"ญาณที่น่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อ" โดย ส.ต.ผิน จรูญรักษ์ (สุราษฎร์ธานี)
สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)
ตอนที่ 1 "บุญของฉัน" โดย เสงี่ยม สังกรณีย์
ตอนที่ 2 "หลวงพ่อของผม" โดย สมบูรณ์ เวสารัชชานนท์
ตอนที่ 3 "ญาณที่น่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อ" โดย ส.ต.ผิน จรูญรักษ์
[ ตอนที่ 1 ]
(Update 11 กันยายน 2562)
"บุญของฉัน"
บันทึกโดย เสงี่ยม สังกรณีย์
บทนำร่อง
"...เรื่องของการบันทึกตอนนี้ เป็นตอนเล่าเรื่องประสบการณ์จากลูกศิษย์หลวงพ่อฯ ที่อยู่ห่างไกล ที่เรียกว่าอยู่ต่างจังหวัด หรือจะเรียกว่า "บ้านนอก"
ก็ได้
โดยเฉพาะ "ป้าเสงี่ยม" นี่ สมัยนั้นใครๆ ก็รู้จัก เพราะเสียงดังฟังชัด เคี้ยวหมากปากแดง ตามสไตล์ของป้าที่มาจากบ้านนอก พอมาวัดทีไรก็มีแต่คนทัก
เพราะรู้ว่าป้าคนนี้แหละ..คือ "ผ้าขี้ริ้วห่อทอง" ปลอมตัวเป็นคนยากไร้ จนสามารถนิมนต์หลวงพ่อไปพักที่บ้านอ้าวไข่ จ.ระยอง ของแกได้
ลองฟังคุณป้าเล่าก่อนที่จะพบหลวงพ่อกันนะ.."
เหตุที่ได้พบหลวงพ่อฯ
"ปกติฉันชอบไปหาอาจารย์เก่งๆ คุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ (จันทบุรี) นำ 'หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน' มาให้อ่าน อ่านแล้วชอบมาก
พออ่านหนังสือเล่มนี้จบ ใจก็ชอบหลวงพ่อเลย เชื่อว่าหลวงพ่อเป็นพระที่สำเร็จแล้ว มีความเชื่อมั่นเลย อ่านแล้วก็อยากไปหาหลวงพ่อ จึงคิดออกตามหาหลวงพ่อ
เพราะฉันชอบพระแบบหลวงพ่อ
จึงไปบอกคุณวันดี เวสารัชชานนท์ (น้องสาวคุณสมบูรณ์) ว่าฉันจะไปหาหลวงพ่อ คุณวันดีถามว่า เคยไปอุทัยธานีไหม ฉันก็บอกว่าไม่เคยไป เธอก็พูดว่าฉันจะไปได้หรือ
ฉันก็บอกว่าฉันจะไปให้ได้ก็แล้วกัน ขอจดที่อยู่วัดท่าซุง และเบอร์โทรศัพท์ไว้ ฉันจึงไปหาหลวงพ่อด้วยการนั่งรถประจำทางไปจนถึง จ.อุทัยธานี ต้องต่อรถ ๒
แถวอีก ๒ บาท จึงจะไปถึงวัดท่าซุงได้
ฉันแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่ามาก เสื้อผ้าก็ขาดๆ ปะๆ มือหนึ่งหิ้วชะลอม แต่มีปืนอยู่ในนั้นด้วย ที่พกปืนก็เผื่อใครทำร้ายฉัน ฉันจะได้เอาปืนยิงขึ้นฟ้า
คนจะได้กรูกันมาช่วยฉัน
พบคุณหญิงตาถึง
...ตอนฉันไปถึงวัดท่าซุงนั้น ฉันยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน ก็พบคุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค ลูกศิษย์หลวงพ่อซึ่งอยู่ที่วัด เอ่ยปากชวนฉันว่า
เชิญคุณป้าร่วมรับประทานอาหารด้วยกันซิ
ฉันมีความซึ้งใจจนบัดนี้ว่า คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาคท่านตาถึง และคำพูดประโยคนี้ยังซึ้งอยู่ในใจฉันตลอดมาจนบัดนี้
คิดว่าลูกศิษย์หลวงพ่อช่างมีน้ำใจดีจริงๆ ทั้งที่ฉันก็แต่งตัวปอนๆ กะว่าคนจะต้องดูถูก แต่กลับได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นใจ
รู้ว่าเป็นรูปปั้น "พ่อขุนไกร"
...เมื่อเข้าเขตวัดท่าซุง หลวงพ่อท่านจำวัดอยู่ ฉันไปเจอรูปปั้นใหญ่เป็นรูปผู้ชายยืนอยู่ ฉันเห็นปั๊บความรู้สึกบอกว่านี่คือขุนไกร
ซึ่งตอนสมัยนั้นยังไม่ได้มีป้ายเขียนติดไว้ว่าเป็น 'ขุนไกร' แต่ฉันรู้สึกว่ารูปปั้นนั้นคือ 'ขุนไกร'
โดยที่ตัวฉันเองตอนนั้นก็ไม่เคยรู้ว่าหลวงพ่อเคยเป็น 'ขุนแผน' มาก่อน
พอใกล้จะได้เวลาเพล หลวงพ่อท่านตื่นขึ้นมาแล้ว คุณอ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์) เข้ามาบอกว่า ป้าเข้าไปพบหลวงพ่อได้แล้ว พอเข้าไปถึง หลวงพ่อก็ถามว่า
โยมมีธุระอะไรหรือ ฉันก็บอกว่ามาขอกราบท่าน
หลวงพ่อก็ถามว่าฉันมาจากที่ไหน ฉันก็บอกว่ารู้จักคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ แถมโกหกหลวงพ่อด้วยว่า ฉันเป็นคนรับใช้อยู่ที่บ้านคุณสมบูรณ์
และเล่าว่า คุณวันดี น้องสาวคุณสมบูรณ์ว่าฉันจะไปหาหลวงพ่อได้ยังไง เพราะฉันไม่เคยไปจังหวัดอุทัยธานีเลย มาคนเดียวคงมาไม่ถูก
หลวงพ่อก็ตาถึง
...ครั้นหลวงพ่อฉันเสร็จก็มานั่งที่เก้าอี้โยก ฉันเลยขอให้หลวงพ่อเซ็นใส่กระดาษว่า ฉันมาพบหลวงพ่อแล้ว จะได้ไปยืนยันกันคุณวันดี ว่าฉันมาพบหลวงพ่อได้จริงๆ
หลวงพ่อท่านก็เมตตาเขียนให้ตามที่ฉันขอ
และหลวงพ่อพูดว่า เออ..ป้ามาก็ดีแล้ว ช่วยสร้างกุฏิสักหลังสิ ๒๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น
ฉันก็ช่วยหลวงพ่อแค่ ๒๐๐ บาทเท่านั้น ฉันแปลกใจว่า ฉันไปแบบอนาถา แต่งตัวก็ใช้เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ปะๆ ดูไม่ได้เอาเลย แต่หลวงพ่อท่านมาชวนให้ฉันสร้างกุฏิ
เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท
แสดงว่าหลวงพ่อท่านมีตาใน ฉันจึงนิมนต์หลวงพ่อไปที่บ้านฉัน และหลวงพ่อตอบตกลงรับนิมนต์เลย คุณดำรง นุตาลัย เรียกฉันว่า 'ยายเพิ้ง'
คุณดำรงก็พูดว่า หลวงพ่อไปเชื่อยายเพิ้ง แล้วคณะติดตามหลวงพ่อไปด้วย ไปถึงจะไปนอนที่ไหนกัน ฉันเลยพูดกับผู้อื่นว่า หลวงพ่อท่านมีตาใน
ยายเพิ้ง..ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
...ดังนั้นเมื่อถึงเวลาคณะของหลวงพ่อ ซึ่งประกอบด้วยคุณหญิง คุณนาย และมีคนใหญ่คนโต รวมทั้งบางคนก็เป็นนายพล ทั้งคณะประมาณ ๖๐ กว่าคน
คณะนี้เขามาตอนแรกก็คิดว่าจะไปนอนที่อื่น พอมาถึงบ้านฉัน มีบ้านอยู่ ๓ หลัง หลังใหญ่ ๒ หลัง และหลังเล็กทำไว้เป็นกุฏิสงฆ์ ๒ ชั้นต่างหากอีก ๑ หลัง
(อยู่แหลมแม่พิมพ์ บริเวณอ่าวไข่ จ.ระยอง) บ้านฉัน อยู่ติดริมชายหาดทะเลยเลย อากาศดี ลมพัดเย็นสบาย
คณะทั้งหมดที่มา ๖๐ กว่าคน ก็มาพักที่บ้านฉันกันหมด ตอนดึกๆ หลวงพ่อออกมาเดินเล่น ท่านบอกว่าตามหามานานแล้ว เพิ่งมาเจอ 'แม่พิมพิลาไลย'
โดยที่ฉันไม่รู้ว่าท่านเคยเป็น 'ขุนแผน' มาก่อน
ทำให้หวนคิดไปถึงตอนที่ไปถึงวัดท่าซุงครั้งแรก พอเห็นรูปปั้นใหญ่เท่านั้น ก็มีความรู้สึกว่า นั่นคือรูปปั้น 'ขุนไกร' ทั้งๆ
ที่ตอนนั้นยังไม่ได้เขียนป้ายบอกไว้ว่าเป็นขุนไกร
ปัจจุบันที่แหลมแม่พิมพ์นี้ มีศาลเจ้าแม่พิมพ์อยู่ ภายหลังมาทราบเรื่องราวต่างๆ ของหลวงพ่อแล้ว จึงเข้าใจแจ่มแจ้ง
และรู้สึกภูมิใจในความรู้สึกแรกพบรูปปั้นใหญ่ที่วัดท่าซุงว่า รูปปั้นนั้นคือขุนไกร (ปัจจุบันติดป้ายชื่อไว้ชัดเจน)
หลวงพ่อลงบันทึกไว้เป็นที่ระลึก
...ก่อนที่คณะของหลวงพ่อจะกลับ หลวงพ่อได้เมตตาจารึกอักษรลงไว้ในสมุดให้ฉันด้วยลายมือของท่านเอง ซึ่งฉันยังคงเก็บรักษาไว้จนกระทั่งทุกวันนี้
ในบันทึกลงวันที่ ๒๒ พ.ค. ๒๕๑๘ ความว่า
อาตมาในฐานะหัวหน้าคณะ ได้มีโอกาสมาพักและได้รับอุปการะจากอดีตคุณป้า เป็นอย่างดีพิเศษ ซึ่งไม่เคยได้รับอุปการะจากสถานที่ใดอบอุ่นอย่างนี้
ด้วยความดีของคุณป้าที่รักและเคารพ อาตมา ในฐานะพระสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
จงอภิบาลให้คุณป้ามีความสุขสมหวัง ทั้งชาตินี้ และสัมปรายภพเถิด
ลายมือที่หลวงพ่อได้เมตตาจารึกไว้ในสมุดสำหรับฉันนี้ เป็นสิ่งที่ฉันภูมิใจและเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี หลวงพ่อเมตตามาที่บ้านฉันกว่า ๑๐ ครั้ง
เมื่อตอนก่อนท่านแข็งแรงกว่านี้ ท่านก็มาเยี่ยมฉันบ่อยๆ มีอยู่ระยะหนึ่ง หมอให้หลวงพ่อพักผ่อน โดยมาพักฟื้นที่บ้านฉัน ก็มีหมอ ๑ คน และลูกศิษย์ใกล้ชิด ๕
๖ คนมาปรนนิบัติหลวงพ่อที่บ้านฉัน
เวลาหลวงพ่อไปทอดผ้าป่าที่ วัดสนามรัตนาวาส อ.แกลง จ.ระยอง เมื่อเดือนธันวาคม ปี ๒๕๒๙ (หลวงปู่อำพัน วัดเทพศิรินทร์ได้สร้างโบสถ์ไว้ที่นั่น) มีขบวนรถ ๙ คัน
หลวงพ่อคิดถึงฉันก็เลยนำคณะทั้งหมดแวะหาฉัน
หลวงพ่อชอบมานั่งพัก ท่านบอกว่าอากาศเย็นสบายดี ฉันก็พลอยปลื้มอกปลื้มใจ ฉันคิดว่าฉันมีบุญที่หลวงพ่อไปไหนๆ ก็คิดถึงฉัน มักจะแวะมาที่นี่เสมอ
สถานที่บันทึกเทปเรื่อง "ศูนย์อารมณ์"
...สมัยก่อนหลวงพ่อมาพักที่บ้านฉัน หลวงพ่อก็ฝึกมโนมยิทธิให้ฉันด้วยตนเองเป็นรุ่นแรก และก็มาอัดเทปธรรมะที่นี่
มีเทปเรื่องศูนย์อารมณ์ (เทปม้วนนั้น จะได้ยินเสียงคลื่นจากทะเลผสมผสานไปกับธรรมะที่หลวงพ่อพูดบันทึกไว้ในเทปนั้นด้วย)
และมีเทปชุดเสียงเพลงเป็นธรรมก็มาบันทึกที่นี่เช่นเดียวกัน
หลวงพ่อหายตัวได้
...มีอยู่คราวหนึ่ง หลวงพ่อมาพักอยู่ที่บ้านฉัน หลวงพ่อนอนอยู่ห้องชั้นบน มีดาดฟ้า ห้องนั้นมีหน้าต่างติดกับอีกห้องหนึ่ง
และมีประตูทางออกทางเข้าไปนอกชานเป็นที่โล่งแจ้ง
ซึ่งจะเดินผ่านห้องโถงใหญ่ แล้วจึงจะถึงบันใดลงไปชั้นล่าง ปรากฏว่าคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ (มานอนที่บ้านฉันด้วย) ขึ้นไปนิมนต์หลวงพ่อเพื่อฉันอาหารเช้า
คุณสมบูรณ์ตกใจว่า
นั่งรอหลวงพ่ออยู่ทางนอกห้อง เผลอแว้บเดียว..หลวงพ่อไปอยู่ทางลงบันไดแล้ว คุณสมบูรณ์แกบอกว่า มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่อยู่ๆ หลวงพ่อจะไปอยู่ตรงบันไดลง
เพราะว่าถ้าออกมาจากห้องก็ต้องปีนหน้าต่าง หรือไม่ก็ออกมาทางประตู แกก็ต้องเห็น นับว่าเรื่องนี้คุณสมบูรณ์ตกใจมาก พอเหลียวไปดูหลวงพ่ออยู่ทางบันไดแล้ว
ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกดี
มีอยู่คราวหนึ่งฉันเป็นทุกข์เรื่องหลานหาโรงเรียนไม่ได้ หลวงพ่อแนะนำให้ฉันบนท่านเสด็จในกรมฯ (กรมหลวงชุมพร) ฉันก็ทำตาม และก็ได้ผลทันใจจริงๆ
หลานฉันก็เข้าโรงเรียนราชินีได้ ทำให้ฉันสบายใจ
ข่าวหลวงพ่อมรณภาพ
...มีเรื่องชอบกลอีกเรื่องหนึ่ง ฉันเปิดวิทยุ เขาประกาศว่า หลวงพ่อได้มรณภาพแล้ว พอได้ข่าวเท่านั้น ฉันก็ใส่ชุดไว้ทุกข์เลย หิ้วกระเช้า
หิ้วถุงพะรุงพะรังไปกรุงเทพ
ไปหาพล อ.ท.เสริม ศุขสวัสดิ์ ไปถามว่าเขาเอาศพหลวงพ่อไว้ที่ไหน จะไปขอกราบศพท่าน ปรากฏว่าข่าวที่ประกาศนั้นไม่เป็นความจริง
ฉันเลยไว้ทุกข์เก้อ อุตส่าห์หอบของพะรุงพะรังไปถึงกรุงเทพฯ เพื่อเคารพศพ ฉันก็แปลกใจว่าทำไมวิทยุจึงออกข่าวเช่นนี้
แต่ก็เป็นการดีที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่เป็นมิ่งขวัญของพวกเราจนกระทั่งบัดนี้
ฉันชอบบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อ รู้สึกเป็นกันเองทั้งนั้น ดูแล้วสดชื่น พวกลูกศิษย์ไม่ได้ถือยศว่าตนเป็นใคร ใหญ่โตแค่ไหน ต่างทำตัวเท่ากันหมด
ดูแล้วมีความสดชื่น สบายใจ
เมื่อวันที่ ๒๐ และ ๒๑ เมษายน ๒๕๓๓ หลวงพ่อไปพักที่บ้านคุณสมบูรณ์ ได้แวะมาหาฉันที่หาดแม่พิมพ์ อ่าวไข่ จ.ระยอง มา ๒ วันติดกัน ฉันรู้สึกดีใจมาก
ที่หลวงพ่อได้มีเมตตาต่อฉัน
หลวงพ่อไปไหนก็นึกถึงฉัน และมาเยี่ยมฉันเรื่อย ฉันมีความสุขเป็นที่สุด ดีใจมาก แม้ปวดหัวอยู่ ความดีใจก็เลยลืมปวดหัว ช่วงที่หลวงพ่อมาหาฉันนี้
ข้าวเช้าไม่ได้กิน จนบ่ายก็ไม่ได้กิน มันอิ่มมันไม่รู้สึกหิวเลย
ฉันคิดว่าเป็นบุญของฉันจริงๆ ที่ได้พบพระอย่างหลวงพ่อ ที่ดีพร้อมทั้งทางโลกและทางธรรม หลวงพ่อไม่เคยว่าใคร มีแต่ยิ้มแย้ม
มีแต่เออๆ...ใครเห็นก็เคารพนับถือหลวงพ่อ
คนไม่รู้จักหลวงพ่อ พอเห็นก็จะชอบ เพราะบุญบารมีของหลวงพ่อ จุดไหนที่คนอื่นไปไม่ได้ แต่มาหาหลวงพ่อ เข้าถึงจุดที่สุดได้
ฉันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ จนป่านนี้เป็นเวลาเกือบ ๒๐ ปี ฉันก็ปรารถนาแนวทางที่หลวงพ่อแนะนำสั่งสอน ฉันก็ปรารถนาเพื่อพระนิพพาน.."
หมายเหตุ - การที่ "คุณป้าเสงี่ยม" ทำตัวเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองก็เพื่อพิสูจน์ความจริง เมื่อได้พบกับหลวงพ่อฯ
ตามที่ตั้งหัวข้อไว้ว่า "บุญของฉัน"
คุณป้าย่อมไม่หนีความจริงไปได้ คิดว่าคำสอนของหลวงพ่อฯ คงจะได้นำพาให้คุณป้าเสงี่ยมได้สมปรารถนาในสัมปรายภพอย่างแน่นอน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่สารบัญ
|
|
[ ตอนที่ 2 ]
(Update 20 กันยายน 2562)
◎ หลวงพ่อของผม ◎
บันทึกโดย สมบูรณ์ เวสารัชชานนท์
"...เดิมทีเดียวหลวงพ่อออก หนังสือประวัติหลวงพ่อปานรุ่นที่ ๒ เป็นเล่มมาจำหน่าย ประมาณปี ๒๕๑๗
ก่อนหน้านั้น ผมเป็นคนไม่สนใจเรื่องพระพุทธศาสนา เพราะตอนเด็ก ๆ เห็นพระซื้อล็อตเตอรี่ เลยโกรธ ทำให้ไม่สนใจเรื่องนี้ ครั้นน้องสาว (วันดี)
เอาหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมาให้อ่าน จึงไม่ยอมอ่าน เพราะไม่สนใจ
ต่อมาคุณแม่ให้ขับรถมาส่งที่สวนจันทบุรี น้องสาวก็อ่านประวัติหลวงพ่อปานให้แม่ฟังในรถ หูก็ได้ยินและสนใจเรื่องทิพยจักขุญาณและเรื่องผี (ผมกลัวผีมาแต่เด็ก)
พอฟังเรื่องในรถที่น้องสาวอ่าน ก็คิดว่ากลับกรุงเทพฯ เมื่อไรจะต้องพิสูจน์เรื่องทิพยจักขุญาณและเรื่องผีให้ได้ จึงไปหาคนทรงหลายแห่ง
ซึ่งล้วนแต่เจอสิ่งที่น่าเชื่อถือมากด้วยตาตนเอง
และยังไปพบนายตำรวจที่มีทิพยจักขุญาณ ทายอะไรเหมือนกับเห็นด้วยตาเปล่า ทำให้รู้สึกทึ่งมาก และทำให้ผมเชื่อเรื่องทิพยจักขุญาณขึ้นมา
ปีนั้นปี ๒๕๑๗ เมื่อผมตระเวนพิสูจน์ไปหลายแห่งแล้ว ผมก็เริ่มสนใจ จึงเริ่มหาประวัติหลวงพ่อปาน เพื่อจะมาอ่านให้ละเอียด ก็เกิดปัญหาว่าจะไปหาที่ไหน
จะไปขอน้องสาวก็รู้สึกเสียเหลี่ยม
ได้หนังสือที่วัดอโศการาม
...เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ย้อนคิดดูก็นึกได้ว่า วันที่คุยกัน เขาบอกว่าผู้ที่เอาหนังสือมาให้ เขาได้มาจากวัดอโศการาม ผมก็ไปวัดอโศการามทันที
ได้หนังสือมา ๓ เล่ม (ทั้งวัดเหลืออยู่ ๓ เล่ม ผมจึงเอามาหมด) ก็แจกเพื่อน ๑ เล่ม พี่ชาย ๑ เล่ม เอาไว้อ่าน ๑ เล่ม
เมื่ออ่านจบก็มีความรู้สึกอยากพบหลวงพ่อขึ้นมาทันที
ในหนังสือบอกว่าหลวงพ่ออยู่วัดบางนมโค อยุธยา ผมก็ชวนเพื่อนไปวัดบางนมโค อยุธยา ไปไม่เจอมาทราบข่าวว่า หลวงพ่อย้ายมาอยู่วัดท่าซุง อุทัยธานีแล้ว
ผมก็ตามมาที่วัดท่าซุง ได้พบหลวงพ่อที่อาคารเสริมศรี หลวงพ่อกำลังคุยกับลูกศิษย์ ซึ่งเป็นเจ้าของแพปลามาจากสงขลา ผมนั่งอยู่ท้ายสุด
แอบฟังอยู่ข้างหลังบังเสา
ขณะนั้นได้ยินหลวงพ่อพูดกับเจ้าของแพปลาว่า ท่านจะไปที่แพปลาที่สงขลา เจ้าของถวายนามบัตรแก่หลวงพ่อ ซึ่งนามบัตรนี้เป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษ
เจ้าของนามบัตรบอกว่าเขาจะแปลให้
หลวงพ่อมองดูนามบัตรแล้วก็ยิ้ม ๆ พร้อมกับพูดว่า อ่านออก ผมได้ยินหลวงพ่อพูดเช่นนั้นก็คิดว่า หลวงพ่อเป็นพระทรงปฏิสัมภิทาญาณหรือเปล่า ก็เกิดความศรัทธา
เลยร่วมสร้างหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน วันนั้นผมนั่งฟังหลวงพ่อเป็นส่วนใหญ่ หลวงพ่อท่านมองผมแล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านรู้ว่าผมมาจากจันทบุรี
ก็ถามคำถามแบบคุยกันธรรมดา
หลังจากนั้นผมก็ไปกราบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม ก็เจอพี่อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์) เจอท่านเจ้ากรมฯ เสริม (พล อ.ท.เสริม ศุขสวัสดิ์) และเจอคณะหลายคน
ผมพาเพื่อนไปด้วย ช่วงนั้นศีลผมไม่ค่อยครบสักข้อ เวลานั้นหลวงพ่อได้ไปแจกผ้ายันต์พิชัยสงคราม ให้ทหารชายแดน
ผมมีความรู้สึกกระตือรือร้น และอยากจะไปร่วมแจกมาก ผ้ายันต์พิชัยสงครามนี้ผมพร้อมที่จะถวาย ตอนไปแจกทหารรู้สึกภูมิใจ และดีใจเหลือเกิน
เลยติดตามคณะของหลวงพ่อไปเรื่อย ๆ
ช่วยงานศูนย์สงเคราะห์ฯ
...ต่อมาที่วัดท่าซุงก็มีการตั้งเป็นศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจน ในแดนทุรกันดาร ตั้งขึ้นตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ (เมื่อวันที่
๒๑ ธันวาคม ๒๕๒๐) ก็เริ่มแจกของแก่คนจน
ตอนนั้นผมก็หยุดการทำงานหมดเพื่อติดตามหลวงพ่อ ได้รับความประทับใจในเหตุการณ์ที่ไปแจกของตามจุดต่าง ๆ
พร้อมกับได้รู้สึกว่าบารมีของในหลวง ท่านได้แผ่คลุมไปทั่วกับบุคคลทุกเหล่าทุกชั้น และบรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ
ทั้งหลายก็มีความฉลาดที่เข้าถึงผู้ที่มีความทุกข์ทั้งหลาย
ไม่ได้นึกถึงความเหน็ดเหนื่อยของตนเอง หรือความเจ็บป่วยของตนเอง ทุกคนปรารถนาอย่างเดียวที่จะได้สงเคราะห์เหล่าผู้ที่ได้รับทุกข์มากกว่าตลอดเวลา
โดยไม่ได้นึกว่าตนเองเป็นคุณหญิงหรือเป็นท่านนายพล ขณะที่ไปก็ได้ลืมกันหมดว่าตนเองเป็นใคร
เป็นอะไรทุกคนนอนเรียงกันเหมือนปลาที่เขาเสียบกันเป็นปลากรอบของเขมร
ความใกล้ชิดหลวงพ่อมากขึ้น ทำให้มีความเข้าใจธรรมของหลวงพ่อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนมีความเชื่อถือว่าธรรมะที่สอนมาเป็นเรื่องจริง
ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าธรรมะที่ได้รับนี้เป็นสิ่งที่ต้องพึ่งตนเอง และต้องนำไปปฏิบัติด้วยตัวเองจึงจะเกิดผล
หลังจากนั้นหลวงพ่อได้มาโปรดลูกศิษย์ทางภาคตะวันออก
ก็ได้มาพักที่บ้านคุณน้าเสงี่ยม สังกรณีย์ ที่อ่าวไข่ บ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตอนนั้นลูกศิษย์ทางจันทบุรี
และระยองมากราบหลวงพ่อที่บ้านน้าเสงี่ยม (ยายเพิ้ง..ผ้าขี้ริ้วห่อทอง - ผู้เรียบเรียง)
หลวงพ่อหายตัว
...มีอยู่ครั้งหนึ่งทางค่ายตากสิน ได้นิมนต์พระหลายองค์มาร่วมทำพิธีพุทธาภิเษกพระรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ค่ายนาวิกโยธิน จังหวัดจันทบุรี
พระที่มาร่วมพิธีก็มี หลวงปู่ครูบาธรรมชัย (วัดทุ่งหลวง เชียงใหม่) หลวงปู่สิม (วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่) และหลวงพ่อ
เมื่อเสร็จพิธีก็นิมนต์หลวงปู่สิม หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ไปพักที่อ่าวไข่ด้วย เช้าวันรุ่งขึ้น หลวงปู่สิม และหลวงปู่ครูบาธรรมชัยก็ลงมาชั้นล่างแล้ว
เพราะได้เวลาฉันอาหารเช้า ก็ได้ให้ผมขึ้นไปนิมนต์หลวงพ่อลงมาเพื่อฉันเช้า ห้องพักหลวงพ่ออยู่ติดดาดฟ้าด้านนอก มีห้องพระติดกัน และมีหน้าต่างติดกัน
ต่อจากห้องพระมีที่ว่าง ต่อมาก็มีบันไดลงชั้นล่าง
เมื่อผมเข้าไปกราบนิมนต์หลวงพ่อ ๆ ก็ลุกขึ้นห่มจีวร ผมก็ล่าถอยออกมาจากประตูห้อง เมื่อผมหันกลับมาทางบันได ผมก็เห็นหลวงพ่อยืนยิ้มอยู่เชิงบันไดเสียแล้ว
ผมก็งงว่า หลวงพ่อท่านไปยืนอยู่ตรงนั้นได้ยังไง เพราะขณะที่ผมเอี้ยวตัวจากห้องหลวงพ่อมาที่เชิงบันได ใช้เวลาไม่เกิน ๓ วินาที
(ถ้าท่านเดินออกมาจากห้อง ต้องผ่านผมก่อน หรือถ้าหากท่านเดินไปทางห้องพระต้องได้ยินเสียงเปิดประตู และต้องปีนหน้าต่างจึงจะผ่านไปได้)
ผมก็งงว่าหลวงพ่อท่านไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร ขณะผมยืนงงอยู่ หลวงพ่อก็หันมาบอกว่า คุณสมบูรณ์ ช่วยปิดประตูให้ด้วย
เมื่อลงมาเล่าให้พี่อ๋อยฟัง พี่อ๋อยก็ถามหลวงพ่อว่า คุณสมบูรณ์สงสัยเรื่องที่กราบ ๆ หลวงพ่อเพื่อนิมนต์มาฉันเช้า แล้วอยู่ ๆ
หลวงพ่อก็ไปยืนอยู่ที่เชิงบันไดลง เลยตกใจ
หลวงพ่อท่านพูดว่า ขี้เกียจตากฝน เพราะฝนมันตกปรอย ๆ เพราะจะต้องเดินผ่านฝนมานิดหน่อย นี่เป็นเรื่องแปลกที่ผมพบมากับตัวเอง [/color]
หลวงพ่อช่วยให้หายง่วง
...ครั้นต่อมาผมขับรถถวายหลวงพ่อกลับจากต่างจังหวัด ระยะทางจากฉะเชิงเทราเข้ากรุงเทพฯ เกิดความรู้สึกว่าง่วงมาก ก็เริ่มมีอาการเคลิ้มจะหลับใน
ก็หาทางแก้ง่วง โดยการบิดตัวบ้าง นวดแขนตัวเองบ้าง
ตอนนั้นผมมีกุญแจแบบแม่เหล็กในการล็อคพวงมาลัย ได้บีบล็อคไว้ ได้วางอยู่ที่คอนโซลข้าง ๆ ที่นั่งขับ (ต่อมาเก็บ) ด้วยความง่วงมีกริยายุกยิก ๆ
พยายามแก้ง่วงให้ได้
แต่ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะหลวงพ่อนั่งอยู่ เห็นหลวงพ่อจับกุญแจอันนั้นมาวางไว้บนฝ่ามือ ขณะนั้นเหลือบไปเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ ตัวงอของกุญแจที่บีบไว้
มันเปิดออกก็สะดุ้ง
หายง่วงเลยก็ไม่ทราบว่ากุญแจแม่เหล็กถูกพลังอะไร ทำให้คลายล็อคออกมาได้ โดยที่ไม่มีลูกกุญแจมาดูดออก หลวงพ่อยิ้มแล้วถามว่า หายง่วงหรือยัง ผมตอบว่า
หายแล้วครับ !!
หลวงพ่อหยุดเทศน์กระทันหัน
...ปี ๒๕๒๓ ปีน้ำท่วมที่วัดท่าซุง พี่อ๋อยใช้ให้ไปรับหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ขณะที่ขับรถมาที่อุทัยธานี หลวงพ่อกำลังเทศน์อยู่ที่วัดท่าซุง ที่ศาลาหลวงพ่อ ๔
พระองค์
หลวงพ่อเทศน์แค่ ๑๐ นาทีเท่านั้น (ปกติท่านเทศน์นานกว่านั้น) อยู่ ๆ ท่านก็หยุดเทศน์ไปเฉย ๆ แล้วตัด..เอวัง..ก็มีด้วยประการฉะนี้
ขณะนั้นเป็นเวลาเดียวกับที่ผมขับรถจะมารับหลวงพ่อ เราก็คุยกันมาในรถคุยถึงหลวงพ่อ พอมาถึงชัยนาท (เลยเขื่อนชัยนาท) ลุงพันขี่จักรยานสวนทางมา
ตอนนั้นก็มีรถโดยสารมาจอดข้างหน้า ลุงพันก็จูงจักรยานจะเลี้ยวข้ามถนน
ผมเห็นแล้วก็บีบแตร พร้อมกับลดความเร็ว เมื่อลุงพันสบตาผม ๆ ก็มั่นใจว่าเขาเห็นผม ผมก็วิ่ง (ขับ) โดยไม่ต้องหยุด
ในขณะนั้นลุงพันก็เข็นจักรยานพุ่งข้ามทันที ผมก็หลบหักรถชนทั้งรถลุงพันด้วย รถผมก็พลิกคว่ำ ๓ ตลบ ขณะรถพลิกคว่ำ พวกเรานึกถึงหลวงพ่อตลอดเวลา
ปรากฏว่าลงไปลอยอยู่น้ำ กระจกหน้ากับกระจกหลังดีดออกทั้งแผ่นไม่แตก
(ตอนหลังงมขึ้นมาได้) รถลอยน้ำได้และลอยไปติดสะพาน ก็มีคนมาช่วยดึงเรา ๓ คนขึ้นสะพาน (ปู่เหม่ พี่ชอ และผม) สำรวจดูแต่ละคนไม่มีรอยแผล ไม่มีรอยช้ำ
คนมาถามว่าเป็นอะไรบ้างไหม บอกไม่เป็นอะไร เขาบอกไม่เชื่อหรอก ถ้าดูตามเหตุการณ์แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครเป็นอะไรเลย เวลานั้นเป็นเวลาประมาณ ๘
โมงเศษ
ตรงกับเวลาที่หลวงพ่อนั่งเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ที่วัดท่าซุง อยู่ที่ศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ พอมาถึงที่วัด จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ครูนนทาจึงพูดว่า มิน่าเล่า..หลวงพ่อก็เลิกเทศน์เสียเฉย ๆ ตัดลงด้วย..เอวัง..ก็มีด้วยประการฉะนี้
เพราะเหตุที่พวกผมนึกถึงหลวงพ่อตลอดเวลาจึงทำให้รอดพ้นอันตรายมาอย่างน่าอัศจรรย์
สร้างบ้านพักรับรองที่จันทบุรี
...หลังจากติดตามหลวงพ่อมานาน หลวงพ่อก็ได้เมตตาสงเคราะห์ผมและลูกศิษย์ทางจันทบุรี ผมจึงได้สร้างบ้านพักรับรองในสวนที่มีเนื้อที่พันไร่กว่า
โดยมากปลูกเป็นสวนทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง มะม่วง ขนุน เป็นต้น
บ้านพักรับรองนี้อยู่ในสวน ที่ห้วยสะท้อน ตำบลทุ่งเบญจา อำเภอท่าใหม่ จันทบุรี ดูแล้วก็ร่มรื่น
เหมาะที่จะให้หลวงพ่อมาพักผ่อนและอบรมธรรมะการปฏิบัติแก่บรรดาลูกศิษย์ทางนี้
หลังจากหลวงพ่อได้มาโปรดผม ผลิตผลต่าง ๆ ในสวนของผมก็ทำให้มีความเจริญงอกงามออกผลดี ได้ผลดีเพิ่มขึ้น
และทำให้บรรดาชาวจันทบุรีหลายคนที่ได้มาพบหลวงพ่อที่บ้านพักแห่งนี้ และได้ติดตามหลวงพ่อไปที่วัดท่าซุง
จึงทำให้มีลูกศิษย์หลวงพ่อทางด้านภาคตะวันออกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
หลวงพ่อสละชีวิตเพื่อธรรมะ
...ตลอดเวลาที่พบหลวงพ่อ ได้รับความเมตตาที่หลวงพ่อได้สงเคราะห์ผมเสมอมา มีความรู้สึกสงสารท่าน แต่ไม่สามารถจะทดแทนพระคุณ
เห็นหลวงพ่อได้รับความทุกข์มากเหลือเกิน
แต่หลวงพ่อไม่แสดงออกให้เห็นว่า ท่านได้รับความทุกข์อะไรบ้าง ตั้งแต่ปีแรก ๆ ที่ผมพบหลวงพ่อ ก็พบว่าหลวงพ่อมีทุกข์ทางร่างกายอยู่แล้ว
และเห็นว่าความทุกข์ทางกายของหลวงพ่อก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ
แต่ท่านไม่เคยกล่าวถึงหรือท้อแท้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแก่ตัวท่าน ผมและบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่ได้พบเห็นรู้สึกว่าปรารถนาอยากแบ่งเบาความทุกข์อันนี้มาบ้าง
แต่ไม่สามารถจะทำได้ มีแต่ได้รับความเมตตาสงเคราะห์จากหลวงพ่อ ซึ่งท่านคอยช่วยส่งเสริมให้พวกเราเร่งรัดตนเอง เพื่อให้ได้ผลทางธรรมะ
ถ้าใครได้ผลทางปฏิบัติก็เท่ากับเป็นการช่วยแบ่งภาระของหลวงพ่อไปโดยปริยาย แต่ก่อนที่ผมจะพบหลวงพ่อนั้น ศีลผมก็บกพร่อง และชอบกินเหล้า
เมื่อพบหลวงพ่อและได้รับฟังคำสอนบ่อย ๆ ก็เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนไป ภายหลังมีความมั่นใจในคำสอนของหลวงพ่อ เพราะคิดว่าเดินถูกทางแล้ว
จึงพยายามรักษาศีลจนกระทั่งมีความมั่นใจตนเองมากขึ้น
เรื่องการรักษาศีล ๕ ก็ไม่ลำบากใจ นาน ๆ ก็รักษาศีล ๘ บ้างแบบเบา ๆ ตามคำสอนหลวงพ่อมุ่งหวังให้บรรดาพุทธบริษัทปฏิบัติตน เพื่อให้ถึงพระนิพพานในชาตินี้นั้น
...ผมมีความมั่นใจต่อพระนิพพานในชาตินี้ ซึ่งเป็นหนทางที่ผมมุ่งไป..หลวงพ่อสอนผมไว้ว่า คิดอะไร..ให้มั่นใจ
หมายเหตุ
"...ผู้เรียบเรียงมั่นใจในคำสุดท้ายของคุณสมบูรณ์ ในขณะที่ยังมีชีวิต บัดนี้แม้คุณสมบูรณ์จะจากโลกนี้ไปแล้ว
แต่ถ้อยคำที่บันทึกไว้ หวังว่าคงเป็นแรงใจสำหรับคนอ่านรุ่นหลัง ที่จะมุ่งมั่นทำความดีต่อไป เพื่อผลตามที่หลวงพ่อสอนไว้ว่า "คิดอะไร..ให้มั่นใจ"
คุณสมบูรณ์กับผู้เรียบเรียงรู้จักกันมานาน เพราะได้เคยร่วมงานศูนย์สงเคราะห์ฯ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๐ ตอนนั้นผู้เรียบเรียงบวชแล้ว
เวลาคุณสมบูรณ์กลับมาจากการแจกของกับหลวงพ่อฯ คุณสมบูรณ์จะต้องนำเอกสารการปฏิบัติงานมาให้ผู้เรียบเรียงทุกครั้ง
จึงหวังใจว่า ผลความดีที่คุณสมบูรณ์ได้ทำไว้ ด้วยการอุทิศบ้านไว้สำหรับหลวงพ่อพักและรับแขก จนกระทั่งมาถึงเจ้าอาวาสวัดท่าซุงปัจจุบันนี้
คงจะส่งผลให้วิญญาณของคุณสมบูรณ์ได้สมหวังจากความคิดที่ตั้งไว้..นั่นก็คือพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ตามความมั่นใจของตนเองไปในที่สุด.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่สารบัญ
|
|
[ ตอนที่ 3 ]
(Update 27 กันยายน 2562)
ญาณที่น่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อ
บันทึกโดย ส.ต.ผิน จรูญรักษ์
- บทนำร่อง
"...ผู้เรียบเรียงได้นำบทความจากลูกศิษย์ของหลวงพ่อมาให้อ่านกันหลายท่าน โดยเฉพาะ คุณสมบูรณ์ เวสารัชานนท์ ได้พบประสพกับสิ่งที่ไม่น่าเชื่อมาแล้ว
แต่นั่นก็ยังเป็นบุคคลที่มีฐานะพอสมควร เพราะจันทบุรีกับอุทัยธานียังไม่ห่างกันมากนัก ถ้าเทียบกับสุราษฎร์ธานีก็ถือว่าอยู่ห่างจากวัดท่าซุงมาก
ผู้อ่านคงแปลกใจที่บันทึกของลูกศิษย์หลวงพ่อมีหลากหลายประเภท มีทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งอยู่ในบ้านในเมืองที่เจริญแล้ว มีทั้งความเป็นอยู่ที่ดี มีความรู้
มีศักดิ์ศรี มีฐานะพอสมควร
แต่ตอนนี้ผู้เรียบเรียงอยากให้อ่านบันทึกของคนที่อยู่ห่างไกลความเจริญบ้าง เรียกว่าเป็นชาวบ้านชาวสวนธรรมดา แล้วทำไมถึงศรัทธาหลวงพ่อได้อย่างไร
สมัยก่อนตอนงานทอดกฐิน ถ้าใครมาวัดท่าซุงจะเห็นรถสองแถวจากสุราษฎร์ธานี โดยมีชาวบ้านสูงวัยนั่งกันมาเต็มรถ ทราบว่ามาจากอำเภอคีรีรัฐนิคม
ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ ๕๐-๖๐ กิโลเมตร
แล้วได้ยินเสียงพูดแบบคนใต้ บางคนยังกินหมากอยู่เลย มองดูสภาพรถสองแถวแบบที่เห็นทั่วไป แล้วเขานั่งกันมาได้ยังไงตั้งไกล
ไม่มีที่บังลมบังแดด หรือบังฝนแต่อย่างใด มีแต่ผ้าใบที่คลี่ลงมากันไว้เท่านั้น เบาะที่นั่งก็ไม่มี เป็นม้านั่งแบบรถสองแถวเด็กนักเรียนทั่วไป
เมื่อมาถึงวัดแล้วเดินขึ้นพักที่ศาลา ๓ ไร่ เพราะบนชั้นสองกว้างขวาง ผู้เรียบเรียงรู้จักคนกลุ่มนี้เป็นอย่างดี เพราะโยมเขารู้ว่าเป็นคนใต้ด้วยกัน
อีกทั้งยังรู้จักกับโยมผินเป็นอย่างดี แต่ไม่ทราบว่าแกเป็นทหารมาก่อน แล้วทำไมหลวงพ่อจึงทราบได้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้สนิทสนมอย่างผู้เรียบเรียง
ที่เคยไปเยี่ยมโยมผินถึงที่บ้านมาแล้ว
นับว่าเป็นเรื่องแปลก สมกับที่ตั้งหัวข้อไว้ว่า "ญาณที่น่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อ" โดยเฉพาะคณะคีรีรัฐนิคมกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายทั้งนั้น
คล้องกับที่หลวงพ่อบอกโยมผินว่า
"..โยมเคยเป็นทหาร ร่วมรบมากับฉันทุกๆ ชาติ.."
- เหตุการณ์ก่อนที่จะพบหลวงพ่อ
"...ข้าพเจ้าได้รู้เรื่อง หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร มาจาก หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน โดยนายจวน ทองพัฒน์ ผู้เป็นพี่ชายได้นำหนังสือเล่มนี้มามอบให้
เพราะท่านเห็นว่าเป็นหนังสือที่เหมาะสมกับการปฏิบัติ หรือว่าเหมาะแก่ปฏิปทาของข้าพเจ้า นายจวน ทองพัฒน์ ผู้พี่รู้นิสัยของข้าพเจ้าค่อนข้างจะดี
เห็นว่าเป็นคนชอบในศาสตร์ลี้ลับ หรือสิ่งลี้ลับทางพุทธศาสนา
และวิธีปฏิบัติต่างๆ จะเป็นวันที่เท่าไร ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ค่อยจดจำอะไรต่ออะไรมากนัก เมื่อได้รับหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน ข้าพเจ้าศึกษาอยู่ในระยะสั้น
ก็เอามาปฏิบัติดู
แต่กรรมฐานบทนี้เป็นกสิณ คือใช้สีขาวเพ่ง เป็นโอทาตกสิณ เมื่อปฏิบัติมาเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของโอทาตกสิณ ในลักษณะต่างๆ
ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อ
และเคารพในคุณความดีของพระพุทธองค์ สุดที่จะพรรณนาให้สมกับที่เกิดขึ้นในจิตใจนั้นได้ ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้งในพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาก
ที่ท่านได้เขียนประวัตินี้ขึ้น เป็นการให้ธรรมทานอันประณีต
ท่านเขียนตามที่ได้รู้มา โดยไม่ปิดบังอำพรางแต่อย่างใด ต่อแต่นั้นมา จิตใจครุ่นคิดอยู่เสมอว่า แม้สักวันหนึ่ง
คงมีบุญวาสนาที่จะต้องชักนำให้ข้าพเจ้าไปศึกษาต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเองจงได้
ข้าพเจ้าจึงได้สั่งให้ นายจวน ทองพัฒน์ ผู้เป็นพี่ชายมาพบ แล้วก็ปรารภกันถึงเรื่องจะเดินทางไปนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
เพื่อได้ศึกษาปฏิบัติฝ่ายกรรมฐานที่จังหวัดอุทัยธานี
การนัดหมายก็ล่วงเลยไป 4 ครั้งแล้วก็ยังคงไม่สำเร็จ ในครั้งที่ 5 จึงได้เดินทางไปโดยรถไฟ แต่ก็ยังมีธุระอยู่ที่จังหวัดพิจิตร จึงเลยไปทำธุระที่โน่นเป็นเวลา
2 คืน จึงเดินทางกลับแวะลงที่มโนรมย์แล้วมาที่วัดท่าซุง
ประสบเหตุการณ์
เมื่อข้าพเจ้าลงจากรถ เดินทางเข้ามาในวัด จึงได้เรียนถามพระคุณเจ้ารูปหนึ่ง ท่านจึงแนะนำให้รายงานตัวและขอห้องพักตามกฎระเบียบของวัด
เมื่อได้ห้องพักเรียบร้อยแล้ว จึงได้อาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้วก็เป็นเวลาเกือบ 6 โมงอยู่แล้ว ก็นอนพักอยู่ในห้องที่ 9
เพื่อรอเวลาขึ้นห้องพระกรรมฐานที่ศาลานวราช แต่ความง่วงเกิดขึ้นกับร่างกายเพราะเป็นเวลา 3 คืนมาแล้ว
มันจึงครอบงำทำให้ม่อยหลับไปทั้งสองคน เมื่อรู้สึกตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลามืดสนิทแล้ว แต่แสงสว่างจากไฟฟ้ายังคงสว่างจ้าอยู่ทั่วบริเวณวัด
ได้ยินเสียงจากนักปฏิบัติทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในศาลานวราชแว่วๆ เป็นบางครั้ง
แต่ครั้งนั้นข้าพเจ้าก็คงเดาเหตุการณ์ไม่ถูกเพราะไม่เคยฝึกเลย และพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ยังไม่เคยรู้จักข้าพเจ้ามาก่อน จึงคิดว่า
ถ้าหากว่าจะขึ้นไปก็จะเป็นการเสียมารยาทไม่เคารพต่อสถานที่
จึงถามพี่ชายที่ไปด้วยกันว่า จะขึ้นไปหรือไม่ ได้รับคำตอบว่า ไม่กล้าขึ้นไป ข้าพเจ้าบอกว่า ถ้าหากเราไม่ขึ้นไปก็เป็นอันว่า จะต้องผิดกฎของวัด
จึงคิดว่าจะไปอยู่กับตำรวจเวรก็สายไปแล้ว ก็เลยนั่งๆ คิดๆ อยู่ตามประสาคนที่มีความผิด ก็ราวประมาณ 15 นาทีเศษๆ เสียงทางศาลานวราชก็เงียบ
จึงได้ล้มตัวลงนอนกันต่อไป แต่ไม่ทันจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเรียก โยมๆ...
ข้าพเจ้าและพี่ชายก็เลยขานรับพร้อมกัน เสียงพระท่านถามว่า ทำไมไม่ขึ้นไปปฏิบัติพระกรรมฐาน พี่ชายจึงตอบว่า ผมนอนรอเวลา เลยหลับลืมไป
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังนั้น จึงรู้ว่าคงจะเป็นพระคุณเจ้าภายในวัดเป็นแน่ ท่านจึงบอกว่า โยมนอนหลับอยู่ที่ห้องพัก เวลาที่เขาปฏิบัติพระกรรมฐานไม่ขึ้นไป
ก็ผิดกฎของวัดที่วางไว้ พรุ่งนี้หลวงพ่อจะประชุมสงฆ์พิจารณาโทษโยมทั้งสองคน
หรือว่าแล้วแต่สงฆ์จะอนุโลมหรือลงโทษในสถานใด ข้าพเจ้าเห็นพี่ชายไม่ค่อยดี มีความเป็นทุกข์ จึงพูดเพื่อเอาใจว่า จะเดือดร้อนไปทำไม
ถ้าหากว่าหลวงพ่อท่านมีความเป็นพระตามที่เราสองคนตั้งใจมานมัสการ
ด้วยความจริงแล้วความผิดเราก็ไม่มี พี่ชายถามว่า เมื่อเราหลับอยู่ในห้องพักแล้ว ทำไมความผิดจะไม่มี ข้าพเจ้าจึงตอบว่า
กฎหมายนั้นจะเอาความผิดจากคนตายนั้นไม่ได้
พี่ชายถามว่า เพราะอะไร ข้าพเจ้าจึงบอกว่า ก็เพราะหลวงพ่อท่านเป็นพระ ท่านย่อมรู้ในญาณทัศน์ ผู้มีจิตเป็นทิพย์ ท่านเป็นพระ
ท่านจะไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนตามวิสัยของพระ
ข้าพเจ้าก็เลยนั่งยิ้มๆ พี่ชายถามว่าทำไม ก็บอกว่า ถ้าหากว่าหลวงพ่อจะตีฉันสัก 3 ที ก็นับว่าเป็นโชคอย่างมหาศาล
นั่งบ่นอยู่สักพักพระคุณเจ้าท่านก็มาบอกให้ดับไฟนอน
รู้ความที่เร้นลับอย่างอัศจรรย์ของหลวงพ่อ
...เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้ากับพี่ชาย ทำธุรกิจประจำวันเรียบร้อยแล้ว จึงออกไปนมัสการพระพุทธรูปที่ศาลาจัตุรมุข เมื่อมาเดินอยู่ข้างๆ ศาลา
จึงเห็นพระคุณเจ้าองค์หนึ่ง ท่านถือไม้เท้าอันเล็กๆ มีสุนัขตามหลังท่านมา 2 3 ตัว
ท่านเดินมาถึง ข้าพเจ้าจึงประนมมือไหว้ท่านด้วยความรักและเคารพ ท่านจึงถามข้าพเจ้าว่า โยม เมื่อคืนนี้ทำไมจึงไม่ขึ้นไปปฏิบัติพระกรรมฐาน?
ข้าพเจ้าประนมมือกราบเรียนท่านตามที่ประสบมา ท่านจึงพูดว่า ดี... ดี...โยม! ไม่ขึ้นไปก็ดี ถึงขึ้นไปก็ไม่ได้อะไร เพราะกำลังง่วงมาก
ข้าพเจ้าจึงรู้ได้ทันทีว่า พระคุณเจ้าองค์นี้ คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นแน่ เพราะข้าพเจ้าไม่รู้จักและไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลย
ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจเป็นอันมาก เพราะเห็นว่าปลอดภัยจากความผิดที่หลับในห้องพักเป็นแน่แล้ว
คือท่านให้อภัยโทษแล้ว ท่านก็เดินเลยไปสักเล็กน้อย ท่านจึงหันมาสั่งข้าพเจ้าว่า วันนี้ โยมไปนอนพักเสียให้เต็มที่นะ คืนนี้ขึ้นไป ปฏิบัติก็ได้แน่
แล้วท่านก็เดินเลยไปทางศาลาพระพินิจตอนเวลาเลยเที่ยงไปสักเล็กน้อย ข้าพเจ้ากับพี่ชายต่างก็ขึ้นไปดูหนังสือที่จำหน่ายบนศาลานวราช
เห็นหลวงพ่อท่านมารับแขกก็ทำความเคารพ และนั่งฟังท่านให้ความรู้กับญาติโยมที่มานมัสการ
เมื่อหมดเวลารับแขก ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป ข้าพเจ้าก็วกกลับไปที่ตู้ขายหนังสือตามเคย ในขณะที่ข้าพเจ้าก้มๆ มองดูหนังสืออยู่นั้น
พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมาทางไหนข้าพเจ้าก็ไม่ทันเห็น
ท่านจับมือข้าพเจ้าไว้ พร้อมกับจูงมือข้าพเจ้ามาที่หน้าศาลานวราช พอระยะห่างคนสักเล็กน้อย ท่านถามข้าพเจ้าว่า โยม..ชาตินี้ยังเป็นทหารอีกหรือ?
ข้าพเจ้าตอบท่านว่า เป็นสมัยบูรพาอาคเนย์ครับ หลวงพ่อท่านจึงกล่าวต่อไปว่า โยมเคยเป็นทหาร ร่วมรบมากับฉันทุกๆ ชาติ เราต้องช่วยกอบกู้ประเทศไทยไว้
หลวงพ่อท่านถามอีกว่า โยมดิ้นรนอยู่เป็นเวลากี่ปีแล้ว ที่จะมาหาฉัน?
ในขณะนั้น ข้าพเจ้ามีความตื้นตันใจในความเมตตาของท่าน ใจของข้าพเจ้าในตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก จึงกราบเรียนท่านไปว่า ประมาณ 2 ปีครับ
แต่ท่านกลับบอกข้าพเจ้าว่า ไม่ใช่โยม..ไม่ใช่ 2 ปี โยมดิ้นรนอยู่ 4 ปีแล้วที่จะมาหาฉัน ข้าพเจ้าจึงประนมมือไหว้ท่านด้วยความปลื้มปีติ ปรากฏว่า
หลวงพ่อท่านบอกตรงตามความเป็นจริงทุกประการ
แต่ที่ข้าพเจ้าตอบท่านว่า ประมาณ 2 ปีนั้นก็มิได้คิดจะโกหกท่าน แต่ในขณะนั้นเต็มไปด้วยความปลื้มใจเมื่อท่านถาม ข้าพเจ้าจึงได้เผลอตอบไปอย่างนั้น
ซึ่งหลวงพ่อท่านรู้ดีว่าความจริงเป็นอย่างไร
โยมต้องตามฉันไปนิพพาน
...แล้วท่านจึงได้บอกกับข้าพเจ้าต่อไปอีกว่า ท่านจะลาเข้านิพพานแล้ว โยมก็อยู่ไม่ได้ เพราะต้องตามฉันไปนิพพาน ท่านถามว่ามาที่นี่จะประสงค์อะไร
ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนท่านด้วยความตั้งใจและเคารพว่า ที่มาก็มีความตั้งใจจะมาฝึกพระกรรมฐานจากหลวงพ่อครับ
ท่านบอกว่า คืนนี้ก็ฝึกได้อยู่แล้ว
ข้าพเจ้าจึงประนมมือขอพรจากท่านว่า กระผมจะนำธรรมะนี้ไปฝึกให้ญาติพี่น้องแถวๆ ใกล้ๆ บ้านบ้างนะครับ
ท่านจึงจับมือข้าพเจ้าแล้วท่านสั่งว่า ขอให้โยมไปฝึกให้ทุกๆ คนที่เขาเต็มใจมารับการฝึก อย่าไปชวนเขานะ ประเดี๋ยวเขาจะว่าเอา
พอถึงเวลาค่ำ ข้าพเจ้ากับพี่ชายก็เข้ารับการฝึกที่ศาลานวราช พระคุณเจ้าหลวงพี่แสวง ญาณสังวโร เป็นครูฝึก ด้วยเดชะบารมีของพระคุณหลวงพ่อ
ที่ท่านพูดว่าฝึกได้แน่ และข้าพเจ้าไปได้ โดยที่ก่อนหน้านี้มิได้รู้ว่า
ครูฝึกท่านจะฝึกอะไร เพราะไม่เคยได้รับการฝึกมาก่อนเลย ในเรื่องการฝึกมโนมยิทธิ ในคืนต่อไปก็ฝึกทุกคน ข้าพเจ้าพักอยู่ที่วัด รับการฝึกอยู่ได้ 7 วาระ
เป็นการจบมโนมยิทธิ จึงขอลาพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านกลับ.."
หลวงพ่อมีญาณล่วงหน้า
...ต่อมาครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้ากับพวกคณะได้เดินทางไปรับยันต์เกราะเพชร ครั้งนี้ได้จัดรถสองแถว มีผู้ศรัทธาร่วมเดินทางกันมาก
เพราะการครอบยันต์เกราะเพชรของหลวงพ่อ ย่อมมีความปลอดภัยจากสัตว์มีพิษและอันตรายทั้งหลาย พอรถจอดที่อู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ข้าพเจ้าก็นำคณะขึ้นไปยังที่พัก
พอข้าพเจ้าเดินขึ้นมายังศาลา 3 ไร่ คนทำความสะอาด ท่านถามข้าพเจ้าว่า คุณลุงมาจากไหน ข้าพเจ้าตอบว่า มาจากสุราษฎร์ครับ
ท่านบอกว่า หลวงพ่อท่านพูดให้พวกฉันฟังเมื่อวานซืนนี้ว่า คนทางใต้ของโยมเที่ยวนี้มีคนแก่ๆ มากันเยอะ ข้าพเจ้าได้ฟังคำบอกเล่าจากคนทำงานแล้ว
รู้สึกปลื้มใจมากเป็นอย่างยิ่ง จึงหันมาพูดกับพี่ชายว่า
ต่อไปนี้เราจะไม่ต้องขายขี้หน้าใครอีกแล้ว ผมมั่นใจ พี่ชายถามว่า ทำไม ข้าพเจ้าตอบว่า ก็เพราะพ่อฉันเป็นพระ 100 เปอร์เซ็นต์แน่ และมีความสำคัญในญาณต่างๆ
ของท่านอย่างน่าอัศจรรย์
จิตใจของข้าพเจ้าที่เคยว่างเปล่ามาแต่กาลก่อน บัดนี้มีแต่ความรู้สึกอิ่มเอิบ รู้สึกปลื้มใจในความหวังว่า มีที่พึ่งทางใจแน่แล้ว
จากพระคุณหลวงพ่อท่านเป็นอันมาก
ข้าพเจ้าพบแล้วในชาติปัจจุบัน และข้าพเจ้าก็ขอพึ่งพระบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อในชาติหน้าด้วย
ข้าพเจ้าขอเรียนให้ท่านทั้งหลายที่อ่านแล้วทราบว่า ข้าพเจ้านี้เต็มแล้วกำลังใจในชาตินี้ ก่อนๆ มาข้าพเจ้ายังจำเพลงของสุรพล สมบัติเจริญ ได้ว่า
ถมเท่าไร..ไม่รู้จักเต็ม ห้องหัวใจ... ก็เป็นการร้องถูกของสุรพล
เพราะจิตใจของข้าพเจ้าเต็มแล้ว ด้วยพระบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ สุดที่จะหาพระคุณอื่นมาเปรียบได้ในชีวิตของข้าพเจ้า
ยกเว้นเสียแต่พระบารมีของพระพุทธองค์เท่านั้น
ขอบารมีหลวงพ่อสอนมโนมยิทธิ
...คำสั่งของพระเดชพระคุณหลวงพ่อยังทรงจำอยู่ไม่ลืม ในเรื่องการฝึกมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าก็พยายามฝึกให้คนใกล้ชิด และบ้านข้างเคียงพอสมควร
เมื่อฝึกไปคนที่เข้ามารับการฝึก ก็มีจำนวนน้อยลงทุกที เพราะได้รับการฝึกแล้วทุกคน ข้าพเจ้าก็ใช้กุศโลบายการขยายธรรมคำสอน
ในด้านความดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ โดยชักชวนให้ไปบำเพ็ญกุศลที่วัดท่าซุง
และบางครั้งข้าพเจ้าก็นำบุคคลที่มีความศรัทธาในหลวงพ่อไปปฏิบัติพระกรรมฐานที่วัดท่าซุงครั้งละ 7 วาระ บางโอกาสก็มีถึง 11 วาระ เป็นเวลาหลายคราว
และชี้แนะให้ดูในการก่อสร้างของท่านเอง ช่างคนอื่นน้อยคนนักที่จะออกแบบได้
ทุกๆ คนที่ไปเห็นแล้วก็มีความเลื่อมใส และอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าจึงบอกว่า พระบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมีอยู่ครบถ้วนในตัวของท่าน
พวกญาติพี่น้องของข้าพเจ้าทุกคน จงพยายามใช้ปฏิปทาของท่านให้มาก แล้วจะประสบผลบรรลุในสิ่งที่เราต้องการ ความดีที่หลวงพ่อท่านให้มา
ข้าพเจ้าก็เผยแพร่กระจายไปรอบๆ ในที่ต่างๆ เท่าที่ข้าพเจ้าได้เผยแพร่ความดีในด้านธรรมะของท่านมา ก็เป็นเวลา 10 ปีเกือบจะได้ ก็แพร่สะพัดออกไปทุกที
จนแพร่เข้าไปยังอำเภอใกล้เคียงได้ถึง 9 อำเภอ ธรรมะที่ข้าพเจ้าเผยแพร่ออกไปนี้ ข้าพเจ้าสอนสั้นๆ ให้ความคิดเบาๆ และให้พิสูจน์เอาตามความเป็นจริงเสมอ ว่า
การเกิดมายังโลกนี้นั้น มันมีความเป็นทุกข์ เมื่อมีการเกิดมาแล้ว จะต้องตายแน่ และต้องยอมรับนับถือในพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์
และผลที่สุด ก็ขอให้ยึดอารมณ์พระนิพพาน ส่วนการรักษาศีล จะเป็นศีลอุโบสถ หรือศีล 5 ก็ตาม พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนมาให้ปฏิบัติยิ่งชีวิต
ถ้ามีโอกาสก็ขอให้ไปนมัสการหลวงพ่อที่วัดท่าซุง จะมีปัญหาอะไรก็ถามท่านได้
ท่านจะให้ความกระจ่างแจ้งในญาณต่างๆ ถูกต้องตามความเป็นจริงของแต่ละบุคคล ข้าพเจ้าจะบอกเล่าก็เป็นแต่เพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น
ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย จงไปศึกษาต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อเถิด ท่านทั้งหลายจะได้รับผลแห่งพระบารมีของท่านอย่างน่าอัศจรรย์
ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ธรรมทาน จงให้ข้าพเจ้าประสบแต่สิ่งที่ปรารถนาทุกประการ และขออาราธนาต่อพระบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด.."
หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง
...ถ้าท่านผู้อ่านได้อ่านมาถึงตอนจบ น่าจะรู้คติภพของโยมผินได้เป็นอย่างดี ที่ได้ล่วงลับไปนานแล้ว คงทิ้งไว้แต่ลายมือที่แสดงความรู้สึกไว้เบื้องหลัง
เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นสืบไป
คิดว่าทุกคนคงไม่ยอมแพ้โยมผิน ที่อยู่ห่างไกลนับพันกิโล แต่ก็ยังมุ่งพระนิพพานได้เป็นผลสำเร็จ แล้วยังขยายธรรมะออกไปอีกกว้างไกลในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี
จนบัดนี้พวกชาว "คณะคีรีรัฐนิคม" ก็ยังถือธรรมเนียมปฏิบัติ ด้วยการจัดรถบัสมาร่วมงานทอดกฐินที่วัดท่าซุงตลอดมา มิได้ขาดเหมือนคนบางคนที่อยู่ใกล้แสนใกล้
!!"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่สารบัญ
|
|
|
|
|