Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 21/10/08 at 15:39 [ QUOTE ]

ขอแก้ข่าวคำทำนายของหลวงพ่อฯ ในบทความ นสพ.ไทยโพสต์


เปลวสีเงิน

๑๓ ปีไทยโพสต์ ๓๓ ปีคำทำนาย

21 ตุลาคม 2551 กองบรรณาธิการ


โอกาสพิเศษอย่างนี้ ยากนะครับที่ผมจะคิดหาคำอื่นแทนใจเพื่อบอกกับผู้อ่านว่า "เพราะมีท่าน ไทยโพสต์จึงมีอยู่" โดยเฉพาะท่าน "ที่ควักเงินก้อน"

สมัครเป็นสมาชิกเมื่อครั้งผมเผชิญวิกฤติหวุดหวิดล้มคว่ำ และวันนี้ "ชีวิตที่ท่านเก็บตก" ก็ยืนผ่านมาอีกปี สู่ปีที่ ๑๓ ในวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ นี้ ด้วยใจมิลืมคุณ

บ้านเมืองเราเขยื้อนสู่วงรอบใหม่ ภายใต้ภาพที่เรียกกันว่า "ไม่ปกติสุข" และความไม่สุขนั้นเข้าสู่ปีที่ ๓ แล้ว ทุกท่านก็คงมีทุกข์ครองใจ ทุกข์ทั้งวิถีชีวิตไม่สุข และทุกข์ที่บ้านเมืองขุกเข็ญ

บางท่านเปรยว่า "เขม้นมองอย่างไร ก็ยังไม่เห็นทางออก!?"

แต่ผมอยากจะบอกว่า "สงครามสังคม" ครั้งนี้ เป็นนิมิตหมายที่ดี "สู่อนาคตใหม่" ของไทยมากกว่า เพราะว่าเป็น "สงครามความคิด"

ไม่ใช่บ้านเมืองแตกแยก หากแต่บ้านเมืองกำลังแตกยอด แตกกิ่งปัญญาสู่ความเป็นไม้ใหญ่ เพราะทั้งหลายที่เห็นว่าแตกแยกนั้น แท้จริงคือปฏิกิริยาจากสัญชาตญาณแสวงหา

"สิ่งที่ดีกว่า" ของมนุษย์ร่วมสังคมไทย! วันนี้ รูปแบบ-กติกาสังคมโลกาภิวัตน์ อันมีหัวใจ "นับเงิน-เป็นสุข" แทนการ "นับใจ-เป็นสุข" มันล่มสลายไปต่อไม่ได้แล้ว สังคมทุนวัตถุจึงเป็นหนึ่งในตัวร่วมการเมืองทาส ผลักดันให้สังคมไทยถึงจุดต้องขยายแนวคิด เพื่อแสวงหาจุดลงตัวใหม่

สำหรับใช้ตอบ "โจทย์ชีวิต" ขณะโลกผลัดใบสู่ฤดูกาลใหม่ ซึ่งในอนาคต ไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว!

คงเคยได้ยินสังคมโลกเขานินทากันว่า สมองคนไทย "ใหม่แกะกล่อง" เสมอ เพราะไม่เคยผ่านการใช้ ราคาจึงไม่มี แต่ต่อจากนี้ ไม่แล้ว...

สมองคนไทยเริ่มมีราคา ที่ว่า-นอกจากเล่ห์โกงแล้วคิดอะไรไม่ค่อยเป็น ก็ได้เห็นการคิดประชันขันแข่ง รู้จักคิดแสวงหา "สิ่งที่ดีกว่า" มาใช้แทนกฎกติกาที่เป็นยาสังคมหมดอายุ

คิดแบบพันธมิตรฯ คิดแบบ นปช. ก็เป็นนิมิตหมายหนึ่งว่า "ประชาชนเข้าสู่กระบวนการพัฒนาความคิด" แล้ว และที่น่าดีใจ การเมือง-ไม่ใช่เรื่องเฉพาะคนกรุงเทพฯ คิดอีกต่อไป

หากแต่คนต่างจังหวัดทั่วไทย ก็คิดเป็น-คิดได้เหมือนกัน ไม่มีใครด้อยหน้า-ด้อยตากว่าใคร เรียกว่า "ปัญญาไทย" ในกรอบ เศรษฐกิจ-การเมือง-สังคม เริ่มคมเข้มแตกขยายคลุมชาติ

คนไทยกำลัง "คิดร่วม" ในเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ยังไม่สามารถ "รวมคิด" เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้น!

ช่วงนี้ เป็นช่วง "คิดต่าง-เห็นต่าง" และขะมักเขม้นใช้ความต่างแสวงหา "จุดลงตัว" เพื่อสังคมชาติอย่างคมข้น จนบางครั้งเห็นว่า "ล้นขอบ" ไปด้วยซ้ำ

เมื่อ ๑๗๕ ปีที่แล้ว กรุงเทพฯ เป็น "ประเทศไทย" ของพลเมือง ๒๐ ล้านคน ก็ยังไม่อึดอัด-ขัดข้องเท่าไรนัก

แต่วันนี้ ๒๒๖ ปี ของกรุงเทพฯ รองรับคนร่วม ๑๐๐ ล้าน บนความเป็น "สารพัดศูนย์กลาง" ทั้งของไทย ทั้งของภูมิภาค ทั้งของโลก และไม่เพียงเท่านั้น ยังเป็นศูนย์กลาง "ความคิดต่าง" ที่ขยายขีดเป็น "สงครามความคิด" เขยื้อนชาติด้วย

กรุงเทพฯ ที่สวย เลยโทรมซูบ!

ถ้าพูดตามประสาผม ก็ต้องบอกว่า กรุงรัตนโกสินทร์บนความเป็น "เมืองหลวง" ที่เดินทางมาถึง "ครึ่งหนึ่ง" ของกรุงศรีอยุธยา บัดนี้ ถูกสิ่งที่เรียกว่าบ้านเมืองพัฒนา

ทำลาย "ฮวงจุ้ย" กรุงเทพฯ ไปหมดแล้ว!

จะเหลือก็เพียงบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์เท่านั้น!!

กรุงเทพฯ ที่เคยเป็นเมืองโปร่งฟ้า สูงก็สูงด้วยค่าสัญลักษณ์ ยอดปราสาทราชวัง ยอดพระปรางค์ ยอดพระเจดีย์ แต่ทุกวันนี้ กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองใต้ถุน เหนือหัวขวักไขว่สร้างก่ายม่านฟ้าด้วยทางด่วนบ้าง สะพานบ้าง รถไฟฟ้าบ้าง ยังไม่นับถึงรถใต้ดิน

"กรุงเทพฯ-เมืองฟ้าอมร" ชื่อก็บอกอยู่แล้ว เป็นเมืองที่อยู่อาศัยของวงศ์เทวัญ แต่วันนี้ พัฒนากันจนเป็น "กรุงเทพฯ-เมืองใต้ถุน" มนุษย์ยังไม่อยากอยู่อาศัย

แล้วเทพเทวัญท่านจะสถิตรักษาอยู่ได้อย่างไรกัน?

เมื่อเอาความเจริญทางวัตถุมายัดใส่กรุงเทพฯ กระทั่งเทวายังเบือนหน้าหนี จึงไม่ต้องแปลกใจที่

"ทำเนียบรัฐบาล" ถึงกาลอวสานจม

"รัฐสภา" เสื่อมไร้ค่า ถูกเรียกสภาโจร

"กองบัญชาการกองทัพบก" ถูกบุกท้าทาย

"สนามหลวง" ถูกยึดใช้ฝึกกองกำลังเถื่อน

สถานที่ราชการ กระทรวง ทบวงกรม ถูกถล่มด้วยดาวกระจาย!

ใครมองแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่ผมมองว่า เป็นสัญญาณบอกถึง "กาลเสื่อม-สู่ที่ใหม่" สังคมไทยต้องได้ "ผู้นำมีวิสัยทัศน์" คิดหาทางขยับขยาย กระจายจุดรวมคนร่วม ๑๐๐ ล้านออกไป

จากที่กระจุกอยู่แต่ในกรุงเทพมหานคร!

ศูนย์กลางเพื่อการพัฒนาใหม่ หรือเมือง "ศูนย์กลางราชการและการลงทุน" ควรต้องเกิดแยกออกไปจาก "กรุงเทพฯ เมืองฟ้าไทยอมร"

คืนความเป็นกรุงเทพฯ ให้กับกรุงเทพฯ ฟูมฟัก-ฟื้นฟูกรุงเทพฯ ไว้เป็นศูนย์กลางอารยรัตนโกสินทร์ "แผ่นดินกษัตริย์" เป็นเมืองพักผ่อน เมืองท่องเที่ยว เมืองช็อปปิ้ง เพื่อทั่วโลกผู้มีลักษณ์วิไลได้มาเสพศิลปะ วัฒนะ-อารยธรรม ที่โมงยามเพาะบ่มเข้าสู่ศตวรรษที่ ๓ แล้ว

หยุดทำกรุงเทพฯ เติบโตอัปลักษณ์ไว้เพียงแค่นี้ หยุดพัฒนาอัปรีย์กันเสียเถอะ ให้กรุงเทพฯ ได้หยุดพักผ่อนบ้าง ค่อยๆ คืนความเป็นกรุงเทพฯ แท้จริงให้กับเทพ-เทวาได้กลับมาอาศัยเถิด

ทำเนียบรัฐบาล กับรัฐสภา..อายุขัยสิ้นแล้ว!

ออกไปสร้างใน "สถานที่แห่งใหม่" อยู่ด้วยกันนั่นแหละเหมาะสมสุด หยุดโครงการดันทุรังสร้างรัฐสภาที่ย่านเกียกกายไปได้เลย การแยกศูนย์ราชการ ออกไปจากเมืองหลวง ต่อไป-ใครจะเดินขบวน ใครจะชุมนุม ใครจะสลายม็อบอย่างไร

ก็เชิญตามสบาย เพราะความวุ่นวาย "แยกพื้นที่" ไม่กระทบถึงกัน!

คนน่ะ..ไม่ได้รักทักษิณฝังใจอะไรหรอก แต่รักเงินทักษิณ และรักการใช้อำนาจของทักษิณที่ส่งเสริมให้ข้าทาสร่วมโกง-กิน แล้วกางข้อกังฉินคุ้มครองไว้

ฉะนั้น ไม่ต้องวิตกว่า "ยอดยาง-รากหญ้า" จะถวิลหาทักษิณตลอดไป ถ้ามีผู้นำคนไหน ฉายแววให้เห็นว่าสามารถเข้าไปนั่งแทนในหัวใจ บริหารให้วิถีชาวบ้านเป็นสุขได้จากการทำมาหากิน

จะเป็น "ทักษิณในจินตภาพ" คนใหม่ของเขาได้แน่นอน!

ครับ..ในภาวะบ้านเมืองเหมือนเรือลอย มีคนถามผมบ่อยว่า แล้วจะจบอย่างไร..แล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ก็ผมจะเอาเครดิตตรงไหนไปตอบท่านได้เล่า?

แต่เรื่อง "อนาคตประเทศชาติ" พระราชพรหมยาน หรือที่รู้จักกันกว้างขวางว่า "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" ท่านเคยตอบไว้ที่ "ค่ายสุรนารี" นครราชสีมา เมื่อ ๓๓ ปีที่เป็นวาระผ่าน (๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘)

โดยผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ สมัยนั้น "พลตรียุทธศิลป์ เกสรศุกร์" เป็นผู้นิมนต์ท่านไปบรรยายธรรมในหัวข้อเรื่อง "อนาคตของชาติ"

เข้าใจว่าคงทราบเนื้อหาจากที่มีเผยแพร่กันอยู่แล้ว เมื่อไม่กี่วันมานี้ ยังมีคนส่งทางอีเมล์ให้ผมอ่าน ที่พูดกันถึงคำทำนาย "เหตุการณ์ล่วงหน้า" เป็นแต่ละยุคว่า

มหากาฬผ่านยักษ์ - รู้จักธรรม - จำต้องคิด - สนิทธรรม - จำแขนขาด - ราษฎร์ราชาโจร - นั่งทนทุกข์ - ยุคทมิฬ - ถิ่นกาขาว - ชาววิไล

หลวงพ่อท่านบอกว่า อ่านพบคำทำนายนี้อยู่ในสมุดข่อยที่พระอรหันต์ในอดีตนามว่า "พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนทำนายชะตาบ้านเมืองไว้ ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตก และก่อนที่กรุงเทพฯ จะมีขึ้น!

ตอนหนึ่ง หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านกล่าวว่า

"ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?"

"เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับหลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่องอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้ ทุกๆ รูปที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า

พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ องค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้น ก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐ เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็น ผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก"


ท่านก็คงอยากทราบกันนะครับว่า "แล้วหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ทำนายอนาคตบ้านเมืองไว้อย่างไรบ้างหรือเปล่า?"

ก็เห็นมีเขียนเป็นกลอนต่อท้ายไว้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่จากปากหลวงพ่อ เข้าใจว่าผู้รวบรวมธรรมบรรยาย คงนำที่หลวงพ่อทำนายไว้มาเรียบเรียงอีกต่อ ก็ยาวสักหน่อย แต่ผมจะนำที่ท่านร้อยไว้มาดับร้อนยามสังคมแล้ง ดังนี้

๐ คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้

หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา

ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า

พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาชนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร

ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น

จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า

คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้

เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี

ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ

เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย

เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น

ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม

คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง

ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้

จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา

ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ.


ครับ..ก็เก็บเหน็บใจไว้อ่าน ส่วนกุญแจไขคำทำนายนี้ คือ "มีสติ" ก่อนทำ-ก่อนพูด-ก่อนคิด เท่านั้นที่มั่นใจได้ว่า..ใช่แน่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ ปีหน้า ผมจะขอมานั่งยองๆ กราบท่านผ่านตรงนี้ใหม่ สำหรับ ๒๑ ตุลา.ที่น่าตื่นตา-ตื่นใจปีนี้ ขอให้ทุกท่านที่สุจริตใจต่อชาติมีสุข และมั่นคงด้วยทรัพย์นอก-ทรัพย์ใน เป็นที่พึ่งทางใจของผมตลอดไปนะครับ

กราบท่านด้วยเคารพ

เปลว สีเงิน



เรียน คุณเปลว สีเงิน

ตามที่ท่านได้ลงข้อความในวันนี้ กล่าวอ้างถึงคำทำนาย "อนาคตของประเทศไทย" ซึ่งมีการนำไปโพสแพร่หลายเว็บไซด์อยู่ในเวลานี้ มีข้อผิดพลาดในการคัดลอกต่อๆ กันมาตลอด ทางเว็บมาสเตอร์เกรงว่าจะเสียหายถึงชื่อเสียงและเกียรติคุณของหลวงพ่อวัดท่าซุง ตลอดถึงความไม่เข้าใจของคณะศิษย์ที่เคารพนับถือในองค์ท่าน บทกลอนที่ต่อเติมไปจากคำพูดของหลวงพ่อฯ มีดังนี้

๐ คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้

หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา

ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า

พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาชนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร

ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น

จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า

คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้

เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี

ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ

เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย

เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น

ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม

คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง

ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้

จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา

ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ


"คณะทีมงานเว็บวัดท่าซุง" จึงขอชี้แจงว่า "บทกลอน" บทนี้ท่านไม่เคยพูดไม่เคยกล่าวไว้ที่ไหนเลย ส่วนข้อความที่กล่าวไว้จริงๆ นั้นได้โพสอยู่ในเว็บวัดท่าซุง เมื่อวันที่ 21/7/08 at 17:44 ดังที่ได้แนบ URL มาให้ตรวจสอบดูต้นฉบับนี้ จะเห็นว่าไม่มีบทกลอนอยู่ในเนื้อหาเลย ซึ่งมีหลักฐานวันเวลาที่โพสอยู่ สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ ดังนี้ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=680

ฉะนั้น จึงขอความกรุณาช่วยแก้ข่าวในวันพรุ่งนี้ด้วย จะเป็นพระคุณยิ่ง เพื่อความสบายใจแก่คณะศิษย์ฯ ที่เคารพนับถือท่านทั่วประเทศ จึงเรียนมาเพื่อทราบ.

ขอได้รับความนับถือ

"คณะทีมงานเว็บวัดท่าซุง"

21 ต.ค. 2551 เวลา 14.52 น.



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/10/08 at 21:55 [ QUOTE ]


24/10/51

คำชี้แจงของ คุณเปลวสีเงิน


เอาละครับ..ผมไปสร้างเรื่องให้เป็นเหตุเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลา วานนี้ก็มีอี-เมล์เข้ามาให้ผม "ช่วยแก้ข่าว" ผมทราบก็ทั้งร้อนใจ และเสียใจที่ทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจ ดังนี้ครับ

ขอบคุณครับที่แจ้งให้ทราบ และผมก็จัดการให้ตามที่แจ้งนี้แล้ว และผู้ประสงค์จะอ่านบทความเรื่อง "อนาคตของประเทศไทย" ฉบับถูกต้องของหลวงพ่อ ก็เปิดดูได้ตามเว็บที่ทางวัดแจ้งมานะครับ.



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top