|
"ปัจฉิมโอวาท" หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เป็นจริงอย่างไร ?
...นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เพิ่งพบเช่นกัน แม้ว่าผู้โพสต์อาจไม่มีเจตนาบิดเบือน คงจะทำไปตามความเข้าใจของตนเอง หรืออาจจะไม่รู้คำพูดจริงของท่านก็ได้
แม้แต่การใช้รูปภาพประกอบหลวงปู่ปานมีหนวด และนั่งหลังงอ ซึ่งหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้ปฏิเสธไปแล้วว่า ท่านไม่เคยเห็นรูปนี้มาก่อนเลย
ถ้าอย่างนั้น...ขอเชิญท่านผู้อ่านมาช่วยตรวจสอบ "สติกเกอร์" นี้กับคำพูดหลวงพ่อฯ ไปด้วยกันเลย...
"...ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เวลานี้เป็นเวลา ๒ นาฬิกา ของวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘
ก็เป็นเวลาพอดีที่อาตมาได้รับโอวาทจากหลวงพ่อปาน
ก่อนที่ท่านจะไปกรุงเทพฯ ความจริงการรับโอวาทคราวนั้น ไม่ใช่รับแต่อาตมาแต่ผู้เดียว มีเพื่อนพระด้วยกันอีก ๔ องค์ด้วยกัน รวมเป็น ๕ องค์
ท่านเรียกเข้ามาใกล้ท่านก็บอกว่า
"ลูกรัก..วันพรุ่งนี้พ่อจะต้องไปกรุงเทพฯ ท่านพูดเหมือนกับคนไม่ป่วย ท่านบอกว่าเขาจะเอาพ่อไปรักษา
แต่ประโยชน์มันไม่มีหรอก..ลูกรัก
เพราะปีนี้มันเป็นวาระสุดท้ายในชีวิตของพ่อ พวกเธอทั้งหลายมีความสนใจ ในด้านการเจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานกันดีมาก
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล่ะบรรดาลูกรัก ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้นที่จะช่วยตัวเราได้
ขึ้นชื่อว่าทรัพย์สินทั้งหลายภายนอกอันเป็นโลกียทรัพย์ไม่มีทางที่จะช่วยเราได้เลย
บรรดาลูกทั้งหลายจงมองดู พ่อสร้างวัดกี่วัด สมบัติของสงฆ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่วัดบางนมโค เอาเฉพาะของใช้ ถ้าชาวบ้านจะทำงานคราวเดียวกัน ๔ ราย
ก็จะใช้กันได้อย่างฟุ่มเฟือย ของจะไม่ขาดแคลน
แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดที่พ่อทำไว้ก็ดี ที่วัดนี้ก็ตามวัดอื่นก็ตาม เวลานี้พ่อป่วยไข้ไม่สบาย มันช่วยอะไรพ่อได้บ้าง
ทรัพย์สมบัติทั้งหลายไม่สามารถจะช่วยทุกขเวทนาได้
ขอลูกทั้งหลายจงจำไว้ แล้วเมื่อเวลาพ่อจะตายมีทรัพย์ส่วนไหนบ้าง ที่มันจะพยุงการพ่อไม่ให้ตายได้ นี่พ่อสร้างความดีมามาก แต่ขันธ์ ๕ มันก็ไม่เคยตามใจพ่อ
พ่อเคยคิดว่ามันยังไม่ควรจะแก่ มันยังไม่ควรจะทรุดโทรมถึงขนาดนี้ แต่ว่ามันรอพ่อเมื่อไหร่ล่ะ มันไม่ได้รับคำสั่ง มันไม่ได้ฟังคำสั่ง
มันปฏิบัติตามหน้าที่ของมัน นี่กฎธรรมดาของขันธ์ ๕ นะลูกรัก จำไว้ให้ดี.."
สรุปปัจฉิมโอวาท (โดยย่อ) ที่พอเป็นแนวทางนำไปทำเป็นสติกเกอร์
"...ลูกทุกคน เมื่อพ่อตายไปแล้ว จงอย่าทิ้งกรรมฐานที่พ่อให้ไว้ เป็นกรรมฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าถือว่าเป็นของพ่อ
ต้องถือว่าเป็นของพระพุทธเจ้า
ฆราวาสทุกคนอย่าทิ้งคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านะ แล้วจะเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าใครไม่ปฏิบัติจะเอาตัวไม่รอด แล้วจะมาโทษพ่อไม่ได้
เพราะสมบัติส่วนใหญ่พ่อให้ไว้หมดแล้ว คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ พ่อให้หมดแล้ว ลูกทุกคนจงพยายามรักษาไว้ให้ดี..
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
เปรียบเทียบรูปภาพ "หลวงปู่ปาน" วัดบางนมโค
(สังเกตท่านั่งของท่าน และตาลปัตรพัดยศก็ไม่เหมือนกัน)
...วันนี้ตรงกับวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ถ้าจะถอยหลังไปหนึ่งร้อยปี ก็จะเป็นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๘
ซึ่งเป็นวันและเดือนเกิดของหลวงพ่อปาน
แต่วันที่เท่าไรอาตมาจำไม่ได้ ถึงแม้จะจำได้ก็ไม่อยากจะจำ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะเหตุว่า เห็นว่าไม่สำคัญมากนัก
ด้วยทางวัดบางนมโค ก็ได้จัดทำหนังสือเล่มใหญ่ออกแจกแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย มีราคาประมาณเล่มละ ๑๕๐ บาท หรืออย่างไรก็ไม่ทราบแน่ชัด
เป็นเล่มใหญ่มาก
...แต่ทว่าหนังสือเล่มนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน อาตมาเห็นภาพหน้าปกเข้าก็รู้สึกว่าเป็นของอัศจรรย์ เพราะปรากฏว่าเป็นภาพของ "หลวงพ่อปานไว้หนวด"
แต่ว่าหนวดขาว ผมขาว เพราะเป็นภาพสี เห็นชัดเจน แล้วก็ไหล่ลู่ มียันต์แขวนที่หน้าอก พอมองเห็นเข้าแล้วก็ตกใจ เพราะว่าอาตมานี้ขาดความรอบคอบไปมาก
ในฐานะที่อยู่กับหลวงพ่อปานมาหลายปี และการอยู่ในที่นั้นกับหลวงพ่อปาน ทำไมอาตมาจึงไม่เห็นหลวงพ่อปานมีหนวดหงอก และมีผมหงอกหนวดยาวขนาดนั้น
...ถ้าเราจะกะประมาณการไว้หนวดกัน ก็จะต้องใช้เวลาถึง ๓ - ๔ เดือน หนวดจึงจะยาวขนาดนั้นได้ และในสมัยนั้นก็ปรากฏว่า พระ ๑๕ วันโกนผมครั้งหนึ่ง
และบังเอิญจะเป็นพระที่ขี้เกียจโกนหนวดก็จะโกนพร้อมๆ กับโกนผม แต่เมื่อพิจารณาไปแล้วภาพนั้นผมยาวไม่สมควรกับหนวด
...เป็นอันว่า กลายเป็นหลวงพ่อปานเล่นหนวดไป แล้วมองไปที่มือ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ปรากฏว่าในภาพมีเล็บยาว
หลวงพ่อปานเคยสอนบรรดาท่านพุทธบริษัทและบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายว่า ให้มีความเคารพในพระธรรมวินัย
ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำ
และจะว่ากันไปแล้วอาตมาก็ยังขาดความรอบคอบไปมาก ทั้ง ๆ ที่อยู่กับท่านมาหลายปี แต่ไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้เลย มันน่าอัศจรรย์
...จึงน่าขอบคุณท่านที่สามารถเอาภาพหลวงพ่อปานที่อาตมาไม่เคยเห็นมาลงไว้เป็นอนุสรณ์
เป็นการกระตุ้นเตือนใจแสดงถึงความรู้สึกหวังดีของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่นำภาพนี้มาใส่เข้าไว้
แต่ก็เป็นที่น่าสลดใจอยู่นิดหนึ่ง หลวงพ่อปานเป็นคณาจารย์ใหญ่ ทำไมจึงไม่เคารพในพระธรรมวินัย เอาเล็บไว้ยาว ปล่อยหนวดเครา แต่ผมสั้นกว่าหนวด
...ถ้าใครจะมาบอกอาตมาว่าหลวงพ่อปานเป็นพระคร่ำครึไม่ทันสมัย และไม่เคารพต่อพระธรรมวินัย อย่างนี้อาตมาก็จะรู้สึกว่ามีความลำบากใจที่จะพูดไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะนับตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เรื่องพระธรรมวินัยหลวงพ่อปานเคารพมาก เพราะมีความแน่ใจว่า เมื่อองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ ธ ปรินิพพานแล้ว
องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เคยตรัสกับพระอานนท์ว่า
"...อานันทะ ดูก่อน อานนท์ เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยที่เราสอนเธอไว้จะเป็นศาสดาสอนเธอ นั่นหมายถึงว่า
พระธรรมวินัยนี้เป็นการแทนองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดานั่นเอง"
...และในเมื่อหลวงพ่อปานเป็นพระทรงสมาบัติ เป็นพระโพธิสัตว์เปล่งวาจาในขณะที่บำเพ็ญกุศลแล้วต่อหน้าประชาชนว่า
.
"...ผลบุญในคราวนี้ที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญกุศล ขอให้เป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตกาลนั้นเถิด..."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
หลวงพ่อตอบปัญหาเรื่อง "รูปภาพหลวงปู่ปานมีหนวด"
(สังเกตเส้นผมและหนวดของท่านไม่เหมือนกัน)
...พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญกุศลแล้วเปล่งวาจาต่อหน้าประชาชนปรารถนาพระโพธิญาณ นี่ตามที่ทราบกันมาก็หมายความว่า
ท่านผู้นั้นมีบารมีเป็น "ปรมัตถบารมี" ใกล้จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ถ้าภาพนี้เป็นภาพของหลวงพ่อปานจริง ก็เป็นที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง
ไม่ทราบว่าท่านไปถ่ายไว้ที่ไหน
และก็อาตมาเองก็ไม่เคยพบท่าน จะไปดูภาพภายในซึ่งมีจริยาต่างๆ อยู่ในหนังสือเล่มเดียวกัน ก็ไม่ปรากฏหลวงพ่อปานมีหนวด เอาไว้หนวด หรือมีเล็บยาว
...นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่เป็นเหตุให้อาตมาเกิดความเศร้าใจ ด้วยคิดว่า เพราะเจตนาอันใดที่บรรดาคณะลูกศิษย์ลูกหาซึ่งอยู่ในสำนัก
จึงได้นำภาพนี้ขึ้นมาเชิดชูไว้หน้าปก
ถ้าเราจะคิดว่าเป็นการเชิดชูความดีของครูบาอาจารย์ก็เป็นของยาก เพราะว่าการแสดงตนแบบนั้นเป็นการไม่เคารพในองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มีคนถามกันหลายคนว่า
"...ตอนสมัยที่อยู่กับหลวงพ่อปานน่ะ เคยเห็นหลวงพ่อปานเอาไว้หนวดไหม...?
อาตมาก็จะตอบได้แต่เพียงว่า ในขณะที่อยู่ด้วยไม่เคยเห็นหลวงพ่อปานเอาไว้หนวด และเวลาที่หลวงพ่อปานมรณภาพเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
ก็ไม่ปรากฏเลยว่าหลวงพ่อปานจะมีผมขาว มีหนวดขาวอย่างนั้น ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องผมหงอกกันแล้ว
หลวงพ่อปานก็คงมีผมหงอกไม่ถึงหนึ่งในร้อยเปอร์เซ็นที่ผมท่านมีอยู่
...นี่สิ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เป็นเหตุให้สงสัยว่าภาพนี้คงจะปรากฏออกมาได้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของหลวงพ่อปาน
หรือมิเช่นนั้นก็ต้องเป็นอิทธิฤทธิ์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่สร้างสรรหนวดให้ เกิดขึ้น แล้วก็ทำหนวดขาว ผมขาว ซึ่งไม่ตรงตามความเป็นจริง
...แต่ว่าจะ มีอีกสิ่งหนึ่งก็คือว่า หลวงพ่อปานตายแล้วเกือบร้อยปีไม่เคยโกนหนวด แต่โกนผม ดังนั้นหนวดก็เลยยาวแต่ผมสั้น และหนวดอายุเกือบร้อยปีก็เลยขาว
ผมก็ขาวไปด้วย
ถ้าจะว่าอย่างนั้นก็ยังเป็นที่สงสัยอีก ก็เพราะว่าหลวงพ่อปานมรณภาพไปแล้วประมาณร้อยวันเศษๆ เราก็เผากัน ไม่ได้เก็บเอาซากศพของท่านไว้
...ถ้าหากจะบอกว่าหนวดมันงอกขึ้นมา และหนวดมันแก่ลงไปก็เป็นของอัศจรรย์ ข้อนี้อาตมามีความสงสัยมาก
ถ้าหากว่าทางวัดบางนมโคมีโอกาสจะแจ้งมาให้อาตมาทราบ ก็จะได้แจ้งแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทว่า ภาพนี้ได้มาจากไหน...ก็จะเป็นการดี..."
** หมายเหตุ : ท่านพูดเรื่องนี้ไว้นานหลายปีแล้ว แต่รูปภาพเช่นนี้ก็ยังหลุดรอดออกมาตลอด
จนกระทั่งสมัยนี้ก็ยังมีให้เห็นในโลกออนไลน์
หากไม่ชี้แจงให้เห็นถึงความจริง ผู้คนภายหลังก็จะเข้าใจในภาพลักษณ์ของครูบาอาจารย์ผิด แม้เรื่องในอดีตก็เหมือนกัน เราจะทราบความรู้สึกเรื่อง
"ป่าช้าวัดบางนมโค" เหมือนกัน
โดยเฉพาะผู้เขียนเจอมากับตัวเอง ช่วงประมาณปี 2525 ญาติโยมมาจากปักษ์ใต้ ทอดผ้าป่าที่วัดท่าซุงแล้ว ตอนขากลับจึงพาคณะแวะเที่ยวที่วัดบางนมโค
ขณะนั้นได้พบทายกรุ่นเก่าๆ คนหนึ่งในวัด อายุมากแล้วถามว่าไปไหนกันมาละ มีพวกเราคนหนึ่งตอบว่า ไปทอดผ้าป่าที่วัดท่าซุง ผู้ชายคนนั้นพูดสวนขึ้นมาทันทีว่า
"อ๋อ..มหาเละละ..องค์นั้นเหรอ !!! นับตั้งแต่นั้นมาผู้เขียนไม่เคยนำใครไปแวะอีกเลย..เข็ดแล้ว
ท่านผู้อ่านจะเห็นเป็นอย่างไรก็ตาม นี่แค่ไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมา สังคมก็นิยมข้อมูลที่ยังไม่ถูกต้อง
แล้วนับประสาอะไรที่ท่านจะฝากวัดท่าซุงไว้ให้กับลูกหลานถึง 4,500 ปี
ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันรักษาไว้ แล้วใครจะทำ... (หวังว่าคงไม่ทำ...ลายกันนะ) **
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
อ้างคำ "หลวงพ่อปาน" ทอดกฐินจริงหรือ ?
...เรื่องของอานิสงส์ทอดกฐิน ตามที่เพจนี้ (ขอลบชื่อออกไป เพราะได้แจ้งขออภัยมาแล้ว) แชร์มาจากเพจ "บารมีหลวงปู่ปาน
หลวงพ่อฤาษี" เมื่อ 30 สิงหาคม 2016
พร้อมกับนำรูป "หลวงปู่ปานไว้หนวด" นั่งหลังงอเพื่อประจานครูบาอาจารย์ของตนเอง
จากนั้นเพจอื่นก็อ้างต่อๆ ไป เรียกว่าช่วยบิดเบือนกันต่อๆ ไป โดยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องเสียก่อนอีกว่า
"...ลูกเอ๋ย..บุญที่เราทำชาตินี้ชาติหน้าจะเริ่มส่งผลแต่เป็น ประธาน ถวายผ้ากฐินชาตินี้ 2-3
วัดจะมีฐานะดีตั้งแต่ในชาตินี้เลยนะ..."
ถ้าทอดแล้วถึง ๒-๓ ครั้ง ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ร่ำรวยก็ตาม แต่ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้นรู้สึกว่าเป็นคนโชคดีมากขึ้น
หาลาภสักการคล่องตัวขึ้น
ท่านบอกว่านี่ยังเป็นเศษของความดี อานิสงส์ของการทอดกฐินสามารถจะบันดาลให้คนปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็สำเร็จผล
-- หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน --
ส่วนเว็บไซด์ชื่อดัง ปรากฏว่าเอาเรื่องนี้ไปโพสต์เหมือนกันเมื่อ 16 กันยายน 2016 โดยจั่วหัวเรื่องว่า
"...เป็น ประธาน ถวายผ้ากฐินชาตินี้ 2-3 วัดจะมีฐานะดีตั้งแต่ในชาตินี้ - หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
" ลูกเอ๋ย..บุญที่เราทำชาตินี้ชาติหน้าจะเริ่มส่งผล แต่เป็นประธานถวายผ้ากฐินชาตินี้ 2-3 วัดจะมีฐานะดีตั้งแต่ในชาตินี้เลยนะ..." หลวงพ่อปาน
วัดบางนมโค
ถ้าทอดแล้วถึง ๒-๓ ครั้ง ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ร่ำรวยก็ตาม
แต่ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้นรู้สึกว่าเป็นคนโชคดีมากขึ้นหาลาภสักการคล่องตัวขึ้น
ท่านบอกว่านี่ยังเป็นเศษของความดี อานิสงส์ของการทอดกฐินสามารถจะบันดาลให้คนปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็สำเร็จผล
-- หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน --
ที่มา - https://palungjit.org/threads/เป็นประธานถวายผ้ากฐินชาตินี้-2-3-วัดจะมีฐานะดีตั้งแต่ในชาตินี้-หลวงพ่อปาน-วัดบางนมโค.569878/
...ท่านผู้อ่านสังเกตข้อความทั้งเพจนี้ (ขอลบชื่อเพจออกไป เพราะแจ้งขอยอมรับความผิดพลาดแล้ว) และเว็บชื่อดัง
จะเห็นได้ว่าข้อความคล้ายคลึงกัน คือมีการเพิ่มเติมคำว่า "ประธาน" เข้ามาด้วย
ซึ่งมีการอ้าง "หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค" และ "หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน" เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือด้วย
สำหรับเพจที่คัดลอกมาได้อย่างถูกต้องก็มีเช่น https://www.facebook.com/LoveMoralBuddha/posts/ประวัติและอานิสงส์การทอดกฐินการทอดกฐินเป็นการถวายผ้าจีวรแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบ-/
484143854939837/
...ส่วนผู้เขียนเคยติดตามหลวงพ่อเวลารับแขก ไม่เคยได้ยินคำว่า "ประธาน" นี้เลย มีแต่ท่านเคยแนะนำสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า
ปีหนึ่งให้เป็นเจ้าภาพทอดกฐินครั้งหนึ่ง
แล้วให้สังเกตดู ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้นกว่าเดิม นี่เป็นถ้อยคำที่ท่านเคยเมตตาแนะนำไว้ คือได้ยินด้วยหูของตนเองนะ
อีกทั้งได้ตรวจสอบการตอบปัญหา (หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนเป็นผู้จัดทำ) หรือคำบอกเล่าของหลวงพ่อฯ ก็ดี ยังไม่เห็นมีคำนี้เลย ลองตรวจสอบคำพูดของท่าน
แล้วจะทราบว่ามันงอกออกมาได้อย่างไร
หลวงพ่อปานทอดกฐิน
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ที่มา - ศ.ธรรมทัสสี
https://sites.google.com/site/sphrathewtheph/Home-25-8-12
"...ทีนี้มาพูดกันถึงการปฏิบัติประจำอีกอย่างหนึ่ง หลวงพ่อปานนี่มีอุปนิสัยอย่างหนึ่งชอบทอดกฐินทุกปี เรื่องกฐินมี่ท่านทอดของท่านทุกปี ปีละหลายๆ วัด
ปีหนึ่งที่จังหวัดสุพรรณบุรี รู้สึกว่าข้าวยากหมากแพง ชาวบ้านต้องกินขุยไผ่ ในเขตอำเภอเดิมบางนางบวชโน่น เลยจังหวัดสุพรรณขึ้นไปมาก
ตอนนั้นไม่ได้ข้าวไม่ได้ปลา ต้องไปขุดขุยไผ่กิน หลวงพ่อปานก็ไปทอดกฐิน ๗-๘ วัด แต่การทอดกฐินคราวนั้น ท่านประกาศกับบรรดาพุทธบริษัทของท่านว่า
จะต้องการเอาอาหารไปช่วยเขา เขาอดข้าวอดอาหาร
นี่..ท่านเป็นนักสังคมสงเคราะห์ แต่ไม่มีใครเขาช่วยท่านหรอก รัฐบาลไม่ได้ร่วมมือ แต่ว่าชาวบ้านช่วยท่านไปคราวนั้น
ปรากฏว่านำข้าวเปลือกบ้าง ข้าวสารบ้างไป ๗ ลำเรือ เรือลำหนึ่งจุประมาณ ๑๐ เกวียนบ้าง จุประมาณ ๒๐ เกวียนบ้าง เอาไป ๗ ลำ
ที่ท่านได้มายังงั้นเพราะอะไร เพราะใครมาหาท่านก็บอกท่านจะไปทอดกฐิน แล้วว่าการทอดกฐินคราวนี้ต้องเอาข้าวเอาอาหารไปสงเคราะห์คนที่อดข้าว
คนนั้นก็ให้ คนนี้ก็ให้ บางคนก็ให้เงิน บางคนก็ให้ข้าว บางคนก็ให้กับ พวกกรุงเทพฯ ก็ให้ทั้งเงินให้ทั้งของทะเล ผ้าผ่อนท่อนสไบ
พวกจังหวัดสมุทรสาคร "โยมพ่วง" อยู่ที่นั่นก็เอาของทะเลมาเป็นลำๆเรือ น้ำปลาอย่างดี ของทะเลต่างๆ แล้วก็เงินทองด้วย ผลที่สุดนำไป ๗ ลำเรือ แจกกันขนาดหนัก
บรรดาประชาชนสาธุไปทั่วกัน
อานิสงส์การทอดกฐิน
"...ว่ากันถึงเรื่องการทอดกฐิน จะพูดถึง "อานิสงส์กฐิน" ให้ฟัง หลวงพ่อปานทอดกฐินคราวไรละก็ท่านก็เทศน์แบบนี้ ฉันจะนำใจความมาเล่าให้ฟังว่า..
"..การทอดกฐิน..อานิสงส์ของกฐินนี่น่ะ ให้ผลทั้งชาติปัจจุบันและสัมปรายภพ ชาติปัจจุบันและสัมปรายภพหมายความว่า
ชาตินี้และชาติหน้า ชาติต่อๆไป คนทอดกฐินสังเกตตัวดู ถ้าทอดแล้วถึง ๒-๓ ครั้ง ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้น
ถึงแม้ว่าจะไม่ร่ำรวยก็ตาม แต่ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้น รู้สึกว่าเป็นคนโชคดีมากขึ้น หาลาภสักการคล่องตัวขึ้น
ท่านบอกว่านี่ยังเป็นเศษของความดี อานิสงส์ของการทอดกฐินสามารถจะบันดาลให้คนปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็สำเร็จผล.."
ดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ปัจจุบัน สมัยนั้นเป็น "มหาทุกขตะ" สมัยที่ "พระปทุมมุตตระ" ทรงอุบัติขึ้นในโลก
แกไม่มีอะไร เป็นคนจน ไปชวนนายเขาทอดกฐิน ตัวเองก็เอาผ้าไปขายแลกกับด้ายหลอดเขามาด้วย ด้าย ๒ หลอด เข็ม ๑ เล่ม เอามาผสมกับกฐินเขา
แล้วก็ปรารถนาพระโพธิญาณ
พระปทุมมุตตระก็ทรงพยากรณ์ว่า บุคคลๆ นี้ต่อไปจะได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า "พระสมณโคดม"
นี่เป็นสมุฏฐานของการปรารถนาพระโพธิญาณของท่าน มีกฐินเป็นปัจจัย.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
.
|
|
ปัจฉิมโอวาท "หลวงปู่ปาน" ที่แท้จริง
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
...นี่ปัจฉิมโอวาทของท่านบรรดาท่านพุทธบริษัท จับใจบรรดาคณะลูกศิษย์ลูกหาที่ได้รับวันนั้นเป็นอย่างมาก ท่านก็เลยพูดต่อไปว่า
"...เจ้าทั้งหลายอยู่กับพ่อคนละ ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปีก็ตามแต่ เจ้าก็ใกล้ชิดมาก คำว่าใกล้ชิดในที่นี้พ่อไม่ได้หมายความว่า
พ่อนั่งอยู่เจ้านั่งใกล้ หรือว่าพ่อไปไหนเจ้าตาม
พ่อไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้ พ่อหมายความถึงว่าความดีที่เจ้าปฏิบัติกันในด้านสมถภาวนาวิปัสสนาภาวนา นี่พวกเธอทั้งหลายตั้งใกล้ชิดพ่อมาก
มีความเคารพในคุณพระรัตนตรัย ปฏิบัติความดีทางใจกันไม่ได้ขาด อันนี้จะเป็นที่พึ่งใหญ่ของเจ้าวิชาความรู้ใด ๆ ทั้งหมด พ่อไม่เคยปกปิดเจ้า
เมื่อเธอทั้งหลายคิดว่าพ่อตายไปแล้วเจ้าไม่มีที่พึ่ง ก็จงอย่าคิดอย่างนั้น ที่พึ่งทั้งหลายพ่อให้ไว้แล้ว ดูแต่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วที่พูดกันพระอานนท์ว่า
"..อานันทะ ดูก่อนอานนท์เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยเท่านั้นที่จะเป็นศาสดาสอนเธอ.."
นี่พวกเธอก็เหมือนกัน..ลูกรักทั้งหลาย ที่พ่อใช้คำว่า..ลูกรัก เพราะรักทุกคน..ลูกของพ่อ แต่ทว่าพวกเจ้าทั้ง ๕ คนนี้ เป็นคนที่รู้จักเอาใจพ่อมากที่สุด
คำว่าเอาใจก็หมายถึงว่า พอใจในการให้ทาน พอใจในการรักษาศีล พอในใจการเจริญภาวนา คือว่าพยายามติดตามพ่อทุกอย่าง
พ่อถึอว่าเป็นคนใกล้ชิดและเอาใจพ่อ เพราะพ่อรักคนประเภทนี้ แต่ว่าจงอย่าถือว่าพ่อไม่รักคนอื่น อย่าไปพูดอย่างนั้น รักเหมือนกันหมด
แต่ว่าถ้าใครปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสุคต พ่อก็รักเป็นพิเศษ ที่รักก็เพราะว่าเขาจะไม่ยอมไปอบายภูมิ อันนี้เป็นที่พอใจของพ่อ
พวกเธอทั้งหลายฟังพ่อแล้วจงอย่าเสียใจ.."
เมื่อท่านพูดมาแล้วก็ตื้นตันใจ ท่านมองหน้าพวกเรา พวกเราก็นิ่ง ท่านก็นิ่งไปพักใหญ่ คำว่าพักใหญ่ก็ประมาณสัก ๒ - ๓ นาที ท่านก็บอกว่า
"..ลูกรักทั้งหลาย จะเสียใจไปเพื่อประโยชน์อะไร ขันธ์ ๕ นี่มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา
พ่อบอกเจ้าอยู่แล้วว่า ขันธ์ ๕ มันเป็นบ้านที่อาศัยเราเช่าอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อบ้านพังเราก็ต้องไปหาบ้านใหม่
บ้านของพวกเธอทั้งหลายพากันสร้างไว้สวยสดงดงาม ด้วยอำนาจของวิหารทาน
เธอจงใช้อำนาจทิพจักขุญาณดูต่อไปว่า ภาวะทั้งหลาย เมื่อเจ้าทั้งหลายละอัตภาพจากความเป็นมนุษย์แล้ว จะไปอยู่ที่ไหน
อันนี้พ่อทราบแล้วว่าเจ้ารู้ที่อยู่ของเจ้า
ท่านเงียบแล้วก็มองหน้า แล้วก็ถามว่า พ่อพูดยังงี้เข้าใจไหม พวกเราพนมมือกันอยู่แล้วเวลาฟังโอวาท นั่งพับเพียบพนมมืออยู่แล้วก็ก้มศีรษลง
เอามือยกขึ้นมานมัสการบอก ทราบแล้วขอรับ
ท่านถามว่าเจ้าภูมิใจไหม ที่มีบ้านสวย ๆ ก็กราบเรียนท่านบอกว่า มีความภูมิใจมากที่เกิดมาไม่เสียทีเกิด ในฐานะที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วก็ได้หลวงพ่อเป็นผู้นำ.."
ท่านยิ้ม..บรรดาท่านพุทธบริษัท นับตั้งแต่วันป่วยมาจนกระทั่งถึงวันที่พูดกัน ท่านเพิ่งยิ้มครั้งนั้น ยิ้มอย่างสดชื่นบอกไม่ถูก
ทำให้จิตใจของบรรดาพวกเราเต็มตื้นอยากจะร้องไห้ และท่านก็พูดต่อไปว่า
"..ลูกรักทั้งหลาย ถ้อยคำใด ๆ ที่พ่อสอนเจ้า เจ้าทำได้ทุกอย่าง และก็ครูบาอาจารย์องค์ใดที่ควรกับอัธยาศัยของพวกเจ้า พ่อก็พาไปพบแล้ว
การศึกษาในศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าเราจะศึกษากันอย่างเดียวกับอาจารย์เดียวแล้วก็ต้องบรรลุมรรคผล
เพราะว่าคนที่จะเป็นพระอริยเจ้านั้น จะต้องศึกษากับพระอริยเจ้า เรื่องนิพพานพ่อมีความเข้าใจ แต่ทว่าไม่ใช่วิสัยของพ่อที่จะสอนได้บรรดา..ลูกรัก
เพราะอะไร เพราะว่าพ่อปรารถนาพุทธภูมิ ฉะนั้นการปฏิบัติตัวของพ่อก็จึงอยู่ในขั้นฌานโลกีย์เสมอไป แต่ทว่าอาศัยกำลังใจเท่านั้น
ที่มีความเด็ดเดี่ยวมีความเข้มแข็ง
ฉะนั้นบรรดาพระทั้งหลายที่พ่อพาไปหา พ่อทราบว่าบรรดาพระทั้งหลายที่พ่อพาไปหา พ่อทราบว่าบรรดาเจ้าทั้งหลายปรารถนาพระนิพพาน
และมีอุปนิสัยจะเข้าถึงพระนิพพานกันได้โดยไม่ยาก พ่อจึงพาไปฝากให้เรียนจากสำนักอาจารย์ต่าง ๆ ที่ท่านเป็นพระอรหันต์..."
ความจริงพวกเราก็ทราบกันอยู่แล้ว ว่าเวลาที่ท่านอยู่ ท่านก็จะไม่เรียก "พระอรหันต์" พระองค์นี้มีจริยาเหมือนพระอรหันต์
แต่ว่าเวลานี้ท่านกำลังใกล้จะตาย ท่านก็ทิ้งท้ายบอกว่า
"..พระที่พ่อพาไปเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น และในเมื่อคนต้องการเป็นพระอรหันต์ จะสอนลูกศิษย์ให้เป็นพระอรหันต์ไม่ได้
เพราะภูมิแห่งการปฏิบัติไม่เหมือนกับหลักทฤษฎี คือหลักวิชาตามตำรา การปฏิบัติจริงมีหลายสิ่งที่พลิกแพลงไม่เหมือนตำรามีอยู่มาก
ฉะนั้นบุคคลที่จะเข้าใจคำสอนขององค์สมเด็จผู้มีพระภาคเจ้า จะต้องมีอารมณ์เข้าถึงอย่างน้อยก็ทิพจักขุญาณเบื้องสูง ไม่ใช่ทิพจักขุญาณเบื้องต่ำ
ทิพจักขุญาณเบื้องสูงนั้นจะมีส่วนได้ คือเห็นผี เห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้วไปเกิดที่ไหน
คนและสัตว์ที่มาเกิดนี่มาจากไหน และก็รู้ว่าวาระน้ำจิตของตนและบุคคลอื่น ระลึกชาติได้ รู้เรื่องราวในอดีต อนาคตปัจจุบัน
รู้กฎของกรรมของตนเองและของบุคคลอื่น.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ปัจฉิมโอวาท "หลวงปู่ปาน" (ตอนจบ)
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
"...คนและสัตว์ที่มาเกิดนี่มาจากไหน และก็รู้ว่าวาระน้ำจิตของตนและบุคคลอื่น ระลึกชาติได้ รู้เรื่องราวในอดีต อนาคตปัจจุบัน
รู้กฎของกรรมของตนเองและของบุคคลอื่น
ท่านนิ่งแล้วท่านก็มองหน้าหันมาหาอาตมาบอกว่า
"...ลิงดำลูกรัก เจ้าเป็นลูกพ่อมานาน คำว่านานนี่หมายถึงว่าหลายชาติ เจ้าเคยใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณดูบ้างหรือเปล่า
ก็ก้มศีรษะลงพนมมืออยู่แล้ว รับท่านบอกว่า..เคยดูขอรับ ท่านถาม..ทราบชัดแล้วหรือ บอกว่า..ทราบชัดแล้ว ตอบท่านว่ายังงั้น
ท่านก็เลยบอกว่าเจ้าเป็นลูกพ่อมานาน เจ้าต้องมีความเข้มแข็ง เจ้าปรารถนาพระโพธิญาณ มีอารมณ์ใจเด็ดเดี่ยวมาก และมีอารมณ์มุมานะมาก มีขัตติยมานะติดมามาก
เพราะเคยเป็นกษัตริย์นับเป็นร้อย ๆ ชาติ เป็นพันชาติ เคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เคยเป็นนายทหารเป็นแม่ทัพผู้ใหญ่ เคยเป็นพ่อบ้านแม่เมือง
ขัตติยมานะในความเป็นผู้ใหญ่ย่อมติดตัวมาเป็นของธรรมดา เป็นอุปนิสัยเดิม แต่ทว่าเวลานี้เจ้าจงอย่าลืมว่าเจ้าเป็นพระ จงวางขัตติยมานะนั้นเสีย
เวลานี้เราไม่ใช่กษัตริย์ เราไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิ์ เราเป็นทหารของพระพุทธเจ้าคือกองทัพธรรม จงยึดพระธรรมวินัยให้เป็นของเหนือสิ่งใดทั้งหมด
จงมีความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมสุคต
เจ้าปรารถนาพุทธภูมิ และจงทราบไว้ด้วยว่า ความเป็นพุทธภูมิของเจ้าจะไปได้ไม่มากนัก เพราะว่ากาลเวลาผ่านไปไม่นาน
บรรดาอลัชชีทั้งหลายจะมีอำนาจ จะย่ำยีพระภิกษุสงฆ์ผู้มีศีลบริสุทธิ์ หรือทรงศีล สมาธิ ปัญญา ต่อไปข้างหน้าอลัชชีจะมีอำนาจ พวกเราจะลำบาก
เวลานั้นเจ้าจะเบื่อหน่ายในความเป็นพระ เบื่อพระแล้วเจ้าก็จะลาจากพุทธภูมิ อันนี้พ่อทราบแล้วว่า เจตนาที่เจ้าเคลื่อนมานี่ ปรารถนาจะลาพุทธภูมิ..ตัดตรง
แต่เจ้าเองไม่ได้ดูตัวของตัวเอง ไม่ได้พิจารณาของตัว เข้าไปเป็นพรหมไปพบเพื่อน เพื่อนดีใจบอกว่าลงไปแล้วตั้งใจจะกลับมาและจะให้สูงกว่าเดิม
เจ้าก็กลับคิดว่า จะไปเป็นพรหมสูงกว่าพรหมชั้นเก่า นั่นมันไม่ใช่นั่นหมายความว่าจะไปดินแดนที่สูงสุด ในกาลนั้นถ้าหากว่าเจ้าลาพุทธภูมิ
ก็คงจะสำเร็จกิจพระพุทธศาสนาภายใน ๓ เดือน..
ฟังของท่านให้ดีนะบรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านใช้คำว่า "คง" ท่านไม่ได้ยืนยัน เพราะท่านไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเจ้ามีความเข้มแข็งมาก
แต่ว่าพ่อขอสักอย่างหนึ่ง "ขัตติยมานะ" การถือตัว การปฏิบัติตนเอาตัวรอด อย่าทำอย่างนั้น แต่ว่าจงช่วยตัวให้เข้าถึงจุดสำคัญคือสูงสุดของพระพุทธศาสนา
แล้วก็พยายามโอบอุ้มบรรดาบริษัทของเจ้าก็ดี ของพ่อก็ดี ของโยมเจ้าก็ดี (คำว่า "ของโยมเจ้า" เป็นของใคร บรรดาท่านพุทธบริษัท
พูดไปก็เป็นของลำบากเขายังมีอยู่)
เจ้าลัดทางในคราวนี้ หวังจะติดตามไปจดจุดพุทธภูมิจะมีความลำบาก จงพยายามกวาดต้อนพวกนี้ไปให้เข้าจุดดาวดึงส์ให้หมดเป็นอย่างน้อย
แล้วต่อไปข้างหน้าเจ้าจะพบมาก ขณะที่พบเวลานี้ยังไม่ได้หนึ่งในร้อยของความจริงที่เจ้าพึงมีข้างหน้า เขาจะมารวมตัวกัน
การสร้างวิหารทาน..ลูกรัก เป็นปัจจัยให้บรรดาพวกเขาเข้าถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นอย่างน้อย และเมื่อเจ้าสร้างศรัทธาแบบนั้นได้แล้ว
จงแนะนำให้ด้านสมถะวิปัสสนาตามความสามารถที่เจ้าได้ ขอเจ้าจงคิดว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้มีบุญคุณ เจ้าจงเป็นคนรู้คุณคน
จงเป็นคนมีความกตัญญูรู้ความดีของบุคคลอื่น อย่าทำลายความดีของบุคคลอื่น โดยไม่สนองความดีเขาแล้วหนีเขาไป ทำอย่างนั้นไม่ได้นะ..ลูกรัก
เวลากาลข้างหน้ามีมาก
และอีกประการหนึ่ง กรรมเก่าเจ้าเคยเป็นกษัตริย์ เคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ แล้วก็เคยเป็นนายทหารผู้ใหญ่ที่มีฝีมือ สร้างกรรมไว้มาก
อุปสรรคร้ายมันจะเกิดกับเจ้าทุกขณะที่ทำความดี ทั้งในด้านวัตถุและทั้งในด้านปฏิบัติธรรม จะมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวางอย่างคาดไม่ถึง เข้าจงอดทน
จงถืออภัยทานเป็นสำคัญ
ท่านพูดมากกว่านี้..บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน แต่ว่าเทปนี่มันสั้นเพียง ๓๐ นาทีเท่านนั้น ก็ยับยั้งไว้แต่เพียงเท่านี้ ท่านย้ำมาอีกทีว่า
ถ้าหากว่าเจ้าจะเอาตัวรอด บุญบารมีของเจ้าพอแล้ว แล้วงานก่อสร้างของเจ้าไม่ต้องทำต่อไปก็ได้
การทำต่อไปก็ถือว่าเป็นการสนองคุณงามความดีบุญคุณของบุคคลผู้มีคุณก็แล้วกัน
อย่าเห็นแก่ความเหนื่อยยาก อย่าท้อต่ออุปสรรค เจ้าจะพบกับอุปสรรคอย่างหนักต่อไปในกาลข้างหน้า จงจำคำของพ่อไว้ว่า เราจะให้อภัยแก่บุคคลผู้ผิด
แล้วท่านก็หันไปหาเพื่อนทั้งสอง บอกว่าเจ้าทั้งสองที่เป็นมิตรกันนี่ ๓ คน คนหนึ่งต้องเป็นหนี้ชาวบ้าน เพราะอยู่กับชาวบ้าน
เวลานี้พ่อทราบว่า ลิงดำคิดว่าพ่อตายแล้ว จะเข้าป่า เมื่อเผาพ่อแล้วไปไม่ได้นะลูกนะ ต้องอยู่สู้หน้ากับคนอยู่สู้หน้ากับเจ้าหนี้
ชำระหนี้เสียให้ครบถ้วนแล้วจึงไป ความสบายใจมันจะได้เกิด
แต่ว่าสององค์นี่เข้าป่าได้ลูกรัก เพราะว่าอภิญญาสมาบัติของเจ้า จะเป็นอันตรายกับพระและบุคคลที่เขาไม่มีความเคารพ
เขาจะดูถูกดูหมิ่นเจ้า อันตรายจะมีกับเขา เมื่อพ่อตายแล้วเผาพ่อแล้วเข้าป่าได้ เป็นสิทธิของเจ้า เจ้าไม่เป็นหนี้ใคร แต่ทว่าหากว่าเจ้ายังไม่ไปก็พอพรรษาถึง
๑๐ พรรษา แล้วก็เข้าป่า
เมื่อท่านให้โอวาทแบบนี้แล้ว ท่านก็บอกให้กลับ ก่อนจะให้กลับท่านก็บอกว่า จงจำไว้ว่า ทาน ศีล ภาวนา นะลูกรัก เป็นสมบัติชของเราเป็นที่พึ่งของเราได้.."
พอมองเวลาเป็นเวลา ๔ นาฬิกา พอกลับถึงที่ก็คิด่า นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะนอน ถ้าพักผ่อนนิดเดียวไม่เป็นไร เพราะใกล้วเวลาบิณฑบาต
สององค์มีความสามารถเป็นพิเศษ ท่านก็เลยเข้านิโรธสมาบัติตั้งเวลาไว้ ๒ ชั่วโมง อาตมายังตั้งกับเขาไม่เป็น ก็เลยเข้าสมาบัติ ๑ วิ่งปึ๋งเดียวชนสมาบัติ ๘
นอนเขลงตามสบายพักใหญ่
นึกเอ๊ะ..ว่าเราจะอยู่นี่ทำไม ถอยหลังมาอยู่สมาบัติ ๔ พุ่งตัวอีกทีเข้าไปบ้านที่เขาปลูกไว้ให้แล้ว ไปนอนในบ้านแล้วมันมีความสวย
เอาละ..บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาบอกหมดแล้วก็ขอหยุดก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ทุกท่าน สวัสดี
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
.
|
|
|
|