(พระอนาคตวงศ์) ประวัติการสร้าง "พระศรีอาริยเมตไตรย" วัดท่าซุง
สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)
[01] ตอนที่ ๑/๑ สร้างตามพระพุทธบัญชา
[02] ตอนที่ ๑/๒ รูปลักษณะที่จะหล่อ
[03] ตอนที่ ๑/๓ งานพิธีเททองหล่อพระศรีอาริย์
[04] ตอนที่ ๒/๑ พระอนาคตวงศ์
[05] ตอนที่ ๒/๒ เกตุมดีราชธานี
[06] ตอนที่ ๒/๓ ประวัติพระภัททชิ
[07] ตอนที่ ๒/๔ พระเจ้าสังขจักร
[08] ตอนที่ ๒/๕ พระศรีอาริย์เสด็จออกบรรพชา
[09] ตอนที่ ๒/๖ พระศรีอาริย์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
[10] ตอนที่ ๓/๑ การบำเพ็ญบารมีของ "พระศรีอาริย์โพธิสัตว์"
[11] ตอนที่ ๓/๒ การบำเพ็ญบารมีของ "พระศรีอาริย์โพธิสัตว์" (ต่อ)
[12] ตอนที่ ๓/๓ การสร้างบารมีของ "พระศรีอาริย์โพธิสัตว์" (ต่อ)
[13] ตอนที่ ๓/๔ ท้าวโกสีย์สักกเทวราช
[14] ตอนที่ ๓/๕ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
[15] ตอนที่ ๓/๖ พระสัทธรรมเทศนา
[16] ตอนที่ ๓/๗ ตัดพระเศียรบูชาธรรม (ตอนจบ)
ประวัติการสร้าง
"พระศรีอาริยเมตไตรย"
โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
ผู้เรียบเรียง...พระชัยวัฒน์ อชิโต
คำปรารภ
.....การจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ก็เพื่อเป็นการรวบรวมประวัติการสร้าง พระศรีอาริยเมตไตรย และ มณฑป อันเป็นที่ประดิษฐาน ตามความประสงค์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน นับตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
แต่ยังไม่ถึงกำหนดเวลาในการสร้าง ท่านก็ได้มรณภาพไปเสียก่อน พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ
ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นลำดับมา จึงได้สืบสานงานของท่านต่อ จนกระทั่งสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
หลังจากการอัญเชิญรูปหล่อพระศรีอาริย์ มาประดิษฐานไว้บนมณฑปแล้ว ท่านก็ได้กั้นเป็นห้องกระจก
พร้อมทั้งติดม่านมู่ลี่ไว้เป็นอย่างดี แล้วจึงเปิดให้ญาติโยมทั้งหลายได้เข้าไปกราบไหว้บูชา ต่อมาท่านก็ได้มีความดำริที่จะให้เรียบเรียงประวัติการสร้าง
เพื่อจัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ สำหรับไว้แจกเป็นที่ ระลึกแก่บรรดาผู้ที่เข้ามากราบไหว้ภายในมณฑป
ส่วนเนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้ จะมีวัตถุประสงค์ในการสร้างตามที่หลวงพ่อได้เล่าไว้ พร้อมกับมีเรื่องของ พระศรีอาริย์ที่กล่าวไว้ในหนังสืออนาคตวงศ์
ซึ่งเป็นหนังสือเก่าแก่มีคุณค่าเล่มหนึ่งในทางพระพุทธ ศาสนา ทำให้ได้รับทราบประวัติความเป็นมาเรื่อง "พุทธวงศ์" คือวงศ์ของพระพุทธเจ้าในอนาคต
ได้แก่ พระโพธิสัตว์ ที่จะมาตรัสรู้ในกาลข้างหน้าอีก ๑๐ องค์
ซึ่งนับเป็นผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์ต่อจากองค์สมเด็จพระสมณโคดม แต่หลวงพ่อบอกว่า
ยังมีผู้ปรารถนาพุทธภูมิบารมีเต็มรอเวลาที่จะได้รับการบรรจุเป็นพระพุทธเจ้าอีกนับแสน
ฉะนั้น เรื่องของพระโพธิญาณ ย่อมเป็นที่ต้องการของคน แต่การบำเพ็ญบารมีมิใช่เป็นเรื่องง่าย
ส่วนผู้ที่มีกำลังใจเข้มแข็ง สามารถสร้างสมบารมีจนเต็มครบถ้วน แล้วจึงได้รับการบรรจุเป็นอันดับ ๑ ภายในกัปนี้ นับว่าหายากมากทีเดียว
การสร้างรูปพระมหาโพธิสัตว์ที่จะได้มาตรัสรู้เป็นองค์ต่อไปไว้บูชา จึงถือว่ามีอานิสงส์มาก ดังที่จะเห็นได้ว่าหลังจากหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว
คณะศิษย์ทั้งหลายอันมีพระภิกษุที่อยู่ภายในวัดก็ดี หรือที่อยู่ต่างวัดก็ดี ตลอดถึงบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างก็มาช่วยกันสร้างจนสำเร็จ
ตามเจตจำนงของหลวงพ่อครบถ้วนทุกประการ
เป็นอันว่า...ภายในบริเวณวัดท่าซุงแห่งนี้ จึงเป็นที่สถิตย์ ประดิษฐานอันสำคัญ เพื่อเป็นสถานที่กราบไหว้สักการบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ กาล
ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต คือ
๑. พระพุทธรูป "สมเด็จองค์ปฐม" นับเป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลายในสมัย"อดีตกาล"
๒. พระพุทธรูปยืน ๓๐ ศอก คือสมเด็จพระสมณโคดม นับเป็นพระพุทธเจ้าในสมัย "ปัจจุบันกาล"
๓. พระศรีอาริยเมตไตรย เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าในสมัย "อนาคตกาล" ดังนี้
พระชัยวัฒน์ อชิโต ๑ ตุลาคม
๒๕๔๐
สร้าง "พระศรีอาริย์" ตามพระพุทธบัญชา
"...ทีนี้จะมาพูดกันถึงด้านอานิสงส์ต่าง ๆ ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทำเฉพาะอย่างยิ่งกรรมบถ ๑๐ กับศีล ๕ พระศรีอาริย์ ท่านเคยสั่งไว้ว่าเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๓๕
วันนั้น ตอนกลางคืนมันจะตาย..ล้างท้อง.! ตามธรรมดา.."ล้างท้อง" ไม่มี อาการอย่างอื่นมาแทรก มันก็สบายนอนหลับ แต่วันนั้นแปลก.. พระออกไปหมด คนออกไปหมด
เหลือคนเดียว..!
เวลาประมาณทุ่มครึ่ง..มีอาการเสียด..ปวดท้องอย่างมาก อากาศก็ร้อนจัดมันก็บังคับให้ไปถ่าย...ไปเข้าส้วม เข้าก็ออกนิด หน่อย
กลับมาอีกมันก็ปวดท้องอีก...ปวดมวนอีก.! เดินอย่างนี้ เกือบ ๑๐ เที่ยว เดินก็เดินจะไม่ไหว
พอถึงเวลาสองทุ่มเศษ..ก็มีความคิดในใจว่า ขึ้นชื่อว่าขันธ์ ๕ มันมีความทุกข์อย่างนี้ เราอย่าสนใจอะไรกับขันธ์ ๕ ในเมื่อขันธ์ ๕ มันจะป่วย..ก็เชิญมันป่วย
ขันธ์ ๕ มันจะตาย..ก็เชิญมันตาย การป่วยการตายนี่...ใครช่วยไม่ได้ ใครจะแบ่งเบาภาระไม่ได้
จึงตัดสินใจเอนกายลงนอน....นอนแล้วใจนึกถึงพระ....ภาวนาตามปกติ...จิตจับ "นิพพาน" เป็นอารมณ์
หลังจากนั้นเมื่อไหว้พระเสร็จ ก็ออกจากร่างกาย..ขอบคุณ เทวดาที่ท่านอารักขา มีเทวดา..มีนางฟ้า..มากท่านมายืนอารักขา ใกล้ ๆ
ขอบคุณท่านแล้วก็ไปที่ เทวสภา ที่นั่นมีเทวดามีพรหม ประชุมกันเต็มหมด
เมื่อไปคุยกับท่านขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การช่วยเหลือในงานต่างๆ แล้วหลังจากนั้นก็ไปนิพพาน ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วคือ
"องค์ปัจจุบัน"
เมื่อไหว้ท่านแล้ว ท่านแนะนำรีบไปหา "องค์ปฐม" ประเดี๋ยวท่านจะมาที่วิมานของเธอ ไปวิมานของท่านก่อน
ก็ไปวิมานของท่านก่อน เมื่อไปถึงแล้วไหว้ท่านเสร็จ ท่านบอกไปวิมานของเธอ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์มาพร้อมที่นั่น แล้วก็กลับมาที่วิมาน
พอถึงวิมานเห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด ไม่รู้ว่ากี่แสนองค์ ท่านใหญ่สูงสวยงามมาก พระพุทธเจ้าสวยงามเหมือน ๆ กัน
ความจริงตอนเย็นตอนก่อนที่จะป่วยก็มีความรู้สึกว่า เมื่อวานนี้ (๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕) เราหล่อ สมเด็จองค์ปฐม แล้ว
ภารกิจใหญ่ของเราใกล้จะหมด วิหารก็ใกล้จะเสร็จเหลือแต่เครื่องประดับ และต่อไปก็ทางเดิน ๑๐๐ ไร่ก็ใกล้จะเสร็จ เข้าใจว่าอย่างช้าอีก ๔ ปี ก็เสร็จ
เราก็หมดภาระในการงาน เมื่อหมดภาระในการงาน เรื่องกังวลต่าง ๆ ก็ไม่มี
ความจริงถึงแม้จะมีงานก็ไม่มีกังวล ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าหาเงินได้ก็ทำงานสร้างต่อไป หาเงินไม่ได้ก็เลิก มันจะไปค้างแค่ไหนก็ช่างมัน
ก็ถือว่าไม่ใช่ภาระที่เราต้องเข้าไปผูกพัน ความรู้สึกตอนนี้มีอยู่ ใกล้ ๆ จะภาวนา พอเข้าไปถึงวิมานแล้ว สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสว่า
"เธอคิดหรือว่างานที่เธอจะทำมันใกล้จะ เสร็จ" ก็บอกว่า "มันน้อยแล้วครับ ช่างก็น้อยลง และงานก็เหลือ น้อย" ท่านบอก "ยังไม่เสร็จ.!
ฉันมีความต้องการให้ หล่อพระศรีอาริย์"
ถามว่า "หล่อทำไม?" ท่านก็เลยบอกว่า
" ...ต้องหล่อ... เพราะเงินที่เขาทำบุญหล่อฉันมันเหลือ เวลานี้ยังมีญาติโยมส่งเงินมาอีก...หล่อ องค์ปฐม" ท่านจึงสั่งให้สร้าง มณฑปพระศรีอาริย์ ขึ้นในสถานที่ใกล้ๆ มณฑปของท่าน ทำแบบเดียวกับ มณฑป
หลวงพ่อปาน ท่านบอกว่า
" ...ที่ตรงนั้น... ฉันดลใจเธอไม่ให้ปลูกต้นไม้ ฉันต้องการให้สร้างมณฑปพระศรีอาริยเมตไตรย
เพราะคนจำนวนมากที่มีบารมียังไม่เข้มข้น
และคนจำนวนแสนที่ติดตามพระศรีอาริย์ ต้องการเป็นสาวกของท่าน ก็มาเกิดสมัยนี้เป็นแสน ทั้งพระศรีอาริย์ ก็ฝากเธอไว้ว่า
ให้ช่วยแนะนำให้เข้าใจตามเกณฑ์ที่เขาเหล่านั้นจะเกิดทันท่าน"
เลยถามว่า "จะหล่อพระศรีอาริย์เป็นอย่างไร?
ท่านก็เรียกพระศรีอาริย์มา... พระศรีอาริย์ก็มา ในเมื่อพระศรีอาริย์มาแล้ว
ก็ถามท่านว่าจะให้หล่อแบบไหน?
แต่ความจริง พระศรีอาริย์สีสดสวยมาก เครื่องประดับแพรวพราวและสว่าง เป็นพิเศษ...สวยจัด! สีหลายสี..เครื่องประดับ แต่ว่าเวลาจะหล่อ จริง ๆ ท่านยืนให้ดู...
(โปรดติดตามตอน "รูปลักษณะที่จะหล่อ" ต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 1/2 ]
(Update 23 พฤศจิกายน 2560)
รูปลักษณะที่จะหล่อ
.....ท่านบอก.. หล่อเป็นรูปยืนครับ และเครื่องประดับทั้งหมดไม่ต้องการให้มีสี ต้องการเป็นแก้วใสอย่างเดียว ส่วนที่เป็นเนื้อให้เป็นเนื้อ...
เนื้อของท่านก็เป็นเนื้อสีขาว จึงถามว่า
"ถ้าจะเอาแก้วปิด ก็จะเหมือนเครื่องประดับที่เสื้อที่กางเกง จะทำอย่างไร?"
ท่านบอก "ปิดทองก็ได้ ปิดแผ่นเงินก็ได้"
ถ้าปิดแผ่นเงินจะคล้ายคลึงเนื้อของท่าน ส่วนที่เป็นเครื่องแต่งกายให้ใช้กระจกเงาใส ท่านแสดงให้ดูท่ายืน มือขวาถือ "จักร" แต่ห้อยเฉย ๆ มือซ้ายถือ "พระขรรค์"
ก็ถามว่า "มีจักรมีพระขรรค์ทำไม?"
ท่านบอก "ผมห้อยเฉยๆ ไม่ใช่ท่าของนักรบ"
"จักร" ก็หมายถึง "ธรรมจักร" ก็หมายความว่า
หากคนใดที่มีกิเลสหนามาก มีทิฏฐิมานะหนามาก ต้องใช้จักรปราบปราม คือ "ธรรมจักร"
คนใดที่มีกิเลสน้อยก็ให้ใช้ "พระขรรค์" เคาะหรือให้ถู หรือขูดก็หาย อย่างเทศน์พระสูตรก็ดี หรือชาดกก็ดี
เลยถามว่า "จะให้หล่อเป็นพระหรือเป็นเทวดา?"
ท่านบอกว่า "เวลานี้ผมเป็นเทวดา..ให้หล่อเป็นรูปเทวดา อย่าเพิ่งหล่อรูปเป็นพระ"
(เป็นอันยืนยันได้ว่า ขณะนี้ท่านยังเป็นเทวดา ยังมิได้จุติลงมาอย่างที่บางคนเข้าใจ ขอให้ระวังอุปาทาน)
ก็ถามท่านว่า " ถ้าคนต้องการไปเกิดในสมัยของท่าน จะต้องทำบุญอะไรไว้.?
ท่านบอกว่า "คนของผม...ผมฝากท่านไว้แล้วนะ ให้แนะนำด้วย มีหลายแสนคน...คนที่จะเกิดในสมัยของผม"
คำสอนของพระศรีอาริย์
ถามว่า "แนะนำแล้วทุกอย่าง แต่ว่าไม่รู้ข้อเจาะจง ให้เจาะจงไปว่าทำบุญอย่างไร...จึงจะทันศาสนาพระศรีอาริย์?"
(นี่..สำหรับคนมี "บารมีอ่อน" นะ คนมี "บารมีเข้ม" ให้ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าคน "บารมีอ่อน" ตั้งใจไปนิพพานชาติพระศรีอาริย์ หรือวางแผนไว้ ๒
อย่างก็ได้ว่า ตั้งใจไปนิพพานชาตินี้ ถ้าพลาดชาตินี้ ขอให้ได้นิพพานสมัยพระศรีอาริย์ก็ได้)
ท่านบอกว่า "ให้ทุกคนที่ต้องการเกิดทันสมัยผม ให้รักษา "ศีล ๕" เป็นปกติ รักษา "กรรมบถ ๑๐" เป็นปกติทุกวัน ไม่คลาดเคลื่อนอย่างนี้เป็น "อุคฆฏิตัญญู"
ไปเกิดในสมัยผมฟังเทศน์แค่ หัวข้อเล็ก ๆ สั้น ๆ ก็บรรลุมรรคผลทันที
ถ้าบางท่านปฏิบัติอ่อนกว่านั้น รักษาได้ "กรรมบถ ๑๐" เหมือนกัน "ศีล๕"
ก็ครบ แต่ว่าบางทีก็มีอาการเผลอเล็กน้อย อย่างนี้เป็น"วิปจิตัญญู"
หมายความไปเกิดสมัยผมเทศน์หัวข้อฟังไม่เข้าใจ ต้องอธิบายเล็กน้อยจึงบรรลุอรหันต์
บางท่านที่มีบารมีอ่อนกว่านั้น วันธรรมดา ๆ อาจจะบก พร่องบ้างเป็นของธรรมดา แต่สำหรับวันพระต้องรักษาให้ครบถ้วนทั้ง "ศีล
๕" และ "กรรมบถ ๑๐"
หมายความตามธรรมดา คนเรามีอาชีพต่างกัน บางคนปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ต้องฉีดยาฆ่าเพลี้ยฆ่าสัตว์ที่มารบกวนพืชพันธุ์ธัญญาหารบ้าง
บางคนมีอาชีพไปในทางการประมง ต้องทำการประมงฆ่าปลาฆ่าสัตว์บ้าง
ถ้าอย่างนี้ถือว่าวันธรรมดาบกพร่องได้ และวันพระต้องครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างนี้ถ้าเกิดในสมัยผม เขาเรียกว่า "เนยยะ"
เทศน์ครั้งเดียวสองครั้งยังไม่มีผล ต้องฟังเทศน์หลาย ๆ หน สามารถ เป็นพระอริยะได้
เอาละ... บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านทั้งหลายมานั่งอยู่กันที่ตรงนี้และฟังเทศน์แล้ว เรื่องของ พระศรีอาริยเมตไตรย ถ้าจะว่ากันไปก็คงไม่แตกต่างกับเรื่องขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าทุกท่านรักษา "ศีล ๕" ครบถ้วน "กรรมบถ ๑๐" ครบถ้วน
ที่มีบารมีเข้มข้นสามารถจะไปนิพพานได้ในชาตินี้
ถ้าบังเอิญชาตินี้พลาดไปนิพพาน ไปเกิดเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี หรือพรหมก็ตาม อีกไม่นานนักพระศรีอาริย์ก็ตรัส เราก็ฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์
ภายในไม่ช้าก็บรรลุอรหันต์สามารถไปนิพพานได้"
(โปรดติดตามตอน "งานพิธีเททอง" ต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 1/3 ]
(Update 30 พฤศจิกายน 2560)
งานพิธีเททองหล่อพระศรีอาริย์
.....ครั้นหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วในปี ๒๕๓๕ จึงได้จัดงานทำบุญประจำปีและงานพิธีหล่อพระศรีอาริย์ วันที่ ๑๒
มีนาคม ๒๕๓๗ อันเป็นวันเริ่มงาน เวลา ๑๗.๐๐ น. "พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ" เป็นประธานในการทำพิธีบวงสรวง
เนื่องในพิธีสุมทอง
และวันที่ ๑๓ ตอนเช้า เวลา ๐๗.๐๐ น. ได้ทำพิธีบวงสรวงอีกครั้งหนึ่ง เนื่องในพิธีเททองหล่อรูปพระศรีอาริย์ ณ ปะรำพิธีหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร
เสร็จแล้วไปรับแขกที่ศาลา ๒ ไร่
เมื่อถวายภัตตาหารและเครื่องไทยทานแด่พระมหาเถรานุเถระแล้ว จึงเดินทางมาที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ก่อนพิธีเททองมีญาติโยมพุทธบริษัทเข้ามาถวายทองคำบ้าง
ทองเหลืองบ้าง ส่วนผู้ที่ทำบุญ ๕๐๐ บาท ได้รับล็อกเก็ต ๑ องค์เป็นที่ระลึกด้วย
ครั้นถึงเวลา ๑๔.๐๐ น. "หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์" วัดสระเกศ ซึ่งเป็นองค์ประธาน เททองในวันนี้
(แทนหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา)
ท่านเดินทางมาถึงปะรำพิธี นั่งพักสักครู่จึงเริ่มพิธีเททอง โดยเจ้าหน้าที่ยกเบ้ามาให้ใส่ทองยังหน้าปะรำพิธี พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา
สำหรับ "ทองคำ" ที่ญาติโยมพุทธบริษัทถวายมาร่วมหล่อรูปพระศรีอาริยเมตไตรยในครั้งนี้ ชั่งได้น้ำหนัก
๕๐ กิโลกรัมเศษ หลังจากเทไปได้ ๓ เบ้า หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงให้พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ
นำทองคำที่เหลือไปใส่เบ้าในเตาหลอมจนหมดสิ้น
หลังจากเสร็จพิธีแล้ว หลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงเดินทางกลับ ก่อนเดินทางกลับท่านบอกกับพระครูปลัดอนันต์ว่า "จัดงานได้เรียบร้อยดี..!"
ได้ยินแล้วเป็นที่ชื่นใจมาก ดังนี้
(โปรดติดตามตอน "พระอนาคตวงศ์" ต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 2/1 ]
(Update 7 ธันวาคม 2560)
พระอนาคตวงศ์
.....บัดนี้ จะได้วิสัชนาในเรื่อง "พระอนาคตวงศ์" โดยพุทธภาษิตปริยาย มีเนื้อความตามพระบาลีว่า
...เอกัง สะมะยัง... ครั้งหนึ่งสมเด็จพระสรรเพชรพุทธเจ้า
เสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานคร วะสันโต.. เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ
เข้าพระพรรษาอยู่ในบุพพาราม อัน นางวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิฯ
ครั้งนั้นพระองค์ทรงปรารภซึ่ง พระอชิตเถระ ผู้เป็นหน่อบรมพุทธางกูร "อาริยเมตไตรยเจ้า" ให้เป็นเหตุ องค์สมเด็จพระบรมโลกเชฏฐ์จึงตรัสพระธรรมเทศนาแสดง ซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ องค์
อันจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล
ครั้งนั้นพระธรรมเสนา สารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา พระองค์ก็นำมาซึ่ง "อดีตนิทาน"
แห่งองค์สมเด็จพระพิชิตมารทั้ง ๑๐ พระองค์ ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไปเป็นใจความว่า (บางคำ "ผู้เขียน" ขอเกลาสำนวนที่ฟุ่มเฟือยออกไปบ้าง)
"...เมื่อศาสนาพระตถาคตครบ ๕๐๐๐ ปีแล้ว ฝูงสัตว์ก็มีอายุถอยลงคงอยู่ ๑๐ ปีเป็นอายุขัย ครั้งนั้นแล จะบังเกิดมหาภัยเป็นอันมาก มี "สัตถันตรกัป" คือเป็นกัปที่มนุษย์ทั้งหลายจะวุ่นวายเป็นโกลาหล
เกิดรบพุ่งฆ่าฟันซึ่งกันและกัน จะจับไม้และใบหญ้าก็กลายกลับเป็นหอกดาบแหลนหลาว อาวุธน้อยใหญ่ไล่ทิ่มแทงกัน ฝูงมนุษย์ทั้งหลายที่มีปัญญา
ก็หนีไปซุกซ่อนตัวอยู่ในซอกห้วยหุบเขา จะเหลืออยู่ก็แต่มนุษย์ที่มีปัญญา นอกกว่านั้นแล้วก็ถึงซึ่งพินาศฉิบหายเป็นอันมาก
เมื่อพ้น ๗ วันล่วงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่นั้น เห็นสงบสงัดเสียงคนก็ออกมาจากที่ซ่อนเร้น ครั้นเห็นซึ่งกันและกัน
ก็มีความสงสารรักใคร่กันเป็นอันมาก เข้าสวมสอดกอดรัด ร้องไห้กันไปมา
บังเกิดมีความเมตตากรุณากันมากขึ้นไป ครั้นตั้งอยู่ใน "เมตตาพรหมวิหาร" แล้วก็อุตสาหะรักษาศีล ๕ จำเริญกรรมฐานภาวนาว่า
"อะยัง อัตตะภาโว.. อันว่ากายของอาตมานี้ อนิจจัง..
หาจริงมิได้ ทุกขัง... เป็นกองแห่งทุกข์ฝ่ายเดียว หาสัญญาสำคัญมั่น หมายมิได้
ด้วยกายอาตมาไม่มีแก่นสาร..."
เมื่อมนุษย์ทั้งหลายปลงปัญญาเห็นในกระแสพระกรรมฐานภาวนาดังนี้เนือง ๆ อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็วัฒนาจำเริญขึ้นไป ที่มีอายุ ๑๐ ปีเป็นอายุขัยนั้น
ค่อยทวีขึ้นไปถึง ๒๐ ปีเป็นอายุขัย ค่อยทวีขึ้นไปทุกชั้นทุกชั้น จนอายุได้ร้อย พัน หมื่น แสน โกฏิ จนถึงอสงไขยหนึ่ง
ครั้นนานไปเห็นว่าไม่รู้จักความตายแล้ว ก็มีความประมาท มิได้ปลงใจลงในกอง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
อายุก็ถอยน้อยลงมาทุกทีจนถึง ๘ หมื่นปี ฝนก็ตกเป็นฤดูคือ ๕ วันตก ๑๐ วันตก ใน "ชมพูทวีป" ทั้งปวงมีพื้นแผ่นดินราบคาบสม่ำเสมอเป็นอันดี
(โปรดติดตามตอน "พระอนาคตวงศ์" ต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 2/2 ]
(Update 14 ธันวาคม 2560)
เกตุมดีราชธานี
.....ครั้งนั้น กรุงพาราณสี เปลี่ยนนามชื่อว่า เกตุมดี
โดยยาวได้ ๑๖ โยชน์ โดยกว้างได้ ๑ โยชน์ มีไม้กัลปพฤกษ์เกิดทั้ง ๔ ประตูเมือง มีแก้ว ๗ ประการ ประกอบเป็นกำแพงแก้ว ๗ ชั้นโดยรอบพระนคร
ครั้งนั้น มหานฬการเทพบุตร ก็จุติลงมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักรพรรดิ เสวยสิริราชสมบัติใน "เกตุมดีราชธานี" เป็นพระราชาที่ทรงธรรม ครอบครองแผ่นดินมีมหาสมุทรทั้ง ๔
เป็นขอบเขต
และในท่ามกลางพระนครนั้นมี "ปราสาท" อันสำเร็จแล้วด้วยแก้ว ๗ ประการ ผุดขึ้นมาจากมหาคงคา
ลอยขึ้นมายังนภากาศมาตั้งอยู่ในท่ามกลางพระนคร ปราสาทแก้วนี้ ในสมัยพุทธกาลเป็นปราสาทแห่ง "พระเจ้ามหาปนาท" (ในตอนนี้ จะขอแทรกประวัติไว้ด้วยดังนี้)
ประวัติพระเจ้ามหาปนาท
...อันว่าปราสาทของ "พระเจ้ามหาปนาท" นั้นเป็นปราสาทที่ ท้าวสักกเทวราช ตรัสสั่ง วิษณุกรรมเทพบุตร ลงมาสร้างถวายพระราชา กล่าวคือ..
สมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นนั้น ยังมีช่างเสื่อลำแพน ๒ คนพ่อลูก ได้พากันสร้างบรรณศาลาแล้วด้วย ไม้อ้อและไม้มะเดื่อ
เพื่อถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วทั้ง ๒ คนก็ช่วยกันอุปถัมภ์บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นด้วยปัจจัย ๔
ครั้นพ่อลูก ๒ คนนั้นตายแล้ว จึงได้ไปบังเกิดในเทวโลก ส่วนบิดายังอยู่ในเทวโลก ฝ่ายบุตรได้จุติจากเทวโลก ลงมาเกิดเป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าสุรุจิ และ พระนางสุเมธาเทวี มีพระนามว่า มหาปนาทกุมาร
ครั้นเมื่อได้เสวยราชสมบัติแล้ว จึงมีพระนามว่า พระเจ้ามหาปนาท
ต่อมาท้าวสักกเทวราชได้ตรัสสั่งให้วิษณุกรรมเทพบุตรลงมาสร้างปราสาทถวายแก่พระเจ้ามหาปนาทนั้น
ทั้งนี้ถามว่า ด้วยเพราะเหตุบุญอันใด จึงต้องทำเช่นนั้น ?
ตอบว่า...ด้วยอำนาจแห่งบุญญาธิการที่ได้เคยสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ปราสาทแก้ว ๗ ประการนี้ สูง ๒๕ โยชน์ จำนวน ๗ ชั้น ยาว ๙ โยชน์ กว้าง ๘
โยชน์ จึงได้เกิดมีขึ้น
ครั้นพระเจ้ามหาปนาทสวรรคตแล้ว ปราสาทนั้นก็ได้เลื่อนลงไปสู่กระแสมหาคงคา ในที่ตั้งบันไดปราสาทนั้นได้กลายเป็นบ้านเมืองขึ้นเมืองหนึ่งชื่อว่า ปยาคปติฏฐนคร ที่ตรงยอดปราสาทนั้นได้กลายเป็นหมู่บ้านชื่อว่า โกฏิคาม
ดังนี้
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 2/3 ]
(Update 21 ธันวาคม 2560)
ประวัติพระภัททชิ
.....ในเวลาต่อมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง พระนามว่า พระสมณโคดม อุบัติขึ้นในโลกแล้ว
เทพบุตรองค์นี้ ซึ่งมีนามว่า นฬการเทพบุตร จึงได้จุติลงมาเกิดเป็นบุตรเศรษฐี มีนามว่า ภัททชิ เป็นผู้มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ มีปราสาทถึง ๓ หลัง เป็นที่ยับยั้งอยู่ในฤดูทั้ง ๓
หลังจากได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เมื่อกราบทูลขอบรรพชาแล้ว จึงเข้าไปนั่งเข้าฌานอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งริมฝั่งแม่น้ำคงคา
ฝ่ายชาวบ้านโกฏิคามได้ยก "เรือทาน" ถวายพระภิกษุสงฆ์ เวลาสมเด็จพระพุทธองค์เสด็จลงประทับในเรือแล้ว โปรดให้ "พระภัททชิ" ไปในเรือลำเดียวกันด้วย
พอไปถึงกลางแม่น้ำคงคา สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่า
"ดูก่อน...ภัททชิ.! ปราสาทแก้วที่เธอเคยอยู่ในเมื่อครั้งเป็นพระเจ้ามหาปนาทนั้นอยู่ที่ไหน?"
พระภัททชิกราบทูลว่า "จมอยู่ตรงนี้...พระเจ้าข้า"
บรรดาภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชนก็พากันร้องกล่าวโทษว่าพระภัททชิอวดมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลจึงตรัสบอกพระภัททชิให้แก้ความสงสัยของภิกษุทั้งหลาย
พระเถระถวายบังคมแล้วก็บันดาลปลายนิ้วเท้าลงไปคีบยอดปราสาทอันสูงได้ ๒๕ โยชน์นั้นขึ้นมาจากแม่น้ำคงคา
แล้วได้ไปปรากฏอยู่บนอากาศสูงจากพื้นน้ำได้ถึง ๓ โยชน์ แล้วปล่อยไปในแม่น้ำคงคา มหาชนทั้งหลายก็หมดความสงสัย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า ปราสาทหลังนี้
พระภัททชิ เคยอยู่มาตั้งแต่ครั้งเป็น "พระเจ้ามหาปนาท"
...มีคำถามว่า เพราะเหตุใด ปราสาทหลังนั้นจึงยังไม่อันตรธาน ?
...มีคำแก้ว่า เป็นเพราะอานุภาพแห่งช่างเสื่อลำแพน ซึ่งเป็นบิดาในชาติปางก่อน อันมีนามกรว่า มหานฬการเทพบุตร จะจุติลงมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขจักร แล้วพระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อไปว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า เมตไตรย อุบัติขึ้นในโลกแล้ว
พระองค์จักแสดงธรรมมีคุณอันดีในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด
พร้อมทั้งอรรถะพยัญชนะ จักประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง และจักปกครอง พระภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนกันกับเราตถาคตในบัดนี้
พระเจ้าสังขจักรนั้น จักเสวยราชย์อยู่ที่ปราสาทของพระเจ้ามหาปนาท อันมีมาในอดีตกาลนั้น แล้วจักทรงสละปราสาทนั้น ให้เป็นทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า
คนเดินทางไกล คนขอทานทั้งหลาย
แล้วจักปลงผมและหนวด นุ่มห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ออกบรรพชาในสำนักของพระศาสดา ผู้ทรงพระนามว่า "พระเมตไตรย"
แล้วจักออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว จักไม่ประมาท จะมีความเพียร จะมีใจตั้งมั่น แล้วจะสำเร็จที่สุดแห่งพรหมจรรย์
อันเป็นสิ่งยอดเยี่ยมและปรารถนาของกุลบุตรทั้งหลายผู้บรรพชาในไม่ช้า" ดังนี้
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 2/4 ]
(Update 28 ธันวาคม 2560)
พระเจ้าสังขจักร
.....สมัยต่อมา "พระเจ้าสังขจักร" ได้เสวยราชสมบัติในเกตุมดีนั้น ปราสาทแก้วก็ผุดขึ้นมาแต่แม่น้ำคงคา ด้วยอานุภาพแห่งผลบุญที่เคยร่วมกันกับลูกชาย
ถวายภัตตาหาร ผ้าไตรจีวร และสร้างบรรณศาลาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าให้มีความสุขสบาย
ด้วยอานิสงส์มหาศาลนี้ จึงได้เกิดมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ประดับไปด้วยหมู่พระสนม แสนสาวสุรางค์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ มีพระราชโอรสมากกว่า ๑
พันพระองค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่แกล้วกล้า สามารถย่ำยีเสียซึ่งเสนาของผู้อื่น
แก้ว ๗ ประการ
...พระราชโอรสองค์ใหญ่ทรงพระนามว่า "อชิตราชกุมารเจ้า" อชิตราชกุมารนั้น ดำรงตำแหน่งเป็น ปรินายกแก้ว แห่งสมเด็จพระราชบิดา ผู้เป็นพระยาบรมสังขจักร อันบริบูรณ์ไปด้วยแก้ว ๗ ประการคือ
จักรแก้ว ๑ นางแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ คหบดีแก้ว ๑ ปรินายกแก้ว ๑ อันว่าสมบัติของ
พระเจ้าจักรพรรดินั้น ย่อมมีทุกสิ่งทุกประการ เป็นที่เกษมสานต์ ยิ่งนักเหลือที่จะพรรณนาได้ในกาลนั้น
ฝ่ายว่า มหาปุโรหิตผู้ใหญ่ ของสมเด็จพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นมหาพราหมณ์ประกอบไปด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก
หาผู้จะเปรียบเสมอมิได้ มีนามปรากฏว่า สุตพราหมณ์ นางพราหมณี ผู้เป็นภรรยานั้นมีนามว่า นางพราหมณวดี
ในกาลนั้น สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ "พระศรีอาริยเมตไตรย" รับอาราธนาจากบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายแล้ว
ก็จุติลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาถือกำเนิดในครรภ์แห่งนางพราหมณวดี ภรรยาแห่งมหาปุโรหิต พราหมณ์ผู้ใหญ่ ในวันเพ็ญเดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ
เวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง พร้อมด้วยอัศจรรย์ทั้งหลาย ๑๒ ประการ
คือเหล่าเทพยดาพากันกระทำสักการบูชา ดังห่าฝนตกลงในกลางอากาศ แล้วมีปรางค์ปราสาททั้ง ๓ ผุดขึ้นมา เพื่อจะให้เป็นที่สำราญแห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้า
...ปราสาทหลังที่ ๑ ชื่อว่า ศิริวัฒนะ
...ปราสาทหลังที่ ๒ ชื่อว่า สิทธัตถะ
...ปราสาทหลังที่ ๓ ชื่อว่า จันทกะ
ปรางค์ปราสาททั้ง ๓ นี้ เป็นที่จำเริญพระศิริสวัสดิมงคล ควรจะให้สำเร็จประโยชน์ทุกประการ ปรากฏงามดังดวงพระจันทร์ แล้วหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นอันหอมมิรู้ขาด
เดียรดาษไปด้วยนางนาฏพระสนม ประมาณ ๗ แสนคน
ส่วนสมเด็จพระอัครมเหสีแห่งสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงพระนามว่า "พระนางจันทมุขี"
เป็นประธานแห่งนางบริวารทั้งหลาย ๗ แสน มีพระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า "พราหมณ์วัฒนกุมาร"
(โปรดติดตามตอน "พระอนาคตวงศ์" ต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 2/5 ]
(Update 4 มกราคม 2561)
พระศรีอาริย์เสด็จออกบรรพชา
.....เมื่อพระมหาบุรุษผู้ประเสริฐทรงพระเกษมสำราญอยู่ในปราสาททั้ง ๓ ควรแก่ฤดูโดยนิยมดังนี้ จนพระองค์มีพระชนม์ได้ ๘ หมื่นปี
จึงเสด็จขึ้นสู่รถแก้วอันเป็นทิพย์วิมานมีศิริหาเสมอมิได้
แล้วเสด็จไปประพาสอุทยานทอดพระเนตรเห็นนิมิตทั้ง ๔ ประการนี้เป็น "เทวทูต" ยังธรรมสังเวชให้เกิดขึ้น ก็มีพระทัยน้อมไปในบรรพชา
พิจารณาเห็นเพศสมณะนั้นเป็นอารมณ์
ในขณะนั้น อันว่าปรางค์ปราสาทแก้วซึ่งทรงพระสำราญยับยั้งอยู่นั้นก็ลอยไปในอากาศ พร้อมทั้งพระราชโอรสและหมู่นางกัลยาทั้งหลายไปกับปรางค์ปราสาท
ครั้งนั้นเปรียบประดุจดังว่า พญาหงส์ทองบินไปในเวหา
ฝ่ายฝูงเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็ชวนกันถือเครื่องสักการบูชา ต่างเหาะตามมากระทำสักการบูชาในอากาศ เนืองแน่นกันมากเป็นอเนกอนันต์
บรรดาท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งหลาย ๘ หมื่น ๔ พันพระนครก็ดี และชาวนิคมชนบททั้งหลายก็ดี ก็ชวนมากระทำสักการบูชาด้วย ดอกไม้และของหอมมีประการต่าง ๆ
เต็มเดียรดาษกลาดเกลื่อนไปทั้งชมพูทวีป เหล่าพวกอสูรทั้งหลายก็เข้าแวดล้อมพิทักษ์รักษาปรางค์ปราสาท
ฝ่ายพญานาคราชนั้นกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี พญาสุวรรณราชปักษีกระทำสักการบูชาด้วยแก้วมณี อันเป็นเครื่องประดับตน
เหล่าคนธรรพ์ทั้งหลายนั้นกระทำสักการบูชา ด้วยเครื่องทิพย์ดุริยางค์ฟ้อนรำมีประการต่าง ๆ
เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยเจ้าเสด็จออกบรรพชานั้น ฝูงเทพยดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ และ มนุษย์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ทั้งหลาย
กระทำสักการบูชา
ฝ่ายพระเจ้าสังขจักรพร้อมด้วยข้าราชบริพารทั้งหลาย ก็ได้เสด็จไปที่ใกล้แห่งสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ครั้งนั้นมหาชนทั้งหลายทั้งปวง
มีความปรารถนาจะบรรพชาแล้วก็พากันลอยไปในอากาศ
พร้อมด้วยพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ด้วยเดชานุภาพแห่งบรมจักร และอานุภาพแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์นั้น
(โปรดติดตามตอน "พระอนาคตวงศ์" ต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 2/6 ]
(Update 11 มกราคม 2561)
พระศรีอาริย์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
.....ครั้นเสด็จถึงควงไม้พระศรีรัตนมหาโพธิ คือ "ไม้กากะทิง" แล้วปราสาทแก้วก็เลื่อนลอยลงจากอากาศใกล้ในที่ปริมณฑลไม้มหาโพธินั้น
ฝ่ายท้าวมหาพรหมก็เชิญซึ่งพานผ้ากาสาวพัตร์ กับเครื่องบริขารทั้ง ๘ น้อมเข้าไปถวายสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์
แล้วพระองค์จึงชักเอาพระแสงดาบแก้วตัดพระเกศาให้ขาด แล้วก็โยนขึ้นไปในอากาศ ก็ถือเครื่องบริขารทั้ง ๘ ประการ ทรงเพศบรรพชาเสร็จแล้ว
ส่วนว่าบริวารทั้งหลายนั้น ก็ชวนกันบวชตามสมเด็จพระโพธิสัตว์เจ้าเป็นอันมาก
ฝ่ายพระมหาบุรุษราชองค์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้านั้น กระทำความเพียรอยู่ที่ใกล้พระมหาโพธิสิ้นประมาณ ๗ วัน
ในเมื่อเวลาเย็นพระองค์ก็เสด็จเข้าไปสู่ควงไม้พระมหาโพธิขึ้นทรงนั่งเหนือรัตนบัลลังก์ คือพระที่นั่งแก้ว แล้วทรงระลึกชาติของพระองค์ด้วย "ปุพเพนิวาสานุสติญาณ" ได้ทรงเห็นโดยลำดับกันประจักษ์แจ้งใน "ปฐมยาม"
ครั้งล่วงเข้า "มัชฌิมยาม" ทรงเห็นซึ่งการเกิดและตายแห่งสัตว์ทั้งหลายด้วย "ทิพจักขุญาณ"
ครั้นล่วงไปใน "ปัจฉิมยาม" ที่สุดนั้น พระองค์ได้ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรม ที่เรียกว่า "อาสวักขยญาณ"
คือบรรลุอภิเษกสัมโพธิญาณ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏเป็นพระพุทธคุณทั่วโลกธาตุ
แล้วพระองค์ก็ยังมนุษย์ทั้งหลายประมาณแสนโกฏิ ให้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรส คือพระสัทธรรม เห็นพระนิพพานอันมิได้รู้แก่รู้ตาย
เป็นธรรมาภิสมัยให้บังเกิดแก่ฝูงเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้ตรัสรู้มรรคและผลหาประมาณมิได้
พระพุทธลักษณะ
...สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยมีพระรูปพระโฉมงดงาม ตามพระพุทธลักษณะครบถ้วนทุกประการ คือพระองค์มีพระวรกายสูงได้ ๘๘ ศอก พระองค์ใหญ่กว้างได้ ๒๕ ศอก
ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระชานุ (เข่า) มีประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระชานุขึ้นไปถึงพระนาภี (ท้อง) ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระ นาภีขึ้นไปถึงพระรากขวัญ (ไหปลาร้า)
ทั้ง ๒ ประมาณ ๒๒ ศอก
ตั้งแต่พระรากขวัญขึ้นไปถึงพระเศียรเกล้าที่สุดยอดพระอุณหิต เปลวพระพุทธรัศมีนั้น ประมาณ ๒๒ ศอก เสมอกันทั้ง ๔ ส่วน พระรากขวัญทั้ง ๒ แต่ละอันนั้นยาวได้ ๕
ศอก
อันว่าพระหัตถ์ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้น ยาวได้ ๔๐ ศอก ในระหว่างภายในแห่งพระพาหา (แขน) ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้นมีประมาณ ๒๕ ศอก
พระอังคุลี (นิ้ว) แต่ละอันยาวได้ ๕ ศอก ฝ่าพระหัตถ์แต่ละข้างกว้างได้ ๕ ศอก พระศอ (คอ) โดยกลมรอบมีประมาณ ๕ ศอก โดยยาวก็ ๕ ศอก
พระโอษฐ์ (ปาก) เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง ๑๐ ศอก เสมอกันเป็นอันดี พระชิวหา (ลิ้น) อยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว ๑๐ ศอก พระนาสิก (จมูก) สูงยาวลงมาได้ ๗ ศอก
ดวงพระเนตรทั้ง ๒ โดยกว้างได้ ๗ ศอก แววพระเนตรทั้ง ๒ ข้าง ที่ดำกลมเป็นปริมณฑลอยู่นั้นมีประมาณ ๕ ศอก
พระขนง (คิ้ว) แต่ละข้าง ยาวได้ ๕ ศอก ในระหว่างพระขนงทั้ง ๒ กว้างได้ ๔ ศอก พระกรรณ (หู) ทั้ง ๒ แต่ละข้างยาวได้ ๗ ศอก ดวงพระพักตร์นั้น
เป็นปริมณฑลกลมดังดวงพระจันทร์เมื่อวันเพ็ญมีประมาณ กลมได้ ๒๕ ศอก ดังนี้แล...
(โปรดติดตามตอน "การบำเพ็ญบารมีของพระศรีอาริย์โพธิสัตว์" ต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 3/1 ]
(Update 19 มกราคม 2561)
การบำเพ็ญบารมีของ "พระศรีอาริย์โพธิสัตว์"
.....การบำเพ็ญบารมีของพระองค์ครั้งหนึ่ง ปรากฏชัดเจนเป็น "ปรมัตถบารมี" อันยิ่งยอดกว่าพระบารมีทั้งปวง
ฉะนั้น สมเด็จองค์ปัจจุบันจึงนำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งการสร้างพระบารมีของ "พระศรีอาริยเมตไตรย" มาตรัสแสดงแก่ "พระสารีบุตร" มีใจความว่า
อตีเต กาเล.. ในกาลล่วงมาช้านาน ได้มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า "พระสิริมิตร"
ครั้งนั้น "พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์" ได้เสวยศิริราชสมบัติใน "เมืองอินทปัตรมหานคร" ทรงพระนามว่า "บรมสังขจักร" มีแก้ว ๗ ประการ
อยู่มาในกาลวันหนึ่ง พระเจ้าสังขจักรเสด็จนั่งอยู่ภายใต้เศวตฉัตร มีพระทัยปรารถนาว่า ผู้ใดมาบอกข่าวว่า "พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ"
บังเกิดมีแล้ว
พระองค์จะสละราชสมบัติบรมจักร พระราชทานให้แก่บุคคลผู้นั้นแล้ว พระองค์ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปยังองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในกาลนั้น ยังมีกุลบุตรเข็ญใจผู้หนึ่ง ไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ในพระพุทธศาสนา ด้วยมารดาของสามเณรเป็นทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่ง
สามเณรนั้นคิดแสวงหาทรัพย์จะไปให้แก่มารดา เพื่อให้พ้นจากการเป็นทาสรับใช้ จึงเที่ยวไปโดยลำดับจนถึงกรุงอินทปัตร
ฝูงมหาชนชาวพระนครไม่รู้จักว่าสามเณรเป็นอย่างไร ครั้นเห็นเข้าก็สงสัยว่าเป็นมหายักษ์ ต่างก็พากันจับไม้ไล่ทุบตีสามเณร
ฝ่ายสามเณรมีความกลัวก็วิ่งหนีมหาชนเข้าไปจนถึงพระราชวัง ไปยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของพระราชา
พระองค์จึงตรัสถามว่า มานพนี้มีนามว่าอย่างไร ?
เจ้าสามเณรจึงกราบทูลว่า อาตมภาพมีนามว่า "สามเณร"
จึงตรัสถามว่า สามเณรนั้นด้วยเหตุใด ?
สามเณรจึงทูลว่า ข้าพเจ้ามีนามว่าสามเณรนั้น ด้วยเหตุว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำบาปในภายนอก แล้วตั้งอยู่ภายในแห่งกุศล เหตุดังนั้นจึงมีนามว่า "สามเณร"
พระองค์ก็ทรงตรัสถามต่อไปว่า นามกรของท่านนั้น บุคคลผู้ใดตั้งให้แก่ท่าน ?
สามเณรจึงทูลว่า พระอาจารย์ของข้าพเจ้าตั้งให้
พระองค์จึงตรัสถามอีกว่า อาจารย์ของท่านนั้นชื่อใด ?
สามเณรจึงถวายพระพรว่า อาจารย์ของอาตมาท่านมีนามว่า "ภิกษุ"
จึงตรัสถามต่อไปว่า พระอาจารย์ของท่านนั้นมีนามว่า "ภิกษุ" ด้วยเหตุอะไร ?
สามเณรจึงทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้นชื่อ "รัตนะ" เป็นแก้วอันหาค่ามิได้
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 3/2 ]
(Update 27 มกราคม 2561)
การสร้างบารมีของ "พระศรีอาริย์โพธิสัตว์" (ต่อ)
.....ครั้นพระสังขจักรได้ทรงสดับว่า "พระสังฆรัตนะ" ในพระพุทธศาสนาหาได้เป็นอันยากยิ่งนัก
พระองค์ก็มีความชื่นชมยินดีหาที่จะอุปมามิได้ คำนึงอยู่ในพระราชหฤทัยว่า จะเสด็จลงจากพระราชอาสน์ไปทรงนมัสการเจ้าสามเณร
ในทันใดนั้นเอง...พระวรกายของพระองค์ก็ลอยไปตกลงตรงหน้าเจ้าสามเณร ด้วยอำนาจแห่งธรรมปีติ ด้วยเดชะที่พระองค์มีความเลื่อมใสในคุณพระสังฆรัตนะ
ดอกปทุมชาติ คือดอกบัวก็บังเกิดผุดขึ้นรองรับพระองค์ไว้มิได้เป็นอันตราย จึงถวายนมัสการเจ้าสามเณรโดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงตรัสถามต่อไปว่า
"พระสังฆรัตนะ" อาจารย์ของท่านนั้น บุคคลผู้ใดให้นามกร ?
เจ้าสามเณรก็ทูลว่า อาจารย์ของข้าพเจ้านั้น คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระนามว่า "พระสิริมิตร" พระองค์โปรดประทานให้นามว่า "พระสังฆรัตนะ"
แก่พระอาจารย์ของข้าพเจ้า
พระเจ้าสังขจักรบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้ทรงพระอุตสาหะรอการสดับข่าวว่า เมื่อใดพระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นในโลก
ครั้นได้ทรงฟังสามเณรออกวาจาว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัม มาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ถึงกับทรงวิสัญญีภาพ คือสลบลงอยู่ตรงนั้นเอง
ครั้นพระองค์ได้พระสติขึ้นมา จึงตรัสถามสามเณรอีกว่า ดูก่อน...เจ้าสามเณรผู้เจริญ บัดนี้ องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่ไหน ?
สามเณรจึงทูลว่า สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จยับยั้งอาศัยอยู่ใน "บุพพารามวิหาร" อันมีอยู่ในทิศอุดร คือ ทางเหนือของกรุงอินทปัตรนี้ไปไกลกันมีประมาณ ๑๖ โยชน์
ครั้นพระองค์ได้ทรงสดับข่าวจากสามเณรว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบังเกิดแล้วในโลก จึงตรัสว่า
ดูก่อน...สามเณร ! หากว่าองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเสด็จอยู่ในทางทิศใด เราก็จะไปในประเทศทิศนั้น
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 3/3 ]
(Update 4 กุมภาพันธ์ 2561)
การสร้างบารมีของ "พระศรีอาริย์โพธิสัตว์" (ต่อ)
.....สมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมบพิตรผู้ประเสริฐ หาความห่วงใยในศิริราชสมบัติบรมจักรของพระองค์ไม่
ด้วยมีพระทัยนั้นผูกพันอยู่ในการที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระศรีสรรเพชรเป็นที่ยิ่งอย่างอุกฤษฏ์
พระองค์ก็กระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรนั้น ให้สึกออกมาเสวยราชสมบัติแทนพระองค์เป็นพระราชาอันประเสริฐ
ครั้นกระทำการราชาภิเษกเจ้าสามเณรแล้ว เสด็จลำพังแต่เพียงพระองค์เดียว มีพระทัยเฉพาะต่อทิศอุดร ตั้งพระทัยไปสู่บุพพารามวิหาร
อันเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระสิริมิตรสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่พระเจ้าสังขจักรเป็นสุขุมาลชาติ พระสรีรกายนั้นละเอียดอ่อนเป็นอันดี เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปตามหนทาง แต่พระบาทเปล่า เพียงเวลาวันเดียวเท่านั้น
พระบาททั้งสองข้างก็แตกจนพระโลหิตไหลไปตามฝ่าพระบาททั้งสอง
เมื่อพระบาททั้งสองบาดเจ็บจนเดินไปมิได้แล้ว ในกาลนั้น พระองค์ก็ลงนั่งคุกเข่าคลานไปทีละน้อย ไปตามหนทางที่เจ้าสามเณรบอกมานั้น ไม่ยอมละเสียซึ่งความเพียร
ครั้นล่วงไปถึง ๔ วัน พระหัตถ์ซ้ายขวาและพระชงฆ์ (แข้ง) ทั้งสองข้างนั้นก็แตกช้ำ โลหิตไหลออกมา จะลุกคลานไปก็มิได้ให้เจ็บปวดแสนสาหัส
เห็นขัดสนพระทัยนักแล้ว
ถึงกระนั้นพระองค์จะได้คิดท้อถอยย้อนรอยกลับคืนมาหามิได้ ทรงมุ่งมั่นในพระทัยว่า จะต้องไปให้ถึงสำนักขององค์สมเด็จพระจอมไตรให้จงได้
ครั้นพระองค์คุกคลานมิได้แล้ว ก็ทรุดลงพังพาบไถลไปแต่ทีละน้อย ด้วยพระอุระ (อก) ของพระองค์ ประกอบไปด้วยทุกขเวทนาเหลือที่จะอดกลั้น
พระองค์ยึดหน่วงเอาพระพุทธคุณของสมเด็จพระพุทธองค์เป็นอารมณ์
ด้วยเจตนาใคร่จะทรงพบเห็นพระองค์ผู้ทรงประเสริฐยิ่งกว่าใครในโลก แล้วก็ทรงอดกลั้นซึ่งทุกขเวทนานั้นเสีย หาได้ทรงอาลัยในพระวรกายของพระองค์ไม่
ครั้งนั้น สมเด็จพระสิริมิตรสัพพัญญูผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงพระมหากรุณาเล็งแลดูสัตวโลกทั้งหลายด้วยพระสัพพัญญุตญาณ
ก็รู้แจ้งเห็นด้วยกำลังความเพียรของพระเจ้าสังขจักรนั้น เป็นอุกฤษฏ์ยิ่งโดยวิเศษแล้ว
พระพุทธองค์ก็ทรงทราบว่าก็มิใช่อื่นมิไช่ไกล เป็นหน่อพระพุทธางกูรพุทธพงศ์วงศ์เดียวกันกับพระตถาคตนั่นเอง สมควรที่ตถาคตจักเสด็จไปสู่ที่ใกล้แห่งบรมสังขจักร
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 3/4 ]
(Update 12 กุมภาพันธ์ 2561)
ท้าวโกสีย์สักกเทวราช
.....เมื่อพระพุทธองค์ทรงพระดำริแล้ว ก็เสด็จพระพุทธดำเนินมาด้วยพระศิริวิลาสเป็นอันงาม แล้วพระองค์กระทำอิทธิฤทธิ์
เนรมิตพระวรกายของพระองค์ให้อันตรธานหาย กลับกลายเป็น "มานพน้อย" ขึ้นขับรถทวนมรรคามาเฉพาะหน้าแห่งสมเด็จพระบรมสังขจักรนั้น
แล้วสมเด็จพระพุทธสัพพัญญูเจ้าจึงร้องถามไปว่า "ผู้ใดมานอนอยู่กลางทางขวางหน้ารถเรา จงหลีกไปเสีย..เรา จะขับรถไป..!"
ฝ่ายพระบรมโพธิสัตว์เจ้าจึงตรัสตอบว่า ดูก่อน...นายสารถีผู้ขับรถ ท่านจะมาขับเราไปให้พ้นจากหนทางนั้นด้วยเหตุใด
ตัวเราผู้รู้จักคุณสมเด็จพระจอมไตรเป็นอารมณ์ยิ่งนัก หากแต่นายสารถีจะยั้งรถของท่านให้หลีกเราไปเสียจึงจะสมควร
ถ้าท่านไม่หลีกก็ให้ท่านขับรถไปเหนือหลังเราเถิด ซึ่งจะให้เราหลีกนั้นเราหาหลีกไม่ แล้วจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
ถ้าท่านจะไปยังสำนักพระพุทธเจ้าแล้ว จงมาขึ้นรถไปกับเราเถิด เราจะพาท่านไปให้ถึงสำนักสมเด็จพระประทีปแก้วให้สมดังความปรารถนา
สมเด็จพระราชาธิบดีจึงตรัสตอบว่า ถ้าท่านเอ็นดูกรุณาแก่เรา เราก็มีความยินดีสาธุอนุโมทนาด้วย
แล้วก็อุตสาหะดำรงทรงพระวรกายขึ้นสู่รถแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ก็ทรงหันหน้ารถไปตามถนนหนทาง
ในระหว่างทางนั้น สมเด็จอมรินทราธิราชกับนางสุชาดาผู้เป็นอัครมเหสี จึงได้นำเอาโภชนาหารอันเป็นทิพย์กับทั้งน้ำทิพย์ลงมา
จำแลงเพศเป็นบุรุษยืนอยู่ตรงหน้ารถแล้วร้องว่า
ดูก่อน...นายสารถีผู้เจริญ ท่านต้องการข้าวน้ำโภชนาหารหรือ...เราจะให้ เมื่อท้าวโกสีย์สักกเทวราชกับนางสุชาดากล่าวดังนั้น
องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาซึ่งแปลงเพศเป็นนายสารถีขับรถจึงกล่าวว่า
มานพผู้เจริญ. บุรุษทุพพลภาพผู้หนึ่งมาในรถด้วยกับเรา มีความลำบากเวทนานัก ท่านจะให้ข้าวน้ำโภชนา หารแก่เราก็ให้เถิด เราจะได้ให้แก่บุรุษผู้นี้บริโภค
องค์อัมรินทร์ปิ่นธานีกับนางสุชาดาก็ให้ข้าวน้ำโภชนาหารอันเป็นทิพย์ แด่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสตร์
แล้วพระองค์ก็ทรงประทานให้แก่พระบรมโพธิสัตว์สังขจักรเสวยข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้น
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่สารบัญ
|
|
[ ตอนที่ 3/5 ]
(Update 20 กุมภาพันธ์ 2561)
เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
.....ครั้นพระองค์เสวยอิ่มหนำสำเร็จแล้ว ด้วยอานุภาพแห่งข้าวน้ำอันเป็นทิพย์นั้น ทำให้ทุกขเวทนาในพระสรีรกายอันตรธานหาย
มีพระวรกายเป็นสุขสมบูรณ์เสมอเหมือนแต่ก่อน
องค์สมเด็จพระชินวรเจ้าจึงพาพระยาสังขจักรไปใกล้ "บุพพารามวิหาร" แล้วพระองค์ก็ประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์ในพระวิหาร
ส่วนหน่อเนื้อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์ก็เสด็จลงจากรถเข้าไปสู่บุพพาราม ทอดพระเนตรไปเห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะอีก ๘๐ ทั้งประดับด้วยพระพุทธรัศมีอันโอภาส สว่างรุ่งเรืองออกจากพระวรกาย
อันเสด็จประทับนั่งอยู่ในที่นั้น
พระองค์ก็ทรงสลบลงตรงพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยความโสมนัส เกิดความปีติยินดีหาที่สุดมิได้
ส่วนสมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
"..ดูก่อน มหาบุรุษราชผู้ประเสริฐ พระตถาคตเสด็จอยู่ในที่นี้แล้ว.."
ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมสังขจักรก็ได้พระสติฟื้นขึ้นมา เกิดความเลื่อมใสศรัทธาน้อมเศียรเกล้า คลานเข้าไป แล้วเสด็จนั่งยังที่อันสมควร
จึงยกพระกรขึ้นประนมถวายบังคมเหนือเศียรเกล้า กระทำการอภิวาทนมัสการกราบทูลว่า
"ภันเต ภควา...ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ข้าพระบาทได้ถึงสำนักของพระองค์แล้ว
ขอจงทรงพระกรุณาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระพุทธเจ้า โปรดตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนาให้ข้าพระบาทฟังเถิด...พระพุทธเจ้าข้า"
สมเด็จพระศาสดาจารย์จึงมีพระพุทธบรรหารว่า "ดูก่อน.. มหาบพิตรผู้ประเสริฐ.! จงตั้งโสตประสาทสดับรสพระพุทธพจน์ เทศนาของพระตถาคต
แล้วพิจารณาธรรมกถาอันกล่าวในคุณพระนิพพานนี้เถิด"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่สารบัญ
|
|
[ ตอนที่ 3/6 ]
(Update 28 กุมภาพันธ์ 2561)
พระสัทธรรมเทศนา
.....ปางนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาโปรดแก่พระยาสังขจักร
เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ทรงสดับพระสัทธรรมเทศนาบทหนึ่งสิ้นเนื้อความลงแล้ว ก็กราบทูลห้ามสมเด็จพระประทีปแก้วว่า
"..ขอพระองค์จงหยุดการแสดงธรรมเสียเถิด.."
มีคำถามว่า... เหตุไฉนพระเจ้าสังขจักรจึงทูลห้ามเช่นนี้ เพราะเดิมทีมีพระทัยผูกพันในพระพุทธศาสดา ระลึกถึงซึ่งคุณพระพุทธเจ้า
พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า เป็นอันมาก สู้ทรงสละราชสมบัติบรมจักร เสด็จมาด้วยความลำบากแทบถึงซึ่งชีวิต
ครั้นมาประสบพบองค์พระสัพพัญญูเจ้า พระองค์ประทานธรรมเทศนาแล้ว กลับห้ามเสียด้วยเหตุประการใด..?
มีคำตอบว่า... สมเด็จพระบรมสังขจักรทรงพระดำริว่า ถ้าสมเด็จพระบรมศาสดาโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาเป็นอันมาก
แล้วพระองค์ก็เสด็จมาแต่เพียงลำพังพระองค์เดียวเปลี่ยวพระทัยนัก
จะหาเครื่องไทยธรรมอันสมควร ที่จะสักการบูชาให้สมควรแก่รสพระสัทธรรมนั้นหามีไม่ บัดนี้เราได้สดับรับรสแห่งอมตธรรมแต่บทเดียว เครื่องสักการบูชาของเรานี้
มิพอสมควรกันกับพระสัทธรรม
...พระองค์ทรงดำริดังนี้แล้ว จึงกราบทูลห้ามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสีย แล้วพระองค์จึงกราบทูลว่า
"ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับพระสัทธรรมของพระองค์ในกาล ครั้งนี้ พระองค์ทรงพระมหากรุณาตรัสพระธรรมเทศนาแสดง พระนิพพานอันเดียวเป็นที่สุดพระสัทธรรมอยู่แล้ว
ข้าพระพุทธเจ้าจะตัดเศียรเกล้า อันเป็นที่สุดสรีระกายแห่งข้าพระพุทธเจ้า ออกกระทำการสักการบูชาพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่สารบัญ
|
|
[ ตอนที่ 3/7 ]
(Update 8 มีนาคม 2561)
ตัดพระเศียรบูชาพระธรรม
.....ครั้นตรัสดังนั้นแล้ว พระเจ้าสังขจักรผู้มีอัธยาศัยในพระโพธิญาณ จึงทรงอธิษฐานขอให้เล็บของพระองค์คมดังพระแสงดาบ
เด็ดซึ่งพระศอให้ขาด แล้ววางไว้บนฝ่าพระหัตถ์ พร้อมตั้งมโนปณิธานความปรารถนา ออกพระโอษฐ์ตรัสด้วยวาจาว่า
"ภันเต ภควา...ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงศิริ ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าสู่เมืองแก้วอันเกษมสานต์ คือพระอมตมหานิพพานอันสำราญก่อนข้าพระบาทเถิด
ข้าพระบาทจะขอตามเสด็จไปสู่พระนิพพานอันสำราญต่อภายหลัง
ด้วยข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายเศียรเกล้าบูชาพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ในกาลบัดนี้ ด้วยมิได้หวังสมบัติใดในโลกนี้ มีความปรารถนาเพียงอย่างเดียว
คือการบรรลุพระโพธิญาณ เป็นพระศาสดาจารย์พระองค์หนึ่งในอนาคตกาลนั้นเทอญ..."
ในที่สุดแห่งพระวาจาที่ได้ตั้งความปรารถนาขาดลง พระบรมโพธิสัตว์ก็สิ้นพระทัยไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
ดูก่อน...สารีบุตร ครั้นเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพิชิตมารบรมศาสดาจารย์แล้ว จึงมีพระองค์สูงได้ ๘๘
ศอก
ด้วยผลทานที่เด็ดพระเศียรกระทำสักการบูชาแห่งพระสัทธรรมเทศนา พระองค์ทรงพระรัศมีสิ้นทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ขาดนั้น
ด้วยอานิสงส์ที่พระองค์ทรงอุตสาหะไปในหนทาง ปรารถนาจะพบเห็นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จนพระโลหิตไหลออกจากพระบาท (เท้า) พระชงค์ (หัวเข่า) พระหัตถ์ (มือ)
และพระอุระ (หน้าอก) ของพระองค์ ในคราวเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสังขจักรนั้น
อนึ่ง พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบน จนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงอเวจีมหานรก ด้วยผลอานิสงส์ที่พระองค์เด็ดพระเศียร
ออกกระทำสักการบูชาพระสัทธรรม โลหิตไหลออกจากพระเศียร
อีกประการหนึ่ง ในพระศาสนาแห่งพระศรีอาริยเมตไตรย บังเกิดมีต้นไม้กัลปพฤกษ์ นึกได้สำเร็จสมความปรารถนานั้น
ด้วยผลานิสงส์ที่พระองค์เสด็จไปตามถนนหนทาง ใคร่จะพบองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้ามีกำหนดถึง ๗ วัน จึงได้ประสบพบพระพุทธองค์สมพระราชหฤทัย
ดูก่อน...สารีบุตร ผู้เป็นธรรมเสนาบดีของตถาคต ฝูงชนทั้งหลายที่มิได้เห็นรูปกายของพระตถาคตนี้ แม้ได้พบเห็นแต่พระพุทธศาสนาของพระตถาคต แล้วได้กระทำทาน
รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา
ด้วยเดชะผลานิสงส์นี้ บรรดาปวงชนทั้งหลายเหล่านั้น จักได้บังเกิดทันพระพุทธศาสนาแห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย
อันจะมาอุบัติบังเกิดเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต
แสดงมาด้วยเรื่อง "พระศรีอาริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์" ก็ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง..ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ
หมายเหตุ : หลวงพ่อบอกว่าอีกประมาณล้านปีเศษ ๆ "พระศรีอาริย์" จะมาตรัสรู้ทางอาณาเขตของประเทศพม่า ฯ
(โปรดติดตามตอน "ประวัติเจดีย์พุดตาน" ต่อไป)
◄ll กลับสู่สารบัญ
|
|
|
|