ประวัติการสร้างวัดท่าซุงของหลวงพ่อฯ (พระครูปลัดอนันต์บันทึก ตอนที่ 2)
บันทึกโดย..พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ
หลวงพ่อได้อภิญญา
หลวงพ่อท่านเก็บเยอะนี่ ท่านเก็บ ไม่ออกมาเยอะ ใช้นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น ท่านบอก ถ้าเขาไล่เราเมื่อไหร่ละก็ไปกินข้าวกลางแม่น้ำสะแกกรังนะ
เอาเราไปด้วยรึเปล่าไม่รู้ (หัวเราะ) ท่านก็บอก ไปกินข้าวกลางแม่น้ำสะแกกรังสัก ๒ วันละไอ้นันต์เอ๊ย วัดนี่แตกวัดท่าซุงนี่แตก มันจะลือกันไปใช่ไหม ทีนี้ละ
ท่านห่มผ้าสีตองอ่อน สียังไงไม่รู้ตองอ่อนจะเปลี่ยนสี
อภิญญานี่ทำได้ ไม่ใช่ท่านพูดแล้วทำไม่ได้นะ ของท่านทำได้จริง พูดแล้วไม่ใช่ว่าให้ลูกศิษย์ลูกหาบอกว่าท่านนี่เก่งนะ อย่าให้อาจารย์ทำนะ
อย่างสมัยโบราณใช่ไหม อย่างพราหมณ์หรือไง พวกเดียรถีย์นะ กูจะเหาะมึงอย่าให้กูเหาะเชียวนะ มึงรั้งไว้นะ อย่านะ อาจารย์อย่า แต่ของท่านทำได้ ท่านลองของ
ลองแล้วก็ไม่ได้ใช้ หลวงพ่อส่วนมากจะใช้เจโตฯ ใช้มากเจโตฯ
ท่านบอกก็ไม่ได้ใช้อะไร บอกพระมาบอกใช่ไหม พระมาบอกวันนี้มีใครมาบ้าง คนมีมาระดับไหน มาแล้วจะได้มรรคได้ผลไหม ต้องพูดอย่างไรถึงจะรู้เรื่อง
สังเกตที่เราลากท่านมา (ลากรถเข็นที่หลวงพ่อท่านนั่ง) ท่านจะมองหาคนแล้ว เอ้อไอ้คนที่ท่านรู้มา มันมารึยัง ท่านจะบอกการแต่งตัวมาเลย คนกำลังใจขนาดไหน
คนนี้พูดยังไงถึงจะรู้เรื่อง ทักยังไงถึงจะรู้ อะไรอย่างนี้
(ก็แสดงว่าที่หลวงพ่อพูดแล้วมันถูกจุดคนโน้น ถูกใจคนนี้ ก็แสดงว่ารู้ล่วงหน้ามาแล้วใช่ไหมครับ)
ส่วนมากพระท่านคุมทั้งวันทั้งคืน ไอ้เราพระท่านไม่ยอมให้คุมด้วย (หัวเราะ)
ไอ้คนที่ประตูน้ำมันกินเหล้าเมาจัด มันนั่งอยู่ข้างนอก แล้วหลวงพ่อก็เทศน์ออก ทีวี เสียงมันก็ออกมาข้างนอกนะ ท่านพูดฉลาด ท่านไม่ได้ว่าคนโน้นคนนี้
บอก บางคนบางทีกินเหล้าเมาเสียจนเป๋ไปเป๋มา แล้วก็บอกค้าขายไม่ดี มันจะดีได้อย่างไร ก็ไปมัวเมาซะ แค่นั้นแหละ ไอ้คนนั้นกลับบ้าน
พอกลับบ้านไปถึงปุ๊บมันอธิษฐานเลยนะ ไอ้ดอกไม้พวงมาลัยที่วางอยู่นะ ถ้าหากหลวงพ่อแน่จริงนะ พรุ่งนี้ให้ขายให้ได้ ภายในเวลาเท่านั้นๆๆ แล้วมันจะมาทำบุญ
ก็ปรากฏว่าขายได้จริงๆน่ะ
พอเข้ามาจะทำบุญปุ๊บ ท่านเทศน์ต่อไปเลยว่า ไอ้บางคนน่ะ พอขายไม่ดีมันก็ท้ากับพระ บอกว่าถ้าพระแน่จริงต้องช่วยให้ขายไอ้โน้นไอ้นี่ แล้วมันจะมาทำบุญ
บางทีวันนี้ก็มีมาเหมือนกันนะ ไอ้นั่นตั้งแต่วันนั้นนับถือชั่วชีวิตเลย แล้วมันขายของดีด้วย เลิกกินเหล้าไปเลย
เอ้า จริงๆ ลูกหลวงพ่อมักเป็นโจรกลับใจเสียเยอะ พวกเขี้ยวลากดินมาทั้งนั้น (หัวเราะ)เมื่อสมัย ๑๐ ปีก่อนโน้นน่ะ นี่เขาเล่ามา เราไม่รู้
หลวงพ่อยังนั่งสอนอยู่ตรงนี้ใช่ไหม ไอ้คนนั้นน่ะมันเตรียมปืนผาหน้าไม้แล้ว คือจะไปฆ่าเขานะ แล้วเพื่อนอีกคนบอก เฮ้ย..ก่อนจะไปฆ่าเขานะ
ไปที่ซอยสายลมหลวงพ่อฤๅษีท่านดังนะ เหรียญท่านเหนียว เผื่อเขาจะยิงเรามันจะได้ยิงเราไม่ออก
ก็มาซอยสายลม พอนั่งปุ๊บ หลวงพ่อฉลาดอยู่แล้วนี่ เวลาท่านเทศน์ท่านเทศน์รวมไปเลย แต่ว่าเทศน์เรื่องนั้นน่ะไปจี้ไอ้คนนั้นคนเดียว บางคนอาฆาตพยาบาท
เตรียมปืนผาหน้าไม้จะไปฆ่าเขา แล้วเขาลืมนึกไปว่าคนที่เป็นญาติของเขาจะต้องล้างแค้นล้างกันไปล้างกันมา เทศน์ไปเทศน์มาปุ๊บ ก็สะกิดเพื่อนบอก
เฮ้ย..สงสัยไม่ต้องไปก็ได้ว่ะ (หัวเราะ) เหรียญเหริญกูไม่เอาแล้ว แล้วก็เลยไม่ต้องฆ่าเขา ทุกวันนี้ก็อยู่รอดปลอดภัยสบายดี
สะเดาะกุญแจ
มีอยู่คราวหนึ่งนะเรื่องนี้ เรื่องสะเดาะกุญแจนี่ ไม่ใช่ฉันสะเดาะเองหรอกนะ หลวงพ่อท่านจะไปจันทบุรี ไปปีละครั้ง สมัยก่อนไปบ้าน คุณสมบูรณ์
เวสารัชชานนท์ คุณสมบูรณ์ สมัยก่อนจริงๆ แกไม่ค่อยเชื่อ นินทาได้ตอนนี้แกตายไปแล้ว (หัวเราะ) แกเพิ่งตายทีหลังหลวงพ่อได้ไม่กี่วัน
ก็งานศพหลวงพ่อยังมากันเลย ยังคุยกันเอิ๊กอ๊ากๆ หัวร่อกันดี หัวร่อไปหัวร่อมา ๕๐ วันนี่ยังมาพวกเรายังบ่นกนอยู่ว่า ยังมาล้อเล่นว่า
นี่โกนหัวไปครึ่งแล้วยังไม่มาบวชอีกหรือ
กลับไปได้อาทิตย์หนึ่งก็ตาย คุณสมบูรณ์แกเล่าให้ฟัง ใครว่าหลวงพ่อดีนี่แกไม่เชื่อ พี่สาวเขาเล่าว่าหลวงพ่อเก่งอย่างนั้นอย่างนี้แกไม่เชื่อ
มีอยู่คราวหนึ่งก็ขับรถให้แม่ พี่สาวนั่งข้างหลังกับแม่ พี่สาวก็อ่านหนังสือดังๆให้แม่ฟัง แกก็ขับรถไปด้วย ฟังไปด้วย ฟังไปเรื่อย เอ๊ะ พระองค์นี้ดีจริงๆ
พูดดีพูดตรงนี่
แกไปถามพี่สาวว่าพระองค์นี้อยู่ที่ไหนก็เสียเหลี่ยม (หัวเราะ) ไปค้นหาไปวัดอาโศการามไปสืบที่อื่น จนได้หนังสือมาเล่มหรือสองเล่มนี่
แล้วไปให้คุณจีรศักดิ์ พูนผล นี่เล่มหนึ่งเพื่อนกัน วิศวกรเหมือนกัน พออ่านแล้วก็ติดตามมาหาหลวงพ่อ
หลวงพ่อก็ไปบ้าน เขาก็ต้อนรับดีนะ ทีนี้ตอนขากลับ คุณสมบูรณ์แกก็ขับรถมาส่งหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ง่วงนอน ก็ทำยังไง หลวงพ่อ บอก บูรณ์ เอ๊ะ
กุญแจมันไม่เห็นมีที่ไข มันไขยังไงวะ กุญแจบางอย่างมันมีแม่เหล็กทาบที่ก้นน่ะ ใช่ไหม แล้วไม่มีกุญแจไขเข้าไปยังไง แล้วเอาแม่เหล็กทาบมันจะลั่นโป๊ะออกมา
หลวงพ่อก็จับ เอ๊ะ บูรณ์ มันไขทางไหนวะนี่ คุณสมบูรณ์นี่ขับรถง่วงแล้ว จันทบุรีมาวัดท่าซุง มันไขทางไหนวะนี่ พอจับลั่นโป๊ะออกไป โอ้โฮ..คนง่วงๆ ตกใจ
ตกใจตาสว่างเลย ทีนี้ไม่ต้องแล้ว ท่านจับมันลั่นออกไปเองอย่างนี้ ไม่ธรรมดาแล้วๆ เราไปจับดูมั่งซิ หลวงพ่อก็บอกว่า คนเรานี่มันชอบอภิญญา ๙๙ เปอร์เซ็นต์
จะไปสอนสุขวิปัสสโกเฉยๆ มันไม่ดึงดูดความสนใจ ท่านจึงเอาอภิญญามาเติมเล็กเติมน้อยอยู่นี่ พอมีศรัทธาปุ๊บ ท่านก็สอนธรรมะเข้าไป ท่านไม่ได้เอาอภิญญามาโลดโผน
ผีเฝ้าวัด
เรื่องผีนะ วันนี้คุยกันเรื่องผีก่อน ฉันเองนี่นอนตึกเสริมศรี ตึกเสริมศรี ใครไปวัดท่าซุงจะรู้ว่าตึกเสริมศรีอยู่ตรงไหน อยู่ชายน้ำโน้นนะ
นั่นเป็นห้องเจริญพระกรรมฐานเก่า ทีนี้ไอ้มุมห้องนะมันเป็นห้องหลวงพ่อท่าน ท่านนอนอยู่คืนหนึ่ง นอนอยู่คืนหรือสองคืนนี่ ไอ้เราก็นอนข้างๆท่าน
ตกกลางคืนเราก็ตื่นมาดึกๆ เสียงหลวงพ่องึมงำๆ เราก็หวังดี หลวงพ่อครับ เมื่อคืนหลวงพ่อละเมอหรือครับ (หัวเราะ) รู้ดีเสียงงึมงำเหมือนคุยคนเดียวอย่างนี้
ไอ้ระยำละเมออะไรเล่า ผีมันมาบอก เทวดาเขามาบอกขโมยจะมาเข้าวัด ก็บอกให้มันไปห่างๆ อย่าให้มันเข้าวัดได้ เราก็นึกหลวงพ่อละเมอ (หัวเราะ)
พอหลวงพ่อไม่มานอนแล้ว เลิกนอน ฉันก็นอนแทน ไม่ได้นอนเตียงของท่านหรอกนะ ยกเตียงท่านออกไป แล้วก็ปูพื้นนอนอย่างนี้ มันเป็นห้องมิด
ห้องมุมน่ะเป็นห้องรุดประตูปิดได้ ไอ้เราก็ขี้เกียจสวดมนต์ พรุ่งนี้ค่อยสวดก็ได้ พรุ่งนี้เช้าค่อยสวด ง่วงนอนแล้ว พอนอนไปสักพักหนึ่งได้นะ
มันมีไอ้ตัวดำใหญ่ๆนี่ มายืนอยู่หน้าต่าง มันก็จี้มือมาที่เรานี่ มันเอามือชี้มาอย่างนี้ ตัวดำใหญ่คับหน้าต่างเลย บอกมึงอย่าเล่นเลยว่ะ มึงอย่าเล่น กูกลัว
มันเหมือนกับไฟช้อตอย่างนี่แหละ พอเราลืมตาเห็นมันก็เอามือลดลง ลดลงใจเราก็สบาย มึงอย่า เดี๋ยวมันเอามือมาจี้อีกแล้ว เราเหมือนกับไฟช๊อต
สั่นซ่าไปหมดเลย ทำอะไรไม่ได้ แล้วมันก็เอามือออก ไอ้ห่ะกูว่าแล้วกูไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอน เราต้องลุกมาสวด แสดงว่าผีสอนเรา คงเทวดาที่นั่นน่ะ
เพราะว่าตรงนั้นหลวงพ่อเคยบอกว่า เขาไปเป็นยามเฝ้า พี่ชายเคยเห็นมันเดินซวบๆๆ ก็ควักปืนที่ว่าจะยิงนะ ยิงไม่ออก
คนลองดีหลวงพ่อ
ตอนฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังนั่น มีเทปออกมาม้วนหนึ่ง คือ โยมปู้ ใช่ไหม ปู้ที่อยู่สุพรรณ ที่สุพรรณทีนี้พอฝึกกลับไปแล้วนี่ โยมปู้ก็ไปบ้าน
ไปบ้านก็ไปเล่าให้ลูกชายฟัง ก็บอกว่า ฉันไปท่าซุงมานี่นะ ศาลานี่ตั้ง ๑๒ ไร่ ศาลาจริงๆ นี่ตั้ง ๑๒ ไร่ และห้องน้ำนี่เป็นพันๆ เป็นพันห้องนะ
ไม่ใช่ห้องสองห้องร้อยสองร้อย เป็นพันห้อง ทีนี้ก็มีคนขัดคอคือลูกชาย
(โอ้โฮ..เจอดีเข้าแล้วนะ)
คนในบ้านขัดคอ แม่เล่าให้ลูกชายฟังก็บอก กูอยากจะไปวัดท่าซุง ศาลา ๑๒ ไร่นี่ เฮ้ย..มึงเอาตลับเมตรให้กูที กูอยากจะไปวัดท่าซุงสักหน่อย แอ็คท่าขัดคอแม่
แม่ก็ห้าม อย่าไปพูดไป อย่าพูดไป
ทีนี้เกิดยายปู้เขาจะมาวัด ลูกชายก็บอก ผมไปด้วย เฮ้ย..มึงหยิบตลับเมตรให้กูทีว่ะ กูจะไปวัดท่าซุงกับแม่ว่ะ ก็พูดหยอกอย่างนี้ ทีนี้ก็เกิดมาวัดจริงๆ
พอมาวัด พอเข้าเขตวัดเท่านั้นเอง ลูกชายชักในรถ ดิ้นในรถนั่นแหละ จะตายให้ได้เลย ยายปู้แกเคยมาวัดแล้วบอก เดี๋ยวพาเข้าโรงพยาบาลหลวงพ่อเลยๆ
ก็ชักอยู่ในรถแบบนั้น
ยายปู้ก็นึกถึงได้ว่า ไอ้คนนี้มันพูดปรามาสหลวงพ่อไว้ ปรามาสวัดท่าซุง ชักในรถใช่ไหม พอแกคิดอย่างนั้นแกก็บอกให้ นี่มึงขอขมาหลวงพ่อซะ ขอขมาหลวงพ่อซะ
ไอ้ลูกชายก็ขอขมานอนชักมือสั่น พอขอขมาเสร็จไม่ต้องไปโรงพยาบาล หายเดี๋ยวนั้นเลยนี่ หายไปเลย บอก โอ้โฮ..หลวงพ่อเล่นปราบ ทีนี้ลูกชายคนนี้กลับไปบอก
กูเชื่อแล้ววัดท่าซุงวัดนี้ นี่ยายปู้มาเล่า แกเล่าตลกกว่านี้นะ แกสุพรรณนี่ พ่อมันแล้ว ทีนี้ลูกมันอีก ลูกมันเป็นแบบวัยรุ่นนี่
(ลูกของลูกชายนะหรือ)
ใช่ ลูกชายมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพ กลับไปก็ได้ข่าวว่าวัดท่าซุง มันวัดใหญ่ใช่ไหม ๒๐๐ กว่าไร่ ก็มาก็มากราบหลวงพ่อ ไอ้เด็กวัยรุ่นคนนี้ก็เข้าไปในวิหาร
๑๐๐ เมตร พอเข้าไป พอไหว้หลวงพ่อ กลับมาลักรองเท้าเลย คู่ละ ๑,๖๐๐ รองเท้าอะไรก็ไม่รู้ ลักไปเลย อะไรสกอร์ อะไรของจริงพันกว่าบาทนี่ ลักไปเลย
ยายปู้ไปเห็นหลานชายลกรองเท้ามาก็บอก อุ๊ย...มึงเอ๊ยวันนี้เขาต้องจับถ่ายรูปขึงไว้หน้าวัดแน่เลย มึงหนีไม่รอดแน่แล้ว กูจะอายขายขี้หน้า
เขารู้จักกูเสียด้วยซิ (หัวเราะ) เขาต้องถ่ายรูปไว้แน่ละ แกก็ใจคนไม่ดีสั่นไปหมด กลัวตำรวจเขาจะจับได้
พอขึ้นรถก็ไปเที่ยวรอบวัด ไปถึงที่สมเด็จองค์ปฐม มีคนเดินไปเฉยๆ ไปถึงหยิบรองเท้าที่มันถอดไว้จะขึ้นมณฑปองค์ปฐม เนี่ย ไปหยิบไปเฉยๆเลย
หยิบแล้วก็เดินกลับทันที ไม่ได้ถามว่ารองเท้านี่เอาไปยังไง เดินไปเอารองเท้าคู่นั้นน่ะ เดินเอารองเท้ามาเฉยๆ
มีอะไรดลใจให้ไปเอายังงั้น
เออ แล้วก็ไม่รู้ใครจะถามคนไปเอารองเท้า จะถามซะอย่างว่า นี่แกเอารองเท้าฉันมาหรือ นี่รองเท้าของฉันนะ ไม่พูด ไปถึงก็หยิบแล้วก็เดินกลับเลย
ยายปู้บอกเขาต้องไปแจ้งตำราจวัดแล้ว เขาต้องปิดประตูแล้วล่ะ เขาต้องจับ อะไรยังงี้
นี่หลานชายแกก็ขึ้นไปไหว้พระข้างบนแล้วก็ลงมา พอลงมาก็บอกกับย่าคือ ยายปู้ ผมเชื่อแล้วครับว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงศักดิ์สิทธิ์
เพราะว่าผมเข้าไปกราบพระศพท่าน ผมอธิษฐานไว้ ถ้าหลวงพ่อวัดท่าซุงเก่งจริง อย่าให้มันลักรองเท้าออกจากวัดได้ มันจะนับถือตลอดชีวิตเลย
แล้วเขาก็ไปเสี่ยงเซียมซีบนมณฑปองค์ปฐม เซียมซีก็บอกว่า พ่ออยากเจอนัก ไอ้คนจริงนี่ เซียมซีบอกเสียด้วยนะ พ่ออยากเจอนักคนจริงนี่
เออ..ขอให้มึงตั้งใจเรียนหนังสือให้ดีนะ ต่อไปจะเป็นเจ้าคนนายคน เป็นใหญ่เป็นโต อะไรยังงี้นะ เอ๊ะ..เซียมซียังงี้ไม่เคยพิมพ์ แล้วคนที่ไปเอารองเท้านี่
นี่เข้าใจว่าไม่ใช่คนธรรมดาหรอก คงจะโปรดไอ้คนนี้แหละไอ้คนธรรมดาถ้าเป็นเจ้าของรองเท้า ก็ต้องถามไอ้นี่มึงลักของกูมานี่ แล้วตำรวจมีต้องให้มันจับ
อะไรยังงี้ นี่มันเอารองเท้ามาเฉยๆ ไม่ถามสักคำว่าไปเอารองเท้ามาหรือรองเท้าใครยังงี้น่ะ ไปหยิบรองเท้ามาก็มาเฉยเลย บอกเออ ก็แปลก ทีนี้บ้านยายปู้สุพรรณนี่
เขาลือกันแหมดซิ ก็ปราบเซียนแล้วนี่ ปราบไอ้คนบ๊องๆ
ไอ้รายแรกนั่นตลับเมตรจะไปวัดวัดหรือ
ชักในรถเลยนะ ยังไม่ทันเข้าวัด เข้าเขตวัดนั่นแหละ เข้าเขตก็ชักเลย ทีนี้มันก็เชื่อซิ โพทนากันไปหมด
พระสายเหนือ
เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๘ หลวงพ่อท่านก็ป่วยมาตลอด ก็ให้จัดงานหล่อรูปหลวงปู่ปานกับรูปหลวงปู่ใหญ่ ที่อยู่ด้านหน้าพระอุโบสถนั้น ๒ องค์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา และสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เสด็จมาในงานเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน
ก่อนจะจัดงานนั้นขึ้น หลวงพ่อได้พาลูกศิษย์ไปกราบนมัสการพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สายทางเหนือ เรียกว่าสายพระเหนือ ท่านบอกว่า
พระให้พาลูกศิษย์ไปรู้จักกับพระสายเหนือ โดยที่ท่านเจ้ากรมเสริม ได้พิมพ์หนังสือออกจำหน่ายในภายหลัง คือ หนังสือเรื่องล่าพระอาจารย์ มีอยู่แล้ว
ถ้าเล่าไปก็อาจจะผิดพลาดบ้าง เพราะไม่ได้ไปในเหตุการณ์ ถ้าท่านทั้งหลายอยากทราบก็ไปหาซื้อหนังสือนี้อ่าน
ก็ขอเล่าแต่เฉพาะที่ว่า เมื่อพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาที่วัดท่าซุง ก็มี
หลวงปู่บุดดาถาวโร นี่พระอรหันต์องค์หนึ่ง
หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล
หลวงปู่คำแสนใหญ่ (พระครูสุคันธศีล) วัดสวนดอก
ครูบาอินทจักรรักษา วัดบ่อน้ำหลวง
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง
หลวงปู่กล่อม (พระธรรมวราลังการ) วัดบุปผาราม
หลวงปู่ชุ่มโพธิโก วัดวังมุย และ
ครูบาธรรมชัย ธัมมชโย วัดทุ่งหลวง พร้อมด้วย
ครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระบาทห้วยต้ม
เมื่อท่านมาที่วัดพวกเราผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้า เป็นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติความดี ก็มีความซาบซึ้งปิติยินดี เป็นอย่างมาก เมื่อนิมนต์ท่านมาแล้วนี่
หลวงพ่อให้จัดกุฏิ ๑๐ หลัง อยู่ที่ด้านหลังพระอุโบสถนั้นเป็นที่รับรอง จะมีเจ้าหน้าของวัด ขณะนี้บวชอยู่หลายองค์ ขณะนั้นยังไม่ได้บวชเป็นผู้มีความเลื่อมใส
ปฏิบัติรับใช้ท่านประจำองค์ มีญาติโยมที่ขณะนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่หลายท่าน ที่มรณภาพไปแล้วก็หลายองค์ หลายท่านเป็นแม่ครัวจัดอาหารถวายท่านเป็นสำรับ เป็นชุดๆ
เมื่อพระสุปฏิปันโนมาตอนเช้าๆ มีการใส่บาตรกัน ท่านก็จะมารับบาตร มีหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ เป็นต้น ท่านนั่งรับบาตรอยู่ด้านหลังพระอุโบสถ
พวกเราก็เอาอาหารคาวหวานไปถวายท่าน ท่านก็นั่งกันเป็นแถว ไม่ได้ลุกเดิน นั่งเก้าอี้ถือบาตร พวกเราเป็นพระก็ดี เป็นญาติโยมก็ดี ก็ไปใส่บาตรตอนเช้า
เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้ว ท่านก็ไปฉันภัตตาหารในกุฏิ มีลูกศิษย์ที่วัดจัดไว้ปรนนิบัติรับใช้ ก็เอาอาหารคาวหวานไปถวายท่าน อย่างนี้เป็นประจำทุกวันตลอดงาน
พวกเรานี่เป็นผู้มีศรัทธา เคารพนับถือดีอยู่แล้วภัตตาหารของหลวงพ่อ หลวงปู่ทั้งหลาย ก็มีคนจัดมาถวาย แต่พวกเราลูกศิษย์ก็เยอะ เมื่อหลวงพ่อ
หลวงปู่ทั้งหลายฉันภัตตาหารเสร็จ ก็มีพวกลูกศิษย์เอาไปรับประทานกัน หลังจากครูบาอาจารย์ฉันภัตตาหารเสร็จ ถือว่าของเหลือนั้นเป็นมงคล เป็นสิ่งที่เป็นทิพย์
เป็นมงคล เป็นกำไรชีวิต อิ่มด้วย คงจะรสเลิศ
เมื่อญาติโยมทุกท่านที่นำอาหารไปถวายพระสุปฏิปันโนที่มาในงานเสร็จ ก็จะยกสำรับมาคืนญาติ ก่อนจะถึงญาติผู้ใหญ่ พวกที่ถือมานั่นก็จะชิมเสียก่อนแล้ว
ก่อนจะมาถึงปลายมือก็เหลือน้อยถือว่าเป็นยา เป็นทิพย์ เป็นมงคล ก็จะแบ่งกันกินกันถ้วนหน้า คนที่ถือต้นมือจะได้มาก คนที่ถือปลายมือก็จะได้น้อยหน่อย
องค์ไหนที่เป็นพระอรหันต์ ที่ครูบาอาจารย์บอกว่า พระอรหันต์ ก็จะเป็นที่เพ่งเล็งเป็นจุดสนใจของบรรดาลูกศิษย์ที่มีศรัทธาแก่กล้า มีอยู่คราวหนึ่ง
เป็นสำรับของหลวงปู่บุดดา ถาวโร ซึ่งลูกศิษย์ได้ยกมาหลังจากท่านฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ก็มีอาหารที่เหลือจากท่านถือว่าเป็นมงคลอันสูง ก็ค่อยแบ่งกันกิน
เหมือนพี่เหมือนน้อง แบ่งกันคนละเล็กละน้อย กว่าจะถึงแม่ครัวปลายมือก็จะเหลือน้อยแล้ว ก็บอกว่า
นี่นี่..สำรับของหลวงปู่บุดดา ใครจะเอาก็มา ใครจะเอาก็มาแบ่ง คนมาทีหลังได้อะไรก็เอาทุกอย่าง ก็มีอยู่ชามหนึ่งที่เหลืออยู่ คนส่วนมากก็จะ เข้าใจว่า
เป็นน้ำลิ้นจี่ ลิ้นจี่กระป๋อง แต่เนื้อนั้นนะ มีผู้เอาไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่น้ำ แต่ถึงเหลือแต่น้ำ ก็ไม่ว่ากัน เป็นยา เป็นมงคล บางคนก็ดื่มไปบ้าง
แบ่งให้คนอื่นดื่มบ้าง ดื่มไปหลายคน ไม่มีใครว่าอะไร
พอมาถึงคนที่ช่างสังเกต ช่างสงสัย พอดื่มเข้าไปหน่อย ก็ออกปาก นี่มันอะไรว่ะ น้ำลิ้นจี่อะไรวะ ไม่หวานเลย ทุกคนที่กินเข้าไปหลายคนแล้ว
แต่ไม่มีใครปรารภขึ้น พอมีผู้อาวุโสทักว่า นี่น้ำอะไรวะ ไม่หวานเลยน้ำลิ้นจี่ ลูกศิษย์ที่อยู่ก้นกุฎิอยู่ในเหตุการณ์ก็ว่า ไหนไหนไหน ผมขอดูหน่อย
เมื่อลูกศิษย์ก้นกุฏิที่ถือมาขอดู ก็บอกว่า นี่น้ำลิ้นจี่ที่ไหนครับ มันจะหวานได้อย่างไรละครับ ก็นี่มันน้ำล้างฟันปลอมหลวงปู่นี่
แต่พวกเราก็ซัดกันไปหลายอึ๊ก
แล้วพอพูดว่าน้ำล้างฟันปลอมหลวงปู่เท่านั้น ผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้า ถือว่าเป็นมงคลก็เกิดอาการลำไส้ปั่นป่วน ก็ดึงของเก่าที่กินอยู่เบื้องแรกออกมา
พุ่งออกมา โอกอาก โอก พุ่งเป็นหลาวออกมาจากลำไส้ แสดงถึง (หัวเราะ) ศรัทธาที่มีอยู่นั้นมันปั่นป่วน จึงดึงน้ำล้างฟันปลอมหลวงปู่ออกมาหมด ท่านสาธุชนคิดดู
ก็เป็นการที่ฮือฮา หัวเราะกันน้ำตาไหล ว่านี่นะ
การดื่มน้ำฟันปลอมของหลวงปู่นั้นมีฤทธิ์มาก เขาวิจารณ์กัน บอกแล้วว่า กูนึกแล้ว น้ำลิ้นจี่อะไรวะ กูเห็นมีพริกลอยอยู่ กูนึกแล้วว่า มันทำไมถึงไม่หวาน
แต่พวกที่ดื่มไปก่อนนั้นแล้วก็หลายคน ก็นึกหัวเราะว่า ศรัทธานั้นดี พระพุทธเจ้าสรรเสริญ แต่ปัญญาน้อยไป เลยเป็นอย่างที่เล่ามานี้แหละ
การทำบุญกับพระสุปฏิปันโนนั้น เราก็ทำกันเฉพาะกลางวัน ส่วนกลางคืนเราก็ปิดประตูสนทนากัน ไปกราบไปภาวนากันเป็นปกติ เมื่อหลวงพ่อท่านนิมนต์อย่างนี้
ท่านก็ถวายจตุปัจจัยทุกอย่างให้ท่าน ไปบูรณะวัดของท่านทุกองค์
ฝั่งพระอุโบสถปัจจุบันนั้น หลวงพ่อท่านสร้างพร้อมๆกัน เกือบทั้งหมด เมื่อสร้างพระอุโบสถแล้ววางศิลาฤกษ์ แล้วก็สร้างกุฏิ ๑๐ หลัง สร้างอาคารธรรมสถิต
สร้างศาลานวราช สร้างศาลาพระพินิจอักษร อยู่ในคราวเดียวกันเลย เมื่อขึ้นก่อสร้าง พร้อมๆกันเหล่านั้น ก็มีการใช้จ่ายมาก แต่ถึงกฐินที
เราก็จะชำระหนี้สินครั้งหนึ่ง
วันอาทิตย์ที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จครั้งนั้นอีกวาระหนึ่ง รายละเอียดนั้นหลวงพ่อเราเคยเล่าไว้ในหนังสือ
พระเมตตา เมื่อท่านไปอ่านก็จะรู้ ประวัติที่ท่านคุยกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นเช่นไร อาตมาอ่านมาเที่ยวเดียวก็จำไม่หมด หากท่านสนใจก็จะรู้
บ้านเมืองเราตอนนั้นยังไม่สงบมากนัก
แต่ท่านก็รับรองกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า บ้านเราไม่เป็นขี้ข้าใคร จะค่อยๆเจริญรุ่งเรืองตามลำดับ ขณะนี้ พ.ศ. ๒๕๓๘ เมื่อมองย้อนไปถึง พ.ศ. ๒๕๒๐
ก็จะรู้ว่าขณะนั้นกับขณะนี้ บ้านเมืองเจริญขึ้นมามาก ก็จะตรงกับที่ท่านพูดกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
บ้านเมืองเราจะค่อยๆเจริญเหมือนแสงอาทิตย์เริ่มขึ้น
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ นั้น ที่มีความสำคัญก็เพราะว่า หลวงปู่ชุ่มโพธิโก ที่เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ที่เข้านิโรธสมาบัติ
เป็นพระที่มีความสำคัญในสายเหนือองค์หนึ่ง หลวงปู่ชุ่มนั้น เป็นผู้ที่เคารพรักกับหลวงพ่อมาแต่อดีตกาล ตั้งแต่หลายแต่ชาติมาแล้ว
ได้ไปเยี่ยมหลวงพ่อเราที่กุฏิ โดยที่ท่านขอไปเยี่ยมเอง ท่านเล่าว่า ได้ขึ้นไปบนกุฏิท่าน ท่านบอกว่า ห้องของน้องสวยงาม นั่งอยู่ก็มาเยี่ยม แต่จริงๆ
แล้วท่านจะมาพูดธุระส่วนตัว
หลวงพ่อเล่าให้รู้ภายหลังว่า ท่านมาหาแล้วก็บอกว่า น้องต้องอยู่ช่วยบ้านเมืองต่อไปอีก แต่พี่จะมรณภาพก่อน ขอมอบลูกแก้วจักรพรรดิ์ ที่เป็นของตระกูลเรา
ที่รักษาไว้ให้น้องรักษาต่อไปจะได้บูรณะวัด สร้างวัดได้ตามประสงค์ ฉะนั้น หลวงปู่จึงได้มอบลูกแก้วจักรพรรดิ์ ให้หลวงพ่อได้สร้างวัดต่อไป
สร้างวัดต่อ
เมื่อผ่าน พ.ศ. ๒๕๒๐ มาแล้ว หลวงพ่อก็ดำริกับอาตมาว่า นันต์ ต่อไปนี้เราก็ควรจะหยุดสร้างกันแล้ว เบากัน ที่เหนื่อยพักผ่อนไว้ไปเยี่ยมเขาวัดโน่นวัดนี่
ที่เขาเคารพนับถือดีกว่า ไม่เหนื่อย การก่อสร้างของเราจึงทุเลาลง ท่านจึงให้อาตมาเอากระเบื้องที่โรงงานสระบุรีถวายมาจำนวนมาก ให้เอาไปถวายวัดสุขุมาราม
ที่อ. บางมูลนาก จ.พิจิตร จำนวน ๑ คันรถหกล้อ เพราะว่าวัดเราหมดความจำเป็นที่จะสร้างแล้ว
เมื่ออาตมาเอาสิ่งก่อสร้างบางส่วนไปถวายวัดอื่นเสร็จไม่กี่เดือน หลวงพ่อก็มีดำริว่า พระพุทธเจ้าท่านให้ลงมือสร้างต่อไป โดยขยายที่ไปทางข้างโรงพยาบาล
ซื้อที่ข้างนั้น ๓๐ กว่าไร่ และซื้อที่รอบศาลา ๓ ไร่ปัจจุบัน ศาลา ๒ ไร่ ซื้อที่ครบไปเลย
ตอนนี้เองเมื่อลงมือก่อสร้างรุ่นหลังนี้ท่านสร้างคราวเดียวพร้อมกันใช้ช่างหรือคนงานประมาณ ๓๐๐ คน เห็นจะได้ เพราะขึ้นทีเดียวพร้อมๆกัน ท่านเล่า "สมเด็จ"
คือ พระพุทธเจ้า ให้ท่านสร้างให้ลุยงานไปเลย
ท่านบอกเรื่องเงินท่านจะหาให้ หลวงพ่อท่านก็สั่งเกรดที่ปรับที่ คือ ตัดต้นไม้ที่ไม่มีความจำเป็นออก ใช้รถแทรกเตอร์ไถลุยสิ่งที่ไม่จำเป็นออก
เหลือไว้แต่ต้นไม้ใหญ่ๆ ตรงที่ศาลา ๓ ไร่ ปัจจุบันก็ดี ตึกอำนวยการและพระจุฬามณีก็ดี ตึกกลางน้ำก็ดี แถวนั้นเป็นที่ลุ่มบ้าง
ท่านก็สั่งแทรกเตอร์ขุดลานดินขึ้นไปถมเป็นเนิน ทำเป็นสระแล้วปลูกอาคารในสระที่ท่านเรียกว่า ตึกกลางน้ำก็ดี ตึกธัมมวิโมกข์ก็ดี ตึกอำนวยการก็ดี
พระจุฬามณีก็ดี ศาลาพระนอนก็ดี ขึ้นพร้อมกันเลย ใช้คนงานมากหลายช่าง ท่านลุยงานใหญ่ทำพร้อมกันเลยทีเดียว เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก
เมื่อทำงานอย่างนั้นแล้วคนเข้ามารายงานก็มาก คนเริ่มสนใจพระกรรมฐานเพิ่มขึ้น คนปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเพิ่มขึ้น จนการทำงานกฐินแต่ละคราว
ที่พระพินิจอักษรปัจจุบันนั้นเต็ม ไม่พอต้อนรับญาติโยม ท่านเลยดำริสร้างศาลา ๒ ไร่ขึ้นอีก ๑ หลัง คือใช้เนื้อที่ ๒ ไร่เพิ่มขึ้น เมื่อการก่อสร้างเพิ่มขึ้น
คนปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้น ก็จำเป็นต้องก่อสร้างสาธารณประโยชน์ ห้องพัก เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหลวงพ่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างนั้น ก็เริ่มสร้างพระขึ้นมา เรียกว่า
พระชำระหนี้สงฆ์ คือ สร้างไว้ตามกำแพงที่วัด เริ่มแรกข้างศาลา ๓ ไร่ ก่อน
เรื่องพระชำระหนี้สงฆ์นั้น เป็นพระที่สร้างชำระหนี้สงฆ์ในอดีตทั้งหมดของตัวเอง คือ คนเราเกิดมานั้น ไม่ทราบว่า
จะมีกรรมอะไรมาเบียดบังทำให้เกิดความขัดข้องหมองใจ ความขัดข้องในการทำธุรกิจ ความขัดข้องใจอยู่ไม่เป็นสุขก็ดี อาจเนื่องมาจากเคยหยิบเอาของสงฆ์มาใช้ในอดีต
องค์สมเด็จพระบรมครูจึงแนะนำหลวงพ่อให้สอนวิธีชำระหนี้สงฆ์ ให้แก่ลูกศิษย์
สมัยก่อนหลวงพ่อจะปรารภอยู่เสมอว่า การฝึกกรรมฐานก็ดี การปฏิบัติธรรมก็ดีมีอยู่ด้วยกัน ๔ แบบคือ
- สุกขวิปัสสโก
- เตวิชโช
- ฉฬภิญโญ
- ปฏิสัมภิทัปปัตโต
คือ สุกขวิปัสสโก เป็นการปฏิบัติธรรมแบบเรียบๆ มีมรรคมีผล แต่ไม่มีความรู้พิเศษ ส่วนเตวิชโช หรือวิชชา ๓ นั้น ปฏิบัติธรรมมีมรรคมีผลเหมือนกัน
แต่จะมีความรู้พิเศษ มีทิพจักขุญาณ คือ มีความรู้เป็นทิพย์สามารถจะรู้ว่า คนเกิดมาจากไหนมาเป็นต้น คือมีญาณ ๘ ประการ ส่วนฉฬภิญโญนั้น เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก
สามารถจะแสดงฤทธิ์ได้ ๕ อย่าง ถ้า ๖ อย่างก็จะได้อภิญญา ๖ คือ หมดกิเลสไปด้วย
แต่อีกอย่างหนึ่งเขาเรียกว่า ปฏิสัมภิทัปปัตโต คือ ปฏิสัมภิทาญาณ คือ จะมีความรู้พิเศษกว่าองค์อื่นๆ สามารถจะรู้ภาษาสัตว์ ภาษานกภาษากา
ภาษาสัตว์ต่างๆทุกชนิด มีความเฉลียวฉลาดในการสอนธรรม หรือปฏิบัติธรรมกว่าองค์อื่น แต่ขณะนี้ ที่พูดอยู่นี้ ที่เขียนหนังสืออยู่นี้
วัดท่าซุงหรือวัดจันทราราม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านสอนไว้ ก็คือ สอนกรรมฐานทั้งหมด ๔๐ กอง พร้อมด้วยมหาสติปัฏฐานสูตร
แต่ก็มีพิเศษอย่างหนึ่งคือ การฝึกมโนมยิทธิ คือ มีฤทธิ์ทางใจ บางคนก็มาพูดว่าสอนนอกลู่นอกทาง จะไม่จอวิจารณ์คนอื่น แต่จะขอพูดให้ญาติโยมเข้าใจว่า
มโนมยิทธินั้นพระพุทธเจ้าสอนมาก่อน ขอให้ท่านผู้เป็นมิจฉาทิฎฐิไปอ่านในพระไตรปิฎก เรื่องอภิญญา ไม่ใช้เพ้อฝันหรือแต่งขึ้นมาเอง เป็นการถอดอทิสสมานกาย
ออกไปเที่ยวท่องตามภพต่างๆได้ ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ขออย่าให้ท่านได้โง่เหมือนอาตมาว่า ตาบอดคลำช้าง คือ รู้ไม่ทั่ว ไม่ใช่ที่พูดนี่จะรู้ทั่ว ถึงฟังมาทั่ว
ครูบาอาจารย์สอนมาทั่ว แต่ปฏิบัติไม่ทั่ว
ฉะนั้นขณะนี้ก็จึงสอนมโนมยิทธิเป็นบางเวลา ส่วนมากก็จะสอนกรรมฐาน ๔๐ ไม่ใช่อาตมาสอน คือ หลวงพ่อราชพรหมยานท่านสอนให้ไว้ครบ ทั้งเป็นวีดีโอเทปก็ดี
ทั้งเป็นคาสเซทก็ดี ท่านสอนไว้ครบถ้วนทุกอย่าง ถ้าอาตมาจะสอนเองก็จะพาญาติโยมที่มีศรัทธาแล้วเข้ารก เข้าทาง เข้าป่า จะหาทางไปพระนิพพานไม่เจอ
เพราะผู้สอนอย่างอาตมานั้นก็ยังเป็นผู้คลำทางอยู่ไม่เหมือนครูบาอาจารย์ท่าน เป็นผู้ที่พบพระนิพพานแล้วจะง่ายในการแนะนำ
ขอท่านทั้งหลายจงนำไปประพฤติปฏิบัติเองก็แล้วกัน
เมื่อท่านสร้างศาลา ๒ ไร่เสร็จ ก็มาสร้างศาลา ๓ ไร่ เมื่อสร้างศาลา ๓ ไร่เสร็จ ก็มาจบที่ป่าไผ่ เป็นโรงอาหารแถวนั้น ให้สร้างกุฏิรอบนอกเสร็จ
ก็ซื้อที่หลังวัดไปอีกเป็น ๑๐๐ ไร่ เรียกว่าป่า ๑๐๐ ไร่ ท่านก็สั่งให้สร้างหอไตร มีพระยืน ๓๐ ศอก เมื่อช่างสร้างผนังแล้ว ก็ให้สร้างอาคารใช้พื้นที่ ๒๕ ไร่
๓ แถวขึ้น และสั่งทำกำแพงล้อมรอบวัด การทำกำแพง (มันอาจจะเล่าไม่ติด ไม่ต่อกัน ขอท่านทั้งหลายก็อย่าเวียนหัวไปด้วยก็แล้วกัน นึกอย่างไรได้ก็เล่ากัน)
การสร้างกำแพงวัดมีประวัติว่า รอบวัดด้านนอกนี่ยาวประมาณร่วม ๒ กิโลเมตรละมัง ประมาณนั้นเพราะที่คดๆ เคี้ยวๆ ที่ซื้อหลายเจ้าของไม่ติดไม่ต่อกัน
แต่เมื่อติดต่อกันแล้วก็เป็นที่คดๆเคี้ยวๆ ก็สร้างกำแพงรอบนอก หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า ที่สร้างกำแพงรอบนอกเป็นเขตวัดนั้น ท่านว่า ภายภาคหน้าจะมีปัญหา
พระท่านมาสั่งให้สร้างเมื่อสร้างเสร็จ ก็สร้างรอบนอกชั้นเดียวไปก่อน ก็ให้สร้างเลาะพื้นที่ไปเลยเทลาดยาวรอบนอก รอบที่ รอบรั้วกำแพงวัด
ท่านเล่าให้ฟังภายหลังว่า เมื่อสร้างเสร็จก็จะมีเทวดาที่ ปกปักรักษาสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิจะขนสมบัติเข้ามาในพื้นที่วัดทั้งหมด
เพื่อจะให้ฝากไว้ในเขตของสงฆ์จะได้ดูแลง่าย ไม่ต้องดูแลว่าใครจะมาเอาสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิไปใช้ ท่านจะช่วยเงินด้วย เมื่อท่านทำกำแพงรอบนอกเสร็จชั้นเดียว
คือสูงประมาณ ๒-๓ เมตร เสร็จแถวเดียวก่อน หลวงพ่อบอกว่า พระมาบอกให้เสร็จสองชั้น ให้ทำทางเดินรอบ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า เหนื่อย ไม่อยากทำ
ท่านก็ทำชั้นเดียวไปก่อน
เมื่อทำช่วงนั้นเสร็จท่านก็มาเทพื้นคอนกรีตทั้งหมด ในวัดที่มีส่วนอยู่ สร้างศาลา ๑๒ ไร่ขึ้นมา สร้างศาลา ๔ ไร่ ติดกับ ๒ ไร่ เพิ่มขึ้นมา สร้างอาคารรอบ
สร้างรั้ว สร้างรอบหมด ท่านพุทธบริษัท หรือญาติโยมที่อยู่ภายหลังอาจจะอยู่หลังหลายสิบปี หรืออาจจะล้มตายสูญหายไปหมด แต่จะมีหนังสือที่เป็นประวัติวัดอยู่
ขอให้ทราบว่า หลวงพ่อสร้างศาลา ๒ ไร่ก็ดี คนก็เต็มแน่น เมื่อเวลามีงานกฐินก็ดี เป่ายันต์เกราะเพชรก็ดี คนจะแน่นมาก จนจัดขึ้น ๒ รอบ ๓ รอบ เมื่อ ๒ รอบ ๓
รอบก็แน่นแล้ว สร้างศาลา ๔ ไร่ขึ้น คนก็เต็มอยู่ดี ก็ยังแน่น แน่นชนิดกราบไม่ได้ ๒ รอบ ๓ รอบ เหมือนกัน
เมื่อคนเต็มอย่างนี้แล้ว ก็ไปสร้างศาลา ๑๒ ไร่ คือมีพื้นที่คลุม ๑๒ ไร่ก็จัดงานพิธีกรรมทีหนึ่ง เช่นงานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งหนึ่ง หรือกฐินครั้งหนึ่ง
คนก็จะมากันเต็ม เต็มศาลา เป่ายันต์เกราะเพชรครั้งหนึ่ง ๒ รอบ ก็เต็มศาลา ๑๒ ไร่ ทั้ง ๒ รอบ ถ้าท่านอยู่เบื้องหลังนานเข้าหลายปีก็จะสงสับว่าทำไม
สร้างทำไมศาลาใหญ่โต ก็จงตอบเขาไปได้เลยว่า ครั้งที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุงอยู่นั้น พอมีงานคราวหนึ่ง เป็นกฐินก็ดี
เป่ายันต์เกราะเพชรก็ดี คนจะเต็มหาช่วงกราบไม่ได้
เมื่อหลวงพ่อท่านสร้าง สร้างส่วนศาลา ๒๕ ไร่ยังไม่เสร็จ ท่านก็สร้างโรงเรียนฝั่งตรงข้ามพระจุฬามณี มีหอพักรับนักเรียนมาอยู่ประจำมีการให้ทุนการศึกษา
เมื่อจบมัธยม ๖ แล้ว ถ้าเด็กสอบติดมหาวิทยาลัยของรัฐ ก็จะให้ทุนเด็กนั้นคนละ ๗ หมื่น ๒ พันบาท จนจบปริญญาตรี ๔ ปี แต่ทยอยให้เดือนละ ๑,๕๐๐ ตลอดไป
แต่เด็กนั้นจะต้องประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ตั้งใจเล่าเรียน
ท่านสาธุชนคงพอทราบเมื่อสร้างโรงเรียนยังไม่ทันเสร็จก็ซื้อที่หลังโรงพยาบาลประมาณ ๒๗ ไร่ สร้างพระมหาวิหาร ๑๐๐ เมตรขึ้น ปัจจุบันนี้ โดยสร้างใช้เวลา ๒
ปีเสร็จ มีกำแพงล้อมรอบ มีพระพุทธรูป มีวิหาร มีมณฑปแก้วหน้าพระวิหาร ๒ หลัง เทพื้นคอนกรีต ทั้งหมดหน้าพระวิหารใช้เวลา ๒ ปี โดยช่าง ๓-๔ ช่างรวมกัน
ใช้คนงานประมาณ ๑๐๐ คน เมื่อสร้างมหาวิหาร ๑๐๐ เมตรเสร็จ ก็มีดำริจะสร้างมณฑปวิหารสมเด็จองค์ปฐม มีการหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐม
หลวงพ่อนั้นท่านสับเปลี่ยนย้ายกุฏิมาเรื่อยๆ สมัยก่อนๆนั้น ท่านอยู่ท่านจำวัดอยู่ที่ตึกริมน้ำ ภาษาชาวบ้านว่า "ตึกริมน้ำ" อยู่ที่วัดเก่าคือ
ตรงข้ามกับพระอุโบสถ ฉันอาหารที่นั้นแล้วก็จำวัดที่นั่น ทำงานที่นั่นทั้งหมด เมื่อท่านสร้างตึดกลางน้ำขึ้น จึงเปลี่ยนที่จำวัดคือ
ย้ายมาที่ตึกกลางน้ำตอนเย็นๆ ก็จะมาจำวัดที่ ตึกกลางน้ำ ฉันเช้าที่ตึกกลางน้ำเสร็จก็จะไปทำงานที่ตึกอินทราพงศ์อยู่ริมน้ำ
เมื่อตอน ๕ โมงเช้า ก็จะฉันภัตตาหารที่ตึกริมน้ำ คืออินทราพงศ์ นั้นแล้วก็จะทำงาน เสร็จจากนั้นก็จะรับแขกที่ตึกรับแขก สมัยก่อนหลวงพ่อรับแขกทีแรกๆเลย
รับแขกที่ใต้ถุนหอกรรมฐานเก่า และต่อมาก็มารับแขกที่ตึกนวราช เมื่อรับแขกที่ตึกนวราชได้ ๒-๓ ปี ก็มารับแขกที่ตึกกองทุน
เมื่อตึกกองทุนไม่สะดวกก็ย้ายไปรับแขกที่ ตึกนวราชใหม่ที่ข้างโบสถ์เก่า และพระวิหารเก่าฝั่งแม่น้ำ
คราวหนึ่งเมื่อสร้างมหาวิหาร ๑๐๐ เมตรเสร็จ พ.ศ. ๒๕๓๒ ก็เป็นสิ่งที่จะต้องจำกันว่าในวัดทั้งหมดนั้น หลวงพ่อท่านเป็นผู้ชี้แนะให้สร้างทำทั้งหมด
พวกเราเป็นผู้ช่วยสนับสนุนท่าน สนับสนุนหมายความว่า เป็นผู้ดูแลช่างบ้าง เป็นผู้เช็คงานที่ท่านสั่งทำบ้าง เป็นผู้ช่วยงานที่เราทำได้บ้าง
แต่คำสั่งนั้นหลวงพ่อเป็นผู้สั่งแต่เพียงผู้เดียว เมื่อท่านสร้างมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร เสร็จ ก็มีส่วนหนึ่งที่หล่อรูปหลวงพ่อยืนไว้ในวิหาร ๑๐๐ เมตรนั้น
ที่ข้างรูปหล่อ หล่อยืนนั้นนะเป็นทองเหลือง หล่อสมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ เป็นภาพที่เหมือนมากกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ หลวงพ่อท่านรูปร่างอย่างนั้น
ปกติแล้ว ในวิหาร ๑๐๐ เมตร เป็นที่เจริญพระกรรมฐานของญาติโยม สมัยท่านหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่จะนั่งกรรมฐานกลางวันเหมือนปัจจุบัน ตอนเย็นก็เหมือนกัน
นั่งเป็นปกติเหมือนปัจจุบัน คือตอนเที่ยงนั่งครั้งหนึ่ง เลิกบ่าย ๒ โมง ตอนเย็นก็นั่งสวดมนต์ ทำวัตร ๕ โมงเลิกประมาณ ๑ ทุ่ม
บางคราวหลวงพ่อก็มาร่วมเจริญพระกรรมฐานด้วย แต่ส่วนมากท่านป่วย ป่วยมาก
ตอนหลังนั้น เมื่อทำพิธีพุทธาภิเษกก็มาทำใน มหาวิหาร ๑๐๐ เมตร มีญาติโยมมาร่วมเข้าพิธีกันแน่นไปหมด แน่นจัดโดยอากาศก็ระบายไม่ค่อยออก เพราะคนแน่น
ไอตัวคนก็ขึ้นสูง มานั่งแต่ละคราวก็มีคนจำนวนมาก การทำพุทธาภิเษกนี้ก็มีหลายวาระ คือพระก็ดี สมเด็จองค์ปฐมก็ดี ตอนหลังๆ นั้นทำที่นี่ทั้งหมด
เมื่อทำพิธีกรรมอะไรที่นี่ทั้งหมดแล้ว มีอยู่คราวหนึ่งท่านออกตรวจงาน ก็มาดูในพระวิหาร อาตมาก็ถาม หลวงพ่อครับ ตรงหลวงพ่อ ข้างหลวงพ่อยืนนี้
หลวงพ่ออนุญาตให้เป็นที่เก็บศพหลวงพ่อใช่ไหมครับ ท่านบอกว่า เออ เราก็เสนอหน้าไปถามแบบไหนครับ หลวงพ่อก็หยุด ท่านหันมามอง นี่ ข้าบอกเอ็งซะเลยนะ
ข้าไม่สร้างที่เพื่อบูชาตัวข้าเองหรอกนะ ใครจะสร้างก็สร้างไปเถอะ ข้าไม่สร้างเพื่อบูชาตัวข้าเอง นี่เป็นการที่ครูบาอาจารย์บอกกับอาตมาเอง
เมื่อหลวงพ่อพูดอย่างนี้ เราก็นึกว่า เออ ลูกศิษย์ชั้นเลวนี่ มันคือเราเอง ไม่เคยเฉลียวใจว่า จะสร้างให้หลวงพ่อนี่ไม่เคย จะสร้างให้ท่าน
จะสร้างบูชาท่านไม่มีเลย จิตเรานี่เลวจริงๆ เมื่อคิดได้ดังนี้ก็ไปปรึกษาผู้ใหญ่ มีท่าน ดร. ปริญญา นุตาลัย มีท่านผู้ใหญ่หลายท่าน
ทุกท่านที่ไม่ได้เอ่ยนามาในที่นี้ก็คงทราบเพราะเป็นศิษย์มีความอาวุโสมากหลาย ถ้าจะกล่าวในที่นี้มันก็เยอะ แต่ไม่ใช่เฉพาะศิษย์ผู้อาวุโสเท่านั้น.."
|