สารบัญ
1. ตอนที่ ๑
2. ตอนที่ ๒
3. ตอนที่ ๓
4. ตอนที่ ๔
1
ตอนที่ ๑
บรรดาลูกหลานที่รัก
วันนี้หลวงตามาในนามของ ฤาษีทัศนาจร ฤาษีทัศนาจรก็คือ "เจ้าลิงดำ" นั่นเอง ไม่ใช่ใคร ที่ให้นามว่า "ฤาษีทัศนาจร" ก็เพราะว่า
เที่ยวดู..เที่ยวเห็น "ทัศนะ" นี่เขาแปลว่า "เห็น" "จร" นี่เขาแปลว่า "เที่ยว" ฉะนั้นลูกหลานที่รัก เมื่อฟังคำพูดนี้แล้ว
ก็จงรู้จักไว้ว่าการทัศนาจรก็คือ "เที่ยวเห็น" จะแปลว่าเที่ยวดู มันก็ไม่ถูก ถ้าดูแล้วภาษาบาลีเขาเรียกว่า "โอโลเกตวา" ดูแล้วตานี้ "ทัศนะ" เขาแปลว่า
"สบายเห็น"
สำหรับรายการนี้เป็นรายหนังสือสบาย เรียกว่ารายสบาย ไม่ใช่รายปักษ์ เราก็จะคุยกันเป็นตอน ๆ ไป
การทัศนาจรคราวนี้จะไปเที่ยวที่ไหนกันดี ..? คราวก่อนไปเที่ยวเมืองนรก แล้วก็พอถึงตอนสวรรค์ ปรากฏว่ายับยั้งไว้ ไม่ได้เที่ยวมาก ด้วยหนังสือฉบับนั้น อาศัยที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำ บอกว่า
การท่องเที่ยวควรท่องเที่ยวให้ละเอียดละออเฉพาะนรกเท่านั้น เพราะเป็นแดนที่ประกอบไปด้วยความทุกข์ สำหรับดินแดนสวรรค์เป็นดินแดนของความสุข
ไม่จำเป็นต้องบอกให้ละเอียดนัก ทั้งนี้ก็เพราะว่าดินแดนที่มีความสบาย คุยมากกันไป ก็แค่นั้นแหละ ไม่เกิดประโยชน์อะไรมาก
หนังสือฉบับนั้นที่ให้นามว่า ไตรภูมิ ก็ได้พูดกันถึง ภพทั้งสาม คือว่า ภพดินแดนแห่งความทุกข์ คือมีนรกเป็นต้น ที่เรียกกันว่า อบายภูมิ ๔
มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน อีกอันหนึ่งก็คือ ดินแดนของเมืองมนุษย์ อีกส่วนหนึ่งก็คือเทวดาหรือพรหม ที่เรียกกันว่าสวรรค์
ไปแตะพระนิพพานเข้านิดหนึ่ง
หนังสือฉบับนั้นมีพระคุณเจ้าที่เคารพท่านปรารภมา บอกว่า หนังสือฉบับนั้น มีทั้งจริงทั้งโกหก ลูกหลานที่รัก โกรธท่านไหม..? ที่ท่านว่าอย่างนี้ โกรธท่านไหม..? ความจริงไม่น่าจะโกรธ ท่านพูดตามความเป็นจริง เพราะว่าหนังสือทุกเล่ม ถ้าไม่โกหกเสียอย่างเดียว
ก็ไม่มีเรื่องอะไรจะพูด แม้ตัวของเราเอง เราก็ยังโกหกตัวเอง เราแก่ทุกวัน เราก็โกหกว่าเราหนุ่ม เราสร้างความเลว เราก็โกหกตัวเอง ว่าเราสร้างความดี
เราโกนหัวห่มผ้าเหลือง
บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา การบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าบอกว่า ให้ละโลกธรรมทั้ง ๘ ประการ คืออย่าสนใจในความร่ำรวย แล้วก็อย่าเสียใจ ในเมื่อความร่ำรวยสลายตัวไป อย่าอยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ แล้วก็อย่าเสียใจ เมื่อยศฐาบรรดาศักดิ์สิ้นไป
อย่าพอใจในคำสรรเสริญ แล้วก็อย่าหนักใจในคำนินทา อย่ามั่วสุมในกามสุข
คำว่ากาม ลูกหลานที่รัก
ไม่ใช่หมายถึงกามารมณ์ ความปรารถนาในการเคล้าคลึงซึ่งกันและกันเสมอไป ขึ้นชื่อว่าความใคร่ อันเป็นวัตถุของโลก พระพุทธเจ้าเรียกว่ากาม กามสุขมีความสุข
ในการประดับประดาไปด้วยเครื่องวิจิตร มีกุฏิสวย ๆ มีจีวรสวย ๆ มีเครื่องประดับประดาสวย ๆ ต่าง ๆ แต่อย่าไปสนใจกับความทุกข์ เพราะมันเป็นของปรกติธรรมดา
แต่ทว่าบรรดาท่านนักบวชทั้งหลาย ไม่ใช่ว่าทั้งหมด เอาบางพวก ท่านกลับพอใจในความร่ำรวย ตายแล้วมีเงินเป็นล้าน ๆ เวลาอยู่ไม่หยิบสตางค์
เพราะอะไร..?
เพราะโกหกตัวเอง โกหกชาวบ้านว่าฉันไม่จับสตางค์
ฉันไม่จับหรอกไอ้เงินไอ้ทองพวกนี้ เพราะมันเป็นอาบัติ แต่เวลาถวายนิตยภัต รับ ไปสวดมนต์เย็น ฉันเช้า ตามบ้านตามเรือน รับ เขาให้สตางค์นี่ รับ
ท่านไม่จับสตางค์ ก็เลยมีเงินเหลือมาก ไม่เหมือนหลวงตาของลูกหลานทั้งหลาย โกหกชาวบ้านด้วยประการทั้งปวง แล้วก็โกหกพระพุทธเจ้าด้วย
พระพุทธเจ้าบอกว่า
การรับเงินทองเองก็ดี ให้คนอื่นรับแทนก็ดี หรือรู้อยู่ว่าบุคคลอื่นเก็บไว้เพื่อตนก็ดี เป็นอาบัตินิสสัคคีย์ ตัวเป็นปาจิตตีย์ คำว่าของเป็นนิสสัคคีย์
คือของไม่ดี ตัวเองเป็นอาบัติปาจิตตีย์ หลวงตาของลูกหลานทำทุกอย่าง เขาให้ก็รับ ไม่ต้องไปวานชาวบ้านชาวเมืองเขารับแทน
แล้วก็ไม่ต้องไปวานชาวบ้านชาวเมืองเขาเก็บแทน รับแล้วก็มาใช้ ใช้ในส่วนไหน..? ก็มาใช้ในส่วนที่เรียกว่าจำเป็น
เพราะว่าเวลานี้จะไปรถไปเรือ ไปร้านอาหาร เวลาหิวโหยขึ้นมา เขาเรียกสตางค์ เขาไม่เลือกว่าจะเป็นคนหรือว่าเป็นลิง เขาเอาทั้งนั้น
เป็นฤาษีชีไพรเขาก็เก็บสตางค์ เป็นอันว่าหลวงตาก็โกหกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกไม่ให้รับ เวลาบวชเข้ามารับสิกขาบท ๒๒๗ สิกขาบท แต่ปรากฏว่าโกหกเสีย ๑
สิกขาบท คือรับสตางค์ สตางค์ที่ส่วนเหลือ ก็เอาไปสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาบ้าง ทำเป็นส่วนสาธารณะประโยชน์บ้าง คือสร้างโรงเรียนให้เด็กเรียนบ้าง
ขุดบ่อน้ำบ้าง ทำสะพานบ้าง ช่วยเหลือคนป่วยไข้ไม่สบายบ้าง ตามเรื่องตามราวของลิง นี่ลิงมีนิสัยโกหกแบบนี้
แต่ทว่าคนอีกพวกหนึ่ง
เขาโกหกกันคนละอย่าง เขายึดถือเงินทองที่ชาวบ้านชาวเมืองมอบให้ แต่ว่าเขาโกหกใจของเขา เขาบอกว่าเขาไม่รับสตางค์ นี่เป็นอันว่าที่เขาบอกว่า หลวงตาโกหก
ลูกหลานที่รักอย่าไปโกรธเขา มันเป็นเรื่องโกหกจริง ๆ แต่ว่าเป็นการโกหกชนิดประเภทเปิดเผย ไม่เบียดบัง
เป็นอันว่าหลวงตา
ถ้าตายแล้ว ก็คงจะมีลูกหนี้สินรุงรัง ลูกหลานทั้งหลายก็จำเป็นที่จะต้องชำระหนี้ให้ เพราะอะไร..? เพราะว่าหลวงตาเป็นห่วงลูกห่วงหลาน พวกลูกหลานให้สตางค์มาเพื่อกินเพื่อใช้ ก็นำไปใช้ในเรื่องผิดประเภท
เอาไปก่อสร้างเสียบ้าง เอาไปทำงานในส่วนสาธารณประโยชน์ บำบัดทุกข์บำรุงสุขคนไข้ไม่สบายเสียบ้าง ขุดบ่อน้ำบ้าง ทำสะพานบ้าง ใช้กระแสไฟให้เป็นส่วนสาธารณะบ้าง
นี่หลวงตาเป็นคนโกหกนะ
พระที่เมืองปราณบุรีหรือว่าทับสะแก ก็ไม่ทราบ ท่านด่ามาบอกว่าหลวงตาโกหก เขียนหนังสือนี่โกหก จงเชื่อท่านเถอะว่า หลวงตาเป็นคนโกหกจริง ๆ ก็บอกแล้วบอกว่า
ถ้าไม่โกหกเสียอย่างเดียว เรื่องที่จะพูดให้ลูกหลานฟังมันก็ไม่มี
สำหรับรายการฤาษีทัศนาจร ลูกหลานที่รัก จงจำไว้ว่าฤาษีตนนี้ ฤาษีท่านนี้ หรือว่าฤาษีตัวนี้ ใช้ตัวจะดีไหม เป็นฤาษีลิง
เพราะว่าเอาลิงมาทำเป็นฤาษี ลิงก็คือสัตว์เดียรัจฉาน ฉะนั้นการจะพูดจาอะไรก็ตาม ลูกหลานจะอ่านอะไรก็ตาม จงฟังไว้ จงเข้าใจว่า
นี่ลูกหลานอ่านหรือว่าดูหรือว่าฟังภาษาลิง เอาลิงมาพูดภาษาคน ภาษามันก็ไม่เรียบร้อยซิ เพราะว่าสภาวะของลิงไม่มีความเรียบร้อย
เมื่อสมัยเรื่องของรามเกียรติ์ มันเกิดขึ้นตอนไหนก็ไม่ทราบ เคยอ่านเรื่องของรามเกียรติ์ตอนหนึ่ง ตอนนั้นปรากฏว่า พระรามมอบหมายให้หนุมาน
ซึ่งเป็นทหารเอกปกครองเมือง ๆ หนึ่ง ที่เรียกกันว่าลพบุรี ปรากฏว่าวันหนึ่งหนุมานไปเที่ยวสวนขวัญกับบรรดานักสนมนารีทั้งหลาย เกิดคันหัวขึ้นมา
แทนที่จะเอามือคือขาหน้าทั้งสองไปเกา เผลอไปเอาเท้าไปเกาเข้า
บรรดานักสนมนารีทั้งหลายเห็นเข้าชอบใจหัวเราะลั่น ท่านหนุมานตกใจ มีความละอายบรรดาสนมนารีทั้งหลายเลยขอบวชจำศีล เรื่องนี้จะจริงหรือโกหก
หลวงตาก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเกิดไม่ทัน จะไปถามคนเขียนคนประพันธ์ ท่านก็ตายไปเสียแล้วเป็นอันว่า ถ้าเรื่องนี้โกหก หลวงตาก็โกหกด้วย
ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง หลวงตาก็พูดจริงด้วย แต่ว่าเรื่องมีจริง เรื่องที่เขาเขียนไว้มี แต่ว่าหนุมานจริง ๆ มีหรือเปล่า อันนี้หลวงตาก็ไม่ทราบ
ฉะนั้น
เมื่อทราบว่าหลวงตาเป็นลิง การทัศนาจรคราวนี้ยังไม่รู้ว่าจะไปแบบไหนดีเลย มานั่งนึกไปนั่งนึกมา กำลังพูดอยู่นี่ ความจริงยังไม่มีโครงการในการพูด
เพราะการคุยกับลูกกับหลานนี่มันคุยสบาย เพราะว่าไม่ใช่ใคร เราเป็นกันเอง เชื้อสายของหนุมานพูดกันยังไง ก็มีความเข้าใจ
เราจะไปทางไหนกันดี..?
เรามานั่งนึกดูอีกที
การทัศนาจรคราวนี้
ถ้าจะไปคนเดียวน่ากลัวจะลำบาก เพราะอะไร เพราะว่าดินแดนมันไกล เมืองนรกไปมาแล้ว ก็มีคนเขาต่อว่า มาทำไม ไม่ไปเที่ยวเมืองสวรรค์ให้มันละเอียด
ตอนนี้ก็เห็นว่า จำเป็นจะต้องไปตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าท่านไป ตานี้การตามท่านไปนี่ มันก็ลำบากเหมือนกัน เพราะสมัยนั้นพระพุทธเจ้าท่านเป็นพระโพธิสัตว์
แล้วก็มาสมัยหลัง ท่านบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า การไปมันก็สะดวก แสนสะดวก แต่นี่หลวงตาเป็นลิงนี่ลูกหลานที่รัก
เมืองสวรรค์นี่เขาจะต้อนรับลิงหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
เอากันยังงี้ดีกว่า
เรามามองดูทางไปกัน ไปคนเดียวไม่สบาย โน่นแน่..! มองเห็นรถของท่านมาตลีเทพบุตรนำเวชยันตราชรถของพระอินทร์ลงมา มีม้าสินธพ คือเทวดาแปลงเป็นม้าถึง ๑,๐๐๐ ม้าลากรถมา ความจริงเมืองเทวดาเขาไม่มีสัตว์เดียรัจฉาน แต่ถ้าหากว่า จะบังเอิญต้องใช้สัตว์เดียรัจฉาน
ก็ต้องเอาเทวดาที่มีเชื้อชาติ มาจากสัตว์เดียรัจฉานประเภทนั้น ๆ ให้แปลงเป็นสัตว์เดียรัจฉานประเภทนั้น แล้วก็ใช้เป็นสัตว์
ความจริงการเป็นเทวดานี่ก็ลำบากเหมือนกันนะ บรรดาลูกหลานที่รัก เพราะว่าเมืองเทวดามีความยากจน ไม่มีสัตว์เดียรัจฉานจะใช้
เวลาจะใช้สัตว์เดียรัจฉาน ก็ต้องเอาเทวดาทำเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ฉะนั้น เป็นอันว่าหลวงตาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ก็เป็นเนื้อแท้ คือเป็นสัตว์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
ทีนี้การที่จะไปเที่ยวเมืองเทวดา ก็คงจะไม่ยาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเทวดาไม่มีสัตว์เดียรัจฉานจะใช้ และเวลาจะใช้สัตว์
ก็ต้องแปลงจากความเป็นเทวดามาเป็นสัตว์ นี่ถ้าไปพบสัตว์เดียรัจฉานอย่างหลวงตาเข้า เทวดาคงจะพอใจ นี่คงจะเที่ยวได้
ทีนี้ การเที่ยวคราวนี้
ท่านมาตลีเทพบุตรท่านเป็นสารถีขับรถของพระอินทร์ ท่านนำม้าสินธพพันม้า ม้าปลอม แล้วก็นำเวชยันต์ราชรถ อันเป็นรถประจำองค์ของพระอินทร์ลอยลิ่ว ๆ ๆ ๆ ลงมา
ลงมาเวลาไหน ลงมาถอยหลังจากนี้ไป แหม น่ากลัวจะหลายกัป สมัยนั้นเป็นสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ มีนามว่า เนมิราช
เรื่องนี้ปรากฏมาในพระสุตตันตปิฎก
คือเรื่องราวมีว่า
พระเจ้าเนมิราชบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอทรงประกอบไปด้วยทานและศีล เป็นกษัตริย์ที่มีความแปลกมาก มีจริยาวัตรเป็นที่น่ารัก ไม่มีความเห่อเหิมทะเยอทะยาน
เข้าใจว่าตนเองเป็นคนดีกว่าบุคคลอื่น และก็ไม่ใช่เป็นกษัตริย์ที่ว่านั่งกินเลือดกินเนื้อชาวบ้าน มานั่งเอาเปรียบชาวบ้าน
เป็นพระมหากษัตริย์ที่ประกอบไปด้วยบุญญาธิการมาก ทรงบริจาคทานเป็นปกติ
คำว่า บริจาคทาน
แปลว่าการให้ บริจาคเป็นการตัดออก ทานะคือคำว่าทาน เป็นการให้ ตัดของที่ตนมีอยู่ออกแบ่งให้บุคคลอื่น ไปมองดูประชากรทั้งหลายในขอบขัณฑสีมาของพระองค์
ถ้ามีความทุกข์ พระองค์ก็หาทางทุกอย่างที่จะบำรุงความสุขให้แก่บรรดาประชากรของพระองค์ เท่าที่จะพึงมีความสามารถให้ได้
แล้วก็ให้ทุกอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกินวิสัย
พระองค์ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากกาย ไปตามบ้านบ้าง ตามเขาบ้าง ตามป่าบ้าง ตามถ้ำบ้าง ตามลำน้ำบ้าง ที่ไหนก็ตาม
เมื่อบรรดาพสกนิกรที่อยู่ในขอบขัณฑสีมาของพระองค์มีความทุกข์ ต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งไม่เกินวิสัย พระองค์ก็จัดหาให้ ในเมื่อของสิ่งนั้น พระองค์ไม่มี
ก็แจ้งข่าวแก่บุคคลที่มีกำลังใจดี ประกอบไปด้วยเมตตา ให้นำสิ่งของมารวมกัน แล้วพระองค์ท่านเอง ก็ทรงเสด็จบ้าง ใช้อำมาตย์ข้าราชบริพารนำไปให้แทนบ้าง
เมื่อเขานำไปให้แล้ว
พระองค์ก็ทรงทำบัญชีเข้าไว้ แล้วก็ตามไปสำรวจทีหลังว่า ของที่ให้ไปนี้ถึงมือผู้รับจริงหรือเปล่า แล้วก่อนที่จะให้ ก็สำรวจเสียก่อนว่า
บุคคลที่ต้องการให้รับแต่ละกลุ่ม แต่ละหน่วยมีกี่คนด้วยกัน มีความต้องการอะไร อันนี้พระองค์จะมีความละเอียดละออในจริยาวัตรของพระองค์มาก
แล้วก็นอกจากการให้ทานแล้ว พระองค์ก็ทรงสมาทานศีล ที่เรียกกันว่า ศีลอุโบสถ คือสมาทานเป็นปฏิชาครอุโบสถ คือรักษาอุโบสถก่อนหน้าวันพระ ๓ วัน
แล้วก็หลังวันพระอีก ๓ วัน กับวันพระอีก ๑ วัน รวมความว่า รักษาจุดหนึ่ง ก็ ๗ วัน อย่างนี้เรียกว่า ปฏิชาครอุโบสถ
มาวันหนึ่ง
พระองค์ทรงนั่งคิด ว่าการให้ทานก็ดี การรักษาศีลอุโบสถ ชื่อว่าเป็นศีลพรหมจรรย์ ทั้งสองประการนี้ อย่างไหนจะมีผลแตกต่างกัน ใครจะมีผลเลิศกว่ากัน
นี่ความจริงพูดถึงจริยาวัตรของพระเจ้าเนมิราชแล้ว ก็อดที่จะมานั่งนึกถึงความดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ องค์ปัจจุบันนี้ไม่ได้
ที่มีพระนามว่า ภูมิพลอดุลยเดช
นี่ความจริง
พระราชาพระองค์นี้มีพระราชจริยาวัตรคล้าย ๆ กับพระเจ้าเนมิราช เมื่อเวลาแปรพระราชฐานไปที่ใด ชาวบ้านเขานินทาพระองค์ ชาวบ้านน่ะ ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดานะ
ก็เรียกว่าเป็นชาวบ้านที่เห็นแก่ตัว เป็นชาวบ้านที่จะนำประเทศชาติไปขายให้แก่ชาติอื่น จะเปลี่ยนแปลงลัทธิ หรือพูดอีกทีว่า เป็นชาวบ้านพวกเหลือบ
ที่เปลี่ยนฝูงเข้ามากินเลือดเนื้อประชาชน เขาพากันนินทาพระองค์ว่า เปลืองเงินงบประมาณ
เคยถามท่านพันตำรวจเอก
(พิเศษ) หม่อมราชวงศ์ พงศ์พูนเกษม เกษมศรี ว่างบประมาณที่รัฐบาลตั้งให้พระเจ้าแผ่นดินนี้ ปีละเท่าไร ท่านก็บอกว่า ยังไม่ทราบชัด จะปีละ ๕ ล้านหรือ ๑๐ ล้านก็ไม่แน่
แล้วงบประมาณที่ได้รับนี้ไม่ใช่ใช้เป็นส่วนพระองค์ ข้าราชบริพารภายในทั้งหมดต้องใช้อยู่ในงบประมาณประเภทนี้ ถ้าบังเอิญ ๕ ล้าน ๑๐ ล้าน หรือ ๒๐ ล้าน หรือ ๓๐
ล้านก็ดี รู้สึกว่าน้อยเกินไป ทั้งนี้เพราะอะไร ? เพราะว่าไอ้เงินแค่นี้ พระองค์ต้องแจกจ่ายแก่ข้าราชบริพาร ตลอดจนกระทั่งคนที่คิดกิจการต่าง ๆ ที่เขาถือว่าเขาดี มีความรู้ ทำไม่ได้
อย่างคิดเสกน้ำเป็นน้ำมันอย่างหนึ่ง นำพืชพันธุ์ธัญญาหารไปให้ชาวเขา เพื่อนำมาให้เป็นชาวเรา ใครทุกข์ที่ไหน เสด็จที่นั่น
นำของไปแจกให้แก่ประชากร การนำของไปแจกให้แก่ประชากรนี้มีคนเขาโดยเสด็จพระราชกุศล (คำว่า โดย แปลว่าตาม) นำเงินทองของใช้ไปมอบให้แก่พระองค์ บรรดาคนทั้งหลายเหล่านี้เขาก็พากันนินทา นินทาว่ารีดไถชาวบ้าน นี่ความจริง พระองค์ไม่ได้เคยรีดไถใคร
เอากันแค่เงินงบประมาณ
สมมุติกันว่า พระองค์ได้ถึง ๓๐ ล้าน (ความจริงไม่ถึง) ทราบมาว่า เป็น ๑๐ ล้าน หรือ ๑๕ ล้าน ก็ไม่ทราบ เท่านี้มันก็ยังไม่พอกับถนนสายหนึ่งที่เขาทำขึ้นมาใหม่ การทำถนนหนทางนี้ เขาเล่าลือกัน หรือว่า
การก่อสร้างต่าง ๆ เขาต้องบวกพิเศษ เขาลือกัน จะเป็นความจริงหรือไม่ ก็ไม่ทราบ ถ้าจะทำอะไรก็ตาม ต้องบวกไว้ ๒๐ เปอร์เซนต์ สมมุติว่า ราคา ๑๐๐ บาท ต้องบวก
๒๐ บาทเข้าไปด้วย ตั้งเป็นราคาเข้าไว้ ไม่เช่นนั้น คนที่อนุมัติเขาไม่ให้
นี่เป็นอันว่า
เงินของประชาชนทั้งหลายที่เขาให้พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน สมมุติว่า ถ้าปีหนึ่งถึง ๓๐ ล้าน มันก็ไม่เท่ากับการบวกถนน ๑ สายตามที่เขาลือกัน แต่เขาบอกว่า
การบวกนี่ เขาบวกในสมัยรัฐบาลก่อน ๆ แต่รัฐบาลต่อไปนี้ หรือรัฐบาลปัจจุบัน เขาจะบวกหรือไม่บวก หลวงตาก็ไม่ทราบเหมือนกัน เป็นอันว่าเงินบวกคราวหนึ่ง
ดีกว่าเงินที่ให้พระเจ้าแผ่นดินใช้ ๑ ปี และก็พระเจ้าแผ่นดินก็ไม่ได้ใช้เอง ต้องไปแจกจ่ายแก่ข้าราชบริพารภายใน
เป็นอันว่า ปรากฏว่า
เวลานี้เงินไม่พอใช้ ข้าราชการนายทหารราชองครักษ์ที่ไปอยู่เวร เคยเลี้ยงอาหาร เคยเลี้ยงขนม เคยเลี้ยงกาแฟในเวลากลางคืน เวลานี้ ก็ต้องตัดอาหารออก
เหลือแต่ขนมหรือกาแฟ นี่เขาลือกัน เรื่องในรั้วในวังนี่ก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เป็นอันว่าพระองค์มีจริยาวัตรคล้ายพระเจ้าเนมิราชบรมกษัตริย์ เป็นอันว่า
กษัตริย์องค์นี้มีพระจริยาวัตรคล้ายสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสมัยที่เป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ คือพระเจ้าเนมิราชหรือพระเวชสันดร
คนสมัยก่อนเขาสาธุกัน
อย่างพระเจ้าเนมิราชนี่ ให้ทั้งทาน ให้รักษาทั้งอุโบสถศีล พระเวสสันดรก็ทรงบริจาคทาน และมีหิริและโอตตัปปะ มีขันติมาก เขาชมกันว่าดี
แต่คนสมัยนี้ที่เขาไปรับปริญญามาจากฝรั่งเศส ที่มีคณาจารย์ซึ่งเป็นคนไทย ตั้งตัวเป็นมหาวิทยาลัยพิเศษ อยู่ที่เมืองฝรั่งเศส
แล้วก็มีคนรับช่วงอยู่ในประเทศไทย เรียน ๆ กันต่อกันมา เขาบอกว่า จริยาวัตรแบบนี้ไม่ดี การมีพระมหากษัตริย์นี่หนักแผ่นดิน เปลืองเงินของแผ่นดิน
แต่สู้การที่เขาจะช่วยกอบโกย ช่วยกันกิน ช่วยกันบวก อันนี้สู้ประเภทนั้นไม่ได้ เขาว่ายังงั้น จึงหาทางทุกอย่างเพื่อทำลายกษัตริย์
ให้ระบบกษัตริย์หมดไป
นี่แหละบรรดาลูกหลานทั้งหลาย ประเทศชาติของเราที่จะทรงขึ้นมาได้ ก็ต้องอาศัยหัวหน้าดี ถ้าหากว่า หัวหน้าเป็นคนอัปปรีย์ ชอบบวกชอบกินชอบโกง
ประเทศชาติมันก็บรรลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมืองไทยที่จะทรงขึ้นมาได้ ก็มีระบบกษัตริย์ตลอดมา แล้วกษัตริย์ก็ยังทรงรักษาศักดิ์ศรีในความเป็นกษัตริย์
ถ้าจะสร้างอะไรไม่ดี ก็เกรงว่าศักดิ์ศรีของตนจะสลายไป สู้หมู่คนจังไรไม่ได้ เปลี่ยนหน้ากันเข้ามา แล้วช่วยกันกิน ช่วยกันโกง ที่ดีก็มีมาก ที่ชั่วก็มีเยอะ
ภาษิตโบราณบอกว่า คนชั่วก็มี คนดีก็มาก คนชั่วหายาก คนดีถมไป นี่เป็นอันว่า ใครเขาจะกิน เขาจะโกงกันที่ไหนก็ตาม ถ้าไปถามตัวเขาเองแล้ว เขาจะบอกว่า
ฉันนี่แหละเป็นคนดี การที่ฉันทำนี่ ฉันทำดีแล้ว เก้าอี้การเมืองหรือเก้าอี้รัฐมนตรี หรือเก้าอี้ตำแหน่งหน้าที่กิจการงานใหญ่ ๆ เราไม่ทราบว่า
จะนั่งกันนานเท่าไร ดีไม่ดีวันนี้นั่งเก้าอี้ พรุ่งนี้อาจไม่ได้นั่งก็ได้ ฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่มันมีหนทางพอจะได้ ต้องรีบกอบรีบโกยเข้าไว้ มิฉะนั้น
ผลที่จะพึงได้มันก็จะสลายตัวไป
ลูกหลานที่รัก
หลวงตาพูดแบบนี้นี่ติดตะรางหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ เขาบอกกันว่า ตะรางเขาไม่ได้สร้างให้สัตว์เดรัจฉานอยู่ หรือที่เขาพูดกันว่า ตะรางมิได้สร้างให้หมาอยู่
ตะนี้หลวงตาไม่ใช่หมานี่แต่เป็นลิง เขาอาจจะเอาไปขังกรงเสียก็ได้ ก็ตามใจ
เรามาพูดกันต่อไป
การที่มาตลีสารถีนำเวชยันต์ราชรถปรากฏไปด้วยม้าสินธพ ที่แปลงไปจากเทวดาถึง ๑,๐๐๐ ม้ามารับพระเจ้าเนมิราช ก็เพราะว่า พระเจ้าเนมิราชบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอ ทรงใคร่คำนึงว่า การรักษาอุโบสถศีล ที่เรียกกันว่า พรหมจรรย์
เป็นปฏิชาครอุโบสถก็ดี การให้ทาน การบริจาคทาน การสงเคราะห์ประเภทนี้ก็ดี ทั้ง ๒ อย่างนี้ ใครจะมีผลดีกว่ากัน
ขณะที่พระเจ้าเนมิราชบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอรำพึงรำพันอยู่อย่างนั้น ปรากฏว่า ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของพระอินทร์ ที่เขาบอกว่า อ่อนนุ่มคล้าย
ๆ กับสำลี หรือเก้าอี้สปริงที่เคยอ่อนอยู่ ก็แข็งกระด้างดั่งศิลา พระอินทร์จึงได้พิจารณาด้วยอำนาจทิพยเนตร คือกำลังใจเป็นทิพย์ คำว่าทิพยเนตรนี่
ไม่ใช่ตาเป็นทิพย์ ถ้าตาเป็นทิพย์ละมันยุ่ง มันเห็นอะไรไปเสียหมดทุกอย่าง จะดูเทวดากอดกัน เทวดารักกัน เทวดาตีกัน เทวดาทะเลาะกันก็เห็น จะดูมนุษย์ทำยุ่ม ๆ
ย่าม ๆ ข้างถนนหนทางตามในซ่องในห้องในมุ้งก็เห็น อย่างนี้พระอินทร์กลุ้มตาย ไม่ไหว ไม่ไหวหรอก ดีไม่ดีหล่นจากวิมานแน่ ๆ
คำว่าทิพยเนตร
ก็หมายถึงว่า จิตเป็นทิพย์ ต้องจิตน่ะเป็นทิพย์ มีความรู้เหมือนกับตาทิพย์ เวลาที่จะสังเกตของพระอินทร์ หมอดูประจำพระองค์ นั่นก็คือ ปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์
ตามที่เขากล่าวไว้ในเรื่องราวพระสังข์ทอง ว่าทิพยอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมาแข็งกระด้างดั่งศิลาประหลาดใจ ท่านว่าอย่างงั้น ในสมัยนั้นสังข์ทองมีเรื่อง
พระอินทร์ก็เดือดร้อน คราวนี้เกิดพระเจ้าเนมิราชมีเรื่องอีก มานั่งสงสัยว่า
"..เอ..! การรักษาอุโบสถ จัดว่าเป็นพรหมจรรย์ กับการให้ทานนี้ใครจะมีค่ากว่ากัน..?
เมื่อปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์แข็งปรากฏอย่างนั้น ก็ทรงทราบ เมื่อเรื่องนี้ต้องมีเหตุสำคัญแม่นมั่นในแดนดิน อัมรินทร์ยังนั่งพินิจคิดสงสัย
สอดส่องทิพยเนตรดูเหตุภัย มองไปก็เห็นท่านเนมิราชนอนแหงแก๋อยู่บนเตียงนอนอยู่คนเดียว และก็คิดอยู่คนเดียว ตัดสินใจไม่ได้ เหตุฉะนั้น ท้าวสหัสนัยน์ คำว่า
สหัสนัยน์ ก็คือพระอินทร์ สหัส แปลว่าพัน นัยน์แปลว่า ตา พระอินทร์มีตาตั้งพัน อย่าเชื่อชาวบ้านเขาหนา ลูกหลานที่รัก
ความจริงพระอินทร์มีตา
๒ ตาเท่านั้น แต่ว่าอารมณ์เป็นทิพย์ของพระอินทร์คล้ายกับมีตาหนึ่งพัน เหตุการณ์ทุกอย่าง ที่พระองค์จะทรงทราบในขณะเดียวกันหนึ่งพันเรื่อง
พระองค์จะทรงทราบได้ทันที อย่างนี้จึงเรียกว่า ท้าวสหัสสเนตโต ที่เรียกว่า พระอินทร์ มีนัยตาตั้งพัน แต่ความจริงไม่ใช่ลูกตาแท้ๆ
ถ้าลูกตาที่มองดูตั้งพันลูกตา มันก็ยุ่งละ ติดมาตั้งแต่หัวรอบตัว จนกระทั่งถึงตาตุ่ม มันก็ยังไม่มีที่จะติด มันตั้งพันตานี่
ลูกหลานจำให้ดีนะ