|
ตอนที่ 2
เรื่องที่ 1 หลวงพ่อฝ่าดงคอมมิวนิสต์ภาคใต้
"...ในระยะที่คอมมิวนิสต์ภาคใต้ กำลังแผ่ขยายอำนาจอิทธิพลอย่างหนัก สามารถยกกำลังพลเข้าที่สถานีตำรวจ และจุดที่ตั้งทหารหลายครั้ง
ช่วงเวลาอันบ้านเมืองคับขันนั้นเอง หลวงพ่อได้ไปโปรดชาวภาคใต้เสมือนนำเอาน้ำเย็นจัด รดลงไปในกองไฟอันลุกโชนร้อนแรง ทำให้ไฟสงบลงแล้วดับไปในที่สุด
ครั้งแรกที่ไป คณะหลวงพ่อเดินทางไปจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยทางรถยนต์ ข้าพเจ้าไปรอรับหลวงพ่อที่สี่แยกปฐมพร
อันเป็นจุดที่ถนนจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และสุราษฎร์ธานี รวม 4 สายไปบรรจบกัน
ข้าพเจ้านั่งรถนำขบวนหลวงพ่อ ออกจากสี่แยกปฐมพรไปได้ครู่เดียว ปรากฏว่ามีก้อนหินขนาดใหญ่ วางเรียงเป็นแถวกั้นอยู่บนถนน ไม่มีช่องว่างให้รถหลบไปได้เลย
ถ้าพวกเราหยุดรถลงไปเก็บก้อนหิน อาจเปิดโอกาสให้ผู้ประสงค์ร้ายซึ่งแอบซุ่มอยู่ข้างทางเข้าปล้นโจมตีเอาได้
ข้าพเจ้าตัดสินใจเป็นกองหน้าฝ่าอันตราย สั่งคนขับรถแล่นชนก้อนหินก้อนใหญ่ๆ นั้นกระเด็นพ้นไปจากถนน เปิดเป็นช่องกว้างให้รถคันหลังๆ
แล่นตามกันไปได้โดยปลอดภัยทุกคัน
เมื่อแล่นรถไปได้ระยะหนึ่ง ถึงที่ปลอดภัย ข้าพเจ้าหยุดรถลงไปตรวจดูความเสียหายด้านหน้ารถ ซึ่งชนก้อนหินอย่างจัง
รถที่ข้าพเจ้านั่ง เป็นรถตรวจการโตโยต้าคราวน์ ปกติแล้ว รถญี่ปุ่นบอบบางมาก แล่นชนไก่หรือชนสุนัขรถยังบุบได้ แต่ครั้งนั้น ชนก้อนหินขนาดใหญ่หลายก้อน
กลับปรากฏว่าไม่มีส่วนใดของรถ บุบชำรุดเสียหายเลย
หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังภายหลังว่า ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ได้คุมเชิงติดตามคณะหลวงพ่อตั้งแต่ย่างเข้าเขตภาคใต้
พอขบวนรถหลวงพ่อแล่นไปถึงเขตแดนต่อแดนระหว่างอำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ รถยนต์คันหนึ่งยางแตก
ระหว่างที่กำลังเปลี่ยนยางอยู่นั้น มีชาวบ้านจำนวนมากมามุงดูขบวนรถหลวงพ่อ ตำรวจที่ติดตามไปคุ้มกัน ได้ออกไปยืนถือปืนสงครามป้องกันภัยให้
ข้าพเจ้าทราบภายหลังว่า บริเวณที่รถยางแตกนั้น เป็นดงสีชมพู มี ผกค. แยะ และในหมู่ชาวบ้านที่มามุงดูอยู่นั้น มีพวกแนวร่วมคอมมิวนิสต์ปะปนอยู่ด้วย
พอเปลี่ยนยางเสร็จ ขบวนรถหลวงพ่อออกเดินทางต่อไปจนถึงโรงไฟฟ้ากระบี่ ยังมีแนวร่วม ผกค. ไปดูลาดเลาถึงบ้านที่หลวงพ่อพัก แล้วคุยอวดกับลูกศิษย์หลวงพ่อว่า
อีกไม่นาน ผกค. จะชนะ ถ้าคอมมิวนิสต์ยึดอำนาจรัฐได้ ตัวเขาจะได้เป็นนายอำเภอ แล้วเขาจะจับตัวพวกนายช่างเอาไปไถนา
ภายหลังต่อมา หลังจากหลวงพ่อกลับมาแล้ว ตกดึกคืนหนึ่ง ผกค. ยกกำลังมาจะเข้าโจมตีโรงไฟฟ้ากระบี่ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ขณะนั้น
แต่ว่าพระภูมิเจ้าที่ ซึ่งหลวงพ่อฝากฝังให้ช่วยคุ้มครองโรงไฟฟ้ากระบี่ ดลใจให้พวก ผกค. หลงทาง หาช่องทางเข้าโรงไฟฟ้าไม่พบ
ทั้งที่มองเห็นโรงไฟฟ้าสว่างโร่ตอนกลางคืนได้ในระยะไกล
ผกค. จึงยกพวกเลยไปทางชายทะเลแหลมกรวด เข้าตีสถานีตำรวจแหลมกรวด เผาโรงพักได้สำเร็จ พวกเรายืนดูอยู่บนโรงไฟฟ้า คืนวันดังกล่าว เห็นไฟไหม้สว่างจับขอบฟ้า
ได้ยินเสียงปืนยิงกันดังชัดเจน.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
ตอนที่ 3
เรื่องที่ 2 อานุภาพ พระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
"...การแผ่อิทธิพลขยายอำนาจ ผกค. ภาคใต้ มาถึงจุดกลับตอนที่ ผกค. บุกเข้าโจมตีสถานีตำรวจอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่
ห่างจากโรงไฟฟ้ากระบี่ออกไปประมาณ 29 กม. ผู้บังคับกองตำรวจอำเภอคลองท่อมสมัยนั้น เป็นนายตำรวจที่กล้าหาญ ใจคอเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวมาก
สั่งการให้ตำรวจทั้งหมดสู้ตาย ยิงต่อสู้ต้านทางอย่างทรหด ผกค. ชั้นหัวหน้าคนหนึ่ง บุกเข้าไปถึงเสาธงหน้าโรงพักตำรวจ ถูกยิงตายคาที่
ผกค.ชั้นปลายแถวเสียกำลังใจ จึงบุกต่อไปไม่สำเร็จ แต่ยังคงระดมยิงปืนอาก้า และปืนครกเข้าใส่โรงพักอย่างหนัก
สะเก็ดระเบิดปืน ค. ชิ้นหนึ่งถูกผู้บังคับการเลือดไหลโกรก แต่ท่านผู้บังคับกองไม่บอกลูกน้องว่า ตนถูกอาวุธข้าศึกเข้าแล้ว
ยังคงร้องเพลงมาร์ชตำรวจ ปลุกใจลูกนองให้สู้ต่อไป ผกค. เห็นท่าจะไม่ชนะ จึงเปลี่ยนแผน หันไปจับเอาลูกเมียตำรวจมาเป็นตัวประกัน
แล้วสั่งให้ตำรวจยอมแพ้ มิฉะนั้นจะฆ่าลูกเมียตำรวจ แต่ผู้บังคับกองตำรวจตะโกนตอบว่า ลูกเมียตายหาใหม่ได้ แต่ศักดิ์ศรีตำรวจยอมแพ้ไม่ได้
พวกตำรวจพร้อมใจกันต่อสู้จนท้องฟ้าสาง ผกค. จำใจต้องล่าถอยไป หอบหิ้วเอา ผกค. ที่ถูกยิงตายและบาดเจ็บเอากลับไปด้วย
พอสว่างดีแล้วประชาชนกระบี่ แห่กันไปให้กำลังใจตำรวจคลองท่อมกันแน่นโรงพัก ตอนนี้เอง จึงได้พบว่า ผู้บังคับกองบาดเจ็บหนักมาก เลือดไหลนองพื้นห้องโรงพัก
ต้องรีบนำตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลโดยด่วน ปีนั้น ท่านผู้บังคับกองคลองท่อมได้เลื่อนเงินเดือน 4 ขั้นเป็นความดีความชอบพิเศษ
นี่เป็นครั้งแรกที่ ผกค. ภาคใต้ โจมตีโรงพักตำรวจไม่สำเร็จ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตำรวจภาคใต้มีกำลังใจดีขึ้น สู้รบ ผกค. อย่างเข้มแข็งจนชนะ ผกค.
ได้อีกหลายแห่ง
ข้าพเจ้าได้นำพนักงานโรงงานไฟฟ้ากระบี่ไปเยี่ยมตำรวจคลองท่อม พร้อมด้วยเงินและของขวัญ เพื่อเพิ่มกำลังใจให้ตำรวจ พบว่าฝาผนังโรงพักตำรวจคลอดท่อมถูก ผกค.
ยิงพรุนไปหมด
แต่น่าแปลกใจที่พระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประจำโรงพักตำรวจคลองท่อม
ที่แขวนติดกับฝาผนังมีภาพเป็นปกติดังเดิมทุกประการ ไม่ถูกปืนหรือสะเก็ดระเบิดของ ผกค. แต่ประการใด
ตำรวจคลองท่อมจึงเคารพนับถือพระบรมยาลักษณ์ทั้งสองภาพนั้นมาก ถือเป็นของศักดิ์สิทธ์ประจำโรงพัก
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันอีกครั้ง เมื่อเกิดไฟไหม้ห้องควบคุมโรงไฟฟ้ากระบี่ รถดับเพลิงของโรงไฟฟ้า รถดับเพลิงจากอำเภอเมืองกระบี่
และรถดับเพลิงจากอำเภอคลองท่อม ช่วยกันดับไฟอย่างเข้มแข็งแต่ไฟสงบลงได้ยาก เพราะไฟไหม้ติดผนังด้านใน ไหม้ฝ้าเพดานห้อง
ไหม้ฉนวนกันความเย็นหุ้มท่อเครื่องปรับอากาศ และไหม้สายไฟฟ้า
ควันพิษที่เกิดขึ้นทำให้แสบตาแสบจมูก เข้าไปดับไฟใกล้ๆ ไม่ได้ ต้องฉีดน้ำจากภายนอกห้องในระยะไกล ไฟจึงไหม้ผนังไม้ไปเรื่อยๆ
ใกล้จะถึงบริเวณแผงสวิตช์โรงไฟฟ้าอยู่แล้ว
ถ้าแผงสวิตช์และตู้ควบคุมโรงไฟฟ้าถูกไฟไหม้ จะเกิดความเสียหายร้ายแรง ค่าซ่อมจะแพงมาก และต้องใช้เวลาซ่อมนาน
แต่เหตุการณ์คล้ายปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ไฟที่ไหม้แยกเป็น 2 ด้าน ด้านหนึ่งไหม้ลามฝาผนัง ไปถึงพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงและสมเด็จฯ ไฟก็หยุดลงไม่ลุกลามต่อไป
อีกด้านหนึ่งไฟไหม้ผนังห้องลามไปถึงหิ้งบูชาพระพุทธรูปประจำห้องควบคุมโรงไฟฟ้า ไฟก็หยุดลงไม่ไหม้ลามต่อไป
เป็นอันว่า ไฟหยุดไหม้เพียงแค่นั้นเอง ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่มาก ใช้เวลาซ่อมไม่นาน โรงไฟฟ้ากระบี่ก็เดินเครื่องขึ้นมาใหม่ได้
ดังนั้น ต่อมาพนักงานไฟฟ้ากระบี่จึงถือว่าพระบรมฉายาลักษณ์ทั้งสองภาพ และพระพุทธรูปองค์นั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงไฟฟ้ากระบี่.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
ตอนที่ 4
เรื่องที่ 3 พระภูมิเจ้าที่โรงไฟฟ้าลิกไนต์กระบี่เฮี้ยน
"...ก่อนที่หลวงพ่อจะไปโปรดชาวภาคใต้นั้น ภายในบริเวณโรงไฟฟ้าลิกไนต์กระบี่ จะเกิดเรื่องการตายอย่างน่าสยองเป็นประจำทุกปีอย่างน้อยปีละ 1 ราย
ข้าพเจ้าเคยเชิญคุณพี่ตรีธา จากวัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ไปตรวจดูบนโรงไฟฟ้า เธอถามข้าพเจ้าว่า
ที่นี่เคยมีคนถูกต้นไม้ใหญ่ล้มทับตายหรือไม่ สมัยที่ข้าพเจ้าไปถึงโรงไฟฟ้าครั้งแรกนั้น ต้นไม้ขนาดโตถูกโค่นลงหมดแล้ว
หน่วยก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ไถดินจนราบเป็นบริเวณกว้างใหญ่
ข้าพเจ้าจึงตอบพี่ตรีธาว่า ไม่ทราบ เธอได้แนะนำว่ามีวิญญาณที่แรงมากสิงสู่อยู่ที่โรงไฟฟ้ากระบี่ วิธีแก้ให้เอาสายสิญจน์มาวงรอบโรงไฟฟ้า
แล้วนิมนต์พระมาสวดพระปริตร
ข้าพเจ้าไม่สามารถทำตามได้ เพราะโรงไฟฟ้ามีขนาดใหญ่โตมาก จะเอาสายสิญจน์ไปวงรอบได้อย่างไร
และคนที่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ก็มีมาก จะหาว่าข้าพเจ้าบ้า มีผลไม่ดีในการปกครองคนงานต่อไป
อนึ่ง พนักงานที่นับถือศาสนาอิสลามก็มีมาก ถ้าเขาขอให้นิมนต์โต๊ะครูโต๊ะหะยีมาทำพิธีไล่ผีบ้าง ก็จะยิ่งยุ่งหนักเข้าไปอีก
เหตุร้ายจึงเกิดขึ้นต่อมาทุกปี จนถึงเมื่อหลวงพ่อไปพักที่บ้านข้าพเจ้าที่โรงไฟฟ้ากระบี่ มีเทวดาองค์หนึ่งเข้าไปหาหลวงพ่อ
ทำเป็นมือใหญ่ขึ้นๆ แล้วก็มือหดเล็กลงๆ แล้วก็ทำมือใหญ่ขึ้นๆ อีกสลับกัน หลอกหลวงพ่อ
หลวงพ่อบอกเทวดาองค์นั้นว่า อย่าหลอกเลย หลวงพ่อไม่กลัวผี เทวดาหัวเราะแล้วทำมือเท่าขนาดปกติ
หลวงพ่อถามต่อไปว่า สมัยที่เป็นคนชาติสุดท้าย ตายด้วยสาเหตุอะไร เทวดาทำภาพให้หลวงพ่อดู ปรากฏว่าถูกต้นไม้ใหญ่ล้มทับตาย
เป็นอันว่าตรงกับพี่ตรีธาบอกข้าพเจ้าไว้ก่อนแล้ว ข้าพเจ้าจึงเล่าเรื่องที่พี่ตรีธาแนะนำวิธีแก้ไข ป้องกันอุบัติเหตุสยองขวัญ
หลวงพ่อฟังแล้วตอบว่า การเอาสายสิญจน์มาวงล้อมโรงไฟฟ้า กันผีภายนอกไม่ได้เข้าไปข้างในได้ก็จริง
แต่เวลาพระสวดพระปริตรไล่ผี ผีซึ่งอยู่ภายในโรงไฟฟ้าจะออกไปไม่ได้ ก็จะอาละวาด ทีนี้จะเกิดยุ่งหนักเข้าไปอีก
ข้าพเจ้าจึงอาราธนาหลวงพ่อเป็นประธาน ตั้งศาลพระภูมิประจำโรงไฟฟ้ากระบี่
หลวงพ่อได้ทำพิธีบวงสรวงให้ แล้วเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อได้ฝากหัวหน้าเทวดาที่คุ้มครองอาณาเขตภาคใต้ของประเทศไทย ชื่อ "พ่อปู่วิรุญหะมาน"
พ่อปู่เมตตารับจะคุ้มครองโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตภาคใต้ทุกโรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่โรงไฟฟ้ากระบี่ มีอมนุษย์แรงมากสิงอยู่ จึงจัดเทวดาที่เฮี้ยนมากหลายองค์
มาประจำคุ้มครองให้
หลวงพ่อแนะนำเพิ่มเติมว่า ถ้าจะให้ขลังพอถึงวันที่ตั้งศาลพระภูมิโรงไฟฟ้ากระบี่ ให้จัดเครื่องเซ่นสังเวยตามธรรมเนียม
ดังนั้นทุกๆ วันพุธ ข้าพเจ้าจึงจัดอาหารถวายพ่อปู่วิรุญหะมานเป็นประจำ จนถึงวาระที่ข้าพเจ้าย้ายจากภาคใต้ เข้ามาปฏิบัติงานที่ส่วนกลางนนทบุรี
นับตั้งแต่ตั้งศาลพระภูมิที่โรงไฟฟ้ากระบี่แล้ว เรื่องร้ายแรงที่เกิดการตายอย่างสยดสยองก็หมดไปไม่เกิดขึ้นอีกเลย.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
ตอนที่ 5
เรื่องที่ 4 ข้าพเจ้าเป็นหมอไล่ผี ด้วยความจำเป็น
"...ในระหว่างที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ที่โรงไฟฟ้ากระบี่นั้น บ้านพักข้าพเจ้ามีคนงานเฝ้าบ้านคนหนึ่งชื่อ นายสมบูรณ์ ภรรยาชื่อนางแพว มีบุตรสาวตัวเล็กๆ
คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เรือนคนใช้
คืนวันหนึ่งประมาณตีสอง นายสมบูรณ์ขึ้นไปปลุกข้าพเจ้า แล้วรายงานว่าผีเข้านางแพว ไล่เท่าไรก็ไม่ยอมออก ขอให้ข้าพเจ้าช่วยไล่ผีให้ด้วย
ตอนนั้นเสียงสุนัขบ้านที่อยู่ข้างๆ หอนกันเสียงโหยหวน ข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเป็นหมอผี แต่เมื่อเกิดความจำเป็นขึ้นมา ก็ต้องทำใจกล้าลองดูสักครั้ง
ทั้งที่ความกลัวผีก็มีอยู่มาก
ข้าพเจ้าสั่งให้นายสมบูรณ์ลงมาข้างล่างควบคุมตัวนางแพวเอาไว้ ข้าพเจ้าเอาขันน้ำในห้องน้ำชั้นบนใส่น้ำจนเต็ม แล้วเข้าห้องพระ
อาราธนาพระสมเด็จหลวงพ่อโตที่ห้องคออยู่ เอาลงแช่ในขันน้ำ กราบพระแล้วว่านะโม 3 จบ แล้วสวดคาถาชินบัญชร อาราธนาบารมีสมเด็จหลวงพ่อโต มาช่วยไล่ผีให้ด้วย
พอเสร็จสรรพ ข้าพเจ้านำพระหลวงพ่อโตคล้องคออย่างเดิม แล้วถือขันน้ำมนต์เดินลงมาชั้นล่าง นางแพวร้องว่ากลัวแล้วๆ วิ่งหนีเข้าห้อง
นอนคลุมโปงตัวสั่นอยู่บนเตียง
ข้าพเจ้าพานายสมบูรณ์ตามเข้าไป แล้วข้าพเจ้าพูดดีๆ ว่าอย่าอยู่ที่นี่เลย มาจากที่ไหน ก็กลับไปเสียเถอะ ที่บ้านนี้มีเทวดาคุ้มครองรักษา
พอกล่าวจบ ข้าพเจ้าเอาน้ำมนต์รดลงไป บนผ้าคลุมโปงของนางแพว ตั้งแต่ศีรษะนางแพว ลงมาจนถึงปลายเท้า
นางแพวดิ้นตึงตังอยู่ในโปง ร้องออกมาเสียงห้าวๆ เป็นเสียงผู้ชายว่า
"...เล่นเจ็บๆ อย่างนี้กูไม่อยู่ละโว้ย..!" แล้วนางแพวก็หยุดดิ้นเงียบสงบลง
ตอนนั้น เสียงสุนัขข้างบ้านหอนโจ๋ขึ้นรับกันเป็นทอดๆ ไกลออกไปทุกที แล้วก็เสียงเงียบลง ข้าพเจ้าจึงได้กลายเป็นหมอไล่ผี...คืนหนึ่งในชีวิตคืนวันนั้นเอง.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 6
เรื่องที่ 5 คนไทยภาคใต้มาจากไหน
"...หลวงพ่อเล่าเรื่องประวัติคนไทยภาคใต้ให้ฟังว่า คนไทยได้อพยพถอยหนีลงมาจากภาคใต้ประเทศจีน ปัจจุบันเข้าสู่แดนสุวรรณภูมิเป็นสองกลุ่ม
- กลุ่มหนึ่งได้เข้ามาทางเชียงแสน เชียงราย
- กลุ่มที่สองข้ามภูเขาตะนาวศรีเข้าไปอยู่ทางภาคใต้ หัวหน้าคนไทยกลุ่มภาคใต้ชื่อ "ท่านอาลีบอลข่าน"
ยุคนั้นคนไทยนิยมตั้งชื่อเป็นภาษาอินเดีย ถือกันว่าโก้ดี บางสมัยก่อนหน้านั้น นิยมตั้งชื่อเป็นภาษาจีน เปลี่ยนไปเป็นยุคๆ
คนไทยภาคใต้ตอนแรก มีกำลังคนน้อย คนป่าพื้นเมืองเจ้าของถิ่นที่นุ่งใบไม้ ผมหยิก ตาพอง มีจำนวนมากกว่าหลายเท่า
คนไทยต้องยอมอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้น ส่งส่วยเป็นประจำ ต่อมาหัวหน้าคนไทยเป็นชายหนุ่มรูปงาม เฉลียวฉลาด เป็นที่พอใจของหัวหน้าชาวป่าคนพื้นเมือง
หัวหน้าชาวป่าจึงยกลูกสาวให้อยู่กินกัน ลูกเขยรูปงามได้ย้ายเข้าไปอยู่รวมกับพ่อตา แล้วรับอาสาพ่อตาไปเที่ยวเก็บส่วยคนไทยแทนพ่อตา
เมื่อลูกเขยตัวดีออกไปพบพวกคนไทย ก็นัดแนะกันให้คนไทยลักลอบไปฝึกอาวุธกันในป่า พอฝึกเสร็จก็กลับบ้านเอาอาวุธฝังดินซ่อนไว้ในป่า ไม่ให้คนป่ารู้
ต่อมา ชาวไทยภาคเหนือมีพระเจ้าพรหมมหาราชเป็นผู้นำ ทำการกู้เอกราชคนไทยพ้นจากอำนาจขอมดำได้สำเร็จ ตั้งตัวขึ้นเป็นอิสระ
ไล่ฆ่าพวกขอมดำจนล่าถอยไปจากดินแดนแถบนั้น
ในเวลาต่อมา คนไทยภาคเหนือได้แต่งกองเกวียน เดินทางมาค้าขายติดต่อกับคนไทยภาคใต้ ขามามีชายหนุ่มนั่งเกวียนมาด้วยหลายคน เอาหอกดาบซ่อนไว้ข้างล่าง
เอาสินค้าทับไว้ข้างบน ขากลับเกวียนมีคนขับเหลือเพียงคนเดียว
โดยวิธีนี้จำนวนคนไทยภาคใต้จึงมีมากขึ้น จนพร้อมที่จะรบเพื่อประกาศความเป็นอิสรภาพ พอถึงวันดีคืนดี ลูกเขยรูปงามก็ให้สัญญาณคนไทยลุกอือกันขึ้น
ตัวลูกเขยนั้นอยู่ประชิดตัวพ่อตาอยู่แล้ว ก็ได้โอกาสเอาดาบจ่อคอหอยพ่อตา พ่อตาเสียท่าจึงยอมแพ้ คนไทยจึงเป็นอิสระ
หลวงพ่อตั้งฉายา "ขุนกระบี่"
... ครั้นพอพวกคนป่าที่อยู่ห่างไกลออกไปรู้เรื่องก็โกรธแค้นมาก ยกพวกกันเข้าตีแก้แค้น เกิดการสู้รบกันอย่างหนักหลายครั้ง
พวกคนป่าตายมาก จนหมดสิ้นไปจากภาคใต้ประเทศไทย ยังมีเหลือจำนวนน้อยก็หลบหนีไปอยู่ในดินแดนภาคเหนือของประเทศมาเลเซีย
เมื่อเป็นอิสระทุกภาคแล้ว คนไทยทุกกลุ่มก็นัดกันตั้งชื่อนำหน้าว่า พรหม เพื่อให้เป็นที่รู้กันว่าเป็นคนไทย
- ภาคเหนือชื่อพระเจ้าพรหมมหาราช
- ภาคใต้กลุ่มเมืองกระบี่ พังงา ชื่อพระเจ้าพรหมจักร
- กลุ่มภูเก็ต ระนอง ชื่อพระเจ้าพรหมมณี
- กลุ่มชุมพร ระนอง ชื่อพระเจ้าพรหมภักดี
หลวงพ่อเล่าว่า พระเจ้าพรหมจักรบอกท่านว่า ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนร่วมรบของท่าน ในยุคนั้น ข้าพเจ้ารบได้ว่องไวมาก ศัตรู 4 คนรุม ยังทำร้ายข้าพเจ้าไม่ได้
ข้าพเจ้าได้ช่วยท่านรบศึกหนักหลายครั้ง ลุยเลือดนองถึงตาตุ่ม ด้วยเหตุนี้เอง หลวงพ่อจึงได้เรียกชื่อข้าพเจ้าว่า "ขุนกระบี่"
"...หมายเหตุ : การที่หลวงพ่อตั้งฉายานี้ให้ แอดมินถือว่าเหมาะสมเป็นที่สุด เพราะขณะนั้น "ท่าน มล.วรวัฒน" ดำรงตำแหน่งเป็น
ผู้อำนวยการการไฟฟ้าผลิต จังหวัดกระบี่พอดี.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
ตอนที่ 7
เรื่องที่ 6 พระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชเป็นของจริง
"...ระหว่างที่หลวงพ่อไปพักที่บ้านในโรงไฟฟ้ากระบี่ ข้าพเจ้าได้กราบเรียนถามว่า พระบรมธาตุที่บรรจุอยู่ในเจดีย์วัดระบรมธาตุ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช
เป็นพระบรมธาตุแท้จริงหรือไม่ ?
พอกราบเรียนถามเสร็จ หลวงพ่อมีคำตอบให้ทันทีว่า เจ้าของท่านตอบว่าเป็นของแท้ !!
เรื่องที่ 7 อภินิหารเจ้าทะเลกระบี่
...ท่านกำนันสี่น เศรษฐีผู้ใจดี ตำบลใสไทย อำเภอเมืองกระบี่ ได้มีจิตศรัทธาจัดเรือประมงตังเกขนาดใหญ่หนึ่งลำ พาคณะของหลวงพ่อออกชมทะเลกระบี่
ขณะที่เรือกำลังแล่นห่างฝั่งหาดนพรัตนาราออกไปประมาณ 500 เมตร คลื่นมีขนาดโตพอสมควร เรือจึงแล่นตัดคลื่นช้าๆ
ขณะนั้นเอง พวกเราที่อยู่ในเรือมองไปทางฝั่ง แลเห็นคล้ายกิ้งก่าตัวยาวประมาณหนึ่งศอก เป็นสีทองเหลืองอร่าม หงอนแดง
ว่ายน้ำชูคออยู่เหนือยอดคลื่นมุ่งเข้ามาหากราบเรือ
ข้าพเจ้าเป็นห่วงว่ากิ้งก่าเป็นสัตว์บก ทำไมวันนี้กล้าหาญชาญชัย ว่ายออกทะเลย กลัวว่าจะจมน้ำตายหรือถูกปลาใหญ่ฮุบกินเป็นอาหาร
พอกิ้งก่าทองว่ายเข้ามาใกล้จะถึงกราบเรือ พวกเราเฮโลกันไปชะโงกมองดู แลเห็นกิ้งก่าทองคำมุดลอดใต้ท้องเรือ
ข้าพเจ้าใจหายกลัวใบพัดเรือจะตัดตัวกิ้งก่าทองขาดเป็นท่อนๆ พวกเราพากันไปดูที่อีกกราบเรือหนึ่ง แต่ก็ไม่พบอีกเลย ภายหลังพวกเราก็ถึงบางอ้อ..หมดข้อสงสัย
เมื่อหลวงพ่ออธิบายว่า ภาพกิ้งก่าทองที่แลเห็นนั้น เป็นมังกรทองที่เจ้าทะเลกระบี่เนรมิตขึ้นมาต้อนรับหลวงพ่อ
เป็นแต่เพียงภาพเนรมิตไม่มีตัวตนจริงๆ เป็นอันว่าพวกเราได้ประสบอภินิหารเทวดาเจ้าทะเลกระบี่ในวันนั้นเอง
นอกจากนี้ ท่านเจ้าทะเลกระบี่ยังเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ถ้าลากเส้นตรงจาก "หาดนพรัตนารา" กระบี่ ไปยังหาดราไวยภูเก็ต
แบ่งครึ่งเส้นตรงเป็นสองส่วน ถอยหลังกลับมาทางกระบี่สองกิโลเมตร แล้วเจาะพื้นทะเลลงไปตรงนั้น จะพบน้ำมันดิบธรรมชาติ
หลวงพ่อเล่าเสริมต่อไปว่า เมืองไทยรวยน้ำมัน ต่อไปเจ้าขานกกระยางจะเต็มไปทั่วเมืองไทย ไปที่ไหนก็พบเจ้าขานกกระยาง
(คือเครื่องสูบชักเอาน้ำมันดิบขึ้นมาจากใต้ดิน ผู้เขียน)
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
ตอนที่ 8
เรื่องที่ 8 ประเทศไทย จะเป็นมหาอำนาจและรวยมากเป็นมหาเศรษฐี
"...ระหว่างที่คณะของหลวงพ่อนั่งเรือจากอ่าวพังงาจะไปเกาะปันหยี ถ้ำลอด และเขาพิงกัน เทวดาที่เป็นเพื่อนเก่าของหลวงพ่อมาต้อนรับ
และชี้ให้หลวงพ่อดูจุดที่เจาะพื้นทะเลลงไป
จะพบหินดาน เจาะหินดานทะลุจะพบน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมาปริมาณมากมายมหาศาล ข้าพเจ้าเคยเรียนวิชาธรณีวิทยาทราบว่า แหล่งน้ำมันดิบจะมีขนาดใหญ่มาก
ถ้าน้ำมันถูกกักเก็บภายใต้ชั้นหินโค้งรูปโดม
ปกติน้ำมันเบากว่าน้ำ ถูกสูบน้ำมันออก ระดับน้ำมันจะลดลงจากข้างล่างขึ้นไปหาข้างบน และจะมีน้ำไหลเข้าไปแทนที่น้ำมัน
ถ้าดูตามภูมิศาสตร์ ทวีปอาเซียบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ มีน้ำมันดิบทิศใต้ที่ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย ซาราวัค และบรูไน ทิศเหนือ
พบน้ำมันดิบทางตอนใต้ประเทศจีน จังหวัดเช็งลี ทิศตะวันออกมีน้ำมันที่ชายฝั่งประเทศเวียดนาม ทิศตะวันตกพบน้ำมันดิบที่ประเทศพม่า
ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง เปรียบได้เหมือนอยู่ตรงศูนย์กลางรูปโดมมหึมา น้ำมันใต้พื้นดินประเทศไทยจะสูบออกหมดทีหลัง
ประเทศบรูไน ซาราวัค อินโดนีเซีย จีน เวียดนาม และพม่า ซึ่งอยู่ขอบรูปโดม หลวงพ่อเล่าว่า เทวดาท่านอธิบายว่า
ขณะนี้ทั่วโลกใช้น้ำมันรวมกันเท่าใด ถ้ารุมกันมาใช้น้ำมันจากไทยเพียงแหล่งเดียวนาน 99 ปี จะหมดน้ำมันไทยไปเพียงหนึ่งในสามของจำนวนที่มีใต้แผ่นดินไทย
ถ้าสูบน้ำมันใต้เมืองไทยออกหมดแล้วไม่มีน้ำไหลเข้าไปแทนที่ เมืองไทยจะจมหายลงไปอยู่ใต้ทะเล ต่อไปเมืองไทยจะขายน้ำมันรวยมากเป็นมหาเศรษฐี
แขกซาอุที่ว่ารวยนักหนาในปัจจุบัน ต่อไปจะอายประเทศไทย แม้กระทั่งฝรั่งชาติยุโรปก็ยังต้องเกรงใจไทย ส่วนญี่ปุ่นนั้นต้องคุกเข่าให้ไทยมาขอซื้อน้ำมันไปใช้
นอกจากน้ำมันแล้ว ไทยยังมีแร่ทองคำธรรมชาติมากมาย หลวงพ่อเล่าว่ามีแร่ทองคำอยู่ใต้ภูเขายาวเป็นหลายกิโลเมตร
ต่อไปจะมีการระเบิดภูเขาทิ้งไปทั้งลูกเพื่อจะเอาแร่ทองคำ
ถึงสมัยนั้นศีลธรรมของคนไทยดีมาก ความร่ำรวยและความเจริญจะปรากฏขึ้นถึงขีดสูงสุด นอกจากจะรวยแล้ว
ไทยยังจะมีอำนาจมาก เพราะเมืองไทยจะพบแร่ปรมาณู ต่อไปความลับเรื่องการทำระเบิดปรมาณูจะไม่เป็นความลับสำหรับคนไทย
หลวงพ่อเล่าเสริมว่า ขณะนี้พบกากแร่ปรมาณูนั้นแล้ว เป็นแร่ที่หมดสภาพแล้ว สีขาวใส ผู้หญิงเอามาทำเครื่องประดับ
หลวงพ่อถามข้าพเจ้าว่ารู้จักชื่อไหม แร่นี้เมื่อแตกตัวจะให้ความเย็นจัด ตรงข้ามกับแร่ยูเรเนียมซึ่งให้ความร้อนจัด แต่ก็เอามาทำระเบิด
เอามาทำเป็นเครื่องมือรักษาคนไข้ได้เหมือนกัน
สมัยที่ข้าพเจ้ายังเรียนวิชาวิศวกรรมเหมืองแร่ ไม่เคยได้ยินว่ามีแร่ลักษณะนี้ จึงกราบเรียนหลวงพ่อว่าข้าพเจ้าไม่ทราบว่าแร่นี้ชื่ออะไร
เรื่องไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจและร่ำรวยมากนี้ หลวงพ่อยังได้เล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า หลวงพ่อได้รับมอบหนังสือสมุดข่อยโบราณ เขียนด้วยธงสีเหลือง
กล่าวเอาไว้ว่าผู้เขียนคือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ได้พยากรณ์อนาคตของประเทศไทย ต่อจากสมัยกรุงศรีอยุธยาไว้ว่ามี 10 ยุค คือ
1. มหากาฬ 2. พันธุ์ยักษ์ 3. รักบัณฑิต 4. สนิทธรรม 5. จำแขนขาด
6. ราชโจร 7. นนท์ร้องทุกข์ 8. ยุคทมิฬ 9. ถิ่นตาขาว และ 10. ชาววิไล
หลวงพ่อเคยกราบเรียนถาม สมเด็จผู้พยากรณ์ว่า ราชวงศ์จักรีมี 10 รัชกาลเท่านั้นเองหรือ
สมเด็จท่านตอบว่า ใครบอกว่ามี 10 รัชกาล ท่านเรียกว่า 10 ยุค ไม่ใช่ 10 รัชกาล ความจริงยุคที่ 11 ก็ชื่อชาววิไล ยุคที่ 12 ก็ชาววิไล ยุคที่ 13 ก็ชาววิไล
ฯลฯ
ชื่อซ้ำกัน จึงเขียนชื่อยุคไว้ 10 ชื่อเท่านั้น ความจริงราชวงศ์จักรีจะมีสืบต่อไปอีกนาน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 9
เรื่องที่ 9 ท่านย่ามุกและท่านย่าจันทร์ ทำบุญหนีบาป
"...เมื่อคณะของหลวงพ่อเดินทางจากกระบี่เข้าสู่เมืองภูเก็ต ปรากฏว่ามีเทพธิดาคือ "ท่านย่ามุก" และ "ท่านย่าจันทร์" ไปต้อนรับหลวงพ่อ
หลวงพ่อถามท่านย่าทั้งสองว่า ทำสงครามฆ่าคนตายตั้งแยะ ทำไมได้ขึ้นสวรรค์ ?
ท่านย่าตอบว่า ก็อิฉันโง่นี่เจ้าคะ..พอเสร็จสงครามก็สร้างวัดทำบุญเป็นการใหญ่ อานิสงส์ผลบุญจึงช่วยให้ได้ไปสวรรค์
ข้าพเจ้าสมัยหนึ่งเคยนึกในใจว่า ถ้าคนโบราณสร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาลจำนวนมากเหมือนที่สร้างวัด คนไทยจะสบายกว่านี้มาก บางที่วัดอยู่ใกล้ๆ กันหลายวัดก็มี
ตอนนี้จึงเข้าใจแล้วว่า การสร้างวัดเป็นวิหารทาน มีอานิสงส์มากกว่า คนโบราณฉลาดในการทำบุญให้ได้กุศลมากๆ จึงนิยมกันสร้างวัด
ถวายให้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา
เรื่องที่ 10 พระภูมิเจ้าที่โรงไฟฟ้าภูเก็ตจับตัวขโมยสายไฟ
...ขณะที่หลวงพ่อพักอยู่ที่บ้านวิศวกรโรงไฟฟ้าภูเก็ต มีพนักงานโรงไฟฟ้าพร้อมด้วยครอบครัวจำนวนมาก เข้าไปกราบหลวงพ่อ
หลวงพ่อได้ชี้ตัวถามพนักงานคนหนึ่งว่า เคยขโมยสายไฟฟ้าหรือเปล่า ?
พนักงานคนนั้นตกใจ อ้อมแอ้มรับว่า เคยขโมย !!
หลวงพ่อสั่งสอนว่า เลิกขโมยเสียนะ สายไฟมันจะดึงลงนรก
รุ่งขึ้นตอนเช้าหัวหน้าโรงไฟฟ้าเข้าไปกราบถามชื่อพนักงานที่เป็นขโมย หลวงพ่อตอบว่า พระภูมิเจ้าที่บอกว่าเขารับสารภาพ จึงยกโทษให้
ถ้าไม่รับสารภาพจะลงโทษให้หนัก หลวงพ่อสั่งสอนหัวหน้าฯ ว่า ต่อไปดูแลเก็บพัสดุสิ่งของให้ดี จะไม่มีใครขโมยได้อีก
เรื่องที่หลวงพ่อทราบเหตุการณ์ต่างๆ อย่างน่าแปลกใจนี้ ข้าพเจ้าได้ประสบด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยแรกๆ ที่ได้ไปกราบหลวงพ่อ ณ ที่วัดท่าซุง
จังหวัดอุทัยธานี
ในวันหนึ่ง พวกเราเข้าแถวคลานตามกันเข้าไปกราบหลวงพ่อ ทหารอากาศคนหนึ่งอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าเข้าไปกราบ
หลวงพ่อถามขึ้นว่า เคยขโมยลูกปืนไหม ?
เขาตอบปฏิเสธ !!
หลวงพ่อย้ำอีกครั้งว่า ไม่ใช่ลูกปืนที่ยิงกัน แต่เป็นลูกปืนเครื่องจักร ?
ทหารอากาศคนนั้นนิ่งเงียบไม่ปฏิเสธอีก เท่ากับยอมรับโดยดุษฎี
หลวงพ่อสั่งสอนให้เลิกขโมยเสีย พอถึงคราวคนที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้าเข้าไปกราบ หลวงพ่อถามเขาว่า คุณกินเหล้าหรือเปล่า ?
เขาตอบว่าวันนี้ไม่ได้ดื่มเหล้า แต่ปกติเคยดื่ม หลวงพ่อสั่งสอนให้เลิกเสีย
ครั้นถึงคราวข้าพเจ้าบ้าง วันนั้นข้าพเจ้าเช่าพระองค์หนึ่งจากวัดท่าซุง นำเข้าไปถวาย ขอให้หลวงพ่อแผ่เมตตาจิต แล้วข้าพเจ้าจะได้รับมาจากมือของหลวงพ่อ
ก่อนหน้านั้น ขณะที่รอคิวอยู่ ข้าพเจ้าอธิษฐานในใจ ขณะที่ยังอยู่ห่างจากหลวงพ่อว่า บุญกุศลทั้งหลายที่ได้บำเพ็ญไว้แล้ว
ขอจงเป็นผลหนุนส่งให้ข้าพเจ้าได้บรรลุพระนิพพานในชาติปัจจุบัน
ชาตินี้ขอเกิดเป็นชาติสุดท้าย ภพนี้ขอเป็นภพสุดท้าย ชาติหน้าภพหน้าขอจงอย่าได้มีบังเกิดสำหรับข้าพเจ้าอีกเลย
ข้าพเจ้าไม่ต้องการเกิดอีกแล้ว ไม่ขอเกิดอีกแล้ว ขอความตั้งใจของข้าพเจ้าครั้งนี้ จงสำเร็จผล สมความปรารถนาภายในชาติในภพปัจจุบันนี้ด้วยเถิด
พอข้าพเจ้าเข้าไปกราบหลวงพ่อ ท่านรับเอาพระไปยกมือขึ้นจบ และก่อนที่จะส่งคืนให้ข้าพเจ้า
หลวงพ่อหันมายิ้มแล้วบอกข้าพเจ้าว่า ที่ขอเมื่อกี้นี้พระท่านบอกว่าไปได้..ไปได้ !!
ข้าพเจ้าปลื้มใจมาก ที่จะได้ยุติการเวียนว่ายตายเกิดเสียที ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ตราบใด ก็จะทำหน้าที่ทุกประการอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ถ้าหยุดหายใจเมื่อใดก็เลิกกัน จะออกจากร่างนี้ไป..ไปแล้วจะไปลับ จะไม่กลับมามีร่างกายอีกต่อไป
จะตามรอยพระยุคลบาท สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และตามรอยเท้าพระอรหันต์เจ้าทั้งปวง มุ่งลัดตัดตรงไปพระนิพพาน จะไม่หวนกลับมาเกิดอีกต่อไป.."
...หมายเหตุ : ขณะที่นำบทความของท่านมาลงเฟซบุคนี้ คุณหม่อมวรวัฒนได้จากโลกนี้ไป ๔-๕ ปีแล้ว หวังว่าความตั้งใจของท่านจากข้อเขียนนี้
คงจะบรรลุเป้าหมายสมปรารถนา ตามที่ท่านตั้งใจไว้ทุกประการ..สาธุ !!!
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 10
เรื่องที่ 11 หลวงปู่แช่มวัดท่าฉลองภูเก็ตขับไล่จีนอั้งยี่
"...ระหว่างที่พักอยู่ที่เกาะภูเก็ต หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่โจรอั้งยี่จีนยกพวกเข้าปล้นชิงชาวเมืองภูเก็ตครั้งนั้น ทุกตำบลแพ้จีนอั้งยี่
ยังเหลือตำบลท่าฉลองเป็นแห่งสุดท้าย ยังไม่แพ้โจรอั้งยี่จีน
ชาวบ้านท่าฉลองอพยพไปรวมกันที่วัดท่าฉลอง ยึดถือเอาหลวงปู่แช่มเป็นที่พึ่ง ครั้นถึงเวลาโจรจีนอั้งยี่ยกทัพเรือไปตีท่าฉลอง ชาวบ้านท่าฉลองเข้าไปกราบเรียน
ขอให้หลวงปู่แช่มช่วย
หลวงปู่ก็ตกลงรับปากจะช่วย ท่านขึ้นนั่งบนแคร่เสลี่ยง สั่งให้ชาวบ้านหามยกขึ้นเดินนำหน้า มีชาวบ้านหนุ่มๆ สามารถรบได้จำนวนราว 200 คน เดินตามหลัง
กำลังโจรจีนอั้งยี่ที่ยกมามีหลายพันคน
จำนวนคนทั้งสองฝ่ายต่างกันหลายเท่าตัว พอโจรอั้งยี่จีนยกพลขึ้นมาบนบกได้ก็กรูกันเข้ามา หลวงปู่แช่มสั่งให้วางเสลี่ยงลง ท่านก้าวเท้ากระทุ้งดิน 1 ครั้ง
แล้วว่าคาถากำกับด้วย 1 บท
พอท่านเดินไปครบ 3 ก้าว กระทุ้งไม้เท้าลงบนดินได้ 3 ครั้ง ว่าคาถาได้ 3 จบเท่านั้นเอง ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น
ปรากฏว่าโจรจีนอั้งยี่หันหลังกลับ แตกฮือพากันวิ่งหนีไปลงเรือเล็ก ล่าถอยไปขึ้นเรือใหญ่ แล่นหนีไปโดยไม่ได้สู้รบกัน
พวกที่ลงเรือเล็กไม่ทันก็กระโดดน้ำลงทะเลว่ายหนีไป ทิ้งอาวุธหอกดาบไว้เป็นจำนวนมาก ต่อมาภายหลัง ทหารไทยที่ยกไปจากเมืองหลวง
เพื่อไปช่วยเมืองภูเก็ตจับอั้งยี่บางคนได้
ทหารถามว่าวันนั้นยังไม่ทันรบกันเลยหนีทำไม จีนอั้งยี่ตอบว่ามองเห็นทหารไทยยืนเต็มดงมะพร้าว แลดูสีแดงครึ่ดไปหมด ถ้าไม่รีบหนีพวกอั๊วซี้แน่ๆ
นี่คืออานุภาพของหลวงปู่แช่ม วัดท่าฉลองภูเก็ต ซึ่งเป็นพระอรหันต์อภิญญาองค์หนึ่ง หลวงพ่อได้เล่าต่อไปว่า
นอกจากหลวงปู่แช่มจะเป็นพระอรหันต์อภิญญาแล้ว อาจารย์ของหลวงปู่แช่ม และอาจารย์ของอาจารย์หลวงปู่แช่มอีกรวม 2 องค์ ก็เป็นพระอรหันต์อภิญญาด้วยเหมือนกัน
รวมความว่า ที่วัดท่าฉลองภูเก็ตมีพระอรหันต์อภิญญาติดต่อกันถึง 3 องค์..."
หมายเหตุ : Admin
...ในหนังสือนิทานโบราณคดี ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เล่าเหตุที่หลวงพ่อแช่มโด่งดังขึ้นมาว่า
"เมื่อปี ๒๔๑๙ เกิดการกำเริบครั้งใหญ่ในภูเก็ตขึ้น เนื่องจากเกิดปัญหาราคาดีบุกตกต่ำ ทำให้กรรมกรจีนเกิดความขัดสนตามไปด้วย
และไม่มีเงินพอจะจ่ายภาษีแก่ราชการตามปกติ กรรมกรจีนจึงรู้สึกชังทางราชการ ว่าเก็บภาษีให้เดือดร้อน ทั้งที่ตนก็ไม่มีเงินอยู่แล้ว
ชนวนสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อพวกจีนวิวาทกับกะลาสีเรือรบ เมื่อโปลิศจับชาวจีนที่ทำร้ายกะลาสีได้
พวกจีนกลุ่มหนึ่งก็รวมตัวกันเป็นอั้งยี่เฉพาะกิจ (แบบเถื่อนๆ เฉพาะกิจ) จับอาวุธเข้าทำลายสถานีตำรวจ ไล่ปล้นบ้าน เผาวัดไทยให้ทั่วเกาะ
และเตรียมเข้าโจมตีที่ทำการรัฐบาลสยามในตัวเมือง
ฝ่ายรัฐบาลเองมีกำลังน้อยกว่า มิอาจยกออกไปปราบได้ ก็คอยป้องกันแต่เพียงตัวเมือง บนเกาะภูเก็ตยามนั้น คนไทยน้อยกว่าคนจีน คนไทยจึงพากันหนีขึ้นเขาหมด
เหลือเพียงพ่อท่านแช่มแห่งบ้านฉลอง
พ่อท่านแช่มนั้นก็ปลุกเสกผ้าประเจียดแจกจ่ายชาวบ้านฉลองที่ยังเหลือ ชาวบ้านเหล่านั้นก็ตั้งตนเป็นกองทัพตั้งที่วัดฉลอง และสามารถรบชนะพวกจีนได้
ภายหลังทางรัฐบาลได้ให้หัวหน้าอั้งยี่ที่ขึ้นทะเบียนกับรัฐ เรียกตัวพวกลูกน้องที่ร่วมกำเริบเป็นอั้งยี่เฉพาะกิจเหล่านั้นกลับเข้าอั้งยี่ปกติ
ส่วนพวกที่ไม่กลับมาก็ถูกรัฐบาลปราบปรามจนสงบไปได้"
เรื่องนี้ทำให้หลวงพ่อแช่มมีชื่อเสียงขึ้นมา โดยเฉพาะในเรื่องพุทธาคม กลายเป็นเกจิอาจารย์ที่ชาวภูเก็ตนับถือ โด่งดังไปถึงปีนังอีกด้วย.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 11
เรื่องที่ 12 พระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ฝังใต้ดิน ที่อำเภอหาดใหญ่
"...ขณะที่คณะหลวงพ่อแล่นรถจากเมืองตรังเข้าเขตอำเภอหาดใหญ่ พรหมองค์หนึ่งไปต้อนรับหลวงพ่อ แล้วรายงานตัวว่า
มีหน้าที่เฝ้าพระพุทธรูปทองคำ ซึ่งฝังอยู่ใต้ดินที่ตำบลน้ำน้อย อำเภอหาดใหญ่ มีขนาดย่อมกว่าพระพุทธรูปทองคำวัดไตรมิตร กทม. เล็กน้อย
ที่พระอุระของพระพุทธรูปทองคำใต้ดินองค์นี้ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ได้
คนทั่วไปปัจจุบันไม่ทราบ จึงเดินข้าไปมา เป็นบาปโดยไม่ตั้งใจ คณะหลวงพ่อเป็นคณะนักบุญ พรหมจึงมาแจ้งให้ทราบ
และขอให้ช่วยสร้างสิ่งก่อสร้างอะไรสักอย่างเอาไว้บนดินตรงจุดนั้น คนที่เดินไปมาจะได้อ้อมหลบไป ไม่เดินข้ามพระ เกิดบาปอีกต่อไป
หลวงพ่อถามพรหมว่าจะยอมให้ขุดขึ้นมาหรือไม่ พรหมตอบว่า คนไทยปัจจุบันศีลธรรมยังไม่ดี ถ้าขุดขึ้นมาปรากฏว่าเป็นพระทองคำแท้ จะเกิดการฆ่ากันตายแย่งชิงกัน
แม้จะเอาตำรวจทหารมาเฝ้าก็ไม่ได้
เพราะว่าพระพุทธรูปองค์นี้ถอดได้เป็นชิ้นๆ 9 ชิ้น คนโกงจะเอาของปลอมมาใส่แทน เอาของจริงไป ตำรวจ ทหารอาจหลับยาม สมรู้ร่วมคิดกันได้
หลวงพ่อรับปากพรหมองค์นี้แล้ว พรหมก็บอกจุดที่อยู่ให้หลวงพ่อพาพวกเราไปดู ก็พบว่าจุดที่ตั้งตรงกับที่พรหมบอกไว้ทุกประการ
บริเวณนั้นอยู่ติดคลองน้ำน้อย ทางหลวงหาดใหญ่ สงขลา เลขที่หลัก กม. ก็ตรงกับที่พรหมบอกไว้ คณะหลวงพ่อจึงมั่นใจมาก เกิดความศรัทธา
ตกลงกันว่าจะสร้างวิหารเล็กๆ คลุมพื้นดินตรงจุดนั้น
พวกเราจึงลงจากรถ เข้าไปติดต่อเจ้าของที่ดิน ชื่อนางใล่ นามสกุลชูโตชะนะ มีบุตรชายบุญธรรมชื่อ ร.ต.ต.ชัยณรงค์ ชูโตชะนะ
เริ่มก่อสร้างพระวิหาร
...เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่ดินให้สร้างวิหารได้โดยไม่คิดราคาที่ดิน ท่านเจ้าของที่ดินศรัทธาหลวงพ่อมาก กราบเรียนท่านหลวงพ่อจะเอาที่กว้างเท่าไรก็เอา
จะยกให้ถวายวัดหรือถวายในหลวง
คณะศิษย์หลวงพ่อขณะนั้น อันมีพลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ เป็นหัวหน้าคณะทางกรุงเทพฯ หาเงินทุนโดยรวบรวมจากคณะศิษย์ทั้งปวง
ส่งไปให้ข้าพเจ้าก่อสร้างวิหาร
รวมกับเงินทุนที่คุณมนตรี ตระหง่าน ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา และคุณเจริญจิตต์ ณ สงขลา ปลัดจังหวัดสงขลา รวบรวมได้จากชาวเมืองสงขลา เป็นเงินทุนจากกรุงเทพฯ
เกือบ 2 แสนบาท
และเงินทุนจากสงขลาแสนกว่าบาท รวมกันแล้วมีจำนวนประมาณกว่า 3 แสนบาท ใช้เงินทุนนี้สร้างวิหารตรีมุขขึ้น
- มีคุณณรงค์ ณ ตะกั่วทุ่ง ช่างสถาปนิกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 กระบี่ เป็นผู้ออกแบบ
- มีคุณปลั่ง ขาวบาง ช่างโยธา จากโรงไฟฟ้าลิกไนต์กระบี่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง
- มีคุณสวาท ภัทรพรนันท์ หัวหน้าโรงไฟฟ้าแกสเทอร์ไบน์หาดใหญ่ เป็นผู้ช่วยติดต่ออำนวยความสะดวก โดยมีข้าพเจ้าเป็นผู้ประสานงาน
พวกเราเริ่มงานกันโดยไปติดต่อร้านค้า อำเภอหาดใหญ่ อาศัยชื่อเสียงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 เป็นเครื่องช่วยให้ร้านค้าทั้งหลายเกิดความเชื่อถือ
ตกลงใจให้ซื้อของเชื่อโดยจ่ายเงินเป็นงวดๆ
พอได้เงินจากคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ แม่งานทางกรุงเทพฯ ก็เอาไปจ่ายร้านค้า แล้วเอาใบรับเงินไปหักล้างเงินเบิกมา ตามแบบการใช้เงินของราชการ
พอเงินทางกรุงเทพฯ หมด ก็เบิกจากกองทุนจังหวัดสงขลา ใช้เงินจากสงขลาไปประมาณ 6 7 หมื่นบาท ยังมีเงินทุนที่ชาวเมืองสงขลาบริจาค คงเหลืออยู่ประมาณ 1 แสนบาท
คณะศิษย์หลวงพ่อไม่ได้เบิกมาใช้ และมิได้เกี่ยวข้องด้วย ตั้งแต่เสร็จงานสร้างวิหารนี้เป็นต้นมา
งานก่อสร้างนี้ ใช้เงินเฉพาะการซื้อวัสดุ อุปกรณ์ ส่วนแรงงานและการขนส่ง ได้อาศัยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 ช่วยสงเคราะห์ให้เปล่าโดยไม่คิดมูลค่า
การก่อสร้างวิหารนี้จึงใช้เงินน้อยกว่าปกติ รวมแล้วเพียงประมาณ 2.3 2.4 แสนบาท ทั้งนี้หลายอย่างทุ่นรายจ่ายลงไป เช่น กระเบื้องมุงหลังคา
เราก็ส่งรถการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ มา ซื้อไปจากกรุงเทพฯ ราคาจึงต่ำกว่าจะซื้อที่หาดใหญ่
เริ่มทำพิธีบวงสรวงเป็นครั้งแรก
...หลวงพ่อได้สั่งไว้ว่า ก่อนจะเริ่มงานก่อสร้าง หลวงพ่อจะไปบวงสรวงพรหมผู้คุ้มครององค์พระพุทธรูปทองคำใต้ดิน
วันที่มีพิธีบวงสรวง หลวงพ่อได้พาหลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว และหลวงปู่ครูบาธรรมไชย วัดทุ่งหลวง จังหวัดเชียงใหม่ และหลวงปู่ครูบาชัยวงศา
วัดพระบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ไปร่วมพิธีด้วย หลวงพ่อได้ให้หลวงปู่ทั้งสาม ตรวจดูพระพุทธรูป
ข้าพเจ้าแปลกใจที่เห็นหลวงปู่ครูบาธรรมไชยองค์เดียวลงนั่งยองๆ ดู แต่หลวงพ่อและหลวงปู่องค์อื่นๆ ยืนดู สักครู่เมื่อการตรวจดูเสร็จสิ้นลง
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า
เมื่อครู่ หลวงปู่ครูบาธรรมไชยถูกนักเลงดีเล่นตลก คือ พรหมท่าน เอามือมาแกล้งปิดตาหลวงปู่ครูบาธรรมไชยยืนดูไม่เห็น ท่านจึงต้องนั่งลงดู จึงเห็น
ประวัติพระพุทธรูปทองคำ
...หลวงพ่อเล่าประวัติพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ให้พวกเราฟังว่า ทำด้วยทองคำเนื้อเก้า บริสุทธิ์เกือบ 100% ตามปกติทองคำบริสุทธิ์ 100%
เนื้ออ่อนเกินไปไม่แข็งแรงพอ เอามาหล่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไม่ได้ จำเป็นต้องเอาโลหะอื่นๆ เช่น ทองแดงมาผสมเพิ่มความแข็งแรง
ขนาดของพระพุทธรูปองค์นี้โตเกือบเท่าองค์ที่อยู่วัดไตรมิตร กรุงเทพฯ สร้างในสมัยกรุงสุโขทัย มีรวม 3 องค์เป็นชุดเดียวกัน
องค์ที่สามปัจจุบันจมอยู่ในแม่น้ำโขง พบแล้วแต่ยังไม่ยอมขึ้นมา
แม้ว่าบริษัทอิตาเลียนไทย ซึ่งกู้เรือรบศรีอยุธยา ขนาดหนัก 2,000 ตัน ที่ถูกทิ้งระเบิดจมแม่น้ำเจ้าพระยา ยังกู้ได้สำเร็จ แต่พระพุทธรูปที่จมแม่น้ำโขงอยู่
กู้เท่าไรก็ไม่สำเร็จ
จะใช้รถแทรกเตอร์ผูกลวดสลิงดึง หรือจะใช้รอกกว้านช่วยดึงก็ไม่สำเร็จ ลวดสลิงขาด พระพุทธรูปเลื่อนไหลไกลออกไป สู่ร่องน้ำลึกเข้าทุกที
ผลสุดท้ายต้องยุติเลิกล้มความพยายาม บริษัทอิตาเลียนไทยยอมแพ้
ทั้งนี้เพราะเทวดาที่เฝ้าองค์พระพุทธรูปไม่ยอมให้นำขึ้นมา เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาจะขึ้น ต้องรอให้ศีลธรรมคนไทยดีขึ้นถึงระดับเสียก่อน
จะได้ไม่เกิดการฆ่าฟันกัน แย่งชิงกันเป็นเจ้าของพระทองคำ และป้องกันคนโกงจะเอาชิ้นส่วนปลอมมาใส่แทน เอาชิ้นส่วนที่เป็นทองคำแท้ไป
อัญเชิญพระประธานขึ้นวิหาร
...เมื่อสร้างวิหารพระเสร็จลง ท่านพลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์ มีจิตศรัทธามอบพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ขนาดหน้าตักเกือบ 4 ศอก หนึ่งองค์ ให้เป็นพระประธานในวิหาร
ข้าพเจ้าจัดทีมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เขต 3 มารับไปจากกรุงเทพฯ โดยไม่คิดรวมราคาก่อสร้างวิหาร ทำให้ประหยัดเงินไปได้มาก ในวันที่จะยกพระประธานเข้าตั้งในวิหาร
หลวงพ่อได้ไปทำพิธีบวงสรวงอีกครั้ง
พอเสร็จพิธีบวงสรวง หลวงพ่อเล่าว่า เมื่อสักครู่นี้ พรหมท่านขยับเลื่อนองค์พระใต้ดินเข้ามาอยู่ใต้พระประธาน ซึ่งอยู่ในวิหารเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้เพราะจุดที่ฝังพระไว้ใต้ดินไม่สามารถตอกเสาเข็มลงไปได้ อาจทำให้เกิดอันตรายต่อพระพุทธรูปใต้ดิน
หรือทำอันตรายต่อห้องใต้ดินที่คนสมัยก่อนสร้างเอาไว้ได้
หลวงพ่อเล่าเพิ่มเติมว่า พระที่อยู่ในวิหารให้ชื่อว่า "พระพุทธมหามงคลบพิตร" ใช้ชื่อเดียวกับพระที่อยู่ใต้ดิน
สมัยก่อนพระทองคำองค์นี้ชาวเมืองตั้งบูชาอยู่ในตัวเมืองสงขลา ต่อมา ตอนที่พม่ายกกองทัพไปตีภาคใต้ ชาวเมืองกลัวว่า ชาวพม่าจะปล้นชิงเอาพระทองคำไป
ชาวเมืองสงขลาจึงนำเอาพระทองคำขึ้นบนเรือแล่นหนีเข้าไปในป่าลึก จนถึงคลองน้ำน้อยเห็นเป็นทำเลที่เหมาะสม จึงอาราธนาพระทองคำขึ้นจากเรือ
ทำการขุดดินเป็นหลุมขนาดใหญ่และลึก ก่ออิฐเป็นกำแพงกั้นยาแนวกันน้ำรั่วซึม
แล้วบรรจุองค์พระทองคำเอาไว้พร้อมด้วยเพชร พลอย เครื่องประดับมีค่าสูงจำนวนมากมายเป็นพุทธบูชา ทำผนังหลังคาปิดกั้นเอาไว้อย่างแข็งแรงดีแล้ว
เก็บรักษาความลับไว้เป็นอย่างดีไม่มีคนอื่นทราบ อนุชนรุ่นหลังจึงไม่มีใครรู้ความลับนี้
หลวงพ่อได้อธิบายประวัติพระพุทธรูปทองคำมหามงคลบพิตร ว่าสร้างในสมัย "พระเจ้าขุนรามคำแหงมหาราช" กรุงสุโขทัย มีการทำพิธีตรึงแผ่นดินไทยไว้
ทิศเหนือที่เชียงแสน ทิศใต้ที่สงขลา เลยเขตนี้ออกไปไม่แน่นอน ยามใดไทยมีอำนาจก็มาอยู่รวมกับคนไทย ยามใดไทยถอยอำนาจลงก็แยกตัวออกไปเป็นประเทศอื่น
แต่ว่า สมัยต่อไปภายหน้าพวกดังกล่าวนี้ คือ กลันตัน ตรังกานู ปะลิส ไทรบุรี และดินแดนเหนือเชียงรายขึ้นไป จะกลับมารวมกับไทยอีก ทั้งนี้
เพราะเขาเห็นว่าไทยรวยจะมาช่วยกันใช้เงินของไทย..."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 12
เรื่องที่ 13 พระราชพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระบารมีในหลวง
"...เมื่องานก่อสร้างวิหารพระพุทธมหามงคลบพิตรเสร็จลง ในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
ได้เสด็จมาทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ในพระเศียรของพระพุทธรูปในวิหาร ข้าพเจ้าเป็นผู้ประสานงานที่หาดใหญ่
นึกเป็นห่วงว่า วันที่ในหลวงเสด็จถ้าฝนตก ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จจะเดือดร้อน เนื่องจากไม่มีเต็นท์สำหรับราษฎร
ข้าพเจ้าจึงให้นายปลั่ง ขาวบาง บนกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขออย่าให้ฝนตกในบริเวณงานวันนั้น ขณะที่กำลังมีงาน
แต่หลวงพ่อบอกว่าเสด็จในกรมไม่ทรงรับการบนครั้งนี้ ท่านอธิบายว่าในหลวงเป็นคนมีบุญมาก ไปที่ใดฝนต้องตก อย่างน้อยที่สุดต้องโปรยลงมาเป็นละออง
จะห้ามไม่ให้ตกเลยนั้น ห้ามไม่ได้
ปรากฏว่าวันงานตั้งแต่เช้าขึ้นมาแสงแดดแจ่มใส แต่พอตกตอนสายเมฆรวมตัวกัน เหมือนเป็นร่มคันใหญ่มหึมาแผ่บางๆ กั้นกันแดดไว้พอเย็นสบาย
พอตกบ่ายก่อนถึงเวลาเสด็จประมาณ 1 ชั่วโมง ฝนตกลงมาซู่หนึ่งแล้วหยุดตก เป็นอันว่าจริงตามธรรมเนียม
เรื่องฝนตกในงานที่ในหลวงเสด็จนี้ ข้าพเจ้าได้ประสบมาด้วยตนเองอีก 2 ครั้ง คือ ในงานพระราชพิธีเปิดเขื่อนบางลาง อำเภอบันนังสตาร์ จังหวัดยะลา
ก่อนเวลาเสด็จประมาณ 1 ชั่วโมง ฝนตกหนัก ลมพายุพัดแรงมาก กระหน่ำจนพวกเรากลัวว่าเต็นท์ที่กางรับเสด็จจะปลิวลอยไปตามลม
พวกวิศวกรอาวุโสที่แต่งตัวเต็มยศ เครื่องแบบสีขาวยังยอมไม่กลัวเปื้อน ช่วยกันจับเสาเต็นท์ช่วยกันโหนไว้ เสาละ 2 3 คน
นึกในใจว่า ถ้าเต็นท์หลุดพ้นจากพื้นดิน ลอยตามแรงลมละก็ คอขาดกันเป็นแถว เจ้านายเล่นงานตายแน่ๆ
แต่พอทันทีที่ ฮ. พระที่นั่งแตะพื้นดิน เพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้นเท่านั้นเอง ฝนหยุดตก ลมหยุดพัด นิ่งสงบลง
พวกเราถอนหายใจเฮือกโล่งไปได้ ไม่ต้องโหนเสาเต็นท์เป็นลิงเป็นค่างต่อหน้าพระที่นั่งอีกต่อไป ทั้งนี้ เป็นเพราะบารมีปกเกล้าโดยแท้จริง
อีกครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าประสบก็คือ ตอนที่เสด็จพระราชดำเนินไปวัดท่าซุง งานนี้เป็นฤดูฝนทิ้งช่วงยาว อากาศร้อนจัด ทุ่งนาแถบจังหวัดอุทัยธานี
จังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง ชัยนาท ขาดน้ำ
แผ่นดินแห้ง ต้นข้าวในนาสีเหลือง ทำท่าจะตายมิตายอยู่ จะรอมร่อ ก่อนวันมีงาน บริษัทเฟคเตอร์ นำเอาเครื่องแอร์ประมาณ 3 เครื่องมาตั้งเป่าลมเย็นถวายในหลวง
ข้าพเจ้านึกในใจว่า ถ้าในหลวงเสด็จที่ใดแล้วอากาศร้อนจัด แดดไม่ร่ม ฝนไม่ตก ก็แปลกประหลาดมากแล้ว ครั้นถึงวันที่เสด็จพระราชดำเนิน ตอนเช้ายังมีแดดตามปกติ
พอตกตอนสายเมฆบางๆ เริ่มรวมตัวเหนือท้องฟ้าวัดท่าซุง เหมือนเป็นร่มขนาดมหึมากั้นกันแสงแดด ทำให้อากาศไม่ร้อนจัด มีลมพัดมาพอเย็นสบาย
ต่อมา ได้เวลาอีกประมาณสองชั่วโมง จะถึงกำหนดที่ในหลวงเสด็จ มีฝนไล่ช้างตกลงมากราวใหญ่แล้วก็หยุดตก
หลวงพ่ออธิบายว่าตอนที่ฝนตกนั้น เทวดาที่เป็นกองหน้ามาถึงแล้ว มีหน้าที่ลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยให้ในหลวง และสมเด็จฯ ครั้นพิธีการเสร็จ ในหลวงและสมเด็จฯ
เสด็จพระราชดำเนินกลับ
ข้าพเจ้าขับรถฝ่าฝนตั้งแต่ออกจากจังหวัดอุทัยธานี จนถึงเข้าเขตกรุงเทพฯ ที่ปัดน้ำฝนประจำรถต้องทำงานไม่ได้หยุด ตลอดระยะทางอันยาวไกลนั้น
แผ่นดินที่แห้งแล้ง ทุ่งนาที่กำลังขาดน้ำ ต้นข้าวที่กำลังจะตายก็กลับชุ่มชื่น ได้น้ำฝนมาต่อชีวิตให้เจริญงอกงามต่อไปได้
นี่คือการแสดงออกของฟ้าและดินให้พวกเราได้ประจักษ์ในพระบุญญาธิการของในหลวงและสมเด็จฯ
เมื่อในหลวงและสมเด็จฯ พร้อมด้วยพระเจ้าลูกเธอ ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงในพระเศียรพระพุทธมหามงคลบพิตร ที่ตำบลน้ำน้อย อำเภอหาดใหญ่
เสร็จแล้วและทรงเยี่ยมเยียนราษฎรที่มาเฝ้ารับเสด็จ จนสมควรแก่เวลาแล้ว ก็เสด็จพระราชดำเนินกลับ หลวงพ่อได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนหนึ่ง
ในพระเศียรพระพุทธมหามงคลบพิตรด้วย
และหลวงพ่อได้แบ่งพระบรมธาตุส่วนหนึ่งให้พวกเราที่เป็นลูกหลานหลวงพ่อได้มีโอกาสบรรจุด้วย
ข้าพเจ้าไม่ได้เข้าไปบรรจุด้วย เพราะยืนอยู่ห่าง นึกเสียดายที่ไม่มีโอกาส แต่ขณะนั้น มีพระบรมธาตุองค์หนึ่งหล่นจากที่เก็บ ตกลงมาบนพื้นวิหารกลิ้งหายไป
หลวงพ่อสั่งว่า ใครหาพบให้คนนั้นเป็นผู้นำไปบรรจุในพระเศียร ลูกศิษย์คนอื่นๆ ช่วยกันหาพักใหญ่ไม่มีใครพบ
ข้าพเจ้าจึงเข้าไปช่วยหาด้วย มองหาอย่างละเอียดก็ไม่พบ แต่ขณะนั้นเอง รู้สึกว่าเท้าข้าพเจ้าได้เหยียบเม็ดอะไรเล็กๆ จึงยกเท้าขึ้นมองดู
ปรากฏว่า ตนเองได้เหยียบเอาพระบรมธาตุเข้าไว้อย่างเต็มเปา รู้สึกทั้งดีใจและตกใจพร้อมกัน ดีใจที่เป็นผู้พบพระบรมธาตุโดยไม่ได้คิดฝัน
ตกใจที่ทำบาปมากโดยไม่รู้ตัว
จึงรีบขอขมาโทษต่อพระบรมธาตุองค์นั้น แล้วอาราธนานำขึ้นไปบรรจุลงในพระเศียรเป็นคนสุดท้าย
พระบรมธาตุที่หลวงพ่อนำมาครั้งนี้มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ เป็นแก้วใสสีต่างๆ กัน มีหลายสีหลายขนาด จำนวนรวมกันประมาณ 1 กำมือ..."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 13
วิหารพระพุทธมหามงคลบพิตร
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
...พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน พร้อมด้วยคณะศิษย์ ได้เดินทาง โดยเครื่องบินมาลงที่ภูเก็ต
โดยมี ม.ล.วรวัฒน นวรัตน ผู้อำนวยการการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จังหวัดกระบี่ ในสมัยนั้น เป็นผู้รับรอง พร้อมทั้งจัดรถออกเดินทางไปในที่หลายแห่ง
จนกระทั่งมาถึงหาดใหญ่เมื่อ วันอังคารที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๗ แล้วได้ค้างคืนที่บ้านพักรับรองที่เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจัดไว้
คืนนั้น..ในขณะที่กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องนอนของท่าน พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้เล่าว่า...
...วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๑๙ ก่อนหน้านั้นอาตมาไปจังหวัดสงขลา แล้วก็ไปพบเหตุสำคัญว่า สถานที่ตรงนั้นควรจะสร้างพระพุทธรูปสักองค์หนึ่ง
ก็จัดแจงสถานที่ คิดว่าจะซื้อก็ไม่ไหว ก็พอดี ร.ต.ต.ชัยณรงค์ ชูโตชนะ (เป็นบุตรชายบุญธรรมของ นางกิ้มไล่) เป็นเจ้าของที่ จะไปขอซื้อท่าน
ไม่ทันจะซื้อ ท่านทราบข่าว ท่านก็เลยมาถวาย บอกว่าหลวงพ่อขอรับ หลวงพ่อจะสร้างที่..วัดเอาตามชอบใจเลยขอรับ
แน่ะ.ท่านให้..แหม..ศรัทธาของท่านดี ที่ติดทางรถไฟและติดถนนรถยนต์ ถ้าจะเอากันจริงๆ ราคามันก็แพงลิ่ว ก็คิดว่าที่ประมาณสัก ๑ งาน แสนบาทนี่
เขาจะเอาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
พอตกลง ท่านถวายก็ไปทำการขอพื้นที่ตามธรรมเนียมของพระ เพราะเกรงว่าจะมีอนุษย์เป็นผู้เฝ้าที่
เมื่อขอพื้นที่เสร็จ คนสำคัญคนหนึ่ง คือ พ.อ.เฉลียว เป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายทหาร มานั่งบูชาเจ้าของที่ จุดธูปเทียนว่า
ที่นี้ถ้ามีพระพุทธรูปทองคำจริง ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้ถูกหวยลอตเตอรี่ แล้วท่านก็ไปถูกลอตเตอรี่
ต่อมาท่านก็เกิดสงสัย เอ้า..บูชาใหม่ ว่าขอให้ถูกล็อดเตอรี่ ท่านก็ถูกใหม่ เรื่องถูกล็อตเตอรี่นี่ จะเป็นอำนาจของพระพุทธานุภาพ
คือพระทองคำหรือไม่นี่อาตมาไม่ทราบ
แต่ท่านพันเอกเฉลียวท่านว่าอย่างนั้น และท่านก็ถูกจริงๆ ก็เป็นเรื่องของท่าน อาตมาไม่โฆษณาถึงขนาดนั้น
ต่อมาทำการก่อสร้าง ระหว่างการก่อสร้างก็ปรากฏว่า นายช่างกับลูกจ้างกับลูกมือช่าง เห็นเหตุอัศจรรย์ คือเห็นภาพพระ..เป็นพระสงฆ์
มายืนใหญ่ตระหง่านให้เห็นอยู่เสมอ
เรื่องนี้จะมีอะไร จริงหรือไม่จริง ท่านพิสูจน์เอาเอง อาตมาก็ฟังข่าวมา เดี๋ยวจะหาว่าเป็น เจ้ากรมข่าวลือ ไปเสียอีก เขาลือกันมาอย่างนั้น
ก็ฝากฝังบรรดาท่านพุทธบริษัทให้พิสูจน์ในความจริง
เมื่อวันเวลาใกล้จะมาถึงงานเสร็จ สำหรับการก่อสร้างก็ได้อาศัยบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ในกรุงเทพฯ บ้าง นอกกรุงเทพฯ บ้าง สงขลาบ้าง ที่อื่นบ้าง
ช่วยกันสร้างวิหาร ร.ต.ต. ชัยณรงค์ เป็นเจ้าของที่มอบถวายเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับพระประธาน ท่านพลเอกบุญชัย บำรุงพงศ์ กับคุณหญิงเป็นคนถวาย ส่วน เรือนแก้ว คณะศิษยานุศิษย์ทำครอบให้
เป็นอันว่างานสร้างเสร็จ จึงได้ให้ท่าน พลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหม กับ พลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหาร
คุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุลย์ และ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์
กราบถวายบังคมทูลเชิญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ให้เสด็จบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๑๙
ต่อมา ท่านอาจารย์ภาวาส รองราชเลขาฯ ได้นำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแจ้งอาตมาทราบว่า เรื่องนี้พระองค์ทรงทราบแล้ว แต่วันที่ ๒๖
พระองค์จะเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยสงขลาฯ
ถ้าจะเสด็จวันที่ ๑๒ ก็จะกลายเป็นเสด็จ ๒ ครั้ง แล้วท่านอาจารย์ภาวาสได้บอกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำรัสว่า
ท่านเองท่านก็มีความเคารพนับถือหลวงพ่อมาก ถ้าหลวงพ่อจะให้เสด็จไปวันนั้น ท่านก็จะไป แต่ว่ามันเป็นการไป ๒ ครั้ง การทูลเชิญเสด็จคราวนี้
เป็นการทูลเชิญเสด็จบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
อาตมาฟังแล้วก็ตกใจ เมื่อทราบน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ว่าพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา
การทูลเชิญเสด็จครั้งนี้ มิได้หมายความว่าต้องจำกัดเวลา แต่เห็นว่าวันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ จึงตั้งใจจะถวายพระราชกุศล
แต่ในเมื่อทราบว่า พระองค์มีพระราชภารกิจจะต้องเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตร วันที่ ๒๖ สิงหาคม ก็ตกใจว่า
เอ๊ะ..ถ้าเราทำอย่างนั้นก็เป็นการไม่สมควร จึงได้บอกท่านอาจารย์ภาวาส รองราชเลขาฯ ให้กราบทูลพระองค์ว่า
อาตมาขอขอบพระทัยพระองค์มาก ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ถ้าทราบว่าจะเสด็จวันนั้น ก็คงไม่ทูลเชิญเสด็จวันที่ ๑๒
ในเมื่อจะมีกำหนดพระราชทานปริญญาบัตรก็เป็นการดี ขอพระราชทานวันนั้นแหละ เป็นรายการต่อท้ายเลย ก็เป็นอันว่าเป็นที่ตกลง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงรับ
ตามหมายกำหนดการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จถึงประมาณ ๑๗ นาฬิกา ทรงเจิมเทียนชัยของสถานีตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๓ ที่กองกำกับการเขต ๙
คือหลังจากทรงศีลแล้วก็ทรงเจิม
หลังจากนั้น อาตมาก็นำเสด็จสู่พระวิหาร ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา กลับลงมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถวายเครื่องไทยทาน
พระสงฆ์ถวายพระพร ถวายอดิเรก แล้วก็เสร็จพิธี
ต่อไปตามกำหนดการเป็นการเยี่ยมเยียนประชาชน แต่ที่ไหนได้ เมื่อทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว พระองค์ก็ทรงพระเมตตามาตรัสถามเรื่องธรรมะ ความจริงที่ท่านถาม
ไม่ได้ถามเรื่องบ้านเมืองกิจการงาน เป็นเรื่องธรรมะ การปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา
พระราชดำรัสที่ตรัสถาม อาตมาเกือบจะจนแต้มหลายหน นี่พูดกันอย่างจริงๆ ของจริงเป็นของจริง เพราะว่าพระปรีชาสามารถที่ตรัสออกมา ทำให้อาตมาคิดว่า
นี่พระองค์ทรงปฏิบัติได้ดีจริงๆ ไม่ใช่ลอกตำรากัน
ในช่วงเวลานั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถกับสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์ ก็เสด็จเข้าเยี่ยมราษฎร แบ่งงานกันทำ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสร็จภารกิจจากการสั่งสนทนากับอาตมาแล้ว ก็เสด็จไปร่วมเยี่ยมเยียนราษฎร คลุกคลีกับราษฎรอย่างกันเอง ประทับนั่งคุย
ราษฎรหลายคนน้ำตาไหลพราก โดยส่วนใหญ่ปลื้มปีติมาก
ในเวลานั้น เลยแจ้งกับเจ้าหน้าที่ไปว่า ราษฏรที่เขามีเงินน้อย น่าจะให้เขาเอาสตางค์ใส่พาน ถ้าเขาอยากถวายพระองค์เท่าไรก็ได้ ดีกว่าซื้อพวงมาลัย
แต่เขาไม่ทำกัน
ความจริงในที่ทุกสถาน ถ้าเจ้าหน้าที่ประกาศว่า ราษฏรคนใดจะถวายพวงมาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัง สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอละก้อ คิดเป็นเงินไปเถอะ แต่ไม่บังคับ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ไม่ต้องใช้พานก็ได้ ใช้มือส่งถวายท่านก็รับ อย่างนี้..จะมีประโยชน์มาก
ทีนี้กลับมาถึงเรื่องที่พระองค์ตรัสถามอยู่ตอนหนึ่งว่า
...ที่หลวงพ่อก็ดี อาจารย์องค์อื่นก็ดี มักจะขู่อยู่เสมอว่า คนที่เจริญสมาธิจะต้องมีศีลบริสุทธิ์ แต่กระผมเห็นว่า
ถึงแม้ว่าศีลไม่บริสุทธิ์ก็เจริญสมาธิได้..?
นี่สิ..บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เห็นน้ำพระทัยของพระองค์ไหม เอาเวลาที่ไหนมาเจริญสมาธิ เหน็ดเหนื่อยทั้งวันทั้งคืน ตอนนี้อาตมาจึงได้ถวายพระพรว่า
คนที่มีศีลบริสุทธิ์ หรือไม่มีศีลบริสุทธิ์ ก็มีสมาธิได้ ฝึกสมาธิได้ แต่ว่าผลย่อมต่างกัน ตอนที่คนที่มีศีลบริสุทธิ์ เขามีผลอย่างคนมีศีลบริสุทธิ์
คนที่มีศีลไม่บริสุทธิ์ ก็มีผลอย่างคนที่มีศีลไม่บริสุทธิ์
แล้วก็ตอนหนึ่งที่พระองค์ตรัสว่า "พระองค์หญิงวิภาวดีมีความปรารถนานิพพาน" อันนี้ถ้าจำพลาดไปก็ต้องขอพระราชทานอภัย แต่คงไม่ผิดตามใจความ
"...พระองค์หญิงวิภาวดีมีความหวังตั้งใจเพื่อนิพพาน เห็นว่าจะเป็นการไกลเกินไป" (หรือยังไงไม่ทราบ หรือว่ายากเกินไป จะมีผลน้อยหรือจะไม่มีผลเลยก็ได้
เป็นความหมาย แต่ว่าพระองค์ไม่ได้ตรัสยาว)
อาตมาก็ได้ถวายพระพรว่า สำหรับคนที่ตั้งใจจริง ย่อมมีผล เป็นของไม่หนักในเรื่องพระนิพพาน
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท พระองค์ตรัสมากกว่านี้ พระองค์ตรัสไปก็ทรงดูอากาศไป ตรัสไป ม.ล.วรวัฒน บอกว่าใช้เวลาทั้งหมด ๓๕ นาที..มืด
เมื่ออากาศสลัวตาก็เปิดไฟฟ้า พระองค์ก็เสด็จลงไปเยี่ยมประชาชน มีคนบางคนเขาบอกว่า อาตมาไปหน่วงเหนี่ยวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขามา
แนะนำว่าอาตมานั่งที่เก้าอี้ พระองค์นั่งคุกเข่าก็ต้องลุกขึ้นยืน
ความจริงไม่พากย์กันไว้เสียก่อนนี่..คนพากย์ เอ๊ย..คนบอกบท ไม่ได้บอกไว้เสียก่อน อยู่ๆ ก็คิดว่าเก้าอี้มีตั้งหลายตัว คิดว่าพระองค์จะประทับบนเก้าอี้
มาถึงปั๊บ..! พระองค์ทรงนั่งคุกเข่าลงข้างหน้า พระวรกายตรง..ตั้งตรง อาตมาก็ตกใจ
เออ..นี่คนชั้นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน มาถึงมานั่งคุกเข่าลงข้างหน้า ไอ้เก้าอี้เขาตั้งให้ก็เฉพาะกันพอดี ยกเท้าขึ้นมาพับเพียบก็ไม่ได้
เลยต้องนั่งห้อยขาคุยกับเจ้าฟ้ามหากษัตริย์
แหม..นึกในใจว่า ไอ้เรานี่มันซวยจริงๆ ถ้ายกขาขึ้นมาทำท่าพับเพียบก็ต้องหล่นแน่ ดีไม่ดีก็ไปทับพระองค์เข้าอีก..."
...เป็นอันว่า วันนั้นตามหมายกำหนดการก็ควรจะเสร็จเวลา ๖ โมงเย็น เมื่อเวลาค่ำแล้ว พระอาทิตย์ตกแล้ว เขาเปิดกระแสไฟฟ้า
พระองค์ก็เสด็จเข้าพลับพลาที่ประทับ ผู้ว่าราชการจังหวัดก็เชิญบุคคลที่จะโดยเสด็จพระราชกุศลมาถวายเงินกี่สิบราย อาตมาจำไม่ได้ รายละ ๕,๐๐๐ บาท
อันนี้น่าจะขอบใจท่านผู้ว่าราชการจังหวัดคนนั้น และขอบคุณในความดีของบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ที่เขาถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล
แล้วก็มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด จัดการเรื่องทะนุบำรุงบริเวณเขตนั้นที่เขาถวายไว้ ทั้งพระ ทั้งวิหาร ทั้งที่ดิน
ถ้ามีอะไรบกพร่องสลายตัวลงไป ต้องซ่อมแซม โดยจะใช้เงินจำนวนนั้นเข้ามาบูรณะปฏิสังขรณ์ หน้าที่ของอาตมาในการที่จะต้องเข้าไปยุ่งกับพระพุทธรูปองค์นี้
ก็หมดไปตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป เพราะมอบหมายการบำรุงรักษาไว้กับเจ้าคณะจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว
องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเวลานั้น ก็ทรงแสดงความเมตตา ถามว่าใครเป็นเจ้าของที่ ท่านก็เรียกผู้ว่าราชการจังหวัด เรียก ร.ต.ต.ชัยณรงค์
เจ้าของที่เข้าไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ไม่ได้ทรงยืนหรือนั่งอยู่เฉยๆ ให้คนเข้าไปหา ทรงเดินออกมาหาเขาด้วย
แหม..แสดงพระองค์วันนั้นเห็นชัด เห็นชัดว่าไม่ได้ทรงถือตัวว่าเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นกันเองกับบรรดาประชากรทั้งหมด
ยังความปลาบปลื้มปีติยินดีให้กับประชาชน
คนที่น้อมเกล้าฯ ถวายของทุกอย่างแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์
วันนั้นว่ากันหมดกระเป๋า มีอะไรก็ถอดถวายกัน ปลื้มใจ..ดีใจ บางคนกราบถวายบังคมทูลด้วย ร้องไห้ไปด้วย น้ำตาไหลไปตาม ๆ กัน ไม่ใช่บางคน..หลายคน !
วันนั้นอาตมาจะต้องเข้าพิธีพุทธาภิเษกที่ กองกำกับการ ตำรวจตระเวนชายแดน เขต ๙ จังหวัดสงขลา ซึ่งมี พ.ต.อ. เจิดจำรัส เป็นผู้นิมนต์ไว้
คิดว่าจะเข้าไปในพิธีประมาณ ๑ หรือ ๒ ทุ่ม กว่าจะออกจากที่นั่นได้
หลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับ เห็นจะเป็นเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม พอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับ ก็มีคนเข้ามาหา ขอน้ำมนต์บ้าง
ขอให้จับศีรษะบ้าง..ว่ากันไป !
ความจริงมันเหนื่อยมาตั้งแต่เช้า ร่างกายก็ไม่ค่อยดี ป่วยด้วย ลูบกันไปคลำกันไป กว่าจะเสร็จพิธีก็เกือบ ๔ ทุ่ม เข้าไปถึงกองกำกับการเขตฯ รถกำลังแน่น
เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องขอทางให้ ไปถึงก็ไปนั่งอ่อนใจหาที่อาบน้ำ กว่าจะเข้าพิธีกับเขาได้ก็นาน
พิธีการวันนั้น ไปนั่งปลุกเสกอยู่พักหนึ่งแล้วก็นอน มันไม่ไหว นอนตื่นขึ้นมาประมาณตีสอง ก็ว่ากันใหม่อีกที เรียกว่าวันนั้นก็เหมา คือปลุกทั้งคืน
แต่ความจริงไม่ได้เต็มคืนหรอก เข้าก็ดึก ดึกมากก็พัก พัก..เช้ามืดตื่นขึ้นมาก็ว่ากันไป..สะดวกดีเหมือนกัน
ขออนุโมทนา
...เป็นอันว่า ชาวสงขลาที่รัก และชาวกระบี่ ชาวภูเก็ต ชาว ตรัง ชาวพังงา ชาวสตูล ชาวปัตตานี ยะลา นราธิวาส โอ๊.. เยอะแยะที่ใกล้ๆ พากันไปที่นั่น
อาตมาขอขอบคุณท่าน การขอบคุณก็น่าจะขอบคุณบรรดาประชาชนทั่วประเทศไทย ที่เมตตาสงเคราะห์อาตมา จะไปทางไหนก็สงเคราะห์ที่นั่น ด้วยจตุปัจจัยบ้าง
โดยเฉพาะในการก่อสร้างวิหารคราวนี้ อาตมามอบภาระในการก่อสร้างให้ หม่อมหลวงวรวัฒน นวรัตน ลูกศิษย์คนสนิท แท้ ๆ นะ ท่านผู้นี้ก็มีคุณอย่างเลิศ
เจ้าหน้าที่การช่างก็แสนจะดี ทำงานทุกอย่างโดยไม่เรียกค่าจ้างรางวัล สำหรับ ม.ล.วรวัฒน นี่ อาตมาให้ฉายาพิเศษว่า ขุนกระบี่ เพราะว่าทำงานดี อ่อนน้อม
แล้วก็การทำงานคล่องตัวมาก
เป็นอันว่า กิจการงานทุกอย่างสำเร็จขึ้นมาได้ เพราะอาศัยความสามัคคีของท่านพุทธบริษัทหลายท่านถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล ในการสร้างวิหารทานคราวนี้
ฝ่ายผู้ว่าราชการจังหวัดบอกว่ามากเกินไป จนกระทั่งแบ่งเอาไว้ถวายในวันหลัง
ที่เห็นกำลังใจศรัทธาของบรรดาพี่น้องชาวสงขลาและหาดใหญ่ มีน้ำใจประกอบไปด้วยความดี คือมีกุศลศรัทธาเป็นกรณีพิเศษ ยากที่เราจะพึงหาได้
เงินทุกบาททุกสตางค์ที่พระองค์ท่านได้ทรงรับไว้ ไม่เคยเอาติดกระเป๋ากลับไป มอบไว้เป็นการบำรุงวิหาร...สวัสดี
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 14
ปักษ์เหนือ - ปักษ์ใต้
โดย หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
ตอน ขอปิดทองที่หน้าแข้งหลวงพ่อแช่ม
...เมื่อตอนที่แล้วท่าน มล.วรวัฒน ได้ฟังหลวงพ่อเล่าเรื่อง "หลวงพ่อแช่ม" ปราบจีนอั้งยี่
ในตอนนี้จะขอนำเรื่องที่หลวงพ่อเล่าไว้เอง ในหนังสือ "ปักษ์เหนือ - ปักษ์ใต้ " มาเสริมไว้ดังนี้
"...เวลา ๑๒ นาฬิกา ๓๐ นาที ออกจากตัวเมืองภูเก็ต วิ่งเลาะลัดไปตามอารมณ์ ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงบังกะโล ภูเก็ตไอแลนด์
ตั้งใจจะไปวัดฉลองก่อน ที่หลวงพ่อแช่มอยู่
พอไปถึงวัดฉลอง รถก็นำเข้าไป เวลานั้นฝนตก ทุกคนตั้งใจบูชา "หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง" หลวงพ่อแช่มวัดฉลองนี่ "หลวงพ่อปานวัดบางนมโค" มีความเคารพมาก
ถือว่าเป็นพระวิเศษ ที่มีความดีเป็นพิเศษจริงๆ ตามประวัติของท่าน หลวงพ่อแช่มถูกปิดทองมาตั้งแต่ยังไม่ตาย
เขาลือกัน หรือข่าวเขาพูดกัน เหตุที่จะเกิดขึ้นแบบนั้นก็เพราะว่ามีชาวจีน ๒ ๓ คน (กี่คนก็ไม่ทราบ) ลงเรืออกไปทางทะเล คงจะไปหาปลา
หรือยังไงก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ถูกลมใหญ่ เรือจะเป็นอันตราย แกก็ตั้งใจ บนใครต่อใครก็ตามลมก็ไม่หยุด แกก็กล่าววาจาว่าขออาราธนาบารมีหลวงพ่อแช่มวัดฉลอง ขอให้ช่วยให้พ้นจากอันตราย
ขอให้ลมร้ายนี้หยุด หยุดไปไม่มีอันตราย
แล้วกลับไปจะปิดทองท่าน ปรากฏว่าลมหยุดพอดี ตอนนี้ซีเป็นเรื่องใหญ่ ตาแป๊ะ ๒ คนกลับเข้ามาแล้วก็พากันเข้ามาปิดทองหลวงพ่อแช่ม
หลวงพ่อแช่มท่านเป็นพระสงฆ์ เวลานั้นท่านยังไม่ตาย เมื่อจะโดนปิดทองแบบนั้นท่านก็ไม่ยอม ท่านบอกว่าไม่ได้หรอก การปิดทองข้านี่ไม่เป็นเรื่อง
แกก็ไปปิดทองพระพุทธรูปซี ใครเขาปิดทองพระสงฆ์
ตาแป๊ะ ๒ คนแกบอกว่าเวลาแกบนให้ลมหยุดน่ะ แกบนหลวงพ่อแช่ม แกไม่ได้บนพระพุทธรูป แกไม่ยอม แกจะปิดให้ได้ ในที่สุดหลวงพ่อแช่มก็ต้องยอมแก ให้ปิดที่หน้าแข้ง
เมื่อปิดแล้วท่านก็เอาน้ำล้างเสีย
ต่อมาใครเป็นอะไรขึ้นมา ป่วยไข้ไม่สบายขึ้นมาหรือเกิดเหตุร้าย ความไม่สบายใจ ความไม่สมใจเกิดขึ้นก็บนหลวงพ่อแช่มปิดทอง
เป็นอันว่าหลวงพ่อแช่มก็ต้องรับในการปิดทองแล้วก็ล้างหน้าแข้งทุกครั้ง จนกระทั่งแข้งท่านจะไม่ค่อยดีนักเพราะถูกปิดทองบ่อยๆ นี่เรื่องของหลวงพ่อแช่ม
เขาเรียกว่าหลวงพ่อแช่มแข้งทอง
หลวงพ่อแช่มปราบจีนฮ่อ
...แล้วต่อมาอีกกาลหนึ่ง ท่านผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่ามีพวกจีนฮ่อขึ้นจังหวัดภูเก็ต มีกำลังมากหลายร้อยคน พอขึ้นมาแล้วก็ทำอันตรายแก่ชาวบ้าน
ยื้อแย่งทรัพย์สินบ้าง ลูกสาวใครสวยๆ ก็ดึงเอาไปเสียบ้าง ลูกเขาเมียใครพวกนี้ไม่ถือ จนกระทั่งบรรดาประชาชนทั้งหลายมีความเดือดร้อนมาก
สมัยนั้น ก็สงสัยเหมือนกันว่าทางการหายไปไหน หรือทางการเห็นว่ายังไม่ร้ายเกินไป คงจะตั้งท่าไว้ตั้งค่ายไว้ที่ไหนก็ไม่ทราบ คอยรับจีนฮ่อ
แต่ว่าคนที่อยู่ใกล้ที่สุดนี่ได้รับความเดือดร้อน ทางการไม่ให้การคุ้มครอง บรรดาประชาชนทั้งหลายก็มาหาหลวงพ่อแช่ม
ว่าจีนฮ่อขึ้นมาคราวนี้มาทำอันตรายทุกที
ไม่ช้ามันก็อาจจะมาเผาบ้านเผาเมืองยื้อแย่งเอาทรัพย์สินไปหมดพวกเราก็อดตาย หลวงพ่อแช่มก็รับอาสาว่าไม่เป็นไร มารวมกันที่วัดให้หมด
เอาผู้หญิงผู้ชายคนทั้งหมดมารวมกัน ท่านก็เสกผ้าแดงให้ ว่าไม่ต้องกลัวมัน
มีอาวุธยุทโธปกรณ์เท่าไหร่เอามารวมกัน ที่นี่ตั้งเป็นฐานทัพมันมารังแกเรา เราต้องสู้ แล้วก็รับรองว่าผ้าแดงที่เสกให้นี่ศัตรูไม่สามารถจะทำอันตรายได้
อยู่ยงคงกระพัน หนังเหนียวฆ่าไม่ตาย แล้วก็ไม่มีอันตรายจากอาวุธ
บรรดาประชาชนก็มีกำลังใจมาก เมื่อชาวบ้านไปรวมกันที่นั่นถึงเวลาที่จีนฮ่อจะมารุกรานชาวบ้าน เวลานี้คงยังจะไมคิดจะเอาเมือง คงจะรุกรานหยั่งกำลังดูก่อน
ดีไม่ดีก็หาวิธีแบบปล้นคนที่สู้ไม่ได้
ทางการคงจะตั้งกำลังไว้ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง เป็นการรับมือกับจีนฮ่อ แต่ว่าปล่อยให้ชาวบ้านรับกรรมไปตามยถากรรม
ตอนนั้นเอง ปรากฏว่ามีคนมารายงานว่าจีนฮ่อขึ้นบกมาอีกแล้ว หลวงพ่อแช่มก็สั่งบรรดาผู้ชายทั้งหลายตั้งฐานทัพเตรียมสู้
แกบอกไว้ก่อนว่าถ้าศัตรูเข้ามายังไม่ใกล้ ฉันยังไม่สั่งยิงก็อย่าเพิ่งยิง
ความจริงไอ้เมืองถลางนี่ก็มีประโยชน์มาก จังหวัดภูเก็ต หรือว่าเกาะภูเก็ต ตอนหนึ่งมีผู้หญิงเป็นแม่ทัพ ตอนนี้มีพระเป็นแม่ทัพ
น่าคิดเหมือนกัน อย่างนี้ควรจะเรียกว่า "พระทัพ" เรียกว่าพระทับใจชาวบ้าน เมื่อคนเขามารายงานบอกว่าข้าศึกเข้ามาใกล้แล้ว
ท่านก็บอกว่า เอ้า..พวกเราตามฉันมา เวลานั้นปรากฏว่าท่านแก่มาก เดินไม่ค่อยไหว ชาวบ้านก็ให้ขึ้นคานหาม หามไปที่หลังวัด
ท่านบอกว่าพวกเธออยู่ข้างหลัง ฉันอยู่ข้างหน้า เป็นผู้บัญชาการทัพ ไม่ต้องกลัวใคร ไม่ต้องกลัวอันตราย ไหนๆ ๆ ข้าศึกมันอยู่ที่ไหน จีนฮ่อมันอยู่ที่ไหน
ชาวบ้านเขาก็ชี้ให้ดูว่าชาวบ้านมันขึ้นมาโน่น มีกำลังประมาณ ๓ ๔ ร้อยคน แต่พวกชาวบ้านที่จะมีกำลังต่อต้านกับจีนฮ่อได้ มีกำลังประมาณร้อยคนเศษๆ
พอท่านเห็นจีนฮ่อ
ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวพวกเรา ล้อมไว้ก่อน อย่าเพิ่งยิง รอฉันก่อน ท่านก็ยกไม้เท้าของท่านกระทุ้งดิน ๓ ครั้ง ว่าคาถาว่า "เตสาติจะ นะ เตสาติจะ" กระทุ้งปั้ก
"เตสาติจะ" กระทุ้งอีกทีหนึ่ง "เตสาติจะ" กระทุ้งอีกที
ท่านอาจจะใช้กำลังใจ ว่าคาถาบทนี้อาจจะเป็นหัวใจอะไรก็ได้ ก็ไม่ทราบ แปลไม่ออก "ศัพท์" กรณีที่แปลไม่ออกเขาถือว่าเป็นหัวใจ พอเอาไม้กระบองกระทุ้งดิน ๓ ที
ปรากฏว่าบรรดาจีนฮ่อทั้งหลายวิ่งหนีตาย แต่ไม่ได้สั่งให้ชาวบ้านกวด บางรายลงเรือไม่ทัน ลงน้ำลงท่าไป มาสืบได้ทีหลัง บอกว่า
เขาเล่ากันว่า จีนฮ่อเห็นว่าเขามากันเต็มไปหมด กองทัพของรัฐบาลมีอาวุธยุทโธปกรณ์มาก มีกำลังสูงกว่า พวกตัวจึงหนีลงเรือ บางคนลงเรือไม่ทันก็ลงน้ำไป
นี่ความดีของหลวงพ่อแช่ม เมื่อผ่านไปก็เลยพาคณะเข้าไปไหว้
ชมมะพร้าวแปลกๆ
...ออกจากนั้น เขาก็ไปชมมะพร้าวที่มีช่องอกออกกลางต้น ก็มีคนไปปิดทองให้ มีตั้งศาลแสดงความเคารพ มีความเคารพดีมาก ถือว่าเป็นการศักดิ์สิทธิ์
บางคนก็มีการถูกหวยกันหลายคน ออกจากนั้นแล้วก็ไปที่ภูเก็ตไอแลนด์ เป็นสถานที่อยู่ชายทะเล แหม เขาสร้างสวยมาก ไปถามท่านเจ้าของที่ว่าเขาสร้างเท่าไร
ท่านบอกว่าที่ดินเป็นที่เก่าไม่ได้ซื้อใหม่ เฉพาะสร้างอาคารสถานที่ทั้งหมดปรากฏว่าหมดไป ๔๐ ล้านเศษ ความจริงเห็นแล้วก็คิดว่าน่าจะมีความสุขใจ
แต่ความจริงไม่มีความสุข เพราะมีหลานคือลูกของลูกชาย เรียกกันว่าเด็กปัญญาอ่อน
แต่ความจริงแบบนั้นมันไม่ใช่ปัญญาอ่อน มีประสาทไม่สมบูรณ์ แกพุดไม่ได้ ร้อง เอ๊ะๆ อ๊ะๆ อายุ ๑๓ ๑๔ ปี แล้วแกก็ยังพูดอะไรไม่ได้ เป็นกฎของกรรม
พอไปถึงที่นั่นแล้ว ท่านเจ้าของก็ถามว่า ไอ้เจ้าเด็กคนนี้มันจะรักษาหายด้วยวิธีใด ?
มองแล้วก็จนใจ เพราะว่าพระที่ไปช่วยสงเคราะห์เธอน่ะ เป็นพระที่มีความสำคัญมาก ในสมัยนี้เป็นพระที่มีชื่อเสียงมาก
บางท่านก็เป็นพระที่อาตมามีความเคารพ เพราะว่าเป็นผู้ทรงพระคุณสูงสุดในพระพุทธศาสนา สำหรับพระสงฆ์ด้วยกัน เรียกว่าทรงคุณอันดับสูงสุด
ประเภทนี้ยังมีอยู่มากในเขตประเทศไทย พอฟังชื่อพระที่ไปสงเคราะห์ก็จนใจ
บอกว่าโยม....อาตมาทำไม่ได้ เกินวิสัยเสียแล้ว ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าพระที่มาทุกองค์ที่บอก เป็นพระที่ทรงคุณธรรมวิเศษทั้งนั้น
เรื่องกฎของกรรมนี่เราแก้กันไม่ได้ แต่ไม่ช้าไม่นานก็จะค่อยๆ เพลาตัวลงไป เพราะเวลานี้ก็ดีขึ้นบ้างแล้ว แกก็บอกยังงั้น
ท่านเจ้าของ ตอนจะกลับถามอีกว่า จะทำต่อไปน่ะจะดีไหม ?
ก็มีความรู้สึกว่า ถ้ามีหุ้นส่วน ระวังจะไม่ดี ถ้าไม่มีหุ้นส่วน กิจการนี้จะดีไปอีกหลายสิบปี หรืออาจจะดีไปนานกว่านั้นก็ได้
คือว่าภูเก็ตไอแลนด์นี่รายได้ดีมาก มีคนไปพักเต็มๆ ทุกวัน สถานที่ไม่พอให้พัก สร้างเพิ่มขึ้นเท่าไรๆ ก็ไม่พอพัก..."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 15
ปักษ์เหนือ - ปักษ์ใต้
โดย หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
ตอน ท้าวเทพกษัตรี ท้าวศรีสุนทร
"...เมื่อออกจากสนามบินแล้ว ก็จะเดินทางไปหาดสุรินทร์ ตอนนี้ ขณะที่นั่งไปในรถ ปรากฏว่าเห็น "อำเภอถลาง"
เขาเขียนว่า อ.ถลาง ก็นึกถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาได้ คำว่าเมืองถลางนี้ (เดิมเขาเรียกกันว่าเมืองถลาง) เคยถูกข้าศึกเข้ามาย่ำยี
เวลานั้นพ่อเมืองหรือว่าเจ้าเมืองเข้ามาเสียในกรุงเทพฯ
ก็มีท่านสุภาพสตรี ๒ ท่าน คือ ท้าวเทพกษัตรี และศรีสุนทร ๒ พี่น้อง แต่งตัวเป็นผู้ชาย ทำงานเป็นแม่ทัพวางแผนปราบปรามข้าศึกจนพ่ายแพ้ไป
นี่พอนึกขึ้นมาแบบนี้ก็คิดว่า เอ๊ะ..นี่เรามาเดินอยู่บนผืนแผ่นดินที่คุณป้าทั้งสองผู้มีพระคุณใหญ่ รักษาผืนแผ่นดินนี่ไว้
ถ้าเวลานั้นเราไม่ได้คุณป้าทั้งสองนี้ก็ยังไม่แน่นักว่า จังหวัดภูเก็ตจะเป็นของเราหรือเป็นของใคร ก็เลยมีความรู้สึกนึกขึ้นมาว่า
เวลานี้คุณป้าทั้งสองไปอยู่ที่ไหน
ถ้าเราพบได้ก็จะดี พอคิดได้เพียงเท่านี้ก็ปรากฏว่าท่านป้าทั้งสองมาปรากฏอยู่ที่ข้างรถพอดี ยกมือไหว้
เห็นรูปร่างหน้าตาของท่านเป็นสมัยที่ท่านปราบทัพหรือเป็นแม่ทัพ
อย่างนี้เขาเรียกว่าแม่ทัพแท้ๆ ไม่ใช่พ่อทัพ สำหรับผู้ชายที่เป็นผู้บัญชาการทัพ ควรจะเรียกว่าพ่อทัพ นี่ผู้หญิงเป็นผู้บัญชาการทัพ ควรจะเรียกว่า "แม่ทัพ"
นี่พูดอย่างคนที่ไม่รู้ภาษาคน
ก็เลยถามคุณป้าทั้งสองว่า เวลานี้อยู่ที่ไหน ?
ท่านบอกว่า ท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ !
ก็เลยถามว่าการสงครามรบทัพจับศึกนี่ ฆ่าคนตายไปสวรรค์ด้วยรึ ?
ท่านยิ้มแล้วก็ย้อนถามว่า ท่านก็เคยเป็นแม่ทัพมา เคยเป็นลูกทัพมา เคยเป็นทหาร เคยฆ่าคนมาเป็นอันมาก แล้วก็เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเป็นอันมาก
ทำไมถึงไม่ลงนรกบ้างล่ะ ก่อนที่จะมาเกิดนี่ น่าจะมาจากนรกนี่
เอาเข้าแล้ว..โดนคุณป้าย้อนเข้าให้แล้ว ก็เลี่ยงว่าไอ้เรื่องนั้นฉันจำไม่ได้ เรื่องก่อนเกิดนี่ฉันไม่รู้ เรื่องของป้าก็เหมือนกัน มันก่อนฉันเกิด
แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง
ไหนคุณป้าลองเล่าให้ฟังซิว่า คุณป้าเองเป็นคนวางนโยบายฆ่าคนเป็นจำนวนมาก แล้วคุณป้าไปดาวดึงส์ได้ยังไง
คุณป้าก็ตอบว่า เรื่องอะไร ฉันทำบาปได้ฉันก็ทำบุญได้ การทำบาปคราวนั้น ฉันพลีชีวิตเลือดเนื้อสติปัญญา กำลังกาย กำลังใจ
ก็เพื่อความสันติสุขของประชาชนส่วนมาก
ฉันไม่ทำเพื่อส่วนตัว เขาจะตั้งฉันเป็นท้าวหรือเป็นบาทาอะไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของพระราชาเป็นผู้ตั้ง
เวลาทำฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น (เอาเข้าแล้ว) เมื่อทำแล้ว ฉันรู้ว่าเป็นบาป ฉันก็เลยทำบุญทำกุศล ทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว เวลาตายแล้วก็ไปสวรรค์
มันจะเป็นอะไรไป
ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม เรื่องนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน เป็นเรื่องที่ผีพูดให้ฟัง เมื่อขณะคุยกันมาก็ปรากฏว่าพบอนุสาวรีย์ของท่านทั้งสอง ก็มองไปที่อนุสาวรีย์
แล้วก็มองรูปโฉมลักษณะของท่าน เวลาที่ท่านคุยด้วยเห็นสภาพคล้ายคลึงกัน
จึงนึกชมในใจว่า คนปั้นภาพนี่ช่างกระไร ช่างเก่งจริงๆ ไม่ทราบว่าภาพถ่ายของท่านมีไว้บ้างหรือเปล่า
ถ้าภาพถ่ายไม่มีไว้ก็แสดงว่าท่านผู้ปั้นมีจินตนาการได้ดีมาก
หรือดีไม่ดีก็ท่านทั้งสอง คือคุณป้าทั้งสองดลใจให้ปั้นภาพได้คล้ายคลึงความเป็นจริงของท่าน คือ รูปจริงๆ ของท่าน คือคล้ายมาก
ที่นี้เมื่อพบป้าทั้งสองก็เลยบอกว่า
คุณป้า..ที่เรียกป้าก็เพราะว่าอายุแก่กว่าแม่หรือว่าแก่กว่าพ่อ เพราะพ่อแม่เวลานี้ไปเทียบกับท่าน ท่านก็อายุหลายร้อยปีแล้ว
ท่านพ่อท่านแม่คงอายุไม่ถึงร้อยปี หรือนับเวลานี้ก็ร้อยปีเศษๆ ไม่เท่าท่าน ก็เลยเรียกท่านว่าป้า
ต่อมา เมื่อรถพาไปถึงหาดสุรินทร์ คลื่นโตอากาศเย็นสบาย สิ่งที่ชอบใจที่สุดก็คือส้วมสะอาด ไปชมหาดสุรินทร์เป็นเวลาสมควร
เวลา ๑๐ นาฬิกา ๔๐ นาที ก็ออกจากหาดสุรินทร์ เดินทางต่อไปเข้าตัวเมืองภูเก็ต ตอนนี้ก็กินข้าว พวกที่ไปด้วยเขากินข้าว อาตมาก็ฉันข้าว
มันก็มีสภาพแบบเดียวกัน.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 16
ปักษ์เหนือ - ปักษ์ใต้
โดย หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
ตอน อดีตเมืองปาฏลีบุตร
...ออกจากภูเก็ตไอแลนด์แล้ว เวลา ๑๔ นาฬิกา ๓๐ นาที ก็เดินทางมาถึงหาดราไวย์ พอถึงหาดราไวย์
บรรดาพวกคณะที่ไปก็เข้าบริโภคอาหารเย็น
อาตมาเองก็เดินเล่นอยู่ที่บังกะโลพิเศษไม่มีฝา เป็นอาคารยาวมุงด้วยจาก สำหรับเลี้ยงอาหารกลางวัน เดินมาเดินไปก็มองเห็นเรือขุดแร่กำลังขุด มีอยู่ ๒ ลำ
ตอนนั้นตอนเย็นมีไฟฟ้าสว่างแล้ว เพราะว่าใกล้ค่ำ เดินไปเดินมาก็มีชายคนหนึ่งมาเดินคู่กันด้วย ก็ถามว่าที่นี่เดิมทีเขาเรียกว่าเมืองอะไร ?
ชายคนนั้นบอกว่า ต้องพูดเป็น ๒ สมัย สมัยหนึ่งเขาเรียกว่า "บูกิ๊ต" ไอ้บูกิ๊ตนี่..เขาแปลว่า "ภูเขา" เป็นภาษาแขก สมัยหนึ่งเขาเรียกว่า
"เมืองปาฏลีบุตร"
พอแกบอกตรงนี้ก็หนักใจ ว่าจะเป็นอุปาทานกระมัง เพราะว่าเมืองปาฏลีบุตรนี่ เราเคยได้ฟังกันว่าอยู่ประเทศอินเดีย
แล้วภายหลังมาอ่านเรื่องของ "พระเจ้าพรหมมหาราช" ตำนานอันหนึ่งที่ใครเขียนไม่ทราบ บอกว่าอยู่ตามลำน้ำเจ้าพระยาตอนใต้ แต่ว่า "พงศาวดารเหนือ"
อยู่ที่ชายมหาสมุทร
ก็เป็นอันว่า "ปาฏลีบุตร" นี้อาจจะอยู่ที่ภูเก็ตก็ได้ เพราะว่าชายมหาสมุทรอินเดีย แล้วก็มาฟังตอนหลังอีกทีหนึ่งเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคมนี่เอง
มีท่านผู้หนึ่งมาบอกว่า ความจริงเมืองปาฏลีบุตรนี่ มันเป็นชื่ออีกเมืองหนึ่งในประเทศอินเดีย ชื่อมันคล้าย คำว่า "ชาวเมืองปา" อพยพมาอยู่ที่นั่น
ก็เลยฟังท่านไว้
หลังจากนั้นแล้วก็กลับออกมา กลับออกจากนี่นั่น เมื่อบรรดาคณะผู้เดินทางบริโภคอาหารเสร็จ เดินทางมาขึ้นเขารัง ดูทิวทัศน์
คือเดินไปเดินมา ก็ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะฝนตกพรำๆ ก็ชมทิวทัศน์ของเมืองภูเก็ต ออกจากนั้นแล้วตามที่หมายกำหนดการบอกว่า จะไปพักที่ภูเก็ตไอแลนด์
คืนนั้นพวกเราไม่ยอมพัก มาพักที่บ้านรับรองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตจังหวัดภูเก็ต รู้สึกว่าสบายดี...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 17
พบกับพระภูมิเจ้าที่
...คืนนั้นพวกเราไม่ยอมพัก มาพักที่บ้านรับรองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตจังหวัดภูเก็ต รู้สึกว่าสบายดี
เวลาตอนกลางคืนก็มีโอกาสสนทนากับเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต รู้สึกว่าทุกคนที่นั่นดีมาก มีอัธยาศัยดี มีจริยาน่ารัก
ความจริงคนไทยเรานี่เป็นคนน่ารักจริงๆ เวลา ๔ ทุ่มหรือ ๕ ทุ่มๆ เศษๆ ไม่ทันดูนาฬิกาดีนัก ก็ลาพักผ่อน
เมื่อพักผ่อนลงไปแล้วก็ปรากฏว่า มีแขกบ้านมาเยี่ยม ท่านแขกบ้านผู้นี้หน้าตาดีมาก รูปร่างสวยสดงดงามแต่งตัวดี มีอารมณ์สดชื่นร่างกายท้วมๆ เนื้อเต็ม ผิวขาว
ถามว่าเป็นอะไร ?
ตอบว่า เป็นภุมเทวดาอยู่ที่นี่
แล้วก็เลยบอกว่า เวลานี้เจ้าหน้าที่ของจังหวัดภูเก็ต องค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิต อยู่ที่ตรงนี้ก็ขอให้สงเคราะห์อนุเคราะห์ด้วย ช่วยรักษาให้ความสุข
ท่านก็เลยบอกว่า ดี..ทุกคนมีความเคารพดีมาก ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีเหตุเกินวิสัย จะช่วยให้มีความสุข ท่านรับรองด้วยดี
ก็เลยถามว่าการที่จะมีบุญมากเป็นเทวดามารักษาที่นี้ได้น่ะ ทำบุญอะไรไว้ ?
ท่านยิ้มแล้วก็บอกว่า จะมาถามผมทำไม ถามผมแบบนี้ผมก็อายแย่ซี
ก็เลยพูดกับท่านว่า จะไปอายทำไมในเมื่อเราสร้างความดี แล้วการเป็นเทวดานี่ เทวดาชั้นเล็กก็ดีกว่ามนุษย์ชั้นใหญ่ๆ เพราะมีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทิพย์
มีความสุขเพราะอาศัยทิพย์สมบัติ
ท่านก็เลยตอบว่า เมื่อเห็นว่าดี ผมก็จะบอก
ท่านก็เลยเล่าว่า ก่อนที่จะตาย ตอนนั้นก็ไม่ได้ทำบุญอะไรใหญ่ แต่ว่ามีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็มีการใส่บาตรบ้าง แล้วก็ฟังเทศน์บ้าง
มีการให้ทานบ้างพอสมควร
แต่ว่ากำลังใจในการทำบุญนี่ รู้สึกว่าเป็นเรื่องของประเพณีๆ เป็นส่วนมาก แต่จิตใจนั้นก็เคารพในพระสงฆ์อยู่ เพราะว่าพระสงฆ์ในสมัยนั้นมีจริยาวัตรดี
อาศัยความดีตามที่ทำนี้
ความจริงแล้วการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา น่าจะเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ว่ากำลังใจในการใส่บาตร ใส่ด้วยความเคารพก็จริง
แต่ว่ามันเป็นประเพณีเสียมาก รักษาตามประเพณีที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายแนะนำ เวลาตายไปก็เลยมาเป็น ภุมมเทวดา ก็เลยบอกว่า ก็ยังดี
เวลาเช้าขึ้นมา เจ้าหน้าที่องค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตก็นำอาหารมาถวาย เมื่อถวายแล้วเขาก็ถามว่า ที่นี่เป็นยังไงบ้างครับ ?
ตอบว่าดีนี่ เทวดาเขาดี ใจดีมาก พวกคุณเคารพเขาอยู่เสมอรึ เห็นเขาบอกว่าพวกคุณเคารพเขาดีนี่ เขาดีใจ
ท่านเจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็บอกว่า ครับ..มีศาลอยู่ตรงโน้น ผมยกศาลเข้าไว้ แล้วทุกคนก็พากันเคารพบูชา ทุกคนก็บอกว่าเทวดาที่นี่รู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์
เป็นที่เคารพของประชาชน
ก็เลยบอกว่าเอายังงี้ก็แล้วกัน พวกคุณก็พากันมีความเคารพนับถือในท่าน กราบไหว้ในท่าน จัดว่าเป็น "เทวตานุสติกรรมฐาน"
การนึกถึงความดีของเทวดานี่ชื่อว่ามีสำคัญ เวลาคนไปไหว้กันละก็อย่าไปใช้ท่านอย่างเดียว บูชาความดีของท่านด้วย
เขาก็ถามว่าบูชาความดีทำยังไง ?
ก็เลยตอบว่า เทวดาทุกองค์ที่จะมาเป็นเทวดานี่ ต้องมีหิริและโอตตัปปะ หิรินี่แปลว่าอายความชั่ว โอตตัปปะนี้เกรงกลัวผลของความชั่วจะลงโทษ คนที่อายความชั่ว
เกรงกลัวผลของความชั่วจึงเกิดเป็นเทวดาได้
เวลาที่คนไปบูชาก็จงบูชาความดีของท่านด้วยว่า เราจะไม่ทำความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เราจะอายความชั่ว ไม่ใช่อายคน อายความประพฤติปฏิบัติที่เราทำ
ถ้ามันเป็นความชั่วเราไม่ทำ เราจะทำแต่ความดีอย่างเดียว เท่านี้เทวดาจะช่วยคุณมาก จะช่วยคุณได้มาก
มีท่านหนึ่งถามว่า ถ้าหากว่าผมจะขอให้ท่านช่วยป้องกันอันตราย คือทรัพย์สินทั้งหลายของหลวง ที่องค์การไฟฟ้ามีอยู่ อาจจะมีขโมยมาขโมย จะช่วยได้ไหม ?
ก็เลยบอกว่าเรื่องนี้อาจจะเกินวิสัยอยู่บ้างก็ได้ เพราะอะไร เพราะว่าเรื่องกฎของกรรม หรือเรื่องของคนทำความชั่วนี่ เทวดากันไม่ค่อยได้เหมือนกัน
เอาอย่างนี้ซี คุณป้องกันด้วย แล้วขอให้เทวดาช่วยด้วย เวลาใครจะมาลักจะมาขโมย ก็ขอให้เทวดาดลใจให้เกิดอาการสงสัยว่าของทั้งหลายอาจจะหายไป
เท่านี้เทวดาก็จะช่วยได้ คือช่วยให้คุณรู้สึกสงสัย เอาอย่างนั้น จะไปเกณฑ์ให้เทวดายืนอยู่ยามตลอดกาลตลอดสมัยมันก็แย่เหมือนกัน
เป็นอันว่าเจ้าหน้าที่รับฟัง...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 18
เรื่องราวของคนไทย สายภาคใต้ (ตอนที่ 1)
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
"...เมื่อฉันอาหารเสร็จแล้วก็ออกเดินทาง เขากะเวลา ๖ นาฬิกา ๓๐ นาที ออกเดินทางจากบังกาโลภูเก็ตไอแลนด์ นี่วันที่ ๘ มิถุนายน
แต่ความจริงพวกเราออกเดินทางจากบ้านรับรองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตภูเก็ต เพราะคืนนั้นไม่ได้พักที่ภูเก็ตไอแลนด์ เห็นคนมากเกินไปไม่สงัด
กำหนดการเดินทาง
เวลา ๗ นาฬิกาฉันอาหารเช้ากันเสร็จ ๗ นาฬิกา ๓๐ นาที ออกจากตัวเมืองภูเก็ตไปจังหวัดพังงา
เวลา ๗ นาฬิกา ๔๕ นาที นี่กำหนดการนะ ถึงโรงไฟฟ้าดีเซลภูเก็ต นี่ยังไม่ได้เข้าพังงา
เวลา ๘ นาฬิกาออกจากโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตภูเก็ต ตอนนั้น ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ เรียกให้เจ้าหน้าที่มาพบหมด อธิบายกิจกรรมต่างๆ ของโรงไฟฟ้าภูเก็ต
ความจริงก็น่าเห็นใจทางราชการ เพราะว่าลงทุนกันมาก
แล้วก็พวกเราเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ได้เห็นใจเจ้าหน้าที่ไฟฟ้า เขาเหนื่อยกันทุกอย่าง บางทีไฟฟ้าดับเดี๋ยวเดียว เราก็นั่งด่าเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าแล้ว
ถ้าหากว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่บ้าง จะรู้สึกว่าหนักใจ ไอ้เครื่องจักรกลทั้งหลายนี่มันไม่ตามใจคน มันเป็นอนิจจังจริงๆ แล้วในที่สุดมันก็พังได้ เป็นอนัตตา
นี่พระพุทธเจ้าว่ายังงั้น
ทีนี้ ๘ นาฬิกา ๑๐ นาที เยี่ยมหมู่บ้านพนักงานคนงานไฟฟ้าฝ่ายผลิตภูเก็ต ตอนเยี่ยมหมู่บ้านนี่รู้สึกว่าทุกท่านมีความเคารพในพระพุทธศาสนาดี
ต้อนรับพวกเราดียิ่ง น่าสรรเสริญ
๘ นาฬิกา ๓๐ นาที ออกจากหมู่บ้านคนงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตภูเก็ต
๑๐ นาฬิกา ถึงท่าเรือศุลกากรอำเภอเมืองพังงา นั่งเรือออกไปชมทะเลพังงา
๑๑ นาฬิกา ถึงที่เขาพิงกัน ฉันอาหารเพลที่เกาะในทะเลพังงา ขากลับไปชมเขาถ้ำลอด และเกาะปันหยี ว่ายังงั้นนะ
เวลา ๑๓ นาฬิกา ๒๐ นาที กลับถึงท่าเรือศุลกากรจังหวัดพังงา
๑๓ นาฬิกา ๓๐ นาที ออกเดินทางไปตัวเมืองพังงา
๑๓ นาฬิกา ๕๐ นาที ไปชมถ้ำฤาษี อ.เมืองพังงา
๑๔ นาฬิกา ออกจากถ้ำฤาษี อ.เมืองพังงา
๑๔ นาฬิกา ๔๕ นาที ถึงโรงไฟฟ้าย่อยพังงา
แล้วก็ ๑๕ นาฬิกา ออกจากสถานีไฟฟ้าย่อยพังงา
๑๕ นาฬิกา ๔๐ นาที แวะชมสระโบกขรณี อ.อ่าวลึก จ.กระบี่
๑๖.๑๐ น. ออกจากสระโบกขรณี อ.อ่าวลึก จ.กระบี่
๑๖.๒๕ น. แวะเยี่ยมสำนักสอนกรรมฐานวัดช่องลม อ.บ่อลึก จ.กระบี่
๑๖.๕๐ น. ออกจากสำนักสอนพระกรรมฐาน อ.บ่อลึก จ.กระบี่
๑๗.๓๐ น. ถึงตัวเมืองกระบี่ แวะเยี่ยม "พระราชสุตกวี" เจ้าคณะจังหวัดกระบี่
แล้วก็ ๑๗.๕๐ น. ออกจากวัดแก้ว คือวัดเจ้าคณะจังหวัด ในตัวเมือง จ.กระบี่
๑๘.๔๐ น. ถึงอาคารรับรองการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จ.กระบี่ แล้วก็พักผ่อน
๑๙.๑๐น. ผู้ติดตาม รับประทานอาหารค่ำที่เรือนรับรอง
๒๐.๐๐ น. ตามหมายกำหนดการบอกเทศน์โปรดชาวเมืองกระบี่ สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น ท่านว่ายังงั้น
เสร็จแล้วเวลา ๒๓ น.เศษ อาตมาไปพักที่บ้านประจำของท่าน ม.ล.วรวัฒน์ นี่ร่ายเวทย์มาเสียนาน
ภูเก็ต-ตะกั่วป่า-พังงา-กระบี่
...เมื่อเวลาตอนเช้าฉันอาหารเสร็จก็พากันออกจากโรงไฟฟ้า บ้านรับรองของจังหวัดภูเก็ต ออกจากสถานที่นั้นแล้วก็พากันเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต
โรงจักรการไฟฟ้าฝ่ายผลิตของจังหวัดภูเก็ต
ชมแล้วท่าน ม.ล.วรวัฒน์ ก็ให้ทำอะไรต่ออะไรฝากฝังต่างๆ นี่เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนา
แล้วบางท่านก็มีความเคารพในผีสางเทวดาต่างๆ นี่เป็นกฎธรรมดาของคน เมื่อเสร็จจากการเยี่ยมเยียนแล้วก็เดินทางออกมาจากภูเก็ตข้ามมาที่ตะกั่วป่า
(เมื่อข้ามสะพานสารสินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอถึง อ.ตะกั่วป่า ก็มีความรู้สึกกระทบใจขึ้นมา ว่าไอ้สถานที่นี้นี่มันมีอะไรๆ อยู่สักอย่าง
มันเกิดการสะดุดใจว่า ดินแดนแถบนี้นี่เดิมทีเดียวก่อนพุทธกาล อาจมีคนไทยมาอยู่ก็ได้ แล้วก็มีคนหลายเผ่าหลายพันธุ์ด้วยกัน)
เมื่อออกจากตัวเมืองภูเก็ตมาถึงตะกั่วป่าแล้ว และเดินทางมาถึงท่าเรือศุลกากรพังงา นี่ความจริงสมัยก่อนน่ะก็เป็นจังหวัดพังงา
เวลานี้เห็นท่าจะขึ้นกับกระบี่ มาถึงท่าเรือศุลกากร ก็ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจัดอาหารการบริโภคมาคอยอยู่แล้ว
เวลาประมาณ ๑๐ น. เจ้าหน้าที่ก็จัดเรือหางยาวขนาดใหญ่ใช้เครื่องรถยนต์พาออกวิ่งไป คือวิ่งออกไปในทะเล ตั้งใจจะไปชมทะเลกัน อีตอนนี้ก็ดีเหมือนกันว่าจะชมทะเล
ขณะที่เรือวิ่งไปก็รู้สึกว่าไม่ค่อยสนุกนักหรอก (ความจริงก็สนุกดี)
เพราะอะไร...เพราะว่าน้ำมันกระเซ็นเข้ามาเปียกปอนไปตามๆ กัน ต้องเอาผ้าใบหรือผ้าพลาสติกกันเข้าไว้ ร่มก็กันไม่ไหว ลมก็แรง วิ่งไปเลาะลัดตัดภูเขาไปในลำน้ำ
สองข้างทางก็รู้สึกว่ามีความสวยสดงดงาม.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 19
เรื่องราวของคนไทย สายภาคใต้ (ตอนที่ 2)
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
ภูเก็ต - พังงา
"...ตานี้พอวิ่งๆ ไปก็ไปถึงเขาทอย เขาทอยนี้ความจริงประวัติจริงๆ ไม่มี แต่มีเรื่องที่เกี่ยวกับ "พระรถและเมรี" มีนางเมรีติดตามกันแต่สมัยโน้น
เรื่องนี้ถ้าจะดูกันจริงๆ มันย่อมมีไปตั้งแต่ประจวบคีรีขันธ์ ที่เขาเรียกว่าถ้ำเขาม้าร้อง พระรถมาพักอยู่ตรงนั้นแล้วม้าก็ร้อง
แล้วก็ย่องไปโน่นไปพบเอาที่พังงาอีก
นางเมรีตามไปโน่น ไอ้เขาทอยนี่เป็นเขาที่พระรถโปรยยาลงไปเป็นภูเขากั้น กั้นไม่ให้นางเมรีตาม มันก็เรื่องเห็นท่าจะโกหก
นี่ไม่จริง จริงหรือไม่จริงก็เกิดไม่ทัน เขาว่ายังงั้นก็ว่ากันไป เวลานี้ก็เลยมีคนเขียนรูปปลาเข้าไว้ที่ถ้ำนั้น เรียกว่าคาถาของนางเมรี
และคาถาของนางยักษิณีที่เป็นแม่เลี้ยงของพระรถ
ปรากฏว่าเป็นคาถาอะไร เรียกปลาได้ เอ๊ะ...นี่มันจะคนละเรื่องละมั้ง จะปาไปเรื่องสังข์ทองมันจะยุ่งจะเกะกะกันใหญ่ ไอ้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงหรอก
ก็ว่ากันไป
นั่งเรือไปถึงเขาพิงกัน เขาพิงกันนี่น่ะไอ้เขาลูกหนึ่งกับอีกลูกหนึ่งมันแปะกันลงไป มันจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติแบบนั้นหรือไม่ใช่ก็ไม่ทราบ ลมก็แรงจัด มีน้ำใส
คณะของเราขึ้นไปจัดอาหารเพลกินกันแล้วก็เลี้ยงกัน ตอนนี้รู้สึกว่าอีนุงตุงถุงกันดีเหมือนกัน
ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะต้องหาถ้ำบังลมกัน เมื่อบริโภคอาหารเสร็จก็เดินไป เดินมา แล้วก็เดินมาเดินไปกัน เนื้อที่มันมีอยู่นิดเดียวไม่รู้จะไปทางไหน
มีถ้ำก็ลอดกันไปลอดกันมา เข้าถ้ำโน้นออกถ้ำนี้มีที่บริเวณไม่มาก
ขณะไปหาที่นั่งเงียบๆ ทำตัวเป็นฤาษีก็เลยมีคนมาเล่าประวัติให้ฟัง ว่าไอ้เขาลูกนี้มันมีประวัติเหมือนกัน แต่ว่าเป็นนิยาย
ท่านผู้อ่านหรือท่านผู้ฟังอย่าย่องไปเชื่อเข้า จะไม่เป็นเรื่อง เป็นนิยายเขาบอกว่าอีตาอะไรก็ไม่รู้ ลืมชื่อเสียแล้ว
แกอยู่อำเภอตะกั่วป่า แกทำมาหากินดีมาก ข้าวปลาอาหารแกได้เยอะแยะทุกปี แต่ปรากฏว่ามีปีหนึ่ง มีช้างตัวใหญ่
ไปยกฉางของแกเทข้าวทิ้งหมดแล้วก็ลุยเสียจนแหลกไปแหลกมา
อีตานี่แกโมโหขึ้นมา แกบอกว่า ไอ้เจ้าช้างนี่มันวิเศษแค่ไหน ดีละมันแกล้งเราได้เราก็จัดการกับมันได้
ตานี้ตอนเช้าขึ้นมากินข้าวดีแล้วแกก็ลับหอกเสียจนคม ตั้งใจว่าถ้าเจอะช้างเมื่อไร ไม่ว่าช้างตัวไหนทั้งหมด ถ้าเป็นช้างจะจัดการฆ่าให้ตายให้หมด ตามตำนาน
แกลากหอกของแกไปตอนเช้าตระเวนหาช้าง
ไอ้เจ้าหอกนี่หามไปน่ะ ด้ามหอกไปปะทะยอดเขาอะไรไม่ทราบ ไอ้ยอดเขานั่นเลยขาด เขามีชื่อเหมือนกัน แต่ลืมแล้วลืมไป ลืมว่ามันชื่ออะไร
ต่อมาแกก็ไปพบช้างใหญ่ตัวนั้น ช้างตัวอื่นแกไม่พบ แกก็โดดเข้าทิ่มแทงช้างฆ่าช้างจนตาย เมื่อฆ่าช้างจนตายแล้วแกก็เอางา ๒ กิ่งไปปักไว้ที่ตรงนั้น
เขาเรียกว่าเขางาพิง
เป็นอันว่าเขา ๒ ลูกนั่นไม่ใช่อะไรหรอก เป็นงาช้างที่อีตาคนนั้นแกฆ่า ลืมชื่อแก นี่มีคนเขาคุยให้ฟัง เลยถามแกว่า นี่มันเป็นความจริงรึ
ไอ้เรื่องที่มาคุยให้ฟัง ไอ้งาช้างอะไรมันโตขนาดนี้ แล้วหอกอีตาคนนั้นมันใหญ่ขนาดไหน ไปปัดเอาภูเขาพังนี่มันเชื่อไม่ได้ เขาเล่าให้ฟังแล้วเขาก็หัวเราะ
บอกว่านี่เรื่องเล่าสู่กันฟัง จะเอาจริงเอาจังอะไรกับเรื่องพรรค์นี้ ก็ดีเหมือนกัน
นั่งๆ ไปก็มองเห็นเขาลูกหนึ่ง หินอันหนึ่งคล้ายๆ กับไม้ตีพริก มันปักอยู่ในน้ำข้างหน้าระยะใกล้ๆ มีสภาพเหมือนไม้ตีพริก ก็นึกในใจว่า
ควรสมมติเรื่องขึ้นสักเรื่องว่าคนแถวนี้
ย้อนประวัติศาสตร์ไทย
...เดิมทีพื้นที่แถวนี้มันเป็นพื้นที่พื้นดิน ไม่ใช่ทะเล แล้วก็มีคน ๒ กลุ่ม คือบ้าน ๒ หมู่ ๒ กลุ่มใกล้ๆ กัน แต่ไอ้คน ๒ กลุ่มนี้ กลุ่มหนึ่งเป็นคนไทย
ไทยหรือไม่ใช่ไทยก็ช่าง ต่างคนต่างเป็นไทแก่กัน หมายความว่าไม่ขึ้นแก่กัน เมื่อไม่ขึ้นแก่กันมันก็เลยไม่ถูกกัน
ตานี้ก็มีคนๆ หนึ่ง ในกลุ่ม ๒ กลุ่มนี้เขาถือว่า ถ้าใครเสียทีกัน ก็ต้องเป็นผู้แพ้ วิธีเสียทีกัน จะตีกันถึงเจ็บตัวก็ตาม เอาของมาได้ก็ตาม ถือว่าเป็นผู้แพ้
หาทางแก้ ก็เลยสมมติตัวบุคคลขึ้นมา คือ ใช้ให้พระยามัสสุสิงหนาทเป็นตัวละครเอก
ว่าในสมัยนั้นเจ้าคุณมัสสุสิงหนาทคนนี้เป็นคนซอกแซก เป็นคนอวดเก่งแล้วก็เป็นคนอยากจะเก่ง แกเป็นชายหนุ่มรุ่นกระทง อายุ ๑๘ ๑๙ ปี
วันหนึ่งหาทางจะเอาเปรียบคนหมู่เกาะปันหยีให้ได้ เรียกว่าเขานี้เป็นเขาพิงหรือ "เขางาพิง"
อีกหมู่เกาะหนึ่งเป็น หมู่เกาะปันหยี แกก็ย่องๆ เข้าไปในบ้านเขา ไปขโมยของดี คือปลาแห้งมาได้ ไม่ว่าอะไรสักชิ้นหนึ่งพอเสียท่า เขาว่าเป็นผู้แพ้
พอดีแกวิ่งแต้ ออกมา หลบคนออกมา แม่ครัวเห็นเข้าก็เลยคว้าไม้ตีพริกขว้างปังออกมา
แกวิ่งหนีออกมา ไอ้ไม้ตีพริกมันไปชนเขาทะลุออกมาแล้วก็ปักจึ๊กอยู่ตรงนั้น เป็นสักขีพยานว่า นี่ไปขโมยปลาแห้งของแกมาได้ก็จริงแหล่
แต่แกสามารถขว้างไม้ตีพริกมาปักอยู่ตรงนั้นเป็นสัญลักษณ์ เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหกไม่ใช่เรื่องจริง ไปนึกมันขึ้นมาก็พูดมันส่ง
เขาอยากมีนิยายนี่ก็มีมันมั่งจะเป็นไรไป
เมื่อออกจากเขาอิงกัน เขาเรียกว่า "เขาพิงกัน" ตามนิทานที่อีตาคนนั้นเล่า กลับมาก็ลอดเขาทะลุ ออกมาก็ขึ้นเกาะปันหยี
เกาะนี้มีโรงเรียนใหญ่ ดูสะอาดสะอ้านดี ไม่มีฝุ่น เพราะอะไร เพราะตั้งอยู่กลางน้ำ มันจะมีฝุ่นได้ยังไง ตั้งอยู่กลางน้ำ ถ้าขืนมีฝุ่นก็ซวย
เขามีของขายสวยๆ
ส่วนมากก็เป็นพวกหอย แล้วส่วนมากก็มีสาวๆ น้อยๆ ส่วนใหญ่อายุราวๆ ๕๐ ปี เป็นชาวอะไร ปันหยีก็บอกชื่ออยู่แล้วนี่ว่าไม่ใช่ไทย แต่ก็เป็นคนไทย
เชื่อสายแขกแกกำลังโขลกกะปิ ไม่ได้ใส่เสื้อ
ไอ้ถุงที่หน้าอกแกก็หย่อนยานมากฟัดกันไปฟัดกันมา มองแล้วก็น่าดูเหมือนกัน เดินเที่ยวกันไปเที่ยวกันมาเกาะเล็กเท่านั้น
มีสะพานยาวหมดเวลาครู่เดียวประเดี๋ยวเดียว แต่ก็อยู่กันนานเหมือนกัน ถ่ายภาพกันที่นั่น ใครบ้างก็ไม่ทราบรวมกันถ่ายภาพ ติดโรงเรียนติดเขา..ติดเกาะ
เวลาจะลงขากลับ ปรากฏว่า "คุณเสริม" แสดงปาฏิหาริย์ พอลงเรือปั๊บ แกก็ถลาลงไปชนคุณอ๋อย นั่งปุ๊บลงไปพอดี อย่างนี้เขาไม่เรียกพลาด เขาเรียกแสดงปาฏิหาริย์
แสดงอำนาจให้ดู ไอ้การลงเรือเรียบๆ นี่น่ะไม่จำเป็น ลงปั๊บทำท่าถลำปั๊บ นุ่งปุ๊บใช้ได้
เมื่อเรือทั้งสองลำออกเดินทาง ขากลับปรากฏว่าเรือที่อาตมานั่งชนไม้ที่ลอยมาระหว่างทางทะลุ แต่ก็ไม่มีอันตราย ในที่สุดก็กลับขึ้นมาได้ ถึงท่าศุลกากรของพังงา
เมื่อกลับขึ้นไปท่าศุลกากรของพังงาแล้วก็ออกเดินทาง ออกเดินทางไปชมถ้ำฤาษี
ความจริงถ้ำนี้มีฤาษีจริงๆ ฤาษีองค์นี้นั่งสงบสงัดมาก บริเวณสวยมากเยือกเย็นสบาย น่าเป็นสถานที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน หรือสมถกรรมฐาน เป็นที่สงัด
นี่ถ้าวัดอยู่ใกล้ๆ ก็ย่องไปอยู่ตรงนี้แน่ เสียดายอยู่ไกลเกินไป ท่านฤาษีองค์นี้ท่านดีมาก มีขันติจริงๆ ใครจะไปจับตัวท่านเขย่า จะไปว่ายังไงๆ ท่านๆ
ก็ไม่ว่าทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าเป็น ฤาษีปั้นด้วยปูน
ออกจาก "ถ้ำฤาษี" เมืองพังงาแล้วก็ถึงโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิตย่อย เมืองพังงา พวกเราก็เข้าไปพักกันที่นั่น
บังเอิญไปพบคนอุทัยเข้าคนหนึ่งมาเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ที่นั่นรู้จักกับ "คุณนนทา อนันตวงษ์" ดี อาศัยที่ตรงนั้นอุจจาระปัสสาวะกันตามสะดวก
เรื่องนี้มันยุ่งมาก
ออกจากที่ตรงนั้นแล้ว เวลา ๑๕ นาฬิกา ๔๐ นาที ก็แวะชม สระโบกขรณี อ.บ่อลึก จ.กระบี่ สระโบกขรณีก็เหมือนบ่อน้ำ อ่างน้ำธรรมดาๆ
เวลา ๑๖ นาฬิกา ออกจากที่นั่น
เวลา ๑๖.๒๕ น. แวะเยี่ยมสำนักสอนพระกรรมฐานวัดช่องลม อ.บ่อลึก เมืองกระบี่ การเยี่ยมคำนับแบบนี้มันก็เดินกันไปเดินกันมา เยี่ยมสถานที่นี่ ไม่ใช่เยี่ยมคน
เวลา ๑๖.๕๐ น. ออกจากสำนักสอนพระกรรมฐาน
๑๗.๓๐ น. ถึงตัวเมืองกระบี่ แวะเยี่ยมท่านเจ้าคณะจังหวัด พระราชสุตกวี องค์นี้ดีมาก อายุ ๘๐ กว่าน่ารัก มีจริยาน่ารักมาก เป็นพระที่น่าเคารพ
ท่านบอกว่าท่านเป็นสหชาติ คือเกิดพร้อมกับรัชกาลที่ ๗ แล้วก็รัชกาลที่ ๗ ถวายพัดสหชาติเข้าไว้ในสมัยเสวยราชสมบัติใหม่ๆ
องค์นี้ลีลาเป็นพระที่ควรเคารพนับถือที่สุด แล้วก็เป็นพระที่คิดว่าจะเป็นพระ
พระหลายๆ องค์บางทีเรามองแล้วคิดว่าไม่ใช่พระ ชื่อน่ะเป็นพระ จริยาไม่ใช่พระ แต่องค์นี้มองแล้วน่ารัก จริยาควรนับเป็นพระ เมื่อสนทนากันพอสมควร
ก็ออกเดินทางต่อไป
เวลา ๑๗.๕๐ น. ออกจากวัดของท่านเข้าตัวเมืองจังหวัดกระบี่
เวลา ๑๘.๔๐ น. ถึงเรือนรับรอง แหม..เรือนรับรองเขาสวยมาก เป็นที่อยู่น่าสุขน่าสบาย มีต้นไม้มีร่มไม้รื่นรมย์ สวยน่ารักจริงๆ เรือนรับรองหลังนี้ดีมาก
เวลา ๑๙.๐๐ น. ผู้ติดตามรับประทานอาหารที่เรือนรับรอง อาตมาก็ไปพักที่บ้านพักของท่าน ม.ล.วรวัฒน์
หลังจากนั้น ๒๐.๐๐ น. ก็มาคุยธัมมะธัมโมกับชาวบ้านแถวนั้น กับเจ้าหน้าที่ ความจริงมันน่าจะคุยกัน แต่เขาให้พูดแบบเทศน์ อันนี้มันไม่เกิดประโยชน์
ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าพูดแบบเทศน์นี่มันพูดคนเดียว มันหาประโยชน์ได้ยากจริงๆ ถ้าพูดแบบคุยกันอันนี้มีประโยชน์มาก
คืนแรกก็พูดคนเดียว พอคืนที่ ๒ ปรากฏว่า อ้อ..แล้วก็มีพระท่านมาฟังด้วย มีท่านเจ้าคณะอำเภอ ท่านเจ้าคณะตำบล แล้วก็พระอื่น ท่านคงอยากจะมาดู
เพราะเขาลือกันว่าหลวงตาองค์นี้เป็นนักสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน คุยกันไป ก็มีพระถามบ้างก็รู้สึกว่าไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว
เป็นอันว่าผลที่จะพึงได้เข้าใจว่าไม่มี เพราะอะไร เพราะว่าทุกคนที่มา มาดูกันมากกว่ามาฟัง ถึงแม้ว่าจะฟังก็คงไม่ได้เรื่อง
เพราะพูดคนเดียวนี่จะให้ถูกใจคนไม่ได้ ไอ้พูดคนเดียวก็พูดกันไปแบบนั้นแหละ มันก็เลอะเทอะไป ไม่ใช่ลีลาตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดง
ตานี้ มาเวลากลางคืน เมื่อคุยกันแล้วก็กลับไปนอนที่บ้านพักของท่าน ม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์ ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์ ท่านไม่ได้นำครอบครัวไปอยู่ที่นั่น
ท่านให้ครอบครัวของท่านที่อยู่กรุงเทพฯ เป็นอันว่านอนสบาย หลับสนิท เสียงรบกวนก็ไม่มี.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 20
เรื่องราวของคนไทย สายภาคใต้ (ตอนที่ 3)
สมัยพระเจ้าพรหมมหาราช
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
"...แต่ว่าตอนก่อนที่จะหลับก็ปรากฏว่าเกิดภาพคนๆ หนึ่ง ความจริงน่ะหลายคน..เยอะเชียว ถ้าพูดถึงตัวเด็กๆ นับปริมาณเป็นร้อยเป็นพัน
เกลื่อนกลาดไปหมด
แต่คนที่ปรากฏว่าเข้าถึงตัวใกล้ชิดนั่นก็คือ เป็นผู้ชายมีอายุมากแล้ว รูปร่างผอมๆ ใส่เสื้อราชปะแตน นุ่งผ้าม่วง แล้วก็สวมรองเท้ามารายงานตัวว่า
ผมเป็นคนไทยในสมัย "พระเจ้าพรหมมหาราช" ชื่อว่าเป็นพ่อเมืองที่นี่
ก็เลยถามว่า นี่..ถามจริงๆ เถอะ สมัยนั้นน่ะ เป็นขุนกบี่หรือเปล่า?
คำว่า "ขุนกบี่" นี่แปลว่าลิง กบี่เขาแปลว่าลิง เขาว่ายังงั้น หรือว่าจะเป็นดาบชนิดหนึ่งที่เขาใช้ในการรบ หรือว่าใช้เป็นเครื่องประดับเกียรติของนายทหาร
อันนี้ก็ได้ แต่ว่าอาตมาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น กบี่ในที่นี้ หมายความว่า "ลิง"
แกก็ยิ้ม แกบอกว่าไม่ใช่หรอก ไอ้คำว่า "กบี่" แปลว่าลิง แกไม่ใช่ลิง แกเป็นคน แกว่ายังงั้น
ก็เลยถามว่า เป็นคนสมัยนั้นน่ะ เคยมีประโยชน์แก่ประเทศชาติ หรือบรรดาประชาชนยังไงบ้าง?
แกก็บอกว่ามี ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเคยเป็นคนไทยอยู่ที่นี่
ถามว่าเป็นชาวเมืองไหนล่ะ?
แกก็เลยบอกว่าเป็นชาวเมืองปา
เอาแล้ว ถามว่า เมืองปานี่..ที่เคยอยู่ที่เมืองจีนนั่นใช่ไหม?
แกก็บอกว่าใช่่
แล้วก็มีมาที่นี่ได้ยังไง?
ชาวเมืองปา
...แกบอกว่าสมัยโน้น ก่อนพุทธกาลนานประมาณสัก ๒ ๓ พันปี แกบอก ๓ พันปีเศษนี่ คนไทยก็ถูกอาเฮียแกรบกวน เรียกว่าถูกรบกวนหนัก
ไอ้ที่แกรบกวนก็เพราะเรามีความเมตตาปรานี เราตั้งกลุ่มกันขึ้นก่อน เรามีความเจริญก่อน แล้วต่อมาแกก็มาอาศัยที่อยู่ด้วย
ในเมื่อแกมาอาศัยที่อยู่ด้วย พวกนี้แกเป็นคนฉลาดเป็นคนขยัน หนักๆ เข้าพอแกมีแรงเข้า พวกแกมากเข้า แกก็ไล่เตะพวกเราลงมา
รบกวนเข้า พวกเราทนไม่ไหว ก็เลื่อนลงมาทางใต้เรื่อยๆ ลงมา เลื่อนลงมาที่ไหนก็ตาม แกก็ตามมาอาศัยที่นั่น พวกเราก็เป็นคนใจดี สงเคราะห์แกทีไร แกก็เนรคุณทุกที
ท่านก็เลยบอกว่า ไอ้พวกนี้คบยาก ไอ้ปากน่ะดีอยู่เสมอ ถือว่าเป็นพวกเราอยู่ตลอดเวลา แต่เอาจริงเอาจังเข้า แกก็เนรคุณเสียทุกที
พอถามท่านว่า สมัยของที่นี้ เป็นสมัยต้นหรือ?
แกก็บอกว่าไม่ใช่หรอก..!
นี่พูดถึงว่าคนไทยที่มาในสมัยนี้ตั้งแต่ตอนต้น หรือว่าชาวเมืองปานี่เขาลงมาเรื่อย ลงมาจากจีนเข้ารัฐฉานออกมาทางพม่า ออกทางมะริด ทวาย
มะริดทางนี้ใกล้ทางลงมา เวลาลงมาจริงๆ ก็มาจับจุดตั้งแต่ใต้เพชรบุรีลงมา ตั้งแต่กุยบุรี..นี่เป็นชาวเมืองปา
อีกพวกหนึ่ง (คือไทยเรามี ๓ กลุ่มด้วยกัน) เขาเข้ามาทางเหนือของประเทศไทย ไปญวนบ้าง เข้ามาทางอินเดียนี่ แล้วก็ไปทางญวนบ้าง แล้วมาทางรัฐฉานนี่บ้าง
ทางพม่าแล้วก็ลงมาในเขตไทย
สมัยของพระเจ้าพรหมมหาราช
...นี่ลงมาเป็น ๒ สายด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเมืองปาลงมาตั้งอยู่ใต้จังหวัดเพชรบุรีลงมา ก็เลยถามว่า แล้วก็ตัวท่านเองล่ะ เป็นคนสมัยไหน?
ตอบว่าเป็นสมัยของพระเจ้าพรหมมหาราช เวลานั้นพระเจ้าพรหมมหาราชมีอำนาจขึ้น แล้วก็ติดต่อกันโดยทางพ่อค้าเป็นสื่อ
พ่อค้าเกวียนทั้งหลายก็ดี พ่อค้าเรือทั้งหลายก็ดี มีการค้าติดต่อกัน แล้วก็ส่งข่าวกันว่าคนไทยอยู่ที่ไหนบ้าง
เมื่อรู้ข่าวว่าคนไทยอยู่ที่ไหนบ้างก็ติดต่อกันมา
พระเจ้าพรหมมหาราชก็เสด็จมา แล้วแนะนำว่าคนไทยทั้งหมดถ้าปรากฏว่าใครเป็นหัวหน้าเผ่า ให้ตั้งชื่อหัวหน้าเผ่าว่า "พรหม" เหมือนกัน ให้ใช้ว่าพรหมเหมือนกัน
ก็ถามว่าพ่อเมืองกระบี่นี่ ชื่อจริงๆ ชื่อว่าอะไร?
แกชื่อว่า ล่อเหม็ง สมัยก่อนโน้นนะ ยังไม่ใช่พระเจ้าพรหมมหาราช ยังเป็นรุ่นก่อน ชื่อว่า ล่อเหม็ง
แล้วถามว่าตั้งเมืองอยู่ไหนบ้างล่ะ?
แกบอกว่าตั้งที่เมืองภูเก็ต ตะกั่วป่าอยู่จุดหนึ่ง แล้วพวกเมืองกระบี่นี่ มีอาณาเขต พังงากับกระบี่ เขตยาวแค่นี้มันก็ไม่ไกล มีหัวหน้าชื่อว่า ล่อเหม็ง
ตานี้..อีกเมืองหนึ่งคือเมืองตะกั่วป่ากับภูเก็ต นี่พ่อเมืองชื่อว่า ล่อเปา เมืองนี้เรียกว่าเมืองปาวีก็ได้ หรือว่า "ปาฏลีบุตร" ก็ได้
ท่านว่ายังงั้น บางทีเรียกว่า "เมืองปาวี" บางทีเรียกว่า "ปาฏลีบุตร" ก็ไปตรงกับอีตาคนนั้นบอก บอกว่าชื่อเมืองปาฏลีบุตรที่ภูเก็ต
นี่เขามีภูมิประเทศติดต่อกับตะกั่วป่าและภูเก็ต เป็นเขตหนึ่ง เป็นเขตไทย
ทีนี้อีกเขตหนึ่ง พ่อเมืองชื่อว่า เฉวี ที่พูดว่าพ่อเมืองคนแรก เป็นหัวหน้ากลุ่มนะ เขาเรียกว่าพ่อเมืองเฉวี คนแรก ชื่อว่า ล่อก๊กฉิม คือเมืองกุยบุรี
เมืองกุยบุรีนี่ทีแรกชื่อว่า "เมืองเฉวี" แกคุยให้ฟัง
ตั้งชื่อ "พรหม" นำหน้า
...ถามว่า แล้วในสมัยแก สมัยก่อนโน้นน่ะปกครองกันยังไง?
เขาบอกว่าอยู่เป็นกลุ่มๆ เรื่องนี้จะเล่าให้ฟังทีหลัง เพราะว่ามาพบเรื่องราว สมัยที่พักที่หัวหิน ตอนกลับมาจากสายนี้แล้ว
แกบอกว่าตัวของแกเองนี่น่ะ เคยนำทัพเข้าประหัตประหารกับข้าศึก ไอ้เมืองที่ตั้งอยู่ที่นี่ ที่เรียกว่าเมืองกระบี่ๆ นี่..ต่อมาพระเจ้าพรหมมหาราชมาให้นามว่า
พรหมจักร
แล้วพ่อเมืองปาวี ที่คุมตะกั่วป่ากับภูเก็ต ให้ชื่อว่า พรหมมณี นี่ให้ชื่อว่าพรหมเหมือนกัน ก็เป็นคนไทย
พ่อเมืองเฉวีหรือว่าอะไร ตอนเปลี่ยนชื่อใหม่ ให้นามว่า พรหมภักดี นี่ท่านว่ายังงั้น
จำได้ตะกุกตะกัก ถามว่าสมัยที่ท่านเองเป็นพรหมจักรใช้กำลังยังไงบ้าง
ท่านบอกว่า ไอ้การที่จะใช้กำลังเข้าประหัตประหารเขา เราก็ใช้นโยบายเข้าเป็นลูกเขยของผู้มีอำนาจในการปกครองเขต แล้วก็เข้ารวมกลุ่มกัน
เป็นบุคคลประเภทเดียวกัน
ต่อสู้กับ "ชนพื้นเมือง" เจ้าของถิ่น
..แล้วต่อมาไอ้เจ้าคนพวกนี้นี่ ชาวป่าพวกนี้นี่เกเร เขาเรียกว่า "ชาวป่า" มันไม่มีศีลธรรมหรือวัฒนธรรมอะไร
มันก็ตั้งใจข่มเหงพวกเราซึ่งเป็นคนน้อยกว่า ท่านก็เลยคิดว่า เวลานี้เรามาถึงกลางใจเมืองได้แล้ว มีส่วนในการปกครอง
ก็เลยตั้งท่าปราบปรามเจ้าพวกนี้อย่างหนัก หาว่ามันเป็นกบฏ คิดคดทรยศ ตอนนี้เองเผ่าไทยร่วมกันไล่ฆ่าฟันพวกนั้นอย่างหนัก
ฉะนั้นเขตเมืองกระบี่นี่จึงให้นามว่า สุสานประเทศ คำว่า "สุสานประเทศ" ก็หมายความว่าเป็นประเทศป่าช้า ไม่ได้ความอะไร
ตอนเช้าก็เล่าให้ ม.ล.วรวัฒน์ ทราบ ว่าเรื่องราวจากผีท่านมาเล่าให้ฟังแบบนี้ ความจริงคืนนั้นก็มีมากท่านด้วยกันที่มา
ตานี้จะคุยให้หมดทุกเรื่องมันก็จำไม่ได้
แต่ความจริงสมุดที่บันทึกไว้ก็มี ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด แต่ก็ไม่สำคัญอะไร เพราะท่านผู้อื่นก็คุยเฉพาะเรื่องอื่น แต่เรื่องที่สำคัญก็น่าจะฟังกันจุดนี้
ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ ก็บอกว่าเป็นความจริง เพราะว่าบ้านพักของข้าราชการและพนักงานองค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ขุดเสาลงไปจะปลูกบ้าน
ก็ปรากฏว่าพบกระดูกมากหลายจุดด้วยกัน พบกระดูกคน นี่ก็น่าคิดเหมือนกัน เป็นอันว่าคุยกันถึงวันที่ ๘ เสร็จ ทีนี้ก็คุยถึงวันที่ ๙ กัน.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 21
สุสานหอย จังหวัดกระบี่
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
"...วันที่ ๙ นี่ จะนำหมายกำหนดการมาอ่านให้ฟังก่อน คือเวลา ๗ น.
บริโภคอาหารเช้าจากเรือนรับรองขององค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจังหวัดกระบี่ แล้ว ๘ นาฬิกา ออกเดินทางโดยรถยนต์ไปที่ อ.เมืองกระบี่
๘.๔๐ น.ถึงท่าเรือ อ.เมืองกระบี่ ลงเรือไปสุสานหอย ไอ้สุสานหอยนี่ เขาบอกว่ามีกำหนด ๗๕ ล้านปีนะ อายุของมัน มันจะถึงหรือไม่ถึงก็ไม่ทราบ
แต่ปรากฏว่าบริเวณ ณ ที่นั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถเคยเสด็จ เป็นสถานที่เยือกเย็นดี ไปดูแล้วหอยจับกันเป็นปึก ก็นึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่พระองค์ทรงตรัสว่า สัตว์และมนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้เท่าไร ตายหมดเท่านั้น
นี่..เจ้าหอยพวกนี้มันตาย เปลือกมันจับตัวกันแข็งกลายเป็นหินไปแล้ว เขากำหนดว่า ๗๕ ล้านปี นี่หอยก็ตาย
ตานี้เนื้อหนังของเรามันแข็งไม่เท่าหอย มันก็ตายเหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าความตาย เป็นของธรรมดา และถ้าเรายังหลงใหลใฝ่ฝันมันอีก มันก็ต้องตายแบบนี้
ตอนนั้นจะไปซื้อหอยมาเป็นอนุสรณ์สักหน่อย ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ ท่านก็เดินตามไปเรื่อย พอไปตกลงซื้อท่านก็จ่ายสตางค์ นึกอายท่านเพราะรบกวนท่านมากอยู่แล้ว
ท่านให้ความสะดวก จ่ายค่าอาหาร การบริโภค จ่ายค่ารถยนต์ จ่ายค่าเครื่องบินอะไร เป็นเรื่องขององค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตร่วมกัน
แต่ท่านก็มาติดตาม จะจ่ายของนิดของหน่อยท่านก็มาจ่ายสตางค์ ก็เลยอายท่าน เป็นอันว่าไม่กล้าซื้อ ถึงยังงั้นก็ดี ท่านก็ต้องจ่ายสตางค์ไปหลายร้อยบาท
รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
เวลา ๙.๔๐ น. ถึงสุสานหอย ๗๕ ล้านปี แล้วก็ตามกล่าวนั่นแหละ
นี่หมายกำหนดการ เวลา ๑๐.๒๐ น. ออกจากสุสานหอย ๗๕ ล้านปี ไปหาดนพรัตน์ธารา บริโภคอาหารกลางวันกันที่นั่น
มีเจ้าหน้าที่ขององค์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตไปรับรองที่นั่น แล้วก็หาเรือเดินทะเลมา เป็นเรือตังเก
พอถึงเวลาเพลฉันข้าวแล้ว กินข้าวกันเสร็จก็ลงเรือตังเก วันนั้นสนุกมาก มีคุณเสริม เจ้าคุณมัสสุสิงหนาท และเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต
ไอ้เรือตังเก พอลงไปแล้วลมแรง มันโต้คลื่นนี่ เป็นที่ถูกอัธยาศัยมาก ชอบใจ เล่นกันอยู่พักหนึ่งก็เดินทางกลับ กลับแล้วเวลา ๑๕.๐๐ น. ออกจากหาดนพรัตน์ธารา
๑๖.๓๐ น. ถึงโรงไฟฟ้ากระบี่ ชมตัวเมืองและเข้าไปในโรงไฟฟ้ากระบี่ เจ้าหน้าที่เขาก็ดีทุกคน ก็ไม่มีอะไร
๑๗.๓๐ น. กลับเรือนรับรอง จังหวัดกระบี่ คือว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จังหวัดกระบี่ คืนนี้ก็มีพระมาคุยอีก คุยก็ไม่ได้เรื่อง
มีพระท่านถามปัญหา เวลาตอบท่านไม่ฟัง เวลาตอบไปเสร็จแล้ว ท่านก็ถามโด่เด่ๆ ส่งขึ้นมา ก็เลยนึกในใจว่า
เอ.. นี่เขาบวชกันแบบไหนกันนี่ ถามอะไรก็ไม่เข้าเรื่องเข้าราว นี่ไม่ได้นินทาว่าร้ายกัน ความจริงพวกเราเป็นพระนี่น่าจะสนใจเรื่องธรรมปฏิบัติ
ทีนี้เวลาท่านถามนั่น รู้ชัดเลย ว่าท่านไม่ได้สนใจอะไร
แต่ว่าห่มจีวรกลัก อันนี้ไม่ได้นินทาว่าร้ายใคร แต่ความจริง ถ้าจะถามกัน ก็คิดว่า จะสงเคราะห์บรรดาประชาชนผู้นั่งฟัง ไอ้ข้อถามบางส่วนน่ะ
โดยมากคนถามเป็นผู้รู้ ถ้าไม่รู้เขาไม่ถาม
แต่เวลาถามแล้วตอบไป พ่อไม่ได้ฟัง พ่อคุยกัน ตอบไปแล้ว แกก็ถามใหม่ ถามซ้ำ เพราะว่าไอ้ที่ตอบไปแล้วแกไม่ได้ฟัง นี่ถ้ามีสภาพแบบนี้แล้วมันก็แย่เหมือนกัน
ไม่เป็นเรื่อง
เป็นอันว่าคืนนี้ไม่เป็นเรื่อง คุยไม่เป็นรส และปรากฏว่าพระเองก็ไม่สนใจธรรมปฏิบัติ อาตมาเองก็ไม่เป็นเรื่องอยู่แล้ว ก็นอนค้างอยู่ตามปกติ
เมื่อเวลาผ่านไปนี่ การใดๆ ทั้งหลายที่จะพึงมีขึ้นมันก็ไม่มี จะมาเล่าสู่กันฟังมันก็ยาก เพราะว่าไม่มีอะไรเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง
ฟังได้อย่างเดียวเรื่องเที่ยวกันไป
ดูหมายกำหนดการแล้วความจริงมันน่าตาย มันน่าตายเพราะหมายกำหนดการนั้นวางทั้งวัน หาเวลาพักไม่ได้ แล้วมีแถมกลางคืนอีก
แต่ที่ทรงตัวอยู่ได้ก็เพราะอาศัยยาเป็นสำคัญ
แล้วเวลาพักผ่อนนอนหลับ ก็ปรากฏว่าเวลาหลับตาลงทีไรก็เห็นภาพพระทุกที ดีไม่ดีก็เห็นภาพแพรวพราวของพรหมและเทวดา ก็รู้สึกว่าชื่นใจ อาศัยใจสบายก็เลยนอนหลับ
เช้าก็มีแรงเดินทางต่อไปใหม่
เอาละ สำหรับการเดินทาง วันที่ ๙ ก็ขอยุติกันแค่นี้ สำหรับวันที่ ๑๐ ต่อไปก็ฟังกันในตอน ๒ ที่เรียกกันว่าตอน ๒ น่ะ
ความจริงไม่ใช่ตอน มันเป็นการพักสำหรับการบันทึกแต่ละคราวๆ เป็นอันว่าวันนี้ วันที่ ๑๙ สิงหาคม ก็จบการบันทึกตอนที่ ๑
ตอนที่ ๒ นี่จะไปเริ่มกันเมื่อไรก็ไม่ทราบ เป็นอันว่า เรื่องราวของคนไทย สายภาคใต้รู้กันไว้คร่าวๆ เพียงเท่านั้นก่อน
เพราะว่าจะไปรู้ชัดกันอีกทีตอนเรื่องราวที่ผ่านหัวหิน เอาละ..สำหรับตอนนี้ ขอยุติกันเพียงเท่านี้ .."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 22
เดินทางไปหาดใหญ่ จ.สงขลา
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
"...วันนี้ วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๑๗ เป็นวันที่บันทึกในการเที่ยวสายใต้ตอนที่สามวันนี้
นี่พูดเฉพาะวันที่ไปเที่ยวกัน ก็คือวันพุธที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๑๗ ขบวนนักท่องเที่ยวหรือทัศนาจร หรือว่าจะไปเยี่ยมชาวภาคใต้ก็ใช้ได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องของคนที่พูด
เป็นอันว่าก่อนที่จะพูดเรื่องของวันที่ ๑๒ ขอย้อนกลับไปถึงวันที่ ๑๑ สักหน่อยหนึ่ง เพราะว่าวันนั้นวันที่บันทึกเหนื่อยมากเกินไป ร่างกายไม่ค่อยดี
อาจจะพูดอะไรขาดตกบกพร่องไปบ้าง หรือว่าละเอียดไม่พอ
ขอย้อนไปตอนที่กลับเข้าไปในหาดใหญ่ เพราะว่าหลังจากที่เข้าไปในหาดใหญ่แล้วไปชม อ.หาดใหญ่ ตลาดหาดใหญ่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายต่างเข้าที่พักคือ โรงแรม
ชื่อโรงแรมเขาชื่อว่าอะไรก็ไม่ทราบ มันอ่านไม่เข้าใจ เป็นภาษาแขกๆ หรือว่าแบบภาษาไทยอ่านไม่ออกก็ไม่ทราบ
เพราะว่านี่ดูตามหมายกำหนดการใครเขียนมาอ่านไม่ชัด เป็นอันว่าเมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเข้าโรงแรมกันเสร็จ
อาตมาก็นอนที่บ้านพักหรือบ้านรับรองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ความจริงที่หาดใหญ่นี่ไม่มีบ้านรับรอง ที่เรียกว่าบ้านรับรองก็เพราะว่าเจ้าหน้าที่จัดไว้รับรอง
การนอนก็นอนด้วยกัน ๒ คน หรือว่าจะเป็นคนเดียวก็ไม่ทราบ ก็น่าจะเป็นคนเดียว ห้องเดียวนอนคนเดียว แต่ว่านอนสองห้อง ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์ นอนห้องหนึ่ง
แล้วอาตมาก็นอนอีกห้องหนึ่ง
เมื่อเข้านอนเสร็จ ความเหนื่อยมันเข้ามายุ่งกับใจ เพราะว่าการเดินทางนี่มันเดินทางกันตลอดวัน แวะโน่นบ้าง..แวะนี่บ้าง
ก็ดูเวลาตามหมายกำหนดการก็แล้วกัน มันก็สร้างความเหน็ดเหนื่อยให้ไม่น้อย เมื่อนอนก่อนจะหลับก็เป็นเรื่องของพระจะต้องบูชาพระ
เมื่อพระพุทธเจ้าท่านมีความดีก็ต้องบูชาความดีของท่าน ที่มาเที่ยวสายใต้คราวนี้ก็เพราะอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสำคัญ
ถ้าไม่ได้บารมีของพระพุทธเจ้าแล้วพวกเราก็ไม่มีโอกาสจะมาได้ คำว่า พวกเรานี่หมายถึงอาตมาโดยเฉพาะ เพราะโดยปกติเป็นคนรวยมาก
เป็นนักบวชที่ร่ำรวยสำคัญคนหนึ่งในพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะปีหนึ่งใช้เงินเป็นล้านเป็นแสนได้แบบสบายๆ
ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถือนิกายเซ็น คำว่านิกายเซ็นนี่ไม่ใช่หมายถึงมหายาน แต่ทว่าถือนิกายเซ็น ก็เวลาจะก่อสร้างอะไรก็ตาม..เซ็นก่อน
ยังไม่มีสตางค์ให้เขา ทำก่อน เอางานแลกเงิน ทั้งนี้ก็แน่ใจที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่มีจิตเป็นกุศล
หวังการบำเพ็ญกุศลว่า เห็นทำแล้วเราไม่ได้หากำไร ทำไปเท่าไรก็แจ้งบอกราคาเท่านั้น แล้วเงินทองที่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่านถวายมาเป็นส่วนตัว
นี่ก็จะแบ่งไว้ใช้ประมาณไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ ก็ร่วมในการก่อสร้างเพื่อสาธารณประโยชน์หมด
ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้โฆษณาความดีของตัวเอง ที่พูดให้ฟังก็เพราะว่าแจ้งให้ทราบว่าอาตมานี่ชอบใช้หนี้ชาวบ้าน เพราะว่าความเป็นอยู่อาศัยชาวบ้านเป็นสำคัญ
ร่างกายที่ทรงขึ้นมาได้นั้นก็อาศัยจากชาวบ้าน ยารักษาโรคจากชาวบ้าน อาคารที่ชาวบ้านสร้างให้ ผ้าผ่อนท่อนสไบที่ใช้ก็เป็นเรื่องของชาวบ้าน
เป็นอันว่าอาตมาเป็นหนี้ชาวบ้านนับไม่ถ้วน จะชำระหนี้สักเท่าไรมันก็ไม่จบ ไม่ครบถ้วน ในเมื่อเงินที่บรรดาพุทธศาสนิกชนมีความหวังสงเคราะห์ให้ใช้เป็นส่วนตัว
เมื่อใช้แล้วมันไม่หมดก็เลยใช้ในส่วนสาธารณประโยชน์ เท่านี้
ถ้าใช้เพียงเท่านี้ ยังไม่เรียกกันว่าพระรวย อย่างนี้เขาเรียกกันว่า พอกินพอใช้ แต่ที่ประกาศเป็นคนอยู่ในเขตของมหาเศรษฐี ก็เพราะปีหนึ่งๆ
สร้างหนี้ไว้มากเป็นแสนๆ
คือว่า ใช้เกินปริมาณที่พึงหาได้เป็นแสนๆ นี่น่ะรวยมาก เป็นอันว่ามีเงินคงคลังปีหนึ่งนับแสน นี่หรือใครว่าไม่รวย อย่างนี้เขาว่ารวยจริงๆ รวยหนี้ด้วย
แล้วก็มีคนอยากรู้จักมาก คนที่มีความรักมาก คิดถึงอยู่เสมอก็คือเจ้าหนี้
พวกนี้ไม่ยอมลืม รู้จักหน้า รู้จักชื่อ รู้จักสถานที่อยู่ อยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีจิตคิดถึงอยู่เสมอ เกรงว่าจะไม่ได้ใช้หนี้เขา นี่เรื่องของเราเป็นคนอยากรวย
แล้วก็ชอบรวยก็มีสภาพเป็นอย่างนี้ ที่ทำอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเห่อเหิมหรือทำอวดชาวบ้าน เป็นคำสั่งของครูบาอาจารย์
คือ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า ถ้าพระมีเงินสะสมไว้เป็นส่วนตัวตั้งแต่หนึ่งพันบาทขึ้นไป ท่านบอกว่าจิตใจไม่ใช่พระ
เพราะว่ามันเริ่มคิดว่ารวย ตัวนี้ตัวสำคัญ แต่ว่าพระท่านใดท่านจะคิดอย่างไรนั้น เป็นเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของท่านโดยเฉพาะ อาตมาไม่เกี่ยว
อาตมาถือว่าครูบาอาจารย์สอนมาแบบนี้ ก็ปฏิบัติแบบนี้ หากว่าจะถามว่าอาจารย์สั่งแต่เพียงว่าอย่ามีเงินให้ครบพันแล้วทำไมดันไปเป็นหนี้เขาเข้า
ก็ตอบว่าการคิดแบบนี้เป็นการป้องกันตัว เงินแค่พันบาทอาจจะหาได้เมื่อไหร่ก็ได้ถ้ามีคนถวาย ถ้าไม่มีคนถวาย น้ำแข็งเปล่าแก้วเดียวก็ไม่มีเงินจะซื้อ
ตานี้บังเอิญถ้าได้เงินประเภทนั้นมา อารมณ์ก็จะรู้ว่านี่ยังไม่พอกับหนี้ที่ยังชำระไม่หมด
จิตใจก็จะเป็นจิตใจของสาวกพระบรมสุคตคือ ไม่สะสมการเงินการทอง เท่านี้มีความสบายใจพอ
คิดว่าเราไม่อกตัญญูทำลายคุณงามความดีของครูบาอาจารย์แม้แต่ความดีที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้เราก็ไม่ทำลาย
เพราะว่าไม่มีจิตโลภ ไม่เป็นพระอกตัญญู ไม่รู้คุณคน ไม่รู้คุณพระพุทธเจ้า เอาผ้ากาสาวพัสตร์ซึ่งเป็นธงชัยของพระศาสนามาสวมไว้
แต่ทว่าเราไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันว่า ถือว่าปฏิบัติถูกแล้ว ถูกหรือไม่ถูกก็ตามใจ
ทีนี้มาว่ากันต่อไป
เมื่อเวลาใกล้จะนอน ก็บูชาความดีขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน เมื่อบูชาแล้วก็นอน
เวลานอนลงไปก็คิดถึงคุณขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา มานอนคิดอยู่ว่า เวลานี้เราเดินทางมาสายใต้
อารมณ์ของจิตใจก็น้อมนึกถึงความดีของท่านผู้มีพระคุณ คือท่านบรรดาบุพพการีทั้งหลายจะเป็นคนใดก็ตาม ที่ได้หาที่ดินทั้งหลายให้พวกเราอาศัย
การเดินทางมาตลอดสาย ขึ้นเครื่องบินก็ดี นั่งรถยนต์ก็ดี
รู้สึกว่าพวกเราละชีวิตินทรีย์ของบรรดาท่านบรรพบุรุษที่ควรจะบูชาท่านว่า ท่านผู้ชายก็คือพ่อ ท่านผู้หญิงก็คือแม่ ที่หาสถานที่เหล่านี้ให้เราอาศัย
พระคุณความดีของท่านทั้งหลายน่าเทิดทูนยิ่งกว่าชีวิตของตน
เป็นสมบัติอันมีค่าล้นยากที่เราจะหาได้ครั้นมาหวนคิดเข้าไปถึงน้ำใจของคนไทยและเพื่อนไทยทั้งหลายที่มีความมุ่งดีต่อประเทศไทย
ท่านพวกนี้น่าสรรเสริญมาก แต่ทว่าบางท่านอยากจะเอาชาติขายเพื่อความร่ำรวยของตน อย่างนี้สาวกขององค์สมเด็จพระทศพลรู้สึกสลดใจว่า
ทำไมเราจึงไม่ได้คิดถึงชีวิตร่างกายของท่านญาติผู้ใหญ่ซึ่งเป็นบรรพบุรุษ ที่หาผืนแผ่นดินผืนนี้มาให้เราด้วยชีวิตของท่าน สละทั้งเลือดทั้งเนื้อ
ทั้งกำลังงาน กำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์
แม้แต่ชีวิต อุทิศให้เพื่อความสุขของคนไทยเราได้อาศัย แล้วก็ทำไมคนไทยทั้งหลายเหล่านี้จึงได้พากันแตกความสามัคคี แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่าเป็นพวกเป็นพ้อง
ทั้งๆ ที่เราเป็นพี่น้องกัน หวังทำลายซึ่งกันและกันปัดแข้งปัดขาซึ่งกันและกัน หวังความเป็นใหญ่ หวังความร่ำรวยแต่เฉพาะหมู่คณะของตน
นี่ซีบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้กำลังฟัง และกำลังอ่าน เรามานั่งช่วยกันคิด ว่าจิตใจของท่านพวกนี้มีน้ำใจเป็นคนประเภทไหน
แล้วถ้าจะถามว่าใครบ้างที่คิดอย่างนั้น เราก็ดูกันเอาก็แล้วกัน ท่านที่มีร่างกายดีเป็นพิเศษกินจอบก็ได้ กินเสียมก็ได้ กินดินก็ได้ กินทรายก็ได้
กินตึกก็ได้ กินถนนก็ได้ แล้วกินอะไรต่ออะไรก็ตาม
แม้แต่อาวุธยุทโธปกรณ์ ปืนผาหน้าไม้ก็กินได้ รถถังก็กินได้ แสดงว่าขากรรไกรของท่านแข็ง ฟันของท่านคม โดยนิยมคนประเภทนี้เป็นคนทำลายความดีของบรรพบุรุษ
เราจะเรียกท่านเหล่านี้ว่า เป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคนจะได้หรือไม่ได้ บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายช่วยกันคิด
นี่ เวลานั้นนอนคิดเรื่อยเฉื่อยไป ความจริงไม่ได้คิดจะว่าใครจะด่าใคร แต่อารมณ์ใจมันคิดไปอย่างนั้น ทั้งนี้เพราะว่าไปนึกถึงความดีของทุกท่าน คือ
ท่านบิดาและมารดาทั้งหลายที่สร้างผืนแผ่นดินไทยให้เราเกิด เวลานั้นคนมีปริมาณน้อย แต่ทว่าท่านสามารถสร้างแผ่นดินใหญ่ให้เราอยู่กันได้แบบนี้
เวลานี้ปริมาณของคนไทยมีมาก แต่แบ่งกันเป็นพวกเป็นพ้อง เป็นฝั่งเป็นฟากรวมกลุ่มกันไม่ได้ เป็นที่น่าสลดใจ
แล้วอีกประการหนึ่ง คนที่เข้าไปนั่งร่างอะไรต่ออะไร เป็นบทบัญญัติแทนที่จะเห็นกับบุคคลกลุ่มส่วนรวม คือประเทศชาติ
บางทีท่านก็ประวิงโน่นประวิงนี่ตามที่หนังสือพิมพ์เขาลงมา
จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ แต่ว่าความล่าช้ามันปรากฏอย่างนี้ เป็นเหตุที่น่าสลดจิตเป็นที่สุด เรื่องนี้เป็นเรื่องของบ้านของเมืองเป็นเรื่องของชาวโลก
พระไม่น่าจะคิด
แต่ที่คิดก็เพราะว่าเอาจิตเข้าไปเทียบกับธรรมะของพระพุทธเจ้าที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า โลกหาที่สุดมิได้
เราจะคิดว่าอะไรมีความแน่นอนสำหรับโลกมันไม่มี นี่แม้แต่คนไทยกลุ่มเดียวเท่านี้ เรายังหาที่สุดของอารมณ์ไม่ได้
ทีนี้ ต่อไปบรรดาท่านผู้แทนคนไทยทั้งหลาย เวลาจะเป็นผู้แทนท่านก็บอกว่าจะรับใช้ปวงชน
แต่เวลาตนได้เป็นผู้แทนเข้าแล้วท่านกลายเป็นผู้แทนตัวของท่านและผู้แทนเฉพาะหมู่คณะของท่าน นี่มีมาก พบมาเยอะ
นี่คิดไปคิดมาในตอนนี้ ก็คิดว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงกล่าวว่า โลก แปลว่ามีอันที่จะต้องฉิบหายไป ไม่มีอะไรทรงตัว นี่เป็นความจริง
ก็เลยคิดตัดใจว่าเหล่าเราบรรดาพุทธบริษัททั้งชายและหญิงพากันมาหนีโลกเสียดีกว่า ไปนิพพานสบายกว่าเพราะคิดอย่างนี้แล้วสบายใจ
เพราะอาการอย่างนี้ไม่ได้มีแต่ประเทศไทย มีเหมือนกันทั้งโลก แล้วก็ในอดีตที่แล้วๆ มาถ้าจะดูประวัติมันก็เหมือนกันทุกชาติทุกภาษา
แล้วก็ทุกกาลทุกสมัย เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด แม้แต่สมัยที่องค์สมเด็จพระบรมสุคต บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ก็เหมือนกัน
พอคิดอย่างนี้ได้ใจก็สบาย จิตก็สงบ ตั้งอยู่ในอารมณ์เป็นธรรม มีปัสสัทธิเป็นที่ตั้ง คำว่าปัสสัทธิ มีอารมณ์สงบมีจิตสบาย เห็นว่าร่างกายขอเรานี้
ไม่ช้านานเท่าไรมันก็จะสิ้นไป
จะมานั่งรำพึงรำพันเพื่อความเป็นสุขหรือความเป็นทุกข์ของคนไทยหรือชาติไหนมันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเราช่วยอะไรไม่ได้
สู้ปฏิบัติตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าดีกว่า พอคิดอย่างนี้ใจก็สงบมีอารมณ์ใจสบาย
จึงน้อมใจตั้งอยู่ในอารมณ์สมาธิ เป็นเรื่องธรรมดาของพระ พูดถึงด้านสมาธิวิปัสสนาแล้วมันเป็นของกล้วยๆ สำหรับพระ เพราะพระมีระบบปฏิบัติอยู่ ๓ อย่าง คือ
- อธิศีลสิกขา มีศีลยิ่งกว่าฆราวาส
- อธิจิตสิกขา ต้องมีสมาธิมีฌานสมาบัติเป็นปกติ
- อธิปัญญาสิกขา มีอารมณ์ใจไม่คัดค้านความเป็นจริง คือไม่คัดค้านกฎธรรมดา
นี่พระทุกองค์ในพระพุทธศาสนาท่านปฏิบัติอย่างนี้เหมือนกันหมดทุกองค์ ถ้าหากว่าท่านใดบอกว่าไม่ได้ปฏิบัติ
แสดงว่าพระองค์นั้นไม่ใช่สาวกขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาค
ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจว่าท่านเป็นสาวกก็เข้าใจผิด จะไปโทษท่านไม่ได้ เพราะว่าท่านไม่ใช่สาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตร
ท่านไปบูชาเขาเอง คือว่าชาวบ้านไปบูชาเอง ไปโทษนักบวชคนนั้นไม่ได้ เป็นความผิดของท่านทั้งหลาย เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบอกแล้วนี่ว่า
สาวกของตถาคตจะต้องปฏิบัติแบบไหนบ้าง
แล้วก็ท่านทั้งหลายที่ละบ้านเข้ามาแล้วไม่ปฏิบัติแบบนั้น มาตั้งศูนย์การดูดเงิน ดูดทรัพย์สินจากชาวบ้าน ชาวบ้านไม่พิจารณาเอง จะไปโทษท่านไม่ได้
เพราะท่านเองท่านก็ไม่ได้ประกาศตัวว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านบอกแล้วว่าศีล ๒๒๗ ไม่ไหวมากเกินไป ท่านไม่มีเวลาที่จะปฏิบัติ
สมถวิปัสสนา
สมถะที่ทำฌานสมาบัติให้ปรากฏแก่จิต วิปัสสนาญาณ ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง ของทั้งสองประการนี้มันหนักจริงๆ ท่านไม่มีโอกาสจะประพฤติปฏิบัติ
ไอ้อย่างนี้ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทไปบูชา คิดว่าท่านเป็นพระสงฆ์แล้วเอาเงินเอาทองเอาของไปถวายท่าน แล้วจะหาว่าท่านโกงศรัทธามันเป็นไปไม่ได้
มันเป็นความเข้าใจผิดของท่านเอง เมื่อท่านถวายเข้าไป ท่านผู้นั้นก็จำจะต้องรับเพื่อเป็นการไม่ขัดศรัทธา
หลวงพ่อพบพรหมผู้รักษาวิหารน้ำน้อย
...นี่ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายโดยถ้วนหน้าต้องเข้าใจตามนี้ อย่าไปคิดว่าพวกนั้นท่านไม่ดี จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่ดีเองดีกว่า
ที่ไม่เลือกเนื้อนาเป็นที่หว่านพืช นี่พูดมากไปแล้ว เกะกะระรานมานาน ด้วยใจสบาย
ทำท่าว่าจะหลับก็ปรากฏว่าพบชายคนหนึ่งมานั่งอยู่ที่ปลายเตียง เลยเท้าลงไปเป็นผู้ชาย ยกมือขึ้นแตะปาก ท่าทางดี เหมือนกับคนธรรมดา จึงได้ถามว่าเป็นใคร ?
แกชี้มือขึ้นไปข้างบน แล้วก็บอกว่ามาจากพรหมขอรับ
ถามว่าถ้ามาจากพรหมแล้วแต่งตัวแบบนี้เพื่อประโยชน์อะไร ทำไมไม่แสดงกายเป็นพรหม แล้วก็เมื่อตอนกลางวันก่อนที่จะเข้ามานะ ไปรับที่นอกเมือง
เห็นพระพุทธรูปอยู่บนศีรษะนั่นเป็นของท่านหรือ ?
ความจริงเข้าใจว่าเป็นเทวดา เพราะแต่งตัวแบบเทวดามีเครื่องประดับแพรวพราว และมีสีสันวรรณะไม่ใช่ลักษณะของพรหม
ท่านก็เลยบอกว่า คนที่ไปรับน่ะ เป็นเทวดาขอรับ แต่ผมนี่เป็นพรหม เป็นคนละคนกับบุคคลนั้น
จึงได้ถามท่านว่ามาทำไม แล้วพระที่แสดงว่าลอยอยู่เหนือศีรษะเทวดานั้นหมายความว่ายังไง ไม่ทราบความหมาย ?
ท่านก็บอกว่าที่แสดงให้ปรากฏก็เพราะว่า ในเขตของจังหวัดสงขลามีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ทำด้วยทองคำทั้งองค์ไม่มีส่วนผสมอย่างอื่น
คือไม่ใช่แกนทองแดงแล้วเอาทองคำหุ้ม หน้าตักกว้างประมาณ ๒ เมตรหรือ ๓ เมตรจำไม่ถนัด
เพราะเวลาพูดนี่ไม่ได้บันทึกไว้ เลวมาก ใครเลว? คนพูดเลว ไม่คิดว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะนำมาบันทึกเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง
เป็นอันว่ายับยั้งกันว่าไม่น้อยกว่า ๒ เมตร และไม่เลย ๓ เมตร ก็เลยถามท่านว่าไปแสดงให้ปรากฏทำไม แสดงว่าบ้านเมืองนี้เจริญหรือประการใด ?
ท่านบอกว่าไม่ใช่ขอรับ ผมเห็นว่าคณะของท่านที่มานี่เป็นคณะที่มีศรัทธามาก เวลานี้พระพุทธปฏิมากรแทนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามีทองมีน้ำหนักบอกไม่ถูก
(ท่านบอกเหมือนกัน ทั้งองค์ทั้งฐานน้ำหนักเท่าไร แต่ไม่บอก)
บอกว่าเวลานั้น ที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งหลัง ปรากฏว่าเขาเอาพระองค์นี้มาฝัง เกรงว่าพม่าพวกมีใจอธรรมจะนำทองคำเป็นประโยชน์ส่วนตน
อย่างที่อยุธยามันยังหลอมเอาทองคำไปกินเสีย มีน้ำหนักตั้งหลายพันชั่ง แต่ว่าพระองค์นี้มี่น้ำหนักยิ่งกว่าพระองค์นั้นสำหรับทองคำ
เพราะว่าพระองค์นั้นภายในเป็นทองสัมฤทธิ์ ข้างนอกเป็นทองคำ แต่ว่าองค์นี้เป็นทองคำล้วน เวลานี้ยังอยู่ตรงนั้น ฝังอยู่ตรงไหนบอกไม่ได้
บอกอันตรายจะเกิดแก่ทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธปฏิมากร แล้วก็เลยถามว่า ไปแสดงให้ปรากฏเพื่อประโยชน์อะไร ?
ท่านก็บอกว่าตั้งใจจะให้คณะที่มาด้วยกันช่วยกันสร้างเจดีย์ทับพระพุทธรูปองค์นั้น เพราะฝังไว้ในดินลึกประมาณ ๕ วา
เวลานั้นใช้คนประมาณ ๓๐๐ คนเศษนำพระมาแล้วก็บรรจุพระไว้สร้างเครื่องล้อมป้องกันไว้อย่างดี แล้วทรัพย์สินที่มีค่าสำหรับกษัตริย์ก็มีอยู่มาก
ยากที่จะพรรณนาถึงค่าของวัตถุ
ท่านถามว่าจะทำได้ไหม ?
ก็เลยถามว่าเจดีย์ใหญ่ไหม ?
ท่านบอกว่าไม่ต้องใหญ่ สูงประมาณ ๓ วาก็ได้ แต่ให้ฐานครอบพระเข้าไว้ คนจะได้ไม่ข้ามไปข้ามมา ก็เลยบอกว่าเวลานี้สร้างวัดยังเป็นหนี้เขามาก
ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้วให้ช่วยกันมาสร้างที่ตรงนั้นก็แล้วกัน ไม่รีบไม่ร้อน ที่จะให้มาเที่ยวคราวนี้
ที่ยอมรับเขาก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าดลใจ ทั้งๆ ที่ร่างกายของท่านไม่ดีท่านก็ยอมรับ
ความจริงแล้วไม่ได้ตั้งใจจะไป เห็นว่าประโยชน์มันน้อยในการท่องเที่ยว นอนดีกว่า แต่เมื่อเขาถามเข้าจริงๆ ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ตัดสินใจยอมรับเอาเฉยๆ
มาดูหมายกำหนดการแล้วก็หายใจไม่ออก วันทั้งวันไม่มีเวลาหยุด คิดว่าคงจะไปพับจุดใดจุดหนึ่ง บังเอิญมันก็ไม่พับเป็นมหัศจรรย์
เรื่องนี้แปลกมาก เดินทางทั้งวัน กลางคืนก็นอนน้อยที่สุด อย่างดีก็หลับไม่เกิน ๒ ชั่วโมง เช้าก็เดินทางต่อไปแต่ก็ไปได้ทุกจุด
นี่เห็นจะเป็นอำนาจพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ พรหมานุภาพ เทวดานุภาพ และครูบาอาจารย์ตลอดจนพ่อแม่เก่าๆ
ที่สร้างผืนแผ่นดินไทยช่วยพยุงกายของอาตมาให้ไปได้กระมัง คิดอย่างนี้
ก็เป็นอันรับปากกับท่านพรหมว่า สิ่งเหล่านี้คงไม่หนัก แต่ทว่าจะขอปรึกษาหารือกับบรรดาท่านพุทธบริษัท มีท่าน พล.อ.ต. ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ ก่อน
ถ้าพร้อมใจกันเมื่อไร แล้วก็วัดท่าซุงคือสำนักศูนย์ปฏิบัติพระกรรมฐานเสร็จเมื่อไรก็จะมาทำให้ เพราะของไม่โตนัก
แต่ว่าหนักใจเรื่องที่ดินเจ้าของอาจจะเอาแพง เพราะเขาอยู่ในย่านของความเจริญมาก ท่านยกมือไหว้ด้วยความดีใจแล้วก็กลับไป.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 23
พระพรหมกลับไป ผีสาวเข้ามาแทน
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
"...ทีนี้เมื่อพรหมกลับไปแล้ว ก็ตั้งใจจะนอนหลับ เพราะคืนนี้มีโอกาสหลับได้มาก เพราะไม่มีเวลาจะคุยกับใคร แต่ว่าที่ไหนได้
เมื่อพรหมออกไปแล้วสาวๆ แขกปาเข้ามาประมาณสาม..สี่สิบ เป็นอันว่าคืนนี้ถูกผู้หญิงแขกเข้าหาพระ แต่ว่าผู้หญิงแขกพวกนี้ไม่ใช่คน เลยไม่เป็นอาบัติ
เพราะว่าเป็นผู้หญิงผี
แกเข้ามา ดูท่าทางเป็นแขกไปเสียหมด แสดงสัญลักษณ์การแต่งตัวว่าเป็นแขก เป็นพวกถือศาสนาอิสลาม มีหัวหน้าแม่สาวคนหนึ่งมายกมือไหว้ พวกนั้นทั้งหมดก็ยกมือไหว้
แกแต่งตัวเหมือนสาวแขกธรรมดา
จึงถามว่าพวกเธอถือศาสนาอิสลามหรือ ?
แกก็บอกว่าถือศาสนาอิสลาม ก็เลยถามว่าเมื่อเธอถือศาสนาอิสลามแล้วมาไหว้พระในพระพุทธศาสนานี่ ไม่เป็นการผิดระเบียบของศาสนาเธอหรือ ?
แกก็บอกว่าเป็นผีไม่ผิด เพราะว่าผีต้องการอย่างเดียว ความดีของผู้ที่เราจะเข้าไปไหว้
ก็เลยถามแกว่าฉันมีความดีอะไร แกก็บอก เอาง่ายๆ ความดีที่จะเห็นง่ายๆ ก็คือ ผีมา เห็นได้
ก็เลยบอกเธอว่า ก็เธอทำให้ฉันเห็นนี่ฉันก็เห็นซี ถ้าเธอไม่ทำให้ฉันเห็น ฉันจะเห็นได้ยังไง ?
แกเลยตอบว่า คนทั้งหลายทำให้เห็นมาเยอะแล้วไม่มีใครเห็น พระในพระพุทธศาสนาก็เยอะแยะ แสดงให้ปรากฏก็ไม่ยอมเห็น
พระอาบัง..อีตาพวกแขกบรรดาแขกด้วยกันแสดงให้ปรากฏแกก็ไม่เห็น
ก็เลยถามว่า พวกเธอไม่ได้ตกนรกรึ แล้วก็บอกว่าศาสนาของเธอแนะนำให้ลงนรกมากกว่าไปสวรรค์ เพราะว่าการจะกินอะไรก็ต้องฆ่าด้วยมือเอง
นี่ดีเหมือนกัน ถือว่าสัตว์เป็นอาหารของชาวบ้าน แล้วกิจการฆ่านั้นส่วนใหญ่เป็นเรื่องของผู้ชาย ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง ผู้ชายเขาทำ ผู้หญิงก็ทำต่อ
ฉะนั้นพวกเธอจึงเลียบๆ เคียงๆ อยู่ใกล้นรก แสดงว่าเธอเป็นเปรต แต่ว่าเป็นเปรตระดับเบา จึงถามว่าพวกเธอมานี่ประสงค์อะไร ?
เธอบอกว่าเธอตั้งใจจะมาขอบุญกุศล
ก็เลยถามว่าไอ้บุญในศาสนาพุทธ มันจะเข้าไปถึงคนในศาสนาอิสลามได้ยังไง ?
แกก็บอกว่าศาสนาไหนไม่สำคัญ เป็นผีแล้วรับได้หมด แม้แต่นรกสวรรค์เขาก็ไม่ได้แยกนรกแขกนรกไทย จะเป็นศาสนาไหนก็ตามลงนรกเดียวกัน ขึ้นสวรรค์เขตเดียวกัน
เป็นพรหมเหมือนกัน ถ้าบุญถึง
ในเมื่อแกขอ แกหน้าเศร้าเลยเห็นใจ บอกว่า เอ้า..ถ้ายังงั้นละก้อ อย่าพูดมากเลย เดี๋ยวเธอจะอยู่ไม่ได้นาน ตั้งใจโมทนา จึงได้อุทิศส่วนกุสลแบบธรรมดาๆ
ที่เคยปฏิบัติว่า
ผลบุญใดที่เคยบำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่อดีตชาติตั้งแต่สมัยต้น จนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบันนี้ ผลบุญนี้จะพึงให้ประโยชน์ความสุขแก่เราเพียงใด
ขอเธอทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ และจงได้รับประโยชน์และความสุข เช่นเดียวกับเราจะพึงได้รับนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
บรรดาสาวแขกทั้งหลายก็พากันกราบ ๓ ครั้ง ครั้งแรกเธอเงยขึ้นมา เห็นภาพเดิม ครั้งที่สองกราบลงไปอีกเห็นภาพเดิม
ครั้งที่ ๓ กราบลงไปแล้วเงยขึ้นมา คราวนี้แพรวพราวไปด้วยเครื่องประดับ ถามว่าเธอจะไปไหน ?
ตอบว่าไปเป็นบริวารเขาที่ดาวดึงส์ ก็ยังดี บริวารดีกว่าสัตว์นรก เป็นบริวารของเทวดา ดีกว่าหัวหน้าของคนในเมืองมนุษย์ เธอบอกว่าต่อจากนี้ไปฉันมีความสุข
ในเมื่อบรรดาสาวน้อยและสาวใหญ่ทั้งหลายเปลี่ยนกายจากคนเป็นเทวดา เพราะอำนาจปัตตานุโมทนามัย นี่ เป็นหน้าที่ควรจะประทับใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท
ที่คำสั่งสอนขององค์สมเด็จผู้ทรงสวัสดิโสภาคไม่ไร้ผล
เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลทรงกล่าวว่า บุญย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจ "ปัตตานุโมทนามัย" คืออนุโมทนาในความดี
ยินดีกับความดีที่บุคคลอื่นทำแล้ว อันนี้องค์สมเด็จประทีปแก้วกล่าวว่าเป็น "บุญกิริยาวัตถุ" กล่าวคือเป็นกิริยาที่ทำให้เกิดบุญ
นี่เป็นอันว่าบรรดาสาวแขกทั้งหลายได้รับไปหมด.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 24
หาดใหญ่ - ปาดังเบซาร์
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
"...เมื่อสาวแขกไปหมด หลวงตาก็กำหนดจิตเพื่อจะหลับต่อไป พอหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู ความจริงเข้านอนเวลา ๒๑ น. แต่คุยกับพรหมบ้าง
คุยกับสาวอาบังบ้าง กว่าจะเสร็จเรื่องหยิบนาฬิกามาดูมันปาเข้าไป ๓ น. เศษ
ดูซิ..กลางวันก็เที่ยวตลอดวันหาเวลาพักผ่อนไม่ได้ เวลากลางคืนจะนอนก็แถมมีแขก วันนี้มีแขกเสียจริงๆ ด้วย คือผู้มาเราเรียกกันว่า "แขก" แล้วผู้มาจริงๆ
ก็เป็นคนชาติแขก..สบาย..!
เป็นอันว่าพบมามากแล้วแขกกลางคืน เป็นแขกไม่จริง แขกปลอมเป็นผู้ที่มาเราเรียกกันว่า "แขก" เฉยๆ
วันนี้ได้พบแขกซ้อนแขก ผู้มาเราเรียกว่า "แขก" แต่ผู้ที่มาจริงเป็นแขกเสียจริงๆ แต่ตัวเขาชายหญิงเขาจะเรียกชื่อว่า เป็นแขกหรือไม่เรียกก็เป็นเรื่องของเขา
นี่เราเรียกก็เป็นอันหมดเรื่องไป เป็นอันว่านอนกันไม่หลับ ทำไมจะไม่หลับ ก็หลวงตามันใกล้สว่างแล้วนี่ ต้องรีบกำหนดจิตให้หลับ คือจับอานาปานุสสติกรรมฐาน
นี่เราพูดกันจริงๆ อย่าไปเกรงใจใครนะ
บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ใครเขาจะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมก็เชิญ ไม่เห็นจะแปลกอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบอกว่า
พระจะต้องมีอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ถ้าเราปฏิบัติจริง เราพูดตามความจริงแล้วมาบอกว่าอวดอุตริมนุสธรรม
ใครจะบ้ากันแน่ คนทำจริงตามที่พูดได้ บ้า..หรือว่าคนทำไม่ได้มากล่าวหาว่าคนที่เขาทำได้ ว่าไม่ได้ จึงบ้า เอาว่างๆ มาประกวดความบ้ากันสักทีดีไหม
เวลานี้ดูกลัวกันจริงๆ ก่อนนี้ก็เหมือนกันใครพูดอะไรไม่ได้ เกรงคำว่า "อวดอุตริมนุสธรรม" นั่นพระพุทธเจ้าท่านปรับแต่คนที่ไม่ได้ ไม่ถึงเท่านั้น
ถ้าไม่ได้ไปถึงไปอวดเข้าท่านปรับเป็นโทษถึงปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ แต่คนที่ปฏิบัติได้ ปฏิบัติถึงท่านไม่ได้บอกว่าท่านปรับ
ถ้าปรับกันทั้งหมดละต้องปรับพระพุทธเจ้าด้วย เพราะว่าพระพุทธเจ้าก็เป็นคนพูดเรื่องสวรรค์ เรื่องนรก เรื่องเปรต เรื่องอสุรกาย
ทรงพยากรณ์เหตุทั้งหลายมาตั้งเยอะแยะ เป็นเรื่องอุตริมนุสธรรมทั้งนั้น
คำว่า "อุตริมนุสธรรม" แปลว่าธรรมอันยิ่ง คือ มีความดีเกินกว่าบุคคลผู้แน่นหนาไปด้วยกิเลสจะประสบได้ หรือว่าจะพึงเห็นได้
นี่องค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นต้นฉบับ เป็นคนอวดก่อน แล้วบรรดาต่อมาสาวกของสมเด็จพระชินวรนับไม่ถ้วน มีพระโมคคัลลานะเป็นต้น ก็อวดบ้าง
แล้วต่อมาภายหลังหลวงตาองค์นี้ก็เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์ ก็อวดมั่ง จะว่ายังไง ใครจะว่ายังไงก็เชิญว่า แล้วอย่าลืมนะว่า
หลวงตาองค์นี้ประกาศเป็นสาวกสมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ไม่ยอมขึ้นกับพระสงฆ์ที่ไม่ทรงศีล สมาธิ ปัญญา
เพราะว่าตั้งแต่บวชมาแล้วพวกที่มีศักดิ์ศรีใหญ่ๆ ไม่เคยเอาสตางค์มาให้ใช้ ไม่เคยเอาข้าวมาให้กิน
ไอ้ที่ทรงชีวิตอยู่ได้นี่ เพราะอาศัยความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ท่านพวกนั้นท่านก็เมามัน อยากจะหาลาภ อยากจะหายศ
ปรากฏแสดงตนเป็นผู้วิเศษ แต่ไม่ได้ดูในเขตปกครองของท่าน ว่าใครจะดีใครจะชั่วไม่เอา ท่านไม่เคยมามองนี่ เขตที่อยู่ในปัจจุบันก็ดี ในอดีตก็ดี
พระคณาธิการทั้งหลายสร้างความอัปรีย์กันมากเท่าไรก็ตาม พวกนี้ไม่เคยโผล่หัวมาดู ดีไม่ดีใครฟ้องร้องเข้าไป เอาสตางค์ไปให้ คนเลวกลายเป็นคนดีไป
ไอ้คนดีกลับแหงแก๋..ออกมา อย่างนี้จะแสดงว่าคนที่มีความดีแล้วอวดดี กับคนที่มีความเลว ขายความเลวกินน่ะ ใครมันจะเลวกว่าใคร นี่พูดกันมาพูดกันไป
จะพูดวันต่อไปเลยไม่ได้พูด
ย้อนกลับเข้าไปใหม่ ไปทะเลาะกับใคร ทะเลาะคนเดียว จนกระทั่งเทปนี้หมดหน้า ก็เป็นเรื่องธรรมดา เรื่องหลวงตาเกะกะ
เขาเรียกกันว่า..พระมหาวีระ นี่ พระเจ้าแผ่นดินท่านแต่งตั้ง ที่ตั้งให้ความจริงท่านไม่รู้จัก มันเป็นระเบียบ ตั้งแต่สอบเปรียญ ๓ ได้รับพัดเขาเรียกว่า
"มหา" มหาตัวนี้ไม่สำคัญ สำคัญที่ "วีระ" วีระ แปลว่า "กล้า" มหาวีระ แปลว่า "กล้าหาญมาก"
แต่ทว่าไอ้คำว่า "วีระ" บางครั้งไม่ใช่ กลายเป็น..เละละไป อย่างคราวนี้เป็นต้น นี่จะคุยให้บรรดาพุทธศาสนิกชนฟัง เรื่องการไปเที่ยววันที่ ๑๒ และ ๑๓
ก็ปามาย้อนไปวันที่ ๑๑ ตอนปลาย หมดเวลาพอดี
เป็นอันว่าเฉพาะบันทึกตอนนี้ตอนที่ ๓ ยังไม่จบ หน้านี้สำหรับเทปหน้านี้ ปรากฏว่าเกือบ ๔๕ นาที เป็นเรื่องราวตอนปลายของหาดใหญ่ไป
เอาละ...บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ชุดนี้สำหรับหาดใหญ่วันที่ ๑๑ ก็ขอยุติเพียงเท่านี้ ต่อไปก็ขึ้นตอนที่ ๓
นั่นสิ..ตอนที่ ๒ พูดมามันยังไม่จบนี่ แล้วบอกว่าจะพูดตอนที่ ๓ ก็ดันมาพูดตอนที่ ๒ เรื่องของตอนที่ ๒ ก็เป็นอันว่ายุติตอนที่ ๒ ไว้เพียงเท่านี้
ต่อจากนี้ก็มาขึ้นตอนที่ ๓ กันใหม่ตามอัธยาศัยของบุคคลผู้พูด
ต่อจากนี้ไปมาพูดถึงเรื่องของ วันพุธที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๑๗ ซึ่งพูดไว้ว่าจะเป็นตอนที่ ๓ แต่ว่าพ่อเทวดาผู้พูดแกกลับย้อนไปตอนที่ ๒ เสียจนหมดเวลา ๔๕ นาที
เวลานี้ก็ว่ากันใหม่ ว่ากันถึงวันที่ ๑๒
เวลา ๗ น. อาหารเช้าในตัวเมืองหาดใหญ่สำหรับพุทธบริษัท แต่สำหรับอาตมาเองก็ว่าข้าวต้มตามปกติที่บ้านรับรอง
บรรดาเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต อ.หาดใหญ่เป็นผู้จัดมา เจ้าหน้าที่ผู้ต้อนรับมีอัธยาศัยน่ารักทุกคน มีจริยาเรียบร้อย มีความละมุนละม่อม
ตอนกลางคืน คืนที่พักวันที่ ๑๒ ปรากฏว่าการไฟฟ้าฝ้ายผลิตจากจังหวัดกระบี่คงจะมีสายขัดข้องอยู่นิดหน่อย เพราะตอนเย็นๆ
เจ้าหน้าที่ก็ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่สำรองไว้จ่ายกระแสไฟให้แก่ชาวจังหวัดกระบี่ เวลาประมาณสัก ๒ ชั่วโมง เห็นไฟฟ้าเดินเครื่อง เครื่องจักรเดินเครื่อง
ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ ก็บอกว่า หลวงพ่อนี่บริการเผาแบ้งค์ปรากฏแล้วครับ เพราะมีรายจ่ายสูงมาก เพราะใช้น้ำมันเตา
นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่ใช้กระแสไฟฟ้า เห็นใจทางราชการว่าอุปกรณ์ก็แพง ต้องจ่ายค่าเจ้าหน้าที่พนักงาน แถมค่าเชื้อเพลิงก็แพงมาก
อุปกรณ์แต่ละชิ้น ถ้าอะไรบกพร่องลงไปต้องซื้อใหม่มันก็แพง
เพราะเราต้องซื้อจากต่างประเทศ นี่ก็เป็นที่น่าเห็นใจ เห็นใจทางราชการแล้วก็เห็นใจพวกเราด้วย เพราะสตางค์ทุกบาททุกสตางค์เป็นสตางค์ของพวกเราทั้งหมด
แต่ทว่าเงินจำนวนนี้ที่ได้ไปเป็นภาษีอากร ถ้าคนที่มีอำนาจส่วนใหญ่ไม่ช่วยกันโกงละก็ น่าโมทนา ถ้าใครไปโกงไปกินเข้า ก็น่าสลดใจ
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าคนทุกคน ข้าราชการทุกท่านจะเป็นคนโกง เขาจะโกงหรือไม่โกงก็ไม่ทราบ เห็นหนังสือพิมพ์เขาพูดกัน ว่าที่นั่นโกงที่นี่โกง
มันก็เป็นแต่เพียงข่าวเท่านั้น เอาเรื่องราวแน่นอนอะไรไม่ได้
แต่ถ้าโกงจริงๆ มันก็น่าสลดใจ เพราะว่าหนังสือพิมพ์ลงข่าวมานานแล้ว แต่ทำไมไม่ทำลายระบบการโกงกันให้หมดไป
ทุกคนที่กล่าวว่าทำงานเพื่อชาติ แต่ทว่าเมื่อทำเข้าจริงๆ โกง มันก็ยุ่ง แต่ข้าราชการทุกคน เจ้าหน้าที่ทุกคน จะถือว่าโกงทั้งหมดมันก็ไม่ได้
อาจจะมีบ้างก็เป็นส่วนน้อย แต่มันปลาข้องเดียวกัน ถ้าเกิดเน่าขึ้นมาตัว กลิ่นเหม็นทั่วกันไปหมด นี่ก็น่าเสียดาย
หลวงพ่อเดินทางไปปาดังเบซาร์
...เมื่อบริโภคอาหารกันเสร็จ เวลา ๐๘.๐๐ น. ก็ออกเดินทางจาก อ.หาดใหญ่ไปพรมแดนไทย มาเลเซีย
ตอนนี้น่าสนุก ทางร่มรื่นตลอดทาง ทางก็กว้างมีบ้านทั้งสองข้าง แล้วก็มีสวนยางตลอดทาง ดูแล้วเป็นที่น่ารื่นรมย์จริงๆ ทางก็สวย
ขณะที่นั่งไปในรถ ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ บอกว่าสมัยก่อนทางเมืองแขกเขาสวย เราสู้เขาไม่ได้เพราะเรายังไม่ได้สร้าง เวลานี้เราสร้างแล้ว
ปรากฏว่าของเราสวยกว่าเมืองแขก ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าโลกเป็นอนิจจัง หาอะไรแน่นอนไม่ได้ ของที่สร้างมาก่อนมันก็เก่ามันก็พังไป
ของเราสร้างใหม่มันก็ดีกว่าของเขา
แต่พอของเราเก่า เขาสร้างใหม่ ของเขาก็ดีกว่าของเรา นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา จะไปโทษกันก็ไม่ได้ เป็นอันว่าทางสายนี้เป็นทางน่ารื่นรมย์จริงๆ
สองข้างทางเต็มไปด้วยสวนยางแลดูเขียวชอุ่มพุ่มไสว
ขณะที่เดินทางไปฝนก็ตกปรอยๆ ไม่หนานัก พอไปถึงเขตแดนไทยต่อมาเลเซีย ทางด้านนี้เป็นด่านของไทย ด้านโน้นเป็นด่านของอาบัง คือแขก
เขาเรียกว่าแขกหรือไม่ก็ไม่ทราบ เป็นมาเลเซีย
พอไปถึงที่ด่าน รู้สึกว่าด่านฝ่ายไทยสร้างดีมาก กว้างขวางเป็นที่น่ารื่นรมย์ น่าชม เดินเที่ยวอยู่พักหนึ่ง เจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่า
ถ้าเอาพระไปด้วยละ ไอ้บังมันมักจะโกง เวลาจะกลับมาดีไม่ดีมันแกล้งกักเสียเฉยๆ มันไม่ยอมให้มาง่ายๆ จึงต้องไปตามท่านเจ้าหน้าที่
คือนายด่านของไทยมานั่งรถไปด้วย ท่านก็ดีแสนดี ช่วยไปเป็นประกัน
เมื่อผ่านด่านไทยเข้าไป ไปถึงด่านของอาบัง อาบังเห็นนายด่านไทยเขาก็ก้มหัวให้ ท่าทางแขกนี่พิลึกๆ ดูท่าทางแกชอบโก้ แกชอบเด่น
เมื่อรถของเราเข้าไปแล้วสักครู่หนึ่งก็เข้าไปถึงตลาด ภายในแดนมาเลเซียเห็นจะเป็นเวลาประมาณ ๐๙.๓๐ น. เศษๆ เข้าพรมแดนเข้าไปแล้วก็ไปถึงอะไร
อ๋อ..ปาดังเบซาร์หรือจังโหลน
ตานั้นเห็นจะเป็นปาดังเบซาร์ที่ผ่านเข้าไป พอใกล้เวลา ๑๑.๐๐ น. ก็ถึงตลาดในมาเลเซียที่ใกล้เขตแดนไทย ตั้งใจจะไปดูอาหารอาบังสักหน่อย
ว่าแขกนี่เขากินอะไรกันบ้าง
เดินมาเดินไป เดินไปเดินมา บังเอิญเวลานั้นฝนตกค่อนข้างหนัก จะไปไหนก็ต้องใช้ร่มกัน เป็นการป้องกันการเปียกฝน เป็นอันว่าการเที่ยวเมืองแขกหมดสนุก
เรียกว่าแขกรวยฝน
แกจะรวยหรือไม่รวยก็ไม่ทราบ ฝนมันตกไม่ขาด เดินไปแล้วก็เดินมา เดินมาแล้วก็เดินไป เพราะว่าตลาดมันไม่ใหญ่ ไม่มีอะไรดี
ดูของแต่ละอย่างก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าซื้อ
ถึงน่าจะซื้อก็ไม่ควรจะซื้อเข้ามา เขาบอกว่าของที่มาเลเซียบางอย่างถูกกว่าสงขลาหรือหาดใหญ่ ถ้าจะซื้ออะไรก็เกรงใจท่าน ม.ล.วรวัฒน์
เพราะว่าจะไปไหนท่านสะกดรอยตามอยู่ตลอดเวลา
ถ้าอยากซื้อเมื่อไหร่เป็นจ่ายเงินทันที ตรงนี้ซีบรรดาท่านพุทธบริษัท ทำเอาซื้อไม่ได้..อายท่าน เพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเกินไป
และอีกประการหนึ่ง พระต้องเคารพต่อกฎหมายของบ้านเมือง คือด่านภาษี ถ้าเราของติดตัวมา ๑ ชิ้น นี่กฎหมายอนุญาต ถ้าเป็นชินที่ ๒ ก็ต้องเสียภาษี
นี่ถ้าจะซื้ออะไรจริงๆ กันก็ต้องเกิน ๑ ชิ้นแน่
เลยตัดสินใจไม่ซื้อดีกว่า เดินมาเดินไป เดินไปแล้วก็เดินมา เห็นของที่ชอบใจมีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือกระเป๋าเล็กๆ เป็นกระเป๋าสำหรับให้เด็กใส่หนังสือ
แต่ทว่ามีสายสะพายยาว ความจริงอยากจะได้ เพราะดูในตลาดของไทยมานานแล้วไม่พบ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะความแก่มันปรากฏ คิดว่าถ้าเราได้มามันก็จะดี
เวลาเอาอะไรต่ออะไรใส่กระเป๋าลงไปมันใช้การสะพายดีกว่าหิ้ว สะดวกดี แต่ถึงแม้ว่าพอใจก็ซื้อไม่ได้ เกรงใจท่าน ม.ล.วรวัฒน์ท่านจะจ่ายสตางค์
เลยต้องอดใจเข้าไว้
เป็นอันว่าต้องใช้ขันติอด ความจริงก็ไม่ได้คิด เลยมาแล้วก็แล้วกัน คิดว่าไอ้นี่มันดี ดีกว่าย่าม หาอะไรก็ได้มีสายสะพายยาว สะพายแล่งก็ได้ คิดจะไปไหนก็สะดวก
เพราะคนแก่หิ้วอะไรไม่ค่อยไหวต้องใช้บ่าช่วย
พอถึงเวลาฉันเพล คิดว่าจะมีอาหารแขก กลายเป็นอาหารเจ๊ก แล้วแขกที่นั่นก็พูดภาษาไทยชัด พูดภาษาเจ๊กคล่อง ก็ปรากฏว่าไม่ใช่แขก เป็นเจ๊กทั้งหมด
แกพูดคล่องจริงๆ มาดูตามประวัติในพระไตรปิฎกเขาบอกว่าผิวพม่านัยน์ตาแขก แขกนัยน์ตาสวยเหมือนตาเนื้อทราย ถ้าผิวสวยต้องเป็นพม่า
ความดีของ "พระเจ้ารามคำแหงมหาราช"
...เป็นอันว่าเดินทางสองคราว ไปภาคเหนืออยากจะดูผิวพม่ากลายเป็นคนผิวเจ๊กไป ปรากฏพบแต่สาวเจ๊ก ทีนี้จะไปดูตาแขกว่า ตาเนื้อทรายมันสวยขนาดไหน
ก็กลายเป็นเจอะเอาตาเจ๊กเข้าไปอีก
เป็นอันว่าไปเหนือก็ชนเจ๊ก ไปใต้ก็ชนเจ๊ก ไปเมืองแขกก็ชนเจ๊ก ไปเมืองพม่าก็ชนเจ๊ก เป็นอันว่าหมดเรื่องกันไป
พอฉันเพลแล้ว ก็เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป รำคาญใจกลับดีกว่า เพราะว่าไม่เห็นมีอะไรดีกว่าเมืองไทย เราเที่ยวหาดใหญ่หรือสงขลาดีกว่ามาเลเซียตั้งเยอะ
ถ้าเราจะเลยไปปีนังก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ค่าใช้จ่ายก็สูง หรือว่าจะเลยไปสิงคโปร์มันก็แค่คนเห็นคน แผ่นดินก็เป็นแผ่นดิน
แต่ว่าเดินทางมาตรงนี้ นึกถึงความดีของ "พระเจ้ารามคำแหงมหาราช" ที่พระบาทท้าวเธอแผ่อานุภาพไปถึงยะโฮร์ หรือสิงคโปร์
แล้วก็ไม่ใช่พระองค์องค์เดียว พ่อแม่ทั้งหลายของเราทุกคนที่เสียสละเลือดเนื้อ เข้ามาหาพื้นที่ ที่เป็นสมบัติของเรา
ท่านตายไปแล้ว เราก็คิดว่าเราเดินมานี่เดินมาบนผืนแผ่นดินที่เฉลี่ย เกลี่ยไปด้วยเลือดและเนื้อของบรรพบุรุษ ซึ่งมีพระคุณยิ่งทั้งชายและหญิง
เราถือว่าเป็นพ่อและแม่ เดินไปเดินมาก็นึกถึงความดีของบุพการี อยากจะนั่งลงกราบ นอนลงกราบสักร้อยครั้งพันครั้งมันก็ยังไม่เท่าความดีของท่านเหล่านั้น
เมื่อฉันเพลเสร็จ เดินมาเดินไป เดินไปเดินมา เวลา ๑๔.๐๐ น. ก็เดินทางกลับ กลับมาแล้วก็มานั่งอยู่ในเขตไทย
เลยด่านมาหน่อยเจอตลาดๆ หนึ่ง อำเภออะไรก็ไม่ทราบ ลืมดูไปไม่รู้ว่าอำเภออะไร ดูเหมือนกันแล้วก็ลืมจำ บรรดาประชาชนคนที่ไปด้วย
คณะทั้งหลายก็พักรับประทานอาหาร
อีตอนนี้พบแขก อ้าว..ดันมาเจอะแขกในเมืองไทย แล้วก็เจอะแต่สาวน้อยไม่ค่อยมีสาวใหญ่ คือคนที่มีความสาวเหลืออยู่เล็กน้อย ดูแล้วผิวกายของแกคล้ำๆ ไปหมด
ปรากฏว่าไม่ค่อยมีคนผิวขาว แต่งตัวอยู่กับบ้านแบบกันเอง
เมื่อเสร็จจากนั้นแล้วก็เดินทางกลับถึง อ.หาดใหญ่ ไปชมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แล้วก็ชมห้างร้านอำเภอหาดใหญ่ ชมจริงๆ ชมห้างจริงๆ ไม่ได้ซื้อของ
แต่บรรดาท่านผู้หญิงทั้งหลายพากันซื้อของ แล้วมีท่านชายท่านหนึ่งนิยมชอบเสื้อสวยๆ ผ้าสวยๆ ก็คือ เจ้าคุณมัสสุสิงหนาท
ท่านเจ้าคุณมัสสุสิงหนาทนี่ ชอบแต่งตัวสวยๆ มีจริยาท่าทางมีความปรารถนาคล้ายผู้หญิง ตัวท่านเองน่ากลัวจะเป็นกะเทยเพราะไม่เคยแต่งงาน เมื่อชมไปชมมา
ชมมาแล้วก็ชมไป คิดไปคิดมากลับไปนอนดีกว่า
เวลาประมาณใกล้ ๑๘.๐๐ น. ก็กลับโรงไฟฟ้าฝ่ายผลิต อ.หาดใหญ่ นอนพักผ่อน แต่ก่อนจะนอนก็เดินไปเดินมา เดินมาแล้วก็เดินไป แก้เมื่อยอยู่พักหนึ่ง ท่าน
ม.ล.วรวัฒน์ ก็พักอีกห้องหนึ่ง
พบบรรดาพ่อเมืองเก่า
...ตอนกลางคืน ประมาณ ๓.๐๐ น. ได้ยินเสียงใครมาเรียก ลืมตาขึ้นมาปรากฏว่าไม่ใช่คน แต่รูปร่างเหมือนคน แต่ทว่าเป็นคนประเภทผี
ท่านผู้นี้ปรากฏว่าเป็นผู้ใหญ่มาก เข้ามาคุยด้วย แต่จะเป็นใครไม่บอกให้ฟัง เห็นจะเป็นบรรดาพ่อเมืองเก่าทั้งหลายเหล่านั้นที่เคยรู้จักกัน
เขาบอกว่าเขาเคยรู้จัก แต่อาตมาไม่รู้จัก มันจำไม่ได้ ท่านคุยแล้วเราก็หลับ หลับแล้วก็ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ท่าน ม.ล.วรวัฒน์ ถามว่าคืนนี้เสียงใครขอรับ
ก็เลยบอกเสียงพวกเขามาคุย บอกเท่านั้น ไม่บอกว่าเป็นใคร.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 25
หาดใหญ่ - กรุงเทพฯ
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
"...เวลาเช้าวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตอนนี้จบ เอวัง..สำหรับสายใต้ แต่ยังไม่จบเลย จบแต่ตอนนี้แล้ว จะมาย้อนกลับไปตั้งต้นกรุงเทพฯ
ถึงชุมพรอีก
วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ มิถุนายน เป็นวันเดินทางกลับ ๐๗.๐๐ น. บริโภคอาหารเช้าตามปกติตามอัธยาศัย พวกที่ไปด้วยบริโภคอาหารในตลาด
อาตมาก็ว่าข้าวต้มจากบรรดาท่านพุทธบริษัทชาวหาดใหญ่ บรรดาท่านเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ท่านมากันพร้อมเพรียง
น่าชื่นใจจริงๆ ทั้งผู้ชายผู้หญิงมีจริยาน่ารักทุกคน แน่ใจว่าบรรดาท่านพวกนี้เป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัว เป็นคนมีจริยาดีเหมือนกันหมด
เวลา ๐๙.๐๐ น. เดินไปเดินมา แล้วก็เดินมาเดินไปอยู่แถวหาดใหญ่ ๑๐.๐๐ น ออกจากโรงแรมหาดใหญ่สำหรับท่านผู้พัก ๑๐.๓๐ น. เขาก็มากันที่โรงไฟฟ้ากังหัน
แก๊สหาดใหญ่ฝ่ายผลิตมานั่งชุมนุมจ้อกแจ้ก...เป็นตลาดนกกระจอกอยู่พักหนึ่ง
๑๐.๔๐ ออกจากโรงไฟฟ้ากังหันฝ่ายผลิต อ.หาดใหญ่ไปสนามบินหาดใหญ่ ตอนนี้เตรียมตัวเดินทางกลับ ๑๑.๒๐ น. ฉันอาหารเพลที่สนามบินหาดใหญ่ แล้วเวลา ๑๒.๒๐ น.
ก็ลาบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่มาส่ง
ขึ้นเครื่องบิน บดท. บริษัทเดินอากาศไทย กลับกรุงเทพเป็นทางสายตรง เป็นอันว่าความดีของท่าน ม.ล.วรวัฒน์ พร้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่องค์กรไฟฟ้าฝ่ายผลิต
จังหวัดกระบี่
หรือเจ้าหน้าที่ตรวจสายสร้างความดีให้แก่บุคคลทั้งหลาย เป็นที่ควรแก่การสรรเสริญอย่างยิ่ง เพราะว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดปรากฎว่าไม่ได้รบกวนทางราชการ
เป็นเรื่องส่วนตัวทั้งหมด
ตอนเดินทางขึ้นเครื่องบินสำหรับที่หาดใหญ่ไม่เหมือนที่ดอนเมือง ที่ดอนเมืองนี่เขามีเบอร์ให้ ใครจะนั่งที่เท่าไหร่ๆ เขามีหมายเลขให้
แต่ว่าที่หาดใหญ่นี่เขาไม่มีหมายเลขให้ ให้นั่งกันตามอัธยาศัย
เมื่อเวลาเครื่องบินเข้ามาถึง จอดปุ๊บ..ประเดี๋ยวเดียว เขาก็แจ้งให้ทุกคนขึ้นเครื่องบินได้ อาตมาก็เดินไปเป็นคนแรก
มีเจ้าหน้าที่สตรีของการบินบอกว่า นิมนต์นั่งข้างหน้าเจ้าค่ะ ให้นั่งข้างหน้าสุด เวลาขาไปก็นั่งหน้าสุด เวลาขากลับก็นั่งหน้าสุด
เมื่อเข้ามานั่งข้างหน้าก็เลยชวนพรรคพวก เพราะว่าเขาไม่มีหมายเลขนี่ ใครนั่งตรงไหนก็ได้ ให้มารวมเป็นกลุ่ม คนที่นั่งร่วมกับอาตมาก็คือเจ้าคุณมัสสุสิงหนาท
ท่านนั่งมาเป็นเพื่อน
พอเครื่องบินขึ้นจากหาดใหญ่ เวลาขากลับไม่ใช่เดินทางสายที่ไป เพราะเวลาที่ไปจริงๆ เครื่องบินเลาะลัดชายทะเลฝั่งขวาเรื่อยไป ไปลงที่ภูเก็ต
แต่ว่าเวลามาคราวนี้ เครื่องบินไม่ได้เลาะผืนแผ่นดิน ข้ามทะเลจากหาดใหญ่ตัดมาที่นี่เห็นแหลมงอบ แล้วก็ตัดมาทางชลบุรีเข้ากรุงเทพฯ
เป็นอันว่าเดินทางตรง ขากลับท่าน ม.ล.วรวัฒน์ให้กล้องส่องทางไกลมาด้วย เพราะระยะทางที่เดินอยู่ในระหว่างนั้น ท่านมีกล้องส่องทางไกลเล็กๆ
บอกว่าซื้อมาจากรัสเซีย
แต่ทว่ามีคุณภาพดีกว่ากล้องส่องทางไกลใหญ่ๆ ที่มีอยู่ เห็นชัดดีกว่า ความจริงนี่ไม่ได้โฆษณาขายของรัสเซีย เราพูดกันแบบตรงไปตรงมา
เวลาที่เครื่องบินเหินขึ้นฟ้าก็มองดูผืนแผ่นดินไทย
ต่อมาก็พบทะเลสาบใหญ่ผ่านมา จากนั้นเครื่องบินเข้าเขตทะเลตอนนี้ก็เห็นน้ำกับฟ้า มองลงมาข้างล่างบางขณะก็เห็นเรือเดินทะเลบ้าง
เรือตังเกหาปลาบ้างวิ่งกันอยู่ขวักไขว่
แต่ว่านั่งบนเครื่องบินมันเห็นได้ไกล เห็นได้ไกลมาก ก็รู้สึกว่าเครื่องบินที่นั่งไปมันแล่นไม่เร็วนัก แต่ความจริงน่ะเครื่องบินนั้นมีความเร็วสูง
เพราะว่ามีเครื่องเจ้ดช่วยหมุนใบพัด ไม่ใช่เครื่องดีเซลหรือเครื่องเทอร์ไบน์อะไรหมุนใบพัด โดยเฉพาะเขามีเครื่องหมุนกังหันช่วย
มีความเร็วสูงกว่าเครื่องปกติ ที่นั่งก็สบาย
ขากลับนี้ไม่มีใครเป็นอะไร ไม่มีใครเมาเครื่องบิน ทั้งนี้ก็เพราะว่าอารมณ์ชินต่อเครื่องบินสำหรับคนที่ยังไม่เคยขึ้นเครื่องบิน
ถ้าคนที่เคยขึ้นเครื่องบินแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
นั่งมาก็ชมทิวทัศน์ต่างๆ ทางข้างล่างและข้างบน ข้างบนมองขึ้นไปก็เห็นแต่ก้อนเมฆ ฟ้าที่เคยแลเห็นต่ำตามปกติ ขึ้นเครื่องบินไปสูง
แต่ทว่ายังมองเห็นฟ้าสูงตามปกติ
ที่เคยพูดมาแล้วตั้งแต่ขาไปว่า ขึ้นชื่อว่าที่สุดของโลกไม่มี ทีนี้มองลงมาข้างล่างก็เห็นเรือทั้งหลายวิ่งขวักไขว่ไปๆ มาๆ แลดูน้ำทะเลระยิบระยังจับตา
เป็นสีเขียวน้อยๆ สีน้ำทะเล แลเห็นคลื่นน้อยๆ คลื่นไม่ใหญ่นัก เรือที่วิ่งไปไม่โดดคลื่น ก็แสดงว่าลมภายข้างใต้นี้ไม่แรงนัก
นั่งมาแล้วก็คิดไปว่าชีวิตของคนนี่จะเอาอะไรแน่นอนนักมันจะได้ที่ไหน นี่คนที่ขึ้นเครื่องบินอย่างเรานี่ตายแล้วนับไม่ถ้วน
ไม่ใช่ว่าคนที่นั่งเครื่องบินแล้วจะเป็นผู้วิเศษวิโสเสียทุกคนก็หาไม่ ขึ้นมาแล้วก็ตาย เจ้าหน้าที่บังคับเครื่องบินก็ตายมานับไม่ถ้วน
ชั่วสักครู่หนึ่ง เขานำอาหารมาเลี้ยงแก่คนเดินทางบนเครื่องบิน ความจริงอาหารบนเครื่องบินเขาดีมาก แต่ว่าเวลาหลังเที่ยงแล้วพระไม่มีประโยชน์สำหรับอาหาร
เขาก็นำกาแฟดำน้ำตาล และนมสดมาให้ แสดงว่าให้เลือกบริโภคเอา อาจจะให้ดื่มกาแฟดำแล้วตามด้วยนมสด หรืออาจจะคิดว่าถ้าชอบกาแฟดำก็จะได้กินกาแฟดำ
หรือว่าชอบนมสดก็จะได้กินนมสด
อาตมานึกยังงั้น เห็นอีท่านั้นเข้าก็คิดว่าเราต้องหม่ำทั้งสองอย่าง จะไปนั่งดื่มมันทีละถ้วยก็ไม่เกิดประโยชน์
เลยเอาน้ำตาลละลายในกาแฟดำแล้วใส่ไปในถ้วยนมสด
ว่าเสียรวดเดียวหมดสบายไม่ต้องยกบ่อยๆ นี่เป็นเรื่องของคนขี้เกียจหรือคนขยันก็คิดเอาก็แล้วกัน เวลาดื่มของทั้งสองรวมกันเข้าไปก็คิดว่าจะไปแยกกันทำไม
เวลากินเข้าไปมันก็ไปรวมกันในท้อง ก็ให้มันรวมไปแต่ข้างนอก มันจะได้เป็นธรรมสามัคคี ดีไม่ดีเจ้าคนเข้าก่อนก็จะถือว่านี่ที่ของฉันนะ
ฉันมาอยู่ก่อนแกจะแย่งที่ของฉันไม่ได้ ไอ้คนเข้ามาทีหลังก็จะคิดว่าเขาใช้ฉันเข้ามานี่ ฉันไม่ได้เข้ามาเอง ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในที่นี้
ถ้าดีไม่ดี มันเกิดทะเลาะกันขึ้น หาส้วมก็ยาก ถ้าปวดท้องขี้ท้องเยี่ยวบนเครื่องบินมันก็แสนลำบาก เลยล่อมันเสียคราวเดียวกัน
ให้มันรวมเข้าไปแล้วก็เป็นธรรมสามัคคี
เมื่อเวลาดื่มของทั้งสองสามอย่างนี้ก็คิดในใจว่า คนที่เขากินอย่างเรานี่เขาตายมาไม่รู้จักเท่าไหร่แล้ว กินแบบนี้ตาย ไม่ได้กินก็ตาย กินก็ตาย
ประโยชน์อะไรที่อาหารจะทรงอัตภาพของคนได้ตลอดกาลตลอดสมัย ที่เรามามัวเมาเรื่องอาหารกันนั้นว่าอย่างนั้นดี อย่างงี้วิเศษ นั่นมันเรื่องคิดกันเอาเอง
ไอ้ของที่ว่าดีที่วิเศษน่ะมีของอย่างไหนบ้างที่กินเข้าไปแล้วคนไม่แก่ มีของอย่างไหนบ้างที่กินเข้าไปแล้วคนไม่ป่วยไข้ไม่สบาย
มีของอย่างไหนบ้างที่กินเข้าไปแล้วคนไม่ตาย
คนที่คิดที่มีความเข้าใจ ที่เขาเรียกว่าเป็นศาสตราจารย์ หรือว่าสาดกะลาสาดจานอะไรก็ตาม บอกว่าอย่างโน้นก็ดีอย่างนี้ก็ดี อย่างนี้ก็วิเศษ อย่างโน้นก็วิเศษ
อย่างนี้ใช้ไม่ได้ไม่เป็นประโยชน์
ในที่สุดคนที่แนะนำเองนั่นแก่แล้วก็ตาย แล้วรู้จักป่วยเหมือนกัน เป็นอันว่าเรื่องอาหารที่บริโภคที่คิดว่าอย่างโน้นดีอย่างนี้ดีน่ะ
เป็นเรื่องที่คิดกันเอาเอง เดากันเอา
เขาเรียกว่าเดา ไม่ใช่รู้จริง ถ้ารู้จริงก็ต้องรู้อย่างพระพุทธเจ้า ถือว่าอาหารที่เราจะบริโภคเข้าไปน่ะ เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น
เราจะกินยังไงๆ ร่างกายมันก็พัง ร่างกายมันก็ตาย มันมีความทรุดโทรมเป็นปกติ นี่ท่านบอกว่าจงอย่าหลง จงอย่างคิดว่าอาหารที่เรากินมันเป็นของวิเศษ
จะช่วยให้เราไม่ตาย จะช่วยให้เราไม่เจ็บไข้ไม่สบาย จะใช่ให้เราไม่ป่วย อย่างไปหลงมันอย่างนั้น
นี่ว่ากันเรื่องอาหาร ขัดคอชาวบ้านบ้างหรือเปล่าไม่ทราบจะขัดคอใครหรือไม่ขัดคอใครก็ตาม อยากพูดเสียอย่าง เมื่อพูดแล้วก็แล้วกันไปใครจะด่า ใครจะว่า
ใครจะนินทา ก็เป็นเรื่องของชาวบ้าน
หลวงพ่อย้อนรำลึกถึง "ประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยอินโดจีน"
...เมื่อเดินทางผ่านมา มองลงไปข้างล่างเห็นเกาะช้าง แล้วก็แหลมงอบ มันแหลมออกมา นึกถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยอินโดจีน
ที่เรือรบของเราต้องปะทะกับลาม็อตปลิเกต์ ความจริงตอนนั้นยุทธวิธีของเราพลาดไปหน่อย ที่ให้เรือรบทุกลำสงวนเชื้อเพลิง นี่ซีไม่เป็นเรื่อง
แล้วก็ให้เรือรบทุกลำแยกกำลังกัน เพราะกำลังของเรามันน้อยอยู่แล้ว เราเสียท่าข้าศึก เพราะข้าศึกลอบโจมตี แต่ก็เป็นสิ่งสลดใจของน้ำใจทหารไทยคนหนึ่ง
ภายหลังมียศเป็นพลโท
คนนั้นเป็นผู้บังคับการเรือหลวงระยอง เขาให้ออกลาดตระเวน ปรากฏว่าท่านผู้นี้ไปพบขบวนเรือของฝรั่งเศสเข้า วิ่งหนีมาจอดอยู่ท้ายเกาะเสม็ด
แล้วก็ไม่แจ้งให้กองเรือที่อยู่ที่นั่นทราบ
ซึ่งมีหลวงพร้อมวีรพันธ์เป็นผู้บังคับการเรือ เรียกว่าเป็นผู้บังคับการเรือธง ไม่บอกเสียด้วย แกก็มานอนจอดหลบอยู่
ปล่อยเรือข้าศึกโจมตีเรือของเราที่กำลังจอด เรือสงขลาหรือว่าธนบุรีจำไม่ได้ เสียท่าข้าศึก ไม่มีทางสู้เลย ข้าศึกยิงจมทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดึงสมอ
แล้วก็ในจำนวน ๒ ลำนี่แหละ ไม่ทราบว่าสงขลาหรือธนบุรี ถูกยิงท้ายจมหัวโด่ง เวลานั้นเรือตรีจิตต์เป็นสะหรั่งปืน สั่งยิงเรือข้าศึกทั้งๆ
ที่ท้ายจมหัวโด่งเราเป็นเป้านิ่งให้เขายิง แต่ก็สามารถยิงเรือสลุปจมไปได้ ๒ ลำเรือที่ติดตามมากับลาม็อตปลิเกต์ลงก้นทะเลไป
เป็นอันว่า ปืนใหญ่หัวเรือกระบอกเดียวสามารถสังหารข้าศึกได้ ๒ ลำ เป็นอันว่าเลยไม่มีใครขาดทุนไม่มีใครได้กำไร
ตานี้มาว่าถึงเรือธงต่อเรือธงสู้กัน ของเขา ๙,๐๐๐ ตัน ของเรา ๒,๕๐๐ ตัน เล็กกว่ามันมากทั้งยังถอนสมอไม่ขึ้นยังกว้านสมอไม่ขึ้น
เขาก็ยิงเอาๆ เราก็ยิงตอบ เวลาถอนสมอขึ้นแล้ว หลวงพร้อมวีรพันธ์ผู้มีน้ำใจกล้าหาญเป็นที่สุด เป็นน้ำใจของคนไทยแท้ สั่งเรือให้บุกเข้ากระชั้นชิด
ความจริงเรือของเราได้เปรียบกว่า เรือเล็กแต่ว่าปืนโตกว่ายิงได้ไกลกว่า ของเขา ๙,๐๐๐ ตัน เรา ๒,๕๐๐ ตัน เขาใช้ปืน ๖ เราใช้ปืน ๘
กำลังปืนของเรายิงวิถีกระสุนได้ไกลกว่าเขา
ถ้าหากว่าเราจะหนีออกมาให้ได้ระยะกระสุนของเรา แต่เขายิงไม่ถึงเราจะได้เปรียบ แต่ว่าน้ำใจทหารหาญ เรือ ๒ ลำจมไปแล้ว
ตานี้เหลือพี่เบิ้มกับพี่เบิ้มสู้กัน ก็ตั้งใจจะสังหารให้ได้ผลจริงๆ สั่งเรือให้บุกเข้าใกล้ที่สุดที่จะใกล้ได้
ผลที่สุดตัวท่านหลวงพร้อมวีรพันธ์เองก็ถูกยิงที่ขาขาดไป
แต่ท่านก็ไม่แจ้งใคร ยังบัญชาการให้ลูกน้องทำการรบต่อไปเป็นปกติ นี่น้ำใจของทหารเรือไทยเป็นอย่างนี้ แล้วในขั้นสุดท้าย
ปืนใหญ่ของเรือไทยก็กวาดเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ มีหอการรบ หอบังคับการ ป้อมปืนทั้งหมดของลาม็อตปลิเกต์ลงน้ำไปหมด ไฟลุกบนดาดฟ้าเรือวิ่งโชน วิ่งหนีกลับไป
แต่ทว่าขณะที่เรือของเราถูกโจมตี เจ้าหน้าที่สื่อสารเคาะโทรเลข เอส.โอ.เอส. หมายความว่าขอความช่วยเหลือจากเรือที่อยู่ในเกาะใกล้เคียง
ปรากฏว่าทางสัตหีบ แม่ทัพเตรียมพร้อมแล้วยามฝั่งทั้งหมดล้อมเรือหลวงอ่างทองเอาไว้ เพราะแม่ทัพอยู่ที่นั่น
แต่ก็ไม่ได้มีเรืออะไรวิ่งเข้าไปช่วยเพราะระยะมันไกล
ตานี้ทางเครื่องบินได้รับวิทยุอย่างนั้นก็ส่งเครื่องบินไปช่วย ไม่ได้ช่วยโจมตีข้าศึก ช่วยโจมตีเรือไทย หมู่แรกบินไปทิ้งระเบิดลงเรือธนบุรี เพราะเข้าใจผิด
หมู่ที่ ๒ ไปอีก เจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันดับไฟ ทหารทั้งหมด กางธงชาติให้ดู แต่แกก็คิดว่าข้าศึกหลอกลวง เอาระเบิดล่อลงไปอีก แถมยิงกราดด้วยปืนกลเสียด้วย
ช่วยกระหนาบ
ตอนนี้ไฟไหม้สะพานเดินเรือ หลวงพร้อมเห็นท่าไม่ได้การ ถ้าปล่อยไว้กระสุนดินดำจะระเบิดเป็นการทำลายตัวเองอย่างหนักคนจะตายหมด เลยสั่งให้ไขก๊อกจมตัวเอง
ทหารทุกคนต้องว่ายน้ำขึ้นเกาะช้าง
หลวงพร้อมวีระพันธ์ทหารพึ่งทราบว่าขาท่านขาดก็เอาใส่เรือบดขึ้นเกาะช้าง ในที่สุดท่านเสียใจ เพราะเสียทีข้าศึก จึงยกปืนพกขึ้นยิงตัวตาย เลยเลื่อนเป็นนาวาเอก
ตอนนั้นเป็น "นาวาโท"
ภาพ "เกาะช้าง" มองจากบนเครื่องบิน
...นี่เห็น "เกาะช้าง" จึงนึกสลดใจ พี่น้องทั้งหลายชาวไทยทั้งหมดจะเป็นทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ ทหารอะไรก็ตามหรือชาวบ้านก็ตาม
ก็เป็นคนไทยเหมือนกัน
ท่านทั้งหลายแสดงเป็นวีรบุรุษ คือแสดงความกล้าหาญ สละชีวิตเพื่อประเทศชาติ เราผ่านมาตรงนั้นก็น้อมนึกถึงความดีหรือเคารพความดีของท่าน
พอถึงตรงนี้ เจ้าคุณมัสสุสิงหนาทจำไม่ได้ว่ามันที่อะไร ชี้ไปว่าท่าจะเป็นเกาะกง บอกโน่นดูแหลมมันยื่นออกมา ตรงนี้เป็นแหลมงอบ
เมื่อผ่านมาแล้วมาทางชลบุรีเห็นน้ำเป็นฝา เป็นน้ำมันก็เลยคิดว่านี่ท่าจะเป็นบางจาก เดาๆ เอาเพราะไม่เคยขึ้นอากาศ
แล้วเครื่องบินก็ผ่านมาใกล้จะถึงดอนเมืองเห็นพื้นที่นาราบเรียบ เห็นอาคารข้างล่าง
เครื่องบินลดความสูงลงมาๆ เป็นลำดับ ในที่สุดก็แตะพื้นดินของดอนเมือง เมื่อหยุดต่างคนต่างลงจากเครื่องบิน ปรากฏว่ามิตรสหายทั้งหลายไปรับเป็นจำนวนมากดีใจกัน
นึกขอบคุณท่านทั้งหลายที่ไปกันทุกคน มีบางท่านมีรถยนต์ไปเกรงว่าจะหาคนนั่งไม่ได้ เพราะว่ารถยนต์หลายคัน นี่น้ำใจของคนไทยเรานั้น
ความจริงประกบอยู่กับธรรมะของพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเวลาจะไปก็พากันไปส่ง เวลากลับมาก็พากันไปรับ ดีอกดีใจที่พากันกลับ
แต่ความจริงไม่ได้ไปไหน ไปเมืองไทย ย่องๆ เข้าไประยะทางเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ความจริงก็คิดอยู่แล้วว่าอาณาจักรใกล้ๆ ของคนไทย เป็นเมืองลาวก็ดี เมืองเขมรก็ดี เมืองพม่าก็ดี เมืองแขกมาเลเซียก็ดี
อันนี้ เราก็ทราบกันดีแล้วว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าเมืองไทย สิ่งที่น่าปลื้มใจสำหรับคนไทยก็คือชาวหาดใหญ่
หรือว่าชาวสงขลาที่มีความฉลาดดูดเงินตราของอาบังไว้ได้
คือ ๑. หมอดียาราคาถูก (ความจริงไม่ถูกนัก แต่ว่าถูกสำหรับแขก แขก ๑ เหรียญเท่ากับไทย ๘ บาท) หาดทรายของสงขลาหรือหาดใหญ่ ก็รู้สึกว่าเป็นสถานที่รื่นรมย์ดี
ถ้าจะว่ากันไปอีกทีก็ไม่แพ้ปีนัง ถามว่าเคยไปหรือเปล่า ก็ตอบได้ว่าไม่ได้ไปหรอก แล้วทำไมว่าไม่แพ้ปีนัง? เพราะอะไร ตอบว่าเพราะใกล้กว่า
แล้วจะไปแพ้ปีนังได้ยังไง ไอ้ปีนังมันก็อยู่ที่ปีนัง หาดใหญ่มันก็อยู่ที่หาดใหญ่ สงขลาก็อยู่ที่สงขลา แผ่นดินต่อแผ่นดินไม่มีโอกาสที่จะยกทัพเข้าไปรบกันได้
ก็ไม่มีใครแพ้ใครชนะ เป็นอันว่าเราไม่แพ้เขา เขาก็ไม่แพ้เรา
ตานี้ เมื่อถึงกรุงเทพฯ แล้ว กิจการเดินทางมันก็ยังไม่จบ มันยังจะต้องเดินทางกันต่อไป ได้พักกรุงเทพฯ ๓ วัน วันที่ ๑๓ ๑๔ ๑๕ น่ากลัวจะเป็นวันที่ ๑๖
จะต้องเดินทางลงไปที่โน่น จังหวัดราชบุรี
แล้วออกจากราชบุรีไปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ออกจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ไปจังหวัดชุมพร นี่มีเวลาพักนอนได้จริงๆ ๒ คืนหรือ ๓ คืนเท่านั้น
เป็นอันว่า เรื่องราวของการเดินทางสายใต้ในระยะที่ ๓ หรือว่าตอนที่ ๓ ก็น่าจะยุติกันไว้เพียงเท่านี้
ก่อนที่จะจบ ก็ขอสดุดีความดีของเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต มีท่านผู้อำนวยการ (เขาเขียนชื่อมาให้เหมือนกัน จำไม่ได้)
แล้วมีท่านรองผู้อำนวยการ คือ ม.ล.วรวัฒน์ นวรัตน์ พร้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่ (จะเรียกว่าบริษัทก็ได้กระมัง)
ทั้งหมดที่มีความเมตตาปรานีกับสาวกขององค์สมเด็จพระสุคตบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยคณะ ที่ได้สงเคราะห์อนุเคราะห์คณะที่ไปทั้งหมด
ความดีของท่านนี้ คณะของเราจะจารึกความดีของท่านไว้ และขอทุกท่านจงมีความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
และมีความประสงค์สิ่งใดก็ให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา นี่ยังไม่จบ เวลามันยังไม่หมดยังเหลืออีก ๒ นาที
คุณหญิงสมสมัย ศรีไชยันต์
...ขอพูดสักนิด เวลาที่ขึ้นเครื่องบินมาคนที่มีกำลังแข็งแรงที่สุดก็คือไอ้หมู ไอ้หมูนี่ใครแน่ คุณหญิงสมสมัย ศรีไชยันต์ คณะของท่านเรียกว่า "ไอ้หมู"
ไอ้หมูนี่แข็งแรงจริงๆ สมกับชื่อว่า "ไอ้หมู" แกนั่งมาบนเครื่องบินแกคุยตลอดทาง
คนอื่นเงียบเสียงแจ๋วๆๆๆ ไอ้หมูไม่มีขาด ตั้งแต่เครื่องบินขึ้นจนถึงเครื่องบินลง ความจริงการใช้เสียงนี่เหนื่อย แต่ไอ้หมูไม่เหนื่อย..เก่งมาก
เสียงไอ้หมูนี่ขาดไปนิดหนึ่ง ชั่วระยะเวลาสั้นๆ นั่นก็คือ เวลาเคี้ยวอาหารที่เจ้าหน้าที่ของเครื่องบินเขานำอาหารมาส่งให้
มีจังหวะเวลาเล็กน้อยเท่านั้นที่เสียงไอ้หมูหายไป
ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่นินทาว่าร้าย คือ น่าปลื้มใจกับแรงงานของไอ้หมู แต่ไอ้หมูนี่เก่งมาก เดินก็เก่ง ขึ้นที่สูงก็เก่ง คล่องแคล่วทุกอย่าง
ท่าทางก็เป็นหมู คือ..อ้วน แต่อ้วนแล้วก็แข็งแรง แถมมีแรงพูดเก่งอีกด้วย แหมช่วยให้พวกเราไม่เหงา ชื่อว่าเป็นความดีที่ช่วยให้พวกเราไม่ง่วง
ตื่นอยู่ตลอดเวลา
เอาละเวลาหมดแล้วนี้ ก็ขอยุติตอนที่ ๓ ของการเที่ยวสายใต้ไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้อ่านและรับฟังทุกท่าน...สวัสดี.
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 26
เรื่องการบูชาเทวดา
...ตอนที่แล้วมาค้างอยู่ที่บ้าน 'นายฮวด' อ.ดำเนินสะดวก ว่าพูดถึงเรื่อง "การบูชาเทวดา"
ที่ว่าบรรดาท่านนักปราชญ์ทั้งหลายได้พากันประณามว่า
คนที่ยกศาลพระภูมิก็ดี บูชาเทวดาก็ดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่ยอมเคารพในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วมายั้งอยู่ตรงว่า บรรดาท่านนักปราชญ์ทั้งหลายคง จะลืมพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่ากันด้วย 'อนุสสติ ๑๐' คือว่า 'เทวดานุสสติกรรมฐาน'
พากันประณามเทวดาเสียย่ำแย่
เข้าใจว่าท่านทั้งหลายพวกนี้คงจะเป็นศัตรูกับเทวดา อาจจะมาจากพวกอสูรที่เคยรบกับเทวดาก็ได้ นี่เป็นความเข้าใจ
ไม่ใช่แกล้งว่าแกล้งกล่าวเขา เพราะสงสัยว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น ประกาศตนมาเป็นสาวกขององค์พระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วทำไมจึงได้พากันคัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
นี่..น่าสงสัย แล้วคงจะลืมไปว่า คนที่คัดค้านคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า 'เดียรถีย์' แปลว่า 'เป็นบุคคลภายนอก'
คนที่นอกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่พวกของพระพุทธเจ้า เป็นพวกของเทวทัต เวลานี้มีท่านบริษัทของคณะใดคณะหนึ่งออกประกาศ
บอกว่าเรื่องสวรรค์ก็ดี นรกก็ดี ผีก็ดี เทวดาก็ดี มีบางท่านออกประกาศเป็นหนังสือแจกกันก็มี ว่ารับรองว่าเป็นเรื่องจริง แต่ว่าท่านผู้นั้นบอกว่าไม่จริง
นี่สงสัยความจริงการรู้เรื่องผีก็ดี เทวดาก็ดี นี่เราปฏิบัติกันตามคำสั่งสอนขององค์สามเด็จพระชินสีห์ไม่ยากเลย เพียงแค่ทำจิตของเราให้เข้าถึงแค่
'อุปจารสมาธิ' แล้วก็ฝึกด้าน 'ทิพยจักขุญาณ'
ความจริง 'ทิพยจักขุญาณ' ของเรา แม้เป็นเพียง 'ทิพยจักขุญาณ' ที่เป็นแสงเทียนริบหรี่ๆ มีความสว่างไม่ดี มีความสว่างไม่เท่าของพระพุทธเจ้าก็ดี
ถึงกระนั้นเราก็สามารถพิสูจน์เรื่องผี เรื่องเทวดากันได้แบบสบายๆ ท่านนักปราชญ์ทั้งหลายเหล่านั้น คงจะสงสัย แล้วก็ลืมอ่านคำสั่งสอนของพระจอมไตร
แล้วก็ลืมปฏิบัติตาม เป็นแต่เพียงว่าเอาความนึกความคิดของตนเอง ที่เป็นผู้เสพกามเข้ามาเปรียบเทียบ กับความรู้ของพระพุทธเจ้า ที่เป็นผู้หมดจากกิเลส
เป็นสมุจเฉทปหาน แล้วก็มีอารมณ์เข้าถึงพระนิพพาน
ความจริงเรื่องนี้ แม้แต่พระอรหันต์ทั้งหลายก็รับรอง แล้วทำไมยังมีคนคัดค้านอยู่อีก สงสัยว่าเวลานี้ศาสนาแทรกพระพุทธศาสนาจะเกิดขึ้นแล้ว
แล้วรูปร่างที่ปฏิบัติก็แสดงเป็นแนวเดียวกับพระพุทธเจ้า คือแสดงตนเป็นพุทธบริษัท โกนหัวห่มผ้าเหลืองเหมือนกัน
ถ้าเป็นฆราวาสก็ตั้งท่าตั้งทางบูชาพระพุทธรูป แต่ทว่าข้อวัตรปฏิบัติของบรรดาท่านพวกนั้น ไม่ได้นำเอาคำสั่งสอนของสมเด็จพระทรงธรรม์มาประพฤติปฏิบัติ
ทำไปตามอัธยาศัยของตัว นี่..อย่างนี้จัดว่าเป็นอกุศลกรรมระดับชั่วอย่างที่ช่วยอะไรไม่ได้
นี่มาว่ากันต่อไป ความจริงเรื่องตามนี้มันปรากฏมาแล้วในเรื่องผีเรื่องสาง แต่ทว่าก็มาเล่าไว้ เพราะเป็นสถานที่เกิดเรื่องราวของจังหวัดราชบุรี
หรือว่าดำเนินสะดวกในเขตนี้ ถ้าจะพูดกันสักสามสี่ร้อยหน้ากระดาษพิมพ์ มันก็ไม่จบ ขอเล่าแต่เพียงย่อๆ
การปลูกศาล
...ทีนี้ว่ากันถึง 'การปลูกศาล' ก็มีนายสุวรรณ ลืมนามสกุล เขามาแนะนำให้ชาวบ้านนั้นปลูกศาลเป็นพิเศษ เป็นศาลรวม
ปีหนึ่งก็ให้บูชาเหมือนๆ กัน มาบูชาเป็นจุดเดียวกัน ดีกว่าไปตั้งศาลบวงสรวงในเขตใดเขตหนึ่ง ในบ้านของตัวโดยเฉพาะ
ปีหนึ่งให้มาทำบุญรวมกัน แล้วก็มีคนเขามารายงานอาตมา อาตมาบอกดี..ใช้ได้ คำว่า 'ดีใช้ได้'แบบนี้มีผลในความที่ตั้งใจก็คือ
๑. จะให้มีการรวมใจของคนในถิ่นนั้นให้เข้ามาอยู่ในศูนย์เดียวกัน
ประการที่ ๒. จะให้มีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ทำให้เข้าเป็นพวกเดียวกันไม่แตกแยกเป็นบ้านใครบ้านมัน
ผลก็เป็นจริงตามนั้น แล้วนายสุวรรณคนนั้น ก็พยากรณ์ไว้ด้วยว่า ต่อไปศาลนี้จะศักดิ์สิทธิ์ แล้วมาในระดับนี้ก็ปรากฏว่ามีความศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
เพราะว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง แกไม่ใช่คนทรง แต่ทว่าเทวดาที่เขาเชิญมาบูชา การปลูกศาลนี่ความจริงเป็นการยอมรับนับถือเทวดา ไม่ใช่จะไปเกณฑ์เทวดามานั่งรับใช้
ในเมื่อนายสุวรรณทำเข้า เขาก็พากันมาบูชา ถึงปีก็นิมนต์พระมาสวดมนต์ เย็นฉันเช้าที่โคกหน้าศาล อาตมาก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นประธาน แล้วก็เชิญเทวดาให้เขาทำตามนี้
เวลานี้ความศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นแล้ว เวลาใครทำอะไรไม่ดีไม่ว่าอยู่ที่ไหน
หญิงคนนั้น ไม่รู้เรื่องอะไรก็ปรากฏว่าเทวดาเข้าไปสิงใจ พบหน้าคนนั้นเข้า ก็ชี้หน้าคนนั้น ว่าคนนี้ ว่าไปทำไม่ดีที่ตรงนั้นตรงนี้ เป็นความจริงไหม
เป็นอันว่าบุคคลคนนั้นรับ ว่าเป็นเรื่องของความจริง นี่จะว่าการไหว้เทวดาไม่เป็นประโยชน์ เห็นว่าจะรับรองไม่ได้เสียแล้ว จะเชื่อถือว่าเป็นความดีไม่ได้
นี่ความจริงมันปรากฏขึ้นแล้ว
มีคนพวกนั้นที่เขาประสบจริง เขายอมรับนับถือ แล้วคนที่ถูกว่าถูกประณามก็มาบอกเอง ว่าผมไปทำอยู่ที่ไหนต่อที่ไหนไกลแสนไกล
พอถึงเวลามาใกล้ศาล เจอะหน้ายายคนนั้น แกชี้หน้าบอกว่าไปทำความไม่ดีตรงนั้น..ตรงนี้ แกจะรู้ได้ยังไงขอรับ เพราะว่าผมไปต่างแดนต่างจังหวัด
แกไม่มีโอกาสจะเห็น ผมก็ไม่ได้บอกให้แกทราบ
แต่ทว่าแกรู้ นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ตอนหนึ่ง ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทควรจะรับฟังไว้ แล้วก็ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา ไม่ใช่มานั่งด่าเทวดาเล่น
แม้พระพุทธเจ้าไม่เคยค้านใคร
...แต่ว่าที่อาตมาเห็นผลประโยชน์ อาจจะไม่ตรงกับเขาก็ได้ การจะมีผีเข้าเจ้าทรงแบบนี้อาตมาก็ไม่เคยค้าน เมื่อเขายอมรับนับถือกัน เราก็ยอมรับนับถือได้
เพราะอะไร
เพราะว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสอนพุทธบริษัทตามเขตต่างๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เคยค้านสิ่งที่ชาวบ้านเขายอมรับนับถือ
ทรงสนับสนุนทุกประการ
ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะบรรดาชาวบ้านทั้งหลาย พากันยอมนอบนบยอมเคารพในความจริงส่วนนั้น
เป็นอันว่าชาวบ้านทั้งหลายแถบนั้นเป็นผู้มีศรัทธา ในเมื่อเขามีศรัทธาเกาะอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่นี้ เป็นความดี
ที่เราจะนำธรรมขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าไปแทรกแซงไว้ทีละนิดทีละหน่อย โดยไม่ให้คนทั้งหลายเหล่านั้นรู้
ชาวดำเนินสะดวกเป็นตัวอย่าง
...จะชี้ให้เห็น อย่างกับกลุ่มดำเนินสะดวกนี่ เดิมทีแกชอบทำบาปกันมาก ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำสวน เรือกสวนมีร่องน้ำ ปลาเข้าไปอยู่มาก
แกก็ฉวยโอกาสจับปลาในที่นั้นกิน
เมื่อยามว่างก็หาปลา ทำปาณาติบาต เมื่อศรัทธาของแกมีแล้วก็บอกแกว่าจ้าวที่นี่ หรือเทวดาที่นี่ไม่ชอบคนทำปาณาติบาต ใครทำปาณาติบาตแล้ว ทำสวนได้ผลไม่ดี
มีผลเสียหายมาก
หากว่างดเว้นเสียแล้ว ผลในสวนจะพึงได้ดี ก็มีนายจี๊ด นายสม แล้วก็นายอะไรอีกคนน้องชายนายสม แล้วก็นายเฉลิม มีหลายคน
เฉพาะนายเฉลิมน่ะไม่ใช่เสือปลา แต่นายสม นายจี๊ด แล้วก็ใครอีกหลายคน พวกนี้เป็นเสือปลาจริง ฆ่า ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม
พอได้ฟังเท่านั้นแกก็เลิกจากทำปาณาติบาต ตั้งหน้าตั้งตาทำสวน
เหตุก็ปรากฏชัด เพราะอะไรผลที่ไม่เคยได้กลับได้ดี แกเป็นหนี้อยู่คนละ ๓ หมื่น ๔ หมื่น หลายหมื่นก็ตาม ก็บอกว่า
ถ้าเธอละจากปาณาติบาต หนี้พวกนี้ไม่เกิน ๒ ปี พวกเธอจะใช้หนี้หมด ทั้งๆ ที่เนื้อที่ไม่มาก แกก็ตั้งใจวิรัต สมาทานศีลด้วยดี ด้วยความเคารพ และภายใน ๒ ปี
แกก็ชำระหนี้หมด เป็นเหตุอัศจรรย์
และความเป็นอยู่ของบุคคลผู้นั้นก็ก้าวหน้าโดยลำดับ นี่ก็เลยเป็นตัวอย่างให้บุคคลทั้งหลายเอาบ้าง นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท การที่เขาเคารพผีเคารพเจ้ากัน
แต่ทว่าเราเอาธรรมะของสมเด็จพระทรงธรรม์เข้าไปแทรก อันดับแรกก็เอาแค่นิดเดียว ให้รักษาศีลห้า
ปรากฏว่าบุคคลผู้นั้น บูชาศีลเป็นสรณะ ทั้งๆ ที่บางคนในกลุ่มนั้นเขานับถือศาสนาอื่น คือโรมันคาธอลิก เป็นสาวกของคณะบางนกแขวกเป็นจุดสำคัญ
แต่ว่าเวลานี้นั้นกลับมาเคารพพระพุทธศาสนากันเป็นแถว มีพระพุทธรูปบูชา มีพระของคณะสงฆ์ห้อยคอ นี่เราเอากันอย่างนี้ไม่ดีรึ
ดีกว่าไปตั้งหน้าตั้งตารื้อศาลพระภูมิ รื้อศาลบูชาของเขามันจะเป็นประโยชน์อะไร เข้าไปทำลายจิตใจของบุคคลที่มีความเคารพในที่ที่เขาเคารพ
ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าไปพบ 'ชฎิล' บูชาไฟ พระองค์ก็ไม่เคยติว่าการบูชาไฟเป็นของไม่ดี
กลับบอกว่าการบูชาไฟนี้เป็นของดี แต่ที่บูชานี้เป็นไฟภายนอก ไม่ใช่ไฟภายใน ถ้าจะให้ดีละก็ควรจะบูชาไฟภายใน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ยกราคัคคิ ไฟคือราคะ
โทสัคคิ ไฟคือโทสะ โมหัคคิ ไฟคือโมหะ
ราคัคคิ ความรักเป็นเหตุให้เร่าร้อน มันเป็นไฟเผาขึ้นในใจ เราไปทางไหน มันก็ตามไปด้วย
โทสัคคิ ไฟคือโทสะ มันเกิดขึ้นในใจ มันเผาใจอยู่ตลอดเวลา มีแต่ความเร่าร้อน
โมหัคคิ ความหลงเป็นไฟ เราหลงในสิ่งที่ไม่คงทน มีสภาพที่ต้องสลายตัว ไปเข้าใจว่ามันคงทน อันนี้ก็เป็นอารมณ์ของความเร่าร้อน
ในที่สุดองค์สมเด็จพระชินวรก็ทรงชนะชฎิลได้ ทำชฎิลทั้งหลายพร้อมด้วยบริวารเป็นอรหัตผล แล้วอีกจุดหนึ่งสมเด็จพระทศพลทรงโปรด 'สุภมานพ'
สุภมานพนี่แกไหว้ทิศภายนอก เพราะก่อนพ่อจะตายสอนไว้ให้ไหว้ทิศ
ทีนี้พระพุทธเจ้าไปเห็นเข้าตอนเช้า หันหน้าไปทางทิศเหนือ ไหว้ข้างบน ไหว้ข้างล่าง แกไม่เข้าใจคำสอนของพ่อแก พ่อของแกเป็นคนฉลาด
ท่านจะทำให้แกเป็นคนกตัญญู
องค์สมเด็จพระบรมครูไปเห็นเข้าก็บอกว่า การไหว้ทิศเป็นของดี แต่การไหว้ทิศแบบนี้เป็นการไหว้ทิศภายนอก ควรไหว้ทิศภายใน
ในที่สุดองค์สมเด็จพระจอมไตรก็เอาชนะด้วยความดี นี่พระพุทธเจ้าทรงไม่ขัดใจใคร นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
การขัดคอคน เขาบอกว่ากินขี้หมาดีกว่า ฉะนั้นคนใดก็ตามที่เขามีศรัทธา เราถือว่าเป็นโอกาส เราจะไม่ต้องสร้างศรัทธาให้เขาใหม่
เมื่อเขามีกำลังใจเกาะอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว แสดงว่าคนประเภทนี้มีความเชื่ออยู่แล้ว แต่ได้พลัดพรากจากคำสั่งสอนขององค์พระประทีปแก้ว เราก็อย่าไปติ
ควรจะดีใจว่า
นี่เขาเป็นคนมีศรัทธาอยู่ก่อน ก็เดินตามแนวของสมเด็จพระชินวร สร้างธรรมะลงไปทีละนิดทีละหน่อย ในที่สุดพวกนี้เขาก็เข้าถึงจุดของความดี
เราทำกันอย่างนี้ไม่ดีหรือ..?"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 27
เทวดาเมืองนครศรีธรรมราช ยกรถไฟ
โดย ม.ล.วรวัฒน นวรัตน
...ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อได้พาคณะศิษย์จากรุงเทพฯ โดยทางรถไฟไปจังหวัดนครศรีธรรมราช ข้าพเจ้ามารับหลวงพ่อที่สถานีรถไฟทุ่งสง
พอรถไฟแล่นออกจากทุ่งสงได้ระยะหนึ่ง ถึงเวลาเพล ข้าพเจ้านิมนต์หลวงพ่อ และหลวงอามหาอำพัน บุญหลง วัดเทพศิรินทร์ ไปนั่งที่รถเสบียง
หลวงอานั่งตรงข้ามหลวงพ่อ ข้าพเจ้าสั่งอาหารมาแล้วนั่งบนพื้นรถไฟข้างๆ หลวงพ่อและหลวงอา ข้าพเจ้าได้ยินหลวงพ่อรำพึงว่า พระจะฉันข้าว เทวดาจะมาก็มา
ขณะนั้นรถไฟกำลังแล่นด้วยความเร็วขึ้นสะพานเล็กๆ สะพานหนึ่ง พอรถไฟลงจากสะพาน ปรากฏว่ารถโบกี้เสบียงคันนั้นลอยสูงขึ้นวูบหนึ่ง ข้าพเจ้าตกใจมาก
เพราะถ้ารถลอยสูงขึ้นพ้นจากรางเช่นนั้น มักจะตกราง
โอกาสที่ล้อรถไฟจะตกลงมาบนรางอย่างเดิมพอดีนั้นยากมาก ทันใดนั้นโบกี้รถไฟคันตามหลังรถเสบียงก็ชนกระแทกโบกี้รถเสบียงเสียงดังสนั่น และโกบี้ถัดๆ
ไปก็ชนกันเข้ามาตามลำดับ เสียงดังโครมๆ
ขณะนั้นเอง จานข้าวหลวงพ่อและหลวงอาพร้อมด้วยชามแกงต้มยำกุ้ง ก็ลอยสูงขึ้นไปในอากาศแล้วตกลงมาบนโต๊ะ
จานและชามแตกเป็นสองเสี่ยง น้ำแกงไหลซู่ลงมาเลอะขาข้าพเจ้า และเปื้อนจีวรหลวงพ่อและหลวงอา ข้าพเจ้าควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดถวายหลวงพ่อ หลวงอาแล้ว
ได้ยินหลวงพ่อพูดว่า พวกรถเสบียงพูดไม่ดี มีคนในห้องครัวรถเสบียงคันนั้นพูดว่า นี่หรือชื่อหลวงพ่อฤาษี อยากจะดูว่าจะมีฤทธิ์สักแค่ไหน
หลวงพ่อเล่าว่า เทวดาที่มาเคยเป็นเพื่อนเก่าของหลวงพ่อ เมื่อพวกห้องครัวรถเสบียงพูดไม่ดี ดังนั้น เทวดาท่านจึงแสดงฤทธิ์แทนหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่ได้ทำอะไร
เทวดาท่านยกรถไฟให้ลอยสูงขึ้นมาพ้นราง แล้วก็ปล่อยวางลงบนรางดังเดิม แต่ว่าจานข้าวและชามแกงรถเสบียงที่แตกเป็นสองเสี่ยงนั้น น่าคิดมาก
จานชามกระเบื้องของรถไฟ ปกติหนามาก ไม่ต่ำกว่าครึ่ง ซม. การที่ลอยขึ้นแล้วตกลงมาตรงๆ แตกเป็นสองซีกเช่นนั้น แปลว่าต้องลอยขึ้นสูงไม่ต่ำกว่า 1 ฟุต
และการที่จานและชามลอยขึ้นสูงขนาดนั้น รถไฟต้องลอยขึ้นสูงขนาดไหน แต่แล้วทำไมแก้วน้ำซึ่งบางและเปราะกว่าจานชามกระเบื้องมาก
อีกทั้งยังวางซ้อนกัน 2 3 ชั้น อยู่ตรงอีกด้านหนึ่งของรถเสบียง ทำไมจึงปรากฏว่าไม่มีแก้วใบไหนแตกเลยสักใบ น่าแปลกใจมาก
สักครู่หนึ่งต่อมา พวกบ๋อยและกุ๊กรถเสบียงคลานกุบกับตามกันเป็นแถว ออกมาจากห้องครัว กราบหลวงพ่ออย่างนอบน้อม แล้วขอให้หลวงพ่อเจิมศีรษะให้
หลวงพ่อก็เมตตาเจิมให้ทุกคนโดยเคาะที่ศีรษะคนละที แล้วกุ๊กก็กราบเรียนว่า หลวงพ่อไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ประเดี๋ยวกระผมจะนำมาถวายใหม่อีกชุดหนึ่ง
ข้าพเจ้าสงสัยว่าเทวดามีกายเป็นทิพย์ มือเทวดาก็โปร่งใสจนมองไม่เห็น แต่ทำไมจึงยกรถไฟที่เป็นเหล็กหนักหลายสิบตันได้ จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อ
หลวงพ่อหัวเราะแล้วอธิบายว่า หนักยิ่งกว่ารถไฟเขาก็ยกได้
เป็นอันว่า ข้าพเจ้าได้ประสบด้วยตนเองถึงอานุภาพของเทวดา 3 ครั้ง คือ
ครั้งที่หนึ่ง "เจ้าทะเลกระบี่" เนรมิตมังกรทองมารับหลวงพ่อที่ชายทะเลหาดนพรัตนธารา จังหวัดกระบี่
ครั้งที่สอง "พระพรหม" ที่เฝ้ารักษาพระพุทธมหามงคลบพิตร เคลื่อนย้ายพระพุทธรูปทองคำใต้ดิน ที่ตำบลน้ำน้อย อำเภอหาดใหญ่
และครั้งที่สาม "เทวดาเมืองนครศรีธรรมราช" ยกตัวโบกี้รถไฟ ซึ่งหนักหลายสิบตันลอยสูงพ้นราง
บทสรุป
...พระสุปฏิปันโน ผู้รู้จริง เห็นจริง ท่านสอนแล้ว เราเข้าใจแจ่มแจ้ง เกิดความรู้สึกว่าจะปฏิบัติตามได้ เปรียบเสมือนพระท่านชูประทีปแก้ว
ส่องให้เราเห็นทางเดินอันถูกต้อง
หลีกพ้นจากป่าพงดงหนาม ข้ามห้วยหุบเหวนรก จนถึงที่หมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย เราจะไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่แล้วตาย ตายแล้วกลับมาเกิดอีก
เวียนว่ายตายเกิดซ้ำซาก โดยไม่มีที่สิ้นสุดอีกต่อไป.."
หมายเหตุ - การที่ท่านหม่อมพูดเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาพระนิพพานเป็นอย่างยิ่ง
ในเวลานี้ ท่านหม่อมก็จากโลกใบนี้ไปแล้ว หวังว่าคำพูดที่กล่าวไว้เมื่อปี 2537 นี้ คงจะสนองความตั้งใจของท่านหม่อม
เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลเป็นจริงอย่างแน่นอน..สาธุ !!
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
|
|
ตอนที่ 28
ราชบุรี-ประจวบคีรีขันธ์
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
...เป็นอันว่าอยู่ที่ดำเนินสะดวก ๑๖ ๑๗ และก็วันที่ ๑๘ เดินทางต่อไปถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในตอนเช้านายเฉลิม อบทอง
พร้อมด้วยลูกน้อง ก็นำเรือมาส่งที่จังหวัดราชบุรี
รับประทานอาหารเสร็จ คุณนนทา อนันตวงษ์ เดินไปตรวจดูรถที่เจ้าคุณมัสสุสิงหนาท ท่านผู้การเหม่ กับคุณอัญชัญ (ชอ) ศุทธรัตน์ จะไปรับ จัดรถเป็นพาหนะ
ก็ไปพบรถที่ข้างตลาดจังหวัดราชบุรี หลังจากนั้นก็เดินทางไปถึงที่พักบ้านรับรองของสื่อสาร ทอ. คือ พล.อ.ต.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์
ท่านวิทยุล่วงหน้าบอกไปประมาณ ๑ ชั่วโมงพวกเราก็ถึง
ในที่นั้นทุกคนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี น่าสรรเสริญคณะนายทหารอากาศที่อยู่ที่นั่น ทุกคนเป็นกันเอง และมีจริยาเรียบร้อยน่ารัก ใครเขาว่าทหารเบ่ง
นี่ไม่เป็นความจริง ทหารมีระเบียบวินัยดีมาก
เมื่อเข้ามาพัก ถึงเวลากลางวันก็เดินทางต่อไป ตั้งใจว่าจะไปส่งข่าวเขาที่ห้วยยาง ไปจนถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก็ปรากฏว่าอาการไข้ขึ้นหนัก
นี่ไปเที่ยวปักษ์ใต้มาหลายวันไม่ยักเป็นไร พอถึงจังหวัดประจวบฯ ตั้งใจจะไปห้วยยาง ปรากฏว่ารถที่ท่านผู้การเหม่
หรือท่านเจ้าคุณมัสสุสิงหนาทใช้เป็นพาหนะมีเสียงดังประหลาด
ก็ให้เอาไปให้นายช่างตรวจ ตรวจกันเท่าไหร่ๆ ก็ไม่พบจุดอ่อน อาตมาเองก็ต้องนอนซม ปวดศีรษะอย่างหนัก ความร้อนขึ้นสูง ไม่เคยปรากฏอาการไข้มีมาก่อน
เขานำเสื่อมาให้ก็นอนไปที่หน้าห้องของช่าง ของอู่ซ่อมรถ นอนลงไปมันก็ปวดศีรษะ
ได้ยินเสียงฟังจากข้างหูลอดออกมาว่า จงไปซื้อยารัตนตรัยมาฉัน อาการไข้จะบรรเทา ก็สั่ง คุณนนทา อนันตวงษ์กับคุณอัญชัญ สุทธรัตน์ ๒ คนก็ไปจัดมาให้
พอดื่มยาเข้าไปหน่อยอาการไข้ก็ลด ความร้อนลด แต่ทว่าเสียงบอกมา บอกยาที่กินเข้าไปนี่น้อยไป ต้องเพิ่มอีกหน่อย ไม่ใช่ตั้งใจจะฝืน
แต่ความจริงคิดว่ามันลดแล้ว ก็ค่อยเพิ่มกันทีหลัง เมื่ออาการไข้ลดดี ก็ปรากฏว่าเขาตรวจรถอยู่ตั้งนาน ไม่ปรากฏว่าอะไรบกพร่อง
วันนั้นเป็นอันว่าไปห้วยยางไม่ได้ ต้องกลับมาหัวหิน มาพักที่บ้านพัก มาถึงแล้วก็ยังโงเงอยู่
พอดีตอนค่ำแล้วทุ่มเศษ เห็นจะเกือบ ๒ ทุ่ม เกือบ ๒๐ น. เห็นรถเข้าไปปรากฏว่าท่านเจ้ากรมสื่อสาร ทอ. พร้อมด้วยภรรยา คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา
แล้วก็ลูกชายอีกคนเดินทางไปด้วย ถามท่านว่ามาทำไม?
ท่านบอกว่ามีความเป็นห่วงเลยมาดู แต่เวลาที่เจ้ากรมสื่อสาร ทอ. มา ปรากฏว่ามีเหตุอัศจรรย์ ใกล้จะเข้าหัวหิน ที่ตรงนั้นเขาซ่อมทาง
แล้วกลางคืนเขาก็เอารั้งขวาทางเข้าไว้ ที่ทางยังไม่เสร็จ
แล้วก็ไม่จุดตะเกียงให้ จริยาแบบนี้น่าคิดสำหรับจิตของบุคคลผู้ทำแล้วไม่มีฟืนไม่มีไฟ รถวิ่งมาด้วยความเร็วคิดว่าไม่มีอะไร ดีไม่ดีชนตายไปเสียมาก
แต่ว่ามันเป็นความยากของจิตใจบุคคลที่ไม่ใช้ปัญญาเป็นเรื่องพิจารณา
ท่านเจ้ากรมบอกว่าขับรถมา ๑๐๐ กิโลเมตรต่อ ๑ ชั่วโมง ถึงจะเบรกก็หกคะเมน ถึงยังงั้นก็ดี ก็ต้องชนรั้วเหล็กแหลกลาญไป
เพราะเขาไม่มีไฟไว้ ก็เลยหักรถออกมา ๙๐ องศา ในความเร็ว ๑๐๐ กิโลเมตร รถตะแคงคิดว่ารถคว่ำ แต่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ รถทรงตัวอยู่ได้
คนทุกคนบอกว่าใจหายใจคว่ำ
แม้ว่าตัวท่านเจ้ากรมเอง เป็นคนมีอารมณ์เยือกเย็น ไม่ค่อยจะตกใจอะไร วันนั้นก็บอกว่า มีความรู้สึกหวาดหวิวเป็นกรณีพิเศษ
เมื่อท่านมาแล้วก็คุยกัน ไอ้เจ้าไข้ที่เป็นก็เหมือนกับเป็นไข้มารยา พอเจ้ากรมมาถึงก็คุยกัน ถามว่าออกจากบ้านเวลาเท่าไร ?
ท่านบอกว่าออกจากบ้านเวลา ๖ โมงเย็น ที่มาก็เพราะความห่วงใย นี่รู้สึกในความดีของท่านที่มีจิตเมตตาพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา สำหรับท่านผู้นี้เป็นนักบุญ
คือเป็นคนมีปัญญาจริงๆ ใช้ปัญญาให้เป็นประโยชน์
มาพูดกันถึงเรื่องของพระพุทธศาสนา ท่านมีความเข้าใจไม่ยากนัก เพราะเป็นนักวิทยาศาสตร์ เรื่องของสื่อสารเป็นเรื่องของระบบไฟฟ้า เป็นวิทยาศาสตร์โดยตรง
ถึงแม้ว่าบิดามารดาเก่า ตระกูลจะเคารพพระพุทธศาสนาก็จริงแหล่ แต่ทว่าเรื่องการศึกษาเรื่องงานบังคับก็ยังไม่มีโอกาสได้มาศึกษาพระพุทธศาสนาได้แท้จริง
เมื่อคุยกันไปคุยกันมาในระยะต้นๆ ก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว ท่านสงสัย ท่านก็เลยไปซื้อพระไตรปิฎกมาแล้วก็อ่าน อ่านด้วยความพินิจพิจารณา
ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิสูจน์
เป็นอันว่าเวลานี้มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาได้ดี ในบางจุดอาตมาเห็นว่าเข้าใจได้ดีกว่าอาตมาเสียอีก
การอ่านพระไตรปิฎก ท่านอ่านด้วยปัญญา ไม่ได้อ่านด้วยสัญญาอย่างเดียว เมื่อเอาสัญญาจับแล้ว ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา
นี่คนแบบนี้ถ้ามีมากๆ พระพุทธศาสนาจะไม่โทรม ความจริงคนประเภทนี้ อย่าว่าแต่คนเลย พระที่ปฏิบัติแบบนี้ก็หายากเต็มที ดีไม่ดีก็ไปคว้าตำราที่ใครต่อใครเขียนมา
ไม่ได้ดูหลักฐานเดิม
หรือบางทีท่านเป็นนักปราชญ์มากเกินไป ท่านก็เลยบอกว่า พระไตรปิฎกนี่ชาวบ้านเขาเขียนขึ้นทีหลังเชื่อไม่ได้ เป็นอันว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น
นิยมศาสนาของเทวทัต ไปลงไปอยู่อเวจีด้วยกันก็แล้วกัน
จะได้ไม่เกะกะนิพพานของพระพุทธศาสนา ดีแล้วที่จะได้ว่าง พระนิพพานเขามีที่ว่างมาก อเวจีเขาก็รับไม่จำกัด เชิญเสด็จไปตามสบาย
นักปราชญ์ทั้งหลายเหล่านั้นฟังแล้วโกรธหรือไม่โกรธ โกรธก็เชิญไปอยู่กับเทวทัต ถึงแม้ว่าไม่โกรธ แต่ปฏิบัติตามปฏิปทานั้นก็เชิญไป เชิญหรือไม่เชิญท่านก็ไป
เพราะเต็มใจไปอยู่แล้ว
มีแขกมาพบในยามวิกาล
...เมื่อท่านเจ้ากรมสื่อสารไปนั่งคุย คุยกันอยู่ถึง ๕ ทุ่ม อาการไข้มันก็ไม่ปรากฏ เพราะมีแขก เพราะจิตมันเป็นธรรมปีติ
ถึงเวลานอน มีเรื่อง เวลา ๒๓ น. บอกว่าดึกแล้วต่างคนต่างนอน ข้างนอกดับไฟ ข้างในเข้าห้อง อาตมาเข้าห้อง คณะที่ไปด้วย คือ
ท่านเจ้าคุณมัสสุสิงหนาท คุณนนทา อนันตวงษ์ และคุณอัญชัญ สุทธรัตน์เข้าอีกห้องหนึ่ง อาตมาก็อยู่อีกห้องหนึ่ง ปิดประตูลงกลอน
พอหัวถึงหมอนก็ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่ง เดินเข้ามา ร่างใหญ่โต มันมืดๆ เห็นดำๆ แกจะดำหรือขาวเพราะความมืดมันบัง รู้ด้วยไม่ได้ จะว่าดำหรือขาวบอกไม่ได้
แต่ดำเพราะความมืด เขาเดินมาข้างเตียงแล้วก้มไปหยิบของ
ถามว่ามาทำไม ?
บอกว่า มาเอาหมวกขอรับ
เขาว่ายังงั้น ถามว่า แกอยู่ที่ไหน ?
เขาก็เลยบอกว่าตามปกติผมพักห้องนี้ แต่ทว่าท่านมาแล้ว ประเดี๋ยวผมจะไปอยู่ยามข้างล่าง
เขาก็เดินออกไป แต่ว่าตาคนนี้แปลก ตัวใหญ่ แต่ทั้งเข้าทั้งออกไม่ต้องผ่านบานประตู เพราะประตูใส่กลอน แกเข้าได้ แล้วเวลาออกแกไม่ต้องเปิดประตูแกก็ออกได้
แกเป็นใครไม่ได้ถาม ออกไปแล้วก็นอนหลับ
แขกมาอธิบายเรื่องน้ำมัน
...ก่อนจะหลับมีแขกมาอธิบายเรื่องน้ำมันในประเทศไทย ว่าในประเทศไทยมีอ่างน้ำมันมาก แล้วตามหลักฐาน ว่ามีอ่างน้ำมันจริงๆ พูดอย่างนี้ฟังได้
อยากจะรู้ว่าในปัจจุบันมีอะไรจุดไหน พอเป็นที่สังเกตว่าประเทศไทยมีน้ำมัน
ท่านก็เลยบอกว่า ท่านไปชุมพรจะทราบ เพราะว่าสายน้ำมันไปขึ้นที่มะริดในเขตจังหวัดพม่า รุ่งเช้าก็เลยคุยให้ท่านเจ้ากรมฟัง ออกไปคุยกับท่าน
ท่านเจ้ากรมบอกว่า คืนนี้นอนไม่หลับเลย แหม ถ้าคนนี้นอนไม่หลับที่ไหนมันซวยเต็มที เพราะตามปกติท่านเป็นคนนอนง่าย แล้วก็หลับง่าย
เรื่องการนอนของท่าน ไม่ได้วางท่าเป็นนายพล ทำตนยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีก คนธรรมดาบางทียังต้องหาเสื่อหาหมอนหาที่นอนให้มันดี
แต่ว่าท่านนายพลผู้นี้น่าจะเป็นพระ พระก็น่าจะเป็นพระธุดงค์ นอนตรงไหนก็ได้ หลับได้ มีเสื่อหรือไม่มีเสื่อก็นอนได้ ไม่เลือกเวลา
บริโภคอาหารก็ง่ายแสนง่าย
ดีกว่าพระบางองค์ พระบางองค์พอบวชเข้ามาแล้ว เขาตั้งให้เป็นอะไรเข้าหน่อย มีชาวบ้านเขาฟังว่าท่านมานี่เป็นสมเด็จ ต้องมีตะลุ่มมุก ต้องกาน้ำเงิน
นี่ชาวบ้านเขาจัดกันเองนะ เข้าใจว่าท่านไม่ทำยังงั้น ไม่บังคับยังงั้น การจัดแบบนี้น่ะมันผิด มันไม่ถูก ทำเลยเถิดไป เพราะอะไร พระนี่กินอะไรก็กินได้
แม้แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรมีบาตรลูกเดียวท่านก็ฉัน นางมณฑาศรี ห่อแป้งจี่มาในพก ถวายท่าน ท่านรับแล้วท่านก็ฉัน
ไม่ต้องไปเอาเครื่องกินเงินเครื่องกินทองอะไรมา
นี่ทำกันเสียเรื่องเสียราว ทำแบบนี้ พระเราๆ ก็ควรจะเตือนชาวบ้านเขาบ้าง บอกว่าทำผิด การเป็นสมเด็จ การเป็นเจ้าคุณ การเป็นพระครู ก็แค่พระ
พระเราเป็นผู้ละ ไม่ใช่ผู้เกาะ เกาะแบบนั้นก็ลงอเวจีหมด แต่ความจริงพระท่านไม่ได้บังคับ คนคิดกันไปเองว่าเป็นสมเด็จจะต้องกินวัตถุให้มันดี
ความจริงไอ้อาหารการกินน่ะ เราไม่ได้กินวัตถุ เรากินอาหารในวัตถุ แล้วเรื่องอะไรต้องมาเลือกแบบนั้น
เป็นอันว่าท่านผู้นี้ปฏิบัติตนเยี่ยงพระธุดงค์ แล้วท่านก็เลยบอกว่า เมื่อคืนนอนไม่หลับ ถามว่า ทำไม ?
บอกว่ามีไอ้ผู้หญิงผู้ชาย ๒ คน มีพันจ่าคนหนึ่งชื่อวีระเหมือนกัน แล้วมีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง แกบอกว่าพี่สาวมาเยี่ยม หน้าตาคล้ายคลึงกัน คงจะเป็นพี่สาวจริงๆ
ไอ้เจ้านี่สองคนมันคุยกันตลอดคืน หนวกหูคืนยังรุ่ง
ชักสงสัยแล้ว คนหนึ่งเป็นพันจ่าเอก คนหนึ่งเป็นพลตรี แล้วก็ในเมื่อผู้บังคับบัญชามาอยู่อย่างนี้ ใครน่ะเขาจะไปนั่งคุยให้ผู้บังคับบัญชาหนวกหู
ก็เพื่อตัดความสงสัย จึงได้เรียกพันจ่าคนนั้นขึ้นมา ขึ้นมาก็บอกว่า หนู..ต้มน้ำร้อนเดือดหรือยัง เธอก็บอกว่ายังไม่เดือด
ก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องรีบ ทำตามสบาย ทำตามสบายไม่ต้องรีบนะ เท่านั้นแหละ ความจริงที่เรียกขึ้นมาอยากจะให้ท่านเจ้ากรมทราบเสียงของแก
ต้องไม่เหมือนกับเสียงของคนเมื่อคืน
เมื่อพันจ่าวีระลงไปแล้ว จึงได้ถามว่าเสียงเหมือนกันไหม ท่านเจ้ากรมบอกว่าเสียงไม่เหมือน ก็เลยถามว่าคนนั้นเสียงห้าวๆ ใช่ไหมผู้ชาย แกบอกว่าใช่
ผู้หญิงเสียงเล็กๆ นิ่มนวล ท่านก็บอกว่าใช่ ก็เลยบอกว่าคนที่คุยไม่ใช่พันจ่า เพราะตอนนั้น ตอนที่เข้านอนน่ะแกย่องเข้าไปในห้องไปหยิบหมวกมา
แบบหมวกไหมสับปะรด
แกบอกว่า ตามปกติแกพักในห้อง คืนนี้จะไปอยู่ยามให้ แกก็เลยแสดงตนให้เจ้ากรมทราบว่า ในที่นี้ไม่ใช่ที่ว่างเปล่า เป็นที่เทวดาอารักขา เสียงแกจึงห้าวๆ
ท่านเจ้ากรมก็เลยหมดสงสัย เพราะว่าอะไร เพราะว่าตัวเองได้ยินเองนี่ ถ้าขืนมานั่งสงสัยอยู่ก็ซวยบอกไม่ถูกแล้ว เป็นอันว่าหมดสงสัยกัน..สวัสดี
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 29
ประวัติคนไทยสายใต้ (๑)
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
"...นี่คืนนั้น...เป็นอันว่าเสร็จพิธีกันไป ตอนเช้าท่านเจ้ากรมจะกลับ อาการไข้ของอาตมาก็ปรากฏอีก
ตั้งใจจะไปหาหมอที่หัวหินก็หาห้องไม่พบ
แล้วท่านเจ้ากรมก็มีความเมตตาเปลี่ยนรถไว้ เพราะรถท่านเจ้าคุณมัสสุสิงหนาทมันปรากฏชัดว่าจะมีอันตราย แต่ทว่าตรวจสอบกันไม่ได้
ตรวจกันกี่ชั่วโมงก็หาไม่พบ
ช่างที่หัวหินก็แสนดี ใช้เวลาตั้งหลายชั่วโมง คิดราคาเพียง ๓๐ บาท ซึ่งดูค่าของเวลาที่ทำมันไม่คุ้มกัน เขาควรจะเรียกสัก ๒ ๓ ร้อยบาท
แต่ว่าน้ำใจของคนไทยมีเมตตาแบบนี้น่าสรรเสริญ ลืมชื่อเสียแล้วว่า อู่ซ่อมนั้นชื่อว่าอู่ซ่อมอะไร เป็นเด็กชายหนุ่มๆ เมื่อลูกชายตรวจไม่พบแล้ว พ่อก็ตรวจอีก
เป็นอันว่าไม่พบด้วยกันทั้งคู่
ตอนเช้าก็เดินทางไป..ไปห้วยยาง บอกเขาว่าพิธีกรรมวันนี้ จะมาทำให้ เขาบอกไม่ได้ เพราะวันนี้เป็นวันพระ ความจริงจำปฏิทินผิด อาตมาเป็นคนจำผิด
เขาก็เลยบอกพรุ่งนี้ก็แล้วกัน
เป็นอันตกลงตามนั้น แล้วก็เลยไปที่ อ.ทับสะแก จะไปหาหมอฉีดยา ไปดูแล้วคลินิกของหมอ เป็นโรงพยาบาลเราดีๆ นี่เอง คนไข้มากเหลือเกิน ขี้เกียจคอย..ไม่คอย
มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน เข้าไปในตลาดทับสะแก วิ่งวนไปวนมาประเดี๋ยวก็กลับ กลับมานอนที่หัวหิน พอมาถึงหัวหินก็นึกขึ้นมาได้ว่า
เมื่อวานนี้ที่ได้ยามา เสียงบอก บอกว่าให้กินยาเพิ่มอีกนิด ก็กินยาเพิ่มอีกหน่อย ปรากฏชัด นั่นก็คืออาการไข้ตกไป
แล้วตอนกลางวัน เข้าไปที่จังหวัดประจวบฯ เพราะห้วยยางมันเลยประจวบฯ ออกไป ก็ไปฉันอาหารในร้านค้าชายทะเล นั่งดูเรือตังเกและเครื่องบินของ บน.๗
ที่บินฉวัดเฉวียนอยู่ รู้สึกมีความสุขดี แต่ว่าร่างกายของเรานี้มันไม่สุข
หากว่าท่านจะถามใจว่า รู้สึกเป็นยังไง ก็จะตอบว่า เรื่องธรรมดาๆ ร่างกายของเราเกิดมา พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็น "โรคะ นิทธัง" ร่างกายเป็นรังของโรค
"ปะภัง คุณัง" มันต้องเปื่อยเน่าไปในที่สุด มันหาอะไรดีกันไม่ได้ ถ้าท่านมานั่งหลงร่างกาย ว่าร่างกายของเราดีแบบนั้น ดีแบบนี้
นี่ก็คือเอาจิตใจน้อมเข้าไปรับเอาความทุกข์ ท่านเรียกว่า "อุปาทาน" ตัวความยึดมั่น
เพราะอะไร เพราะว่าร่างกายมันไม่ดี เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก หาความทรงตัวไม่ได้ เคลื่อนเข้าไปหาความทำลาย และในที่สุดความสบายตัวมันก็ต้องปรากฏ
คือความตายเข้ามาถึง
ถ้าเราไปนึกถึงว่าเราจะไม่ตาย เราจะทรงตัวอยู่ ใจมันจะสบายได้ที่ไหน ทั้งนี้ก็เพราะว่าจิตไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
ถ้าเรายอมรับนับถือความเป็นจริง รู้ว่าเกิดแล้วต้องแก่ ก่อนจะแก่มันก็มีโรคป่วยไข้ไม่สบาย มีความทุกข์ คือการบริหารร่างกาย หรือการกระทบกระทั่งอารมณ์
สิ่งที่ไม่สมความปรารถนาต่างๆ
ถ้าจิตใจของเรายังงี้ คิดไว้แล้วก็คิดต่อไปว่า ในที่สุดมันก็พังมันก็ตาย อาการอย่างใดมันปรากฏ อย่างนั้นเรารู้แล้ว เราก็เกิดความสบายใจ อย่างนี้ดีถมไป
เรียกว่าคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงไร้ผล เพราะอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลสอนตามความเป็นจริง
เรา..บรรดาพุทธบริษัททั้งชายและหญิง ถ้าเราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าดี ก็จงนำความดีของท่านไปปฏิบัติ
ดีกว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทจะไปนั่งคัดค้านโดยไม่ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา
ตามที่นักปราชญ์ทั้งหลายโฆษณาทัดทานคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า ผีไม่มี เทวดาไม่มี ถ้าใครสงสัยแบบนี้ก็ไปถามท่านเจ้ากรมสื่อสาร ทอ.
คือ ท่าน พล.อ.ต.ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์ ลองถามท่านดูว่าท่านได้ฟังเสียงใครคุยกันจริงหรือไม่จริงในคืนนั้น
นี่เอาบุคคลที่มียศถาบรรดาศักดิ์ มีงานใหญ่ มีสังคมใหญ่ เป็นนักวิทยาศาสตร์โดยตรง เข้ามายืนยันกัน ไม่ใช่จะเป็นการหักล้างเจตนาของพวกท่าน
แต่ทว่าอยากจะให้ท่านเข้าใจตามความเป็นจริง
เอาละ..ท่านผู้อ่านทั้งชายและหญิง สำหรับหน้านี้หรือตอนนี้ก็ขอยุติไว้เพียงแค่นี้ เพราะเทปที่บันทึกในตอนต่อไป
(หรืออาจจะเป็นตอนเดียวกันนี่แหละ แต่ก็จะเว้นไว้ไปพูดวันหน้า) เรื่องของหัวหินยังไม่จบ คือว่าในสถานที่พัก บ้านรับรองของสื่อสาร ทอ.
ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คือมีบรรดาสตรีทั้งหลายสมัยเก่า มาเล่าเรื่องราวความเป็นมาของชาวไทยสายใต้ ที่หลั่งไหลลงมาจากประเทศจีน
ผ่านอินเดีย ผ่านพม่า ผ่านมะริด และทวายแล้วเข้ามาทางสายใต้ ตั้งแต่เขตของ อาเมี๊ยด ตลอดไปถึงสายใต้ทั้งหมด
ปรากฏว่าบรรดาสาวผีทั้งหลายมาเล่าให้ฟัง สำหรับจุดนี้ คือครึ่งตอนของตอนที่ ๔ นี้ จะยับยั้งไว้ก่อน แล้วก็ต่อไปเลือกวันเสียก่อน
วันนี้มันวันที่ ๒๘ หมดเวลาเท่านี้ ๒๘ อะไร สิงหาคม อาจจะต้องไปขึ้นต้นตอนเลยกว่านี้ไปสัก ๒ ๓ วัน สำหรับจุดนี้ก็ขอยุติเพียงเท่านี้
พอถึงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๑๗ คือวันที่ ๑๙ คืนนี้ ปรากฏว่าพักอยู่ที่บ้านรับรองของสื่อสาร ทอ. ที่หัวหินอีกคืนหนึ่ง
หลังจากวันที่ ๑๘ ที่ท่านเจ้ากรมสื่อสาร ทอ. ไปเยี่ยมแล้วท่านก็เปลี่ยนรถให้ วันนั้นเดินทางไปฉันเพลที่ประจวบฯ เป็นวันที่ ๒ แล้วก็เดินทางไปถึงห้วยยาง
เพราะว่ามีสมาชิกอีกพวกหนึ่งที่ห้วยยางต้องการพบ และเพื่อไปเจริญศรัทธา เจ้าคุณมัสสุสิงหนาทไปพร้อมด้วย คุณนนทา อนันตวงษ์ และ คุณอัญชัญ สุทธรัตน์
ติดตามไปด้วย เพราะว่าท่านสุภาพสตรีทั้งสองนี้ เป็นผู้อุปถัมภ์ในการให้ความสะดวกทุกอย่าง
แต่คนที่กึ่งผู้ชาย กึ่งสตรีก็คือ ท่านเจ้าคุณมัสสุสิงหนาท ตัวท่านเป็นผู้ชายแต่จิตใจท่านคล้ายสตรี แล้วก็คล้ายผู้ชาย มีความเข้มแข็งด้วย
มีความอ่อนช้อยไปในตัวเสร็จ..หายาก
คนประเภทนี้หายาก ดีไม่ดีใครจะเห็นว่าแกเป็นกะเทยเสียก็ได้ แต่ว่ามีลักษณะท่าทางไม่คล้ายกะเทยอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือมีหนวด ทรงพระหนวดอยู่ตลอดเวลา
จะเรียกว่า "พระมัสสุ" ไปชนกับราชาศัพท์ของพระราชาเข้า..ไม่ดี..!
ตานี้..เมื่อไปที่บ้านห้วยยาง ก็เลยบอกว่าพิธีกรรมต่างๆ ที่กำหนดไว้ว่าจะมาทำเมื่อวานนี้ มาไม่ได้เพราะพอถึงประจวบฯ ก็ป่วย
ตานี้..วันนี้..ที่มาแจ้งก็เพราะตั้งใจจะเดินทางเลยไปจังหวัดชุมพร เพราะว่าวันนี้เป็นวันพระ เจ้าของบ้านเลยบอกว่า
ท่านจำผิดที่บอกกับเขาว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันพระ คือวันที่ ๒๐ เขาบอกว่าไม่ใช่ ความจริงวันนี้เป็นวันพระ คือวันที่ ๑๙ นี่เราจำผิด
คุณวรการ คงทอง ก็ยืนยัน ว่าเมื่อผมรับจดหมายแล้ว ผมก็สงสัยว่า เอ๊ะ..นี่มันยังไงกัน เดือน ๗ ทำไมถึงเป็นแรม ๑๕ ค่ำวันพระ
เพราะว่าเดือน ๗ นี่มีแค่แรม ๑๔ ค่ำ ผมสงสัยมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ความจริงวันนี้แหละขอรับเป็นวันพระ วันพรุ่งนี้ไม่ใช่วันพระ
พิธีกรรมต่างๆ ทำได้ก็เลยตกใจ คิดว่าเรานี่..เป็นคนในเขตพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าท่านผู้นี้ท่านมาจากศาสนาคริสต์ เพิ่งจะเข้าพุทธศาสนา
แล้วก็ยังไม่ได้ทิ้งศาสนาคริสต์
ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าอยากจะทำแบบบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น คือใครอยากจะไปวัดคริสต์ก็ไปได้ตามสบาย
ฝ่ายเราไม่รังเกียจ ทีนี้เขาก็ไปกันทั้งวัดคริสต์และวัดพุทธ แต่ทว่าสำหรับคุณวรการ คงทอง ก็ดี คุณเฉลิม คงทอง ก็ดี สองพี่น้องเลิกไปวัดคริสต์มานานแล้ว
อันนี้ก็ให้เป็นเรื่องตามอัธยาศัย ไม่ใช่เป็นเกณฑ์บังคับและไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น ให้เป็นเรื่องของศรัทธา
เมื่อได้ทราบตามนั้นก็เข้าใจว่า เมื่อวานนี้ที่มาไม่ได้ มีการป่วยเสียที่จังหวัดประจวบฯ ยังไม่ถึงห้วยยางซึ่งระยะทางอีกไม่กี่กิโลเมตร
ความจริงก็เป็นเพราะว่าเราจำวันผิด บรรดาพระหรือเทวดาทั้งหลายคงจะยับยั้ง นี่คิดเอาเอง เนื่องจากพิธีกรรมที่จะไปทำ ทำวันพระไม่ได้ เพราะว่าเทวดาไม่มา
นักปราชญ์โจมตีเรื่องผีและเทวดา
...นี่ท่านผู้อ่านคงจะคิดว่า นี่ตาหมอนี่เพ้อไปแล้ว ยังจะมีเรื่องพิธีกรรมกับผีกับเทวดาอยู่อีก เพราะว่าบรรดาท่านนักปราชญ์ทั้งหลายเคยออกอากาศบ้าง
เคยออกหนังสือบ้าง
แล้วก็เคยพบหนังสือฉบับหนึ่ง ท่านจอมปราชญ์ท่านหนึ่ง ท่านโจมตีว่าเวลานี้เรื่องผีเรื่องเทวดาว่า มีพระบางองค์ถึงกับเขียนลงเป็นหนังสือว่า
มีจริง..นี่ท่านไม่เชื่อ
แต่ว่าอาตมาเชื่อ เชื่อเพราะว่าอะไร เพราะว่าชนมาแล้ว แม้แต่พระพุทธเจ้าก็เชื่อ อัครสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ก็เชื่อ
บรรดาพระอรหันต์สาวกและพระอริยเจ้าทั้งหลายก็เชื่อ
อาตมาแม้จะเป็นพระเดินกลางดินกินกลางทราย เป็นคนประเภทที่เอาดีอะไรไม่ได้ก็เลยยอมเชื่อด้วย เพราะตัวเองก็ชนมา
ถ้าเราไม่เชื่อในสิ่งที่เราเห็น เราจะไปเชื่อในสิ่งที่ใครเขาบอก นี่เป็นเรื่องความคิดเห็นของอาตมาโดยตรง เรื่องการเห็นผีเห็นเทวดานี่
บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปราชญ์ทั้งหลายอยากจะเห็นบ้างก็ไม่เห็นจะมีอะไรยาก สำหรับอาตมาเองนี่ บอกแล้วว่าเห็นมาตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ
ตั้งแต่อายุ ๗ ปี เป็นต้นมา ไปที่ไหนก็ตาม ถ้ามีใครตายบ้านนั้นหรือมีใครเป็นอะไรมีความสำคัญในบ้านนั้น จะปรากฏทุกครั้งตั้งแต่คืนแรก
แต่ว่าถ้าคืนแรกไม่มี ปรากฏว่าไม่มีแน่บ้านนั้น ทำเอาเจ้าของบ้านตื่นตกใจไปหลายวาระ นี่ก็เหมือนกัน เป็นเรื่องธรรมดาๆ
ของการเห็นผีเห็นเทวดาซึ่งมันเป็นของไม่แปลก
ฉะนั้น การทำพิธีกรรมเรื่องเทวดาจึงทำเป็นปกติ ใครจะว่ายังไงก็ช่างในเมื่อพบเอง หากว่าบรรดาท่านนักปราชญ์ทั้งหลายจะฝึกดูบ้างก็ลองดูซิ
เพราะว่าในพระพุทธศาสนามีกิจที่เราจะต้องทำด้วยความจำเป็น ถือว่าเป็นกฎบังคับอยู่ ๓ อย่าง
๑. อธิศีลสิกขา
๒. อธิจิตสิกขา
๓. อธิปัญญาสิกขา
ถ้าเรามีอธิศีลสิกขา คือศีลบริสุทธิ์ดีแล้ว ไม่ยากสำหรับการทำสมาธิ พอถึงจุดสมาธินี่แค่อุปจารสมาธิเราทรงกสิณให้ได้
แล้วก็ใช้คุณธรรมของกสิณที่เป็นสมาธิดูผี ดูเทวดามันก็เป็นของไม่ยากนี่ดีกว่าเรามาพูด ดีกว่ามานึกเองเองว่ามันมีหรือไม่มี
แล้วก็ดีกว่าเรามาคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมพุทธเจ้า มันจะดีนักหรือ นี่พูดกันด้วยความจริงใจ
เรามาพิสูจน์คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร ด้วยการปฏิบัติจริง นี่ดีกว่ามานั่งคิดนั่งตรองกันเอาเขียนกันเอา พูดกันเอา
เป็นอันว่าในเมื่อทางบ้านเขายืนยันก็ต้องเลื่อนวันไปชุมพร ไปวันที่ ๒๐ วันที่ ๒๐ รับรองว่าจะไปทำพิธีกรรมให้เขาตามที่กำหนดไว้
วันนั้นก็เลยไป อ.ทับสะแก อยากจะไปหาหมอฉีดยา ถึง อ.ทับสะแกแล้วก็ปรากฏว่า คนไข้รอหมออยู่มาก เห็นว่าอาการไข้ของเราไม่จำเป็นก็เดินทางกลับจังหวัดประจวบฯ
มาฉันเพลที่จังหวัดประจวบฯ บ้านเดิม ร้านเดิม ที่เดิม
แต่รถเปลี่ยน วันก่อนเป็นรถขาว วันนี้เป็นรถสีเหลือง คือ รถของท่านเจ้ากรมสื่อสาร ทอ. ท่านเปลี่ยนรถไว้ให้ แต่ไม่ใช่รถของราชการเป็นรถส่วนตัว
ท่านผู้นี้ไม่มีใช้ของราชการในงานของส่วนตัว น่าสรรเสริญ
ทุกอย่างท่านลงทุนของท่านเสร็จ มาที่ร้านค้าคงจะแปลกใจว่า เจ้าคนกินนี่มันชุดเดิม แต่เจ้ารถมันเปลี่ยนไป
เป็นอันว่ากินเพลกันเสร็จก็กลับบ้านรับรองที่หัวหิน
ตอนนี้ก่อนจะนอน ปรากฏว่าวันก่อนที่ไปพัก และวันที่ ๒ ไปพักก็ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์เสด็จผ่านจุดนั้น เพื่อไปเขาเต่าทั้งสองวัน
เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับพระบรมราชินีนาถ พระบาทท้าวเธอทรงเสด็จ มีรถติดตามและรถนำ การไปของพระองค์ไม่ใช่ไปเที่ยว ดูที่ลีลาคล้ายๆ ว่าจะไปเที่ยว
แต่เนื้อแท้ทีเดียวไปเยี่ยมประชาชน
พระองค์บำเพ็ญตนเข้าถึงประชาชนอย่างพี่น้องชาวไทย ไม่ใช่ถือว่าพระองค์นี้เป็นคนยอดคนของคนไทย เป็นเจ้านายของใคร
แสดงจริยาวัตรของพระมหากษัตริย์อย่างนี้หายาก เวลานี้ก็เหมือนกัน ปรากฏว่าพระองค์ไปอยู่ทางภาคใต้ เข้าถึงบรรดาประชาชนทั้งหลายที่ถือศาสนาอิสลาม
ปรากฏว่าคนแถวนั้นพากันสร้างเรือมาถวาย เรือชื่ออะไรก็ไม่ทราบ แล้วทำสวย ไปที่ไหนก็มีคนแวดล้อม แสดงความจงรักภักดี
นี่..มานั่งดูพระจริยาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์นี้ พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาก งานของบ้านเมืองก็ต้องรับผิดชอบ
เวลาที่เขาต้มเขายำมาให้เสร็จก็ต้องใคร่ครวญว่า ควรหรือไม่ควรที่จะลงพระราชลัญจกร เขาเรียกว่าลายเซ็นน่ะ
แต่ถ้าเป็นการไม่ควรก็ยับยั้งส่งไปยังสภา ถ้าสภากิเลสน้อย ก็พิจารณาใหม่ว่าทำไมพระเจ้าแผ่นดินจึงยับยั้ง ดีไม่ดีก็ยังยั้งไม่เซ็น เพราะเห็นว่าไม่ควร
ถ้าหากว่าสภามีกิเลสหนาก็ยังไว้ฝ่ายเดียวว่าพระราชาต้องเซ็น ในเมื่อบรรดาประชาชนทั้งมวลเห็นชอบด้วย แต่ความจริง เรื่องของสภานี่
เห็นจะไม่ใช่เรื่องของประชาชนทั้งมวลเห็นชอบด้วย เพราะเป็นบุคคลกลุ่มน้อยเห็นชอบ
ปรารภเรื่องนักการเมือง
...เคยฟังเขาถ่ายทอดวิทยุกระจายเสียง อภิปรายพระราชบัญญัติต่างๆ อย่างพระราชบัญญัติงบประมาณ เป็นต้น หรือว่า "รัฐธรรมนูญ" เกี่ยวกับมีสมาชิก ๒
สภาควรหรือไม่ควร
นั่งฟังดูแล้ว บางคน..แล้วก็น้อยคน พูดมีเหตุมีผลน่าฟัง แล้วก็บางคนรู้สึกว่า จะเป็นคนอยากพูดอยู่มาก คือฟังแล้วดูเอาเรื่องอะไรไม่ได้
นี่ไม่ได้ประณามท่าน
แต่ว่าอยากจะพูดว่า เวลาของประเทศไทยน่ะ เป็นเวลาที่มีค่า เวลานี้ข้าศึกเข้ามาทุกทิศทุกทาง ทั้งภายในและภายนอก เขากำลังจะกลืนประเทศไทยอยู่
แต่ว่าท่านผู้ทรงเกียรติมีความรู้ ถ้าใช้เวลานี้ไปเล่นลิ้นแบบนั้น นี่เป็นความจริงไม่ได้ว่าใคร มีหลายรายที่ขึ้นมาพูด ฟังแล้วไม่รู้เรื่องเลย
นี่มันเสียเวลาเปล่าๆ ถ้าหากว่าเราจะทำเวลาให้ก่อประโยชน์แก่ประเทศชาติ
ก็มองความรู้สึกของประชาชนคนไทย เวลานี้ต้องการอะไร พูดแต่น้อย แต่ให้ได้ความดี เอาข้อเท็จจริงขึ้นมาพูดกัน แล้วใช้เหตุใช้ผล ไม่ใช่เอาความรู้เข้ามายัน
เอาพรรคเอาพวกเอากลุ่มของบุคคลขึ้นมายัน เอากันแค่ชนะอย่างนี้ เปลืองเวลาของประเทศชาติ เปลืองทรัพย์สินของประเทศชาติ
มาปล่อยให้มดให้ปลวกที่กำลังกัดกินประเทศชาติ กินกร่อนเข้าไปทุกที จะหาความดีกระไรได้
ความจริง..ถ้าคนทุกคน นับแต่ผู้แทนราษฎรก็ดี รัฐบาลก็ดี ข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี มีจริยาอย่างพระองค์นี้ก็จะดีมาก
ต่างคนต่างเข้าถึงประชาชน ไม่เอาเปรียบประชาชน แล้วก็ไม่ควรให้มีข่าวโกงข่าวกินกันตามหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นปกติ จริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ
ถ้ามันไม่มีมูลของความจริงอยู่บ้าง แล้วก็คงจะไม่มีใครเขาพูด
ตามที่เขาบอกว่าถ้าไม่มีฝอยหมาไม่ขี้ แต่เวลานี้หมาขี้กลางถนน หากว่าเราจะดูกันให้ดีมันก็มีฝอยเหมือนกัน ฝอยเล็กๆ น้อยๆ มันมีอยู่
นี่..ถ้าหากเรามีความรู้สึกอย่างนี้ละก็ ถ้าคนทุกคนบอกว่าเป็นตัวแทนของประชาชน เข้าทำงานเพื่อประชาชน เมื่อว่างจากการประชุม เข้าถึงประชาชน
แล้วก็ไม่หวังผลเป็นที่ตอบแทน
ไม่ใช่ว่าเมื่อเป็นผู้แทนราษฎรแล้วก็มานั่งเก็บภาษีอากรกัน ตามที่เขายุบสภาไปคราวนั้นเป็นเพราะเหตุนี้ ในป่าอุทัยธานี ปรากฏว่ามีผู้แทนราษฎรเป็นเจ้าภาษี
นี่พ่อค้าในป่า พ่อค้าถ่านเขามาบอก จริงหรือไม่จริงไม่ทราบ แล้วดีไม่ดีก็ขอย้ายข้าราชการประจำ มันก็เป็นเรื่องแปลก มีอำนาจพิเศษอย่างนี้ไม่ถูก
ทีนี้คนทุกคนที่เข้าไปทำน่ะ บอกว่าทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง แต่ว่าทำเข้าจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่าไปทำเพื่อตนเสียส่วนมาก หวังผลในการตอบแทนนี่
น่ากลัวมันจะไม่ค่อยดีนัก พูดว่า ไม่ดีเลยดีกว่า
นี่เราถ้าจะทำกันก็ดูอย่างพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบาทท้าวเธอทำอะไรทุกอย่างเวลานี้ เหน็ดเหนื่อยด้วยประการทั้งปวง
เข้าถึงประชาชน รักษาน้ำใจของประชาชน แล้วพระองค์ก็ทรงคิดกิจการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ของประเทศชาติ แล้วก็พระบาทท้าวเธอเคยได้รับผลตอบแทนอะไรบ้าง
มีใครเคยจะคิดขึ้นเงินเดือนให้แก่พระเจ้าแผ่นดินบ้างหรือเปล่า หรือว่าจะเลื่อนฐานันดรศักดิ์ของพระองค์ขึ้นไปเป็นอะไรอีกหรือเปล่า
นี่พระองค์ไม่ได้ต้องการแบบนั้น พระองค์ทรงเต็มแล้ว คือมีความดีพอ ที่ใช้คำว่า พอ มีอยู่อย่างเดียวคือความเมตตาปรานี
นี่บรรดาท่านผู้แทนทั้งหลาย ท่านควรรู้ตัวไว้เสมอด้วยอำนาจสติสัมปชัญญะว่า เราเป็นผู้แทนราษฎร ไม่ใช่เรามาตั้งพรรคตั้งพวก ทำลายพรรคอีกพรรคหนึ่ง
ทำลายพวกอีกพวกหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เราเป็นรัฐบาลเราก็จะค้านให้รัฐบาลพังไป อย่างนี้
ไม่ถือว่าเป็นความพอใจของบรรดาประชาชนชาวไทย ไม่ใช่เป็นผู้แทนประชาชนชาวไทย เป็นผู้แทนผลกำไรของตนเองเท่านั้น ดีจริงหรือไม่จริง
พูดอย่างนี้เป็นการหมิ่นประมาทจะเข้าตะรางหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่เท่าที่พูดไปนี้ก็เพราะเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ทรงผ่านสถานที่อยู่
มองแล้วมันไม่ใช่ความสุขของพระองค์ท่าน
มันเป็นความลำบากแต่พระองค์ก็ทรงเต็มใจทำ ฉะนั้นเราเหล่าข้าราชบริพารและบรรดาประชาชนทั้งหลาย ต่างคนต่างแผ่เมตตาจิตคิดหวังดีซึ่งกันและกัน
อย่างที่พระองค์ท่านทรงประพฤติปฏิบัติ
อย่างนี้ประเทศชาติของเราก็จะทรงอยู่ได้ เวลานี้ข่าวคราวทั้งหลายภัยอันตรายสำคัญที่สุดที่เข้ามาในประเทศไทย ก็คือพวกหนึ่ง แล้วก็สองพวก แล้วก็พวกสาม
พวกที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ก็นำปืนเข้ามาในประเทศไทย แทรกซึมเข้ามาแบบทำลายไทยๆ แล้วพวกเราก็จะมานั่งทะเลาะกันในสภาแบบนี้ มันจะมีประโยชน์อะไร
รวมใจกับเสีย งานอะไรก็ตามพอจะผ่านไปได้ ใช้เวลาสัก ๑ ชั่วโมงก็อย่าให้มันถึงวัน แล้วเวลาพูดกันก็ใช้เหตุใช้ผล ไม่ใช่ฟุ้งน้ำลายฟังแล้วไม่สบายใจ
ที่พูดนี้ไม่ได้ว่าใคร แต่ขอให้ท่านทั้งหลายรักษาประโยชน์ของประเทศชาติเท่านั้น
นี่พระมายุ่งอะไรกับประเทศชาติ? พระก็อยู่ในประเทศชาตินี่ พ่อแม่พี่น้องเสียภาษีอากรเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าพระจะมาอยู่ได้เฉยๆ
พระเองก็ต้องทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ
คือรักษากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท รักษาทรัพย์สินของบรรดาท่านพุทธบริษัทที่บำเพ็ญกุศล
เข้ามาทำกิจบางอย่างหรือหลายอย่างให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ
เรียกว่ารักษากำลังของประเทศชาติ ทั้งกำลังใจ และกำลังวัตถุ นี่พระก็ต้องทำเหมือนกัน แม้แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ก็ทรงทำ
คือสอนให้คนตั้งอยู่ในความสามัคคี รู้จักรักษาจริยา ทำความดีคือ ละปัญเวร ๕ ประการ ศีล ๕ ไม่ให้ข่มเหงกัน ให้ลักขโมยกัน ไม่ยื้อแย่งความรักกัน รักษาสัจวาจา
รักษาสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์
นี่พระพุทธเจ้าก็ทรงปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่โลกเหมือนกัน ด้วยโลกัตถจริยา เป็นความประพฤติให้เกิดประโยชน์แก่โลก
นี่พระก็ต้องทำประโยชน์ให้แก่โลก คือประเทศชาติเหมือนกัน แล้วอย่าหาว่าพระนี่ปากมาก ยื่นปากเข้ามายุ่งกับคนที่เขาทำงานเพื่อประเทศชาติ
แต่คนที่ทำงานเพื่อประเทศชาติจริงๆ นี่พระไม่ยุ่ง พระโมทนา
แต่ว่าคนที่ทำลายประเทศชาตินี่ พระต้องปลงธรรมสังเวช สลดใจ นี่ที่พูดนี่ก็ไม่ใช่อะไร เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อย
ไปเช้ากลับค่ำ หรือไปสายกลับค่ำ ไปก็พบกับประชาชน ไม่ได้มีความสุข พระองค์ไม่ได้ไปเพราะความสนุก และจริยาที่พบกับประชาชนก็แสดงความอ่อนน้อม
ไม่เหมือนท่านผู้แทนทั้งหลาย หรือว่าข้าราชการหลายท่านที่เคยพบ พอเจอะพระก็ทำท่าเป็นนายพระเสียแล้ว เวลาจะเลือกผู้แทน แหม..นอบน้อมดีจะเป็นผู้แทน
พอเป็นได้แล้วปรากฏว่าบรรดาประชาชนที่ให้คะแนน ไม่เป็นเรื่องเลย เป็นขี้ข้าไปหมด ยังงี้เฉพาะบางจุด หลายจุดที่ท่านมีความดีก็มี ที่พูดไว้อย่างนี้
พูดไปตามจริงที่พระเห็น
พระไม่โกหก เห็นมายังไงพูดไปยังงั้นตามความเป็นจริง ถึงเวลาที่จะเลือกผู้แทน ก็ยากเหมือนกัน ให้เลือกคนดีนี่มันเลือกไม่ได้แน่เพราะไม่รู้จักกัน
ถ้าจะให้ดีละก็เอาคนที่ใกล้ๆ ตาของเรา ที่เห็นมาเป็นปกติขณะที่เขายังไม่เป็นผู้แทน เขาดีมาตลอดกาลแบบนี้จะดีมาก เอ๊ะ..เรื่องนี้ขอผ่านไป
เพราะจะไปเกะกะใจของท่านเข้ามาก.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 30
ประวัติคนไทยสายใต้ (๒)
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
"...ทีนี้กลับมาที่หัวหิน นอนกลางคืน ตอนนี้นอนเข้าไปแล้ว ไปปรากฏว่ามีสาวไทยสมัยเก่ามานั่งอยู่ด้วยกันหลายสิบคน จะถึง ๓๐
หรือไม่ก็ไม่ทราบ ไม่ได้นับ เป็นอันว่ามาพบสาวไทย แล้วก็สาวเล็ก ไม่ใช่สาวใหญ่ เป็นคนอายุมาก
มองดูแล้วอายุประมาณ ๓๐ หน้าตาดี ผิวพรรณดี เป็นอันว่าคนเก่าสมัยนั้น คนไทยมีผิวพรรณดีมาก ที่เขาบอกว่า คนไทยเป็นคนผิวเหลืองน่ะเป็นความจริง
ผิวขาวค่อนข้างเหลือง เนื้อละเอียด ทุกคนเข้ามาถึงก็แสดงความเคารพ
ก็นั่งคุย เลยถามว่ามาจากไหน ?
หัวหน้าใหญ่ยิ้ม แล้วก็บอกว่า ฉันเป็นคนไทยเจ้าค่ะ จะมาคุยเรื่องไทยๆ ให้ทราบ
ก็เลยบอกว่า เอ้า..ดีแล้วนี่ อยากจะรู้เรื่องไทยๆ เหมือนกัน ว่าไทยหรือไถสมัยนี้ เดิมทีเป็นมาอย่างไร ?
ท่านก็บอกว่า คนไทยที่มาอยู่ประเทศไทยนี้ในปัจจุบัน ตั้งแต่สายใต้ลงไป คือตั้งแต่เพชรบุรีลงไปถึงสายใต้สุดเป็นชาวไทยกลุ่ม "เมืองปา"
เวลานั้นไทยมีอยู่ ๓ กลุ่ม ที่ตั้งอยู่ในประเทศจีนจะเป็นกลุ่มเมืองอะไรบ้างก็ช่าง ตานี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวกลุ่มเมืองปานี้
ออกจากประเทศจีนเข้าอินเดียเลาะลัดมาถึงพม่า ถึงมะริด ถึงทวาย ปักตรงลงประเทศไทย พักเป็นระยะๆ
เลยถามว่า คนไทยที่เข้ามาถึงถิ่นนี้น่ะ มานานแล้วหรือยัง ?
ท่านผู้เป็นหัวหน้าบอกว่า เข้ามานาน..ก่อนพุทธกาลหลายพันปี
โอ้โฮ.. นี่เป็นอันว่า ถิ่นนี้คนไทยมาอยู่นานมาก อยู่ก่อนพุทธกาลหลายพันปี ท่านว่ายังงั้น ท่านใช้คำว่าหลายพันปี
แล้วท่านก็บอกว่า หัวหน้าเดิมที่อพยพกันลงมาเป็นกลุ่มเดียวกัน ลงมามีจำนวนนับเป็นจำนวนพันเหมือนกัน
แต่หัวหน้าใหญ่ที่นำมาก็เป็นคนค่อนข้างจะมีชื่อเสียงสำหรับในเวลาที่อยู่เมืองปา เป็นผู้ที่คนมีความเคารพนับถือ เห็นว่าอยู่ที่เมืองปาไม่มีประโยชน์
เพราะว่า ใครล่ะ...พวกไล้ตีก้อ พวกเจ๊กทั้งหลายที่มีความเจริญน้อยกว่าในสมัยนั้นระบาดเข้ามา มาพักทีไร พอมีกำลังเข้า แกก็แว้งกัด ทำร้ายทุกที
คนไทยก็ต้องยกหนีออกมา เพราะเป็นคนขี้คร้าน มีกำลังใจ รำคาญนี่
ถ้าจะพูดกันไปตามกฎของพระพุทธศาสนา ก็ชื่อว่าเป็นกฎของกรรม ว่า เมื่อกรรมใดที่เป็นอกุศลมาให้ผล มันก็มีความทุกข์
ชาวไทยพวกนั้น คงจะพรากพ่อพรากแม่ พรากลูกพรากหลานเขามาในกาลก่อน กฎของกรรมจึงต้องทำให้พรากจากที่
นี่คิดกันแบบนี้ก็สบายใจ ถ้าคิดว่าคนไทยเมื่อใจดี แต่เมื่อเจ๊กมาอาศัยทุกทีปรากฏว่าเป็นคนเนรคุณ
เมื่อมีกำลังตั้งตัวได้ก็พยายามขับไล่ไทย ทำร้ายคนไทย เบียดเบียนไม่ให้คนไทยอยู่ ถ้าคิดอย่างนี้จะเห็นชาวจีนทั้งหลายเป็นศัตรู
แต่คิดอย่างนี้มันเป็นกิเลส อย่าคิดเลย คิดว่าเป็นกฎของกรรมเสียก็แล้วกัน แล้วก็จำหน้าเข้าไว้ ว่าเจ้ากรรมนายเวรหน้าตาเป็นยังไง พูดภาษาแบบไหน
ถ้าเห็นหน้าแล้วก็นึกไว้ในใจ ว่านี่เรามาพบกับเจ้ากรรมนายเวรเข้าอีกแล้ว เตรียมใจไว้ให้พร้อม พร้อมที่จะเคลื่อนไป
หรือพร้อมที่จะปักหลักสู้กับกรรมหรือเวร
เวลานี้เราไม่มีที่จะไปแล้ว จะไปอีกทีก็เป็นเหยื่อของฉลาม ถ้าเราไม่ไปก็ต้องปักหลักสู้เข้าไว้ เพราะเวลานี้กำลังของเจ้ากรรมนายเวรกำลังยุ่ง มาทั้ง ๓
ด้านด้วยกัน
ไม่ใช่เฉพาะเหล่าเดิม มีอีก ๒ เหล่าเข้ามาผสม ดูให้ดีเวลานี้มีกำลังในประเทศไทยหลายกองพันแล้ว ถ้าจะรวมกันจริงๆ ก็เกินว่า ๑ กองพลใหญ่
ที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศไทย
ต้องระวังเข้าไว้ อีกไม่นานเท่าไหร่ ถ้าเขาพร้อมเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละ เราจะเห็นผล อย่ามัวมานั่งทะเลาะกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เลย
ท่านทั้งหลายใช้นามว่าตัวแทนของประชาชนนี่ อย่ามานั่งทะเลาะกัน ทำให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ทำให้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติจะดีกว่า
หัวหน้าคนแรก
...ท่านจึงได้บอกว่า หัวหน้าคนแรกที่อพยพเข้ามามีชื่อว่าอะไร อาลีบอลข่าน เรื่องชื่อนี่ท่านบอกไว้ เป็นไปตามสมัยนิยม
ในขณะนั้นเขานิยมแบบไหนก็ชื่อกันแบบนั้น หัวหน้าคนแรกเข้ามาชื่อ "อาลีบอลข่าน"
เดินทางเข้ามาแล้วมาพักอยู่ในแคว้นฉาน คือไทยใหญ่ เห็นว่าไทยที่นั่นมีมาก เนื้อที่ก็ไม่กว้างนักก็เลยเลื่อนกันลงมาเรื่อยๆ มาทีแรกก็มาเข้าอินเดียก่อน
แล้วก็มาเข้าเขตของพม่า
ตัวเองของพม่าเดี๋ยวนี้มาจากอินเดีย เข้าแคว้นฉานเข้าพม่า แล้วก็เลยลงมาถึงมะริดกับทวาย แล้วก็ตัดลงมาปลายเขตของประเทศไทย คือใต้เขตของจังหวัดเพชรบุรี
ในเขตนี้ ตั้งแต่ใต้เพชรบุรีลงไปถึงสายใต้สุด ท่านให้นามคนพื้นเมืองประเทศนี้ว่า อาเมี๊ยด ท่านไม่ได้เรียกว่าเป็นชาวขอม ชาวอะไรต่อชาวอะไร
ท่านบอกว่า เวลานั้นให้นามพวกนั้นว่า "อาเมี๊ยด" พวกชาวอาเมี๊ยดนี้เป็นคนป่า ยังมีความเจริญไม่พอ ที่นุ่งผ้ามีน้อย นุ่งใบไม้น่ะมีมาก นุ่งหนังสัตว์
เป็นคนมีจริยาแบบป่าๆ ไม่มีวัฒนธรรม
แล้วท่านว่ายังไง...ดูที่จดไว้...อ้อ..ท่านบอกว่า เขตของอาเมี๊ยด คือตั้งแต่เพชรบุรีจรดถึงสิงคโปร์ ท่านเรียกว่าชาวอาเมี๊ยดทั้งหมด
ท่านผู้คุยให้ฟังหน้าตาดีมาก แสดงความเป็นผู้ใหญ่
นี่ท่านบอกว่า เมื่อเข้ามาถึงเขตประเทศอาเมี๊ยด แล้วก็เข้าตั้งอาศัยอยู่ในเขต ๓ จุดด้วยกัน แต่ว่าไม่ได้ยึดเป็นเมือง คือเอาอาศัยเป็นที่ทำมาหากิน
มีกันเป็นจุดๆ
คือ ๑ เมือง เฉวี เมืองเฉวีนะ เฉวีนี่ คนที่เป็นหัวหน้าหน่วย คือคนที่เป็นผู้นำตั้งอยู่ที่กุยบุรี วังกะพง กาญจนบุรี ขอโทษ..ปราณบุรี ทับสะแก
บางสะพานใหญ่ บางสะพานน้อย นี่กระจายกันอยู่ จุดที่ ๑
มาจุดที่ ๒ เรียกว่าเมือง ปาวี แล้วภายหลังมีนามว่า "เมืองปาตลีบุตร"
ปาตลีบุตรนี่มาตอนที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชที่เข้ามาในเขตของใครล่ะ..นครศรีธรรมราช
ที่หนีห่ากิน ไอ้โรคห่ามันไล่กินนี่ หนีมานับจำนวนประมาณ ๓๐,๐๐๐ คน มาตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ๆ แล้วในที่สุดก็ยึดเขตประเทศนครศรีธรรมราช
เป็นอาณาจักรให้นามว่า "เมืองปาตลีบุตร"
เมืองปาตลีบุตรนี่มาได้นามทวีออกไปทีหลัง เพราะว่าชาวปาตลีบุตรชอบรบ คนชาวไทยหรือชาวพื้นที่ที่มีอยู่แถวนี้ให้มีอาณาจักรเดียวกัน
ฉะนั้น "อาณาจักรปาตลีบุตร" จึงขยายเข้ามาในเขตที่คนไทยอยู่ ถึงเมืองปาวี เมืองปาวีก็คือ "เมืองตะกั่วป่า" และ "เมืองภูเก็ต"
นี่ในสมัยที่พงศาวดารเขียนบอกว่า พระเจ้าพรหมมหาราชไล่พวกขอมไป พวกขอมไปตั้งอยู่ที่ขอบเขตของสมุทร คือเมืองปาตลีบุตร
แต่ตำนานอีกเล่มหนึ่งบอกว่า ไปอยู่ในเขตตอนใต้ของแม่น้ำเจ้าพระยามีนามว่า "เมืองปาตลีบุตร" นี่น่ากลัวไม่ถูก
พงศาวดารที่พอเชื่อถือได้
...ใน "พงศาวดารเหนือ" เข้าใจว่าจะถูก ทั้งนี้ก็เพราะว่ามาได้เค้าว่า "เมืองปาวี" หรือ "เมืองปาตลีบุตร" นี่
อยู่ในเขตตะกั่วป่าหรือภูเก็ต
ตานี้ เมืองที่ ๓ ชื่อว่าเมือง ฉ่อปา ฉ่อปานี่มีเขตตั้งแต่พังงาหรือกระบี่ คือจังหวัดกระบี่หรือจังหวัดพังงานั่นเอง นี่ท่านบอกว่าสมัยนั้น
คนไทยกระจัดกระจายกันอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ไม่ได้รวมกันเข้าเป็นกลุ่มเป็นก้อน
ทีนี้ พวกชาวอาเมี๊ยด คือเจ้าของที่เดิม ยังมีความเจริญไม่พอ มีนิสัยหยาบคาย ดุร้ายมาก ขาดอารยธรรมท่านว่าอย่างงั้น
คนที่เล่าให้ฟังนี่ท่านว่ายังงั้น ท่านมีท่าทางดีจริยานิ่มนวล น่ารัก ความจริงน่าจะเป็นแม่มากกว่า ทำท่าทางเหมือนกับท่านเป็นแม่ของคนพูด
นี่มีความเมตตาปรานี แล้วบรรดาท่านหญิงทั้งหลายทั้งหมดก็มีจริยายิ้มแย้มแจ่มใสแต่ไม่มีใครพูด
มีท่านหัวหน้าใหญ่พูดคนเดียว ทีนี้ท่านก็บอกว่าการอยู่ในสมัยนั้น ก็อยู่กันด้วยความสุข การทำมาหากินต่างๆ ก็ทำกันแบบสบายๆ
เพราะบรรดาไล้ตีก้อทั้งหลายไม่ค่อยมารบกวน ความมั่งคั่งทั้งหลายก็มีอยู่มาก เขตสายใต้นี่มีทองคำเยอะ มีแร่ที่มีค่ามาก
ถามว่า เรื่องแร่หรือเรื่องทองคำนี่รู้ได้ยังไง ว่าที่ไหนมีแร่ ที่ไหนมีทองคำ ?
ท่านก็ยิ้ม บอกว่าเป็นของไม่ยาก เพราะว่าธรณีวิทยานี่คนไทยเก่ง เก่งมานาน เพียงแค่เดินไปดูดิน ดูมูลของดิน แล้วก็มองดูสีของดิน
สีของดินจะบอกว่าที่ตรงนี้มีแร่อะไรบ้าง หรือจะมีทองคำ หรือจะมีเงิน หรือมีเพชรมีพลอย
ก็เลยถามว่าวิชานี้ทำไมไม่สอนคนไทยสมัยปัจจุบัน ?
ท่านบอกว่า ถ้าคนไทยสมัยปัจจุบันอยากจะเรียน ก็เป็นของไม่ยาก แต่ทว่าเขาไม่ได้เชื่อไทยด้วยกัน เขาเชื่อฝรั่ง
ก็ดี..ก็ใช้ได้แล้วนี่ ก็มีความรู้ดี แต่ว่าลงทุนมากไปหน่อย ถ้าหากว่าใช้วิชาของไทยๆ ด้วยกัน จะไม่ต้องลงทุนไปเรียนถึงต่างประเทศ เมืองฝรั่งมั่งค่า
ท่านว่ายังงั้น เป็นอันบอกว่าถ้าที่ใดมีดินสีอรุณมาก ที่นั้นจะมีแร่ที่มีค่ามหาศาลมาก เช่น ทองคำและอย่างอื่น ท่านพูดยิ้มๆ ทิ้งไว้เท่านี้
บอกให้ดูดินสีอรุณ
แต่ว่าต้องดูให้ดีน่ะ สีอรุณจริงๆ แล้วมีเกล็ดพิเศษ บอกลักษณะว่าจะมีทองหรือมีอะไร ทองมากหรือทองน้อยจะดูที่เกล็ดพิเศษของดินสีอรุณ
เลยไม่รู้เรื่องกัน..เสร็จ !
ถามว่าเวลานี้ ทอง แร่ สิ่งที่มีค่ามีมากหรือมีน้อย ?
ท่านบอกว่าประเทศไทยนี่มหาศาล ทรัพยากรนี่มีมากกว่าชาวโลกทั้งโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้านำทรัพยากรขึ้นมาได้แล้ว
ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มั่งคั่งสมบูรณ์ที่สุดในโลก
แต่ทว่าเรายังไม่รักไทยกัน ว่าส่วนใหญ่รักกระเป๋าตนเองแล้วก็ชอบให้คนอื่นเขามาทำ ทำแล้วก็ให้เขาร่ำรวยไป ไอ้คนไทยซีกลับจน
ดีไม่ดีก็ไปรุกที่รุกทางของชาวบ้านที่ทำมาหากิน ถือว่าเป็นสิทธิของชาวต่างประเทศ ท่านพูดยังงี้นะ พูดแบบผีพูด ไม่ได้พูดแบบคนพูด
ทีนี้คนพูดก็เลยกลายเป็นผีไปด้วย.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 31
ประวัติคนไทยสายใต้ (๓)
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
"...แต่ทว่าเรายังไม่รักไทยกัน ว่าส่วนใหญ่รักกระเป๋าตนเองแล้วก็ชอบให้คนอื่นเขามาทำ ทำแล้วก็ให้เขาร่ำรวยไป ไอ้คนไทยซีกลับจน
ดีไม่ดีก็ไปรุกที่รุกทางของชาวบ้านที่ทำมาหากิน ถือว่าเป็นสิทธิของชาวต่างประเทศ ท่านพูดยังงี้นะ พูดแบบผีพูด ไม่ได้พูดแบบคนพูด
ทีนี้คนพูดก็เลยกลายเป็นผีไปด้วย
เห็นท่านบอกว่าก่อนพุทธกาลประมาณ ๒ พันปี พวกชาวไทยเมืองปา จึงได้รวบรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน รวมตัวกันเข้าเป็นกลุ่มๆ เรียกว่าเมือง
ตานี้พอมาตั้งเป็นเมืองแล้ว เมืองก็อยู่ในเขต ๓ เขตนั่นเอง พ่อเมือง ๓ เมือง ท่านว่ายังงั้น ตอนนี้มาเป็นพ่อเมืองแล้ว...พ่อเมือง ๓ เมือง
พ่อเมืองเฉวีคนแรกชื่อว่า ล่อก๊กฉิม เฉวีก็ได้แก่เมืองกุยบุรี
นี่ชื่อคล้ายเจ๊กเข้าไปแล้ว นี่ความนิยมชื่อเจ๊กๆ ก็ยังมีอยู่ ทีนี้พ่อเมืองปาวีหรือปาตลีบุตรทีหลัง คนแรกชื่อ ล่อเปา คือ เขตเมืองตะกั่วป่าหรือภูเก็ต
แล้วพ่อเมืองฉ่อปา คือพังงากับกระบี่ มีนามว่า ล่อเหม็ง นี่ ล่อ กันดะไปเลย ล่อกันไปล่อกันมา ถูกใครเขาล่อเข้ามั่งหรือเปล่าก็ไม่รู้
ทีนี้เมื่อตั้งตนอิสระในระหว่างแดนของป่ามานาน คนป่าก็ไม่ได้รบกวน เมื่อรวมตัวกันเข้าแล้วก็อยู่ด้วยธรรมสามัคคี จะมีอะไรก็ปรึกษาหารือกัน
ท่านว่ายังงั้น ทำแบบประชาธิปไตยมานาน ไม่ใช่ 'คณาธิปไตย' หรือ 'อัตตาธิปไตย' ถามว่าทำมาหากินทำแบบไหนกันล่ะ ?
ก็บอกว่ามีการค้าขายทางบก ทางเรือ และหากินจากพืชไร่จากแร่ต่างๆ การค้าขายทางบกก็คือติดต่อกับพม่า ไทยเหนือ อินเดีย ทางเรือก็เกาะสุมาตรา มีการค้าหนังสัตว์
พวกแร่ แล้วก็ต่อเรือใหญ่ๆ ติดต่อกับเขตต่างๆ ในระหว่างชายทะเล
แร่สำหรับการค้าน่ะมีอะไร มีค้าหนังสัตว์แร่แล้วเครื่องประดิษฐ์อื่นๆ ที่ทำด้วยมือ แล้วเครื่องสมุนไพร โดยมากเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกัน
แล้วก็แลกเปลี่ยนทองคำ เอาของแลกกัน ยังไม่มีเงินตรา สมัยนั้นยังหาเงินตราไม่ได้ ยังไม่ได้ทำเงินตราขึ้น
แล้วในกาลต่อมาพวกอาเมี๊ยด คือพวกคนป่าซึ่งมีจำนวนมากกว่ารวมตัวกันเข้าเป็นกลุ่มเป็นก้อน รวมกำลังกันบีบพวกไทย เพราะมีมากกว่า พวกนี้เลวๆ อยู่เสียด้วย
มีนิสัยเลวๆ มาก
ท่านบอกว่า พวกเรามีจำนวนน้อยกว่า แล้วก็ไม่อยากจะรบราฆ่าฟัน อยากจะอยู่อย่างเป็นสุขก็เลยยอมตัวเป็นบริวารเขา ทำตัวคล้ายๆ กับเมืองขึ้น เรียกว่าซูฮก
ยกให้เขาเป็นพี่เอื้อย
แล้วท่านก็คุยต่อไปว่า เรื่องสติปัญญาน่ะมันสู้เราไม่ได้ แต่ปริมาณของมันมากกว่า แต่เราก็ขี้เกียจจะไปรบราฆ่าฟันกับมัน
เจ้าพวกนี้เรียกว่าจะเป็นอันธพาลมากกว่าจะเป็นพ่อบ้านแม่เมือง
ประโยชน์ส่วนใหญ่ที่เราจะได้ก็คือ พวกเรามีรายได้ดีกว่า ก็ยอมให้เขาเป็นลูกพี่ เมื่อยอมให้เขาเป็นลูกพี่ ยกซูฮกให้เขาเป็นลูกพี่แล้ว
สิ่งของที่ไหนเขาหาได้มาจากป่า เวลานี้เป็นสัมพันธมิตรกัน เราก็รับซื้อเขา รับแลกเขา เขาก็เอามาขายให้แก่เรา เราก็ออกค้าต่างประเทศ
ระหว่างพวกคนไทยด้วยกันสายเหนือ หรือว่าระหว่างชาวต่างประเทศมีพวกมอญ พม่า พวกแขก แล้วก็พวกสายใต้ไปทางเรือถึงเกาะชวา เป็นต้น
นี่ ที่เรายอมเป็นลูกน้องเขาน่ะ ความจริงไม่ได้เป็นลูกน้องจริงๆ เพราะเขาไม่มีปัญญา เรายกให้เขาเป็นลูกพี่เขาก็ทำเด่น แต่ทว่าผลประโยชน์จริงๆ เป็นของเรา
ทรัพย์สินทั้งหลายเรามีมาก ร่ำรวย (ท่านคุยเสียด้วย) อาณาจักรเล็กๆ ๒ อาณาจักร
ถ้าจะรวมทองคำกันจริงๆ มีปริมาณมากกว่าทองคำที่มีไว้ในประเทศไทยนี่เยอะแยะ เพราทองคำนี่เป็นของหาง่าย ขุดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ จะเอาเมื่อไหร่ก็ได้
ที่เก็บต้องตั้งฉางใหญ่ๆ กัน
ทีนี้ ท่านคุยต่อไปว่า อยู่กันมานานแบบนั้นแหละ แล้วก็ความเดือดร้อนอะไรมันก็ไม่มีนัก เขาก็เป็นพี่เอื้อยอยู่แบบนั้น เราได้เปรียบกว่าไม่มีอะไร
เรามีวัฒนธรรมดีกว่า เขามาปรึกษาหารือ เราก็ให้ความคิดความเห็น เพราะเราต้องการจะเอาตัวรอด และให้พวกนี้ประพฤติปฏิบัติดี
หลังจากนั้นท่านสุภาพสตรี ผู้เป็นปู่ ย่า ตา ยายเก่าท่านก็คุยให้ฟังต่อไปว่า เมื่อสมัยหลังพุทธกาลหลังจากที่พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว สมัยนั้น
'พระเจ้าพรหมมหาราช' มีอำนาจขึ้นในภาคเหนือ
เมื่อทรงขับไล่ขอม เจ้าพวกขอมดำมันหนีพระเจ้าพรหมมหาราชไป มันก็ลงไปสายใต้ อาจจะกระจายอยู่แถวอยุธยาลพบุรีบ้างก็ได้
อาจจะมีอยู่เพราะพระเจ้าพรหมมหาราชไม่ได้ไล่ไปถึงตอนนั้น
พอถึงกำแพงเพชรก็ยับยั้งอยู่ เจ้าพวกนี้ส่วนใหญ่ลงไปสายใต้ ไปรวมกลุ่มกับพวกอาเมี๊ยด ยังไม่รวมเลยทีเดียว เรียกว่าไปทำมาหากินอยู่แถวนั้น
เจ้าพวกนี้คงจะเคยเป็นพระราชามา มีแผนการดี เคยปกครองคนมา อาจจะมีจริยาดีบ้าง สร้างความเดือดร้อนให้แกคนไทยบ้างก็ได้
นี่เข้าใจเอาเองแต่ทว่าท่านไม่ได้บอกไว้ ไม่ได้คุย
ท่านบอกมันหนีไปตรงนั้นเป็นส่วนใหญ่ เวลานั้นเมื่อพระเจ้าพรหมมหาราชทรงมีอำนาจแล้ว ก็มีการติดต่อระหว่างคนไทยกับคนไทยด้วยกัน
เพราะว่าทราบกันมานานว่าคนไทยอยู่ที่ไหนบ้าง ทั้งนี้เพราะอาศัยภาษาพูดอย่างหนึ่ง แล้วก็ขนบธรรมเนียมประเพณี นี่เหมือนกัน พูดแบบเดียวกัน
มีการค้าขายแบบเดียวกัน
ไทยเหนือกับไทยใต้มีการติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา รู้กลุ่มของคนไทย ในเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็รู้ข่าวกันจากพ่อค้า แต่ก็ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะถึงกัน
เว้นไว้แต่ไทยใกล้ส่งข่าวถึงไทยใกล้อย่างนี้ต่อๆ ไปก็ส่งข่าวถึงกันเร็วขึ้นมาหน่อย เรียกว่าการติดต่อก็เป็นแต่เพียงได้ฟังข่าว
ว่าไทยเหนือเวลานี้ตั้งกลุ่มเป็นเมืองขึ้น มีอำนาจ
เวลานี้ขอมเสียอำนาจให้แก่ไทย การจะยกมาช่วยกันก็แสนลำบาก การคมนาคมก็ไม่ดี เป็นอันว่า เป็นแต่เพียงฟังข่าวกันเข้าไว้
ทีนี้เมื่อพระเจ้าพรหมมหาราชมีอำนาจขึ้นก็มีการติดต่อกัน อาศัยพ่อค้าเป็นสื่อ แล้วก็ใช้พ่อค้าเป็นทูตไปในตัว
ต่อมาพระเจ้าพรหมมหาราชเองก็เสด็จไปเยี่ยมคนไทยทุกกลุ่มที่ตั้งกันอยู่ที่ไหน
แนะนำให้รวมไทยให้เป็นไทย ว่าแต่ละกลุ่มๆ ที่ตั้งกันไว้นี้เป็นเขตๆ นี่เป็นความดีแต่ว่าขอให้คนไทยทุกคนทรงความสามัคคีเข้าไว้ อย่าทำลายไทยด้วยกัน
ร่วมมือกัน ช่วยเหลือกันด้วยประการทั้งปวง
ใครมีทุกข์มีสุขเป็นประการใดก็แจ้งข่าวให้กันและกันทราบ แล้วมีศึกเสือเหนือใต้มาจากไหนก็ตาม ถ้าช่วยกันได้ก็ให้พยายามช่วย
เพราะยังไงๆ เราก็เป็นพี่เป็นน้อง พ่อเดียวแม่เดียวกัน คนไทยไมใช่คนต่างพ่อ ไม่ใช่คนต่างแม่ จะมาตั้งแง่ทำลายกันนี่ ไม่มีประโยชน์
ประเภทที่เรียกว่าฉันเป็นคนกลุ่มนี้ ฉันเป็นคนกลุ่มโน้น ฉันเป็นคนกลุ่มนั้น หรือที่เรียกว่าเราเป็นคนพรรคนี้ เราเป็นคนพรรคโน้น เราเป็นคนพรรคนั้น พรรคนี้
ทำความดีแบบไหนก็ตาม เราไม่เอา เราหวังจะทำลายพรรคนี้ให้พินาศไป เราจะตั้งตัวเป็นใหญ่ พระเจ้าพรหมมหาราชทรงแนะนำว่าการทำแบบนั้นไม่สมควร
ความเป็นใหญ่ พระเจ้าพรหมมหาราชทรงแนะนำว่าการทำแบบนั้นไม่สมควร ความเป็นใหญ่ ต้องเป็นทุกคน ต่างคนต่างใหญ่เพราะทุกคนเป็นคนไทยด้วยกัน
ต่างคนต่างต้องรักษาผืนที่ ว่าผืนที่แผ่นนี้เป็นของเรา แต่ละคนถือว่าเป็นของเรา ก็ถือว่าคนไทยด้วยกันทุกคนเป็นเรา ไม่ใช่ใคร
ถ้าใครเขามีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น เราก็ยินดี ร่วมมือกับเขาสร้างความเจริญ ไม่ใช่ทำลายเขา นี่เป็นนโยบายของพระเจ้าพรหมมหาราช
ในสมัยที่ตั้งไทย คือไทยยุบไปแล้วตั้งไทยขึ้นมาใหม่ด้วยอำนาจปาฏิหาริย์พิเศษ เมื่อพระเจ้าพรหมเสด็จมาเยี่ยม...เยี่ยมทุกกลุ่ม
เห็นว่าคนไทยจริงๆ ตั้งอยู่เป็น ๓ กลุ่ม มีอาณาเขตกว้างขวางดีมาก มีความสามัคคีกันดี มีการค้าขายทำมาหากิน
สร้างความเจริญให้เกิดกับเขตของตนเป็นอย่างดี มีความสามัคคีกันดี มีการค้าขายทำมาหากิน สร้างความเจริญให้เกิดกับเขตของตนเป็นอย่างดี
แล้วก็ทุกคน ทุกเขตมีความสามัคคีกัน ติดต่อถึงกันอยู่เสมอ พระองค์ก็ทรงปลื้มใจ จึงได้ทรงแนะนำว่าคนไทยเราน่ะเวลานี้ ชื่อมันยังไม่เหมือนกัน
คนนั้นชื่อแบบนั้นคนนี้ชื่อแบบนี้
เมื่อฟังแล้วก็ไม่มีสัญลักษณ์ว่าอะไรเป็นพวกเดียวกัน ฉะนั้นให้มาตั้งชื่อพ่อเมืองเสียใหม่ ใครจะมาเป็นพ่อเมืองกลุ่มไหนก็ตาม ให้ใช้นามว่า พรหม
ขึ้นหน้า
นี่แบบเดียวกับคำว่ารามา คำว่ารามาสมัยนี้ ให้ใช้คำว่าพรหมขึ้นหน้าจะได้รู้กันว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มของไทย ว่ายังงั้น ตานี้เมื่อท่านแนะนำแบบนั้น
คนไทยทุกกลุ่มก็ เอ้า..เมื่อชื่อ 'พรหม' ก็พรหม จะได้รู้ว่าเป็นคนไทยด้วยกัน เวลาเรื่องร้ายเกิดขึ้นมาแล้วก็จะได้รู้ว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มไทย
จะได้ช่วยกันกำจัดภัยที่จะบังเกิดกับกลุ่มของตน
ตานี้ การที่พระเจ้าพรหมมหาราชทรงแนะนำแบบนั้น 'พ่อเมืองเฉวี' คือกุยบุรี ก็ตั้งชื่อของตนขึ้นมา โดยบรรดาประชาชนทั้งหลายเห็นชอบว่า
เจ้าเมืองกุยบุรีนี่ควรจะมีพระนามว่า พรหมภักดิ์
แล้วก็ 'พ่อเมืองปาวี' คือเขตตะกั่วป่าภูเก็ตก็มีนามว่า พรหมมณี แล้ว 'พ่อเมืองฉ่อปา' คือกระบี่กับพังงามีนามว่า พรหมจักร
(ไม่ยักมีพระพรหมทัตแฮะ..พรหมทัตก็อยู่แถวโน้นซิ แถวภาคอีสาน)
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 32
ประวัติคนไทยสายใต้ (๔ จบ)
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)
"...แล้วในกาลต่อมา การปกครองก็เป็นมาด้วยดี ตานี้ ท่านพรหมจักรนี้ ท่านเล่าให้ฟังว่าเป็นคนที่มีฝีมือมาก
คือว่าเป็นคนที่มีฝีมือในการรบเก่ง เป็นนักสู้ตัวเล็กๆ ตอนนั้น เห็นมาแสดงตัวที่จังหวัดกระบี่ ไม่ใหญ่โตนัก แต่ว่าดูดวงตาและน้ำใจรู้สึกว่าเป็นไทยแท้ๆ
เป็นไทยนักสู้
ความจริงคนไทยเราที่เก่งนี่ตัวไม่ค่อยโต เป็นคนเพรียวๆ มีความคล่องตัวมาก ถ้าจะล่ำสันก็ล่ำสันแบบทะมัดทะแมง ไม่ใช่อ้วนตุ๊ต๊ะ หรือสูงโย่งโก๊ะอย่างฝรั่ง
นี่เป็นคนที่มีการคล่องตัวเป็นพิเศษ
ท่านบอกว่า พระเจ้าพรหมจักรนี่เก่งในการสังหารศัตรูมาก และในกาลต่อมา พระเจ้าพรหมจักรนี้ มีนโยบายดี
ตั้งเป็นกลุ่มของตัวเข้าแล้วก็ไปทำความสามัคคีกับเจ้าของถิ่น คือเจ้าพวกอาเมี๊ยด นี่มันมีกลุ่มพวกขอมผสมอยู่ด้วย ไอ้เจ้าขอมนี่เข้าที่ไหนบรรลัยที่นั่น
มันจะเหมือนกับเขมรหรือเปล่าไม่ทราบ เจ้าเขมรนี่มันจะมีหางเลขมาจากขอมหรือเปล่าไม่ทราบ เขาเรียกว่า เขมรขาว ลาวเล็ก เจ็กดำ..คบยาก
ทีนี้เขมรต้องดำจึงจะคบง่าย แต่อย่างไปเชื่อผิวนัก ถ้าจิตใจมันเลว มันก็ดำไปด้วยกัน แต่โบราณเขาว่ายังงั้น ถ้าลาวตัวเล็กก็คบยากเหมือนกัน
แต่เจ้าเจ๊กดำละคบไม่ได้ ท่านว่ายังงั้น
พอเจ้าขอมมันไปผสมเข้ามันก็วางท่าแบบขอมตามเดิม ยุยงส่งเสริมให้พวกเจ้าของเดิมตั้งตัวเป็นอำนาจ มีการปกครองเอาคนไทยเป็นเมืองขึ้นชัดๆ แบบขอมให้ส่งส่วย
นี่มันไปยุเจ้าของบ้านเขาให้แตกความสามัคคีกัน เดิมทีเดียวอยู่ด้วยกันมาด้วยดี
เจ้าพวกนั้นเมื่อฟังแนะนำจากเจ้าพวกนี้ก็ชักชอบใจ อยากจะใหญ่เพราะมีนิสัยเป็นเผ่าป่า ก็คงจะเอาท่าตามแบบเขา แต่ทว่าคนไทยเราก็ดีไม่น้อย
ท่านพรหมจักร เวลานั้นกำลังเป็นหนุ่มมีลีลาต่างๆ ย่องไปย่องมาย่องมาย่องไป อีท่าไหนเห็นท่าจะไม่เหมาะก็เล่นท่าเจ้าชู้ แสดงความเป็นคนเจ้าชู้ แบบมีมรรยาท
ย่องเข้าไปเป็นลูกเขยของเจ้าพวกอาเมี๊ยด
คือพ่อเมืองเขาก็ชอบใจเห็นเป็นคนดี รับรองว่าจะกดขี่คนไทย บังคับคนไทยให้อยู่ในอำนาจของอาเมี๊ยดให้ได้ แต่การเข้าไปแบบนี้ เข้าไปแบบพราหมณ์
พอเข้าเป็นลูกเขยของพ่อเมืองเขาได้แล้วก็ตั้งตัวเป็นใหญ่ เขาจะต้องการอะไรกับคนไทยท่านก็แสดงตนเสียเอง เพราะไปอย่างคนรู้จักกันนี่ จะซ้ายก็ซ้ายด้วยกัน
ขวาก็ขวาด้วยกันว่าง่าย ว่านอนสอนง่าย คนไทยราบคาบ
แต่มีระบบอยู่ว่าสั่งคนไทยพร้อมรบอยู่ตลอดเวลา ให้มีความสามัคคีถือคำสั่งของพระเจ้าพรหมมหาราชที่แนะนำไว้นี้ เราต้องเป็นไทย จะแตกแยกไม่ได้
ถือคำสั่งคำแนะนำเป็นคำภีร์ปฏิบัติ แล้วก็มีการติดต่อกับพระเจ้าพรหมมหาราช ขอคนบ้าง ขออาวุธบ้าง คนและอาวุธที่สั่งไป ก็ไปจากการค้าขายทางเกวียน
พ่อค้าไปมากผิดปกต ไปมากแล้วกลับน้อย
มีสรรพาวุธต่างๆ บรรทุกไปในของที่ขายด้วย เมื่อเข้าไปแล้วก็ขายในกลุ่มคนไทยด้วยกัน ส่วนที่เป็นอาวุธก็เก็บเอาไว้ ขายของที่มีประโยชน์
แล้วเวลากลับมาพอได้จังหวะ ท่านพรหมจักรก็แผลงฤทธิ์ก่อน รบราฆ่าฟัน ตัดกำลังของพวกขอมก็ดี พวกอาเมี๊ยดก็ดี เจ้าพวกขอมนี่มันเป็นคนมีฝีมือ
แนะนำเจ้าพวกนั้นให้มีความรู้ในวิชาทหาร ก็จัดการสู้รบกันเป็นการใหญ่
ท่านพรหมจักรฆ่าตายเป็นเบือ ในเขตจังหวัดกระบี่หรือว่าตะกั่วป่านี้ มีนามว่า "สุสานประเทศ" ฆ่าเสียตายหนัก คนไทยร่วมมือกันเป็นอย่างดี
ทั้งสามคนรุมสู้กับเจ้าพวกนั้นกัน จนกระทั่งมันสู้ไม่ไหว ไทยก็เลยกลับเป็นไทยขึ้นมาแบบไทยๆ เรียกว่าเป็นไทยอิสรภาพ
ส่วนพระเจ้าพรหมมหาราช รู้ข่าวว่าทางเมืองไทยสายใต้เกิดมีการรบราฆ่าฟันกัน ก็ให้กำลังใจช่วยทุกวิถีทาง เร่งรัดพ่อค้าไทย คือทหาร ส่งกำลังลงไปช่วย
จนกระทั่งยึดพื้นที่ได้หมด และเป็นอิสระทั้ง ๓ เขตของไทยท่านว่ายังงั้น
ทีนี้ต่อมา เมื่อพระเจ้าพรหมมหาราชสวรรคต และบรรดาหัวหน้าไทยทั้งสามเขตก็สวรรคต ตายนี่..เรื่องของพระก็ถือว่าเป็นกฎธรรมดา
อัตภาพร่างกายที่เกิดมามันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ เมื่ออัตภาพร่างกายเป็นอนิจจังไม่เที่ยงแล้ว กิจต่างๆ ของคนที่ทรงอยู่ก็เป็นอนิจจังไปด้วย
นี่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสว่ายังงั้น
จริงหรือไม่จริงบรรดาคนอื่นทุกท่านก็ลองคิดดูว่า ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นนิจจังคือความเที่ยง คนไทยทั้งหมดสมัยนั้นก็ยังปรากฏตัวอยู่
เราจะได้รู้ประวัติศาสตร์ที่แน่นอน ไม่ต้องมานั่งเดากันไปเดากันมา ดีไม่ดีเรื่องของคนไทยเราดันไปรู้จากเมืองฝรั่ง
แล้วก็เจ้าฝรั่งนี่มันเข้ามาในเขตประเทศไทยตั้งแต่สมัยไหน ทำไมมันถึงรู้เรื่องของคนไทยเรา?
ก่อนที่มันจะเข้ามานี่ซี คิดถึงตรงนี้ซี่ มันน่าอายฝรั่ง ให้ฝรั่งมามาโกหกกลิ้งเล่นโก้ ความจริงฝรั่งจะรู้ก็เป็นการคาดคะเนพิสูจน์อย่างนั้น พิสูจน์อย่างนี้
อย่างกับหอย ๗๕ ล้านปีก็เหมือนกัน ใครเป็นคนเกิดทันสมัยนั้น? เขาก็สันนิษฐานเอา แล้วเรื่องการรู้ก่อนเกิดนี่มันเป็นของยาก แต่มันก็ง่ายเหมือนกัน
พูดให้ฟังได้ แต่ก็ไม่มีข้อพิสูจน์
นี่อย่างที่อาตมาพูดนี่ก็เหมือนกัน ใครอยากจะรู้ก็ไปถามผีดูซี ว่ามันจริงหรือไม่จริง ก็นี่เราพูดอนิจจังแล้ว ทุกขังมันก็เกิด
ความเปลี่ยนแปรมันปรากฏขึ้นก็เกิดอาการของความทุกข์
เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ว่าคนมารุกรานบ้าง นี่เราก็ทุกข์ เวลานี้เรากำลังจะถูกกลืนชาติ เพราะบรรดาปลวกและหนอนต่างๆ
เข้ามาอยู่ในเขตประเทศไทยเต็ม
คนที่มีอำนาจในการบริหารมีความรู้สึกขนาดไหนบ้าง ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน ทุกคนท่านบอกว่ามีความห่วงใยประเทศชาติ
แม้แต่ข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกคนก็เหมือนกันห่วงใยประเทศชาติ ถ้าห่วงใยประเทศชาติละก็อย่าเก็บภาษีให้มันผิดระเบียบ
แล้วก็พยายามเก็บภาษีให้ครบถ้วนยังงี้ดีกว่า อย่าข่มเหงกัน อย่าเห็นว่าคนไทยด้วยกันเป็นทาส
อยากจะรุกเขตแดนที่ไหนก็รุกไป อย่างพวกนาทรายเป็นต้น พวกนาทรายที่ไปร้องไห้ที่สภาเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ แกร้องจริงๆ
หรือว่าแกแกล้งร้องหลอกสภาก็ไม่ทราบ
แต่ปรากกว่าพ่อบ้านบอกว่า พวกชาวนาทรายโกหกตอแหลพูดไม่จริง นี่เรื่องของเรื่องก็สุดแล้วแต่กรรมการผู้ไปวินิจฉัย
ทีนี้กรรมการผู้ไปวินิจฉัยก็ต้องตั้งอยู่ในพรหมวิหาร ๔ และเว้นอคติ ๔ ตามความเป็นจริง เพราะคนของเรามีเงินเดือนเงินดาวอยู่แล้ว ไม่ยากไม่จน
หากว่าไปทำลายคนจนนี่ก็ชื่อว่าทำลายประเทศชาติ มันเป็นโอกาสให้ปลวกหนอนทั้งหลายที่มาทำลายประเทศชาติมีโอกาสทำลายได้ง่าย เป็นกำลังของเขา มองดูกันให้ดีนะ
เป็นอันว่าเมื่อ ๓ ท่านสวรรคตแล้ว ตัวนี้ก็เป็นอนัตตา แล้วคนที่มานั่งคุยให้ฟังก็ดันเป็นผีเสียด้วย ตายเหมือนกัน เป็นอนัตตา
นี่เราเกิดมาแล้วต้องตายเหมือนกัน นึกเข้าไว้ให้ดี ว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาไม่ได้สอนส่งเดช เป็นไปตามความจริง
ราชวงศ์เชียงแสน
...ต่อมา ลูกของ "พระเจ้าพรหมมหาราช" ก็หมดอำนาจถอยร่นลงมาจากสุโขทัย มาจากกำแพงเพชร มายับยั้งอยู่ที่เมืองสรรคบุรี ตอนนี้..เขตสรรคบุรีก็มีนามว่าอะไรล่ะ
นึกชื่อไม่ออกเสียแล้วซี นึกไม่ออกก็แล้วกันไป
แล้วก็ต่อมาขยายลงมาจนกระทั่งถึงเขตอู่ทอง เขตทวาราวดี ในที่สุดก็ยึดพื้นที่ทวาราวดี ตั้งแต่นครปฐม ยันราชบุรี เห็นจะยันเพชรบุรีไว้ได้หมด
แล้วอีกส่วนหนึ่งของตระกูลของพระเจ้าพรหมมหาราชก็อยู่ทางภาคเหนือ
ท่านกล่าวว่า ตระกูลพระเจ้าพรหมมหาราชนี้ เป็นต้นวงศ์ของกษัตริย์ทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายสุโขทัย แล้วก็ฝ่ายอู่ทอง นี่คนคุยให้ฟังเขาว่ายังงั้น
แล้วแกก็ต่อไปว่าวงศ์กษัตริย์ของคนไทยยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง คือว่าวงศ์กษัตริย์ของพระเจ้าพรหมมหาราชจริงๆ นี่ไล่ขึ้นไปถึงโน่น
ถึงต้นของบุคคลที่มายึดพื้นที่ในเขตสายเหนือนี้
ไปดูใน "พงศาวดารเหนือ" จะเห็นว่าเป็นวงศ์กษัตริย์ต่อกันมาชั่วหลายสิบพระองค์ จนกระทั่งถึงพระเจ้าพังคราชแล้วมาถึงพระเจ้าพรหมมหาราช
แล้วก็มาถึงลูกของพระเจ้าพรหมมหาราช แล้วก็ต่อมาลูกของพระเจ้าพรหมมหาราชก็ดี ทั้งเหนือและใต้ก็ดี เป็นต้นวงศ์ของวงศ์สุโขทัยและวงศ์อู่ทอง..
นี่..เป็นอันว่า วงศ์กษัตริย์สมัยนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง ทีนี้ต่อมาวงศ์อู่ทองนี่ก็ไปตั้งอยุธยา วงศ์สุโขทัยก็มารวมที่อยุธยาสลับกันไปสลับกันมา
ท่านบอกว่าไล่ให้ดี นี่ผีท่านว่ายังงั้น ไม่รู้ว่าจะไปไล่เบี้ยที่ไหน ไล่ประวัติให้ดี
จะเห็นว่า วงศ์จักรีนี่ ก็มาจากวงศ์พระเจ้าพรหมมหาราชแล้วกัน ผีเล่นบอกยังงี้นี่ ไม่รู้จะไปหาตำราที่ไหน ใครเขาจดไว้ที่ไหนแกก็ไม่บอก
แกยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง
เป็นอันว่า กษัตริย์ที่ปกครองไทยในเขตนี้ยังเป็นกษัตริย์วงศ์เดียว คือวงศ์เดิม ก็ว่าไปซี ผีแกว่ายังงี้ ใครจะเชื่อก็เชื่อไม่เชื่อก็แล้วไป
พวกแขก (ปาตลีบุตร) ที่นครศรีธรรมราช
แล้วหลังจากนั้นต่อมา ท่านบอกว่าบรรดาลูกหลานของ ๓ พรหมทั้งหลาย ที่ปกครองสายใต้ก็เสื่อมกำลังลง พวกเจ้าของเมืองมีพวกแขกอยู่ข้างหน้า คือพวกนครศรีธรรมราช
นี่แนะ..เจ้าคนนี้มายุ่งแล้ว
เจ้าแขกเขามีกำลังรวมกลุ่มกันแล้วเขามาจากเขตเจริญ มันก็ยุยงส่งเสริมให้พวกอาเมี๊ยดต่างๆ ว่า
ไอ้เจ้าพวกคนไทยนี่มันไม่ใช่คนอยู่ที่นี่ มันเป็นคนมาจากที่อื่น จะให้มันมีกำลังเป็นจ้าวเป็นนายอยู่ทำไม
พวกเรารวมตัวกันไล่เตะไอ้พวกนี้ให้มันจมกลางทะเลไป
เอาแล้ว.. เจ้าพวกนี้ยุ่งแล้ว ผลที่สุดเขาก็รวมพวกเขาได้ ไอ้บัง ไอ้บังทั้งหลายนี่รวมตัว ความจริงมันก็มาจากที่อื่นเหมือนกัน มาทีหลังเสียด้วยนะ
ไอ้บังที่อยู่ข้างใต้นี่น่ะ ที่เขาบอกว่าเขาเป็นพวกอะไรต่ออะไรนี่ ความจริงมันมาจากอินเดียนี่ มันมาทีหลังคนไทย คนไทยปกครองเขตนี้มาก่อน
แล้วปกครองด้วยธรรมสามัคคี อยู่ด้วยกันดี ไม่รบราฆ่าฟัน ไม่ทำลายเขา
เมื่อเรายึดพื้นที่ได้ เราให้อิสรภาพทุกอย่าง เขาเป็นอิสระไม่ต้องส่งส่วยสาอากร เราไมได้ถือเขาเป็นทาส เราถือเขาเป็นพี่เป็นน้อง
แต่ไอ้แขกนี่ยุ่ง ไอ้แขกนี่มายุยงส่งเสริมให้คนพวกนั้นรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน รวมกับพวกมันตีพวกไทย นี่เราสู้ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะข้าศึกมันอยู่ในบ้าน
เพราะพวกนั้นมันอยู่ในบ้านอยู่แล้ว มันย่องๆ เข้ามาเกลี้ยกล่อมให้พวกนั้นเป็นศัตรูกับพวกเรา แต่ก็ให้ทำตัวดีๆ แบบพวกเราเคยทำมันก็ตรงกับเวลานี้แหละ
ที่คนต่างแดนทั้งหลายเขาส่งคนของเขามาในประเทศไทยเกลื่อนไปหมด แล้วก็กลืนคนไทย พูดให้คนไทยเห็นดีเห็นชอบประกอบไปกับเขา หวังจะทำลายคนไทยด้วยกัน
เขามีเงินมาก ไทยเรามันหิวเงิน เขาก็มีความเด่นให้เขาบอกว่าถ้ายึดประเทศไทยได้เมื่อไร เขาจะยกให้เป็นคนเด่น ไอ้ไทยนี่บางคนก็บ้าเด่น
แล้วดีไม่ดีจุดอ่อนอีกจุดหนึ่ง ก็คือเรื่องของศาสนา
ที่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเวลานี้ ที่ดีก็มาก ที่ไม่ดีก็เยอะ ที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเยอะแยะ
เวลานี้เป็นอันว่าพระธรรมวินัยไม่มีประโยชน์เสียแล้ว
เรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ เรื่องลาภยศมีประโยชน์มาก เมาลาภ เมายศกันตะบันไป ฉันอยากจะเป็นนั่นฉันอยากจะเป็นนี่
ทีนี้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่เขามีความรู้ดีก็มีเยอะ เขาก็เลยเสื่อมความนับถือ
จุดนี้อีกจุดหนึ่งที่จะทำให้ประเทศไทยพังบรรลัยลงไป เขาจะเข้าทางศาสนา พระประเภทนี้ก็บ้าเงินบ้ายศเหมือนกัน เอาเงินให้เข้ามากมาๆ
แล้ววัดเป็นศูนย์กลางบรรดาประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทย เว้นไว้แต่ในกรุงเทพฯ คนในกรุงเทพฯ อาจจะเห็นว่า วัดหรือพระไม่มีความหมาย
แต่ว่าคนในกรุงเทพฯ ก็นิดเดียว ตานี้ ตามหัวเมืองต่างๆ เวลานี้ประชาชนทั้งหลายถือว่าวัดมีความสำคัญ เป็นหัวใจของบรรดาประชาชนเป็นศูนย์รวมใจ
เมื่อคนพวกนี้เข้าถึงพระ ไปพบพระที่บ้าลาภ บ้ายศเข้า เอาเงินป้อนหนักๆ เข้าก็โอนอ่อนไปตามเขา ยุยงส่งเสริมให้ชาวบ้านเห็นว่าไทยเป็นไทไม่ดี
สู้ไทยเป็นขี้ข้าไม่ได้
แต่ว่าลีลาที่เขาให้ไม่ใช่เขาบอกตรงๆ แบบนี้ เมื่อได้สตางค์ไปมากๆ ใจมันก็อ่อน ไอ้การล้างสมองพระด้วยเงินนี่มันล้างง่ายเหมือนกัน
เพราะพระประเภทนั้นมีใจเป็นชาวบ้าน เขาก็แหย่โน่นนิดเข้ามาแหย่นี่หน่อย เข้ามาทำชั่วๆ เขาก็สนับสนุนบอกว่านี่ทำดี ถ้าไม่มียศถาบรรดาศักดิ์
เอาเงินแสนเงินล้านไปซื้อยศมา พระก็ชอบ นี่ตามที่เขาลือกันนะ มันจริงหรือไม่จริงไม่ทราบ ถ้ามีจริงก็น่าสลดใจ
นี่เงินเป็นเครื่องปลื้มใจของบุคคลผู้รับ เป็นอันว่า พระอีกจุดหนึ่งที่จะทำให้ประเทศชาติบรรลัย ถ้าทางราชการงดการให้ยศพระเสียได้ละก็จะดีมาก
พระเป็นผู้วางแล้วซึ่งโลกธรรมนี่ ไปติดทำไม ขืนไปติดเป็นการขัดใจพระพุทธเจ้า นี่พูดตามความเป็นจริง
ฝังทรัพย์สินมีค่าไว้
ตานี้ เวลานี้ก็เหมือนกัน พวกแขกนครศรีธรรมราชทำแบบนั้น พวกอาเมี๊ยดทั้งหลายก็อยู่กับกลุ่มคนไทย เวลาจับอาวุธขึ้นมา เขาก็จับพร้อมกัน ไทยเราก็สู้ไม่ได้
เสียท่า ต้องตกไปเป็นเมืองขึ้นเขา
ตานี้ก็เลยถามว่า ทรัพย์สินเหล่านั้น เวลานั้นเก็บไว้ที่ไหน ?
ท่านบอกเหมือนกัน แต่ทว่าสัญญามีไว้ตั้งแต่ตอนต้น ว่าทรัพย์แผ่นดินน่ะ ที่มีความสำคัญเราจะไม่เข้าไปยุ่ง จะไม่ทำเองอย่างหนึ่ง
จะไม่บอกให้บุคคลอื่นทำอย่างหนึ่ง ฉะนั้น ก็จะขอเก็บไว้ จะเล่าให้ฟังเพียงย่อๆ ว่า
"ชาวปา" และ "ชาวกุยบุรี" เก็บไว้ ๓ จุด คือ "ถ้ำเขานวลตา" และอีกจุดหนึ่งก็ริมทะเล ใกล้ปากน้ำปราณบุรี
บนพื้นแผ่นดินเวลานี้ดินงอกขึ้นมาอยู่บนพื้นแผ่นดิน
แล้วก็ใน "ถ้ำโนนหินเขายาว" รวมทั้งหมด มีทรัพย์ทั้งหมดเรียกว่า หลายหมื่นชั่งเฉพาะ "ทองคำ" ของอย่างอื่นต่างหาก
ตานี้ ของชาวเมืองภูเก็ต เก็บไว้ชายเขาใกล้ทะเล นี่เป็นทองสำเร็จรูปนะ ทองแท่งนะ แล้วเมืองกระบี่กับพังงาก็เก็บไว้ที่เขาสูงยาว พูดเท่านี้แหละ
พูดมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะจะผิดสัญญา
เวลานี้สัญญาณเวลาเทปจะหมดหน้าปรากฏแล้ว ขอยุติแล้วกลับหน้าเทปใหม่ ยังไม่เลิก เอาว่ากันต่อไป ตานี้จบกันเสียทีละมั้ง เอาวันนี้มาจบกันเสียที
พลิกไปอีกหน้าหนึ่ง
วิธีการหาทอง
...ท่านบอกว่าการหาทอง ได้ทองมาแล้วก็ไม่มีอะไร ชนิดของทอง อ๋อ..ชนิดของทองที่เรียกกันว่าทองเนื้อ ๘ ทองเนื้อ ๙ แล้วก็ทองเนื้อ ๖ นี่ ใช่ไหม?
ใช่..ทองเนื้อ ๙ นี่ก็หมายความว่าทองคำหนัก ๑ บาท เป็นทอง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์หรือ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้ให้น้ำหนัก ๑ บาทต่อราคา ๙ บาท
จึงเรียกกันว่าทองเนื้อ ๙
ทีนี้ทองที่เนื้อทองน้อย ตั้งแต่ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ลงมาถึง ๗๕ เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้ให้น้ำหนักหนัก ๑ บาทต่อราคา ๘ บาท จึงเรียกว่าทองเนื้อ ๘ เปอร์เซ็นต์
ต่ำลงมากว่านั้น ให้น้ำหนัก ๑ บาทต่อเงิน ๖ บาท จึงเรียกกันว่าทองเนื้อ ๖ นี่ไม่มีอะไร
เมื่อคุยกันแล้ว ก่อนที่แกจะกลับแกก็เลยบอกว่า ท่านมาที่นี่ พวกเราดีใจมาก เพราะว่ามีโอกาสที่จะบรรยายความจริงให้คนไทยฟัง
เพราะว่าคนไทยเรานี่ยังไม่ค่อยจะเป็นไทยแท้ ยังมีจิตตกอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความหลง
ไอ้เรื่องการอยากรวย การอยากรวยนี่ เขาไม่ถือว่าโลภ แต่การอยากแย่งเขามารวยซี แย่งอำนาจวาสนาซึ่งกันและกัน จะเบ่งบารมีทับซึ่งกันและกัน แบบนี้..โลภในลาภ
โลภในยศนี่เป็นของไม่ดี
เวลานี้ ผีคนไทยทั้งหลายมีความห่วงใยไทยเป็นอันมาก ถึงแม้ว่าผีไทยสมัยสุโขทัยก็เหมือนกัน ก็มีความห่วงใยคนไทยเป็นจำนวนมากนี่ซี
อยากจะให้คนไทยรู้จิตใจของคนไทยเดิม ว่าไทยนี้ตั้งเมืองขึ้นมาได้เพราะอะไรเป็นปัจจัย อาศัยความดีความสามัคคี เห็นแก่ประเทศชาติ เห็นแก่หมู่คณะ
แล้วไทยที่ต้องบรรลัยไปเป็นทาสเขาก็เพราะอาศัยความแตกสามัคคี อยากใหญ่ อยากโตเป็นสำคัญ ท่านบอกว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมาก อยากจะให้คนไทยรู้
เวลานี้คนไทยมีศัตรูอยู่คล้ายๆ กับเงาตามตัว ท่านว่ายังงั้น
แล้วศัตรูที่เข้ามาจากภายนอกก็มี ศัตรูภายในก็มี แถมคนไทยที่มีความโลภเป็นศัตรูกับตนเองก็มี ท่านบอกว่าพวกนี้เป็นศัตรูกับตนเอง เมามัน หลงในการเงิน
หลงในคำป้อยอ แต่ในเมื่อเขายึดประเทศชาติได้แล้ว ใครล่ะเขาจะตั้งตัวให้เป็นใหญ่ ตัวจะมีความสุขนี่
ความจริงไปดูบทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๖ บอก ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส อย่างนี้เป็นต้น เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป
นี่เห็นไหม แล้วก็ไม่มีใครที่เขาจะมายกย่องว่า เราเป็นไทยและเป็นคนเสมอเขา นี่ผีมีความห่วงใยคน แต่ว่าคนมีส่วนในการบริหารประเทศ
รักษาความปลอดภัยจะมีความรู้สึกยังไง
นี่เป็นเรื่องของท่านคนที่มีกำลัง จะใช้กำลังห้ำหั่นพวกกันเองแบบเป็นศัตรูของไทย จะมีประโยชน์อะไร คนที่มีอำนาจในการบริหารประเทศ
หรือมีอำนาจในการควบคุมกำลังบริหาร
ใช้วาทะ ใช้สมองของตนทำลายไทยด้วยกัน จะมีประโยชน์อะไร เราจะตั้งเป็นกี่พรรค เป็นกี่กลุ่มก็ดี เอาสมองเข้ามารวมกันไว้จุดเดียว สร้างความดีความรุ่งเรือง
ความเป็นอิสระของประเทศไทยเท่านั้น จะดีไหม
เอาสมองมาวางไว้จุดเดียวกัน อย่าไปแยกที่วางไว้จุดนี้ ที่ว่าจะทำความปลอดภัยให้แก่ประเทศชาติ สร้างความรุ่งเรือง สร้างสันติสุข สร้างความสามัคคี
ให้คนไทยทุกคนอยู่ดีกินดี แม้แต่ตัวของเขาเอง แบบนี้จะดีหรือไม่ดี ว่าไป
ห้วยยาง-ชุมพร-ท่าแซะ
...เวลาเช้า ตื่นนอนเสียที เป็นวันที่ ๒๐ เดินทางไปห้วยยาง ทำพิธีกรรมตามที่เขากำหนด ชาวห้วยยางเป็นทั้งชาวพุทธแล้วก็ชาวคริสต์ ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
ชอบใจป่าห้วยยาง
เมื่อเสร็จจากพิธีกรรมแล้วก็เดินทางต่อไปสายใต้ ไปจังหวัดชุมพร แต่ก่อนที่จะเลยไปจังหวัดชุมพร ก็ไม่ลืมแวะร้านกล้วยแช่น้ำผึ้ง
มีบ้านๆ หนึ่งเขาเอากล้วยแช่อิ่มน้ำผึ้ง แล้วก็มีน้ำส้มอร่อย คนนี้ ปรากฏว่าภรรยาเป็นชาวคริสเตียน แต่ว่ามีสามีเป็นชาวพุทธ เข้าไปคุยด้วย
ภรรยาเขาก็บอกว่าเวลานี้ฉันเลิกเข้าคริสต์แล้ว มาเข้าพุทธศาสนา รู้สึกว่ามีใจกว้างขวางดี ศาสนาคริสต์มีใจคับแคบไปหน่อย แกว่าอย่างนั้น จริงหรือไม่จริง
ก็เป็นเรื่องที่ท่านผู้นั้นพูด แกก็ดีเหมือนกันที่แสดงให้ปรากฏ
ก่อนหน้าที่จะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง คือเดือนสิงหาคมนี่เอง มีสตรีท่านหนึ่งมาหา มาจากกรุงเทพฯ สามีเป็นคนขับรถให้ เธอก็มา
ถามว่า ทำไมไม่ให้สามีเข้ามาด้วย เธอก็บอกว่า สามีเป็นคนนับถือศาสนาคริสต์ เขาไม่ยอมเข้ามาในเขตของวัดพุทธ
เอ..น่าแปลก ความจริงพวกคริสต์ศาสนานี่ เข้ามาที่นี่นับไม่ถ้วนแล้ว เอาหนังสือที่พิมพ์ออกมาไปอ่านกันเป็นแถว แล้วทุกคนก็ต่างพากันทำบุญสุนทานปฏิบัติความดี
เอาหลักสูตรพระพุทธศาสนา แล้วคนหนึ่งชื่อริชาร์ด เป็นคนครึ่งชาติ พ่อเป็นฝรั่ง แม่เป็นอะไรก็ไม่ทราบ ท่านผู้นี้มาเข้าพุทธศาสนา มาคุยกัน
เอาหนังสือไปมากมาย
บอกว่าเอาไปอ่านแล้ว ใคร่ครวญไปด้วย และปฏิบัติตามมีผลดี นี่ก็ไม่เห็นจะสำคัญอะไร ศาสนาไหนก็เข้าวัดไทยได้ วัดไทยใจกว้างขวางพอ ไม่กีดกันคนศาสนาอื่น
แล้วก็ไม่ทำลายศาสนาอื่น
ไม่ใช่จะไปถือว่าพุทธศาสนาดีวิเศษเสียอย่างเดียว ความจริงศาสดาทุกองค์มีความประสงค์ดีทั้งนั้น เป็นอันว่าเดินทางต่อไป เดี๋ยวเวลาหมด
ออกจากนั่นแล้วก็ไปชุมพร ไปที่อำเภอท่าแซะกับอำเภออะไรอีกอำเภอ มันเป็นเขตติดต่อกันสองอำเภอจำไม่ได้ พอไปถึงที่อำเภอท่าแซะ ก็ไปแวะที่ร้านขายของ
ของนายวรการ คงทอง
นายวรการก็นำเข้าไปส่ง ไม่รู้อำเภออะไร อีทางนั้น ทางใหญ่ดี เป็นทางลูกรัง เข้าไปปรากฏว่ามีสวนทุเรียนสะพรั่ง สวนเงาะ แหม เขตนี้ดีมาก มีความร่มรื่น
มีภูเขาร่มรื่นดี
ท่านมัสสุสิงหนาทขับรถเข้าไป ไอ้รถอกมันต่ำ เข้าไปตามทางเกือบจะไปไม่ได้ เขาต้องหาไม้มารองให้ เมื่อเข้าไปในเขตก็ไปเดินชมสวนชมไร่เขา
ชอบใจอะไรก็ทำอาหารกินกันเอง โดยคณะของพวกเราที่ไป ปรากฏว่าเจ้าของบ้านชอบใจมาก เห็นว่าคนกรุงเทพฯ ไม่ถือตัว
นี่การทำตัวอย่างนี้มันเป็นความดี เป็นการเชื่อมความสามัคคีกันไว้ แต่ความจริงผู้ที่ไปทุกคนในคณะของเราก็ไม่มีใครถือตัว ถือว่าคนทุกคนเสมอกัน
เพราะว่าเป็นนักพุทธศาสนา นับถือพระพุทธเจ้า
ท่านพ่อขุนศรีเมืองมาน
..มาถึงที่ตรงนี้ เวลานอนกลางคืน ปรากฏว่ามีบรรดาสตรีทั้งหลายชาวสวรรค์มาหา เขาเล่าให้ฟังว่า
ก่อนโน้น คือสมัยสุโขทัย มีท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง มีนามว่าท่านพ่อขุนศรีเมืองมาน ท่านพ่อขุนศรีเมืองมานนี่ เวลาที่พระร่วงกับพ่อขุนผาเมืองมายึดอำนาจจากขอม
คือปฏิวัติขอม ให้ไทยเป็นอิสระ
เวลานั้นพ่อขุนศรีเมืองมานเป็นพระ บวชพระแล้วเพราะว่าเมียตาย เมียตายตั้งแต่พ่อขุนศรีเมืองมานอายุ ๓๕ ปี ท่านก็เป็นฆราวาสมาถึง ๔๐ ปี
แล้วก็บวชพระเป็นนักพรต แต่ว่าเป็นนักพรตที่มีจิตใจจะสร้างไทยให้เป็นไทยอยู่ตลอดเวลา
พยายามสอนลูกศิษย์ลูกหาให้ปกครองประเทศชาติ กลุ่มเดียวกัน หมู่เดียวกัน แล้วก็มีความสามัคคี แสดงความอ่อนน้อมต่อขอมผู้มีความกดขี่ข่มเหง
ที่เขาถือว่าเป็นเจ้านาย แต่ว่าไทยก็พร้อมที่จะเป็นไทย คือจะลุกขึ้นสู้เมื่อถึงเวลาโอกาสจะมาถึง เขาเล่าให้ฟังแบบนั้น
แล้วต่อมาเมื่อพ่อขุนผาเมืองกับพ่อขุนบางกลางท่าวยึดอำนาจจากขอมแล้ว จะเห็นว่าคน ๒ กลุ่มนี่ พ่อขุนผาเมืองเป็นคนที่มีอำนาจมากสมัยนั้น
ขอมไว้วางใจถึงกับเป็นลูกเขยของขอม ขอมตั้งราชทินนามให้เป็น "ขุนศรีอินทราทิตย์" นี่
ข้างหน้า ๒ ๓ คำ ตรงกลางนิดตัดทิ้งไป เหลือเท่านี้จำไม่ได้ว่า กมรับ อะไร ตนกู อะไรก็ไม่ทราบ นี่เขาตั้งราชทินนามให้ ให้ปกครองไทย แต่ท่านก็ไม่ได้เมา
เมื่อยึดอำนาจจากขอมยึดสุโขทัยได้แล้ว แทนที่ท่านจะคิดว่าเรานี่เป็นใหญ่ เราจะต้องปกครองคนไทยแบบเช่นไทยเมา เมาไทยในเวลาปัจจุบัน ท่านไม่ได้คิดยังงั้น
เห็นว่าพ่อขุนบางกลางท่าวเป็นผู้ใหญ่กว่า ก็ให้ครองคนไทย ตัวท่านเองเสียสละความเป็นใหญ่ มอบการปกครองไทยให้แก่พ่อขุนบางกลางท่าว
แล้วพ่อขุนผาเมืองก็ขยายอาณาจักร ตัวท่านพร้อมด้วยหมู่พระประยูรญาติก็ไปอยู่ที่เชียงแสน
แต่อยู่เมืองโยนกเก่าของพระเจ้าพังคราชหรือตระกูลเดิม แล้วก็พร้อมที่จะรักษาความเป็นไทย มีความสามัคคีระหว่าง ๒ กลุ่มนี้ ไม่แตกความสามัคคีกัน
ไม่แบ่งแยกกัน
นี่น่าจะเป็นน้ำใจที่บรรดาชาวไทยทั้งหลายศึกษาไว้ ท่านเสียสละทุกอย่าง ทั้งนี้เพราะต้องการให้ไทยเป็นไทย ไม่ต้องการให้ไทยเป็นทาส ถ้าไทยแย่งกันมีอำนาจ
นั่นไทยต้องการเป็นทาส เป็นการทำลายชาติไทย จะมีประโยชน์อะไร
แล้วท่านสุภาพสตรีทั้งหลายมาบอกว่า สมัยนั้นเองพ่อขุนศรีเมืองมานบวชพระเป็นผู้เฒ่า แล้วก็เดินทางลงมาทางใต้เพื่ออบรมไทยทุกจุด
มาพบไทยก็อบรมไทยให้เข้าใจเรื่องของพระพุทธศาสนา และให้มีความหวังดี จงรักภักดีระหว่างหมู่ไทยด้วยกัน
คือมาทั้งแบบธรรมทูตและราชทูตละมั้ง คือว่าเป็นธรรมทูตด้วย เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเที่ยวสอนแนะนำชาวไทย แล้วให้รู้จักความเป็นไทย
ให้รู้จักรวมกลุ่มไทยเข้าด้วยกัน
สมัยพ่อขุนรามคำแหง
...อันนี้เองเป็นปัจจัยให้มาสมัยหลัง เมื่อพ่อขุนรามคำแหงขยายอำนาจลงมาทางใต้ จึงรวบรวมไทยได้เป็นอย่างดี พระองค์ยึดประเทศเขตนี้ได้ถึงเมืองยะโฮร์
คือสิงคโปร์หมดเขต
นี่เป็นที่น่าปลื้มใจ ที่ทำได้อย่างนั้นก็เพราะไทยมีน้ำใจเป็นไทย ใจมันไม่มีน้ำใจเป็นทาส แล้วต่อมานามของคนไทยในสมัยนั้นๆ ก็ใช้นามว่า ราม
ก็ปรากฏว่าครั้งหนึ่ง ที่พระเจ้ารามคำแหงผ่านมาทีเมืองทวาราวดี
เวลานั้นพ่อเมืองมีลูกออกมาใหม่ๆ เป็นผู้ชาย ถามท่านว่าควรจะให้ชื่อว่ายังไง ท่านบอกว่าใช้นามว่า ราม ก็แล้วกัน จะได้รู้กันว่าเป็นคนไทย
นี่ชื่อนี่มีความสำคัญ
ฉะนั้นต่อมาจนกระทั่งในปัจจุบันนี้ พระราชาของเราที่มีอำนาจการปกครองจึงใช้ว่า "รามาธิบดี" รามาธิบดีนี่เป็น ๒ ศัพท์ติดต่อกันว่า "รามะ" กับ "อธิบดี"
แปลว่าท่านรามผู้เป็นใหญ่
นี่ชื่อของ "พ่อขุนรามคำแหง" ที่ให้ไว้ยังติดมากับคนไทยที่เป็นกษัตริย์ในสมัยปัจจุบัน แล้วต่อมาเวลาเช้า ตอนที่จะกลับก็มานั่งคุยกันกับชาวบ้านแถวนั้น
ถึงเรื่องราวต่างๆ เรื่องเบ็ดเตล็ด
ทะเลทรัพยฺ์
...เรื่องนี้ไม่น่าจะคุยให้กันทราบ คุยไปคุยมาก็นึกถึงเรื่องอีตาผีคนใหญ่ขึ้นมาได้ อ้าว..ไหนเล่าลัดไปเสียนิดแล้ว
ระหว่างที่ตอนเช้ากำลังอยู่สงัดคนเดียว ปรากฏว่ามีผีพาไปเที่ยวคือ "ท้าวมหาราช" มุดใต้ดิน เขาคุยให้ฟัง ว่าเขาลูกต่ำๆ ลูกนี้มันมีปล่องไปข้างล่าง
แล้วเมื่อไปถึงข้างล่างแล้วมันเป็นน้ำเวิ้งว้างไปหมดคล้ายๆ กับเป็นทะเลสาบ มันลงไปใต้ดินลึก ผนังดินข้างบนไม่พัง
เขาเคยลองลงไปแล้วเอาหยกกล้วยทำเป็นแพพายไปในนั้น ไม่รู้ว่าไปที่สุดถึงไหน
เรียกว่าไปกันใต้ดิน ปลาชุมแสนที่จะชุม เขาคุยให้ฟัง แล้วก็มีหนองน้ำหนองหนึ่ง มีปลาชุมมาก พวกมหาเศรษฐีที่ไปทำไร่แถวนั้น
คิดจะทำลายปลาให้หมดไม่แบ่งให้คนอื่นกิน
นี่คนไทยประเภทใจระยำแบบนี้ก็มี เอาเครื่องขึ้นมาสูบน้ำ พอหนองแห้งก็คิดว่าพรุ่งนี้จึงจะจับ ตอนเช้าปลาตั้งเยอะแยะปรากกว่าเหลือไม่กี่ตัว
พอเขาพูดให้ฟังแบบนั้นก็สงสัย เวลาสงัดผีก็พาไปเที่ยว ลงดูในปล่องนั้น เห็นเวิ้งว้างไปหมด ปรากฏว่าศูนย์ที่ปลาหนีก็คือมีทางลึกใต้ดินเป็นดินอ่อนๆ
ปลาเจาะช่องมาได้กลับมาที่เดิมได้ แล้วก็พาเดินไปตามปล่องต่างๆ ไปโผล่ขึ้นที่เขาๆ หนึ่ง นี่เป็นอำนาจของผีน่ะ เจอะทองคำมหาศาลตั้งเป็นกำแพงเลย ทองคำแท่ง
ไปเจอะเทวดารักษา ๒ องค์
เขาบอกว่าท้าวมหาราชว่า อันนี้เป็นสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ขอไม่ได้นะขอรับ ท้าวมหาราชก็เลยบอกว่า เขาหวงเราก็ไปที่อื่นเถอะ
แต่ความจริงเราก็ไม่อยากได้อะไร
เดินเลาะลัดไปใต้ดิน ปรากฏว่าออกไปทางทิศตะวันตก ไปเจอะเหมืองแร่ขนาดหนักใต้ดินมีเยอะ มีทองคำเสียด้วย เป็นแร่มหาศาลบนบก แถวจังหวัดชุมพร
ถ้าเราจะขุดแร่ตรงนั้นกัน อีกประมาณสักสาม สี่สิบปีก็ยังไม่ได้ครึ่ง
ไอ้แร่ที่เขาว่าในทะเลมีมากนั่นจริง ในทะเลมีมากเยอะแยะแถวภูเก็ต แต่ว่าแถวนี้แร่บนบกก็มหาศาล ไอ้ที่ได้กันไปนั้นปริมาณมันยังไม่มากนัก ยังไม่ได้ ๒๐ หรือ
๓๐ เปอร์เซ็นต์ของของจริง แล้วมีแร่ทองคำเสียด้วย ทองคำก้อนเบ้อเร่อ
เมื่อมีความรู้สึกกลับมาสู่สภาพเดิมก็คุยกัน นึกถึงตาผีดำๆ ขึ้นมาได้ แกบอกว่า เรื่องราวของน้ำมันจะมารู้กันที่ชุมพร จึงได้ถามว่า
ใครรู้เรื่องราวของน้ำมันบ้าง เขาก็บอกว่า มีคนเดินไปซื้อควายที่มะริดเขาเคยพบ
ให้ไปตามตัวมา แกก็บอกว่ามีจริง ปรากฏมีบ่อๆ หนึ่งมีน้ำมันลอยขึ้นมา ชาวบ้านแถวนั้นช้อนเอาน้ำมันบนน้ำไปจุดเป็นตะเกียงได้เลย
ถามว่า อยู่เขตไทยหรือเขตพม่า แกบอกว่าเขตพม่าพ้นจากเขตไทยไปประมาณ ๑ วัน เราก็กะว่าประมาณ ๓ กิโลเมตร
ถามว่า จะไปดูได้ยังไง บอกว่าแถวนั้นกะเหรี่ยงอิสระรักษาพื้นที่ไว้ พม่ามาไม่ได้ อยากจะไปดูกัน แต่เวลานั้นเป็นฤดูฝนมันไปไม่ได้ เวลาน้ำหลากมามันยืนไม่ไหว
เป็นอันว่าระงับไว้ เป็นอันว่าเรื่องราวของตาผีตัวดำใหญ่นั่นแกพูดจริง นี่เรื่องนี้ก็ขอระงับไว้เพียงเท่านี้ ขอเดินทางกลับดีกว่า
พ่อตาหินช้าง
...เมื่อคุยกันเสร็จ กินเพลเสร็จก็เดินทางกลับมาถึง เขาเจ้าพ่อหัวช้าง เขานี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เดินทางผ่านไป ลืม ลืมบอก..แวะทุกเที่ยว
มีรถไปเป่าแตร กลับมาต้องแวะ เขาบอกว่าถ้าไม่แวะเป็นอันตราย ก็แวะเข้าไปที่นั่น ไปจุดปะทัดเล่น แกชอบปะทัด เลยไปซื้อปะทัดเขาแจกๆๆๆ แล้วก็จุดกัน
ทุกคนทำความเคารพ
เวลาจะออกรถปรากฏว่าฝนตั้งเค้ามามืด เลยบอกเจ้าพ่อบอก นี่ตาปู่อย่าให้ฝนตกไม่ได้นะ ไปด้วยกัน ถ้าฝนตกละมีเรื่อง รถจะวิ่งไม่ถนัด แกบอกไม่เป็นไร
จะให้มันตกเลาะชายเขาไป ท่านไม่เปียก
แล้วเป็นความจริง วิ่งมาฝนตกเลาะชายเขาใกล้ๆ เห็นชัด ฝนตกมาก แต่ว่าที่ถนนฝนมาไม่ถึง แกศักดิ์สิทธิ์มาก พอมาถึงห้วยยางแวะเข้าไปดื่มน้ำผึ้ง
คือน้ำส้มผสมน้ำผึ้ง
พอรถจอดเท่านั้น ฝนลงอั้กเลย นี่ตอนนี้รถไม่ได้วิ่ง โทษแกไม่ได้ แกก็เลยบอกว่าแกกลับแค่นี้ละ คนใหม่เขาจะมาเปลี่ยน
นั่งติดฝนอยู่ตั้งนาน พอฝนซาก็วิ่งมา อีกคราวนี้เอง เรียกว่ารถลุยทะเลน้ำ รถลุยทะเลน้ำมา พอเวลาใกล้ค่ำถึงจังหวัดนครปฐม
เข้าไปแวะนอนอยู่ในกรมทหารเลี้ยงม้า
ไอ้กรมนี้เขาเรียกกรมอะไรไม่รู้ พวกเกษตรมาอยู่ ปลูกหญ้าเลี้ยงม้า เลยให้นามว่ากรมทหารเลี้ยงม้า พักอยู่ที่บ้านพันโทประวิทย์ ศรลัมพ์ หรือพันโทโป๋
ที่คุยกันคืนหนึ่งมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่มาคุยด้วยมาก ตอนเช้าก็เดินทางกลับ
เข้าบางกอกน้อยไปแวะที่บ้านคุณดำรง นุตาลัย ที่นั้นพบท่านผู้หลักผู้ใหญ่จำนวนมาก และบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพากันไปคุยด้วยมาก
เห็นเขาซุบซิบๆ กันไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ก็มีคุณนวลน้อย โลห์พันธุ์ศรี บอกว่าจะซื้อโต๊ะสำหรับพิมพ์ดีด โต๊ะที่พิมพ์มันสูงไป แกว่ายังงั้น ก็บอกบุญกัน
จัดงานวันเกิดวันที่ ๒๘ เขาจัดกันอาตมาก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องกัน พอถึงวันเขาก็มาบอก ปรากฏว่าเขาซื้อทั้งโต๊ะให้ทั้งเครื่องพิมพ์ดีดใหม่
ไอ้เครื่องเก่ามีก็โกโรโกโสเต็มที ซื้อตู้ใส่เอกสารให้ ๒ ลูก รวมเงินแล้ววันนั้นได้จริงๆ ประมาณเท่าไร? ตก ๘ หมื่นบาททั้งค่าของด้วยทั้งคนที่ทำบุญด้วย
เงินที่รับในวันนั้นทั้งหมดก็เลยอุทิศส่วนกุสลเป็นการสร้างวัดไปหมด เพราะเงินได้มาจากบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นการทำบุญวันเกิดที่บ้านเจ้ากรมเสริม
ไอ้การทำบุญวันเกิดที่บ้านเจ้ากรมเสริมนี่มันมีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อปี ๑๕ ได้เงินเท่าไหร่ วันนั้นเขาติดกัณฑ์เทศน์ประมาณ ๙๐๐ บาท หรือว่า ๙,๐๐๐ บาท จำไม่ได้
พอเทศน์จบก็บอกว่าเงินจำนวนนี้ไม่ใช้ จะไปขุดบ่อให้ชาวประจวบ ชาวบางสะพานใหญ่ ไปพบเขาอดน้ำกันมาก
ก็มีท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่นั่งฟังเทศน์กันอยู่ทุกคนทำบุญกันบ้างตามกำลังศรัทธา
ได้เงินทั้งหมดปรากฏว่า ๓ หมื่นบาทเศษ ก็เอาไปขุดบ่อให้เขา นี่ แล้วหลังจากนั้นมาคุณปชา (ปลัดอำเภอ) ย้ายมาที่บ้านไร่
ไปสร้างบ่อที่บางสะพานเงินยังเหลืออีกประมาณ ๘,๐๐๐ บาท แกก็นำมาที่นี่
เลยบอกบุญคุณโกวิท สุจริตกุล คุณโกวิทหาอีก ๒ หมื่นเอามาสมทบกับเงินเก่า ๘,๐๐๐ บาท ให้คุณประชาขุดบ่อเป็นสาธารณประโยชน์ที่อำเภอบ้านไร่
สำหรับแดนที่อดน้ำ นี่เป็นอันว่าพระก็ทำบุญได้เหมือนกัน ช่วยประเทศชาติกันเหมือนกัน ไม่ใช่พระจะมานั่งๆ เอาเปรียบชาวบ้านฝ่ายเดียวมันก็ไม่เกิดประโยชน์
หรือจะไปนั่งเมาลาภเมายศ
ฉันอยากเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นนี่เป็นโน่น อยากจะเป็นนี่อยากจะเลื่อนเป็นนั่น เป็นนั่นอยากจะเลื่อนเป็นโน่น โดยไม่มองคุณความดีของบรรดาพุทธบริษัทผู้มีคุณ
บ้านที่อยู่ ข้าวที่กิน ผ้าที่ใช้ เงินทองที่ได้ ความสุขที่มี ยารักษาโรคที่มี ก็เป็นเรื่องของชาวบ้านสงเคราะห์อนุเคราะห์
ถ้าบรรดาวัดทั้งหลาย ชาววัดทั้งหลายตั้งใจจะสนองความดี ทำตนให้เป็นโลกัตถจริยาด้วย คือช่วยชาวบ้านให้เป็นสุขอย่างพระพุทธเจ้าทำก็ทำได้
แล้วก็ทำกันแบบนี้แหละ
บอกบุญกันไปทำจริงไป ทำเป็นส่วนสาธารณประโยชน์ ช่วยสร้างถนนหนทาง ช่วยขุดบ่อน้ำ หาเงินซื้อตู้ยาเป็นส่วนสาธารณะ
สร้างสถานที่สำหรับรักษามีอนามัยประจำตำบล อย่างนี้ทำได้ทุกองค์ ขออย่างเดียวอย่าเมาตนว่าเป็นผู้วิเศษเท่านั้น
เอาละสำหรับการเที่ยวภาคใต้ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้
ในที่สุดนี้ ขอท่านทั้งหลายฟังไว้ว่าเรื่องที่เล่ามานี้เล่าถึงคนตายมามาก ให้นึกดูว่าที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า
ถ้าเกิดเท่าไร ก็ตายเท่านั้น เกิดเท่าไรตายเท่านั้นเป็นความจริงไหม ก่อนที่เราจะตาย เป็นคนก็ควรจะเป็นคนดี เมื่อเวลาตายไปเป็นผีจะได้เป็นผีดี มีคนเขาบูชา
อย่างบรรพบุรุษของเรา..สวัสดี"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
|
|