มณฑปแก้ว พระองค์ที่ ๑๐ - ๑๑ (อยู่ใกล้มณฑปท้าวมหาราช)
เรื่องพระองค์ที่ ๑๐
...สมัยก่อนหลวงพ่อได้เล่าคำว่า "พระองค์ที่ ๑๐" ให้ฟังว่า ในการพบพระองค์ที่ ๑๐ ครั้งแรก พระเดชพระคุณหลวงพ่อ อายุประมาณ ๒๘ ปี ในครั้งนั้น
พระเดชพระคุณ หลวงพ่อได้รับกิจนิมนต์ไปเทศน์ที่จังหวัดราชบุรี พอดีมีงานทำบุญของชาวบ้าน ใกล้กับวัดที่ไปเทศน์ จึง รับกิจนิมนต์ไปสวดมนต์เย็น
ซึ่งเจ้าภาพได้นิมนต์พระไว้ ๙ รูป มีเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี เป็นหัวหน้าคณะ
เมื่อถึงเวลา พระเดชพระคุณหลวงพ่อ เจ้าคณะจังหวัดและพระอีก ๗ รูป ได้เดินทางไปบ้านเจ้าภาพพอไป ถึงก็ขึ้นไปบนบ้านปรากฎว่ามีพระอยู่รูปหนึ่ง
ท่านนั่งถัดจากพระพุทธรูปมาท่านนั่งนิ่งไม่ขยับที่นั่งให้เจ้า คณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดจึงต้องนั่งต่อจากพระรูปนั้น ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว พระรูปนั้น
อายุประมาณ ๒๘ - ๓๐ปี
แต่ทว่ากิริยา ท่าทาง ตลอดจนผิวพรรณท่านดูสวยสดงดงามมากเป็นที่น่าเคารพ น่ากราบไหว้
น่าบูชามากเวลาที่เริ่มสวดมนต์ท่านก็สวดมนต์ได้ทำนองสุ่มเสียงกังวาลไพเราะจับใจมากเนื่องจากเจ้าภาพนิมนต์พระมาสวด ๙ รูป เมื่อท่านมาเพิ่มอีก ๑ รูป
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ จึงได้เรียกท่านว่า"พระองค์ที่ ๑๐"
เมื่อกลับถึงวัด พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้พูดคุยกับท่านเจ้าคณะจังหวัด ถึงพระองค์ที่ ๑๐ ว่า รู้จักท่านหรือไม่ท่านเจ้าคณะจังหวัดตอบว่า
ไม่เคยเห็นคิดว่าไม่น่าจะเป็นพระแถวนี้และได้ถามเจ้าภาพแล้วเจ้า ภาพก็บอกว่านิมนต์พระมา ๙ รูปเท่านั้น
(ภาพนี้ถ่ายก่อนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ มรณภาพ
จะเห็นว่าถนนด้านหน้ามณฑปยังโล่งๆ มองดูสวยงามกว่าปัจจุบันนี้มาก)
พระเดชพระคุณหลวงพ่อถามเจ้าคณะจังหวัด ว่า "รู้สึกอย่างไร ที่พระองค์ที่ ๑๐ ท่านดูอ่อนกว่าแต่ท่านนั่ง หัวแถว"
ท่านเจ้าคณะจังหวัดตอบว่า "เจ้าภาพเขานิมนต์ไปสวดมนต์ ไม่ได้นิมนต์ไปนั่งจัดลำดับ"
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ จึงปรึกษากับเจ้าคณะจังหวัด ในวันรุ่งขึ้น เจ้าภาพนิมนต์ไปฉันเช้า ให้ถามพระ องค์ที่ ๑๐ ว่าท่านจำอยู่วัดไหน
วันรุ่งขึ้นเมื่อไปถึงปรากฎว่าพระองค์ที่ ๑๐ ท่านได้นั่งอยู่แล้ว เจ้าคณะจังหวัดและพระเดชพระคุณหลวงก็ ได้ขึ้นไปนั่งต่อจากพระองค์ที่ ๑๐
เมื่อสวดมนต์และฉันอาหารเสร็จ เจ้าคณะจังหวัดจึงได้ถามพระองค์ที่ ๑๐ ว่าพระเดชพระคุณจำอยู่วัดไหนพระองค์ที่ ๑๐ ท่านก็ตอบว่าท่านไม่มีวัดอยู่
เจ้าคณะจังหวัดก็ถามอีก ท่านบวชได้กี่พรรษาแล้วพระองค์ที่๑๐ บอกว่าจำไม่ค่อยได้แต่ได้ยื่นใบสุทธิให้ดูเจ้าคณะจังหวัดพระเดช พระคุณหลวงพ่อเมื่อดูแล้ว
คำนวณอายุได้ประมาณ ๓๐๐ ปี
เมื่อเสร็จพิธีพระองค์ที่ ๑๐ ท่านกลับก่อนเมื่อท่านได้เดินลงจากบ้านไป พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้บอก ให้เจ้าภาพให้คนตามไปดู ว่าท่านเดินไปทางไหนปรากฎว่า
คนที่ตามไปดู ไม่พบท่านถามคนข้างล่างก็ ไม่มีใครเห็นพระลงมาเลย พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกกับท่านเจ้าคณะจังหวัดว่า ท่านพบพระอย่างนี้
มาหลายครั้งแล้วเมื่อครั้งที่ออกเดินธุดงค์
การพบพระองค์ที่ ๑๐ ครั้งที่สอง ประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๘ หลวงพ่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นครั้งแรก ในที่ "พระสุธรรมยานเถระ" งานนี้จึงมึความสำคัญ
โดยก่อนถึงวันงานทำบุญประจำปี ซึ่งจัดในช่วงเดือน มีนาคมของทุกปี พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้พบกับพระองค์ที่ ๑๐ ที่สายลม ท่านบอกว่าจะมางานทำบุญ
ประจำปีท่านถามว่า จะเอาตำหนิที่ตรงไหน ที่โหนกแก้ม หรือ ที่คิ้วขวา พระเดชพระคุณหลวงพ่อ กราบ เรียนว่า แล้วแต่ท่านจะแสดงให้เห็น แต่ขอให้เห็นชัดๆ ก็พอ
ก่อนวันงาน ๓-๔ วัน ท่านก็มาอีกและบอกว่าจะมีพระที่มีความสำคัญมาด้วยหลายองค์ญาติโยมทราบข่าว ต่างก็จ้องจะพบพระองค์ที่ ๑๐และพระองค์ที่ ๑๐
และพระองค์อื่น ๆ เพื่อว่าจะได้ทำบุญ กับพระที่มีความ สำคัญ
พอถึงวันงาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ ตรวจตราดูพระที่แอบอ้าง บ้างก็แอบอ้างเป็น ลูกศิษย์หลวงปู่ปานบ้าง
บ้างก็มาปักกลดข้างศาลาบ้างเพื่อที่ชาวบ้านจะได้ศรัทธาแล้วจะได้ลาภสักการ
ในงานวันนั้น ปรากฎว่ามีพระองค์หนึ่งท่านได้สอนธรรมเป็นที่ถูกใจชาวบ้านมากท่านรู้อารมณ์จิตของทุก คน ท่านนั่งที่ใต้ต้นโพธิ์ ชาวบ้านต่างได้ทำบุญกับท่าน
เมื่อท่านได้เงินจำนวนมากท่านก็ให้คน นำไปมอบให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อหลายครั้งหลายคราว พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ ไปดูแล้วกลับไปรายงาน
เพื่อต้องการทราบว่าเป็นพระองค์ที่ ๑๐ หรือไม่
ปรากฎว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง บริเวณที่พระองค์ที่ ๑๐ นั่งอยู่ กลับไม่พบเห็นอะไรเลย
พระเดชพระคุณหลวงพ่อคิดว่าท่านคงแสดงอภินิหารเพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นท่าน
การสอนธรรมของพระองค์ที่ ๑๐ ในวันนั้น ทุกคำพูดเป็นภาษาที่ฟังง่ายเข้าใจง่าย ใครคิดอะไรจะถามอะไรท่านก็ตอบไปตามที่คนนั้นคิด
ท่านสามารถรู้อารมณ์จิตของทุกคนโดยท่านได้กล่าวไว้ประโยคหนึ่งว่า พระนิพพาน ไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน
แต่เป็นภาษาปฏิบัติ ต่อมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ได้หล่อรูปของพระองค์ที่ ๑๐ และได้ประดิษฐานไว้ที่ มณฑปแก้ว
ได้พบพระองค์ที่ ๑๐ - ๑๑ ที่วัดท่าซุง
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายสำหรับตอนนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องของงานจะเล่าสู่กันฟังว่าพระที่นิมนต์มาในงานจริงๆจำนวนทั้งหมด รวมแล้ว ๖๒ องค์
พระอาคันตุกะ ๙๒ องค์ แล้วก็พระองค์ที่ ๑๐ นี่อีก ๑ องค์
พระองค์ที่ ๑๐ นี่เป็นใครขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอ่านแล้วก็ควรเข้าใจ หรือว่าท่านผู้ใดไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจกันต่อไป ท่านผู้ใดเข้าใจแล้วก็เขาใจต่อไป
ถ้าจะถามว่าที่พูดนี่รวนหรือ ความจริงเรื่องรวนเป็นของดี เพราะว่ารวนแล้วเนื้อก็ย่อมสุกแล้วเนื้ออ่อนยุ่ย เอามาแกงกินได้สบาย คือรวนเนื้อเพื่อ แกง
แต่ว่าเรื่องรวนตานี้ไม่ใช่เรื่องเนื้อ เป็นการรวนความเข้าใจ
ถ้าอธิบายให้ท่านพุทธบริษัทฟังว่า พระองค์ที่ ๑๐ เป็นใครจริงๆ
อาตมาก็ขอยืนยันว่า จะมีพระและฆราวาสลงนรกหลายคน และก็จะมีพระและฆราวาสจะไปนิพพานเร็วก็หลายคน ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่พูดเลยดีกว่า
ก็จะเหมือนตัวอย่างเหมือนเช่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลถวาย "อทิสสทาน"
พอถวายแล้วองค์สมเด็จพระพิชิตมารให้พรนิดเดียวแล้วก็เสด็จกลับ
พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ตามไปถึงวัดไปทวงพระพุทธเจ้าบอก "ให้ทานไปตั้งเยอะแยะแล้วทำไมถึงให้พรนิดเดียว" พระพุทธเจ้าบอกว่า "ถ้าจะให้พรยาว
อำมาตย์คนหนึ่งจะหัวแตก ๗ เสี่ยง แต่ว่าอำมาตย์อีกคนหนึ่งจะเป็นพระโสดาบัน" เมื่อเห็นอันตรายกับคนบางคนประเภทนี้
องค์สมเด็จพระชินสีห์มีพระเมตตาจึงให้พรนิดเดียว
ฉะนั้นเรื่องพระองค์ที่ ๑๐ นี่ก็เหมือนกัน ท่านอาจจะมีรูปร่างเหมือนพระองค์ใดองค์หนึ่ง ที่ท่านทั้งหลายรู้จัก และก็คนที่มากับท่าน ๓ คน
อาจจะมีรูปร่างเหมือนกับใครคนใดคนหนึ่งที่ท่านรู้จัก และต่อไปบางท่านอาจจะโมเมว่าพระองค์ที่ ๑๐ คือองค์นั้นหรือคนนั้น แต่ว่าขอยืนยันว่า พระองค์ที่ ๑๐
นี่อาตมาพบเมื่อไปที่ซอยสายลม วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๘ เป็นวันอาทิตย์
วันนั้นเมื่อเวลาท่านพุทธวริษัททุกท่านกำลังทำพระกรรมฐาน ทุกคนทำได้อาตมาคนเดียวทำไมจะทำไม่ได้ จะยอมให้คนอื่นออกหน้าเกินไปมันก็เสียหน้าพระแก่
ก็เลยทำบ้างซิจะเป็นไรไป การทำกรรมฐานนี่ไม่แน่ว่าต้องนั่งสงบนิ่งไม่ทำอะไร
อย่าลืมว่าอาตมามีฉายาว่า "ลิง" ลิงไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิเอามือขวาซ้อนมือซ้ายตั้งกายตรง ไม่จำเป็น นึกอยากจะทำกรรมฐาน
ตั้งสมาธิอันดับไหนเมื่อไรก็ได้เวลาไหนก็ได้ เวลาพูดอยู่ก็ทำได้ ใครเขาจะพูดอะไร ถ้าสงสัยใช้อารมณ์กรรมฐานติดตามเสียงออกไปทันที นี่ลิงเขาทำกันแบบนี่นะ
นี่วิชาลิง
ฉะนั้นพระองค์ที่ ๑๐ ท่านมาท่านก็เลยเรียก "ลิง" ลูกหลานเข้าไป ท่านบอกไอ้ลูกหลานลิงมาอีกแล้ว ฝูงลิงนี่มันเหม็นสาปเหลือเกิน ท่านก็พูดสัพยอก
แต่ความจริงคืนที่ ๑๐ วันนั้นพบกับท่านแล้ว ท่านมาลอยอยู่บนหัว ไม่มีเนื้อมีเนื้อก็ไม่ใช่ เป็นเนื้อทิพย์ เขาต้องเรียกกันว่าเนื้อพระนิพพาน
นี่พูดตามภาษาพระนะ ใครจะมาจับผิดจับถูกก็เชิญ
ก่อนที่จะมาจับผิดกันนะทำกันเสียให้ได้เสียก่อนเถอะนะ วิชชาสาม อภิญญาหก ปฏิสัมภิทาญาณ ให้ได้อย่างใดอย่างหนึ่งให้คล่องเสียก่อนแล้วค่อยมาจับกัน
ค่อยมาว่ากัน ถ้าทำไม่ได้มาจับมาว่าก็ระวัง ต้องสู้ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมครูจะบรรลัย เพราะพระหรือคนที่ไม่สนใจในการปฏิบัติจริง
แล้วก็ทำลายพระพุทธศาสนาด้วยความเห็นของตัวนี่มีอยู่ อันนี้เราพูดกันตรงไปตรงมา
คำว่า "ต้องสู้" นี่ไม่ใช่ไปชกไปต่อยกันนะ วิธีสู้มีอยู่ว่าถ้าพวกเขามากเขาลากกันไป เราก็แยกพวกออกจากเสียพวกเขาก็หมดเรื่อง
เราหากินของเราเองมาตั้งแต่จะบวช เลี้ยงตัวเองมา สั่งสมความดี ความชั่วไม่รู้ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมาจนกระทั่งให้ลูกเด็กเล็กแดง
คนแก่คนเฒ่าไปเที่ยวสวรรค์พรหมโลกไปพระนิพพาน ไปนรกเปรตกันได้ แม้แต่พระองค์ไหนจะตกนรกขุมไหนยังรู้ได้
แล้วเรื่องอะไรจะไปสนใจกับคนที่ไม่สนใจในพระพุทธศาสนา
แต่เรื่องนี้ต้องสู้เพราะอยากสู้มานานแล้ว อยากจะแยกตัวออกมาเป็นอิสระมานานแล้วด้วย ถ้ามาแงนขึ้นมาเมื่อไรก็ระวังนะจะตอบทันทีว่า "ท่านกับฉันนะ
เลิกคบกัน แยกหมู่แยกเหล่ากัน สถานที่ฉันสร้างอย่าเสือกเข้ามายุ่งนะ ถ้าเข้ามายุ่งจะถือว่าเป็นโจรปล้นทรัพย์สิน"
แล้วตอนนั้นก็เปลี่ยนเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่กับโจรสู้กันต่อไปเราก็นอนดูสบายๆ อย่าช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนาด้วยการไม่ศึกษาจริงก็แล้วกัน
พระองค์ที่ ๑๐ องค์นั้นท่านบอกว่า "วันนั้นฉันจะไป แล้วก็จะไปอายุประมาณ ๓๐ ปี ผิวเนื้อคล้ำ" แล้วต่อมาอีก ๔ วัน จะถึงวันงานพบกับท่านอีกท่านบอกว่า
"จะเอาตำหนิตรงไหนดีที่คิ้วหรือที่โหนกแก้ม" ก็เลยกราบเรียกท่านว่า "ตรงไหนก็ได้" เป็นอันว่าพระองค์ที่ ๑๐
ที่นั่งอยู่โคนต้นโพธิ์ก็เป็นอย่างงั้นเสียจริงๆ
บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงมีความเข้าใจบ้างไหมว่าพระที่มาวันนั้นนอกจากพระองค์ที่ ๑๐ แล้วพระที่นิมนต์มานั่งรวมในงาน
เป็นพระที่ท่านมีความต้องการตามตำราหลายองค์ มีความต้องการว่าอยากจะพบพระอย่างนั้น อยากจะพบพระอย่างนี้ แต่ท่านรู้จักหรือเปล่า พระที่มีเนื้อมีหนัง
ที่นิมนต์มางานนี้เป็นพระ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เสียตั้งหลายองค์ ที่ไม่รู้จักท่านก็มี เฉพาะที่รู้จักเรียกว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
ดีใจไหม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอาคันตุกะมีมา ๙๒ องค์ พระอาคันตุกะความจริงอยากจะให้มีมากกว่านั้น แต่ก็บังเอิญต้องขอประทานอภัยท่านอาคันตุกะทั้งหมด
พระอาคันตุกะที่ท่านมานะ อย่านึกว่าท่านมาเพื่อลาภสักการะนะ ไม่ได้ให้อะไรท่านไป มีญาติโยมช่วยกันถวายผ้าไตรแล้ว รวมเงินกันได้ถวายองค์ละ ๒๐๐ บาท
ไม่พอค่ารถไป - กลับแล้วถามว่าท่านมาทำไม ไม่มาหวังลาภสักการะก็ต้องบอกให้ทุกคนทราบว่า ท่านมาเพื่อช่วยสงเคราะห์ ถ้าถามว่าพระอาคันตุกะนี่เป็นพรดีมีไหม
ก็ต้องตอบว่า "พระปากแหว่งไม่มี แต่ว่าพระเต็ม ๑๐๐เปอร์เซ็นต์มีหลายองค์ พระที่ทรงอภิญญาก็มี"
อย่าลืมนะพระอาคันตุกะที่มานี่เป็นพระเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เสียตั้งหลายองค์และก็ที่ทรงอภิญญาสมาบัติก็มีหลายองค์ อย่าไปมองแต่พระแก่นะ พระหนุ่มก็มี
แล้วหลายองค์ท่านดีกว่าอาตมา ท่านมีความสามารถอย่างที่อาตมาทำไม่ได้นะมีหลายองค์ และจงอย่าคิดว่า "แหม...
ถ้าใครเป็นลูกศิษย์ลูกหลานหลวงพ่อเราน่ะเก่งที่สุดในโลก" ก็ต้องตอบว่าเสียงน่ะเก่งที่สุด อาจจะมีเสียงอื่นเก่งกว่าก็ได้แต่ว่าความสามารถซิลูกหลานที่รัก
บางทีบางองค์ท่านเป็นลูกศิษย์ลูกหา แต่ท่านเก่งกว่าครูบาอาจารย์ อันนี้ชื่นใจมาก ไม่ได้อิจฉาเลย
รวมความอาตมาก็เป็นพระเดินเตาะแตะๆ แต่ลูกศิษย์ที่มาหรือท่านที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ที่มา เก่งๆ เยอะ แต่ท่านมานอนรวมกันแบบนี้ดูแล้วมันไม่สมศักดิ์ศรี
อาตมาเองก็ไม่สบายใจเหมือนกันว่า ที่พระอาคันตุกะท่านมาต้องไปนอนรวมกันอย่างนั้น แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรที่มันไม่พอจริงๆ วัดท่าซุงนี่สร้างใหญ่โตมโหฬาร
มีคนสันดานชั่วเขาเคยมาพูดต่อหน้าก็มีลับหลังก็มี "ไปสร้างทำไมไอ้ตึกรามบ้านช่องเอาเงินทองไปช่วยคนยากจนดีกว่า"
ความจริงไม่ได้เบิกหูเบิกตาดู หูตาก็มีไม่ได้ใช้ เอาตาเนื้อทำเป็นตาตุ่ม เอาตาตุ่มไปเป็นตาต้อ
ก็เลยไม่เห็นว่าป้ายสงเคราะห์ผู้คนยากจนเข็ญใจในถิ่นทุรกันดารน่ะเขามีอยู่ เขาทำกันเป็นปกติ แล้วก็สถานที่ต่างๆเขาก็มาสร้างของเขา
แล้วเวลาที่เขาจะมาบำเพ็ญบุญกุศลเขาจะมีที่พัก เวลามีงานเข้าจริงๆ ที่จะไม่พอนอนแล้ว เจ้าพวกตาตุ่มหรือตาต้อพวกนี้มันโผล่หน้ามาบ้างหรือเปล่า เปล่าเลย
พวกนี้กินเงินภาษีอากรของบรรดาประชาชน แตโง่เง่าเต่าตุ่นที่สุด จะพูดว่าเลวระยำหมาก็เกรงใจเกรงใจจริงๆ นะ ถ้าไม่เกรงใจจะบอกคนประเภทนี้เลวระยำหมามากๆ
เลย นี่ยังไม่ได้พูดนะปรารภให้ฟังว่าเกรงใจจริงๆ เอาแค่ว่าตาตุ่มกับตาต้อก็แล้วกัน ต่อไปก็คงจะเป็นตาบอด
ถ้าตาบอดเมื่อไหรเดินไปไหนขึ้นข้างบนไม่ได้ก็ต้องลงข้างล่างคือลงนรก...
พระองค์ที่ ๑๐ นะท่านมา ท่านรับเงินทองนะ ดูตัวอย่างนะบรรดาเถนทั้งหลาย "เถน" แปลว่า หัวขโมย ดูตัวอย่างท่านไว้นะ
ท่านมาแล้วพอใครมาทำบุญท่านก็ส่งเงินมา ทำบุญส่งมา ๓ ระยะ ๓ งวด เผลอไปเอาเข้าไว้ในกองทำบุญส่วนกลางเสียฉิบ และก็ส่งยอดมางวดหลังที่เขาจดไว้ได้ ๔๔,๖๐๔.๒๕
บาท (สี่หมื่นสี่พันหกร้อยสี่บาทยี่สิบเจ็ดสตางค์)
ถ้ารวมจริงๆ แล้วเงินของท่านก็ต้อง ๕๐,๐๐๐ บาทเศษ นี่พระท่านดีจริงๆ ท่านทำอย่างนี้ เวลาคนเข้าไปทำบุญเสียงของท่าน "ช้ากอน เบาก่อน หยุดก่อน
ไม่รับแล้วการทำบุญ" ท่านหวังเพื่อมาแนะนำข้อวัตรปฏิบัติ แต่บรรดาท่านพุทธบริษัทลูกลิงทั้งหลาย มันก็เหมือนกับ "พ่อลิง" ก็เลยทำบุญกันใหญ่
ท่านก็ไมเสียเวลาพูด ท่านก็แบ่งเวลา เจียดเวลาไม่มาก ที่ว่างหน่อยก็แนะนำสั่งสอน
ถ้อยคำของท่านเต็มไปด้วย สัจธรรม และก็เป็นถ้อยคำง่ายๆ คล้ายที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่ลีลาการพูดของท่าน ถึงแม้เสียงจะไม่เหมือนพระพุทธเจ้าตรง
เพราะท่านมาในลีลานั้น ท่านองค์นี้ชื่ออะไร อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ พระองค์ที่ ๑๐ นี่ แต่ทว่าลีลาการพูดของท่าน มีทั้งการรื่นเริงแล้วก็ธรรมะ
การพูดธรรมนี่เขาต้องพูดอย่างนั้น
ไม่ใช่พูดจิตใจเศร้าหมองนั่งซึมกระทือหลับเป็นแถวๆนั่นมันไม่ใช่พระเป็นนักพูดส่งเดชมีหน้าที่พูดอย่างเดียวใครจะฟังรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็ช่าง
ก็ตะบันพูดไปอย่างเดียว พวกนี้พวกเปรต
ท่านส่งเงินงวดสุดท้ายมาจริงๆ ๔๔,๖๐๔.๒๕ รวมแล้วจริงๆก็ต้อง ๕๐,๐๐๐ บาทเศษ อาตมาจับใส่ลงไป เป็นเงินรวมไป๓ ๔ ครั้งที่ได้ตอนนั้นมันเหนื่อยจัด
แล้วท่านทั้งหลายที่ถวายแหวน ลิงถวายแหวนพระนะ บรรดาลูกลิงถวายแหวนรวมทั้งหมด ๒๐ วง เป็นแหวนหัวเพชรเล็กๆ หลายหัว เป็นหัวเล็กๆ เรียงแถว ๑ วง
และก็เป็นแหวนทับทิมหรือแหวนพลอยเสีย ๕ วง เป็นแหวนเนื้อเกลี้ยงจริงๆ เสีย ๑๔ วง รวม ๒๐ วง แล้วก็สายสร้อยเส้นเล็กๆ ไม่โตนัก ๔ เส้น และมีเพชรเม็ดเล็กๆ
กับทับทิมอีก ๒ กลุ่มไม่ได้นับเม็ดมา ทั้งหมดนี้ท่านไม่ได้เอาไปเลย แต่ท่านส่งเข้ามาแล้วก็มีพระเมตตาส่งข้าวทิพย์มาถวาย เอาน้ำมนต์มาถวาย
ท่านทราบว่าอาตมาหรือลิง "พ่อลิง" กำลังป่วยไข้ไม่สบายและในระหว่างงานนี้ป่วยหนักจริงๆวันที่ ๒๒ เทศน์ได้ครึ่งกัณฑ์ต้องลงจากธรรมมาสน์ หยุด
เทศน์ไม่ไหว ไข้หวัดระดมอย่างหนัก แต่ด้วยพระเมตตาปรานีของพระองค์ที่ ๑๑ พอกลับมาที่กุฎินอนคิดว่า
"เออหนอ..พรุ่งนี้จะเป็นวันเริ่มงานแล้ว วันนี้เราก็เริ่มป่วยหนักจะทรงกายไม่ไหว เป็นอันว่างานนี้ของเราเป็นเจ้าภาพลงไม่ได้แน่
กำลังใจของท่านพุทธบริษัทก็จะเสีย ลูกหลานจะเสียกำลังใจ"
พอคิดเท่านี้ก็กำลังปล่อยใจสบาย จับอานาปานุสสติกรรมฐาน กับอุปสมานุสสติกรรมฐาน ควบกันไป อันนี้ท้งไม่ได้ ๒ อย่างนี้คิดทุกลมหายใจ เข้าออกถามว่าแน่หรือ
ก็ลิงซะอย่างขอบอกเวลาพูดก็ใช้ได้ เวลากินก็ใช้ได้ เวลาขี้ก็ใช้ได้ เวลาหลับก็ใช้ได้เวลาหลับใช้ยังไง ก็ว่าไปจนยันหลับ
แล้วในระหว่างหลับเขาถือว่าทรงฌานนั้นอยู่ นี่ลิงอย่างอย่างไม่ใช่อวดนะ ทำได้จริงๆ นะไม่งั้นลูกหลานเล็กๆ เด็กๆ ๔ - ๕ ขวบเขาก็ทำได้ พระอายเขาโยม
นักบวชทั้งหลาย นักปราชญ์ทั้งหลายอายเขาไหม
พระองค์ที่ ๑๑ ท่านสงเคราะห์
ก็รวมความว่าท่านมาถึงที่ท่านเรียก "เธอ" นะบอกว่า "งานนี้ไม่ต้องวิตกกังวล ฉันจะเข้าคุมเธอตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป"
ในระหว่างงานทั้งหมดจึงมีกำลังสมบูรณ์แบบไม่รู้สึกเพลียในงานที่ทำ ท่านเข้าคุมจริงๆ มีแรงมหาศาล เร่งงานเหน็ดเหนื่อยมากไม่มีเวลาพักผ่อน
ไม่รู้ไม่เชื่อก็แล้วไป อยากจะไปนรกอยากไปจะสวรรค์ก็เชิญ พระองค์ที่ ๑๑ คือ พระพุทธเจ้าองค์ต้นที่เรียกว่า "องค์ปฐม" ถามว่ารู้จักหรือ
อย่าลืมว่าพระอาคันตุกะและพระที่นิมนต์มาท่านรู้จักกันนะ
บรรดาท่านทั้งหลายที่ทรงสมณศักดิ์หรือทรงศักดิ์ศรี เคยเห็นพระพุทธเจ้าไหม ถ้าไม่เคยเห็นพรพุทธเจ้า ท่านประกาศตนเป็นพระพุทธสาวกได้ยังไง
และวิชาความรู้ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไว้เป็นการพิสูจน์อย่างที่พระองค์ที่๑๐ ท่านพูด เขาบันทึกเทปมาว่า "เราต้องให้เขาพิสูจน์
เขาทดลองหรือพิสูจน์อย่างนักวิทยาศาสตร์" นั่นหมายความว่าคำแนะนำสั่งสอนของท่าน ท่านท้าให้พิสูจน์
พิสูจน์ได้แบบไหน พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติให้มันจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เตวิชโช คือหลักสูตรของวิชชาสามมันเรื่องไก่เขี่ยของก้อยๆไก่เขี่ยก็ทำได้
เท่านี้จะสามารถพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ฉฬภิญโญ หลักสูตรของอภิญญาหกอันนี้ไม่ยาก เพียงแค่ขยับปีกนิดๆ ก็ใช้ได้ ก็ทำได้ของไม่ยาก
ไม่ลำบาก แล้วอีกอันหนึ่ง "ปฏิสัมภิทัปปัตโต" คือ ปฏิสัมภิทาญาณนี้ก็ไม่หนักใช่เวลาไม่กี่อึดใจก็สามารถทำได้ ลองทำแบบนี้กันให้ได้
แล้วก็พิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนนี้ใครจะว่าอวดอุตริมนุสธรรมเปล่าก็เชิญนะไม่หนักใจเลย
พระองค์ที่ ๑๐ นี่ ท่านจะเป็นพระอะไรอาตมาก็ไม่ทราบ อาตมาถือว่าเหตุผลของท่านดี ธรรมของท่านดี ท่านไม่โลภโมโทสัน ท่านมีแต่ความเมตตาปรานี
จึงได้ยอมรับด้วยเหตุผล ใครจะว่ายังไงก็เชิญว่าตามใจชอบนะ ใครจะว่าท่านป็นพระพุทธเจ้า
ในเทปบันทึกเสียงท่านก็ไม่ได้บอกว่าท่านเป็นพระอรหันต์ จะว่าเป็นพระทรงฌานท่านก็ไม่ได้บอกว่าเป็นพระทรงฌาน ท่านบอกว่าท่านเป็นพระธรรมดาๆ
ตัวนี้ซิสำคัญ..บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะเรานี่ไปจบตอนอยู่ที่ "ธรรมดา" ถ้ามีอารมณ์ใจถึงขั้นธรรมดาได้แล้ว ทุกคนมีความสุข..!
|
|
เรื่องเก่า..เล่าใหม่ "พระองค์ที่ ๑๐"
...ผู้เขียนได้เห็นภาพนี้บ่อยๆ ระยะแรกก็คิดว่าปล่อยให้ผ่านไปดีกว่า เพราะเป็นเจตนาดีของคนรุ่นใหม่
แต่นานเข้าก็ยังมีคนนำภาพนี้มาโพสต์ให้เข้าใจผิดกันอยู่เรื่อยๆ
.
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนต้องขออภัยท่านผู้เกี่ยวข้องในอดีตทั้งหลาย ที่จำเป็นต้องเขียนเปิดเผยความจริงกัน ทั้งๆ ที่กาลเวลาล่วงมานานหลายสิบปีแล้ว
.
ก่อนอื่นผู้อ่านคงเคยเห็นภาพนี้อยู่บ่อยๆ แล้วได้ถูกนำมาโพสต์อยู่เสมอ จนกระทั่งได้มีการนำภาพรูปปั้นพระองค์ที่ ๑๐ จากวัดท่าซุงมาคู่กับพระสงฆ์รูปนี้
(ซึ่งความจริงท่านเป็นสามเณร)
.
โดยเข้าใจว่าเป็นพระองค์ที่ ๑๐ (หรือพระองค์ที่ ๑๑) ท่านมาด้วยกายเนื้อ ซึ่งแต่ก่อนก็ยังไม่ได้นำภาพมาคู่กันเช่นนี้ (เวลานี้เอาภาพมาใส่กรอบสีทองด้วย)
.
จึงขอความกรุณาดูภาพเดิมจากเว็บวัดท่าซุง ซึ่งมีรายละเอียดจากวัดท่าซุงโดยตรง (โพสต์ไว้ตั้งแต่ปี 2008 โดยไม่มีภาพพระสงฆ์รูปนี้เลย)
จึงขอยืนยันว่าเป็นความเข้าใจผิดกันเอง
ฉะนั้น เรื่องภาพพระสงฆ์รูปนี้ หากได้กราบเรียนถามพระอาจารย์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซึ่งท่านอยู่ที่วัดท่าซุงมานาน ท่านจะรู้เรื่องดี
.
...พระอาจารย์บอกว่า เห็นมีการโพสต์ภาพนี้มานานแล้ว ความจริงท่านเป็น "สามเณร" มาจากนครสวรรค์ เคยมากราบพระอาจารย์ชัยวัฒน์บ่อยๆ ท่านรู้จักกันดีมาก่อน
ไม่ใช่พระองค์ที่ ๑๐ หรือ ๑๑ อย่างที่เข้าใจกันนะ
คำชี้แจง
...สำหรับเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๒๘ ต่อมาภายหลังปี ๒๕๔๙ มีข้อความพาดพิงถึง พระอาจารย์ชัยวัฒน์ ว่า
"ภายหลังพระรูปที่รับสมอ้างว่าเป็นพระองค์ที่ ๑๐ ไปสร้างวัด....แล้ว หลวงพี่ชัยวัฒน์ยังไปรับรองกับบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อ องค์นั้นแหละ
พระองค์ที่ ๑๐...
เมื่อเป็นดังนั้นจึงมีลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อจำนวนมากแห่กันไปหา ท่านเองก็พลอยรับสมอ้างไปกันใหญ่โต.."
เรื่องนี้ "พระอาจารย์ชัยวัฒน์" ท่านขอให้ชี้แจงว่า ความจริงมีคนมาถามท่านที่วิหารสมเด็จองค์ปฐม ท่านก็เล่าตามความเป็นจริงทั้งหมด
แล้วสรุปคำตอนท้ายว่า
"ตอนที่ท่านอยู่วัดท่าซุงนะ เป็นพระองค์ที่ ๑๐ จริง แต่พอออกไปแล้วก็ไม่ใช่นะ.."
ภายหลังคำพูดนี้มีคนนำไปเล่าต่อๆ กันไป อาจจะเล่าไม่ครบถ้วน จึงมีความเข้าใจผิดกัน หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจดีนะ
...ไม่ใช่องค์นี้ แล้วก็ไม่ใช่องค์นั้น (พระองค์ที่ ๑๐ ไม่ได้มาแบบกายเนื้อ ท่านแค่มาแฝงพระรูปนั้นไว้เท่านั้น แต่พระรูปนั้นท่านเข้าใจไปเอง
ว่าท่านคือพระองค์ที่ ๑๐) แต่ห้ามเอ่ยชื่อท่านเป็นอันขาด ขอให้รู้กันโดยนัยก็แล้วกัน..นี่คือความเป็นจริง
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังมีลายพิมพ์ของหลวงพ่อฯ ด้วยตนเองของท่าน ได้ส่งด่วนถึงครูพรนุชและผู้เขียน เพราะท่านเป็นห่วงว่า จะพลาดไปเป็นเครื่องมือของเขา
เรื่องนี้ผู้เขียนเก็บเอกสารแผ่นนี้ไว้นานแล้ว จึงขอนำมาเปิดเผยไว้เฉพาะในเว็บวัดท่าซุง (ไม่อนุญาตให้ผู้ใดคัดลออกออกไป)
เพราะเป็นเอกสารส่วนตัว ไม่เหมาะที่นำออกไปสู่สาธารณชน
ข่าวเรียกพรนุชไปพบ
เวลา ๒๒.๐๐ น. ของวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๒๘ มีโทรศัพท์ไปถึงวัดว่า "พระ.." เรียกพรนุชให้ไปพบที่วัดคลองเตยใน เวลา ๑๘.๐๐ น. วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๒๘
คืนวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๘ ไปพบท่านย่า แม่ศรี ท่านทั้งสองบอกว่า "อย่าให้ลูกไปนะ เสียศักดิ์ศรี เพราะไม่ใช่ของจริง" เมื่อท่านพาไปนิพพาน ท่านแม่มัทรีทราบ
ก็ห้ามอีก ให้ถามพุทธบิดา
สมเด็จท่านตรัสว่า "ฉันจะมาตามที่บอกไว้เท่านั้น คือ เป่ายันต์เกราะเพชร เดือน พฤศจิกายน ๒๕๒๘, เดือน มีนาคม ๒๕๒๙, และฉลองวัด ปี ๒๕๓๐
ทุกวันฉันพบเธออยู่แล้ว ฉันไม่มีเวลารุ่มร่ามมาเที่ยวพบคน
เรื่องต่อต้านอลัชชี ฉันให้เธอและลูกๆ ทำอยู่แล้ว ไม่ต้องยกขบวนไปที่ไหนอีก ที่วัดนี้เป็นศูนย์สำคัญอยู่แล้ว
เราสร้างคนให้ได้ญาณไปต่อต้านทั่วประเทศอยู่แล้ว รวมทั้งต่างประเทศด้วย ไม่มีการยกขบวนไปรบที่ไหนอีก
บอกลูกหลานทุกคนว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เลิกเชื่อเนื้อหนังกันเสียเลย รอเวลาไว้วันงาน ๓ งานเท่านั้น อาจจะพบเนื้อหนังหรือไม่พบเลยก็ได้ แต่ฉันมาแน่
อาจจะมาตามเดิม คือคลุมเธอตลอดวันเท่านั้นก็ได้ เสียดายความดีที่ลูกๆ ทำได้ ทำไมไม่ใช้ญาณให้เป็นประโยชน์ ช่วยบอกเธอด้วยว่า
พระพุทธเจ้าไม่ลงมาเพ่นพ่านโดยไร้เหตุผล รอ ๓ งานนั้นก็แล้วกัน ถ้าไม่เห็นตัว ไหว้ที่แท่นพรมขาว หรือที่เธอนั่งรับแขกก็ชนหน้ากัน พอแล้ว
อย่าเชื่อใครที่ไหนว่าเป็นพระพุทธเจ้ามาเดินดินอีก.."
ลงชื่อ..................................
(พระสุธรรมยานเถร)
๒๒ เมษายน ๒๕๒๘
เวลา ๒๒.๓๐ น.
|
|
|
|
|