Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 10/5/20 at 07:57 [ QUOTE ]

ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค (ฉบับเก่า ภาค 2 ตอนจบ)


สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)

@ ย้อนอ่านภาค 1
http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2446

01. ผลกรรมของหลวงพ่อปาน
02. หลวงพ่อปานรู้วันตาย
03. คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
04. หลวงพ่อปานล้มที่ตลาดบ้านแพน
05. หลวงพ่อปานมรณภาพ
06. เหตุการณ์หลังมรณภาพ
07. เปิดกรุหลวงพ่อปาน (ตอนจบ)


ผลกรรมของหลวงพ่อปาน

"...เมื่อบันทึกถึงเทปหน้านี้มองดูนาฬิกาก็ตีสามพอดี สำหรับหน้านี้เป็นหน้าสุดท้ายของเรื่องหลวงพ่อปาน ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เล่าจบ แต่ก็จะระงับไว้เพียงเท่านี้ วันหน้าก็จะตัดเรื่องฉากสุดท้ายของท่านพอดี หมายความว่าเป็นเรื่องที่ท่านถึงแก่มรณภาพ

หลวงพ่อปานได้บำเพ็ญบารมีของท่านมาถึง อายุ ๖๔ ปี เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๔ นั่นชื่อว่าเป็นวิถีชีวิตขั้นสุดท้ายของท่าน ฉันจะขอย้อนทวนย้อนกล่าวไปถึงผลกรรมบางอย่างของท่าน ทั้งๆ ที่ท่านเป็นพระที่ประกอบไปด้วยเมตตาและมีบารมี แต่ก็มีศัตรู

แต่ศัตรูของท่าน ท่านถือว่าเป็นกรรมเก่า ท่านบอกว่าในกาลครั้งหนึ่ง ท่านไปที่วัดประตูศาล จังหวัดสุพรรณบุรี เวลาเข้าไปห้องนํ้าท่านถอดอังสะ

อังสะของท่านมีพระ คือพระที่ท่านทำไว้อยู่ในกระเป๋า เพื่อจะอาบนํ้า แต่วันนั้นท่านถูกบังฟัน คือหมายความว่าหมอไสยศาสตร์ที่มีความโกรธแค้นท่าน โดยที่เขาทำใครให้ตายบ้าง ทำใครให้ป่วยบ้าง ท่านก็แก้ให้หายหมด

เมื่อเขาคิดว่าท่านเป็นศัตรูตัวสำคัญ กล่าวคือไปทำลายความดีของเขา นั่นเขาเอาความดีในทางลงนรก เขาเลยคิดจะทำลายท่านท่านก็เลยถูก "บังฟัน"

หลวงพ่อปานถูกบังฟัน
...ไอ้บังฟันนี่ถูกบังฟันที่หน้าอก บังฟันนี่เป็นวิชาไสยศาสตร์อันหนึ่ง คือฟันแล้วหนังไม่ขาด หนังไม่ปรากฏว่าเป็นริ้วรอยแต่ว่าเป็นแผลภายใน ถ้าถูกส่วนที่สำคัญก็ตาย

เมื่อท่านถูกบังฟันแล้ว ท่านก็บอกบรรดาศิษยานุศิษย์ให้พาท่านกลับวัด พอมาถึงวัดบางซ้ายนอก อำเภอบางซ้ายสมัยนั้นยังเป็นอำเภอเสนา อยู่อำเภอเดียวกัน แต่สมัยนี้เขาแยกไปเป็นอีกอำเภอหนึ่งเป็นอำเภอบางซ้าย

และการป่วยหนักท่านก็บอกให้แวะที่วัดบางซ้าย ขึ้นที่วัดบางซ้าย พอขึ้นไปที่นั่นก็รู้สึกว่าอาการของท่านหนักมาก ท่านหมดความรู้สึก แต่ว่าพระขนาดนั้นเมื่อมีความเจ็บป่วยขึ้นมา แต่ก็จงอย่าคิดนะว่าท่านจะปล่อยจิตไปที่อื่น ท่านเร่งรัดฌานและวิปัสสนาญาณ หนักขึ้น

ผลที่สุดท่านบอกว่าเวลาที่ท่านหมดความรู้สึกลงไปนั้น ท่านกำลังเดินออกจากร่าง ไปพบสถานที่หนึ่งเป็นที่สวยสดงดงามมาก ท่านเข้าไปในสถานที่นั้นก็คิดว่านี่มันเป็นบ้านของใคร บ้านมียอดเหมือนปราสาทของพระมหากษัตริย์ และมียอดหลายยอดระยิบระยับจับสายตา มองไปมองมาในใจของท่านคิดว่าที่นี่เป็นชั้นดุสิต

คำว่า "ชั้นดุสิต" เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๔ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ ตามธรรมดาพระโพธิสัตว์ถ้าปฏิบัติ บารมีถึงขั้นปรมัตถบารมีแล้วโดยมากมักจะไปพักอยู่ที่ชั้นดุสิต เป็นชั้นพิเศษจริงๆ สวรรค์ชั้นนี้ คนที่จะไปอยู่ได้ คือตายแล้วจะไปอยู่ได้คือ

๑. เป็นพระพุทธมารดา หรือพระพุทธบิดาของพระพุทธเจ้า

๒. ถ้าคนธรรมดาต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไป

๓. เป็นที่อยู่เฉพาะของพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีถึงขั้นปรมัตถบารมี คือว่าใกล้จะสำเร็จพระโพธิญาณอยู่แล้ว ถึงขั้นบารมีสูงสุด นี่สวรรค์ ๖ ชั้นนี้เป็นสถานที่อยู่ คนที่จะไปอยู่ได้ต้องเป็นเขตเป็นขั้นเป็นตอน

โดยเฉพาะพรหมก็ต้องเป็นคนที่ได้ฌานและก็ตายในระหว่างฌาน แต่สำหรับพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีแก่กล้า ถึงแม้ว่าจะตายในระหว่างฌานก็ไม่ไปเกิดเป็นพรหม ส่วนใหญ่เกิดในชั้นดุสิตเพราะเป็นสวรรค์ที่มีอายุไม่มากนัก ควรแก่การที่จะมาบำเพ็ญบารมีต่อไป

แล้วก็เป็นชั้นที่มีความสุขสบาย เป็นชั้นที่มีความเคารพสักการะของเทวดาทั้งหมด แม้แต่พระพรหมก็ยังให้ความเคารพสักการะในฐานะที่เป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นี่มีบารมีมากอย่างนี้

พบพระอินทร์
...ท่านบอกว่าท่านเข้าไปนั่งในชั้นดุสิตมีความสุขมีความสบาย แต่สักครู่เดียวก็มีเทวดาองค์หนึ่ง แต่งกายมีเครื่องประดับสวยงามมาก มีแสงสว่างมาก แต่รู้สึกว่ามีแก้วมรกตอยู่บนยอดมงกุฏแผ่ซ่านออกมาเป็นสีเขียว นั่นคือ พระอินทร์

พระอินทร์ก็เข้าไปแจ้งกับท่านว่าท่านยังอยู่ที่นี่ไม่ได้ ขอให้ท่านกลับไปบำเพ็ญบารมีต่อไป เพราะในสมัยนั้นท่านยังมีชีวิตหนุ่มอยู่ ท่านบอกว่าอายุประมาณสัก ๓๐ ปี ก็ปรากฏว่าท่านต้องกลับ

อาจารย์จาบมาช่วย
...การที่ต้องกลับในที่นี้ก็บังเอิญทีเดียวมีลูกศิษย์อาจารย์เดียวกับท่านองค์หนึ่งชื่อว่า อาจารย์จาบ อยู่อำเภอบางบาล เมื่อเขาเห็นว่าคนทั้งหลาย เห็นว่าหลวงพ่อปานมีอาการมากอย่างนั้นถึงกับสลบไป คนที่จะแก้ไขให้หลวงพ่อปานดียิ่งไปกว่าอาจารย์จาบนั้นไม่มี เขาจึงได้ไปตามอาจารย์จาบมา

อาจารย์จาบก็มาเก็บยอดไม้ ๒-๓ ยอด เสกแล้วก็ต้ม พักหนึ่งท่านก็ฟื้นขึ้นมา อาการฟื้นในที่นี้ก็แสดงว่าอาการทางกายดีขึ้น เวทนาน้อย แล้วก็พอดีท่านยังไม่ถึงกาลเวลาที่จะไปอยู่ชั้นดุสิต จะต้องบำเพ็ญบารมีต่อไป ต้องกลับมาเกิดใหม่หมายความว่าต้องมาเข้าร่างใหม่ ก็เป็นการพอดีกัน

การที่คนสลบไปมันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ ไอ้ที่เขาบอกว่าสลบไป ๒ วัน ๓ วันอะไรพวกนี้แล้วก็ฟื้นขึ้น เป็นกาลเวลาที่เขายังไม่ต้องการชีวิต

หมายความว่าชีวิตคือจิตใจที่ออกไปจากร่างกายนี่ ยังไม่สามารถจะไปอยู่ในสถานที่หนึ่งที่ใดได้ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะไป จำเป็นจะต้องกลับจึงฟื้นขึ้น ที่พูดอย่างนี้เป็นความเห็นของฉัน เพราะว่าฉันเองก็ตามเคยตายมาแล้ว ๔ วาระ

ไอ้ที่ยังมีเวลามาพูดอยู่อย่างนี้ก็เพราะว่าเขาให้กลับมาใหม่ ถ้าเขาไม่สั่งให้กลับมันก็ต้องตายไปเลย คนส่วนมากก็ถือว่าหมอมีความสามารถแก้ให้ฟื้นขึ้นมาได้ แต่ความจริงฉันว่าไม่ใช่อย่างนั้น

ไอ้ที่ฉันประสบมาหรือที่หลวงพ่อปานประสบมาก็ตาม และมีหลายคนที่ฉันเคยพบ ไอ้ที่ประสบมา คือสลบไปแล้วฟื้นนี่โดยมากเขาให้กลับ ถ้าเขาไม่ให้กลับแล้วจะเป็นหมอขนาดไหนก็ตาม ไม่มีทางที่จะแก้ให้ฟื้นคืนขึ้นมาได้ อันนี้เป็นเรื่องราวของนักจิตวิทยานะ

ไอ้คำว่าจิตวิทยาในที่นี้ต้องเป็นฝ่ายพระพุทธศาสนา ถ้าจิตวิทยาทางโลกใช้อะไรไม่ได้เลย เพราะว่ามีวิทยาทางจิตไม่สมควร รู้กันเพียงแค่วัตถุ วิจัยกันเพียงแค่วัตถุ เพราะเป็นการคาดคะเนมากกว่าความรู้จริง

วิทยาศาสตร์บอกไม่ได้หมด
...มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งคือ "ดอกเตอร์คลุ้ม วัชโรบล" เคยให้สัมภาษณ์ทางวิทยุว่าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็จริง แต่ว่าเมื่อบวชเข้ามา ท่านบวชที่วัดอนงคาราม เจริญกรรมฐานกับ "สมเด็จพระพุฒาจารย์"

แล้วปรากฏว่าท่านได้อุปจารฌาน ท่านสามารถจะเห็นผี เห็นอะไรต่ออะไร เห็นญาติของท่านที่ตายไปได้ สามารถเห็นวัตถุที่ปรากฏว่าอยู่ใต้ดินได้

ท่านบอกว่าไอ้เครื่องวิทยาศาสตร์นี่ มันบอกได้แต่เพียงว่ามีของเช่นนั้นจริง ปริมาณบอกไม่แน่นอน สีสรรวรรณะบอกไม่ได้

แต่ว่าหากท่านใช้จิตที่เป็นสมาธิเข้าตรวจ ท่านสามารถบอกสีได้เลย บอกนํ้าหนักบอกปริมาณได้แน่นอนและใกล้เคียงที่สุด ท่านบอกว่าดีกว่าเครื่องวิทยาศาสตร์มากมาย นี่สำหรับท่านนักวิทยาศาสตร์นะ

นักจิตวิทยาในทางนี้ก็ต้องใช้ให้ถึงขั้น เอาล่ะว่ากันไปใหม่เดี๋ยวเทปจะหมดซะ เทปนี้จะใช้เวลาตั้งชั่วโมงก็ตาม เรื่องราวนี้ก็ยังอยู่มากมาย

เมื่อท่านฟื้นขึ้นมาแล้วท่านก็เล่าให้ฟัง เขาถามท่านว่าเป็นอะไร?

ท่านก็บอกว่าฉันถูกบังฟัน ถามว่าใครฟัน?

ท่านบอกฉันรู้ แต่ฉันบอกตัวไม่ได้ บอกแล้วพวกแกไปยิงเขา ฉันไม่บอก

ก็เป็นอันว่า ไอ้นี่ก็เป็นผลกรรมอันหนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่าเป็นผลกรรม ฉันก็อาจจะเคยทำความชั่วมาแล้วในอดีตชาติก็ได้ ผลกรรมอันนั้นมันจึงได้มาสนองฉัน

ทั้งๆ ที่ฉันก็ตั้งใจที่สุดที่จะสร้างความดีในชาตินี้ แต่ขึ้นชื่อว่าผลกรรมเก่านั้นไม่มีใครสามารถจะหนีได้ นี่เป็นวาระหนึ่ง.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/5/20 at 08:03 [ QUOTE ]


หลวงพ่อปานรู้วันตาย


...ทีนี้มาเล่าถึงตอนที่ท่านจะมรณภาพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ปีนั้นท่านป่วยหนัก และหลวงประธานถ่องวิจัยก็สึกไปแล้ว เมื่อเขารู้ข่าวว่าหลวงพ่อป่วยหนัก คณะบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายในกรุงเทพฯ ก็มากันเป็นการใหญ่

คำว่ามาเป็นการใหญ่นี่ วันหนึ่งไม่น้อยกว่า ๑๐๐ คน อันนี้เฉพาะลูกศิษย์ในกรุงเทพฯ มีทั้งเจ้านาย แล้วมีทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีรัฐมนตรีอะไรต่ออะไร อย่างพระยาศรยุทธสงคราม พระยาประเสริฐ ที่สมัยนั้นเป็นรัฐมนตรีมาอยู่เป็นประจำ

งานบางอย่างถึงกับมีข้าราชการเอามาให้เซ็นต์ที่วัดก็มี อย่างหม่อมเจ้าโฆษิตนี่ มาอยู่ประจำตลอดกาลตลอดสมัยที่ท่านป่วย

แล้วหม่อมเจ้าโฆษิตนี่สมัยเมื่อท่านดีๆ อยู่ ท่านก็มาจอดเรือ มาจอดเรือเซ็นต์หนังสืออยู่ที่วัดบางนมโค ท่านเป็นอธิบดีกรมชลประทาน แต่ไม่ไปทำงานที่กรม มาจอดเรืออยู่ที่หน้าวัดอยู่กับหลวงพ่อ นี่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดจริงๆ เวลานี้แกตายไปเสียแล้ว

เมื่อเขาเห็นว่าอาการของท่านไม่ดีขึ้น คณะศิษยานุศิษย์ทุกคนก็เห็นว่าควรจะไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ เมื่อไปเรียนถามท่าน

ท่านก็บอกว่า เอ้า..ตามใจ แกจะเอาฉันไปรักษาที่ไหนฉันก็ไปทั้งนั้นแหละ เวลานี้ฉันยังไม่ตาย เพราะอีก ๓ ปีฉันถึงจะตาย ท่านบอกด้วยว่าเวลานี้ท่านไม่ตายอีก ๓ ปีท่านจะตาย

เขาถามว่าจะตายเมื่อไหร่ครับหลวงพ่อ ท่านบอกปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ฉันตาย และฉันจะตายเดือน ๘ แรม ๑๔ คํ่า เวลา ๖ โมงเย็น บอกหมด เอาเข้านั่นเลย

ทุกคนเมื่อฟังแล้วก็ยิ้ม แต่ว่าไม่มีใครคัดค้านความเห็นของท่านหรือวาจาของท่าน เพราะท่านไม่เคยพูดอะไรผิด แล้วผลที่สุดเขาก็นำท่านไปรักษาที่กรุงเทพฯ ไปพักอยู่ที่บ้านหลวงประธานถ่องวิจัย

บ้านอื่นท่านไม่พัก บ้านหลวงประธานมีอยู่ ๓ หลัง เขายกหลังหนึ่งให้เป็นของท่าน คือว่าเป็นอิสระทีเดียว พวกพระเจ้าใครจะไปเยี่ยมก็ไปกันได้ มันอยู่เด่นๆ ออกมา อยู่ที่ถนนบ้านหม้อ เจ้านายก็ไปกันมาก เรียกว่าวันๆ หนึ่ง มีคนไปเยี่ยมท่านมากเหลือเกิน

หมอเขาก็หามาอย่างดีที่สุดที่เขาคิดกันว่าจะดี ไอ้เรื่องทุนรอนต่างๆ ก็เป็นของลูกศิษย์ลูกหา จะเอาทุนของท่านไปรักษาน่ะท่านก็แบบเดียวกับฉันนั่นแหละ มีกินบ้างไม่มีกินบ้างอย่างนี้ ท่านมีเท่าไหร่ท่านก็เลี้ยงคนหมด ท่านก็สร้างคนหมด

ท่านบอกว่าเราทำอย่างนี้เราทำให้เจ้าของเงินเขาเป็นคนมีบุญบารมีมากขึ้น เขาให้เรามาแล้ว มันเหลือใช้เหลือกินเราก็สร้างให้มันเป็นบุญเป็นกุศล

อย่าทำเงินของชาวบ้านที่เขาให้เป็นหมัน เพียงแค่เรากินเข้าไป กินแล้วก็ขี้ ประโยชน์ของเขาน้อย ได้บุญเหมือนกันแต่ว่าได้บุญน้อยไป

นี่ท่านว่าอย่างนั้น ไอ้ฉันก็เล่นมาอย่างนี้แหลกลาญมาหมด ผลที่สุดเวลานี้จนกระทั่งแก่ลงไปแล้วทำมาหากินไม่ได้ก็กวนลูกกวนหลาน

ลูกหลานเขาก็ดีทุกคน เขาก็ให้ฉัน บางทีเขาก็บ่นเขาไม่ค่อยจะมีใช้ ไม่ค่อยจะพอใช้ แต่เขาเห็นฉันเข้าว่าไม่มี เขาก็อุตส่าห์ให้ อันนี้ก็เป็นความดีของเขา

เอาล่ะ..ไอ้ความดีของเขานี่เมื่อเขาทำดี ความดีเขาก็ได้ดี แต่ฉันก็สงสารเขาเหมือนกัน ทุกคนที่เขาให้ฉันก็ต้องพยายามถามเขาว่ามันเดือดร้อนไหม

แต่ความจริงถ้าเดือดร้อนมากฉันก็ไม่อยากให้เขาสงเคราะห์เกินพอดี ไอ้ฉันกินไปๆ ในไม่ช้ามันก็ตาย นี่มันก็อยู่อีกไม่กี่ปีมันก็ตาย ตามอายุเขาบอกให้อยู่แค่ ๖๐ ปี ๖๐ นิดๆ เขาบอกว่าตาย หรือมันจะตายเสียก่อนก็ไม่รู้

แล้วเขาบังคับไว้อย่างนั้นนี่ว่าเขาจะให้ตายก่อนหรือไม่ตายก่อนก็ไม่รู้ ฉันก็ว่าจะทนๆ ไป เวลานี้ฉันก็ทนอยู่เต็มที เบื่อ.. เบื่อโลก

แต่พอได้เห็นลูกเห็นหลานก็ยังนึกไม่อยากตาย แต่ว่าฉันก็ดีใจ เพราะว่าลูกฉันทุกคนเวลานี้ดีแล้ว เอาตัวรอดทุกคน ตายแล้วไม่ตกนรก เป็นคนมั่นในพระพุทธศาสนา อย่างน้อยสวรรค์เขาก็ไปกันได้ อย่างกลางพรหมโลกเขาก็ไปกันได้..สบายใจ

ทวงสัญญาเดิม
...ไอ้ที่ฉันพูดอย่างนี้ไม่ใช่พยากรณ์อย่างพระพุทธเจ้า แต่ว่าฉันเห็นปฏิปทาลูกของฉัน ลูกของฉันน่ะ บางคนไม่เอาถ่าน ก่อนนี้ไม่เอาถ่าน เรื่องพระเรื่องเจ้า บุญทานไม่เอา เป็นคนหัวแข็ง

แต่เดี๋ยวนี้ดีทุกคน เป็นนักบุญหมด แม้แต่ลูกในกรุงเทพฯ ลูกบ้านนอกก็เหมือนกัน เขาเป็นนักบุญด้วยกันฉันดีใจ ดีใจที่ฉันทำให้ลูกของฉันเป็นคนมี "อะจะละศรัทธา" เป็นคนมั่นในพระศาสนา สมกับเจตนาที่ฉันให้ไว้ ให้สัญญาไว้กับแม่ๆ ของเขาไว้ว่า

ฉันจะมาสงเคราะห์อนุเคราะห์ลูกของฉันให้เข้าถึงพระศาสนาจนกระทั่งมีความมั่นใจว่าลูกทุกคนจะไม่ลงนรก ตายแล้วอย่างน้อยที่สุดจะไปเกิดบนสวรรค์

ไอ้ที่ฉันให้สัญญามานี่ฉันไม่รู้เอง ตอนที่ฉันย่องไปเที่ยวดาวดึงส์เขาทวงฉันเข้าน่ะสิ ฉันเองมันลืมหมดแล้ว สัญญากับเขานี่ เกิดมาใหม่นี่มันลืมหมด ไอ้มนุษย์มันไม่ดีอย่างนี้ อะไรเก่าๆ มันก็ลืม

อ้าว..นี่เลอะไปเสียอีกแล้ว ต่อมาเมื่อเขาพากันรักษาหลวงพ่อปานให้หายจากโรค เวลาที่ท่านป่วยอยู่อย่างนั้น ใครจะมาขอให้ท่านลงยา ใครจะมาขอให้ท่านตรวจโรค ท่านทำทุกอย่าง ทำให้ ท่านบอกว่าท่านจะตายแล้วท่านรีบทำ ใกล้จะตายเต็มที

และต่อมาเมื่อหายเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับมาวัด พอกลับมาวัดท่านก็มาสั่งให้ "พระครูรัตนาภิรมย์" เพื่อนของท่าน บอกว่า ผมอีก ๓ ปีผมตายนะ ขอเขาไม่ได้แล้วเขาไม่ต่อให้ เขาบอกว่าร่างกายมันทุพพลภาพเต็มที

พระที่รับมรดกจากหลวงพ่อปาน
..ท่านก็หันมาบอกฉันบอกว่า ไอ้ลิงดำอีก ๓ ปีพ่อตายแน่นะ แล้วในเมื่อพ่อตายแล้วไอ้งานทุกอย่างที่พ่อทำน่ะแกต้องรับภาระแทนพ่อนะ เอาเข้าแล้ว

ถามว่างานอะไรครับหลวงพ่อ ท่านบอกไม่รู้ล่ะ งานวัดงานวา งานสร้างวัด งานบริหารวัด งานสงเคราะห์ประชาชนในด้านสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน แกต้องทำแทนพ่อนะ นี่พ่อสั่งเขาหมดแล้ว พ่อไปที่ไหนพ่อบอกเขาหมดว่า เมื่อพ่อตายแล้วแกจะเป็นคนแทน

ตอนนั้นฉันมันย่างเข้าพรรษาที่ ๒ มันตัวเล็กนิดเดียว ก็เลยบอกว่าหลวงพ่อครับ เวลานี้พระ ๒๐ พรรษา ๓๐ พรรษาก็มีเยอะ อย่าง "หลวงพ่อเล็ก เกสโร" ท่าน ๓๐ พรรษากว่าแล้ว กรรมฐานเก่งมาก แม้แต่หลวงพ่อปานเองก็เกรงใจ ท่านเป็นพระดีมาก ไม่ค่อยพูด

แต่ว่าถ้าใครไปพูดเรื่องกรรมฐานท่านพูดทั้งวันเหมือนกัน ถ้าพูดเรื่องอื่นท่านนิ่งเฉยท่านนั่งฟังเรื่อยตลอดวัน ใครพูดก็พูดเหอะท่านพยักหน้าเรื่อย ถ้าลองไปปรารภเรื่องกรรมฐานเข้าเถอะ สงสัยอะไรเข้าหน่อยท่านอธิบาย แจ๊ว ท่านอธิบายได้ดีมาก

ก็เลยถามว่าหลวงพ่อทำไมไม่สั่งพระผู้ใหญ่ ท่านบอกพระผู้ใหญ่นี่ ฉันสั่งเขาไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่ใช่เป็นคนรับมรดกฉันนี่ ไอ้แกนี่เป็นคนรับมรดก ไอ้แกนี่เป็นลูกข้ามาหลายชาติแล้ว เอาเข้านั่น

แล้วผลที่สุดแกก็ต้องรับมรดกตกทอดจากข้าทุกครั้งและทุกชาติ พอมาชาตินี้มันเป็นชาติที่สุด แกกับข้าจะไม่ได้เป็นพ่อเป็นลูกกันอีกแล้ว แกก็ต้องรับสิชาติสุดท้าย

เอ้า..รับ เราลิงเล็กนี่ ท่านบอก ต่อไปคนอื่นทำไม่ได้อย่างแก เพราะว่าเขาไม่มีกำลังใจอย่างแก ต้องแกคนเดียว ฉันประกาศเขาหมดแล้วและใครเขาก็รู้จัก เอาเข้านั่น

เป็นอันว่า เมื่อท่านว่าอย่างนั้นก็ต้องยอมรับ แต่ว่าอีตอนนั้นน่ะคิดไม่ออกนะ ว่าตัวเองทำไมจะไปแทนหลวงพ่อ และรับภาระแทนหลวงพ่อ มันจะทำได้หรือ คิดไม่ออก คือตัวเองมองไม่เห็นตัวเอง แต่ก็รับท่านไปอย่างนั้น

สงเคราะห์เฉพาะคนที่เลื่อมใส
...บอกท่านว่าถ้าหากว่าใครเขาต้องการ ผมก็จะปฏิบัติตามคำสั่งของหลวงพ่อ แต่ว่าถ้าใครเขาไม่เลื่อมใสผมไม่เอาด้วยนะครับ

ท่านบอกว่า อืม...นั่นถูกแล้ว ใครเขาไม่เลื่อมใสแกก็อย่าพยายามสิ เอาแต่คนที่เขาเชื่อแก เขารับฟังแก เขาต้องการแกเท่านั้น คนที่เขาไม่เชื่อเขาไม่รับฟัง เขาไม่ต้องการ แกก็อย่าไปทำอะไร มันเหนื่อยเปล่าๆ ตอนนั้นดีใจยิ้มได้ คิดว่าถ้าต้องทำอย่างท่านทุกอย่าง ก็เห็นจะแย่แบกไม่ไหว

ต่อมาเมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เดือนเมษายน เอาล่ะเรื่องใหญ่มาแล้วในตอนนี้ หลังจากนั้นแล้ว หลังจากที่ท่านหายป่วยมาแล้ว ตอนนี้ท่านเปิดหมด คาถาอาคมอะไรก็ตาม ใครจะเรียนอะไรก็ตาม ท่านให้ทั้งนั้น

หลวงพ่อปานไม่หวงวิชา
...ท่านบอกฉันจะตายแล้ว ฉันจะคายพิษแล้วคราวนี้ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องปกปิด แต่ว่าคาถาส่วนใดที่เป็นโทษแก่ชาวโลกท่านไม่ให้ อย่างเช่น คาถาคงกระพันชาตรี และ คาถาเสน่ห์เล่ห์ลม นี่ท่านไม่ให้

คาถาเสน่ห์เล่ห์ลมนี่ ท่านไม่เล่นด้วยมานานแล้ว แต่ของเหล่านี้ท่านไม่เคยให้ใคร ท่านบอกให้ไม่ได้ แต่คาถาบทใด ที่มันเป็นประโยชน์กับประชาชนท่านให้

คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า" ท่านพิมพ์หนังสือเป็นการใหญ่ แจกเป็นการใหญ่ จะไปพูดที่ไหนก็พูดเรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะท่านต้องการจะสงเคราะห์คนให้พ้นจากความยากจน.."


หมายเหตุ - ตามประวัติในวิกิพีเดียที่ลงไว้ว่า หลวงพ่อปานมรณภาพวันที่ ‎26 กรกฎาคม‎ ‎พ.ศ. 2481 อาจไม่ตรงกับที่หลวงพ่อเล่า การนับวันเดือนปีสมัยนั้นคงไม่ตรงกับสมัยนี้

ด้วยเหตุนี้ จึงมีเพจบางเพจที่ไม่เข้าใจ อาศัยจุดนี้ตำหนิหลวงพ่อ กล่าวหาว่าโกหกหลอกลวง แต่เรื่องนี้ คนที่เป็นศิษย์จริงจะเข้าใจ ไม่มีใครหวั่นไหวไปตามกระแส เพราะท่านเล่าไว้เป็นหลักฐานเช่นนี้ มีเหตุมีผลแน่นอนกว่า เพราะคนที่เกิดไม่ทัน จะไปรู้ดีกว่าคนที่ทันเหตุการณ์ ใช่ไหม


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า


... "คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า" ท่านพิมพ์หนังสือเป็นการใหญ่ แจกเป็นการใหญ่ จะไปพูดที่ไหนก็พูดเรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะท่านต้องการจะสงเคราะห์คนให้พ้นจากความยากจน

แต่ไอ้มนุษย์นี่ท่านผู้ฟังมันก็แค่คน ไอ้มนุษย์นี่มันยังดี แต่ไอ้คนนี่รับเอาไปแล้วบางทีเอากระดาษไปเป็นกระดาษชำระก็มี ได้ไม่กี่คนหรอก ได้ผลน่ะไม่กี่คน คนหมื่นถึงสองหมื่นคนจะได้สักคนก็ยากเต็มที

เวลาเห็นคนอื่นเขารวยน่ะอยากรวย รู้ว่าเขาทำอย่างนั้นแต่ตัวทำไม่ได้บอกว่าไม่มีเวลา ก็ไอ้คนประเภทนี้มันคนจัญไร ไม่รักตัว

นี่ฉันว่าอย่างนี้ใครจะว่าอย่างไรก็ตามใจ คนจัญไรแค่คาถาไม่กี่คำไม่มีเวลาสวด ไม่มีเวลาภาวนา ไอ้เวลาไปเล่นไพ่เล่นโป ไปทำอีโลงโฉงเฉงไอ้ที่มันไม่ได้เรื่องได้ราว ไปคุยนํ้าท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงน่ะทำได้

แต่การจะเอาเวลานั้นมาภาวนาบ้างมันจะให้ประโยชน์ในปัจจุบัน ชาตินี้ก็ให้ประโยชน์รํ่ารวย ชาติหน้าก็ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน ไอ้อย่างนี้ไม่เอา

คนประเภทนี้เขาเรียกขั้น "ปทปรมะ" เรียกว่าสอนไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ไม่สอน คนระยำประเภทนี้ ใครคบใครก็ระยำด้วย คบคนดีมันก็ดีตาม คบคนชั่วมันก็ชั่วตาม เรากำนํ้าหอมมือเราก็หอม กำขี้มือเหม็นใช้ไม่ได้ คบคนชั่วเหมือนกำขี้

หลวงพ่อปานให้เขียนจดหมาย
...ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เดือนเมษายนเรื่องใหญ่มาแล้ว หลวงพ่อปานท่านบอกว่า

"ลิงดำ..แกเขียนจดหมายส่งไปให้คนโน้น ส่งไปให้คนนี้ จังหวัดโน้นจังหวัดนี้ว่ากันทุกจังหวัดถึงบรรดาลูกศิษย์" ให้บอกเขาไปบอกว่า "ปีนี้หลวงพ่อจะตาย เขาต้องการอะไรให้เขามาหาพ่อ ให้เขาบอกลูกน้องเขา" ไอ้ที่ส่งน่ะส่งถึงหัวหน้า

เอาละสิ..พอจดหมายถึงแล้วเขาก็มาเป็นการใหญ่ วัดเหมือนกับมีงานวัดทุกวัน มีคนเต็มวัดตอนหลวงพ่อปานจะตาย แต่ว่าพอเขามาถึงเข้าจริงๆ แล้วหลวงพ่อนั่งรับแขก หัวเราะก๊ากๆ ท่านหัวเราะเสียงดัง ชอบใจ ใครพูดอะไรก็หัวเราะ ทั้งวันได้ยินเสียงท่านหัวเราะ คนที่เข้าไปหาท่านก็ชื่นใจ

ไม่เหมือนฉันหรอก บางวันถ้าเข้ามาทำท่าทางไม่ถูกระเบียบจริงๆ ฉันก็ทำเฉยๆ ก็วางหน้าแต่ไม่ใช่หน้าพระพุทธ เป็นหน้าตุ๊กตา

ฉันไม่ชอบใจ นี่เข้ามาหาพระ ทำท่าเก้ๆ กังๆ ทำเหมือนพระเป็นเพื่อนเล่น นี่ฉันไม่เอาด้วย เพราะฉันจะตายอยู่แล้ว ไม่อยากประจบคนพวกนี้

แต่ถ้าใครเข้ามาถูกจังหวะฉันก็ยิ้มฉันก็หัวเราะ แต่ว่าคนที่เข้าไปหาหลวงพ่อปานนี่ไม่มีใครเขาเก้ๆ กังๆ แบบที่มาหาฉัน เขาเรียบร้อยทุกคน เพราะคนสมัยนั้นเป็นคนดี คนเก่าๆ นี่เขาเห็นพระเป็นพระ

โดนต่อว่าเรื่องจดหมาย
...แต่เมื่อเขามากันเต็มที่ตอนนี้ก็มีหลายคน พอเขาเห็นหลวงพ่อไม่เจ็บไม่ป่วยอะไร เขาก็ถามว่า

"พระวีระนี่คนไหน" เอาแล้ว
จึงถามว่า "ถามทำไม?"

เขาบอกว่า "มีจดหมายไปหาพวกเราบอกว่าหลวงพ่อจะตาย แต่นี่หลวงพ่อไม่เป็นอะไร นี่มันบ้าหรือไงนี่"

เอาเข้าอีก ดูสิ..มันเป็นคำสั่งของหลวงพ่อ ฉันทำตามคำสั่งของหลวงพ่อ เขาหาว่าฉันบ้า แต่ฉันก็ไม่โกรธ มีหลายคนมาถาม ปั้นหน้ายักษ์ใส่แล้วว่า

"ท่านเป็นอะไรไปนี่ ทำไมหลวงพ่อดีอยู่ ท่านบอกว่าหลวงพ่อจะตาย"

ก็บอกว่า "ไม่รู้..หลวงพ่อบอกให้ฉันเขียนฉันก็เขียน เพราะเป็นคำสั่ง"

เขาถามว่า "หลวงพ่อจะตายหรือ?"
ก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ไปถามท่านสิ"

เขาก็เข้าไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็บอกว่า "จริง..ข้าให้ไอ้ลิงดำ มันเขียนไป"

เขาก็ถามว่า "ใครคือลิงดำ?"
ท่านก็บอกว่า "ไอ้พระวีระนี่แหละ ท่านเรียกไอ้ลิงดำ มันเป็นลูกข้า"

ถามหลวงพ่อว่า "ทำไมถึงบอกอย่างนั้น?"
ท่านก็บอกว่า "ข้าจะตายจริงๆ นี่หว่า เดือนแปด แรม ๑๔ คํ่า เวลาหกโมงเย็นนี่ข้าตายแน่"

เขาก็บอกว่า "หลวงพ่อไม่เจ็บไข้ได้ป่วย"
ท่านบอก "ไม่ต้องเจ็บ แต่ข้าตายได้"

ท่านพูดแล้วก็หัวเราะ เหมือนกับว่าไอ้ เรื่องตายๆ ของท่านมันเป็นกีฬาอย่างหนึ่ง เหมือนการไปเที่ยวสวนสนุกและท่านบอกว่า

"ไอ้เรื่องตายๆ แกไม่ต้องสนใจ แกจะเอาอะไรก็เอาเลย แกจะเรียนอะไรก็เรียนกันซะ ไอ้พวกหมอนี่จะเรียนอะไรบ้างเรียนเสียให้หมด ข้าเปิดหมดเพราะว่าข้าใกล้จะตาย"

เมื่อหลวงพ่อท่านรับฉากเสียบ้างแล้วเราก็สบายใจ..ฉันก็สบาย ไอ้คนอยากจะติก็ชักจะมีน้อยเต็มที เหลือแต่คนใหม่ๆ

บางทีก็โผล่หน้ามาเห็นหลวงพ่อยังดีอยู่ ก็เริ่มทำหน้าฉุนๆ ก็มี ก็เลยพูดกันรู้เรื่อง ฉันก็นึกหัวเราะว่าไอ้พวกนี้แปลก คำสั่งของหลวงพ่อแท้ๆ มันจะเตะเราเสียได้.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/5/20 at 08:24 [ QUOTE ]


หลวงพ่อปานล้มที่ตลาดบ้านแพน


"... ต่อมาพอถึงเดือนพฤษภาคม ท่านก็เริ่มป่วย ตอนนี้ป่วยอีกแล้ว อาการป่วยของท่านก็ไม่มีอะไรมาก ท่านเดินไปที่ตลาดบ้านแพน ไปขึ้นบ้านของเขาแต่รู้สึกว่าทางมันลื่น ท่านก็ซวนล้มลงไป

แต่ก็ล้มไม่แรงเพราะฉันไปด้วย เพราะว่าเราไม่ไว้วางใจหลวงพ่ออยู่แล้ว ท่านไปไหนฉันก็เป่าหมู่เทวฤทธิ์คือต้องเอาพระไปอีก ๒ องค์ คือท่านฤๅษีโพธิวัตรกับฤๅษีพนมไพร

คือบอกกันว่าไม่ได้พวกเราปีนี้หลวงพ่อจะตาย ในเมื่อหลวงพ่อจะตายต้องให้หลวงพ่อตายดีหน่อย คือหมายความว่าป่วยตาย จะให้ล้มตาย รถชนตาย เรือล่มตายอย่างนี้ไม่ยอมเด็ดขาด เรือแพก็เหมือนกัน ถ้าใครจะมารับหลวงพ่อถ้าเรือเล็กก็ไม่ยอมให้ไป

ฉันออกบัญชาเอง ถ้าเรือเล็กสั่งกลับ บอกไม่ได้ หลวงพ่อข้าปีนี้จะตาย ไม่ได้เดี๋ยวไปเรือล่มตาย ข้าไม่ชอบ

เขาบอกว่า "หลวงพ่อเคยขี่"
ก็บอกเขาว่า "หลวงพ่อเคยขี่ก็ตาม แต่ปีนี้ฉันไม่อนุญาต"

แต่ก็มีบางรายเขาโมโหแล้วพูดว่า "ท่านมีอำนาจอะไร"

ก็ตอบไปว่า "ฉันไม่ได้บังคับหลวงพ่อ ฉันบังคับแกนี่ ปีนี้ฉันไม่เอา ฉันไม่ยอม ใครจะมารับก็ให้เรือโตๆ" สมัยนั้นรถยังไม่มี

ผลที่สุดเขาก็ไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ถามว่า "ไอ้ลิงดำมันว่าอย่างไร"
เขาบอกว่าพระองค์นั้นบอกว่าให้เอาเรือใหญ่ๆ เรือเล็กไม่ให้ไป

ท่านบอกว่า "ต้องเชื่อเขาเพราะปีนี้ข้าอยู่ในบังคับบัญชาเขานี่"

เอาเข้านั่น..ท่านก็เห็นด้วย ผลที่สุดคนนั้นก็ต้องยอมแพ้ ก็เอาเรือใหญ่มารับ

อาการป่วยทรุดหนัก
...แต่เหตุการณ์วันนั้นเมื่อท่านขึ้นไป ท่านจวนจะล้ม ฉันก็เข้าประคองรับ ไม่ทันจะล้มเพียงแค่เซๆ
แต่อาการเพียงแค่นั้นเมื่อกลับมาวัดก็เกิดอาการป่วย เขาก็พาไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ อีก

ท่านก็บอกว่า "แกจะเอาฉันไปไหนปีนี้ ฉันก็ตายทั้งนั้น" เอาละสิคราวนี้ แต่อาการป่วยยังไม่มาก

แต่ทุกคนก็บอก "ไม่เป็นไรครับ หมอเขามารับรอง"

ท่านถามว่า "หมอนี่มีความรู้แค่ไหน หมอให้ได้แต่เพียงระงับเวทนาเท่านั้น รักษาไม่ให้ตายรักษาไม่ได้ และปีนี้รักษาไม่ได้เพราะฉันตายแน่ ฉันตัดสินใจว่าฉันจะตายก็ต้องตาย"

เอาล่ะสิ เรื่องไปกันใหญ่ หมอทุกคนก็มาตรวจ แหม..ปริญญาประเทศไหนต่อประเทศไหนมาตรวจดูแล้วบอกว่าหลวงพ่อยังไม่เป็นไร

ท่านบอก "ใช่ ฉันยังไม่เป็นไร แต่ฉันตาย หมออย่าไปรับรองเขาน่ะว่ารักษาฉันไม่ให้ตายได้เดี๋ยวหมอจะเสียชื่อ"

แล้วท่านก็ไม่มีอะไร ท่านก็คุยโอ้ ใครไปใครมาท่านก็คุย ไอ้เรื่องตายๆ ของท่านนี่ฟุ้งขจรไปทั่วกรุงเทพฯ

สงเคราะห์คนทุกอย่าง
...คนมากันใหญ่ หลวงพ่อปานจะตายแล้ว อะไรยังไม่ได้ ไอ้นู้นยังไม่ได้ ท่านป่วยอย่างนั้นท่านลุกไม่ขึ้น ลุกไม่ค่อยไหว

ท่านก็นอนทำให้เขา เอาเถอะใครจะเสกจะเป่าอะไรท่านก็นอนทำ พูดคุยหัวเราะไม่มีการเสียอกเสียใจ ความเศร้าใจไม่มี รื่นเริงตลอดเวลา น่าแปลก

จนกระทั่งตำรวจสันติบาลย่องมาดูที่บ้านหลวงประธานฯ เพราะบ้านนี้คนมามากกันจริง เขาก็รายงานไปหาพระพินิจชนคดี

ซึ่งตอนนั้นเป็นอธิบดีกรมตำรวจ เขาโทรศัพท์ไปรายงานว่า เวลานี้บ้านหลวงประธานถ่องวิจัยคนมากเหลือเกิน มั่วสุมประชุมคนมากเกรงว่าจะก่อการปฏิวัติ..เอาเข้านั่น..!

พระพินิจชนคดีก็บอกว่า "ไม่ใช่หรอก" มีพระมาอยู่องค์หนึ่ง มึงรู้มั้ยล่ะ เห็นไหม เขาบอกว่าเห็น ตำรวจก็บอกว่าน่ากลัวจะเอาพระเป็นเครื่องบังหน้า

พระพินิจชนคดี ก็บอกว่า "ไม่ใช่ นั่นเขาเป็นลูกศิษย์ลูกหา และพระองค์นั้นก็เป็นอาจารย์กูนี่หว่า กูรู้ มึงอยากจะไปหาท่านก็ไป"

อีตอนนี้เอง ยกกองทัพตำรวจมากันเป็นการใหญ่ มาเป่าหัว ปลุกเสก อะไรต่ออะไร ท่านทำให้เรื่อย ท่านบอกจะเอาอะไรก็เอา..ลูก พ่อจะตายแล้วพ่อให้ทุกอย่าง

ไอ้คนที่เขาฟังเขาก็แปลกใจ เมื่อถึงเวลาอีก ๓ วันท่านจะตาย ฉันก็ส่งข่าวกลับขึ้นไปวัดก่อน บอกว่าอีก ๑๕ วันจะถึงเวลา คือบอกให้ทางวัดทราบ ท่านสั่งไว้ว่า

"ไอ้ลิงดำจดหมายไปเป่าหมู่เทวฤทธิ์ให้หมดว่าแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ เวลาหกโมงเย็นพ่อจะตาย ทุกคนให้มาหาพ่อถ้าต้องการพบพ่อ" อีก ๓ วันจะตายพ่อจะกลับวัด ฉันก็เอาอีก เป่าหมู่เทวฤทธิ์

ลูกศิษย์ผู้หญิงร้องไห้
...อีตอนนี้หมู่เทวฤทธิ์ทั้งหลายมาถึงวัดไม่ปั้นหน้ายักษ์แล้ว บางคนหลวงพ่อยังไม่ทันกลับจากกรุงเทพฯ เลย ผู้หญิงนี่สำคัญนัก ขึ้นมาวัดได้ก็ร้องไห้พะอืดพะอม

ถามว่า "ร้องไห้ทำไม"
แกบอก "หลวงพ่อจะตาย"

ถามว่า "ตายแล้วหรือยัง"
แกบอกว่า "ยัง"

ก็ถามว่า "ถ้ายังไม่ตายแล้วแกร้องทำไม"
แกบอกว่า "ร้องกันไว้ก่อน"

แหม..มีการร้องไห้กันไว้ด้วย นี่เล่าลัดๆ นะ เทปมันจะหมดอยู่แล้วนะ เมื่อเหลือเวลาอีก ๓ วัน ท่านก็สั่งบรรดาลูกศิษย์ลูกหาในกรุงเทพฯ นำกลับวัด

พอกลับวัดแล้ว ท่านบอกต้องไปบวงสรวง ฉันทำอะไรผิดไว้ต้องขอโทษเขาเสีย เดี๋ยวโทษมันจะตามฉันมา

ลูกศิษย์มากันมาก
...ตอนนี้เองข้าราชบริพารทั้งหลายในกรุงเทพฯ ยกทัพกันเลย ทั้งทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ กองทัพตำรวจ กองทัพประชาชน กองทัพข้าราชการพลเรือน

มีหลายคนบอกว่า "ไม่ทำแล้วงาน ใครจะไล่ออกก็เชิญมาไล่" เอาเข้าแล้ว

บางคนหรือหลายคนมาก็ไม่ได้ลา แต่ก็พอดีบางกระทรวงรัฐมนตรีก็มาด้วย บางกรมอธิบดีก็มาด้วย อธิบดีก็บอกฉันก็ไม่ได้ลา ก็เป็นอันว่าหมดเรื่องกัน

เป็นอันว่ากลับไปก็ลงเวลามาครบถ้วน ไอ้พวกนี้ทุจริตเวลางาน แต่เขาก็หวังความกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่ของเขา เป็นอันว่าทั้งนายทั้งบ่าว ทั้งเจ้านายและผู้บังคับบัญชาและบุคคลใต้บังคับบัญชา ต่างคนต่างขาดงานด้วยกัน คือขาดงานกันหลายวัน

หลวงพ่อก่อนจะตาย ๓ วัน แถมทำบุญอีก ๗ วัน ก็ขาดงานกันหมด แต่ไม่มีใครว่าใครหรอก เพราะเจ้านายมาด้วย แถมได้ดีเสียด้วย ไอ้พวกนี้กลับไปเงินเดือนขึ้นหมด

ทุกคนรวมใจช่วยงาน
...พอมาถึงก็วิ่งกันเล้ง ข้าราชการชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี ชั้นอะไรต่อชั้นอะไร คุณหลวง คุณพระ คุณพระยา ก็วิ่งกันไขว่หมด

ตอนแรกตอนต้นมาถึงก็ตั้งท่าตั้งทางเป็นขุนนางดี พอหลวงพ่อเจ็บหนักก็วิ่งกัน จะเอาอะไรก็วิ่งกัน ฉันก็นึกว่าไอ้พวกพระยานี่ก็วิ่งเป็นเหมือนกัน พวกรัฐมนตรีก็วิ่งเป็นเหมือนกัน

ไอ้ตอนนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าเป็นนาย มันเท่ากันหมด ลูกศิษย์ของท่านไม่มีหรอกไม่มีใครจะมาวางท่าว่าฉันเป็นชั้นอะไรต่อชั้นอะไรไม่มี ตลอดจนกระทั่งพระองค์เจ้าหรือเจ้าฟ้าก็วิ่งเป็น พวกนี้วิ่งเป็นเหมือนกัน

ทีนี้เมื่อมาถึงวัด คนมากันเยอะ เอาละสิเรื่องข้าว ท่านก็มีพระบัญชาบอกว่า "ลิงดำ...อย่าให้ใครเขาอดอาหารนะลูก เรื่องอาหารให้เขาอดไม่ได้ ถ้าสตางค์ไม่มีให้จดหมายไปบอกแม่ช่วย (ตลาดบ้านแพน) กับแม่วงศ์ บอกว่าพ่อให้มาเลี้ยงคน"

เอาแล้วสิ ไอ้ลิงดำมันมีสตางค์ที่ไหน พ่อให้สตางค์ไว้ ๑,๐๐๐ บาทก็เรียบ ๓ วันน่ะเรียบไม่เหลือ หลวงพ่อก็เหลือ ๘๐ บาทในกระเป๋า สตางค์ไม่เหลือ

สำหรับพวกมาจากกรุงเทพฯ ไม่ต้องเลี้ยงเขา เขามีอาหารมาบริบูรณ์ ทีนี้คนมาจากบ้านนอกหรือต่างจังหวัด

ตามแม่ครัวมาช่วยเลี้ยง
...เอาล่ะ..ลิงดำก็ต้องมีจดหมายไปถึงแม่ช่วยกับแม่วงศ์ เมื่อ ๒ คนนั่นมาก็ถามว่า "หลวงพ่อไม่มีสตางค์แล้วหรือ" ก็บอกว่า "ไม่มี" เขาบอกว่า

"ไม่เป็นไรท่าน ต่อไปนี้เรื่องการเลี้ยงคนท่านไม่ต้องเป็นภาระ ท่านไปอยู่กับหลวงพ่อ (แหม..ค่อยยังชั่วหน่อย) ขอเป็นหน้าที่ของฉันตลอดกาลที่ยังจะต้องเลี้ยงอยู่" นั่น ๒ คนเขาแน่ นี่เป็นลูกศิษย์คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเหมือนกัน

นายประยงค์พอรู้ข่าวก็ควักเงินมา ๑๐,๐๐๐ บาท เอานี่หนึ่งหมื่นคุณป้า ถ้ามันขาดเท่าไหร่ก็บอกผม เลี้ยงไม่ต้องอั้น หมดเท่าไรหมดกัน อีคราวนี้ไม่ต้องอั้น เป็นไงเป็นกัน ผมขอล้มห้างเรื่องการเลี้ยงคน นี่รายใหญ่มาอีกแล้ว

เป็นอันว่าเกิดการแข่งขันเลี้ยงคนขึ้นมา มึงก็ควักกูก็ควักไอ้คนมาจากรุงเทพฯ เงินเยอะหลายหมื่น สมัยนั้นเงินหมื่นก็เยอะ เวลาเลี้ยงอาหารจริงๆ เขาไปดูกัน

เลี้ยงอาหารอย่างดี
...ถ้าอาหารไม่ชอบใจน่ะไม่ได้ เขาบอกว่าเลี้ยงคนต้องเลี้ยงให้ดี หมูเนื้อสั่งมาเท่าไรเท่ากัน นี่เลี้ยงดีเสียด้วย อันนี้เขาทำเพราะศรัทธาในหลวงพ่อ เขามีความกตัญญูกตเวที

เฉพาะพระจริงๆ รู้สึกว่าเกิน ๓๐๐ องค์ ไอ้ที่ๆ จะนอนนี่ไม่ต้องเลือกกันแล้ว บนกุฏิ บนศาลา ที่โบสถ์ ที่ศาลาบอกไม่มีที่ว่าง ล้นหลามศาลาน้ำ

ผลที่สุดก็กลางลานวัด ผู้ชายเอาผ้าขาวม้าปู ผู้หญิงก็เอาผ้านุ่งปู นอนกลางลานวัด ส่วนเครื่องไฟฟ้านายเฉลิมเอามาจุดตลอดเวลา เพราะมันไม่มีที่แล้วนี่ เกลื่อนหมดไม่รู้เท่าไหร่ นี่ขนาดยังไม่ตายนะเพียงแต่มีคนมาเยี่ยมคนป่วย.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



หลวงพ่อปานมรณภาพ


...พอถึงวันจะตายจริงๆ ท่านก็มีบัญชาว่า "ลิงดำ วันนี้พ่อจะตาย อย่าห่างพ่อนะ" ท่านก็เรียกไอ้ลิงดำยันตาย ผลที่สุดใครเขามาเขาไม่รู้จักว่าไอ้ลิงดำนี่ใคร นายประยงค์ก็บอกพระวีระ พระคนโปรดหัวแก้วหัวแหวน

แล้วก็มีอีก ๒ องค์คือลิงขาวองค์หนึ่ง และฤาษีพนมไพรองค์หนึ่ง ไอ้ ๓ องค์นี้ห่างไม่ได้ ถ้าเหลียวมาแล้วไม่เจอะท่านจะถามว่าไปไหนองค์แล้วหว่า ต้องเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ท่านคอยรับบัญชา

ไอ้ลิงดำอยู่ทางขวา ไอ้ลิงขาวอยู่ทางซ้าย ไอ้ลิงอ้วน ฤาษีโพธิวัตรท่านเรียกไอ้ลิงขาว เพราะขาวกว่า ส่วนฤาษีพนมไพรท่านไม่เรียก ท่านเรียกคุณน้อม

แต่ว่าฉันก็เลยตั้งให้เป็นลิงบ้าง มันเพื่อนกันนี่ ไม่งั้นมันจะได้เปรียบ มันอ้วน ฉันตั้งชื่อมัน เวลานี้เพิ่งตั้งเดี๋ยวนี้ ตั้งว่าไอ้ลิงอ้วน ไอ้ลิงอ้วนอยู่ทางปลายเท้า ไอ้ที่อยู่นี่ท่านไม่ได้จัด เราจัดกันเอง คอยจับชีพจรว่าเมื่อไหร่หลวงพ่อจะตาย

บวงสรวงเพื่อขอขมา
...พอถึงเวลาตอนเช้าท่านก็สั่งว่า "ลิงดำ ไปสั่งเครื่องบวงสรวงมาให้ครบตามที่พ่อเคยทำ"

พ่อทำอะไรผิดไว้ วันนี้พ่อจะต้องขมาโทษ ก็ไปสั่งหัวหมู สั่งไก่ สั่งอะไรต่ออะไรมาครบถ้วน พอครบถ้วนท่านก็ทำพิธีบวงสรวง

พอบวงสรวงเสร็จท่านประกาศเลยว่า "ใครจะพูดอะไรกับฉันก็พูดก่อนเที่ยงนะ หลังเที่ยงแล้วฉันไม่พูด ใครจะมีธุระอะไรกับฉันอีกไม่ได้หลังเที่ยงแล้ว" ให้ไอ้ลิงดำประกาศให้เขาทราบ

อ้าวไอ้ลิงดำก็บอกประกาศเป่าหมู่เทวฤทธิ์ผ่านเครื่องขยายเสียง ที่วัดพิเรนทร์เอาไปช่วย ประกาศให้ทราบด้วยเครื่องขยายเสียง

แต่ว่าธุระของคนอื่นไม่มีแล้วเพราะหมด ทุกคนคอยฟังข่าว ต้องออกข่าวเป็นระยะๆ ว่าเวลานี้หลวงพ่อเป็นอะไร

และในตอนเพลวันนั้นก่อนเที่ยง ท่านพูด คือฉันใช้เครื่องขยายเสียงเอาไมโครโฟนตั้ง ท่านก็คุยหัวเราะก๊ากๆ นอนลุกไม่ขึ้นแล้วแต่คุยและสั่งสอนทุกอย่าง อบรมวิปัสสนาญาณทุกอย่าง อบรมพระกรรมฐานทุกอย่าง

ปัจฉัมโอวาทของหลวงพ่อปาน
...ท่านบอกว่า ลูกทุกคนเมื่อพ่อตายไปแล้วจงอย่าทิ้งกรรมฐานที่พ่อให้ไว้ เป็นกรรมฐานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าถือว่าเป็นของพ่อ ต้องถือว่าเป็นของพระพุทธเจ้า

ฆราวาสทุกคนอย่าทิ้งคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านะแล้วจะเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าใครไม่ปฏิบัติจะเอาตัวไม่รอดแล้วจะมาโทษพ่อไม่ได้ เพราะสมบัติส่วนใหญ่พ่อให้ไว้หมดแล้ว

คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ พ่อให้หมดแล้ว ลูกทุกคนจงพยายามรักษาไว้ให้ดี แล้วท่านก็อธิบายกรรมฐานตามสมควร พูดไม่เหน็ดไม่เหนื่อย พูดจริงๆ

พอจวนถึงเวลาเที่ยง ก็บอกหลวงพ่อครับ เหลือเวลาอีก ๕ นาทีจะเที่ยง

ท่านถามว่างั้นเหรอ เอาล่ะเวลานี้เหลืออีก ๕ นาทีจะเที่ยง ต่อไปนี้ฉันจะไม่พูดอะไร เพราะทุกอย่างฉันพูดมาแล้วสิ้นเวลา ๔๐ ปี เศษๆ ต่อนี้ไปฉันจะไม่พูดอะไร

เมื่อเที่ยงแล้วฉันไม่มีธุระสำหรับใครอีกแล้วนะ ให้เป็นภาระของฉันฝ่ายเดียว เพราะฉันจะเตรียมตัวของฉัน เวลาหกโมงเป๋งวันนี้ นาฬิกาตีครั้งแรก ฉันขอลาทุกคน

ความตายเป็นของธรรมดา
...แหม..บรรดาท่านสตรีทั้งหลายจำนวนหลายร้อยคน ร้องเพลงพร้อมกัน แต่ว่าไม่ใช่เพลงเพราะ เพลงร้องไห้ เสียงโฮเข้ามา

ท่านถามว่า "ใครร้องไห้ ?"
ตอบท่านว่า "คนที่เขามาเยี่ยมครับ"

ท่านบอก "อย่าร้องไห้สิลูก ความตายเป็นของธรรมดา พ่อตายไปสบายนะลูก พ่อไม่ลำบาก พ่ออยู่นี่พ่อลำบากกว่าตาย แต่ที่อยู่ก็เพราะจะสงเคราะห์ลูก พ่อสงเคราะห์ตามเวลาแล้ว"

เข้าฌานตาม
...ตอนนี้ขอเล่าลัดม้วนเทปมันเหลือน้อยเต็มที เมื่อถึงเวลาใกล้เข้าไป ฉันจับชีพจรมือขวา ไอ้ลิงขาว (ฤาษีโพธิวัตร) จับชีพจรมือซ้าย

ไอ้ลิงอ้วนจับชีพจรขาขวา ผู้ใหญ่ยงจับชีพจรขาซ้าย พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า นั่งเข้าฌานตามอยู่ปลายเท้า

ตอนหลังนี่ท่านไม่พูดแล้ว ท่านเฉย มองดูคล้ายไม่หายใจ ท่านเข้าฌาน นานๆ เราก็ถามท่านพระครูอุดมสมาจารย์ทีว่า หลวงพี่ครับหลวงพ่อไปถึงไหนแล้ว

ท่านก็บอกว่า "เวลานี้อยู่ขั้นปฐมฌานบ้าง คือฌานที่ ๑ บ้าง ฌานที่ ๒ บ้าง ฌานที่ ๓ บ้าง ฌานที่ ๔ บ้าง เวลานี้เข้าอรูปฌานบ้าง เวลานี้มาพักอยู่ที่อุปจารฌาน และกำลังพิจารณาวิปัสสนาญาณบ้าง"

ท่านก็ถอยหน้าถอยหลัง ถอยหลังถอยหน้าเข้าฌานตามลำดับฌาน ยังความเพลิดเพลินให้เกิดขึ้นแก่จิต เป็นการระงับเวทนา

ข้อควรจำเวลาป่วย
...นี่เวลาจะตายก็จำไว้นะ เขาทำกันอย่างนี้ อย่าปล่อยให้ตายส่งเดช เมื่อเวลาป่วยใหม่ๆ ต้องรีบจับกรรมฐานทันที ถ้าหากภาวนาแล้วจิตไม่เป็นสมาธิก็ใช้พิจารณาในอสุภะสัญญาบ้าง หรือว่าในมรณานุสสติกรรมฐานบ้าง หรือว่าเข้าวิปัสสนาญาณไปเลย

พิจารณาขันธ์ ๕ ว่าสภาพกายมันเป็นอย่างนี้คือมันจะดับ พอมันดับแล้วเราจะสบาย เราจะไปอยู่ที่ใหม่ของเรา ในที่สุดเวลาเหลืออีก ๕ นาที ท่านก็ลืมตาขึ้นมาบอกว่า

"ลิงดำ..โบสถ์วัดเสาธง จังหวัดสุพรรณบุรี พ่อยังสร้างไม่เสร็จ เมื่อพ่อตายแล้วจงช่วยสร้างให้เสร็จนะ"

ก็กราบเรียนท่านว่า "ถ้าหากเขาไม่รังเกียจกระผม ผมจะช่วยครับเพราะผมยังเด็ก"
ท่านบอก "อืม..ถูกแล้ว"

และท่านบอกว่า "บอกพระทุกองค์ บอกคนทุกคนนะว่าพ่อลาแล้วนะ เหลือเวลาอีกเล็กน้อยพ่อจะลา" นี่ท่านรู้ด้วย ท่านไม่ได้ดูนาฬิกาแต่ท่านรู้

ก็ประกาศให้ทราบด้วยเครื่องขยายเสียงว่าเวลานี้ใกล้จะถึงเวลาหกโมงเย็น เหลืออีก ๓ นาที หลวงพ่อขอประกาศลา บรรดาท่านทั้งหลายที่หลวงพ่อเคยประมาทพลาดพลั้งไปบ้าง ทุกคนขอให้อภัยกับหลวงพ่อ

ทุกคนก็สาธุ เสียงดังพร้อมกัน พระสาธุ ฆราวาสก็สาธุด้วย ท่านก็ยิ้ม แล้วก็หลับตา แล้วบอกว่า

"ลิงดำ..พ่อจะลานะลูกนะ แล้วสิ่งที่พ่อสั่งไว้ทุกอย่างลูกอย่าลืมนะ ต้องปฏิบัติตามพ่อที่พ่อสั่ง"

ก็บอกท่านว่าครับ ทุกอย่างผมขอปฏิบัติ ด้วยชีวิต ขอเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ถ้าลงตั้งใจ คำใดที่หลวงพ่อสั่งผมจะรักษาไว้ด้วยชีวิต

ท่านก็ยิ้มแล้วบอกว่า "ดีแล้วลูก..ลูกพูดอย่างนี้มาหลายชาติเต็มทีแล้ว พ่อพอใจ"

ชีพจรดับพร้อมกัน
...หลังจากนั้นท่านก็หลับตา พอนาฬิกาตีเป๊งแรก ๖ โมง เป๊งแรกท่านลืมตาแล้วก็หลับตาหมด.. ชีพจรดับพร้อมกัน

เพราะธรรมดาคนไม่ตายขึ้นก็ตายลง ถ้าตายขึ้นก็หมายความว่าชีพจรทางเท้าหยุดก่อน แล้วจะค่อยๆ เย็นขึ้นมาทีละน้อยๆ จนกระทั่งถึงหัวใจ ชีพจรมือจึงหยุด

แต่นี่ไม่ใช่ คือพร้อมกัน คือตีเป๊งแรก ชีพจรหยุด พระครูอุดมสมาจารย์ก็ลืมตาแล้วบอกว่า ท่านไปแล้ว ไปดีเหลือเกิน สวยงามมาก ออกจากกายสวยมาก ฉันตามไปถึงวิมาน วิมานก็สวยมาก เหลือแต่พวกเรา

คำสอนของพระครูอุดมสมาจารย์
...แล้วท่านก็ลุกขึ้นประกาศทางเครื่องขยายเสียงว่า "เวลานี้หลวงพ่อได้มรณภาพแล้ว ได้ละอัตตภาพเสียแล้ว เหลือแต่พวกเราที่ยังไม่ตาย ก่อนตายขอพวกเราควรปฏิบัติตามหลวงพ่อ

คำสอนใดที่หลวงพ่อสั่งไว้ทุกคนควรปฏิบัติให้ครบถ้วน ระหว่างนี้พ่อเราตายก็เหลือแต่ระหว่างพี่ระหว่างน้อง" อันนี้พระครูอุดมสมาจารย์ท่านประกาศ

"พี่น้องเท่านั้นต้องสามัคคีกันไว้ สมบัติใดที่พ่อให้ไว้ ต้องรักษาสมบัตินั้นไว้ยิ่งด้วยชีวิต เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ทุกคนจงสามัคคีกัน" ท่านว่าอย่างนี้..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/5/20 at 10:28 [ QUOTE ]


เหตุการณ์หลังมรณภาพ


"... เมื่อหลวงพ่อตายแล้วก็ปรากฏว่าค้นเงิน ได้ ๘๐ บาท ไม่ต้องค้นที่ไหนฉันเป็นคนเก็บ แต่หลวงพ่อมีหนี้อยู่ ๔,๐๐๐ บาท สมัยนั้นหนี้ ๔,๐๐๐ บาทไม่ใช่เรื่องเล็ก เจ้าหนี้ก็มาพอดี

พอถามเจ้าหนี้ว่าถ้าจะเอาเมื่อไหร่ก็บอก แต่ว่าอาตมาต้องขอเวลาบอกบุญมาใช้หนี้ ทุกคนประกาศยกหนี้หมด ไม่เอาแล้ว ไม่มีใครเอาหนี้กับหลวงพ่อ

แล้วจึงถามว่า “งานศพนี่จะทำอย่างไร อาตมาน่ะไม่มีเงิน และหลวงพ่อปานก็มีเงินอยู่ ๘๐ บาทเท่านี้ ค้นที่ไหนอีกก็ไม่มีแล้ว”

เขาก็ถามว่า “ท่านจะเอาอย่างไร ?”

ก็บอกเขาไปว่า “งานนี้ขอให้บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ทุกคนจัดกันให้พร้อมกัน อาตมามีแต่เสียงอย่างเดียว และก็ยังเป็นเด็ก เป็นพระย่างเข้าพรรษาที่ ๒”

เวลานั้นปรากฏว่ามีท่านผู้ใหญ่คือพระยาศรยุทธเศรณี เป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐการ และก็อีตาพระยาอะไรนี่ จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว อ๋อ..พระยานิติศาสตร์ไพศาล ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ และก็มีรัฐมนตรีอีก ๒-๓ คน

แล้วก็มีนายประยงค์ มีคุณหลวงคุณพระเยอะแยะ มีใครต่อใครอีกจำไม่ได้ และอีตาหนวดโง้งก็มา (พระยาศรีสงคราม) เมื่อเป็นฆราวาสไม่ค่อยถูกกันเพราะแกดุ แต่แกก็ไม่กล้าทำเรา ไอ้เราก็แกร่งพอกัน

ศพไม่มีกลิ่นเหม็น
...ผลที่สุดพวกนั้นเขาก็รวบรวมกันเข้าจัด เป็นงานทำบุญหลวงพ่อ ๗ วัน ก็สัญญากันว่าวันที่ ๓ จะนำหลวงพ่อลงหีบ

เขาก็เอาหลวงพ่อไปตั้งไว้ที่ศาลา เพราะที่กุฏิมันไม่พอ เขาเอาไปตั้งที่ศาลา คือเอาท่านวางไว้บนเตียง เอาเท้าให้เลย ออกมานิด มีคนรดน้ำทุกวัน

แต่น่าอัศจรรย์ ๗ วันนี่มีคนมาอาบน้ำท่านทุกวัน ไม่เน่า แปลก ไม่เหม็นเหมือนกับคนตาย แต่เหมือนกับคนนอนหลับธรรมดา ไม่เหม็น กลิ่นเหม็นก็ไม่มี เข้าไปดูถึงตัวก็ไม่มีกลิ่นเหม็น

มีดาวปรากฏให้เห็น
...ในระหว่าง ๗ วันก็มีปาฏิหาริย์บางอย่างจะเล่าให้ฟัง วันที่เขามีเทศน์ มีคล้ายๆ กับใครเอาไฟมาฉาย เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเหมือนมีดวงดาวน้อยๆ มาลอยอยู่ที่เพดานของศาลา วนมาวนไป วนไปวนมาจนกว่าจะเทศน์จบ

ไอ้ปี่พาทย์ลาดตะโพนนี่ไม่ต้องหา เพราะมากันเต็มวัดหมด ปี่พาทย์มาตีกัน คนก็เยอะแยะ พระก็นับเป็นร้อย รวมความว่าทำงาน ๗ วัน แต่ความจริงมันไม่ใช่ ๗ วันสิ ตั้งแต่วันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๘ เอาลงหีบวัน ๘ ค่ำเดือน ๙ นับวันแล้วได้ ๑๐ วัน

มีเต่ามาหา
...ทีนี้มีเต่าตัวหนึ่งซึ่งไม่รู้มาจากไหน แต่มากับกอหญ้าที่ลอยไปตามแม่น้ำ พอไปถึงหัวเขื่อนก็เดินขึ้นไปบนเขื่อน ขึ้นไปเลย เขาก็เดินดู

เต่าตัวใหญ่มากมันเดินขึ้นไป มันไปทางไหนคนก็เดินตามไปดูว่าจะไปทางไหน ไม่มีใครเขาทำร้ายมัน วันนี้ไม่มีใครทำบาปหรอก พอเดินไปๆ มันขึ้นศาลา แล้วไปนอนอยู่ใต้ที่หลวงพ่อนอน ที่ศพของหลวงพ่อ

พอเขาไปดูที่หน้าอกเห็นมีชื่อเขียนไว้ว่า พระปาน ปล่อยที่จังหวัดสิงห์บุรี คือเต่าตัวนี้เมื่อท่านมาที่จังหวัดสิงห์บุรีเมื่อหลายปีแล้ว เขาเอาถวายท่าน ท่านก็เขียนชื่อไว้ที่หน้าอกว่าพระปานปล่อยที่จังหวัดสิงห์บุรี ให้คนเขาเขียนด้วยตะปู รอยยังปรากฏชัด

เจ้าเต่าตัวนั้นนอนอยู่ที่ใต้หลวงพ่อจนกว่าจะทำบุญเสร็จ มีคนเอาอะไรต่ออะไรไปให้ก็อิ่มหมีพลีมัน พอเสร็จเรียบร้อยแล้วปรากฏว่าโยมช่วยเอาไปเลี้ยง พอทำศพหลวงพ่อเสร็จ สำหรับปาฏิหาริย์ส่วนอื่นจะไม่กล่าว

กำหนดวันเผา
...ทีนี้เมื่อถึงวันเผา ต่อจากนั้นมาก็มีคนมาทำบุญสวดพระอภิธรรมทุกคืน พระรวย ตอนนั้นพระรวย ทุกคนน่ะมีคนมาทำบุญเมื่อศพหลวงพ่อยังอยู่

พอเมื่อทำบุญเสร็จ เมื่อถึงวันเผา ถึงกำหนดวันเผา เงินไม่มี เพราะฉันไม่มีเงิน แต่ว่าไอ้เงินต่างๆ ที่เขาไม่เอาหนี้ก็คือแล้วกันไป

ส่วนเงินทำศพหลวงพ่อ เงินวันตายหลวงพ่อ เมื่อได้มาเท่าไรก็ให้นายประยงค์เขาเป็นคนเก็บ เพราะเขาเป็นนายบัญชี แต่ปรากฏว่าเขาก็ทำบุญหมด พระมาเท่าไรเขาก็ถวายองค์ละ ๑๐ บาท พระมาวันละ ๒๐๐-๓๐๐ องค์

แล้วก็เลี้ยงกันอย่างอิ่มหมีพลีมัน คนมาจากต่างจังหวัดเท่าไรก็เลี้ยงกันเต็มที่ แล้วเงินจำนวนนี้ที่เหลืออยู่เขาก็ให้ไว้ที่วัด คือตั้งกองไว้ ตั้งกรรมการไว้เพื่อสำหรับเลี้ยงคนที่มาเยี่ยมศพหลวงพ่อ คนนี่ต้องมาทำบุญทุกวัน เขาคาดการณ์ไว้ไม่ผิด

เมื่อทำบุญ ๕๐ วันผ่านไปแล้ว ทำบุญ ๑๐๐ วันผ่านไปแล้ว มาถึงวันเผา เขาก็ถามว่าจะนิมนต์พระเท่าไหร่
ฉันก็บอกว่า “พระนี่ไม่นิมนต์ เอาเพียงแค่พระที่มีศรัทธามาเอง ก็ไม่จำเป็นต้องนิมนต์ พระมาติกาบังสุกุลหรือสวดอภิธรรม”

เขาถามว่า “พระเทศน์จะนิมนต์ใคร ?”
บอกว่า “ไม่นิมนต์”

ถ้าพระที่เทศน์ได้มาในงานศพก็จะนิมนต์ขึ้นเทศน์ แต่ที่ไหนได้นึกว่าพระเทศน์จะน้อย พระเทศน์ที่มาในงานศพจริงๆ ๓๐ กว่าองค์

สมัยนั้นนักเทศน์ยังมีน้อย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนักเทศน์รุ่นใหญ่ทั้งนั้น พระผู้ใหญ่ทั้งหมดในกรุงเทพฯ ไปรวมกันหมด ไม่ได้นิมนต์ ท่านไปเอง

พระมาติกาบังสุกุลวันหนึ่งมีไม่น้อยกว่า ๔๐๐ องค์ นี่ขนาดไม่ได้นิมนต์นะไปเอง ท่านไปในงานศพเราก็นิมนต์ท่านมาติกาบังสุกุล และฉันเพล เวลาฉันเพลเขาถวายเงินทุกวัน

นายประยงค์บอกวันนี้ ๔๐๐ วันนี้ ๔๕๐ วันนี้ ๕๐๐ มีวันเดียวคือวันต้นที่น้อยที่สุดคือ ๓๗๐ องค์ ไอ้เรื่องคนในงานไม่ต้องห่วงแล้ว ไม่มีที่นอนก็นอนกลางลานวัดเหมือนเดิม

ปี่พาทย์มีด้วยกันทั้งหมด ๑๗ วง หาที่ตั้งไม่ได้ กลางลานวัด ตั้งกันตีกันเสียงดังไปหมด แต่ว่าลิเกไม่มี เพราะว่าหลวงพ่อไม่ชอบ พวกลิเกจะรับอาสามาเล่น ก็บอกว่า ไม่มีที่ปลูกโรงหรอกไอ้หนู เอ็งดูคนสิไม่รู้จะไปปลูกที่ไหน หาที่ปลูกไม่ได้

เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าจะมาช่วยกันก็ไปนั่งร้องส่ง พวกปี่พาทย์บ้าง ไปรำข้างหน้าปี่พาทย์บ้าง หรือไม่อย่างนั้นก็ช่วยกันทำงานดีกว่า มันเยอะแยะจะไปรำไหวหรือ ก็ช่วยกันทำงานวิ่งทำงานกันทั้งหมด

งานเผาหลวงพ่อคราวนั้นมีเงินเหลือจากงานใช้แหลก หุงข้าวเลี้ยงคนตั้งกระทะ ๑๖ กระทะ ไม่ใช่ ๘ กระทะ แต่ ๑๖ กระทะ ซึ่ง ๑๖ กระทะนี้หยุดหุงไม่ได้เลย คนตำบลบ้านสี่ร้อยเขาเรียกบ้านสี่ร้อย อำเภอผักไห่รับอาสาหุง ตั้งกระทะพร้อมกัน ๑๖ กระทะ

แต่อย่านึกนะว่าหุงกันวันละกี่ครั้ง อย่าไปถามอย่างนั้น หุงหยุดไม่ได้ตลอดวันตลอดคืน กลางคืนก็ต้องหุง เพราะว่าคนมาไม่ขาดระยะ เห็นไหม ข้าวสุกนะหุง ๑๖ กระทะ หยุดไม่ได้ แล้วกับข้าวกินเท่าไหร่ ลองคิดดูสิว่ากับข้าวน่ะกินเข้าไปเท่าไหร่

มีของมาถวายมาก
...ถ้าถามว่าเอามาจากไหน ก็ใครมาเขาก็เอามา ทั้งหมูทั้งเนื้อ ควายที่ตายถ้าเจ้าของไม่เอาก็ขอหนังกับเขาเท่านั้น ยกมาให้ทั้งตัว หมูเนื้อนับไม่ถ้วน

พวกทะเลก็ขนของมา พวกกรุงเทพฯ พวกสะพานปลาขนของเป็นลำๆ วิ่งกันทุกวัน เรือจากกรุงเทพฯ เอาของขึ้นไปส่ง พวกอาหารสดๆ คืออาหารปลา อาหารเนื้อ

พวกสมุทรสงคราม สมุทรสาคร ก็ขนอาหารทะเลขึ้นมา พวกบางช้างก็ขนผักขึ้นมา พวกชาวนาพวกจังหวัดสุพรรณบุรีขนข้าวมา ๔ ลำเรือ ข้าวสารที่จังหวัดสุพรรณบุรีส่งมา ๔ ลำแต่ไม่รู้กี่สิบเกวียน และแถมอย่างอื่นอีก จิปาถะ ของกินไม่หมด

นี่คนขนาดนั้นแต่ของกินไม่หมด แต่ไอ้เรื่องที่เลี้ยงไม่ต้องแล้ว ใครอยากกินอย่างไรไปตักกินกันเอาเองเพราะมันหาคนเลี้ยงไม่ได้ มันเลี้ยงกันไม่หวาดไม่ไหว

หนักๆ เข้าไอ้จานไม่พอก็เอาถ้วยใส่ข้าวราดแกงกัน แล้วกินกันตามอัธยาศัย ถือว่าเป็นพี่เป็นน้อง ไม่มีใครเขาถือตัวถือตน

อาหารที่เลี้ยงประจำ
...ขุนน้ำขุนนางเจ้าพระยาอะไรก็เหมือนกัน พระยาศรฯ นี่เป็นต้นเหตุเลย ตักข้าวได้ชามแกงผักบุ้งราดแล้วเดินกิน นั่งกินไม่ได้เพราะว่ามีธุระ จะสั่งงานโน่นจะสั่งงานนี่ก็เดินกินไปด้วย

บอกว่ามันหิว กินดะ อะไรก็กินทั้งนั้น ไอ้กับข้าวอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ๑. แกงผักบุ้ง ๒. ต้มหัวตาล

ขนมก็คือ ลูกแมงลักละลายน้ำ เด็กๆ ชอบ และอันนี้เป็นของที่หลวงพ่อเลี้ยงเป็นประจำ ไปที่ไหนก็ตามท่านต้องมีอาหารอย่างนี้เลี้ยง จะทำอาหารดีอย่างไหนก็ตาม แต่อาหารอย่างนี้ต้องมี

และเมื่อท่านตายก็ต้องมีไว้ แล้วก็กลายเป็นของที่ชาวบ้านโปรดไปอีก เห็นคนเขาบอกว่านี่อาหารหลวงพ่อ เมื่อสมัยที่หลวงพ่ออยู่เลี้ยงอย่างนี้ ก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นพวกเราก็กินอย่างนี้กันดีกว่า

รวมกันกิน ต้มหัวตาล ต้มปลาร้า แกงผักบุ้งของหลวงพ่อ และเม็ดแมงลักละลายน้ำกลายเป็นของขายดิบขายดี ไม่ได้ขายหรอก แจกตักกินกันตามอัธยาศัย

แห่ศพหลวงพ่อปาน
...ทีนี้ขอพูดถึงเมื่อเวลาแห่ศพลงไป เขาก็ลือว่าระวังคนจะแย่งกระดูกกันบ้าง อะไรกันบ้าง เขาก็ถามว่า “จะทำอย่างไร ?”

ก็บอกว่า “ให้เอาพระยืน ๒ แถวจากกุฏิถึงศาลา พระยังเหลือ พระมากเหลือเกิน แล้วก็เอาศพแห่เข้าไประหว่างกลาง แล้วก็มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไม่กี่คนเป็นคนแบกศพทุกคน ภายนอกให้ยืนพนมมือ

เมื่อเราประกาศอย่างไร เขาก็ทำอย่างนั้น ไม่มีใครฝ่าฝืนแม้แต่เด็กเล็ก และเวลาจะเผาศพก็เหมือนกัน เอาพระยืนตั้งแต่ศาลาลงไป ๒ แถวแล้วก็ไปยืนล้อมเมรุเข้าไว้ แล้วก็แห่ศพขึ้นเมรุ ไอ้เมรุก็ทำกันอยู่ ๓ เดือน (ทำกันเอง) ลงทุนเยอะ..สวัสดี


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/5/20 at 10:10 [ QUOTE ]


เปิดกรุหลวงพ่อปาน (ตอนจบ)


"...เมื่อเผาเรียบร้อยไม่มีเรื่องไม่มีราว แต่ว่าในตอนนั้นพระของหลวงพ่อฉันเปิดกรุเล็ก ออกแจกไม่อั้น เขาถามว่า “พระของหลวงพ่อองค์ละเท่าไหร่ ?”

ก็บอกว่า “เรื่ององค์ละเท่าไหร่ไม่มี เพราะหลวงพ่อไม่เคยบอกนี่ว่าจะเอาสตางค์”

เขาบอกว่า “เวลานี้หลวงพ่อตายแล้วนี่”

ก็บอกว่า “หลวงพ่อตายไม่ได้สั่งก่อนตายนี่ว่าให้เอาสตางค์” ฉันก็ลูกหลวงพ่อ

แล้วเขาก็ไปถามคนอื่น อย่างนายประยงค์ก็ดี เจ้าคุณศรยุทธเศรณีก็ดี พระยาประเสริฐก็ดี เขาก็บอกว่าไม่ได้หรอก เรื่องภายในเป็นเรื่องของพระองค์นั้น เพราะท่านสั่งต่อหน้าคน ทั้งหมดว่า

ในเมื่อท่านตายไปแล้ว ให้พระองค์นี้จัดแทนท่านทุกอย่าง พระผู้ใหญ่ท่านยังไม่สั่ง ก็ให้เป็นเรื่องพระองค์นั้น ถ้าพระองค์นั้นบัญชา อย่างไรก็ใช้ได้เลยเรื่องภายใน เอาเข้านั่น

แหม..เราโตเบ้อเร่ออยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้เบ้อเร่อมาก เบ้อเร่อเรื่องแจกของกับบัญชางานทางครัว เลี้ยงไม่อั้น สตางค์ไม่ได้ออกนี่ชาวบ้านเขาออก

เมื่อเผาศพจริงกินกันแหลกลาญแบบนั้นแล้ว ทำงานศพ ๗ วัน ๗ คืน ลองคิดดูสิผอมน้ำหนักตัวลดเยอะ เหลือเงินจากการใช้จ่ายจริงๆ ๔๐,๐๐๐ บาท สมัยนั้น ๔๐,๐๐๐ บาทไม่ใช่เรื่องเล็ก กินกันแหลกใช้กันแหลก

ถวายพระก็องค์ละ ๑๐ บาท สำหรับพระ และพระที่มาฉันเพลวันละตั้งหลายร้อยองค์ก็ถวายองค์ละ ๑๐ บาท ก็ลองคิดดูเถอะ ๗ วันนะ

วันสุดท้ายจริงๆ ตอนเย็นตอนสวดหน้าไฟ ถวายสตางค์ปรากฏว่ามีพระ ๗๐๐ กว่าองค์ ไม่ได้นิมนต์นะท่านมากันเอง เป็นพวกลูกศิษย์ลูกหาบ้าง

สร้างมณฑปและหล่อรูปหลวงพ่อปาน
...ทีนี้เมื่อท่านตายไปแล้วก็เลยคิดว่าไอ้เงินจำนวนนี้จะเอาไปทางไหนก็ไม่ควร ก็หล่อรูปท่าน สร้างมณฑปให้ท่าน แล้วก็สร้างโรงเรียนประชาบาล

แล้วก็วัดไหนที่ท่านสร้างไว้ชำรุดทรุดโทรมก็เอาไปช่วย แล้วก็เอาเงินไปช่วยสร้างโบสถ์วัดเสาธง จ. สุพรรณบุรี เป็นอันว่างานเสร็จสิ้นไป

นี่เรื่องของหลวงพ่อปานขอเล่าย่อๆ นะ เอาแค่ตาย เพราะท่านตายดี และไอ้ความตายนี่บรรดาท่านผู้ฟังทุกท่านจงจำไว้ว่า คนเราจะเกิดมาอยู่ในฐานะเช่นใดก็ตามมันต้องตาย

ไม่กลัวความตาย
...ไอ้ความตายนี่อย่าไปกลัวมันเลย ไม่ควรกลัวตาย คนเราเดินเข้าไปหาความตายทุกวัน ถ้าขืนไปกลัวความตายมันก็หลอกตัวเอง คนไหนยังหลอกตัวเองคนนั้นยังเอาดีไม่ได้

ต้องพยายามรู้ตัวไว้เสมอว่าเราเกิดมาเพื่อตาย นี่เป็นอันดับแรก แล้วก่อนที่จะตายเราต้องรับผลของกรรม
กรรมมีอยู่ ๒ อย่างคือ กรรมดีอย่างหนึ่ง กรรมชั่วอย่างหนึ่ง

ผลของกรรม
...กรรมชั่วที่เราทำไว้ในชาติก่อนก็ดี ชาตินีก็ดี มันให้ผลเป็นทุกข์ จำไว้นะ การป่วยไข้ไม่สบายก็ตาม ความขัดข้องในทรัพย์สมบัติก็ตาม ความเดือดร้อนใดๆ ก็ตาม

ที่มันประสบกับเราในชาตินี้ นั่นคือผลของความชั่วในชาติที่เป็นอดีต หรือความชั่วที่เราสร้างในชาตินี้มันให้ผลเป็นความเร่าร้อน

ถ้าผลอันใดเกิดจากความสุขกายสบายใจ ความรื่นเริงหรรษานั่นมันเป็นผลของความดีที่เราทำไว้แต่ชาติก่อนให้ผล หรือว่าความดีในชาตินี้ให้ผล

บางรายบอกว่าบุญก็ทำ ผ้าป่าก็ทอด กฐินก็ทอด บาตรก็ใส่ ทำไมยังป่วยไข้ไม่สบาย มีความเจ็บไข้เรื่อย มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาเป็นทุกข์ทำให้เกิดความเดือดร้อน ถึงกับเบื่อหน่ายในการทำบุญทำกุศล โทษพระพุทธศาสนาว่าไม่ช่วยอันนี้ฉันได้ฟังบ่อยๆ

คนประเภทนี้ไม่ไหวหรอก ชาตินี้เป็นทุกข์แล้วชาติหน้าก็ยังเป็นทุกข์ ทุกคนควรจะรู้ตัวว่าการเกิดมานี้เราไม่ได้เกิดมาดีกันนี่ ถ้าเราเป็นคนดีเราจะมาเกิดทำไม เราก็ไปนิพพานแล้ว

ไอ้ที่เรายังเกิดอยู่เพราะเรายังมีเลวอยู่มาก ควรจะรีบชำระสะสางความเลวให้สิ้นไป ควรจะเป็นคนรู้ตัวดีกว่า อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว ไอ้คนรู้ตัวกับคนเห็นแก่ตัวมันต่างกัน เมื่อเรารู้ตัวว่า

๑. เราเกิดแล้วเราจะต้องเจ็บไข้ไม่สบาย นี่เป็นเรื่องธรรมดา

๒. เราจะต้องแก่

๓. เราจะต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เราไม่ปรารถนาและที่เราไม่ต้องการ

๔. เราจะต้องตาย คิดให้รู้ไว้ เมื่อรู้แล้ว อย่างนี้ถ้าอะไรมันมากระทบ เราก็รู้ตัวแล้วว่ามันจะต้องมี

เหมือนกับคนเดินไปข้างหน้ารู้ว่าข้างหน้ามีแม่น้ำขวาง เมื่อไปถึงพบแม่น้ำเข้าจริงๆ ก็ไม่มีการตกใจเพราะรู้ว่ามีแม่น้ำ จะได้หาพาหนะเตรียมการเพื่อข้ามน้ำ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ชีวิตของเราก็เหมือนกัน

ถ้าบุคคลทั้งหลายรู้ว่าสภาวะความเป็นจริงว่า เกิดมาแล้วมันมีแต่ความทุกข์ ทุกข์เพราะอาหาร ทุกข์เพราะการบริหารการงาน ทุกข์เพราะการกระทบกระทั่ง ทุกข์เพราะการป่วยไข้

ทุกข์เพราะความแก่ ทุกข์เพราะความตาย ทุกข์เพราะความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น นี่มันเป็นตัวทุกข์ รู้แล้วว่ามันจะต้องทุกข์ เราก็ทำให้มันไม่ทุกข์เสีย ถ้ามันกระทบอะไรเข้าเราก็รู้สึกว่าอันนี้มันธรรมดา เรารู้อยู่แล้ว

แล้วเราก็คิดต่อไปด้วยว่าทุกข์อันนี้เราจะให้มีแต่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติต่อไปไม่ให้มันมีอีก หมายความว่าเราจะไม่เกิดมาเพื่อให้ทุกข์อีก ถ้ายังเกิดตราบใดเราก็ยังต้องมีความทุกข์อยู่เพียงนั้น

ไม่เกิดต้องทำอย่างไร
...ทีนี้คนที่จะไม่เกิดต้องทำอย่างไร มันทำไม่ยาก ทำง่ายๆ คือ

๑. รักษาศีลให้บริสุทธิ์

คนรักษาศีลน่ะเป็นคนดี ไอ้คนไม่มีศีลน่ะเป็นคนระยำ จำไว้ให้ดี ถ้าเราอยากจะเป็นคนดีเราต้องเป็นคนมีศีล ถ้าเรายังปฏิบัติศีลไม่ได้ ให้รู้ตัวว่าเราระยำเต็มทีแล้ว เลวเต็มทีแล้ว ให้รู้ตัวไว้ อย่าเป็นคนเข้าข้างตัว จงเป็นคนรู้ตัวดีกว่าคนเข้าข้างตัว

๒. รักษาสมาธิให้ตั้งมั่น ซึ่งเป็นของที่ไม่ต้องลงทุน

๓. ปลงสังขาร ไว้ว่าโลกทุกโลกเป็นแดนของความทุกข์ สังขารทุกสังขารเป็นดินแดนของความทุกข์ เราจะเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ก็ไม่พ้นทุกข์

ถ้าเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน เราไม่ต้องการโลกทั้ง ๓ ประการ และไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ขึ้นชื่อว่ามนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนา

สิ่งที่เราปรารถนาจริงๆ ก็คือพระนิพพาน ภาวนาไว้ว่า สิทตะมหานิพพานัง หรือ นิพพานัง เฉยๆ ก็ได้ นึกไว้ว่านิพพานๆ เราต้องการพระนิพพาน

เราต้องการนิพพาน
...โลกนี้ทั้งหมดเราไม่ต้องการอะไร ความรัก ความเกลียดความโกรธ ความเร่าร้อน เราถือเป็นของธรรมดา อะไรจะมากระทบกระทั่ง นั่นถือเป็นเรื่องธรรมดา เราจะเปลื้องสมบัติสภาวการณ์ต่างๆ ของโลกให้สิ้นไป

เราอยู่กับโลกเราจะอาศัยโลกและสมบัติของโลกชั่วคราวเมื่ออัตตภาพมีอยู่ เมื่อความสิ้นไปแห่งอัตตภาพมีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละเราจะไปพระนิพพาน

แล้วก็สร้างความไม่พอใจ แต่ว่าไม่เคียดแค้น คือถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เห็นโลกก็ดี เห็นวัตถุก็ดี เห็นคนก็ดี เห็นสัตว์ก็ดี คิดว่าสภาพทั้งหลายเหล่านี้เป็นดินแดนที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น เป็นดินแดนของความเกิด เราจะไม่ปรารถนาต่อไป

เมื่อมีก็ใช้ ไม่มีก็แล้วไป เมื่อมันทรงอยู่ได้ก็จะทรง เมื่อมันจะตายก็ตามที อัตตภาพนี้ตายเสียได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะเราไม่มีความปรารถนา เรารังเกียจมัน เพราะร่างกายทุกข์ก็ไม่ปรากฏ ความเร่าร้อนก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้น..ขึ้นชื่อว่าความเกิดทั้งสิ้นเราไม่ ปรารถนากันอีก

เอาละ..สำหรับเทปนี้ก็ขอยุติเพียงเท่านี้ ถือว่าเป็นการสิ้นสุดเรื่องของหลวงพ่อปานเพียงย่อๆ เล่ามา ๔ เทปเป็นเวลา ๘ ชั่วโมง

ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูลผลจงมีแด่ท่านผู้อ่านทุกท่าน และขอให้ทุกท่านจงประสบผลดี ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระ ชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงแล้ว

ขอบรรดาพุทธบริษัทซึ่งเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติตาม จงถึงธรรมที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงแล้วโดยทั่วทุกคน

ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่ท่านทุกกาลทุกสมัยตลอดชีวิต เทอญ

ตอนนี้หันไปดูนาฬิกาปรากฏว่าเป็นเวลาตี ๔ พอดี คือเวลา ๔.๐๐ น. ของวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๒ เอาล่ะชื่อว่าเป็นอันสวัสดี เรื่องราวทั้งหลายของหลวงพ่อปานก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้..สวัสดี"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/6/20 at 21:34 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/6/20 at 08:40 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top