ความบังเอิญ หรือกฎแห่งกรรม
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ บางเรื่องเป็นความบังเอิญ หรือว่า เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นตามกฎแห่งกรรมของบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งก็มีทั้ง
กรรมดี และกรรมไม่ดี
หลายเรื่องที่รู้แล้วมีความรูสึกสลดใจ หดหู่ใจ อย่างเรื่องการพบศพเด็กทารก ที่มีข่าวอยู่บ่อยๆ , การฉ้อโกง , การก่อการร้าย
,การใช้สารเคมีในผักผลไม้ ที่มีแต่คนปลูกเองเค้าบอกว่าแม้แต่เค้ายังไม่กล้าที่จะกิน , การใช้น้ำยาดองศพใน กุ้ง หอย ปู ปลา และอีกหลายๆเรื่อง
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัวเราเลย ทำให้มีความรูสึกว่า สังคมไทยของเราต่อไป เราจะอยู่กันอย่างไร ทุกๆสิ่ง ทุกอย่าง ที่กล่าวมา มันจะต้องเกิดขึ้น
หรือเราบังเอิญเข้าไปเจอ และรู้เห็น
เพื่อนๆผู้ปฎิบัติ ท่านใด มีข้อคิดดีๆ ข้อเสนอแนะดีๆ แนะนำกันบ้างนะคะ เพื่อเป็นแรงใจในการก้าวเดินต่อไปข้างหน้า จนกว่าจะพบ (พระนิพพาน)
ป.ล. อย่าเครียดนะ
|
|
แนะได้อย่างเดียวเองครับว่า พยายามทำใจให้เป็นอุเบกขา วางเฉยเสียครับ
พยายามเลี่ยงให้ดีที่สุดที่จะทำได้แล้วกัน ถ้าสุดวิสัยเผลอกินเข้าไปมาก ร่างกายสะสมพิษเยอะ ถ้าจะตาย ก็ตั้งใจแบบหลวงพ่อสอนไว้ว่า
ขอมีร่างกายชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานจุดเดียว คิดแบบนี้ไว้ทุกวันก่อนนอนและตื่นตอนเช้ายังไม่ลุกจากที่นอน
wannachai
|
|
คำว่า ความบังเอิญ คือ สิ่งที่ไม่เคยคาดคิดแล้วได้ประสบพบเจอแบบไม่
คาดฝัน
ส่วน กฏแห่งกรรม คิดไม่คิดก็มาตามกรรมที่ทำ แต่เราจะตามรู้หรือไม่มากกว่า
ในทางธรรม ไม่ว่าจะคำใด ก็เป็นเรื่องเดียวกันนั่นแหละค่ะ หากเราไม่เคยทำมา ไหนเลยจะได้พบเจอ
ส่วนเรื่องของจริยธรรมของบุคคล ที่เป็นผู้ค้า ก็เป็นไปตามวัฏฏจักรแห่งความเห็นแก่ได้ (คือต้องการปัจจัยมากกว่า สุขภาพ
เมื่อเรายังหวังจะเกิดมาในวัฏฏแห่งกรรมนี้ ก็ย่อมเป็นไปตามกระแสแห่งกรรม ใครจะเจอมากบ้าง น้อยบ้าง ก็สุดแล้วแต่ ผู้นั้น ทำกรรมใดมามากกว่ากัน
ความสลดใจ ไม่ควรให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ซึ่งเรียกว่า ลูกตถาคต เพราะ สมเด็จพ่อทรงตัดสอนว่า " จงเป็นผู้ยังมาซึ่งความไม่ประมาท โดยหลักใหญ่ คือ
พระองค์ไม่ต้องการให้จิตเราออกนอก ลมหายใจ เพราะว่า ไม่รู้ว่าเราจะตายตอนใหน?
หลวงพี่สุรจิต เพิ่งแจงคำบางคำในรูปของคำว่า " จิตไม่ไปข้องแวะ "
นั่นก็คือ เราดูสภาวะจิตของผู้คนในโลก ที่ไร้ซึ่งจริยธรรม ไม่คิดถึงความปลอดภัยของมนุษย์ ด้วยความรู้เท่าทันว่า นี่แหละคน หากเรายังโง่ที่ลุ่มหลง
เห็นดีเห็นงามกับการต้องกลับมาเป็นคน มาเป็นส่วนหนึ่งของ มนุษโลก เราก็ยิ่งกว่า........เสียอีก(ไม่รวมถึง ท่านที่ปรารถนาพุท
ธภูมิ) เพราะว่า เราได้รับรู้สิ่งดีชั่วมาแล้ว ดังนั้นหากเราเป็นผู้ที่เรียกว่า ปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้น เราก็ต้องคิดที่จะไม่ไปไปต่อ กับการเกิดไม่ว่า
โลกใด ๆ ยกเว้นพระนิพพาน หากเราเห็นว่าสิ่งที่เขาทำ น่าสลดใจ แสดงว่า เรายังเอาจิตไปข้องแวะอกุศลกรรม จิตเราควรมองแบบคิดบวก คือ
เราต้องฉลาดที่จะไม่ตกหลุมพลางแห่งกรรรมชั่ว แต่มองทุกอย่างที่ไม่ดี เป็นเรื่องที่เราจะไม่คิด มาติดพันหรือข้องแวะอีก จบกันเสียที แต่เพียงชาตินี้
สำหรับความเบาปัญญาของเรา ผู้ซึ่งพระตถาคตและองค์หลวงพ่อ องค์หลวงพี่ทั้งหลาย พยายาม ให้เราเข้าถึง หรือมีดวงตาเห็นธรรม
คำถามคือ หากเราจิตตก สลดใจในขณะจิตนั้น มันหลุดออกจากกาย เราหรือจิต จะไปที่ใด ศึกษากันมาถึงตรงนี้ คงไม่ต้องบอกกันนะค่ะว่า จะมีที่ใด เป็นที่ไป
ค่ะ พูดไป พูดมา ก็ไม่กี่คำ แค่คำว่า รู้ลมหายใจเข้าออก รู้ว่าเราจะตายทุกขณะจิต รู้ว่า ทุกขณะจิตนั้น หากหลุดจากร่างกายนั้น เราก็จะไปพระนิพพาน ใหน ๆ
ก็ ใหน ๆ ลองทำดูนะค่ะ เมื่อก่อนดิฉันกลัวตายแล้วไม่ได้ไปพระนิพพาน เดินไปทำงาน ทางเท้าแคบ รถจะเฉี่ยวตายได้ทุกขณะ กลัวไม่ได้ไปพระนิพพานจัด เลยคิดว่า
" พ่อจ๋า หนูควรทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ คิดขึ้นมาได้ว่า แม้แต่สมเด็จพ่อ ยังคิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก แล้วเราจะดีกว่าพระองค์หรือ อย่าเลย
คิดว่าเราจะตายทุกขณะดีกว่า เลยภาวนาว่า หายใจเข้า " ตาย " (จิตก็คิดถึงคำสอนที่ว่า พระพุทธองค์ทรงถามนางปาสเกรีว่า ตายแล้วไปไหน? )
เมื่อเราหายใจเข้าตาย หายใจออกไม่ได้ ถ้ายังเราตายจะไปไหน? ก็พระนิพพานซิ ดังนั้น คำภาวนา หายใจออกว่า " นิพพาน " แทนคำว่า
" นิพพานสุขขัง " และจากนั้น ก็พยายาม ฝึกจิต ให้ทรงกรรมฐาน ๔ กอง คือ อาณาปานุสสติกรรมฐาน มรณานุสสติกรรมฐาน อุปสมานุสสติกรรมฐาน(คิดถึง
พระนิพพานเป็นอารมณ์) และ จับภาพพระเสมอ ๆ เป็น พุทธนุสสติกรรมฐาน ฟังดูแล้ว อาจจะทำยาก แต่ก็ไม่เกิดความพยายาม พวกท่าน คือผู้ที่ได้รับคำบอกจากดิฉัน
แต่ตัวเอง ต้องใช้เวลายาวนานมาก กว่า ๕ ปี ถึงจะทำกรรมฐาน ๔ กองได้ในเวลาเดียวกัน
คนส่วนใหญ่ หากรู้จักดิฉัน เขาจะไม่เชื่อเลยว่า ดิฉันทำจิตอยู่เสมอ สาเหตุเพราะว่า จริยาไม่เรียบร้อย ไม่น่าเคารพสักเท่าไหร่ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา
พ่อบอกเสมอว่า " อย่าสนใจ จริยาผู้อื่น เมื่อก่อน ตอนท่านตรัส คิดว่า พ่อพูดให้กำลังใจเรา แต่เปล่า ปัจจุบัน รู้แล้วว่า พ่อเตือนผู้อื่น ที่ตำหนิเรา
เราขณะจิตที่เขาตำหนิเรา จิตเรากับกำลังสร้างกรรมดี อยู่ในองค์ภาวนา จับภาพพระ โดยผู้อื่นไม่รู้ พ่อจะเมตตาดิฉันมาก ไม่ว่าใครจะตำหนิอะไร ทำเลยอะไรมา
จิตเศร้าหมอง ท่านจะเทศนาปลอบใจ ให้จิต รู้เท่าทันกิเลส ทุก ๆ ต้นเดือน จนมีครั้งหนึ่ง หลวงพี่อาจิตน์ ถามว่า " คุยกับหลวงพ่อบ่อยเหรอ
เห็นท่านเมตตาสอนจัง " ตอบว่า " เปล่าเจ้าค่ะ คำเดียวก็ไม่เคยคุยกัน คุยทางจิตเจ้าค่ะ"
อันที่จริง ตัวเองอยากให้สิ่งเหล่านี้ จบไปกับตัวเอง เมื่อได้อ่าน ปัญหาทางใจของท่านผู้นี้ ไม่ว่า คุณจะเข้าวัดก่อนหรือ หลังจากดิฉัน หรือเพิ่งเข้ามา
ไม่สำคัญค่ะ สำคัญที่คุณตั้งใจเอาจริงหรือเปล่า เมื่อใดที่คุณเอาจริง สมเด็จพ่อทุก ๆ พระองค์ หลวงพ่อทุก ๆ องค์ จะมาช่วยเรา ผ่าน หลาย ๆ ช่องทาง
และที่ดิฉันเขียนให้คุณทั้งหลายอ่าน ก็คือ ๑ ช่องทาง เนื่องจาก ไม่คิดตั้งใจ จะเปิดเผย การปฏิบัติของตัวเอง ยกเว้น เพื่อน ๆ ที่ต้องการรู้ หรือสนิท
เมื่อปีกลาย ดิฉัน เปิดเผยการปฏิบัติหลายเรื่อง เพราะมุ่งมั่น จะตัดขันธ์ ๕ ไป พระนิพพานก่อนสิ้นปี แต่บังเอิญ ความเลวยังมีอยู่มาก ยังไม่สามารถชนะ
ขันธ์มารได้ จึงยังต้องมานั่งพิมพ์อยู่ ปีกลาย จิตในแทบจะทนอยู่กับกายหยาบไม่ได้เลย ยังไงก็ไม่เป็นไรค่ะ ก็ต้องต่อสู้ต่อไป เพราะว่า เรายังเบาปัญญา
จึงยังรักและเกาะขันธ์ ๕ มากอยู่
พวกเราเหล่าลูกหลานของพระผู้มีพระภาคเจ้า มาจับมือร่วมแรงร่วมใจกัน ฟันผ่าอุปสรรค เพื่อเข้าพระนิพพานให้ได้กันทุกคน ในชาติปัจจุบันนะค่ะ ดิฉันหวังว่า
การสมัครสมาชิก จะเป็นแหล่งที่จะช่วยพวกเรา จับมือเดินเข้าสู่ประตูพระนิพพานด้วยกัน ไม่สำคัญว่า ใครไปก่อนใคร แต่ขอให้ทุกคนที่เป็นสมาชิก
ใช้ประโยชน์จากการเป็นสมาชิก นำพากันไปนะค่ะ
บุญรักษาค่ะ ขอให้ทุกคนชนะหมู่มารค่ะ
|
|
ขอขอบคุณสำหรับคำตอบที่มีค่าที่สุด อ่านแล้วน้ำตาก็ไหล (ช่วงนี้ขี้แยบ่อย) และจะขอปฎิบัติตามอย่างเต็มกำลังที่สุด เพื่อไม่ต้องกลับมารับทุกข์อีก
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
|
|
ขอโมทนาบุญ ที่ได้ทราบซรึ้งกับคำบอกเล่าของดิฉัน โดยไม่มีจิตต่อต้านแต่อย่างใด และสิ่งใดก็ตามที่เราพูดออกมาเกี่ยวกับ "การปฏิบัติตามอย่างเต็มกำลังที่สุด
โดยมีพระนิพพานเป็นที่ไป" นี่ไม่ใช่เป็นพันธะสัญญาที่บอกแก่ดิฉันหรือทุกคนที่อ่าน แต่ให้สำเนียกไว้ว่า ไม่ว่า คำมั่นสัญญาใดก็ตามที่เราเปล่งวาจาออกมาว่า
จะต่อสู้ทุกอุปสรรค เพื่อสู่สายทางพระนิพพาน นั่นหมายความว่า เบื้องบน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุก ๆ พระองค์ ได้รับรู้คำมั่นสัญญานั้นแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งคือ
การให้สัจจะวาจา เป็นบารมีตัว ๑ ที่ต้องมุ่งมั่น อย่าท้อ เพราะถ้าท้อแสดงว่า ตั้งแต่ต้นที่ให้สัจจะก็ผิดศึล ข้อมุสาฯเสียแล้ว เห็นไหมค่ะ
ว่าหากท่านปฏิบัติถึงขั้น ๑ ศึลจะรักษาเรา ไม่ให้ลงนรก และเมื่อมีศีล(ครบไม่ครบอีกเรื่องนะค่ะ) ก็จะทำให้เราเกิดปัญญา ที่จะรับรู้ความละเอียดของจิตมากขึ้น
โดยดิฉันบอกว่า เป็นพันธะสัญญากับเบื้องบน เป็นเรื่องใหญ่หลวงมากนะค่ะ การจะเปล่งวาจาว่า จะมุ่งมั่นเพื่อพระนิพพาน เพราะว่า เจ้ากรรมนายเวรจะหูผึ่ง
และเตรียมตัวเรียงแถว มาเยี่ยมเยียนเราแบบไม่ได้รับเชิญค่ะ จะตามมาทุก ๆ ที่ แม้แต่ในความฝัน ฮะ ๆ (เราลูกตถาคต ยังไง ก็ต้องชนะเหล่าหมู่มาร แน่นอนค่ะ)
ดิฉันเมื่อได้ฟัง ได้อ่าน คำว่า ในสมัยพุทธการ พระพุทธองค์ทรงเทศนาว่า
"ร่างกาย เป็นทุกข์ เป็นนิจจัง เป็นอนัตตา " มีพระอรหันต์อุบัติขึ้นถึง ๕๐๐ รูป
ดิฉันจะโมทนา โดยเอาจิตย้อนไปในสมัยนั้น แอบไปอยู่ท้ายห้อง แล้วก็โมทนาสาธุ
สิ่งเหล่านี้ ไม่มีใครสอน ดิฉันคิดเองที่จะได้รับบุญอันนั้น นี่คือสาเหตุ ที่ดิฉันโจทย์โทษตัวเอง ว่า เรายังเลวมากอยู่ที่รักขันธ์ ๕ มากกว่า องค์สมเด็จพ่อ
หาไม่แล้ว แค่อ่าน คำพูดนี้ ดิฉันก็น่าจะบรรลุ มรรค ผลได้เหมือนกัน เห็นความเลวของดิฉันไหมค่ะ ขนาดวาระรับแขกสุดท้ายของพ่อ ท่านยังคงห่วงใยดิฉัน
โดยให้โอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า " ร่างกายเป็นทุกข์ เป็นนิจจัง เป็นทุกขัง มันไม่เที่ยง เป็นอนัตตาในที่สุด" (อีกอย่างต้องแจงให้ทราบก่อนว่า
ดิฉันเคยปรารถนาพุทธภูมิ ดังนั้นการปฏิบัติมักต้องผ่านก่อนแล้วจึงได้รับคำยืนยันจากหนังสือ เทป หรือผู้รู้ท่านอื่น อย่าเอาตัวอย่างที่ไม่ดี
คือไม่ชอบอ่านหนังสือ ธรรมะ มีเต็มแต่ไม่ค่อยได้อ่าน ได้รับคำสอนเพียงไม่กี่คำ ก็นำมาปฏิบัติให้ได้ ไม่ว่าจะยาวนานเท่าใด และพุทธภูมิ ใครสอนไม่ได้
ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องรู้ได้ด้วยตัวเองค่ะ พอลาพุทธภูมิ ดิฉันก็เจอศึกหนัก ไม่ว่า ผิดศีลข้อใดมา ตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ
ก็ตามมาแบบหูผึ่งนะค่ะ อิ ๆ สนุกดี ขออาศัยคำทักทายของพระอาจารย์สมบูรณ์ ดิฉันโทรถามทาง พอกราบลา ท่านบอกว่า สนุกดี เพิ่งติดต่อท่านเดือนนี้ ไม่ได้ไปนะค่ะ
ลูกหลานพ่อได้ไปกราบท่านแล้วมาบอก นี่แหละค่ะ นิด ๆ หน่อย ๆ ที่เราได้รับแล้วนำมาปรับใช้กับอารมณ์ใจของเรา ท่านบอกว่า อะไรไม่ดีเข้ามา บอกได้คำเดียวว่า "
สนุกดี " ลองเอาไปใช้ดูนะค่ะ การที่เราได้รับคำสอนทางพระอาจารย์ท่านใด หรือ ไปกราบพระพุทธรูปวัดใด นั่นแสดงว่า เราเคยทำบุญสร้างสมกันมาในอดีตชาติ
ไม่งั้น ไม่มีโอกาสที่จะได้ไป หรือได้พบ แน่นอนค่ะ และนี่ก็คือ คำเหตุการณ์หนึ่งที่เรียกว่า "ความบังเอิญ หรือ กฏของกรรม(มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่วค่ะ)
ธรรมมะสวัสดี สนุกดี บุญรักษาค่ะ
|
|