Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 25/11/08 at 13:38 [ QUOTE ]

หลวงพ่อแนะนำ..คนใกล้จะตายควรแนะนำอย่างไร ? (มีผู้นำไปโพสต์)


จากผู้ที่นำไปโพสต์ตามเว็บต่างๆ ดังนี้
www.openbase.in.th/node/4740
www.tamdee.net


โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


หลวงพ่อ :"..ถ้าป่วยใหม่ๆ อาตมาแนะนำให้ทำดังนี้คือ

๑) ให้นำ พระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร พร้อมอาหารและของใช้ที่จำเป็น นำไปให้ผู้ป่วยเห็นและให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า

"ของทั้งหมดนี้ขอถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้งหมดนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วยได้โมทนาและอโหสิกรรมให้ผู้ป่วยด้วย"

แล้วญาติก็นำของทั้งหมดไปถวายพระเป็นสังฆทาน จิตใจของผู้ป่วยจะได้สบายเพราะได้เห็นพระพุทธรูปและได้ทำบุญ

๒) ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ก็ควรนำเงินจะมากหรือน้อยตามแต่ศรัทธา ให้ผู้ป่วยถือเงินไว้และให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า

"เงินจำนวนนี้ขอถวายชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าเคยไปหยิบหรือนำของสงฆ์มาโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม"

๓) ในระหว่างที่นอนป่วยอยู่ ควรนำพระพุทธรูปมาตั้งไว้ให้ผู้ป่วยได้มองเห็น อย่าไปตั้งไว้ในที่ผู้ป่วยเห็นไม่ถนัด ผู้ป่วยลืมตาขึ้นมาเมื่อใดก็จะเห็นพระทันที จิตของผู้ป่วยจะได้จับอยู่ที่พระ ใจจะสบายช่วยให้คลายจากทุกขเวทนาได้บ้าง และถ้าตายเมื่อใดก็จะไม่ลงนรก

๔) ถ้าป่วยมากมีทุกขเวทนามาก ควรแนะนำสั้นๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้า หรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่า ถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้ม

๕) ถ้าต้องการให้ผู้ป่วยตายแล้วไปพระนิพพาน ให้นึกภาวนาว่า "นิพพานัง สุขัง" ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ให้ลงนรกก็ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้บอกสั้นๆ อย่าบอกยาว

๖) ถ้าผู้ป่วยภาวนาไม่ไหว ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ให้นึกถึงพระไว้หรือจะนึกถึงพระสงฆ์ก็ได้ อย่าไปแนะนำยาวๆ เพราะเวลานั้นทุกขเวทนามากจะทำให้กลุ้ม ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้ว ถ้าแนะนำไม่ดี พูดมากไปเขาจะกลุ้มจะทำให้ลงนรกไป ให้ดูตาคนป่วย ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ อย่าไปพูดมาก

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หลวงพ่อตอบคำถามศิษย์ที่ถามถึง
ผู้ที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นอะไร (เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗)


“..ต่อไปนี้เป็นเรื่องของท่านผู้มรณภาพ เวลานี้เป็นเวลา ๔.๐๐ น. ตรง คืนนี้ตื่นตั้งแต่ ๒.๓๐น. ก็เป็นอันว่าหลับไม่ได้จนกว่าจะสว่าง และก็ต้องไม่หลับเพราะกิจพึงทำมันยังมี อาการเพลียไม่มีไม่ต้องเป็นห่วง ขอท่านทั้งหลายไม่ต้องเป็นห่วงที่จะคิดว่าเพลียหรือทรมานกาย เพราะนอนเต็มอิ่ม ตื่นมาก็อิ่มเต็มที่ เรื่องตอบคำถามมีดังต่อไปนี้

รายที่ ๑ นายแพทย์สวัสดิ์ บุณยกุล ถามถึง คุณแม่แก้ว บุณยกุล
(ซึ่งเป็นมารดาเขียนมา บอกว่า ค่อนข้างท้วม ผิวดำ)


หลวงพ่อ : แม่แก้วมาแล้วหรือยัง ไปตามมาให้ด้วยสิ ไปตามมาทุกคนที่เขาเขียนชื่อมา เขา จะได้ทราบ เอ้ามาแล้วนะ เป็นไงแม่แก้ว เอ๊ะนี่เขาว่าดำนี่ ทำไม่ไม่ดำล่ะ

แม่แก้ว : เขาว่าดำ

หลวงพ่อ : อ๋อใช่ เอาล่ะ อยู่ที่ไหน?

แม่แก้ว : มีความสุขดี

หลวงพ่อ : เอ้า..เป็นอันว่าท่านนายแพทย์สวัสดิ์ บุณยกุล แม่แก้วบอกว่ามีความสุขดี เห็นเขียนมาว่าผิวดำ แต่แม่แก้วมาไม่ดำ ขาว ท้วมหน่อยๆ สวย หน้าตาสดชื่น ถ้าลูกจะทำบุญให้ด้วยความกตัญญูกตเวที แม่แก้วต้องการอะไร

แม่แก้ว : บอกว่าสบายแล้ว อะไรก็ได้ แต่ว่าถ้าลูกจะทำบุญให้ก็ทำบุญให้เป็นบุญแก่ตัวเอง แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ด้วยความกตัญญู มีจิตประสงค์อยู่ ให้ลูกสร้างความดีให้เป็นปกติ

หลวงพ่อ : ท่านนายแพทย์สวัสดิ์ บุณยกุล โปรดทราบว่าเวลานี้มารดาของท่านมีความสุขแล้ว ท่านจะทำอะไรก็ได้ถ้าหวังในความกตัญญูรู้คุณของท่าน แม่แก้วบอกว่าให้ทำตามใจปรารถนา ทั้งนี้เพื่อเป็นบุญของท่านด้วยและเพื่อเป็นความกตัญญูกตเวทีด้วย เป็นอันว่าเรื่อง ของท่านนายแพทย์สวัสดิ์หมดไปหรือแม่แก้วหมดไป สวัสดีแม่แก้วไปหรืออยู่ไหนยังไม่ได้บอกเขาเลย

แม่แก้ว : ดาวดึงส์

หลวงพ่อ : แล้วก็ไปเพราะบุญอะไร จะได้บอกให้ลูกเขาทราบ

แม่แก้ว : บุญเพราะสร้างวิหารทาน ได้บุญเพราะนึกถึงพระ ใส่บาตร ทำบุญอยู่เสมอ เวลา ป่วยจิตใจน้อมถึงกุศล คิดว่าตนต้องตาย จัดเป็นมรณานุสติกรรมฐาน และก็มีความไม่ประมาท คิดถึงบุญเป็นเหตุให้เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

หลวงพ่อ : ไปละหรือ..สวัสดีจ้ะ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

รายที่ ๒ นางเชื้อ เนตรพันธุ์ อายุ ๖๕ ปี
ตายเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๖
(รูปร่างอ้วนขาว สันทัด เป็นมารดาของนางอัจฉรามณี)

หลวงพ่อ : แม่เชื้อมาแล้วรึ ทำบุญอะไรไว้นี่

แม่เชื้อ : ไหว้พระ

หลวงพ่อ : คนแก่นี่ไหว้พระเป็นแฮะ.. ด่าเขามากไหมล่ะ

แม่เชื้อ : ไม่มาก

หลวงพ่อ : ดีแล้ว..เป็นอะไรตาย?

แม่เชื้อ : ไม่หายใจตาย

หลวงพ่อ : ไม่เห็นเขาบอกนี่ว่าเป็นอะไรตาย เขาบอกไม่หายใจตาย ฉันก็เหมือนกัน ไอ้โรคระยำนี่..มันเป็นทุกคนแหละ ผีพูดถูกจ้ะ เออ..นี่เขาถามมา เขาเป็นห่วงนะ เวลานี้อยู่ที่ไหนล่ะ บอกตรงๆ นะ อยู่นรกขุมไหนล่ะ

แม่เชื้อ : ไม่อยู่นรก

หลวงพ่อ : นึกว่าอยู่จะให้ลูกเขาตามไปด้วย เดี๋ยวบอกซิ ไอ้ตอนที่จะตายน่ะ นึกอย่างไรมันถึงได้ไม่ลงนรก

แม่เชื้อ : เวลาป่วยตอนต้น นึกมั่งไม่นึกมั่งเรื่องบุญ

หลวงพ่อ : เออ..ดีเหมือนกันนี่ มันไม่ลากลงนรกไปเสียได้ก็บุญตัวแล้ว นึกไว้เสมอไม่ได้รึ?

แม่เชื้อ : คิดว่าจะยังไม่ตาย

หลวงพ่อ : ดีแม่คุณ.. แล้วตอนหลังเป็นอย่างไรล่ะ

แม่เชื้อ : อีตอนหลังป่วยมาก ก็ไม่มากนักหรอก อาการมันหนักขึ้นมาก็เลยคิดว่า คราวนี้คงจะไม่รอดเสียแล้วและมีภาพพระปรากฏ เห็นพระพุทธเจ้าเป็นรูปพระสงฆ์ลอยผ่านมาให้เห็น ๒ ครั้ง นับตั้งแต่เห็นครั้งแรกจิตใจก็ถือพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ท่านสวย

หลวงพ่อ : เออ..ดีมาก ตอนนั้นนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า หรือความสวยของท่าน

แม่เชื้อ : ท่านสวยจับใจ

หลวงพ่อ : ฮึ.. แอบไปรักพระพุทธเจ้าเข้าแล้วซี

แม่เชื้อ : เปล่า.. ท่านสวยจับใจทำให้จิตเป็นกุศล อิ่มใจ ชื่นใจ เมื่อเวลาใกล้จะตายปรากฏว่าเห็นท่านมายืนอยู่ทางขวาใกล้ศีรษะ จีวรเกือบจะถูกหน้า ใจสบาย หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าไอ้จิตวิญญาณหรือกายภายในมันออกมาเมื่อไหร่ เมื่อพลัดออกไปจากร่างแล้วก็ตามท่านไป รู้สึกว่าตามท่านไป ท่านเดินนำหน้าแล้วก็ตามท่านไป พอขึ้นไปใกล้พระจุฬามณี เดินเลยพระจุฬามณีขึ้นไปนิดหนึ่ง

หลวงพ่อ : ทำภาพให้ถูกนะ ถ้าโกหกเขาละฉันลงนรก แต่แกต้องลงไปก่อนนะ ฉันถามแม่เชื้อนะ ฉันไม่ได้พยากรณ์ เอ้า..เดินไปถึงตรงนั้นหรือ

แม่เชื้อ : เดินไปถึงด้านเหนือของพระจุฬามณี เป็นสถานที่โอ่โถงมีความสวยสดงดงามเป็นวิมานอยู่สบาย

หลวงพ่อ : สบายแล้วก็แล้วไป เป็นอันว่าอย่างนี้เขาเรียกว่า ตายอยู่กับพุทธานุสติกรรมฐาน นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ไปสวรรค์ ดีแล้วอย่าประมาทนะ ไอ้กรรมที่ทำความชั่วไว้แล้วมันจะลากลงนรก ถ้าประมาทเมื่อไหร่ละก็เสร็จเมื่อนั้น จำไว้ให้ดีนะ ทำบุญต่อไป เกื้อกูลต่อไป นึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ จะได้เข้าถึงพระโสดาบัน

อย่าคิดว่าเป็นนางฟ้าเป็นเทวดาสบาย ดูตัวอย่างเทวดาที่จุติลงมาต่อหน้าต่อตา ลงมาแล้ว เลยไปนรกไม่มีประโยชน์ อย่ามีความประมาท อย่านึกว่าเทวดาวิเศษ หนักๆ เข้าเทวดาจะกลายเป็นเศษ คือ เศษของสัตว์นรก ไม่มีประโยชน์ เอ้า..ไปแล้วก็ไป ฉันก็จะได้พักบ้าง

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

รายที่ ๓ นายวิสัย อนากูล “อนากูล” แปลว่า “ไม่สกปรก”
เออ..นี่ไม่สกปรกมีหรือ รูปร่างสันทัด ผิวขาว ตายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐
สองคนนี่กวดกันจี๋เทียวนี่ บิดามารดาของนายแพทย์สมรัตน์ ระนองธานี


หลวงพ่อ : มาหรือยังล่ะเตี่ย เอ้า..อาศัยความดีอะไรจึงไม่ลงนรก ?

นายวิสัย : มีเมตตา อารมณ์มีเมตตาเป็นพื้นฐาน แต่ว่าชาวบ้านจะเห็นหรือไม่เห็นก็ช่าง อาการของคนที่มีเมตตา ไม่จำเป็นต้องยิ้มเสมอ นี่มันเรื่องของใจ

หลวงพ่อ : อ๋อ.. มีเมตตาเป็นพื้นฐาน ก็มีพรหมวิหาร ๔ น่ะซี สร้างความระยำไว้บ้างหรือเปล่า ?

นายวิสัย : เอาเยอะเหมือนกัน

หลวงพ่อ : ดีเอาเยอะเหมือนกัน คำว่า "เยอะของผี" หมายความว่าทำไม่ดีนิดหน่อย ก็ถือว่ามีใช่ไหม ?

นายวิสัย : ใช่

หลวงพ่อ : ไปอยู่ที่ไหนล่ะ

นายวิสัย : ไม่ไกล

หลวงพ่อ : ตอบอย่างนี้ได้เรอะ สำหรับฉันไม่มีอะไรไกล ไกลอย่างไรนึกปั๊ปก็ถึงปุ๊ป แต่ชาวบ้านน่ะซี ลูกหลานจะได้เอาอย่าง จะได้รู้จักวิธี

นายวิสัย : เจริญเมตตาบารมีเข้าไว้ แล้วก็จะไม่มีทางลงนรก บาปกรรมทั้งหลายที่ได้ทำไว้ แล้วจงอย่าตามไปถึง

หลวงพ่อ : เออ..ดีเหมือนกัน มีจิตเมตตาเข้าไว้เป็นปกติ พ่อคุณมีจิตเมตตา ท่านก็มีศีลครบถ้วนน่ะซี มันเป็น พรหมวิหาร ๔ และแถมมีฌานสมาบัติสมบูรณ์ จะเจริญวิปัสสนาญาณก็เป็นพระอริยเจ้าได้เร็ว จะไปยากอะไรพ่อเทวดา พูดอย่างนี้มันก็ถูกน่ะซี

นายวิสัย : บอกว่าพูดอย่างเทวดา

หลวงพ่อ : แล้วนี่อาการความชั่วต่างๆ ไม่ได้ตามไปถึงเลยใช่ไหม

นายวิสัย : อ๋อ.. ตอนต้นนึกเหมือนกัน พอนึกแล้วก็ปรากฏว่าใจมันไม่สบาย ก็คิดเข้าไปหาความดี คือความดีของพระพุทธเจ้า ตั้งใจคิดว่า กรรมใดที่ทำมาแล้วเป็นความผิดขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน และต่อจากนั้นไปก็อาศัยอารมณ์เมตตาประจำใจ ใจมันก็อ่อนโยน มีความสดชื่น นึกถึงความดี นึกถึงบารมีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เทวดา พ่อแม่เสร็จ ว่าดะเลย แล้วก็ตายสบาย ตายแล้วก็สบาย

หลวงพ่อ : เออ..ดีมาก อยู่ที่ไหนพ่อเทวดา ไม่รู้จักบอกเล่าพ่อคุณ

นายวิสัย : บอกไม่ได้

หลวงพ่อ : ทำไม่ล่ะ มันจะต้องย้ายบ้านหรือ ?

นายวิสัย : จริงๆ เวลานี้อยู่กามาวจรสวรรค์เพราะอาศัยเมตตาบารมีเป็นสำคัญ พ้นจากกามาวจรสวรรค์ต้องไปพรหม

หลวงพ่อ : เรื่องของคนนี่ดูจริยาภายนอกนี่ดูกันไม่ได้ ไม่มีใครเห็นใจใครอย่างท่านสุปฏิฐิตเทพบุตร เลวแสนเลวตอนเป็นมนุษย์ แต่ตอนปลายก่อนจะตายนึกถึงพระพุทธเจ้าหน่อยเดียว เป็นเทวดา และจากเป็นเทวดาแล้วฟังเทศน์พระพุทธเจ้า อุณหิสวิชัยสูตร เป็นพระโสดาบัน ขอบใจนะ แน่จริงๆ ใช้ได้ๆ ไม่เสียทีเกิด อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่เสียรองเท้าเปล่า

อ้าว..ชาวบ้านเขาบอกว่าไม่เสียข้าวเปล่า สวมรองเท้านี่ไม่เสียรองเท้าเปล่า เราเดินไม่เหยียบดินไม่สกปรก ถ้าตายแล้วลงนรก ก็เรียกว่ามันสกปรกเหลือดี ไอ้เชื้อโรคมันซึมเข้ามาทางรองเท้าก็แย่ เอ้า..แม่ซิวหยิน อยู่ที่ไหน

นางซิวหยิน: ทำท่าไหว้ให้ดู

หลวงพ่อ : อ๋อ..ไหว้เก่งนี่ ไอ้คนไหว้เก่งนี่มันจะไปนรกได้อย่างไร ดีมากๆ ทีหลังพูด

นางซิวหยิน: ต้องทำท่าไหว้ให้ดู ไม่เช่นนั้นจะไม่เข้าใจ

หลวงพ่อ : ดีไหว้เก่ง อยู่ด้วยกันกับตาเฒ่า (นายวิสัย) หรือเปล่านี่

นางซิวหยิน : เปล่า

หลวงพ่อ : ทำไมแยกเมืองกันเสียล่ะ?

นางซิวหยิน: ไปตามกำลังใจของบุญ

หลวงพ่อ : อยู่กับใครล่ะ?

นางซิวหยิน: ไปเป็นบริวารของ ท่านพรรณวดีศรีโสภาค

หลวงพ่อ : สบายไหม ?

นางซิวหยิน: สบาย

หลวงพ่อ : ท่านพรรณวดีศรีโสภาคนี่ใจดีหรือเปล่า

นางซิวหยิน: ท่านใจดีมาก แต่ทว่าท่านเด็ดขาด พูดยิ้มกับใคร ทุกคนกลัวยิ้ม

หลวงพ่อ : ก็ดีแล้วนี่ เออ..ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ

นางซิวหยิน: ท่านมีระเบียบวินัยดีมาก ท่านเคารพในพระอินทร์

หลวงพ่อ : “ท่านพระอินทร์” แปลว่า “ท่านทรงความประเสริฐมากและก็ทรงความ เป็นใหญ่ หรือเป็นใหญ่ในความประเสริฐ” พระอินทร์ท่านใจดีไหม?

นางซิวหยิน: ใจดีมาก

หลวงพ่อ : เฝ้าเสมอหรือเปล่า?

นางซิวหยิน: ไม่มีเวรเฝ้า แต่ว่าได้ฟังโอวาทท่านอยู่เสมอ เห็นท่านเสมอ เห็นทีไรท่านยิ้มตลอดเวลา

หลวงพ่อ : เวลาท่านอยู่บนสวรรค์ ท่านบ่นถึงเมืองมนุษย์บ้างไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยนี่

นางซิวหยิน: บ่นถึง

หลวงพ่อ : อ้าว..ทีหลังจำไว้นะ จะมาเมืองมนุษย์ละก็ต้องถามท่านด้วย ไม่ถามท่านจะบอกอย่างไร ล่ะ รายการนี้ผ่านไป ขอยุตินะ..”

***************************


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top