามโลกครั้งที่ ๒ (ต่อ)


สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็ให้ชื่อว่า สงครามโลก ครั้งที่ ๒ เพราะตอนก่อนเป็นสงครามระหว่างญี่ปุ่นยกขึ้นอินโดจีน และเป็นสงครามอินโดจีน ก่อนจะพูดเรื่องอื่นก็ต้องขออภัยบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่แล้วมาหน้าโน้นนึกชื่อแม่ทัพที่สามไม่ออก แม่ทัพที่ทำสงครามอินโดจีนมีอย่างนี้ ที่ถูกต้อง

หนึ่ง พันเอกหลวงพรหมโยธี ทัพที่หนึ่ง และก็
ทัพที่สอง พันเอกหลวงเสรีเรืองฤทธิ์
แม่ทัพที่สาม พันเอกหลวงเกรียงศักดิ์พิชิต เมื่อกี้นี้พลาดไป

เป็นอันว่า เรื่องนี้ผ่านไป ก็มาคุยกันเรื่องสงคราม ในเมื่อประเทศไทยประกาศสงครามร่วมกับฝ่าย อักษะ กองทัพไทยก็ยกไปทาง เชียงตุง เขาแบ่งภาคไปทางโน้นการตีพม่าทางเชียงตุง ถึงด้านจีนเป็นของไม่ยาก จำได้ไม่หมด รู้ข่าวแว่ว ๆ ว่ากำลังที่ยกไปเวลานั้น ๓ กองพล คือ

กองพลที่ ๑ ทางกรุงเทพฯ
กองพลที่ ๒ นครราชสีมา และก็
กองพลที่ ๓ ที่พิษณุโลก ใช่ หรือไม่ใช่ อาจจะไม่ถูกต้องนัก ทราบว่า ไป ๓ กองพล

กำลังเท่านี้หรือเปล่าไม่ทราบ แต่เวลารบมากกว่าปกติ ยกไปตีทางด้านเชียงตุง เขาตีกันแบบไหน มีความยากลำบากเพียงใด ก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะไม่ได้ร่วมรบกับเขา พูดไปก็ผิด แต่เรื่องที่น่าคิดอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า เวลานั้นไม่มีเครื่องฮอ เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ส่งอาหารน่ะไม่มี และปืนที่ยิง ก็ใช้ปืนเล็กยาวดังก๊อกแก๊ก ๆ ตูม ไม่ยิงพรืด ๆ แบบนี้

ปืนยิงเร็วก็มี ปืนกลหนัก ปืนกลเบา ปืนกลหนักก็แบกไปไม่ไหวก็ตั้งอยู่กับที่ ปืนกลเบาก็แบกยาก ความจริงที่มีความสำคัญ คือ ด้านอาหาร บางทีญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่เป็นแนวหลังไม่เคยเข้าสงคราม ไม่ทราบ อาตมาเองก็บวชพระ ก็ไม่เคยเข้าสงครามเหมือนกัน แต่ว่าเคยเห็นทหาร ตำรวจในสงครามมีความลำบากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องอาหาร

ถ้าหน่วยส่งกำลังบำรุงเขานำส่งอาหารทันก็ดีไป ถ้าส่งไม่ทัน ก็หิว กินที่ไหน ไอ้ข้าวในหม้อมันก็ไม่มีจะแห้ง จะขอใครที่ไหนก็ไม่ได้ ดีไม่มี ก็ต้องล่อกล้วยป่า ผักป่ากัน

นี่ความลำบากยากแค้นของทหารในแนวรบ ไม่ใช่เรื่องเล็ก เรื่องใหญ่มาก ไหนจะต้องรบกับข้าศึก ไหนจะต้องรบกับความหิว ความหนาวเกินไป ความร้อนเกินไป ทหารก็บ่นไม่ได้ ในชีวิตของทหารก็คือ ชีวิตของคนไทยทุกคน เป็นมนุษย์เหมือนกัน แล้วก็คิดถึงความเป็นจริงก็น่าจะสงเคราะห์ทหาร ทหาร คือ ลูกหลานของเรา เป็นอันว่า ทิ้งเรื่องนี้ไว้เรื่องการบ่นไม่เอากัน

ในเมื่อญี่ปุ่นเข้าตีทางพม่า และญี่ปุ่นเข้าตีทางมาเลเซียถึงสิงคโปร์ ญี่ปุ่นตีพม่าทะลุไปอิมพันของอินเดีย ไทยก็ตีด้านเชียงตุง มันมีเขตนิดเดียวก็ยันแม่น้ำ ขวางกับจีนหยุดแค่นั้น ไม่กล้าข้ามไปตีจีน ถ้าข้ามไปก็ไม่แน่ใจว่า ไทยจะตีจีน หรือจะตีไทยตกน้ำ เพราะกำลังจีนมหาศาล เวลานั้นยังเป็นทหารจีนของเจียงไคเช็ค ขอทิ้งเรื่องสงครามไว้เพียงเท่านี้

เป็นอันว่า ญี่ปุ่นตีพม่าใช้เครื่องบิน บินไปทั้งกลางวันกลางคืนขนาดหนัก หูดับตับไหม้ เราก็นั่งนึกว่าพม่าแพ้แล้ว ๆ คำว่า พม่าแพ้ หมายถึง อังกฤษแพ้ แพ้จริง ตามข่าวหนังสือพิมพ์บ้าง วิทยุ หนังสือพิมพ์ไม่ค่อยได้อ่าน นาน ๆ อ่านทีไม่มีสตางค์ซื้อ วิทยุก็ไม่มีฟังเอง อาศัยคนอื่นเขาฟัง เวลานั้นก็มีความยากแค้นอยู่มาก

ฟังวิทยุจากเขาก็ฟังว่าญี่ปุ่นรุกพม่าเข้าไป รุกอินโดนีเซียเข้าไป ตียึดได้รัฐนั้นรัฐนี้พอดีเดี๋ยวก็จบเกม ตีมาเลเซียได้ไปติดอยู่แค่สิงคโปร์ ยังเข้าไม่ได้ ญี่ปุ่นตีพม่ายันเข้าไปถึง อิมพันของอินเดีย ก็เลยคิดในใจว่า ถ้าญี่ปุ่นตีอินเดียก็ยากมาก อินเดียประเทศใหญ่มาก

ทีนี้เรามาพูดถึงความเก่งของญี่ปุ่นต่อมาก็มาพูดถึง ความเก่งของฝรั่งบ้าง ทีแรก ๆ ก็เงียบในกรุงเทพฯ อยู่กันอย่างเป็นสุขเวลานั้นอาตมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่แน่ใจว่าตามบ้านนอก ๆ ตามต่างจังหวัดจะพบเครื่องบินข้าศึกบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ในกรุงเทพฯ ยังเงียบ

อยู่ ๆ ก็ปรากฏว่ามีมิตรสหายที่รักมาทางอากาศ ใช้เครื่องบิน บี ๒๕ สี่เครื่องยนต์ บินกระหึ่มเหนือฟ้า บินสูงมาก บินมาคนเดียว มาเที่ยวคนเดียว ไม่มีเพื่อน เป็นเครื่องบินตรวจการณ์ บินแบบสบาย ๆ วนไปวนมา วนมาวนไป แบบสบายใจมาก

แล้วในที่สุด เวลากลางคืนมีมาอีกหลายเครื่อง คนนั้นคนเดียว กลับไปตอนกลางวัน เที่ยวเดี่ยว หลาย ๆ เครื่องมากลางคืน แล้วก็คิดในใจว่า ถ้าเกิดบินมากลางคืน ในกรุงเทพฯ พรางไฟกัน ไฟตามถนนก็ไม่ค่อยจะสว่างอยู่แล้ว เอาผ้าเขียว ๆ ไปหุ้มอีกเป็นกระบอกมองไม่เห็นอะไร ตามกุฏิพระ ตามบ้าน ตามเรือน ก็ต้องพรางไฟ แสงสว่างไว้ภายนอกไม่ได้ ต้องระมัดระวัง ประเดี๋ยวข้าศึกจะเห็น

ในเมื่อพรางไฟมืดแบบนั้นก็นึกว่า ข้าศึกมาไม่รู้อะไรที่ไหนหรอก ข้าศึกคงจะตาสั้นเหมือนเรา แต่ที่ไหนได้ พอข้าศึกบินเข้ามาแกมีมา แกมีตะเกียงมีแฟลช ทิ้งปุ๊ปลงมา เป็นร่มกาง ไฟสว่างเป็นแสนแรงเทียน สว่างจ้ากว่าไฟในกุฏิเราเยอะแยะ เห็นทั่วไปหมด แล้วแกก็บินอยู่เหนือร่มข้างบน ตาแกไม่ฟางมองเห็นข้างล่างง่าย ๆ แกก็ทิ้งระเบิดเอาตามชอบใจ

ไม่มีเครื่องบินจะขึ้นสู้ ก็ปรากฏว่า ญี่ปุ่นไม่ได้เก่งจริง ๆ เครื่องบินญี่ปุ่นไม่มีใครขึ้นสู้เลย แกมาทิ้งตามชอบใจ แล้วแกก็กลับ ทำแบบนั้นเรื่อย ๆ มา จนคืนหนึ่ง วันนั้นไปเยี่ยมคนไข้ที่คลองตลิ่งชัน เวลากลางคืนนั่งคุยอยู่ปรากฏเครื่องบินข้าศึกมา แกก็ทำตามเดิม ทิ้งแฟลชสว่างจ้าตามเดิมเราก็กลัวแสงไฟ กลัวนักบินจะเห็นตัวพวกเราจะยิงถูก ก็คอยหลบเข้าที่กำบัง ที่กำบังก็คือ หลังคา มันก็ไม่สามารถจะทนลูกปืนได้ แต่ก็พยายามหลบ

เครื่องบิน บินมาก็ปรากฏว่า คืนนั้นมีเครื่องบินขึ้นต่อสู้ประมาณ ๔ เครื่อง เครื่องขับไล่ แต่มาทราบภายหลัง เขาบอก เครื่องของไทย ไม่ใช่เครื่องญี่ปุ่น เขาลือกันจริง หรือไม่จริงก็ไม่ทราบ เขาบอกว่า หม่อมเจ้ารังสิยากร วรวรรณ ท่านนำหมู่ขึ้นต่อสู้กับข้าศึก

บินสูงมากเราก็สังเกตได้ว่า เครื่องบินข้าศึกใหญ่ดังเสียงอย่างหนึ่ง เครื่องบินของเราดังเสียงอีกอย่างหนึ่ง เวลาบินเข้าใกล้กันปั๊ป เครื่องบินข้าศึกมีไฟห้อยอยู่ดวง หรือสองดวง ก็ไม่ทราบ เป็นสัญญลักษณ์ของเขา อยู่ใต้ท้อง แต่ว่าเครื่องบินของเรา มีไฟอยู่ใต้ปีกสองดวง หรือสามดวงก็ไม่ทราบ แต่ว่าพอบินตรงเข้ามาใกล้ ก็เปิดไฟพรึบสว่างจ้าทั้งลำ ข้าศึกไม่เปิดรับ แสดงว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน

หลังจากนั้นก็ทำการยิงต่อสู้กันอยู่จนกว่าข้าศึกจะไป เห็นการยิงกันอยู่หลายพักยิงจริง ๆ ปักหัวยิงเอาจริงเอาจัง แต่ว่าเรือบินข้าศึกก็ไม่เสียหลัก ไม่ลง
ก็รวมความว่า ต่อมาตามที่ทราบ ก็บอกว่า มากลางคืน แล้วภายหลังก็มากลางวัน กลางคืนตีหนัก มันต้องหลบระเบิดกัน เล่าถึงการหลบระเบิดกันหน่อย ดีไหม

ในเมื่อเครื่องบินข้าศึกเข้ามา จะเป็นคน เป็นพระก็ตาม ต่างคนต่างก็กลัวตายเหมือนกันหมด พระท่านอาจจะไม่กลัวตาย แต่คนที่บวชพระกลัวตาย อย่างอาตมานี่ก็กลัวตาย พระองค์อื่นก็กลัวตาย ทุกคนก็มีการเตรียมพร้อม พร้อมไหน ไม่ใช่พร้อมสู้ข้าศึก พร้อมวิ่งหนี เพราะเครื่องบินมาแล้ว ก็ต้องโดดจากกุฏิวิ่งไปในสวน เวลานั้นอยู่วัดประยุรวงศาวาส

เป็นอันว่า ต้องทำแบบนั้นเตรียมพร้อมกันอยู่เสมอ ๆ ก็มีเรื่องแปลกอยู่คืนหนึ่ง พระทุกองค์จะมีกระเป๋าอยู่ลูกหนึ่ง เวลานั้นในวัดเดียวกัน วัดอื่นอย่างไรไม่ทราบ บรรจุของไว้พร้อมสรรพเครื่องใช้ กับผ้าชุดหนึ่ง สองชุด เตรียมไว้เผื่อกุฏิไหม้

ได้ยินเสียงบ่งบอกภัยทางอากาศเกิดขึ้น เสียงไซเร็นเกิดขึ้น ก็คว้ากระเป๋า ไฟจะดับ เขาดับต้นทาง คว้ากระเป๋าโดดตึ๊กออกไป ก็วิ่งไปจุดหมายปลายทางที่คิดไว้ เข้าในสวน และก็ปรากฏว่ามีพระองค์หนึ่งมืด ๆ แล้ว คว้ากระเป๋าโดดปั๊ป วิ่งไปชนตุ่มน้ำปังนอนหงายผึ่ง ไม่ยักเจ็บ คว้ากระเป๋าโดดไปใหม่วิ่งไปได้ องค์นั้นบ่นเจ็บ เมื่อตอนเช้า เช้าจึงเจ็บ ตอนกลางคืนไม่เจ็บ

ก็รวมความว่า นี่เป็นเคราะห์กรรมระหว่างสงคราม มาเรื่องอาหารการบริโภค เมื่อเวลาข้าศึกมาโจมตี ทุกคนก็กลัวความตาย ญาติโยมทั้งหลายที่อยู่ฝั่งพระนครก็หนีมาอยู่ฝั่งธนฯ แถว ๆ ตลิ่งชันบ้าง บางกรวยบ้าง บางระมาดบ้าง เป็นต้น

หลบ ญาติโยมฝั่งธนฯก็หนีไปคลองขุดชัยพฤกษ์ เอาบ้านให้เขาเช่า แล้วหนีต่อไป เลยไม่รู้ใครกลัวตายกันแน่ แต่คนที่อยู่ ๆ ตายน้อย แต่คนที่หนีไป อพยพไปตายมาก ไม่ได้ถูกระเบิดตายหรือว่าถูกปืนกลตาย ไปป่วยไข้ตาย

เป็นอันว่า ความตายไม่มีนิมิตหมาย ไม่เลือกสถานที่ คนกลัวตายจากที่นี้ ย้ายไปอยู่ที่โน้น ในที่สุด ก็ต้องตายเหมือนกัน นี่เป็นธรรมดาของชีวิต ญาติโยมพุทธบริษัท ที่กำลังอ่าน กำลังฟังก็เหมือนกัน อ่านอยู่อย่างนี้ ฟังอยู่อย่างนี้ ก็อย่าคิดว่า เราไม่ตาย จงเข้าใจว่า ความตาย ไม่มีใครต้านทานได้ ไม่มีใครห้ามได้ เรื่องธรรมะปล่อยไป เอาเรื่องทุกข์ของโลก

ทีนี้ต่อมา ข้าศึกโจมตีกลางวัน ก็ไม่มีเครื่องบินขึ้นสู้ แต่เวลายามว่างข้าศึกเครื่องบินญี่ปุ่น ขึ้นซ้อมการต่อสู้ข้าศึกสมมุติ เอาเครื่องบินขนาดใหญ่มาโจมตีเครื่องบินขนาดเล็ก เครื่องบินขับไล่ ไล่ท่าโน้น ยิงท่านี้ ก็ว่ากันไปจิปาถะ แต่เอาจริงเอาจังเข้ามาปรากฏข้าศึกมาจริง ไม่มีใครขึ้น

ต่อมาสมัยสงครามก็มีลำบาก เรื่องการกินการใช้ ของใช้ทุกส่วนต้องมีบัญชี เขามีบัญชีให้ข้าวสาร จะกินได้เดือนละเท่าไร ปลาทูกินได้วันละเท่าไร หมูกินได้วันละเท่าไร ก็ว่ากันไปตามนั้น ต้องซื้อไปตามส่วนให้ ซื้อเกินไปกว่านั้น พ่อค้าขายไม่ได้ มีความผิด ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องลำบาก สำหรับผ้าผ่อน เครื่องสไบที่นุ่งผ้ามันก็หายาก ผ้ามันก็แพง

ของต่างประเทศส่งเข้ามาไม่ได้ โรงงานทอผ้าของเราก็มีนิดหน่อย ไม่มากเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้มีมาก ๆ ก็ไม่แน่นัก ข้าศึกอาจจะมาทิ้งเอาก็ได้ ใครก็รู้ไม่ได้
ก็รวมความว่า พระทุกองค์ต้องนุ่งผ้าขาด ผ้าขาดห่ม ฆราวาสทุกคนที่ไม่นุ่งผ้าปะ มันหายาก ต้องเย็บกัน ต้องปะกัน ถือว่าการเย็บ การปะ เป็นของธรรมดา

ก็มีไปเทศน์ที่อยุธยา มีญาติโยมคนหนึ่งแกมาคุยให้ฟัง ทุกคนที่มาฟังเทศน์ นุ่งผ้าปะทุกคน มีคนหนึ่งบอกว่า ที่เอามานี่ เป็นชุดที่ดีที่สุด ที่ผมมีอยู่ครับ ที่ดีที่สุด มีขาด มีเย็บ มีปะ หลายตอน เขาบอกเวลาอยู่บ้านนุ่งผ้ารุ่งริ่งมากกว่านี้ เวลาเพื่อนมาหาหลังบ้าน มาเรียกออกไป ก็ต้องหันหลังไปหากัน ไอ้เพื่อนก็หันหลังเรียก

นี่เพราะอะไร เพราะอายหน้า เพราะผ้ามันรุ่งริ่ง อาจจะปิดอวัยวะไม่ครบถ้วนก็ได้ นี่เป็นความลำบากเมื่อสมัยสงครามอย่างหนึ่ง ยารักษาโรคก็หายาก การป่วยไข้ไม่สบายก็มีความลำบาก ดูมันทุกข์ไปเสียหมด และประการที่สอง อยู่ ๆ ระเบิดของข้าศึกจะมาเมื่อไร ก็ไม่ทราบ

มาคืนหนึ่งที่น่าระทึกใจเป็นพิเศษ ความจริงน่าระทึกใจทุกครั้ง แต่ว่ามันใกล้ คืนหนึ่ง ข้าศึกมาโจมตี แล้วก็เครื่องบินก็มาหลายเครื่อง แต่มีเครื่องหนึ่งบินต่ำมาก เฉียดมาที่สะพานพระพุทธยอดฟ้า เมื่อเครื่องบินกลับไปแล้วก็ดีใจ กลับเข้าสถานที่ หนีไปแล้ว สัญญาณบอกหมดภัยทางอากาศเกิดขึ้น

พอนอนไปเดี๋ยวเดียวเสียงระเบิดปัง เกิดขึ้นที่สะพานพุทธฯ ตอนเช้าทราบว่า สะพานพุทธชำรุดไปนิดหน่อย คือไม่มากนักเขาก็เลยเลิกใช้สะพานพุทธฯ ญี่ปุ่นก็ทำสะพานเบี่ยง ทำสะพานพิเศษข้าม เวลาจะข้ามรถจะข้าม คนจะข้าม ก็เดินลำบาก นี่ก็เป็นจุดหนึ่งของความลำบาก

อาหารเวลานั้นที่เป็นที่พึ่งของพระจริง ๆ ก็คือ ปลาทู พระมีปลาทู เป็นที่พึ่ง ในเมื่อข้าศึกมาทิ้งระเบิด ญาติโยมก็หนีระเบิด คนใส่บาตรก็น้อยลงไป อาหารที่เคยบริโภคพอฉันพอกินได้ก็หมด ไม่พอกิน เป็นอันว่า พระส่วนใหญ่ อาจจะมีบางส่วนที่ท่านไม่ต้องหุง แต่ชุดอาตมารู้จักทั้งหมด ต้องหุงข้าวกินเหมือนกันหมด

บางทีตอนเช้า ลุกขึ้นหุงข้าวจะฉัน เพราะบิณฑบาตไม่พอกิน ปรากฏมีสัญญาณบอกภัยทางอากาศเกิดขึ้น ต้องรีบดับไฟหม้อข้าว วิ่งลงข้างล่างเข้าสวน
ก็รวมความว่า อาหารตอนเช้าไม่ต้องกินกัน ข้าวก็ทิ้งไว้คาหม้อ ไฟก็ต้องรีบดับ ถ้าควันขึ้นก็ถือว่าเป็นสัญญลักษณ์ให้ข้าศึกเห็นควัน อาจจะมีโทษ เวลานั้นเป็นสมัยกฏอัยการศึก

ก็รวมความว่า ความลำบากยิ่งใหญ่สมัยสงครามไม่น้อย เป็นอันว่าญี่ปุ่นรบอยู่กี่ปีก็จำไม่ได้ ในที่สุด ความเก่งกล้าของญี่ปุ่นก็อ่อนกำลังลง เมื่อญี่ปุ่นอ่อนกำลังลง ข้าศึกก็ตีรุกขึ้นมา ในขณะที่สหประชาชาติรวมตัวกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกาเข้าร่วมด้วย ตอนนี้อาตมายังไม่พูดถึง ฮาวาย ในเมื่ออเมริกาเข้าร่วมด้วยกำลังก็มากขึ้น

อังกฤษตอนนั้นมีสภาพย่ำแย่เต็มทีจะแพ้สงคราม ไม่แพ้อยู่แล้ว ทางด้านฝรั่งเศส ในเมื่อเยอรมันเข้ายึดปารีส ก็ปรากฏ นายพลเดอร์โกล นำกำลังทหาร ไปรวมกันที่อังกฤษยกข้ามไป แต่ว่าในที่สุด อเมริกาเข้าร่วมสงคราม พวกนี้ก็มีกำลัง ในเมื่อข้าศึกมีกำลัง ก็ตีญี่ปุ่นจากอิมพันถอยเข้ามา ถอยเข้ามาถึงพม่า ถอยเข้ามาจนจะเข้าประเทศไทย

ในที่สุด อเมริกาก็เอาลูกระเบิดปรมาณูไปทิ้งญี่ปุ่น ตอนนั้นญี่ปุ่นยอมราบยอมแพ้ข้าศึก เพราะระเบิดปรมาณูมันร้ายแรงมาก อาคารสถานที่ คนตายกันเยอะแยะแค่ลูกเดียวจุดหนึ่งแค่ลูกเดียวตายกันมหาศาล พระเจ้าจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นเห็นท่าไม่ได้การ ยอมแพ้ดีกว่า ก็เลยยอมแพ้ ในเมื่อท่านยอมแพ้แล้ว สงครามก็สงบราบคาบ

ทีนี้มาในเรื่องคนไทย คนไทยเวลาข้าศึกสงบเลิกรบกันก็กลับบ้าน ก็มา ที่อยู่หายไป หลายคนที่ไป บางคนหนุ่ม ๆ สาว ๆ เวลาจะไปผอม กลับมาอ้วนเยอะแยะ อ้วน อิ่มหมีพีมันขึ้นมาเยอะแยะ ไม่ทราบว่าไปรับประทานอากาศบริสุทธิ์ที่ไหนมา อ้วนขึ้นหลายคน

ก็เป็นอันว่า ข้าศึกสงบเลิกรบกัน คนไทยก็เริ่มมีผ้าใช้ดีขึ้น ของขายต่างประเทศก็เริ่มเข้ามาได้ แต่หลังสงครามโลกผ่านไป สงครามในประเทศยังไม่เลิก ไม่ใช่สงครามการเมือง ไม่ใช่สงครามปฏิวัติ เป็นสงครามโรค โรคไทฟอยด์เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ

วัดทองฯ อาตมาจำไม่ได้ว่าเป็น วัดทองนพคุณ หรือวัดทองธรรมชาติ ก็ไม่ทราบ สองวัดนี่เป็นที่เผาของคนตายโรคนี้ เป็นอันว่า เสียงไซเร็นผ่านมาวัดประยุรวงศาวาส มีทุกวันเมื่อเสียงไซเร็นเกิดขึ้น ก็แสดงว่ามีคนป่วย รถพยาบาลไปรับคนป่วย อีกทีก็มีเสียงไซเร็นนำคนตายไปไว้วัดทอง เขาเผากันที่นั่น

นี่ก่อนจะหมดเวลา ก็ขอเล่าเรื่อง สัมผัสระเบิดใกล้ ๆ สักนิดหน่อยเป็นไรเวลาก็จะหมดอยู่แล้ว การสัมผัสระเบิดใกล้ ๆ คือ ระเบิดที่ลงวัดประยุรวงศาวาส อันนี้ก็จำที่ไม่ได้เหมือนกัน วันนั้นมีเครื่องบินข้าศึกมาตอนสายประมาณ ๔ โมงเช้า ก่อนที่เครื่องบินจะมา ก็มีสัญญาณบอกภัยทางอากาศ เวลาฉันข้าวเสร็จแล้ว เวลาสาย ๆ เกือบจะไปโรงเรียนอยู่แล้ว กำลังเรียนบาลี

เวลานั้น มีสัญญาณบอกภัยทางอากาศเกิดขึ้น ก็ไม่ต้องไปแล้ว โรงเรียน ไปออกันที่หน้าอุโบสถ มีคนเยอะนับเป็นร้อยคน เพราะมีพระยืนที่นั่นฆราวาสเห็นพระก็อาจจะคิดว่า พระคุ้มครองภัยได้ พระเองก็กลัวภัยเหมือนกัน หลุมหลบระเบิดหน้าวัดประยุรวงศ์เขาขุดกันไว้ ทางราชการขุด ก็มีหลุมระเบิดอยู่ คนก็ไปลงหลุมกันมาก เพราะที่นั้น ใกล้สะพานพุทธฯ เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์ อาตมาเองก็ไปยืนกลางวัด

ต่อมาเห็นเครื่องบินข้าศึก ๔ เครื่อง บินผ่านไป ไม่มีการทิ้งระเบิด ก็สบายใจมันผ่านไปแล้ว ก็เดินมากับพรรคพวกมี พระมหาวิสุทธิ์ พระมหาสำราญ พระมหาโกวิทแล้วก็มีสารวัตรทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ ๔ คน มายืนกันตรงตรอกข้างด้านซ้ายมือของวัดประยุรวงศ์ ตรอกเล็ก ๆ หน้าบ้านพระยาเทพสัพโร

กำลังยืนคุยกันอยู่เสียงเครื่องบินมาอีกเครื่องหนึ่ง ก็แหงนขึ้นไปดู มันตรงหัวพอดี เวลานั้น ก็ปรากฏว่าเจ้าบี ๒๕ มันเปิดท้องลูกระเบิดไหลลงมาประมาณ ๗ ลูก อันนี้ไม่ยืนยันนะ เท่าไรไม่ทราบ นับไม่ทัน ก็คิดว่าประมาณ ๗ ลูก มันไหลลงมาเป็นแถว จะทิ้งสะพานพระพุทธยอดฟ้า แต่มองมาแล้ว อีกลูกหนึ่ง มันใกล้หัวลงมา ใกล้ตรงที่ยืนพอดี

ต่างคนต่างก็หมอบหลบลูกระเบิดมันก็ตกอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก คิดเฉลี่ยแล้วประมาณ ๒๐ เมตร พวกเราหมอบราบ เสียงระเบิดดังขึ้น เสียงระเบิดใกล้ ๆ ไม่ดังปัง มันดังเปี๊ยะ มันใกล้หูเกินไป พอดังเปี๊ยะ ก็ลืมตาขึ้นมาเห็นควันคลุ้งไปหมด มองอะไรไม่เห็น ก็หลับตาใหม่ ลืมตาขึ้นมาอีกที ปรากฏควันจาง ลุกขึ้นมา เห็นพวกเราทั้งหมดไม่มีอันตราย

แต่ว่าตอนนั้น ถ้าจำไม่ผิด รั้วบ้านพระยาเทพสัพโร แล้วก็อาคารทางด้านข้าง ด้านหน้าพังไป เป็นบ้านหลังย่อม ๆ เป็นร้านค้า แต่พอลุกมาแล้ว ปรากฏว่าสารวัตรทหารรบลุกไม่ขึ้น ชายคาของบ้านนั้นที่หล่นลงมาทับหมวกเหล็กของเธอ ต้องช่วยกันยกไม้ขึ้น ก็เดินไปทางด้านหน้าวัด เห็นคนเลือดแดงหลายคน มีคนบาดเจ็บ ไม่ถึงกับตาย

ก็มีสุภาพสตรีคนหนึ่ง เธอกำลังท้องแก่ ถูกลูกระเบิด เวลานั้นมีท่านควงเป็นนายกรัฐมนตรี รถท่านควงมาถึงพอดี สั่งให้คนยกคนป่วยขึ้นรถทันทีนำไปโรงพยาบาล มีคนเตือนท่านว่า รถจะเปื้อนเลือดครับ ท่านหันไปตบทันที บอก เลือดไม่มีความสำคัญล้างได้ คนป่วยทำไมไม่สนใจ

มองไปดูทางด้านหน้าวัดประยุรวงศ์ ปรากฏศาลาพัง ศาลาหน้าวัดพัง ศาลาใหญ่พังไปหลังหนึ่ง และวิหารหลวงพ่อนาคพังไปครึ่งหลัง
รวมความว่า อันตรายเกิดขึ้นใกล้ ๆ คนที่อยู่ในหลุมหลบภัยหน้าวัดประยุรวงศ์หลบอยู่พอดี คำว่า หลบอยู่พอดี ก็หมายความว่า ลูกระเบิดลงพอดีตาย ตายหมด ในนั้น ก็มีคนอยู่สองคน

ระหว่างเครื่องบินทิ้งระเบิด มีคนสองคน เดินมาจากกลางสะพานพุทธฯ คนหนึ่งเห็นลูกระเบิดลงมา ก็วิ่งมาลงหลุมหน้าวัดประยุรวงศ์ ตาย อีกคนหนึ่งตัดสินใจไม่มายืนกลางสะพานพุทธฯ คิดว่ามันจะตายก็ตายพร้อมสะพานพุทธฯ ก็พอดีระเบิดไม่ลงสะพานพุทธฯ คนนั้นไม่ตาย

ขึ้นชื่อว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ขึ้นชื่อว่าความตายจะเข้ามาถึง ก็ไม่สามารถจะหลบได้ ก็รวมความว่า วันนั้นคนที่วิ่งลงหลุมหลบภัยตาย แต่คนที่วิ่งมากลับไม่ตาย นี่ละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาเหลือนาทีเศษ ๆ จะพูดอะไรไปก็ไม่ได้มากนัก

ก็ถือว่า เป็นกฎธรรมดาของชาวโลก ในเมื่อ มีความเกิดขึ้นแล้วก็ต้องมีความเสื่อมของร่างกาย คือ แก่ตัวไปทุกวัน มีการป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ มีความหิว มีความกระหาย มีความเดือดร้อน เป็นธรรมดา ในที่สุด ก็มีความตายในที่สุด แต่ว่า ความตายมาถึงเรา ก็ยังไม่ถึงที่สุดในชีวิต

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ตายแล้วยังมีเกิด ถ้ายังไม่ถึงนิพพานเพียงใด ขึ้นชื่อว่า การก้าวไปในชีวิตไม่ถึงที่สุด ก็มีการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร ใครจะว่าไม่เกิดก็ช่าง อาตมาว่าเกิดเพราะ ความรู้ของพระศาสนามีอยู่

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เวลาหมดพอดี ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน

สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 14/3/11 at 10:14 [ QUOTE ]


7
จากญี่ปุ่นไปวอชิงตัน


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันบันทึกเสียงวันนี้ เป็นวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๓๒ วันนี้ก็มาคุยกันต่อไป เมื่อวานนี้ หรือตอนที่ผ่านมาก็ปรากฏว่าไปยับยั้งกันแค่ญี่ปุ่น พอถึงญี่ปุ่นก็มาอีเหละเปะปะ ๆ ในด้านของสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ความจริงเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็ไม่ค่อยจะรู้อะไรมาก ก็พูดกันแค่รู้

ตอนนี้ก็มาพักกันอยู่ที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ ๖ โมงเช้า ๖.๕๕ น. ของประเทศญี่ปุ่น แต่ว่าถ้านับทางประเทศไทยก็ตั้งแต่ ตี ๔.๕๕ นาที เพราะว่า เวลาของประเทศญี่ปุ่น เร็วกว่า เวลาของไทย ๒ ชั่วโมง ทีนี้เมื่อถึงเวลา ๑๐.๐๐ น. ของประเทศญี่ปุ่น ก็ออกเดินทางต่อไปโดยเครื่อง U.A. ๘๒๒ สู่ฮาวาย

การเดินทางจากประเทศไทย ถึงญี่ปุ่น ประมาณ ๕ ชั่วโมง หรือ ๕ ชั่วโมงเศษ ๆ การเดินทางจากญี่ปุ่นไปฮาวาย ๕ ชั่วโมงเศษ ๆ แล้วก็พักอยู่ที่ญี่ปุ่นก็ ๕ ชั่วโมงเศษ ๆ
ก็รวมความว่าเดินทางกว่าจะถึงฮาวาย ก็ใช้เวลาเข้าไป ๑๕ ชั่วโมงเศษ ๆ การเดินทางคราวนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าเดินทางโดยเครื่องบินของบริษัทยูไนเต็ดแอร์ไลน์

ความจริงบริษัทนี้ใคร ๆ ก็ทราบว่าเฉพาะ พ.ศ. ๒๕๓๒ เธอก็มีอุบัติเหตุมาแล้ว ๒ ครั้ง เป็นอันว่า เวลาเดินทางมากับเครื่องบินนี้ ก็มีความรู้สึกว่า มีความรู้สึกเป็นปกติว่า เราจะไปถึง หรือว่าเราจะไปไม่ถึง มีความรู้สึกอยู่เท่านั้น

ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่า ขึ้นชื่อว่า เครื่องบิน หรือยานพาหนะ มันจะลงเมื่อไรก็ได้เป็นของธรรมดา ถ้าหากว่าเครื่องแกลงมา หรือว่าเสียหลักก็ไม่มีทางแก้ตัว ไม่มีทางช่วยเหลือตัวเอง ทีนี้ความรู้สึกเวลานั้นก็มีแต่เพียงว่า เราอยู่กับตาย

เวลานี้ ความตายคอยเราอยู่ข้างหน้า ใช้เวลาเพียงแค่วินาทีเดียวเราก็ตาย ในเมื่อคิดถึงความตายจิตก็เป็นสุข
ถ้าถามว่า คิดถึงความตายทำไมจิตจึงเป็นสุข อย่าไปนึกว่าอาตมาเป็นพระอริยเจ้านะ ขออย่าคิดกันว่า อาตมาเป็นพระอริยเจ้าหรือว่าพระผู้ทรงญาณ มันเป็นเรื่องธรรมดาของคน

>ถ้ามีความรู้สึกเป็นปกติว่า มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และมีความแปรปรวน คือ มีความแก่ไปทุกวัน ๆ เป็นปกติเป็นธรรมดา และก็มีความตายเหมือนกันหมด
ทีนี้ ความตาย มันจะตายที่ไหน มันเป็นเรื่องของมัน และการเดินทางคราวนี้มีอาการแปลก

ขอพูดรวมไปเลยว่า ทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับ เวลาปลอดจากเข็มขัดรัดตัวมันน้อยเต็มที สักครู่หนึ่งเสียงทางเครื่องบินก็บอกว่า รัดเข็มขัดลมแรง เรือสะเทือนจากลม ไปสักครู่ใหญ่ ๆ ก็รัดเข็มขัด รัดเข็มขัดกันเรื่อย ทั้งไป ทั้งมา

ก็รวมความว่า การรัดเข็มขัดแต่ละคราวนั้น เป็นการบอกถึง ความตาย ถ้าลมแรงเกินไป กำลังเรือต้านทานไม่ไหว ก็หมายถึง ตาย เท่านั้นเอง
รวมความว่า เรามากับความตาย เวลานี้รู้สึกว่าเจริญ มรณานุสสติกรรมฐาน ได้ดีมาก เป็นความดีเป็นพิเศษ คือว่า ไม่ได้ตั้งใจจะดี แต่ว่า ความดีเกิดขึ้น เพราะความกลัวตาย

นึกถึงความตายเป็นสำคัญ ขณะที่นั่งไปอย่างว่านั้นแหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ไม่มีที่จะนอน เป็นชั้นธุรกิจ เอนได้นิดหนึ่ง ก็ไม่ได้มีความหมาย บางทีก็นั่งตรงเสียมากกว่า จะดีกว่า แต่ว่าที่กว้างหน่อย ราคามันก็แพงน่าดู นั่งไปมันไม่หลับ จะหลับก็แค่เคลิ้มนิดหนึ่ง แล้วก็สะดุ้งตื่นแค่นี้

ปรากฏว่าคุณวิรัชอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่หลับเหมือนกัน รู้สึกมีการขยับกายเมื่อไร คุณวิรัชก็รู้สึกตัวทุกที ก็เป็นอันว่าไม่มีหลับ ได้แต่เคลิ้มนิดเคลิ้มหน่อย ทีนี้อาการเคลิ้ม ก็เคลิ้มตลอดเวลา ลืมตาบ้างไม่รู้จะคุยกับใคร ไม่รู้จะดูใคร

มองดูเก้าอี้อื่น เขาก็หลับกันบ้าง เขาอ่านหนังสือบ้าง เขาดูภาพยนตร์กันบ้าง ตามเรื่องตามราว ก็เป็นอันว่า เราไม่หลับ อารมณ์เคลิ้มก็เกิดขึ้น มันเคลิ้มบ่อย ๆ ต่อมาใกล้จะถึงฮาวาย การที่จะพูดตอนนี้ และพูดตอนต่อ ๆ ไป ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้รับฟังเข้าใจไว้ด้วยว่าอาการเคลิ้มใกล้จะหลับ

แล้วก็มีความรู้สึกว่า พบอะไรต่อมิอะไรนี่ มีมาตั้งแต่อายุ ๗ ปี มีอยู่ ๒ เวลา คือ เคลิ้มใกล้หลับ กับเวลาตื่นใหม่ ๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น ถ้าไปสถานที่ใด ถ้าเป็นครั้งแรก หรือเป็นวันแรก แต่ก็ไม่เสมอไป อาจจะพบอะไรสักอย่างหนึ่ง คือ ความเป็นมาของพื้นที่ หรือคนที่ตายจากที่นั้น เขาจะมาหา

แต่ความจริงเรื่องนี้ ไม่ใช่ฌาน ไม่ใช่ญาณอย่าลืมว่า อาการอย่างนี้ มีมาตั้งแต่อายุ ๗ ปี
ถ้าถามว่า เคยทำกรรมฐานไหม ก็ต้องตอบว่าขึ้นชื่อว่า กรรมฐานจริง ๆ อย่างที่เขาทำกันนั้น ไม่เคยทำ เคยทำแต่เพียงว่า แม่บอกว่าถ้ากลัวผี เวลานั้นอาตมากลัวผีมาก กลัวหนัก ขนาดกลางวันเข้าห้องไม่ได้

เข้าห้องคนเดียวกลางวันไม่ได้แน่นอน กลัวผีจริง ๆ ถ้าเวลาเดินออกจากห้อง จะมีเพื่อนไปก็ตาม เวลาเดินต้องหันหลังออก กลัวผีมันจับหลัง เวลานั้นกลัวมากอย่างนั้น ท่านแม่ก็ไปถามหลวงพ่อปานว่าจะแก้ไขอย่างไร หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไปให้ภาวนาคำว่า “พุทโธ”

แล้วก็บอกเด็กว่า ภาวนาว่า พุทโธ นี่ ผีกลัว ผีไม่กล้าหลอก ก็ภาวนากันผีเรื่อย ๆ มา เวลาตื่นอยู่ หรืออยู่คนเดียว ก็ต้องภาวนา เพราะกลัวผี จะเป็นเพราะผลอันนี้ หรือไม่ใช่ก็ไม่ทราบ ก็เป็นเหตุ เมื่อถึงอายุ ๗ ปี เป็นต้นมา ถ้าไปไหนวันแรก จะต้องเป็นวันแรกนะ เหตุการณ์ที่วันแรกเกิดขึ้น

วันหลังจะทบทวนก็ไม่ได้ ในที่บางแห่ง เขาไม่มีอะไรปรากฏ จะไปหาเองก็ไม่พบ คือกำลังใจดีไม่พอ
ก็เป็นอันว่า รู้กัน ครึ่งหลับครึ่งตื่น เวลาก่อนจะหลับเคลิ้ม ๆ ค่อยจะหลับตอนนี้ เขามาให้พบ ก็พบ เขาไม่มาให้พบ ก็ไม่พบ ทีนี้อาการอย่างนี้ ที่เห็นภาพบ้าง เห็นแสงสีบ้าง เห็นภาพเป็นคนบ้าง

ก็มีบรรดาพุทธบริษัทมาก ที่เป็นนักปฏิบัติกรรมฐาน ยังไม่มีความเข้าใจ ยังมีความสงสัย แต่ท่านที่ไม่เข้าใจ ไม่มีความสงสัย ไม่เป็นไร สำคัญบางท่าน ที่ท่านคิดว่า ท่านจบกิจในพุทธศาสนา ก็มีหลายท่านว่า อย่างนี้สำเร็จไหม ก็ขอตอบให้เลยว่า อย่างนี้ยังไม่ถึง ขั้นฌาน ขั้นญาณเลย ในพระพุทธศาสนา

ฌานสมาบัติก็ยังไม่ถึง ญาณเป็นเครื่องรู้ต่าง ๆ ก็ไม่ถึง อย่าลืมว่า ถ้ามีญาณเป็นเครื่องรู้ อาศัยฌานเป็นพื้นฐาน ก็ในเมื่อเราจะรู้อะไร จะรู้ได้ทันที ยกตัวอย่างที่ปรากฏง่าย ๆ ที่อาตมาเห็นได้ชัด นั่นคือ หลวงพ่อจง
เวลานั้น ที่ตำบลหน้าต่าง มีกำนันชื่อว่า กำนันมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นหลานหลวงพ่อจง ในข้อนี้ไม่ยืนยัน วันหนึ่งอาตมาไปที่นั้น ภรรยาของท่านกำนันมากก็มาหา

มากราบแล้วก็ถามว่า หลวงพ่อเจ้าคะ ท่านกำนันไปซื้อยาสูบภาคเหนือ ไปหลายวันแล้ว ตามกำหนดวันนี้ต้องกลับมาแล้ว แต่ห่างไปสองสามวันคงจะถึง หรือไม่ถึงก็ไม่ทราบว่า ท่านกำนันจะมีโรคภัยไข้เจ็บ หรือมีอันตรายเป็นประการใด

หลวงพ่อจงท่านก็ไม่มีลีลาหลับหูหลับตากับใคร ท่านก็หยิบหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง ความจริงหนังสือเล่มนั้นไม่ใช่หนังสือหมอดู ท่านเปิดปั๊ปเข้าไปก็ถึงเลย คำว่า ถึง ก็หมายความว่า เปิดถึง แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดท่านก็อ่าน เรื่องสิทธิการิยะ

ท่านกล่าวว่า เวลานี้กำนันมากเอาเรือยนต์บรรทุกยาสูบเต็มลำมาจอดที่หน้าบ้านแล้ว
ก็เป็นอันว่า ภรรยากำนันมากก็ไปดู เดี๋ยวเดียวกลับมาบอกว่า มาจอดจริง ๆ แล้วเจ้าค่ะ

ถ้าอย่างนี้บรรดาพุทธบริษัท ถือว่า เป็นฌาน หรือเป็นญาณ ในพระพุทธศาสนา ต้องรู้จริง รู้ทันทีทันใด รู้ตามความประสงค์ แต่อย่างที่อาตมาพูดเมื่อกี้นี้ เรามีความประสงค์ไม่ได้ ในเมื่อเขาจะให้รู้ เราก็รู้ เขาไม่ต้องการให้รู้ เราก็ไม่รู้ เราเรียกขานวานใช้ไม่ได้ทั้งหมด ตัวอย่าง เขาให้รู้ หรือไม่รู้ จะมีเรื่องเล่า

มีทีหนึ่งอาตมาไปที่อำเภอดำเนินสะดวก อยู่จังหวัดราชบุรี บ้านนั้นมีคนอยู่ ๓ คน คือ พ่อบ้านคนหนึ่ง แม่บ้านคนหนึ่ง และลูกสาวบ้านคนหนึ่ง ลูกสาวบ้านอายุประมาณ ๑๖ ปี ถึงเวลาตอนกลางคืนก็จัดที่ ให้อาตมาเข้าไปนอนในห้อง ห้องแบบเรือนฝากระดานยอดขื่อ ยอดแหลม

เขาจะปล่อยห้องหน้าสองห้อง เป็นห้องโถง และก็มีฝาปิดเพี้ยม และอีกห้องหนึ่งมีฝาสะกัดไว้ มีฝาข้างใน สองห้องหน้าเป็นโถง อีกห้องหนึ่งเป็นห้องนอน คุยกันจนดึก ก็ไม่ทราบว่า เขาจะจัดที่นั่น ในเมื่อเขาจัดแล้ว ก็เข้าไปนอนประมาณเกือบ ๖ ทุ่ม เดินเข้าไป ไอ้ฝานอกมีประตู เขาก็ปิดประตู มันก็เหมือนว่า เป็นที่ลับ

เขาไปนอนที่ห้องโถง และมีฝาข้างนอก แต่ว่าประตูด้านในอีกห้องหนึ่งก็เปิดแย้ม ๆ ไว้ ยังนึกในใจว่า เจ้าของบ้านจะมีความรู้สึกอย่างไร เราเป็นพระ ถึงแม้จะแก่ เวลานั้นอายุประมาณ ๓๐ เศษ ๆ ถึงจะเป็นคนแก่แล้ว จะเป็นพระก็ตาม

แต่ในเมื่อลูกสาวเขาโตเป็นสาว และนอนในห้องนี้ประตูด้านหน้าก็ปิด และประตูห้องเธอก็แย้มไว้ ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะดีนัก ใจไม่ค่อยสบาย แต่ว่าก็ไม่เป็นไรคิดว่า เราเป็นพระหวังความบริสุทธิ์ไว้เป็นสำคัญ เราไม่ทำอะไรก็แล้วกัน แต่ว่าเรื่องข่าวสารเป็นมามันจะไม่ดี

แต่ในเมื่อข้างนอกเขาใส่กลอน เขานอนกันเงียบ จะไปเอะอะโวยวาย ก็ปล่อยไป เวลาก่อนจะนอน ก็บูชาพระ บูชาพระเสร็จ เสียงในห้องคล้าย ๆ มีคนขยับตัว แล้วก็ขยับประตูน้อย ๆ ดังแอ๊ด ๆ น้อย ๆ ก็คิดในใจ ลูกสาวบ้านนี้เขาจะไปไหน

นี่เราอายุ ๓๒-๓๓ แล้ว และเด็กคนนี้อายุประมาณ ๑๕ หรือ ๑๖ เด็กกว่ามาก ถ้าเธอจะมาหาเรา เราอยู่ในสภาพโกนหัวห่มผ้าเหลือง อาชีพไม่มี เธอไม่มาหาแน่ก็คิดในใจว่า เธอจะไปไหน เมื่อนอนสังเกตการณ์อยู่ ประตูก็เงียบ การเคลื่อนไหวก็เงียบจะมีคนเดินออกข้างนอก ต้องออกประตูไปอีกชั้นหนึ่ง ก็ไม่มี ในเมื่อไม่มี ก็ปล่อย เรื่องของใครก็เรื่องของใคร เราไม่เกี่ยวก็แล้วกัน

ในที่สุด อาตมาก็นอนภาวนาตามปกติ นอนคนเดียวไม่มีเพื่อนคุยก็ต้องภาวนา ภาวนาจับลมนิดหน่อย ไม่ถึงฌานสมาบัติ พอจิตเริ่มสบายมีอารมณ์เคลิ้มนิดหนึ่ง จะหลับ ก็ปรากฏว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งมานั่งข้าง ๆ ผู้หญิงคนนั้นดูลีลาจะแก่กว่าภรรยาเจ้าของบ้านเล็กน้อย รูปร่างก็คล้าย ๆ กันทรวดทรงคล้าย ๆ กัน

แต่ส่วนที่คล้ายสุดก็คือ เด็กสาวเป็นลูกเจ้าของบ้าน คนที่มานั่งข้าง ๆ คล้ายกันมาก แต่อายุแตกต่างกัน พอถึงปั๊ป ไม่ได้ถามเธอ เธอก็รายงานว่า ฉันนี้เป็นภรรยาของเจ้าของบ้านนี้ และเด็กสาว ๆ ที่ท่านเห็นนั้น นั่นก็คือ ลูกสาวของฉันในระหว่างนี้ ฉันตายไปแล้วจากความเป็นคน สามีของฉัน ก็แต่งงานกับน้องสาว คือ ภรรยาที่เห็นปัจจุบันนี้ คือ น้องสาวของฉัน

หลังจากนั้น เธอก็เล่าความเป็นมาทุกอย่าง ความเป็นมา ไม่ใช่ความคับแค้นขัดใจสามีเป็นเรื่องของการเป็นมาในประกอบอาชีพบ้าง การมีบุตรบ้าง การป่วยไข้ไม่สบายบ้าง ทำไมจึงตายบ้าง แต่ว่าตายแล้วไปอยู่ที่ไหน ไม่ได้บอก เธอคุยประเดี๋ยวหนึ่งก็หายไป

หลังจากนั้น ก็มีคนมาเป็นระยะ ๆ รวมแล้ว คนมา ๑๖ คน บอกความเป็นมาทุกอย่างสมัยของท่าน กว่าจะเสร็จภาระกิจก็ประมาณเกือบตี ๔
หลังจากนั้น เมื่อเขาไปหมดแล้ว อาตมาก็หลับ พอตื่นขึ้นมาตอนเช้า ก็ถามเจ้าของบ้านว่า คนที่มีรูปร่างลักษณะอย่างนี้ คล้าย ๆ ลูกสาวบ้านนี้เคยรู้จักบ้างไหม

ทั้งหมดเขาทำท่าตกใจ เขาบอก นั่นคือภรรยาเก่าพี่สาวของคนนี้ ภรรยาคนนี้ตายไปหลายปีแล้ว ๒-๓ ปี
แล้วก็ถามเขาว่า เมื่อคืนนี้ คุณให้ลูกสาวนอนที่ไหน

เขาบอก ลูกสาวผมนอนในครัวครับ ไม่ได้นอนในห้อง
ฉันก็แปลกใจว่า ทำไมคุณมีลูกสาวไปนอนในห้องพระ มันไม่สมควร
เขาบอก ไม่ใช่

ก็เลยบอกว่าประตูที่แย้มไว้ใครเข้าไปอยู่ และมีอาการคล้ายพลิกตัว เขาบอกไม่มีคนครับ มีแต่มัดกะเจาที่เขาทำเป็นเชือก เขาลอกเปลือกกะเจาตากแห้งแล้วก็มัดไว้ในนั้น ในเมื่อกลับเข้าไปดูกัน ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

เป็นอันว่า อาการเหมือนกับคนเคลื่อนไหวในห้อง ก็ต้องเป็นบรรดาผีเท่านั้นเอง แต่อาการอย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท พอคืนที่สอง ก็ไม่มีอะไรอีก นึกถึงคนผู้นั้นอยากจะคุยต่อไป ก็ไม่มีใครมา ก็รวมความว่า กำลังของความรู้สึกอย่างนี้ ไม่ใช่กำลังของฌานสมาบัติ หรือญาณเป็นเครื่องรู้

ถ้ากำลังของฌานก็ดี กำลังของญาณก็ดี ก็ต้องนึกเอาได้ ทบทวนได้ ต้องการเห็นใคร รู้ใคร ต้องได้ทุกอย่าง ทีนี้เป็นอาการเคลิ้มของจิต ที่เข้าสู่ความสงบเล็กน้อย ในเมื่อผีสามารถจะแสดงให้เรารู้ได้ เห็นได้ คุยกันได้ เขาก็มา เขาต้องดูเวลา

ที่เล่าเรื่องสู่กันฟัง ทั้งนี้ก็เพราะว่า การไปอเมริกาคราวนี้ มีอารมณ์เคลิ้มหลายจังหวะ เพราะมันต้องนั่งไป ต้องนั่งหลับ มันก็ไม่หลับจริง หลับเสียจริง ๆ ผีมากี่ร้อยกี่พันก็มองไม่เห็น ก็พูดคุยกันไม่ได้
ต่อมา เมื่อนั่งเครื่องบินไปใกล้จะถึงฮาวาย อย่าลืมว่า จากญี่ปุ่นถึงฮาวาย ใช้เวลา ๕ ชั่วโมงเศษ ๆ แต่ว่าในระหว่างทาง ต้องรัดเข็มขัดกันเรื่อย ความง่วงสัปหงกก็มีขึ้น เกรงว่าอันตรายจะเกิดทางร่างกาย

เพราะการป่วย เดินทางคราวนี้ ก็ยังป่วยอยู่ใกล้จะถึงฮาวายประมาณ ๑ ชั่วโมงเคลิ้มไปอีก คราวนี้ก็ปรากฏ มีภาพคนสองคน รูปร่างหน้าตาใหญ่คนหนึ่ง คนหนึ่งไม่ค่อยใหญ่นัก ตามภาพนั่นเขาบอกว่า “ผมคือโครแมน” อีกคนหนึ่งบอกว่า “ผมคือรูสเวลส์”

เป็นอันว่า ทั้งสองชื่อนี้ เป็นชื่อของประธานาธิบดีของอเมริกา ก็ถามว่า หากท่านเป็นโครแมนจริง เป็นรูสเวลส์จริง เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา เวลานี้ประเดี๋ยวไปถึงฮาวาย ที่ฮาวายนี้ต้องค้นกันหนัก หมายความว่า ท่าอากาศยานถ้าจะผ่าน เขาต้องค้นละเอียด เป็นหน้าที่ของเขา

ก็เกรงว่าเราจะนำผงสะอาดไปให้เขา คำว่า ผงสะอาด ก็คือผงเฮโรอีน เป็นสีขาวสะอาดมาก ละเอียดมาก ก็เกรงว่าจะนำไป เขาต้องค้นละเอียด นั่นคือเรื่องธรรมดา ที่ฟังข่าวกันอยู่ตลอด แต่ก็นึกในใจในเวลานั้นก็แปลก คนที่พูดกันได้ มีเวลาพอสมควร

เลยบอกว่า ถ้าท่านเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาทั้งสองคนจริง วันนี้อีกสักครู่หนึ่ง คณะของอาตมาก็จะถึงฮาวาย ที่ฮาวายนี่เขาจะค้นกันละเอียดลออมาก เวลามันก็จะช้า ก็อยากจะให้ท่านทั้งสองช่วยเรา คณะของอาตมาทั้งหมดนี่ อย่าให้ถูกการค้นขอให้ผ่านไปเฉย ๆ

เขาก็ย้ำว่า คณะของท่านเหรอครับ ตกลง ตกลงคณะมาด้วยกันหลายคน เขาบอกครับเฉพาะคณะของท่านผมจะช่วย แล้วภาพนั้นก็หายไป จะถามความเป็นมาอะไรอีก ก็ถามไม่ได้แล้ว นึกถึงเขาอีกใหม่ ก็ไม่เห็นแล้ว เขาไม่เห็นให้พบ ก็เป็นอันว่า กำลังจิตของเรา ไม่ใช่ฌาน ไม่ใช่ญาณ เป็นอารมณ์เคลิ้มที่เคยผ่านมาเป็นปกติ

ฉะนั้น เมื่อเวลาถึงฮาวายจริง ๆ ก็ปรากฏว่า คระพระอาตมา ๓ กับคุณโชติวุฒิ ๑ คุณโชติวุฒิเป็นฆราวาส ส่วนคุณโชติวุฒิเป็นผู้ติดตาม เธอสงเคราะห์จริง ๆ ทำตัวแบบลูกศิษย์ชัดเจน หมายความว่า ช่วยทุกอย่าง อะไรจะเกิดขึ้น ตั้งแต่ไป ยันกลับ แต่ทุกคนก็ช่วย แต่โชติวุฒิเป็นผู้ชาย ทำให้สนิทและใกล้ชิดกว่า รูปร่างก็ได้เปรียบกว่า

เวลาเข้าไปถึงฮาวาย เขาให้บอกว่า พระไปให้ที่โน่นเขาสอบ สอบไกลกว่าเขา เขาก็สอบถามการไปคราวนี้ อาตมานี่ไม่รู้จักภาษาฝรั่งมังค่าว่า เขาพูดกันอย่างไร ฟังเขาพูดได้แต่พูดไม่ได้เขาก็สอบคุณวิรัช คุณวิรัชแกอยู่อเมริกา ๑๐ ปีกว่า ทีนี้เขาสอบเสร็จ ให้ไปเข้าช่องโน้น แต่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจ เวลาผ่านช่อง ไม่มีใครเปิดกระเป๋า ไม่มีใครสั่งเปิดกระเป๋า ออกมาเฉย ๆ

รวมความว่า ถ้าจัดเป็นคณะก็ ๔ คือ อาตมา พระวิรัชกับพระสมพงษ์ และคุณโชติวุฒิ แต่ว่านอกจากนั้น ๑๒ คน ถูกตรวจละเอียดหมดทุกอย่าง ที่สมควร เขาไม่ยอมให้ผ่าน อย่างหมาก หมากพลูที่เอาไปให้อาตมาฉัน ที่อเมริกา หรือระหว่างทาง เป็นอันว่าเขาไม่ยอมให้ผ่าน

อย่างอื่นทั้งหมดที่เราผิดกฎหมาย ไม่มี ก็มีอย่างเดียว หมากพลู ก็ไม่ได้คิดว่า เขาจะห้ามเที่ยวก่อน ๆ เคยนำไปได้ แต่เที่ยวนี้เขาไม่ยอมให้ไป ก็มีเท่านั้นเอง แต่ว่าทุกชิ้น เขาตรวจละเอียด รีดผ้าทุกอย่างเพื่อกันสงสัย เมื่อผ่านเข้าไปได้แล้ว รอจะขึ้นเครื่องบินต่อไป ก็คุยกัน

คุณอนงค์น่ากลัวแกจะแปลกใจว่า ทำไมหนอคณะหลวงพ่อทำไมจึงไม่ถูกตรวจกระเป๋า ]พระ ๓ ฆราวาส ๑[/color สรุปความว่า ขณะที่อาตมานั่งรอเครื่องบิน จะต่อเครื่องบินต่อไป อย่าลืมนะ เวลาที่ถึงฮาวาย ลืมบอกไป ถึงฮาวายจริงเป็นเวลา ๒๓.๑๕ นาฬิกา คงจะเป็นเวลาของอเมริกาแล้ว ออกมา ๑๑ โมงเช้า แต่มาถึงฮาวาย ๒๓.๑๕ นาฬิกา

ก็แสดงว่าเป็นกลางคืนของอเมริกาแล้วนะ เมื่อถึงฮาวาย ในขณะที่คอยจะขึ้นเครื่องบินต่อ ก็นึกถึงท่านทั้ง ๒ ก็ไม่พบ จะต่อว่าสักหน่อย จะต่อว่า ทำไมบอกว่า ช่วยแล้วทั้งคณะ ทำไมจึงช่วยแค่ ๔ คนคือ พระ ๓ ฆราวาส ๑ ทั้งหมดก็ถูกตรวจแหลกลาญ
นึกหาท่านเท่าไร ก็ไม่ปรากฏว่าท่านมาให้เห็น

นี่ที่เห็นว่า ไม่ใช่กำลังฌาน หรือ ญาณ นี่ไม่มีทางเขาไม่เห็นเราก็ไม่เห็น เขาไม่พูดด้วย ก็ไม่มีโอกาสพูด เป็นอารมณ์เคลิ้มใกล้หลับ จำให้ดีอย่างนี้ และสำหรับนักเจริญกรรมฐานมักจะงง บางคนบอกว่าสำเร็จแล้วหรือยัง อย่างนี้ขอตอบว่า ไม่ไปถึงไหน

ถ้าจะเทียบกับกฎของกรรมฐานจริง ๆ สมาธิก็อยู่ขั้น อุปจารสมาธิเบื้องต้น แต่อย่าลืมว่ามีอารมณ์แป๊ปเดียวไวเหมือนสายฟ้าแลบ นาน ๆ จะมีสักครั้งหนึ่งจิตเป็นสุขมาก อาจจะพูดได้ คำสองคำ อย่างที่แล้วมา ภาพนั้นก็หายไป ถ้าเป็นเรื่องของการทรงฌานจริง ๆ เขาจะบังคับเวลาได้ จะพูดนานกี่นาที กี่ชั่วโมงก็ได้

ถ้าหากว่า เขาต้องการจะพบใคร ไม่มาให้พบ เขาก็ไปพบได้ ไปเรียกมาให้พบได้ ขอให้เข้าใจตามนี้ นี่เรื่องของการเคลิ้ม เป็นคุณสมบัติเมื่อสมัยเป็นเด็ก เป็นเด็กก่อนอายุ ๗ ปี สะสมมาด้วยการภาวนาว่า พุทโธ เขาถามว่าเจริญกรรมฐานหรือ ต้องตอบว่า ไม่ใช่ ภาวนาว่า พุทโธ กันผี เพราะกลัวผีมาก

ต่อมาเมื่อถึงอายุ ๗ ปี กำลังคงจะสะสมตัวเอง ไม่ใช่รู้เองเห็นเองเขามาให้รู้ เขามาให้เห็น เวลาใกล้หลับ เคลิ้ม ๆ หรือว่าเวลาตื่นใหม่ ๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น ยังไม่เต็มที่ ก็เป็นอันว่า ความดียังไม่ถึงไหน การที่หลายคนบอกว่า สำเร็จแล้ว ๆ นี่อย่าไปคิดตามนั้นนะ ถ้าคิดว่า สำเร็จ บรรดาท่านพุทธบริษัทกรรมหนักจะเข้ามาถึงท่านเพราะอะไร

ก็เพราะว่า ความดีเกินกว่านั้น เราก็ไม่ได้ ความดีแค่นั้น เราก็จะเสื่อมเพราะกำลังแค่อุปจารสมาธิ เป็นความดีเล็กน้อย ก็เหลือเวลาอีก ๓ นาที บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็มาขอคุยฆ่าเวลากัน คุยกันมาตั้งนาน ไปอเมริกาเมื่อไรจะจบก็ไม่ทราบเพราะต้องคุยกัน

เป็นอันว่า เมื่อก่อนจะถึงฮาวาย บรรดาท่านพุทธบริษัท จากญี่ปุ่นนั่งคอยมันก็เครียด การคุยก็คุยกับ พล.ต.ท.สมศักดิ์ สืบสงวนบ้าง คุยกับเดือนฉาย คอมันตร์บ้าง พรนุชบ้าง ปรีชาบ้าง โยมปรุงบ้าง ใครต่อใคร คุยกันไปคุยกันมาแก้รำคาญส่งเดช จะถามว่ารำคาญไหม

แต่ว่าศัพท์ที่ ท่านพล.ต.ท.สมศักดิ์ สืบสงวน ท่านพูดถูกใจ และตรงกันทั้งไปทั้งมา เราต้องคอยกันอย่างหนัก นั่งเครื่องบินก็ต้องใช้เวลามาก ที่เวลามากก็เพราะว่า ต้องคอย แล้วก็มาคอยที่ท่าอากาศยานอีก ท่านบอก อาการคอยเครื่องบินอย่างนี้เป็นเหตุให้รักษาขันติได้ดีมาก มีขันติทรงตัวดีมาก

อันนี้เป็นเรื่องจริง จะถามว่า เวลาที่คอยอยู่ กลุ้มไหม ก็ตอบว่า เวลาจริง ๆ มันมี หมายกำหนดการเขาเขียนไว้แล้วว่า เวลาไหน จะไปถึงไหน เวลาไหนจะคอยอะไรที่ไหน เขาเขียนไว้ให้แล้ว ในเมื่อเวลามันมีอย่างนี้มีเวลาแน่นอน เราก็ต้อง ไม่กลุ้ม

ก็ถือว่า ทุกอย่างเราทราบแล้วว่าจะต้องถึงเวลานั้น ถ้ายังไงถึงเวลานั้น เครื่องบินเขายังไม่ขึ้น เราก็ยืนกลุ้มกันไป กลุ้มส่งเดช ไม่เกิดประโยชน์ ก็เลยไม่มีอาการกลุ้มขณะที่คอย ก็มองโน่นมองนี่ ดูว่าประเทศญี่ปุ่นมันเป็นอย่างไร

ดูแล้วสภาพอากาศของประเทศญี่ปุ่น เสียท่ากับประเทศไทย เราได้เปรียบกว่าเยอะ มีหมอกเยอะแยะ มีเป็นเกาะเป็นแก่ง แต่ทว่าญี่ปุ่นรวย ญี่ปุ่นรวยเพราะว่า ญี่ปุ่นขยัน นี่คนฉลาดไม่มีความประมาทในความเป็นอยู่ ทุกอย่างอะไรถ้ามันจะได้เงิน ญี่ปุ่นทำทุกอย่างแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ญี่ปุ่นไม่ต้องมีกองทัพ อเมริกันไม่ให้ญี่ปุ่นมีกองทัพเสียตั้งนาน ตรงนี้เป็นเหตุให้ญี่ปุ่นรวย แล้วกองทัพที่ใช้จ่ายในเรื่องของทหารนี่ ต้องใช้จ่ายออกไปเฉย ๆ ไม่มีการได้กลับมา เหลือเวลาอีกครึ่งนาที ก็หันไปดูฮาวาย

ฮาวายเป็นเกาะเล็ก ๆ เคยไปแล้วหลายครั้ง ดินแดนที่ฮาวายจะโชว์ก็คือ ภูเขาไฟ ใครไปก็ต้องไปที่นั่น แต่ความจริงมันก็ไม่มีอะไร มันมีเป็นภูเขา ที่ถูกไฟละลายมานิดหน่อย แล้วก็มีคลื่นซัดหินกรวดอยู่ที่ชายทะเล
เกาะฮาวาย ก็เป็นเกาะเล็ก ๆ แต่คนตัวใหญ่มาก คนที่นั่นตัวใหญ่มาก และกำลังมาก เป็นอันว่าเกาะฮาวายทั้งเกาะ ไม่โผล่

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท เครื่องมันก็บอกหมดเวลา ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน

สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ


8
จากญี่ปุ่นไปวอชิงตัน (ต่อ)


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้ ก็ยังเป็นตอนต่อไป ในวันต้น ก็หมายความว่ายังบันทึกในวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๓๒ ตอนนี้ออกเดินทางออกจากฮาวายไปรัฐลอสแองเจลีส ลอสแองเจลีสนะ แล้วก็ วอชิงตัน ไปแวะลอสแองเจลีสด้วย ที่เรียกว่า L.A.

ไปพักชั่วคราว ออกจากนั่น ไปวอชิงตัน ก็ขอย้อนกลับมาถึงเวลาก่อน ในเมื่อเวลา ๒๓ นาฬิกา ๑๕ นาที ถึงฮาวาย ถูกทดสอบความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็เป็นอันว่า คณะของอาตมาไม่มีอะไรผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นการผิดใจอเมริกัน นั่นก็คือ เอาหมากพลูเข้าไปกิน แต่เป็นเรื่องแปลก ทุก ๆ เที่ยวที่นำเอาไป นำไปได้หมด

ถ้าเข้าไปถึงชิคาโก หรือ L.A. จริง ๆ ไปลงที่นั่น เขาก็ให้ผ่านไปได้ ไปหลายเที่ยว นำผ่านไปได้ จึงได้นำไปใหม่ก็คิดว่าเขาไม่ห้าม แต่ความจริง ถ้ารู้ว่าเขาห้ามแล้ว ก็ไม่เอาไปเหมือนกัน ถ้าจะถามว่า ในเมื่อติดหมากไม่เอาไป ไม่อยากกินหมากหรือ ก็ต้องตอบว่า ความจริงอาตมาน่ะไม่ได้ติดหมาก

เค้าเรียกว่า กินตามระเบียบของคนแก่ คนแก่เขากินแก้ว่างไปส่งเดช ในเมื่อเขาไม่ยอมให้นำเข้า เอาพลูจีบไม่ยอมให้นำเข้า อัญเชิญเป็นคนคุม อัญเชิญ มณีจักร อัญเชิญก็เลยแถมหมากให้ด้วย บอก เอาหมากไปด้วยเสียก็แล้วกัน รวมความว่า ไม่ได้นำหมากไป

เวลาที่ถึงฮาวายเวลา ๒๓ นาฬิกา ๑๕ นาที เราคอยไปต่อเครื่องอีกถึงเวลา ๐๐ นาฬิกา ๑๐ นาที คือ ๖ ทุ่ม ๑๐ นาที นั่นเอง ก็เดินทางออกจาก ฮาวาย ไปโดยสารเครื่องบิน U.A. ๘๒๒ เครื่องเดิม ตอนนี้ก็เดินทางจะไปหา L.A. L.A. นี่เป็นทางที่เคยไปบ่อย

บรรดาท่านพุทธบริษัทก็คง ไม่มีอะไร ไม่มีของแปลก ไอ้ภาพผีที่จะมาให้เห็นก็คงไม่มี ไม่มีผีจะให้เห็น นั่งภาวนาไปบ้าง ใคร่ครวญไปบ้าง นึกถึงความตายไปบ้าง นั่งไปดูอากาศ มองดูเมฆว่า ถ้าเครื่องบินตกมันไม่มีอะไรจะค้าง หรือถ้าเราจะโดดออกทางประตูฉุกเฉิน ก็ไม่มีความหมาย เหาะลงไปตาย

ก็คิดในใจว่า ถ้าเครื่องบินมันเสีย เราก็นั่งเฉย ๆ มันลงน้ำจมน้ำตายก็ดี เย็นดี ทีนี้ประการที่สอง ทางที่ดีเมื่อขณะที่เครื่องลงไป มันจะระเบิด ระเบิดปั๊ปตายทันที ก็สบายใจมาก ตอนนั้นก็คิดว่า ถ้าตายเวลานี้ เราจะไปไหน มันคิดถึงความตายตลอดเวลา เพราะว่า ก็มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า การนั่งเครื่องบิน ก็เหมือนกับนั่งโลงผีเหาะได้ มันเป็นเวลา พร้อมที่เราจะตายเป็นปกติ

เป็นอันว่า ก่อนจะถึง L.A. ก็ใคร่ครวญถึงภาพเดิมว่า หมอบุญเกิด เคยถามว่า ที่ L.A. หรือลอสแองเจลีสนี่ เขาเคยมีแผ่นดินไหวเป็นเหตุให้ตึกถล่ม เป็นมาแล้วก่อนหน้าจะไปที่นั่นปีแรก จำ พ.ศ. ไม่ได้ แล้ว หมอบุญเกิดเธอก็มาถามว่า จะเป็นอย่างนั้นอีกไหม

อาตมาก็ไม่มีญาณพิเศษเป็นเครื่องรู้ ก็ตอบกับเธอว่า อาการแผ่นดินไหวอาจจะเกิดขึ้นอีก แต่คงไม่ถึงขนาดนั้น คงไม่ถึงกับเสียหาย
เขาถามว่า เพราะอะไร
ก็เลยบอกว่า ก็เพราะมันเป็นไปแล้ว เป็นไปแล้ว ก็แล้วกันไป ก็คงไม่ซ้ำใหม่ ถ้ามันจะมีอาการอย่างนั้น ก็จะเป็นที่อื่น ไม่ใช่ที่เดิม

เพราะทั้งนี้ เธอถามถึงที่เดิมแล้วต่อมา หลังจากปีนั้นมา ก็ปรากฏว่า เมื่อปีที่แล้ว พ.ศ. ๒๕๓๑ ก็อาตมาอยู่ที่วัดท่าซุง มีโทรศัพท์มาถามวันละหลายราย คงเสียค่าโทรศัพท์กันมาก
ถามว่าหลวงพ่อ ไอ้ที่ตรงนั้นที่เธออยู่กันนะ พวกเธอที่โทรศัพท์มาอยู่แถวนั้น เขาบอกว่า แผ่นดินจะถล่ม แผ่นดินจะไหวจะถล่มเหมือนเดิม จะหนักกว่าเก่าบ้าง เหมือนเดิมบ้าง

อาตมาก็แปลกใจ ถามว่า รู้ได้อย่างไร
เธอก็ตอบว่า คำพยากรณ์ของฝรั่งคนหนึ่ง เขาเป็นหมอดูที่แม่นมาก และก็สามารถบอกชื่อคนได้ด้วย คนบุคคลไหนสำคัญ จะตายเมื่อไหร่อย่างเคนเนดี้นี่ เขาบอกเขียนไว้ถูกมาก และอาการต่าง ๆ ที่ผ่านมาก็เหมือนมาก

และแผ่นดินไหวแต่ละจุด เขาก็สามารถบอกถูกหมด เป็นไปตามวันเวลานั้นจริง ๆ ทีนี้ไอ้วันเวลาที่เขาว่าจะพยากรณ์ว่า ไอ้ที่ L.A. หรือลอสแองเจลีสนี่ มันจะถล่มใหม่เป็นครั้งที่ ๒ หนักกว่าเก่ามาก มันใกล้จะถึง
อาตมาฟังเธอถามว่า จะเป็นอย่างนั้นไหม จะเป็นเมื่อไร ก็นึกในใจว่า พุทโธเอ๋ย เรา ก็คือ คนธรรมดา มีความรู้สึกคนธรรมดา

บางครั้งบอกอะไรไป ถูกบ้าง มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของคน เป็นเรื่องธรรมดาจริง ๆ ไม่ใช่คนรู้วิเศษวิโสอย่างหลวงพ่อจง ถ้ารู้อย่างหลวงพ่อจง กำนันมากเอาเรือมาจอดหน้าบ้านแล้ว ท่านอยู่ที่วัด ทุกคนก็มองไม่เห็น อาตมานั่งอยู่ ก็มองไม่เห็น มันไกลกัน

แต่ท่านสามารถบอกเวลาได้ว่า เวลานี้ ท่านกำนันมากเอาเรือยนต์มาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว ยาสูบที่ซื้อมาเต็มลำ ก็เป็นอันว่า อาตมาเมื่อถูกถามแบบนั้น ก็รู้สึกว่าอัดอั้นตันใจ ไม่รู้จะตอบอย่างไร ในที่สุด ก็ใช้วิธีเดา

เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ มันจะถล่มเวลาไหนแผ่นดินจะไหวเมื่อไร แล้วก็แผ่นดินจะถล่มเมื่อไร ทุกคนที่ถามมาเธอมีกล้องวีดีโอไหม เธอไปนั่งคอยกาลเวลาที่ตรงนั้น ถ้าถึงเวลา ก็เตรียมถ่ายภาพแผ่นดินไหว ตึกมันโย้ขนาดไหน ตึกมันพังขนาดไหน ไปถ่ายให้ฉันดูด้วย แล้วก็แผ่นดินถล่มขนาดไหน เป็นอย่างไรกันบ้าง เธอถ่ายมาให้ดูด้วย แล้วก็เธอจมลงที่ไหนบ้าง เอาภาพถ่ายตัวเองมาให้ด้วย

เมื่อพูดอย่างนี้ก็ปรากฏมีผล นั่นคือว่า คนทุกคนที่โทรศัพท์มา กลับมีจิตชื่นขึ้น คิดว่า ไม่เป็นไร แต่ในที่สุด แผ่นดินไหวจริง ๆ กลับไปลงที่รัสเซีย อันนี้ก็ถือว่า บังเอิญ ขี้ตรงร่อง ไม่ใช่รู้จริง ถ้ารู้จริงจะต้องบอกเขาได้ว่า เวลานี้ที่นี่ไม่ลงแล้ว จะต้องไปลงที่รัสเซีย ต้องบอกแบบนั้น อันนี้ไม่รู้จริง พูดเดาส่งไป

ก็รวมความว่า ที่ลอสแองเจลีสเคยมา ๒-๓ ครั้ง ที่ว่าบรรดาพุทธบริษัทที่นี่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามีมาก มีวัดไทยที่นั่น วัดไทยที่นั่นก็มีความเจริญรุ่งเรือง อบรมธรรมแนะนำธรรมกันอยู่เสมอ ญาติโยมพุทธบริษัทก็เป็นนักใจบุญ เป็นนักบุญดีมาก

ก็รวมความว่า เป็นสถานที่ดี มีความมั่นคงจุดหนึ่งในพระพุทธศาสนา ครั้นเมื่อไปถึงเข้าจริง ๆ เวลาที่ไปถึงลอสแองเจลิส เป็นเวลา ๙.๑๕ น. ลองคำนวณเองก็แล้วกันนะ ออกจากฮาวาย ๖ ทุ่ม ๑๐ นาที เขาเรียก ๐๐.๑๐ น. ก็ไปถึงลอสแองเจลิสจริง ๆ ๙.๑๕ น. ของประเทศนั้น ไม่ใช่ประเทศไทย ถ้าเป็นประเทศไทยก็ประมาณ ๓ ทุ่มเศษ ๆ หรือเกือบ ๓ ทุ่มจำไม่ได้

ลอสแองเจลิสเวลาจะแตกต่างกับประเทศไทยอยู่ ๒ ชั่วโมง ประเทศไทยคงเป็นเวลาประมาณ ๑ ทุ่ม เพราะว่าแตกต่างกันนิดหน่อย ไปถึงที่นั่น ก็ปรากฏลูกหลานมารับเยอะ จำชื่อก็ไม่ค่อยได้หลายปีแล้ว จำชื่อได้ดี ๆ ก็เจ้าแดง หรือ สุชาดา แล้วก็คุณฉลาด คุณเย็นทรวง คือ เย็นจิต อาตมาล้อเล่นว่า เย็นทรวง และก็มีหลายคนต้องขอประทานโทษนะ จำชื่อไม่ได้จริง ๆ เห็นหน้าจำได้แต่นึกชื่อไม่ออก

และทุกคนก็เป็นคนหวังดี เคยช่วยเหลือไว้แล้วทุกอย่าง ไปที่นั่นเขาถือเป็นภาระของเขา เขาช่วยทุกอย่างหยุดการหยุดงานกันเลย อุตส่าห์มารับ วันนั้นถึงแม้จะผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็ถือว่า ทุกคนอาจจะต้องลางานกัน แล้วก็ฉันเพลที่นั่น พรนุชพยายามเอาข้าวต้มไป ที่นั่นก็จัดอาหารมา

รวมความว่า ถ้าถึงที่อเมริกาแล้วไม่ต้องกลัวอด ไม่เหมือนกับไปปีแรก ไปปีแรกที่ไปอเมริกาคงต้องเจี๊ยะอาหารฝรั่งตลอดเวลา คงไม่มีอาหารไทยแต่จริง ๆ แล้วเมื่อไปถึงอเมริกา ก็ทราบว่าร้านค้าอาหารไทยนี่เยอะจริง ๆ ไม่ใช่มีรัฐละร้าน มีจุด ๆ หนึ่งหลาย ๆ ร้านด้วยกันต่างคนต่างขายอาหารไทย

แล้วต่อมาก็อาศัยความโง่ ก็มานั่งนึกว่า คนไทยอยู่ในอเมริกาไม่กี่คนนัก ร้านอาหารไทยที่ตั้งขึ้นจะทรงตัวได้หรือ เพราะฝรั่งไม่ชอบอาหารไทย แต่พอไปถามเข้าจริง ๆ ปรากฏว่าฝรั่งชอบอาหารไทยมาก ยืนเข้าคิวรอกัน อย่างประเทศอเมริกาเขามีระเบียบอย่างหนึ่งคือว่า ร้านนี้จะต้องบรรจุคนได้เท่านี้ เวลานั่งกิน ก็ต้องเท่านั้น เกินไม่ได้ พวกที่จะกินต่อไป เมื่อมาถึงแล้ว ก็ต้องไปยืนคอยเข้าคิวกัน

ก็รวมความว่า ฝรั่งจะมากินจริง ๆ ในเมื่อร้านแน่น ฝรั่งก็ยืนคอยกันเป็นระเบียบ นี่รู้สึกว่า ของเขาดี แสดงว่าอาหารไทยรุ่งเรือง ทั้งในอเมริกา ทั้งในอังกฤษ ทั้งในอิตาลี เยอรมัน เขามีทุกชาติกันอย่างละหลาย ๆ ร้าน อย่างฝรั่งเศสนี่ เก๋ไปเลยเอางอบเข้าไปแขวน

วกกับเข้าเรื่องใหม่ ไปถึงลอสแองเจลีสลูกหลานก็มารับ ทุกคนมีความหวังดีนำอาหารการบริโภคมาให้ ให้ความสะดวกทุกอย่าง ต้องการอะไร ก็วิ่งกันตึ๊กตั๊ก ๆ มีการคล่องตัวดีมาก ต้องขอขอบใจทุกคนนะ อาตมาไปก็ไม่มีอะไรจะไปให้ นอกจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งกินกันบ้างคุยกันบ้าง คอยเวลากันบ้าง

เมื่อถึงเวลาจริง ๆ ถึงเวลา ๑๓.๑๐ น. ก็ออกเดินทางจากลอสแองเจลีส โดยเครื่องบินภายในประเทศเขาเขียนโดยเครื่องบิน U.A. ๐๕๔ เป็นเครื่องบินภายในประเทศของบริษัทยูไนเต๊ดเหมือนกันเขาก็บินไปส่งที่วอชิงตัน ไอ้วอชิงตันนี่ความจริงเป็นรัฐเวอร์จิเนียนะ รัฐเวอร์จิเนียนี่จริง ๆ เป็นสถานที่ตรงกันข้ามกับวอชิงตัน

เหมือนกับ ฝั่งธนฯ กับฝั่งพระนคร แล้วก็มีสะพานพุทธยอดฟ้าคั่นอยู่แบบนั้น สะพานของเขาจริง ๆ ก็เป็นสะพานรูสเวลส์ ก็ไปถึงวอชิงตันเวลาเท่าไหร่ ออกจากลอสแองเจลีส ๑๓.๑๐ น. ถึงวอชิงตันจริง ๆ ๒๐.๔๓ น. มันเป็นเวลาของรัฐ แต่ละรัฐก็ตรงกับประเทศต่างกัน เวลาไม่เสมอกัน เวลาของรัฐเวอร์จิเนียหรือวอชิงตันนี่

อาจจะไวกว่าประเทศไทยสัก ๒ ชั่วโมงละมั้ง ใช่แล้ว และชิคาโกก็พอ ๆ กับประเทศไทย มาเดนเวอร์ก็จะช้ากว่าประเทศไทย ๒ ชั่วโมง ลอสแองเจลิสจะช้ากว่าประเทศไทย ๒ ชั่วโมง จะเป็นอย่างนั้นนะมันถึงต่างกันมาก

เป็นอันว่า เวลา ๒๐.๔๓ น. ถึงวอชิงตัน นำคณะเข้าสู่ที่พัก ณ เวอร์จิเนียตรงกันข้ามกับวอชิงตัน ฝั่งคนละฝั่ง มาตอนนี้มีอะไรบ้าง บินภายในประเทศ บรรดาพุทธบริษัทก็ถือว่า โลงผีบินต่ำ บินต่ำกว่าการข้ามประเทศ และประการที่สอง อันตรายคือว่า มรสุมก็ไม่มีนั่งมาเป็นปกติ

แต่ว่ามีบางครั้ง ที่ทางเจ้าหน้าที่เครื่องบินบอกว่ารัดเข็มขัด นั่นหมายถึง มีลมแรงเรืออาจจะมีอันตรายก็ได้ เขามาถึงวอชิงตัน เขานำคณะเข้าสู่รัฐเวอร์จิเนียแล้วนะ ใกล้กันนิดเดียวนะเข้าที่พักเรียบร้อยเป็นเวลา ๒๐.๔๓ น. คือว่า ที่ตรงนี้น่าจะคุยไว้สักนิดหนึ่ง คุณลือชา เจ้าของร้านอาหารเป็นคนไทย คนไทยที่มีสมรรถภาพเป็นพิเศษคนหนึ่ง ก็เรียกว่าเป็นนักเรียนรุ่นน้อง ดร.ปริญญา นุตาลัย อาจจะน้องกว่า ๑ ปี

คุณลือชา นี่ชมเชย ดร.ปริญญา มากชมว่า ดร.ปริญญา เป็นรุ่นพี่ ๑ ปีหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แต่ว่าเทรนวิชาความรู้ให้ และ ดร.ปริญญา มันสมองไบร์ทมาก คือฉลาดมาก จำได้เก่ง คุณลือชา มารับ คุณลือชาก็บอกว่า หลวงพ่อครับ เมื่อสองวันมาแล้วมันหนาวจัด มาตอนเช้านี่ยังหนาวเย็น

แต่ว่าตั้งแต่บ่ายวันนี้อากาศดีมาก ลดเหลือประมาณ ๒๐ องศา เมื่อก่อนคงจะเย็นเกือบต่ำสุดเลย ๐ ลงไปหน่อย ๆ และเวลานี้เหลือประมาณ ๒๐ องศา อาตมาก็มีความรู้สึกอย่างนั้นว่า อากาศกำลังพอดี ๆ
ทีนี้ว่าถึงเรื่องอากาศ คงจะพูดสักหน่อยหนึ่งเพราะเป็นคนที่มีคติชอบฝัน ความจริงบังคับการฝันไม่ได้ ก่อนหน้าจะไปอเมริกาสัก ๒--๓ วัน

ตอนเช้ามืดใกล้ตี ๒ ตื่นขึ้น เวลาครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็เห็นภาพท่านหนึ่งมาลอยอยู่ข้างหน้า ท่านก็ถามว่าไปอเมริกาคราวนี้ ต้องการความเย็นสักเท่าไร เพราะแดนที่ไปสองจุด อย่างรัฐเวอร์จิเนียก็ดี ชิคาโกก็ดี เวลานี้มันต่ำกว่าศูนย์

ก็บอกกับท่านภาพนั้น บอกว่าขอสัก ๑๘ องศาก็แล้วกันพอทนไหว ท่านก็บอกว่า ๑๘ องศานี่ไม่เป็นเรื่อง มันยังเย็นมากไปเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คณะของเธอให้มีความรู้สึกเย็นแค่ ๒๐ องศาขึ้นไป ภาพนั้นพอเสียงนั้นพูดแล้วก็หายไป เรียกคืนไม่ได้อีก จะถามท่านว่า รัฐไหนเย็นเท่าไร ร้อนเท่าไร แต่ท่านบอกว่าไม่ต่ำกว่า ๒๐ องศา นอกนั้นก็จะอุ่นขึ้น เสียงนั้นก็หายไปก็บังเอิญจริง ๆ

เมื่อมาถึง L.A. ความรู้สึกก็มีปริมาณ ๒๐ องศา กำลังสบายเดินไปเดินมาคุยสะดวก และไปถึงรัฐเวอร์จิเนีย ที่วอชิงตันก็ประมาณ ๒๐ องศา เอาปรอทออกมาดู ๒๐ องศาตรง ไม่ใช่ประมาณ ในเมื่อเข้าที่พักแล้ว ภาระการเลี้ยงอาหารก็เป็นหน้าที่ของคุณลือชา คุณลือชานี่ดีจริง ๆ ตอนกลางคืนก็นำเครื่องดื่มมาถวาย ถวายกันทั้งวัน คิดแล้วค่าสูงมาก

พอถึงเวลาเลี้ยงอาหาร ก็เลี้ยงที่ร้าน โอ้โฮ ดูค่าอาหารก็หนักเลี้ยงเป็นพิเศษจริง ๆ ทุกคน ไม่ใช่เลี้ยงเฉพาะพระ รวมความว่า คุณลือชาอาจจะลงทุน แหมเยอะ ค่าอาหารเยอะมาก เพราะราคาในประเทศอเมริกาก็ไม่เหมือนราคาในประเทศไทย

ถามคุณลือชาว่า ฝรั่งชอบมากินไหม คุณลือชาบอกชอบกินจริง ๆ ฝรั่งมาประจำ ฝรั่งนี่ก็ชอบพวกลาบ พวกพร่า แต่เวลานั้นมีคนที่ร้านเขาบอกว่า มีฝรั่งบางคนชอบอาหารอะไร จะมาเมื่อไรก็สั่งอาหารแบบนั้น เป็นที่ถูกใจของเขา คุณลือชาบอกว่า การตั้งตัวของเธอ ก่อนที่มาอเมริกา จะมาเรียนหนังสือ มีเงินมา ๖๒๐ เหรียญ ก็ต้องมาทำงานทุกอย่างเพื่อการสร้างตัว เอาทุนเรียนด้วย แล้วก็ใช้จ่ายด้วย ต้องทำงานกับฝรั่งเพื่อหาเงินมา

แต่ว่าเวลานี้บรรดาพุทธบริษัท คุณลือชามีเงินถึง ๑๐ ล้านเศษแล้ว คำว่า ๑๐ ล้าน ก็ไม่ทราบเหมือนกัน เธอบอกประมาณ ๑๐ ล้านจะเป็น ๑๐ ล้านไทย หรือ ๑๐ ล้านฝรั่ง ก็ไม่ทราบ ทีนี้มีปัญหาว่า ฝรั่งเขาไม่พูดกันถึงเงินไทย เขาพูดเงินฝรั่งกัน กี่ดอลล์ ๆ ก็ว่าไป ไม่พูดกี่บาท ไอ้คำว่า ๑๐ ล้าน คงจะเป็นเรื่องของเงินทางอเมริกามากกว่า

แต่คุณลือชาก็บอกว่า ไม่ใช่ขายอาหารรวย ที่เงินมีขนาดนั้น ไม่ใช่ขายอาหารอย่างเดียว ทำธุรกิจอย่างอื่น หมายความว่า ซื้อที่ดินบ้าง อะไรบ้าง ทำทุกอย่างที่มันจะพึงได้ หลังจากนั้นก็มีเรื่องอีกนิดหนึ่ง บรรดาท่านพุทธบริษัท มีเรื่องอีกหน่อยหนึ่งที่จะคุยกัน เมื่อเข้าไปถึงที่พักที่คุณลือชาจัดให้

ที่รัฐเวอร์จิเนีย ตอนนี้บรรดาพุทธบริษัทก็นอนเป็นธรรมดา นอน เพลียย่ำแย่แล้ว ก็ดี คุณลือชาไม่ให้ใครมาพบ รู้สึกว่าทำงานถูกต้อง ไอ้ไปใหม่ ๆ มีคนมาพบ ก็เครียด ไม่ไหว ที่ชิคาโก เขาก็เหมือนกัน วันไปวันแรก ไม่มีใครมาแต่ความจริงถ้ามากันวันนั้น

แทนที่จะชื่นใจมาก ๆ ก็อาจจะเป็นการกวนใจก็ได้ มันเหนื่อยไป นี่เรียกว่า เขาดี มีมรรยาทดีหรือว่ามีจริยธรรมดี อะไรก็ว่าไป ตามเรื่องตามราวแล้วกันนะ
ต่อมานอนลงไป เวลาเช้ามืด ก็เห็นจะเป็นเวลาตี ๒ เศษ ๆ รัฐเวอร์จิเนียต้องถือรัฐนั้น ไม่ใช่รัฐของเรา เมื่อถึงเวลาตี ๒ เศษ ๆ ตื่นขึ้นมา ครึ่งหลับครึ่งตื่น บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าลืมนะ ไม่ใช่ฌานสมาบัติ ไม่ใช่ญาณเป็นเครื่องรู้ อารมณ์เคลิ้มแบบนี้ก็บอกมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า มีมาตั้งแต่เด็ก

มีมองเห็นคนนอกที่พัก ทางเดินข้างนอก เป็นผู้ชายผอม ๆ คนหนึ่งเดินล่องใต้ หลังจากนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่หมวกเหมือนหมวกญวน คนนี้ท้วม ๆ เดินสวนทางกับผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนนั้นมีคานมา ผู้หญิงถือกระจาดมา พอถึงตรงหน้า ผู้หญิงก็วางกระจาด เข้าไปแย่งคานผู้ชาย

เป็นอันว่า ผู้ชายเกือบจะเสียท่า เพราะผอมกว่า ก็มีฝรั่งคนหนึ่ง เดินออกไปจากที่อาตมาพัก สูงโปร่งค่อนข้างผอม เดินออกไปแล้วก็ไปห้ามสองคนนั่นให้เลิกกัน เมื่อฝรั่งคนนี้เดินไป ใกล้จะถึงสองคน ต่างคนต่างแยกกันไปแสดงว่าเกรงใจฝรั่งคนนี้ เมื่อฝรั่งคนนั้นเดินเข้ามา อาตมาก็ถาม

ตอนนั้นมีความรู้สึกในความฝันว่าถามว่า คุณเป็นภูมิเทวดารักษาที่นี่หรือ
ฝรั่งคนนั้นก็ตอบว่า ใช่ครับ ผมเป็นภูมิเทวดารักษาที่นี่
ก็ถามว่า คุณเอาบุญมาจากไหน ที่นี่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา ความจริงเวลานั้นในความฝันมันช่วยอะไรไม่ได้ มันคิดอะไรไม่ได้ เอาความโง่ไปถามเขา คุณทำบุญอะไร ทำไมจึงเป็นเทวดาที่มีบุญน้อย ภูมิเทวดาถือว่าเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยกว่าเทวดาทั้งหมด คุณน่าจะบำเพ็ญกุศลให้มีบุญกว่านั้น

เธอก็ตอบว่า ในเมื่อผมมีเท่านี้ จะให้ผมได้ขนาดไหน
ก็ถามว่า เธอทำบุญอะไร

เธอก็ตอบว่า ในสมัยผมเป็นมนุษย์ ผมเป็นคนรวยมากครับ ผมเป็นคนอเมริกัน แต่ทว่าเวลาทำบุญคนที่รับบุญจากผม คือ การให้ทาน เป็นคนไร้ศีลไร้ธรรม ศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์ บางคนก็มี ๑ บ้าง ๒ บ้าง ธรรมะในการปฏิบัติก็มี เห็นแก่ตัวมาก ผมทำบุญมาก เป็นคนรวย ทำบุญมาหลายปี ให้ทานแบบนี้มาหลายปี แต่อาศัยที่ทำบุญกับคนที่มีศีลมีธรรมน้อย บางคนก็ไร้ศีลไร้ธรรม จึงมีอานิสงส์ได้น้อยเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยมาก เป็นภูมิเทวดา

วันรุ่งขึ้นคุณลือชาก็พาข้ามไปรัฐวอชิงตัน ไปเจอะไวส์เฮาท์ คือ บ้านขาวหลังนั้นเห็นจะเป็นบ้านที่สร้างมานานแล้ว ก็สภาคองเกรสมีกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ เยอะ มองไปแล้วดูเหมือนว่า จะไม่มีศูนย์การค้า ศูนย์การค้าจริง ๆ ต้องข้ามมารัฐเวอร์จิเนียละมั้ง อาตมาไม่ได้ไปทั่วนะบรรดาท่านพุทธบริษัท เอาแต่ที่รถผ่านไป

คุณลือชาก็อธิบาย ที่นั่น ไอ้นั่น ที่นี่ไอ้นี่ ไปดูที่ไวส์เฮาท์ แหม...เขาก่อซีเมนต์หลักใหญ่มาก ยื่นออกมาในถนนเยอะยาวเหยียด คุณลือชาก็บอกว่าหลังจากที่เมืองแขก ไอ้เมืองแขกตะวันออกกลางมันรบ คนมันตัดสินใจยอมตายด้วยระเบิดใส่รถ รถไปชนสถานที่ แล้วเกิดระเบิดขึ้นทำให้ตึกพัง เขาเกรงว่าไวส์เฮาท์จะเป็นอันตรายแบบนั้น

รั้วข้างในก็มีโครงแข็งแรง มีรั้วพิเศษใหญ่มาก กั้นรถชนไม่พังแน่กันความตาย เป็นที่พักของประธานาธิบดี แล้วเธอก็ชี้ดูว่าถนนสายนี้ครับ ถ้าใครได้เป็นประธานาธิบดีเขาก็แห่กันถนนสายนี้ นั่นก็ไปตามระเบียบ ก็ไปดูที่สภาคองเกรสเป็นสภาที่มีความสำคัญ ก็รวมความว่า ไปถ่ายภาพไว้ที่นั่น นิดหน่อย แล้วก็ถ่ายภาพที่อื่นตามสมควร

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท เสียงสัญญาณบอกเวลามันเตือนแล้ว ก็ขอลาท่าน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 28/3/11 at 14:36 [ QUOTE ]


9
รัฐเวอร์จิเนีย ชิคาโก เดนเวอร์


วันนี้มาพบบรรดาพุทธบริษัท เป็นวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๓๒ เป็นวันบันทึกเสียง คราวก่อนได้มายับยั้งอยู่ที่รัฐเวอร์จิเนีย รัฐเวอร์จิเนียนี่ก็ตรงกันข้ามกับวอชิงตันมีสะพานข้ามที่เรียกกันว่า สะพานรูสเวลส์ เหมือนกับ ฝั่งธนฯ ฝั่งพระนครของเรา

เมื่อไปวอชิงตันกลับมา ย้อนกลับบ้านของคุณลือชา นี่อยู่รัฐเวอร์จิเนีย พอข้ามสะพานมาแล้ว ก็มาพักที่กองบัญชาการทหารสูงสุด ที่พูดอย่างนี้อย่าเข้าใจว่า เข้าพักข้างในนะ พักข้างนอกหน้ากองบัญชาการทหารสูงสุด มายืนอยู่ที่โคนต้นไม้ลมเย็นมาก

เหลียวไปดูกองบัญชาการทหารสูงสุดของอเมริกา ของเขาใหญ่กว่ากระทรวงกลาโหมของเรามาก
แต่ทว่าทหารที่มองเห็น เห็นมีทหารอยู่แค่ ๓ คน ทหาร ๓ คนนี่เก่งกาจมาก ไม่กลัวแดด ไม่กลัวลม ไม่กลัวฝนทุกอย่าง แสดงว่า อเมริกาเขาฝึกฝนได้ดี

ทหารพวกนี้ก็เหมือน ๆ กับทหารของเราที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ไม่กินข้าวไม่กินปลา ไม่แก่ไม่หนุ่มกว่าเดิม ไม่อ้วนไม่ผอมกว่าเดิม นั่นคือ ทหารหล่อ ยืนถือธงอยู่และเรื่องกองบัญชาการทหารสูงสุดของอเมริกานี่ เขาจะมีงานอะไรบ้าง มีคนกี่คน มีภาระหน้าที่อย่างไร ก็ไม่ทราบ

แต่ว่าเท่าที่ทราบ เท่าที่ยืนอยู่หน้ากองบัญชาการทหารสูงสุด ริมข้างถนนมีต้นไม้ลมเย็นมากก็เลยนั่งตากลมกันอยู่ มองไปดูฝั่งวอชิงตัน ก็เห็นตึกรามบ้านช่องหรูหรา แต่ว่าดูเหมือนจะ ไม่ค่อยจะมีร้านค้าเหมือนของเรา ตลาดร้านค้าเขาไม่มี เขามีแต่ศูนย์การค้า แต่ฝั่งวอชิงตันจริง ๆ นี่มีศูนย์การค้าบ้างหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ เพราะว่าผ่านไปเฉย ๆ

แต่ว่าสิ่งที่น่าสังเกตก็คือ เครื่องบิน เครื่องบินโดยสารภายในประเทศของเขาที่วอชิงตันก็คือ L.A. ก็ดี L.A. คือแคลิฟอร์เนียแล้วชิคาโกก็ดี เท่าที่ผ่าน เห็นเครื่องบินขึ้นทุก ๓ นาที เครื่องบินโดยสารใหญ่ ๆ ของเขานี่ละขึ้นทุก ๓ นาที

ก็เป็นอันว่า วันหนึ่ง ๆ อเมริกาใช้น้ำมันเท่าไรไม่ทราบ เรื่องนี้ก็ไม่มีความสำคัญ ต่างคนต่างถ่ายรูปกันไว้เป็นอนุสรณ์ หลังจากนั้นก็เดินทางไปศูนย์การค้าที่เขาลือว่าเป็น ศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่ทราบ เขาว่ากันอย่างไรนั้น ในเมื่อเขาว่ากันอย่างนั้น ก็ไปดู

เดินศูนย์การค้า ถ้าถามว่า ซื้ออะไรบ้าง ก็ต้องตอบว่า ไปเดินดู ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อ เพราะสิ่งที่จะซื้อ มันไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร ที่ตั้งใจจะซื้อจริง ๆ ก็จะซื้อที่ชิคาโกบ้าง ที่ L.A. บ้าง L.A. คือแคลิฟอร์เนีย หรือลอสแองเจลีส ก็ตั้งใจจะซื้อที่นั่น

ฉะนั้น ที่นี่จึงมีหน้าที่ดู ไปดูร้านค้าร้านหนึ่งที่ตั้ง แต่งหน้าร้านแปลก ก็คือว่า เอาผู้หญิงสาว ๆ จะสาวขนาดไหนก็ไม่ทราบ ไม่เห็นผิวชัด เธอคลุมหมดนุ่งผ้าสีน้ำเงินแก่คล้าย ๆ สีดำ แต่งหน้าแต่งตา ทำเหมือนคล้าย ๆ กับไก่ หรือนก ยืนอยู่ เขาจ้างคนยืนอยู่ มีการจัดกลุ่มกัน

และนี่ก็เป็นลีลาของการค้า ว่าจะซื้ออะไรก็รู้สึกเกรงใจคุณลือชา ทั้งนี้ก็เพราะว่าจะซื้ออะไรก็ตาม คุณลือชาจะต้องพยายามควักกระเป๋าอยู่เสมอ ก็ซื้อบ้างบางอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เห็นใจเธอ ความจริงสตางค์ที่จะซื้อของนั้นมีอยู่ เอามาจากไหน ไม่ใช่เงินที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทให้เป็นค่าเครื่องบิน

แต่ทว่าเป็นเงินดอลล่าร์ที่บรรดาลูกหลานที่อเมริกาส่งมาให้ เวลา ๓ ปี รู้สึกว่าส่งมาให้มาก พอที่ทำการซื้อแล้วก็ยับยั้งไว้ว่าจะไปซื้อที่ชิคาโกกับ L.A. หลังจากนั้นก็กลับสถานที่พัก เล่ากันลัด ๆ เพราะว่ามันไม่มีอะไรมาก เมื่อกลับสถานที่พักแล้ว ต่อไปก็เตรียมตัววันรุ่งขึ้น เตรียมตัวเดินทางต่อไปยังชิคาโก

ดูตามหนังสือเขาเขียนว่าวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๓๒ ฮาวาย, ลอสแองเจลีส , วอชิงตัน อันนี้ผ่านมาแล้วนะ เผลอไป อ่านผิด ก็ต่อไป เขาบอกว่าวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๓๒ เวอร์จิเนีย ไอ้นี่ก็ผ่านมาแล้วนะ แล้วก็วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๓๒ วอชิงตัน , ชิคาโก

ก็รวมความว่า หลังจากอาหารเช้าแล้ว เวลา ๗.๐๐ น. รับประทาอาหารเช้าแล้ว อิสระตามอัธยาศัย เกือบจะลืมบอกไป บอกว่า เพราะว่ามาที่รัฐเวอร์จิเนียนี่ คุณลือชา ไปรับที่สนามบินปรากฏว่า บอกว่า เมื่อตอนเช้านี่เย็นจัดครับ แต่เวลาเข้าไปถึงจริงอากาศประมาณ ๒๐ องศา กำลังสบาย

แต่สำหรับมาตอนเช้านี่ซิ ตอนที่จะเดินทางต่อไปชิคาโก คือ เช้าวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๓๒ ตั้งแต่เวลาหกโมงเช้า ปรากฏว่าอากาศหนาวจัด คุณวิรัช ตั้งใจจะไปถ่ายภาพตึกที่พักเพื่อเป็นอนุสรณ์ แต่ปรากฏว่าหนาวจัด ออกไปจากตึก ข้างในเขามีเครื่องทำความร้อนให้เกิดความอบอุ่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหนาว

แต่พอออกไปข้างนอก ก็หนาวทนไม่ไหว ถ่ายภาพไม่ได้ มันหนาวจัด แต่การหนาวจัดอย่างนั้น เป็นหนาวด้วยเวลาประมาณเกือบโมงเช้าก็คลายตัวกลับมาเป็นอากาศประมาณ ๒๐ องศาตามปกติ เขาบอก เวลา ๗ โมงเช้า อิสระตามอัธยาศัย

แล้วเวลากลางวัน เวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา อาหารกลางวันแล้วก็นำท่านชมเมืองวอชิงตัน นำชมที่ตั้งรัฐสภา สภาสหรัฐ แล้วก็ผ่านที่ทำการศาลฎีกาซึ่งได้รับสมญาว่า เป็นสมองของรัฐบาลสหรัฐ แล้วก็เป็นที่รวมตำราทางวิชาการทุกแขนงไว้อย่างครบครัน

แล้วก็ชมอนุสาวรีย์วอชิงตัน อนุสาวรีย์ลินคอนส์ และก็ผ่านชมหน้าทำเนียบขาว ต่อมา ๑๗ นาฬิกา ของวันที่ ๑๙ เมษายน เวลา ๑๗ นาฬิกา ออกเดินทางจากวอชิงตัน โดยเครื่องบิน U.A. ๘๓๑ ทีนี้เดินทางไป ชิคาโก

ขอเล่าให้ฟังเป็นการรวมว่าการเดินทางคราวนี้ทุกเที่ยว ทางเครื่องบินจะต้องสั่งให้รัดเข็มขัดไว้เสมอ ประเดี๋ยวก็สั่งรัดเข็มขัด ๆ เพราะว่า ลมแรงมาก มรสุมมาก
ก็เป็นอันว่า นั่งเครื่องบินจากวอชิงตันโดยเครื่อง U.A. ๘๓๑ ก็มาถึงชิคาโกเวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ออกจากโน่น ๑๗.๐๐ นะ แต่ที่นี่ ๑๘.๐๐

แต่ความจริงเวลาจากรัฐเวอร์จิเนียหรือวอชิงตันนี่ มันช้ากว่าชิคาโก ๑ ชั่วโมง ดูตามนี้เป็นเวลาห่างกัน ๑ ชั่วโมง แต่ความจริงนะ ๒ ชั่วโมง ชิคาโกเขาช้ากว่า รัฐเวอร์จิเนียเร็วกว่า เวลา คือรัฐเวอร์จิเนียนี่ หรือว่าวอชิงตันเร็วกว่าประเทศไทย ๑ ชั่วโมง

อันนี้ก็หมายความว่า ถ้าตั้งนาฬิกาเราตั้งเที่ยงวันของเรา และก็ตั้งเที่ยงคืนของเขา แต่ว่าของเขาไม่ใช่เที่ยงคืน ของเขาจะกลายเป็นตี ๑ เทียบอย่างนี้ก็แล้วกันนะ แล้วสำหรับที่ชิคาโกนี่ เที่ยงวันของเราก็เที่ยงคืนของเขา ที่เดนเวอร์ ถ้าเที่ยงวันเรา เป็นห้าทุ่มของเขา

ถ้าที่ลอสแองเจลีสเที่ยงวันของเราเป็นสี่ทุ่มของเขา เวลาต่างกันตามนี้
เมื่อถึงชิคาโก ก็นำคณะเข้าที่พัก ตามหมายกำหนดการเขาว่าอย่างนั้นนะ เมื่อถึงชิคาโกแล้วคณะบ้านหมอสุภรณ์ มีคุณไพโรจน์ หมอสุภรณ์และก็คุณอะไร นึกชื่อภรรยาคุณไพโรจน์ไม่ออกเสียแล้ว กับน้องสาวแล้วก็คุณสมคิด คุณพรศรี สองสามีภรรยา

แล้วก็มีคณะ มากหลายคน จำชื่อไม่ได้ ต้องขออภัยด้วยนะ ต่างคนต่างก็ไปรับ ให้ความอบอุ่นทุกคนให้ความสะดวกดีมาก และการเดินทางคราวนี้ก็มีการคล่องตัว ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค ก็มาถึงบ้านหมอสุภรณ์และคุณไพโรจน์ คุณสุดา นะ และน้องสาวคุณสุดา นะ จำชื่อไม่ได้ก็เข้าที่พัก

ก็มีลูกหลานญาติโยมบางคนมาพบ แต่ว่ามาส่วนน้อยเฉพาะพวกที่ไปรับญาติโยมลูกหลานต่างที่ นอกจากนั้นเขายังไม่มากัน เพราะเขาทราบว่าเหนื่อยเมื่อเดินทางไปถึงเหนื่อย ๆ เขาก็ให้โอกาส อันนี้ต้องขอขอบคุณบรรดาลูกหลาน และญาติโยมทุกคนให้ทราบด้วย

เป็นอันว่า เล่าความเป็นมาเสียก่อน ที่บ้านหมอสุภรณ์นี่ คราวที่แล้วก็ไปพักไปพักก็มีความสุขมาก แต่ว่าร่างกายมันเป็นทุกข์ป่วยเกือบตาย ทำท่าจะตายเอา ตอนนั้นอาการมันหนักมาก คือมันป่วยตั้งแต่วันเดินทางจากประเทศไทย ไปถึงที่นั่นแล้วถ่ายไม่ออกล้างก็ไม่ออก

เอาน้ำล้างเข้าไป น้ำล้างไม่ออกอีก ความอึดอัด ต้องอยู่ด้วยกำลังใจขนาดหนัก จะเรียกว่า เป็นสมาธิสูงได้ เพราะว่าสมาธิเราหนัก ต้องควบคุมกำลังใจ เมื่อถึงเวลาแล้ว ก็ลงไปแนะนำกรรมฐานตามเวลาปกติ แต่ว่าพูดอะไรมากไม่ได้ ได้อาศัย ดร.ปริญญา เป็นคนพูดแทน

แต่ก็ขอบใจบรรดาลูกหลานญาติโยมที่รักทุกคน ส่วนใหญ่มาเจริญกรรมฐานกัน มาฟังธรรมกัน มาตั้งใจรักษาศีล แต่มาเที่ยวนี้คุณไพโรจน์นะเป็นนักจ่าย นักจ่าย นักซื้อโน่น ซื้อนี่ให้ เที่ยวนี้ก็มีหมอ หมอสุภรณ์ พี่สาวใหญ่ ซื้อรถตัดหญ้าให้ ๑ คัน

และก็ทราบว่าสุภรณ์ เล็ก ๆ เรียกกันว่า โต ซื้อรถตัดหญ้าให้อีก ๑ คัน กำลังเดินทางมาวันนี้วันที่ ๑๓ มิถุนายน นี่ยังมาไม่ถึง
เป็นอันว่า และก็นอกจากนั้น คุณไพโรจน์ก็ซื้อหลาย ๆ อย่าง ความจริงซื้อให้มากจริง ๆ เที่ยวนี้ก็มี เครื่องแฟ็ก โทรสารสองเครื่อง

มีหุ่น ๒ ตัว หุ่น ๒ ตัวก็ราคาแพงแล้วก็เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ คุณไพโรจน์ชอบไฟฟ้า ก็ตรงกันกับจุดหมายปลายทางของอาตมาเหมือนกัน อาตมาชอบอุปกรณ์ไฟฟ้าเหมือนกัน เครื่องไฟฟ้านี่มันสะดวก ก็เป็นอันว่าลงทุนกันหนักที่นี่

ตอนพักก็มีความสุขเขาสร้างบ้านให้ ๑ หลัง ที่อาบน้ำเป็นพิเศษ เวลาเข้าห้องอาบน้ำ สวยบอกไม่ถูกเลย เราเข้าเพียงคนเดียวมีเพื่อนช่วยถ่ายเป็นร้อย นั่นคือกระจกเงา กระจกเงานี่เป็นพิเศษจริง ๆ นั่งอยู่คนเดียวเห็นภาพซ้อนเป็นร้อย ๆ ก็เลยนั่งถ่ายเพลิน มีเพื่อนไม่กลัวผี

ก็รวมความว่า ที่นี่ยังไม่มีอะไรแปลก แล้วที่แปลกขึ้นมาใหม่ก็คือ ชาวเวียงจันท์ มีโยมชาวลาวเวียงจันท์ ๓-๔ คนมาปฏิบัติกรรมฐาน แต่หัวหน้าลืมชื่อเสียแล้ว องอาจมาก มีความฉลาด มีปฏิภาณดี

ฉันถามว่า โยมรักษาศีล ๕ ครบมากี่ปี
เธอบอกว่า รักษาศีล ๕ ครบมา ๔ ปีเศษ
แล้วก็ต่อท้ายว่า เวลานี้ผมไม่ได้รักษาศีลครับ ผมให้ศีลรักษาผม

คนนี้มีความสำคัญมาก บรรดาพุทธบริษัท ถือว่าเป็นคน เข้าถึงจุดกระแสพระนิพพานจริง ๆ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ถ้ามีศีลบริสุทธิ์เสียอย่างหนึ่ง ไตรสรณาคมน์ก็ครบ ต้องเป็นคนนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ถ้าไม่นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ จะรักษาศีลบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างนั้นไม่ได้ จึงให้ศีลรักษา

จะถามว่า เป็นพระอริยเจ้าหรือยัง อันนี้ก็ไม่ตอบ ตอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่พระพุทธเจ้า จะไปพยากรณ์เขา เอาเป็นแต่เพียงว่า ท่านรักษาศีลบริสุทธิ์ได้ก็แล้วกัน ก็ได้อาศัยคนนี้คุยกัน
ต่อมาวันรุ่งขึ้นก็ไปบ้านคุณสมคิด คุณสมคิดนี่ไปตั้งร้านค้าอาหารอยู่ที่ชิคาโก เวลาปีนี้ไปพบเธอปลูกบ้านใหม่ บ้านใหญ่มาก

แต่ว่าภรรยารู้สึกหนัก ๆ ใจนิดหนึ่ง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเธอบอกว่าสมัยที่อยู่บ้านหลังเล็ก ขายอาหารได้ มีกำไรเก็บเงินไว้เสมอ แต่ว่ามีปลูกบ้านหลังใหญ่เข้า เงินยังจ่ายเขาไม่หมด ในเมื่อเงินจ่ายไม่หมด ก็ต้องผ่อนส่งเขา เธอหนักใจ เป็นอันว่าเธอหนักใจก็เป็นเรื่องธรรมดา

รุ่งขึ้นก็ปรากฏว่า ไปฉันภัตตาหารที่นั่นตอนเพล และมีเรื่องจะคุยกันนิดหน่อย ลูกหลานญาติโยมพุทธบริษัทก็ไปกันมาก บ้านนี้เป็นที่น่ารื่นรมย์อีกหลังหนึ่ง นอกจากบ้านหมอสุภรณ์ก็มีที่น่ารื่นรมย์ประดับประดาสวยสดงดงามกว้างขวาง เป็นที่พักได้มาก

สถานที่เจริญกรรมฐานคุยธรรมะกัน ก็มีที่กว้างขวางมาก เรียกว่า พอ เป็นบ้านหลายชั้น มาที่บ้านคุณสมคิดที่สร้างใหม่ก็ใหญ่โต หรูหราเยือกเย็นมีความสุข เป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ เวลาที่เขาถวายภัตตาหารเพล ตอนถวายข้าวพระ

ตามที่หลวงพ่อปานสั่งบอกว่า เธอ เวลาก่อนกิน ก่อนนอน ตื่นใหม่ ๆ ก่อนหลับ จะต้องนึกถึงพระ ท่านว่าอย่างนั้นเป็นการบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันก่อน ตอนบูชาพระ

บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าลืมว่า เวลานั้นไม่ใช่เวลากรรมฐาน ไม่ใช่เวลาเจริญฌาน ใช้กำลังใจนิดหน่อย ควบคุมกำลังใจนิดนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระอริยสงฆ์ ที่ท่านเป็นผู้มีคุณ เราจะห่มผ้ากาสาวพัสตร์ได้ก็เพราะอาศัยท่าน จิตก็สงบเล็กน้อย

มีอารมณ์วูบเผลอ ก็ปรากฏเห็นคนคนหนึ่งยืนหน้าโต๊ะ ความจริงคนไทยเรายืนอยู่มากและก็นั่งเยอะ ดูไปทั้งหมด เหมือนจะนั่งหมด แล้วก็ปรากฏ มีคนมียืนอยู่ที่หน้าโต๊ะ มองไปอีกที่ปรากฏว่าเป็นฝรั่ง เป็นคนเนื้อเต็มสูงใหญ่ ท่าทางสุภาพมาก

เขามาถึงแล้วก็ยกมือไหว้ ก็ถามว่า คุณเป็นใคร
เธอบอกว่า ผมรักษาพื้นที่อยู่ที่นี่ครับ เป็นหัวหน้าใหญ่รักษาพื้นที่อยู่ที่นี่
แล้วก็พูดต่อไปว่า เวลานี้คุณสมคิดกำลังเจริญรุ่งเรือง ผมช่วยทุกอย่างตามความสามารถ แต่ทว่าคุณสมคิด กำลังคิดจะทำอะไรอีกอย่างหนึ่ง

ก็ถามว่า คุณสมคิดกำลังทำอะไรอีกอย่างหนึ่ง คุณจะช่วยไหม
ฝรั่งคนนั้นก็ตอบว่า ผมช่วยเต็มที่ครับ ถ้าสิ่งใดถ้าไม่เกินความสามารถ ขอให้คุณสมคิดบอกผมก็แล้วกัน ผมช่วย แต่แกก็มีเงื่อนไขบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะครับ ผมช่วยคุณสมคิดแต่ว่า บอกคุณสมคิดให้ทราบด้วยว่า ผมชอบอาหารอย่างนี้

ก็เลยถามว่าชอบอะไร
เขาก็ทำภาพเอาอาหารมาให้ดู เป็นหมูหั่นสี่เหลี่ยมชิ้นเล็ก ๆ อยู่ในจาน อันนี้เป็นอาหารที่ผมชอบมากครับ

ก็เลยบอกว่า ขอบคุณ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เราเป็นคนไทย มาเยี่ยมคนไทยด้วยกัน ท่านเป็นฝรั่ง ท่านก็ยังมีเมตตากับคนที่เป็นคนไทยช่วยทุกอย่างตามกำลังที่จะพึงช่วยได้ ก็ขอให้เมตตาช่วยต่อไปก็แล้วกัน
เธอก็เลยบอกว่า ไม่เป็นไรครับ

หลวงพ่อพูดภาษาอังกฤษพิมพ์ไม่ได้ อันนี้ฝรั่งไม่ได้พูด พระไทยพูด แปลว่า ผู้ไหว้ย่อมได้ไหว้ตอบ ปูชาลภเต ปูชัง ผู้ได้บูชาแล้วย่อมได้รับการบูชาตอบ แล้วก็บอกว่า ถ้าต้องการให้ผมช่วย ขอให้คุณสมคิดช่วยผมด้วย คือ จัดอาหารแบบนี้ให้ก็แล้วกัน พอพูดเท่านั้น ก็หลับตา ลาข้าวพระ

ลืมตามาอีกทีปรากฏว่าฝรั่งคนนั้นหายไป มองไปมองมาคิดว่า ทำไมถึงไปเร็ว ก็เป็นเรื่องของแก ความจริงบ้านก็ไม่กว้างนัก ถ้าบังเอิญแกจะเดินเข้าไปในห้องก็มองไม่เห็น จะออกไปข้างนอก ก็มองไม่เห็น ก็รวมความว่า ฝรั่งคนนั้นตั้งใจช่วยคนไทย ขออภัยต่ออีกนิดหนึ่ง

ก็ถามฝรั่งคนนั้นว่า ท่านทำบุญอะไรไว้จึงมีบุญวาสนาบารมีมากอย่างนี้ และก็มีเมตตาสงเคราะห์ไม่เลือกว่าคนไทยคนฝรั่ง
เธอก็บอกว่า ผมเป็นนักทานบารมีครับ เป็นนักการให้ทานให้การสงเคราะห์คน เพราะอาศัยการสงเคราะห์คนของผมอย่างนี้จึงมีความสุข

ก็เลยถามว่า ผลของการให้ทานพอใจหรือยัง
แกก็บอกว่า ยังผมให้ทานเบาไปนิด ความจริงให้ทานมาก บุญมาก แต่ว่าคนรับทาน ไม่ค่อยจะทรงธรรม ไม่ค่อยจะทรงศีล มีจริยาไม่ค่อยจะดีนัก
พอเห็นเข้าแล้วก็สลดใจนิดหน่อย

ก็เป็นอันว่า ให้แล้วก็แล้วกันไป ก็เชื่อว่า ผลของการให้ทานกับคนที่ไม่มีทรงศีล ทรงธรรม ก็มีอานิสงส์ด้อยไปหน่อย เป็นอันว่าเรื่องฝรั่งคนนี้ก็พ้นไป ไปไหนแล้วก็ไม่ทราบ วันหลังต่อมา เมื่อคุณสมคิดมาที่บ้านคุณสุภรณ์

ถามว่า พบฝรั่ง คนนั้นแล้วหรือยัง
คุณสมคิดก็บอกว่า พบแล้ว
ถามว่า ขอร้องหรือเปล่า เขาว่าอย่างไร

แกก็เลยบอกว่า ฝรั่งคนนั้นบอกว่าถ้าต้องการให้ช่วย ให้เลี้ยงหมูอย่างนั้นวันละจาน ไม่หนักนัก ทุกวันก็แล้วกัน จะช่วยเหลือทุกอย่าง
เป็นอันว่า ชิคาโกก็ขอเล่าลัด ๆ ผ่านกันไป คนทุกคนที่มาเจริญกรรมฐานกันหลายวัน ถึง ๕ วัน ๖ วัน ตั้งใจจริง น่าไป น่ามา ความดีที่ทรงไว้ขนาดไหน ก็ทรงไว้ขนาดนั้น

ไปที ก็มีการซักซ้อมกัน ถ้าเขาจะถามว่า ชิคาโกเมื่อไรจะไปอีก ก็ต้องตอบว่า อาจจะเป็นปี ๓๔ หรือ ๓๕ เพราะในช่วง ๒-๓ ปีนี้ มีภารกิจมาก ต้องเร่งรัดทางวัด ก็ขอบอกลูกหลานที่อเมริกาไว้ด้วย ถ้าร่างกายไปได้ปี ๓๔-๓๕ จะไปใหม่ อันนี้ยังไม่แน่นอนนักเกี่ยวกับร่างกาย ที่ไปคราวนี้ก็ป่วยหนัก ไม่ค่อยไว้วางใจตัวเหมือนกัน ระวังตัวมากที่สุด

เป็นอันว่า ตอนนี้ก็ผ่านไปเวลามันใกล้จะหมด จะให้จบเรื่องอเมริกาภายในเล่มนี้ จะจบ หรือไม่จบก็ไม่ทราบ ถ้าไม่จบ ก็ไปต่อเล่มหน้าใหม่ ต่อไปก็วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๓๒ ไปเดนเวอร์ ก็เคยไปกันมาแล้วนะ เคยไปมาแล้ว หลายหนทั้งหมดเคยไปมาแล้วเขาบอกเดนเวอร์และลอสแองเจลีส แต่ว่าไปแวะเดนเวอร์ก่อน

ทั้งนี้ ถ้าพูดถึงตอนนี้ก็ต้องขออภัยบรรดาลูกหลานญาติโยมที่เดนเวอร์ว่า ไปคราวนี้ไม่พักบ้านคุณตุ้ม ก็เพราะว่าเมื่อคราวก่อนพักบ้านคุณตุ้ม มีคนเขามาต่อว่ากับหมอวีรวรรณ คือ พันเอกแพทย์หญิงวีรวรรณ คำนวณกิจ คือว่า จะพักบ้านที่นั่น คนไทยก็เกรงใจ ไม่กล้าจะเข้าไปคุย

แต่มาวัดความเป็นจริงแล้ว พักที่บ้านคุณตุ้ม คนเข้าไปคุยมาก จะพบมาก แต่มาพักที่พัก ที่เขาให้เช่านี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เขาบอกว่า ถ้าพักที่พักกลาง ๆ เป็นที่ให้เช่า ไม่ใช่บ้านใคร อย่างนี้คนจะไปจะมาสะดวกคนมาเยี่ยมกันมาก ก็ปรากฏว่า เที่ยวนี้มีนักศึกษาเกษตร ๕-๖ คน เธอไปเยี่ยม เธอมาจากประเทศไทย ไปเรียนวิชาการเกษตรที่นั่น

นอกจากนี้เป็นญาติโยมเห็นหน้าแต่ไม่รู้จักชื่อ ๒ คน แล้วก็มีที่ประจำก็คือ นันทกาญจน์ ไปเป็นประจำ เคยไปพักบ้านคุณตุ้ม บ้านโยมอำนวย ไปเป็นประจำก็เท่านั้นเอง ปีต่อไปจะมีโอกาสไปแวะเดนเวอร์หรือเปล่าก็ไม่ทราบ การไปเดนเวอร์คราวนี้รู้สึกหนักมาก มันเริ่มเป็นไข้มาจากชิคาโก

พอไปถึงเดนเวอร์ก็รู้สึกว่า คอพูดไม่ออก เด็กนักศึกษามาคุย ก็ต้องให้เธอคุย นาน ๆ ก็พูดคำ คณะบ้านโยมคุณตุ้ม โยมอำนวย โยมผู้หญิงสามีของเธอก็มากันหลายคน ทุกคนลูกหลานแล้วคุณเล็ก ก็มีเท่านั้น ก็รวมความว่า ตามข่าวที่บอกไว้กับหมอวีรวรรณ คำนวณกิจ

บอกว่า ถ้าหากว่าพักที่พัก ที่ไม่มีเจ้าของบ้าน จะมีแขกไปมาก ก็ไม่เป็นความจริง นอกจากนั้นใกล้ที่พักก็เป็นศูนย์การค้าใหญ่มาก ก็ไปซื้อสร้อยให้กับเด็ก ๆ เลี้ยงสุนัข เป็นรางวัลแก่เธอ แล้วก็พรนุช คืนคงดี ก็ไปซื้อเครื่องคิดเลขมาให้

เอาละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาหมดแล้วก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


10
รัฐเวอร์จิเนีย ชิคาโก เดนเวอร์ (ต่อ)


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย คราวนี้ก็ต่อกันที่เดนเวอร์ ที่เดนเวอร์คนที่มาประจำจริง ๆ ก็คือ นันทกาญจน์ แล้วก็บ้านคุณตุ้ม บิดามารดา และสามี และคนเล็ก ลูก ๆ หลาน ๆ มากัน ก็รวมความว่า หลังจากไปดูศูนย์การค้า คือ ไปหัดเดิน อาตมาก็อยู่ในอาการป่วยมาก

แต่การป่วยมาก คนอาจสังเกตได้ยากนิดหน่อย เพราะพยายามคุมกำลังใจจะเห็นว่าทุกคนมาตั้งใจดี ต้องขอขอบคุณทุกคน วันรุ่งขึ้นก็เดินทางต่อไปยังลอสแองเจลีสจากเดนเวอร์ อาหารเช้า พอถึงวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๓๒ วันพฤหัสบดี เวลา ๐๗.๐๐ น. ตอนเช้า ตามหมายกำหนดการ

เขาเขียนว่า อาหารเช้าแล้วนำท่านชม ศูนย์การค้าแสดงสัตว์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ว่าไม่ได้ไปกัน เดินเล่นกันใกล้ ๆ ตอนบ่ายเดินทางกลับ ลอสแองเจลีส ขอโทษเถอะ อ่านหมายกำหนดการเขาพลาดไปแล้ว วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๓๒ เดินทางจาก เดนเวอร์ไปลอสแองเจลีส

นี่เขาบอกว่าวันพุธเวลา ๐๘.๓๕ น. ออกเดินทางโดยเครื่องบิน U.A. ๗๐๑ อาหารเช้าบนเครื่องบินแล้วเวลา ๐๙.๕๔ น. ถึงลอสแองเจลีส นำคณะไปรับประทานอาหาร แล้วก็เดินทางเข้าที่พัก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลาบ่ายอิสระ

ก็รวมความว่า วันนั้น วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๓๒ เดินทางจากเดนเวอร์ นั่งเครื่องบินไป พอนั่งเครื่องบิน รู้สึกว่าลมแรงมาก ผ่านยอดภูเขา เขาใหญ่มาก ลืมชื่อเขานี้เสียแล้ว ภูเขานี้มีความสำคัญ พระวิรัชกับพระอาจินต์เคยไปตกน้ำแข็งอยู่ที่นั่น เดิน ๆ ไปน้ำมันแข็ง ๆ บนสระ

เดินไปเดินมา พอถึงริมแม่น้ำแข็ง มันบาง ก็เลยขาทิ่มพรวดลงไปในน้ำเย็น วันนี้เลยทราบว่า เป็นภูเขาที่ใหญ่มากเครื่องบินบินตั้งนาน เห็นจะครึ่งชั่วโมงกว่าจึงจะพ้นเขานั้น ก็ไม่ใช่เล่น พอถึงลอสแองเจลีส ในวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๓๒ วันพฤหัสบดี เวลา ๐๗.๐๐ น. เขาบอกว่า เขาจะนำไปเที่ยวดูสวนสัตว์

แต่ก็ในที่สุดก็ไม่มีใครไป ก็จะไป ๒-๓ คน ก็ไม่เต็มการเดินทาง ต่างคนก็ต่างชมสถานที่ตามอัธยาศัย และการซื้อของที่อเมริกานี่ บรรดาพุทธบริษัทออกจะเครียด ๆ จากตลาดนี้ไปตลาดโน้น จากตลาดโน้น ไปตลาดโน้น มันไกลกันตั้งเกือบชั่วโมง เครียด ทีหลังถ้าไป ก็เข็ดแล้ว ใครจะนำซื้อของไปไหน น่ากลัวจะไปที่เดียว จะซื้อหรือไม่ซื้อ ก็เป็นการเดินเล่นเป็นการคลายตัว

อาตมาไปที่ไหนไม่ค่อยมีโอกาสจะเดินกับเขา ตานี้ไปที่นั่นก็ไปบ้านคุณตุ๋ย วันที่เท่าไร ก็ไม่ต้องบอกกัน จำวันที่ไม่ได้ ไปกินอาหารจีนที่นั่น รู้สึกว่าเป็นที่ถูกอกถูกใจของทุกคน อาหารอร่อยมาก ก็มีท่านพุทธบริษัทท่านหนึ่งถวายยานัตถุ์ ขวดนั้นท่านบอกท่านซื้อมา ๒๐,๐๐๐.๐๐ บาท ตกใจ ยานัตถุ์เจ๊ก ความจริงกลัวมาก มีคนเขาเคยถวาย เพราะราคาแพงมาก

อย่างเจ๊จันทนาก็เหมือนกันเคยถวายมาขวดใหญ่ก่อนหน้าจะตาย ยานัตถุ์เจ๊กนี่แพงจัด เห็นใจท่านผู้ถวายขอขอบคุณท่าน หลังจากนั้นก็เดินไปชมศูนย์การค้า ก็เรียกว่าชมศูนย์การค้า ไม่ค่อยได้ซื้อของการค้า ไม่ได้ซื้อ ชมไปชมมา ชมมาชมไป

แต่ว่าศูนย์การค้านี่โชคดีเป็นพิเศษ เพราะว่าบังเอิญเธอลดราคา ลดราคาด้วย แล้วก็แถมของด้วย บรรดาพี่ไทยทั้งชายทั้งหญิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านหญิงไปเจอะเข้า ก็ไปดูของที่แถมว่า มันราคาเท่าไร เขาวางขายอยู่เขาจะลดจะแถมกันเฉพาะเวลา

ก็ปรากฏว่าถ้าซื้อของนั้นแล้ว เขาจะแถมของนั้นมาเฉพาะราคาของแถมที่เขาตั้งราคาไว้ มันเกินกว่าราคาของที่ซื้อกว่าตั้งเยอะ กว่าเงินที่ซื้อแล้วยังได้ของที่เราต้องการเสียอีก เห็นว่าเป็นกำไรมาก
เพราะฉะนั้น บรรดาพี่ไทยทั้งหลาย ก็พากันรุมซื้อจนกระทั่งคนขายงง เมื่อซื้อเสร็จก็บอกว่า กลับบ้านได้แล้ว

เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ขายได้มากในวันนั้น แล้วก็คุณเสรี คุณตุ๋ย แล้วคุณอะไร อีกคนหนึ่งนะ จำชื่อไม่ได้ ก็มีความตั้งใจจะซื้อของระบบเกี่ยวกับไฟฟ้า รู้สึกว่าคุณเสรีมีความชำนาญมาก ช่วยซื้อของราคาถูก วันรุ่งขึ้นเดินทางกันไปอีก คุณเสรีซื้อเครื่องขยายเสียงมาให้ คุณตุ๋ยก็ดีมาก เอาเครื่องขยายเสียงมาให้ เวลาใช้งานพูด

แต่ว่าเครื่องขยายเสียงเครื่องนี้นอกจากจะใช้ที่อเมริกาแล้วก็หิ้วมาประเทศไทยด้วย เป็นกระเป๋าเจมส์บอนด์ดีมาก คราวหน้าคุณตุ๋ยอ่านหนังสือนี้ ก็ขอโปรดทราบว่า ปีต่อไปไม่ต้องซื้อใหม่ จะไปอเมริกาจะหิ้วเครื่องนี้ไปด้วย เพราะมันเป็นระบบเจมส์บอนด์ รู้สึกว่าใช้งานได้สะดวก ดีมาก

มาประเทศไทยก็มีเครื่องแปลงไฟ ๒๒๐ แล้วก็เครื่อง ๑๒๐ ไปใช้กับอเมริกา อันนี้สะดวกจัดและใช้เสียงได้ดีมาก วันรุ่งขึ้น คุณเสรีก็พาไปซื้อของ เครื่องขยายเสียง เครื่องขยายเสียงเล็ก ๆ มาอ่านดู ปรากฏว่า ทำในประเทศจีน วันแรกราคา ๑๐๐ เหรียญ วันรุ่งขึ้นเหลือ ๙๐ เหรียญเศษ ๆ พอตอนบ่าย ราคาลดลงมาหน่อย

พอตอนเย็นไปซื้ออีกที ปรากฏว่า ลดเหลือ ๕๐ เหรียญเศษ ๆ นี่เป็นระบบการค้าของอเมริกา ก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน ก็รวมความ วันนั้นไปเที่ยวศูนย์การค้ากันเหนื่อย จากศูนย์นี้ไปศูนย์โน้นตั้ง ๔๕ นาที ก็เลยบอกว่า เอือม ลูกหลานทุกคนจะซื้ออะไรก็ตาม จะฝากสตางค์ช่วย

ก็รวมความว่า ต้องขอร้องกันคือว่า เงินที่จะซื้อนั้นมีแล้ว ไม่ใช่เงินที่เอามาจากประเทศไทย เป็นเงินที่ไปจากอเมริกาลูกทุกคนส่งมาให้ ทางธนาณัติ ส่งเช็คมาบ้าง โดยมากก็เป็นเช็ค ส่งเงินสดมาบ้าง เงินจำนวนนี้ พอกิน พอใช้จ่าย

ที่ซื้อของทั้งหมด ที่รัฐเวอร์จิเนียก็ดี ที่ชิคาโกก็ดี ที่ L.A. ก็ดี ที่ลอสแองเจลีสก็ดี ทั้งหมดนี้ ซื้อจากเงินฝรั่งทั้งหมด ไม่ใช่เงินจากประเทศไทย ซื้อแล้ว ก็ซื้ออีก ยังไม่หมด แต่ว่าคณะคุณไพโรจน์และลูกหลานต่าง ๆ ที่ลอสแองเจลีส ที่ L.A. ก็ตาม

ทั้งหมดนี้ต่างคนต่างก็ช่วยกันหลาย ๆ อย่างทั้ง ๆ ที่ห้าม ก็พยายามซื้อ ทุกอย่างก็บอกว่า หลวงพ่อมีแล้ว พร้อมจะซื้อเธอก็แอบ ๆ ซื้อให้ อันนี้เป็นความดีของเธอ ก็ขอชม แต่ก็ห่วงลูกหลาน เพราะลูกหลานอยู่ที่นั่น หลวงพ่อไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับ กลับแล้วก็มากินข้าวในประเทศไทย แต่ลูกหลานต้องใช้จ่ายที่นั่นเป็นห่วงตอนนี้

ก็รวมความว่า พักที่ L.A. นี่มีอะไรพิเศษ ไปที่บ้านพัก เข้าไปถึง ห้องพักก็ธรรมดา เขาให้เช่า แต่วันรุ่งขึ้นเจ้าของบอกว่า ห้องพักนะเล็กไป ให้เปลี่ยนห้องใหม่ มีห้องรับแขกดีขึ้น แล้วก็ไม่ใช่เก็บราคา ยกเว้นราคาค่าเช่าทั้งหมด

ก็ปรากฏว่า ท่านเป็นคนของประเทศไทย ระหว่างนั้นภรรยามาประเทศไทย และก็ท่านก็โทรศัพท์ถามภรรยาว่า รู้จักพระองค์นี้ไหม ความเป็นมา เป็นอย่างไร ภรรยาจึงเล่าสู่กันฟังว่า เพิ่งจะรู้จัก วันรุ่งขึ้นได้สั่งย้ายห้องพัก และอาหารการบริโภคทั้งหมดก็ช่วยเหลือ

เรื่องอาหารนะ บรรดาพุทธบริษัทไม่ต้องกังวลเลย ไปอเมริกานี่ ทุกคนเขาจ่ายค่าอาหารกันเป็นอาหารไทย ไม่ใช่อาหารฝรั่ง ถ้าจะกินอาหารฝรั่งต้องบอกเขา มันจะแปลกไปหน่อยเพราะว่าอาหารทั้งหมดเป็นอาหารไทยจากร้านค้า ก็รวมความว่าอยู่ที่นั่นมีอภิสิทธิ์อยู่อย่างหนึ่ง

คือ วันแรกที่ไปถึง ความจริง เรื่องวันแรกเท่านั้นนะ ที่จะพบอะไร ที่จะเห็นอะไร ก็คิดเป็นวันแรก ทั้งนี้ปรากฏว่า ไม่ใช่เป็นฌานสมาบัติ และก็ถ้าภาษาชาวบ้านธรรมดาเขาเรียกว่า “อารมณ์สังหรณ์” สังหรณ์จะเห็นภาพ และภาษาปกติ เขาเรียกว่า “ฝัน” มันเป็นเรื่องเดียวกัน แต่อาการเคลิ้มนึกว่าฝันนอน ๆ ภาวนาไป มีอาการเคลิ้มลง

เห็นเป็นภาพเหมือนกับเหล็กเส้นสานเป็นโครงใหญ่เป็นภาพยักษ์ และเป็นโปร่ง ๆ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เขาตะโกนเฮ้ย! อย่านะ ๆ มึงจงอย่าทำ อย่าทำนะ ฟังเสียงแบบนั้นนะ แล้วก็ตกใจว่าเป็นเสียงอะไร ทีแรกนึกว่าเป็นเสียงคน ลืมตาขึ้นมาดู อ้าว...ก็ไม่มีอะไร เรานอนในห้องคนเดียวก็นึกเห็นภาพ ก็นึกในใจว่าภาพนั้น คืออะไร แล้วก็ไม่เข้าใจชัด

แล้วก็ต่อมาเวลารุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน ยังไม่ไปไหน ตอนเช้าพักที่นั้นเขาเจริญกรรมฐานกันดีมาก ลอสแองเจลีส ไม่แพ้ชิคาโก ชิคาโกแบบไหน ลอสแองเจลีส หรือ L.A. ก็ปฏิบัติกันแบบนั้น เรียกว่า ไม่แพ้กัน สองรัฐ เข้มแข็งเหมือนกัน

เข้มแข็งทั้งทานบารมี เข้มแข็งทั้งศีลบารมี เข้มแข็งทั้งการเจริญภาวนา ยิ่งมากวัน คนก็ยิ่งมากขึ้น ทุกคนเข้มแข็ง บางคน เช่นว่า คุณเย็นจิต อาตมาเรียกว่า เย็นทรวง แล้วก็ใครอีกคน นึกชื่อไม่ออก ขนาดเช่าห้องพักอยู่ใกล้ ๆ ไม่นอนบ้าน ยอมเสียค่าเช่าห้อง มันก็แพง คิดเป็นเงินอเมริกัน มันก็ไม่กี่สิบบาท แต่คิดเป็นเงินไทยมันก็หูตึง

เขาก็อุตส่าห์ลงทุนกัน เป็นความดีมาก แต่นั้นอีกวันหนึ่ง ปรากฏว่า ขณะนอนภาวนาอยู่ ไม่ใช่ฌาน อย่าลืมนะ ถ้าฌานไม่เห็น ถ้าฌานต้องดึงภาพนั้นกลับมาได้ แล้วก็ต้องการจะซักซ้อมถามอะไรได้ เรียกมาได้ ถ้าเรียกมาไม่ได้ ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคนที่เจริญกรรมฐานพึงเข้าใจ

มีบางคนหลงว่าเป็นฌานสมาบัติบ้าง เห็นภาพอย่างนี้ สำเร็จมรรคผลบ้าง มันยังไกลสภาพมาก อย่างนี้เขาถือว่า ศัพท์สมัยธรรมดา เป็นสังหรณ์ในใจ ถ้าสังหรณ์ เห็นภาพแป๊ปเดียวก็หายไป ถ้าภาษาปกติ เขาถือว่า เป็นความฝัน อย่าฟังกันเคลิ้ม ถ้าเป็นนักเจริญกรรมฐานขั้นเบา ๆ เขาก็ถือว่า เป็นภาพสมาธิที่ผ่านไป ในขณะจิตที่ผ่านอุปจารสมาธิเล็กน้อย ไม่ทรงตัว

ก็รวมความว่า สมาธิขนาดนี้ยังใช้อะไรจริงจังไม่ได้ ใช้ไม่ได้เลย คุมกำลังใจได้แค่แว๊บเดียวก็ผ่านไป ขณะนั้นก็ปรากฏว่า มีภาพคนไทยคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
ท่านผู้นี้บอกว่า ผมมีความเป็นใหญ่ในจาตุมหาราช และก็มีเพื่อนใหญ่อีกสามคน มาเตือนบอกว่า ท่านขอรับงานวันวิสาขบูชา ที่ท่านจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อย่าเข้าใจว่า มีคนน้อยนะครับ

แต่ความจริงอาตมาคิดว่า คงมีเหมือนธรรมดา ธรรมดาทุก ๆ ปี คนไม่กี่คนนัก
แต่ก็เตือนว่า ถ้าท่านคิดว่า คนน้อยก็จะมีอาหารน้อย จะไม่พอกับคนบริโภค ต้องจัดอาหารให้มาก แล้วเตรียมห้องพักไว้ด้วย เพราะจะมีคนมาค้าง เพราะงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไม่ใช่ทำงานทำบ่อยครั้ง นาน ๆ จะมีการทำครั้งหนึ่ง

เมื่อท่านเตือนแล้ว ท่านก็เตือนบอกว่า เจ้าของบ้านที่พักนี่เขาเป็นนักบุญ ถ้ามีกำลังใจเป็นบุญ มีจิตเป็นกุศล ให้ลูกศิษย์ฝึกสมาธิเขาเล็กน้อยบ้างก็จะมีการทรงตัว ฌานเขาก็ดีอยู่ แล้วศีลเขาก็ดีอยู่แล้ว แต่ขาดภาวนา ให้ฝึกภาวนาแล้วก็ทำ พอให้มีความเข้าใจบ้าง

รวมความว่า วันต้น ๆ สองวันไม่มีโอกาส มามีโอกาสวันสุดท้าย คือ วันหลังจึงแนะนำให้ท่านเจ้าของบ้านฝึกกรรมฐานเป็นการดี เลิกแล้วก็ถามว่า เป็นอย่างไรบ้าง ท่านก็บอกว่า แหมเวลามันเร็วเหลือเกิน ท่านบอกคำเดียว ถามครูผู้ฝึกก็บอกว่า ทำได้ดีมาก ทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหวได้ดี

แต่เวลาผ่านไปสองชั่วโมงเศษ เธอบอกว่า เวลานี้หลวงพ่อจะลงสอนกรรมฐาน ครูต้องเลิก เพราะต้องมาสอนคนอื่น เธอก็ตอบว่า ทำไมเร็วมากนักละ ๒ ชั่วโมง บรรดาท่านพุทธบริษัท เธอตอบว่า เร็วมาก เวลาเหลืออีกสิบนาทีก็ขอลุย หลังจากนั้นก็เดินทางจากลอสแองเจลีส ไปซานฟรานซิสโก

การเดินทางคราวนี้ก็มีลูกหลานหลายคน ซื้อนั่น ซื้อนี่มาส่งกัน ที่สนามบิน แล้วก็ขอขอบใจทุกคนที่เมตตา เพราะว่า ถ้าขืนพูดยืดเยื้อไป มันก็ไม่จบ เหลือเวลาอีกสิบนาที ไปสนใจไปยุ่งกับเรื่องอื่น
ก็เป็นว่า วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๓๒ ออกจากลอสแองเจลีสแล้วก็เข้าซานฟรานซิสโก แล้วก็มาสนามบินนาริตะที่ญี่ปุ่น

วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๓๒ วันเสาร์เวลา ๗.๐๐ น. ออกเดินทางโดยเครื่องบิน U.A. ๑๑๐๑ อาหารเช้าบนเครื่องบิน แล้วก็เวลา ๘.๒๒ น. ถึงซานฟรานซิสโกแล้ว เวลาเท่าไรล่ะ เวลา ๑๒.๒๐ น. ออกเดินทางจากซานฟรานซิสโกโดยเครื่องบิน U.A. ๘๑๙ สู่นาริตะ ก็รวมความว่า ออกจากที่นั้น คราวนี้ไม่ผ่านฮาวาย

ที่ฮาวายไม่มีเรื่องอะไรมาก ขอย้อนมานิดหนึ่ง สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขณะที่อเมริกายังไม่เข้าสงคราม ญี่ปุ่นเข้าโจมตีที่นั่น ใช้เครื่องบินยิงเรือรบ เป็นการใช้ตอร์ปิโด พล.ต.ท.สมศักดิ์ สืบสงวน ท่านดูภาพถ่ายภาพยนตร์ที่เขาถ่ายไว้ ก็โจมตีเอาเกือบจะเรียบร้อยจะเป็นกลางวันกลางคืนก็ไม่ทราบ

รวมความ ญี่ปุ่นโจมตีคนหลับ แล้วคนหลับ ที่มีคนปลุกแล้วบอกแล้วไม่ยอมเชื่อ คือ ไม่ยอมตื่น แล้วอเมริกาจึงเสียท่าจุดนี้ เป็นปัจจัยให้อเมริกาเข้าสงครามโลกครั้งที่ ๒ เอาความเท่านี้ก็แล้วกัน ก็บินจากซานฟรานซิสโก ถึงสนามบินนาริตะ ใช้เวลากี่ชั่วโมงล่ะ ๑๐ ชั่วโมงก็มา ๘ โมง ซานฟรานซิสโก แล้วก็มาจาก ๘ โมงมาถึง ๑๒ โมง

ความจริงเดินทางประมาณ ๕ ชั่วโมงนะ ถ้าจำไม่ผิด ออกเดินทางจากซานฟรานซิสโกมาโดยเครื่องบิน U.A. ๓๑๙ สู่สนามบินนาริตะ ก็มานั่งคอยเครื่องบินที่ญี่ปุ่น นานหลายชั่วโมง ก็คอยเวลา หลายชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่พอ ถึงเวลาก็ต้องคอยนานประมาณ ๕ ชั่วโมง เขาก็ประกาศว่า เครื่องบินยังไปไม่ได้

ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเบรคไม่ดี ต้องเปลี่ยนเบรค ต้องรอมาถึงอีก ๓ ชั่วโมง ต้องนั่งอยู่ที่สนามบินนาริตะนี่ ๘ ชั่วโมงตรงลองคิดดู ท่านผู้ฟัง ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่า มันเครียดขนาดไหน ขนาด พล.ต.ท.สมศักดิ์ บอกว่านั่งนาน ๆ ก็ดีครับ มันคุมขันติได้ดี ทรงขันติได้ดี เป็นการฝึกขันติ ความอดทน

ทีนี้ก็เวลามันจะหมด จะให้มันจบเสียก็ดี เมื่อออกจากสนามบินนาริตะแล้วนั่งเครื่องบินมา ก็เป็นกฎธรรมดา เป็นระเบียบอย่างหนึ่งไม่ช้านั่งจากนาริตะ มาฮ่องกง ไม่ทันจะถึงฮ่องกง เครื่อง บินผ่านมาประมาณสักถึงชั่วโมง หรือไม่ถึงชั่วโมงก็ไม่ทราบ นั่งเคลิ้มอีกแล้ว เคลิ้มไปปุ๊ป จิตวูบลงไป

เห็นคนประมาณสักสิบคนกว่า เป็นคนหนุ่มเอะอะโวยวาย แล้วก็วิ่งออกไป วิ่งออกไปทางด้านขวามือ ออกไปข้างนอก เห็นวิ่งไปบนอากาศได้ ท่านลองวาดภาพดูว่า เครื่องบินบิน กำลังบินจากญี่ปุ่นมาฮ่องกง ออกมาทางขวามือ แล้วในที่สุด ก็หลังจากนั้นสักสอง
นาที ก็เสียงในเครื่อง เจ้าหน้าที่สั่งรัดเข็มขัด นึก เอาอีกแล้วลมแรงอีกแล้ว


เดี๋ยวเดียว เครื่องบินก็สะเทือน ก็มีความรู้สึกว่าเสียงเอะอะโวยวาย เสียงอะไรกันแน่ ก็เวลาเครื่องสะเทือนก็ผ่านไป ก็คิดในใจว่า เรากำลังนั่ง โลงผีบินได้ มันจะลงเมื่อไร มันจะตายเมื่อไร มันก็เป็นเรื่องของมัน ช่างมัน เรามีเพื่อนตายหลายคน อันนี้เป็น มรณานุสสติกรรมฐาน

ตลอดเวลาเป็นจริง ๆ นึกถึงความตายจริง ๆ แต่ว่าคนที่ไม่ห่วงความตาย ไม่กังวลกับการนั่งเครียด ก็มีอยู่คนเดียวคือ พระสมพงษ์ พระสมพงษ์ นี่ไปด้วย เธอเจริญสมาบัติตลอดทั้งไปทั้งมา นั่นคือ นั่งหลับ ก็เรียกว่า นิทราสมาบัติ หลับตลอดเวลาได้กำไรมาก ระบบประสาทดีมาก

แต่คุณวิรัช กับอาตมาไม่ค่อยจะหลับ ขยับตัวเมื่อไร คุณวิรัชรู้เมื่อนั้น แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายอย่างหนึ่ง ร่างกายมันเครียด ถ้าไม่เครียดก็ไม่เป็นไร มันป่วยจริง ๆ สักครู่หนึ่ง เมื่อจิตวูบลงไป ก็มีคนปรากฏขึ้น ภาพคน เป็นผู้ชายวัยกลางคน

แกบอกว่า ผมเสียใจด้วยนะครับ ที่เครื่องบินบริษัทนี้ ปีนี้เกิดอุบัติเหตุถึง ๒ ครั้ง ก็พูดทิ้งเพียงเท่านี้ ขณะนั่งอยู่นี่ จะมีอุบัติเหตุไหม แล้วคนนั้นก็หายไป เขาพูดเสร็จก็หายไป เรียกกลับมาก็ไม่ได้ อันนี้มันเหมือนความฝัน หลังจากนั้นแล้ว ก็มีคนปรากฏขึ้นเป็นสภาพของคนผู้ใหญ่

ถามเขาว่า เมื่อกี้นี้ เสียงเอะอะโวยวายของคนหนุ่มประมาณสิบคนเศษวิ่งทางตะวันออก เขาไปทำไมกัน
คนนั้นก็บอกว่า กระแสลมแรงครับ ลมนั้นแรงจัดจะตีเครื่องบินให้ลงมหาสมุทรได้ แต่พวกนั้นเขาไปต้านกำลังลม ไม่ใช่บังลมไว้ คือ ใช้กำลังของเขาดันลมที่มีความแรงสูงขึ้น สูงไป ลมที่ไม่มีอันตราย ก็กระทบเครื่องบิน

เขาว่าอย่างนั้นนะ ผู้ฟังก็อย่าคิดว่า เป็นฌานสมาบัติ จะเป็นพระอริยเจ้า อันนี้ไม่ถูกนะ ทุกคนอย่าวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาตมาเป็นพระอริยนะอาตมาไม่ได้ยอมรับนะ แล้วก็บอกไปทุกครั้งที่จะพูด พูดว่า ไม่ใช่ จงคิดว่า เป็นพระธรรมดาบวชมาเพื่อปรารถนา ทุกคนปรารถนามรรคผลจะได้ หรือไม่ได้ก็ตาม ในชาตินี้ ถ้าไม่ตกนรกได้ ก็บุญตัวแล้ว เอาแค่ประคับประคองตัว

เล่าต่อไป หลังจากนั้น ก็ถึงฮ่องกง เมื่อถึงฮ่องกงแล้วก็มาพักที่พักอีกจุด ครู่หนึ่ง พอขึ้นเครื่องบินใหม่ก็ปรากฏ พบแอร์นะ แอร์สาวนางฟ้าเป็นคนไทยทั้งหมด คราวนี้มีความชื่นใจมาก เพราะอะไรรู้ไหม ทำไมรู้ไหม เพราะทำไมชื่นใจที่เป็นคนไทย คนไทยแต่ก็เป็นเชื้อจีน

มีคนหนึ่ง น้องสาวเจ้าอ้วน ที่มาอยู่ที่อเมริกา แล้วอ้วนชื่อจริง ๆ ก็จำไม่ได้ คือ มีน้องหลายคน น้องทุกคนก็จำชื่อไม่ได้ น้องสาวเจ้าอ้วนที่เป็นแอร์ที่นั่น ในเมื่อเป็นคนรู้จักกัน รู้สึกมีความเบาใจมาก มีความสุขใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมีอะไรขัดข้อง ก็พูดตามภาษาไทย ๆ เธอก็ให้ความสุข ให้ความสะดวก มาจนกระทั่งถึงกรุงเทพ

มาถึงกรุงเทพฯ เวลาตี ๑ เศษ เวลานั้นก็ได้รับความสะดวกจากเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานอย่างดี ขอขอบคุณท่าน ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปรับ นำเข้าไปถึงสถานที่ใกล้ที่สุด ลงจากเครื่องขึ้นจากรถนิดหนึ่งก็ถึง พอออกจากทางเดินนิดหนึ่ง ก็ถึงเจ้าหน้าที่ ที่ไปรับ

ก็ปรากฏเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นั้น เป็นเพื่อนกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ความสะดวกมาก แล้วทางท่าอากาศยานก็ให้ความสะดวกที่สุด เป็นการเข้าประเทศไทยที่ไวที่สุด เท่าที่เคยผ่านมา ทั้งหมดนี้ อาตมาขอขอบคุณบรรดาเจ้าหน้าที่อากาศยานทุกคน จะเป็นเล็ก หรือใหญ่ก็ช่าง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่นั่น ตรวจคนเข้าเมืองที่นั่น เหมือนกันทุกท่าน ที่ให้ความสะดวกทุกอย่าง

แต่ว่าทุกท่านก็ทำตามระเบียบทุกอย่าง แต่มันไวขึ้น ไม่มีอะไรบกพร่องในหน้าที่ ต่อนี้ไปก็ขอขอบคุณบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่รับฟังก็ดี ที่อ่านหนังสือก็ดี ที่ให้ความเมตตาที่ช่วยค่าเครื่องบินเดินทางไป อาตมากับพระอีก ๒ องค์ด้วยแล้ว ก็ยังเหลือสตางค์อยู่บ้างตามสมควรที่ประกาศไว้แล้ว นำเข้าถุงไปหมดแล้ว เป็นสังฆทานด้วย วิหารทานด้วย

เวลานี้ก็เหลือเวลาอีกนาทีครึ่ง บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อาตมาก็ขอขอบคุณทุกคน และขอแนะนำตามธรรมะนิดหน่อยว่า
ขึ้นชื่อว่า ความเกิดมีเบื้องต้นแล้ว ความตายจะมีกับเราเมื่อไร มันแน่นอน จงอย่าลืมความตาย หลังจากนั้นยึดถือคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ แล้วปฏิบัติตนในศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ ให้ครบถ้วน

คือ หนึ่งทางกาย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม และไม่ดื่มสุราเมรัย ประการที่สองวาจา ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ประการที่สามทางใจ คือ ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม ไม่คิดจองล้างจองผลาญใคร โกรธอาจจะโกรธ แต่ไม่จองล้างจองผลาญใคร ไม่มีอาการอาฆาตมาดร้าย

มีอารมณ์ไม่ฝืนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านี้บรรดาท่านพุทธบริษัทชาตินี้เราไม่ลงนรกกันแน่ เวลานี้หมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง ผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี

((( โปรดติดตามเล่มต่อไป )))


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top