Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 8/5/18 at 15:25 [ QUOTE ]

คุณอ๋อย (เฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) กับหลวงปู่ชุ่ม และท่านอาจารย์ฝั้น


สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)

[01]
ตอนที่ ๑ คุณอ๋อยกับหลวงปู่ชุ่ม
[02] ตอนที่ ๒ หลวงปู่ชุ่มมรณภาพ
[03] ตอนที่ ๓ ความไม่เข้าใจกัน
[04] ตอนที่ ๔ เสียงฆ้อง (ดังที่บ้านสายลม)
[05] ตอนที่ ๕ ก่อนมรณภาพ
[06] ตอนที่ ๖ หลวงปู่ชุ่มมรณภาพ
[07] ตอนที่ ๗ วาจาสุดท้าย ณ บ้านวังมุย
[08] ตอนที่ ๘ สมบัติชิ้นสุดท้าย ณ วัดท่าซุง
[09] ตอนที่ ๙ คุณอ๋อย..กับท่านอาจารย์ฝั้น
[10] ตอนที่ ๑๐ คำเทศน์ท่านอาจารย์ฝั้น ปี ๒๕๒๐
[11] ตอนที่ ๑๑ คำเทศน์ท่านอาจารย์ฝั้น (ต่อ)

[12] ตอนที่ ๑๒ คำเทศน์ท่านอาจารย์ฝั้น (ต่อ)

บทนำ

....เมื่อตอนที่แล้วผู้เขียนได้นำข้อมูลจากหนังสือ "อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ" คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๒๑ ตั้งแต่เริ่ม "คุณอ๋อยกับธรรมะ" จนจบเรื่อง "พระไตรปิฎก" ไปแล้ว

ตอนต่อไปนี้จะเป็นเรื่องความเกี่ยวข้องกับ "หลวงปู่" ต่างๆ ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ "พระราชพรหมยาน" เรียกว่า "พระสุปฏิบันโน" นั่นเอง


คุณอ๋อยกับหลวงปู่ชุ่ม


"...เมื่อคราวที่หลวงพ่อขึ้นไปหาพระหลายองค์ทางภาคเหนือ ได้พบ "หลวงปู่ชุ่ม" ที่วัดจามเทวี (อ.เมือง จ.ลำพูน) เพราะท่านไปเยี่ยม "หลวงปู่บุญทืม" พอดี


...หลวงปู่ชุ่มก็ขอให้หลวงพ่อช่วยเหลือในการก่อสร้าง พระธาตุดอยจิ (ดอยกิจจิ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่) และ วัดวังมุย อ.เมือง จ.ลำพูน ของท่านบ้าง ซึ่งหลวงพ่อก็รับ หลังจากนั้นก็มีการติดต่อเป็นที่คุ้นเคยกัน

คราวหนึ่งหลวงปู่ชุ่มกระซิบบอกหลวงพ่อว่าจะเข้า "นิโรธสมาบัติ" สัก ๗ วัน หลวงพ่อก็เลยเอามาบอกกับศิษย์ของท่าน ศิษย์ก็บอกเพื่อน เพื่อนก็บอกเพื่อนต่อ ๆ ไปอีก เลยกลายเป็นรู้ทั่วกัน

แล้วก็มีการรวบรวมเงินไปทำบุญ เพราะตำรากล่าวว่าทำบุญกับพระที่ออกจากสมาบัตินั้น จะได้บุญมากกว่าธรรมดา ปรากฏว่าสายของหลวงพ่อได้เงินไปหลายหมื่น

ถึงกำหนดท่านออกจากสมาบัติ ก็ขึ้นรถเหมาไปเกือบ ๑๐ คัน กว่าจะเข้าวัดได้ก็แทบแย่ เพราะว่าฝนตกและทางลื่นและแคบด้วย ดีไม่ดีจะตกถนนออกไม่ได้


ถึงเวลาที่หลวงปู่ชุ่มออกจากสมาบัติ ผู้คนก็แห่กันไปที่กระท่อมเพื่อจะแย่งกันเป็นคนแรกที่ได้ทำบุญ ยกเว้น "คุณเสริม" พรรคพวกเขาไม่ทราบจะเอาเงินที่รวบรวมได้ไปไว้ที่ไหน เขาก็เลยเอาใส่บาตรพระให้คุณเสริมนั่งเฝ้า

โปรแกรมเดิมมีว่า หลวงพ่อจะเป็นผู้ถวายในนามคนทั้งหมด จะได้ไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบว่าใครได้ถวายก่อน แต่พอมีคนแย่งไปที่กระท่อม เลยแห่ไปกันใหญ่ ยกเว้นคุณเสริมผู้เคราะห์ร้าย


ตอนที่คุณเสริมนั่งเฝ้าบาตรพระนี้ ไม่ทราบว่าใครแอบมาถ่ายรูปเอาไปลงหนังสือพิมพ์ รูปภาพนี้มีพระองค์หนึ่งเขียนหนังสือประณามว่า เป็นการแสดงฤทธิ์เพื่อเรี่ยไร เป็นยังงั้นไป

คุณเสริมก็บ่นขรมว่า เอ..ฉันก็นั่งเฝ้าสตางค์ให้เขาดี ๆ ไงกลายเป็นนั่งเรี่ยไรไปเสียได้ คราวนั้นมีผู้ทำบุญรวม ๓ แสนบาท หลวงปู่ชุ่มเอาไปใช้ต่อไฟฟ้าเข้าวัดสำเร็จ..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 8/5/18 at 15:25 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 2 ]

หลวงปู่ชุ่มมรณภาพ


...ต่อจากนั้นก็มีการติดต่อกันอยู่เรื่อย คือหลวงพ่อมักนิมนต์มาทำพิธี "พุทธาภิเษก" ตามที่มีผู้นิมนต์ที่กรุงเทพฯ บ้าง ไปเยี่ยมทหารบ้าง ไปโปรดชาวใต้บ้าง ท่านก็มาจำวัดที่บ้านหลายครั้ง

มาคราวหนึ่ง หลวงปู่ชุ่มลงจากเครื่องบินที่มาจากปักษ์ใต้ เล่าให้คุณอ๋อยฟังว่า คุณอ๋อยเคยเป็นแม่มาหลายชาติ เพิ่งจะไปสอบทวนรู้บนเครื่องบินน่ะเอง

พอรู้แล้วก็ตื้นตันใจจนน้ำตาไหล มาถึงบ้านก็ขอถ่ายรูป คนอื่นจะเข้าถ่ายร่วมด้วยท่านก็ไม่ยอม บอกว่ารูปนี้ถ่ายเฉพาะร่วมกับ "คุณอ๋อย" และ "คุณเสริม" เท่านั้น

แล้วท่านก็บอกคุณอ๋อยว่าถ้าท่านเป็นอะไรตายไป ฝากช่วยทำศพด้วยก็แล้วกัน

ต่อมาปรากฏว่าท่านเป็นโรคต่อมลูกหมากอักเสบ ปัสสาวะไม่สะดวก "คุณปิ่น พวงทอง" จึงไปนิมนต์มาเข้าโรงพยาบาลพร้อมมิตร โดยรับจากวัดตรงไปโรงพยาบาลโดยตรงเลย ไม่ได้แวะที่บ้านคุณอ๋อย

และในขณะเดียวกัน ก็นิมนต์ "หลวงปู่วงศ์" จากวัดพระบาทห้วยต้มไปผ่าตัดทำกระดูกคอที่แตก เนื่องจากตกที่สูงด้วย ทั้งสององค์นี้อยู่ในห้องเดียวกันที่โรงพยาบาลพร้อมมิตร

หลังจากรักษาด้วยวิธีเจาะ คือไม่ผ่าตัดแล้ว คุณอ๋อยก็ไปเยี่ยม ท่านก็บอกว่าอาตมาก็หมดเวรหมดกรรมที่โรงพยาบาลแห่งนี้นะ

ก็เป็นอันเข้าใจว่า ท่านจะไม่มีอาการเจ็บป่วยอย่างอื่นอีกต่อไปแล้ว ใครไปเยี่ยมท่านก็พูดอย่างนี้ทุกที

คืนก่อนที่หลวงปู่ชุ่มจะกลับ (คือรุ่งขึ้นท่านกะว่าจะกลับตอนเช้ามืด) ปรากฏว่ามีอาการของโรคหัวใจกำเริบ แล้วท่านก็สิ้นที่โรงพยาบาลแห่งนั้น

พอดีหลวงพ่อกำลังมาโปรดที่บ้านคุณอ๋อย เลยปรึกษากันว่าเอาไงดี หลวงพ่อบอกว่าตั้งศพที่บ้านก็แล้วกัน เพราะท่านอยู่ถึงลำพูน เอาตั้งไว้จนกว่าทางลำพูนจะมารับ เลยขนย้ายมาตั้งไว้ที่บ้านคุณอ๋อย

รุ่งขึ้นหลวงพ่อบอกว่า ไปเอาโลงทองของท่านที่วัดท่าซุงมาก็แล้วกัน เลยส่งรถ “โตงเตง” ขึ้นไปขนมาพร้อมด้วยโต๊ะหมู่ มาถึงทางนี้พอดีกับโลงไม้สักที่ช่วยกันออกเงินซื้อที่กรุงเทพฯ เข้าบ้านมาพร้อมกัน

ตอนประมาณ ๕ โมงเย็นก็เชิญหีบศพขึ้นตั้งบนแท่น กำลังตั้งหีบศพทุกคนได้ยินเสียงฆ้องดังแว่วมาไกล ๆ เป็นที่อัศจรรย์ ต่อจากนั้นก็บำเพ็ญกุศลศพทุกคืน โดยมีคนผลัดกันเป็นเจ้าภาพ


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/5/18 at 04:24 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 3 ]

ความไม่เข้าใจกัน


(ขบวนแห่ "หลวงปู่ชุ่ม" ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม)


...ตอนที่หลวงปู่สิ้น ลูกศิษย์ของท่านที่อยู่โรงพยาบาลด้วย ก็รีบขึ้นรถทัวร์กลับไปลำพูนทันที แต่ก็ภายหลังจากทำบัญชีรายการสิ่งของในย่ามของหลวงปู่เสร็จแล้ว

ไม่กี่วันก็มีรถสองแถวคันหนึ่งมาจอด เป็นพวกมาจากลำพูน บอกว่าเป็นญาติหลวงปู่จะขอรับศพกลับไปทำ ถามว่าเอาอะไรมารับ ตอบว่าจะห่อผ้าขาวไปอย่างนั้น

คุณอ๋อยปรึกษาหลวงพ่อแล้วเห็นว่า ไม่ควรให้ไปเพราะประการที่ ๑ หลวงปู่ชุ่มเป็นพระสำคัญ คนที่มารับศพเป็นใครเราไม่รู้จัก

ประการที่ ๒ ศพพระควรมีพระมารับ ดังนั้นหลวงพ่อก็บอกให้เขากลับไป ให้จัดพระมารับอย่างน้อยควรเป็นเจ้าคณะตำบลจึงจะดี

กลับไปได้สักวันสองวัน ไปมีข่าวทางลำพูนว่าทางนี้จะแย่งศพไว้ ไม่ยอมให้ไป หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวเป็นการใหญ่ว่า

หลวงปู่ชุ่มมาพักที่บ้านคุณเสริม ขณะดูทีวี อาการโรคหัวใจก็กำเริบจนตายไป นัยว่าจะให้เข้าใจว่าเอาพระมาใช้จนท่านตาย

ต่อมาชาวลำพูนก็แห่กันมาหลายคันรถ นัยว่าไปร้อง “ขอความเป็นธรรม” กับหนังสือพิมพ์ด้วย แล้วจะมาตะลุมบอนให้หนัก

แต่การรวมพลจะพลาดกันอย่างไรไม่ทราบ พวกที่มาถึงบ้านเป็นพวกที่นำพระมาด้วย จะเป็นเจ้าคณะตำบลหรืออำเภอก็จำไม่ถนัด มีหนังสือมอบอำนาจมาเป็นหลักฐาน แต่ก็ขาดเครื่องนำกลับอีกน่ะแหละ

พวกกรุงเทพฯ ก็ช่วยกันออกสตางค์ซื้อโลงลายทองบรรจุท่านกลับไป ก่อนจะบรรจุโลงรองในลงในโลงทอง ชาวลำพูนขอเปิดหีบดู

เขาก็พูดดีแต่ความหมายก็ว่า ต้องการดูว่าพวกกรุงเทพฯไม่ได้ส่งศพผิดไปนั่นแหละ แต่ยังดีไม่เปิดผ้าตรวจดูร่างกาย เพราะตาม “ข่าว” ก็พูดกันว่าทางกรุงเทพฯ ผ่าท้องท่านจนตายไป

หลังจากที่ได้ตรวจรับของกันทีละรายการจนครบ และเจ้าคณะท่านนั้นลงนามแล้ว ชาวลำพูนก็ยกขบวนกลับไป

เรื่องนี้ได้ความว่ามีผู้ยุแหย่อยู่คนหนึ่ง เวลาพระสำคัญ ๆ ตายแกชอบไปยุ่ง ทำเขาปั่นป่วนไปหมดทุกที่

เคราะห์ดีที่คราวนี้ไม่มีเรื่องอะไรมาก แต่ตามข่าวจากพวกที่ไปเยี่ยมศพบอกว่า ความรู้สึกของชาวบ้านต่อพวกบ้านคุณอ๋อยไม่ดีเลย

เพราะฉะนั้นถึงงานฌาปนกิจศพท่านก็เลยไม่มีใครกล้าไป ได้แต่ส่งเงินไปในนามคณะศิษย์หลวงพ่อสองหมื่นสองพันบาท โดยมอบให้ พ.อ.ชวาล กาญจนกุล เป็นผู้นำไป นี่ก็เป็นธรรมดาของโลกมันก็มีเรื่องยุ่งแบบนี้..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/5/18 at 02:29 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 4 ]

เสียงฆ้อง (ดังที่บ้านสายลม)


...สำหรับเรื่องฆ้องนั้น ปรากฏว่ามีเสียงดังอยู่เสมอ มีลูกชายคุณอ๋อยชื่อ "หน่อย" (กัปตันศรันศุข สุขสวัสดิ์) เขาออกจะเป็นคนหัวสมัยสักหน่อย ไม่ค่อยเชื่อเรื่องอย่างนี้

วันหนึ่งตอนกลางวันไปนอนอยู่ตรงที่ๆ เคยตั้งศพหลวงปู่ชุ่ม ได้ยินเสียงฆ้องด้วยตนเอง ออกมาหาดูก็ไม่เห็นใคร ตีอยู่ที่ไหน คราวนี้เลยชักเชื่อ

ข้างคุณเสริม หูไม่ค่อยดี คือไม่ค่อยจะมีความสังเกต วันหนึ่งอยู่กับลูก ๒ – ๓ คน เสียงฆ้องดังโมงใหญ่ มีเสียงกังวานด้วยตรงหน้าต่าง ที่ห่างออกไปสัก ๒ วา ดังอยู่ ๒ – ๓ ครั้งก็หยุดไป

ลองเรียนถามหลวงพ่อดู ท่านบอกว่าเขาฉลองกันราว ๆ เดือนหนึ่ง คุณเสริมอยากหูหนวกต้องตีให้ดังเป็นพิเศษ


เรื่องหลวงปู่ชุ่มตายนี้ มาได้ความจาก "หลวงปู่วงศ์" ในภายหลังว่า ท่านพูดกับหลวงปู่วงศ์ตั้งแต่อยู่ลำพูนแล้ว บอกว่าอยู่นี่ก็ตาย ไปกรุงเทพฯก็ตาย ไปตายกรุงเทพฯดีกว่า เขาจะได้ทำบุญกัน

คุณอ๋อยต่อว่า...ว่าโธ่...แล้วหลวงปู่ทำไมไม่บอก ท่านก็หัวเราะแหะ ๆ ตามเคยของท่าน

เป็นอันว่าพวกกรุงเทพฯ ได้บุญตามความประสงค์ของหลวงปู่ชุ่ม และคุณอ๋อยก็ได้จัดการศพตามที่ท่านฝากฝังไว้ ถึงแม้ว่าจะขาดความสมบูรณ์ไปนิดหนึ่งก็ตาม..."


อ้างอิง - หนังสือ "อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ" คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 5/6/18 at 06:44 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 5 ]

หลวงปู่ชุ่มก่อนมรณภาพ


...จากหนังสือ "อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ" คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ได้เล่าเรื่อง "หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก" วัดวังมุย จบไปแล้ว

ในตอนนี้ จะขอนำการเล่าของพระครูภาวนาพิลาศ (หลวงตาวัชรชัย) ในหนังสือ “บนเส้นทางพระโยคาวจร” นามปากกา “สายฟ้า” ดังต่อไปนี้

...เรื่องของหลวงปู่ชุ่ม ทำอะไรล่ะ ! ฟังเอาเองดีกว่า คือพอจะใกล้ทิ้งสังขาร หลวงปู่ชุ่มก็บอกความในใจกับ "ท่านเจ้ากรมเสริม" และ "พี่อ๋อย"

(ท่านพล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ และ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา เจ้าของบ้านซอยสายลม ...เขียนย้ำ กลัวคนรุ่นหลังจะลืม) ว่าท่านเคยเกิดเป็นลูกของท่านพ่อท่านแม่คู่นี้

แล้วท่านก็ลงไปปักษ์ใต้กับพระคุณพ่อเราในงานสาธารณะสงเคราะห์ของศูนย์สงเคราะห์ฯ วัดท่าซุงเรา ก่อนออกเดินทาง ก็บอกท่านพ่อท่านแม่ทั้งสองว่า

ไปเที่ยวนี้ก็ต้องลาแล้ว ศพของท่านขอให้จัดที่ซอยสายลม ขอให้โยมพ่อโยมแม่จัดการเผาศพท่านด้วย ถ้าให้ทางวัดลำพูนไปจัดการศพจะเสียเปล่า

ถ้าให้โยมพ่อโยมแม่จัดการ กระดูกท่านจึงจะเป็นพระธาตุ เอาไว้ให้คนรุ่นหลัง สักการะทัศนาเพื่อความมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยได้

...ขอเล่าข้ามไปก่อนว่า เมื่อท่านกลับจากปักษ์ใต้ก็ป่วยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอะไรหนอ... มีพี่อำไพ พวงทอง กับพี่หมอยุวดี เป็นผู้รับธุระถวายอุปการะ....



งานพิธี ณ วิหารพระพุทธมงคลบพิตร ต.น้ำน้อย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๑๙


ภาพ "วิหารน้ำน้อย" หลังเก่าก่อนบูรณะ


ภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายของ "หลวงปู่ชุ่ม" กลับมาท่านก็มรณภาพ


ขณะรอรับเสด็จ คุณอำไพ พวงทอง (นั่งใส่เสื้อสีขาว แว่นตาดำ) ส่วนคุณพรนุช คืนคงดี ใส่เสื้อสีชมพู

เอาล่ะ...กลับมาดู ย้อนไปสัมผัสเหตุการณ์ที่พวกเราปรนนิบัติร่างกายพระดีกันเป็นวาระสุดท้าย วันนั้นพอดีเป็นวันที่พ่อไปสอนพระกรรมฐานที่บ้านสายลม ปีไหนหนอ...๒๕๒๑ เวลาประมาณสองทุ่ม

พี่อำไพ พวงทอง ก็โทรศัพท์มาบอกว่า หลวงปู่ชุ่มมรณภาพแล้วโดยอาการสงบ... คือลุกขึ้นมานั่งยิ้มสดชื่น สักครู่ก็นอน... สงบนิ่งไปเลย

พ่อสั่งให้นำศพหลวงปู่มาตั้งที่บ้านสายลม ตั้งสรงน้ำกันตรงหน้าห้องที่พระสงฆ์พักเวลามาสอนพระกรรมฐาน ตรงที่จำหน่ายสังฆทานนั่นแหละ เอาเตียงมาวางร่าง เอาตั่งมารองขันน้ำสรงมือ

ร้องไห้กันทำไมหนอ... ท่านคงนอนยิ้มถาม ....ไม่มีใครตอบท่าน มีแต่ต่างก็ตอบสนองความเคารพอาลัยรักของตนเอง เอาขมิ้นมาทาฝ่าเท้า เอาผ้าขาวมาตัดพิมพ์แจกให้ทำบุญกัน...

พิมพ์รอยเท้าทำไมหนอ... ท่านคงถาม ทำไมไม่พิมพ์น้ำคำประทับกระแสธรรมไว้ในดวงจิต ....เอาเถิดลูกหลานเอ๋ย ทำอะไรที่มันไม่ผิดศีลแล้วมีความสุขก็ทำเถิด

เป็นบันได เป็นกำลัง ให้ก้าวไปสู่จุดที่ปู่เข้าถึงแล้ว จุดที่พ่อเธอเข้าถึงแล้ว เมื่อเธอเข้าถึงด้วยตัวเอง อามิสบูชาทั้งหลาย เธอก็ไม่ต้องทำแล้ว ตอนนี้ทำเถิดลูก ทำไปจนวันตาย.... วันที่ปู่ได้ครอบครองสมใจแล้ว..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/6/18 at 04:05 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 6 ]

หลวงปู่ชุ่มมรณภาพ


...ในตอนนี้ ขอนำการเล่าของพระครูภาวนาพิลาศ (หลวงตาวัชรชัย) ในหนังสือ “บนเส้นทางพระโยคาวจร” นามปากกา “สายฟ้า” ต่อไปอีกว่า...

"...ผู้เขียนประจงเช็ดปากหลวงปู่ด้วยกระดาษซับ ตอนนี้ไม่กลัวโดนดุแล้ว ตามีอำนาจดุจสายฟ้าปิดสนิทแล้ว แต่กระแสอัศจรรย์อย่างหนึ่งแล่นเข้ามากระทบใจผู้เขียน

“ดูรูปปู่บนหัวนอนซี สวยไหม?” สวยครับ งามมาก ยิ้มงามสงบนัก
“ดูหน้าศพปู่ซิ สวยไหม?” ไม่สวย ปู่พ่นน้ำลายเป็นฟองทำไม ผมเช็ดให้...

“จะให้ดูไงลูก...ผลสุดท้ายปู่ก็เป็นอย่างนี้ เย็นเฉียบแข็งทื่ออย่างนี้ ทุกคนต้องเป็นอย่างนี้ พ่อเธอก็ต้องเป็นอย่างนี้ ตัวเธอก็ต้องเป็นอย่างนี้

ร่างกายหมดอายุใช้งานแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีแล้ว เอามาทำกิจ เอามาโลภ โกรธ หลง อะไรไม่ได้แล้ว เธออย่าประมาทเลย รีบทำความดีเสียให้ถึงพร้อม

รีบขจัดขัดล้างความชั่ว มลทินในใจให้หมดไปเสีย มันเป็นของไม่ดี แล้วใจของเธอก็จะผ่องใส ให้มันผ่องใสเสียก่อนตาย จะได้นั่งกินหมาก นั่งยิ้มเย็น นั่งคุยเป็นสุขได้...”


ครับ...ปู่ หลวงปู่...ลูกขอคุกเข่าปรนนิบัติ ขอมองหน้า ขอดูดซับกระแสใจของหลวงปู่ ของท่านลุงชุ่มโดยไม่ยกมือไหว้ ขอเอามือทำงาน เอาใจกราบเข้าไปในดวงจิตที่เลอเลิศด้วยความเมตตา

อันเข้มแข็งดุจแสงสายฟ้าที่สะท้อนเงาลงในแผ่นน้ำอันสงบร่มรื่น ทิ้งร่างนี้ไว้เถิด...ขึ้นไปสถิตเป็นกำลังใจ คอยชี้ทางลูกด้วยเถิด...

หลวงปู่รู้ไหม...เคยมีใครบอกหลวงปู่ไหม ว่ามีพระดีองค์หนึ่งได้อุบัติมาในโลกมนุษย์ พระองค์นี้ใช้ความสงบอันเด็ดเดี่ยว สอนผู้คนได้โดยแทบไม่ต้องใช้วาจาภาพูด

เพียงท่านเดิน ยืน นั่ง นอน ฉันหมาก แม้นอนตายหงายร่าง ก็ยังสามารถสั่งสอนผู้คนให้เข้าใจความจริงที่สวยงามได้ ลูกจะบอกให้ เพราะลูกรู้จักพระองค์นั้น เพราะลูกรักพระองค์นั้น ท่านชื่อ ครูบาชุ่ม โพธิโก

พระดีศรีล้านนา หลวงปู่อย่าอิจฉาท่านนะ อย่ามาห้ามไม่ให้ลูกรักบูชาท่านนะ เพราะท่านได้พิมพ์จริยาพระลงไปในใจลูกเสียแล้ว จนตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานก็จะไม่ยอมลบให้เลือนหาย..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 1/7/18 at 04:22 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 7 ]

วาจาสุดท้าย ณ บ้านวังมุย


...พ่อเลื่อน กันธิโน ศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม เล่าถึงช่วงเวลาก่อนที่ท่านจะมรณภาพว่า ตอนที่ท่านจะตัดสินใจมากรุงเทพฯ นั้น ชาวบ้านวังมุยหลายคนขอร้องไม่ให้ท่านมา เพราะเห็นว่าท่านอาพาธอยู่

แต่ดูเหมือนหลวงปู่ท่านจะรู้วาระของท่านจึงได้เอ่ยวาจาว่า

“เฮาจะไม่ตายที่นี่ เฮาจะไปตายที่เมืองกรุงบางกอก”

นับได้ว่าเป็นวาจาประโยคสุดท้ายของท่านที่บ้านวังมุย

พ่อเลื่อนเป็นผู้พาหลวงปู่นั่งเครื่องบินเดินทางไปกรุงเทพฯ โดยท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์) กับคุณอ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) มารอรับที่สนามบินดอนเมือง

เพื่อพาหลวงปู่ชุ่มไปรักษาที่โรงพยาบาลพร้อมมิตร คณะแพทย์ได้ตรวจรักษาโดยใช้แสงเลเซอร์ผ่าตัดบริเวณต่อมลูกหมาก

หลวงปู่ท่านกะว่าจะนอนพักผ่อนแค่ ๒ วันแล้วจะกลับวัดวังมุย แต่แพทย์ได้ห้ามไว้ เพราะหลวงปู่เพิ่งผ่าตัด ควรจะนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลต่อสัก ๔-๕ วัน พร้อมกันนี้ แพทย์ได้ขอร้องหลวงปู่ไม่ให้เดินเพราะเพิ่งจะผ่าตัด

แต่ด้วยความที่หลวงปู่ท่านเปี่ยมไปด้วยความเมตตาสูงส่ง เมื่อท่านนอนพักฟื้นได้สักระยะหนึ่ง จนพอมีแรงขึ้นมาบ้าง

ท่านก็เมตตาเดินขึ้นไปตามชั้นต่างๆ ของโรงพยาบาลที่มี ๔ ชั้น เพื่อไปรดน้ำมนต์ให้กับบรรดาผู้ป่วยของโรงพยาบาล

ปรากฏว่าพอหลวงปู่กลับมาพักที่ห้องของท่าน เลือดได้ไหลออกมาจากตรงบริเวณแผลที่เพิ่งผ่าตัด พอคณะแพทย์พยาบาลทราบ ต่างตกใจและรีบช่วยกันเยียวยาหลวงปู่อย่างเต็มความสามารถ

แต่เนื่องจากหลวงปู่เสียเลือดมาก ประกอบกับการที่ท่านชราภาพมากแล้ว จึงไม่สามาถต้านทานความเจ็บปวดเอาไว้ได้ ท่านจึงมรณภาพอย่างสงบในเวลาเย็น ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของศิษยานุศิษย์


...พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ ได้นำสังขารของหลวงปู่ชุ่ม มาตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้านสายลม อันเป็นสถานที่ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานมาสอนกรรมฐาน เป็นเวลา ๑ วัน

จากนั้นชาวบ้านวังมุยจึงพากันเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อขอนำสังขารของหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่มกลับไปสู่บ้านวังมุย

เจ้ากรมเสริมจึงได้สั่งการให้ทหารเอารถจี๊บใหญ่นำสังขารของหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่มมาส่งถึงวัดชัยมงคล (วังมุย) โดยมีรถทหารนำขบวนมาด้วย

จากนั้นทางวัดชัยมงคล (วังมุย) ได้จัดงานบำเพ็ญกุศลตามประเพณีอีก ๗ วัน หลังจากนั้นจึงปิดโลงเก็บสังขารของท่านไว้เป็นแรมปี

จนถึงปี ๒๕๒๑ จึงมีกำหนดการพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก โดยก่อนที่จะทำการเคลื่อนย้ายสังขารของท่านไปเผา ณ เมรุปราสาท นั้น

ศิษยานุศิษย์บ้านวังมุยได้เปิดฝาดลงดูสังขารของท่านเป็นครั้งสุดท้าย จึงเห็นว่า สังขารของหลวงปู่ไม่ได้เน่า เพียงแต่ร่างกายแห้งลงเท่านั้น

ในวันงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก มีครูบาอาจารย์สายเหนือหลายรูป เช่น ครูบาพรหมา ครูบาธรรมชัย ไปร่วมงานด้วย

เปลวเพลิงได้เผาร่างสมมุติของท่าน เหลือไว้เพียงนามอันเป็นวิมุตติของ หลวงปู่ครูบาเจ้าชุ่ม โพธิโก พระอริยเจ้าแห่งหริภุญชัย


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 15/7/18 at 08:03 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 8 ]

สมบัติชิ้นสุดท้าย ณ วัดท่าซุง

...เมื่อตอนที่แล้ว "หลวงตา" ได้เล่าเรื่อง "หลวงปู่ชุ่ม" จบไปแล้ว ในตอนนี้ เป็นตอนจบเรื่องของหลวงปู่ชุ่ม ด้วยการนำธรรมะที่ท่านเขียนไว้ในกุฎิของท่าน ในระหว่างที่ท่านมาพักอยู่ที่กุฏิ ๑๐ หลังที่วัดท่าซุง


ตัวพิมพ์อาจจะไม่ค่อยชัด แต่ก็มีสาระอย่างสูงค่า พวกเราได้พิมพ์แจกกันตั้งแต่สมัยโน้น คือหลังจากงานยกช่อฟ้าพระอุโบสถ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ เป็นต้นมา



...ภาพนี้ "หลวงปู่ชุ่ม" มาร่วมงานวัดท่าซุง ปี ๒๕๑๘ ท่านกำลังเดินออกมาจากกุฏิ ด้านข้างคือศาลาธรรมสถิตย์ หลวงพี่ชัยวัฒน์และเพื่อน (ขณะนั้นยังไม่ได้บวช) ได้เดินไปรับท่านออกมารับแขก

** หลวงปู่ชุ่มเดินมาพร้อมด้วย "พระติดตาม" ที่เดินทางมาจากลำพูนด้วยกัน (ไม่ใช่ "สามเณรสมาบัติ ๘") นี่เป็นหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าไม่ใช่ "ท่านครูบาบุญชุ่ม" อย่างแน่นอน


...ภาพจากขวาไปซ้าย - หลวงตาวัชรชัยอยู่ใกล้หลวงปู่บุดดา ต่อไปคือ หลวงพี่สุรจิต (นั่งหลังสุด) และ หลวงพี่ชัยวัฒน์ แล้วก็ คุณศุภาพร (ทำบายศรี) พร้อมด้วยลูกๆ ทั้งสามคนที่ยังเล็กอยู่

...พวกเราได้รับใช้หลวงปู่ตลอดมา โดยตั้งกลุ่มชายหญิงขึ้นมาประมาณ ๑๐-๒๐ คน ผู้ชายก็มีหน้าที่รับใช้หลวงปู่พระสุปฏิปันโน

ส่วนผู้หญิงก็ช่วยพี่อ๋อย (คุณเฉิดศรี เจ้าของบ้านสายลม) จำหน่ายวัตถุมงคลของวัดบ้าง ช่วยกันจัดอาหารถวายหลวงปู่บ้าง



...ภาพจากซ้ายไปขวา - หลวงพี่พระครูสังฆรักษ์สุรจิต, หลวงตาวัชรชัย และหลวงพี่ชัยวัฒน์ พร้อมด้วยคณะที่ได้ไปกราบหลวงพ่อฯ ที่วัดท่าซุง

ผู้ประสานงานหลักก็คือ หลวงพี่ชัยวัฒน์, หลวงตาวัชรชัย, พระครูสังฆรักษ์สุรจิต เป็นต้น จึงขอทุกท่านได้อนุโมทนาและอธิษฐานร่วมกันว่า

"..ธรรมใดที่หลวงปู่ได้เห็นแจ้งแล้ว ขอลูกหลานได้รู้เห็นธรรมนั้นเช่นกัน โดยฉับพลันนั้นเทอญ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป "คุณอ๋อยกับหลวงปู่ฝั้น")

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/7/18 at 05:40 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 9 ]

คุณอ๋อย..กับท่านอาจารย์ฝั้น


...ก่อนที่คุณอ๋อยจะพบหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ได้เคยไปพบท่านอาจารย์ฝั้นมาแล้ว โดย น.ท. ประจักษ์ อิคนินันทน์ เป็นผู้นำไป

ในสมัยนั้นเพิ่งจะมีการสร้างเหรียญเป็นรุ่นที่ ๒ ท่านอาจารย์ฝั้น เป็นพระที่น่ารัก ใจดี เมตตาสูง และถึงท่านจะไม่ค่อยพูดเรื่องฤทธิ์หรืออภินิหาร ใคร ๆ ก็ทราบว่าท่านมีคุณวิเศษเหล่านี้อยู่

วัดป่าอุดมสมพรของท่านร่มรื่น เย็นใจ แต่มีข้อเสียอย่างเดียวสำหรับชาวกรุงเทพฯ ที่มีความเพียรน้อย คืออยู่ไกลเกินไป

ดังนั้น "คุณอ๋อย" กับ "คุณเสริม ' จึงไปนมัสการท่านที่วัดเพียงครั้งเดียว แต่ได้มานั่งสมาธิกับท่านอีกหลายครั้งในตอนที่ท่านมาฝึกให้ที่ศาลาบริเวณซอยเสนานิคม ๑

ต่อมาเมื่อคุณอ๋อยพบหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ซึ่งอยู่ใกล้กว่ามาก คือขับรถเพียง ๒ ชั่วโมงครึ่งก็ถึง จึงได้มาที่หลวงพ่อเป็นประจำ แต่ถ้ามีโอกาสก็ยังนมัสการท่านอาจารย์ฝั้นอยู่เสมอ

เมื่อปี ๒๕๒๐ หลวงพ่อไปเยี่ยมทหารที่ภาคอีสานตามคำนิมนต์ และพาคณะไปพักที่เขื่อนน้ำอูน (อ.พังโคน จ.สกลนคร) ด้วยความกรุณาของ คุณจุลนพ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ช่วยจัดการให้

คุณอ๋อยกับคณะอีกหลายคน จึงมีโอกาสไปนมัสการท่านอาจารย์ฝั้น ที่วัดของท่าน หลังจากทักทายปราศรัยแล้วท่านก็เทศน์ดังต่อไปนี้ (การคัดเทปอาจคลาดเคลื่อนบ้าง เพราะไม่คุ้นกับสำเนียงของท่าน)


คำเทศน์ท่านอาจารย์ฝั้น ปี ๒๕๒๐

"...เรามามันมีภัยหรือไม่มีภัย ดีหรือไม่ดีเข้าวัดดู ๑๐ นาที หรือ ๓๐ นาที อยู่ที่ใจของเรา เรามีโอกาสดีแล้วนี่ เออ ..เราก็เพื่อต้องการประเทศชาติบ้านเมืองสงบไม่ใช่เหรอ..มานี่น่ะแน่...

ดูซิมันสงบตรงไหน อาตมาวันนั้น สามผู้ว่า สี่ผู้ว่า ข้าราชการอุดร สกล กาฬสินธุ์ มหาสารคาม เขามา ก็บอกเขาว่า เอ้า..เราต้องการบ้านเมืองสงบก็เข้าอยู่ที่สัก ๓๐ นาที สี่ผู้ว่า

เอ้า..เข้าลองดูซี เป็นยังไง มันไม่สงบตรงไหน แล้วจะแก้ไขตรงไหน มันดีไม่ดีตรงไหน จะให้มันสงบประเทศชาติ เอ้า..เข้าดูสัก ๓๐ นาที

อาตมาว่า อธิบายให้ฟังแล้ว เอ้า..เข้าดู เข้าวัดดู ดูซีมันไม่ดีตรงไหน ไม่สงบตรงไหน เข้าวัดก็ฟังธรรม ดีมันเป็นยังงี้ ใจเราสงบยังงี้ ใจเราดี ใจเรามีความสงบ สบาย เย็นอกเย็นใจ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่วุ่นไม่วาย

“พุทโธ” ใจเบิกบาน สบาย “พุทโธ” ใจสว่างไสว “พุทโธ” ใจผ่องใสสะอาด ปราศจากทุกข์ ปราศจากโทษ ปราศจากภัย ปราศจากเวร ปราศจากความชั่วช้าลามก ปราศจากความทุกข์ความจน

มีแต่ใจพุทโธ ใจเบิกบาน ใจสบาย เบาตน เบาตัว เบาร่าง เบากายสบาย อิ่มอก อิ่มใจ นี่นำความสุข ความเจริญให้ในปัจจุบันในเบื้องหน้า เอ้า..ดูซีนี่ความสงบ ภัยทั้งหลายก็ไม่มี เวรทั้งหลายก็ไม่มี

ใจไม่สงบเป็นยังไง ใจไม่ดีทุกข์ยากวุ่นวายเดือดร้อน แน่...มีความดิ้นรนกระวนกระวาย ใจนี่นำสัตว์ให้ตกทุกข์ได้ยากในปัจจุบันและเบื้องหน้า..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/8/18 at 05:57 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 10 ]

คำเทศน์ท่านอาจารย์ฝั้น ๒


...เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นี่แหละกรรม เป็นกรรม กรรมไม่ได้มาจากดินฟ้าอากาศ ภูเขาเลากา มันเกิดจากกายของเรา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

แต่เรานั่งอยู่นี่ กายกรรมก็เรียบร้อย วจีกรรม วาจาเราก็ดี ยังเหลือแต่มโนกรรม มโนความน้อมนึก เรานึกกรรมอันใดไว้ กรรมดี หรือ กรรมชั่ว

นี่เราจะรับผลของกรรมสืบไป เราฟังไปข้างหน้าจะเป็นยังไงไม่ต้องถามใคร สันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติรู้เองเห็นเอง ข้างหน้ามันจะเป็นยังไงก็ดูซิ ข้างหน้าก็ถ้าใจเรามีความสุขความสบาย ใจเราดีไม่มีอะไร

เบื้องหน้าก็เป็นอย่างนี้แหละ นี่ปัจจุบันและเบื้องหน้า ใจไม่ดีทุกข์ยากวุ่นวายเดือดร้อน นี่แหละในปัจจุบันหรือเบื้องหน้าก็เป็นอย่างนี้

ดูเอา..สัก ๓๐ นาที ลองทำดู บ้างทำ ๆ แล้วก็ไม่ดี นี่ละถ้าเราไม่ดี คนอื่นจะดียังไงเล่า เราก็ไม่สงบจะให้คนอื่นสงบยังไงเล่า แน่...

นี่แหละมันเป็นอันธพาล รู้ไว้ซี เออ..นี่หละ รู้จักไหมอันธพาล ๑๒ ประเภท ว่าไงเล่า นี่ประเทศเราทำไมมันจะไม่สงบ

ทำไมยุ่งยาก จะมาพากันเรียนปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ชั้นพิเศษ อะไรมันยุ่งยากวุ่นวายแท้ เรียนไม่รู้เหรอ แน่...

ถ้ารู้ก็อย่าวุ่นวายซี วุ่นวายเพราะมันไม่รู้จักผิดรู้จักถูกซี นี่ดูซิ สัมมนงมนานี่ก็แม่โขงตั้งพะเรออยู่บนโต๊ะสัมมนาแน่ แล้วมันจะสงบยังไงล่ะประเทศชาติ

เออ..ดูเอาซี..อันธพาล ๑๒ ประเภทว่าไงเล่า อาตมาก็กว่าจะรู้จักอันธพาล ๑๒ ประเภท ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนี่

แต่ก่อนเคยสอนประชาชน ๑๒ ตำบล อำเภอเมืองท่านก็จดหมด ๑๒ ประเภท ก็สุราประเภทหนึ่ง กัญชาประเภทหนึ่ง ฝิ่นประเภทหนึ่ง แน่...

แม่โขงตั้งพะเรอ..ก็เป็นอันธพาลประเภทหนึ่ง ผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม ก็เป็นอันธพาลว่าไงเล่า แน่.....การพนันมันก็เป็นอันธพาลแล้วว่าไงเล่า ?

(เสียงตอบ : เลิกแล้ว)

เลิกแต่ปากมั๊งอาตมาว่า ใจไม่เลิกไหมล่ะ ผู้นำนี่ว่าไงเล่า นำเข้าวัดอย่างนี้ละต่อไป เออ ก็เทศนาสั่งสอนประชาชนไป ก็เหมือนจะไปเป็นผู้ว่า

ผู้ว่าไป เขาก็ต้อนรับ สุราสาโท เขาไปฆ่าวัวรับนั่นไม่ดี มันก็ใช้ไม่ได้ซีแบบนี้ เราไปก็อย่าไปทำยังงั้นซี้ เขาเอาสุรามาก็ชอบใจ

อย่าทำต่อไป มันเป็นอันธพาลสอนเขาว่างั้นกินสุราสาโท ฆ่าวัวฆ่าควายพาเขารำวงดิ้นยึกยัก ๆ แน่..... มันก็วุ่นวาย

(คุณกานดา อมาตยกุล : หลวงปู่เห็นเหมือนกันหรือคะ เขาเต้นยึกยัก ๆ )

ท่านอาจารย์ฝั้น : เห็น..นั่งอยู่นี่ก็เห็น แน่... มันดียังไงละแบบนี้ ไม่มีศีลธรรม

กานดา อมาตยกุล : แก้หนาวค่ะ หลวงปู่คะ


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 20/8/18 at 05:43 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 11 ]

คำเทศน์ท่านอาจารย์ฝั้น 3


...ท่านอาจารย์ฝั้น : แน่ะ ๆ แบบนี้ซี นี่แหละมันจะไม่สงบ มีพัฒนากรเขามาอบรม เขาก็มาตั้งในบ้านนี้ มาอบรมเขาก็สมัคร สมัครก็สอนอันนั้นอันนี้ หน่อยเดียวก็เต้นรำ ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง

บางคนเขาก็ลาออก เขาไม่อยากทำ เขาไม่อยากได้ อาตมาก็เลยเตือน ทำไมทำไม่ดีล่ะ พัฒนากร ? ทำดีไม่เป็นปัญหาดอก นี่มันทำไม่ดี

เออ..เต้นรำมันก็เสียสุภาพของผู้หญิงไม่ใช่เหรอ มันเสียมารยาทไม่ใช่เหรอ ว่าไงเล่า เผื่อไปเป็นผีบ้าละ อาตมารดน้ำมนต์ให้ไม่ชนะ จริง ๆ นา

พอดีวันนั้นผีบ้ามาจากบ้านทอน มันจะมารดน้ำมนต์ นายอำเภอพึ่งมาจังหวัดนี้ แล้วก็ปลัดอำเภอยังไม่ได้บรรจุงานเลย มาดูงาน ๕ คน นายอำเภอมาผีบ้าก็ขึ้นบันไดมา

ถาม นายอำเภอชอบไหมคนนี้ “ไม่ชอบ” ไม่ชอบ ? ดีไหม “ไม่ดี” ถาม ไม่ดี ทำไมหัดล่ะ บ้านนี้เวลานี้หัดอยู่ไม่ใช่เหรอ ปลัดว่า “ไม่ให้คนอยู่ว่าง”

อ้าว..แบบนี้แหละคนอยู่ว่างชอบเรอะ “ไม่ชอบ กลับไปจากนี่จะสั่งให้เขาเลิก” นี่หัดให้คนเป็นบ้า แน่ ว่าไงล่ะ ก็ไม่มีดีซีล่ะ

มันเสียศีล ความไม่เรียบร้อย ก็ไปหัดให้คนไม่เรียบร้อย เสีย สั่งเลิกเลย ทีแรกก็หัดเปล่า ๆ ๒-๓ วัน แล้วก็เอากลองมา

เดี๋ยวนี้เป็นจริง ๆ นะเดี๋ยวนี้ ครูผู้หญิงนะ เมื่อตอนเช้าเขียนหนังสือดี ๆ พอบ่าย ๆ เขียนไม่เป็นตัว ส่งมาถึงวัดแล้วก็ไม่รู้ตัว

หมอไปรักษาก็ไม่หาย แกเป็นโรคเส้นประสาท เลยเอามาหาอาตมานี่ แหมเยี่ยวแตกเยี่ยวไหลก็ไม่รู้ ไม่รู้ตัว

(ถาม : แล้วหายไหมเจ้าคะ)

หาย..หายหมดละถ้ามาหา มันก็เป็นยังงั้นอยากจะร้องไห้ก็ร้องไห้ ไม่รู้ตัว พวกผีเข้าเจ้าสุนอะไร บางทีมันรำให้คนดูเสียด้วย แน่...ไม่ได้ รู้จักไว้

พวกเรามัวสนุกสนาน มันไม่สนุกดอก อุปมาก็เหมือนแมงเม่าบินเข้าไฟนั่นแหละ แน่.... เห็นผิดเป็นชอบ มิจฉาทิฏฐิ

เข้าใจหรือยัง ได้พุทโธหรือยัง ?
(ตอบพร้อมกัน : ได้แล้วค่ะ)

ใจดีหรือยัง ?
(ดีแล้วค่ะ)

เอ้า..รับพรซะ..สัพเพเตโรคา สัพเพเตภยา สัพเพเตอันตรายา สัพเพเตอุปัททวา สัพเพเตทุนนิมิตตา สัพเพอวมังคลา วินัสสันตุ อายุวัฒโก...อายุวัณโณ สุขัง พลัง

เออ..มีความสุขความเจริญนะ ใจดี ๆ นะ ต่อไปอย่าลืมพุทโธนะ ใหญ่หมดในสามโลกนี่หนา เออ ใจไม่ดีก็พุทโธขึ้นมานะได้หรือยัง ?

(ได้เจ้าค่ะ)
เออ..คุณเต๊าะขึ้นมาอยู่ดอยปีนี้น่ะ ดอยธรรมปรีดี ใจดีนะทีนี้

(ดีหมดแล้วเจ้าค่ะ)
ใจดีละไม่มีภัยละทีนี้ ไปไหนไม่มีอะไรเลย

(ขอให้เห็นธรรมตามที่หลวงปู่เห็น)
อ้าว..บอกแล้วธรรมก็อยู่นี่

(วันนี้ว่าอุ่นขึ้นแล้วยังหนาว)
พุทโธ..แล้วมันก็ไม่หนาว


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/9/18 at 05:13 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 12 ]

คำเทศน์ท่านอาจารย์ฝั้น 4
จากหนังสือ "อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ" คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๒๑


...ต่อมาอีกระยะหนึ่ง เทปตอนต้นอัดไม่ทัน แต่คงจะมีผู้ถามว่า จะทำอย่างไรกับความรู้สึกโกรธ เวลาถูกคนเขาด่าเขาว่า

"...อย่าเอาอย่างสุนัข เอาอย่างราชสีห์ ราชสีห์เป็นยังไง สุนัขโยนก้อนดินก็ไปกัดก้อนดินโน่น โยนไม้ไปกัดไม้ ส่วนราชสีห์อยู่เฉย ถ้าเห็นคนก็กัดคอคนซี

แน่..ยังงั้นแหละ ด่าก็เหมือนกัน ประโยชน์อะไรไปพูดให้เหนื่อยเปล่า ๆ เออ..ฟังเหตุฟังผลมันเป็นยังไง ว่าเราไม่ได้ เอ้า..ไม่ดียังไง ฟังดูซิ..อย่าไปเดือดร้อน

พระพุทธเจ้าใครจะด่าก็เฉย อย่างจิณจมานวิกา มีคนไปจ้างสินบน “เอ้า..ใครติเตียนพระพุทธเจ้ายังไงก็ตามให้พันหนึ่ง”

จิณจมานวิกาก็หากลอุบายเป็นคนมีครรภ์ ทำตนเป็นคนมีครรภ์มีท้อง วันนั้นบริษัททั้งหลายมาฟังอย่างนี้แหละ เต็ม ก็ยืนต่อหน้ากลางประชุมชนนั่น

“ว่าไงล่ะ พระสมณะโคดมมาเทศนาอยู่นี่ว่าไงเล่า เรามีครรภ์ เมื่อไหร่จะไปหาที่อยู่ที่พักเล่า เรามีครรภ์แก่แล้ว”

คนก็เก้อไปหมดแล้ว คนเห็นท้องโป่งก็ว่าจริงเหรอนี่ เมื่อไรเล่า พระพุทธเจ้าก็เฉย เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น

ร้อนถึงวิษณุกรรมเทพบุตรนั่นนิมิตหนูลงมากัดเชือกที่รัดผ้าให้ดูท้องโป่ง หลุดออกไป แล้วธรณีก็สูบลงไปยังไง

นี่เราก็กลัวอะไร เรามีศีลมีธรรมอยู่ จะไปเดือดร้อนอะไร ขอให้มีศีลมีธรรมเถอะ เรามีคุณงามความดีอยู่แล้ว ความชั่วมันสลายไปเองดอก ไม่ต้องกลัว

เหมือนกับเราจุดไฟแหละ ความมืดไปเอง ทีนี้ถ้าเรามีศีลธรรม เราเอาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ถือพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง

พุทธานุภาเวนะ ธรรมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะเป็นที่พึ่ง มีอานุภาพ เราไปจะกลัวอะไร ถ้าประเทศอื่นเขาจะมาทำลายหรืออะไรยังงั้น รับรอง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ธรณีสูบ (เสียงหัวเราะ)

บางคนถามว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนแน่.... จะถือน่ะถือแบบไหน อาตมาก็ไปเทศน์อยู่ ๓ วัน วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระเจ้าอยู่หัวน่ะ

แล้วก็เลยสอนคนเดือดร้อนว่า ถ้าเราเป็นยังงี้อยู่แล้วเราจะไปกลัวอะไร นี่ก็มาทำกุศล ประเทศชาติของเรา เมื่อเราทั้งหลายทำบุญทำกุศลแล้ว

บุญกุศลคือคุณงามความดี บุญคือความสุข บุญคือความสบาย เมื่อใจเรามีความสุข ใจเรามีความสบายแล้วจะไปกลัวอะไร

เหมือนกับเรามีบุตร เมื่อบุตรมีความสุขความสบาย เราเป็นบิดามารดาก็มีความสุขความสบาย นี่แหละ ท่านเป็นพระเจ้าอยู่หัว

ประเทศชาติเป็นเมืองของเรา ศาสนา ก็เมื่อเราทั้งหลายมีความสุขความสบาย ท่านก็เบาอกเบาใจ ประเทศของเราก็ยั่งยืนถาวรเจริญอยู่ได้

ประเทศบางประเทศรบราฆ่าฟันกัน ก็เพราะคนใจไม่ดี ถ้าใจดีจะมีอะไร ภรรยาสามีบุตรอย่างนี้ เมื่อใจดีแล้วมันไม่ทะเลาะกัน

แน่...ใจไม่ดีเกิดทะเลาะกันไม่ใช่เหรอ แน่...ว่าไงล่ะ เท่านี้ละซีพากันเข้าวัด เอ้า..มาเข้าวัดทุกคน ๓๐ นาที วัดดูซี่

ประเทศไม่สงบมันไม่สงบตรงไหน ภัยมันอยู่ตรงไหน ความชั่วมันอยู่ตรงไหน เอาอะไรเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้า นึกดูซีพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน บางคนว่านิพพานแล้ว

เอ้า..นิพพานอยู่ตรงไหน ไม่ทราบอีกแหละ แน่.. พระพุทธเจ้าอยู่ตรงไหนล่ะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พระพุทธเจ้าอยู่ตรงไหนเล่า

ไม่ทราบ..ไม่ทราบแล้วจะไปไหว้ท่านถูกยังไงเล่า สวรรค์นิพพานอยู่ตรงไหน นึกดูซี..เราไม่มีที่พึ่งเราก็ “พุทโธ” พระพุทธเจ้า “ธัมโม” พระธรรม “สังโฆ” พระสงฆ์

สองอย่างนี้ ขาดพระพุทธเจ้าองค์เดียวทำอะไรได้ ตัวเราเมื่อโตนี่ คิดดูซิ หู ตา จมูก เรานี่พึ่งอะไรได้.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/9/18 at 05:47 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 26/9/18 at 05:48 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top