หลวงพ่อเล่าเรื่อง..พระอรหันต์กลางกรุง
หลวงพ่อเล่าเรื่อง..พระอรหันต์กลางกรุง
พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต เรียบเรียง
"...เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2514 ทราบจากคุณนิด (อรอนงค์ อรรถไกวัลวที) ว่า ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายกตาย (วัดระฆังฯ)
ความจริงชาวบ้านเขาเรียกว่าท่านตาย แต่อาตมาเรียกว่าท่านต่ายหรือหาที่อยู่ต่อไป คุณนิดถามว่า ทราบว่าท่านตายไหม?
ก็บอกว่าไม่ทราบเพราะมาจากกรุงเทพฯ แล้วเจ้าท้องมันทำพิษ ก็ต้องใช้ยาระบาย มันเพลียก็เลยขี้เกียจเที่ยว อาศัยการปลงสังขารรู้สึกว่าสบายดี
แต่ก็แปลกใจอยู่หน่อยหนึ่ง คืนที่กลับมาค้างบ้านครูนนทา กำลังปลงสังขารพอสบายก็ปรากฏแสงสว่างเกิดพุ่งมาทางศีรษะ มีแสงสว่างมาก
แต่ก็ไม่คิดสงสัย เพราะขณะใดที่มีอารมณ์สบาย จะปรากฏว่ามีพระพุทธรัศมีแบบนั้นปรากฏเสมอ แต่ทว่าวันนั้นเป็นแสงสว่างธรรมดาไม่มีแสงอื่นผสม
ก็เลยคิดว่าคงเป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งมาสงเคราะห์ มันเพลียมากก็เลยปล่อยหลับไป ไม่ได้สนใจอะไรอีก
ต่อเมื่อคุณนิดมาบอกว่าท่านเจ้าคุณเทพฯ ตาย ก็พอดีวันนั้นเป็นหวัด ฉันยาแก้หวัดเข้าไป ตอนกลางวันนอนหลับพวกแขกที่พูดภาษาอินเดียไม่เป็น
เมื่อมาหาเห็นว่าหลับก็พากันกลับ
ตอน 15 น. ตื่นขึ้นรู้สึกสบายใจ มีกำลังทางร่างกายดี เก็บงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เสร็จแล้วก็คิดว่าคืนนี้จะออกเที่ยวสักที นานมาแล้วไม่ได้เที่ยว
พอถึงเวลา 19.55 น. ก็เตรียมสมาทานกันตามปกติ เมื่อเสร็จพิธีสมาทานก็ปลงสังขารตามเคย เวลาผ่านไป 30 นาที
คือถึง 20.30 น. ได้ยินเสียงนาฬิกาให้สัญญาณ บอกว่าเหลืออีก 30 นาทีจะหมดเวลาแล้ว ก็ออกจากกายพบ "สมเด็จองค์ปฐม" ท่านมายืนคุม ได้กราบทูลถามว่า
ท่านเทพประสิทธินายกไปไหน?
ท่านบอกว่าไปนิพพาน
ถามว่าท่านเป็นพระอรหันต์ระดับไหน?
ท่านบอกว่า เป็นพระอรหันต์ระดับวิชชาสามและทรงมโนมยิทธิ แต่ทิพยจักษุญาณสดใสเป็นพิเศษ เลยลาท่านจะไปตามดูเทพประสิทธินายก ท่านก็บอกว่าไปเถอะ
ทางนี้ฉันดูเอง
เมื่อไปถึงดาวดึงส์เข้าพบโยม เห็นบรรดานางสาวสวรรค์เข้าเวรกันมาก ก็ถามท่านว่ามาหาบ่อย ๆ โยมรำคาญไหม?
ท่านบอกว่าไม่รำคาญ มาบ่อยๆ ดีใจจะได้ไม่ต่ำ เวลาตายจะได้ไม่ไปอบายภูมิ เพราะจิตเกาะกุศล มองดูแม่สาวๆ วันนี้แกไม่สวมชฎา แกปล่อยผมมาปรกหลัง
ถามว่าทำไมไม่สวมชฎา?
แกบอกว่า อยู่เวรปกติไม่ต้องสวมชฎา เวลาท่านใหญ่ประชุมเทวดาจึงจะสวมชฎา
แปลกใจที่เทวดาบนสวรรค์มีเวลาถอดและสวมชฎา แต่เทวดาตามฝาผนังโบสถ์สวมชฎาตลอดกาล คุยกับโยมเล็กน้อยแล้วก็ลาท่าน บอกว่าจะไปพระจุฬามณี
ความจริงก็มีสถานที่ติดกันนั่นเอง
ท่านบอกว่านิมนต์ตามสบาย จะมาหาท่านเทพฯ ใช่ไหม
ก็ตอบท่านว่าใช่
ท่านบอกว่าท่านเทพฯ กำลังมาที่จุฬามณี
จึงเดินเข้าจุฬามณีทางประตูทิศตะวันตก เมื่อผ่าน "ท่านมเหสักขา" ที่ยืนเป็นยามเฝ้าประตู ท่านเป็นเทวดาอนาคามี
ท่านมเหสักขาบอกว่า หลวงพ่อครับ..ท่านเทพฯ ที่หลวงพ่อต้องการพบท่านกำลังจะออกมาแล้ว
ก็เลยเดินสวนเข้าไปพอดี พบท่านเทพฯ เดินสวนออกมาพอดี ท่านสว่างมากเหลือเกิน ท่าทางสง่างดงามมาก พอถึงกันท่านก็จับมือถามว่า "ตามฉันทำไม"
ก็ตอบว่าไม่ทราบว่าไปทางไหนก็ลองตามดู
ท่านบอกว่าดี แบบนี้ดี ทำไปเป็นปกติเถอะ มีประโยชน์แก่ตัวเองมาก
ถามท่านว่า ท่านมีทิพยจักษุญาณแจ่มใสมาก ผมทำไม่ได้อย่างท่าน เมื่อท่านตายมาแล้วผมก็หนัก ยิ่งแก่มากผมก็ยิ่งหนัก เพราะคนก็จะรวมตัวเข้ามา
ขอให้ผมแจ่มใสอย่างท่านบ้างได้ไหม
ท่านบอกว่ารักษาสมาธิที่ศูนย์ไว้เป็นปกติก็แล้วกัน มันจะคล่องตัวเอง และชำระใจให้สะอาด มันจะสว่างมากเอง แล้วต่างก็ลากันไป ท่านไปที่ของท่าน
อาตมาเข้าไปนมัสการพระ
พอเข้าไปพระท่านก็ว่า คุณไม่มานานแล้ว ควรมาเป็นปกติ การปลงสังขารเป็นของดี แต่ญาณเครื่องรู้จะฝืด เวลานี้เรามีศิษย์จำเป็นต้องใช้ญาณ
ควรหันกลับเข้าใช้ญาณตามเดิม ความรู้จะได้ว่องไวตามเดิม แล้วท่านก็สอนเยอะ ต่อนั้นไปท่านก็ให้ไปเฝ้า "สมเด็จพระสมณโคดม" ที่นิพพาน
ขึ้นไปเห็นว่าท่านใสสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ เข้าไปถวายนมัสการท่านที่พระบาท ท่านตรัสเตือนเรื่องใช้ญาณอีก ท่านว่าเธอปล่อยมากเกินไป
การปลงเป็นสมบัติส่วนตัว การทำญาณให้คล่องเป็นเครื่องมือช่วยศิษย์เธอต้องทำให้คล่องตามเดิม
แล้ว "ท่านมหากัจจายนะ" อาจารย์สอนญาณเครื่องรู้ก็เข้ามาหาสมเด็จ ท่านบอกให้ท่านมหากัจจายนะเป็นพี่เลี้ยงเดินนำทางไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธกัสสป
ความจริงไม่ต้องนำก็แวะอยู่แล้ว
ถามท่านสมเด็จพระสมณโคดมว่า ทำไมข้าพระพุทธเจ้าจึงต้องมีท่านมหากัจจายนะเป็นผู้ควบคุม องค์อื่นคุมไม่ได้หรือ
ท่านตรัสว่าเธอปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน กัจจายนะก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน คุณที่ปรารถนาพุทธภูมิจนเข้าถึงบารมีปลาย
เอาพระประเภทสาวกปกติคุมไม่ได้ เพราะจะไม่สามารถทำให้เลื่อมใสได้ ต้องเป็นพวกพุทธภูมิด้วยกัน หรือมิฉะนั้นก็ต้องพระพุทธเจ้าโดยตรง จึงจะทรมานกันได้
คำว่า "ทรมาน" หมายถึงว่า "ทำให้เชื่อ" และเลื่อมใสไม่ใช่ทรมานอย่างฝรั่งเศสขังคุกขี้ไก่
เมื่อไปเฝ้าพระพุทธกัสสป ท่านก็เตือนเรื่องใช้ญาณ และให้หมั่นขึ้นไป เพราะเวลานี้ขาดเฝ้ามานาน การเฝ้าท่านมีประโยชน์จากการได้รับพุทธบัญชา
บอกให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วเอามาแนะนำต่อ ๆ ไป ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์มาก
แต่ว่าเจ้าแก่มันขี้เกียจ เลยถูกเทศน์ตลอดสาย เมื่อพระองค์ทรงตักเตือนพอสมควรแล้ว ก็ทรงมีพระพุทธบัญชาให้ไปที่อยู่โดยมีพระมหากัจจายนะ
พระอาจารย์เป็นผู้ควบคุม
เมื่อจะเข้าประตูเห็นยักษ์ 4 ตน ยืนอยู่ที่ด้านนอกของประตูเป็นปกติ ยักษ์พวกนี้เป็นยักษ์อนาคามี เป็นลูกเป็นหลานเก่า เขาเห็นเขาก็ดีใจ
พอเข้าประตูไปด้านในมีพรหม 4 ท่าน เป็นพรหมอนาคามีเหมือนกัน เป็นยามด้านใน เมื่อสนทนาปราศรัยกันตามสมควรแล้วก็เดินเข้าสู่สถานที่
พอไปถึงหอระฆังหน้าที่อาศัย จำได้ว่าเมื่อตายครั้งหลังในชาตินี้ มาตรงนี้ และพบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
ท่านเคยตรัสว่าเธอเคยคิดไหมว่า ชาตินี้เธอจะมาพระนิพพานได้?
ได้กราบทูลว่า ไม่เคยคิดว่าจะมาได้
ท่านทรงถามว่า เพราะอะไรจึงคิดอย่างนั้น?
ได้กราบทูลท่านว่า วิปัสสนาอ่อนมาก และสนใจน้อย
ท่านถามว่า เธอทราบไหมว่า นิพพานอยู่ไหน?
กราบทูลท่านว่า ไม่ทราบ
ท่านตรัสว่า ที่ตรงนี้เขาเรียกอะไร?
กราบทูลท่านว่า ไม่ทราบ
ท่านถามว่า เทวดาและพรหมทุกชั้น เธอรู้จักหมดไหม?
กราบทูลท่านว่า รู้จักหมด
ท่านถามว่า ที่ตรงนี้เป็นแดนของเทวดาหรือพรหม?
กราบทูลว่า ไม่ใช่เทวดาและพรหมทั้งสองอย่าง เพราะพรหมมีชั้นที่ 16 เป็นชั้นสูงสุดก็ผ่านมาแล้ว
ท่านตรัสว่า "ที่ตรงนี้เขาเรียกกว่า..นิพพาน !!"
ท่านถามว่าเธอทราบไหมว่านิพพานอยู่ไหน?
กราบทูลท่านว่าไม่ทราบ
ท่านตรัสว่าที่ตรงนี้เขาเรียกอะไร?
กราบทูลท่านว่าไม่ทราบ
ท่านถามว่าเทวดา และพรหมทุกชั้นเธอรู้จักหมดไหม?
กราบทูลท่านว่ารู้จักหมด
ท่านถามว่าที่ตรงนี้เป็นแดนของเทวดาหรือพรหม?
กราบทูลว่าไม่ใช่เทวดา และพรหมทั้งสองอย่าง เพราะพรหมมีชั้นที่ 16 เป็นชั้นสูงสุดก็ผ่านมาแล้ว
ท่านตรัสว่าที่ตรงนี้เขาเรียกกว่า "นิพพาน"
เมื่อท่านตรัสบอกอย่างนั้นก็เลยตกใจ คิดว่าท่านคงตรัสผิด ดูเถอะเจ้ามนุษย์กิเลสหนา มีกิเลสตัณหาเสี้ยมสอน มันคิดอย่างนี้
พระพุทธเจ้าบอกเองยังคิดว่าท่านตรัสผิด
จึงกราบทูลท่านว่าตามที่เรียนมานั้นครูบาอาจารย์ท่านสอนว่านิพพานไม่มีรูป ไม่มีที่อยู่ ไม่มีอะไรปรากฏ
ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า เธอมาถึงนิพพานแล้วยังสงสัย
เป็นอันว่าในที่สุดท่านรับรองว่า นิพพานมีสถานที่มีรูปมีความสุข เป็นสถานที่มีอารมณ์ปกติ ไม่มีอารมณ์ ความรัก โลภ โกรธ หลง และอารมณ์ขัดข้องใด ๆ เลย
เป็นอารมณ์ว่างสบายด้วยประการทั้งปวง ไม่มีห่วง ไม่มีกังวล ขั้นสุดท้ายท่านก็นิรมิตไม้ขึ้น 10 ท่อน
ท่านบอกว่าคนที่จะมานิพพานได้จะแบกไม้นี้ไหว ถ้าแบกไม่ไหว้ก็จะมานิพพานไม่ได้ แล้วท่านก็เรียกพระที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ที่ตายไปแล้วมา 9 องค์
ปรากฏว่ามีหลวงพ่อปานเป็นองค์ที่ 4 ทุกองค์มาถึงก็แบกไม้ขึ้นบ่าไม่มีท่าทางแสดงว่าหนักเลย เหลืออีกท่อนหนึ่ง
ตรัสว่าท่อนนี้เธอแบก ตอนนั้นกำลังใจไม่มีเลย ใจมันบอกว่าไม่ไหว แต่เกรงพระบารมีก็จำต้องเข้าไปหยิบไม้ท่อนที่เหลือท่อนเดียวนั้น
ตั้งท่ายักแย่ยักยันออกแรงเสียสุดแรงเกิด
พอหยิบเข้าจริง ไม้ท่อนนั้นไม่มีน้ำหนักเลย มีความหนักคล้ายเศษกระดาษชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ก็รู้สึกว่าเบา
ก็เลยออกเดินตามพระที่แบกก่อนไป พอเดินไปได้หน่อยเดียวท่านก็เรียกให้เอาไม้มาวางที่เดิม และให้กลับมานั่งที่เก่า
ท่านบอกว่าเธอยังไปไม่ได้ วิปัสสนายังอ่อนกลับไปซ้อมวิปัสสนาให้เข้มข้นเสียก่อน เธอจะมานิพพานได้ในชาตินี้
สถานที่นี้เป็นที่อยู่ของเธอเกิดมีขึ้น เพราะอาศัยอานิสงส์ที่สร้างวิหารทาน (สร้างที่อยู่อาศัยเป็นสาธารณะประโยชน์)
การป่วยคราวนั้นมีอารมณ์ตัดหมดคิดว่า เราไม่มีทรัพย์สินไม่มีญาติ ร่างกายไม่ใช่ของเรา ห้ามคนที่มาเยี่ยมพูดถึงทรัพย์สิน และเรื่องอื่นทั้งหมด
พูดได้อย่างเดียวธรรมปฏิบัติ ตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าอารมณ์อย่างนั้นเป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณ
และเป็นอารมณ์ของพระที่เข้าถึงนิพพาน ทำส่งเดช แต่ด้วยใจจริงเข้าทำนองที่ท่านกล่าวว่า บังเอิญขี้ตรงร่อง ความจริงไม่เห็นร่อง
เมื่อหวนคิดถึงความหลังครั้งกระนั้นขึ้นมาแล้ว ก็เลยไม่นั่งตรงที่พระพุทธเจ้าท่านนั่ง นั่งลงข้างล่าง กราบตรงนั้นสามครั้ง
พอเงยหน้าขึ้น เห็นท่านมานั่งที่เดิมอีก และก็ตรัสว่า วีระ..เธอคิดถึงความหลังหรือ
ก็กราบทูลว่าคิดอย่างนั้นพระเจ้าข้า
พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า ดีแล้ว..ต่อไปนี้จงซ้อมญาณให้คล่องตามเดิมนะ จะได้เป็นที่อาศัยของศิษย์
พระองค์ทรงชี้ให้ดูสถานที่ว่าหลังนี้เป็นที่อยู่ของเธอ เป็นแก้วมณีโชติ หลังนี้เป็นที่ประชุม หลังนี้เป็นที่พักการประชุม เป็นแก้วมณีโชติเหมือนกัน
คงจะสงสัยว่าทำไมจึงเรียกว่าแก้วมณีโชติ เรียกแก้วมณีเฉย ๆ ไม่ได้หรือ มันไม่เหมือนกัน แก้วมณีธรรมดามีสีใส แต่ไม่สว่างมีแต่รัศมีออก
เมื่อต้องแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์
ส่วนแก้วมณีโชตินั้น มีแสงสว่างออกมาเองเหมือนโคมดวงใหญ่ แต่สวยงดงามมาก
🌻 สามคาวุตของนิพพาน
...เมื่อท่านทรงตักเตือนหมดเรื่อง ก็กราบทูลถามว่า ท่านเทพประสิทธินายกอยู่ที่ไหน
ท่านก็ทรงชี้ให้ดูทางทิศตะวันออกของที่อยู่ว่า นี่วิมานของเธอ ต่อไปนี้เป็นสระโบกขรณีของเธอ
ถัดสระไปเป็นวิมานของนนทาเทวี ห่างจากวิมานนนทาเทวีไปสามคาวุต ก็ถึงวิมานของเทพประสิทธินายก
ขณะนี้เธอนั่งอยู่บนที่ของเธอมองตามไปเห็น ท่านนั่งสุกปลั่งคล้ายแสงอาทิตย์วิมานเป็นแก้วมณีล้วน
ทูลถามท่านว่า สามคาวุตของนิพพาน เทียบระยะความไกลของเมืองมนุษย์ได้เท่าไร ท่านบอกว่าประมาณแสนโยชน์
พอตรัสเท่านี้ก็ได้ยินเสียงนาฬิกาที่กุฏิให้สัญญาณบอกเวลา 21 น. พระองค์ตรัสว่าได้เวลาแล้วลูกศิษย์จะทรมานตัวเกินไป เธอกลับได้อีก 10 ปี
เธอมีสิทธิ์มาที่อยู่ของเธอได้ตามความต้องการ
แต่จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องตายเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ หรืออีกประเดี๋ยวหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต ก่อนเธอจะมา
ลูกศิษย์เขาจะทำตนเป็นคนเข้าถึงธรรมได้หลายคน
เมื่อกลับไป พรุ่งนี้เธอเขียนเล่าเรื่องนี้ให้อ๋อย (เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เขาอ่าน อ๋อยเขาเป็นคนมีศรัทธาจริตและพุทธจริต
คือมีศรัทธาแต่เชื่อเหตุผล ไม่งมงาย เล่าให้เขาฟัง เขาจะได้เร็วกว่าเดิม แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับ หลวงตาแก่จอมเกเรก็กลับเหมือนกัน
ขอทุกคนที่อ่านจงเป็นคนเห็นถูก อ่านแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ ใคร่ครวญสอบทานเสียก่อน เมื่อควรจึงค่อยเชื่อ เมื่อยังหาเหตุผลไม่พบก็เก็บเอาไว้ก่อน
ต่อเมื่อค้นคว้าถึงระดับแล้วเอามาอ่านใหม่ ตอนนั้นจะตัดสินใจได้ด้วยตนเองแล เทอญ
ไอ้ศัพท์ว่า "แล" และ "เทอญ" เขียนเข้ามาทำไมก็ไม่รู้ มันอยากเขียนก็เขียนมาส่งไปอย่างนั้นเอง
เอาละ..เอวังกันเสียที ขอความสุขสวัสดี..ไม่มีสวัสดิ์ร้าย จงมีแก่ทุกคนที่อ่านหนังสือนี้เถิด.."
|