ประวัติการสร้าง "พระศรีอาริยเมตไตรย" วัดท่าซุง (ตอนที่ 1)
ประวัติการสร้าง
"พระศรีอาริยเมตไตรย"
โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
ผู้เรียบเรียง...พระชัยวัฒน์ อชิโต
คำปรารภ
.....การจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ก็เพื่อเป็นการรวบรวมประวัติการสร้าง พระศรีอาริยเมตไตรย และ มณฑป อันเป็นที่ประดิษฐาน ตามความประสงค์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน นับตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
แต่ยังไม่ถึงกำหนดเวลาในการสร้าง ท่านก็ได้มรณภาพไปเสียก่อน พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ
ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นลำดับมา จึงได้สืบสานงานของท่านต่อ จนกระทั่งสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
หลังจากการอัญเชิญรูปหล่อพระศรีอาริย์ มาประดิษฐานไว้บนมณฑปแล้ว ท่านก็ได้กั้นเป็นห้องกระจก
พร้อมทั้งติดม่านมู่ลี่ไว้เป็นอย่างดี แล้วจึงเปิดให้ญาติโยมทั้งหลายได้เข้าไปกราบไหว้บูชา ต่อมาท่านก็ได้มีความดำริที่จะให้เรียบเรียงประวัติการสร้าง
เพื่อจัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ สำหรับไว้แจกเป็นที่ ระลึกแก่บรรดาผู้ที่เข้ามากราบไหว้ภายในมณฑป
ส่วนเนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้ จะมีวัตถุประสงค์ในการสร้างตามที่หลวงพ่อได้เล่าไว้ พร้อมกับมีเรื่องของ พระศรีอาริย์ที่กล่าวไว้ในหนังสืออนาคตวงศ์
ซึ่งเป็นหนังสือเก่าแก่มีคุณค่าเล่มหนึ่งในทางพระพุทธ ศาสนา ทำให้ได้รับทราบประวัติความเป็นมาเรื่อง "พุทธวงศ์" คือวงศ์ของพระพุทธเจ้าในอนาคต
ได้แก่ พระโพธิสัตว์ ที่จะมาตรัสรู้ในกาลข้างหน้าอีก ๑๐ องค์
ซึ่งนับเป็นผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์ต่อจากองค์สมเด็จพระสมณโคดม แต่หลวงพ่อบอกว่า
ยังมีผู้ปรารถนาพุทธภูมิบารมีเต็มรอเวลาที่จะได้รับการบรรจุเป็นพระพุทธเจ้าอีกนับแสน
ฉะนั้น เรื่องของพระโพธิญาณ ย่อมเป็นที่ต้องการของคน แต่การบำเพ็ญบารมีมิใช่เป็นเรื่องง่าย
ส่วนผู้ที่มีกำลังใจเข้มแข็ง สามารถสร้างสมบารมีจนเต็มครบถ้วน แล้วจึงได้รับการบรรจุเป็นอันดับ ๑ ภายในกัปนี้ นับว่าหายากมากทีเดียว
การสร้างรูปพระมหาโพธิสัตว์ที่จะได้มาตรัสรู้เป็นองค์ต่อไปไว้บูชา จึงถือว่ามีอานิสงส์มาก ดังที่จะเห็นได้ว่าหลังจากหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว
คณะศิษย์ทั้งหลายอันมีพระภิกษุที่อยู่ภายในวัดก็ดี หรือที่อยู่ต่างวัดก็ดี ตลอดถึงบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างก็มาช่วยกันสร้างจนสำเร็จ
ตามเจตจำนงของหลวงพ่อครบถ้วนทุกประการ
เป็นอันว่า...ภายในบริเวณวัดท่าซุงแห่งนี้ จึงเป็นที่สถิตย์ ประดิษฐานอันสำคัญ เพื่อเป็นสถานที่กราบไหว้สักการบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ กาล
ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต คือ
๑. พระพุทธรูป "สมเด็จองค์ปฐม" นับเป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลายในสมัย"อดีตกาล"
๒. พระพุทธรูปยืน ๓๐ ศอก คือสมเด็จพระสมณโคดม นับเป็นพระพุทธเจ้าในสมัย "ปัจจุบันกาล"
๓. พระศรีอาริยเมตไตรย เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าในสมัย "อนาคตกาล" ดังนี้
พระชัยวัฒน์ อชิโต ๑ ตุลาคม
๒๕๔๐
สร้าง "พระศรีอาริย์" ตามพระพุทธบัญชา
"...ทีนี้จะมาพูดกันถึงด้านอานิสงส์ต่าง ๆ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทำเฉพาะอย่างยิ่งกรรมบถ ๑๐ กับศีล ๕ พระศรีอาริย์ ท่านเคยสั่งไว้ว่าเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๓๕
วันนั้น ตอนกลางคืนมันจะตาย..ล้างท้อง.! ตามธรรมดา.."ล้างท้อง" ไม่มี อาการอย่างอื่นมาแทรก มันก็สบายนอนหลับ แต่วันนั้นแปลก.. พระออกไปหมด คนออกไปหมด
เหลือคนเดียว..!
เวลาประมาณทุ่มครึ่ง..มีอาการเสียด..ปวดท้องอย่างมาก อากาศก็ร้อนจัดมันก็บังคับให้ไปถ่าย...ไปเข้าส้วม เข้าก็ออกนิด หน่อย
กลับมาอีกมันก็ปวดท้องอีก...ปวดมวนอีก.! เดินอย่างนี้ เกือบ ๑๐ เที่ยว เดินก็เดินจะไม่ไหว
พอถึงเวลาสองทุ่มเศษ..ก็มีความคิดในใจว่า ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ มันมีความทุกข์อย่างนี้ เราอย่าสนใจอะไรกับขันธ์ ๕ ในเมื่อขันธ์ ๕ มันจะป่วย..ก็เชิญมันป่วย
ขันธ์ ๕ มันจะตาย..ก็เชิญมันตาย การป่วยการตายนี่...ใครช่วยไม่ได้ ใครจะแบ่งเบาภาระไม่ได้
จึงตัดสินใจเอนกายลงนอน....นอนแล้วใจนึกถึงพระ....ภาวนาตามปกติ...จิตจับ "นิพพาน" เป็นอารมณ์
หลังจากนั้นเมื่อไหว้พระเสร็จ ก็ออกจากร่างกาย..ขอบคุณ เทวดาที่ท่านอารักขา มีเทวดา..มีนางฟ้า..มากท่านมายืนอารักขา ใกล้ ๆ
ขอบคุณท่านแล้วก็ไปที่ เทวสภา ที่นั่นมีเทวดามีพรหม ประชุมกันเต็มหมด
เมื่อไปคุยกับท่านขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การช่วยเหลือในงานต่างๆ แล้วหลังจากนั้นก็ไปนิพพาน ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วคือ
"องค์ปัจจุบัน"
เมื่อไหว้ท่านแล้ว ท่านแนะนำรีบไปหา "องค์ปฐม" ประเดี๋ยวท่านจะมาที่วิมานของเธอ ไปวิมานของท่านก่อน
ก็ไปวิมานของท่านก่อน เมื่อไปถึงแล้วไหว้ท่านเสร็จ ท่านบอกไปวิมานของเธอ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์มาพร้อมที่นั่น แล้วก็กลับมาที่วิมาน
พอถึงวิมานเห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด ไม่รู้ว่ากี่แสนองค์ ท่านใหญ่สูงสวยงามมาก พระพุทธเจ้าสวยงามเหมือน ๆ กัน
ความจริงตอนเย็นตอนก่อนที่จะป่วยก็มีความรู้สึกว่า เมื่อวานนี้ (๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕) เราหล่อ สมเด็จองค์ปฐม แล้ว
ภารกิจใหญ่ของเราใกล้จะหมด วิหารก็ใกล้จะเสร็จเหลือแต่เครื่องประดับ และต่อไปก็ทางเดิน ๑๐๐ ไร่ก็ใกล้จะเสร็จ เข้าใจว่าอย่างช้าอีก ๔ ปี ก็เสร็จ
เราก็หมดภาระในการงาน เมื่อหมดภาระในการงาน เรื่องกังวลต่าง ๆ ก็ไม่มี
ความจริงถึงแม้จะมีงานก็ไม่มีกังวล ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าหาเงินได้ก็ทำงานสร้างต่อไป หาเงินไม่ได้ก็เลิก มันจะไปค้างแค่ไหนก็ช่างมัน
ก็ถือว่าไม่ใช่ภาระที่เราต้องเข้าไปผูกพัน ความรู้สึกตอนนี้มีอยู่ ใกล้ ๆ จะภาวนา พอเข้าไปถึงวิมานแล้ว สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสว่า
"เธอคิดหรือว่างานที่เธอจะทำมันใกล้จะ เสร็จ" ก็บอกว่า "มันน้อยแล้วครับ ช่างก็น้อยลง และงานก็เหลือ น้อย" ท่านบอก "ยังไม่เสร็จ.!
ฉันมีความต้องการให้ หล่อพระศรีอาริย์"
ถามว่า "หล่อทำไม?" ท่านก็เลยบอกว่า
" ...ต้องหล่อ... เพราะเงินที่เขาทำบุญหล่อฉันมันเหลือ เวลานี้ยังมีญาติโยมส่งเงินมาอีก...หล่อ องค์ปฐม" ท่านจึงสั่งให้สร้าง มณฑปพระศรีอาริย์ ขึ้นในสถานที่ใกล้ๆ มณฑปของท่าน ทำแบบเดียวกับ มณฑป
หลวงพ่อปาน ท่านบอกว่า
" ...ที่ตรงนั้น... ฉันดลใจเธอไม่ให้ปลูกต้นไม้ ฉันต้องการให้สร้างมณฑปพระศรีอาริยเมตไตรย
เพราะคนจำนวนมากที่มีบารมียังไม่เข้มข้น
และคนจำนวนแสนที่ติดตามพระศรีอาริย์ ต้องการเป็นสาวกของท่าน ก็มาเกิดสมัยนี้เป็นแสน ทั้งพระศรีอาริย์ ก็ฝากเธอไว้ว่า
ให้ช่วยแนะนำให้เข้าใจตามเกณฑ์ที่เขาเหล่านั้นจะเกิดทันท่าน"
เลยถามว่า "จะหล่อพระศรีอาริย์เป็นอย่างไร?
ท่านก็เรียกพระศรีอาริย์มา... พระศรีอาริย์ก็มา ในเมื่อพระศรีอาริย์มาแล้ว
ก็ถามท่านว่าจะให้หล่อแบบไหน?
แต่ความจริง พระศรีอาริย์สีสดสวยมาก เครื่องประดับแพรวพราวและสว่าง เป็นพิเศษ...สวยจัด! สีหลายสี..เครื่องประดับ แต่ว่าเวลาจะหล่อ จริง ๆ ท่านยืนให้ดู...
รูปลักษณะที่จะหล่อ
.....ท่านบอก.. หล่อเป็นรูปยืนครับ และเครื่องประดับทั้งหมดไม่ต้องการให้มีสี ต้องการเป็นแก้วใสอย่างเดียว ส่วนที่เป็นเนื้อให้เป็นเนื้อ...
เนื้อของท่านก็เป็นเนื้อสีขาว จึงถามว่า
"ถ้าจะเอาแก้วปิด ก็จะเหมือนเครื่องประดับที่เสื้อที่กางเกง จะทำอย่างไร?"
ท่านบอก "ปิดทองก็ได้ ปิดแผ่นเงินก็ได้"
ถ้าปิดแผ่นเงินจะคล้ายคลึงเนื้อของท่าน ส่วนที่เป็นเครื่องแต่งกายให้ใช้กระจกเงาใส ท่านแสดงให้ดูท่ายืน มือขวาถือ "จักร" แต่ห้อยเฉย ๆ มือซ้ายถือ "พระขรรค์"
ก็ถามว่า "มีจักรมีพระขรรค์ทำไม?"
ท่านบอก "ผมห้อยเฉยๆ ไม่ใช่ท่าของนักรบ"
"จักร" ก็หมายถึง "ธรรมจักร" ก็หมายความว่า
หากคนใดที่มีกิเลสหนามาก มีทิฏฐิมานะหนามาก ต้องใช้จักรปราบปราม คือ "ธรรมจักร"
คนใดที่มีกิเลสน้อยก็ให้ใช้ "พระขรรค์" เคาะหรือให้ถู หรือขูดก็หาย อย่างเทศน์พระสูตรก็ดี หรือชาดกก็ดี
เลยถามว่า "จะให้หล่อเป็นพระหรือเป็นเทวดา?"
ท่านบอกว่า "เวลานี้ผมเป็นเทวดา..ให้หล่อเป็นรูปเทวดา อย่าเพิ่งหล่อรูปเป็นพระ"
(เป็นอันยืนยันได้ว่า ขณะนี้ท่านยังเป็นเทวดา ยังมิได้จุติลงมาอย่างที่บางคนเข้าใจ ขอให้ระวังอุปาทาน)
ก็ถามท่านว่า " ถ้าคนต้องการไปเกิดในสมัยของท่าน จะต้องทำบุญอะไรไว้.?
ท่านบอกว่า "คนของผม...ผมฝากท่านไว้แล้วนะ ให้แนะนำด้วย มีหลายแสนคน...คนที่จะเกิดในสมัยของผม"
คำสอนของพระศรีอาริย์
ถามว่า "แนะนำแล้วทุกอย่าง แต่ว่าไม่รู้ข้อเจาะจง ให้เจาะจงไปว่าทำบุญอย่างไร...จึงจะทันศาสนาพระศรีอาริย์?"
(นี่..สำหรับคนมี "บารมีอ่อน" นะ คนมี "บารมีเข้ม" ให้ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าคน "บารมีอ่อน" ตั้งใจไปนิพพานชาติพระศรีอาริย์ หรือวางแผนไว้ ๒
อย่างก็ได้ว่า ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าพลาดชาตินี้ ขอให้ได้นิพพานสมัยพระศรีอาริย์ก็ได้)
ท่านบอกว่า "ให้ทุกคนที่ต้องการเกิดทันสมัยผม ให้รักษา "ศีล ๕" เป็นปกติ รักษา "กรรมบถ ๑๐" เป็นปกติทุกวัน ไม่คลาดเคลื่อนอย่างนี้เป็น "อุคฆฏิตัญญู"
ไปเกิดในสมัยผมฟังเทศน์แค่ หัวข้อเล็ก ๆ สั้น ๆ ก็บรรลุมรรคผลทันที
ถ้าบางท่านปฏิบัติอ่อนกว่านั้น รักษาได้ "กรรมบถ ๑๐" เหมือนกัน "ศีล๕"
ก็ครบ แต่ว่าบางทีก็มีอาการเผลอเล็กน้อย อย่างนี้เป็น"วิปจิตัญญู"
หมายความไปเกิดสมัยผมเทศน์หัวข้อฟังไม่เข้าใจ ต้องอธิบายเล็กน้อยจึงบรรลุอรหันต์
บางท่านที่มีบารมีอ่อนกว่านั้น วันธรรมดา ๆ อาจจะบก พร่องบ้างเป็นของธรรมดา แต่สำหรับวันพระต้องรักษาให้ครบถ้วนทั้ง "ศีล
๕" และ "กรรมบถ ๑๐"
หมายความตามธรรมดา คนเรามีอาชีพต่างกัน บางคนปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ต้องฉีดยาฆ่าเพลี้ยฆ่าสัตว์ที่มารบกวนพืชพันธุ์ธัญญาหารบ้าง
บางคนมีอาชีพไปในทางการประมง ต้องทำการประมงฆ่าปลาฆ่าสัตว์บ้าง
ถ้าอย่างนี้ถือว่าวันธรรมดาบกพร่องได้ และวันพระต้องครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างนี้ถ้าเกิดในสมัยผม เขาเรียกว่า "เนยยะ"
เทศน์ครั้งเดียวสองครั้งยังไม่มีผล ต้องฟังเทศน์หลาย ๆ หน สามารถ เป็นพระอริยะได้
เอาละ... บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านทั้งหลายมานั่งอยู่กันที่ตรงนี้และฟังเทศน์แล้ว เรื่องของ พระศรีอาริยเมตไตรย ถ้าจะว่ากันไปก็คงไม่แตกต่างกับเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าทุกท่านรักษา "ศีล ๕" ครบถ้วน "กรรมบถ ๑๐" ครบถ้วน
ที่มีบารมีเข้มข้นสามารถจะไปนิพพานได้ในชาตินี้
ถ้าบังเอิญชาตินี้พลาดไปนิพพาน ไปเกิดเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี หรือพรหมก็ตาม อีกไม่นานนักพระศรีอาริย์ก็ตรัส เราก็ฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์
ภายในไม่ช้าก็บรรลุอรหันต์สามารถไปนิพพานได้"
งานพิธีเททองหล่อพระศรีอาริย์
.....ครั้นหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วในปี ๒๕๓๕ จึงได้จัดงานทำบุญประจำปีและงานพิธีหล่อพระศรีอาริย์ วันที่ ๑๒
มีนาคม ๒๕๓๗ อันเป็นวันเริ่มงาน เวลา ๑๗.๐๐ น. "พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ" เป็นประธานในการทำพิธีบวงสรวง
เนื่องในพิธีสุมทอง
และวันที่ ๑๓ ตอนเช้า เวลา ๐๗.๐๐ น. ได้ทำพิธีบวงสรวงอีกครั้งหนึ่ง เนื่องในพิธีเททองหล่อรูปพระศรีอาริย์ ณ ปะรำพิธีหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร
เสร็จแล้วไปรับแขกที่ศาลา ๒ ไร่
เมื่อถวายภัตตาหารและเครื่องไทยทานแด่พระมหาเถรานุเถระแล้ว จึงเดินทางมาที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ก่อนพิธีเททองมีญาติโยมพุทธบริษัทเข้ามาถวายทองคำบ้าง
ทองเหลืองบ้าง ส่วนผู้ที่ทำบุญ ๕๐๐ บาท ได้รับล็อกเก็ต ๑ องค์เป็นที่ระลึกด้วย
ครั้นถึงเวลา ๑๔.๐๐ น. "หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์" วัดสระเกศ ซึ่งเป็นองค์ประธาน เททองในวันนี้
(แทนหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา)
ท่านเดินทางมาถึงปะรำพิธี นั่งพักสักครู่จึงเริ่มพิธีเททอง โดยเจ้าหน้าที่ยกเบ้ามาให้ใส่ทองยังหน้าปะรำพิธี พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา
สำหรับ "ทองคำ" ที่ญาติโยมพุทธบริษัทถวายมาร่วมหล่อรูปพระศรีอาริยเมตไตรยในครั้งนี้ ชั่งได้น้ำหนัก
๕๐ กิโลกรัมเศษ หลังจากเทไปได้ ๓ เบ้า หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงให้พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ
นำทองคำที่เหลือไปใส่เบ้าในเตาหลอมจนหมดสิ้น
หลังจากเสร็จพิธีแล้ว หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงเดินทางกลับ ก่อนเดินทางกลับท่านบอกกับพระครูปลัดอนันต์ว่า "จัดงานได้เรียบร้อยดี..!"
ได้ยินแล้วเป็นที่ชื่นใจมาก ดังนี้
|