Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 10/4/09 at 15:03 [ QUOTE ]

ไสยศาสตร์มีจริงไหม แล้วทำอย่างไรถึงจะแคล้วคลาดจากสิ่งอวิชาเหล่านั้น?




สารบัญ

(เลือก "คลิก" อ่านได้แต่ละตอน)


01.
คำตอบ "ไสยศาสตร์มีจริงไหม"
02. หลวงพ่อธุดงค์เจอคนลองของ
03. หลวงพ่อเล่า "พระเก่งไสยศาสตร์ลงนรก"



มีผู้โพสต์ในเว็บ th.answers.yahoo.com/question/index


Jakrapon...ถาม : ไสยศาสตร์มีจริงไหม แล้วทำอย่างไรถึงจะแคล้วคลาดจากสิ่งอวิชาเหล่านั้น?
(7 เดือน ผ่านไป)





lee m...ตอบ : คุณไปหา หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน, ประวัติหลวงพ่อฤาษีลิงดำ, หนังสือ ซุปเปอร์ริชชี่ มาอ่านดู ผู้ตอบขอตอบคร่าว ๆ ว่า ไสยศาสตร์ มี แต่ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ พวก หมอผี หมอเสน่ห์ พวกเลี้ยงลูกกรอก กุมารทอง คนทรงฯ มี แต่มีทั้งจริง และปลอมก็มี พวกนี้ถ้าเพื่อเงิน และทำให้คนอื่นเดือดร้อน ชีวิตหลังความตาย ก็ไปอบาย และก็ต้องใช้กรรมที่เคยทำมา เคยทำกับใคร อย่างไร อีกหน่อย ตัวเองก็จะเจอแบบนั้น พระเทวทัต มีอภิญญา สุดท้ายก็ลงนรกอเวจี

ทำอย่างไรให้แคล้วคลาด 1 อย่าทำผิดศีล 5
2 อย่ายินดี สนับสนุน หรือเห็นด้วยกับใครที่ผิดศีล 5
3 มั่นคงในพระรัตนตรัย อย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลน
4 ถือหลักกาลามสูตร ไม่ใช่ว่า สังคม บ้าอะไร คลั่งไคล้อะไร เราก็บ้าตาม

แค่สี่ข้อ คุณทำได้หรือเปล่า คำถามมีหลายแบบ ถามเพราะอยากรู้ สนใจ ใฝ่ศึกษา กับถามเพราะไม่รู้จะถามอะไร ถามเพราะไม่มีอะไรถาม ใจเราเป็นแบบไหน คำตอบที่เราแสวงหาก็จะเป็นแบบนั้น




horsetot...ตอบ : มันมีอยู่เราปฏิเสธไม่ได้ แต่เราเลือกได้ที่จะไม่หวั่นไหวต่อการยั่วยุให้เข้าไปเรียนรู้ หรือรับมันเข้ามาในชีวิต มันจะไม่ส่งผลต่อชีวิตคุณ ตราบเท่าที่คุณไม่ปล่อยให้สภาพจิตอ่อนแอ การฝึกทางจิตจึงมีความสำคัญมากเพื่อจะแคล้วคลาดจากอวิชชา



ღ.•☆ Ni ☆•.ღ...ตอบ : คิดว่ามีอยู่จริงค่ะ... (แต่ว่ายังไม่เคยเจอกับตัวเอง) บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนั้น เราไม่สามารถหาคำตอบได้ว่า "จริงหรือไม่" แค่เชื่อคำโบราณท่านว่าไว้..."ไม่เชื่อ...อย่าลบหลู่" ค่ะ อีกอย่างนึงคือ "คนดีผีคุ้ม" หรือ "คนดีพระคุ้มครอง" ค่ะ *-*



ไoiioมko...ตอบ : เราคิดว่าน่าจะมีจริงเพราะอย่างประวัติของพระผู้ที่มีวิชาอาคม นักรบที่กู้บ้านเมืองเรามาตั้งแต่สมัยก่อน ฯลฯ ในบางช่วงเขายังมีการกล่าวถึงในการใช้ไสยศาสตร์เพื่อเป็นตัวช่วย และบางครั้งก็จะกล่าวถึงว่าโดนกระทำจากฝ่ายตรงข้าม เคยดูหนังเรื่องลองของไหม เราว่าเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่ให้ข้อคิดได้บางส่วน มันคล้ายๆกับความจริงมาก แต่มันก็ไม่ได้ว่าจะง่ายเหมือนอย่างหนังเท่าที่เราฟังเขาเล่ามานะ การที่จะป้องกันได้บ้างก็สวดมนต์ ไหว้พระขอพรพระ นั่งสมาธิ คิดแต่ในสิ่งดีๆหาหนังสือธรรมะสักเล่มมาศึกษาท่องคาถาที่พอจะคุมกันตัวเองได้บ้าง



jibjoice...ตอบ : ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองประสบมาตั้งแต่เด็ก เรียกว่าไสยศาสตร์หรือไม่ รู้แต่ว่าคนใกล้ตัวต้องสวดมนต์ไหว้พระ อยู่ในศีลในธรรม และเรียนวิชาเอาไว้ป้องกันตัว หรือเอาไว้ใช้ในยามคับขัน ห้ามนำไปรังแก หรือทำร้ายผู้อื่น ไม่เช่นนั้นครูบาอาจารย์(ที่ล่วงลับไปแล้ว)จะลงโทษ วิชาที่เรียน เช่น ปลุกจิตตนเองให้เป็นไปตามสัตว์ที่เราจินตนาการ เช่น ภาวนากำหนดจิตให้ตนเองเป็นลิงลม

เมื่อความรู้สึกนั้นมาแล้ว เขาคนนั้นสามารถที่จะปีนตึก 3 ชั้นด้วยมือเปล่าโดยมีท่อ PVC 4 หุน ที่เป็นท่อระบายน้ำจากดาดฟ้าชั้น 4 ที่ห้อยลงมาถึงพื้นดิน เป็นตัวนำเขาขึ้นไปถึงชั้น 3 ได้ โดยที่เขาน้ำหนักถึง 55 กิโลกรัม เหมือนลิงไต่กิ่งไม้อย่างนั้น ที่ประสบกับตัวเองมาเนี่ยจะเรียกว่าอะไรดี

ยังมีอีกมากมายที่ไม่สามารถบรรยายออกมาให้เห็นภาพได้ ไม่รู้จะใช้คำจำกัดความว่าอะไรดี จะใช้คำว่า "ไสยศาสตร์" มันก็ดูเป็นอวิชา เป็นเหมือนศาสตร์มืดที่ไม่ควรเข้าใกล้ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ ยังไงก็หนีไม่พ้นทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนที่เรียนวิชาไว้ป้องกันตัว หรือบางครั้งถึงกับช่วยเหลือผู้อื่นได้ มันก็เป็นเรื่องดีจริงไหม

แต่ผู้ที่อวดอ้างศักดาว่าข้านี้มีวิชา และใช้ในทางที่ผิด มันก็ไม่เป็นเรื่องดี และคนผู้นั้นก็จะได้รับผลจากการกระทำของตนเองในอนาคต ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่พ้นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง ส่วนตัวเราเพียงยึดมั่นในศีล 5 โอกาสที่จะเกิดสิ่งไม่ดีกับตัวเรานั้นก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว ไม่ต้องมีคาถาป้องกันคุณไสย์ท่องกันให้เมื่อยปาก



Mor r...ตอบ : น่าจะเป็น คำว่า อวิชชา นะครับ หมายถึง ความไม่รู้ คือ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เป็นมาอย่างไร ทำไงให้แคล้วคลาดจาก อวิชชา ก็ศึกษาเรียนรู้ ให้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง หรือ สัมมาทิฐิ เมื่อรู้แล้ว ก็จะเปลี่ยนเป็น "วิชชา" หมายถึง รู้แจ้งแทงทะลุ จะไม่สงสัยอีกว่า อะไร จะมีจริงหรือไม่ เป็นมาอย่างไร ไม่ง่าย แต่ก็ ไม่ยาก เพราะเรื่องเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านแสดงเอาไว้ เพื่อสอน คนอย่างเราๆนี่ล่ะครับ



SATAN...ตอบ : ไสยศาสตร์หรือไสยเวทผมไม่ได้บอกว่ามีหรือไม่มี แล้วแต่คนจะคิดกันไป พระพุทธองค์บอกเป็นอวิชา ซึ่งเป็นสิ่งไม่ดีก็ไม่สมควรที่จะไปเกี่ยวข้อง การปฎิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม ก็เป็นเกราะป้องกันชั้นดีแล้ว สิ่งชั่วร้ายไม่สามารถจะมาทำอะไรเราได้ คำพระท่านบอกว่าถ้าเราไม่อยากเสื่อม! ก็อย่าเข้าไปในที่อโคจร เช่น บ่อนการพนัน สนามม้า ซ่องโสเภณี ฯลฯ

บางคนแขวนพระเข้าอาบอบนวดยังต้องถอดสร้อยพระออกก่อนเลยเพราะพาท่านไปในที่อโคจร เพราะฉะนั้นคุณไสยหรือโดนคุณไสย ผมปฎิเสธเรื่องการมี..เชื่อในเวรกรรมดีกว่า สมัยนี้มันไปเร็วยิ่งกว่าอนุภาพโปรตอนอีก..สาบานวันเดียวโดนเลย.......



cartoon ตอบ : น่าจะมีจริงนะค่ะ ถ้าเรามีจิตใจที่แน่วแน่ รักษาศีล 5 ทำแต่ความดีก็น่าจะช่วยให้เรารอดพ้นได้นะค่ะ

◄ll กลับสู่ด้านบน

((( โปรดติดตามตอน "หลวงพ่อธุดงค์เจอคนลองของ" )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 18/4/09 at 13:54 [ QUOTE ]





หลวงพ่อธุดงค์เจอคนลองของ


เรื่องไสยศาสตร์จะมีจริงหรือไม่ ลองมาฟังหลวงพ่อเล่ากันต่อไป ความจริงคำว่า "ไสยศาสตร์" ตามความหมายของหลวงพ่อ ท่านหมายถึงคนที่ทำ "คุณไสย" เช่น ทำเสน่ห์ยาแฝด ทำน้ำมันพราย ลงนะหน้าทอง หรือเสกของเข้าตัวคน เป็นต้น ถือว่าเป็นการทำร้ายผู้อื่นด้วยเวทย์มนต์คาถา

ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้ "เป่ายันต์เกราะเพชร" เพื่อเป็นการแก้ไขไสยเวทย์เหล่านี้ แต่ถ้าใครถูก "น้ำมันพราย" ท่านบอกว่า รักษายาก ต้องมาเข้าพิธีฝึกมโนมยิทธิ "เต็มกำลัง" เสมอๆ การภาวนา "นะมะพะธะ" จะช่วยขับน้ำมันพรายเหล่านี้ให้ออกไปเรื่อยๆ

ส่วนที่มีการทำเครื่องรางของหลังมาตั้งแต่สมัยโบราณ จะเป็นวัตถุมงคลต่างๆ เช่น สร้างพระพุทธรูปและรูปพระสงฆ์ หรือตะกรุด พิศมร ฝังปรอท ลงอักขระเลขยันต์ ด้ายสายสิญจน์ แป้งเจิม และน้ำมนต์ เป็นต้น เพื่อเป็นกำลังใจหรือเพื่อสงเคราะห์คนทั้งหลาย

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ท่านไม่ถือว่าเป็น "ไสยศาสตร์" ควรจะเรียกว่า "พุทธศาสตร์" แต่ถ้านำไปทำในสิ่งที่ไม่ดี น่าจะเรียกว่า "เดรัจฉานวิชา" หรือที่เรียกว่า "มนต์ดำ" เป็นต้น (ไม่รวมผู้ที่นำ "วัตถุมงคล" เหล่านี้ไปในเชิงธุรกิจนะ) และถ้าจะนำเรื่องนี้ไปเหมาว่าเป็น "อวิชชา" ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก เพราะคำว่า "อวิชชา" เป็นศัพท์ของการปฏิบัติธรรมชั้นสูง อยู่ในหมวดคำว่า "ปฏิจจสมุปปบาท" หรือ "ปัจจยาการ" คำว่า "อวิชชา" คือความไม่รู้ หรือความหลง เป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิด จึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร เป็นต้น

ในปัจจุบันนี้ คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็น "ไสยศาสตร์" ไปหมด แม้กระทั่งพิธีพุทธาภิเษก หรือการประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เป็นต้น นักปราชญ์ทางศาสนาเหล่านี้ มักจะตำหนิพระเกจิอาจารย์เหล่านี้ว่าเป็น "พระไสยศาสตร์" ความจริงมันเป็นคนละเรื่องกัน ตามที่อธิบายมาแล้วข้างต้น จึงขอนำเรื่องที่หลวงพ่อเล่าจากประสบการณ์ "ธุดงค์" ของท่าน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องกันต่อไป


เรื่องนี้มีผู้โพสต์ในเว็บ http ://variety.thaiza.com


เมื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำไปธุดงค์เจอคนลองของ

ก็ขอเลี้ยวไปจุดหนึ่ง เอาแค่เป็นจุด ๆ ก็แล้วกันนะ ตอนนั้นเข้าใจว่าเป็นจังหวัดขอนแก่นหรือจังหวัดสุรินทร์ อาจจะเป็นจังหวัดสุรินทร์ขอโทษด้วยนะ เพราะว่ามีต้นลานมาก ขณะที่ไปถึงดงลาน ก็ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่จะปักกลดได้ไหม ท่านบอกว่า ที่ไหนก็ปักได้ ในเมื่อพวกกระผมคอยคุ้มครองท่านอันตรายย่อมไม่มี ก็ถามว่า ในเขตนี้จวนจะหมดเขตประเทศไทยหรือยัง ท่านก็บอกว่า ยัง..ถ้าหมดเขตประเทศไทยต้องเดินไปอีกนานหน่อย

แต่ใกล้จะถึงแม่น้ำโขงอยู่แล้ว ก็เป็นอันว่า ปักกลดที่นั่น เมื่อปักกลดตอนกลางคืน ตอนนี้ไปเดี่ยว หลวงพ่อปานไม่ได้ไปด้วย ความจริงหลวงพ่อปานท่านพาไปด้านเชียงตุง อาตมาขอเลี้ยวไปด้านนี้ก่อน ในปีต่อมานะ

ก่อนที่จะปักกลด ก็ชุมนุมเทวดาบวงสรวงตามที่เคยปฏิบัติ แล้วก็อาบน้ำอาบท่ากันตามสบาย สิ่งที่พวกเราชอบใจมากก็คือ ช้าง ในเขตนั้นรู้สึกว่ามีช้างมาก ขณะที่กำลังปักกลดอยู่ ก็มีช้างโขลงหนึ่งประมาณ ๖๐ ตัว มายืนมองอยู่ ไกลประมาณสัก ๒๐๐ เมตร ไม่ห่างนัก

แต่พวกเราก็มัวมุ่งอยู่กับการปักกลด ไม่ได้ไปสนใจช้าง ไม่รู้ว่าช้างมา พอหันหน้าไปเห็นเข้าช้างหัวหน้าโขลง ซึ่งเป็นช้างสีดอมีงาสั้นตัวใหญ่มาก คุกเขาลงยกวงขึ้นชูแสดงว่าทำความเคารพ ช้างทั้งโขลงก็ปฏิบัติตนเหมือนกันหมด ก็รวมความว่าเบาใจ

เมื่อปักกลดเสร็จก็ถามว่า "พ่อปู่" คือ ย่าเคยบอกว่า ช้างนี่เขาชอบให้เรียกว่า "พ่อปู่" ถ้าเรียก "พ่อปู่" จะเป็นที่พอใจของเขามาก ถามว่า
พ่อปู่..น้ำมีที่ไหนบ้าง ท่านสีดอท่านลุกขึ้น ท่านก็หันหน้าไปเดิน ๒-๓ ก้าว แล้วหันหน้ากลับมาใหม่ พวกเราก็เดินตามไป ท่านเดินนำไปข้างหน้าประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงหนองน้ำใหญ่ น้ำใสสะอาดมาก ท่านก็เอางวงชี้ว่าที่นี่มีน้ำ

ในเมื่อพวกเราเห็นน้ำแล้ว ก็อาบน้ำสรงน้ำกันแบบสบาย ๆ บรรดาช้างทั้งหลายก็มายื่นล้อมบ่อหันหน้าออกทั้งหมด แสดงว่าที่นั่นยังมีอันตรายมาก เพราะเป็นป่าทึบอาบน้ำเสร็จก็ขอบใจท่าน ท่านก็เดินทางกลับ พวกเราก็เข้ากลด

ตอนเข้ากลดนี่บรรดาท่านพุทธบริษัทก็นั่งกรรมฐานกันตามธรรมดา ๆ อย่าลืมว่าพวกเราไม่ใช่พระอริยเจ้า จะเป็นพระอะไรนั่นไม่สำคัญ เป็นพระธุดงค์ก็แล้วกัน ความกลัวถามว่า มีไหม ก็ต้องตอบว่า ทุกคนถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ต้องกลัว ถ้าไม่มีความกลัว ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ต้องไปธุดงค์ การไปธุดงค์ก็เป็นการฝึกเพื่อทำลายกิเลสแต่ว่าจะทำลายได้ขนาดไหนก็เป็นเรื่องของจิตใจ

เมื่อปักกลดไปแล้ว กลางคืนนั่งกรรมฐาน ปรากฏว่าเวลาประมาณตี ๒ มีนกใหญ่ตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ยอดกลด ก็รู้สึกแปลกใจว่า ตามธรรมดานกอะไรจะมาตอนเวลาตี ๒ จะว่าเป็นนกแร้งก็ไม่ใช่จะว่าเป็นนกกระเรียนก็ไม่ใช่ จะเป็นเหยี่ยวก็ไม่ใช่แน่ เพราะโตกว่าเหยี่ยวมาก ก็มีความเข้าใจว่า ที่นี่มีไสยศาสตร์มาก จึงถามท่านอินทกะว่า นกนั่นคืออะไร

ท่านก็บอกว่า หนังควาย เขาทำมาเพื่อให้เข้าตัวพวกท่าน แต่ผมกันไว้ ถ้าท่านอยากรู้ ก็เอาไม้แหลม มันมีไม้แหลมเล็ก ๆ อยู่ ๒-๓ อัน สำหรับไว้แคะเล็บบ้าง อะไรบ้าง เพราะมีมีดไปไม่ได้ก็แทงทะลุกลดขึ้นไปถูกนก นกก็กลายเป็นหนังควายผืนใหญ่ หล่นลงมา เป็นอันว่าอีก ๒ กลดก็เหมือนกัน เขาก็ถูกนกจับเหมือนกัน พร้อม ๆ กัน เขาก็ทำแบบเดียวกัน เขาก็ถามท่านอินทกะเหมือนกัน

พอตอนเช้า ก็ไม่ทราบว่าที่นั่นใกล้บ้าน เพราะเป็นป่าทึบ บังเอิญเป็นเขตใกล้บ้าน กำลังจะออกบิณฑบาตกับต้นไม้ ท่านอินทกะก็บอกว่าไม่ต้องบิณฑบาตกับต้นไม้ เพราะว่าที่นี่ประเดี๋ยวคนจะมาทำบุญ ก็ถามท่านว่า คนเขารู้ได้อย่างไรว่า คณะของเรามา

ท่านบอกว่าไม่เป็นไร พวกผมบอกเขาเอง เขาอยู่ใกล้ ๆ แถบนี้ ให้รับบุญรับกุศลกับเขาหน่อยหนึ่ง แล้วท่านจะรู้ว่า เมื่อคืนนี้ที่นกบินมา นั่นคือใคร ใครเป็นคนทำให้นกบินมา แต่ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะบิน ตั้งใจจะเข้าตัว ถ้าเข้าตัวก็หมายถึงตายทันที เพราะหนังควายผืนใหญ่

ก็นั่งรอคนไม่ไปบิณฑบาต คนเขาก็นำอาหารมา พวกเราทั้ง ๓ คน ก็เอาหนังควายที่ได้เมื่อคืนนี้ มารองนั่งเป็นพรมรองนั่ง แต่ว่าคนที่มาก่อนคณะอื่นทั้งหมด ก็มีคนแต่งตัวดี ๒ คน นุ่งขาว ห่มขาว ท่าทางเรียบร้อย มีข้าวสุกสีขาวมาก และมีต้มยำพุงกับไข่ปลา ไม่เป็นอาหารของภาคอีสาน เป็นอาหารของภาคกลาง

แต่คนอื่นทั้งหมดแต่งตัวรุงรังมากกว่า แต่ใช้อาหารของภาคอีสาน มีข้าวเหนียว แล้วก็มีปลาร้า ปลาจ่อม และมีส้มตำ เป็นต้น เอามาถวายคณะที่นั่งฉันข้าว ท่านเจ้าของข้าวก็บอกว่า ท่านเป็นพระภาคกลาง นิมนต์ฉันข้าวเจ้าครับ ผมนำมาถวายข้าวสวยมาก นิมนต์ฉันต้มยำ

ทั้ง ๓ องค์ ก็มองดูหน้ากัน สงสัยว่าคน ๒ คนแต่งตัวเรียบร้อยมาก ลีลาดีกว่าคนอื่นทั้งหมดก็ถามท่านอินทกะ อินทกะท่านบอกว่า ไอ้เจ้า ๒ คนนี่แหละ ที่มันทำให้นกมาจับบนหลังคากลด พุงปลากับไข่ปลาก็ฉันไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นหนาม หนามผูกไขว้กันไว้ ถ้าฉันเข้าไปลำไส้จะทะลุ เอาวางไว้เฉย ๆ ก่อน แล้วก็ฉันอาหารของคนอื่น เมื่อฉันอาหารของคนอื่นเสร็จ ท่านอินทกะก็บอกว่า ให้ตั้งนะโม ฯ ๓ จบ ว่า อิติปิโสฯ ๑ จบ นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า

ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่ง ขณะที่นั่ง ๆ อยู่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ไอ้หนังที่รองนั่งมันค่อย ๆ เล็กมาทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงเข่า ท่านอินทกะก็เตือนบอกว่า นี่มันเริ่มทำแล้วนะ จะให้หนังเข้าตัว เอาน้ำสำหรับจะฉันมาพรมซิ ก็พรมน้ำลงไป ปรากฏว่าหนังยืดไปตามเดิม เมื่อฉันอิ่มเสร็จ ท่านอินทกะก็บอกว่า เอาน้ำที่ฉันนี่ไปพรหมข้าว พอพรมข้าว รู้สึกว่าข้าวเป็นทรายทั้งหมด พอพรมต้มยำ ต้มยำก็เป็นน้ำธรรมดา มีหนามผูกไขว้ คนทั้งหลายพอเห็นเข้าอย่างนั้น ก็เข้าใจว่า คน ๒ คน ที่ทำมาเพื่อจะฆ่าพระธุดงค์

เขาถือว่า ถ้าพระธุดงค์ได้เป็นความดีมาก เป็นคนเก่ง ชาวบ้านต่างคนก็ต่างโกรธจะทำร้ายร่างกายสองคนนั่น อาตมาก็เลยขอร้องบอกว่า อย่าทำร้ายเขาเลยเป็นเรื่องของกฎของกรรม ตามธรรมดา พระธุดงค์ต้องมีของป้องกันตัวเป็นของธรรมดา

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า เสียงก็แห้งเต็มที วันนี้เวลาหมดเสียแล้ว ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธ ศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี

◄ll กลับสู่ด้านบน

((( โปรดติดตามตอน "พระเก่งไสยศาสตร์ลงนรก" )))


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/5/09 at 09:23 [ QUOTE ]





หลวงพ่อเล่าเรื่อง

"พระเก่งไสยศาสตร์ลงนรก"


พระครูสุวรรณพิทักษ์บรรพต คณะ 11 วัดสระเกศ พระองค์นี้หลวงพ่อปานเคารพมาก แล้วก็สรรเสริญมากว่าเป็นพระดี ท่านเคยสั่งว่าเวลาฉันตายแล้วนะ เวลามีอะไรขัดข้องก็มี หลวงพ่อพระครูสุวรรณพิทักษ์บรรพต นี่แหละพอที่จะเป็นที่พึ่งได้ ท่านสั่งไว้หลายองค์ แต่ละองค์ก็มีอายุมากๆ เกรงว่าจะตายไป องค์โน้นตายเสียแล้วจะได้อาศัยองค์นี้ ท่านว่ายังงั้น

ทีนี้ตอนที่หลวงพ่อปานตายแล้ว อาตมาก็ไปนมัสการท่าน องค์นี้เรื่องไม่มาก หูท่านหนัก เวลาพูดก็ต้องพูดดังๆ ไอ้เราเป็นคนเคารพคนแก่อยู่แล้ว จะพูดดังก็เกรงใจ เกรงจะหาว่าเป็นการเหยียดหยามคนแก่ แต่ท่านก็เกณฑ์ให้พูดดังๆ ถ้าพูดไม่ดังท่านก็ไม่ได้ยิน เวลาไปหาท่าน ปรากฏว่าอายุ 93 ปีแล้ว

ครั้งแรกท่านถามก่อนว่ามาจากไหน ก็กราบเรียนท่านว่ามาจากวัดบางนมโคขอรับ ควาจริงตอนนั้นเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ แล้ว เกล้ากระผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ท่านก็ยกมือขึ้นป้อง ร้องว่า

"อ๋อ..ไอ้ลูกศิษย์ท่านปานเรอะ ไอ้ลิงดำ..ใช่ไหม..?"

เอาเข้าแล้ว ไม่รู้ว่ารู้จักยังไง เลยกราบเรียนถามท่านว่า
"รู้จักยังไงขอรับ..?" ตอบว่า

"ข้ารู้..อาจารย์แกเขาเคยบอกให้ฟัง"

เรื่องนี้เล่าไว้ตอนต้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะที่พูดนี่ไม่ได้เขียนก็ไม่ทราบว่าพูดแล้วหรือยัง ตอนนี้ก็เลยขอย่อเรื่องเอาสั้นๆ

เป็นอันว่าไปคราวนั้นก็เอาชื่อของอาจารย์ทั้งหลายที่เก่งในทางไสยศาสตร์ ลงเลขลงยันต์ คงกระพันชาตรี เหนียวแบบนั้นเหนียวแบบนี้ มีลูกศิษย์ลูกหามากไปถวายท่าน บอกว่าพระทั้งหมดนี้ 10 องค์กว่าๆ เวลานี้ตายแล้วขอรับ เกล้ากระผมอยากทราบว่า

"พวกนี้ตายแล้ว ไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน หรือไปนรก..?" ท่านบอก

"เออ..ดีเหมือนกันว่ะ ถามงี้ก็ดี ไม่ค่อยมีใครมันถามหรอกว่าไอ้นรกนี่ข้าไปเที่ยวเสมอ แต่อเวจีไม่ได้ลงสักที เห็นไฟมันพลุ่งๆ ขึ้นมา อยากจะไปดูให้เห็นพอจะไปก็พอดีสว่าง เขาไปตามบอกสว่างเสียแล้ว นี่เป็นหน้าที่ของ "เทวดาอิน"

เทวดาอินแกอยู่ที่ทางสี่แพร่ง ทางไปนรก ไปพรหม ไปสวรรค์ แล้วก็มามนุษย์ แกมีหน้าที่คอยตามพระหรือฆราวาสที่ได้ฌานที่เพลินไป ไม่กลับตามเวลา ตามให้กลับว่าเวลาจะสว่าง

ท่านได้รับบัญชีไว้แล้ว ท่านก็บอกเอายังงี้นะ พรุ่งนี้มาใหม่ข้าจะบอกให้ฟังว่า เขาจะไปทางไหนกัน ก็เลยกลับ เมื่อกลับมาแล้ววันรุ่งขึ้นเช้าก็ไปใหม่ พอไปแล้ว ท่านก็รายงานให้ทราบ ท่านบอกว่า

"เออ..อาจารย์พวกนี้ว่ะ เมื่อคืนนี้ข้าไปดูมาแล้ว ไม่เห็นมีนี่บนสวรรค์ น่ากลัวจะดันไปนรกหมดแล้ว..!"

ทั้งนี้เพราะอะไร ท่านก็เลยบอกว่า เพราะเจตนาเขาไม่เหมือนเรา เวลาเขาให้ของใครเขาก็บอกว่า นี่เหนียวยังงั้น ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก แทงไม่เข้า ตีไม่แตก ไปยุให้คนมันทำชั่ว ไปยุให้คนเป็นนักเลง

เมื่อคนมันหนังเหนียวแล้วมันก็ไปข่มเหงชาวบ้านเขา ไปปล้นเขา ท่านอาจารย์ก็กลายเป็นต้นตอ ก็เป็นผู้อำนวยการกระทำความชั่ว แล้วเจตนาที่แจกของเหล่านั้นก็เป็นเตนาชั่ว คือตั้งราคาเป็นสำคัญ ของชิ้นนั้นราคาเท่านั้น ของชิ้นนี้ราคาเท่านี้ เพราะมันเหนียว มันคงกระพัน ลงทุนบาทหนึ่งก็เรียกราคาเป็นร้อยเป็นพัน แบบนี้ เจตนาก็ไม่ใช่เจตนาของพระ ไม่ได้ปฏิบัติตนอย่างพระ ขณะที่บวชอยู่ก็จิตไม่เป็นพระ

นี่มันเป็นทางลงนรกลงไปแล้ว พอจิตไม่เป็นพระเท่านั้นมันก็ลงนรกแล้ว แล้วต่อมาก็มาเป็นหัวหน้าโจรเขาอีก แจกของเหนียว พอเจ้าพวกนั้นเป็นนักเลงไปข่มเหงชาวบ้าน เพราะอาศัยหนังเหนียวจากอาจารย์ให้ของ ไปปล้นสะดมเขา ไปแย่งชิงวิ่งราว เพราะอาศัยมีความเชื่อมั่นของดีจากอาจารย์

เป็นอันว่า..ท่านอาจารย์ก็มีส่วนร่วมลงนรกเป็นวาระที่ 2 เรียกว่ามีสมบัติ 2 ชิ้น พอที่จะนำนรกไปแบบสบายๆ เป็นอันว่าเรื่องราวของ ท่านพระครูสุวรรณพิทักษ์บรรพต ก็ขอย่อไว้แค่นี้นะ.

◄ll กลับสู่ด้านบน




[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top