Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 26/1/10 at 10:52 [ QUOTE ]

อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญ (ตอนจบ "วัวหำคด" - หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา)


Update 5 มิ.ย. 2553







ตอนที่ ๑๓ (ตอนจบ)

"วัวหำคด" - ครูบาชัยยะวงศา




ภาพจาก : 212cafe.com

......มวยหมู่องค์ต่อไป คือ หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศา แห่งวัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้ม ต.นาเลียง อ.ลี้ จ.ลำพูน ประวัติหลวงปู่ฯ และความเป็นมาผมคงจะไม่เขียนให้ยืดยาว เพราะว่าได้มีลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ฯ นำไปเขียนรวมเล่มแล้วยาวเหยียด ดังนั้นผมจึงจะเขียนเฉพาะที่หนังสือเล่มดังกล่าวไม่ได้เขียนเอาไว้ และที่สำคัญก็คือเรื่อง "ไอ้วัวหำคด" ที่ได้อ้างค้างเอาไว้ในตอนก่อนหน้านี้ ก็จะนำมาเล่าในตอนนี้แหละครับ...

ถ้าพวกเราสังเกตจะพบว่า ศิษย์สาย ครูบาเจ้าศรีวิชัย มักจะพบวิบากกรมเฉกเช่นครูบาอาจารย์ของท่านหลายองค์ เช่นท่านครูบาอภิชัยปี ถูกบังคับจับสึกแต่ใจท่านไม่ยอมสึกตามไปด้วย ยังคงถือวัตรปฏิบัติเช่นเดียวกับพระภิกษุสงฆ์ เพียงแต่นุ่งขาวห่มขาว เกิดเป็นศัพท์ใหม่ที่ชาวบ้านเรียกกันเองว่า "ผ้าขาว"

หลวงปู่ครูบาวงศ์ฯ ก็เช่นกัน ถูกบังคับจับสึกต้องเป็น "ผ้าขาววงศ์" อยู่ถึง ๔ ปี อธิกรณ์ที่ตั้งก็ตั้งกันไป โดยกลุ่มเสือเหลืองที่เรืองอำนาจอยู่ในพุทธจักรสมัยนั้น ซึ่งดูเหมือนจะพากเพียรเหลือเกิน ในอันที่จะสึกพระที่เป็นพระแท้ พระปฏิบัติ พระพัฒนา ให้จงได้ อธิกรณ์ส่วนใหญ่มักจะกล่าวหาเหมือนๆ กันอยู่ข้อหนึ่งก็คือ "ซ่องสุมผู้คน"

ถ้าเป็นสมัยนี้หลวงพ่อฯ คงแย่เลยครับ เพราะซ่องสุมผู้คนเป็นแสนๆ ป่านนี้ต้องคอยแก้อธิกรณ์กันอย่างเดียวให้กลุ้มไป ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว (อธิกรณ์นั้นก็เหมือนกับข้อกล่าวหา ซึ่งจะต้องมีการบรรยายเหมือนกับการบรรยายคำฟ้องคดีต่อศาลนั่นแหละครับ) แต่ถ้าลองไปอ่านข้อความที่เขาบรรยายในอธิกรณ์ที่ตั้งฟ้องครูบาเจ้าศรีวิชัยดู เราจะรู้ว่าเป็นตลกร้ายทีเดียวแหละครับ

คำบรรยายฟ้องนั้นเหมือนกับคนร่างฟ้องนั้น ฟ้องตนเองว่าไม่มีคุณสมบัติที่ดีวิเศษเฉกเช่นครูบาเจ้าศรีวิชัย จึงอิจฉาริษยาจนเนื้อตัวสั่นต้องเอามาฟ้อง เช่น ฟ้องว่าครูบาเจ้าฯ ทำตัวเป็นผู้วิเศษ เวลาเดินทางไม่ใช้เท้าเดินไปเช่นเดียวกับที่ผู้อื่นกระทำ แต่ได้ใช้วิธีเหินไป ("เหิน" เป็นอาการเคลื่อนไหวอย่างหนึ่ง ซึ่งใกล้เคียงกับเหาะ แต่เป็นการเหาะแบบเรี่ยๆ พื้นดินนั่นเอง)

เราลองมาพิจารณาศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวเหนือที่กระทำกันให้เราท่านเห็นอยู่เนืองๆ ก็คือ ถ้าพระภิกษุสงฆ์องค์ไหนที่เขาเชื่อถือศรัทธาผ่านมา ชายก็จะทอดกายลงนอนบนทาง หญิงก็จะสยายผมสลัดออก ออกปูบนทางรองบาทพระคุณเจ้า ผู้คนเป็นหมื่นๆ ทำเช่นนี้ไม่ว่าครูบาเจ้าฯ จะไปทางไหน

ทีนี้หลังคนนั้นมันไม่เรียบ การเดินย่ำไปนั้นดีไม่ดีคนเดินนั่นแหละ ไม่เกินห้าก้าวสิบก้าว..ไม่ปากก็หัวแตก ซึ่งเป็นการลำบากไม่สะดวก และท่านก็คงไม่อยากที่จะเหยียบย่ำลงไปจริงๆ แต่เพื่อเป็นการฉลองศรัทธา และเมื่อท่านสามารถเหินได้ ท่านก็เหินเรี่ยๆ พื้นพอให้พ้น ไม่ได้ตั้งใจจะโชว์หรอกครับ แต่พวกอิจฉาดันไปเห็นเองก็เลยคาบมาฟ้อง

การพิจารณาอธิกรณ์นั้น ก็ไม่ได้ถกเถียงกันว่าเหินได้จริงหรือไม่จริง แต่รับกันได้ว่าเหินจริง และเหินได้จริงเพียงแต่จะผิดพระวินัยหรือไม่เท่านั้น และในที่สุดท่านก็ให้ยกอธิกรณ์นั้นเสีย สาธุ.. ยังโชคดีที่พระผู้ใหญ่ท่านไม่เชื่อเปรตสอพลอ

ย้อนมาเรื่องหลวงปู่ครูบาวงศ์ฯ สมัยที่ผมเป็นผู้บังคับหมวด ตชด. อยู่ที่ กก.ตชด.เขต ๕ ค่ายดารารัศมี (พตท.เขต ๕ คือ พลเรือน ทหาร ตำรวจ) รายงานว่า พบพระสงฆ์องค์หนึ่งสงสัยว่าน่าจะเป็นบุคคลต่างชาติอำพรางตนเป็นพระ ซ่องสุมพวกกะเหรี่ยงจำนวนมากอยู่ที่อำเภอลี้ มีการปลุกระดมกันทุกคืน สร้างหอประชุมไว้ใหญ่โตมาก หอประชุมก็สงสัยว่าน่าจะเป็นไม้เถื่อน ให้ส่ง ตชด.ไปสืบสวน ถ้าพบการกระทำผิดให้จับกุมคุมขัง และให้ดำเนินคดีโดยเฉียบขาด พระองค์นี้ก็คือ "หลวงปู่ครูบาวงศ์" นั่นเอง

เพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งได้รับมอบหมายมาหารือกับผม ผมจึงแนะนำให้ปลอมตัวเป็นชาวบ้านไปดูเหตุการณ์ อย่าเพิ่งทำอะไรให้มันบุ่มบ่าม เดี๋ยวจะพลาดลงนรก มันก็เชื่อครับ พอมันกลับมามันก็ด่าพ่อล่อแม่คนสั่งเสียลั่นค่าย ใส่ไม่ทันนับคะแนนให้ไปเลยครับ มันเล่าว่าพอตกค่ำ พระองค์นั้นก็นำกะเหรี่ยงทั้งหมู่บ้านนับได้เป็นพันๆ คน ล้นห้องประชุมสวดมนต์ทำวัตรเย็น แล้วก็เทศน์เป็นภาษากะเหรี่ยง (ที่รู้เพราะได้นำกะเหรี่ยงแหล่งข่าวติดตามไปด้วย) เทศน์จบแล้วก็สอนกรรมฐาน กะเหรี่ยงนั่งหลับตาภาวนานับลูกประคำกันเป็นทิวแถว มันโวยวายว่า

"ไอ้จรเข้น้อยเอ๊ย..มารดางู..! หาว่าพระท่านซ่องสุมผู้คนก่อการร้าย กูไม่เคยพบเคยเห็น ผู้คนมากมายศรัทธาในพระศาสนาอย่างนี้ ห้องประชุมที่มันรายงานมา ที่แท้เป็นศาลาฟังธรรมว่ะ ยาวตั้ง ๑๐๐ เมตร อย่างนั้นยังไม่พอบรรจุผู้คนล้นออกไปนอกศาลา มากกว่าที่ได้อยู่ข้างในเสียอีกบานเบอะ ไอ้ฉิบหาไม่เจอ...เกือบทำกูลงนรกไปแล้ว ไม้ถ่งไม้เถื่อนกูไม่สนใจแล้ว ท่านไม่ได้ตัดเองนี่หว่า ซื้อบ้างกะเหรี่ยงตัดถวายบ้าง กูไปอยู่ ๗ วันแทบลงแดงตาย มันแดกผักกันทั้งบ้านทั้งเมือง ขี้งี้เขียวปี๋เลยกู....ถ้าท่านจะสร้างเพิ่มเติมอีก คราวนี้กูจะไปตัดให้เองมึงคอยดู..!"

ไอ้เพื่อนผมคนนี้ ปกติมันไม่ค่อยจะเข้าวัดเข้าวาหรอกครับ ก็เหมือนกับผมในสมัยนั้น ส่วนใหญ่ก็จะไปแค่ใกล้ๆ กำแพงก็พอแล้ว ไม่เว้นวันพระวันโกน แต่ไม่ใช่กำแพงวัดครับ เป็นกำแพงดิน ระยำจริงๆ พวกผมนี่..! เป็นอันว่า หลวงปู่ครูบาวงศ์นั้นก็รอดจากการถูกจับสึกเป็นครั้งที่สอง ส่วนเพื่อนของผมเองนั้นก็รอดจากนรกไปเส้นยาแดงผ่าแปด

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คณะของเราไปแจกสิ่งของและเครื่องลางของขลัง เพื่อเป็นกำลังใจให้กับนักรบชายแดน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจทหารหรือพลเรือน ขากลับเราแวะรับหลวงปู่ครูบาวงศ์ฯ เดินทางมาโดยรถบัสคันเดียวกัน หลวงปู่ท่านรื่นเริงมาก เดี๋ยวก็เดินไปนั่งคุยกับคนนั้นคนโน้นไม่ได้หยุด ผมนั้นกำลังเคร่งขรึมเพราะพอใกล้จะถึงบ้านก็เหมือนใกล้ถึงนรก ซึ่งที่จริงแล้วนรกมันก็อยู่ในใจของผมนั่นเอง

ผมกำลังคิดจะเปลี่ยนภริยาใหม่ครับ เป็นผู้หญิงคนใหม่ที่สวยสด การศึกษาดี มีทรัพย์สมบัติและยินยอมพร้อมใจกับผมทุกอย่าง กำลังรอคอยคำตอบจากผม ขอเพียงให้ผมตอบเธอว่าตกลงเท่านั้น ผมก็จะพ้นจากนรกขุมเก่าทันที (ไปลงนรกขุมใหม่) หลวงปู่ท่านได้เดินมานั่งข้างๆ ผม ถามว่าคืนนี้จะค้างที่บ้านสายลมหรือเปล่า ผมตอบปฏิเสธ

ท่านมองหน้าผมแล้วก็พูดขึ้นมาดังๆ ท่ามกลางคนหมู่มากที่กำลังสนใจอยู่ว่า รู้จัก "วัวหำคด" ไหม..? ผมส่ายหน้าว่าไม่รู้จัก ท่านก็อธิบายทันทีว่า

"วัวหนุ่มกำลังคึกคะนอง แต่โชคร้ายมันเกิดมา "หำคด" จึงทับตัวเมียไม่สำเร็จ ทำให้มันคลุ้มคลั่งเป็นบ้าเป็นบอไป" ผมนึกในใจ เอ๊ะ..! นี่ท่านกำลังด่าผมอยู่หรือเปล่านะเนี่ย

หลวงปู่ซึ่งกำลังจ้องหน้าผมอย่างเอาจริงเอาจังพยักหน้ารับแต่ไม่ได้พูด เป็นอันรู้กันสองคนว่า "ท่านกำลังว่าผม" ท่านว่าอีกว่า..

"วัวมันโง่ไม่มีความคิดไม่รู้จักแก้ไข เราเป็นคนใช้หัวสมองแก้ไขได้ คืนนี้อยู่นวดให้หลวงปู่ - หลวงพ่อ ที่บ้านสายลมจะดีกว่านะ"

ผมก้มหน้านิ่งอึ้งไป ในที่สุดก็ตอบท่านไปว่า ไม่หรอกครับหลวงปู่ วันหลังผมจะนวดให้ แต่หลวงปู่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ที่หลวงปู่เตือนนั้นผมเข้าใจ ผมคิดได้แล้วและจะรีบไปแก้ไขปัญหาด้วยหัวสมอง หลวงปู่ท่านเอามือจับศีรษะผม แล้วภาวนาให้ศีลให้พรยาวเหยียด ขนาดผมที่นั่งฟังยังเหนื่อยแทน เสร็จแล้วท่านก็เป่าพรวดบอกว่า "เอ้า..ดีแล้ว.ไปได้.. ไปสู้กับเขาได้แล้วทีนี้..!" และผมก็สามารถรอดพ้นจากบ่วงกรรมไปได้อีกครั้งหนึ่ง เพราะ "ไอ้วัวหำคด" ตัวนั้นนั่งเอง

หลวงปู่ครูบาวงศ์ฯ นับเป็นพระสุปฏิปันโนที่อ่อนอาวุโสในเรื่องวัยวุฒิที่สุดเท่าที่พวกเราได้พบมา แต่แปลกนะครับ เราเรียกหลวงปู่ว่า "หลวงปู่" แต่กลับเรียกหลวงพ่อ ซึ่งวัยวุฒิสูงกว่าว่า "หลวงพ่อ" หลวงปู่กับหลวงปู่ทึมนับว่าเป็นพระที่สนิทสนมกันมาก เมื่อหลวงปู่ทึมไดรับแต่งตั้งเป็น "พระครูปลัด" ในท่านเจ้าคุณราชฯ เจ้าอาวาสวัดจามเทวี ได้ขอตำแหน่ง "พระครูใบฎีกา" ให้กับหลวงปู่วงศ์ด้วย ไปไหนก็มักจะไปด้วยกัน ทำอะไรก็มักจะคิดร่วมกัน ทำร่วมกันมาโดยตลอด

ส่วนใหญ่หลวงปู่ทึมคิดแต่ให้หลวงปู่วงศ์ทำ เพราะหลวงปู่ทึมไม่แข็งแรง ส่วนหลวงปู่วงศ์โน่น.....อยู่บนนั่งร้านหรือไม่ก็บนหลังคา ไม่ศาลาก็โบสถ์ ลงมือสร้างเองมุงเองเสร็จถาวรวัตถุในพระศาสนา หลวงพ่อของพวกเราก็ไม่เบานะครับ สมัยก่อนโน้นที่ท่านเล่าว่าติดตามหลวงพ่อปานไปสร้างถาวรวัตถุในพระศาสนาตามที่ต่างๆ สมัยโบราณท่านลงไม้ลงมือไสไม้เทปูนมุงหลังคาเป็นช่างไปในตัว ลงมือเองครับ..ไม่ใช่เพียงแต่คุมช่างหรือสั่งการ


สมัยที่ผมยังบวชและปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อฯ หลวงพ่อก็จะลงมาคุมการก่อสร้างทุกวันไม่เคยขาดถ้าไม่มีกิจสำคัญอย่างอื่น ท่านคุมไปสั่งงานการก่อสร้างไปแล้วก็เล่าเรื่องเก่าๆ ขำๆ เกี่ยวกับการก่อสร้าง และการก่อสร้างหรือตระเตรียมการงานต่างๆ กว่าจะได้แค่คืบแค่ศอกก็แทบจะหืดขึ้นคอ ปัจจัยกว่าจะได้สักบาทสักสลึง ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ต้องตะรอนๆ ไปตามที่ต่างๆ อย่างเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด และการสร้างของหลวงพ่อนั้น จะยึกหลักดังนี้

๑. ราคาถูกที่สุด
๒. คุณภาพดีที่สุด (ไม่เฉพาะเรื่องความมั่นคงแข็งแรงเท่านั้น แต่หมายความถึงความสวยงาม และความเป็นระเบียบถูกแบบแผนด้วย)
๓. รวดเร็วดที่สุด (และต้องทันเวลาด้วย)
๔. จ่ายเงินตามเวลาที่นัดไว้
๕. มีของแถม


เฉพาะ ๔ ข้อแรก ก็ต้องนับว่ายอดเยี่ยมทำได้ยากแล้ว แต่ข้อ ๕ นี่ซิครับจึงจะนับว่า "น่าทึ่ง" ในความสามารถของหลวงพ่อเป็นที่สุด ในสมัยที่ผมได้อยู่ใกล้ชิดและมีโอกาสติดตามหลวงพ่อ มักจะได้ยินได้ฟังการพูดคุยและเจรจาระหว่างนายช่างผู้รับเหมากับหลวงพ่อเสมอๆ ซึ่งทุกครั้งดูเหมือนหลวงพ่อจะต้องกลายเป็นผู้คอยแนะนำและชี้ช่อง หรือวิธีการในการก่อสร้างที่จะให้บังเกิดผลตามที่ได้กล่าวเอาไว้ใน ๓ ข้อแรกเสมอๆ

และเทคนิคที่หลวงพ่อแนะนำให้กับผู้รับเหมา มักจะเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน บางเรื่องเหมือนเส้นผมบังภูเขา ซึ่งเมื่อเขาได้ไตร่ตรองดูแล้วก็มักจะพบว่า ถ้าทำตามหลวงพ่อแล้วงานของเขาจะง่ายขึ้น เร็วขึ้น แถมต้นทุนก็จะลดลง ทำให้เขามีกำไรมากกว่าเท่าที่ประมาณการมา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะต้องเสนอการก่อสร้างเพิ่มขึ้นให้ฟรีๆ เป็นของแถมให้กับหลวงพ่อเสมอๆ นี่แหละผมถึงว่ามี.."ของแถม"

เรื่องราวต่างๆ ที่ผมได้เล่ามาทั้งหมดในตอน "แถมพก" นี้ จำเป็นจะต้องยุติลงเป็นการชั่วคราวเพียงเท่านี้ก่อน ในส่วนที่ยังไม่ได้เขียนแต่ขอผลัดไว้ในโอกาสหน้านั้น เท่าที่วางเค้าโครงเรื่องไว้แล้ว และขอยกมาเป็นตัวอย่างก็มีเรื่อง "หลวงปู่แหวน, หลวงปู่ครูบาธรรมชัย, หลวงปู่บุดดา ถาวโร, อาจารย์โกวิน วัดไผ่รื่นรมย์, หลวงพ่อโสธร, จิตเข้าถึงฌานในครั้งแรกได้อย่างไร, หัดเดินบนน้ำข้างกุฏิเรือนแพ, แม่ครูอสุภกรรมฐานของผม" นั่งสามล้อชมเมืองอุทัยธานีกับหลวงพ่อ, หลวงพ่อพกเครื่องลางฯ ดร. Insact, หลวงพ่อถูกทางหลวงไถ, ผีที่วัดหลวงตาแสง ฯลฯ เป็นต้น ต้องคอยติดตาม เล่มที่ ๒ แล้วละครับ...พระเดชพระคุณ.. สวัสดีครับ..!

<< จบบริบูรณ์ >>


◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 5/6/10 at 10:13 [ QUOTE ]


(Update 5-6-53)

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top